Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore นางสาวสุพิชชา ปักสังคะเณย์ เลขที่ 24 ห้อง 6

นางสาวสุพิชชา ปักสังคะเณย์ เลขที่ 24 ห้อง 6

Published by meaw2424, 2022-03-07 02:54:31

Description: รายงาน10

Search

Read the Text Version

44 บทที่ 2 ความรู้เบอื้ งตน้ เกีย่ วกับขอ้ มลู สารสนเทศ ความรู้เบื้องต้นเก่ียวกับระบบสารสนเทศความสาคัญของสารสนเทศในปัจจุ บันเทคโนโลยีสารสนเทศมี ผลกระทบอย่างกว้างขวางในสาขาต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ในระดับบุคคลและองค์การ ทาให้มีการนาระบบ สารสนเทศมาประยุกต์ใช้ทางานในสาขาวิชาชีพต่างๆ เช่น ธุรกิจ กฎหมาย วิทยาศาสตร์ การศึกษา การแพทย์ สาธารณสขุ วศิ วกรรมศาสตร์ และงานบรกิ ารสงั คมด้านต่างๆ สาหรับองค์การท่ีสามารถจัดการกับสารสนเทศได้ดี ภายใต้การเปล่ียนแปลงดังกล่าวย่อมจะดาเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ทาให้มีความได้เปรียบใน การแข่งขัน และช่วยให้เกิดความพอใจในการทางานมากข้ึนอันจะนาพาองค์การสู่วัตถุประสงค์ท่ีได้ต้ังเอาใว้ ความหมายของขอ้ มูลและสารสนเทศ ระบบสารสนเทศสรา้ งข้ึนมาเพอ่ื จุดมงุ่ หมายหลายประการจุดมุง่ หมายพืน้ ฐานประการหน่ึง คือ การประมวลข้อมูล (Data) ใหเ้ ป็นสารสนเทศ (Information) และนาไปส่คู วามรู้ (Knowledge) ท่ชี ่วยแก้ปัญหาในการดาเนนิ งาน ความหมายของข้อมูลข้อมูล คือ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ หรือข้อมูลดิบท่ียังไม่ผ่านการประมวลผล ยังไม่มี ความหมายในการนาไปใช้งาน ข้อมลู อาจเป็นตัวเลข ตวั อักษร สัญลกั ษณ์ รูปภาพ เสยี ง หรอื ภาพเคล่ือนไหว ความหมายของสารสนเทศ สารสนเทศ คอื ข้อมลู ทีไ่ ดผ้ า่ นการประมวลผลหรอื จัดระบบแล้ว เพื่อใหม้ คี วามหมายและคุณคา่ สาหรบั ผูใ้ ช้ ความหมายของความรู้ (Knowledge) ความรู้ คอื ความรบั รู้และความเข้าใจในการนาสารสนเทศไปใช้ในการแก้ปัญหาในการดาเนินงาน ความรู้ถือเป็น สารสนเทศท่ีมีมลู คา่ มากท่สี ุด ความรู้เปน็ สว่ นผสมผสานระหวา่ งสารสนเทศ คานิยาม ประสบการณ์ และกฎเกณฑ์ ตา่ งๆ ด้วย ความร้จู ะเกยี่ วขอ้ งกับการวิเคราะห์สารสนเทศจากหลายแห่งภายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง คอมพิวเตอร์ สามารถ จัดการข้อมูลได้ดีแต่คอมพิวเตอร์จะมีประสิทธิภาพลดลงในการจัดการสนเทศและความรู้ตามลาดับ โดยเฉพาะความรู้ท่ีมคี วามซบั ซอ้ นและยากทจี่ ะระบไุ ดช้ ัดเจน ยิ่งเปน็ สิง่ ทเ่ี ป็นไปได้ยากท่ีจะประมวลและวิเคราะห์ ความรู้โดยเครื่องคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต มีความสาคัญในชีวิตประจาวันของมนุษย์ในสังคม ปัจจุบันมากขึ้น เนื่องจากสังคมขณะนี้กาลังเข้าสู่สังคมแห่งเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือสังคมไอที ทัง้ น้ี เพราะคอมพิวเตอรเ์ ป็นเครื่องมือสาคญั ในการช่วยอานวยความสะดวกแกผ่ ใู้ ชไ้ มว่ ่าจะเป็นการทางานด้านการ สง่ ขอ้ มลู ขา่ วสารระหว่างทหี่ นง่ึ ไปยงั อกี ท่ีหนึ่ง ในรูปแบบสื่อ ทั้งภาพเสียงตัวอักษรและมัลติมีเดีย ได้อย่างรวดเร็ว ฉบั ไวทันเวลาท่ตี อ้ งการหากแต่ในปัจจุบันได้มีการใช้ส่ือคอมพิวเตอร์ไปในทางไม่เหมาะสม เช่น นาไปใช้แพร่ภาพ ลามกอนาจาร นาภาพไปตัดต่อเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ทาให้ผู้อ่ืนเสียหาย ปลอมแปลง ข้อมูลคอมพิวเตอร์ของ

45 ผูอ้ ่ืนโดยไม่ได้รบั อนญุ าต ก่อกวนทารา้ ยผ้ใู ช้คอมพิวเตอร์อื่นๆ หลอกลวง ก่อการร้าย การป้องกันปราบปรามและ จับกุมดาเนินคดีแก่ผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์ในทางท่ีทาให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือเกิดความเสียหาย แก่ ประเทศชาติ จงึ เป็นเรือ่ งจาเปน็ ทจี่ ะตอ้ งมีการแกป้ ัญหาดังกล่าว สาเหตุน้ีจึงเกิดการร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทาความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ข้ึน โดยมี เจตนารมณ์ คือ เพ่ือเป็นการใช้กรอบแห่งกฎหมายในการกาหนดฐานความผิดและบทลงโทษในการเรียกร้อง ค่าเสยี หายแก่ผกู้ ระทาความผดิ เพื่อค้มุ ครองสิทธใิ หแ้ ก่ประชาชน การกาหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับอานาจหน้าท่ีของ เจา้ พนกั งานเจ้าหน้าทท่ี งั้ ด้านนโยบาย มาตรฐาน แนวปฏิบัติ และกาหนดหน้าที่ของผู้ให้บริการไม่ว่าจะแก่ตนเอง หรือบุคคลอ่ืนในการเข้าสู่อินเทอร์เน็ต หรือทาให้สามารถติดต่อถึงกันโดยผ่านระบบคอมพิวเตอร์ โดยให้มีแนว ทางการปฏบิ ัตติ ามดาเนนิ งานให้เกิดความชัดเจนถูกตอ้ งในแนวทางเดียวกัน จากการสารวจความ คิดเห็นของประชาชนหลังพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทาความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 โดย สานกั งานสถิติแหง่ ชาติ เพอ่ื เป็นแนวทางในการปรับปรุงการประชาสัมพันธ์เผยแพร่เกี่ยวกับพระราชบัญญัติให้แก่ สาธารณะชนได้เข้าใจอย่างแท้จรงิ และเปน็ ผลให้การบังคบั ใชพ้ ระราชบัญญัติมปี ระสิทธิภาพสูงสดุ 2.1ววิ ัฒนาการของสารสนเทศ ในสงั คมปจั จุบัน ข้อมูล ข่าวสาร และสารสนเทศ ถือวา่ เป็นสง่ิ ทีม่ ีคา่ มากในการดาเนินชีวิตในปัจจุบัน และ เน่อื งจากเทคโนโลยีต่างๆ ในปจั จบุ ันได้พัฒนาไปมากและราคาไม่แพง ทาให้การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศใช้ได้ง่าย ขน้ึ และทกุ คนสามารถหานามาใชไ้ ด้ระบบสารสนเทศนัน้ อาจมองง่ายๆวา่ เปน็ การนาข้อมูลต่างๆ มาประมวลผลให้ เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้และเทคโนโลยีท่ีช่วยในการประมวลผลข้อมูล ก็หนีไม่พ้นเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เม่ือ คอมพวิ เตอร์พัฒนาไปมากขน้ึ กท็ าให้ระบบสารสนเทศต่างๆ พฒั นามากขึ้นไปด้วย ววิ ัฒนาการของสารสนเทศ ในระบบสารสนเทศน้ันจะมีการนาเสนอข้อมูลต่างๆ มาประมวลผลให้ข้อมูลน้ันเป็นประโยชน์ต่อการ นาไปใชง้ านในอดีตท่ียังไม่มี คอมพิวเตอร์ก็ยังมีเครื่องมืออ่ืนมาช่วยในการประมวลผลข้อมูลและช่วยในการสร้าง ผลผลิตได้ จนถึงปัจจุบันได้มีการนาเอาคอมพิวเตอร์มาช่วยในการประมวลผลข้อมูล ก็ทาให้ระบบสารสนเทศนี้ พัฒนาไปได้มากข้ึน ช่วยให้การดารงชีวิตของมนุษย์ดีขึ้นในโลกของเราได้มีการนาเสนอเครื่องมือมา ช่วยในการ ดารงชวี ติ มากมาย จนปจั จบุ นั นัน้ ถอื ได้วา่ เปน็ ยุคของเทคโนโลยสี ารสนเทศ หากแบ่งวิวัฒนาการของยุคสารสนเทศ จะแบ่งได้ดงั น้ี -โลกยคุ กสกิ รรม (Agriculture Age) ยุคนี้นับต้ังแต่ก่อนปี ค.ศ. 1800 ถือว่าเป็นยุคที่การดาเนินชีวิตของ มนุษย์ข้ึนอยู่กับการทานา ทาสวน ทาไร่ โลกในยุคน้ียังมีการซื้อขายสินค้าระหว่างกัน แต่ก็ถือว่าเป็นสินค้า

46 เกษตรกรเปน็ หลกั มกี ารนาเครอื่ งมอื เคร่อื งทุ่นแรงมาใชใ้ ห้ไดผ้ ลผลติ ดีขึ้น ในระบบหนึ่งๆ จะมผี รู้ ว่ มงานเป็นชาวนา ชาวไร่เป็นหลกั - ยุคอุตสาหกรรม (Industrial Age) ยุคนี้นับต้ังแต่ปี ค.ศ. 1800 เป็นต้นมา โดยในประเทศอังกฤษได้นา เครื่องจกั รกลมาช่วยงานทางด้านการเกษตร ทาให้มีผลผลิตมากข้ึนและมีผู้ร่วมงานในระบบมากขึ้น เริ่มมีโรงงาน อุตสาหกรรม เริ่มมีคนงานในโรงงาน ต่อมาการนาเคร่ืองจักรมาใช้งานน้ีได้ขยายไปสู่ประเทศต่างๆ และได้มีการ แปรรปู ผลิตผลทางดา้ นการเกษตรออกมามากขนึ้ และเครอื่ งจักรกลก็เป็นเคร่อื งมอื ทที่ างานร่วมกับมนุษย์ และเร่ิม มโี รงงานอตุ สาหกรรมมากข้นึ ซึง่ ทาใหโ้ ลกของเรามีทงั้ ภาคอตุ สาหกรรม และภาคเกษตรกรรมควบคู่กันไป -ยคุ สารสนเทศ (Information Ago) ยุคนี้นบั ตงั้ แต่ประมาณปี ค.ศ.1957 จากที่การทางานของมนุษย์มีทั้ง ด้านการเกษตรและด้านอุตสาหกรรมรม ทาให้คนงานต้องมีการส่ือสารกันมากขึ้น ต้องมีความรู้ในการใช้ เคร่อื งจกั รกล ต้องมกี ารจดั การขอ้ มูลเอกสาร ขอ้ มูลสานักงาน งานด้านบัญชี จึงทาให้มีคนงานส่วนหน่ึงมาทางาน ในสานักงาน คนงานเหล่านถ้ี ือว่าเปน็ ผ้ทู ี่มคี วามรแู้ ละตอ้ งทาหน้าทีป่ ระสานงานระหว่าง ฝ่ายผลิตและลูกค้า ทาให้ มีการพัฒนาเครื่องมือต่างๆ มาช่วยในการประมวลผล จัดการให้ระบบงานมีประสิทธิภาพดีขึ้น ทาให้เกิดการใช้ เครือ่ งมือทางสารสนเทศขนึ้ มา ซึ่งถือว่าเปน็ จดุ เร่ิมต้นของเทคโนโลยีสารสนเทศ เมอื่ เข้าสยู่ ุคสารสนเทศ องคก์ รตา่ งๆ ทนี่ าเทคโนโลยีส่อื สารมาใชใ้ นการจัดการงานประจาวัน จะทางานได้ สาเร็จเร็วข้ึน การผลิตทาได้เร็วขึ้น เน่ืองจากผู้ผลิตสามารถประมวลผลข้อมูลต่างๆได้รวดเร็วข้ึน มีการนาระบบ อตั โนมัติดา้ นการผลิตมาใช้ มรี ะบบบัญชี และมีโปรแกรมท่ที างานเฉพาะดา้ นมากขึน้ 2.2 พน้ื ฐานเกี่ยวกบั คอมพวิ เตอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นอปุ กรณ์อเิ ล็กทรอนิกสอ์ ยา่ งหน่ึงท่ีใช้สาหรับช่วยในการประมวลผลข้อมูล โดยจะ ทางานตามคาส่งั ที่เก็บเอาไว้หน่วยความจา เพื่อประมวลผลข้อมูล สอ่ื สารและเคล่ือนย้ายขอ้ มูลไปยังส่วนต่างๆ ใน ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศนั้นจะมกี ารป้อนขอ้ มลู ตา่ งๆ ให้กับคอมพิวเตอร์ประมวลผล เพ่ือให้เอาพุตออกมาเป็น ขอ้ มลู ข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อการใช้งาน ตัวอย่างเช่น ในการประมวลผลการสอบของนักเรียน ข้อมูลท่ีเข้าไป ทางอินพตุ อาจเป็นคะแนนสอบต่างๆ คะแนนการบ้าน คะแนนเวลาเรียนจากน้ันให้ระบบสารสนเทศประมวลผล ตามกฎเกณฑท์ ต่ี ั้งเอาไว้ และให้เอาต์พตุ ออกมาเป็นเกรดและคะแนนรวมเป็นต้น ขบวนการ ทางานของระบบสารสนเทศน้ันจะประกอบด้วย 3 ส่วนคือ การนาข้อมูลเข้าสู่ระบบ (Input) ประมวลผล (Processing) และให้ข้อมูลผลลัพธ์ออกมาทางเอาต์พุต (Output) โดยในระหว่างการประมวลผลของระบบ สารสนเทศน้ันอาจมีการรับส่งข้อมูลระหว่างอิน พุตเอาต์พุตอยู่ตลอดเวลา ข้อมูลท่ีเป็นผลลัพธ์ทางเอาต์พุตอาจมี การนากลับไปปรับปรุงข้อมูลท่ีเข้ามา ทางอินพุต เรียกว่าวงจรการประมวลผลสารสนเทศ (information processing cycle) ซึ่งขั้นตอนการทางานต่างๆ จะถูกโปรแกรมอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ ตัวเคร่ืองคอมพิวเตอร์

47 ประกอบด้วยวงจรไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์จะเรียกฮาร์ดแวร์ (Hard ware)โดยมีส่วนประกอบท่ีสาคัญคือ อุปกรณ์ อนิ พตุ อปุ กรณ์เอาต์พุต ระบบประมวลผล หน่วยเกบ็ ข้อมลู และอปุ กรณ์สอ่ื สารต่าง อปุ กรณ์อนิ พตุ อุปกรณอ์ ินพตุ เปน็ ส่วนทใ่ี ช้รบั ขอ้ มลู และคาสัง่ จากภายนอกเขา้ สูเ่ คร่อื ง คอมพวิ เตอร์เพอื่ นาไปประมวลผล ได้แก่ แป้นพิมพ์ เมาส์ สแกนเนอร์ อุปกรณ์อินพุตน่ีจะเปลี่ยนข้อมูลท่ีมนุษยืเข้าใจไปเป็นรหัสข้อมูลท่ีเคร่ือง คอมพิวเตอร์เขา้ ใจ อุปกรณ์เอาต์พุต เป็นส่วนที่ใช้แสดงผลลัพธ์จาการประมวลผลออกมาในรูปแบบต่างๆ ท่ีมนุษย์ต้องการ ได้แก่ จอภาพ ลาโพง และเคร่อื งพิมพโ์ ดยอปุ กรณเ์ อาต์พตุ นจ้ี ะทาหนา้ ทเ่ี ปลยี่ นรหัสข้อมลู ที่ คอมพิวเตอร์เขา้ ใจออกมาเป็นข้อมูล ท่ีมนุษย์เข้าใจ หน่วยประมวลผล เม่ือเข้าสู่ระบบแลว้ หน่วยประมวลผลจะทาหน้าท่ีประมวลผลตามคาส่ัง หรือโปรแกรมที่กาหนดไว้ โดย

48 โปรแกรมท่ีกาหนดไว้ โดยโปรแกรมและข้อมูลต่างๆ จะถูกเก็บเอาไว้ในหน่วยความจา เม่ือหน่วยประมวลผล ทางานเสรจ็ แลว้ กจ็ ะเกบ็ ข้อมูลลงหน่วยเก็บขอ้ มลู หรอื ส่ง ผลลพั ธ์ทไี่ ด้ออกมาทางเอาต์พุต อุปกรณ์เกบ็ ขอ้ มลู อุปกรณ์เก็บข้อมูลเป็นอุปกรณ์ท่ีใช้เก็บข้อมูลหรือคาสั่งต่างๆท่ีจะต้องใช้ ในอนาคต ตัวอย่างของหน่วยเก็บข้อมูล ได้แก่ การ์ดความจา แผ่นซีดี หรอื ดวี ดี ี หนว่ ยความจาแบบ USB Flash Drive อปุ กรณส์ อ่ื สาร อุปกรณ์ส่อื สารประเภทนม้ี ไี วใ้ ห้คอมพิวเตอร์สามารถรับหรือส่งข้อมูลให้ คอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ ได้โดย การสือ่ สารนอ้ี าจสง่ ผ่านทางสายเคเบลิ ตัวอย่างอุปกรณ์ส่อื สารได้แก่ โมเด็ม ประเภทของคอมพิวเตอร์ เคร่ืองคอมพิวเตอร์นั้นสามารถจาแนกได้หลายประเภท ข้ึนกับขนาด ประสิทธิภาพ และลักษณะการใช้งาน โดยท่ัวไป คอมพวิ เตอรส์ ่วนบคุ คล หรอื ซีพี (Personal Computer) เป็นเคร่อื งคอมพวิ เตอรท์ ่ีมีใช้งานกันท่ัว เป็นแบบตั้งโต๊ะท่ีเหมาะสาหรับใช้งานในบ้าน ในสานักงานราคา ไม่แพง ที่นิยมใช้กันมีอยู่สองตระกูลคือ PC-Compatible ท่ีมีต้นแบบเป็นคอมพิวเตอร์ของบริษัท IBM และ คอมพิวเตอร์ตระกลู Apple คอมพิวเตอรแ์ บบ Apple คอมพวิ เตอร์แบบ PC มกี ารผลติ ออกมาหลายรุ่นหลายแบบ โดยส่วนใหญ่และวจะใช้โปรแกรมระบบปฏิบัติการ Windows ส่วนคอมพิวเตอร์ Apple จะใช้โปรแกรม ระบบปฏิบตั ิการของ Macintosh ทเ่ี รียกวา่ Mac OS คอมพวิ เตอรโ์ น้ตบุ๊ก (Notebook Computer) เปน็ คอมพิวเตอร์สว่ นบคุ คลขนาดเลก็ ทมี่ ีน้าหนกั เบา สะดวกกับการเคล่ือนย้ายไปยังท่ีต่างๆ คอมพิวเตอร์ แบบนี้อาจเรียกไดว้ า่ เปน็ Mobile computer สามารถใชพ้ ลังงานไฟฟ้าท่ัวไปเหมือนพลังงานจากแบตเตอร่ีได้ ใน ปัจจุบันคอมพิวเตอร์ประเภทน้ีอาจมีประสิทธิภาพสูงไม่แพ้แบบคอมพิวเตอร์แบบ พีซี แต่หากเปรียบกับพีซีที่มี ประสิทธภิ าพเท่ากนั แล้ว คอมพิวเตอร์แบบโนต้ บกุ จะมรี าคาสูงกวา่ คอมพิวเตอรแ์ บบพกพา (Handheld Computer) เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่เหมาะสาหรับพกพาไปท่ีต่างๆ เนื่องจากเคร่ืองมีขนาดเล็กจึงไม่เหมาะท่ีจะ ออกแบบคีย์บอร์ดไว้บนตัวเคร่ือง แต่ใช้ปากกาที่เรียกว่า สไตลัส (Stylus) เป็นอุปกรณ์สาหรับป้อนข้อมูล คอมพิวเตอร์ประเภทน้ีสามารถใช้งานพื้นฐานทั่วไปได้ รับส่ง email และใช้ในการส่ือสารได้ เคร่ืองคอมพิวเตอร์

49 ประเภทน้ีจะรวมถึงคอมพิวเตอร์แบบ PDA (Personal Digital Assistant) หรือ พีดีเอ ที่ใช้กันท่ัวไป ปัจจุบัน คอมพิวเตอรป์ ระเภทนย้ี งั มกี ลอ้ งถา่ ยภาพตดิ มาบนตัวเครือ่ งด้วย 2.3 ระบบสารสนเทศในปัจจุบันและอนาคต การใชง้ านคอมพิวเตอร์ในระบบ สารสนเทศนั้น ผู้ใช้งานจะต้องทราบว่าต้องการประมวลผลข้อมูลอะไร และเลือกใช้โปรแกรมหรือซอร์ฟแวร์ที่เหมาะสมในการประมวลผลงานน้ันๆ โดยผู้ใช้งานต้องป้อนข้อมูลเข้าไปใน เครอ่ื งคอมพิวเตอร์ หลงั จากประมวลผลก็จะได้ผลลัพธ์ออกมาทางเอาต์พุตในปัจจุบันคอมพิวเตอร์ความเร็วสูงข้ึน ทาให้มีการพัฒนาโปรแกรมตา่ งๆ ออกมาทม่ี ปี ระสิทธภิ าพสูงกว่าในอนาคต ประมวลผลข้อมูลได้ดีกว่า และใช้งาน ไดด้ ีข้ึน เครือ่ งคอมพิวเตอร์ท่ีใช้มาหลายปีแล้วอาจไม่เหมาะสาหรับโปรแกรมบางตัวใน ปัจจุบัน แต่ถ้าหากเลือก โปรแกรมท่เี หมาะสมคอมพวิ เตอรท์ ี่ใชง้ านมานานกย็ ังสามารถทางาน ได้ดีสาหรับโปรแกรมนัน้ ๆ ใ น ปั จ จุ บั น หน่วยความจามีราคาถูกลง มีความจุและทางานได้เร็วขึ้น ในอดีตผู้ใช้คอมพิวเตอร์จะใช้แผ่นดิสก์เก็บข้อมูล แต่ ปัจจุบันหน่วยความจาแบบ Flash drive ท่ีต่อทางพอร์ต USB มีราคาถูกลงทาให้ผู้คนเลิกใช้หน่วยความจาแบบ ดิสกแ์ ลว้ หันมาใช้หนว่ ยความจา แบบน้แี ทน ในอนาคตคอมพิวเตอร์จะมีราคาถูกลงเมื่อเทียบกับประสิทธิภาพ สงู ขนึ้ ทาใหผ้ คู้ นสามารถหาคอมพิวเตอร์ชนดิ ตา่ งๆ มาใชไ้ ด้ไม่ยาก ระบบทางธุรกจิ ที่นาคอมพิวเตอร์มาใช้ก็จะเป็น การเพ่ิมภาพลักษณ์ เพ่ิมความสนใจในการแข่งขัน และทาให้ธุรกิจนั้นดาเนินไปได้รวดเร็วมากข้ึน บริษัทใหญ่ที่มี บรษิ ทั ลกู หลายๆ ที่สามารถใช้ระบบบญั ชรี ะบบเดียวกนั ได้ ใช้ฐานขอ้ มลู เดยี วกันได้ โดยอาศยั การสื่อสารข้อมูลผ่าน ทางเครอื ขา่ ย กท็ าให้ธุรกิจดาเนินไปไดส้ ะดวกข้นึ ร้านอาหารนาระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายแบบไร้สายมาใช้ โดยให้พนักงานต้อนรับใช้เคร่ืองคอมพิวเตอร์แบบพีดีเอ ในการรับรายการอาหารท่ีลูกค้าส่ัง และในห้องครัวก็ดี คอมพวิ เตอรอ์ ย่ดู ้วย กท็ าให้การสงั่ อาหารทาไดเ้ ร็วขึน้ ทาให้ร้านอาหารมีรายได้มากขึน้ ตามไปดว้ ย 2.4 ววิ ฒั นาการของสารสนเทศ อดีตมนษุ ยย์ ังไม่มีภาษาท่ีใช้สาหรับการส่ือสาร เม่ือเกิดมีเหตุการณ์ (Event) อะไร เกิด ข้ึน ก็ไม่สามารถ ถ่ายทอด หรอื เผยแพร่แกบ่ คุ คลอ่ืน หรือสงั คมอืน่ ได้ อยา่ งถูกต้องตรงกัน ระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสาร จึงมีการคิด ใชส้ ัญลักษณ์ (Symbol) หรือเครอ่ื งหมาย ทาหน้าทีส่ อื่ ความหมายแทนเหตกุ ารณด์ งั กลา่ ว จงึ มีการใช้กฎ และสูตร (Rule & Formulation) มาใชเ้ พอื่ อธบิ ายเหตุการณด์ งั กล่าวว่าเกิดมาจากสาเหตุใด หรือเกิดมาจากสารใดผสมกับ สารใด เปน็ ต้น จากน้นั เมือ่ มนุษย์มภี าษา สาหรับการส่ือสารแล้ว ก็เกิดมีขอ้ มลู (Data) เก่ียวกับเหตุการณ์ดังกล่าว เกิดข้ึนมามากมาย ท้ังจากภายในสังคมเดียวกัน หรือจากสังคมอื่นๆ เพ่ือให้ได้คาตอบท่ีถูกต้อง ทาให้ต้องมีการ วิเคราะห์ หรือประมวลผล ข้อมูลให้มีสถานภาพเป็นสารสนเทศ (Information) ที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ หรือ ผู้บริโภค เมื่อผู้บริโภคมีการสะสม เพิ่มพูน สารสนเทศมากๆเข้าและมีการเรียนรู้ (Learning) จนเกิดความเข้าใจ (Understanding) กจ็ ะเปน็ การพฒั นา สารสนเทศที่มีอยูใ่ นตนเองเป็นองค์ความรู้ (Knowledge) เน่ืองจากมนุษย์ เป็นผู้ทีม่ สี ติ (สัมปชญั ญะ) (Intellect) รู้จักใช้ เหตแุ ละผล (Reasonable) กับความรทู้ ี่ตนเองมีอยู่ก็จะมีการพัฒนา ความรู้เป็นปัญญา (Wisdom) ในทส่ี ุด ดังแสดงได้ ตาม ภาพข้างล่างนี้

