Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิจัยแบบฝึกทักษะการจัดการเรียนรู้รูปแบบโครงงาน

วิจัยแบบฝึกทักษะการจัดการเรียนรู้รูปแบบโครงงาน

Published by สุดโปรด หล่อเฟี้ยว, 2022-06-09 04:54:54

Description: วิจัยแบบฝึกทักษะการจัดการเรียนรู้รูปแบบโครงงาน

Keywords: วิจัยแบบฝึกทักษะการจัดการเรียนรู้รูปแบบโครงงาน

Search

Read the Text Version

45 = ผลรวมของความแปรปรวนของแตล่ ะข้อ = ความแปรปรวนของคะแนนรวม 2.4 หาความเชื่อม่ันของคาถามแบบข้อเขยี น โดยใชส้ ตู รวธิ สี ัมประสทิ ธแ์ิ อลฟาของ ครอนบาค (Cronbachs alpha coefficient method) คานวณได้จากสูตร (พงศเ์ ทพ จิระโร, 2552 หน้า 25 (9) เมอ่ื Alpha = สมั ประสิทธค์ิ วามเทย่ี งของข้อสอบ K = จานวนขอ้ สอบ S = ความแปรปรวนของข้อสอบแตล่ ะข้อ = ความแปรปรวนของข้อสอบทั้งฉบบั 3. สถิตทิ ีใ่ ช้ในกำรวเิ ครำะห์ประสิทธิภำพของชุดกิจกรรมกำรเรยี นรู้ 80/ 80 (E, E.) ดังนี้ (ชยั ยงค์ พรหมวงศ์, 2556, หน้า 10) 80 ตวั แรก (E) หมายถงึ ประสทิ ธภิ าพของกระบวนการเรยี นรู้ ซง่ึ รอ้ ยละคะแนนท้งั หมด ทเ่ี ก็บ รวบรวมระหว่างการจดั การเรียนการเรียนรู้แบบโครงงานท่ไี ด้จากการทาแบบฝกึ หัดหลังเรียน ของแตล่ ะ แผนการจัดการเรียนรู้ ซงึ่ ต้องไดค้ ะแนนไมน่ อ้ ยกว่าร้อยละ 80 80 ตวั หลงั (E) หมายถึง เปน็ ประสทิ ธิภาพผลลพั ธข์ องการเรียนรู้ ซึ่งคานวณไดจ้ าก ร้อยละของ ค่าเฉล่ยี ของคะแนนท่วี ัดด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นคอมพวิ เตอร์ ซงึ่ ต้องไดค้ ะแนนไม่ นอ้ ยกว่ารอ้ ยละ 80 (๑๐) เม่อื แทน คา่ ประสทิ ธภิ าพของกระบวนการเรยี นรู้ แทน ผลรวมของคะแนนกจิ กรรมระหว่างเรยี นของนกั เรยี นทกุ คน A แทน คะแนนเต็มของกิจกรรมระหว่างเรยี น N แทน จานวนผเู้ รียน (11) เมอ่ื แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธก์ ารเรียนรู้ B แทน คะแนนรวมของผลลพั ธ์หลงั เรียน N แทน คะแนนเต็มของการสอบหลังเรียน แทน จานวนผเู้ รียน

46 บทที่ 4 ผลการศกึ ษา การศกึ ษาเร่ือง แบบฝกึ ทักษะการเรยี นรู้เรอื่ งโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น เพ่อื พฒั นาผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น และความสามารถในการทําโครงงาน ของนักศึกษาชั้นมัธยมศกึ ษาตอนต้นผู้ศึกษานาํ เสนอผลการวิเคราะหข์ ้อมลู ดังน้ี 1. ผลการพัฒนาแบบฝึกทักษะการเรียนรู้เรื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดบั ช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น ให้มีประสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ 80/ 80 2. ผลการเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนของนักศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น กอ่ นและ หลังเรยี นแบบฝึกทักษะการเรียนร้เู ร่ืองโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชั้น มัธยมศึกษาตอนตน้ 3. ผลการศึกษาความสามารถในการทาํ โครงงานของนักศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น โดยการ นําเสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมูล ผู้ศกึ ษาได้กาํ หนดสัญลักษณท์ ใ่ี ช้ ดังนี้ N แทน จํานวนนักศึกษาในกลุ่มตัวอย่าง x̅ แทน คา่ เฉลย่ี ของคะแนน SD แทน ค่าส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐานของข้อมูล t แทน คา่ สถิติในการแจกแจงแบบ t p แทน คา่ ความน่าจะเป็น ** แทน ความมีนัยสาํ คัญทางสถติ ิท่ีระดับ๐.01 E1 แทน ประสทิ ธิภาพของกระบวนการเรียนร้ซู ง่ึ รอ้ ยละคะแนนทงั้ หมดทเ่ี กบ็ รวบรวม ระหว่างการจดั การเรียนการเรียนรู้แบบโครงงาน ท่ีได้จากการทําแบบฝึกหดั หลังเรียนของแต่ละแผนการจัดการเรยี นรู้ E2 แทน ประสทิ ธภิ าพผลลพั ธ์ของการเรียนร้ซู ่ึงคํานวณ ไดจ้ ากรอ้ ยละของคา่ เฉล่ยี ของ คะแนนทวี่ ัดดว้ ยแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทาง การเรยี นโครงงาน Project - Based Leaning (PBL)

47 ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล การจดั การเรียนรูแ้ บบโครงงานเพ่ือพฒั นาผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นแบบฝึกทักษะการเรียนรู้เรือ่ ง โครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและ ความสามารถในการ ทําโครงงานของนักศึกษาช้ันมัธยมศกึ ษาตอนต้น ได้สร้างแบบฝึกทกั ษะการเรยี นรู้เรอ่ื งโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดบั ชน้ั มัธยมศึกษาตอนตน้ ท้ังหมด 5 เร่อื ง ไดแ้ ก่ เรอ่ื งท่ี 1. การกําหนดปัญหา/ประเด็นทส่ี นใจ เร่ืองท่ี 2. การรวบรวมขอ้ มลู ทเ่ี กย่ี วข้อง เรอื่ งที่ 3. การออกแบบและดําเนนิ กิจกรรมโครงงาน เรอื่ งที่ 4. การออกแบบและดําเนินกิจกรรมโครงงาน เรื่องท่ี 5. การนําเสนอโครงงาน ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู แบ่งออกเปน็ 3 ตอน ดังน้ี ตอนท่ี 1 การวิเคราะห์ประสิทธภิ าพแบบฝึกทักษะการเรียนรู้เรอื่ งโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้ันมธั ยมศึกษาตอนตน้ ตามเกณฑ์ 80/ 80 ตอนท่ี 2 การเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นของนกั ศึกษาท่ีเรยี นดว้ ยแบบฝึกทักษะการ เรยี นรูเ้ รอื่ งโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดบั ชั้นมธั ยมศึกษาตอนต้น ก่อนและหลงั เรียนแบบฝึกทักษะ การเรียนรู้เรอ่ื งโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้ัน มัธยมศึกษาตอนตน้ ตอนท่ี 3 ศกึ ษาความสามารถในการทาํ โครงงานของนักศกึ ษาชั้นมธั ยมศกึ ษาตอนตน้ ตอนท่ี 1 การวเิ คราะหป์ ระสิทธภิ าพของแบบฝกึ ทกั ษะการจัดการเรยี นรูแ้ บบโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชัน้ มัธยมศกึ ษาตอนต้น ตามเกณฑ์ 80/80 ผู้วิจัยได้ดําเนินการทดลองกับกลุ่มตัวอย่างจํานวน 15 คน โดยทดสอบก่อนเรียนแล้ว ดําเนินการจัดกิจกรรมแบบฝึกทักษะการเรียนรู้เรื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ในระหว่างจัดกิจกรรมด้วยแบบฝึกทักษะการเรียนรู้เรื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นได้ เก็บรวบรวมคะแนนจากการทํา แบบฝึกหัดหลังเรียนในแต่ละเรื่อง เม่ือได้จัดการเรียนรู้ด้วยแบบฝึกทักษะการเรียนรู้เรื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนต้นเรียบร้อยแล้ว ผู้ศึกษาให้นักศึกษาทํา แบบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นชดุ เดียวกับการทดสอบ ก่อนการจัดการเรยี นร้แู บบโครงงาน

48 ตารางที่ 4 ประสิทธภิ าพของแบบฝกึ ทักษะการเรยี นรู้เร่ืองโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดบั ชนั้ มัธยมศึกษาตอนต้น ตามเกณฑ์ 80/ 80 ประสทิ ธิภาพของกระบวนการเรียนรู้ 80 ตวั แรก (E1) ประสทิ ธภิ าพผลลัพธ์ของการเรยี นรู้ 80 ตวั แรก (E2) 83.12 82.48 จากตารางที่ 4 แสดงให้เห็นว่าแบบฝึกทักษะการเรียนรู้เรื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนต้นที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้ มีประสิทธิภาพ 83.12/82.48 สูงกว่าเกณฑ์ ประสทิ ธภิ าพ 80/ 80 ตารางที่ 5 ผลการหาประสทิ ธิภาพของแบบฝึกทกั ษะการเรียนร้เู ร่อื งโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชน้ั มัธยมศกึ ษาตอนตน้ ตามเกณฑ์ 80 ตวั แรก (E1) เรอื่ งท่ี จํานวน คะแนนเตม็ คะแนนเฉลีย่ ประสทิ ธภิ าพ 80 ตัวแรก นักศกึ ษา (50) (E1) (n) 1-5 15 50 2.078 83.12 จากตารางที่ 5 แสดงผลการประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80 ตัวแรก (E1) พบว่า ร้อยละ คะแนน ทั้งหมดที่เก็บรวบรวมระหว่างการการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ที่ได้จากการทําแบบฝึกหัดหลังเรียนของแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้คิด ค่าเฉลี่ยเป็นร้อยละ 83.12 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80 ที่ต้ังไว้แสดงว่าแผนการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้นั มธั ยมศกึ ษาตอนต้นมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80 ตัวแรก ตารางท่ี 6 ประสิทธิภาพของแบบฝกึ ทักษะการจดั การเรยี นรแู้ บบโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้นั มัธยมศึกษาตอนตน้ ตามเกณฑ์ 80 ตัวหลงั (E2) แบบทดสอบ จาํ นวน คะแนนเต็ม คะแนนเฉล่ีย ประสิทธภิ าพ 80 ตัวหลัง ผลสัมฤทธ์ิ นักศกึ ษา (50) ทางการ (E2) (n) 15 50 78.38 82.49 จากตารางที่ 6 พบว่า ร้อยละของค่าเฉล่ียของคะแนนท่ีวัดด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลังเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการเรียนรู้เรื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ผ่านเกณฑ์ที่กําหนด คิดเป็นร้อยละ 82.48 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80 ตัวหลัง แสดงว่า แบบฝึกทักษะการเรียนรู้เรื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้ัน มธั ยมศึกษาตอนต้น มีประสิทธภิ าพสูงกว่าเกณฑ์ 80 ตัวหลัง

49 ตอนที่ 2 การเปรียบเทียบผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นของนักศกึ ษาที่เรยี นดว้ ยแบบฝกึ ทักษะการเรียนรู้ เรอ่ื งโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้ันมัธยมศกึ ษาตอนตน้ กอ่ นและหลัง เรยี น แบบฝึกทักษะการเรียนรู้เรือ่ งโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชัน้ มธั ยมศึกษาตอนต้น ตารางที่ 7 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาท่ีเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการ เรียนรู้เรื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนต้นระหว่างก่อน เรยี นและหลังเรียน ผลสัมฤทธิ์ จาํ นวน ทางการเรยี น นักศกึ ษา ���̅��� SD t P (n) หลังเรียน 15 41.24 2.60 ก่อนเรียน 15 30.26 4.50 17.98** 0.00 ** นยั สําคญั ทางสถติ ิทีร่ ะดับ ๐.๐๑ จากตารางที่ 7 พบวา่ ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนของนักศกึ ษาท่ีเรียนดว้ ยแบบฝึกทักษะการเรียนรู้ เร่ืองโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น หลังเรียนมีค่าเฉลี่ย (���̅���) 41.24 คา่ เบ่ียงเบนมาตรฐาน (SD) 2.60 และก่อนเรียนมีค่าเฉล่ีย (���̅���) 30.26 ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน (SD) 4.50 เมื่อตรวจสอบความแตกต่างค่าเฉล่ียด้าน -test แบบ Depentdent sample พบว่า ค่า t = 17.98 ซึ่งแสดงว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบฝึกทักษะการเรียนรู้เรื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น หลังจากการจัดการเรียนรู้แบบฝึกทักษะการเรียนรู้เร่ือง โครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี นัยสาํ คัญทางสถติ ิทีร่ ะดบั 0.01 เป็นไปตาม สมมติฐานทต่ี ้งั ไว้

50 ตอนที่ 3 ผลการศึกษาความสามารถในการทําโครงงานของนักศึกษาช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น ตารางที่ 8 ผลการศกึ ษาความสามารถในการทําโครงงานของนักศึกษาระดับชัน้ มัธยมศึกษาตอนตน้ หลังการเรยี นรู้แบบฝึกทักษะการเรยี นรู้เร่ืองโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชน้ั มัธยมศกึ ษาตอนต้น กลุ่ม คา่ เฉลีย่ (���̅���) ระดับ ความ สามารถใน 12 3 4 5 รวม การ ทํา โครงงาน ดา้ น (ผลรวม) 1. การวางแผนการ 2.29 2.57 2.57 2.56 2.57 2.51 สูง ๒.กระบวนการ 2.43 2.86 2.29 2.55 2.46 2.52 สูง ทํางาน 2.57 2.43 2.71 2.29 2.57 2.51 สงู 3. ผลงานและ การนาํ เสนอ รวม (เฉลย่ี ) 2.43 2.62 2.52 2.47 2.52 2.51 สงู ระดบั ความสามารถ สูง ในการทําโครงงาน กลาง สูง สูง กลาง สูง (กลุม่ ) จากตารางท่ี 8 พบว่า ค่าเฉลี่ยความสามารถในการทําโครงงานของนักศึกษาหลังเรียนด้วย แบบฝึกทักษะการเรียนรู้เร่ืองโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชั้นมัธยมศึกษา ตอนต้นอยใู่ นระดบั สูงทัง้ 5 กลมุ่ (���̅���= 2.51) และแบ่งเป็นด้าน พบว่า ทุกด้านมีค่าเฉลี่ยความสามารถใน การทําโครงงานของนักศึกษาหลังเรียนแบบฝึกทักษะการเรียนรู้เรื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นอยู่ในระดับปานกลางไปจนถึงระดับสูงตามค่าเฉลี่ยจาก มากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านกระบวนการทํางานมีค่าเฉลี่ยสูงสุด (���̅���= 2.52) ด้านที่มีค่าเฉล่ียรองลงมา คือ ดา้ นผลงานและการนาํ เสนอ (X=2.51) และด้านการวางแผนการทาํ งาน (K -2.51)

51 ตางรางที่ 9 คา่ ความสามารถในการทาํ โครงงานสาํ หรับนกั ศกึ ษาชน้ั มัธยมศกึ ษาตอนตน้ กลมุ่ คา่ เฉล่ีย (���̅���) ระดบั ความ สามารถใน 12 3 4 การทํา ด้าน 5 รวม โครงงาน 1. การวางแผน (ผลรวม) การทาํ งาน 2 2.60 สูง 1.1 การกาํ หนดชอ่ื 3 3 3 2 3 2.20 กลาง เร่อื ง 3 2.60 สูง 2 2.60 สูง 1.2 การวางแผน 3 2.60 สงู คดิ วเิ คราะห์ ในการ 2 2 2 2 2 2.60 สงู สรา้ งสรรคช์ ้ินงาน 3 2.40 กลาง 1.3 การออกแบบ 2 2 3 3 ผลงาน 1.4 การเลอื กวัสดุ และเคร่ืองมือ ใน 3 3 3 2 การสืบคน้ ข้อมูล 1.5 การแบ่งภาระ 2 3 2 3 งาน 1.6 มคี วามเข้าใจ ในการทาํ 33 3 2 โครงงาน 1.7 มีการอ้างอิง เอกสารถูกต้อง 22 2 3 และเหมาะสม รวม (เฉลยี่ ) 2.43 2.57 2.57 2.57 2.57 2.51 สงู

52 ตางรางที่ 9 (ต่อ) ค่าเฉลย่ี (���̅���) ระดับความ 23 4 กลมุ่ 33 2 32 3 สามารถในการ 33 2 1 23 3 5 รวม ทาํ โครงงาน 33 2 (ผลรวม) 2 22 3 ดา้ น 2 32 3 2 2.40 กลาง 3 2. ด้านกระบวน 3 3 2.60 สงู การทํางาน 2 2 3 2.80 สูง 2.1 การอธบิ าย 2 ขน้ั ตอนการ 2 2.60 สงู สรา้ งงาน 3 2.60 สงู 2.2 การกําหนด หนา้ ทีส่ มาชิก 2 2,20 กลาง ในกล่มุ 2.3 การปฏิบตั ิตาม 3 2.60 สูง วธิ กี ารและ ขั้นตอน ทก่ี าํ หนด 2.4 การมสี ่วนรว่ ม ในงานของ 2.5 การทํางาน ประสบผลสําเร็จ 2.6 การคดิ แก้ ปัญหาดว้ ย วิธีการใหม่ 2.7 มกี ารรวบรวม แหลง่ ข้อมูล รวม (เฉลย่ี ) 2.57 2.71 2.57 2.57 2.57 2.60 สูง

53 ตางรางที่ 9 (ต่อ) คา่ เฉลย่ี (���̅���) ระดับความ กลมุ่ สามารถในการ 12 3 4 5 รวม ทําโครงงาน ด้าน (ผลรวม) 3. ด้านผลงานและ การนาํ เสนอ 3.1 การนําเสนอ เนื้อหาใน ผลงานได้ 2 3 3 2 2 2.40 กลาง ถกู ต้อง 3.2 การลาํ ดับ ข้ันตอนของ 23 2 3 3 2.60 สูง เน้ือเรือ่ ง 3.3 การนาํ เสนอ มคี วามน่า 33 3 2 3 2.80 สูง สนใจ 3.4 การมีสว่ นรว่ ม ของสมาชิก 32 3 3 2 2.60 สูง ในกลุ่ม 3.5 การตรงต่อเวลา 2 3 3 2 2 2.40 กลาง 3.6 การพูดอภปิ ราย 2 2.60 สงู ชดั เจน และใช้ภาษา 3 3 2 3 ไทยได้ถูกต้อง 3 2.40 กลาง 3.7 ตอบคาํ ถามได้ ถูกต้อง คล่องแคลว่ 2 2 2 3 รวม (เฉลย่ี ) 2.43 2.71 2.57 2.57 2.43 2.54 สงู

48 บทท่ี 5 สรปุ ผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ในการรายงานผลการพฒั นาการทาโครงงานโดยใช้แบบฝึกทกั ษะการเรยี นร้เู ร่ืองโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้นั มธั ยมศึกษาตอนต้นผู้ศกึ ษาได้ดาเนินการพัฒนาตาม กรอบแนวคิดและวธิ กี าร สรปุ ผลการพฒั นาพร้อมอภปิ รายข้อค้นพบทส่ี าคัญ และให้ข้อเสนอแนะ ผ้สู นใจที่จะนาผลการศึกษาไปใช้ประโยชนใ์ นการพัฒนาการเรยี นการสอน ดังรายละเอียดต่อไปนี้ วตั ถุประสงค์ของการศึกษา 1. เพอื่ พฒั นาแบบฝกึ ทักษะการเรียนรู้เรอ่ื งโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชน้ั มธั ยมศึกษาตอนตน้ ใหม้ ปี ระสิทธภิ าพตามเกณฑ์ท่ีกาหนดคือ 80/80 2. เพอ่ื เปรยี บเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาที่เรยี นดว้ ยแบบฝึกทกั ษะการเรียนรู้ เร่ืองโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนตน้ 3.เพอ่ื ศกึ ษาความสามารถในการทาโครงงานของนกั เรยี นช้ันมัธยมศกึ ษาตอนตน้ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.1 ประชากรทใ่ี ช้ในการศึกษาครั้งนี้ได้แก่ นักศกึ ษาระดับมัธยมศกึ ษาตอนตน้ ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2563 กศน.ตาบลเขาชนกนั จานวน 30 คน และกลุ่มตัวอย่าง จานวน 15 คน โดย การเลือก แบบเจาะจง 1.2 กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการศึกษาคร้ังน้ี ได้แก่ นักศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศึกษา 2563 กศน.ตาบลเขาชนกัน จานวน 15 คนไดม้ าโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครือ่ งมือท่ใี ช้ในการศกึ ษา เครอ่ื งมอื ที่ใชใ้ นการศึกษาครงั้ นี้ ผู้ศึกษาไดส้ รา้ งและพฒั นาขึน้ เอง ประกอบด้วย 1. แบบฝึกทักษะการเรียนรู้เรื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ประกอบด้วย สาระสาคัญ ตัวชี้วัด ขอบข่ายเนื้อหา คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ กระบวนการจัดการเรียนรู้ ส่ือการเรียนการสอน เกณฑ์การวัดผลประเมินผล แหล่งการ เรียนร/ู้ สบื คน้ ขอ้ มูลเพมิ่ เตมิ บนั ทึกหลังการเรยี นรู้ จานวน ๕ เร่ือง 2. แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นแบบทดสอบแบบขอ้ สอบ ปรนยั จานวน 4 ตัวเลือก 50 ขอ้ ใชส้ าหรับทดสอบกอ่ นเรยี น-หลังเรียน (Pretest-posttest) จานวน 1 ฉบับ

49 3. แบบประเมนิ ความสามารถในการทาโครงงานของนักศึกษา ระหวา่ งการจดั การ เรียนรู้แบบฝึกทักษะการเรียนรู้เร่ืองโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชั้น มัธยมศึกษาตอนต้น โดยใช้คาถามในด้านของการวางแผนการทางาน กระบวนการทางาน ผลงาน และการนาเสนอ วิธกี ารดาเนนิ การศกึ ษา ผู้วิจัยได้ดาเนนิ การเกบบ รวบรวมขอ้ มลู ด้วยตนเอง โดยทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษา ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น กศน.ตาบลเขาชนกนั จานวน 15 คน ต้ังแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 – 31 มีนาคม 2564 ไดด้ าเนินตามขั้นตอนดงั น้ี 1. ดาเนินการแจ้งจุดประสงค์ของการใช้แบบฝึกทักษะการเรียนรู้เรื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ให้นักศึกษาทราบ ให้นักศึกษาทา แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธก์ิ อ่ นใช้แบบฝกึ ทกั ษะการเรียนรู้เรื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชน้ั มธั ยมศึกษาตอนตน้ จานวน 50 ข้อ 2. ดาเนินการสอนวิธีใช้แบบฝึกทักษะการเรียนรู้เร่ืองโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดบั ชัน้ มัธยมศึกษาตอนตน้ 3. ดาเนินการศึกษากับกลุ่มตัวอย่างโดยใช้แบบฝึกทักษะการเรียนรู้เรื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดบั ชัน้ มัธยมศกึ ษาตอนตน้ ท้ัง 5 เรอ่ื งทสี่ รา้ งขึ้น 4. ทดสอบหลังเรยี นหลงั จากจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ครบทกุ แผนการจดั การเรียนรู้ ด้วย แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการเรียนรู้เร่ืองโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น ซ่ึงเป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก ทสี่ ร้างข้ึน จานวน 50 ขอ้ ชุดเดยี วกับ การทดสอบก่อนเรียน โดยใชเ้ วลา 50 นาที 5. นาคะแนนทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและแบบประเมินความสามารถใน การทาโครงงานไปวเิ คราะหข์ อ้ มูลด้วยวิธีการทางสถติ ิ สรุปผลการทดลอง 1. ผลการพัฒนาเครือ่ งมือในการทดลอง จากการวิเคราะห์ขอ้ มลู ปรากฏว่า แบบฝึกทักษะ การเรียนรู้เรื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น มปี ระสิทธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80 คือมปี ระสิทธิภาพเท่ากับ 83.12/82.48 2. การเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนกอ่ นและหลังเรียนผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน กอ่ นเรยี นและหลังเรยี นของนักศึกษาจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยแบบฝึกทักษะการเรียนรู้เรื่อง โครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น ปรากฏว่าผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลงั เรยี นของนกั เรียนสูงกวา่ ก่อนเรยี นอย่างมนี ยั สาคัญทางสถิติท่ีระดบั 0.01 3. การประเมนิ ความสามารถในการทาโครงงานของนักศกึ ษาทเี่ รียนด้วยแบบฝึกทกั ษะ การเรียนรู้เรื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น ปรากฏ ว่านกั ศกึ ษา พบว่า ความสามารถท้ัง 3 ด้าน ซึ่งประกอบไปด้วยการวางแผนการทํางาน กระบวนการ ทาํ งาน และดา้ นผลงานและการนําเสนอ มคี า่ เฉล่ยี อยใู่ นระดับสงู

50 อภปิ รายผล การศึกษา ครั้ง นี้เป็ นกา รศึกษาการจั ดกา รเรี ยนรู้ แบบ ฝึกทักษะการ เรีย นรู้เ รื่อง โคร งงา น (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น เพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการ เรียนโครงงาน Project - Based Leaning (PBL) และความสามารถในการทาโครงงานของ นักศึกษาชน้ั มธั ยมศึกษาตอนต้นไดผ้ ล การศกึ ษาค้นควา้ พรอ้ มอภปิ รายผล ดังน้ี 1. แบบฝึกทักษะการเรียนรู้เร่ืองโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้ัน มธั ยมศึกษาตอนต้นมปี ระสิทธิภาพเท่ากับ 83.12 / 82.48 หมายความว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนจากการทา แบบฝึกหัดจาก แผนการจัดการเรียนรู้ท้ัง 5 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 83.12 และค่าเฉลี่ยของคะแนน ทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลงั เรียนคิดเป็นรอ้ ยละ 82.48 ซ่ึงเป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 ท่ีตั้งไว้ ประเดบน หลกั ทที่ าให้แผนการจัดการเรียนรู้มีประสิทธิภาพนั้น ทั้งนี้เป็นเพราะ แผนการจัดการเรียนรู้ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ได้ผ่านข้ันตอนในการสร้างและพัฒนาอย่างเป็น ระบบ โดยเริ่มจากการศึกษาจาก ตาราและงานวิจัยที่เก่ยี วข้องกบั การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ แบบโครงงาน ออกแบบกิจกรรมการ เรียนรู้แบบโครงงานและเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญกระบวนการ เรียนรู้เริ่มจากง่ายไปยาก ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ ๕ แผน ใช้เวลาการจัดกิจกรรม การเรียนรู้แผนละ 2 ชั่วโมง ซึ่งได้ผ่านการ ตรวจสอบจากผทู้ รงคุณวฒุ แิ ละหาประสิทธภิ าพแล้ว ดังน้ันแบบฝึกทักษะการเรียนรู้เร่ืองโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้ัน มัธยมศึกษาตอนต้นทั้ง 5 เรื่องนี้เป็นการพัฒนาแบบฝึกทักษะการเรียนรู้เร่ืองโครงงานที่พัฒนาให้ นกั ศึกษาเกิดการเรียนร้แู บบโครงงานจากการบูรณาการความรู้ ทักษะ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และ ค้นหาความรู้ใหม่ โดยมีครูคอยให้คาปรึกษาจนนักศึกษาเกิดการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติงานจริง ซ่ึง สอดคล้องกับ วราภรณ์ ตระกูลสฤษด์ิ (2551, หน้า 2) กล่าวว่า นักนักเรียนได้เรียนรู้ผ่านการกระทา กิจกรรมโครงงานรว่ มกบั กับเพื่อน เพื่อใหบ้ รรลุเป้าหมายตามวตั ถปุ ระสงค์ของโครงงาน ทาให้ สมาชิก ต้องมีการช่วยเหลือกันในการทากิจกรรมเพ่ือให้ได้ผลตามต้องการฝึกการแก้ปัญหาที่ เกิดขึ้นภายใน กลุ่ม เน้นกระบวนการคิด ตัดสินใจ วางแผนการทางาน ด้วยวิธีการปฏิบัติจริงเพ่ือ เรียนรู้วิธีการ แก้ปัญหา อันนาไปสู่ความสามารถในการคิดวิเคราะห์และแสวงหาข้อมูล แบบฝึกทักษะการเรียนรู้ เร่ืองโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนต้นทั้ง ๕ เรื่องมี ประสิทธิภาพเท่ากับ 83.131 82.48 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กาหนดไว้จึงเหมาะสมที่จะนาไปใช้ในการจัด กิจกรรมการเรียนการสอน ซ่ึงสอดคล้องกับงานวิจัยของ กมลวรรณ ม่ันสติ (2550) ซึ่งวิจัยเรื่อง การ พฒั นาแผนการจดั การเรียนร้แู บบโครงงาน เรอ่ื ง การออกแบบผลิตภัณฑ์จากมะพร้าว กลุ่มสาระ การ เรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผลการวิจัย พบว่า แผนการจัดการ เรียนรู้ แบบโครงงานเรื่อง การออกแบบผลิตภัณฑ์จากมะพร้าว กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ และ เทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 92.89/ 92.14 และสอดคล้องกับ พรจิต สุด จริง (2551) ซึ่งวิจัยเร่ือง การพัฒนาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สอนแบบโครงงาน กลุ่มสาระการ เรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยีเร่ือง ผลิตภัณฑ์จากรังไหม ระดับชั้นมัธ ยมศึกษา ปีที่ 4 ผลการวิจัย พบว่า 1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงาน กลุ่มสาระการเรียนรู้การ งาน อาชีพและเทคโนโลยีเร่ือง ผลิตภัณฑ์จากรังไหม ระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 มีประสิทธิภาพ 85.52