50 2.5 สาเหตทุ ีท่ าใหเ้ กดิ สารสนเทศ 1. เมื่อมีวิทยาการความรู้ หรือสิ่งประดิษฐ์ หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ พร้อมกันนั้น ก็จะเกิด สารสนเทศมา พร้อมๆ กันด้วย จากนั้นก็จะมีการเผยแพร่ หรือกระจายสารสนเทศ เก่ียวกับ วิทยาการความรู้ หรือส่ิงประดิษฐ์ ผลติ ภัณฑ์ ชนิดน้ันๆไปยงั แหลง่ ตา่ งๆ ท่ีเกี่ยวขอ้ ง 2. เทคโนโลยคี อมพวิ เตอร์ เป็นเครือ่ งมอื สาคัญในการผลิตสารสนเทศ เน่ืองจากมี ความสะดวกในการป้อน ข้อมูล การปรบั ปรุงแก้ไข การทาซา้ การเพิ่มเติม ฯลฯ ทาให้มีความ สะดวกและง่ายตอ่ การผลิตสารสนเทศ 3. เทคโนโลยีสื่อสารยุคใหม่มีความเร็วในการสื่อสารสูงข้ึน สามารถเผยแพร่สารสนเทศ จากแหล่งหนึ่ง ไปยัง สถานท่ีต่างๆ ทั่วโลกในเวลาเดียวกันกับเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนจริง อีกท้ังสามารถส่งผ่านข้อมูลได้อย่างหลากหลาย รปู แบบ พร้อมๆ กันในเวลาเดยี วกนั 4. เทคโนโลยีการพิมพ์ที่มีความสามารถในการผลิตสารสนเทศสูงข้ึน สามารถผลิตสารสนเทศได้คร้ังละจานวน มากๆ ในเวลาสั้นๆ มสี ีสันเหมือนจรงิ ทาใหม้ ปี ริมาณสารสนเทศใหมๆ่ เกิดขึน้ อย่ตู ลอดเวลา 5. ผใู้ ช้มีความจาเป็นต้องใช้สารสนเทศเพ่ือการศึกษา เพื่อการค้นคว้าวิจัย เพ่ือการ พัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อการ ตดั สินใจ เพอ่ื การแกไ้ ขปญั หา เพอ่ื การปฏิบตั ิงาน หรือปรับปรงุ ประสทิ ธภิ าพการปฏบิ ัตงิ าน, การบริหารงาน ฯลฯ 6. ผใู้ ช้มคี วามต้องการใชส้ ารสนเทศ เพ่ือตอบสนองความสนใจ ต้องการทราบแหล่งที่อยู่ของสารสนเทศ ต้องการ เข้าถึงสารสนเทศ ต้องการสารสนเทศท่ีมาจากต่างประเทศ ต้องการสารสนเทศอย่างหลากหลาย หรือต้องการ สารสนเทศอยา่ งรวดเรว็ เปน็ ตน้ 2.6 ความหมายของคาวา่ ขอ้ มลู จากการศึกษาพบวา่ มีผู้ใหค้ านิยามของคาวา่ ขอ้ มูลไว้ หลากหลาย เช่น ข้อ มูล คื อ ข้ อ เ ท็จ จ ริ ง ภ า พ (Images) หรอื เสียง (Sounds) ท่ีอาจจะ(หรือไม่) แก้ไขปัญหา (Pertinent) หรือเป็น ประโยชน์ต่อการปฏิบัติงาน

51 (Alter 1996 : 28)ขอ้ มูล คอื ตวั แทนของข้อเทจ็ จริง ตวั เลข ข้อความ ภาพ รปู ภาพ หรือเสียง (Nickerson 1998 : 10-11) ขอ้ มลู คือ ข้อเท็จจริงท่ีแทนเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนภายในองค์การ หรือสิ่งแวดล้อมทางกายภาพก่อนท่ีจะมี การจัด ระบบใหเ้ ป็นรปู แบบทคี่ นสามารถเข้าใจ และนาไปใช้ได้ (Laudon and Laudon 1999 :8) ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริง หรือการอภิปรายปรากฏการณ์อย่างใดอย่างหน่ึง (Haag, Cummings and Dawkins 2000 : 31)ข้อมูล คือ ส่ิงประกอบไปด้วยข้อเท็จจริง และสัญลักษณ์ (Figures) ท่ีมีความสัมพันธ์ (ไม่มี ความหมาย หรือมี ความหมายน้อย) กบั ผูใ้ ช้ (McLeod, Jr. and Schell 2001 : 12) ขอ้ มูล คอื คาอธบิ ายพื้นฐานเกีย่ วกบั สง่ิ ของ เหตุการณ์ กจิ กรรม หรอื ธุรกรรม ซง่ึ ได้รับการบันทึก จาแนก และ เก็บรักษาไว้ โดยที่ยังไม่ได้เก็บให้เป็นระบบ เพื่อท่ีจะให้ความหมายอย่างใดอย่างหน่ึงท่ีแน่ชัด (Turban, McLean and Wetherbe 2001 : 17)ข้อมูล ประกอบไปด้วยข้อเท็จจริง (Raw Facts) เช่น ชื่อลูกค้า ตัวเลข เก่ียวกับจานวนช่ัวโมงท่ีทางานในแต่ละ สัปดาห์ ตัวเลขเกี่ยวกับสินค้าคงคลัง หรือรายการส่ังของ (Stair and Reynolds 2001 : 4) ขอ้ มลู คือ ขอ้ เทจ็ จริง ทใี่ ชแ้ ทนเหตกุ ารณท์ ี่เกดิ ขนึ้ และได้รับการรวบรวม หรือป้อนเข้า ระบบ (เลาวด์ อน และ เลาว์ดอน 2545 : 6) ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริง หรือส่ิงท่ีก่อ หรือยอมรับว่าเป็นข้อเท็จจริง (ข้อเท็จจริง หมายถึง ข้อความ หรือ เหตุการณ์ที่ เป็นมา หรือท่ีเป็นอยู่จริง (ราชบัณฑิตยสถาน 2539 : 134) สาหรับใช้เป็นหลักอนุมานหาความจริง หรือการคานวณ (หนา้ เดียวกนั )ขอ้ มูล คือ ขอ้ ความจริงเกีย่ วกบั เรื่องใดเร่อื งหน่ึง โดยอาจเป็นตัวเลข หรือข้อความ ท่ที าใหผ้ ู้อา่ นทราบความเป็น ไป หรอื เหตุการณท์ เ่ี กิดขนึ้ (สุชาดา กรี ะนันท์ 2542 : 4) ขอ้ มูล คอื ขอ้ เทจ็ จรงิ ทม่ี อี ย่ใู นชวี ิตประจาวันเกี่ยวกบั บคุ คล สง่ิ ของ หรือเหตกุ ารณ์ตา่ งๆ ท่ีอาจเป็นตัวเลข ตวั อักษร ข้อความ ภาพ หรอื เสยี งกไ็ ด้ (จิตติมา เทียมบุญประเสริฐ 2544 : 3) ข้อมูล คือ ข้อมูลดิบ (Raw Data) ทีย่ งั ไมม่ คี วามหมายในการนาไปใช้งาน และถูกรวบรวมจากแหล่งต่างๆ ทั้งภาย ใน และภายนอกองค์การ (ณัฏฐ พนั ธ์ เขจรนันทน์ และไพบูลย์ เกียรติโกมล 2545 : 40)ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริง เกี่ยวกับเหตุการณ์ หรือข้อมูลดิบที่ ยังไม่ผ่านการประมวลผล ยังไม่มีความหมายในการ นาไปใช้งาน ข้อมูลอาจเป็นตัวเลข ตัวอักษร สัญลักษณ์ รูปภาพ เสยี ง หรือภาพเคลอ่ื นไหว (ทพิ วรรณ หล่อสุวรรณรตั น์ 2545 : 9) ข้อมลู คือ ตวั อกั ษร ตัวเลข หรือสญั ลักษณใ์ ดๆ (นภิ าภรณ์ คาเจรญิ 2545 : 14) 2.7 ชนดิ ของข้อมลู (Types of Data) เราสามารถแบง่ ข้อมลู ออกเปน็ 4 ชนดิ ดงั นี้ (Alter 1996 : 151-152, Stair and Reynolds 2001 : 5) 1.ข้อมูลที่เป็นอักขระ (Alphanumeric Data) ได้แก่ ตัวเลข (Numbers) ตัวอักษร (Letters) เครอื่ งหมาย (Sign) และ สญั ลกั ษณ์ (Symbol) 2.ข้อมูลท่ีเป็นภาพ (Image Data) ได้แก่ ภาพกราฟิก (Graphic Images) และรูปภาพ (Pictures) 3.ข้อมูลทเี่ ปน็ เสียง (Audio Data) ได้แก่ เสียง (Sounds) เสียงรบกวน/เสียงแทรก (Noise) และเสียงท่ีมี ระดบั (Tones) ตา่ งๆ เช่น เสยี งสูง เสยี งตา่ เปน็ ต้น 4.ข้อมูลที่เป็นภาพเคลื่อนไหว (Video Data) ได้แก่ ภาพยนตร์ (Moving Images or Pictures)และ วีดิ ทัศน์ (Video)นอกจากนั้นยังพบว่ามีข้อมูลในลักษณะของกล่ิน (Scent) และข้อมูลในลักษณะที่มีการประสม ประสานกัน เช่น มีการนาเอาข้อมูลท้ัง 4 ชนิดมารวมกันเรียกว่า ส่ือประสม (Multimedia) แต่ถ้ามีการประสม ขอ้ มลู ท่เี ปน็ กลนิ่ เข้าไปดว้ ย เราเรียกว่า Multi-scented

52 2.8 กรรมวิธีการจดั การข้อมูล (Datamanipulation) (ให้มคี ุณคา่ เป็นสารสนเทศ) การจัดการขอ้ มลู ให้มีคุณค่าเป็นสารสนเทศ กระทาได้โดยการเปล่ียนแปลงสถานภาพของข้อมูล ซึ่งมีวิธีการ หรือ กรรมวิธีดงั ต่อไปน้ี (Kroenke and Hatch1994 : 18-20) 1. การ รวบรวมข้อมูล (Capturing/gathering/collecting Data) ที่ต้องการจากแหล่งต่างๆ โดยการเครื่องมือ ช่วยค้นท่ี เปน็ บัตรรายการ หรอื OPAC แลว้ นาตัวเลม่ มาพิจารณาว่ามีรายการใดทส่ี ามารถนามาใชป้ ระโยชนไ์ ด้ 2. การตรวจสอบข้อมูล (Verifying/checking Data) โดยตรวจสอบเน้ือหาของข้อมูลท่ีหามาได้ ในประเด็นของ ความถูกต้องและความ แมน่ ยาของเนอ้ื หา ความสอดคล้องของตาราง, ภาพประกอบ หรือแผนท่ี กับเนอ้ื หา 3. การจัดแยกประเภท/จัดหมวดหมู่ข้อมูล (Classifying Data) เมื่อผ่านการตรวจสอบความถูกต้อง สอดคลอ้ งกัน ของเนอื้ หาแล้ว นาข้อมูลต่างๆ เหล่านั้นมาแยกออกเป็นกอง หรือกลุ่ม ๆ ตามเรื่องราวที่ปรากฏใน เน้ือหา 4. จากนนั้ กน็ าแตล่ ะกอง หรือกลุ่ม มาทาการเรียงลาดับ/เรียบเรียงข้อมูล (Arranging/sorting Data) ให้ เป็นไป ตามความเหมาะสมของเนอ้ื หาวา่ จะเริม่ จากหวั ขอ้ ใด จากนั้นควรเป็นหวั ขอ้ อะไร 5. หากมีข้อมูลเก่ยี วกบั ตัวเลขจะต้องนาตัวเลขน้ันมาทาการวิเคราะห์หาค่าทางสถิติท่ีเก่ียวข้อง หรือทาการ คานวณขอ้ มลู (Calculating Data) ให้ได้ผลลพั ธอ์ อกเสยี ก่อน 6. หลงั จากนนั้ จึงทาการสรุป (Summarizing/conclusion Data) เน้ือหาในแตล่ ะหวั ข้อ

53 7. เสร็จแล้วทาการจัดเก็บ หรือบันทึกข้อมูล (Storing Data) ลงในสื่อประเภทต่างๆ เช่น ทาเป็นรายงาน หนังสือ บทความตีพิมพ์ในวารสาร หนงั สือพมิ พ์ หรอื ลงในฐานขอ้ มูลคอมพิวเตอร์ (แผ่นดสิ ก์ ซีดี-รอม ฯลฯ) 8. จัดทาระบบการค้นคืน เพ่ือความสะดวกในการจัดเก็บและค้นคืนสารสนเทศ (Retrieving Data) จะได้ จัดเก็บ และคน้ คืนสารสนเทศอย่างถูกตอ้ ง แม่นยา รวดเรว็ และตรงกับความตอ้ ง 9. ในการประมวลผลเพื่อให้ได้มาซึ่งสารสนเทศ จักต้องมีการสาเนาข้อมูล (Reproducing Data) เพื่อป้องกัน ความเสียหายท่อี าจเกิดขึ้นกับขอ้ มูล ท้ังจากสาเหตุทางกายภาพ และระบบการจดั เกบ็ ข้อมูล 10. จากนั้นจึงทาการการเผยแพร่ หรือส่ือสาร หรือกระจายข้อมูล(Communicating/disseminating Data) เพอื่ ใหผ้ ลลัพธ์ท่ไี ดถ้ ึงยังผ้รู ับ หรอื ผทู้ ่เี ก่ียวขอ้ ง การจดั การขอ้ มูลให้มีสถานภาพเป็นสารสนเทศ (Transformation Processing) ในความเป็นจริงแล้วไม่ จาเป็นท่ี จะต้องทาครบ ท้ัง 10 วิธีการ การที่จะทาก่ีขั้นตอนน้ันข้ึนอยู่กับ ข้อมูลท่ีนาเข้ามาในระบบการ ประมวลผล หากข้อมูลผ่าน ขั้นตอน ท่ี 1 หรือ 2 มาแล้ว พอมาถึงเรา เราก็ทาข้ันตอนที่ 3 ต่อไปได้ทันที แต่ อย่างไรกต็ ามการใหไ้ ด้มาซง่ึ ผลลพั ธ์ทีม่ ี คุณค่า จักต้องทาตามลาดับดังกล่าวข้างต้น ไม่ควรทาข้ามข้ันตอน ยกเว้น ขน้ั ตอนที่ 5 และขน้ั ตอนท่ี 6 กรณีที่เปน็ ข้อมูล เกี่ยวกับตัวเลขก็ทาขั้นตอนที่ 5 หากข้อมูลไม่ใช่ตัวเลขอาจจะข้าม ขั้นตอนที่ 5 ไปทาข้ันตอนที่ 6 ได้เลย เป็นต้น ผลลัพธ์ หรือผลผลิตที่ได้จากการประมวลผล หรือกรรมวิธีจัดการ ข้อมูล ปรากฏแก่สังคมในรปู ของสอ่ื ประเภทตา่ งๆ เชน่ เป็น หนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ ซีดี-รอม สไลด์ แผ่นใส แผนที่ เทปคลาสเซท ฯลฯ แต่อย่างไรก็ตามไม่ได้หมายความว่า ผลผลิต หรือผลลัพธ์นั้นจะมีสถานภาพเป็น สารสนเทศเสมอไป 2.9 ความหมายของสารสนเทศ ( Information ) ซาเรซวคิ และวดู (Saracevic and Wood 1981 : 10) ไดใ้ หค้ านิยามสารสนเทศไว้ 4 นิยามดังนี้ 1. Information is a selection from a set of available message, a selection which reduces uncertainty. สารสนเทศ คอื การเลือกสรรจากชุดของขา่ วสารท่มี ีอยู่ เปน็ การเลอื กท่ีช่วยลดความไม่แน่นอน หรือ กล่าวไดว้ ่า สารสนเทศ คือ ข้อมลู ที่ได้มีเลือกสรรมาแล้ว (เป็นข้อมูลท่ีมีความแน่นอนแล้ว) จากกลุ่มของข้อมูลท่ีมี อยู่ 2. Information as the meaning that a human assigns to data by means of conventions used in their presentation. สารสนเทศ คอื ความหมายที่มนษุ ย์ (ส่ัง) ให้แก่ ขอ้ มลู ดว้ ยวธิ กี ารนาเสนอที่เปน็ ระเบียบแบบแผน 3. Information is the structure of any text-which is capable of changing the image-structure of a recipient. (Text is a collection of signs purposefully structured by a sender with the intention of changing the image- structure of recipient) สารสนเทศ คอื โครงสรา้ งของข้อความใดๆ ที่สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง ทาง จินต ภาพ (ภาพลกั ษณ์) ของผู้รับ (ข้อความ หมายถงึ ทร่ี วมของสัญลักษณ์ต่างๆ มีโครงสร้างท่ีมี จุดมุ่งหมาย โดยผู้ส่งมี เปา้ หมายท่ีจะ เปล่ียนแปลงโครงสรา้ งทาง จินตภาพ (+ความรสู้ ึกนึกคิด) ของผรู้ บั (สาร) 4. Information is the data of value in decision making. สารสนเทศ คือ ข้อมูลท่ีมีค่าในการตัดสินใจ

54 นอกจากนนั้ ยังมีความหมายทนี่ ่าสนใจดังนี้ สารสนเทศ คือ ข้อมูลที่มีการปรับเปลี่ยน (Convert) ด้วยการจัดรูปแบบ (Formatting) การกลั่นกรอง (Filtering) และการสรุป (Summarizing) ให้เป็นผลลัพธ์ที่มี รูปแบบ (เช่น ข้อความ เสียง รูปภาพ หรือวีดิทัศน์) และเนอ้ื หาทตี่ รงกับ ความต้องการ และเหมาะสมต่อการนาไปใช้ (Alter 1996 : 29, 65, 714) สารสนเทศ คือ ตวั แทนของขอ้ มูลท่ผี า่ นการประมวลผล (Process) การจดั การ (Organized) และการผสมผสาน (Integrated) ให้ เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ (Post 1997 : 7) สารสนเทศ คือ ข้อมูลท่ีมีความหมาย (Meaningful) หรือเป็นประโยชน์ (Useful) สาหรับบางคนท่ีจะใช้ ชว่ ยในการ ปฏิบัติงานและการจัดการ องค์การ (Nickerson 1998 : 11) สารสนเทศ คอื ขอ้ มูลท่มี ีความหมาย (Schultheis and Sumner 1998 : 39) สารสนเทศ คือ ข้อมูลท่ีมีความหมายเฉพาะภายใต้บริบท (Context) ท่ีเกี่ยวข้อง (Haag, Cummings and Dawkins 2000 : 20) สารสนเทศ คือ ข้อมูลท่ผี ่านการปรบั เปลยี่ น (Converted) มาเป็นส่ิงที่มีความ หมาย (meaningful) และ เปน็ ประโยชน์ (Useful) กบั เฉพาะบคุ คล (O’Brien 2001 : 15) สารสนเทศ คอื ขอ้ มลู ท่ีผา่ นการประมวลผล หรือข้อมูลท่ีมีความหมาย (McLeod, Jr. and Schell 2001 : 12) สารสนเทศ คือ ข้อมูลที่ได้รับการจัดระบบเพื่อให้มีความหมายและมีคุณค่าสาหรับ ผู้ใช้ ( Turban, McLean and Wetherbe 2001 : 7) สารสนเทศ คอื ทร่ี วม (ชดุ ) ขอ้ เท็จจรงิ ทีไ่ ด้มีการจัดการแล้ว ในกรณีเช่น ข้อเท็จจริงเหล่านั้นได้มีการเพิ่ม คุณค่า ภายใต้คุณค่าของข้อเท็จจรงิ นน้ั เอง (Stair and Reynolds 2001 : 4) สารสนเทศ คือ ขอ้ มลู ทีไ่ ดร้ บั การประมวลผล หรอื ปรุงแตง่ เพ่ือให้มีความหมาย และเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ (เลาว์ดอน และเลาวด์ อน 2545 : 6) สารสนเทศ คือ ข้อมูลที่ได้รับการประมวลผลให้อยู่ในรูปแบบที่มีความหมายต่อผู้รับ และมีคุณค่าอัน

55 แท้จรงิ หรือ คาดการณ์วา่ จะมีค่าสาหรบั การดาเนนิ งาน หรือการตัดสินใจใน ปัจจุบัน หรืออนาคต (ครรชิต มาลัย วงศ์ 2535 : 12) สารสนเทศ คือ เรื่องราว ความรู้ต่างๆ ท่ีได้จากการนาข้อมูลมาประมวลผลด้วยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง และมี การผสมผสานความรู้ หรือหลกั วิชาทเ่ี กยี่ วข้อง หรอื ความคิดเหน็ ลงไปดว้ ย (กัลยา อุดมวทิ ติ 2537 :3) สารสนเทศ คือ ข้อความรู้ที่ประมวลได้จากข้อมูลต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องในเร่ืองน้ันจนได้ ข้อสรุป เป็น ข้อความรู้ที่ สามารถนาไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้ โดยเน้นทก่ี ารเกดิ ประโยชน์ คือความรู้ที่เกิดขึ้นเพิ่มขึ้นกับผู้ใช้(สุชาดา กี ระนนั ท์ 2542 : 5) สารสนเทศ คือ ขา่ วสาร หรือการช้ีแจงขา่ วสาร (ปทปี เมธาคุณวฒุ ิ 2544 : 1) สารสนเทศ คือ ข้อมูลที่ผ่านการประมวลผล ผ่านการวิเคราะห์ หรือสรุปให้อยู่ในรูปท่ีมีความหมายท่ี สามารถนาไป ใช้ประโยชน์ได้ตามวัตถปุ ระสงค์ (จิตติมา เทยี มบญุ ประเสรฐิ 2544 : 4) สารสนเทศ คอื ผลลัพธท์ ีเ่ กดิ จากการประมวลผลข้อมูลดิบท่ีถูกจัดเก็บไว้อย่างเป็นระบบ ที่สามารถนาไป ประกอบการทางาน หรอื สนบั สนุนการตดั สินใจของผ้บู รหิ าร ทาให้ผู้บริหารสามารถแก้ไขปัญหา หรือทางเลือกใน การ ดาเนิน งานอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ (ณฏั ฐพันธ์ เขจรนนั ทน์ และไพบลู ย์ เกยี รตโิ กมล 2545 : 40) สารสนเทศ คือ ข้อมูลท่ีได้ ผ่านการประมวลผล หรือจัดระบบแล้ว เพ่ือให้มีความหมายและ คุณค่าสาหรับผู้ใช้ (ทิพวรรณ หล่อสุวรรณรัตน์ 2545 : 9) สารสนเทศ คือ ผลลัพธ์ที่ไ ด้จากการ ประมวลผลของข้อมูลดิบ (Raw Data) ประกอบไปด้วย ข้อมูลต่างๆ ที่เป็น ตัวอักษร ตัวเลข เสียง และภาพ ท่ี นาไปใชส้ นับสนนุ การ บรหิ ารและการตดั สินใจของผ้บู ริหาร (นิภาภรณ์ คาเจริญ 2545 : 14) 2.14 หลกั เกณฑ์การประเมนิ ผลลพั ธ์ หรอื ผลผลติ (Criterias to Evaluated Outputs) ข้อมูลของบางคนอาจเป็นสารสนเทศสาหรับอีกคนหนึ่ง (Nickerson 1998 : 11) การท่ีจะบ่งบอกว่า ผลผลิต หรือ ผลลัพธ์มีคุณค่า หรือสถานภาพเป็นสารสนเทศ หรือไม่น้ัน เราใช้หลักเกณฑ์ต่อไปนี้ประกอบการ พิจารณา 1. ความถูกต้อง (Accuracy) ของผลผลิต หรอื ผลลพั ธ์ 2. ตรงกบั ความต้องการ (Relevance/pertinent) 3. ทันกบั ความตอ้ งการ (Timeliness) การพิจารณาความถูกต้องดูที่เนื้อหา (Content) ของผลผลิต โดยพิจารณาจากข้ันตอนของการ ประมวลผล (Process; verifying, calculating) ขอ้ มลู สาหรบั การตรงกบั ความต้องการ หรือทันกับความต้องการ มีผู้ใช้ผลผลิตเป็น เกณฑ์ในการพิจารณา หากผู้ใช้เห็นว่าผลผลิตตรงกับความต้องการ หรือผลผลิตสามารถตอบ ปญั หา หรอื แกไ้ ขปญั หา ของผใู้ ชไ้ ด้ และสามารถเรียกมาใชไ้ ดใ้ นเวลาท่ีเขาตอ้ งการ (ทันตอ่ ความต้องการใช้) เราจึง จะสรปุ ได้ว่า ผลผลติ หรอื ผลลัพธน์ ้ันมีสถานภาพ เป็นสารสนเทศ คณุ ภาพ หรือคุณคา่ ของสารสนเทศ ขึ้นอยกู่ บั ขอ้ มูล (Data) ท่ีนาเข้ามา (Input) หากข้อมูลท่ีนาเข้ามาประมวลผล เป็นข้อมูลท่ีดี ผลลัพธ์ท่ีได้ก็จะมีคุณภาพดี หรือมีคุณค่า ผู้ใช้ หรือผู้บริโภคสามารถนามาใช้ประโยชน์ได้ แต่หาก

56 ข้อมูลที่ นาเข้ามาประมวลผลไม่ดี ผลผลิต หรือผลลัพธ์ก็จะมีคุณภาพไม่ดี หรือไม่มีคุณค่า สมด่ังกับวลีที่ว่า GIGO (Garbage In Garbage Out) หมายความว่า ถา้ นาขยะเขา้ มา ผลผลิต (สิ่งท่ีไดอ้ อกไป) ก็คือขยะนนั่ เอง 2.15 คุณลักษณะของสารสนเทศทด่ี ี (Characteristics of Information) สารสนเทศท่ีดีควรมีคุณลักษณะดังต่อไปน้ี (Alter 1996 : 170-175, Stair and Reynolds 2001 : 6-7, จิตติมา เทียมบุญประเสริฐ 2544 : 12-15, ณัฏฐพันธ์ เขจรนันทน์ และไพบูลย์ เกียรติโกมล 2545 : 41-42 และ ทพิ วรรณ หลอ่ สวุ รรณรัตน์ 2545 : 12-15) - สารสนเทศท่ดี ีต้องมคี วามความถกู ต้อง (Accurate) และไมม่ คี วามผิดพลาด - ผู้ที่มีสิทธิใช้สารสนเทศสามารถเข้าถึง (Accessible) สารสนเทศได้ง่าย ในรูปแบบ และเวลาท่ีเหมาะสม ตาม ความต้องการของผใู้ ช้ -สารสนเทศต้องมคี วามชัดเจน (Clarity) ไมค่ ลมุ เครือ - สารสนเทศท่ีดตี ้องมคี วามสมบรู ณ์ (Complete) บรรจไุ ปดว้ ยข้อเท็จจรงิ ทีม่ ีสาคญั ครบถว้ น - สารสนเทศต้องมคี วามกะทดั รดั (Conciseness) หรอื รดั กุม เหมาะสมกับผู้ใช้ - กระบวนการผลิตสารสนเทศต้องมีความประหยัด (Economical) ผู้ท่ีมีหน้าท่ีตัดสินใจมักจะต้องสร้างดุลยภาพ ระหวา่ งคุณคา่ ของสารสนเทศกับราคาทใ่ี ชใ้ นการผลติ - ตอ้ งมคี วามยึดหยุ่น (Flexible) สามารถในไปใช้ในหลาย ๆ เป้าหมาย หรือวตั ถุประสงค์- สารสนเทศท่ีดีต้องมีรูปแบบการนาเสนอ (Presentation) ท่ีเหมาะสมกับผู้ใช้ หรือผู้ ท่ีเก่ียวข้อง - สารสนเทศทด่ี ีตอ้ งตรงกบั ความต้องการ (Relevant/Precision) ของผ้ทู ีท่ าการตดั สนิ ใจ - สารสนเทศท่ีดีต้องมีความน่าเช่ือถือ (Reliable) เช่น เป็นสารสนเทศท่ีได้มาจากกรรมวิธีรวบรวมที่น่า เช่ือ ถือ หรือแหลง่ (Source) ทน่ี ่าเช่ือถอื เปน็ ต้น -สารสนเทศท่ีดีควรมีความปลอดภัย (Secure) ในการเข้าถงึ ของผ้ไู ม่มสี ทิ ธใิ ช้สารสนเทศ -สารสนเทศท่ีดีควรง่าย (Simple) ไม่สลับซับซ้อน มีรายละเอียดท่ีเหมาะสม (ไม่มากเกินความจาเป็น) - สารสนเทศท่ดี ีต้องมคี วามแตกต่าง หรอื ประหลาด (Surprise) จากขอ้ มูลชนดิ อ่นื ๆ