51 83.36 เป็นไปตามเกณฑ์ 80/ 80 ท่ีต้ังไว้ เช่นเดียวกับงานวิจัยของ ศิริลักษณ์ วงศ์สูง (2552) ได้ ทาการศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนาชุดการสอนตามแนวทฤษฎีการสร้างสรรค์ชิ้นงานวิชาคอมพิวเตอร์ เรื่องการสร้างเวบบเพจ สาหรับนักศึกษาช้ันมัธยมศึกษาตอนต้นโรงเรียนเมืองแพร่ ผลการวิจัย พบว่า ชุดการสอนตามแนวทฤษฎีการสร้างสรรค์ช้ินงาน วิชาคอมพิวเตอร์ เรื่องการสร้างเวบบเพจ สาหรับ นักศึกษาช้ันมัธยมศึกษาตอนต้นมีประสิทธิภาพโดยเฉลี่ย 89.63/ 86.19 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ท่ีกาหนด ร้อยละ 80/ 80 2. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักศึกษาที่เรียนด้วยแบบฝึกทักษะการเรียนรู้เรื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนต้นสูงกว่าก่อนเรียนแตกต่างกันอย่างมี นัยสาคัญทาง สถิติท่ีระดับ 0.01 แสดงให้เหบนว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงาน Project - Based Leaning (PBL) พัฒนาการเรียนโครงงาน Project - Based Leaning (PBL) ส่งผลให้ นักศึกษามีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูงขึ้น ท้ังนี้เป็นเพราะ การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน Project - Based Leaning (PBL) เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ส่งเสริมการคิดและ นักศึกษาได้ลงมือ ปฏิบัติจน สามารถสร้างสรรค์ชิ้นงาน ซ่ึงสอดคล้องกับ (วัฒนา มัคคสมัน, 2550, หน้า 20) กล่าวว่า การจัดการ เรียนรูแ้ บบโครงงาน คือ การจัดการเรียนรทู้ ี่เรม่ิ ต้นจากการท่ีให้นักเรียน เกิดข้อสงสัย หรือปัญหาของ นักเรียนเอง นักเรียนจะเป็นผู้วางแผนการค้นหาคาตอบด้วยตนเอง จึงทาให้นักศึกษา เกิดความคิด สร้างสรรค์ด้วยวิธีการค้นหาคาตอบและวิธีการหรือส่ิงใหม่ ๆ ร่วมกันกับเพื่อน มีการคิดแบบ วจิ ารณญาณ โดยรู้จักการใหเ้ หตผุ ลและการคิดเช่ือมโยงเพ่ือวิเคราะห์หาคุณค่าจาก การทางาน มีการ สอื่ สารโดยใช้เทคโนโลยเี ขา้ มาชว่ ยเชื่อมต่อการสื่อสารระหว่างการทางานให้มี ความเข้าใจตรงกันเป็น อนั หนง่ึ อันเดยี ว การทางานร่วมกับผู้อ่ืนด้วยการเป็นทีมเดียวกัน มีการยอมรับฟังความเหบนซ่ึงกันและ กัน เพื่อให้งานประสบผลสาเรบจรวมไปถึงการเพิ่มทกั ษะชวี ติ ที่ นาไปใชไ้ ด้ในชีวิตประจาวัน การจัดการเรยี นการสอนโครงงาน Project - Based Leaning (PBL) เป็นกระบวนการท่ีให้ นักศึกษาร่วมกันกาหนดหัวข้อที่ จะทาเป็นโครงงาน ศึกษาความเป็นไปได้ของแต่ละหัวข้อเพ่ือเลือก โครงงานท่ีจะจัดทา นาเสนอ ผู้สอนให้ความเหบนชอบและดาเนินการตามข้ันตอนอย่างเป็นระบบ สอดคล้องกับ ลัดดา ภูเกยี รติ (2552, หน้า 52) ระบุว่า การสอนแบบโครงงานเป็นวิธีการเรียนรู้ท่ีเกิด จากความสนใจของผ้เู รียน เน้นความสาคญั ของกิจกรรมที่ผเู้ รยี นลงมือปฏบิ ตั ิ ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง โดยใช้ทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ภายใต้คาแนะนา ปรึกษา การดูแลของครู หรือ ผู้เช่ียวชาญ จนได้ ข้อสรุป หรือผลการศึกษา ดังน้ันการเรียนรู้แบบโครงงานน้ีสามารถพัฒนา ความสามารถทาง การเรียนใหเ้ กิดข้ึน ชว่ ยให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นสอดคล้องกับงานวิจัยของ สิทธญิ ารสั สยั การ (2551) ซง่ึ วจิ ัยเร่ือง ผลการจัดการเรียนร้แู บบโครงงานกลมุ่ สาระการเรียนรู้การงาน อาชีพและ เทคโนโลยี ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนกลุ่มสาระ การเรียนรู้ การงานอาชีพของนกั ศกึ ษาชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ได้รับการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้ แบบ โครงงาน มีผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นหลงั การทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองท่ีระดับนัยสาคัญ0.01 เช่นเดียวกับงานวิจัยของ ดวงพร อ่ิมแสงจันทร์ (2554) วิจัยเรื่อง การพัฒนาผลการเรียนรู้เรื่อง หลัก ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียงกับการพฒั นาเศรษฐกจิ ของประเทศและความสามารถใน การแก้ปัญหา ตามข้ันตอนการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานของนักศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ผลการวิจัย พบว่า ผล

52 การเรียนรู้เรื่อง หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของนักศึกษาชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 5 หลังเรียนสูง กวา่ ก่อนเรียน อย่างมนี ัยสาคญั ทางสถติ ทิ ีร่ ะดับ 0.05 3. ความสามารถในการทาโครงงานของนักศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นหลังการจัดการ เรียนรู้แบบฝึกทักษะการเรียนรู้เรื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้ัน มธั ยมศกึ ษาตอนต้นพบวา่ ความสามารถทั้ง 3 ด้าน คือ การวางแผนการทางาน กระบวน การทางาน และด้านผลงาน และการนาเสนอ มีค่าเฉล่ียในการทาโครงงานของนักศึกษาหลังการจัดการเรียนรู้ แบบโครงงานอยู่ในระดับสูง ทั้งนี้เน่ืองจากการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน Project - Based Leaning (PBL) นี้เป็น การทางานร่วมกันของนักศึกษาเพ่ือให้ได้ผลผลิตออกมาเป็นชิ้นงาน นักศึกษาร่วมมือกันคิดวางแผน และลงมือปฏิบัติ โดยมีครูเป็นผู้ให้คาปรึกษาในการดาเนินงานของ นักศกึ ษาตลอดจนไปถงึ การตดิ ตามสอบถามความก้าวหน้า ดูแลการทาโครงงานของนักศึกษาด้วยวิธี สังเกตและประเมนิ การทากจิ กรรมของนกั ศกึ ษาไปจนถึงข้ันตอนสุดท้าย คือ การสรุปการทางานและ เสนอแนะ การทางานของนักศึกษาแต่ละกลุ่ม โดยภาพรวมซึ่ง (วราภรณ์ ตระกูลสฤษด์ิ, 2551, หน้า 25) ได้สรุป ไว้ว่ากิจกรรมการปฏิบัติโครงงานตามที่สมาชิกภายในกลุ่มได้ร่วมกันวางแผนไว้เป็น กิจกรรมที่เปิด โอกาสให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ตรงจากการกระทากิจกรรมร่วมกับสมาชิกในกลุ่ม อีกทั้งยัง เน้น การมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นทั้งในและนอกกลุ่ม เป็นการฝึกการทางานในชีวิตจริงท่ี ต้องการ มีการพ่ึงพาอาศัยผู้อ่ืน รู้จักให้รู้จักรับ ฝึกการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า รู้จักการวางแผนการ ทางาน นับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง สอดคล้องกับงานวิจัยของ ศิรินทิพย์ เด่นดวง (2554) วิจัยเร่ือง การพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านการฟังและดเู ชงิ คดิ วิเคราะหข์ องนักศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 ด้วย การ จัดการเรียนรู้แบบโครงงาน ผลการวิจัย พบว่า ผลการเรียนรู้ด้านการฟังและดูเชิงคิดวิเคราะห์ ก่อน เรียน และหลังการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ.05 โดย คะแนนหลังการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานสูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน และ ความสามารถในการทาโครงงานของนักศึกษาหลังการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานอยู่ในระดับสูง ทุก ดา้ น โดยเรียงตามลาดบั คะแนนเฉล่ีย ดงั น้ี ด้านการวางแผน ดา้ นกระบวนการทางานด้านผลงาน และ นาเสนอผลงาน นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับงานวิจัยของ เกศสุดา จันทร์เจริญ (2553) ได้ทา การวิจัย เรื่อง ผลของการสอนแบบโครงงานเร่ือง การประดิษฐ์ของใช้จากวัสดุธรรมชาติกลุ่มสาระ การงาน อาชพี และเทคโนโลยขี องนกั ศกึ ษาชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 4 ผลการวิจัย พบว่า ผลการศึกษา เปรียบเทียบ เจตคติท่ีมีต่อส่ิงแวดล้อม ก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยการสอนแบบโครงงานเร่ือง การประดิษฐ์ของ ใช้จากวัสดุธรรมชาติ พบว่านักศึกษามีเจคติต่อสิ่งแวดล้อมหลังเรียนสูงกว่าก่อน เรียน อย่างมี นัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 โดยนักศึกษามีเจตคติต่อสิ่งแวดล้อมในระดับ “ดีมาก” และ ความสามารถในการทาโครงงานเกี่ยวกับการประดิษฐ์ของใช้จากวัสดุธรรมชาติมีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 25.90 จาก 28 คะแนนเตบม ผ่านเกณฑ์ที่กาหนดร้อยละ 70 ข้ึนไป โดยมีค่าเฉล่ียร้อยละ 92.51 และ สอดคล้องกบั ดวงพร อ่ิมแสงจนั ทร์ (2554) พบว่า ความสามารถในการทาโครงงานของ นักศึกษาช้ัน มัธยมศึกษาปีท่ี 5 ท่ีเรียนด้วยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมีความสามารถในการทา โครงงานภาพรวม อยู่ในระดบั สงู

53 จากการอภิปรายดังกล่าวสรุปได้ว่า แบบฝึกทักษะการเรียนรู้เร่ืองโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น ทางการเรียนและความสามารถในการทา โครงงานของนักศึกษาชัน้ มธั ยมศึกษาตอนตน้ ขอ้ เสนอแนะ ข้อเสนอแนะในการนาแบบฝึกทักษะการเรียนรู้เรื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดบั ชัน้ มธั ยมศึกษาตอนตน้ 1. แบบฝึกทักษะการเรียนรู้เร่ืองโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชั้น มธั ยมศึกษาตอนต้น ใหป้ ระสบความสาเรจบ นัน้ ครูตอ้ งทาความความเข้าใจขั้นตอนการสอน แสวงหา แหล่งเรียนรู้เพ่ือพัฒนาสื่อการเรียนรู้ให้ เหมาะสมกับผู้เรียนรวมไปถึงการจัดบรรยากาศการเรียนที่ เปิดโอกาสให้นักศึกษากล้าแสดง ความคิดเหบนโดยมีครูคอยกากับและให้คาปรึกษาตามความ เหมาะสม 2. แบบฝึกทักษะการเรียนรู้เร่ืองโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้ัน มัธยมศึกษาตอนต้น ท่ีผู้ศึกษาสร้างขึ้น จะช่วยให้ครูใช้เป็น แนวทางในการจัดการเรียนรู้ได้ทุกกลุ่ม สาระการเรียนรู้ ขอ้ เสนอแนะในการทาวจิ ัยครั้งตอ่ ไป 1. ควรมีการศึกษาถึงตัวแปรอ่ืน ๆ ที่เกิดจากการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะการเรียนรู้เร่ือง โครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น นอกเหนือจาก ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน และความสามารถในการทาโครงงาน อาทิ เช่น ทักษะการจัดแสดงผลงาน การประยุกต์เทคโนโลยีกับการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานด้วยวิธี ออนไลน์ เปน็ ตน้ 2. ควรมีการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนโดยใช้วิธีการสอนแบบอ่ืน ๆ กับ การสอน โดยใช้แบบฝึกทักษะการเรียนรู้เรื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้ัน มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ 3. ควรมีการประเมินความสามารถในการทาโครงงานโดยใช้วิธีการสอนแบบอ่ืน ๆ กับ การ สอนโดยใช้แบบฝึกทักษะการเรียนรู้เรื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชั้น มัธยมศกึ ษาตอนตน้