57 - สารสนเทศที่ดีต้องทันเวลา (Just in Time : JIT) หรือทันต่อความต้องการ (Timely) ของผู้ใช้ หรือ สามารถสง่ ถึงผูร้ ับไดใ้ นเวลาทีผ่ ใู้ ชต้ ้องการ - สารสนเทศที่ดีต้องเป็นปัจจุบัน (Up to Date) หรือมีความทันสมัย ใหม่อยู่เสมอ มิเช่นน้ันจะไม่ทันต่อ การ เปลีย่ นแปลงที่ดาเนินไปอย่างรวดเรว็ - สารสนเทศที่ดีต้องสามารถพิสูจนไ์ ด้ (Verifiable) หรือตรวจสอบจากหลาย ๆ แหลง่ ไดว้ ่ามคี วามถูกตอ้ ง นอกจากน้ันสารสนเทศมีคุณสมบัติที่แตกต่างไปจากสินค้าประเภทอ่ืน ๆ 4 ประการคือ ใช้ไม่หมด ไม่ สามารถ ถ่ายโอนได้ แบ่งแยกไม่ได้ และสะสมเพ่ิมพูนได้ (ประภาวดี สืบสนธ์ 2543 : 12-13) หรืออาจสรุปได้ว่า สารสนเทศ ท่ีดีต้องมีคุณลักษณะครบทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านเวลา (ทันเวลา และทันสมัย) ด้านเนื้อหา (ถูกต้อง สมบรู ณ์ ยดึ หยนุ่ นา่ เช่ือถอื ตรงกบั ความตอ้ งการ และตรวจสอบได้) ด้านรูปแบบ (ชัดเจน กะทัดรัด ง่าย รูปแบบ การนาเสนอ ประหยัด แปลก) และด้าน กระบวนการ (เขา้ ถงึ ได้ และปลอดภยั ) 2.16 คุณลักษณะของสารสนเทศทีด่ ี (Characteristics of Information) สารสนเทศที่ดีควรมีคณุ ลกั ษณะดงั ต่อไปนี้ (Alter 1996 : 170-175, Stair and Reynolds 2001 : 6-7, จิตติมา เทียมบุญประเสริฐ 2544 : 12-15, ณฏั ฐพันธ์ เขจรนนั ทน์ และไพบลู ย์ เกียรตโิ กมล 2545 : 41-42 และ ทพิ วรรณ หลอ่ สุวรรณรัตน์ 2545 : 12-15) 1. สารสนเทศที่ดีต้องมคี วามความถูกต้อง (Accurate) และไม่มีความผดิ พลาด 2. ผู้ที่มีสิทธิใช้สารสนเทศสามารถเข้าถึง (Accessible) สารสนเทศได้ง่าย ในรูปแบบ และเวลาท่ีเหมาะสม ตาม ความต้องการของผูใ้ ช้ 3. สารสนเทศตอ้ งมีความชัดเจน (Clarity) ไมค่ ลมุ เครือ 4. สารสนเทศทด่ี ตี อ้ งมีความสมบูรณ์ (Complete) บรรจุไปด้วยขอ้ เท็จจรงิ ท่ีมสี าคัญครบถ้วน 5. สารสนเทศตอ้ งมคี วามกะทดั รดั (Conciseness) หรอื รดั กมุ เหมาะสมกบั ผใู้ ช้ 6. กระบวนการผลิตสารสนเทศตอ้ งมีความประหยดั (Economical) ผ้ทู ่มี ีหน้าท่ีตัดสินใจมักจะต้องสร้างดุลย ภาพ ระหวา่ งคณุ คา่ ของสารสนเทศกับราคาทใ่ี ชใ้ นการผลิต 7. ต้องมีความยดึ หยนุ่ (Flexible) สามารถในไปใช้ในหลาย ๆ เป้าหมาย หรอื วัตถุประสงค์ 8. สารสนเทศที่ดตี อ้ งมรี ปู แบบการนาเสนอ (Presentation) ท่ีเหมาะสมกบั ผใู้ ช้ หรือผ้ทู เ่ี กี่ยวขอ้ ง 9. สารสนเทศที่ดีต้องตรงกบั ความต้องการ (Relevant/Precision) ของผทู้ ที่ าการตดั สนิ ใจ 10. สารสนเทศท่ดี ตี อ้ งมคี วามน่าเชื่อถอื (Reliable) เช่น เป็นสารสนเทศท่ีได้มาจากกรรมวิธีรวบรวมท่ีน่าเช่ือ ถอื หรือแหลง่ (Source) ท่นี า่ เชือ่ ถอื เปน็ ต้น 11. สารสนเทศทดี่ ีควรมีความปลอดภัย (Secure) ในการเข้าถึงของผ้ไู มม่ ีสทิ ธิใชส้ ารสนเทศ 12. สารสนเทศท่ีดีควรง่าย (Simple) ไม่สลับซับซ้อน มีรายละเอยี ดที่เหมาะสม (ไมม่ ากเกนิ ความจาเปน็ ) 13. สารสนเทศท่ีดีต้องมีความแตกตา่ ง หรอื ประหลาด (Surprise) จากขอ้ มลู ชนิดอน่ื ๆ 14. สารสนเทศท่ีดีต้องทันเวลา (Just in Time : JIT) หรือทันต่อความต้องการ (Timely) ของผู้ใช้ หรือ สามารถสง่ ถึงผ้รู ับได้ในเวลาทผี่ ู้ใช้ต้องการ

58 15. สารสนเทศที่ดีตอ้ งเป็นปัจจุบัน (Up to Date) หรอื มีความทนั สมัย ใหม่อยเู่ สมอ มิเช่นน้ันจะไม่ทันต่อการ เปล่ียนแปลงทด่ี าเนนิ ไปอยา่ งรวดเร็ว 16. สารสนเทศท่ดี ตี อ้ งสามารถพิสจู น์ได้ (Verifiable) หรือตรวจสอบจากหลาย ๆ แหล่ง ได้ว่ามีความถูกตอ้ ง นอกจากนั้นสารสนเทศมคี ณุ สมบัตทิ ี่แตกต่างไปจากสินค้าประเภทอน่ื ๆ 4 ประการคือ ใช้ไม่หมด ไม่สามารถ ถ่าย โอนได้ แบ่งแยกไมไ่ ด้ และสะสมเพิ่มพูนได้ (ประภาวดี สืบสนธ์ 2543 : 12-13) หรืออาจสรุปได้ว่าสารสนเทศ ท่ีดี ต้องมีคุณลักษณะครบท้ัง 4 ด้าน คือ ด้านเวลา (ทันเวลา และทันสมัย) ด้านเน้ือหา (ถูกต้อง สมบูรณ์ ยึดหยุ่น น่าเช่ือถือ ตรงกับ ความต้องการ และตรวจสอบได้) ด้านรูปแบบ (ชัดเจน กะทัดรัด ง่าย รูปแบบการนาเสนอ ประหยดั แปลก) และดา้ น กระบวนการ (เขา้ ถงึ ได้ และปลอดภยั ) 2.16 คณุ ภาพของสารสนเทศ (Quality of Information/Information Quality) คณุ ภาพของสารสนเทศ จะมคี ณุ ภาพสูงมาก หรือนอ้ ย พจิ ารณาท่ี 3 ประเด็น ดังน้ี (Bentley 1998 : 58-59) 1. ตรงกบั ความตอ้ งการ (Relevant) หรอื ไม่ โดยดวู า่ สารสนเทศนน้ั ผใู้ ช้สามารถนาไปใชเ้ พิ่มประสิทธิภาพ ได้ มากกวา่ ไม่ใชส้ ารสนเทศ หรอื ไม่ คุณภาพของสารสนเทศ อาจจะดูที่มนั มีผลกระทบตอ่ กิจกรรมของผู้ใช้ หรือไม่ อยา่ งไร 2. น่าเชื่อถือ (Reliable) เพียงใด ความน่าเช่ือถือมีหัวข้อท่ีจะใช้พิจารณา เช่น ความทันเวลา (Timely) กับผู้ใช้ เม่ือ ผใู้ ช้จาเป็นตอ้ งใชม้ ีสารสนเทศน้ัน หรือไม่ สารสนเทศทนี่ ามาใชต้ ้องมคี วามถกู ต้อง (Accurate) สามารถพิสูจน์ (Verifiable) ได้ว่าเปน็ ความจริง ดว้ ยการวเิ คราะหข์ อ้ มูลท่ีเกย่ี วข้อง เปน็ ตน้ 3. สารสนเทศนั้นเข้มแข็ง (Robust) เพยี งใด พจิ ารณาจากการทสี่ ารสนเทศสามารถเคลือ่ นตัวเองไปพร้อมกับกาลเวลาที่เปลี่ยนไป (Rigorous of Time) หรือพิจารณาจากความออ่ นแอของมนุษย์ (Human Frailty) เพราะมนุษย์ อาจทาความผิดพลาดในการ ป้อนข้อมูล หรือการประมวลผลข้อมูล เพราะฉะน้ันจะต้องมีการควบคุม หรือตรวจสอบ ไม่ให้มีความผิดพลาด เกิดข้ึน หรือพิจารณาจากความผิดพลาด หรือล้มเหลวของระบบ (System Failure) ท่ีจะส่งผล เสียหายต่อ

59 สารสนเทศได้ ดงั นน้ั จงึ ตอ้ งมกี ารป้องกนั ความผดิ พลาด (ที่เน้อื หา และไม่ทันเวลา) ที่อาจเกิดข้ึนได้ หรือ พิจารณา จากการเปลี่ยนแปลง การจัดการ (ข้อมูล) (Organizational Changes) ที่อาจจะส่งผลกระทบ (สร้างความ เสยี หาย) ต่อสารสนเทศ เช่น โครงสร้าง แฟม้ ขอ้ มูล วิธีการเข้าถึงข้อมูล การรายงาน จักต้องมีการป้องกัน หากมี การ เปลย่ี นแปลงในเรือ่ งดงั กลา่ ว นอกจากน้ันซวาสส์ (Zwass 1998 : 42) กลา่ วถึง คุณภาพของสารสนเทศจะมี มากนอ้ ยเพียงใดขนึ้ อยูก่ ับ การ ทันเวลา ความสมบูรณ์ ความกะทัดรัด ตรงกับความต้องการ ความถูกต้อง ความ เที่ยงตรง (Precision) และรูปแบบท่ีเหมาะสม ในเรื่องเดียวกัน โอไบร์อัน (O’Brien 2001 : 16-17) กล่าวว่า คณุ ภาพของสารสนเทศ พิจารณาใน 3 มติ ิ ดงั น้ี 1. มิตดิ ้านเวลา (Time Dimension) - สารสนเทศควรจะมกี ารเตรยี มไว้ให้ทนั เวลา (Timeliness) กบั ความต้องการของผู้ใช้ - สารสนเทศควรจะตอ้ งมคี วามทนั สมัย หรอื เปน็ ปัจจุบัน (Currency) - สารสนเทศควรจะต้องมคี วามถ่ี (Frequency) หรอื บ่อย เทา่ ที่ผ้ใู ชต้ อ้ งการ - สารสนเทศควรมีเร่ืองเก่ียวกบั ชว่ งเวลา (Time Period) ตง้ั แต่อดตี ปจั จบุ ัน และอนาคต 2. มติ ิด้านเนอื้ หา (Content Dimension) - ความถูกต้อง ปราศจากข้อผดิ พลาด - ตรงกับความตอ้ งการใช้สารสนเทศ - สมบรู ณ์ ส่ิงที่จาเป็นจะตอ้ งมใี นสารสนเทศ - กะทัดรดั เฉพาะทีจ่ าเปน็ เทา่ นนั้ -ครอบคลุม (Scope) ทง้ั ด้านกวา้ งและด้านแคบ (ด้านลึก) หรือมจี ุดเน้นทัง้ ภายในและภายนอก - มีความสามารถ/ศกั ยภาพ (Performance) ทแี่ สดงให้เห็นได้จากการวัดค่าได้ การบ่งบอกถึงการพัฒนา หรือสามารถเพ่มิ พนู ทรพั ยากร 3. มติ ิดา้ นรูปแบบ (Form Dimension) - ชดั เจน งา่ ยต่อการทาความเขา้ ใจ - มที งั้ แบบรายละเอียด (Detail) และแบบสรุปยอ่ (Summary) - มกี ารเรยี บเรียง ตามลาดับ (Order) - การนาเสนอ (Presentation) ที่หลากหลาย เชน่ พรรณนา/บรรยาย ตวั เลข กราฟกิ และอนื่ ๆ - รูปแบบของสอื่ (Media) ประเภทต่าง ๆ เช่น กระดาษ วดี ิทศั น์ ฯลฯ ส่วนสแตรแ์ ละเรย์โนลด์ (Stair and Reynolds 2001 : 7) กลา่ วถึง คุณค่าของสารสนเทศข้ึนอยู่กับการที่ สารสนเทศนั้น สามารถชว่ ยให้ผู้ทีม่ หี นา้ ที่ตัดสินใจทาให้เป้าหมายขององค์การสัมฤทธิ์ผลได้มากน้อยเพียงใด หาก สารสนเทศ สามารถทาให้บรรลเุ ป้าหมายขององค์การได้ สารสนเทศนนั้ ก็จะมคี ณุ ค่าสงู ตามไปด้วย

60 2.17 ความสาคญั ของสารสนเทศ สารสนเทศแท้จริงแลว้ ยอ่ มมีความสาคัญต่อทุกสงิ่ ทเี่ กีย่ วขอ้ ง เชน่ ดา้ นการเมือง การปกครอง ด้านการศกึ ษา ดา้ น เศรษฐกจิ ดา้ นสังคม ฯลฯ ในลกั ษณะดังตอ่ ไปน้ี 1. ทาให้ผบู้ รโิ ภคสารสนเทศเกดิ ความรู้ (Knowledge) และความเข้าใจ (Understanding) ในเร่ืองดงั กล่าว ข้างต้น 2. เมือ่ เรารู้และเขา้ ใจในเรือ่ งที่เก่ียวขอ้ งแล้ว สารสนเทศจะชว่ ยให้เราสามารถตดั สินใจ (Decision Making) ใน เรอ่ื งต่างๆ ได้อยา่ งเหมาะสม 3. นอกจากนั้นสารสนเทศ ยงั สามารถทาให้เราสามารถแกไ้ ขปัญหา (Solving Problem) ท่เี กดิ ขึน้ ไดอ้ ยา่ ง ถกู ตอ้ ง แม่นยา และรวดเรว็ ทันเวลากับสถานการณ์ตา่ งๆ ทเ่ี กดิ ข้ึ 2.18 บทบาทของสารสนเทศ (Role of Information) การนาสารสนเทศไปใช้ 3 ด้าน ดังน้ี (จิตติมา เทยี มบุญประเสริฐ 2544 : 5) ด้านการวางแผน ด้านการ ตัดสนิ ใจ และ ด้านการดาเนนิ งาน นอกจากน้ัน สารสนเทศยังมบี ทบาท ในเชงิ เศรษฐกิจ ดงั น้ี (ประภาวดี สืบสนธ์ 2543 : 7-8) 1. ช่วยลดความเสย่ี งในการตัดสินใจ (Decision) หรือชว่ ยช้แี นวทางในการแกไ้ ขปัญหา (Problem Solving) 2. ช่วย หรอื สนับสนนุ การจดั การ (Management) หรือการดาเนินงานขององค์การ ให้มปี ระสิทธิภาพและ เกิด ประสิทธผิ ลมากขนึ้

61 3. ใชท้ ดแทนทรพั ยากร (Resources) ทางกายภาพ เชน่ กรณีการเรยี นทางไกล ผเู้ รยี นท่ีเรยี นนอกหอ้ งเรียน จริง สามารถเรยี นรู้เรื่องต่างๆ เชน่ เดยี วกบั ห้องเรียนจรงิ โดยไมต่ ้องเดนิ ทางไปเรียนที่ห้องเรียนนั้น 4. ใช้ในการกากับ ติดตาม (Monitoring) การปฏิบัติงานและการตดั สินใจ เพื่อดูความก้าวหน้าของงาน 5. สารสนเทศเปน็ ชอ่ งทางโนม้ นา้ ว หรือชกั จงู ใจ (Motivation) ในกรณีของการโฆษณาที่ทาใหผ้ ู้ชม, ผฟู้ งั ตดั สินใจ เลอื กสินคา้ หรอื บรกิ ารน้ัน 6. สารสนเทศเปน็ องคป์ ระกอบสาคัญของการศึกษา (Education) สาหรับการเรยี นรู้ ผา่ นสอื่ ประเภทต่างๆ 7. สารสนเทศเปน็ องค์ประกอบสาคญั ที่ส่งเสรมิ วฒั นธรรม และสนั ทนาการ (Culture & Recreation) ใน ด้าน ของการเผยแพร่ในรปู แบบต่างๆ เช่น วดี ทิ ัศน์ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ เปน็ ต้น 8. สารสนเทศเป็นสินค้าและบริการ (Goods & Services) ท่ีสามารถซ้อื ขายได้ 9. สารสนเทศเปน็ ทรพั ยากรทต่ี อ้ งลงทุน (Investment) จึงจะไดผ้ ลผลิตและบริการ เพอื่ เป็นรากฐานของ การ จดั การ และการดาเนินงาน 2.19 องค์ประกอบของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ระบบ คอื กลุ่มขององค์การตา่ งๆ ที่ทางานร่วมกนั เพอ่ื จดุ ประสงค์อันเดียวกัน ระบบอาจจะประกอบด้วย บคุ คลากร เครื่องมอื เครอ่ื งใช้ พัสดุ วิธีการ ซ่ึงทั้งหมดนี้จะต้องมีระบบจัดการอันหน่ึงเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์อัน เดยี วกนั สารสนเทศ (Information) หมายถึง ขอ้ มลู ท่ผี ่านการวิเคราะห์หรือประมวลผลแล้ว พร้อมจะใช้งานได้ ทันที โดยไม่ต้องแปล หรือตีความใด ๆ อีก เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง การใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการ ประมวลผล เพ่ือให้ได้สารสนเทศ ตามท่ีต้องการระบบเทคโนโลยีสารสนเทศน้ันอาจกล่าวได้ว่าประกอบขึ้นจาก เทคโนโลยีสองสาขาหลักคือ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคม สาหรับรายละเอียดพอ สงั เขปของแตล่ ะเทคโนโลยมี ดี งั ตอ่ ไปนีค้ ือ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถจดจาข้อมูลต่าง ๆ และปฏิบัติตามคาส่ังท่ีบอก เพ่ือให้ คอมพิวเตอร์ทางานอย่างใดอย่างหน่ึงให้ คอมพิวเตอร์นั้นประกอบด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ ต่อเช่ือมกันเรียกว่า ฮาร์ดแวร์ (Hardware) และอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์นี้จะต้องทางานร่วมกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือที่เรียกกันว่า ซอฟต์แวร์ (Software) (มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธริ าช. สาขาวชิ าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2546: 4) ฮารด์ แวร์ ประกอบด้วย 5 สว่ น คอื อุปกรณ์รับข้อมูล (Input) เช่น แผงแป้นอักขระ (Keyboard), เมาส์, เครื่องตรวจกวาดภาพ (Scanner), จอภาพสัมผัส (Touch Screen), ปากกาแสง (Light Pen), เครื่องอ่านบัตรแถบแม่เหล็ก (Magnetic Strip Reader), และเครื่องอ่านรหัสแท่ง (Bar Code Reader)อุปกรณ์ส่งข้อมูล (Output) เช่น จอภาพ (Monitor), เครือ่ งพมิ พ์ (Printer), และเทอรม์ นิ ัลหน่วยประมวลผลกลาง จะทางานร่วมกับหน่วยความจาหลักในขณะคานวณ หรือประมวลผล โดยปฏิบัติหน้าท่ีตามคาส่ังของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยการดึงข้อมูลและคาสั่งท่ีเก็บไว้ไว้ใน หนว่ ยความจาหลกั มาประมวลผล หน่วยความจาหลัก มีหน้าที่เก็บข้อมูลท่ีมาจากอุปกรณ์รับข้อมูลเพื่อใช้ในการคานวณ และผลลัพธ์ของ

62 การคานวณกอ่ นที่จะสง่ ไปยังอปุ กรณส์ ง่ ข้อมลู รวมทัง้ การเก็บคาสง่ั ขณะกาลังประมวลผล หนว่ ยความจาสารอง ทาหนา้ ท่จี ดั เก็บขอ้ มลู และโปรแกรมขณะยงั ไม่ได้ใชง้ าน เพอ่ื การใชใ้ นอนาคต ซอฟต์แวร์ เป็นองค์ประกอบที่สาคัญและจาเป็นมากในการควบคุมการทางานของเคร่ืองคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์สามารถแบง่ ออกไดเ้ ปน็ 2 ประเภท คอื ซอฟต์แวร์ระบบ มีหน้าท่ีควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในระบบคอมพิวเตอร์ และเป็นตัวกลางระหว่างผู้ใช้กับ คอมพิวเตอรห์ รอื ฮาร์ดแวร์ ซอฟตแ์ วรร์ ะบบสามารถแบง่ เปน็ 3 ชนิดใหญ่ คือ - โปรแกรมระบบปฏิบัติการ ใช้ควบคุมการทางานของคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์พ่วงต่อกับเครื่อง คอมพวิ เตอร์ ตัวอยา่ งโปรแกรมทน่ี ิยมใชก้ ันในปจั จุบนั เชน่ UNIX, DOS, Microsoft Windows - โปรแกรมอรรถประโยชน์ ใช้ช่วยอานวยความสะดวกแก่ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในระหว่างการ ประมวลผลขอ้ มลู หรือในระหว่างทีใ่ ชเ้ ครอื่ งคอมพิวเตอร์ ตัวอย่างโปรแกรมที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน เช่น โปรแกรม เอดิเตอร์ (Editor) - โปรแกรมแปลภาษา ใช้ในการแปลความหมายของคาสั่งท่ีเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ ให้อยู่ในรูปแบบท่ีเครื่อง คอมพวิ เตอร์เขา้ ใจและทางานตามท่ีผู้ใช้ต้องการ ซอฟต์แวรป์ ระยุกต์ เป็นโปรแกรมทเี่ ขยี นขน้ึ เพ่ือทางานเพพาะด้านตามความต้องการ ซ่ึงซอฟต์แวร์ประยุกต์นี้ สามารถแบ่งเปน็ 3 ชนิด คือ ซอฟต์แวร์ประยุกต์เพ่ืองานท่ัวไป เป็นซอฟต์แวร์ท่ีสร้างขึ้นเพื่อใช้งานทั่วไปไม่เจาะจงประเภทของธุรกิจ ตัวอย่าง เชน่ Word Processing, Spreadsheet, Database Management เป็นต้น ซ อ ฟ ต์ แ ว ร์ ประยุกต์เฉพาะงาน เปน็ ซอฟต์แวรท์ ีส่ ร้างขน้ึ เพอ่ื ใชใ้ นธรุ กจิ เฉพาะ ตามแต่วตั ถุประสงค์ของการนาไปใช้ ซอฟต์แวร์ประยุกต์อื่น ๆ เป็น ซอฟตแ์ วรท์ เ่ี ขยี นขึน้ เพ่ือความบนั เทิง และอื่น ๆ นอกเหนือจากซอฟต์แวร์ประยุกต์สองชนิดข้างต้น ตัวอย่าง เช่น Hypertext, Personal Information Management และซอฟตแ์ วรเ์ กมต่าง ๆ เปน็ ต้น สาหรบั กระบวนการการจัดการระบบสารสนเทศ เพ่ือให้ได้สารสนเทศตามต้องการอย่างรวดเร็ว ถูกต้อง แมน่ ยา และมีคณุ ภาพ ดงั แผนภาพตอ่ ไปน้คี อื แผนภาพแสดงกระบวนการจัดการระบบสารสนเทศ เทคโนโลยสี ื่อสารโทรคมนาคม เทคโนโลยีส่ือสารโทรคมนาคม ใช้ในการติดต่อสื่อสารรับ/ส่งข้อมูลจากท่ีไกล ๆ เป็นการส่งของข้อมูล ระหว่างคอมพิวเตอร์หรือเครื่องมือที่อยู่ห่างไกลกัน ซ่ึงจะช่วยให้การเผยแพร่ข้อมูลหรือสารสนเทศไปยังผู้ใช้ใน แหล่งต่าง ๆ เป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็ว ถูกต้อง ครบถ้วน และทันการณ์ ซึ่งรูปแบบของข้อมูลท่ีรับ/ส่งอาจเป็น ตัวเลข (Numeric Data) ตัวอกั ษร (Text) ภาพ (Image) และเสียง (Voice) เทคโนโลยีที่ใช้ใน

63 การสื่อสารหรือเผยแพรส่ ารสนเทศ ได้แก่ เทคโนโลยีทใ่ี ช้ในระบบโทรคมนาคมทงั้ ชนิดมีสายและไร้สาย เช่น ระบบ โทรศัพท์, โมเด็ม, แฟกซ์, โทรเลข, วิทยุกระจายเสียง, วิทยุโทรทัศน์ เคเบิ้ลใยแก้วนาแสง คลื่นไมโครเวฟ และ ดาวเทยี ม เป็นต้น สาหรับกลไกหลักของการส่ือสาร โทรคมนาคมมอี งค์ประกอบพืน้ ฐาน 3 ส่วน ได้แก่ ต้นแหล่งของข้อความ (Source/Sender), สื่อกลางสาหรับการ รบั /สง่ ขอ้ ความ (Medium), และสว่ นรบั ขอ้ ความ (Sink/Decoder) ดงั แผนภาพต่อไปน้ี คือ แผนภาพแสดงกลไกหลกั ของการสอื่ สารโทรคมนาคม นอกจากนี้ เทคโนโลยสี ารสนเทศสามารถจาแนกตามลกั ษณะการใช้งานไดเ้ ป็น 6 รปู แบบ ดงั นตี้ ่อไปน้ี คือ - เทคโนโลยีที่ใช้ในการเก็บข้อมูล เช่น ดาวเทียมถ่ายภาพทางอากาศ, กล้องดิจิทัล, กล้องถ่ายวีดีทัศน์, เคร่อื งเอกซเรย์ ฯลฯ - เทคโนโลยีท่ีใช้ในการบนั ทึกข้อมูล จะเป็นสื่อบันทึกข้อมูลต่าง ๆ เช่น เทปแม่เหล็ก, จานแม่เหล็ก, จาน แสงหรอื จานเลเซอร์, บตั รเอทีเอ็ม ฯลฯ -เทคโนโลยีท่ีใช้ในการประมวลผลข้อมูล ได้แก่ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ทั้งฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ - เทคโนโลยที ีใ่ ช้ในการแสดงผลข้อมูล เช่น เครือ่ งพมิ พ์, จอภาพ, พลอตเตอร์ ฯลฯ - เทคโนโลยที ี่ใช้ในการจัดทาสาเนาเอกสาร เชน่ เคร่ืองถา่ ยเอกสาร, เครอ่ื งถา่ ยไมโครฟลิ ม์ - เทคโนโลยีสาหรับถ่ายทอดหรือส่ือสารข้อมูล ได้แก่ ระบบโทรคมนาคมต่าง ๆ เช่น โทรทัศน์, วิทยกุ ระจายเสียง, โทรเลข, เทเลก็ ซ์ และระบบเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอรท์ ัง้ ระยะใกล้และไกล ลักษณะของข้อมูลหรือสารสนเทศที่สง่ ผา่ นระบบคอมพวิ เตอร์และการสอ่ื สาร ดงั น้ี ขอ้ มูลหรือสารสนเทศทใ่ี ชก้ ันอยู่ทวั่ ไปในระบบสอ่ื สาร เช่น ระบบโทรศัพท์ จะมีลักษณะของสัญญาณเป็น คล่ืนแบบต่อเน่ืองท่ีเราเรียกว่า \"สัญญาณอนาลอก\" แต่ในระบบคอมพิวเตอร์จะแตกต่างไป เพราะระบบ คอมพิวเตอรใ์ ชร้ ะบบสัญญาณไฟฟ้าสูงตา่ สลับกัน เป็นสัญญาณท่ีไม่ต่อเนื่อง เรียกว่า \"สัญญาณดิจิตอล\" ซ่ึงข้อมูล เหล่านน้ั จะสง่ ผา่ นสายโทรศพั ท์ เมอื่ เราตอ้ งการส่งข้อมูลจากคอมพิวเตอร์เคร่ืองหน่ึงไปยังเครื่องอ่ืน ๆ ผ่านระบบ โทรศัพท์ กต็ ้องอาศัยอปุ กรณช์ ่วยแปลงสญั ญาณเสมอ ซงึ่ มีชอื่ เรยี กว่า \"โมเดม็ \" (Modem) 2.20 ความสาคญั ของเทคโนโลยีสารสนเทศ สามารถอธิบายความสาคัญของเทคโนโลยสี ารสนเทศในด้านที่มีผลกระทบต่อการเปล่ียนแปลงพฤติกรรม ด้านต่าง ๆ ของผู้คนไว้หลายประการดังต่อไปน้ี (จอห์น ไนซ์บิตต์ อ้างถึงใน ยืน ภู่วรวรรณ)ประการที่หน่ึง

64 เทคโนโลยสี ารสนเทศ ทาใหส้ ังคมเปลยี่ นจากสังคมอตุ สาหกรรมมาเป็นสงั คมสารสนเทศ ประการทส่ี อง เทคโนโลยีสารสนเทศทาใหร้ ะบบเศรษฐกิจเปลี่ยนจากระบบแห่งชาติไปเป็นเศรษฐกิจโลก ที่ทาให้ระบบเศรษฐกิจของโลกผูกพันกับทุกประเทศ ความเช่ือมโยงของเครือข่ายสารสนเทศทาให้เกิดสังคม โลกาภวิ ฒั น์ประการทส่ี าม เทคโนโลยีสารสนเทศทาใหอ้ งคก์ รมลี ักษณะผูกพนั มกี ารบงั คับบญั ชาแบบแนวราบมาก ขนึ้ หนว่ ยธุรกจิ มขี นาดเลก็ ลง และเชอื่ มโยงกันกับหน่วยธรุ กจิ อืน่ เปน็ เครือข่าย การดาเนนิ ธุรกจิ มีการแข่งขันกันใน ดา้ นความเร็ว โดยอาศัยการใช้ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และการสื่อสารโทรคมนาคมเป็นตัวสนับสนุน เพื่อให้ เกิดการแลกเปล่ียนข้อมูลได้ง่ายและรวดเร็วประการท่ีสี่ เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเทคโนโลยีแบบสุนทรียสัมผัส และสามารถตอบสนองตามความต้องการการใช้เทคโนโลยีในรูปแบบใหม่ที่เลือกได้เองประการท่ีห้า เทคโนโลยี สารสนเทศทาให้เกิดสภาพทางการทางานแบบทุกสถานท่ีและทุกเวลา ประการท่ีหก เทคโนโลยีสารสนเทศ กอ่ ใหเ้ กดิ การวางแผนการดาเนินการระยะยาวข้นึ อีกทงั้ ยังทาใหว้ ถิ ีการตัดสนิ ใจ หรือเลือกทางเลือกไดล้ ะเอียดขึน้ กล่าวโดยสรปุ แล้ว เทคโนโลยีสารสนเทศมีบทบาทที่สาคัญใน ทุกวงการ มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโลกด้านความเป็นอยู่ สังคม เศรษฐกิจ การศึกษา การแพทย์ เกษตรกรรม อุตสาหกรรม การเมือง ตลอดจนการวิจยั และการพฒั นาต่าง ๆ 2.21 ปัจจัยท่ีทาให้เกิดความล้มเหลวในการนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ จากงานวิจยั ของ Whittaker (1999: 23) พบวา่ ปจั จัยของความล้มเหลวหรอื ความผิดพลาดที่เกิดจากการ นาเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใช้ในองคก์ าร มสี าเหตหุ ลกั 3 ประการ ไดแ้ ก่ 1. การขาดการวางแผนท่ีดีพอ โดยเฉพาะอย่างย่ิงการวางแผนจัดการความเส่ียงไม่ดีพอ ย่ิงองค์การมีขนาด ใหญ่มากขึน้ เท่าใด การจดั การความเส่ียงยอ่ มจะมีความสาคัญมากขึน้ เปน็ เงาตามตวั ทาให้ค่าใช้จ่ายด้านน้ี เพิ่มสงู ข้ึน 2. การนาเทคโนโลยีท่ีไม่เหมาะสมมาใช้งาน การนาเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ในองค์การจาเป็นต้อง พจิ ารณาใหส้ อดคล้องกบั ลักษณะของธุรกิจหรืองานที่องค์การดาเนินอยู่ หากเลือกใช้เทคโนโลยีที่ไม่สอด รับกบั ความตอ้ งการขององคก์ ารแลว้ จะทาใหเ้ กิดปัญหาตา่ ง ๆ ตามมา และเป็นการส้ินเปลืองงบประมาณ โดยใช่เหตุ 3. การขาดการจดั การหรือสนบั สนนุ จากผบู้ ริหารระดับสูง การท่ีจะนาเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้งานใน องค์กร หากขาดซ่ึงความสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูงแล้วก็ถือว่าล้มเหลวต้ังแต่ยังไม่ได้เร่ิมต้น การ ได้รับความมั่นใจจากผู้บริหารระดับสูงเป็นก้าวย่างท่ีสาคัญและจาเป็นที่จะทาให้การนาเทคโนโลยี สารสนเทศมาใช้ในองค์การประสบความสาเร็จสาหรับสาเหตุของความล้มเหลวอื่น ๆ ที่พบจากการนา เทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ เช่น ใช้เวลาในการดาเนินการมากเกินไป (Schedule overruns), นา เทคโนโลยีท่ลี ้าสมยั หรอื ยังไม่ผ่านการพิสูจน์มาใช้งาน (New or unproven technology), ประเมินแผน ความต้องการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศไม่ถกู ต้อง, ผู้จัดจาหนา่ ยเทคโนโลยีสารสนเทศ (Vendor) ท่ีองค์การ ซือ้ มาใชง้ านไม่มปี ระสิทธิภาพและขาดความรับผิดชอบ และระยะเวลาของการพัฒนาหรือนาเทคโนโลยี

65 นอกจากน้ี ปัจจยั อน่ื ๆ ทีท่ าให้การนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ไมป่ ระสบความสาเร็จในด้านผู้ใช้งานน้ัน อาจสรุปไดด้ งั น้ี คอื 1. ความกลัวการเปล่ียนแปลง กล่าวคือ ผู้คนกลัวท่ีจะเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ รวมทั้งกลัวว่า เทคโนโลยีสารสนเทศจะเข้ามาลดบทบาทและความสาคัญในหน้าท่ีการงานท่ีรับผิดชอบของตนให้ลด น้อยลง จนทาใหต้ อ่ ตา้ นการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ 2. การไม่ติดตามข่าวสารความรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างสม่าเสมอ เน่ืองจากเทคโนโลยีสารสนเทศ เปลย่ี นแปลงรวดเร็วมาก หากไม่ม่ันติดตามอย่างสม่าเสมอแล้วจะทาให้กลายเป็นคนล้าหลังและตกขอบ จนเกิดสภาวะชะงักงันในการเรยี นรู้และใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ 3. โครงสร้างพน้ื ฐานดา้ นเทคโนโลยีสารสนเทศของประเทศกระจายไมท่ ว่ั ถงึ ทาใหข้ าดความเสมอภาคในการ ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ หรอื เกิดการใชก้ ระจุกตวั เพยี งบางพ้นื ท่ี ทาให้เป็นอุปสรรคในการใช้งานด้านต่าง ๆ ตามมา เชน่ ระบบโทรศัพท์ อนิ เทอร์เนต็ ความเร็วสูง ฯลฯ 2.22 ผลของเทคโนโลยีสารสนเทศ การกาเนิดของคอมพวิ เตอร์เมอื่ ประมาณหา้ สบิ กวา่ ปีที่แล้ว เป็นก้าวสาคัญท่ีนาไปสู่ยุคสารสนเทศ ในช่วง แรกมีการนาเอาคอมพิวเตอร์มาใช้เป็นเครื่องคานวณ แต่ต่อมาได้มีความพยายามพัฒนาให้คอมพิวเตอร์เป็น อุปกรณ์สาคัญสาหรับการจัดการข้อมูล เมื่อเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ได้ก้าวหน้ามากข้ึน ทาให้สามารถสร้าง คอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กลง แต่ประสิทธิภาพสูงข้ึน สภาพการใช้งานจึงใช้งานกันอย่างแพร่หลาย ผลของ เทคโนโลยีสารสนเทศทม่ี ตี อ่ ชวี ิตความเป็นอยแู่ ละสังคมจงึ มีมาก มกี ารเรียนรู้และใช้สารสนเทศกันอย่างกว้างขวาง ผลของเทคโนโลยีสารสนเทศโดยรวมกลา่ วไดด้ งั นี้  การสร้างเสริมคุณภาพชีวิตท่ีดีข้ึน สภาพความเป็นอยู่ของสังคมเมือง มีการพัฒนาใช้ระ บบส่ือสาร โทรคมนาคม เพอ่ื ติดต่อสอ่ื สารให้สะดวกขนึ้ มีการประยกุ ต์มาใช้กบั เครอ่ื งอานวยความสะดวกภายในบ้าน เชน่ ใช้ควบคมุ เคร่ืองปรบั อากาศ ใช้ควมคมุ ระบบไฟฟ้าภายในบ้าน เป็นตน้  เสรมิ สร้างความเทา่ เทยี มในสังคมและการกระจายโอกาส เทคโนโลยีสารสนเทศทาให้เกิดการกระจายไป ท่ัวทุกหนแห่ง แมแ้ ตถ่ ่ินทรุ กนั ดาร ทาใหม้ กี ารกระจายโอการการเรียนรู้ มีการใช้ระบบการเรียนการสอน ทางไกล การกระจายการเรียนรู้ไปยังถิ่นห่างไกล นอกจากน้ีในปัจจุบันมีความพยายามท่ีใช้ระบบการ รกั ษาพยาบาลผา่ นเครอื ขา่ ยสอื่ สาร  สารสนเทศกับการเรียนการสอนในโรงเรียน การเรียนการสอนในโรงเรียนมีการนาคอมพิวเตอร์และ เคร่ืองมอื ประกอบช่วยในการเรยี นรู้ เช่น วดี ิทัศน์ เครื่องฉายภาพ คอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน คอมพิวเตอร์ช่วย จัดการศึกษา จัดตารางสอน คานวณระดับคะแนน จัดชั้นเรียน ทารายงานเพื่อให้ผู้บริหารได้ทราบถึง ปัญหาและการแกป้ ัญหาในโรงเรยี น ปัจจุบันมกี ารเรยี นการสอนทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในโรงเรียน มากข้นึ  เทคโนโลยสี ารสนเทศกับสง่ิ แวดล้อม การจัดการทรัพยากรธรรมชาติหลายอย่างจาเป็นต้องใช้สารสนเทศ เช่น การดูแลรักษาป่า จาเป็นต้องใช้ข้อมูล มีการใช้ภาพถ่ายดาวเทียม การติดตามข้อมูลสภาพอากาศ การพยากรณ์อากาศ การจาลองรูปแบบสภาวะสิ่งแวดล้อมเพ่ือปรับปรุงแก้ไข การเก็บรวมรวมข้อมูล

66 คุณภาพน้าในแม่น้าต่าง ๆ การตรวจวัดมลภาวะ ตลอดจนการใช้ระบบการตรวจวัดระยะไกลมาช่วย ที่ เรียกว่าโทรมาตร เปน็ ต้น  เทคโนโลยีสารสนเทศกับการป้องกันประเทศ กิจการทางด้านการทหารมีการใช้เทคโนโลยี อาวุธ ยุทโธปกรณ์สมัยใหม่ล้วนแต่เกย่ี วขอ้ งกบั คอมพิวเตอร์และระบบควบคุม มีการใช้ระบบป้องกันภัย ระบบ เฝา้ ระวังที่มีคอมพิวเตอรค์ วบคมุ การทางาน  การผลิตในอุตสาหกรรม และการพาณิชยกรรม การแข่งขันทางด้านการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม จาเป็นตอ้ งหาวิธกี ารในการผลิตใหไ้ ด้มาก ราคาถกู ลงเทคโนโลยคี อมพวิ เตอรเ์ ข้ามามีบทบาทมาก มีการใช้ ข้อมูลข่าวสารเพ่ือการบริหารและการจัดการ การดาเนินการและยังรวมไปถึงการให้บริการกับลูกค้า เพ่อื ให้ซอ้ื สินค้าไดส้ ะดวกข้ึน 2.23 เทคโนโลยสี ารสนเทศกบั การใช้ชีวิตในสงั คมปจั จุบัน ในภาวะปจั จบุ ันนน้ั สารสนเทศได้กลายเป็นปัจจัยพ้ืนฐานปัจจัยที่ห้า เพิ่มจากปัจจัยสี่ประการท่ีมนุษย์เรา ขาดเสียมไิ ดใ้ นการดารงชีวิตประจาวัน ไม่ว่าจะเป็นสารสนเทศท่ีจาเป็น ในการประกอบธุรกิจ ในการค้าขาย การ ผลติ สนิ ค้า และบริการ หรือการให้บริการสงั คม การจัดการทรัพยากรของชาติ การบริหารและปกครอง จนถึงเรื่อง เบา ๆ เรื่องไร้สาระบ้าง เช่น สภากาแฟที่สามารถพบได้ทุกแห่งหนในสังคม เรื่องสาระบันเทิงในยามพักผ่อน ไป จนถงึ เร่อื งความเปน็ ความตาย เชน่ ข่าวอุทกภยั วาตภยั หรอื การทารัฐประหารและปฏิวัติ เป็นต้นในความคิดเห็น ของกล่มุ บุคคลตา่ ง ๆ ตงั้ แต่นกั วชิ าการ นักธุรกิจ นักสังคมศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์ จนกระทั่งผู้นาต่าง ๆ ในโลก ดังเชน่ ประธานาธิบดี Bill Clinton และรองประธานาธบิ ดี Al Gore ของสหรัฐอเมริกา สารสนเทศเป็นทรัพยากร ท่ีสาคัญทสี่ ุดอย่างหน่ึงในปัจจุบัน และในยุคสงั คมสารสนเทศแห่งศตวรรษที่ 21 สารสนเทศจะกลายเป็นทรัพยากร ท่สี าคัญท่ีสุดเหนือส่ิงอื่นใด กล่าวกันสั้น ๆ สารสนเทศกาลังจะกลายเป็นฐานแห่งอานาจอันแท้จริงในอนาคต ทั้ง ในทางเศรษฐกิจ และทางการเมือง ในสมัยสังคมเกษตรน้ัน ปัจจัยพ้ืนฐานในการผลิตที่สาคัญ ได้แก่ ที่ดิน แรงงาน

67 และทุนทรัพย์ ต่อมาในสังคมอุตสาหกรรม การผลิตต้องพ่ึงพาปัจจัยพื้นฐานเพิ่มเติม ได้แก่ วัสดุ พลังงาน และ โดยเฉพาะอย่างยงิ่ สารสนเทศ สังคมเกษตรและสงั คมอุตสาหกรรมตอ้ งพึง่ พาการใช้ทรัพยากรทมี่ ีอยู่อย่างจากัด อัน ได้แก่ ท่ีดิน พลังงาน และวัสดุ เป็นอย่างมาก และผลของการใช้ทรัพยากรเหล่านั้นอย่างฟุ่มเฟือยและขาดความ ระมัดระวัง ก็ได้สร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมท่ีรุนแรงมาก ซึ่งกาลังคุกคามโลกรวมทั้งประเทศไทย ตั้งแต่ปัญหาการ แปรปรวนของสภาพดินฟ้าอากาศ ภยั ธรรมชาตทิ ่ีนบั วนั จะเพ่ิมความถี่และรุนแรงขึ้น ปัญหาการบ่อนทาลายความ สมดุลทางนิเวศวทิ ยาทงั้ ปา่ ดงดิบ ป่าชายเลน ป่าต้นน้าลาธาร ความแห้งแล้ง อากาศเป็นพิษ แม่น้าลาคลองท่ีเต็ม ไปด้วยสารพิษ เจือปน ตลอดจนถึงปัญหาวิกฤติทางจราจรและภัยจากควันพิษในมหานครทุกแห่งทั่วโลกในทาง ตรงกันข้าม ขบวนการผลิต การเก็บ และถ่ายทอดสารสนเทศ อาศัยการใช้วัสดุและพลังงานน้อยมาก และไม่มี ผลเสยี ต่อภาวะแวดลอ้ มหรือมีเพียงเลก็ น้อยมาก ย่งิ กว่าน้ันสารสนเทศจะสามารถช่วยให้กิจกรรมการผลิตและการ บรกิ ารตา่ ง ๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น สามารถช่วยให้การผลิตทางอุตสาหกรรมใช้วัตถุดิบ และพลังงาน น้อยลง มมี ลภาวะน้อยลง แต่สินคา้ มคี ณุ ภาพดขี นึ้ คงทนมากข้ึน ปัญหาวิกฤติทางจราจรในบางด้านก็สามารถผ่อน ปรนได้ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น ในการช่วยติดต่อสื่อสารทางธุรกิจต่างๆ โดยไม่จาเป็นต้องเดินทางด้วย ตนเองดังเชน่ แต่กอ่ น จงึ อาจกล่าวไดว้ ่า เทคโนโลยีสารสนเทศจะมสี ว่ นอย่างมาก ในการนาสังคม สู่วิวัฒนาการอีก ระดบั หน่ึง ที่อาจเรยี กไดว้ า่ เปน็ สงั คมสารสนเทศ อันเป็นสังคมท่ีพงึ ปรารถนาและย่ังยืนยง่ิ ขึน้ นัน่ จงึ เป็นเหตุผลที่ว่า สังคมตา่ ง ๆ ในโลก ต่างจะต้องกา้ วส่สู งั คมสารสนเทศอยา่ งหลกี เล่ียงไม่ได้ ไม่เร็วก็ช้า และน่ันหมายความว่าสังคม จะต้องพึ่งพาเทคโนโลยีสารสนเทศ อย่างแน่นอน ไม่ว่าเราจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม มิใช่เพียงแต่เพ่ือสร้างขีด ความสามารถในเชงิ แข่งขันในสนามการค้าระหว่างประเทศ แต่เพื่อความอยู่รอดของมนุษยชาติ และเพ่ือคุณภาพ ชวี ิตท่ดี ีขน้ึ อีกต่างหากด้วย เทคโนโลยีสารสนเทศ คือ เทคโนโลยีคู่โลกในต้นศตวรรษที่ 21 และเป็นแรงกระตุ้นและเป็นปัจจัยรองรับ ขบวนการโลกาภิวตั น์ ท่ีกาลังผนวกสังคมเศรษฐกจิ ไทยเข้าเป็นอนั หนึ่งเดยี วกนั กบั สงั คมโลก อนั ทีจ่ ริง เทคโนโลยีสารสนเทศมีใช้ในประเทศไทยเป็นเวลาช้านานมาแล้ว เป็นต้นว่า เรามีการใช้โทรศัพท์ตั้งแต่รัชสมัย พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เม่ือปี พ.ศ. 2414 เพียงแต่ว่าการใช้เทคโนโลยีน้ียังไม่แพร่กระจายท่ัว ประเทศและยงั ไมอ่ ย่ใู นระดบั สูงเมอ่ื เทยี บกบั อีกหลาย ๆ ประเทศในโลก กล่าวกันอย่างสั้น ๆ เทคโนโลยี สารสนเทศ คือ เทคโนโลยีที่เกย่ี วขอ้ งกับการจัดหา วิเคราะห์ ประมวล จัดการและจัดเก็บ เรียกใช้หรือแลกเปล่ียน และเผยแพร่สารสนเทศ ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของ รูป เสียง ตัวอักษร หรือ ภาพเคลื่อนไหว รวมไปถึงการนาสารสนเทศและข้อมูลไปปฏิบัติตามเน้ือหาของสารสนเทศน้ัน เพื่อให้บรรลุ เป้าหมายของผู้ใช้ การจัดหา วิเคราะห์ ประมวล และจัดการกับข่าวสารข้อมูลจานวนมหาศาล จึงขาดเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ เสียมิได้ ส่วนการแสวงหาและแลกเปล่ียนข้อมูลข่าวสาร อย่างรวดเร็ว ทันเวลา ประหยัดค่าใช้จ่าย และมปี ระสทิ ธภิ าพ ก็จาเปน็ ต้องอาศัยเทคโนโลยีโทรคมนาคม และท้ายสุดสารสนเทศท่ีมี จะก่อให้เกิดประโยชน์ จากการบริโภค อย่างกวา้ งขวางตามแตจ่ ะต้องการและอยา่ งประหยดั ที่สุด ก็ต้องอาศัยทั้งสองเทคโนโลยีข้างต้นใน ก า ร จั ด ก า ร แ ล ะ ก า ร สื่ อ ห รื อ ข น ย้ า ย จ า ก แ ห ล่ ง ข้ อ มู ล ส า ร ส น เ ท ศ สู่ ผู้ บ ริ โ ภ ค ใ น ที่ สุ ด

68 ฉะนัน้ เทคโนโลยีสารสนเทศจงึ ครอบคลุมถึงหลาย ๆ เทคโนโลยีหลัก อันได้แก่ คอมพิวเตอร์ท้ังฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และฐานขอ้ มูล โทรคมนาคมซ่ึงรวมถึง เทคโนโลยีระบบส่ือสารมวลชน (ได้แก่ วิทยุ และโทรทัศน์) ทั้ง ระบบแบบมีสายและไร้สาย รวมถึงเทคโนโลยีด้านอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ อาทิ เทคโนโลยีโทรทัศน์ความคมชัดสูง (HDTV) ดาวเทียมคมนาคม (communications satellite) เส้นใยแก้วนาแสง (fibre optics) สารกึ่งตัวนา (semiconductor) ปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence) อุปกรณ์อัตโนมัติสานักงาน (office automation) อปุ กรณอ์ ัตโนมตั ใิ นบ้าน (home automation) อุปกรณ์อัตโนมัติในโรงงาน (factory automation) เหล่านี้ เป็น ตน้ นอกจากการเปน็ เทคโนโลยีท่ีไม่ทาลายธรรมชาติหรอื สรา้ งมลภาวะ (ในตวั ของมันเอง) ต่อส่ิงแวดล้อมแล้ว คุณสมบัติโดดเด่นอื่น ๆ ท่ีทาให้มันกลายเป็นเทคโนโลยี ยุทธศาสตร์สาคัญแห่งยุคปัจจุบันและในอนาคตก็คือ ความสามารถในการเพิ่มประสิทธิภาพและสมรรถภาพในเกอื บทุก ๆ กิจกรรม อาทิโดย 1. การลดตน้ ทุนหรือค่าใช้จ่าย 2. การเพิม่ คณุ ภาพของงาน 3. การสรา้ งกระบวนการหรอื กรรมวิธีใหม่ ๆ 4. การสร้างผลิตภณั ฑ์และบริการใหม่ ๆ ขึ้น ฉะนั้น โอกาสและขอบเขตการนา เทคโนโลยนี ม้ี าใช้ จึงมีหลากหลายในเกือบทุก ๆ กิจกรรมก็ว่าได้ ไม่ว่า จะเป็นการปกครอง การใหบ้ รกิ ารสงั คม การผลติ ทัง้ ภาคเกษตร อุตสาหกรรม และบริการ รวมถึงการค้าท้ังภายใน และระหว่างประเทศอกี ด้วย โดยพอสรุปไดด้ ังตอ่ ไปนี้ ภาคสังคม การบริหารและปกครอง การให้บริการพ้ืนฐานของรัฐ การบริการสาธารณสุข การบริการ การศึกษา การให้บริการข้อมูลและสาระบันเทิง การอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อม การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การ บรรเทาสาธารณภยั การพยากรณอ์ ากาศและอุตุนิยม ฯลฯ ภาคเศรษฐกิจ การเกษตร การป่าไม้ การประมง การสารวจและขุดเจาะน้ามันและ ก๊าซธรรมชาติ การ สารวจแรแ่ ละทรพั ยากรธรรมชาติทงั้ บนและใตผ้ ิวโลก การกอ่ สร้าง การคมนาคมทั้งทางบก นา้ และอากาศ การค้า ภายในและระหว่างประเทศ อุตสาหกรรมการผลิต อุตสาหกรรมบริการ อาทิ ธุรกิจการท่องเท่ียว การเงิน การ ธนาคาร การขนสง่ และ การประกันภัย ฯลฯผลประโยชน์ต่างๆ จากการประยุกต์ใช้ของเทคโนโลยีดังกล่าว ล้วน เกดิ จากคุณสมบัติพิเศษหลาย ๆ ประการของเทคโนโลยีกลมุ่ นี้ อันสืบเนื่องจากการพัฒนาของ เทคโนโลยีที่มีอัตรา สูงและอยา่ งต่อเนอ่ื งตลอดหลายทศวรรษทผี่ ่านมา วิวัฒนาการทางเทคโนโลยีน้สี ง่ ผลให้ ราคาของฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์ รวมท้ังค่าบริการ สาหรับการเก็บ การประมวล และการ แลกเปลี่ยนเผยแพร่สารสนเทศมีการลดลงอย่างต่อเน่ืองและรวดเร็ว ทาให้สามารถนาพาอุปกรณ์ต่าง ๆ ท้ัง

69 คอมพิวเตอร์และ โทรคมนาคมติดตามตัวได้ เนื่องจากได้มีพัฒนาการการย่อส่วนของช้ินส่วน (miniaturization) และพฒั นาการการส่ือสารระบบไร้สาย ประการท้าย ที่จัดว่าสาคัญที่สุดก็ว่าได้คือ ทาให้เทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการ ส่ือสารมงุ่ เข้าสจู่ ุดทใ่ี กล้เคียงกนั (converge) ประเทศอตุ สาหกรรมในโลกได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยียุทธศาสตร์กลุ่มนี้ จึงให้ความสาคัญต่อ เทคโนโลยีนี้มากกว่าเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่จัดเป็นเทคโนโลยียุทธศาสตร์สาคัญอีกหลายกลุ่ม ดังเช่นกลุ่มประเทศ OECD (Organization for Economic Co-operation and Development) ได้ศึกษาเปรียบเทียบ ศักยภาพของ เทคโนโลยีไฮเทค 5 กลมุ่ สาคญั ในปัจจบุ นั คอื เทคโนโลยชี วี ภาพ เทคโนโลยีวัสดุใหม่ เทคโนโลยีอวกาศ เทคโนโลยี นิวเคลียร์ และเทคโนโลยสี ารสนเทศ ในประเด็นผลกระทบสาคญั 5 ประเดน็ ไดแ้ ก่ (1) การสร้างผลิตภัณฑแ์ ละบรกิ ารใหม่ ๆ (2) การปรบั ปรุงกระบวนการผลติ ผลติ ภัณฑ์และบริการ (3) การยอมรับจากสงั คม (4) การนาไปใช้ประยกุ ต์ในภาค/สาขาอน่ื ๆ (5) การสรา้ งงานในทศวรรษปี 1990 ปรากฏว่าเทคโนโลยีสารสนเทศได้รับการยอมรับในศักยภาพสูงสุด ในทุก ๆ ประเด็น 2.24 ประโยชนข์ องระบบสารสนเทศ ประสทิ ธิภาพ (Efficiency)