60 บรรณานุกรม กมล ภู่ประเสริฐ. (2544). การบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา. กรงุ เทพฯ: ทปิ สพ์ บั บลิเคชัน่ กมลวรรณ มน่ั สต.ิ (2550). การพฒั นาแผนการจัดการเรียนรแู้ บบโครงงาน เรอ่ื ง การออกแบบ ผลิตภณั ฑ์จากมะพร้าว กลุ่มสาระการเรยี นรู้การงานอาชพี และเทคโนโลยชี ัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3. วิทยานพิ นธก์ ารศึกษามหาบัณฑติ สาขาวชิ าหลักสูตรและการสอน, บัณฑิตวทิ ยาลยั , มหาวทิ ยาลัย มหาสารคาม. กรมวิชาการ. (2544). กลวธิ กี ารจดั การเรียนการสอนท่ีสอดคล้องกับวธิ กี ารเรียน (Learning style), กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว. กรมวิชาการ. (2544). เทคนิคการจดั กระบวนการเรยี นรู้ทีเ่ น้นผูเ้ รยี นสาคัญท่ีสดุ “โครงงาน”กรงุ เทพฯ : ศนู ยพ์ ัฒนาหลกั สูตร. กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2543). คมู่ ือการพฒั นาโรงเรยี นเขา้ สู่มาตรฐานการศึกษาการสอนที่เนน้ ผเู้ รียนเป็น ศนู ยก์ ลาง กรงุ เทพฯ : โรงพิมพก์ ารศาสนา. กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2545). หลักสูตรการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2544. กรุงเทพฯ: องค์การ รบั สง่ สินค้าและพสั ดภุ ณั ฑ์. กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551 กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จากดั . กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2551). ตวั ชีวัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนร้กู ารงานอาชพี และเทคโนโลยีตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ : โรงพิมพช์ ุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จากดั . กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร. (2556). โครงการจัดการความรดู้ า้ นภัยเทคโนโลยี สารสนเทศ. เข้าถึงได้จาก www.ictkin.info/content/detail/14.html/ กิดานนั ท์ มลทิ อง. (2548). ไอซีทเี พอ่ื การศึกษาไทย ICTfor education.กรงุ เทพฯ : หา้ งห้นุ สว่ นจากัด อรุณการพิมพ์. เกศสุดา จันทรเ์ จรญิ (2553). ผลของการสอนแบบโครงงาน เรื่อง การประดษิ ฐ์ของใชจ้ ากวัสดุธรรมชาติ กลมุ่ สาระการงานอาชพี และเทคโนโลยขี องนักเรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 4 วทิ ยานิพนธศ์ ึกษา ศาสตรมหาบัณฑติ , สาขาวิชาส่งิ แวดลอ้ มศึกษา, บัณฑิตวทิ ยาลัย, มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น. โกวิท ประวาลพฤกษ์. (2549). การเรยี นรูท้ ส่ี อดคล้องกับการทางานของสมองและสร้างพหปุ ญั ญา(MI) ดว้ ยโครงงาน “Brain based learning” กรุงเทพฯ: สถาบันพัฒนานคณุ ภาพวชิ าการ (พว.). เกียรตศิ กั ด์ิ จันทร. (2554). การพัฒนากิจกรรมการเรยี นรู้วิชาคอมพิวเตอร์ 1 เร่ืองเทคโนโลยสี ารสนเทศ ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรคั ตวิ สิ ต์ สาหรบั นกั เรียนชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 1. วทิ ยานิพนธ์ศึกษา ศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าหลักสตู รและการสอน, บัณฑิตวทิ ยาลัย, มหาวิทยาลัยขอนแกน่ . กฤตกิ า สงั ขวดี. (2551). เทคนคิ การพฒั นาบทเรียนตามแนว Constructionism. วารสารวิทยาศาสตร์ ,9(1), 51-57

61 คณะวทิ ยาการสารสนเทศ มหาวทิ ยาลยั บรู พา. (2553). เทคโนโลยีสารสนเทศและการสอ่ื สาร.ชลบุรี: มหาวทิ ยาลยั บูรพา, เอกสารประกอบการเรยี นการสอน. ชวลติ ชกู าแพง. (2550). การประเมินการเรยี นรู้ (Learning assessment) มหาสารคาม: มหาวิทยาลัย มหาสารคาม. ชัยยงค์ พรหมวงศ.์ (2556). การทดสอบประสิทธภิ าพสื่อหรือชดุ การสอน. วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์ วจิ ัย 5(1), 7-20. ชัยวัฒน์ สทุ ธิรตั น์. (2553). 80 นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ทเี่ น้นผเู้ รยี นเป็นสาคญั , กรงุ เทพฯ : แดเนก็ ซ์ อินเตอร์คอร์ปอเรชัน่ . ชาตรี เกิดธรรม. (2547). เทคนคิ การสอนแบบโครงงาน กรงุ เทพฯ : ชมรมเด็ก. ชูศรี วงศร์ ัตนะ และองอาจ นัยพฒั น.์ (2551). แบบแผนการวิจยั เชิงทดลองและสถิตวิ ิเคราะห์แนวคิด พื้นฐานและวิธีการ. กรงุ เทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. ณัฏฐกิ า หลอดแกว้ (2552). ผลการเรียนรดู้ ว้ ยบทเรยี นคอมพวิ เตอร์มลั ตมิ ีเดยี แบบร่วมมอื ท่ีมีผลต่อ ผลสัมฤทธิแ์ ละพฤตกิ รรมการทางานกลุ่มวิชาคอมพวิ เตอร์และระบบปฏบิ ัติการเบ้อื งต้นของ นกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบางปลาม้า “สงู สมุ ารผดงุ วิทย์\"วิทยานพิ นธ์ศึกษาศาสตร มหาบัณฑิต สาขาวชิ าเทคโนโลยีการศกึ ษา, บัณฑิตวทิ ยาลัย,มหาวิทยาลยั ศิลปากร. ดวงพร อ่มิ แสงจันทร์ (2554). การพัฒนาผลการเรยี นรู้ เร่ือง หลกั ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียงกับการพัฒนา เศรษฐกิจของประเทศและความสามารถในการแกป้ ัญหาตามขั้นตอนการจัดการเรยี นรู้แบบ โครงงานของนกั เรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 5. วิทยานิพนธ์ ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวิชาการ สอนสังคมศกึ ษา, บัณฑติ วิทยาลยั , มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร. ทศิ นา แขมมณี. (2542). การจดั การเรียนการสอนโดยยดึ ครเู ป็นศนู ย์กลาง: โมเดลซิปปา (CIPPA Model), วารสารวิชาการ, 3(5), 2-30. ทศิ นา แขมมณ.ี (2555) ศาสตร์การสอน: องค์ความรู้เพอ่ื การจดั กระบวนการเรยี นรทู้ ี่มปี ระสิทธภิ าพ (พมิ พ์ครง้ั ท่ี 15). กรงุ เทพฯ : สานักพิมพ์แหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย, ทองใบ ปดั ทา. (2553). ผลการจดั กิจกรรมการเรียนรูว้ ิชาการงานอาชพี และเทคโนโลยีชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 5 โดยใช้รูปแบบการสอนแบบโครงงาน, วิทยานิพนธศ์ ึกษาศาสตรมหาบัณฑติ , สาขาวชิ า หลักสตู รและการสอน, บณั ฑิตวทิ ยาลยั , มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ . เนาวนิตย์ สงคราม (ใจม่ัน), (2554). การสร้าง Digital Video & Digital storytelling เพือ่ การเรียน การสอนยคุ ดิจิทลั กรงุ เทพฯ : สานกั พิมพแ์ ห่งจุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั . บญุ ชม ศรีสะอาด. (2545). การวิจัยเบ้ืองต้น (พิมพ์ครั้งที่ 7). กรงุ เทพฯ : สวุ ริ ยิ าสาสน์ . บุญนา เกษ.ี รายงานผลการใชแ้ บบฝกึ ทักษะ เรื่องระบบสมการเชิงเสน้ ระดบั มธั ยมศึกษาปที ี่ 3 โรงเรียนพานทองสภาชนปู ถมั ภอ์ าเภอพานทอง จงั หวัดชลบรุ ี, 2556.

62 ปารชิ าติ สุพรรณกลาง. การเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตรเ์ ร่ืองการอินทิเกรตของ นักเรียนช้นั มัธยมศกึ ษาปี ท่ี 6 ทเ่ี รยี นโดยใช้แบบฝึกเรียนเป็นรายบุคคลและเปน็ กลมุ่ ย่อย.งาน นิพนธก์ ารศึกษามหาบณั ฑติ . ชลบรุ ี : มหาวิทยาลยั บูรพา, 2550. ปญั ญา สังข์ภิรมย์ และสคุ นธ์ สนิ ธพานนท.์ (2550) สดุ ยอดวิธกี ารสอนการงานอาชีพและเทคโนโลยี นาไปส่กู ารจดั การเรียนร้ขู องครยู คุ ใหม่. กรงุ เทพฯ: อักษรเจรญิ ทัศน์. พรรณี ลกี จิ วัฒนะ (2553). การวิจัยทางการศึกษา, กรุงเทพฯ : คณะครุศาสตร์อตุ สาหกรรม สถาบัน เทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบงั . พชิ ิต ฤทธ์ิจรญู . (2548). หลักการวดั และประเมินผลการศกึ ษา (พิมพ์คร้ังท่ี 3). กรงุ เทพฯ: เฮา้ ส์ ออฟ เคอรม์ สี ท์. พิมพันธ์ เดชะคปุ ต์. (2544). กระบวนการเรยี นรู้ที่เน้นผู้เรยี นเป็นสาคญั , ม.ป.ท. พมิ พนั ธ์ เดชะคปุ ต์. (2551). ทกั ษะ 5C เพ่อื การพฒั นาหน่วยการเรียนรูแ้ ละการจัดการเรยี นการสอน แบบบูรณาการ. กรุงเทพฯ สานักพมิ พแ์ ห่งจุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. พิมพันธ์ เดชะคปุ ต์, พเยาว์ ยนิ ดสี ขุ และราเชน มศี รี (2552). การสอนคิดด้วยโครงงานการเรยี นการ สอนแบบบรู ณาการ. กรุงเทพฯ. จฬุ าลงการณ์มหาวิทยาลยั . พสิ ณุ ฟองศร.ี (2553). การสร้างและพัฒนาเครื่องมือวจิ ัย (พิมพค์ รัง้ ท่ี 2). กรุงเทพฯ : บรษิ ทั ดา่ นสทุ ธาการพมิ พ์. พงศเ์ ทพ จิระโร. (2552). การวดั และการประเมินในชนั้ เรยี น ชลบรุ ี: มหาวทิ ยาลยั บูรพา เอกสาร ประกอบการเรยี นการสอน. พรจติ สุดจรงิ . (2551). การพัฒนาแผนการจดั กจิ กรรมการเรียนร้แู บบโครงงาน กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ การงานอาชีพและเทคโนโลยี เรื่อง ผลติ ภัณฑ์จากรังไหม ระดบั ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 4. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต, สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน, บัณฑติ วทิ ยาลัย, มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม. ฟาฏินาวงศเ์ ลขา, สือ่ การเรียนรรู้ ปู แบบใหม่ ในโลกยุคดจิ ิตตอล. เข้าถึงไดจ้ าก http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31896&Key= news_research มนตรี แยม้ กสิกร. (2547). การวจิ ยั และทฤษฎีเทคโนโลยกี ารศึกษา, ชลบรุ :ี มหาวทิ ยาลัยบรู พา. เอกสารคาสอนวิชาทฤษฎแี ละการวจิ ยั เทคโนโลยกี ารศึกษา. มนตรี แย้มกสิกร. (2551). เกณฑป์ ระสิทธิภาพในงานวจิ ยั และพฒั นาสอ่ื การสอน: ความแตกตา่ ง90/ 90 Standard และ E/ F2. วารสารศึกษาศาสตร์, 19(1), 1-16. ยืน ภู่วรรณ และสมชาย นาประเสรฐิ กุล. (2546). ไอซีทเี พื่อการศกึ ษาไทย. กรุงเทพฯ: ซเี อ็ดยูเคชนั่ . ยทุ ธ ไกยวรรณ์. (2545). พนื้ ฐานการวจิ ัย, กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาสน์. ยนต์ ชุ่มจิตร. (2553). ความเป็นครู (พิมพค์ ร้ังท่ี 5). กรงุ เทพฯ: โอเดียนสโตร์. เยาวดี รางชยั กุลวบิ รู ย์ศรี (2553). การวัดและการสร้างแบบทดสอบผลสมั ฤทธ์ิ พิมพ์ครั้งที่ 9) กรงุ เทพฯ : สานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย.