70  ระบบสารสนเทศทาให้การปฏิบตั งิ านมีความรวดเรว็ มากข้นึ โดยใชก้ ระบวนการประมวลผลขอ้ มูลซ่ึงจะทา ให้สามารถเกบ็ รวบรวม ประมวลผลและปรับปรงุ ขอ้ มลู ให้ทนั สมยั ไดอ้ ย่างรวดเรว็ ระบบสารสนเทศชว่ ยใน การจัดเกบ็ ข้อมูลท่มี ขี นาดใหญ่ หรอื มปี รมิ าณมากและช่วยทาใหก้ ารเข้าถงึ ขอ้ มลู (access) เหลา่ นนั้ มี ความรวดเรว็ ดว้ ย  ช่วยลดต้นทุน การท่ีระบบสารสนเทศช่วยทาใหก้ ารปฏบิ ตั งิ านท่ีเกยี่ วข้องกบั ขอ้ มลู ซง่ึ มีปริมาณมากมี ความสลับซบั ซ้อนให้ดาเนนิ การไดโ้ ดยเร็ว หรือการช่วยใหเ้ กิดการติดต่อส่ือสารไดอ้ ย่างรวดเร็ว ทาใหเ้ กิด การประหยดั ต้นทนุ การดาเนนิ การอยา่ งมาก  ช่วยใหก้ ารตดิ ตอ่ ส่ือสารเปน็ ไปอยา่ งรวดเร็ว การใช้เครือขา่ ยทางคอมพิวเตอร์ทาใหม้ กี ารตดิ ต่อได้ทั่วโลก ภายในเวลาที่รวดเร็ว ไม่วา่ จะเปน็ การติดต่อระหวา่ งเครอื่ งคอมพวิ เตอร์กบั เครอื่ งคอมพวิ เตอร์ด้วยกนั (machine to machine) หรอื คนกับคน (human to human) หรือคนกับเคร่ืองคอมพวิ เตอร์ (human to machine) และการตดิ ตอ่ ส่อื สารดังกล่าวจะทาใหข้ ้อมูลทเี่ ปน็ ท้งั ขอ้ ความ เสยี ง ภาพน่ิง และ ภาพเคล่ือนไหวสามารถสง่ ไดท้ ันที  ระบบสารสนเทศชว่ ยทาให้การประสานงานระหวา่ งฝา่ ยตา่ ง ๆ เปน็ ไปได้ด้วยดโี ดยเฉพาะหากระบบ สารสนเทศน้ันออกแบบ เพอื่ เออ้ื อานวยให้หน่วยงานท้ังภายในและภายนอกทอ่ี ยใู่ นระบบของซัพพลาย ทัง้ หมด จะทาให้ผู้ทม่ี ีสว่ นเกยี่ วข้องทง้ั หมดสามารถใชข้ อ้ มูลรว่ มกันได้ และทาให้การประสานงาน หรือ การทาความเขา้ ใจเป็นไปได้ดว้ ยดีย่งิ ข้นึ ประสทิ ธผิ ล (Effectiveness)  ระบบสารสนเทศช่วยในการตดั สินใจ ระบบสารสนเทศท่ีออกแบบสาหรับผบู้ ริหาร เช่น ระบบสารสนเทศ ทีช่ ว่ ยในการสนบั สนุนการตัดสินใจ (Decision support systems) หรอื ระบบสารสนเทศสาหรับผู้บริหาร (Executive support systems) จะเอื้ออานวยให้ผู้บริหารมีขอ้ มูลในการประกอบการตัดสนิ ใจได้ดีข้นึ อนั จะสง่ ผลใหก้ ารดาเนนิ งานสามารถบรรลวุ ัตถปุ ระสงคไ์ ว้ได้  ระบบสารสนเทศช่วยในการเลือกผลติ สนิ คา้ /บรกิ ารทีเ่ หมาะสมระบบสารสนเทศจะชว่ ยทาให้องคก์ าร ทราบถึงขอ้ มลู ทเ่ี กีย่ วขอ้ งกับตน้ ทนุ ราคาในตลาดรปู แบบของสนิ คา้ /บรกิ ารที่มอี ยู่ หรอื ช่วยทาให้ หนว่ ยงานสามารถเลือกผลติ สินค้า/บรกิ ารทมี่ ีความเหมาะสมกับความเชี่ยวชาญ หรือทรัพยากรท่มี ีอยู่  ระบบสารสนเทศช่วยปรบั ปรุงคณุ ภาพของสินคา้ /บริการใหด้ ขี ้นึ ระบบสารสนเทศทาให้การติดต่อระหว่าง หนว่ ยงานและลูกค้า สามารถทาได้โดยถูกตอ้ งและรวดเรว็ ข้นึ ดงั นน้ั จึงช่วยให้หน่วยงานสามารถปรับปรุง คุณภาพของสินคา้ /บรกิ ารให้ตรงกบั ความตอ้ งการของลูกคา้ ได้ดีขน้ึ และรวดเร็วข้นึ ดว้ ย  ความไดเ้ ปรียบในการแขง่ ขนั (Competitive Advantage)  คุณภาพชวี ติ การทางาน (Quality o f Working Life

71 เทคโนโลยสี ารสนเทศกับการใช้ชีวติ ในสงั คมปจั จุบนั  ในภาวะปจั จุบนั นนั้ สารสนเทศได้กลายเป็นปัจจัยพ้ืนฐานปัจจัยท่ีห้า เพิ่มจากปัจจัยสี่ประการที่มนุษย์เรา ขาดเสียมิได้ในการดารงชีวิตประจาวัน ไม่ว่าจะเป็นสารสนเทศที่จาเป็น ในการประกอบธุรกิจ ในการ ค้าขาย การผลิตสินค้า และบริการ หรือการให้บริการสังคม การจัดการทรัพยากรของชาติ การบริหาร และปกครอง จนถงึ เรื่องเบา ๆ เรอื่ งไรส้ าระบ้าง เชน่ สภากาแฟท่ีสามารถพบได้ทุกแห่งหนในสังคม เร่ือง สาระบันเทิงในยามพักผ่อน ไปจนถึงเรื่องความเป็นความตาย เช่น ข่าวอุทกภัย วาตภัย หรือการทา รัฐประหารและปฏิวัติ เป็นต้น  ในความคิดเห็นของกลุ่มบุคคลต่าง ๆ ต้ังแต่นักวิชาการ นักธุรกิจ นักสังคมศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์ จนกระท่ังผู้นาต่าง ๆ ในโลก ดังเช่น ประธานาธิบดี Bill Clinton และรองประธานาธิบดี Al Gore ของ สหรัฐอเมริกา สารสนเทศเปน็ ทรัพยากรท่ีสาคัญทสี่ ดุ อย่างหน่งึ ในปัจจุบัน และในยุคสังคมสารสนเทศแห่ง ศตวรรษที่ 21 สารสนเทศจะกลายเป็นทรัพยากรที่สาคัญท่ีสุดเหนือสิ่งอ่ืนใด กล่าวกันสั้น ๆ สารสนเทศ กาลังจะกลายเป็นฐานแหง่ อานาจอนั แทจ้ รงิ ในอนาคต ทง้ั ในทางเศรษฐกิจ และทางการเมอื ง  ในสมัยสังคมเกษตรน้ัน ปัจจัยพื้นฐานในการผลิตที่สาคัญ ได้แก่ ที่ดิน แรงงาน และทุนทรัพย์ ต่อมาใน สังคมอุตสาหกรรม การผลิตตอ้ งพึ่งพาปัจจยั พ้นื ฐานเพ่มิ เตมิ ได้แก่ วัสดุ พลังงาน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สารสนเทศ สังคมเกษตรและสังคมอุตสาหกรรมต้องพึ่งพาการใช้ทรัพยากรท่ีมีอยู่อย่างจากัด อันได้แก่ ทด่ี ิน พลงั งาน และวัสดุ เปน็ อย่างมาก และผลของการใช้ทรัพยากรเหล่าน้ันอย่างฟุ่มเฟือยและขาดความ ระมัดระวัง ก็ไดส้ รา้ งปัญหาส่ิงแวดลอ้ มท่รี นุ แรงมาก ซึ่งกาลงั คุกคามโลกรวมท้ังประเทศไทย ตั้งแต่ปัญหา การแปรปรวนของสภาพดนิ ฟ้าอากาศ ภัยธรรมชาติทีน่ บั วันจะเพิ่มความถี่และรุนแรงขึ้น ปัญหาการบ่อน ทาลายความสมดลุ ทางนเิ วศวทิ ยาทง้ั ป่าดงดบิ ปา่ ชายเลน ป่าต้นน้าลาธาร ความแห้งแล้ง อากาศเป็นพิษ

72 แม่นา้ ลาคลองที่เตม็ ไปดว้ ยสารพิษ เจือปน ตลอดจนถึงปัญหาวิกฤตทิ างจราจรและภัยจากควันพิษในมหา นครทุกแห่งท่ัวโลก  ในทางตรงกันข้าม ขบวนการผลิต การเก็บ และถ่ายทอดสารสนเทศ อาศัยการใช้วัสดุและพลังงานน้อย มาก และไม่มีผลเสียต่อภาวะแวดล้อมหรือมีเพียงเล็กน้อยมาก ยิ่งกว่านั้นสารสนเทศจะสามารถช่วยให้ กิจกรรมการผลิตและการบริการต่าง ๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น สามารถช่วยให้การผลิตทาง อุตสาหกรรมใช้วัตถุดิบ และพลังงานน้อยลง มีมลภาวะน้อยลง แต่สินค้ามีคุณภาพดีขึ้นคงทนมากขึ้น ปัญหาวิกฤติทางจราจรในบางด้านก็สามารถผ่อนปรนได้ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น ในการช่วย ติดต่อส่ือสารทางธุรกิจต่างๆ โดยไม่จาเป็นต้องเดินทางด้วยตนเองดังเช่นแต่ก่อน จึงอาจกล่าวได้ว่า เทคโนโลยีสารสนเทศจะมสี ว่ นอย่างมาก ในการนาสงั คม ส่วู ิวฒั นาการอีกระดับหนึ่ง ท่ีอาจเรียกได้ว่าเป็น สังคมสารสนเทศ อันเปน็ สังคมทีพ่ งึ ปรารถนาและย่งั ยืนยง่ิ ข้ึน  น่ันจึงเปน็ เหตผุ ลทว่ี า่ สังคมต่าง ๆ ในโลก ต่างจะต้องก้าวสู่สังคมสารสนเทศอย่างหลีกเล่ียงไม่ได้ ไม่เร็วก็ ช้า และนั่นหมายความว่าสังคมจะต้องพึ่งพาเทคโนโลยีสารสนเทศ อย่างแน่นอน ไม่ว่าเราจะยอมรับ หรอื ไม่กต็ าม มิใชเ่ พยี งแตเ่ พื่อสร้างขดี ความสามารถในเชงิ แขง่ ขนั ในสนามการค้าระหว่างประเทศ แต่เพื่อ ความอยูร่ อดของมนุษยชาติ และเพื่อคณุ ภาพชีวติ ท่ีดขี ึ้นอกี ตา่ งหากด้วย  เทคโนโลยสี ารสนเทศ คือ เทคโนโลยีคู่โลกในต้นศตวรรษที่ 21 และเป็นแรงกระตุ้นและเป็นปัจจัยรองรับ ขบวนการโลกาภิวตั น์ ที่กาลังผนวกสังคมเศรษฐกจิ ไทยเข้าเปน็ อันหนึ่งเดยี วกนั กับสังคมโลก  อันทีจ่ รงิ เทคโนโลยสี ารสนเทศมีใช้ในประเทศไทยเปน็ เวลาช้านานมาแล้ว เป็นต้นว่า เรามีการใช้โทรศัพท์ ตง้ั แต่รัชสมยั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เม่ือปี พ.ศ. 2414 เพียงแต่ว่าการใช้เทคโนโลยีนี้ ยังไม่แพร่กระจายท่ัวประเทศและยังไม่อยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับอีกหลาย ๆ ประเทศในโลก กล่าวกัน อยา่ งส้นั ๆ เทคโนโลยสี ารสนเทศ คอื เทคโนโลยที เ่ี กีย่ วข้องกับการจัดหา วิเคราะห์ ประมวล จัดการและ จัดเก็บ เรยี กใชห้ รอื แลกเปล่ยี น และเผยแพร่สารสนเทศ ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบ ของรปู เสียง ตัวอักษร หรือภาพเคล่ือนไหว รวมไปถึงการนาสารสนเทศและข้อมูลไปปฏิบัติตามเนื้อหา ของสารสนเทศนั้น เพือ่ ให้บรรลุเป้าหมายของผู้ใช้ การจัดหา วิเคราะห์ ประมวล และจัดการกับข่าวสาร ข้อมูลจานวนมหาศาล จึงขาดเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เสียมิได้ ส่วนการแสวงหาและแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร อย่างรวดเร็ว ทันเวลา ประหยัดค่าใช้จ่าย และมีประสิทธิภาพ ก็จาเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยี โทรคมนาคม และทา้ ยสดุ สารสนเทศทมี่ ี จะกอ่ ให้เกดิ ประโยชนจ์ ากการบริโภค อย่างกว้างขวางตามแต่จะ ต้องการและอย่างประหยัดที่สดุ กต็ ้องอาศัยทัง้ สองเทคโนโลยขี ้างต้นในการจดั การและการส่ือหรือขนย้าย จากแหล่งข้อมูลสารสนเทศ สผู่ ูบ้ รโิ ภคในท่สี ดุ  ฉะนนั้ เทคโนโลยสี ารสนเทศจงึ ครอบคลมุ ถึงหลาย ๆ เทคโนโลยีหลัก อันได้แก่ คอมพิวเตอร์ทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และฐานข้อมูล โทรคมนาคมซ่ึงรวมถึง เทคโนโลยีระบบส่ือสารมวลชน (ได้แก่ วิทยุ และ โทรทัศน์) ท้ังระบบแบบมีสายและไร้สาย รวมถึงเทคโนโลยีด้านอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ อาทิ เทคโนโลยี

73 โทรทัศน์ความคมชัดสูง (HDTV) ดาวเทียมคมนาคม (communications satellite) เส้นใยแก้วนาแสง (fibre optics) สารก่ึงตัวนา (semiconductor) ปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence) อุปกรณ์ อัตโนมัติสานักงาน (office automation) อุปกรณ์อัตโนมัติในบ้าน (home automation) อุปกรณ์ อตั โนมตั ใิ นโรงงาน (factory automation) เหลา่ นี้ เป็นต้น  นอกจากการเป็นเทคโนโลยที ่ีไม่ทาลายธรรมชาติหรือสรา้ งมลภาวะ (ในตัวของมนั เอง) ต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว คุณสมบัติโดดเด่นอ่ืน ๆ ท่ีทาใหม้ ันกลายเป็นเทคโนโลยี ยทุ ธศาสตร์สาคัญแห่งยุคปัจจุบันและในอนาคตก็ คือ ความสามารถในการเพิม่ ประสิทธภิ าพและสมรรถภาพในเกอื บทุก ๆ กจิ กรรม อาทโิ ดย  1. การลดต้นทนุ หรอื คา่ ใชจ้ า่ ย  2. การเพมิ่ คุณภาพของงาน  3. การสร้างกระบวนการหรือกรรมวิธีใหม่ ๆ  4. การสร้างผลิตภณั ฑ์และบริการใหม่ ๆ ข้ึน  ฉะนน้ั โอกาสและขอบเขตการนา เทคโนโลยนี ้ีมาใช้ จึงมีหลากหลายในเกือบทุก ๆ กิจกรรมก็ว่าได้ ไม่ว่า จะเป็นการปกครอง การให้บริการสังคม การผลิตท้ังภาคเกษตร อุตสาหกรรม และบริการ รวมถึงการค้า ท้ังภายในและระหว่างประเทศอกี ด้วย โดยพอสรปุ ไดด้ ังต่อไปนี้  ภาคสังคม การบริหารและปกครอง การให้บริการพื้นฐานของรัฐ การบริการสาธารณสุข การบริการ การศกึ ษา การให้บริการข้อมูลและสาระบันเทิง การอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อม การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การบรรเทาสาธารณภัย การพยากรณ์อากาศและอตุ นุ ิยม ฯลฯ  ภาคเศรษฐกิจ การเกษตร การป่าไม้ การประมง การสารวจและขุดเจาะน้ามันและ ก๊าซธรรมชาติ การ สารวจแร่และทรัพยากรธรรมชาติทั้งบนและใต้ผิวโลก การก่อสร้าง การคมนาคมท้ังทางบก น้า และ อากาศ การค้าภายในและระหว่างประเทศ อุตสาหกรรมการผลิต อุตสาหกรรมบริการ อาทิ ธุรกิจการ ทอ่ งเทย่ี ว การเงิน การธนาคาร การขนสง่ และ การประกนั ภยั ฯลฯ  ผลประโยชน์ต่างๆ จากการประยุกต์ใช้ของเทคโนโลยีดังกล่าว ล้วนเกิดจากคุณสมบัติพิเศษหลาย ๆ ประการของเทคโนโลยีกลุ่มน้ี อันสืบเนื่องจากการพัฒนาของ เทคโนโลยีท่ีมีอัตราสูงและอย่างต่อเน่ือง ตลอดหลายทศวรรษท่ีผ่านมา วิวัฒนาการทางเทคโนโลยีน้ีส่งผลให้  ราคาของฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์ รวมทั้งค่าบริการ สาหรับการเก็บ การประมวล และการแลกเปลี่ยน เผยแพร่สารสนเทศมกี ารลดลงอยา่ งตอ่ เนือ่ งและรวดเรว็  ทาให้สามารถนาพาอุปกรณ์ต่าง ๆ ท้ังคอมพิวเตอร์และ โทรคมนาคมติดตามตัวได้ เน่ืองจากได้มี พฒั นาการการยอ่ ส่วนของชนิ้ ส่วน (miniaturization) และพฒั นาการการส่ือสารระบบไรส้ าย  ประการท้าย ที่จัดว่าสาคัญที่สุดก็ว่าได้คือ ทาให้เทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการ สื่อสารมุ่งเขา้ สจู่ ุดทใี่ กล้เคยี งกนั (converge)

74  ประเทศอุตสาหกรรมในโลกได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยียุทธศาสตร์กลุ่มน้ี จึงให้ความสาคัญต่อ เทคโนโลยีนี้มากกว่าเทคโนโลยีอ่ืน ๆ ที่จัดเป็นเทคโนโลยียุทธศาสตร์สาคัญอีกหลายกลุ่ม ดังเช่นกลุ่ม ประเทศ OECD (Organization for Economic Co-operation and Development) ได้ศึกษา เปรียบเทียบ ศักยภาพของเทคโนโลยีไฮเทค 5 กลุ่มสาคัญในปัจจุบัน คือ เทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยี วสั ดใุ หม่ เทคโนโลยอี วกาศ เทคโนโลยีนวิ เคลียร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ ในประเด็นผลกระทบสาคัญ 5 ประเด็น ได้แก่  (1) การสร้างผลติ ภณั ฑ์และบรกิ ารใหม่ ๆ  (2) การปรบั ปรงุ กระบวนการผลติ ผลิตภัณฑแ์ ละบริการ  (3) การยอมรบั จากสงั คม  (4) การนาไปใช้ประยุกตใ์ นภาค/สาขาอื่น ๆ  (5) การสร้างงานในทศวรรษปี 1990 ปรากฏว่าเทคโนโลยีสารสนเทศได้รับการยอมรับในศักยภาพสูงสุด ในทุก ๆ ประเดน็

75 บทที่ 3 คอมพวิ เตอร์และอิน-เทอร์เนต็ กบั เทคโนโลยสี ารสนเทศ ในภาวะปัจจุบันท่ที ่วั ทกุ มุมโลกมกี ารเปล่ยี นแปลงอย่างรวดเร็ว ประเทศตา่ ง ๆ ไม่วา่ จะเปน็ ประเทศด้อย พฒั นาทางเศรษฐกจิ และอุตสาหกรรมหรอื ประเทศทพี่ ัฒนาแล้วก็ตาม ต่างอยูใ่ นภาวะทต่ี อ้ งมีการปรับตัวกันอย่าง มาก ประเทศไทยกเ็ ช่นเดียวกันฉะน้นั จงึ ถอื ไดว้ า่ เราทกุ คนน้นั ต่างดาเนนิ ชวี ติ อยใู่ นช่วงเวลาของการเปลย่ี นแปลง โดยเฉพาะรปู แบบทางสังคมทีเ่ กดิ ขน้ึ ต่างมคี วามตอ้ งการท่จี ะรบั ทราบขอ้ มูลขา่ วสาร และพึ่งพาอาศัยขอ้ มลู สารสนเทศในการดารงชวี ิตประจาวันมากขนึ้ ทกุ วัน ซึ่งกเ็ ปน็ ผลสบื เนอ่ื งมาจากแรงผลกั ดันของเทคโนโลยี สารสนเทศ (Information Technology) หรือท่เี รยี กกันวา่ IT นอกจากน้ี ถอื ได้วา่ ระบบคอมพิวเตอร์และระบบส่ือสารโทรคมนาคมที่ทนั สมยั จะกอ่ ให้เกิดการปฏิวตั ิทาง เทคโนโลยีแล้ว ยงั สง่ ผลกระทบในวงกว้างต่อระบบเศรษฐกจิ การเมือง วฒั นธรรม และกิจกรรมระหวา่ งประเทศ เปรียบเสมือนในช่วงท่ีมกี ารเปลย่ี นแปลงใช้เครือ่ งจักร ไอน้าในงานอุตสาหกรรม และถอื ไดว้ า่ เป็นยุคท่ีสามท่ี พฒั นาต่อเน่ืองมาจาก ยคุ เกษตรกรรม และ ยุคอุตสาหกรรม ปจั จบุ ันเทคโนโลยสี ารสนเทศไดส้ รา้ งการเปลีย่ นแปลงในทุกระดับ ตั้งแต่ระบบสังคม องคก์ ารธุรกจิ และ ปัจเจกชน โดยเทคโนโลยีสารสนเทศกระต้นุ ให้เกิดการปรับรูปแบบ ความสัมพันธภ์ ายในสงั คม การแขง่ ขนั และ ความรว่ มมือทางธุรกจิ ตลอดจนกิจกรรมการดารงชีวิตของบุคคลใหแ้ ตกตา่ งจากอดีต ดงั นน้ั บคุ คลทกุ คนในฐานะ สมาชกิ ของสงั คมสารสนเทศ (Information Society) จงึ จาเป็นตอ้ งมคี วามรู้ ทักษะ และความเข้าใจถงึ ศกั ยภาพ ของเทคโนโลยีสารสนเทศ เพอื่ ให้สามารถดารงชีวิตและประกอบธรุ กิจอย่างมีประสทิ ธภิ าพในอนาคต 3.1ความหมายและองค์ประกอบเทคโนโลยสี ารสนเทศ จากการทเี่ ทคโนโลยีสารสนเทศมีอทิ ธพิ ลต่อการดารงชวี ติ ของมนุษยใ์ นสังคมปัจจุบนั ดงั น้ันการเรียนรแู้ ละ ทาความเข้าใจถึงเทคโนโลยสี ารสนเทศถอื เปน็ สิ่งทมี่ ีความจาเปน็ เพอื่ ท่จี ะสามารถนาไปปรบั ใช้ในการดารงชวี ติ ทัง้ ในด้านการศกึ ษาเล่าเรยี นและการทางานก่อนอน่ื ควรทาความเขา้ ถึงความหมายและองค์ประกอบของเทคโนโลยี

76 สารสนเทศดงั นี้ 1.2.1 ความหมายของเทคโนโลยสี ารสนเทศ เทคโนโลยี (Technology) หมายถึง ทกุ สงิ่ ทุกอย่างท่เี กี่ยวกับการผลิต การสรา้ ง การใช้สิ่งของกระบวนการหรอื วธิ กี ารดาเนนิ งานรวมไปถงึ อุปกรณท์ ีไ่ มม่ ใี นธรรมชาติ สารสนเทศ หรอื สารนเิ ทศ เปน็ ศพั ท์บญั ญัติของคาวา่ “Information” ราชบณั ฑติ สถานกาหนดใหใ้ ช้ได้ ทงั้ สองคา ในวงการคอมพิวเตอร์ การสื่อสาร และธรุ กิจ นยิ มใชค้ าว่า “สารสนเทศ” สว่ นในวงการ บรรณารกั ษศาสตร์ สารนเิ ทศศาสตร์ ใช้ว่า “สารนิเทศ” ความหมายกว้าง ๆ หมายถึง ข้อมูล ขา่ วสาร ความรู้ ต่าง ๆ ทมี่ กี ารบันทึกอยา่ งเป็นระบบตามหลักวิชาการ เพอ่ื นามาเผยแพร่ และใชใ้ นงานต่าง ๆ ทุกสาขาไมว่ า่ จะเปน็ เรองของการคา้ การผลิต การบรกิ าร การบริหาร การแพทย์ การสาธารณสุข การศึกษา การคมนาคม การทหาร และอ่ืน ๆ เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) หมายถึง เทคโนโลยที กุ ด้านท่ีเข้ามาร่วมกนั ใน กระบวนการจดั เก็บ สรา้ ง และสือ่ สารสารสนเทศ ดงั นัน้ จงึ ครอบคลุมเทคโนโลยี ต่าง ๆ ที่ใชใ้ นกระบวนการ ข้างตน้ เชน่ คอมพวิ เตอร์ อปุ กรณ์จัดเก็บข้อมลู บนั ทึกและคนื ค้น เครือข่ายส่ือสารข้อมูล อปุ กรณ์สือ่ สารและ โทรคมนาคม เปน็ ต้น รวมท้ังระบบทคี่ วบคมุ การทางานของอปุ กรณ์เหลา่ น้ี เชน่ ระบบปฏบิ ตั ิการคอมพวิ เตอรแ์ ละ ระบบสอื่ สาร เป็นต้น นอกจากนก้ี ารใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศในขณะน้ีเปน็ ไปอย่างแพรห่ ลายมากมายนบั ไมถ่ ว้ นในทกุ กจิ การ จนแทบ จะกลา่ วได้วา่ ยุคนีไ้ ม่มีใครไม่เคยไมไ่ ดย้ นิ คาว่าเทคโนโลยีสารสนเทศหรอื ท่ีนิยมเรยี กกนั ยอ่ ๆ ว่า ไอที (IT) กันแลว้ ดังจะเห็นวา่ ในหมผู่ ูร้ ้แู ละนักวชิ าการหลายท่านไดอ้ ธิบายถึงความหมายของคาว่าเทคโนโลยสี ารสนเทศไวม้ ากมาย และคล้ายคลึงกนั อาทเิ ชน่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ า สยามบรมราชกุมารี (2538: 4) ทรงอรรถาธบิ ายวา่ คาวา่ เทคโนโลยี สารสนเทศ หรอื Information Technology ทมี่ กั เรียกวา่ ไอที (IT) น้นั จะเนน้ ท่ีการจัดการกระบวนการ ดาเนนิ งานสารสนเทศหรอื สารนเิ ทศ ในข้ันตอนต่างๆ ตง้ั แต่การเสาะแสวงหา การวเิ คราะห์ การจดั เกบ็ การจัดการ และการเผยแพร่เพื่อเพิ่มประสทิ ธภิ าพ ความถกู ตอ้ ง ความแม่นยา และความรวดเร็วทันตอ่ การนาไปใช้ ประโยชน์ ไพรชั ธชั ยพงษ์ ผอู้ านวยการสานกั งานพัฒนาวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าววา่ เทคโนโลยี สารสนเทศเป็นเทคโนโลยีทเี่ กย่ี วกับการติดต่อเชอื่ มโยง การจดั หา จดั เก็บ จัดการและเผยแพร่ขอ้ มลู ขา่ วสาร หรอื ที่เรยี กว่าสารสนเทศใหเ้ กดิ ประโยชนใ์ นรูปของสอ่ื ต่าง ๆ ด้วยวิธกี ารทางอิเลก็ ทรอนิกส์ ซงึ่ เทคโนโลยสี ารสนเทศจะ ประกอบดว้ ยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ การสอื่ สารโทรคมนาคม และเทคโนโลยอี ื่น ๆ ท่ีเกีย่ วข้องกับการนาขอ้ มลู ขา่ วสารมาใช้ ครรชิต มาลยั วงศ์ (2538: 24) อธิบายว่า เทคโนโลยีสารสนเทศ ประกอบด้วยเทคโนโลยีสาคญั สอง สาขา ไดแ้ ก่ เทคโนโลยีคอมพวิ เตอร์ และเทคโนโลยีสอ่ื สารโทรคมนาคม กล่าวคอื เทคโนโลยคี อมพิวเตอร์จะชว่ ย ทางานดา้ นการจัดเกบ็ บนั ทกึ และประมวลผลข้อมูลให้รวดเร็วและถกู ตอ้ ง ส่วนเทคโนโลยีสอื่ สารโทรคมนาคมจะ ช่วยสง่ ผลลพั ธข์ องการใช้งานคอมพิวเตอรไ์ ปยังผูใ้ ชท้ อี่ ยหู่ า่ งไกลได้อยา่ งรวดเรว็ และสะดวก อยา่ งไรก็ตาม ถา้ เปน็ สมัยกอ่ น ๆ ยุคคอมพวิ เตอร์ เทคโนโลยีสารสนเทศจะหมายถึง เทคโนโลยีการพิมพ์ กล้องถา่ ยรูป เคร่อื ง พมิ พด์ ดี โทรเลขและโทรศัพท์