63 ราตรี นนั ทสคุ นธ์. (2553). หลกั การวดั และประเมินผลการศึกษา, กรงุ เทพฯ: จดุ ทอง. รปิ อง กลั ปต์ ิวาณิชย์, (2555). ผลการเรยี นแบบผสมผสานด้วยวิธกี ารสอนแบบสาธติ เพือ่ การฝึกทกั ษะ ปฏบิ ตั ิวชิ าคอมพวิ เตอร์กราฟฟิก เร่ือง การสรา้ งภาพเคลอื่ นไหวของนักเรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสิรนิ ธรราชวิทยาลยั วิทยานิพนธ์ศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑติ ,สาขาวชิ าเทคโนโลยีการศกึ ษา บณั ฑติ วทิ ยาลยั , มหาวทิ ยาลัยศิลปากร. โรงเรียนศรีราชา (นามสมมตุ ิ), (2558) รายละเอียดวชิ าเทคโนโลยี 5 ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3. ม.ป.ท. ลัดดา ภูเกยี รติ (2544). โครงงานเพ่ือการเรียนรู้ : หลกั การและแนวทางการจดั กิจกรรม. กรุงเทพฯ : คณะครุศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั . ลดั ดา ภูเกยี รติ (2552). การสอนแบบโครงงานและการสอนแบบใช้วิจยั เปน็ ฐานงานที่ครปู ระถมทาได้. กรุงเทพฯ : สาฮะแอนด์ซันพริ้นติ้ง. วฒั นา มคั คสมัน. (2550). การสอนแบบโครงการ กรุงเทพฯ : สานักพมิ พ์แหง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั . วัฒนาพร ระงับทุกข์. (2541). การจัดการเรียนการสอนทเ่ี น้นผู้เรียนเปน็ ศูนย์กลาง, กรุงเทพฯ : ตน้ อ้อ 1999. วฒั นาพร ระงบั ทุกข.์ (2545). เทคนคิ และกจิ กรรมการเรยี นร้ทู ี่เนน้ ผูเ้ รียนเป็นสาคัญตามหลกั สูตร การศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน พ.ศ. 2544. กรุงเทพฯ: พรกิ หวานกราฟฟิก. วราภรณ์ ตระกลู สฤษด.์ิ (2551). แนวทางการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน. กรุงเทพฯ : เอ็มไอทพี รน้ิ ต้ิง. วมิ ลศรี สวุ รรณรัตน์ และมาฆะ ทพิ ย์ครี ี (254). คู่มือการจดั การเรียนการสอนโดยการทาโครงงาน (พมิ พ์คร้ังที่ 2), กรงุ เทพฯ. พัฒนาคณุ ภาพวชิ าการ (พว.). วณี า ประชากูล และประสาท เนอ่ื งเฉลิม. (2553). รปู แบบการเรียนการสอน มหาสารคาม : สานักพิมพ์ มหาวิทยาลยั มหาสารคาม, วีระเดช เช้ือนาม. (2545). การจดั การเรยี นการสอนโดยยดึ ผูเ้ รยี นเป็นศนู ย์กลางคืออะไร.วารสารวชิ าการ, 5(2), 2-4. ศศธิ ร เวยี งวะลัย. (2556). การจดั การเรียนรู้ กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์. ศิริชยั กาญจนาวสี. (2552). ทฤษฎีการทดสอบแบบด้ังเดิม (Classical test theory) (พิมพ์คร้ังที่ 6) กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แหง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. ศิริลกั ษณ์ วงศส์ ูง. (2552). การพัฒนาชดุ การสอนตามแนวทฤษฎกี ารสรา้ งสรรค์ชิน้ งานวชิ าคอมพิวเตอร์ เร่อื งการสร้างเวบ็ เพจ สาหรบั นักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรยี น เมืองแพร่ วทิ ยานพิ นธ์ ครุศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวิชาหลกั สตู รและการสอน,มหาวิทยาลยั ราชภฏั อตุ รดติ ถ์. ศริ นิ ทพิ ย์ เด่นดวง. (2554). การพฒั นาผลการเรียนรู้ด้านการฟงั และดเู ชิงคดิ วิเคราะห์ของนกั เรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 ดว้ ยการจดั การเรียนรู้แบบโครงงาน, วทิ ยานพิ นธศ์ ึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าหลักสูตรและวิธีสอน, บัณฑติ วทิ ยาลยั , มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร. สถาบนั พัฒนาความกา้ วหน้า. (2545). การสอนแบบโครงงานสู่การปฏบิ ัติจรงิ ดว้ ยย่วั ให้นักฝึกคิด, ม.ป.ท. สาโรช โศภิรักข.์ (2546). นวัตกรรมการสอนทย่ี ึดผู้เรยี นเป็นสาคญั , กรุงเทพฯ : บคุ พอยท์.

64 สิทธิญา รสั สยั การ. (2551). ผลการจดั การเรียนร้แู บบโครงงานกลุม่ สาระการเรยี นรู้การงานอาชีพและ เทคโนโลยี ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 3. วทิ ยานิพนธ์ครศุ าสตรมหาบัณฑิต,สาขาวชิ าหลักสูตรและ การสอน, บัณฑิตวิทยาลยั , มหาวทิ ยาลัยราชภฏั พระนคร. สชุ นิ เพช็ รรักษ์. (2544). รายงานวิจยั เรอ่ื ง การจดั กระบวนการเรยี นรเู้ พ่ือสรา้ งสรรคด์ ว้ ยปญั ญาใน ประเทศไทย. กรุงเทพฯ: สถาบันเทคโนโลยกี ารศกึ ษาแห่งชาติ สกศ. สวุ ิทย์ มลู คา. (2544). เรยี นรู้ส่คู รูมอื อาชีพ. กรงุ เทพฯ: ท.ี พี.พรนิ้ . สุวิทย์ และอรทยั มลู คา (2546). 20 วธิ ีจัดการเรยี นรเู้ พื่อพัฒนาคณุ ธรรมจรยิ ธรรมคา่ นิยมการเรียนรู้โดย การแสวงหาความรดู้ ้วยตนเอง กรงุ เทพฯ: ภาพพิมพ์. สุรพี ร อนุศาสนนนั ท.์ (2554). การวดั และประเมนิ ในชนั้ เรียน ชลบรุ :ี เก็ทกดู๊ ครเี อชน่ั . เสกสรร แยม้ พนิ ติ . (2555). การเรียนรูโ้ ดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project based learning) เข้าถึงได้จาก http://edt.kmutt.ac.th/bangkok/?page_id=10. สมนึก นนธจิ นั ทร์. (2544). การเรยี นการสอนการวดั ผลและประเมนิ ผลจากสภาพจริงของผเู้ รยี น โดยใช้ Portfolio. กรงุ เทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช. สมนึก ภทั ทิยธน.ี (2549). การวดั ผลการศกึ ษา (พิมพ์ครั้งที่ 5) กาฬสนิ ธ์:ุ ประสานการพิมพ์. สมนึก ภัททยิ ธนี (2551). การวัดผลการศึกษา (พมิ พค์ รั้งท่ี 6) กาฬสินธ์ุ: ประสานการพิมพ์. สมบูรณ์ ตนั ยะ. (2545). การประเมินทางการศึกษา กรุงเทพฯ : สวุ ริ ิยาสาสน์, สมพร เชอ้ื พนั ธ์. (2547). การเปรยี บเทียบผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้น มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 โดยใชว้ ิธกี ารจดั การเรยี นการสอนแบบสรา้ งองค์ความรูด้ ้วยตนเองกบั การจดั การเรยี นการสอนตามปกติ วทิ ยานพิ นธค์ รุศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวชิ าหลักสูตร และการสอน, บัณฑติ วทิ ยาลัย, สถาบันราชภฏั พระนครศรีอยธุ ยา. สมศักดิ์ ภวู ภิ าดาวรรธน.์ (2554). หลักการสอนเพื่อพฒั นาผเู้ รยี นและการประเมินตามสภาพจริง กรุงเทพฯ: ควงกมล. เอกรนิ ทร์ ส่ีมหาศาล และสุปรารถนา ยุกตะนนั ท.์ (2546). การออกแบบเคร่ืองมือวดั และประเมิน สภาพตามสภาพจริง. กรุงเทพฯ: บุคพอยท์. Ackermann, E. (2001). Piaget’s constructivism, Papert's constructionism: What's the difference. Future of learning group publication, 5(3), 438. English, M. C., & Kitsantas, A. (2013). Supporting student self-regulated learning in problem-andproject-based learning. Interdisciplinary journal of problem-based learning, 7(2), 6. Hmelo-Silver, C. E. (2004). Problem-based learning: What and how do students learn. Educational psychology review, 16(3), 235-266. Kubiatko, M., & Vaculova, I. (2011). Project-based learning: Characteristic and the experiences with application in the science subjects. Department of Physics, Institute for Research in School Education, Masaryk University.

65 Papert, S. (1980). Mindstorms, children, computers and powerful ideas. New York: Basic books.

66 ภาคผนวก

67 ภาคผนวก ก รายชอ่ื ผเู้ ชยี วชาญ

68 1. นายภาณุ วงษ์ถาวรเรือง รายนามผเู้ ชียวชาญ 2. ดร.วรมน วีตะเสวีระ 3. ผศ.ณฏั ฐวฒุ ิ ทรัพยอ์ ปุ ถัมภ์ ตาแหนง่ รองผู้อานวยการสานักงาน กศน.จงั หวัด 4. นางนภสร กก๊ พิทักษ์ นครสวรรค์ 5. นายทวิ า นาคทมิ ตาแหนง่ ศึกษานิเทศก์ วทิ ยฐานะศกึ ษานิเทศก์ ชานาญการพิเศษ สานักงานศึกษาธกิ ารจังหวดั นครสวรรค์ ตาแหนง่ ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ สานักงานคณะบดี คณะมนษุ ย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฎราไพพพรรณี จังหวดั จันทบุรี ตาแหนง่ ผูอ้ านวยการ กศน. อาเภอลาดยาว รกั ษาการในตาแหน่งผู้อานวยการกศน.อาเภอ แม่วงก์ ตาแหนง่ ครคู ศ.1 โรงเรียนวัดสนั ติธรรม

69 ภาคผนวก ข - ตัวอย่างแบบฝกึ ทกั ษะการเรียนรเู้ รือ่ งโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้ัน มัธยมศึกษาตอนต้น - การหาประสิทธิภาพแบบฝึกทักษะการเรยี นรเู้ ร่ืองโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชน้ั มัธยมศึกษาตอนต้นคะแนนของนักเรยี นทําแบบฝึกหัดท้ายบท จํานวน 5 เร่อื ง (E1) - คะแนนหลงั เรียนของแบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน แบบฝกึ ทกั ษะการเรียนรเู้ รื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชน้ั มธั ยมศึกษาตอนตน้ (E2) - เปรยี บเทยี บคะแนนก่อนเรยี นและหลงั เรียนของแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์แบบฝึกทักษะการเรยี นรเู้ รอ่ื ง โครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดบั ชั้นมธั ยมศึกษาตอนตน้ - แบบประเมินความสามารถในการทาํ โครงงาน - ค่าความสามารถในการทาโครงงานสาหรับนกั ศึกษาชั้นมธั ยมศึกษาตอนต้น - การประเมนิ คา่ ดัชนีความสอดคล้องแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิแบบฝกึ ทักษะการเรยี นรเู้ ร่ืองโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดบั ชน้ั มธั ยมศึกษาตอนตน้ ของผู้เชีย่ วชาญ 5 ทา่ น - ค่าความยากงา่ ย (p) และคา่ อานาจจา แนก (r) ของแบบทดสอบผลสมั ฤทธ์ิแบบฝึกทกั ษะ การ เรียนรู้เร่ืองโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดบั ชนั้ มธั ยมศึกษาตอนตน้ - ตางรางที่ 16 การประเมินค่าดชั นีความสอดคล้องแบบประเมนิ ความสามารถในการทาโครงงาน (Project – Based Leaning : PBL) สาหรบั นกั เรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาตอนต้น - แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นแบบฝึกทกั ษะการเรียนรู้เรอ่ื งโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดบั ช้ันมธั ยมศกึ ษาตอนต้น

70

71 คาชี้แจง แบบฝึกทักษะการเรียนรู้เร่ืองโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้ันมัธยมศึกษา ตอนต้นเลม่ นีใ้ ด้จดั ทําขึ้นเพื่อใช้สอนนกั ศกึ ษารายวชิ า วิทยาศาสตร์ พว 21001 ระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น เกี่ยวกับการนําทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ในการทําโครงงานวิทยาศาสตร์ซ่ึงแบบฝึกทักษะท่ี จัดทําข้ึนผู้เรียนสามารถศึกษาและฝึทักษะตามกิจกรรมและประเมินผลการเรียนตามข้ันตอนที่กําหนดไว้ เนือ้ หาการฝึกแบง่ เป็นเรือ่ ง จํานวน 5 เรอื่ ง ซงึ่ แต่ละเรือ่ งประกอบด้วยแบบทดสอบก่อนจุดประสงค์การเรียนรู้ ใบความรู้แบบฝกึ ใบงาน แบบทดสอบหลังเรยี น ดังนี้ เร่ือง 1 การกําหนดปัญหา/ประเดน็ ทสี่ นใจ เร่ือง 2 การรวบรวมขอ้ มลู ทเ่ี กยี่ วข้อง เรอ่ื ง 3 การออกแบบและดําเนนิ กิจกรรมโครงงาน เรอ่ื ง 4 การออกแบบและดําเนินกิจกรรมโครงงาน เรื่อง 5 การนาํ เสนอโครงงาน เข้าใจแล้วมาเริ่มกนั เลย

72 จุดมุ่งหมายในการใช้แบบฝกึ แบบฝกึ ทกั ษะการเรยี นรู้เรื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดบั ชั้นมธั ยมศกึ ษาตอนตน้ มีจดุ มงุ่ หมายดังน้ี 1. เพื่อให้นกั เรยี นเป็นผู้มคี วามใฝรู้ ใฝเรียน สร้างองค์ความร้ไู ด้ดว้ ยตนเอง 2. เพื่อใหน้ กั เรียนมคี วามรู้ ความเข้าใจ และมีทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ เพ่ือนาํ ไปใชใ้ นการทําโครงงานวทิ ยาศาสตร์ท่ถี ูกต้อง 3. เพื่อให้นักเรยี นมีความรบั ผิดชอบและฝึกการทาํ งานกลมุ่ 4. เพ่ือใหน้ ักเรียนมเี จตกติที่ดีตอ่ การเรียนกลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ 5. เพื่อใหน้ ักเรยี นไดน้ ําความรู้ทไ่ี ด้รับไปใช้ในการทําโครงงานวิทยาศาสตร์ได้ อย่างมีคณุ ภาพ ดแู ล้วง่ายๆใช่ ไหมคะ

73 คาชีแ้ จงสาหรบั นักศกึ ษา 1. แบบฝกึ ทผี่ เู้ รียนศึกษาเป็นแบบฝึกโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ความรเู้ บื้องต้นเกยี่ วกับโครงงานและจนจบงาน สาํ เร็จบรรลุผลตามเป้าหมาย ประกอบดว้ ย เรอื่ ง 1 การกําหนดปัญหา/ประเด็นทส่ี นใจ เวลา 2 ช่วั โมง เรื่อง 2 การรวบรวมขอ้ มูลทเ่ี กี่ยวข้อง เวลา 2 ช่วั โมง เรอ่ื ง 3 การออกแบบและดําเนนิ กิจกรรมโครงงาน เวลา 2 ช่ัวโมง เร่อื ง 4 การออกแบบและดาํ เนินกิจกรรมโครงงาน เวลา 2 ช่ัวโมง เรือ่ ง 5 การนําเสนอโครงงาน เวลา 2 ชั่วโมง 2. เอกสารชุดน้ีประกอบไปด้วย - จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ - ใบความรู้ - แบบฝกึ - แบบทดสอบก่อน-หลังเรียน 3. นกั เรียนแบ่งกลุ่มและสมาชิกในแต่ละกล่มุ จะประกอบด้วยสมาชกิ จาํ นวน 3 คน ให้นักเรียนเลือก ประธาน รองประธานและเลขานกุ าร ประธานมอบหมายงานให้ทกุ คนในกลมุ่ ช่วยกันศึกษากิจกรรมตาม แบบฝกึ ให้เขา้ ใจ 4. ในการทาํ กิจกรรม นักเรียนจะไดร้ ับแบบฝกึ คนละ 1 เลม่ โดยให้ทาํ งานเป็นกลุ่มซงึ่ นักเรียนสามารถ ช่วยเหลือกนั ทาํ งานได้ตามความเหมาะสม แตจ่ ะใหค้ ะแนนผลงานเปน็ รายบุคคล และให้คะแนน พฤติกรรมการปฏบิ ตั ิกิจกรรมในกลุ่มเท่ากัน ถ้าสมาชกิ คนใดในกล่มุ ไม่เข้าใจให้ชว่ ยกันอธิบายจนเข้าใจ หรือปรึกษาครู 5. นกั เรียนจะทําแบบทดสอบกอ่ นและหลงั เรียน โดยใหค้ ะแนนเป็นรายบคุ คล 6. ในการฝกึ การทําโครงงานวิทยาศาสตร์ นกั เรียนจะต้องปฏบิ ตั ติ ามขั้นตอนดงั ต่อไปน้ี 6.1 ทําแบบทดสอบก่อนเรยี น 6.2 นกั เรยี นตอ้ งซอ่ื สัตยต์ ่อตนเองไม่เปดิ ดเู ฉลยกอ่ น เพราะจะทําใหน้ ักเรียน ไมม่ ีความรู้ท่แี ท้จรงิ ไม่ประสบผลสาํ เรจ็ ในการเรยี นอกี ดว้ ย 6.3 อ่านรายละเอยี ดของแบบฝึกก่อนลงมอื ปฏิบตั ิทุกคร้งั 6.4 เม่อื ปฏิบตั กิ ิจกรรมตามแบบฝึกเสรจ็ แลว้ ส่งตัวแทนมานําเสนอผลกิจกรรมตามแบบฝึก หลังจากนนั้ ครูและนกั เรยี นรว่ มกันเฉลขและอภปิ รายเกีย่ วกับคาํ ตอบในแบบฝึก 6.5 ทาํ แบบทดสอบหลังเรยี น

74 จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1. นักศึกษาสามารถวิเคราะห์การกําหนดปัญหา/ประเด็นที่สนใจ และเขียนเค้าโครงโครงงาน วทิ ยาศาสตร์ 2. นกั ศึกษาสามารถศึกษาเอกสาร และแหล่งข้อมูลอ่ืนๆที่เกี่ยวข้องกับการจัดทําโครงงานวิทยาศาสตร์ ในเรื่องทนี่ ักเรียนสนใจเลือกทําได้ 3. นักศกึ ษาสามารถวางแผนและดําเนินงานเขยี นเคา้ โครงของโครงงานในเรอื่ งท่นี ักศึกษาสนใจเลือกทํา ได้ขอบข่ายเนอื้ หา 4. นักศึกษาสามารถดําเนนิ งานตามข้ันตอนโครงงานที่วางแผนไว้ 5. นักศึกษาสามารถดําเนินการจัดนิทรรศการและนําเสนอผลงานโครงงานวิทยาศาสตร์ในเร่ืองท่ี นักศึกษาสนใจเลอื กทําได้ มาทาแบบทดสอบ กอ่ นเรียน ๑ กันเลย

75 แบบทดสอบ ก่อนเรยี น 1 คาช้ีแจง ให้นกั เรยี นเลือกคาตอบที่ถูกต้องท่ีสุดเพียงข้อเดียว 1. ข้อใดกลา่ วไม่ถูกต้อง * ก. การทาํ โครงงานวิทยาศาสตร์จะชว่ ยพัฒนาใหน้ ักเรียนเปน็ คนรับผิดชอบ ข. การเรียนโครงงานวทิ ยาศาสตรน์ ักเรียนสามารถนาํ ไปใช้ในชีวติ ประจําวนั ได้ ค. การทําโครงงานวิทยาศาสตรเ์ ปน็ การเปดิ โอกาสใหน้ กั เรียนได้พฒั นาและแสดงความสามารถตาม ศักยภาพของตนเอง ง. จดุ มุ่งหมายของการทําโครงงานวิทยาศาสตรท์ ีส่ ําคญั คอื การเขา้ ประกวดแข่งขัน 2. ความหมายโครงงานวิทยาศาสตรค์ ือขอ้ ใด * ก. เปน็ กิจกรรมทีน่ าํ เอาวธิ ีการทางวิทยาศาสตรม์ าใช้ในการศึกษา ข. เป็นงานวิจัยเล็กๆ ของนักเรียนทม่ี เี น้อื หาเก่ยี วกับวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ค. เปน็ การศึกษาเร่ืองใดเร่ืองหน่ึงที่นกั เรียนเปน็ ผลู้ งมือปฏิบัติและศึกษาค้นคว้าคน้ ควา้ ด้วยตนเอง ง. ถูกทุกข้อ 3. ข้อใดไม่จดั ว่าเป็นโครงงานวิทยาศาสตร์ * ก. ขาวศกึ ษา คน้ ควา้ และพัฒนาเคร่อื งอบผา้ โดยใช้พลงั งานแสงอาทติ ย์ ข. ส้มทําสบู่สมนุ ไพรสูตรพเิ ศษที่คดิ คน้ ขนึ้ เอง ค. เขยี วผลิตยาขจัดกลิ่นกายสตู รธรรมชาตทิ ไี่ มเ่ หมือนใคร ง. แดงซ้อื ชุดทํายาหม่องนํา้ จากรา้ นค้ามาทํายาหม่องแจกเปน็ ของชํารว่ ย 4. ข้อใดเป็นจดุ มุ่งหมายที่สาํ คัญในการให้นักเรยี นทําโครงงานวิทยาศาสตร์ * ก. เพื่อให้นักเรยี นได้รบั คาํ ตอบในปญั หา ข. เพือ่ ใหม้ ีเจตคติที่ดตี ่อการเรียนวิทยาศาสตร์ ค. เพื่อให้มปี ระสบการณต์ รงในการแสวงหาความร้ดู ว้ ยตนเองโดยวิธีทางวทิ ยาศาสตร์ ง. เพอ่ื ช่วยให้นักเรยี นเขา้ ใจลักษณะธรรมชาตวิ ิทยาศาสตรด์ ขี ้ึน 5. หลกั การของการจดั กิจกรรมโครงงานวิทยาศาสตรค์ ือข้อใด * ก. ความสามัคคีในหมู่คณะ ข. การใช้เวลาวา่ งใหเ้ ป็นประโยชน์ ค. การคิดเป็น ทาํ เป็น แกป้ ญั หาได้ ง. ความคิดรเิ รม่ิ สรา้ งสรรค์ 6. ขอ้ ใดคือองค์ประกอบของโครงงานวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี * ก. กระตนุ้ ใหน้ ักเรียนสนใจในการเรยี นวิทยาศาสตร์ ข. นักเรยี นเป็นผ้รู ิเริม่ เร่อื งท่ีจะศึกษาค้นคว้าดว้ ยตนเอง ค. เปิดโอกาสให้นักเรียนทุกคนไดพ้ ฒั นาและแสดงความสามารถ ง. นกั เรียนไดใ้ ชเ้ วลาวา่ งใหเ้ กิดประโยชน์

76 7. ขอ้ ใดเป็นคุณคา่ ของการทําโครงงานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี * ก. สรา้ งความสํานกึ และรบั ผดิ ชอบในการศึกษาหาความรู้ ข. นักเรยี นเป็นผวู้ างแผนในการศึกษาคน้ ควา้ ค. เป็นกิจกรรมที่เกย่ี วกบั วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ง. เป็นกจิ กรรมทีใ่ ช้วธิ ีการทางวิทยาศาสตรใ์ นการค้นคว้า 8. ขอ้ ใดไม่ใชจ่ ดุ มุ่งหมายของการทําโครงงานวิทยาศาสตร์ * ก. เพื่อใหน้ ักเรยี นไดร้ จู้ ักใชเ้ วลาว่างให้เปน็ ประโยชน์ ข. เพ่ือส่งเสรมิ ให้นกั เรียนเกดิ ความรักและสนใจในวิชาวิทยาศาสตร์ ค. เพอ่ื พัฒนาความรับผิดชอบ และสามารถทาํ งานรว่ มกับผู้อื่นได้ ง. เพื่อให้เหน็ ถึงนิสยั และพฤติกรรมของผู้ทาํ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 9. ข้อใดไมใ่ ช่ความสาํ คัญของโครงงานวิทยาศาสตร์ * ก. เป็นการหาความรู้ดว้ ยตนเองทีห่ ลากหลาย ข. ช่วยสง่ เสริมใหม้ กี ารเผยแพร่ผลงาน และเป็นหนทางในการสร้างรายได้ ค. รจู้ กั การทาํ งานร่วมกันเป็นหมู่คณะ รูจ้ กั ยอมรับฟงั ความคิดเห็นของผู้อน่ื ง. เปิดโอกาสให้นักเรยี นได้แสดงความสามารถตามศักยภาพของตนเอง 10. นักเรยี นไดร้ ับประโยชนอ์ ะไรจากการทาํ โครงงานมากท่สี ดุ * ก. ได้ใช้เวลาว่างให้เกดิ ประโยชน์ในทางสรา้ งสรรค์ ข. ไดฝ้ ึกการนาํ เอาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรม์ าใชแ้ ก้ปญั หา ค. ไดป้ ระสบการณแ์ ละพฒั นาคุณลกั ษณะในหลายๆดา้ นใหก้ ับผู้เรยี น ง. สรา้ งความสํานกึ และรบั ผดิ ชอบในการศึกษาคน้ ควา้ หาความรู้

77 ใบงานท่ี ๑ แบบสารวจสภาพปญั หา คําช้แี จง : ให้นักศึกษาสาํ รวจสภาพปัญหา หรือสิง่ ทีต่ ้องการศกึ ษา จากหัวข้อด้านตา่ ง ๆ ท่นี ักศึกษาสนใจ ต่อไปน้ี จาํ นวน ๑ เร่ือง แล้ววิเคราะหล์ งในผังมโนทัศน์ - ด้านคณุ ภาพของแหล่งนํ้า ดิน หรือทรพั ยากรธรรมชาติในทอ้ งถิน่ ทถ่ี ูกทําลาย - ดา้ นเกษตรกรรม หรือผลผลติ ทางการเกษตร - ด้านขยะมูลฝอย ในทอ้ งถิ่น - สภาพภายใน กศน.ตําบลเขาชนกัน ดา้ นต่าง ๆ ๑. รายชือ่ สมาชกิ กลุม่ ๑…………………………………………………………… 2…………………………………………………………… 3……………………………………………………………. ๒. ผังมโนทัศนเ์ ร่อื งทนี่ ักเรยี นเลอื กในการวิเคราะห์ คอื ดา้ น…………………………………………………………………… ………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………… …………………………………………………………………….. …………………………………………….. งา่ ยๆใช่ไหมคะ

78 ใบงานท่ี ๒ แบบวเิ คราะหป์ ญั หา คําช้แี จง : ให้นักศึกษาเลอื กปัญหา หรือเรอ่ื งที่สนใจศึกษา จากการวิเคราะห์ในผังมโนทัศน์ทน่ี กั ศึกษา วเิ คราะห์แล้ว ๑ เรื่อง มาวเิ คราะห์ถงึ ปญั หา (สง่ิ ที่ต้องการศกึ ษา) , สาเหตขุ องปัญหา (มีจดุ ประสงค์ ยา่ งไร ในการศกึ ษาเรือ่ งน้นั ๆ) , แนวความคิดในการแกป้ ญั หา (จะทาํ อย่างไรที่จะได้มาซ่ึงข้อมูล หรือ สิง่ ท่ีต้องการ ศึกษา) ๑. รายชือ่ สมาชิกกล่มุ 1………………………………………………………………… 2………………………………………………………………… 3…………………………………………………………………. ๒. ปญั หา หรอื เรอื่ งท่ีสนใจศึกษาเลอื กในการวิเคราะห์ คอื …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ............................................................................................................................................................. ๒.1 ปญั หา (สง่ิ ท่ตี ้องการศกึ ษา) …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ............................................................................................................................................................. ๒.๒ สาเหตุของปญั หา(มจี ุดประสงค์อย่างไรในการศึกษาเรื่องน้ันๆ) …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ............................................................................................................................................................. ๒.๓ แนวความคดิ ในการแก้ปัญหา จะทําอยา่ งไรทจ่ี ะไดม้ าซึง่ ขอ้ มลู หรอื สิ่งทตี่ ้องการศึกษา) …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………. .............................................................................................................................................................

79 ใบงานท่ี ๓ แบบกาหนดเร่ืองในการ ทาโครงงาน คําชแี้ จง : จากสภาพปญั หาหรอื หวั ขอ้ ท่นี ักศึกษาร่วมกนั วเิ คราะห์ ใหน้ ักศกึ ษาตกลงกนั ใน ห้องเรยี น เพอื่ กําหนดเร่ืองท่จี ะทําโครงงานวทิ ยาศาสตร์ โดยเขยี นชื่อเรอื่ งใหช้ ัดเจน และ เตรยี มการวางแผนเพอ่ื ดําเนินการ จดั ทาํ โครงงานได้เหมาะสม ๑. ชอื่ โครงงาน(ตัดสนิ ใจเลอื กทาํ ) …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ๒. ความสําคัญ/เหตผุ ลในการเลือกทาํ เรื่องนี้ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ๓. จดุ ม่งุ หมาย/จุดประสงค์ในการทํา …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ๔. ขอ้ มลู ทจ่ี าํ เป็นต้องศึกษาค้นคว้า …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ๕. วธิ กี ารดําเนนิ งาน …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ๖. ประโยชน์/ผลท่คี าดว่าจะไดร้ ับจากการทาํ โครงงานนี้ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ชื่อ.........................................................................ระดับชนั้ ........................................................... ช่ือ.........................................................................ระดับช้ัน........................................................... ชอ่ื .........................................................................ระดบั ชัน้ ...........................................................

80 แบบทดสอบ หลงั เรียน 1 คาช้แี จง ใหน้ ักเรยี นเลือกคําตอบท่ีถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว 1. ขอ้ ใดกล่าวไม่ถูกต้อง * ก. การทําโครงงานวิทยาศาสตร์จะช่วยพฒั นาใหน้ ักเรียนเปน็ คนรับผดิ ชอบ ข. การเรียนโครงงานวิทยาศาสตร์นกั เรียนสามารถนําไปใชใ้ นชีวิตประจาํ วันได้ ค. การทําโครงงานวิทยาศาสตรเ์ ปน็ การเปิดโอกาสให้นกั เรยี นไดพ้ ัฒนาและแสดงความสามารถตาม ศกั ยภาพของตนเอง ง. จุดมุง่ หมายของการทาํ โครงงานวิทยาศาสตรท์ ีส่ ําคญั คอื การเข้าประกวดแข่งขนั 2. ความหมายโครงงานวิทยาศาสตรค์ ือข้อใด * ก. เป็นกิจกรรมทนี่ ําเอาวิธีการทางวทิ ยาศาสตรม์ าใชใ้ นการศึกษา ข. เปน็ งานวจิ ัยเล็กๆ ของนักเรยี นท่มี เี น้อื หาเกย่ี วกบั วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ค. เปน็ การศึกษาเรื่องใดเร่ืองหน่ึงทนี่ กั เรยี นเปน็ ผูล้ งมือปฏบิ ัติและศึกษาค้นคว้าคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง ง. ถกู ทุกข้อ 3. ขอ้ ใดไม่จดั วา่ เปน็ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ * ก. ขาวศึกษา คน้ ควา้ และพัฒนาเครือ่ งอบผ้าโดยใช้พลงั งานแสงอาทิตย์ ข. สม้ ทาํ สบูส่ มุนไพรสตู รพิเศษท่ีคิดค้นข้ึนเอง ค. เขียวผลิตยาขจดั กล่นิ กายสตู รธรรมชาตทิ ่ีไม่เหมือนใคร ง. แดงซอ้ื ชดุ ทาํ ยาหม่องน้าํ จากรา้ นค้ามาทํายาหม่องแจกเป็นของชํารว่ ย 4. ขอ้ ใดเปน็ จดุ มงุ่ หมายทส่ี ําคัญในการให้นกั เรยี นทําโครงงานวิทยาศาสตร์ * ก. เพือ่ ใหน้ กั เรยี นได้รับคาํ ตอบในปัญหา ข. เพื่อใหม้ ีเจตคติท่ีดีต่อการเรยี นวทิ ยาศาสตร์ ค. เพ่อื ให้มีประสบการณ์ตรงในการแสวงหาความรูด้ ้วยตนเองโดยวธิ ที างวทิ ยาศาสตร์ ง. เพอ่ื ชว่ ยให้นกั เรยี นเข้าใจลักษณะธรรมชาตวิ ทิ ยาศาสตร์ดีข้ึน 5. หลกั การของการจดั กจิ กรรมโครงงานวิทยาศาสตรค์ อื ขอ้ ใด * ก. ความสามัคคีในหมู่คณะ ข. การใชเ้ วลาว่างให้เปน็ ประโยชน์ ค. การคดิ เป็น ทําเป็น แก้ปญั หาได้ ง. ความคดิ รเิ ร่มิ สรา้ งสรรค์ 6. ขอ้ ใดคือองคป์ ระกอบของโครงงานวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี * ก. กระตุ้นใหน้ ักเรียนสนใจในการเรยี นวทิ ยาศาสตร์ ข. นกั เรยี นเป็นผู้ริเริม่ เร่ืองทจ่ี ะศึกษาค้นควา้ ดว้ ยตนเอง ค. เปิดโอกาสใหน้ ักเรยี นทุกคนได้พฒั นาและแสดงความสามารถ ง. นกั เรยี นได้ใช้เวลาวา่ งใหเ้ กดิ ประโยชน์

81 7. ข้อใดเป็นคุณคา่ ของการทําโครงงานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี * ก. สร้างความสํานึก และรับผิดชอบในการศกึ ษาหาความรู้ ข. นักเรยี นเป็นผูว้ างแผนในการศึกษาคน้ ควา้ ค. เปน็ กจิ กรรมทเี่ ก่ยี วกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ง. เปน็ กิจกรรมท่ใี ช้วิธีการทางวิทยาศาสตรใ์ นการค้นควา้ 8. ข้อใดไม่ใช่จุดมงุ่ หมายของการทําโครงงานวิทยาศาสตร์ * ก. เพื่อใหน้ กั เรียนได้รจู้ ักใช้เวลาว่างใหเ้ ป็นประโยชน์ ข. เพือ่ สง่ เสริมใหน้ กั เรียนเกดิ ความรักและสนใจในวชิ าวิทยาศาสตร์ ค. เพ่ือพัฒนาความรับผิดชอบ และสามารถทํางานร่วมกบั ผอู้ ่ืนได้ ง. เพือ่ ให้เหน็ ถงึ นสิ ัยและพฤติกรรมของผู้ทําโครงงานวิทยาศาสตร์ 9. ขอ้ ใดไม่ใชค่ วามสาํ คัญของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ * ก. เปน็ การหาความรู้ด้วยตนเองทีห่ ลากหลาย ข. ชว่ ยส่งเสรมิ ให้มีการเผยแพรผ่ ลงาน และเป็นหนทางในการสรา้ งรายได้ ค. รูจ้ กั การทํางานรว่ มกันเป็นหมู่คณะ รู้จักยอมรับฟังความคิดเหน็ ของผู้อื่น ง. เปิดโอกาสให้นักเรยี นได้แสดงความสามารถตามศักยภาพของตนเอง 10. นักเรยี นไดร้ ับประโยชนอ์ ะไรจากการทาํ โครงงานมากทีส่ ุด * ก. ไดใ้ ชเ้ วลาว่างใหเ้ กดิ ประโยชนใ์ นทางสร้างสรรค์ ข. ได้ฝึกการนําเอาทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรม์ าใช้แกป้ ัญหา ค. ได้ประสบการณแ์ ละพัฒนาคุณลกั ษณะในหลายๆด้านให้กับผู้เรียน ง. สรา้ งความสาํ นกึ และรับผดิ ชอบในการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ แบบทดสอบหลัง เรยี น๑ ง่ายๆคะ

82 ตารางที่ 10 การหาประสทิ ธิภาพแบบฝกึ ทักษะการเรียนรเู้ รื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชน้ั มธั ยมศึกษาตอนตน้ คะแนนของนักเรียนทาแบบฝึกหัดทา้ ยบท จานวน 5 เร่ือง (E1) เรอ่ื งที่ 1 2 3 4 5 รวม คน/คะแนน (10) (10) (10) (10) (10) (50) 1 7 9 8 9 9 42 2 8 8 8 8 8 40 3 8 7 7 8 9 39 4 9 8 8 8 8 41 5 8 7 9 8 8 40 6 9 8 8 8 8 41 7 9 7 9 8 8 41 8 9 9 8 8 9 43 9 7 9 8 8 9 41 10 8 8 9 9 8 42 11 8 9 9 9 8 43 12 9 9 9 8 8 43 13 9 8 8 8 8 41 14 9 8 9 8 9 43 15 8 9 9 8 8 42 รวม 125 123 126 123 125 622 เฉล่ีย 83.33 82.00 84.00 82.00 83.33 82.93 ประสสทิ ธิ 83.33 82.00 84.00 82.00 83.33 82.93 ภาพ(E1)

83 ตารางที่ 11 คะแนนหลงั เรยี นของแบบทดสอบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น แบบฝกึ ทักษะการเรียนร้เู ร่อื งโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดบั ชน้ั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ (E2) คนท่ี คะแนนหลังเรียน (50) 1 43 2 40 3 43 4 40 5 42 6 40 7 43 8 44 9 40 10 41 11 42 12 42 13 40 14 40 15 41 รวม 621 เฉล่ีย 41.40

84 ตารางท่ี 12 เปรยี บเทียบคะแนนกอ่ นเรียนและหลงั เรยี นของแบบทดสอบผลสมั ฤทธ์ิแบบฝกึ ทักษะการเรียนรู้ เรือ่ งโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดบั ช้ันมัธยมศึกษาตอนตน้ คนที่ คะแนนก่อนเรยี น (50) คะแนนหลังเรียน (50) (D) (D2) 1 27 43 16 256 2 23 40 17 289 3 24 43 19 361 4 19 40 21 441 5 20 42 22 484 6 23 40 17 289 7 23 43 20 400 8 20 44 24 576 9 25 40 15 225 10 24 41 17 289 11 15 42 27 729 12 16 42 26 676 13 14 40 26 676 14 18 40 22 484 15 16 41 25 625 รวม 307 621 314 6800 เฉลีย่ 20.47 41.40 20.93 453.33 % 40.93 82.80 41.87 181.33

85 แบบประเมนิ ความสามารถในการทาโครงงาน ชอื่ โครงงาน ........................................................................................................... ระดับ.......................... สมาชิกในกลุ่มมีดังนี้ 1. …………………………………………………………………………………………… 2. …………………………………………………………………………………………… 3. …………………………………………………………………………………………… คาชี้แจง ให้ผู้ประเมนิ กาเคร่ืองหมาย √ ลงในชอ่ งระดับคุณภาพตามรายการประเมินโดยเกณฑก์ ารให้ คะแนนมดี ังนี้ 3 หมายถึง สงู 2 หมายถงึ ปานกลาง 1 หมายถึง ต่า รายการประเมิน คะแนน 321 1. การวางแผนการทางาน 1.1 การกาหนดช่ือเรอ่ื ง 1.2 การวางแผนคิดวิเคราะห์ ในการ สร้างสรรค์ชน้ิ งาน 1.3 การออกแบบผลงาน 1.4 การเลือกวัสดแุ ละเครื่องมอื ในการสืบค้นข้อมูล 1.5 การแบง่ ภาระงาน 1.6 มีความเขา้ ใจในการทาโครงงาน 1.7 มีการอ้างอิงเอกสารถูกต้อง และเหมาะสม 2. ด้านกระบวนการทางาน 2.1 การอธิบายข้นั ตอนการสรา้ งงาน 2.2 การกาหนดหน้าท่ีสมาชิกในกล่มุ 2.3 การปฏิบัตติ ามวธิ กี ารและ ขั้นตอนท่ีกาหนด 2.4 การมสี ว่ นร่วมในงานของ 2.5 การทางานประสบผลสาเรจ็ 2.6 การคิดแกป้ ญั หาดว้ ยวิธีการใหม่ 2.7 มีการรวบรวมแหล่งข้อมูล 3. ดา้ นผลงานและการนาเสนอ 3.1 การนาเสนอเน้ือหาใน ผลงานไพด้ถูกต้อง 3.2 การลาดบั ข้ันตอนของเน้ือเรื่อง 3.3 การนาเสนอมีความนา่ สนใจ 3.4 การมีสว่ นร่วมของสมาชิกในกลมุ่ 3.5 การตรงต่อเวลา 3.6 การพดู อภิปรายชัดเจน และใช้ภาษาไพทยไพด้ถูกต้อง 3.7 ตอบคาถามไพด้ถูกต้อง คล่องแคล่ว ลงช่ือ.......................................ผปู้ ระเมิน ................/......................../.........................

86 ตางรางท่ี 13 คา่ ความสามารถในการทาโครงงานสาหรบั นักศึกษาชัน้ มธั ยมศึกษาตอนต้น ค่าเฉลี่ย (���̅���) ระดบั ความ สามารถในการ กล่มุ ดา้ น 1 2 3 4 5 รวม ทาโครงงาน (ผลรวม) 1. การวางแผน การทางาน ๑.๑ การกาหนดชือ่ 3 3 3 2 2 2.60 สูง เรอื่ ง 3 2.20 กลาง 3 2.60 สูง 1.2 การวางแผน 2 2.60 สงู คดิ วเิ คราะห์ ในการ 2 2 2 2 3 2.60 สูง 2 2.60 สูง สรา้ งสรรค์ช้ินงาน 3 2.40 กลาง 1.3 การออกแบบ 2 2 3 3 2.57 2.51 สงู ผลงาน 1.4 การเลอื กวัสดุ และเคร่ืองมือ ใน 3 3 3 2 การสืบค้นข้อมลู 1.5 การแบ่งภาระ 2 3 2 3 งาน 1.6 มคี วามเขา้ ใจ ในการทา 33 3 2 โครงงาน 1.7 มีการอ้างอิง เอกสารถูกต้อง 22 2 3 และเหมาะสม รวม (เฉลย่ี ) 2.43 2.57 2.57 2.57

87 ตางรางที่ 13 (ตอ่ ) ค่าเฉล่ยี (���̅���) ระดับความ กลมุ่ 23 4 33 2 สามารถในการ 32 3 1 33 2 5 รวม ทาโครงงาน 23 3 (ผลรวม) 2 33 2 ด้าน 2 22 3 2 2.40 กลาง 3 32 3 2. ด้านกระบวน 3 3 2.60 สงู การทางาน 2 2 3 2.80 สูง 2.1 การอธิบาย 2 ขัน้ ตอนการ 2 2.60 สงู สร้างงาน 3 2.60 สงู 2.2 การกาหนด หน้าทสี่ มาชิก 2 2,20 กลาง ในกล่มุ 2.3 การปฏิบัติตาม 3 2.60 สูง วธิ ีการและ ขั้นตอน ที่กาหนด 2.4 การมสี ่วนร่วม ในงานของ 2.5 การทางาน ประสบผลสาเรจ็ 2.6 การคิดแก้ ปญั หาด้วย วธิ กี ารใหม่ 2.7 มีการรวบรวม แหลง่ ขอ้ มลู รวม (เฉลี่ย) 2.57 2.71 2.57 2.57 2.57 2.60 สูง

88 ตางรางที่ 13 (ตอ่ ) ค่าเฉลีย่ (���̅���) ระดบั ความ กลมุ่ สามารถในการ 12 3 4 5 รวม ทาโครงงาน ดา้ น (ผลรวม) 3. ด้านผลงานและ การนาเสนอ 3.1 การนาเสนอ เน้อื หาใน ผลงานไพด้ 2 3 3 2 2 2.40 กลาง ถูกต้อง 3.2 การลาดบั ขั้นตอนของ 23 2 3 3 2.60 สูง เนอ้ื เรอ่ื ง 3.3 การนาเสนอ มีความน่า 33 3 2 3 2.80 สูง สนใจ 3.4 การมสี ว่ นรว่ ม ของสมาชิก 32 3 3 2 2.60 สูง ในกล่มุ 3.5 การตรงต่อเวลา 2 3 3 2 2 2.40 กลาง 3.6 การพูดอภปิ ราย 2 2.60 สงู ชัดเจน และใชภ้ าษา 3 3 2 3 ไพทยไพดถ้ กู ตอ้ ง 3 2.40 กลาง 3.7 ตอบคาถามไพด้ ถกู ต้อง คล่องแคลว่ 2 2 2 3 รวม (เฉล่ีย) 2.43 2.71 2.57 2.57 2.43 2.54 สงู

89 ตารางที่ 14 การประเมินค่าดัชนคี วามสอดคล้องแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิแบบฝกึ ทกั ษะการเรยี นรู้เร่ือง โครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชน้ั มธั ยมศึกษาตอนตน้ ของผเู้ ชี่ยวชาญ 5 ทา่ น แบบวัดผลสัมฤทธ์ิ คะแนนของผเู้ ช่ียวชาญคนที่ IOC ทางการเรยี น(ปรนยั ) 1 2 345 0 1 111 0.8 ขอ้ 1 1 1 111 1 ขอ้ 2 1 -1 1 1 1 0.6 ขอ้ 3 0 1 111 0.8 ข้อ 4 1 1 111 1 ขอ้ 5 1 1 111 1 ข้อ 6 1 1 111 1 ข้อ 7 1 0 1 -1 0 0.2 ข้อ 8 0 0 111 0.6 ข้อ 9 1 1 111 1 ขอ้ 10 1 1 111 1 ข้อ 11 -1 1 1 1 1 0.6 ข้อ 12 1 1 1 -1 0 0.4 ข้อ 13 0 1 100 0.4 ข้อ 14 1 1 100 0.6 ข้อ 15 0 1 110 0.6 ข้อ 16 1 0 111 0.8 ข้อ 17 0 1 101 0.6 ขอ้ 18 1 1 111 1 ขอ้ 19 1 0 111 0.8 ขอ้ 20 1 0 111 0.8 ขอ้ 21 1 1 111 1 ขอ้ 22 1 1 111 1 ขอ้ 23 -1 1 1 1 1 0.6 ขอ้ 24 1 1 111 1 ขอ้ 25 1 1 111 1 ข้อ 26 1 1 111 1 ข้อ 27 1 1 111 1 ขอ้ 28

90 แบบวัดผลสมั ฤทธ์ิ คะแนนของผเู้ ชีย่ วชาญคนท่ี IOC ทางการเรยี น(ปรนยั ) 1 2 3 4 5 1 1 0 ข้อ 29 1 1 1 1 0 1 1 1 ข้อ 30 1 -1 -1 -1 1 1 1 1 ขอ้ 31 1 1 1 1 1 1 1 0.6 ขอ้ 32 1 1 1 1 1 1 1 0.6 ขอ้ 33 1 1 1 1 1 0.6 1 1 ขอ้ 34 1 1 1 1 1 0.6 1 0.6 ขอ้ 35 1 1 1 1 0 1 1 1 ขอ้ 36 1 1 1 -1 1 1 1 0.4 ข้อ 37 1 1 1 1 1 1 1 0.6 ข้อ 38 1 -1 1 1 1 0.8 1 1 ขอ้ 39 1 -1 1 1 1 ข้อ 40 1 1 1 1 ข้อ 41 1 -1 1 1 ข้อ 42 1 1 1 0 ขอ้ 43 1 1 1 1 ขอ้ 44 1 1 1 1 ขอ้ 45 1 1 1 1 ขอ้ 46 1 0 -1 1 ขอ้ 47 1 1 1 1 ขอ้ 48 1 -1 1 1 ข้อ 49 1 0 1 1 ข้อ 50 1 1 1 1 หมายเหตุ : ท่มี ีคา่ ตา่ กว่า 0.50 มีข้อ 8,13,14,46

91 ตารางที่ 15 ค่าความยากง่าย (p) และค่าอานาจจา แนก (r) ของแบบทดสอบผลสมั ฤทธ์ิแบบฝกึ ทกั ษะการ เรียนรูเ้ รื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดบั ชัน้ มัธยมศึกษาตอนต้น ความยากงา่ ย อานาจจาแนก ความยากง่าย อานาจจาแนก (p) (r) ข้อท่ี (p) (r) ข้อท่ี 0.64 0.39 0.50 0.32 1 0.64 0.36 26 0.54 0.59 0.56 0.54 2 0.52 0.4 27 0.50 0.45 0.56 0.26 3 0.64 0.35 28 0.66 0.43 0.64 0.35 4 0.68 0.37 29 0.66 0.26 0.64 0.32 5 0.44 0.34 30 0.30 0.53 0.68 0.29 6 0.50 0.33 31 0.40 0.37 0.44 0.33 7 0.50 0.31 32 0.56 0.32 0.58 0.29 8 0.60 0.37 33 0.66 0.50 0.64 0.46 9 0.52 0.41 34 0.68 0.43 0.68 0.35 10 0.62 0.27 35 0.64 0.32 0.30 0.53 11 0.44 0.34 36 0.68 0.29 0.40 0.37 12 0.60 0.38 37 0.44 0.33 13 0.48 0.35 38 14 0.58 0.5 39 15 0.52 0.44 40 16 0.54 0.59 41 17 0.54 0.34 42 18 0.54 0.59 43 19 0.58 0.53 44 20 0.54 0.41 45 21 0.58 0.53 46 22 0.58 0.53 47 23 0.54 0.59 48 24 0.60 0.38 49 25 0.54 0.59 50 หมายเหตุ : ไพด้คา่ ความยากงา่ ย (p) ระหวา่ ง 0.30 – 0.68 ไพดค้ า่ อานาจจาแนก (r) ระหว่าง 0.26 – 0.59 ความเชือ่ ม่นั เท่ากับ 0.90

92 ตางรางที่ 16 การประเมินคา่ ดชั นีความสอดคล้องแบบประเมนิ ความสามารถในการทาโครงงาน (Project – Based Leaning : PBL) สาหรับนกั เรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาตอนต้น แบบประเมนิ ความสามารถในการทาโครงงาน คะแนนของผ้เู ช่ียวชาญคนที่ IOC 1234 5 1. การวางแผนการทางาน 1111 1 5 ๑.๑ การกาหนดช่ือเร่ือง 1111 1 5 1.2 การวางแผนคดิ วเิ คราะห์ ในการ 1111 1 5 สร้างสรรค์ช้ินงาน 1111 1 5 0101 1 3 1.3 การออกแบบผลงาน 1.4 การเลือกวัสดแุ ละเคร่ืองมือ ในการสืบค้น ข้อมูล 1.5 การแบ่งภาระงาน 1.6 มีความเขา้ ใจในการทาโครงงาน 0101 1 3 1.7 มีการอ้างอิงเอกสารถูกต้อง และเหมาะสม 1 1 1 1 1 5 2. ด้านกระบวนการทางาน 1111 1 5 2.1 การอธบิ ายข้นั ตอนการสรา้ งงาน 2.2 การกาหนดหน้าท่สี มาชิกในกลมุ่ 0101 1 3 2.3 การปฏิบตั ิตามวธิ ีการและ ขัน้ ตอนท่ี 1111 1 5 กาหนด 2.4 การมีสว่ นรว่ มในงานของ 1111 1 5 2.5 การทางานประสบผลสาเร็จ 1111 1 5 2.6 การคดิ แกป้ ญั หาดว้ ยวธิ กี ารใหม่ 1111 1 5 2.7 มกี ารรวบรวมแหล่งข้อมูล 1111 1 5

93 แบบประเมินความสามารถในการทาโครงงาน คะแนนของผู้เช่ยี วชาญคนท่ี IOC 1234 5 3. ด้านผลงานและการนาเสนอ 1111 1 5 3.1 การนาเสนอเนื้อหาใน ผลงานไพด้ถูกต้อง 0101 1 3 3.2 การลาดบั ขน้ั ตอนของเน้ือเร่อื ง 5 5 3.3 การนาเสนอมีความนา่ สนใจ 1111 1 5 5 3.4 การมีสว่ นร่วมของสมาชกิ ในกลุ่ม 1111 1 5 3.5 การตรงตอ่ เวลา 1111 1 1111 1 3.6 การพดู อภิปรายชดั เจน และใชภ้ าษา 1111 1 ไพทยไพดถ้ กู ตอ้ ง 3.7 ตอบคาถามไพด้ถูกตอ้ ง คล่องแคลว่

94 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นแบบฝึกทักษะการเรียนรู้เรือ่ งโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชั้นมธั ยมศึกษาตอนต้น เรื่อง โครงงาน จํานวน 50 ขอ้ เวลา 60 นาที คะแนนเต็ม 30 คะแนน ............................................................................................................................. ............... คาํ ชีแ้ จง้ ใหน้ กั ศึกษาเลือกคาํ ตอบท่ีถกู ต้องทส่ี ดุ เพียงคาํ ตอบเพียงแลว้ ทําเครอื่ งหมาย X ลงในกระดาษคาํ ตอบ ใหต้ รงกบั ข้อท่เี ลือกไว้ 1. ขอ้ ใดกล่าวไม่ถูกตอ้ ง * 4. ข้อใดเป็นจดุ มุ่งหมายที่สาํ คญั ในการให้นักเรียน จ. การทาํ โครงงานวิทยาศาสตร์จะชว่ ยพัฒนา ทําโครงงานวทิ ยาศาสตร์ * ใหน้ กั เรียนเปน็ คนรบั ผิดชอบ จ. เพือ่ ให้นกั เรียนไดร้ บั คาํ ตอบในปัญหา ฉ. การเรยี นโครงงานวทิ ยาศาสตรน์ ักเรียน ฉ. เพือ่ ให้มีเจตคติทด่ี ตี ่อการเรยี นวิทยาศาสตร์ สามารถนาํ ไปใชใ้ นชีวติ ประจําวนั ได้ ช. เพอ่ื ให้มีประสบการณต์ รงในการแสวงหา ช. การทาํ โครงงานวิทยาศาสตร์เปน็ การเปดิ ความรูด้ ว้ ยตนเองโดยวิธีทางวิทยาศาสตร์ โอกาสให้นักเรยี นได้พฒั นาและแสดง ซ. เพ่อื ชว่ ยใหน้ ักเรยี นเขา้ ใจลกั ษณะธรรมชาติ ความสามารถตามศักยภาพของตนเอง วิทยาศาสตร์ดีขน้ึ ซ. จดุ มงุ่ หมายของการทําโครงงาน 5. หลกั การของการจัดกจิ กรรมโครงงาน วิทยาศาสตรท์ สี่ าํ คัญคอื การเขา้ ประกวด วทิ ยาศาสตรค์ ือข้อใด * แขง่ ขนั จ. ความสามคั คใี นหมู่คณะ 2. ความหมายโครงงานวทิ ยาศาสตร์คอื ข้อใด * ฉ. การใชเ้ วลาวา่ งใหเ้ ปน็ ประโยชน์ จ. เปน็ กิจกรรมทนี่ าํ เอาวธิ ีการทาง ช. การคดิ เปน็ ทาํ เปน็ แกป้ ญั หาได้ วิทยาศาสตรม์ าใช้ในการศึกษา ซ. ความคิดริเร่มิ สรา้ งสรรค์ ฉ. เปน็ งานวจิ ยั เลก็ ๆ ของนักเรียนที่มเี นอื้ หา 6. ขอ้ ใดคือองคป์ ระกอบของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ เกี่ยวกบั วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี และเทคโนโลยี * ช. เปน็ การศึกษาเรื่องใดเรื่องหน่ึงทนี่ กั เรยี น จ. กระตนุ้ ให้นักเรยี นสนใจในการเรยี น เป็นผูล้ งมือปฏิบัตแิ ละศึกษาค้นควา้ คน้ คว้า วิทยาศาสตร์ ด้วยตนเอง ฉ. นักเรยี นเป็นผู้ริเรมิ่ เรื่องทจ่ี ะศึกษาคน้ ควา้ ซ. ถกู ทุกข้อ ด้วยตนเอง 3. ขอ้ ใดไมจ่ ดั วา่ เปน็ โครงงานวิทยาศาสตร์ * ช. เปดิ โอกาสให้นักเรยี นทุกคนได้พัฒนาและ จ. ขาวศกึ ษา คน้ คว้า และพฒั นาเครอ่ื งอบผ้า แสดงความสามารถ โดยใชพ้ ลังงานแสงอาทติ ย์ ซ. นักเรียนไดใ้ ช้เวลาวา่ งให้เกดิ ประโยชน์ ฉ. สม้ ทาํ สบู่สมนุ ไพรสูตรพิเศษท่ีคิดค้นขน้ึ เอง 7. ข้อใดเป็นคุณค่าของการทําโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ช. เขยี วผลติ ยาขจัดกล่ินกายสตู รธรรมชาติที่ และเทคโนโลยี * ไม่เหมือนใคร จ. สรา้ งความสํานกึ และรบั ผิดชอบใน ซ. แดงซ้ือชดุ ทํายาหม่องน้ําจากรา้ นค้ามาทํา การศกึ ษาหาความรู้ ยาหม่องแจกเป็นของชาํ รว่ ย ฉ. นักเรียนเปน็ ผวู้ างแผนในการศึกษาค้นควา้ ช. เปน็ กจิ กรรมทเี่ ก่ยี วกบั วทิ ยาศาสตรแ์ ละ เทคโนโลยี ซ. เป็นกิจกรรมท่ีใชว้ ธิ กี ารทางวิทยาศาสตร์ใน การค้นควา้