77 ปัจจุบนั ได้มีนักวิชาการบางท่านได้เปลีย่ นชอ่ื เทคโนโลยสี ารสนเทศใหมเ่ ปน็ เทคโนโลยีสารสนเทศและ การสอ่ื สาร (Information and Communication Technology: ICT) ขณะเดียวกนั ทางองค์การศึกษา วทิ ยาศาสตรแ์ ละวฒั นธรรมแห่งสหประชาชาติ หรอื ยูเนสโก (UNESCO) กลับเรยี กเทคโนโลยเี หลา่ นีว้ ่า \"Informatics\" หรอื สนเทศศาสตร์ ซง่ึ หมายถงึ วชิ าท่ีศกึ ษาเกี่ยวกบั สารสนเทศ และการคานวณเพ่ือคาดการณ์ เหตุการณใ์ นอนาคต (ทักษิณา สวนานนท์ และ ฐานิศรา เกยี รติบารมี 2546: 348) สุเมธ วงศ์พานชิ เลิศ และนิตย์ จันทรมงั คละศรี อธบิ ายว่า เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถงึ เทคโนโลยีท่ี เกี่ยวข้องกับการจัดหา วเิ คราะห์ ประมวล จดั การและจดั เกบ็ เรียกใช้หรือแลกเปล่ยี น และเผยแพรส่ ารสนเทศ ด้วยระบบอิเลก็ ทรอนิกส์ ไมว่ ่าจะอยใู่ นรูปแบบของภาพ ภาพเคลอ่ื นไหว เสียง ข้อความ หรือตวั อกั ษร รวมไปถงึ การนาสารสนเทศและข้อมูลไปปฏิบัตติ ามเน้อื หาของสารสนเทศนน้ั เพอื่ ให้บรรลเุ ปา้ หมายของผใู้ ช้ Moll (1983 อ้างถงึ ใน Jimba 1999: 80) ให้นิยามความหมายของคาวา่ “เทคโนโลยีสารสนเทศ” ว่าเป็นเทคโนโลยีตา่ ง ๆ ท่ใี ช้ ในการสร้างสรรค์ (Creation), จดั หา (Acquisition), จดั เกบ็ (Storage), เผยแพร่ (Dissemination), คน้ คนื (Retrieval), จัดการ (Manipulation), และ ถ่ายทอด (Transmission) ข้อมูลหรอื สารสนเทศ อาจกล่าวสรุปอย่างงา่ ย ๆ ได้ว่า เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology: IT) หรือ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสอ่ื สาร (Information and Communication Technologies: ICTs) กค็ อื เทคโนโลยีสองด้านหลกั ๆ ท่ีประกอบด้วยเทคโนโลยรี ะบบคอมพิวเตอร์ และ เทคโนโลยสี ่อื สารโทรคมนาคมที่ ผนวกเขา้ ด้วยกนั เพ่อื ใช้ในกระบวนการจัดหา จดั เก็บ สร้าง และเผยแพร่สารสนเทศในรปู ตา่ ง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเสียง ภาพ ภาพเคล่อื นไหว ขอ้ ความหรอื ตัวอกั ษร และตวั เลข เพอ่ื เพิ่มประสิทธิภาพ ความถูกตอ้ ง ความแมน่ ยา และ ความรวดเร็วให้ทันตอ่ การนาไปใช้ประโยชน์ Souter (1999: 408) ใหท้ รรศนะวา่ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสอื่ สาร หรือ ICTs จะช่วยอานวยความ สะดวกในการพัฒนาประเทศใน 3 ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ 1. การลงทุนภายในประเทศของธรุ กิจระหว่างประเทศ บรษิ ทั ธรุ กจิ ระหวา่ งประเทศจะเลือกตัดสินใจเขา้ มาลงทุนในประเทศท่ีพรอ้ มดา้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสารเป็นลาดับแรก โดยอาศยั เทคโนโลยี สารสนเทศและการสอื่ สารเป็นตัวเช่ือมโยงหน่วยธรุ กจิ ในจุดต่าง ๆ ทวั่ โลก 2. การพฒั นาธุรกจิ ของกิจการภายในประเทศ เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อื สารจะสนับสนนุ การ ดาเนินธุรกิจของเจา้ ของธุรกจิ ภายในประเทศ รวมถึงเจา้ ของธรุ กจิ ส่งออก ในด้านการตลาดขา้ มพรมแดน ระหว่างภูมิภาค (Regional cross-border markets) และการจา้ งงาน 3. การรวมกลุ่มกันทางสังคมและวัฒนธรรม การแลกเปล่ยี นทรัพยากรสารสนเทศระหวา่ งบุคคลและ ชมุ ชน เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารทาให้บคุ คล และชมุ ชนสามารถเขา้ ถึงสารสนเทศอยา่ งไรข้ อบเขต สามารถใชส้ ารสนเทศตามความตอ้ งการอยา่ งมปี ระสิทธผิ ลสามารถเขา้ ไปเกย่ี วข้องในเรื่องนโยบายการวางแผน และการพัฒนาตลอดจนสามารถรว่ มมอื กบั ผอู้ ่ืนในการดาเนนิ การในเรื่องที่เหน็ ตรงกนั หรือมีจดุ ประสงคร์ ว่ มกัน ความสาคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารมี 5 ประการ (Souter 1999: 409) ไดแ้ ก่ ประการแรก การสื่อสารถือเปน็ สิ่งจาเปน็ ในการดาเนินกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ สิ่งสาคัญทมี่ สี ่วนในการ พฒั นากจิ กรรมต่าง ๆ ของมนษุ ยป์ ระกอบดว้ ย Communications media, การสื่อสารโทรคมนาคม (Telecoms), และเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) ตวั อย่าง เช่น การสร้างภูมิกนั โรคให้กับพลเมืองจะมปี ระสิทธิภาพ ยิ่งขึ้น หากมีการบนั ทึกข้อมลู ประวตั ิผูป้ ว่ ยหรอื ขอ้ มูลอนื่ ๆ ไวใ้ นฐานข้อมลู คอมพวิ เตอร์

78 ประการทส่ี อง เทคโนโลยีสารสนเทศและการสอ่ื สารประกอบดว้ ยผลิตภัณฑ์หลกั ท่ีมากไปกว่าโทรศัพท์ และคอมพวิ เตอร์ เช่น แฟกซ์, อนิ เทอรเ์ น็ต, อีเมล์ ทาให้สารสนเทศเผยแพรห่ รือกระจายออกไปในทต่ี ่าง ๆ ได้ สะดวก และสิง่ เหล่านถี้ ือเปน็ บริการสาคัญของการสือ่ สารโทรคมนาคม ที่ทาให้การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสารมีมากยิ่งขึ้น ประการท่ีสาม เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อื สารมีผลให้การใช้งานด้านต่าง ๆ มรี าคาถูกลง เช่น การ ใชแ้ ฟกซ์และอเี มล์จะถูกกวา่ นา่ เช่ือถือกว่า และรวดเรว็ กว่าการใชบ้ ริการไปรษณยี ์แบบเดมิ (Post and courier) ทง้ั นีห้ น่วยงานภาคธุรกิจ รฐั บาล และบุคคลทว่ั ไปต่างนิยมใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อื สารมากข้นึ เพราะ ช่วยประหยดั เวลาและเงนิ รวมทงั้ ทาให้มผี ลิตผล (Productivity) เพิม่ ข้นึ ประการทสี่ ี่ เครอื ข่ายสอื่ สาร (Communication networks) ไดร้ ับประโยชน์จากเครือขา่ ยภายนอก เน่ืองจากจานวนการใช้เครอื ข่าย จานวนผเู้ ชอ่ื มต่อ และจานวนผู้ท่มี ีศกั ยภาพในการเขา้ เชอื่ มตอ่ กบั เครือข่ายนับวัน จะเพมิ่ สูงขน้ึ ประการสดุ ทา้ ย เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอื่ สารทาให้ฮารด์ แวรค์ อมพิวเตอร์ และต้นทุนการใช้ ICT มี ราคาถกู ลงมาก แม้ว่าการเป็นเจ้าของคู่สายโทรศพั ทห์ รือคอมพวิ เตอรย์ งั เปน็ สิง่ ฟุ่มเฟือยสาหรบั คนในสังคมสว่ น ใหญ่ แตป่ ระชาชนจานวนมากก็เริม่ มกี าลงั หามาใชไ้ ดเ้ องแลว้ เช่น เจ้าของธรุ กิจขนาดเล็ก องคป์ ระกอบของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ พื้นฐานของเทคโนโลยีสารสนเทศสืบเนื่องมาจากการพฒั นาแบบก้าวกระโดด ของอุปกรณอ์ เิ ล็กทรอนิกส์ตา่ ง ๆ ไม่วา่ จะเปน็ คอมพิวเตอร์ ใยแก้วนาแสง ดาวเทยี มสื่อสาร ระบบเครอื ข่าย ซอฟตแ์ วร์ และมลั ติมีเดยี กอปรกบั ราคาของอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่ถกู ลง แต่มขี ดี ความสามารถในการทางานท่เี พ่มิ มากขึน้ เรื่อย ๆ ทาใหแ้ นวโน้มการ นาเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกตใ์ ช้งาน ต่าง ๆ นัน้ มมี ากข้ึนเป็นลาดับ ระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศน้ันอาจ กล่าวได้ว่าประกอบขน้ึ จากเทคโนโลยีสอง สาขาหลกั คือ เทคโนโลยีคอมพิวเตอรแ์ ละเทคโนโลยีสอื่ สารโทรคมนาคม สาหรบั รายละเอยี ด พอสังเขปของแต่ละเทคโนโลยมี ีดังตอ่ ไปน้ีคือ หลักการออกแบบสื่อเพอ่ื การเรียนรู้ หลักการออกแบบสอ่ื เพ่อื การเรยี นรูป้ ระกอบด้วย 9 ข้นั ตอน ดังนี้

79 1. เรา้ ความสนใจ (Gain Attention) ส่ือการเรยี นรู้ ตอ้ งมลี ักษณะท่ีเร้าความสนใจและดึงดูดความสนใจของผเู้ รยี น เพือ่ เป็นการกระตุ้นและ เกดิ แรงจงู ใจใหผ้ ู้เรยี นมีความต้องการที่จะเรียน ผอู้ อกแบบจงึ ตอ้ งกาหนดส่ิงทีจ่ ะดึงดูดความสนใจ เพอ่ื ให้เกิด พฤติกรรมและเป้าหมายตามทต่ี อ้ งการ สว่ นใหญ่จะเร่ิมด้วยหน้านาเรือ่ ง ซึ่งควรมรี ูปภาพ ภาพเคลื่อนไหวหรอื สีสนั ต่าง ๆ เพอ่ื ใหน้ ่าสนใจ ซง่ึ กต็ ้องเกยี่ วขอ้ งกับบทเรียนด้วย คอื การแสดงชอื่ ของบทเรียน ชือ่ ผู้สรา้ งบทเรยี น การ แนะนาเรอ่ื งหรอื การแนะนาเนอ้ื หาของบทเรียน สิ่งที่ตอ้ งพจิ ารณาเพ่อื เรา้ ความสนใจของผู้เรยี น 2. บอกวตั ถุประสงค์ (Specify Objectives) การบอกวัตถุประสงคแ์ ก่ผ้เู รยี น เพ่ือเป็นการให้ผเู้ รียนได้ทราบถึงเป้าหมายในการเรียนหรือสิง่ ที่ผู้เรียนสามารถ ทาได้หลังจากที่เรยี นจบบทเรียน ซึ่งสว่ นใหญจ่ ะเป็นจุดประสงคก์ วา้ ง ๆ จนถงึ จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม การบอก จดุ ประสงคจ์ ะทาให้ผู้เรยี นทาความเขา้ ใจเน้อื หาไดด้ ขี ้นึ ส่งิ ท่ตี อ้ งพิจารณาในการบอกวตั ถุประสงค์ มีดังนี้ 1.ใชค้ าสัน้ ๆ และเข้าใจได้ง่าย 2.หลีกเลย่ี งคาที่ยังไม่เปน็ ทีร่ ู้จกั และเป็นท่ีเข้าใจ โดยท่ัวไป 3.ไม่ควรกาหนดวตั ถปุ ระสงค์หลายขอ้ เกนิ ไปในเนอื้ หาแตล่ ะส่วน 4.ผู้เรยี นควรมโี อกาสทจี่ ะทราบวา่ หลงั จบบทเรียนเขาสามารถนาไปใช้ทาอะไรไดบ้ ้าง 5.หากบทเรยี นนนั้ ยงั มีบทเรยี นย่อย ๆ ควรบอกจดุ ประสงคก์ ว้าง ๆ และบอกจุดประสงคเ์ ฉพาะส่วนของบทเรยี น ยอ่ ย 3. ทวนความรู้เดิม (Activate Prior Knowledge) ลักษณะของการทวนความร้เู ดมิ ของผูเ้ รยี น เปน็ การทบทวนหรือการเชอื่ มโยงระหวา่ งความร้เู ดมิ เพอ่ื เช่อื ม กับความรู้ใหม่ ซึง่ ผเู้ รียนจะมีพน้ื ฐานความรทู้ แ่ี ตกต่างกันออกไป การรบั รู้สิ่งใหม่ กค็ วรจะมีการประเมินความรเู้ ดมิ คอื การทดสอบก่อนการเรียน และเพื่อเปน็ การกระตุน้ ใหผ้ เู้ รยี นเกิดการระลกึ ความรเู้ ดมิ เพอ่ื เตรียมพร้อมในการ เช่ือมโยงกบั ความรู้ใหม่ ซ่งึ การทดสอบจะทาให้ผู้เรียนได้รตู้ ัวเองและกลบั ไปทบทวนในสงิ่ ทเี่ กย่ี วข้อง สาหรับคนที่รู้ ในเน้ือหาบทเรยี นดีแลว้ อาจขา้ มบทเรียนไปยังเนือ้ หาอ่ืนๆตอ่ ไป การจะทาแบบทดสอบก่อนเรียนหรอื ไมก่ ข็ ึน้ อยกู่ ับ การพจิ ารณาของบทเรยี นเพือ่ ใหเ้ กิดความเหมาะสม สิ่งท่ีจะตอ้ งพิจารณาในการทบทวนความรู้เดิม มีดังน้ี 1. ไม่ควรคาดเดาเอาว่าผูเ้ รยี นมีความรพู้ นื้ ฐานก่อนแลว้ จึงมาศกึ ษาเนอ้ื หาใหม่ ควรมีการทดสอบหรือใหค้ วามรู้ เพอ่ื เปน็ การทบทวนใหพ้ รอ้ มที่จะรับความร้ใู หม่ 2. การทดสอบหรอื ทบทวนควรใหก้ ระชับและตรงตามวตั ถุประสงค์ 3. ควรเปดิ โอกาสให้ผ้เู รยี นออกจากแบบทดสอบหรือเนื้อหาใหมเ่ พือ่ ไปทบทวนได้ตลอดเวลา 4.หากไมม่ ีการทดสอบควรมกี ารกระต้นุ ใหผ้ ู้เรยี นกลับไปทบทวนหรอื ศกึ ษาในสงิ่ ที่เกีย่ วข้อง 4. การเสนอเนอื้ หา (Present New Information) การเสนอเน้ือหาใหม่เป็นการนาเสนอเนอ้ื หาโดยใช้ตัวกระตุ้นทีเ่ หมาะสม เปน็ สิ่งสาคัญสาหรับการเรียนการ สอนเพอื่ ใหก้ ารเรยี นรู้เป็นไปอย่างมีประสิทธภิ าพ รูปแบบการนาเสนอมีหลายลักษณะ ได้แก่ การใช้ข้อความ ภาพนิง่ กราฟ ตารางข้อมลู กราฟกิ ตลอดจนภาพเคล่ือนไหว ซ่งึ เปน็ การใช้ส่ือหลายรูปแบบทเี่ รียกวา่ ส่อื ประสม เป็นการเรา้ ความสนใจของผู้เรยี น สง่ิ ทจี่ ะต้องพิจารณาในการนาเสนอเน้อื หาใหม่ มีดงั นี้ 1. ใชภ้ าพนงิ่ ประกอบการเสนอเนื้อหา โดยเฉพาะสว่ นเนอื้ หาท่สี าคัญ

80 2. พยายามใชภ้ าพเคลื่อนไหวในเน้ือหาท่ียาก และที่มกี ารเปล่ยี นแปลงตามลาดับใชแ้ ผนภูมิ แผนภาพ แผนสถติ ิ สัญลักษณ์หรอื ภาพเปรียบเทียบประกอบเนอื้ หา 3. ในเนอ้ื หาทยี่ ากและซับซ้อนใหเ้ น้นขอ้ ความเป็นสาคญั ซงึ่ อาจเปน็ การตกี รอบ ขดี เส้นใต้ การกระพริบ การทาสใี ห้เดน่ 4. ไมค่ วรใช้กราฟิกทเี่ ขา้ ใจยากหรอื ไมเ่ กยี่ วกับเน้อื หา 5. จดั รปู แบบของคา ข้อความให้นา่ อ่าน เนอ้ื หาทีย่ าวใหจ้ ัดกล่มุ แบ่งตอน 5. ช้แี นวทางการเรยี นรู้ (Guide Learning) การชี้แนวทางการเรียนรู้ เปน็ การใช้ในชั้นเรยี นตามปกติ ซงึ่ ผู้สอนจะยกตัวอยา่ งหรือตั้งคาถามชี้แนะแบบกว้าง ๆ ใหแ้ คบลง เพื่อใหผ้ ู้เรียนวิเคราะหเ์ พื่อคน้ หาคาตอบ สาหรับบทเรยี นคอมพิวเตอร์ช่วยสอนควรต้องใช้การ สร้างสรรค์เทคนคิ เพอื่ กระตนุ้ ใหผ้ ู้เรียนค้นหาคาตอบดว้ ยตนเอง การจัดกิจกรรมทเ่ี หมาะสม เพ่ือเป็นตวั ช้ีแนวทาง สง่ิ ที่จะต้องพิจารณาในการช้แี นวทางการเรยี นรู้ มีดังนี้ 1.แสดงให้ผเู้ รยี นได้เห็นถึงความสมั พนั ธข์ องเน้อื หาและชว่ ยใหเ้ หน็ สิ่งย่อยน้นั มคี วามสมั พนั ธก์ บั สง่ิ ใหม่ อยา่ งไร 2. แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความสัมพันธ์ของสิง่ ใหมก่ ับส่ิงทผ่ี ้เู รียนมีความรู้หรือประสบการณม์ าแล้ว 3. พยายามใหต้ วั อยา่ งที่แตกต่างกนั ออกไป เพอื่ ชว่ ยอธบิ ายความคิดใหม่ใหช้ ดั เจนขึ้น 4. การเสนอเนือ้ หาทย่ี าก ควรใหเ้ ห็นตัวอยา่ งทเ่ี ปน็ รูปธรรมไปสูน่ ามธรรม ถา้ เนอื้ หาไม่ยาก ให้เสนอตวั อย่าง จากนามธรรมไปสรู่ ปู ธรรม 5. กระต้นุ ให้ผเู้ รยี นคดิ ถึงความรู้และประสบการณเ์ ดมิ 6. กระตนุ้ การตอบสนอง (Elicit Responses) การกระตุน้ ให้เกดิ การตอบสนองจากผูเ้ รียน เม่ือผเู้ รียนได้รับการชแี้ นวทางการเรียนรู้แลว้ ต้องมีการกระตนุ้ ให้ เกดิ การตอบสนองโดยกิจกรรมตา่ ง ๆ ที่ทาให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการคิดและ ปฏบิ ตั เิ ชิงโตต้ อบ เพ่ือใหบ้ รรลุถงึ วัตถปุ ระสงคใ์ นการเรียน การกระตนุ้ ต้องจัดกิจกรรมใหเ้ หมาะสม ส่งิ ทต่ี อ้ งพิจารณาในการกระตุ้นการตอบสนอง มี ดังนี้ 1. พยายามให้ผู้เรียนไดต้ อบสนองด้วยวิธีใดวธิ หี นึ่งตลอดการเรยี น 2. ควรใหผ้ ้เู รียนได้มีโอกาสพิมพค์ าตอบหรือข้อความเพ่อื เร้าความสนใจ แต่กไ็ ม่ควรจะยาวเกนิ ไป 3. ถามคาถามเป็นชว่ ง ๆ ตามความเหมาะสมของเนือ้ หา เพ่อื เร้าความคดิ และจินตนาการของผเู้ รียน 4. หลกี เลย่ี งการตอบสนองซ้า ๆ หลายคร้ังเมื่อทาผิด ควรมกี ารเปล่ียนกิจกรรมอย่างอ่นื ต่อไป 5. ควรแสดงการตอบสนองของผเู้ รียนบนเฟรมเดียวกันกับคาถาม รวมท้งั การแสดงคาตอบ 7. ให้ข้อมูลย้อนกลับ (Provide Feedback) หลังจากท่ีผเู้ รียนได้รบั การทดสอบความเขา้ ใจของตนในเนอ้ื หารวมท้งั การกระตนุ้ การตอบสนองแล้ว จาเปน็ อย่างยิง่ ท่ีจะต้องใหข้ ้อมลู ยอ้ นกลับหรือการให้ผลกลับไปยงั ผ้เู รยี นเกี่ยวกบั ความถูกต้อง การให้ผลยอ้ นกลบั ถอื เป็น การเสริมแรงอย่างหนง่ึ การใหข้ ้อมลู ย้อนกลับสามารถแบง่ ข้ันตอนได้เปน็ 4 ประเภทตามลักษณะที่ปรากฏไดด้ งั นี้ 1. แบบไม่เคลอื่ นไหว หมายถึง การเสริมแรงด้วยการแสดงคา หรอื ขอ้ ความ บอกความ ถูก หรือผิด และรวมถึง การเฉลย

81 2. แบบเคล่ือนไหว หมายถงึ การเสรมิ แรงด้วยการแสดงกราฟิก เช่น ภาพหนา้ ยิ้ม หนา้ เสียใจ หรอื มขี อ้ ความ ประกอบให้ชัดเจน 3. แบบโต้ตอบ หมายถึง การเสริมแรงดว้ ยการใหผ้ ้เู รยี นได้มกี ิจกรรมเชงิ โตต้ อบกับบทเรียน เปน็ กิจกรรมท่ีจัด เสรมิ หรอื เพ่อื เกิดการกระตนุ้ แกผ่ ู้เรยี น เช่น เกมส์ 4. แบบทาเครอ่ื งหมาย หมายถึง การทาเคร่อื งหมายบนคาตอบของผู้เรียนเมื่อมีการตอบคาถาม ซึ่งอยใู่ นรูป ของวงกลม ขดี เสน้ ใต้ หรอื ใช้สีที่แตกตา่ ง 8. ทดสอบความรู้ (Access Performance) การทดสอบความรูห้ ลงั เรียน เพ่อื เปน็ การประเมนิ ผลว่าผู้เรียนไดเ้ กิดการเรียนรไู้ ดต้ ามเปา้ หมายหรือไม่ อยา่ งไร การทดสอบอาจทาหลังจากผู้เรียนไดเ้ รยี นจบวัตถุประสงคห์ น่งึ หรือหลังจากเรยี นจบทงั้ บทเรยี นกไ็ ด้ กาหนดเกณฑ์ในการผ่านให้ผู้เรียนได้ทราบ ผลจากการทดสอบจะทาให้ทราบวา่ ผ้เู รยี น ควรจะเรียนเนอ้ื หาบทเรียน ใหมห่ รือวา่ ควรต้องกลับไปทบทวน สิ่งทีต่ อ้ งพจิ ารณาในการออกแบบทดสอบหลังบทเรียน มดี ังน้ี 1. ตอ้ งแน่ใจวา่ สงิ่ ท่ตี ้องการวัดนัน้ ตรงกบั วตั ถุประสงค์ 2. ข้อทดสอบ คาตอบและ Feedback อย่ใู นเฟรมเดียวกนั 3. หลีกเลีย่ งการให้พิมพค์ าตอบท่ยี าวเกินไป 4. ให้ผู้เรยี นตอบครั้งเดยี วในแต่ละคาถาม 5. อธบิ ายใหผ้ ู้เรียนทราบวา่ ควรจะตอบด้วยวิธใี ด 6. ควรมรี ูปภาพประกอบด้วย นอกจากข้อความ 7. คานงึ ถึงความแม่นยาและความนา่ เช่อื ถือของแบบทดสอบดว้ ย 9. การจาและนาไปใช้ (Promote Retention and Transfer) ส่ิงสุดทา้ ยสาหรับการสอน การจาและนาไปใช้ ส่ิงสาคญั ทจ่ี ะชว่ ยให้ผเู้ รียนมีความคงทนในการจาขอ้ มูลความรู้ ตอ้ งทาใหผ้ ู้เรียนตระหนักว่าขอ้ มลู ความรู้ใหม่ที่ได้เรยี นรู้ไปน้นั มคี วามสัมพันธ์กบั ความรเู้ ดิม หรอื ประสบการณ์เดิม โดยการจดั กจิ กรรมทเ่ี ปิดโอกาสใหผ้ เู้ รยี นได้ประยุกตใ์ ชค้ วามรู้ เพอ่ื การเชอ่ื มโยงขอ้ มลู ความรู้เดิมกบั ความรูใ้ หม่ รวมทั้งการนาไปใชก้ บั สถานการณ์ สง่ิ ทค่ี วรพจิ ารณาในการจาและนาไปใช้ มดี งั นี้ 1. ทบทวนแนวคิดทีส่ าคัญและเนอ้ื หาท่ีเป็นการสรปุ 2. สรปุ ให้ผ้เู รียนได้ทราบว่าความรู้ใหมม่ ีความสัมพนั ธ์กบั ความรเู้ ดิมหรอื ประสบการณ์ท่ผี ่านมาอย่างไร 3. เสนอแนะเน้ือหาท่เี ปน็ ความร้ใู หม่ซง่ึ จะนาไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้ 4. บอกแหลง่ ขอ้ มูลท่ีเปน็ ประโยชนใ์ นการศึกษาใหก้ บั ผู้เรียน ความหมายแหล่งเรยี นรู้ แหลง่ เรียนรู้ หมายถงึ แหลง่ ข้อมูลข่าวสาร สารสนเทศ และประสบการณ์ ทส่ี นบั สนนุ สง่ เสรมิ ให้ผเู้ รยี นใฝ่เรยี น ใฝ่รู้ แสวงหาความรแู้ ละเรียนรู้ด้วยตนเองตามอัธยาศยั อยา่ งกวา้ งขวางและตอ่ เนือ่ ง เพ่ือเสริมสร้างใหผ้ ูเ้ รยี นเกิด กระบวนการเรยี นรู้ และเปน็ บุคคลแหง่ การเรียนรู้ แหล่งเรยี นรู้ทีส่ าคัญ 1. แหล่งการศกึ ษาตามอธั ยาศยั 2. แหลง่ การเรยี นรตู้ ลอดชีวติ

82 3. แหลง่ ปลูกฝงั นสิ ัยรักการอา่ น การศึกษาคน้ คว้า แสวงหาความรดู้ ้วยตนเอง 4. แหลง่ สรา้ งเสรมิ ประสบการณ์ภาคปฏบิ ตั ิ 5. แหลง่ สร้างเสริมความรู้ ความคิด วิทยาการและประสบการณ์ ความหมายเครือข่ายการเรยี นรู้ เครือข่ายการเรียนรู้ (Learning Network) หมายถงึ การแลกเปล่ยี นความรู้ ความคิด ข้อมูลข่าวสาร ประสบการณ์ และการเรยี นร้รู ะหว่างบคุ คล กลุ่มบคุ คล องค์การ และแหลง่ ความรู้ทม่ี สี ่วนร่วมในกระบวนการเรยี นรู้อยา่ ง ตอ่ เนอ่ื ง จนเปน็ ระบบทเี่ ชื่อมโยงกัน สง่ ผลให้เกิดการเผยแพร่และการประยกุ ต์ความรู้ใหม่ๆ เพ่ือวัตถปุ ระสงค์ทาง วิชาชีพหรอื ทางสังคม ความหมาย เครือขา่ ยการเรียนรู้สว่ นบคุ คล PLN (Personal Learning Network) เครอื ข่ายการเรียนรสู้ ว่ นบคุ คล การเรยี นรสู้ ว่ นบคุ คลเปน็ หนึ่งในรากฐานของสถาบันการศึกษาและการเปลย่ี นแปลงองค์กรที่ประสบความสาเรจ็ เครือขา่ ยการเรยี นรู้สว่ นบุคคล (PLN) ไม่เพยี งแตส่ นบั สนุนการพัฒนาวิชาชีพของตวั เอง แต่ยงั สามารถเป็นวธิ ที ่มี ี ประสทิ ธิภาพในการกระจายนวัตกรรมภายในสถาบนั การศึกษาของพวกเขา เรียนรูท้ จี่ ะเชือ่ มต่อกับชุมชนของมอื อาชพี ใจเหมอื นให้มสี ่วนรว่ มมกี ารสนทนาและทาใหก้ ารรอ้ งขอในชว่ งเวลาของความจาเป็น เครอื่ งมอื ฟรีท่มี ี ประสิทธิภาพและสอื่ สังคมเชน่ Google +, Twitter, และ Facebook ให้เป็นไปได้สาหรับคณุ และเพอ่ื นรว่ มงาน ของคุณ หากมองในองคร์ วมแลว้ น้นั เครอื ขา่ ยการเรยี นรสู้ ว่ นบคุ คล กค็ ือการนาเอาเน้อื หา สาระ ขอ้ มูล จากสว่ นตา่ ง ๆ ใน ระบบเครอื ข่ายอินเตอร์เนต็ ท่ีเราใชก้ นั อยูท่ ุกวนั มาใชใ้ ห้เกดิ ประโยชน์ในระบบการศกึ ษา ซงึ่ มที งั้ สอื่ สังคมออนไลน์ (Social Network และ Social Media) เครือ่ งมือค้นควา้ ข้อมลู (Search Engines) บนั ทกึ ส่วนตัว (Blog) หรือ แม้กระทงั่ สงั คมการเรยี นรู้ (Community Learning)

83 3.2 ประเภทแหล่งเรยี นรู้และเครอื ขา่ ยการเรียนรู้ ประเภทของแหลง่ เรียนรู้ ประเภทของแหล่งเรียนรูส้ ามารถแบง่ ได้หลากหลาย ตามลักษณะการแบ่งของแตล่ ะบุคคล ซ่งึ มีรายละเอียดของ ผใู้ ห้ความหมายของประเภทแหล่งเรียนรู้ดังตอ่ ไปน้ี สานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2546 : 8- 9) ไดจ้ าแนกประเภทของแหล่งการเรียนรไู้ ว้ 2 แบบ 1. จดั ตามลักษณะของแหลง่ การเรยี นรู้ 1.1 แหล่งการเรยี นรตู้ ามธรรมชาติ เป็นแหล่งการเรยี นรู้ทีผ่ ู้เรยี นจะหาความรู้ไดจ้ ากสิง่ ทีม่ ีอยูแ่ ล้วตามธรรมชาติ เช่น แม่นา้ ภเู ขา ป่าไม้ ลาธาร กรวด หนิ ทราย ชายทะเล เป็นตน้ 1.2 แหล่งการเรยี นร้ทู ี่มนษุ ยส์ รา้ งขนึ้ เพ่ือสืบทอดศิลปวฒั นธรรม ตลอดจนเทคโนโลยีทางการศึกษาทอี่ านวยความ สะดวกแก่มนษุ ยเ์ ชน่ โบราณสถาน พพิ ธิ ภัณฑ์ ห้องสมุดประชาชน สถาบันการศกึ ษา สวนสาธารณะ ตลาด บ้านเรือน ท่ีอยู่อาศยั สถานประกอบการ เปน็ ต้น 1.3 บคุ คล เป็นแหลง่ การเรียนรู้ที่ถ่ายทอดความรคู้ วามสามารถ คุณธรรม จรยิ ธรรม การสบื สานวฒั นธรรม และ ภูมิปัญญาทอ้ งถิ่น ทัง้ ด้านประกอบอาชพี ตลอดจนนกั คิด นกั ประดษิ ฐ์ และผู้มคี วามคดิ รเิ รม่ิ สรา้ งสรรค์ จดั ตามแหลง่ ที่ต้งั ของแหลง่ การเรยี นรู้ 2.1 แหลง่ การเรียนรู้ในโรงเรยี นเดมิ มีแหล่งการเรยี นร้หู ลกั คอื ครู อาจารย์ ต่อมามีการพฒั นาเป็นหอ้ งปฏิบัตกิ าร ตา่ ง ๆ เช่น ห้องปฏบิ ตั ิการวิทยาศาสตร์ หอ้ งปฏิบัติการทางภาษา ห้องปฏบิ ตั กิ ารคอมพวิ เตอร์ ห้องโสตทศั นศกึ ษา ห้องจรยิ ธรรม หอ้ งศลิ ปะ ตลอดจนอาคารสถานที่และส่ิงแวดล้อมในโรงเรยี น เช่น หอ้ งอาหาร สนาม ห้องน้า สวน ดอกไม้ สวนสมนุ ไพร แหล่งนา้ ในโรงเรยี น เป็นต้น 2.2 แหลง่ การเรยี นรู้ในท้องถิน่ ครอบคลุมทัง้ ดา้ นสถานทีแ่ ละบคุ คลซง่ึ อาจอยใู่ นท้องถิ่นใกลเ้ คียงโรงเรยี น ทอ้ งถ่ินที่ โรงเรยี นพาผ้เู รยี นไปเรยี นรู้ เช่น แมน่ ้า ภูเขา ชายทะเล สวนสาธารณะ สวนสัตว์ ทงุ่ นา สวนผัก สวนผลไม้ วดั ตลาด รา้ นอาหาร ห้องสมดุ ประชาชน สถานตี ารวจ สถานีอนามยั ดนตรีพ้นื บ้าน การละเลน่ พื้นเมือง แหล่งทอผ้า เทคโนโลยชี าวบา้ น เทคโนโลยีในชีวิตประจาวนั แหล่งข้อมลู ขา่ วสารต่าง ๆ ประเภท เครอื ข่ายการเรยี นรู้

84 1. แบง่ ตามจุดมงุ่ หมายของการเรยี นรู้ ซึง่ แบง่ ออกเป็น 2 ลกั ษณะภายใต้โครงสรา้ งของเครือข่ายการเรียนรู้ 1.1 เครือขา่ ยการเรยี นรทู้ ่มี งุ่ เน้นเอกัตบคุ คลเปน็ หลัก มีลักษณะของการประสานสมั พันธก์ ารดาเนินงานของ หน่วยงานต่างๆ ที่เกยี่ วข้อง เพ่อื ขยายการให้บริการทางการศกึ ษาในระบบโรงเรยี น นอกระบบโรงเรียน และ การศึกษาตามอัธยาศัย ไปยงั ผูท้ ี่ตอ้ งการ อย่างกว้างขวาง และสนองตอบปัญหาความต้องการของแต่ละบุคคล ตลอดจนจิตใต้สานึกในการมีส่วนร่วมพัฒนา 1.2 เครือข่ายการเรยี นรู้ทม่ี ุ่งเน้นชุมชนเป็นหลัก เป็นการกระตนุ้ ใหส้ มาชกิ ใช้ศกั ยภาพของตนเองเพ่อื แก้ไขปญั หา ชุมชน เพิ่มขีดความสามารถของชุมชนในการพ่ึงพาตนเอง บนพน้ื ฐานของการเขา้ ใจสภาพปญั หา เงอ่ื นไข ขอ้ จากดั และความต้องการของตน 2. แบง่ ตามโครงสรา้ งเครือข่ายการเรยี นรู้ ซึ่งพจิ ารณาถงึ โครงสร้างเครอื ข่ายการเรียนรู้อาศัยความร่วมมือระหว่าง บคุ คล องคก์ ร และเทคโนโลยกี ารสอื่ สารเชอ่ื มโยงกนั เป็นเครอื ขา่ ยการเรยี นรู้ สามารถจาแนกออกได้เป็น 4 ประเภท ดงั น้ี 2.1 เครอื ข่ายการเรียนรโู้ ครงสรา้ งกระจายศูนย์ มศี นู ย์กลางทาหน้าที่ประสานงาน แต่ภารกจิ ในการเรยี นการสอน จะกระจายความรับผิดชอบให้สมาชกิ เครือข่ายซึง่ ตา่ งก็มีความสมั พันธ์เท่าเทียมกัน รปู แบบนอ้ี าจเรยี กว่าการ กระจายความรับผดิ ชอบ (Distributed Network) ซ่ึงพบไดใ้ นเครือขา่ ยการพัฒนาชนบท และการเรยี นร้จู ากแหล่ง วิทยาการชุมชน โดยอาศยั ส่อื บคุ คลเป็นหลัก 2.2 เครือขา่ ยการเรียนรโู้ ครงสร้างรวมศนู ย์ มีองคก์ รกลางเป็นทง้ั ศนู ย์ประสานงาน และเป็นแม่ข่ายรวบรวมอานาจ การจดั การความรู้ไวใ้ นศูนยก์ ลาง การลงทุนดา้ นเทคโนโลยีและกาลังคนอยูท่ ่ีแม่ข่าย ส่วนลูกขา่ ยหรือสมาชกิ เป็น เพียงผู้ร่วมใชบ้ ริการจากศนู ย์กลาง 2.3 เครือข่ายการเรยี นร้โู ครงสรา้ งลาดบั ขนั้ (Hierarchical Network) มลี ักษณะเชน่ เดียวกับแผนภูมอิ งค์กร การ ตดิ ต่อสอ่ื สารขอ้ มลู ต้องผ่านตามลาดับขน้ั ตอนมาก นิยมใช้การบรหิ าร จัดการองค์กรต่างๆ ซึ่งเหมาะแก่การควบคมุ ดูแลระบบงาน 2.4 เครือข่ายการเรยี นรู้โครงสรา้ งแบบผสม คอื มีทั้งแบบรวมศนู ยแ์ ละกระจายศูนย์ ซ่งึ พบมากในการจัดการศึกษา นอกระบบโรงเรียน เนื่องจากการเรียนรมู้ ไิ ดอ้ าศัยสอ่ื ใดสื่อหน่ึงเปน็ หลัก หากแต่มีการผสมผสานส่ือบคุ คล และ เทคโนโลยีจึงจาเปน็ ต้องจัดระบบเครอื ขา่ ยแบบผสม เพ่อื สนองความต้องการไดอ้ ย่างกว้างขวางและตรง 3. แบ่งตามหน่วยสังคม ไดแ้ บ่งการเครอื ขา่ ยการเรยี นรูอ้ อกเป็น 4 ระดบั คอื เครอื ขา่ ยการเรียนรรู้ ะดบั บุคคล เครือข่ายการเรียนร้รู ะดบั กลมุ่ เครอื ข่ายการเรียนร้รู ะดบั ชมุ ชน และเครอื ขา่ ยการเรยี นรรู้ ะดับสถาบัน 4. แบ่งตามระดบั การปกครองและลกั ษณะของงาน ซ่ึง ประเวศ วะสี (2538) ได้แบ่งประเภทของเครอื ขา่ ยการ เรยี นรอู้ อกเป็น 13 ประเภท คอื เครอื ข่ายชมุ ชนเครอื ข่ายนกั พฒั นา เครือข่ายระดับจังหวดั เครอื ข่ายภาครัฐ เครือข่ายวิชาชีพ เครอื ขา่ ยธรุ กิจ เครือข่ายส่ือสารมวลชน เครือขา่ ยนกั ฝึกอบรม เครอื ขา่ ยการประมวลและ สังเคราะหอ์ งคค์ วามร้รู ะดับชาติ เครอื ข่ายภาคสาธารณะ เครือขา่ ยวิชาการ เครอื ข่ายนโยบายองค์กรของรฐั และ เครอื ขา่ ยผู้ทรงคุณวฒุ ิ 5.6 ตวั อย่างเครอื ข่ายการเรียนรู้ 1. เครือขา่ ยไทยสาร เป็นเครือข่ายเชอ่ื มโยงสถาบันการศึกษาตา่ ง ๆ ระดับมหาวทิ ยาลัยเข้าด้วยกนั กวา่ 50 สถาบนั เรม่ิ จดั สรา้ งในปีพ.ศ.2535

85 2. เครือข่ายยูนเิ น็ต (UNINET) เป็นเครอื ขา่ ยเพื่อการเรยี นการสอนท่สี าคญั ในยุคโลกาภวิ ฒั น์ จดั ทาโดยทบวง มหาวทิ ยาลัย ในปี พ.ศ. 2540 3. สคูลเนต็ (SchoolNet) เป็นเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์เพอ่ื โรงเรยี นไทย ไดร้ บั การดแู ลและสนบั สนนุ โดยศูนย์ เทคโนโลยีอิเลก็ ทรอนกิ ส์และคอมพวิ เตอรแ์ ห่งชาติ เครอื ข่ายนเ้ี ชื่อมโยงโรงเรียนในประเทศไทยไวก้ วา่ 100 แห่ง และเปดิ โอกาสให้โรงเรียนอ่นื ๆ และบุคคลที่สนใจเรยี กเขา้ เครือขา่ ยได้ 4. เครอื ข่ายนนทรี เปน็ เครอื ข่ายของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นับเป็นเครือข่ายท่ีสมบูรณ์แบบและใช้เทคโนโลยี ช้นั สูง สามารถตอบสนองความตอ้ งการใช้ของนสิ ติ อาจารย์ ข้าราชการ ตลอดจนการรองรับทางด้านทรัพยากร เซอรเ์ วอร์อย่างพอเพียง 5. เครอื ข่ายกระจายเสียงวทิ ยุ อสมท. จะรวมผงั รายการวทิ ยุในเครือข่าย อสมท. มีไฟลเ์ สียงรบั ฟังทางอนิ เทอร์เน็ต ได้. 6. เครอื ข่ายสมานฉนั ท์เพื่อการปฏริ ูปการเมอื ง เป็นเครอื ข่ายท่ีใช้แลกเปลีย่ นความคิดเหน็ ประเด็นตา่ ง ๆ ทาง การเมอื ง และบทวิเคราะหด์ ้านการเมอื ง 7. ThaiSafeNet.Org เปน็ เครือขา่ ยผ้ปู กครองออนไลน์ มีพนั ธกจิ ดา้ นการเชื่อมโยงครู ผปู้ กครอง นักการศกึ ษา … โครงการพัฒนาเครือข่ายผปู้ กครองออนไลน์ พันธกจิ : ฝกึ อบรมครู ผปู้ กครอง 8. เครอื ขา่ ยพุทธกิ า รวมตวั อยา่ งหนงั สือเครอื ขา่ ยพุทธิกาเพ่ือพระพุทธศาสนาและสังคม 5.7 ความสาคญั ของแหล่งเรยี นรแู้ ละเครือขา่ ยการเรียนรู้ ความสาคญั ของแหลง่ เรยี นรู้ แหล่งเรียนรู้มคี วามความสาคญั กับผเู้ รยี น ซงึ่ ไดร้ บั ความรจู้ ากแหลง่ เรียนรู้ท่ีหลากหลาย ซ่ึงมผี ใู้ หค้ วามหมาย เกีย่ วกับความสาคัญของแหล่งเรยี นรดู้ ังต่อไปน้ี กงิ่ แก้ว อารรี กั ษ์ (2548 : 118) ให้ความสาคัญของการศึกษาโดยใช้ แหลง่ เรยี นรู้ ไวด้ ังนี้ กระตุ้นใหเ้ กิดการเรียนรเู้ รือ่ งใดเรอื่ งหนง่ึ โดยอาศัยการมีปฏสิ ัมพนั ธก์ บั สื่อที่หลากหลาย 2. ช่วยเสรมิ สรา้ งการเรยี นร้ใู หล้ กึ ซึง้ ขนึ้ โดยใช้เวลาในการรวบรวมข้อมลู สะท้อนความคิดเห็นจากแหลง่ การเรยี นรู้ 3. กระตุ้นมงุ่ เน้นลกึ ในเรอื่ งใดเรอื่ งหนงึ่ ซงึ่ ผลกั ดันให้ผเู้ รยี นแสวงหาขอ้ มูลที่เกยี่ วข้องเพ่ิมมากขึ้น สามารถสรา้ ง ผลผลติ ในการเรยี นรูท้ ่มี คี ุณภาพสงู ขนึ้ 4. เสรมิ สร้างการเรียนรู้ จนเกิดทกั ษะการแสวงหาข้อมูลท่ีมีประสิทธิภาพ โดยอาศยั การสรา้ งความตระหนักเชิง มโนทัศน์เกี่ยวกบั ธรรมชาติและความแตกต่างของข้อมูล 5. แหล่งการเรยี นรู้เสริมสรา้ งการพฒั นาการคิด เชน่ การแกป้ ัญหา การให้เหตผุ ล และการประเมนิ อย่างมีวจิ าร ญาณ โดยอาศัยกระบวนการวจิ ัยอสิ ระ 6. เปล่ียนเจตคติของครแู ละผเู้ รยี นทม่ี ีต่อเน้อื หารายวิชา และผลสมั ฤทธิ์ ทางการเรยี น 7. พฒั นาทักษะการวิจัยและความเชื่อมน่ั ในตนเองในการคน้ หาข้อมูล 8. เพิม่ ผลสมั ฤทธ์ิด้านวิชาการ ในด้านเนื้อหา เจตคติ และการคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณ โดยอาศยั แหลง่ การเรยี นรู้ท่ี หลากหลายในการเรยี นรู้ การจดั การเรยี นรูบ้ นเครือขา่ ยอนิ เทอร์เน็ต Online learning คาน้ี หลายๆคนคงสงสยั ว่า เหมือนกบั e-learning ไหม ท่จี รงิ ทัง้ Online learning กบั e-

86 learning มาจากพืน้ ฐานเดยี วกนั ทีเ่ ปน็ การพฒั นานาเอาบทเรยี น เน้ือหาสาระ ในลกั ษณะเชน่ เดียวกนั Computer Based Learning แต่ Online Learnig และ e-learning กม็ ขี ้อแตกตา่ งกนั ในหลายๆดา้ น จาก diagram ดา้ นบน Online learning เป็นรปู แบบการเรยี นร้ทู ่พี ัฒนาตอ่ มาจาก CAI หรือ Computer Based Learning ลกั ษณะของการเรยี นรู้แบบ online learning มมี ากกวา่ CAI ก็คอื การปฎสิ ัมพนั ธ์ CAI มีระหว่าง ผเู้ รียน กบั ตวั ส่อื บทเรยี น แต่ ลักษณะ online learning จะสามารถปฎสิ มั พันธร์ ่วมกนั ระหว่าง ผเู้ รยี นกับผเู้ รียน และผูเ้ รยี นกบั ครผู ู้สอนไดด้ ว้ ย ซ่ึงรปู แบบการเรยี นแบบ online น้ี ตอบสนองให้ผเู้ รียนเป็นศนู ยก์ ลางผเู้ รียน รบั ผดิ ชอบผลทีไ่ ด้รบั จากการเรียน โดยครู จะทาหนา้ ทใ่ี หก้ ารสนบั สนนุ และใหค้ าแนะนามากกว่าให้นกั เรียนจด ข้อมูลต่างๆในห้องเรียนผ้สู นบั สนนุ จัดหานักเรียนจากแนวทีก่ าหนดไว้ และ กิจกรรมในการเรยี นใหน้ กั เรยี นหา ขอ้ สรปุ และตอบกลบั โดยการหาข้อมูลจากหลายๆ แหลง่ หนังสือ และสง่ิ ตีพิมพเ์ ปน็ แหลง่ ขอ้ มลู ทสี่ าคัญรวมถงึ เพอ่ื นรว่ มชั้นเรยี นและไม่ควรมองขา้ มเรือ่ งสถานทท่ี ่ีจะใช้ ความหมายของ online-learning คาว่า Online Learning หมายถงึ การเรียนในลักษณะใดก็ได้ ซึ่งใชก้ ารถ่ายทอดเนื้อหาผ่านช่องทางเครือข่าย อนิ เทอร์เน็ต ซ่งึ เน้ือหา สารสนเทศอาจอยู่ในรูปแบบการเรียนดว้ ยขอ้ ความพร้อมสอื่ ประกอบอืน่ หรอื มี กระบวนการ Interactive (ทมี่ ีการโต้ตอบระหว่างผเู้ รียนกบั ตวั engine ท่ีมีลกั ษณะคลา้ ยกับโปรแกรมคอมพวิ เตอร์ ชว่ ยสอน) ปัจจบุ ัน เม่อื กล่าวถึง online-learning คนสว่ นใหญจ่ ะหมายถงึ การเรยี นเนอ้ื หา หรือ สารสนเทศ ซง่ึ ออกแบบมา สาหรับการสอนหรือการอบรม ซง่ึ ใชเ้ ทคโนโลยีของเว็บในการถา่ ยทอดเนอ้ื หา และเทคโนโลยีระบบการบรหิ าร รายวิชา (Course Management System) ซึ่งการถ่ายทอดเนื้อหาสามารถแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ คือ เนน้ ข้อความออนไลน์ (Text Online) เปน็ การนาเสนอเนอ้ื หาในรูปของข้อความเป็นหลัก โดยเนน้ เน้อื หาทเ่ี ปน็ ขอ้ ความและตัวอักษร มีลกั ษณะเชน่ เดียวกับการสอนบนเว็บ (WBI) รายวชิ าออนไลนเ์ ชงิ โตต้ อบและประหยดั (Low Cost Interactive Online Course) เป็นการนาเสนอเนอื้ หาในรูป ของตัวอักษร ภาพ เสยี งและวีดทิ ัศนท์ ผ่ี ลิตขึน้ มาอย่างง่าย ๆ นอกจากน้ยี งั มีการพัฒนาระบบการบรหิ ารรายวิชา เพือ่ ช่วยใหผ้ ู้ใช้ปรบั ปรุงเนอื้ หาให้ทันสมยั ได้อย่างสะดวก รายวิชาออนไลนค์ ุณภาพสงู (High Quality Online Course) เป็นการนาเสนอเนอ้ื หาในลักษณะของส่ือประสมท่ี ไดร้ บั การออกแบบและพฒั นาอยา่ งมีประสิทธภิ าพ นอกจากนม้ี ีการเน้นการเขา้ ถึงเน้อื หาตามความต้องการใน ลกั ษณะทีไ่ มเ่ ปน็ เชงิ เสน้ ตรง มกี ารออกแบบกิจกรรมซ่ึงผู้เรียนสามารถโต้ตอบกับเนื้อหา รวมท้ังมีแบบฝกึ หัดและ แบบทดสอบให้ผเู้ รียนสามารถตรวจสอบความเขา้ ใจได้ หลังจากนนั้ ผู้สอนอาจนดั หมายผู้เรียนมาพบ เพอื่ เน้นยา้ ประเด็นสาคัญ ๆ ท่ผี ู้สอนทราบว่าผู้เรยี นมกั เกดิ ปญั หา หรือตอบปญั หาท่ผี เู้ รยี นพบจากการท่ีได้ศึกษาดว้ ยตนเอง แล้วก่อนทจี่ ะมาเขา้ ชนั้ เรยี นนัน่ เอง นอกจากนีห้ นว่ ยงานวจิ ยั นกั การศึกษา สถานศกึ ษาต่างๆ ยงั ใหค้ วามหมายของ Online -learning ไว้อกี หลาย ความหมาย อาทิ การจดั การเรยี นร้แู บบออนไลน์(Online Learning) เปน็ อีกหนง่ึ รปู แบบของการจัดการเรียนรูท้ ี่ได้รบั ความนิยมเปน็ อยา่ งมากในยคุ ปัจจุบัน สถานศึกษา มหาวทิ ยาลัยตา่ งกใ็ ห้ความสาคญั กบั การจดั การเรยี นร้แู บบออนไลน์ เพราะ ช่วยใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การเรยี นร้ไู ด้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ การทเ่ี ราจะจัดการเรยี นการสอนแบบออนไลนใ์ ห้มี ประสิทธภิ าพ เราต้องเขา้ ใจ แนวคิด หลักการท่สี าคัญ การประยุกตใ์ ชเ้ ทคโนโลยตี า่ งๆ นามาออกแบบกิจกรรมการ

87 เรียนการสอน คุณสมบัติของครอู อนไลน์ การเตรยี มความพร้อมของผเู้ รยี น การเตรียมเคร่อื งมืออปุ กรณต์ ่างๆ การ บริหารจดั การคอรส์ การสรา้ งชุมชนออนไลน์ เป็นต้น เพ่ือให้การเรียนการสอนมีประสิทธภิ าพ ผู้เรียนรู้สึกสนุกไป กบั การเรียน online learning คือ การเรียนโดยผเู้ รียนเป็นศูนย์กลาง ผเู้ รยี นรบั ผิดชอบผลทไี่ ด้รบั จากการเรียน โดยใหก้ าร สนบั สนนุ และใหค้ าแนะนามากกวา่ ให้นักเรียนจดข้อมลู ต่างๆในห้องเรยี นผูส้ นับสนนุ จดั หานักเรยี นจากแนวท่ี กาหนดไว้ และ กิจกรรมในการเรียนใหน้ ักเรยี นหาขอ้ สรุปและตอบกลับโดยการหาข้อมูลจากหลายๆ แหล่งหนงั สือ และสิง่ ตพี ิมพ์เป็นแหล่งข้อมูลท่ีสาคญั รวมถึงเพอ่ื นร่วมชัน้ เรยี น และไม่ควรมองข้ามเร่อื งสถานทีท่ ี่จะใช้ จากคานยิ าม online learning เน้นกระบวนการ นอกจากการสะสมข้อมลู การจดจา online learning ยงั กอ่ ใหเ้ กิดการแลกเปล่ยี น(กระบวนการ),การประเมนิ ค่า,และการประยุกต์ใช้ข้อมูลความสามารถทางเทคโนโลยีของ คอมพวิ เตอร์ และอินเตอร์เน็ต ช่วยให้กระบวนการต่างๆ บรรลผุ ลไดอ้ ย่างรวดเร็ว และทาใหเ้ ข้าใจไดค้ รอบคลุม เทคโนโลยีใหม่ๆ online learning..กระบวนการปฏิรปู (การเปลี่ยนแปลง)การเรยี นในหอ้ งเรียนเสมอื น เทคโนโลยีเป็นศาสตร์และ ศลิ ป์ ในการใช้เทคโนโลยีเชงิ ปฏิสมั พันธ์ ไมใ่ ชเ่ ปน็ เคร่อื งมอื ช่วยในการเรียน แต่เปรยี บเสมอื นการเขยี นให้เห็น ทางไกล สาหรบั การเรียน เป็นส่ิงที่ถูกต้องท่วี ่านักเรียนเป็นศูนยก์ ลางของการเรียน เม่อื เทคโนโลยีถูกนามาใช้ เพราะเทคโนโลยสี รา้ งองคป์ ระกอบแวดล้อมและโอกาสในการเรียนไดห้ ลากหลายรูปแบบ ผู้สนับสนุนเรยี นรวู้ ิธีการ ใหมใ่ นขณะท่ีเทคโนโลยีแสดงถงึ ความซับซ้อนในระดับตา่ งๆ,การประสทิ ธิภาพในการเรยี น ได้มากข้ึน เพราะฉะนนั้ เป็นสิง่ ถกู ตอ้ งที่ว่า การเรียนคือศนู ย์กลางในห้องเรียนเสมอื นหลักสูตรการเรยี น online ต้องการความรว่ มมือและ การปฏิสมั พนั ธใ์ นระดับสงู เพื่อคน้ หา,ประเมนิ คา่ ,และปฏบิ ัตกิ ารโดยไมม่ ขี อ้ จากัดของจานวนขอ้ มลู ทีม่ อี ยู่และเป็นประโยชน์โดยผสู้ นับสนุน สมมตุ กิ ฎของผนู้ าและผู้เรยี น online-learning ให้อะไรแกเ่ ราบ้าง คาถามทม่ี ักจะมีผถู้ ามบอ่ ยคร้งั เม่ือมีการตงั้ ประเด็นสนทนา เกย่ี วกับ online-learning คอื online-learning จะ ให้อะไรแก่เราบา้ งถ้า ตอบอยา่ งรวบรดั กพ็ อมีคาตอบได้หลายประการอาทิ

88 1) ความรวดเรว็ และผลกระทบทมี่ ีตอ่ การพัฒนาตาม เปา้ หมายและวัตถุประสงคข์ องการเรยี นรู้ เพราะ online- learning ให้บรกิ ารผ่านสอ่ื ท่ใี ช้เทคโนโลยีคอมพวิ เตอร์ เป็นหลกั จงึ มีขอ้ ได้เปรียบท่ีสามารถนาผู้เรียนเขา้ สู่บทเรยี น ได้อยา่ งรวดเร็วโดยผู้เรียน แทบไม่เสียเวลาในการรอเพอ่ื เขา้ สูบ่ ทเรียนนั้นๆ เลยนอกจากนนั้ ผู้เรยี นสามารถเลือกท่ี จะเขา้ เรียนในบทเรียนใดกอ่ นหรือหลังไดด้ ว้ ยตวั เอง โดยที่ไมต่ ้องเรียนตามลาดบั ของบทเรยี นในรายวิชาน้นั ซึ่ง นบั เปน็ จุดเด่นของการเรยี นแบบ online-learning 2) ความทนั สมยั อยู่เสมอของหลักสตู รการอบรม การท่ผี ้เู รยี นสามารถเลือกบทเรียนและจดั ลาดับของการเรยี นดว้ ย ตนเองในบริการแบบ online-learningทาให้สามารถ สนองตอบพฤตกิ รรมการเรียนรขู้ องแต่ละบคุ คลได้เปน็ อย่าง ดี เพราะผู้เรียนบางคนมพี ฤติกรรมที่จะเลอื กเรยี นในหวั ข้อหรอื บทเรยี นที่ตนคดิ ว่ามปี ระโยชน์หรอื สามารถตอบ ปญั หาท่ีตนสงสัย ในขณะน้นั ก่อนแลว้ จงึ เรยี นบทเรียนอน่ื ๆภายหลงั นอกจากนนั้ การ ที่ผเู้ รียนสามารถเลือก สถานทเี่ วลา และชว่ งเวลาท่ีผู้เรยี นรสู้ กึ วา่ สะดวกสบาย หรือเหมาะสมต่อการเรยี นรขู้ องตนทส่ี ดุ การเรยี น ย่อมเกิด จากความเตม็ ใจและมคี วามกระตอื รือร้นทจ่ี ะเรยี นรทู้ าให้ เกดิ สมั ฤทธิผลของการเรยี นรู้ และการทผ่ี พู้ ฒั นาระบบ online-learning มกี ารปรบั ปรงุ ข้อมลู ในบทเรียนของตนให้ทันสมัยอยเู่ สมอจะส่งผล ให้ผเู้ รยี นผู้เรียนได้รบั ความรู้ ทเี่ หมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน 3) เปน็ การศกึ ษาท่เี สียตน้ ทุนตา่ ทง้ั นเ้ี พราะผ้เู รยี นสามารถ เรยี นจากแหล่งที่มีการเช่ือมโยงเครือข่ายทใ่ี กล้กับทพี่ ัก อาศัยหรือ แหลง่ ทีผ่ ู้เรียนสะดวกทสี่ ุด และสว่ นใหญ่ผเู้ รยี นเสยี คา่ สมัครครง้ั เดยี วแต่สามารถเรียนบทเรียนน้นั ๆ ได้ หลายครัง้ ไม่มีการจากดั จานวนคร้งั ท่เี รียน การสอบเพอื่ วัดผลกส็ ามารถทาไดจ้ ากสถานท่ีเดยี วกับทีเ่ รยี น ดงั น้นั เม่ือมองในแง่ของการเปรยี บเทยี บต้นทนุ แหง่ ค่าเสียโอกาส (Opportunity cost) แล้ว online-learning มีต้นทุน ตอ่ หน่วยสาหรับผู้เรียนตา่ การการเรยี นโดยปกติเพราะไม่มี ค่าเดินทาง คา่ ทพ่ี กั (ในกรณีที่ผู้เรยี นอยู่ไกล สถานศึกษา) และสามารถเรยี น ไปในขณะทกี่ าลังทางานอย่ใู นทีท่ างานด้วย (ในชว่ งท่ีมเี วลาว่าง หรอื นายจ้าง อนุญาติ) โดยไม่ตอ้ งทิง้ งานเพือ่ เดนิ ทางไปเรียนในสว่ น ของผพู้ ัฒนาบทเรยี นเองก็เสียต้นทุนตา่ เพราะเสยี ตน้ ทุนใน การพัฒนาครง้ั เดยี ว กส็ ามารถนาไปใชง้ านไดห้ ลายต่อหลายคร้งั โดยจะเสียค่าใช้จา่ ยเพ่มิ เป็นครงั้ คราว เฉพาะเพอื่ การบารงุ รักษาข้อมูล อุปกรณ์ท่ีให้บรกิ ารและคา่ ใชจ้ า่ ยในการปรบั ปรุงข้อมลู เท่านนั้ ซงึ่ จะต่ากว่าท่จี ะต้องพฒั นา บทเรียนใหม่ทกุ ครงั้ ท่ีจะใหบ้ รกิ ารอย่างเห็นได้ชดั ดงั น้ันผูใ้ ห้บรกิ ารสามารถคดิ ค่าบริการในการ เรียนในราคาไม่ แพงนักเพือ่ แขง่ ขันกบั ผปู้ ระกอบการรายอนื่ ลกั ษณะเฉพาะทสี่ าคญั ของ online-learning ประเภทของ Online-learning online-learning คนสว่ นใหญ่จะหมายถงึ การเรียนเนื้อหา หรือ สารสนเทศ ซึ่งออกแบบมาสาหรับการสอนหรือ การอบรม ซ่งึ ใชเ้ ทคโนโลยีของเว็บในการถ่ายทอดเนอ้ื หา และเทคโนโลยีระบบการบรหิ ารรายวชิ า (Course Management System) ซึ่งการถา่ ยทอดเน้ือหาสามารถแบง่ ออกเปน็ 3 ลักษณะ คอื 1. เนน้ ข้อความออนไลน์ (Text Online) เป็นการนาเสนอเนือ้ หาในรปู ของขอ้ ความเป็นหลักโดยเนน้ เนอ้ื หาทเี่ ปน็ ขอ้ ความและตัวอักษรมลี ักษณะ เชน่ เดยี วกบั การสอนบนเว็บ (WBI) 2. รายวชิ าออนไลนเ์ ชิงโตต้ อบและประหยัด (Low Cost Interactive Online Course) เป็นการนาเสนอเนือ้ หาในรปู ของตวั อักษร ภาพ เสียงและวีดทิ ศั น์ที่ผลติ ข้นึ มาอยา่ งงา่ ยๆ นอกจากนีย้ ังมีการพฒั นา ระบบการบริหารรายวิชา เพ่อื ช่วยให้ผใู้ ช้ปรบั ปรุงเน้ือหาให้ทนั สมัยไดอ้ ยา่ งสะดวก

89 3. รายวชิ าออนไลน์คณุ ภาพสูง (High Quality Online Course) เปน็ การนาเสนอเนอ้ื หาในลักษณะของส่อื ประสมทไี่ ด้รับการออกแบบและพัฒนาอย่างมปี ระสิทธิภาพ นอกจากนี้มี การเนน้ การเขา้ ถึงเนื้อหาตามความตอ้ งการในลกั ษณะที่ไมเ่ ปน็ เชิงเส้นตรง มกี ารออกแบบกิจกรรมซึ่งผ้เู รยี น สามารถโต้ตอบกบั เนอ้ื หา รวมท้งั มแี บบฝึกหัดและแบบทดสอบให้ผเู้ รยี นสามารถตรวจสอบความเข้าใจได้ หลงั จาก น้ันผ้สู อนอาจนัดหมายผเู้ รยี นมาพบ เพอ่ื เน้นย้าประเดน็ สาคญั ๆ ทผี่ ู้สอนทราบวา่ ผู้เรยี นมักเกิดปัญหา หรอื ตอบ ปญั หาท่ผี ูเ้ รียนพบจากการที่ไดศ้ ึกษาดว้ ยตนเองแล้วก่อนทีจ่ ะมาเข้าชนั้ เรยี นน่นั เอง 2.10 ระบบการสืบค้นผา่ นเครือข่ายเพอ่ื การเรียนรู้ อนิ เทอร์เน็ตมาใช้ในการศกึ ษาสามารถทาไดห้ ลายรปู แบบด้วยกัน การประยกุ ต์นต็ เป็นเครือข่ายที่สามารถตดิ ต่อสื่อสารกันไดก้ ับแหลง่ ที่เชื่อมตอ่ เขา้ ดว้ ยกัน สามารถสบื ค้นขอ้ มูลได้ และมสี ถาบันต่าง ๆ ท้งั ภาครฐั และเอกชนท่วั โลกได้เชื่อมเครือข่ายร่วมกัน จงึ เปน็ แหลง่ ที่จะสบื ค้นข้อมลู เพ่ือนามา ศกึ ษาหาความรไู้ ด้ การนาอนิ เทอร์เนใ็ ชง้ านเครือข่ายอินเทอรเ์ น็ตทางการศึกษา ดังนี้ การใชเ้ ครอื ข่ายเพอ่ื การติดตอ่ สือ่ สารเปน็ การติดต่อระหวา่ งผู้เรียนกับผู้สอน เพ่อื สง่ รายงาน การบา้ น วทิ ยานพิ นธ์ ในรูปแบบแฟม้ ข้อมูล การเปน็ สมาชิกกล่มุ สนทนาเพอ่ื เป็นเวทแี ลกเปล่ียนความคดิ เหน็ เผยแพร่ผลงานวจิ ยั ชว่ ยเหลือซึง่ กันและกันทางด้านวชิ าการ และแจ้งขา่ วความเคลือ่ นไหวทางวชิ าการ การใชเ้ ครือข่ายเพอื่ การสบื คน้ ขอ้ มูลซ่ึงผเู้ รยี น นักวจิ ัย และ ผู้สอนสามารถสืบคน้ จากฐานขอ้ มูลทางการศกึ ษา และ Online Library Catalog ของหอ้ งสมดุ ตา่ ง ๆ ที่เชื่อมโยงในอนิ เทอรเ์ น็ตจากประเทศในทวปี ตา่ ง ๆ ทวั่ โลก

90 การใชเ้ ครอื ข่ายเพอ่ื การสอน หรือการสอนทางไกลโดยผ่านเครอื ข่าย โดยเปดิ เปน็ หลักสตู รการสอนในระดับ ปรญิ ญาและในแบบประกาศนยี บัตร เรยี กว่าOnline Program ซง่ึ ผู้เรยี นสามารถสมัครและเรียนผ่านเครือขา่ ย อินเทอรเ์ น็ต สว่ นกิจกรรมการเรียนการสอน เอกสารและการติดตอ่ ต่าง ๆ อยู่ในรูปของแฟม้ ขอ้ มูลอเิ ล็กทรอนกิ ส์ การใช้ Internet ในชีวติ ประจาวันสง่ ผลในด้านการศึกษา เราต่อเขา้ กับอนิ เตอรเ์ นต็ เพื่อคน้ ควา้ หาขอ้ มลู ได้ ไมว่ า่ จะเปน็ ข้อมูลทางวชิ าการจากทต่ี ่าง ๆ ซ่ึงในกรณีนี้ อินเตอรเ์ นต็ จะทาหนา้ ที่เหมือนหอ้ งสมดุ ขนาดยักษ์ สง่ ขอ้ มูล ทีเ่ ราต้องการ มาให้ถงึ บนจอคอมพิวเตอรท์ ่ีบ้านหรือทีท่ างานของเรา ไมก่ ่ีวนิ าทีจากแหลง่ ข้อมูลทัว่ โลก ไม่วา่ จะเปน็ ขอ้ มูลดา้ นวทิ ยาศาสตร์ วศิ วกรรม ศิลปกรรม สังคมศาสตร์ กฎหมาย ความบันเทงิ และการ พกั ผ่อนหย่อนใจ หรอื สันทนาการ เช่น เลอื กอา่ นวารสารต่างๆ ผา่ นอินเตอร์เนต็ ที่เรยี กวา่ magazine แบบ online รวมถงึ หนังสือพมิ พ์ และขา่ วสารอื่น ๆ โดยมภี าพประกอบบนจอคอมพวิ เตอร์ เหมอื นกับหนงั สือ การใชอ้ นิ เตอรเ์ นต็ เพือ่ การคน้ หาข้อมูลในการเรยี นรดู้ ้วยตนเอง เน่ืองจากขอ้ มลู ท่ีอยบู่ นเครือข่ายอนิ เตอรเ์ นต็ ในปจั จุบนั มีมากมายและกระจดั กระจายอยตู่ ามทตี่ ่างๆ ดังนนั้ ผใู้ ช้ อินเตอร์เนต็ จึงจาเป็นต้องเรยี นรวู้ ธิ ีการใชบ้ รกิ ารอินเตอรเ์ น็ตและเลือกใช้ใหเ้ หมาะสม เพ่อื การคน้ หาขอ้ มูลในการ เรยี นรู้ด้วยตนเองอย่างมีประสิทธภิ าพ โดยสามารถใช้อนิ เตอรเ์ นต็ ในการสบื คน้ ข้อมลู ศึกษา คน้ ควา้ และวิจยั ได้ หลายวธิ ีดว้ ยกนั วิธีทีเ่ ปน็ ที่นยิ มมากทส่ี ุดในปจั จบุ ัน คอื การสบื ค้นทางเวิลด์ไวด์เวบ็ เนื่องจากสามารถรองรบั ข้อมลู ไดห้ ลายๆ รปู แบบ และเชอ่ื มโยงข้อมูลท่ีเกี่ยวเน่ืองกนั ให้เราไดศ้ กึ ษาอย่างสะดวกสบาย และมีซอฟตแ์ วร์ สาหรับอา่ นข้อมลู ในเว็บท่สี มบรู ณ์แบบมากการค้นหาขอ้ มูล ใน การเรยี นรู้ดว้ ยตนเองอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ จาเป็นต้องใชเ้ ครอ่ื งมือชว่ ยคน้ (Search engine) ซ่งึ ซอฟตแ์ วรส์ าหรับ อา่ นข้อมูลในเวบ็ (Web Browser) สว่ นใหญบ่ รกิ ารเช่ือมตอ่ กับเครอื่ งมือเหล่านไ้ี วใ้ หแ้ ลว้ ผู้ใช้เพยี งแตก่ ดปุ่ม สาหรับเรียกเครื่องมอื น้ีขึ้นมา พมิ พ์คา หรือข้อความทต่ี ้องการสืบคน้ ลงไป เคร่อื งกจ็ ะแสดงผลการคน้ โดยการ

91 แสดงช่ือของขอ้ มูลท่เี ราตอ้ งการศึกษา (Web Page) ซ่ึงถ้าต้องการเขา้ ไปอา่ น ก็สามารถกดลงไปบนช่ือนัน้ ได้เลย ขอ้ มูลดังกล่าวจะปรากฏบนจอไมว่ า่ จะเป็นข้อมลู จากเครอ่ื งคอมพวิ เตอรเ์ คร่ืองใดในโลกกต็ าม นอกจากน้ีการเขา้ ใชค้ อมพวิ เตอรเ์ ครื่องอน่ื ๆ ทต่ี ่ออยู่กบั เครอื ขา่ ย และมีการอนุญาตให้เขา้ ไปใช้ได้ เช่น การติดตอ่ เขา้ สูเ่ ครือ่ งคอมพิวเตอร์ของห้องสมุดเพ่อื ค้นหา ยืม ตอ่ เวลาการยมื หรอื การจองหนงั สอื ส่ิงพิมพต์ า่ ง ๆ ก็เปน็ ท่ี นยิ มกันมาก ปจั จุบันมหี อ้ งสมุดหลายแห่งเปิดให้บรกิ ารบรกิ ารนส้ี ามารถเข้าใช้ได้โดยการ ใช้คาสัง่ Telnet และ ตามด้วยชื่อเครอื่ ง หรอื หมายเลขของเครือ่ งแลว้ พิมพ์ช่ือในการขอเข้าใช้ (Login) บางเครอื่ งอาจต้องใชร้ หัสลบั (Password) ด้วย หลงั จากนั้นตอ้ งทาตามคาสงั่ ที่ปรากฏบนจอ ซึง่ จะแตกต่างกนั ไปในแตล่ ะระบบของเครือ่ ง นอกจากหอ้ งสมดุ แลว้ เราอาจจะใช้คอมพิวเตอร์ที่เปน็ ฐานข้อมลู ต่าง ๆ ได้ด้วย โดยในบางฐานขอ้ มลู นอกจากผู้ใช้ จะเขา้ ไปค้นหาบทความที่เคยตพี มิ พใ์ นวารสารตา่ ง ๆ แลว้ ยังสามารถใชบ้ รกิ ารพิเศษอื่น ๆ เชน่ บริการส่งอีเมล์แจง้ ให้ทราบเกย่ี วกับบทความใหม่ ๆ ทไี่ ดต้ พี มิ พใ์ นวารสารการศกึ ษาที่สนใจเลม่ ล่าสดุ โดยต้องมีการกาหนดชื่อของ วารสารท่สี นใจไว้ล่วงหนา้ หรอื มีบริการสง่ แฟกซ์ บทความนนั้ ให้แก่ผใู้ ช้ทีส่ นใจ อินเทอร์เนต็ เป็นเทคโนโลยีสารสนเทศทมี่ ีบทบาทในยคุ นี้ โดยการนาความรู้ การเชื่อมโยงแหลง่ ความรมู้ าประกอบ กนั เพ่ือใหผ้ ู้เรียน ที่ตอ้ งการเรียนรูใ้ หเ้ ขา้ ถึงได้จึงนบั วา่ เปน็ ประโยชน์ต่อวงการศึกษาในการใชส้ บื คน้ ขอ้ มลู ต่างๆจาก ความจาเป็นและความสาคญั ของอนิ เทอรเ์ น็ตดังกลา่ ว ผูว้ จิ ัยจึงสนใจทีจ่ ะศึกษาพฤตกิ รรมการใช้อนิ เทอร์เน็ตเพ่อื การศกึ ษาของนกั ศกึ ษาสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกลา้ เจ้าคุณทหารลาดกระบงั ผลการวจิ ัยคร้ังนเ้ี ป็นประโยชน์ต่อ สถาบนั เพอื่ ใชใ้ นการวางแผนการบรหิ ารจดั การและการลงทนุ ด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสอ่ื สารเพอื่ เป็นประโยชน์สาหรับตัวเราเอง การใชอ้ ินเทอรเ์ นต็ เพอื่ การศึกษา ยคุ แห่งสังคมความรู้เปน็ ยุคที่นักการศกึ ษามีบทบาทต่อการพฒั นาทรัพยากรมนุษย์อยา่ งย่ิง อนิ เทอร์เนต็ เป็น ชอ่ งทางของการสง่ ขอ้ มลู ผ่านเครอื ข่ายคอมพวิ เตอรท์ ่ัวทงั้ โลกเราต่างก้าวหน้าผา่ นยุคแหง่ สังคมขา่ วสารมาแลว้ ซ่ึงท าใหป้ ระจกั ษไ์ ดว้ า่ ข่าวสารต่าง ๆ นนั้ จะเปน็ ประโยชนต์ ่อการพฒั นาประเทศท้งั ดา้ นเศรษฐกจิ สงั คมการศึกษา และ อนื่ ๆ ได้น้นั ตอ้ งอาศัยความร้ใู นการจัดการ

92 การใช้อนิ เทอร์เน็ตเพื่อการศึกษามีความหมายครอบคลุมกิจกรรมด้านการศึกษาทถี่ กู วางรูปแบบโดยครผู ้ทู าหนา้ ที่ ถา่ ยทอดความรู้ผ่านทางอินเทอรเ์ นต็ เน่อื งจากรูปแบบการส่ือสารและการควบคมุ นักเรียนทางไกลแบบOnline มี ลกั ษณะพเิ ศษที่แตกต่างจากการเรยี นการสอนในห้องเรียนซง่ึ ทากันเปน็ ปกติดงั นั้นเป้าหมายของการศกึ ษาผา่ น อินเทอรเ์ น็ตจึงประกอบดว้ ยวตั ถุประสงค์หลัก3ประการได้แกก่ ารสร้างกจิ กรรมการเรียนการสอนผา่ นเครือข่าย อนิ เทอร์เนต็ ให้เหมาะสมกับระดบั ผ้เู รยี น การเสริมทกั ษะและความร้เู พอื่ ให้ครูสามารถดาเนินการเรยี นการสอนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เนต็ ไดอ้ ย่างมี ประสิทธิภาพ การกาหนดเปา้ หมายการศึกษาเพ่อื สนบั สนุนการเรียนการสอน การสรา้ งกิจกรรมการเรียนการสอนผา่ นเครือข่ายอินเทอรเ์ นต็ กจิ กรรมการศกึ ษาในระบบเครอื ขา่ ย อนิ เทอรเ์ นต็ สามารถแสดงความสัมพันธข์ องกจิ กรรมต่าง ๆ เพราะจ านวนของผู้ใชอ้ ินเทอรเ์ นต็ ต่อการใช้ อินเทอรเ์ นต็ เพือ่ การศกึ ษามคี วามสัมพนั ธ์กนั ในอตั ราส่วนที่ลดลงโดยพบวา่ ขั้นพน้ื ฐานจะมีจ านวนประชากรทใ่ี ช้ อินเทอร์เน็ตมาก จานวนของผูใ้ ช้ที่มที กั ษะ หรือความสามารถในการใช้ประโยชนจ์ ากอนิ เทอร์เน็ตกลับมีจานวนท่ี ลดลงจากขอ้ เท็จจรงิ ดงั กล่าวทาใหว้ ธิ กี ารที่จะสรา้ งให้มีกิจกรรมเพ่อื การศึกษาผา่ นอินเทอร์เน็ตอยา่ งได้ผลจงึ จาเป็น อย่างย่ิงทจ่ี ะตอ้ งดาเนนิ การวางแผนเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์ใหเ้ ป็นบรกิ ารสาธารณูปโภคของประเทศทมี่ ี ประสิทธิภาพใหค้ รอบคลมุ ทกุ พื้นท่ใี นเวลาอนั รวดเรว็ ท่สี ดุ เท่าท่ีจะทาได้ซึ่งปจั จบุ นั มหาวิทยาลยั ต่างๆได้รบั การ สนับสนุนจากทบวงหาวิทยาลัย(Uninet)สว่ นโรงเรยี นระดบั มัธยมศึกษาก็ได้รบั การสนับสนนุ จาก SchoolnetThailand เช่นกนั การบริการอนิ เทอร์เนต็ ระดับพนื้ ฐาน แต่ละขั้นจะมรี ูปแบบของกิจกรรมการศึกษาที่ แตกตา่ งกนั การใช้ระบบเครือข่ายระดบั พืน้ ฐานคอื การใช้อนิ เทอร์เน็ตตามโครงสร้างของสาธารณูปโภคท่มี ีใช้กันอยู่ในทุกแหง่ สาเหตุทีจ่ ะทาให้กลุ่มผใู้ ชท้ ย่ี ังไมร่ ู้จกั เครือข่ายอินเทอร์เนต็ เปลย่ี นเจตคตมิ ายอมรบั เพือ่ เขา้ ร่วมในการใชร้ ะบบ เครอื ขา่ ยอินเทอร์เน็ตน่าจะเปน็ เพราะความสามารถในการสื่อสารระหวา่ งบคุ คลและความสามารถของ อินเทอร์เน็ตในการเขา้ ถงึ ข้อมลู ท่มี อี ย่ใู นคอมพิวเตอรเ์ คร่ืองอ่นื ๆ ท่วั โลกด้วยเวลาอนั รวดเร็วดว้ ยเหตุน้ีจงึ สามารถ แบ่งบริการทมี่ อี ยู่ในเครอื ข่ายอินเทอรเ์ น็ตไดว้ า่ เปน็ บริการดา้ นการสื่อสารระหว่างบุคคลต่อบคุ คล และบคุ คลตอ่ กลมุ่ บุคคล เปน็ บริการเพอ่ื การเขา้ ถึงแหล่งขอ้ มลู การใช้อนิ เทอรเ์ นต็ ในปัจจบุ นั ท่ีสามารถนามาเป็นตวั อยา่ งได้แก่ การใช้ e-mail ในการสื่อสารระหวา่ งบุคคล การใช้ WWW เพ่อื สบื หาและเข้าถงึ แหลง่ ข้อมูลต่าง ๆการเข้าถึง แหลง่ ขอ้ มลู และความรู้ ในปัจจบุ นั อินเทอร์เนต็ ถูกนามาใช้เพ่อื การสบื คน้ ขอ้ มลู มากทสี่ ุด ซงึ่ ผู้ใช้ที่มอี าชีพแตกตา่ ง กันยอ่ มใช้บริการทมี่ ีอยใู่ นปริมาณต่างกนั บา้ งเป็นการสืบค้นข้อมูลท่ีเป็นตัวอกั ษร บ้างก็เปน็ ข้อมลู ที่นาเสนอใน รูปแบบของมลั ตมิ ีเดีย ที่ล้วนแตแ่ ปลงเปน็ สัญญาณดิจิตอลแล้วทัง้ สิน้ ทางดา้ นการศกึ ษา อาจจะคล้ายคลึงกับการ ไปห้องสมดุ ทีห่ าตารา วารสาร โดยทม่ี บี รรณารักษค์ อยใหค้ าปรกึ ษา เพอ่ื จะได้ขอ้ มูลและความรู้ท่ีตอ้ งการ การใช้ ขอ้ มลู ต่าง ๆ ในอนิ เทอรเ์ น็ตก็เช่นเดยี ว เพราะผใู้ ช้สามารถ เข้าถงึ ข้อมลู ท่ีมอี ยทู่ ันที สามารถเข้ารว่ มกิจกรรมทางอินเทอรเ์ น็ตได้แม้จะอย่ตู า่ งสถานทีก่ ต็ าม เว้นเสยี แต่วา่ ใน การศึกษาครั้งน้นั มจี ุดประสงค์แตกต่างกนั การรว่ มกันใช้ข้อมลู แหล่งความรู้ การร่วมใชข้ อ้ มูลและแหลง่ ความร้เู ปน็ เร่ืองปกตขิ องกลุ่มผู้ใช้ทีต่ ้องการจะมปี ระสบการณ์ดา้ นการแลกเปล่ยี นความคดิ เหน็ และข้อมูลตา่ งๆในอนิ เทอร์เนต็ โดยทวั่ ไปแลว้ ผ้ใู ช้จะไม่เพียงแต่มีปฏิสมั พนั ธก์ บั ข้อมูลหรอื ผ้เู ช่ียวชาญเพียงลาพงั เท่าน้ัน แตจ่ ะเข้ารว่ มกิจกรรมทาง อนิ เทอรเ์ นต็ เช่น การแสดงความคิดเห็น การสนทนา ผ่านเครือขา่ ยกบผู้ที่มีความสนใจในเร่ืองเดียวกนั การสมคั ร เข้าเป็นสมาชกิ องคก์ ร

93 ต่าง ๆ เพอ่ื ร่วมกนั ใชข้ ้อมลู หรอื ร่วมแสดงความคดิ เหน็ การร่วมมอื ร่วมตัดสินใจ และร่วมกันบรหิ าร ปัจจบุ ันมี รปู แบบของการร่วมกนั ในเครือขา่ ยอยู่ 3 รูปแบบได้แก่ การรว่ มมือ รว่ มตัดสนิ ใจ และรว่ มกันบรหิ าร ซงึ่ เป็นการท างานระหวา่ งบุคคล ทยี่ ังบกพรอ่ งในรปู แบบทเี่ หมาะสมแมจ้ ะมจี ุดหมายเพือ่ การใชข้ อ้ มูลรว่ มกนั กต็ าม ย้อนกลบั ไป ยังประเดน็ การศึกษาซึ่งเป็นการรวมกนั ระหวา่ งการเรียนในโรงเรียนหรือการเรยี นทางไกลสาหรับผใู้ หญท่ จ่ี าเป็น จะต้องมกี ารสื่อสารกันตลอดเวลาครูผ้สู อนต้องจัดโปรแกรม กจิ กรรมการเรียนการสอน และการแลกเปลี่ยนข้อมูล เพ่ือใหก้ ระบวนการเรียนรู้ สาหรับ การเรยี นของนักเรียนกเ็ ชน่ กันทตี่ ้องจัดให้มีกิจกรรมท่จี ะร่วมกันทางานกับผอู้ น่ื เพอ่ื ใหเ้ กดิ บคุ ลิกภาพของการ ร่วมกันทางานหรือต้องการให้สร้างสังคมของการเรียนรแู้ บบรว่ มมอื นน้ั เอง 2.11 ระบบการสืบค้นเครอื ข่ายคอมพวิ เตอรพ์ น้ื ฐาน 1.2 การใชง้ านเครือขา่ ยคอมพิวเตอรก์ บั งานดา้ นต่างๆ 1.1 ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอรพ์ ้นื ฐาน (Network Basic) ความหมายของระบบเครือข่าย ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร ์(ComputerNetwork) คอื ระบบที่มกี ารเช่ือมต่อคอมพวิ เตอรต์ ง้ั แต่ 2 เครอ่ื งขึน้ ไป ผา่ นช่องทางการส่อื สารอยา่ งใดอย่างหนึ่ง และระบบเครือข่ายใดๆ สามารถมรี ะบบเครือขา่ ยย่อยมากกว่า 1 เครอื ข่ายอยูภ่ ายใน ความสาคญั ของระบบเครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์ 1. ทาให้เกิดการทางานในลักษณะกลุ่มในระหวา่ งเครือ่ ง และอุปกรณป์ ระกอบคอมพิวเตอร์ 2. เกดิ การใช้ทรพั ยากรรว่ มกันขึน้ โดยผ้ใู ชค้ อมพิวเตอร์ทกุ เครอื่ งท่อี ยู่ในเครือข่าย สามารถใช้ แฟม้ ข้อมลู ชุดคาสัง่ ขา่ วสารสารสนเทศต่างๆ ตลอดใชอ้ ุปกรณป์ ระกอบคอมพวิ เตอร์ทม่ี ีราคาแพงร่วมกนั ได้ เช่น เครื่องพมิ พ์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook