Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ชุดคู่มือการดำเนินงานการนิเทศภายใน เล่มที่ ๒ ด้านการจัดกระบวนการเรียนรู้

ชุดคู่มือการดำเนินงานการนิเทศภายใน เล่มที่ ๒ ด้านการจัดกระบวนการเรียนรู้

Published by singburiprovin, 2021-09-22 01:41:12

Description: ชุดคู่มือการดำเนินงานการนิเทศภายในของสถานศึกษา
ด้วยรูปแบบการนิเทศตามแนวคิดการเรียนรู้แบบผสมผสาน
(Blended Learning) เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างยั่งยืน
ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19)
ของโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษา
สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จังหวัดสิงห์บุร

Search

Read the Text Version

ชดุ คู่มือการดำเนินงานการนเิ ทศภายในของสถานศกึ ษา ด้วยรูปแบบการนเิ ทศตามแนวคิดการเรียนร้แู บบผสมผสาน (Blended Learning) เพอ่ื ยกระดับคุณภาพการศกึ ษาอย่างยงั่ ยนื ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเช้ือไวรสั โคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ของโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษา สงั กดั สำนกั งานคณะกรรมการสง่ เสริมการศึกษาเอกชน จงั หวัดสงิ หบ์ ุรี เล่มท่ี ๒ ด้านการจัดกระบวนการเรียนรู้ จดั ทำโดย นายณฐั พล กองทอง ตำแหน่งศึกษานิเทศก์ วิทยฐานะศกึ ษานเิ ทศก์ชำนาญการ สำนักงานศึกษาธกิ ารจังหวัดสงิ หบ์ ุรี สำนกั งานปลดั กระทรวงศกึ ษาธิการ กระทรวงศึกษาธกิ าร



คำนำ ชุดคู่มือการดำเนินงานการนิเทศภายในของสถานศึกษา ด้วยรูปแบบการนิเทศตามแนวคิด การเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างยั่งยืน ในสถานการณ์ การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) โรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษา สังกัด สำนกั งานคณะกรรมการสง่ เสริมการศึกษาเอกชน จงั หวัดสงิ ห์บุรี เล่มท่ี ๒ ดา้ นการจดั กระบวนการเรียนรู้ของ สถานศึกษา ซึ่งประกอบด้วยขอบขา่ ยการนิเทศ ๑) การออกแบบและจัดการเรียนรู้เชงิ รุก (Active Learning) ๒) การใช้ส่อื เทคโนโลยีสารสนเทศ และแหลง่ เรียนรทู้ ่ีเอื้อต่อการเรียนรู้ ๓) การวัดและประเมินผล ซึ่งชุดคู่มือ เล่มนี้จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นแนวทางการขับเคลื่อนกระบวนการนิเทศภายในของสถานศึกษา และเพือ่ ใช้เปน็ แนวทางการสรา้ งความเข้มแข็งของการนิเทศภายในโรงเรยี นด้านการพฒั นาและการใช้หลักสูตร ของสถานศึกษา ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ของ โรงเรยี นเอกชนประเภทสามญั ศกึ ษา ในสงั กัดสำนกั งานคณะกรรมการสง่ เสริมการศึกษาเอกชน จงั หวัดสิงห์บุรี ผู้จัดทำได้ตระหนักและเห็นความสำคัญในเรื่องดังกล่าว จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง ดำเนนิ การยกระดับการบรหิ ารและการจดั การศึกษาใหม้ ีประสิทธิภาพสูงข้ึน ด้วยรปู แบบการนเิ ทศตามแนวคิด การเรยี นรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) ซ่ึงมคี วามเหมาะสม และสอดคลอ้ งกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ในยุคการจัดการศึกษาวิถีใหม่ ที่ต้องปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องเหมาะสมกับสถานการณ์และเป็นไปตาม มาตราการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ผ้จู ดั ทำจึงได้จดั ทำชุดคูม่ อื ฯ นใี้ ห้กบั ผู้นิเทศและผรู้ ับการนิเทศ ตลอดจน ผมู้ ีสว่ นเกย่ี วขอ้ งภายในสถานศกึ ษา เพอ่ื เป็นแนวทาการสร้างความเขม้ แข็งของการนเิ ทศภายในโรงเรียนให้แก่ โรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศกึ ษา ในสังกัดสำนกั งานคณะกรรมการสง่ เสรมิ การศึกษาเอกชน จงั หวดั สิงห์บุรี ตอ่ ไป ขอบขอบพระคุณผศ.ดร.ประยูร บุญใช้ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ท่านศึกษาธิการจังหวัดสิงห์บุรี ท่านรองศึกษาธิการจังหวัดสิงห์บุรี ผู้อำนวยการกลุ่ม นิเทศ ติดตาม และประเมินผล คณะศึกษานิเทศก์ และบุคลากรสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสิงห์บุรี ทุกท่าน ตลอดจนคณะผู้บริหารสถานศึกษา คณะครู บุคลากรทางการศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริม การศึกษาเอกชน จังหวัดสิงห์บุรีทุกท่าน ที่ได้ให้ความอนุเคราะห์ข้อมูลประกอบในการจัดทำเอกสารฉบับนี้ จนสำเร็จลลุ ่วงดว้ ยดี (นายณฐั พล กองทอง) ศึกษานเิ ทศกช์ ำนาญการ สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสิงห์บุรี ก

สารบญั เรื่อง/หัวข้อ หนา้ คำนำ ก สารบัญ ข สว่ นที่ ๑ บทนำ ๑ สว่ นท่ี ๒ แนวคิด ทฤษฎที เี่ กย่ี วข้อง ๘ ส่วนท่ี ๓ การดำเนนิ งานการนเิ ทศภายในของสถานศกึ ษา ดว้ ยรปู แบบการนิเทศตามแนวคดิ ๔๓ การเรียนรู้แบบผสมผสาน (Mixed Supervision) เพื่อยกระดบั คณุ ภาพการศึกษาอยา่ ง ๖๕ ย่งั ยนื ในสถานการณ์การแพรร่ ะบาดของโรคติดเชอ้ื ไวรสั โคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ๙๓ สว่ นที่ ๔ เครอื่ งมอื การนเิ ทศและการรายงานผลการนเิ ทศภายในของสถานศึกษา ๙๕ บรรณานกุ รม ประวัตขิ องผู้จดั ทำ ข

๑ ส่วนท่ี ๑ บทนำ ความเปน็ มาและความสำคัญของปญั หา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ในหมวด ๑๖ การปฏิรูปประเทศ มาตรา ๒๕๘ ได้ให้มีกลไกและระบบการผลิตคัดกรองและพัฒนาผู้ประกอบวิชาชีพครู และอาจารย์ให้ได้ผู้มีจิต วิญญาณของความเป็นครู มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริงได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับความสามารถ และประสิทธิภาพในการจัดการเรียนการสอน รวมทั้งมีกลไกลในการสร้างระบบคุณธรรมในการบริหารงาน บุคคลของผู้ประกอบวิชาชีพครู โดยให้สอดคล้องกนทั้งในระดับชาติและระดับพื้นท่ี (สำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต ๒, ๒๕๖๓ : หน้า ๓) นอกจากจากนี้ ยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๑ – ๒๕๘๐) ตามเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเพื่อให้ประเทศไทยบรรลุวิสัยทัศน์ “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนา ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง” โดยยุทธศาสตร์ที่ ๓ ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ มีเป้าหมายในการ พัฒนาที่สำคัญเพื่อพัฒนาในทุกมิติและในช่วงวัยให้เป็นคนดี เก่งและมีคุณภาพ พร้อมสำหรับวิถีชีวิตใน ศตวรรษที่ ๒๑ โดยมุ่งเน้นผู้เรียนให้มีทักษะการเรียนรู้และมีใจใฝ่เรียนรู้ตลอดเวลา มีการออกแบบระบบการ เรียนรู้ใหม่ การเปลี่ยนบทบาทครู การเพิ่มประสิทธิภาพระบบบริหารการจัดการศึกษาและการพัฒนาระบบ การเรียนรู้ตลอดชีวติ (สำนักงานเลขาธิการสภาผูแ้ ทนราษฎร, ๒๕๖๐ : หน้า ๕) สอดคล้องกับแผนการศึกษา แห่งชาติ พุทธศักราช ๒๕๖๐ - ๒๕๗๙ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การพัฒนาศักยภาพคนทุกช่วงวัยและการสร้างสงั คม แหง่ การเรียนรู้ มีเปา้ หมายให้ผเู้ รียนมีทักษะและคุณลักษณะพ้ืนฐานของพลเมืองไทย ทกั ษะและคุณลักษณะท่ี จำเป็นของผู้เรียนในศตวรรษที่ ๒๑ มีทักษะความรู้ความสามารถและสมรรถนะตรงตามมาตรฐานการศึกษา มาตรฐานวิชาชีพและพัฒนาคุณภาพชีวิตได้ตามศักยภาพสถานศึกษาในทุกระดับการศึกษา สามารถจัด กจิ กรรม/ออกแบบกระบวนการจัดการเรียนรูต้ ามหลักสูตรอย่างมีคุณภาพและมีมาตรฐาน รวมทงั้ แหล่งเรียนรู้ ส่อื ตำราเรยี น และนวัตกรรม ประชาชนสามารถเข้าถึงได้โดยไมจ่ ำกัดเวลาและสถานที่ มรี ะบบและกลไกลการ วัด การตกำกับติดตามและประเมินผล ที่มีประสิทธิภาพ มีระบบการผลิตครูอาจารย์และบุคลากรทางการ ศึกษาที่ได้คุณุณภาพ มีมาตรฐาน ในระดับสากล ครูอาจารย์ตลอดจนบุคลากรทางการศึกษาได้รับการพัฒนา สมรรถนะตรงตามมาตรฐานเพื่อการพัฒนาและยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างยั่งยืน (สำนักงานเลขาธิการ สภาการศึกษา, ๒๕๖๐ : หนา้ ๑๐๘) พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๒ (สำนกั งานเลขาธิการสภาการศึกษา, ๒๕๖๐ : หนา้ ค ) ไดก้ ำหนดทิศทางและกรอบแนวทางการศึกษาของชาติ ไว้หลายประการ เชน่ การปฏริ ูปกระบวนการ บรหิ ารงานด้านการศึกษา ๕ ด้าน ได้แก่ ดา้ นการศึกษา ด้านการ เรยี นรู้ ดา้ นการบรหิ ารและการจัด การศึกษา ดา้ นครแู ละบุคลากรทางการศึกษา ดา้ นทรพั ยากรและการลงทุน ทางการศึกษา ประกอบกับ การบัญญัติให้สถานศึกษาเป็น “นิติบุคคล” ในกฎหมายว่าด้วยพระราชบัญญัติ ระเบียบบริหารราชการ กระทรวงศึกษาธิการ ฉบับที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยบัญญัติให้มีการกระจายอำนาจการ

๒ บริหารจัดการศึกษา โดยเฉพาะด้านการนิเทศการศึกษา ได้กำหนดแนวทางปฏิบัติไว้ อาทิเช่น จัดระบบการ นิเทศงานวิชาการ และการเรียนการสอนภายในสถานศึกษา ดำเนินงานนิเทศงานวิชาการและการเรียนการ สอนในรูปแบบ หลากหลายและเหมาะสมกับสถานศึกษา การประเมินผลการจัดระบบและกระบวนการนิเทศ การศึกษาใน สถานศึกษา รวมทั้งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และการจัดระบบการนิเทศการศึกษาภายใน สถานศกึ ษา ประกอบกบั แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐–๒๕๗๙ ในยทุ ธศาสตรท์ ี่ ๓ การพัฒนาศักยภาพ คนทุก ช่วงวัยและการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้มีเป้าหมายให้ผู้เรียนมีทักษะ และคุณลักษณะพื้นฐานของ พลเมือง ไทย มีทักษะและคุณลักษณะที่จำเป็นในศตวรรษที่ ๒๑ มีทักษะความรู้ความสามารถและสมรรถนะ ตาม มาตรฐานการศึกษาและมาตรฐานวิชาชีพและพัฒนาคุณภาพชีวิตได้ตามศักยภาพ สถานศึกษาทุกระดับ การศึกษาสามารถจัดกิจกรรม/กระบวนการเรียนรู้ตามหลักสูตรอย่างมีคุณภาพและมาตรฐานแหล่ง เรยี นรู้ สื่อ ตำราเรยี น นวตั กรรมและสอ่ื การเรียนรู้มคี ณุ ภาพและมาตรฐาน การพัฒนาคุณภาพศึกษาให้เกิดคุณภาพเพื่อให้เกิดความยั่งยืนนั้น สิ่งหนึ่งที่ต้องมีการพัฒนาคือต้อง เป็นการพฒั นาคุณภาพของผู้เรยี นให้เชือ่ มัน่ ว่าผ้เู รยี นจะมีคุณภาพตาม หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ และมาตรฐานการเรียนรู้และ ตัวชี้วัด (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) และหลักสูตร การศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ซึ่งเป็นหลักสูตรแกนกลางของประเทศที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคนซึ่งเป็น กําลงั ของชาตใิ หเ้ ป็นมนษุ ย์ท่ีมีความสามารถทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คณุ ธรรม มีจติ สํานึกในความเปน็ พลเมือง ไทย พลเมืองโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจตคติที่จําเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพและการศึกษาตลอด ชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนบนพื้นฐานความเชื่อว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มศักยภาพ (กระทรวงศึกษาธิการ. ๒๕๕๑ : หน้า ๔) ตลอดจนมีทักษะที่จำเป็นของผู้เรยี นในศตวรรษที่ ๒๑ นั้น จะต้องมี กระบวนการสู่ความสำเร็จในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ๓ กระบวนการ คือ กระบวนการบริหาร กระบวนการเรียนการสอน และกระบวนการนิเทศการศึกษา ซึ่งกระบวนการนิเทศ การศึกษา เป็นภารกิจ จำเป็นต่อการจัดการศึกษาที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากบุคลากรหลายฝ่ายโดยเฉพาะ อย่างยิ่งทางด้านการ พัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนที่เป็นเป้าหมายสุดท้าย บุคลากรที่เกี่ยวข้อง ในหน่วยงานจัดการศึกษา จำเป็นต้องพัฒนาและปรับปรุงตนเองให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้ การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพ ซึ่งการนิเทศการศึกษาเป็นกระบวนการที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อ ช่วยเหลือ ชี้แนะและพัฒนางานให้ ประสบผลสำเรจ็ ทันตอ่ สภาพความเปลย่ี นแปลงทีเ่ กิดข้นึ อกี ท้ังเปน็ องค์ประกอบสำคญั ที่ชว่ ยเหลือ สนับสนุน ให้กระบวนการบริหาร และกระบวนการเรียนการสอนมีคุณภาพ ตามมาตรฐานการศึกษาของประเทศ กระบวนการขับเคลื่อนคุณภาพการศึกษาด้วยกระบวนการการนิเทศ การศึกษาโดยเฉพาะการนิเทศภายใน สถานศกึ ษามคี วามสำคัญตอ่ การพฒั นา ปรบั ปรงุ และเพิ่ม ประสทิ ธภิ าพในการจัดการการศกึ ษาในสถานศึกษา เพื่อให้บุคลากรมีความรู้ความเข้าใจในด้านการบริหาร จัดการ ด้านหลักสูตร การจัดการเรียนการสอนที่มี ประสิทธิภาพ รวมทั้งการปฏิบัติงานอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อ การพัฒนาคุณภาพการศึกษา และเป็นองค์กรแห่งการ เรียนรู้เป็นองค์กรที่สมาชิกได้พัฒนาขีดความสามารถ ของตนเพื่อการสร้างสรรค์งานและการบรรลุเป้าหมาย ของงานอยา่ งตอ่ เน่ือง

๓ การนิเทศเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับหน่วยงานทุกระดับ ดังนั้นภารกิจท่ีสำคัญประการหนึ่งของผู้บริหารก็ คือ การนิเทศ โดยเฉพาะการนิเทศการสอนของครูให้มีการพัฒนาและส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ให้บรรลุ วัตถุประสงค์ เพราะการนิเทศมีความสำคัญต่อการเรียนการสอนเป็นอย่างยิ่ง เพราะในบางครั้งแม้ครูอาจารย์ จะได้ใช้ความสามารถในการจัดกิจกรรมตามที่วางแผนไว้แล้วก็ตาม อาจจะมีบางสิ่งบางอย่างขาดตกบกพร่อง ทำใหก้ ารสอนขาดความสมบูรณ์ดงั นัน้ หากมีบุคคลอน่ื ไดช้ ้ีแนะ แนะนาํ ให้ความชว่ ยเหลือ กย็ ่อมเกิดผลดี การ นิเทศจึงเปรียบเหมือนกระจกเงาที่คอยส่องให้เห็นภาพการสอนของครูและเป็น กระบวนการที่เสริมสร้างการ สอนของครูให้มีประสิทธิภาพ และจากกระบวนการดังกล่าว ประกอบกับผู้ที่ทำหน้าที่นิเทศการจัดการเรียน การสอน คือ ศึกษานิเทศก์ ในปัจจุบันที่มีจำนวนไม่เพียงพอ ดังนั้น กระบวนการนิเทศภายในของสถานศึกษา จึงต้องมีความสำคัญและมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ซ่ึงจะทำใหส้ ถานศึกษานนั้ เกิดกระบวนการนิเทศอย่างต่อเน่ือง และยงั่ ยืน จากผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ปีการศึกษา ๒๕๖๒ ของผู้เรียน ระดับช้นั ประถมศึกษาปีท่ี ๖ และระดับชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๓ โรงเรยี นในสงั กดั สำนกั งานคณะกรรมการส่งเสริม การศึกษาเอกชน จังหวัดสิงห์บุรี ในภาพรวมทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้มีคะแนนเฉลี่ยไม่ถึงร้อยละ ๕๐ ยกเว้น กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย รายงานผลการประเมินคุณภาพผู้เรียน (NT) ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ ปีการศึกษา ๒๕๖๒ พบว่า มีคะแนนเพิ่มสูงขึ้นจากปีการศึกษา ๒๕๖๑ แต่ยังมีคะแนนเฉลี่ยไม่ถึงร้อยละ ๕๐ ความสามารถด้านภาษาไทย คะแนนเฉลี่ยรอ้ ยละ ๔๑.๑๓ ความสามารถด้านคณิตศาสตร์ คะแนนเฉล่ียร้อยละ ๔๔.๐๒ รวมทั้ง ๒ ด้าน ผลคะแนนเฉลี่ยร้อยละ ๔๒.๕๘ และรายงานผลการทดสอบความสามารถด้านการ อา่ นของผูเ้ รียน (RT) ระดับช้นั ประถมศึกษาปีที่ ๑ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๒ พบว่าสมรรถนะด้านการอ่านออกเสียง ผลคะแนนเฉลี่ย ร้อยละ ๖๘.๕๐ ระดับคุณภาพ ดี สมรรถนะด้านการอ่านรู้เรื่อง ผลคะแนนเฉลี่ย ๗๒.๘๑ ระดับคุณภาพ ดี รวมสมรรถนะทั้ง ๒ ด้าน ผลคะแนนเฉลี่ยร้อยละ ๗๐.๖๖ ระดับคุณภาพ ดี (สำนักงาน ศกึ ษาธิการจงั หวดั สงิ หบ์ รุ ี, ๒๕๖๓ : หนา้ ๙) การนิเทศตามแนวคิดการเรียนรูแ้ บบผสมผสาน (Blended Learning) เป็นรูปแบบการนิเทศอีกแบบ หนึ่งที่มีความสอดคล้องกับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ ที่ต้องมีการผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับเนื้อหาและ วิธีการนิเทศโดยใชเ้ ทคโนโลยีสนับสนุนทฤษฎีการเรียนรรู้ ูปแบบใหม่ในการพฒั นาเน้ือหาและทักษะ ใช้ส่ือผสม อย่างหลากหลาย ปรับเปลี่ยนตามความสามารถและระดับของผู้รับการนิเทศ (สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนา ประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ), ๒๕๖๐, หน้า ๒) นอกจากนี้จากการศึกษาเกี่ยวกับแนวโน้มในการนิเทศในทศวรรษ หน้า พบว่า เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตจะมีบทบาทในการนิเทศการศึกษา ทั้งนี้เป็นเพราะว่าอินเทอร์เน็ตเป็น ช่องทางในการสื่อสารข้อมลู เปน็ เครือขา่ ยนานาชาติ ถกู นำมาใช้ในการเรียนรู้ และมงี านวิจยั มากมายรองรับว่า ทำให้เกิดการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี ไม่แตกต่างจากการเรียนการสอนตามปกติและการนำเทคโนโลยีออนไลน์ (Online Learning Activities) เข้ามาผสมผสานกับการเรียนการสอนแบบปกติซึ่งเป็นการรวมกันระหว่างช้ัน เรียนแบบดั้งเดิม (Traditional Classroom) มีชื่อเรียกเฉพาะว่าการจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสาน (Blended Learning) เป็นรูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่ผสมผสานการเรียนบนเว็บและการเรียนใน หอ้ งเรยี นเขา้ ด้วยกนั

๔ ทำให้เกิดการเรียนที่ยืดหยุ่น ตอบสนองต่อความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียนทั้งด้านรูปแบบการเรียน รูปแบบการคิด ความสนใจ และความสามารถของผู้เรียนแต่ละคน ผู้เรียนสามารถศึกษาและฝึกปฏิบัติด้วย ตนเองไดท้ ุกเวลาจากทุกสถานท่ีตามความต้องการของตนเองและสามารถพฒั นาผู้เรียนใหเ้ กิดการเรียนรู้อย่าง มีความหมายโดยใชส้ ิง่ แวดลอ้ มออนไลน์ และส่งิ แวดลอ้ มในชน้ั เรยี น (ปณติ า วรรณพิรณุ , ๒๕๕๑, หนา้ ๑๐๐) สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสิงห์บุรี มีบทบาทหน้าที่ในการกำกับดูแลโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญ ศกึ ษา ในสังกัดสำนกั งานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จงั หวัดสงิ หบ์ รุ ี จำนวน ๑๑ โรงเรยี น ซึ่งโรงเรียนตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอ ๖ อำเภอ แต่ละโรงเรียนมีความหลากหลายแตกต่างกันตามบริบทของ โรงเรียนทั้งมาตรฐานและคุณภาพการจัดการศึกษา สถานศึกษาบางแห่งมีนักเรียนจำนวนมาก บางแห่งมี จำนวนนกั เรยี นนอ้ ยมาก บางแห่งรบั นกั เรียนจากพน้ื ท่ีภเู ขาทมี่ ีความแตกต่างทางด้านชาติพันธุ์ วัฒนธรรมชีวิต ความเป็นอยู่ ประกอบกับจำนวนศกึ ษานเิ ทศก์มีจำนวนเพียง ๔ คน ทำให้กระบวนการนเิ ทศภายในโรงเรียนมี ความแตกต่างกัน การนิเทศยังขาดความต่อเนื่องและความเป็นเอกภาพที่สอดคล้องกับบริบทเชิงพื้นที่ สถานศึกษายังมีความต้องการให้มีการพัฒนาระบบนิเทศภายในโรงเรียนให้มีความเข้มแข็งและต่อเนื่อง ประกอบกับในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ในช่วงปี การศึกษา ๒๕๖๓ - ๒๕๖๔ จึงส่งผลให้ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดการเรียนการสอนปกติในห้องเรียน แบบเดิม ไปสู่การจัดการเรียนการสอนทางไกลที่จะเป็นวิถีการเรียนรู้ใหม่ในยุคปัจจุบัน ดังนั้นกลุ่มนิเทศ ติดตาม และประเมินผล สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสิงห์บุรี จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินการ ยกระดับคุณภาพการศึกษาด้วยการใชก้ ระบวนการนิเทศภายในสถานศกึ ษาเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียน และใช้ เป็นแนวทางขับเคลื่อนการพัฒนาระบบการนิเทศภายในเพื่อส่งเสริมสนับสนุนกิจกรรม การเรียนการสอนให้มี มาตรฐานและทัดเทียมสอดรับการการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ โดยได้จัดทำชุดคู่มือการดำเนนิ งานการ นิเทศภายในของสถานศึกษา ด้วยรูปแบบการนิเทศตามแนวคิดการเรียนรู้แบบผสมผสาน ( Blended Learning) เพอื่ ยกระดับคุณภาพการศึกษาอยา่ งย่ังยนื ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเช้ือไวรัสโคโร นา ๒๐๑๙ (COVID-19) โรงเรียนเอกชนประเภทสามญั ศกึ ษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษา เอกชน จงั หวดั สิงหบ์ ุรี วตั ถุประสงค์ ๑. เพื่อพัฒนาชุดคู่มือที่เป็นแนวทางการขับเคลื่อนกระบวนการนิเทศภายในของสถานศึกษา ตามแนวคิดการเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ของโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษา ในสงั กดั สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จงั หวัดสงิ หบ์ รุ ี ๒. เพื่อเสริมสร้างกระบวนการนิเทศภายในของสถานศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) ด้านการพัฒนาและการใช้หลักสูตรของสถานศึกษา และด้านการจัด กระบวนการเรียนรู้ของโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษา ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการ ส่งเสริมการศึกษาเอกชน จังหวดั สิงห์บรุ ี

๕ เป้าหมาย ๑. ผู้บริหารสถานศึกษา ครูและบุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษา ใน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จังหวัดสิงห์บุรีมี ความตระหนัก มีความรู้ความเข้าใจ และดำเนินการขับเคล่ือนการนิเทศภายในโรงเรียนโดยกำหนดนโยบาย สนับสนุนส่งเสริมให้ดำเนนิ การ นิเทศ ภายในทกุ โรงเรยี นไดอ้ ย่าง มปี ระสิทธิภาพ ๒. ผู้บริหารสถานศึกษาของโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษา ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการ ส่งเสริมการศึกษาเอกชน จังหวัดสิงห์บุรี มีความรู้ความเข้าใจและสามารถดำเนินการนิเทศภายในโรงเรียนได้ อย่างมปี ระสิทธภิ าพ ๓. ครูผู้สอนของโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษา ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริม การศึกษาเอกชน จังหวัดสิงห์บุรี ได้รับการนิเทศอย่างทั่วถึง และสามารถพัฒนาด้านการพัฒนาและการใช้ หลักสูตรของสถานศึกษา และด้านการจัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อนำไปสู่พัฒนาคุณภาพผู้เรียนได้ อย่างมี ประสิทธภิ าพ ขอบขา่ ยการนเิ ทศ เล่มท่ี ๑ ดา้ นการพฒั นาและการใชห้ ลกั สตู รของสถานศึกษา ประกอบด้วย ๑.๑ การจดั ทำหลักสตู รของสถานศึกษา (ตามองค์ประกอบของหลกั สูตรสถานศกึ ษา) ๑.๒ การนำหลักสตู รสถานสถานศกึ ษาสู่การจัดการเรียนรู้ (หลักสตู รระดบั ชน้ั เรียน) เลม่ ท่ี ๒ ดา้ นการจดั กระบวนการเรยี นรู้ของสถานศกึ ษา ประกอบด้วย ๒.๑ การออกแบบและจัดการเรียนร้เู ชงิ รุก (Active Learning) ๒.๒ การใชส้ อ่ื เทคโนโลยีสารสนเทศ และแหล่งเรียนรทู้ เ่ี ออื้ ตอ่ การเรยี นรู้ ๒.๓ การวดั และประเมนิ ผล กลุ่มเปา้ หมาย ประกอบด้วย ผูบ้ รหิ ารสถานศึกษา คณะครู และบคุ ลากรทางการศึกษา ของโรงเรยี นเอกชนประเภท สามัญศกึ ษา ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการสง่ เสริมการศึกษาเอกชน จังหวดั สิงห์บรุ ี จำนวน ๑๑ โรงเรยี น ไดแ้ ก่ ๑. โรงเรยี นอินทโมลปี ระทาน อำเภอเมอื งสงิ หบ์ รุ ี จังหวดั สิงห์บรุ ี (ระดบั ปฐมวัย - ม.๓) ๒. โรงเรียนใจเพียรวิทยานสุ รณ์ อำเภอทา่ ชา้ ง จงั หวดั สงิ หบ์ ุรี (ระดบั ปฐมวัย - ป.๖) ๓. โรงเรียนวจิ ติ รศกึ ษา อำเภอบางระจนั จงั หวัดสงิ ห์บรุ ี (ระดับปฐมวัย - ป.๖) ๔. โรงเรยี นพระกมุ ารเยซู สิงห์บรุ ี อำเภอพรหมบรุ ี จงั หวดั สงิ ห์บุรี (ระดับปฐมวัย - ม.๓) ๕. โรงเรียนนาคประดิษฐ์วทิ ยา อำเภอพรหมบรุ ี จังหวัดสงิ หบ์ ุรี (ระดบั ปฐมวัย - ม.๓) ๖. โรงเรยี นอินทโมลปี ระทาน ๒ (ค่ายบางระจัน) อำเภอคา่ ยบางระจนั จังหวดั สิงหบ์ ุรี (ระดบั ปฐมวัย - ป.๖)

๖ ๗. โรงเรียนอดุ มศิลป์ (โพธิลงั การ์มลู นิธิ) อำเภออินทร์บุรี จังหวดั สงิ ห์บรุ ี (ระดบั ปฐมวัย - ม.๓) ๘. โรงเรยี นสามัคคีวิทยา อำเภออนิ ทรบ์ ุรี จงั หวัดสิงห์บรุ ี (ระดับป.๑ - ม.๓) ๙. โรงเรยี นศรีอุดมวทิ ยา อำเภออนิ ทรบ์ รุ ี จังหวดั สงิ หบ์ ุรี (ระดบั ปฐมวัย - ป.๖) ๑๐.โรงเรยี นปราสาทวทิ ยา อำเภออนิ ทร์บุรี จังหวัดสงิ ห์บุรี (ระดับปฐมวัย - ป.๖) ๑๑.โรงเรียนสงิ หอ์ ุดมวทิ ยา อำเภออนิ ทรบ์ ุรี จังหวดั สิงหบ์ ุรี (ระดบั ปฐมวัย - ม.๓) ระยะเวลาการดำเนนิ งาน ระยะท่ี ๑ มนี าคม - เมษายน ๒๕๖๔ ระยะที่ ๒ พฤษภาคม - กรกฎาคม ๒๕๖๔ นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ ๑. ชดุ ค่มู ือการดำเนนิ งานการนเิ ทศภายในของสถานศกึ ษา หมายถึง เอกสารแนวทางการดำเนินงาน การนิเทศภายในของสถานศึกษา ซึ่งประกอบด้วย ๒ ด้าน ได้แก่ ด้านการพัฒนาและการใช้หลักสูตรของ สถานศึกษา และด้านการจัดกระบวนการเรียนรู้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นแนวทางในการขับเคล่ื อน กระบวนการนิเทศภายในและเพื่อเป็นแนวทางการสร้างความเข้มแข็งของการนิเทศภายในโรงเรียนด้านการ พัฒนาและการใช้หลักสูตรของสถานศึกษา และด้านการจัดกระบวนการเรียนรู้ของโรงเรียนเอกชนประเภท สามญั ศึกษา ในสงั กัดสำนกั งานคณะกรรมการส่งเสริมการศกึ ษาเอกชน จงั หวดั สงิ หบ์ ุรี ๒. การนเิ ทศภายในของสถานศกึ ษา หมายถึง การให้คำแนะนำ การช้แี นะ ช่วยเหลอื ใหค้ ำปรึกษา เพื่อแก้ไขปรับปรุงพัฒนา การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของครูสอนให้มีประสิทธิภาพ ที่ส่งผลให้นักเรียนมี คณุ ภาพตรงตามมาตรฐานของหลกั สูตร และเพ่ือเปน็ การยกระดับคุณภาพการศึกษาอยา่ งยั่งยืน ๓. การนิเทศตามแนวคิดการเรยี นรแู้ บบผสมผสาน (Blended Learning) หมายถึง รูปแบบ กระบวนการการนิเทศ ติดตามการดำเนินงานการนิเทศภายในของสถานศึกษา ด้วยกิจกรรมการนิเทศท่ี หลากหลายวธิ ีผสมผสานตามหลักการเรยี นรู้แบบผสมผสาน(Blended Learning) ภายใต้สถานการณ์การแพร่ ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา ๒๐๑๙ (Covid-19) ซึ่งในที่นี้ ผู้จัดทำได้รวบรวมและสามารถแบ่งออกได้ ดังน้ี ๓.๑ รปู แบบการนเิ ทศแบบเผชิญหน้าโดยใช้พ้ืนทีส่ ถานศึกษาเป็นฐาน (Face to Face based on School) ได้แก่ การสังเกตการสอน การเยี่ยมชมชั้นเรียน หรือกิจกรรมการให้คำแนะนำ ปรึกษา ระหว่างผู้รบั การนิเทศและผนู้ ิเทศ โดยเปน็ กิจกรรมท่ีจัดขน้ึ ณ สถานศกึ ษานั้นๆ ๓.๒ รปู แบบการนิเทศผ่านช่องทางออนไลน(์ Online Learning) ดว้ ย Platform ต่างๆ โดย ใช้เครือข่าย Internet เช่น โปรแกรม Zoom Could Meeting , Google Classroom , Line Group Video Call Facebook เป็นตน้

๗ ๔. การพัฒนาและการใช้หลกั สูตรของสถานศกึ ษา หมายถงึ การจัดทำและพัฒนาหลกั สูตรรายวชิ า พื้นฐาน รายวิชาเพิ่มเติม และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ให้สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ เหมาะสมกับบริบทของโรงเรียน เพื่อเป็นการยกระดับคุณภาพการศึกษอย่างยั่งยืน ซ่ึง ประกอบด้วย การจัดทำหลักสูตรของสถานศึกษา ตามองค์ประกอบของหลักสูตรสถานศึกษา และการนำ หลกั สตู รสถานสถานศึกษาสกู่ ารจัดการเรียนรู้ (หลักสตู รระดบั ช้ันเรยี น) โดยมีการนำหลกั สตู รสหู่ ้องเรยี น การประเมินการใช้หลักสูตรและนำผลการประเมินไปใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรอย่างเป็นระบบ และตอ่ เน่ือง ๕. การจดั กระบวนการเรียนรขู้ องสถานศกึ ษา หมายถึง วิธกี าร รปู แบบ กจิ กรรม ทค่ี รผู ู้สอนหรอื ผูเ้ ก่ียวขอ้ ง ไดเ้ ลอื กนำมาใช้ในการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้เพ่อื ให้ผู้เรียนเกดิ การเรยี นรู้ ในเรอื่ ง หรือประเดน็ นั้นๆ โดยในที่น้ี สามารถแบง่ ออกได้ดงั น้ี ๑) ดา้ นการออกแบบและจัดการเรียนรเู้ ชิงรุก (Active Learning) ๒) ด้าน การใช้ส่อื เทคโนโลยสี ารสนเทศ และแหลง่ เรยี นรูท้ ี่เอือ้ ต่อการเรียนรู้และ ๓) ด้านการวดั และประเมินผล ๖. การออกแบบและจัดการเรียนรู้เชิงรกุ (Active Learning) หมายถึง การจัดกระบวนการเรียนรู้อีก รูปแบบหนึ่ง ที่เปิดดอกาสให้ให้นักเรียนได้เรียนรู้ด้วยการลงมือปฏิบัติจริง มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ ซึ่งถือว่าเป็นการเรียนรู้อย่างมีความหมาย โดยเกิดการร่วมมือระหว่างนักเรียนด้วยกัน และจะเกิดการ เรียนรู้ท่ีคงทนถาวรกว่าการเรยี นรู้ในรูปแบบเดิมๆ ๗. การใช้ส่ือเทคโนโลยีสารสนเทศและแหล่งเรยี นรู้ หมายถงึ ขน้ั ตอนในการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ของ ครูผู้สอน ที่ได้ใช้สื่อ วัสดุ อุปกรณ์ แหล่งเรียนรู้ สถานที่ ตลอดจนเครื่องมือเทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่ นำมาใช้เปน็ สอ่ื ท่ีก่อให้เกิดการเรียนรู้ และทำใหก้ ารจดั กกิ จรรมการรเรียนรู้ของครูผสู้ อนบรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ ๘. การวัดและประเมินผล หมายถึง กระบวนการในวัดคุณภาพ/คุณลักษณะของผู้เรียน ที่จะนำไปสู่ การตัดสิน/วนิ จิ ฉยั /ประเมินค่า ผูเ้ รยี น ซึ่งเปน็ กระบวนการหนงึ่ ท่ีอยู่ในกระบวนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ของ ครผู สู้ อน และจะมีประโยชน์ต่อกระบวนการเรียนการสอนเป็นอย่างย่ิงเพราะว่าเปน็ เคร่ืองมืออย่างหน่ึงในการ ตดั สนิ ใจของครู ผู้บริหารและนักการศึกษาหรอื ผูท้ เ่ี กีย่ วขอ้ ง ๙. โรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษา หมายถึง โรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริม การศึกษาเอกชน ในจังหวัดสิงห์บุรี ที่เป็นสถานศึกษาที่จัดการศึกษาตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการใน ระดับต่าง ๆ ได้แก่ ระดับก่อนประถมศึกษา (เตรียมอนุบาล อนุบาล) ระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษา (มธั ยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย)

๘ ส่วนท่ี ๒ แนวคดิ ทฤษฎีท่เี กี่ยวข้อง ชุดคู่มือการดำเนนิ งานการนิเทศภายในของสถานศกึ ษา ของโรงเรยี นเอกชนประเภทสามญั ศกึ ษา ในสงั กดั สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จังหวดั สิงหบ์ รุ ี เล่มน้ไี ดน้ ำแนวคิด ทฤษฎใี นดา้ นการ นิเทศ และการนิเทศภายในมาใช้เป็นแนวคิดหลัก ซึ่งกระบวนการนิเทศภายในนั้นถือว่าเป็นกระบวนที่มี ความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง ในการพัฒนาคุณภาพของสถานศึกษา เพราะเป็นกระบวนการหนึ่งชองระบบ โรงเรยี น ซง่ึ ประกอบด้วย ผนู้ ิเทศ และผูร้ บั การนิเทศ การดำเนนิ งานการนิเทศภายในน้ัน มีผลต่อคุณภาพการ เรียนการสอนของครูผู้สอน โดยยึดหลักสำคัญว่า การสอนเป็นพฤติกรรมที่เรียนรู้ได้ และการเรียนรู้เป็นการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในทางที่ดีขึ้น ผู้นิเทศสามารถนิเทศครูผู้สอนเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมใน การเรียนการสอนได้ เพอ่ื ปรับปรุงและพัฒนาการเรียนการสอนให้ดียงิ่ ข้ึน จึงจดั ได้วา่ การนเิ ทศภายในโรงเรียน เป็นการใหก้ ารศึกษาต่อเนื่องแก่ครูผู้สอนในโรงเรียน (ปรียาพร วงศอ์ นุตรโรจน.์ ๒๕๔๖ : หน้า ๒๐-๒๑) ซึ่งใน ทน่ี ้ี ผจู้ ัดทำไดร้ วบรวมแนวคิด ทฤษฎี และงานวจิ ยั ที่เกย่ี วขอ้ ง ไวด้ งั น้ี ๑. แนวคิดพน้ื ฐานและทฤษฎีท่เี กี่ยวข้องกบั การนเิ ทศการศกึ ษา ๒. ความรู้เบือ้ งตน้ ท่เี กยี่ วขอ้ งกับการนิเทศภายในสถานศึกษา ๓. รูปแบบการนเิ ทศตามแนวคดิ การเรียนรูแ้ บบผสมผสาน (Blended Learning) ๑. แนวคดิ พื้นฐานและทฤษฎีทเ่ี กีย่ วข้องกบั การนิเทศการศกึ ษา ผู้จัดทำได้ทำการรวบรวมองค์ความรู้ด้านการนิเทศการศึกษา รวมทั้งแนวคิดทฤษฎีต่างๆ และท่ี เกี่ยวข้อง โดยขอสรปุ เป็นประเด็นต่างๆ ดังน้ี ความหมายของการนิเทศการศกึ ษา คำว่า การนิเทศ (Supervision) หมายถึง การให้คำแนะนำ ชี้แนะ ให้คำปรึกษา หรือปรับปรงุ ให้ดีขึ้น ดังนั้นการนิเทศการศึกษาก็น่าจะหมายถึงการให้ความช่วยเหลือแนะนำ หรือปรับปรุงเกี่ยวกับการศึกษา โดยเฉพาะในโรงเรียนไดม้ ผี ู้ใหค้ วามหมายคำว่า การนิเทศการศกึ ษา ไวแ้ ตกต่างกนั ดงั นี้ สเปียร์ส (Spears, ๑๙๖๗ : หน้า ๑๐) ได้ให้คำจำกัดความไว้ว่า การนิเทศการศึกษาเปน็ กระบวนการ ทจ่ี ะทำใหเ้ กดิ การปรับปรุงกระบวนการเรยี นการสอนของครู โดยการทำงานร่วมกับบุคคลท่ีเกี่ยวข้องกับการนี้ เป็นกระบวนการกระต้นุ ความเจริญกา้ วหน้าของครู และมงุ่ หวังทจ่ี ะชว่ ยเหลือครู เพ่ือให้ครูได้ชว่ ยตนเองได้ กดู (Good, อ้างถงึ ในเสถียร เท่ียงธรรม, ๒๕๕๑ : หนา้ ๑๕) ได้ใหค้ วามหมายของการนิเทศการศึกษา ว่า เปน็ ความพยายามของผทู้ ำหน้าที่นิเทศท่จี ะช่วยในการให้คำแนะนำแก่ครู หรอื ผู้อ่นื ทท่ี ำหน้าท่ีเกี่ยวข้องกับ การศึกษาให้สามารถปรับปรุงการสอนของตนให้ดีขึ้น ช่วยให้เกิดความเจริญงอกงามในด้านอาชีพ ช่วยพัฒนา ความสามารถของครู แฮร์ริส (Harris, อ้างถึงในเสถียร เที่ยงธรรม, ๒๕๕๑ : หน้า ๓๕) ได้กล่าวถึงความหมายของการ นเิ ทศการศกึ ษาวา่ หมายถึงสงิ่ ทบี่ ุคลากรในโรงเรยี นกระทำต่อบุคคลหรือส่งิ หนึ่งสิง่ ใดโดยมวี ัตถุประสงค์เพื่อจะ

๙ คงไว้ หรือเปลี่ยนแปลงปรับปรุงการดำเนนิ การเรยี นการสอนให้เหมาะสมกับสถานการณ์และส่งผลสะท้อนไป ถึงการพัฒนานักเรียนด้วย มาคส์ และสทูปส์ (Marks and Stoops, ๑๙๗๘ : หน้า ๒๓) ได้กล่าวถึงการนิเทศการศึกษาว่า คุณคา่ ของการนิเทศการศึกษาอยู่ที่การพฒั นาและปรับปรุงการเรยี นการสอนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ และ สง่ ผลสะทอ้ นไปถงึ การพฒั นานกั เรยี นดว้ ย กรองทอง จิรเดชากุล (๒๕๕๐ : หน้า ๔) ได้ให้ความหมายว่า การนิเทศเป็นการช่วยเหลือครูใน โรงเรียนให้ประสบความสำเร็จในการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนหรือการสร้างเสริมพัฒนาการของนักเรียน ทกุ ด้านทง้ั ด้านร่างกาย สงั คม อารมณ์ จิตใจ และสตปิ ญั ญาให้เต็มตามศกั ยภาพ ชาญชัย อาจิณสมาจาร (๒๕๒๕ : หน้า ๕) ได้ให้คำจำกัดความว่า การนิเทศการศึกษา คือ กระบวนการสร้างสรรค์ ที่ไม่หยุดนิ่งในการให้คำแนะนำและการชี้ช่องทางในลักษณะที่เป็นกันเองแก่ครูและ นกั เรยี น เพอื่ การปรับปรงุ ตัวเขาเอง และสภาพการเรยี นการสอน เพอ่ื ใหบ้ รรลเุ ปา้ หมายที่พึงประสงค์ ฉวีวรรณ พันวัน (๒๕๕๒, หน้า ๙) กล่าววา่ การนิเทศการศึกษา หมายถึงกระบวนการร่วมกันทาง การศกึ ษาของผบูร้ หิ ารโรงเรียน และบุคลากรทางการศกึ ษา เพ่อื พัฒนาการเรียนการสอนให้มีคณุ ภาพ และเกิด ผลสมั ฤทธิ์สูงสุดแกผ่ เู้ รียน ทำให้ผู้เรยี นไดพ้ ัฒนาศักยภาพตามจดุ หมายของหลักสูตร ฉันทนา จันทร์บรรจง (๒๕๕๔ : หน้า ๓๒) ให้ความหมายว่า การนิเทศเป็นกระบวนการปรับปรุงและ พฒั นาคณุ ภาพการศึกษา โดยความรว่ มมอื ระหว่างผูน้ ิเทศและผู้รบั การนิเทศ วัชรา เล่าเรียนดี (๒๕๕๐ : หน้า ๓) ได้ให้ความหมายของการนิเทศ ว่าหมายถึง กระบวนการ ดำเนนิ งานร่วมกันระหว่างผู้นเิ ทศกับผู้รบั การนิเทศ เพื่อใหก้ ารช่วยเหลอื แนะนำ และให้ความรว่ มมือกันในการ ปรบั ปรงุ และพัฒนาคุณภาพการจัดกจิ กรรมการเรยี นรูอ้ นั จะส่งผลถึงผลการเรียนรู้ของผเู้ รยี น สน สุวรรณ (๒๕๓๒ : หนา้ ๓๐๖ ) ได้ให้คำนิยามของ คำวา่ นเิ ทศการศกึ ษา ไว้วา่ กระบวนการพัฒนา ครู เพื่อให้ครูปรับปรุงและพัฒนาการจัดกระบวนการเรียนรู้ เพื่อให้การจัดการศึกษาบรรลุจุดมุ่งหมายที่วางไว้ การนเิ ทศการศึกษาจึงเป็นกระบวนการในการแนะนำชว่ ยเหลือ ครู ใหส้ ามารถจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ซึ่งการนิเทศนั้นอยู่บนหลักการของประชาธิปไตย ได้แก่ การเคารพซึ่งกันระหว่างผู้นิเทศและ ผูร้ บั การนิเทศ สันต์ ธรรมบำรุง (๒๕๒๖ : หน้า ๓) ได้ให้ความหมายว่า การนิเทศการศึกษา หมายถึงการช่วยเหลือ การแนะนำการชี้แจง การบริการ การปรับปรุงที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน ในการที่จะส่งเสริมให้ครู ปรบั ปรงุ การสอนให้ดีขน้ึ จากความหมายของคำวา่ การนิเทศการศกึ ษา ท่ีผู้จัดทำได้รวบรวมไวใ้ นท่ีน้ี จึงขอสรุปความหมายของ การนิเทศการศึกษา ไว้ว่า การนิเทศการศึกษา หมายถึง แนวทาง วิถีทาง หรือกระบวนการในการพัฒนาครู เพอื่ ให้ครนู ้ันไดป้ รบั ปรุงและพัฒนาการจัดกระบวนการเรียนรู้ใหด้ ีย่ิงข้ึน บรรลุวตั ถุประสงคข์ องการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ เพื่อนำไปสู่การจัดการศึกษาท่ีบรรลุจุดมุง่ หมายที่วางไว้ การนิเทศการศึกษาจึงเป็นกระบวนการใน การแนะนำช่วยเหลือ ครู ให้สามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการนิเทศนั้นอยู่บน หลกั การของประชาธปิ ไตย ไดแ้ ก่ การเคารพซึง่ กนั ระหวา่ งผู้นเิ ทศและผู้รบั การนเิ ทศ

๑๐ ความมงุ่ หมายของการนิเทศการศกึ ษา ดร.สงัด อทุ รานนั ท์ (๒๕๓๐ : หน้า ๑๒) ไดก้ ลา่ วถงึ จุดมงุ่ หมายของการนเิ ทศการศึกษาไว้ ซงึ่ มี จุดมงุ่ หมายทีส่ ำคญั ๔ ประการ ดังน้ี ๑) เพื่อพัฒนาคน ๒) เพือ่ พัฒนางาน ๓) เพอ่ื สรา้ งการประสานสมั พนั ธ์ ๔) เพ่ือสรา้ งขวัญและกำลังใจ การนเิ ทศการศึกษาเพ่ือพฒั นาคน หมายถึง การนเิ ทศการศึกษาเปน็ กระบวนการทำรว่ มกันกบั ครูและ บคุ ลากรทางการศึกษา เพ่ือใหค้ รูและบคุ ลากรได้เปลยี่ นแปลงพฤติกรรมในทางทด่ี ีขน้ึ การนิเทศการศึกษาเพื่อพฒั นางาน หมายถงึ การนิเทศการศกึ ษา มเี ป้าหมายสูงสุดอย่ทู ี่ผู้เรียนซึ่งเปน็ ผลผลติ จากการจดั กระบวนการเรยี นรขู้ องครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา โดยเหตนุ ีก้ ารนิเทศที่จดั ขน้ึ จงึ มี จดุ หมายทีจ่ ะพฒั นางาน คอื การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ดขี น้ึ การนเิ ทศการศึกษาเพ่ือสรา้ งการประสานสมั พันธ์ หมายถึง การนิเทศการศึกษา เป็นการสรา้ งการ ประสานสัมพันธ์ ระหวา่ งผูน้ ิเทศและผรู้ ับการนิเทศ ซึ่งเป็นผลมาจากการทำงานรว่ มกนั รับผดิ ชอบรว่ มกันมี การแลกเปลย่ี นเรียนรู้ซง่ึ กันและกนั ซึ่งไม่ใชเ่ ปน็ การทำงานภายใตก้ ารถูกบังคับและคอยตรวจตราหรือคอย จับผดิ การนเิ ทศการศึกษาเพื่อสร้างขวญั และกำลงั ใจ หมายถึง การจัดกิจกรรมการนเิ ทศท่ีมุ่งให้กำลังใจแก่ ครู และบุคลากรทางการศึกษา ซ่งึ ถอื ว่าเป็นจุดมุ่งหมายที่สำคัญอีกประการหนึง่ ของการนิเทศ เน่ืองจากขวัญ และกำลงั ใจเป็นสงิ่ สำคญั ท่จี ะทำใหบ้ ุคคลมีความต้ังใจทำงาน หากนเิ ทศไม่ได้สร้างกำลังใจแก่ผู้ปฏบิ ตั ิงานแล้ว การนิเทศการศึกษากย็ อ่ มประสบผลสำเรจ็ ได้ยาก จากการรวบรวมความมุ่งหมายของการนเิ ทศการศกึ ษา ผ้จู ัดทำจงึ ขอสรปุ ความมุ่งหมายของการนเิ ทศ การศึกษา ไว้ว่า จดุ มุ่งหมายที่สำคญั ของการนเิ ทศการศึกษานัน้ มีจุดมุง่ หมายหรือมวี ตั ถุประสงค์ทสี่ ำคัญ คือ เพ่ือเป็นการพัฒนาหรอื ยกระดับคณุ ภาพการศึกษาทง้ั สน้ิ โดยใชก้ ระบวนการนเิ ทศการศึกษามาใชเ้ ป็น เครอื่ งมอื ในระบบบรหิ ารจดั การน่ันเอง หลกั การสำคญั ของการนิเทศการศกึ ษา บริกส์ และจสั ทแ์ มน (Briggs and Justman , ๑๙๘๒ : หนา้ ๕) ได้เสนอหลกั การนเิ ทศสำหรับ ผูบ้ รหิ ารไว้ดังนี้ ๑) การนเิ ทศการศึกษาต้องเป็นประชาธปิ ไตย ๒) การนเิ ทศการศึกษาจะต้องเป็นการสง่ เสริม และการสร้างสรรค์ ๓) การนเิ ทศการศึกษาควรจะต้องอาศัยความร่วมมือของวิทยากรหลายคนมากกว่าทีจ่ ะแบง่ ผูน้ เิ ทศ ออกเปน็ รายบุคคล ๔) การนเิ ทศการศึกษา ควรต้ังอยู่บนรากฐานของการพัฒนาวชิ าชีพมากกวา่ จะเป็นความสัมพนั ธส์ ว่ น บคุ คล

๑๑ ๕) การนเิ ทศการศึกษา จะต้องคำนงึ ถึงความถนดั ของแต่ละบุคคล ๖) จุดมุ่งหมายสูงสดุ ของการนิเทศการศกึ ษา คือหาทางช่วยให้ผเู้ รียนเกิดความรู้ ความสามารถตาม ความมุง่ หมายของการศกึ ษา ๗) การนิเทศการศึกษาจะต้องเกยี่ วข้องอยู่กบั การสง่ เสริมความรสู้ ึกอบอุน่ ให้แกค่ รู และการสร้าง มนษุ ยสัมพนั ธ์อันดรี ะหวา่ งหมคู่ ณะ ๘) การนเิ ทศการศึกษาควรเริม่ ตน้ จากสภาพการณ์ปัจจบุ นั ทีก่ ำลงั ประสบอยู่ ๙) การนิเทศการศึกษาควรเปน็ การสง่ เสริมความกา้ วหน้า และความพยายามของครใู ห้สงู ขนึ้ ๑๐) การนิเทศการศึกษาควรเปน็ การสง่ เสรมิ และปรบั ปรงุ สมรรถวิสัย ทัศนคติ และข้อคดิ เหน็ ของครู ใหถ้ กู ตอ้ ง ๑๑) การนิเทศการศึกษา พยายามหลกี เล่ยี งการกระทำอย่างเปน็ พิธกี ารมาก ๆ ๑๒) การนเิ ทศการศึกษาควรใช้เคร่อื งมือ และกลวิธงี า่ ย ๆ ๑๓) การนเิ ทศการศึกษาควรตง้ั อยูบ่ นหลักการและเหตุผล ๑๔) การนเิ ทศการศึกษาควรมจี ุดมุ่งหมายท่ีแน่นอน และสามารถประเมินผลไดด้ ้วยตนเอง เบอร์ตัน และบรคุ เนอร์ (Burton and Brueckner, ๑๙๖๕, อ้างถึงใน กำพล วิลยาลยั , ๒๕๔๙ : หนา้ ๑๔ - ๑๕) ไดส้ รปุ หลกั การนิเทศการศึกษาไว้ ๔ ประการ คอื ๑) การนิเทศการศึกษาควรมีความถกู ต้องตามหลักวชิ า การนิเทศการศึกษาทีด่ ีควรจะเปน็ ไปตาม วัตถุประสงค์ และนโยบายที่วางไว้ ควรเปน็ ไปตามความจรงิ และกฎเกณฑ์ทแ่ี น่นอน ๒) การนเิ ทศการศึกษาควรเปน็ วิทยาศาสตร์ การนิเทศการศึกษาควรเปน็ ไปอย่างมีระเบียบมีการ ปรับปรุงและประเมนิ ผล การนเิ ทศควรจะมาจากการรวบรวมขอ้ มูล และการสรุปผลอย่างมีประสทิ ธภิ าพเป็น ทเ่ี ชอื่ ถือได้ ๓) การนิเทศการศึกษาควรเปน็ ประชาธปิ ไตย การนเิ ทศการศกึ ษาจะต้องเคารพในความแตกต่างของ บุคคล เน้นความร่วมมือร่วมใจกันในการดำเนนิ งาน และใช้ความร้คู วามสามารถในการปฏบิ ตั ิงานเพ่ือใหง้ าน นน้ั ไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ ๔) การนิเทศการศึกษาควรจะเปน็ การสรา้ งสรรค์ การนิเทศการศกึ ษาควรเป็นการแสวงหา ความสามารถพิเศษของบคุ คล แลว้ เปิดโอกาสให้ได้แสดงออกและพฒั นาความสามารถเหล่าน้นั อย่างเต็มท่ี ไวลส์ (Wiles , ๑๙๖๗ : หน้า ๕) ได้เสนอแนะหลกั การนิเทศการศกึ ษาไวด้ งั น้ี ๑) ใหค้ วามสำคญั กับครูทกุ คนและทำให้เหน็ วา่ ต้องการความชว่ ยเหลือจากเขา ๒) แผนงานหรอื ความเจรญิ ก้าวหน้าเปน็ ผลจากการทำงานเป็นทมี ๓) หาโอกาสพบปะสงั สรรค์เปน็ กันเองกบั ครโู ดยสมำ่ เสมอ ๔) เปิดโอกาสใหส้ มาชิกได้แสดงความคดิ เหน็ และสง่ เสรมิ ให้มีความคดิ รเิ ริ่ม ๕) เป็นมิตรไมตรีกับบุคคลทว่ั ไป ๖) ปรกึ ษากับหมคู่ ณะเกีย่ วกับการเปลี่ยนแปลงใด ๆ อนั จะพึงมี

๑๒ ๗) พจิ ารณาสภาพทเี่ ป็นปญั หาของสมาชกิ อาจจะซักถามสัมภาษณห์ รอื ใหค้ ณะครเู สนอปัญหาทีอ่ ยู่ใน ความสนใจร่วมกนั ๘) หากศึกษานเิ ทศก์กระฉับกระเฉงมีชีวติ ชีวา หมคู่ ณะย่อมจะเปน็ เช่นกัน ๙) บทบาทการนำของศึกษานิเทศก์คือ การประสานงานและการชว่ ยเหลือทางวชิ าการ ๑๐) ฟังมากกวา่ พูด ๑๑) การปฏบิ ตั ิงานเร่ิมดว้ ยปัญหาของสมาชิก ๑๒) วางแผนปฏบิ ัตงิ านของหมคู่ ณะไว้ ๑๓) ตำแหนง่ หน้าทมี่ ิไดท้ ำให้ศึกษานิเทศก์ต้องเปล่ียนแปลงพฤติกรรม หรอื ความเป็นมิตรไมตรกี ับหมู่ คณะต้องชะงักงนั ๑๔) พยายามใช้ประสบการณ์ด้านความสามารถตา่ ง ๆ ของครอู าวุโสใหเ้ กดิ ประโยชนใ์ นการนเิ ทศ มากทส่ี ดุ ๑๕) ตดั สนิ ใจแนว่ แนท่ นั ตอ่ เหตุการณ์ ๑๖) เอาใจใสร่ ูง้ านในหน้าทีด่ ี ๑๗) สำรวจและปรับปรุงตนเองอยู่เสมอ ๑๘) สนใจในสวัสดิภาพของสมาชกิ ๑๙) มคี วามรบั ผดิ ชอบ ปลกู ฝังความรับผดิ ชอบให้แกห่ มู่คณะ ๒๐) สนใจในสวัสดภิ าพของสมาชิก มาร์ค และคณะ (Marks, ๑๙๗๘ : หนา้ ๑๒๘) ได้ใหห้ ลกั เบอื้ งตน้ ของการนิเทศการศึกษาไวด้ ังนี้ ๑) การนเิ ทศการศึกษา ต้องอาศยั ความรว่ มมือจากทกุ ฝ่าย ๒) การนเิ ทศการศึกษา ต้องถือหลักวา่ เป็นการบริการ ซง่ึ ครูเป็นผ้ใู ชบ้ ริการ ๓) การนเิ ทศการศึกษา ควรสอดคล้องกับความต้องการของครู ๔) การนเิ ทศการศึกษา ควรเปน็ การสร้างสรรค์ทัศนคติ และความสมั พันธร์ ะหวา่ งผู้นเิ ทศกบั ผู้รบั การ นิเทศ ๕) การนิเทศการศึกษา ควรเน้นให้เห็นความสำคัญของงานวจิ ัย และพยายามหาทางให้ครูศึกษา งานวิจัย แลว้ นำมาปฏบิ ัตติ ามนนั้ ๖) การนิเทศการศึกษา ควรยดึ หลักการประเมนิ ผลการนเิ ทศท้งั ผ้นู ิเทศและผู้รับการนิเทศ วนิ ยั เกษมเศรษฐ์ (๒๕๒๗ : หนา้ ๓ - ๔) ได้กล่าวไว้วา่ การนเิ ทศการศกึ ษาที่มปี ระสิทธภิ าพจะต้อง อาศัยหลักการตา่ ง ๆ ดังนี้ ๑) หลกั สภาพผูน้ ำ (Leadership) คือการใช้อทิ ธิพลของบุคคลท่จี ะทำให้กิจกรรมต่าง ๆ ของกล่มุ เปน็ ไปตามเป้าประสงค์ ๒) หลักความรว่ มมือ (Cooperation) คือการกระทำร่วมกัน และรวมพลงั ทั้งหมดเพอื่ แก้ปญั หา ดว้ ยกัน โดยยอมรับและยกย่องผลของความร่วมมือในการปรบั ปรุงการเรยี นการสอนจากหลายฝ่ายและทำ หน้าทีแ่ ละความรบั ผิดชอบชัดแจง้ ในการจดั องค์การ การประเมนิ ผล ตลอดจนการประสานงาน

๑๓ ๓) หลักการเห็นใจ (Considerateness) คอื การนิเทศการศึกษาจะต้องคำนงึ ถึงตัวบุคคลที่รว่ มงาน ดว้ ยการเหน็ ใจ จะทำให้ตระหนกั ในคุณคา่ ของมนษุ ยสัมพันธ์ ๔) หลักการสรา้ งสรรค์ (Creativity) คือการนเิ ทศการศึกษา จะตอ้ งทำให้ครเู กดิ พลังที่จะคดิ เริ่มส่ิง ใหม่ ๆ แปลก ๆ หรอื ทำงานด้วยตนเองได้ ๕) หลักการบูรณาการ (Integration) เปน็ กระบวนการซ่ึงรวมสงิ่ กระจัดกระจายให้สมบูรณม์ องเหน็ ได้ ๖) หลกั การมุง่ ชมุ ชน (Community) เป็นการแสวงหาปจั จยั ที่สำคัญในชุมชน และการปรบั ปรงุ ปจั จยั เหล่าน้นั เพ่อื ส่งเสรมิ ความเปน็ อยใู่ นชมุ ชนให้ดีขึ้น ๗) หลักการวางแผน (Planning) หมายถึงกระบวนการวิเคราะห์ซง่ึ เกีย่ วกบั การแสวงผลในอนาคตการ กำหนดจุดประสงคท์ ี่ต้องการล่วงหน้า การพัฒนาทางเลือกเพื่อปฏิบตั ิใหบ้ รรลุถึงจุดประสงค์และการเลือกทาง ปฏบิ ัติใหเ้ หมาะสมที่สดุ ๘) หลกั การยืดหยนุ่ (Flexibility) หมายถึง ความสามารถที่จะถูกเปลยี่ นแปลงได้ และพร้อมอยูเ่ สมอ ท่จี ะสนองความต้องการสภาพทเ่ี ปลย่ี นแปลงไป ๙) หลกั วตั ถวุ ิสัย (Objectivity) หมายถึงคุณภาพที่เป็นผลจากหลกั ฐานตามสภาพความจริงมากกวา่ ความเห็นบุคคล ๑๐) หลกั การประเมินผล (Evaluation) หมายถงึ การหาความจริงโดยการวดั ท่แี นน่ อน และหลาย อย่าง วิจิตร วรุตบางกรู และคณะ (๒๕๓๔ : หนา้ ๒) ได้เสนอแนะหลักสำคัญในการนเิ ทศการศึกษาไว้ ดงั นี้ ๑) หาทางใหค้ รูร้จู ักช่วยและพงึ่ ตวั เอง ไม่ใชค่ อยจะอาศัยและหวังพงึ่ ศึกษานิเทศกห์ รือคนอ่ืน ตลอดเวลา ๒) ช่วยให้ครูมคี วามเช่ือมนั่ ในตนเอง สามารถทจี่ ะวเิ คราะห์และแยกแยะปัญหาต่าง ๆ ด้วยตนเองได้ ๓) ต้องทราบความต้องการของครู แล้ววางแผนการนเิ ทศเพือ่ ตอบสนองความต้องการนั้น ๆ ๔) ศกึ ษาปัญหาตา่ ง ๆ ของครู และทำความเข้าใจกบั ปญั หาน้ัน ๆ แลว้ พิจารณาหาทางชว่ ยแก้ไข ๕) ชกั จงู ให้ครชู ว่ ยกนั แยกแยะและวเิ คราะหป์ ัญหาร่วมกัน ๖) การแก้ไขปัญหาเกย่ี วกับการเรียนการสอน ควรเปิดโอกาสให้ครูไดใ้ ชค้ วามคิดและลงมือกระทำเอง ให้มากที่สุด ๗) รับฟังความคดิ เห็นและข้อเสนอแนะต่าง ๆ ของครู แลว้ นำมาพิจารณารว่ มกัน ๘) ช่วยจัดหาแหล่งวทิ ยากร อปุ กรณ์การสอน ตลอดจนเครื่องมือเคร่ืองใชต้ า่ ง ๆ ให้แกค่ รู ๙) ช่วยจดั หาเอกสาร หนังสอื และตำราต่าง ๆ ให้แก่ครู ๑๐) ช่วยใหค้ รูร้จู กั จัดหาหรือจดั ทำวัสดุอปุ กรณก์ ารสอนที่ขาดแคลนด้วยตนเอง โดยใชว้ ัสดุในทอ้ งถิน่ ทม่ี ีอยู่ ๑๑) หาทางใหส้ ถานศกึ ษา ชุมนุมชน และหน่วยงานทีใ่ กลเ้ คียง มีความสมั พนั ธก์ ันและช่วยเหลอื ซ่ึง กนั และกัน

๑๔ ๑๒) ต้องยอมรบั นบั ถือบุคลากรท่ีร่วมงานในโรงเรยี นน้ัน ๆ และแสดงให้เขาเห็นวา่ เขามีความสำคัญ ในสถานศึกษาน้นั ๆ ด้วย ๑๓) ช่วยให้ครไู ดแ้ ถลงกิจกรรม และผลงานตา่ ง ๆ ของสถานศึกษาใหช้ มุ ชนทราบโดยสม่ำเสมอ ๑๔) ต้องทำความเขา้ ใจกับผู้บริหารสถานศึกษาในส่วนทเ่ี ป็นหนา้ ท่แี ละความรบั ผดิ ชอบของกันและ กนั ๑๕) ชว่ ยประสานงานระหว่างสถานศึกษากับองคก์ ารหรือหนว่ ยงานที่เกี่ยวข้อง ๑๖) รวบรวมขอ้ มลู ตา่ ง ๆ ท่ีเห็นวา่ เปน็ ประโยชน์มาทำการวเิ คราะหแ์ ละวจิ ัย ๑๗) ทำความเขา้ ใจเกยี่ วกบั เรอ่ื งราวตา่ ง ๆ ของการศกึ ษาอยา่ งแจ่มแจง้ เพ่ือจะไดด้ ำเนนิ การให้บรรลุ เป้าหมาย จากการรวบรวมหลักการสำคัญของการนเิ ทศการศึกษาผจู้ ดั ทำจึงขอสรุปหลักการสำคญั ของการนิเทศ การศึกษา ไวว้ า่ หลักการนิเทศการศึกษาท่สี ำคัญนนั้ จะควรต้องมีความถูกตอ้ งเชงิ วชิ การ สามารถอา้ งองิ ที่มา ได้อยา่ งเปน็ รปู ธรรม ตามหลักวชิ า การนิเทศการศึกษาที่ดีนัน้ ควรจะเปน็ ไปตามวัตถปุ ระสงค์ และนโยบายท่ี วางไว้ ควรเป็นไปตามความจริง เปน็ ไปเพ่ือการมุ่งพัฒนา ปรบั ปรุง แก้ไข ทำใหด้ ีย่ิงขนึ้ หรอื ยกระดบั คุณภาพ การศึกษาใหม้ ีประสิทธภิ าพมากยิ่งขน้ึ ๒. ความร้เู บอื้ งตน้ ท่เี ก่ยี วข้องกบั การนเิ ทศภายในสถานศึกษา ผู้จัดทำได้ทำการรวบรวมความรู้เบื้องต้นที่เกี่ยวข้องกับการนิเทศภายในสถานศึกษา รวมทั้งแนวคิด ทฤษฎีต่างๆ และท่ีเกี่ยวขอ้ ง โดยขอสรปุ เปน็ ประเด็นต่างๆ ดงั นี้ ความหมายของการนิเทศภายในโรงเรียน นกั วชิ าการด้านการศึกษาหลายท่าน ได้ใหค้ วามหมายของการนิเทศภายใน สรุปพอสังเขปได้ ดงั นี้ กิติมา ปรีดีดิลก (๒๕๓๒ : หน้า ๓๐๖) ได้กล่าวว่า กำรนิเทศภายในโรงเรียนเป็นการนิเทศ โดย บคุ ลากรในโรงเรียนเอง จะต้องกระทำอย่างมีขน้ั ตอนและกระบวนการในอนั ทจี่ ะทำใหเ้ กิดประสิทธิภาพสูงสุด การนิเทศบูรณาการและการนิเทศภายในโรงเรยี น สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (๒๕๓๕ : หน้า ๑๐) ได้เสนอว่า การนิเทศภายใน โรงเรียน หมายถึง ความพยายามทุกชนิดของผู้ที่อยู่ในโรงเรียน ตั้งแต่ผู้บริหารรลงมาในการที่จะปรับปรุง ส่งเสริมประสิทธิภาพการเรียนการสอนในโรงเรียนได้ขึ้น ซึ่งเป็นการพัฒนาครูผู้สอนให้ปฏิบัติหน้าท่ีในการ จัดการประสบกการณก์ ารเรยี นการสอนอยา่ งมีประสทิ ธผิ ล ชาลี มณีศรี (๒๕๓๘ : หน้า ๑๕) ได้กล่าวว่า การนิเทศภายใน หมายถึง กระบวนการส่งเสริม แนะนำ ชน้ี ำปรึกษา หรอื ประสานมอบหมายความรบั ผิดชอบและปรับปรุงพฒั นาเพื่อคณุ ภาพของนักเรียน นอกจากนี้ เสถียร เที่ยงธรรม (๒๕๔๒ : หน้า ๗) ได้สรุปว่า การนิเทศภายในโรงเรียน หมายถึง กระบวนการที่จัดขึ้นเพื่อพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพคุณภาพการเรียนการสอนในโรงเรียนให้สูงขึ้น โดยการ ร่วมมือของบุคลากรทั้งหมดภายในโรงเรียน และสมเดช พินิจสกุล (๒๕๔๔ : หน้า ๗) สรุปได้ว่า การนิเทศ ภายใน หมายถึง ความพยายามของผู้บริหารโรงเรียนในอนั ท่ีจะปรับปรุงส่งเสริมประสิทธิภาพในด้านการเรียน

๑๕ การสอนใหด้ ีข้นึ ทำใหเ้ กดิ การเพิ่มพลังในการปฏบิ ัติงานของครู รวมทั้งให้ครูเกิดความก้าวหน้าในวิชาชีพ และ ก่อให้เกดิ ผลขั้นสุดทา้ ย คอื การศกึ ษาของเด็กกา้ วไปอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ หลักการและแนวคิดการนเิ ทศภายในโรงเรียน การพฒั นาคุณภาพการศกึ ษา กระบวนการนเิ ทศเปน็ กระบวนการหน่ึงทส่ี ่งผลตอ่ การพัฒนา คณุ ภาพการศกึ ษา (หนว่ ยศึกษานเิ ทศก์ สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน, ๒๕๖๒ : หน้า ๖) ดงั นี้ สภาพปญั หา กระบวนการบริหาร คุณภาพ ความตอ้ งการ กระบวนการเรยี นการสอน ผเู้ รียน กระบวนการนิเทศ การพฒั นาคณุ ภาพการศึกษา จะสำเร็จไดต้ ามเปา้ หมาย จำเปน็ ตอ้ งมอี งคป์ ระกอบสำคัญในการ พฒั นา คือ กระบวนการบรหิ าร กระบวนการจดั การเรียนรู้และกระบวนการนเิ ทศ ทีต่ อ้ งรวมกนั สนบั สนุนส่งเสรมิ ไปดว้ ยกนั ใน ลกั ษณะของ “เกลียวเชอื ก” กระบวนการนิเทศการศกึ ษา (supervision) เป็นกระบวนการท่ีทำให้เกิดการพฒั นาและ ปรับปรงุ กระบวนการเรยี นการสอนของครู โดยมงุ่ ใหเ้ กิด การจัดการเรยี นรู้ท่ีมปี ระสทิ ธิภาพส่งผลถึงคณุ ภาพของผ้เู รยี น กระบวนการนเิ ทศการศกึ ษาช่วยทำให้ เกดิ การพฒั นาคน พัฒนางาน สร้างการประสานสัมพันธ์และขวญั กำลงั ใจ ซ่ึงตอ้ ง ดำเนนิ งานให้ ประสานสมั พันธก์ ับกระบวนการอื่นในการพัฒนาคุณภาพการศกึ ษาให้บรรลตุ ามเปา้ หมาย ทำใหเ้ กดิ การ พฒั นาที่ย่งั ยืนถาวร ดงั ทสี่ ำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน (สำนกั งานคณะกรรมการ การศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน, ๒๕๔๙ : หนา้ ๕๒) กล่าวว่า “การจดั การท่ดี ีเป็นกุญแจนำไปสู่ความสำเรจ็ ขององคก์ ร การนเิ ทศท่ดี นี ำไปส่กู ารจดั การทด่ี ”ี หลักการนเิ ทศการศกึ ษา เป็นแนวทางหรือกฎเกณฑ์ที่กำหนดขึ้น เพื่องานนิเทศการศึกษาตามความคิดเห็น ความเชื่อและ ประสบการณ์ของนักการศึกษา ดงั น้ี วัชรา เล่าเรียนดี (๒๕๕๓ : หน้า ๑๑๖ - ๑๑๗) กล่าวถึงหลักการสำคัญของการนิเทศภายใน สถานศึกษา ดังน้ี ๑) การให้ความรว่ มมอื รว่ มใจสอน ๒) การสร้างความผูกพนั ตอ่ ภาระหนา้ ท่ี ดว้ ยความเตม็ ใจของบคุ ลากรในโรงเรียนและครู ๓) การประสานสมั พันธท์ ด่ี ตี ่อกนั ๔) การประสานกนั ทกุ ฝา่ ย

๑๖ ๕) เปน็ ประชาธิปไตย ๖) การยดึ ความแตกตา่ งของมนุษย์และพฒั นาการของมนษุ ยแ์ ต่ละวยั ๗) การมเี ป้าหมายเดยี วกนั คอื คณุ ภาพการศกึ ษาของผเู้ รียน ดังน้นั ผูน้ ิเทศจึงต้องยดึ หลักการนิเทศ ดังต่อไปน้ี ๑) ผู้นเิ ทศต้องมคี วามรู้ความเข้าใจในหลักการนเิ ทศอย่างถูกต้อง ตรงประเด็น มรี ะบบและ ข้ันตอนทีช่ ัดเจนในกระบวนการนเิ ทศ ๒) กระบวนการนิเทศท่เี กดิ ข้นึ ต้องเกิดจากความรว่ มมือของคณะครทู ุกคนทป่ี ฏิบัติหนา้ ทอ่ี ยู่ ในโรงเรียน และการนิเทศ ๓) ต้องเปน็ ไปเพอ่ื การพฒั นากระบวนการเรียนการสอนของครู และการนเิ ทศการศึกษาควรมี การบริหารเปน็ กระบวนการเชงิ ระบบ มีการวางแผนการดำเนนิ งาน มีข้ันตอนในการปฏิบัติงาน ถอื หลกั การมสี ว่ นรว่ ม ในการทำงานมีความเปน็ ประชาธปิ ไตย มีการดำเนินงานอย่างสร้างสรรคม์ ีการ แก้ปัญหาทีเ่ กิดข้นึ จากการเรยี นการสอน ๔) สรา้ งสภาพแวดล้อมในการทำงานให้ดขี ึน้ สร้างความผกู พันและความม่ันคงตอ่ งานอาชพี รวมทั้ง พัฒนาและสง่ เสรมิ วชิ าชพี ครใู หม้ คี วามร้สู กึ ภาคภมู ใิ จในวชิ าชีพของตนเองพร้อมทจ่ี ะรับการ พัฒนาอย่างตอ่ เนอื่ ง หนว่ ยศกึ ษานเิ ทศก์ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน (๒๕๖๒ : หนา้ ๑๓) สรุปไว้วา่ หลกั การของการนิเทศภายในโรงเรียน เปน็ การปฏิบัตงิ านร่วมกนั ระหวา่ งผูน้ เิ ทศและผูร้ ับการนิเทศ ตาม ความตอ้ งการและความจำเปน็ ในการพฒั นา โดยมเี ป้าหมายเดยี วกนั ขอบข่ายการนิเทศภายในโรงเรยี น ขอบข่ายการนิเทศภายในโรงเรียน ผจู้ ัดทำไดร้ วบรวมขอบข่ายของการนเิ ทศภายในโรงเรยี น ไวพ้ อสังเขป สรปุ ไดด้ ังนี้ สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาแหง่ ชาติ (๒๕๔๔ : หนา้ ๕๔ - ๕๖) ได้กลา่ วว่า การบริหาร โรงเรยี นจะบรรลสุ ำเร็จตามจุดม่งุ หมายของหลักสูตรได้ดนี นั้ ยอ่ มตอ้ งอาศัยงานบริหาร ๔ งาน คือ ๑) งานบริหารงานวชิ าการ ๒) งานบรหิ ารงานบุคคล ๓) งานบรหิ ารท่วั ไป ๔) งานบริหารแผนและงบประมาณ งานวชิ าการ ถอื เปน็ งานหลกั ของโรงเรยี นทม่ี คี วามสำคัญทส่ี ุด ซงึ่ ผู้บริหารสถานศึกษาจะตอ้ งให้ ความสำคัญ มากกวา่ กิจกรรมด้านอื่น ๆ เพ่อื ใหก้ ารเรียนการสอนได้ผลตามเปา้ หมายงานวิชาการ ประกอบดว้ ยงานย่อย ๆ ดังน้ี ๑) งานกำหนดเปา้ หมายและการวางแผนงานวชิ าการ ๒) งานหลกั สูตรและการนำหลักสตู รไปใชใ้ ห้เหมาะสมกับท้องถ่นิ ๓) งานจัดหาวัสดุการสอนและสง่ เสริมการใชส้ อ่ื การสอน ๔) การจดั ตารางสอนจดั ครูเขา้ ทำการสอน

๑๗ ๕) งานวางแผนการสอนกำหนดการสอนการสอน ๖) งานจดั ช้นั เรยี นแบง่ กลมุ่ นกั เรียน ๗) งานนเิ ทศการสอน ๘) งานประเมนิ ผลการศึกษา ๙) งานห้องสมดุ งานเคร่อื งเขยี นแบบเรียน ๑๐) งานพฒั นาการสอนกลุ่มสาระการเรียนร้ตู า่ ง ๆ ๑๑) งานประชมุ อบรมเสรมิ ความรคู้ รู ๑๒) งานการใชท้ รัพยากรในชมุ ชนเพือ่ การเรียนการสอน ๑๓) การจดั ทำบันทกึ การใช้แบบฟอร์มต่าง ๆ ทางวชิ าการ สรุปรายงานประจำตัวนกั เรียน แบบกรอก คะแนนประเมินผลประจำปี ๑๔) งานหลกั ฐานแสดงผลการเรียนเพื่อยา้ ยสถานศึกษาหรือไดร้ บั การยกเว้น กลกิ แมน (Glickman, ๑๙๘๕ : หน้า ๒๓) ได้จดั ขอบขา่ ยงานนิเทศของโรงเรียนไว้ ๕ งานมาใช้ ดงั น้ี ๑) การให้ความชว่ ยเหลอื แกค่ รโู ดยตรง ๒) การเสริมสร้างประสบการณ์ทางอาชพี ๓) การพฒั นาการทำงานกลมุ่ ๔) การพัฒนาหลกั สตู ร ๕) การวิจัยเชงิ ปฏบิ ัตกิ ารในห้องเรยี น ปีเตอร์โอลิวา และ จอร์ช พาวลาส (Peter Oliva & George Pawlas, 2004 อ้างถึงในประกิต สิงหท์ อง, ๒๕๕๑ : หน้า ๒๑) ไดเ้ สนอขอบขา่ ยของการนิเทศภายในไวด้ ังนี้ ๑) การพัฒนาการสอน ๒) การพฒั นาหลกั สตู ร ๓) การพฒั นาทีมงาน สรุปได้ว่า ขอบข่ายของการนิเทศภายใน โรงเรียน เป็นการกำหนดกรอบเนื้อหาในการพัฒนางาน รว่ มกันเพือ่ ใหบ้ รรลผุ ลตามทกี่ ำหนดไว นอกจากนี้ ยังมีการให้คำนิยาม และการวิเคราะหเ์ กีย่ วกบั การนิเทศภายในโรงเรียน ไว้ว่าเป็นรูปแบบ หนึ่งของการนิเทศการสอนที่มีการริเริ่ม และจัดดำเนินการโดยบุคลากรภายในโรงเรียน ประกอบด้วย บุคคล หลายฝ่ายตั้งแต่ผู้บริหารสถานศึกษา รอง/ผู้ช่วยผู้บริหารสถานศึกษา คณะครูที่ได้รับมอบหมาย ทำหน้าท่ีผู้ นิเทศ และครูผู้สอนทุกคนเป็นผู้รับการนิเทศ มีขอบข่ายการดำเนินงาน โดยสรุปได้ดังนี้ (ปรียาพร วงศ์อนุตร โรจน์. ๒๕๔๖ : หน้า ๖๖-๖๘) ๑) การนิเทศภายในโรงเรียนมีองค์ประกอบสำคัญ ได้แก่บุคลากรภายในสถานศึกษา เป็นผู้จัด ดำเนินการเป็นเจ้าของโปแกรมการนิเทศตวามความต้องการของครูในสถานศึกษานั้นๆ การดำเนินงาน กิจกรรมต่างๆ กระบวนการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เกดิ ขนึ้ ภายในสถานศึกษา ๒) ผู้นเิ ทศดำเนนิ การนเิ ทศภายในโรงเรียน มีจดุ มุ่งหมายหลักว่า เปน็ การมงุ่ พฒั นาครผู สู้ อนภายใน

๑๘ สถานศึกษา ให้รู้จักวิธีการปรับปรุงการเรียนการสอนให้ดีขึ้น เพื่อทำให้การศึกษาเกิดผลสัมฤทธิ์ตามความ คาดหมายของการศึกษา และผู้บริหารสถานศึกษามีบทบาทสำคัญต่อการนิเทศภายในสถานศึกษาซ่ึง ความสำเร็จของการนิเทศภายใน ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับการสนับสนุนและเห็นความสำคัญของการนิเทศของ ผู้บริหาร ดังนั้น จึงสามารถสรปุ ได้ว่า การนิเทศภายในโรงเรียน เป็นหน้าที่โดยตรงของผู้บริหารสถานศึกษาใน การปรบั ปรุงคุณภาพการเรยี นการสอน ๓) ผนู้ เิ ทศภายในโรงเรียน ประกอบด้วย ๓.๑) ผู้บริหารสถานศกึ ษา ๓.๒) ผู้ช่วยผ้บู ริหารสถานศึกษาโดยเฉพาะฝ่ายวิชาการ ๓.๓) หัวหน้ากล่มสาระการเรียนร้/ู หัวหนา้ สาขาวิชา/แผนก/ฝา่ ย ๓.๔) ครูอาจารย์ที่ทำหน้าที่สอน แต่มีความรู้ ความสามารถเฉพาะด้าน มีประสบการณ์ใน การสอนสามารถสาธิตหรอื ใหค้ ำปรึกษาแนะนำ เพ่อื นรว่ มงานได้ ๓.๕) ผู้เช่ยี วชาญทีเ่ ชิญมาเป็นวทิ ยากรเฉพาะด้านแนวคดิ ทใ่ี ช้ในการนิเทศภายในโรงเรยี น การนเิ ทศภายในโรงเรียนจะต้องใหเ้ กดิ ความรว่ มมือรว่ มใจของผู้เกี่ยวข้องทกุ ฝ่ายซึ่งในปัจจุบันยึดกรอบแนวคิด ที่ใช้เป็นแนวทางดำเนินการนิเทศภายในโรงเรียน โดยสรุปได้ดังนี้ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ัน พน้ื ฐาน. ๒๕๔๖ : หน้า ๒๗) ๑) วิธีการเชงิ ระบบ (System Approach) เป็นแนวคดิ การดำเนนิ การนิเทศภายใน โรงเรียนมคี วาม มงุ่ หมายเพอ่ื การแก้ปัญหาและพัฒนาโรงเรยี น โดยพจิ ารณาตามความตอ้ งการจำเปน็ ตามลำดับความสำคัญ วเิ คราะห์หาทางเลอื กที่เหมาะสมที่สุดในการแกป้ ัญหา และหรอื พัฒนา ทดลองดำเนนิ การ ตดิ ตามประเมินผล การนเิ ทศบูรณาการและการนิเทศภายในโรงเรยี น ปรบั ปรุงและนำไปปฏบิ ัติจริง ท้งั น้คี ำนงึ ถงึ การใช้ทรัพยากร ที่มอี ยู่ให้คุ้มคา่ และไดป้ ระโยชน์สงู สดุ ๒) วิธีการเชิงมนุษยนิยม (Humanistic Approach) เป็นแนวคิดการดำเนินการนิเทศภายใน โรงเรียนโดยใช้วิธีการประสานงานระหว่างผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศ ทำให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อกัน บรรยากาศการทำงานในโรงเรียนมีลักษณะเป็นกัลยาณมิตร ร่วมมือ ร่วมใจ ผู้บริหารและครูได้รับการยกย่อง เชงิ ชเู กยี รติ ใหข้ วญั กำลังใจ และมีความรู้สกึ อสิ ระที่จะแสวงหาทางเลอื กในการแก้ปัญหาและพฒั นาโรงเรียน ๓) วิธีการร่วมพัฒนา (Collaborative Approach) เป็นแนวคิดการดำเนินการนิเทศภายใน โรงเรียนโดยใช้วิธีการรว่ มคดิ รว่ มทำระหว่างผนู้ ิเทศกบั ผ้รู ับการนิเทศภายในโรงเรียน และมกี ารประสานความ รว่ มมอื จากผู้เชีย่ วชาญเฉพาะทางภายนอกหรอื แหลง่ วทิ ยากรภายนอกเพื่อช่วยเหลือโรงเรยี น ดังนั้น ผู้จัดทำจึงขอสรุปถึงขอบข่ายของการนิเทศภายในโรงเรยี น โดยได้วิเคราะห์จากแนวคิดในการ นเิ ทศภายใน ๓ วธิ กี ารดงั กล่าวขา้ งต้น ซง่ึ มจี ดุ เดน่ เฉพาะ กล่าวคือ วิธกี ารเชงิ ระบบ ประกอบดว้ ย กระบวนการ มีขัน้ ตอนชัดเจน เรม่ิ ต้นดว้ ยการประเมนิ ความตอ้ งการจำเป็นตามลำดับความสำคัญ วิเคราะห์หาทางเลือกเพื่อ ใช้ในการนเิ ทศ ดำเนนิ การนเิ ทศ ติดตามและประเมนิ ผล และการปรับปรุงพัฒนา

๑๙ กระบวนการและขั้นตอนการนเิ ทศภายในโรงเรียน ผจู้ ดั ทำไดร้ วบรวม กระบวนการและขนั้ ตอนการนเิ ทศภายในโรงเรยี น ไวพ้ อสงั เขป สรปุ ได้ดงั นี้ วัชรา เล่าเรียนดี (๒๕๕๓ : หน้า ๒๒๖) ได้นำเสนอกระบวนการนิเทศภายในโรงเรียนที่เป็นการ ปรบั ปรงุ และ พัฒนาการจดั การเรยี นการสอนในชัน้ เรยี นโดยตรง ดงั น้ี ๑) วางแผนรว่ มกนั ระหวา่ งผนู้ ิเทศและผู้รับการนิเทศ ๒) เลือกประเดน็ หรอื เร่อื งทสี่ นใจจะปรับปรุงพัฒนา ๓) นำเสนอโครงการพัฒนาละขั้นตอนการปฏิบัติให้ผู้บริหารโรงเรียนได้รับทราบเพื่ออนุมัติการ ดำเนินการ ๔) ให้ความร้หู รอื แสวงหาความร้จู ากแหล่งต่าง ๆ จัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเก่ียวกบั เทคนิคการสังเกต การสอน ความรเู้ กี่ยวกับวิธสี อน และนวตั กรรมใหมๆ่ ทนี่ ่าสนใจ ๕) จัดทำแผนการนิเทศ กำหนดวัน เวลา ที่จะสังเกตการสอน ประชุมปรึกษาหารือ เพื่อแลกเปลี่ยน ความคิดเหน็ และประสบการณ์ ๖) ดำเนนิ การตามแผนโดยครแู ละผู้นิเทศ (แผนจัดการเรยี นรู้และแผนนเิ ทศ) ๗) สรปุ และประเมินผลการปรับปรุง พัฒนา และรายงานผล สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน (๒๕๔๔ : หน้า ๑๖) ได้กำหนดขัน้ ตอนการนิเทศภายใน โรงเรยี น ประกอบดว้ ย การศึกษาสภาพปจั จบุ ัน ปญั หา ลำดบั ความสำคัญของปญั หา การวางแผนดำเนินการ วางแผนการสรา้ งเครื่องมอื และพฒั นาวิธกี าร ตดิ ตามและประเมินผล การศึกษาสภาพ การวางแผนและ การสร้างส่อื และ ปัจจุบัน ปญั หาและ กำหนดทางเลือก เครื่องมือ ความต้องการ การประเมินผล การปฏบิ ัติการ และรายงานผล นเิ ทศภายในโรงเรยี น ภาพประกอบ แสดงขนั้ ตอนการนเิ ทศภายในโรงเรยี น (ทีม่ า : หน่วยศกึ ษานิเทศก์ สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน, ๒๕๖๒ : หนา้ ๑๓) กระบวนการและข้นั ตอนนเิ ทศภายใน โรงเรียน เปน็ การกำหนดแนวทางการปฏิบัตงิ านร่วมกันอย่าง เป็นระบบเพ่ือใหก้ ารช่วยเหลอื แนะนำ ครูผู้สอนในโรงเรยี นเก่ยี วกบั การจดั การเรยี นการสอนเพื่อพฒั นาผู้เรียน ให้บรรลเุ ปา้ หมายและวัตถปุ ระสงค์ทหี่ ลักสูตรกำหนดไว้ เทคนิค/วิธีการนเิ ทศภายในโรงเรยี น เทคนคิ หรอื วิธกี ารจดั การนิเทศภายในโรงเรยี น มุ่งเน้นการปรบั ปรุงการจดั การเรยี นการสอนและ การปฏบิ ตั ิงาน การจัดการนิเทศภายในโรงเรียนเปน็ งานสำคญั ที่โรงเรยี นต้องดำเนินการ โดยเลือกวิธีการ

๒๐ จัดการนิเทศให้เหมาะสมกับ สภาพการณ์และบุคลากรภายในโรงเรียนซึ่ง วไลรัตน์ บุญสวัสดิ์ (๒๕๓๘ : หน้า ๔๒) ได้กล่าวไว้ว่าการนิเทศการศึกษาจะ ประสบความสำเร็จด้วยดีนั้น ผู้นิเทศจำเป็นจะต้องทราบเทคนิคใน การนเิ ทศการศึกษาเปน็ อยา่ งดเี ทคนิคหรอื วิธีการ จดั การนเิ ทศภายในโรงเรียนซง่ึ มนี ักการศึกษาได้เสนอไว้ดงั น้ี แกลตทอน (Glatthorn, ๑๙๘๔ อ้างถึงในวัชรา เล่าเรียนดี, ๒๕๔๘ : หน้า ๑๐๒ - ๑๐๙) ได้เสนอ เทคนิค/วธิ กี ารนิเทศท่หี ลากหลายวิธี คือ ๑. การนเิ ทศแบบคลนิ กิ (Clinical Supervision) หลักการนิเทศแบบคลนิ ิก เป็นการนิเทศทเี่ นน้ กระบวนการปรับปรงุ การสอนของครูอย่างเข้มข้นที่ต้อง วางแผนอย่าง เป็นระบบ มีการกระทำอย่างรอบคอบทุกขั้นตอน และทำให้ครบวงจร ในการนิเทศซ่ึง ประกอบด้วย การประชุมก่อน การสังเกตการสังเกตการสอน การวิเคราะห์ข้อมูลหลังการสังเกตการสอนการ ประชุมหลงั การวิเคราะห์ข้อมูลและ การประเมินผลโดยวงจรการนิเทศจะต้องกระทำซ้ำ ๆ หลาย ๆ ครั้งตลอด ปี สำหรับผู้ท่ีทำหนา้ ที่นเิ ทศ ควรได้รับการฝึกฝนวธิ กี ารและเทคนิคการนิเทศแบบน้ี โดยเฉพาะและควร มีสัมพันธภาพอันดีกับผู้รับการนิเทศการนิเทศแบบคลินิกเริ่มจากแนวคิดของ โกลด์แฮมเมอร์ และโกแกน (Goldhammer and Gogan, ๑๙๖๙, ๑๙๗๓, quoted in Glickman and others ๑๙๙๕ : หน้า ๒๘๗ - ๒๙๐) การนิเทศแบบคลินิกเป็นทั้งความคิดรวบยอดเกี่ยวกับการนิเทศ (Concept) และโครงสร้างของการ ดำเนนิ การนเิ ทศ (Structure) โกลด์แฮมเมอร์ และ แอนเดอซัน คราจาสกี้ (Goldhammer, Andersonand Krajewski, ๑๙๙๓, อ้างถึงใน Glickman and others ๑๙๙๕ : หน้า ๒๘๘) ได้เสนอลักษณะสำคัญของการนิเทศแบบคลินิกสรุป ได้ดงั น้ี คอื ๑) การนิเทศแบบคลนิ ิก เป็นเทคโนโลยใี นการปรบั ปรงุ การเรยี นการสอนโดยตรง ๒) การนเิ ทศแบบคลนิ ิก เป็นสว่ นสำคัญที่แทรกอยใู่ นกระบวนการจัดการเรยี นการสอน ๓) การนิเทศแบบคลินิก เป็นกระบวนการที่มีเป้าหมายวัตถุประสงค์ชัดเจน โดยเชื่อมโยงระหว่าง ความตอ้ งการของโรงเรยี นและความตอ้ งการในความเจริญก้าวหนา้ ในวชิ าชพี ของครู ในโรงเรยี น ๔) การนเิ ทศแบบคลินิก เปน็ กระบวนการทส่ี ร้างความสัมพันธ์ที่ดีในการทำงาน ในวิชาชีพระหว่างครู และผู้นเิ ทศ ๕) การนิเทศแบบคลนิ กิ เป็นกระบวนการทจี่ ะต้องมคี วามเช่อื ใจเชอ่ื ถือซง่ึ กนั และกัน โดยสะทอ้ นให้ เห็นถงึ ความเขา้ ใจสนับสนนุ กนั และกนั และความผกู พนั ในการทีจ่ ะพฒั นาตนเองใหเ้ จริญกา้ วหนา้ ๖) การนเิ ทศแบบคลินกิ เปน็ กระบวนการท่เี ป็นระบบถงึ แม้วา่ การดำเนนิ การจะตอ้ งยดื หยนุ่ มกี าร ปรบั เปลยี่ นวธิ กี ารอยา่ งตอ่ เนอื่ ง ๗) การนิเทศแบบคลินิก เป็นกระบวนการที่สร้างสรรค์เชื่อมโยงช่องว่างระหว่างความจริงกับ อุดมการณ์

๒๑ ๘) การนิเทศแบบคลินิก เป็นกระบวนการท่ีอยู่บนพืน้ ฐานความเชื่อทีว่ ่า ผู้นิเทศ คือผู้ที่มีความรู้อย่าง แท้จริง เกี่ยวกับการวิเคราะห์การสอนและการเรียนรู้รวมทั้งการสร้างความสัมพันธ์ ที่ดีต่อกันระหว่างเพื่อน มนุษย์ ๙) การนิเทศแบบคลินิก เป็นกระบวนการที่ต้องมีการให้การฝึกอบรมสำหรับผู้ที่จะทำหน้าที่นิเทศ ก่อนที่จะ นำการนิเทศแบบคลินิกไปใช้โดยเฉพาะในเรื่องเทคนิคการสังเกตการสอนและการดำเนินการนิเทศ แบบคลินิกท่ีมปี ระสทิ ธภิ าพและประสทิ ธผิ ล ๒. การนเิ ทศแบบรว่ มพฒั นาวชิ าชพี (Cooperative professional Development) การนิเทศแบบร่วมพัฒนาวิชาชีพ จัดเป็นวิธีนิเทศการสอนแบบหนึ่งของระบบการนิเทศแบบ หลากหลายวิธีการ ของ แกลตทอน (Glatthorn, ๑๙๘๔, อ้างใน วัชรา เล่าเรียนดี ๒๕๔๕ : หน้า ๑๓๗) การ นิเทศแบบร่วมมือพัฒนาวิชาชีพเป็นกระบวนการ นิเทศที่ครูตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไป ร่วมมือร่วมใจกันปฏิบัติงาน เพื่อปรับปรุงความเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพของตนเอง โดยปกติจะมีการสังเกตการสอนกันและกันในชั้นเรียน แลกเปลย่ี นกัน ใหข้ ้อมูลย้อนกลบั จากการสังเกตการสอนกัน และอภิปรายแลกเปล่ยี นความคิดเห็นรว่ มกัน แกลตทอน (Glatthorn, ๑๙๘๔: หน้า ๔๐-๔๑) ได้กล่าวถึง ลักษณะพิเศษของการนิเทศแบบร่วม พัฒนาวิชาชีพ ดังตอ่ ไปน้ี ๑) ความสมั พันธร์ ะหว่างผู้รับการนิเทศมีความเปน็ ทางการและเป็นเรื่องของสถานศึกษาระดับหนึ่งนั่น คือ มีการดำเนินการในโรงเรียนโดยบุคลากรในโรงเรียนตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไป มีกระบวนการการทำงาน มีการ แลกเปลย่ี น การสังเกตการสอนในชัน้ เรียนกนั และกนั และมีความสมั พันธ์ฉนั ท์เพอื่ นท่ีใกลช้ ดิ กัน ๒) การจับคู่กันสังเกตการสอนอย่างน้อย ๒ ครั้ง หรือมากกว่า ๒ ครั้ง ตามความจำเป็นและมีการให้ ขอ้ มูล ยอ้ นกลบั ภายหลังการสงั เกตการสอน ๓) เนน้ ความสัมพันธร์ ะหว่างเพื่อนรว่ มงาน ถงึ แม้วา่ ผูบ้ ริหารหรอื ผู้นเิ ทศอาจจะมสี ว่ นเก่ียวข้องในการ จดั ดำเนินการและติดตามดูแลโครงการเป็นบางคร้งั หรือเขา้ สังเกตการสอนในชั้นเรียน จัดประชุมกบั อภิปราย โดยเข้าร่วม โครงการโดยตลอดก็ได้ ๔) เน้นความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ไม่มีการประเมินมาเกี่ยวข้องการนิเทศในแบบดังกล่าว เพื่อให้การ ชมเชย ผู้ปฏิบัติ ไม่ใช้ระบบการประเมินผลการปฏิบัติงานด้วยมาตรฐาน ดังนั้น ข้อมูลจากผลการสังเกตการ สอนหรือจาก การประชมุ จะไม่ควรนำไปใช้ในกระบวนการประเมินผลครูของผูบ้ ริหาร ลักษณะสำคญั ๔ ประการ ของการนเิ ทศแบบร่วมพฒั นาวชิ าชีพ เป็นลักษณะท่สี ำคัญของวธิ กี ารนิเทศ แบบ หลากหลายวิธีการ แต่อย่างไรก็ตามจากความหมายของคำว่า การนิเทศแบบร่วมพัฒนาวิชาชีพซึ่งมี ความหมายกว้างขึ้น ทำให้เกิดความหลากหลายในการปฏิบัติในการนิเทศแบบร่วมพัฒนาวิชาชีพ การนิเทศ แบบร่วมพัฒนาวิชาชีพไม่ใช่เรื่อง ใหม่แต่มีการนำไปใช้อย่างแพร่หลายตั้งแต่ปีค.ศ. ๑๙๖๘ ได้นำวิธีการนิเทศ แบบดังกล่าวไปใช้แต่คอ่ นข้างจะเปน็ ทางการ สรุปปญั หาท่เี กดิ ข้นึ แกลตทอน (Glatthorn, ๑๙๘๔ : หน้า ๘๘) คอื ครทู ี่รว่ มโครงการประสบปญั หาดา้ นเวลาในการสังเกต การสอนกนั และกัน แต่ท่สี ำคัญ

๒๒ ข้อดีของการนิเทศแบบร่วมพัฒนาวิชาชีพเกิดขึ้นกล่าว คือ ครูมีโอกาสแลกเปลี่ยนวิธีสอนซึ่งกันและ กัน ครูเกิดแรงจูงใจทางบวกเก่ียวกับการสอนของตนเอง ครูเกิดความเข้าใจในงานของเพื่อนร่วมงานมากข้ึน และ ครูเกิดความเข้าใจในตวั นกั เรียนของตนเองมากยิ่งขึน้ ๓. การนิเทศแบบเพือ่ นนิเทศเพือ่ น (Peer Coaching) การนเิ ทศแบบเพ่อื นนิเทศเพ่ือน เป็นการนเิ ทศภายในรปู แบบหน่งึ ทเ่ี นน้ การพฒั นาปรบั ปรุงการจัดการ เรยี น การสอนของครแู ละเพื่อสง่ เสรมิ ปฏสิ มั พนั ธท์ ด่ี รี ะหวา่ งครแู ละบุคลากรอนื่ ๆ ในโรงเรียน วัชรา เล่าเรียนดี (๒๕๔๕ : หน้า ๑๕๖-๑๕๘) ได้กล่าวถึงการนิเทศแบบเพื่อนนิเทศเพื่อน ว่าเป็น วิธีการที่ครแู ละ เพ่ือนครูหรือครูในสาขาอื่นหรือบคุ ลากรที่ไม่ใชบ่ ุคคลในสายผู้สอนตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไป ร่วมกัน มาปฏบิ ตั ิงานเกยี่ วกับ การพัฒนาปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนให้มปี ระสิทธภิ าพยงิ่ ข้ึน หรือร่วมกันพัฒนา โรงเรียนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จะต้องมีการวางแผนการปฏิบัติร่วมกัน มีการสังเกตการสอน วิเคราะห์การ สอน และการให้ข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) รูปแบบต่าง ๆ ของเพื่อนนิเทศเพื่อน (Peer Coaching) ได้ จำแนกการนิเทศแบบเพื่อนนิเทศเพื่อน (Peer Coaching) เป็น ๓ ประเภทซึ่งแต่ละประเภทจะมีจุดเน้นหรือ จดุ มุ่งหมายในการพัฒนาตา่ งกัน ดังนี้ ๑) Technical Coaching เป็นการนิเทศที่ช่วยและส่งเสรมิ การถ่ายโยงความรู้ทักษะและวิธีการสู่การ ปฏิบตั ิจริง ให้เกิดประสทิ ธิภาพสูงสดุ (หลังการฝึกอบรมเทคนคิ วิธีการใหม่ๆ หรือนวตั กรรมใหมๆ่ ) ๒) Collegial Coaching เป็นการนิเทศที่ช่วยให้ครูได้พัฒนาปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนของ ตนเองด้วยตัวเอง เป็นการปฏิบัตงิ านพร้อมกันระหว่างผู้นเิ ทศกับครูหรือครูกับเพื่อนครูหรือครกู ับบคุ ลากรอน่ื ๆ ในโรงเรยี น ๓) Challenge Coaching เป็นการนิเทศที่ช่วยเหลือและให้ความร่วมมือในการแก้ปัญหาการสอน ที่ เกดิ ข้นึ เสมอและยังไมไ่ ดร้ ับการแก้ไขซึ่งเปน็ งานที่ทา้ ทายความสามารถในการแก้ปญั หาของบคุ คลที่เกีย่ วข้อง ข้อดีของการเพอ่ื นนเิ ทศเพอ่ื น (Peer Coaching) ๑) ช่วยให้มีการช่วยเหลือแนะนำซึ่งกันและกันอย่างต่อเนื่องทำให้มีการปรับปรุงพัฒนาการจัดการ เรียนการสอนอย่างสมำ่ เสมอ ๒) เป็นวิธหี นึ่งทีจ่ ะช่วยใหค้ รไู ด้ปรับปรุงและพฒั นาการสอนของตนเองอย่างต่อเนื่อง ๓) เปน็ การแลกเปลี่ยนความรู้ความคดิ ทักษะวิธสี อนซงึ่ กันและกนั ๔) ส่งเสริมการทำงานรว่ มกนั ในสายเดียวกันหรือต่างสาขากนั ๕) สรา้ งเสริมสภาพแวดลอ้ มท่ีดใี นโรงเรียนสรา้ งบรรยากาศทีด่ ใี นการร่วมมือกันปฏบิ ตั งิ าน ๖) ชว่ ยใหค้ รูได้ตระหนกั ถงึ ความสำคญั และเป้าหมายในการพฒั นาการเรียนรขู้ องผ้เู รียน ๗) ช่วยเติมช่องว่างระหว่างครูด้วยกันช่วยสลายกฎแห่งความโดดเดี่ยวของครูแต่ละคน ช่วยทำให้ครู รู้สกึ ว่า ตนเองมเี พ่ือนหวั อกเดียวกันประสบปญั หาคล้ายกัน ข้อเสนอแนะในการเรมิ่ ต้นโครงการเพื่อนนิเทศเพ่ือน (Peer Coaching) ๑) เปิดโอกาสจดั เวลาใหม้ ีการสังเกตการสอนเพ่ือนรว่ มงานทั้งในโรงเรียนเดยี วกนั และโรงเรียนอ่ืนท่ีมี ชอื่ เสียงขณะเดยี วกันเปดิ โอกาสใหร้ ับการสงั เกตการสอนจากเพื่อน

๒๓ ๒) จดั ประชมุ ปฏิบตั ิการเพอื่ สำรวจจดุ เดน่ จดุ บกพร่องในการจัดการเรยี นการสอนของตนเอง ๓) ให้ความร้ทู บทวนหลักการและวิธกี ารสอนทีม่ ปี ระสิทธภิ าพหรอื วิธีท่ีจะนำมาใชท้ ดลองปฏิบตั ิ ๔) ใหก้ ารฝึกอบรมฝึกปฏิบัติทักษะที่จำเปน็ เชน่ ทกั ษะการสังเกตการสอน ๔. การนิเทศภายในแบบพัฒนาการ (Supervisory Approach in Developmental Supervision) ในการนิเทศแบบพัฒนาการน้ัน กลิคแมน และคณะ (Glickman and others, ๑๙๙๕ : หน้า ๑๓๕ - ๑๗๑) ไดก้ ำหนดวิธีการนเิ ทศหรอื พฤตกิ รรมการนิเทศ ๔ แบบ คือ ๑) วธิ ใี ห้การนิเทศแบบช้นี ำควบคุม (Directive Control Approach) เป็นพฤติกรรมการนิเทศภายใน ที่เน้น การประพฤติปฏิบัติด้วยการพูด การใช้ภาษา ท่าทางต่าง ๆ ในการให้คำแนะนำช่วยเหลือครูในการ ปรับปรุงและ พฒั นาการจดั การเรยี นการสอน ซ่งึ สามารถท่ีกระทำได้กับครเู ปน็ รายบคุ คลและเป็นกลุ่ม ๒) วิธีให้การนิเทศแบบชี้นำให้ข้อมูล (Directive Informational Approach) เป็นพฤติกรรมการ นิเทศ ภายในแบบชี้นำให้ข้อมูลมีลักษณะเช่นเดียวกันกับการนิเทศแบบชี้นำควบคุม เพียงแต่ไม่ชี้นำหรือไม่ แนะนำวิธีการ ปฏิบัติให้ครโู ดยตรง แต่ให้ข้อมูลและวิธีการหลายวิธีให้ครูได้เลือกปฏิบัติ ซึ่งผู้นิเทศควรจะตอ้ ง พยายามลดพฤติกรรมการ นิเทศแบบชี้นำควบคุมให้น้อยลง และพยายามส่งเสริมครูในการตัดสินใจมากข้ึน เรื่อย ๆ จนครูสามารถที่จะร่วมคิดร่วมปฏิบัติงานได้กับบุคคลอื่น โดยไม่ต้องอาศัยผู้นิเทศช่วยแนะนำ ตลอดเวลา ๓. วธิ ีใหก้ ารนเิ ทศแบบรว่ มมือ (Collaborative Approach) เป็นพฤติกรรมการนิเทศภายในท่ีเน้นทั้ง ผู้นิเทศและครูจะร่วมกันตัดสินใจในวิธีการแก้ปัญหาและการปฏิบัติงานตลอดเวลา ทั้งครูและผู้นิเทศจะให้ ขอ้ เสนอแนะแก่กันและกัน เพ่อื รว่ มกนั พจิ ารณาหาข้อตกลงรว่ มกนั ในการปฏบิ ัติ ๔. วิธีให้การนิเทศแบบไม่ชี้นำ (Non - directive Approach) เป็นพฤติกรรมการนิเทศภายในที่ผ็ นิเทศจะ ใช้พฤติกรรมในการพูดคุยทำงานร่วมกับครู โดยที่ครูจะเป็นผู้ที่ตัดสินใจดว้ ยตัวเอง ผู้นิเทศเป็นเพียง ผู้ช่วยใน การสนับสนุนในเรื่องต่าง ๆ ที่ครูร้องขอเท่านั้น จากแนวคิดของนักการศึกษาและและหน่วยงาน ทางการศึกษา สรุปได้ว่า เทคนิคและวิธีการนิเทศภายในโรงเรียน เป็นการกำหนดแนวทางการพัฒนางาน ร่วมกันอย่างเปน็ ระบบเพ่ือร่วมแกไ้ ขปญั หาทเี่ กิดขน้ึ โดยการมีส่วนรว่ มของผู้ทเ่ี กีย่ วขอ้ งภายใตข้ ้อตกลงรว่ มกัน นอกจากเทคนิค/วิธีการนิเทศภายในโรงเรียนที่กล่าวมาข้างต้น สถานศึกษาสามารถนำเอาเทคนิควิธี ต่าง ๆ มาปรับประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสถานศึกษาให้เหมาะสมในแต่ละบริบทของสถานศึกษาเพื่อนำมา กำหนดเป็นแนวทางการพฒั นางานรว่ มกันอยา่ งเปน็ ระบบเพือ่ ร่วมแก้ไขปญั หาทเี่ กิดข้นึ โดยการมสี ว่ นรว่ มของผู้ ทเ่ี กี่ยวขอ้ งภายใต้ข้อตกลงร่วมกนั กิจกรรมการนเิ ทศภายในโรงเรยี น กิจกรรมต่าง ๆ ที่ใช้ในการนิเทศการศกึ ษา เป็นเครื่องมือสำคัญเพือ่ สง่ เสริมและพัฒนาการปฏบิ ตั งิ าน ของครูซึ่งจะช่วยให้การดำเนินการนิเทศบรรลุเป้าหมาย กิจกรรมการนิเทศมีหลากหลาย ซึ่งผู้นิเทศสามารถ เลือกใช้ให้เหมาะสม กับจุดมุ่งหมายของการนิเทศแต่ละครั้ง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ครูและนักเรียน

๒๔ ดังนั้นผู้นิเทศจึงต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกิจกรรมการนิเทศ โดยจะขอนำเสนอกิจกรรมการนิเทศที่ สำคญั และใช้มาก ๒๓ กจิ กรรม ดังน้ี ๑) การบรรยาย (Lecturing) เป็นกิจกรรมที่เน้นการถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจของผู้นิเทศไปสู่รับ การนเิ ทศ ใชเ้ พยี งการพูดและการฟงั เทา่ นัน้ ๒) การบรรยายโดยใช้สื่อประกอบ (Visualized Lecturing) เป็นการบรรยายที่ใช้สื่อเข้ามาช่วย เช่น สไลด์แผนภูมิ แผนภาพ มัลติมเี ดยี อินโฟกราฟฟิก เป็นตน้ ซง่ึ จะช่วยให้ผฟู้ งั มคี วามสนใจมากยิ่งขึน้ ๓) การบรรยายเป็นกลุ่ม (Panel presenting) เปน็ กจิ กรรมการให้ข้อมลู เป็นกลุม่ ท่ีมีจุดเน้นที่ การให้ ขอ้ มลู ตามแนวความคิดหรือแลกเปลยี่ นความคิดเห็นซ่ึงกนั และกนั ๔) การให้ดูภาพยนตร์หรือโทรทัศน์(Viewing film and television) เป็นการใช้เครื่องมือที่สื่อทาง สายตา ไดแ้ ก่ ภาพยนตรโ์ ทรทศั น วดิ ีโอเทป เพอื่ ทำใหผ้ รู้ บั การนิเทศไดร้ บั ความรแู้ ละเกิดความสนใจมากขนึ้ ๕) การฟังคำบรรยายจากส่ือผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สอื่ สงั คมออนไลน์การถา่ ยทอดสด (Live) การ ประชุมทางไกล (Conference) ซึ่งกิจกรรมนี้เป็นการใช้วิธีการบันทึกในรูปแบบดิจิทัลเพื่อนำเสนอ แนวความคิดของ บคุ คลหนึ่งไปสูผ่ ฟู้ งั คนอน่ื ๖) การจัดนิทรรศการเกี่ยวกับวัสดุและเครื่องมือต่าง ๆ (Exhibiting materials and equipment) เป็นกิจกรรมทชี่ ว่ ยในการฝึกอบรมหรอื เป็นกิจกรรมสำหรับงานพฒั นาส่ือตา่ ง ๆ ๗) การสังเกตในชั้นเรียน (Observing in classroom) เป็นกิจกรรมที่ทำการสังเกตการปฏิบัติงานใน สถานการณ์จริงของบุคลากร เพื่อวิเคราะห์สภาพการปฏิบัติงานของบุคลากร ซึ่งจะช่วยให้ทราบจุดหรือ จุดบกพรอ่ ง ของบุคลากร เพอ่ื ใช้ในการประเมินผลการปฏิบัตงิ านและใช้ในการพัฒนาบุคลากร ๘) การสาธิต (Demonstrating) เป็นกิจกรรมการให้ความรู้ที่มุ่งให้ผู้อื่นเห็นกระบวนการและวิธีการ ดำเนนิ การ ๙) การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (Structured interviewing) เป็นกิจกรรมสัมภาษณ์ที่กำหนด จุดประสงคช์ ัดเจนเพอ่ื ใหไ้ ด้ข้อมลู ต่าง ๆ ตามต้องการ ๑๐) การสัมภาษณ์เฉพาะเรื่อง (Focused interviewing) เป็นกิจกรรมการสัมภาษณ์แบบกึ่ง โครงสรา้ ง โดยจะทำการสมั ภาษณ์เฉพาะโรงเรียนท่ีผตู้ อบมีความสามารถจะตอบได้เทา่ นั้น ๑๑) การสัมภาษณ์แบบไม่ชี้นำ (Non-directive interview) เป็นการพูดคุยและอภิปราย หรือ การ แสดง แนวความคิดของบุคคลที่สนทนาด้วย ลกั ษณะการของการสัมภาษณจ์ ะสนใจกับปัญหาและ ความสนใจ ของผูร้ บั การสัมภาษณ์ ๑๒) การอภิปราย (Discussing) เป็นกิจกรรมที่ผู้นิเทศและผูร้ ับการนิเทศปฏิบัตริ ่วมกัน ซึ่งเหมาะสม กบั กลมุ่ ขนาดเลก็ มกั ใชร้ ว่ มกับกิจกรรมอื่น ๆ ๑๓) การอา่ น (Reading) เปน็ กจิ กรรมทใี่ ชม้ ากกจิ กรรมหนึง่ สามารถใช้ไดก้ บั คนจำนวนมาก เชน่ การ อา่ น ขอ้ ความจากวารสาร มักใชร้ ว่ มกับกจิ กรรมอ่ืน ๑๔) การวิเคราะหข์ ้อมลู และการคดิ คำนวณ (Analyzing and calculating) เปน็ กิจกรรมท่ใี ช้ใน การ ติดตาม ประเมินผล การวิจยั เชิงปฏิบัตกิ ารและการควบคุมประสิทธิภาพการสอน

๒๕ ๑๕) การระดมสมอง (Brainstorming) เป็นกิจกรรรมที่เกี่ยวข้องกับการเสนอแนว ความคิดวิธีการ แก้ปัญหา หรือใช้ข้อแนะนำต่าง ๆ โดยให้สมาชิกแต่ละคนแสดงความคิดโดยเสรี ไม่มีการวิเคราะห์หรือ วิพากษ์วิจารณแ์ ตอ่ ยา่ งใด ๑๖) การบันทึกวิดีโอและการถา่ ยภาพ (Videotaping and photographing) วดิ โี อเทปเป็นเครื่องมือ ที่ แสดงให้เหน็ รายละเอียดทั้งภาพและเสียง ส่วนการถ่ายภาพมปี ระโยชน์มากในการจดั นทิ รรศการกิจกรรมนี้มี ประโยชน์ในการประเมนิ ผลงานและการประชาสมั พนั ธ์ ๑๗) การจัดทำเคร่ืองมือและแบบทดสอบ (Instrumenting and testing) กจิ กรรมนี้เกีย่ วข้องกับการ ใช้ แบบทดสอบและแบบประเมนิ ต่าง ๆ ๑๘) การประชุมกลุ่มย่อย (Buzz session) เป็นกิจกรรมการประชุมกลุ่มเพื่ออภิปรายในหัวข้อเรื่องที่ เฉพาะเจาะจง มุ่งเน้นการปฏิสมั พันธภ์ ายในกล่มุ มากทส่ี ดุ ๑๙) การจัดทัศนศึกษา (Field trip) กิจกรรมนี้เป็นการเดินทางไปสถานที่แห่งอื่น เพ่ือศึกษาดูงานท่ี สมั พนั ธ์กบั งานท่ีตนปฏิบัติ ๒๐) การเยี่ยมเยียน (Inter visiting) เป็นกิจกรรมที่บุคคลหนึ่งไปเยี่ยมและสังเกตการทำงานของอีก บคุ คลหน่ึง ๒๑) การแสดงบทบาทสมมติ (Roleplaying) เป็นกิจกรรมที่สะทอ้ นให้เหน็ ความรสู้ ึกนึกคิดของบุคคล กำหนดสถานการณข์ นึ้ แล้วให้ผู้ทำกจิ กรรมตอบสนองหรือปฏบิ ัตติ นเองไปตามธรรมชาติทค่ี วรจะเป็น ๒๒) การเขียน (Writing) เป็นกิจกรรมที่ใช้เป็นสื่อกลางในการนิเทศเกือบทุกชนิด เช่น การเขียน โครงการ นิเทศ การบันทกึ ข้อมลู การเขียนรายงาน การเขียนบันทกึ ฯลฯ ๒๓) การปฏิบตั ติ ามคำแนะนำ (Guided practice) เป็นกจิ กรรมท่เี น้นการปฏิบตั ใิ นขณะทป่ี ฏบิ ัตมิ ี การคอย ดแู ลชว่ ยเหลอื มกั ใช้กบั รายบุคคล จากการทผี่ ู้จัดทำไดร้ วบรวม และสรุปรปู แบบของกิจกรรมการนิเทศภายในโรงเรียน ตามรายละเอียด ขา้ งต้นแลว้ ตน้ แลว้ นั้น ผจู้ ดั ทำขออธิบาย ขยายความเพมิ่ เตมิ ในรูปแบบกจิ กรรมการนิเทศภายในโรงเรยี น ท่ีสำนักงานศึกษาธิการจังหวดั สงิ ห์บุรี จะนำมาใช้ในการขับเคล่อื นการพัฒนาในโรงเรยี นกลมุ่ เป้าหมาย มดี งั นี้ ๑. กิจกรรมการสังเกตการสอน การสังเกตการสอน : เปน็ กจิ กรรมท่ผี ู้นิเทศดำเนนิ การสงั เกตการสอนครผู ู้สอนซึ่งเป็นผู้รับการนิเทศใน ห้องเรียน มีจุดมุ่งหมายเพื่อติดตาม ตรวจสอบและประเมินพฤติกรรมการสอนของครูในห้องเรียน การ ดำเนินการเป็นการสังเกตพฤติกรรมระหว่างพฤติกรรมการสอนของครูผู้สอนและการเรียนของนักเรียนเพื่อ สรุปสภาพปัจจุบนั ปญั หาเพือ่ ปรบั ปรงุ แก้ไข และหรือค้นหาแบบอย่างการสอนและพัฒนาการสอน โดยอาจจะ ทำได้หลายลักษณะ เช่น การเขาไปสังเกตการสอนของครูโดยตรง ประกอบการรายงานของนักเรียนและ เอกสารอื่นๆได้แก่ การบันทึกการสอนของครู เป็นต้น ซึ่งการสังเกตการสอนแบ่งออกเป็น การสังเกตการสอน แบบเป็นทางการ และการสงั เกตการสอนแบบไมเ่ ป็นทางการ ๑.๑ การสงั เกตการสอนอยา่ งเปน็ ทางการ ประกอบมแี นวดำเนินการโดยสรุป ดงั นี้ ๑.๑.๑ หลกั การดำเนนิ การสังเกตอย่างเปน็ ทางการ ประกอบดว้ ย

๒๖ ๑) การกำหนดจดุ มงุ่ หมายจดุ ม่งุ หมายของการนเิ ทศ ๒) การทำใหจ้ ดุ มงุ่ หมายเป็นทย่ี อมรบั ของบุคคลท่เี กีย่ วข้อง ๓) การกำหนดเวลาในการนเิ ทศ ๔) การเลอื กเครื่องมอื ๕) การทบทวนการดำเนนิ การนเิ ทศการสอน ๖) ย้ำกับครูผสู้ อนท่จี ะเข้าสังเกตการสอน ๗) ตดั สนิ ใจเกี่ยวกับกิจกรรม ท่จี ะใชต้ ิดตามประเมินผล กำหนดเวลาและจุดมุ่งหมายไว้ ล่วงหน้า ๑.๑.๒ การดำเนินการสงั เกตการสอนอยา่ งเปน็ ทางการ ประกอบดว้ ย ๑) การเข้าห้องเรียนเพื่อสังเกตการสอนของผู้นิเทศ : ผู้นิเทศควรเข้าห้องเรียนตาม กำหนดเวลาตามปฏทิ ินการนเิ ทศ เลอื กตำแหน่งน่งั ทำให้ไดย้ ินไดฟ้ ังเสยี งทวั่ ห้องเรียน เตรียมเครอื่ งมือนเิ ทศให้ พร้อม โดยเขา้ ไปในหอ้ งลว่ งหน้า สร้างความค้นุ เคยกบั ครผู ู้สอนและนกั เรยี นตามสภาพจรงิ ของการเรยี นปกติ ๒) การใชเ้ ครอ่ื งมอื เพอ่ื การจดบันทกึ การสอน : เปน็ เครื่องมือทจ่ี ดั ทำล่วงหน้า สอดคลอ้ งกบั จดุ มุ่งหมายการนิเทศ และครูผสู้ อนรบั ทราบลว่ งหน้า ใช้เครือ่ งมือประกอบการสงั เกตพฤติกรรมการสอนและ พฤตกิ รรมการเรียนของนกั เรียนโดยเกบ็ ขอ้ มลู ตามภาวะปกติโดยไม่ไปสอดแทรกรบกวนการเรียนการสอนปกติ ในช้ันเรียน ๓) ระยะเวลาของกำรสังเกต: ใชเ้ วลาในแต่ละครั้งระหว่าง ๒๐-๔๐ นาที โดยผนู้ ิเทศจะต้อง ทำการสังเกตในหลายๆครั้ง โดยจะต้องใช้เครื่องมือนิเทศเพื่อกำรจดบันทึกการสอน ทุกครั้ง และจะต้อง ดำเนินการสงั เกตหลายครัง้ เพ่ือหาขอ้ มลู ทเ่ี พียงพอในการตัดสินใจสรุปผลการนเิ ทศ ๑.๒ การสังเกตการสอนอย่างไม่เป็นทางการ เป็นกิจกรรมการสังเกตการสอนแบบไม่เป็นทางการ คือ ถือโอกาสผ่านไปเยี่ยมเยียนขณะครูกำลังสอนอยู่ หรือจะจัดอย่างเตรียมความพร้อมล่วงหน้า เช่น ให้ ครผู ้สู อนทราบล่วงหน้าพรอ้ มกับมีแบบสงั เกตกไ็ ด้ สรุปไดว้ ่า การสังเกตการสอน เปน็ การสงั เกตพฤติกรรมระหว่างพฤตกิ รรมการสอนของครแู ละการ เรียนของนักเรียน โดยสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นระบบ คือ การใช้เครื่องมือ การสังเกต และการเก็บ รวบรวมข้อมูลที่สงั เกตการสอนได้ ขั้นตอนการสังเกตการสอนมี ๓ ขั้นตอน คือ การเตรียมการก่อนการสงั เกต การสงั เกตในหอ้ งเรยี น และการติดตามผลหลังสอน นอกจากน้ี ผูน้ ิเทศซง่ึ เป็นผ้บู ริหารสถานศกึ ษากส็ ามารถใช้ การเย่ยี มช้ันเรียนอย่างไมเ่ ปน็ ทางการ เพ่ือสร้างขวัญและกำลังใจใหค้ รผู ู้สอน ๒. กิจกรรมการเยย่ี มช้นั เรยี น การเยย่ี มชน้ั เรียน หมายถงึ การทผ่ี ้นู เิ ทศไปพบและสงั เกตการทำงานของครใู นชัน้ เรยี น เพือ่ รว่ มกนั พฒั นาการทำงานใหม้ ีคณุ ภาพ วตั ถปุ ระสงค์ ๑) เพอ่ื สำรวจความต้องการของครู ๒) เพือ่ ศึกษาปญั หาของครูในสถานศึกษา

๒๗ ๓) เพื่อประเมนิ ผลการสอนของครู ๔) เพอื่ กระตุ้นให้ครูปรบั ปรุงการจดั การเรียนรู้ ๕) เพือ่ ใหค้ ำปรึกษาแนะนำแกค่ รู รายละเอยี ดข้นั ตอนการนิเทศแบบเยี่ยมช้ันเรยี น ข้ันที่ ๑ สร้างข้อตกลงในการนิเทศเยี่ยมช้นั เรยี น มีขนั้ ตอน ดังน้ี ๑. พบปะสนทนา สร้างความคุ้นเคยและสร้างเจตคติทีด่ ใี นการนิเทศแก่ ครู ๒. วางแผนการนเิ ทศเย่ยี มชั้นเรยี น รว่ มกบั ครูในเรอื่ งต่าง ๆ ดังนี้ ๒.๑ กำหนดการนิเทศเย่ยี มชน้ั เรยี น ๒.๒ กำหนดจุดมงุ่ หมายในการนิเทศเย่ียมช้นั เรียน ๒.๓ กำหนดที่จะนเิ ทศตามความตอ้ งการ/จำเปน็ ดงั นี้ ๑) การจัดทำเอกสารและงานธุรการประจำห้องเรยี น ๒) การจดั ห้องเรยี นและบรรยากาศในหอ้ งเรยี น ๓) การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ ฯลฯ ๒.๔ กำหนดวิธกี ารนเิ ทศ ดังนี้ ๑) สำรวจปัญหาและความต้องการของครู ๒) สอบถามการปฏบิ ัตงิ านของครู ๓) ให้คำปรกึ ษาแนะนำ ๔) สังเกตการสอน ฯลฯ ข้นั ที่ ๒ ปฏิบัติการนิเทศเย่ยี มชน้ั เรยี น ตำมขอ้ ตกลงทกี่ ำหนดรว่ มกนั กบั ครู ดังนี้ ๑. เข้านเิ ทศเยีย่ มช้นั เรยี นตรงตามเวลาท่กี ำหนด ๒. ใหค้ วามเป็นกันเอง เพื่อสร้างเจตคตทิ ี่ดีแก่ครู ขัน้ ที่ ๓ วิเคราะหผ์ ลการนิเทศเยย่ี มชัน้ เรียน มีขั้นตอน ดงั นี้ ๑. วิเคราะหผ์ ลการนิเทศเยี่ยมชั้นเรยี นรว่ มกับครู ๒. สรุปผลการนเิ ทศเยี่ยมช้นั เรยี น ๓. ใหค้ ำปรึกษาแนะนำ ขน้ั ที่ ๔ ปรบั ปรุงการทำงาน ครนู ำผลการนิเทศเยี่ยมชั้นเรยี น มาปรบั ปรุงแก้ไขคำถามและการระดมสมองไดอ้ ย่างมปี ระสิทธภิ าพ

๒๘ ข้ันตอนการนิเทศแบบนิเทศชั้นเรยี น สร้างข้อตกลงในการเยยี่ มช้นั เรียน ปรบั ปรงุ การทำงาน เย่ยี มนเิ ทศช้ันเรยี น วิเคราะหผ์ ลการเยย่ี มนเิ ทศช้ันเรยี น แบบบันทึกนิเทศแบบเยย่ี มนิเทศช้ันเรียน โรงเรยี น.................................................................................................... ................... อำเภอ............................ ชื่อผ้นู ิเทศ............................................................ชื่อผ้รู บั การนิเทศ..................................................................... รายวชิ า...............................................................ระดับชนั้ ................................................................................... วนั /เดือน/ปี วเิ คราะห์ผล สรุปผล ใหค้ ำปรึกษาแนะนำ การเยยี่ มนิเทศช้ันเรยี น การเย่ียมนิเทศช้ันเรยี น ๓. กิจกรรมการให้ปรกึ ษาแนะนำ ความหมาย การใหค้ ำปรกึ ษาแนะนำ เป็นการพบปะกันระหว่างผนู้ ิเทศกับผรู้ ับการนิเทศซ่ึงอาจกระทำได้หลายวธิ ี แต่ในทนี่ ีข่ อเสนอเทคนิคการนิเทศแบบ โคชช่งิ (Coaching Techniques) ซ่ึงเป็นวธิ กี ารพัฒนาบุคลากรอย่างมี แบบแผน โดยกระทำ ณ จุดปฏบิ ตั ิงาน วตั ถุประสงค์ เพื่อช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานก้าวหน้าไปถึงจุดหมายปลายทางได้ เช่น ความก้าวหน้าทางวิชาชีพ ความสามารถที่จะรบั ผดิ ชอบงานในหน้าท่สี ูงขนึ้ (เช่น ในกรณีแต่งตั้งเปน็ ผู้นิเทศ) หรือ เปน็ ที่ยอมรับของเพื่อน รว่ มงามากข้ึน

๒๙ วธิ ีการใหค้ ำปรึกษาแนะนำ การให้คำปรึกษาแนะนำมี ๒ วิธี คือ วธิ ีท่ี ๑ การใหค้ ำปรกึ ษาแนะนำแบบไม่เปน็ ทางการ เปน็ กำรใหค้ ำปรกึ ษาแนะนำโดยใช้เวลาว่างพดู คุยกนั เช่น ตอนรบั ประทานอาหาร กลางวนั ซงึ่ วธิ นี ้ีผู้นเิ ทศสามารถให้ความช่วยเหลือผรู้ ับการนเิ ทศได้ ๓ ลกั ษณะ คอื ๑.๑ บอกวิธแี ก้ปญั หาโดยตรง ๑.๒ เสนอขอ้ มูลและให้โอกาสผรู้ บั การนิเทศวิเคราะห์ปญั หาเอง ๑.๓ แบบผสมผสาน ท้ังลักษณะที่ ๑ และ ๒ ข้นั ตอนการนิเทศ ๑) รับรปู้ ญั หา ๒) วเิ คราะหป์ ญั หา ๓) แก้ไขปญั หา โดยเลอื กวิธลี กั ษณะใดลักษณะหนงึ่ ข้างตน้ นี้ วธิ ที ่ี ๒ การให้คำปรึกษาแบบเป็นทางการ การใหค้ ำปรึกษาแบบเปน็ ทางการใชข้ ั้นตอนการนเิ ทศแบบ Coaching Techniques เขียนเปน็ สญั ลักษณ์ คอื CQCD ซ่ึงย่อมาจากคำตอ่ ไปน้ี C - Compliment (ชมเชย) Q – Question (สอบถาม) C – Correct (แก้ไข) D – Demonstrate (สาธติ ) แผนภูมิการให้คำปรึกษาแบบเป็นทางการ ชมเชย สาธติ สอบถาม แก้ไข

๓๐ รายละเอียดขัน้ ตอนการนเิ ทศแบบกำรให้คำปรึกษาแนะนำ ขั้นท่ี ๑ ชมเชย C - Compliment C - Compliment หมายถึง การสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างผู้ที่ทำหน้าที่เป็น Coach และผู้ให้ คำแนะนำ ซึ่งเป็นสัมพันธภาพที่สร้างความไว้วางใจความสบายใจ ยินดีร่วมในแนวทางของ Coaching Techniques นับเปน็ บทบาทสำคญั ของ Coach ท่ีจะตอ้ งดำเนินการ ดงั นนั้ ควรดำเนินการ ดงั น้ี ๑. ศึกษาข้อมูลของผู้ที่รับการแนะนำ เช่น จุดเด่น ผลงานเด่น ความชอบ อัธยาศัย จุดอ่อน จดุ ทีต่ ้องปรบั ปรุง ข้อมลู ต่าง ๆ ควรบันทึก ไว้อย่างเปน็ ระบบมีความเหมาะสม ๒. นำข้อมูลมาเป็นแนวทางในการสร้างสัมพันธภาพ ได้แก่ การชมเชย หรือการสร้าง บรรยากาศ เพ่อื การเชอ่ื มโยงไปสูข่ นั้ ตอ่ ไป เมื่อมีใครคนหนึ่งกำลังรับการนิเทศ เขาอาจรู้สึกว่าเขาถูกวิพากษ์วิจารณ์ เขาจึงพยายามหา ขอ้ แกต้ ัวต่าง ๆ และพยายามสร้าง “กำแพงใจ” มาขวางกนั้ การตดิ ต่อสื่อสารระหว่างเขากับผู้นิเทศ แต่เมื่อเร่ิม การสนทนาด้วยการชมเชย ยกย่องผลงานที่ดขี องเขาก่อน (ด้วยความบริสุทธิ์ใจ) เขาก็จะ “ปลดอาวุธตนเอง” ขอ้ แก้ตวั ของเขาก็จะถูกเก็บเอาไว้ และ “กำแพงใจ” จะเปิดออก แลว้ เขาก็พรอ้ มที่จะรบั ฟัง ขนั้ ท่ี ๒ สอบถาม Q - Question Q - Question หมายถึง การถาม ซึ่งเน้นการถามในเชิงขอความคิดเห็นไม่ให้ผู้ตอบจนมุมหรือเกิด ความไม่สบายใจที่จะตอบคำถาม ซึ่งผู้เป็น Coach อาจจะใช้ความเหมาะสมของผู้รับคำแนะนำและสภาพ ปัญหา เช่น o คุณคดิ ว่าผมจะชว่ ยอะไรได้บ้าง o คุณคดิ ว่ามวี ธิ ีการอะไรบ้างทแ่ี ก้ปัญหาน้ี o คุณคิดว่าถ้าใชว้ ิธีการนแี้ ลว้ จะเกิดอะไรขึน้ o ทุกอย่างจะตอ้ งมขี อ้ ดแี ละข้อจำกดั คณุ คิดว่าวิธนี อี้ ะไรคอื ขอ้ ดีอะไรคือข้อจำกัด o คณุ คดิ ว่าขอ้ จำกัดนน้ั ๆ จะมที างแกไ้ ขหรือควรทำอย่างไรหรือ จะหาทางออกอย่างไร ในสภาวะ หรอื ในสภาพเช่นนี้ o คุณคิดว่าถ้าคุณจะพฒั นางานใหด้ ยี ิง่ ข้นึ มอี ะไรบ้างทเี่ ราควรทำ o ท่ีคุณคดิ ว่า “ไม่ดี, ยังไมด่ ี คอื อะไรบ้าง” “คุณคิดว่า มีอะไรบ้างท่คี ุณต้องการเสรมิ เพ่ิมเติม” ในขั้นที่แล้วมา แม้ว่าจะได้คำชมเชยแก่เขาไปบ้างแล้ว บางทีความคิดต่อต้านอาจเกิดขึ้นได้อีกอย่าง งา่ ยดายหรอื กระทำในเชงิ วจิ ารณ์ หรือเสนอแนะเร็วข้ึน การถามในขัน้ นี้ ทำใหผ้ ู้รบั การนเิ ทศมีความม่ันใจว่า ผนู้ เิ ทศยนิ ดรี ับฟงั เหตผุ ลของเขา และเขารสู้ กึ ว่า ผู้นิเทศต้องการมาให้ความช่วยเหลือ มีจิตใจเปิดกว้างและการสื่อสารเป็นแบบคู่ปรึกษามากกว่าแบบเจ้านาย กบั ลูกนอ้ ง

๓๑ ขอ้ ควรระวัง ก็คือ อย่าถามให้เขารสู้ กึ วา่ เป็นการจับผิด ขนั้ ท่ี ๓ แกไ้ ข C - Correct C - Correct หมายถงึ การเสนอแนะแนวทางแก้ไข ในข้นั ตอนนีผ้ ูเ้ ปน็ Coach ควรให้ความสำคัญ ในข้นั ตอนทีส่ บื เนื่องจากขน้ั Question นำคำตอบของผ้รู ับคำแนะนำมาวเิ คราะหแ์ ละนำเสนอในส่วน ที่ยังบกพร่อง และสังเคราะห์เป็นแนวการปฏบิ ัตหิ รือการพัฒนางานในลักษณะแลกเปลี่ยนเรียนรู้รว่ มกัน และ ในขนั้ ตอนน้ีควรกำหนดบทบาทในการปฏบิ ัติแต่ละเร่อื งชดั เจน เมื่อผ่านมา ๒ ขั้นตอนแล้ว ผู้นิเทศก็มาถงึ ขั้นที่จะเสนอแนะแนวทางปรับปรงุ แก้ไขข้อบกพรอ่ งต่างๆ ได้ เพราะมีความเข้าใจทด่ี ีตอ่ กัน ขั้นที่ ๔ สาธติ D - Demonstrate D - Demonstrate หมายถงึ การนำขอ้ เสนอหรือแนวทางทตี่ กลงกันไวใ้ นขน้ั ตอนของ C - Correct หรอื แผนการใช้นวัตกรรม ซง่ึ ผู้รับคำแนะนำเปน็ ผูป้ ฏบิ ัติ ผู้เป็น Coach เปน็ ผูแ้ นะนำอยา่ งใกลช้ ิด บางครง้ั Coach อาจต้องสาธติ **ดังน้ัน การนิเทศแบบ Coaching Techniques ประสบผลสสำเร็จได้เป็นอยา่ งดี ก็ขนึ้ อยู่กบั ๑. ผเู้ ป็น Coach ตอ้ งเป็นผู้เชย่ี วชาญ และเป็นผ้ทู ี่ผู้รับคำแนะนำยอมรับ ๒. มคี วามเหมาะสมกบั การสอนแนะเปน็ รายบุคคลหรือกลุ่มย่อย ใช้ได้กบั บคุ คลทุกกลมุ่ ทั้งการ พัฒนาศึกษานิเทศก์ พัฒนาผู้บริหารและพัฒนาครูบางครัง้ การอธิบายตามขั้นตอนท่ี ๓ อาจไม่ชัดเจนเพียงพอ จงึ อาจสาธติ หรอื ยกตัวอยา่ ง ยกเหตกุ ารณ์ มาแสดงใหเ้ ห็นจริง การนิเทศแบบ Coaching สามารถนำไปใช้นิเทศได้ทั้งงานวิชาการและงานอื่น ๆ อีก ๓ งาน ได้เป็น อย่างดี เมอ่ื ผ้นู เิ ทศ ให้คำปรกึ ษาแนะนำผรู้ ับการนิเทศเสร็จแลว้ จึงบนั ทกึ ลงในแบบบนั ทึกการให้คำปรกึ ษา แนะนำ ดงั น้ี แบบบันทึกการให้คำปรึกษาแนะนำ โรงเรยี น.................................................................................................... ................... อำเภอ............................ ช่ือผ้นู เิ ทศ............................................................ชื่อผ้รู ับการนเิ ทศ..................................................................... รายวชิ า...............................................................ระดบั ช้ัน................................................................................... วัน/เดือน/ปี เร่อื งท่ีให้คำแนะนำ รายละเอียดการให้ ผรู้ ับการนเิ ทศ ปรึกษา คำปรกึ ษาแนะนำ ลงชอื่ ...................................................ผู้นเิ ทศ (...............................................................) ตำแหนง่ ...........................................................

๓๒ ๔. กิจกรรมการสนทนาทางวิชาการ ความหมาย การสนทนาทางวชิ าการ หมายถึง การประชมุ ครูหรือกลุ่มผู้สนใจเร่ืองราวขา่ วสารเดียวกัน โดย กำหนดให้ ผนู้ ำสนทนาคนหนึ่ง นำสนทนาในเร่อื งทีก่ ลุ่มสนใจ วตั ถปุ ระสงค์ ๑. เพ่อื เพิ่มพนู ความร้คู วามเข้าใจแนวทางการปฏบิ ตั ิงาน เทคนิค วิธีการแก่คณะครใู นโรงเรียน ๒. เพื่อพฒั นาบุคลากรในโรงเรียน รายละเอยี ดขนั้ ตอนการนเิ ทศแบบสนทนาทางวชิ าการ ขน้ั ท่ี ๑ ศึกษาปัญหา ขน้ั ศึกษาปัญหามวี ธิ กี าร คอื สำรวจปญั หา ความตอ้ งการในเรือ่ งราวที่มีความสนใจรว่ มกนั หรอื เปน็ ปัญหารว่ มกัน เช่น เร่อื งการสอนภาษาไทยแบบบูรณาการ เร่อื งการจดั การเรยี นรู้ทกั ษะกระบวนการ คิด เปน็ ต้น ลำดบั เร่ืองทใ่ี ชส้ นทนาทางวิชาการตามความสำคัญ ความจำเป็นและความเหมาะสม ขั้นที่ ๒ เลือกผูน้ ำสนทนาทางวิชาการ ขน้ั การเลอื กผู้นำทางวิชาการ มีวิธกี าร ดังน้ี ๒.๑ เลือกบุคคลใดบุคคลหนึ่งในโรงเรยี น ที่เห็นว่ามีความสามารถเปน็ ผนู้ ำสนทนาทางวิชาการได้ โดยผู้นำจะต้องเป็นผู้มีความร้คู วามเข้าใจเรื่องทจี่ ะสนทนาไดอ้ ย่างลึกซงึ้ กว่าผูอ้ ่ืน ๒.๒ เลอื กบุคคลภายนอก หากเหน็ ว่า เรอ่ื งที่จะสนทนาน้ันคอ่ นข้างยากคณะครใู นโรงเรยี นยงั ไมม่ ี ความรคู้ วามเข้าใจและความชำนาญเพียงพอ ๒.๓ ผู้นำทางวิชาการ ควรหมุนเวยี นกันไป ไม่ควรเปน็ ผเู้ ดียวซำ้ ตลอดปี ๒.๔ ประสำนงำนกบั ผนู้ ำสนทนาทางวิชาการ ท้ังในหรือนอกโรงเรยี นโดยแจ้งวตั ถุประสงค์ให้ เขา้ ใจตรงกัน ขั้นที่ ๓ ปฏิบัติการ ขน้ั ปฏบิ ัตกิ าร มขี ัน้ ตอน ดังน้ี ๓.๑ กำหนดการสนทนาทางวชิ าการในช่วงหลงั รับประทานอาหารกลางวนั หรือชว่ งว่างตอนใด ตอนหนงึ่ ทเี่ หน็ ว่าเหมาะสม โดยอาจกำหนดเป็นรายสปั ดาหห์ รอื รายเดอื นตามความตอ้ งการและทำปฏทิ ินไวใ้ ห้ ชัดเจน ๓.๒ กำหนดเวลาสนทนาครง้ั ละ ๓๐ - ๔๕ นาที ขัน้ ที่ ๔ การประเมินผล ขนั้ การประเมนิ ผล มขี ้ันตอน ดังนี้ ๔.๑ สงั เกต สอบถามและบนั ทึก ความสนใจและความเขา้ ใจของผรู้ ว่ มสนทนาทางวชิ าการ แล้ว นำมาเป็นข้อมลู เพ่ือใช้ประโยชนใ์ นการจดั ดำเนนิ การตอ่ ไป ๔.๒ สังเกตการพฒั นาตนเองและการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมการจดั การเรยี นรู้ของครู

๓๓ ๕. กิจกรรมการประชุมเพื่อปรกึ ษาหารอื เป็นกจิ กรรมการประชมุ ร่วมกันระหว่างผู้นเิ ทศและครูผู้สอน โดยได้ดำเนินการวางแผนและกำหนด ปฏทิ ินไว้ล่วงหน้า กำหนดช่วงเวลาและสถานทป่ี ระชุมไว้อย่างชดั เจน วิธกี ารประชุมจะเรม่ิ ตน้ ด้วยการประชุม ร่วมกันระหว่างครผู ู้สอนและคณะผูน้ ิเทศ ซึ่งการดำเนินการประชุมจะสิ้นสุดด้วยการที่ผู้นเิ ทศตดั สินใจร่วมกัน กับครูผู้สอนในการกำหนดแนวทางในการพัฒนาและปรับปรุงการเรียนการสอน ซึ่งคณะผู้นิเทศจะต้องใช้ ทกั ษะต่าง ๆในการดำเนนิ การประชุมตามลำดบั ต่อเน่ืองโดยสรุปประกอบดว้ ย ๘ ข้นั ตอน ดงั น้ี (สุทธนู ศรีไสย์. ๒๕๔๕. หน้า ๑๑๗-๑๒๐) ๕.๑ การฟงั (Listening) : คณะผู้นิเทศรว่ มกันฟงั แล้วพิจารณาปญั หาของครูผู้สอนแต่ละคนโดยให้ครู อธบิ ายใหฟ้ ัง ผู้นเิ ทศจะเริ่มตน้ ดว้ ย การสังเกต เก็บรวบรวมข้อมูลที่ได้จากคำบอกเล่าของครูผู้สอน และสภาพ จริงของการปฏิบัติงานจากนั้นสะท้อนคำพูดกลับให้ครูผู้สอนรับทราบว่า ผู้นิเทศเข้าใจปัญหาแล้วแค่ไหน เพยี งไร ๕.๒ การทำให้กระจ่าง (Clarifying) : ถ้าในขณะฟังผู้นิเทศยังไม่เข้าใจถ่องแท้ในปัญหาใดๆของครูแต่ ละคนผู้นิเทศจะต้องกระตุ้นครูผู้สอนให้เล่าหรืออธิบายรายละเอียดของพฤติกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ ประเด็นปัญหาเพิ่มเติมตามที่ต้องการโดยการใช้คำถามง่ายๆ เช่น “คุณคิดว่าปัญหานี้เป็นอย่างไร และทำไม คณุ คิดเช่นน้ัน” ๕.๓ การฟัง (Listening) : ผู้นิเทศฟงั ทศั นะครูผู้สอน โดยการรวบรวมขอ้ มูลให้ไดม้ ากท่สี ดุ ในช่วงเวลา จำกัดทมี่ อี ยู่ และต้องต้ังใจฟงั ครูอธิบายอยา่ งละเอียดรอบคอบ พร้อมทัง้ แสดงสหี น้าท่าทาง เปน็ การแสดงการ กระตนุ้ และสนบั สนุนใหค้ รูพดู อย่างต่อเน่ือง เพอื่ ใหไ้ ด้รับข้อมลู เพิ่มเติมมากเท่าท่ีจะสามารถทำได้ ๕.๔ การแก้ปัญหา (Problem Solving) : ผูน้ เิ ทศพจิ ารณาแนวทางการแก้ไขปญั หาท่ีดีทส่ี ดุ ซ่งึ จะต้อง เปน็ แนวทางทใี่ ห้ผลกระทบด้านจิตใจแก่ครผู สู้ อนน้อยทส่ี ดุ คำถามท่ใี ชอ้ าจเป็น “คุณคดิ ว่าจะมีวิธีการใดบ้างท่ี สามารถแก้ไขปัญหาน้ีได้” หลังจากนน้ั ผูน้ เิ ทศจะต้องเสนอแนะให้ครูผู้สอนได้เลือกแนวทางใดแนวทางหน่ึงใช้ ปฏิบตั สิ ำหรับการแกไ้ ขปญั หานัน้ ๕.๕ การให้คำแนะนำ (Directing) โดยการบอก (Telling) สิ่งที่คาดหวังและต้องการให้เกิดแก่ ครูผู้สอนโดยอาจกล่าวว่า “ผม (ฉัน) ต้องการเห็นคุณทำในสิ่งต่อไปนี้” ซึ่งคำกล่าวนี้ จะเป็นสิ่งสำคัญมาก สำหรับการนิเทศทางตรง ๕.๖ การทำให้กระจ่าง (Clarifying) : โดยการถามครูผู้สอนเกี่ยวกับแนวคิดที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ตลอดจนรายละเอียดและวธิ กี ารต่าง ๆ ทจ่ี ะใช้ในการปรบั ปรุงการสอน ผู้นิเทศ ควรทีจ่ ะแจง้ ให้ครูผู้สอนทราบ ทุกครั้งก่อนที่จะลงมือแกไ้ ขหรือก่อนท่ีจะส้ินสุดการประชุมระหว่าง ผู้นิเทศกับครูผู้สอนในแต่ละคร้ัง กล่าวคอื เมื่อผู้เสนอวิธีการแก้ปัญหาแก่ผู้สอนแล้วครูผู้สอนไม่เห็นด้วย หรือมีพฤติกรรมที่แสดงว่าไม่ยอมรับ ผู้นิเทศ จะตอ้ งจัดการปรับแก้วิธีการให้เหมาะสม จนเปน็ เป็นยอมรับครูผู้สอนและยดึ หลักการท่ีถูกต้องมีประสิทธิภาพ และสามารถนำไปใช้ได้ง่ายสะดวกตามสภาพการปฏิบัติงานจริง โดยการใช้คำถาม เช่น “จงบอกดิฉันมาซิว่า คุณต้องการให้ปรับปรุง….หรือตัด…ออกไป” หรือ “ดิฉันจะช่วยคุณปรับแผนการจดั การเรียนรู้อย่างไรได้บ้าง” เปน็ ตน้

๓๔ ๕.๗ การกำหนดมาตรฐาน (Standardizing) : เป็นการพิจารณาปรับรายละเอียดของแนวทางแก้ไข ปญั หาสำหรับครูผูส้ อนให้เกิดความสมบรู ณ์ เพอื่ ให้สามารถนำไปใชไ้ ด้จริง อย่างมีประสทิ ธภิ าพมากท่ีสุด ๕.๘ การเสริมแรงหรือการให้กำลังใจ (Reinforcing) : ผู้นิเทศควรจะทบทวนแนวทางแก้ปัญหา กำหนดเวลาต่างๆ ของแต่ละกิจกรรมที่มอบหมายให้ครูผู้สอนได้ปฏิบัติที่ได้ดำเนินการตามข้อตกลงมาแล้ว อย่างสม่ำเสมอเพื่อตรวจสอบความก้าวหน้าของงานที่ครูผู้สอนได้ดำเนินการ/ปฏิบัติไปแล้ว เพื่อส่งเสริม กระตุ้นใหเ้ กิดการกระทำซ้ำในกิจกรรมท่ีคาดหวังใหเ้ กดิ ข้ึน และมกี ารชมเชยเม่ือทำไดต้ ามแผนทว่ี างแผน และ กระตุ้นให้กำลังในการปฏิบัติกิจกรรมที่ยังไม่ได้ปฏิบัติ หรือปฏิบัติแล้วให้ดำเนินการต่อเนื่องอย่างมี ประสทิ ธภิ าพต่อไป โดยใชค้ ำถาม เชน่ “คณุ เข้าใจในส่ิงท่คี ณุ ได้ดำเนนิ การไปแล้วเพยี งไร” หรอื “ จงบอกดิฉัน มาซิว่าคุณได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง” เปน็ ต้น สรุปได้ว่า การศึกษาด้วยตนเอง การสังเกตการสอน และการประชุมเพื่อปรึกษาหารือเป็นกิจกรรม การนเิ ทศภายในโรงเรียนท่ีสามารถนำมาใช้ตามสภาพการปฏิบัตงิ านจริงของโรงเรยี นอย่างมีประสิทธภิ าพและ ประสิทธผิ ลได้ เทคนคิ สำหรับใชป้ ระกอบการดำเนินการนิเทศภายใน ผู้นิเทศจะสามารถดำเนินการนิเทศภายในโรงเรียนได้ผลดีนั้น จะต้องพัฒนาตนเองเกี่ยวกับเทคนิค ต่างๆเพ่อื นำไปใชเ้ ปน็ แนวทางดำเนนิ การนิเทศโดยสรุป ดังน้ี เทคนิคการบรรยาย : มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาพฤติกรรมผู้รับการนิเทศด้านความรู้ผู้นิเทศจะมี บทบาทมากที่สุด เน้นเนื้อหาสาระวิชาต่างๆ ที่จำเป็นสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายการนิเทศสอดคล้องกับความ ต้องการและความสนใจของผู้รับการนิเทศ สามารถใช้กับคนจำนวนมาก ซึ่งการบรรยายจะต้องกำหนดกรอบ เนือ้ หาสาระและเวลาแนน่ อน และการดำเนนิ การบรรยายนิยมใช้โสตทศั นูปกรณ์ประกอบช่วย เชน่ แผน่ ใส สื่อ โปรแกรมสำเร็จรูป (Power Point) เป็นต้น การบรรยายจะนำไปสอดแทรกในกิจกรรมการนิเทศอื่นๆ ได้แก่ การประชุมสัมมนา เป็นต้น การดำเนินการบรรยายให้ประสบความสำเร็จได้ ผู้นิเทศจะต้องเตรียมเนื้อหาเป็น อย่างดี และในระหว่างการดำเนินการบรรยายมเี ทคนคิ ดงั น้ี ๑. ควรเตรียมเนอ้ื หาทจ่ี ะบรรยายมาแล้วอย่างดี ๒. ควรใช้น้ำเสียงและท่าทางทเี่ รา้ ใจ ๓. ควรตง้ั คำถามระหว่างการบรรยาย ๔. ควรมีการเขียนกระดานและหรอื แผน่ ใสระหว่างการบรรยาย ๕. ควรใชส้ ่อื และอุปกรณก์ ารสอนช่วย ๖. ควรเปดิ โอกาสใหซ้ กั ถามสิ่งทีไ่ ม่เข้าใจ ๗. ควรจะได้สรปุ บทบรรยาย เทคนิคการอภิปราย : มีจุดมุ่งหมายเพือ่ เปิดโอกาสให้ผูร้ ับการนิเทศได้แสดง ความคิดเห็นตามสาระ การเรียนรู้ทีไ่ ด้จากการอ่าน การฝึกอบรมหรือการประชุมสัมมนา การดำเนินการโดยผู้นเิ ทศเปิดโอกาสให้ผูร้ ับ การนิเทศได้แสดงความคิดเห็นตามกรอบหัวข้อที่กำหนดไว้ ภายใต้การดำเนินการอภิปรายของผู้นิเทศ การ

๓๕ แสดงความเห็นคิดไม่ใช่การตอบคำถาม จึงไม่จำเป็นต้องผิดหรือถูก มักเป็นข้อสรุปที่เป็นการวางแนวทางจาก สิง่ ทีไ่ ดจ้ ากความคิดเห็น เปน็ การแสดงถึงกระบวนการความคิดการให้เหตผุ ล และจะต้องให้ผู้รับการนิเทศได้มี โอกาส แสดงความคิดเห็นด้วยความสมัครใจอย่างทั่วถึง ใช้เวลาในการอภิปรายระหว่าง ๑๐-๓๐ นาที ประโยชน์ของการอภิปรายจึงเป็นการพัฒนาพฤติกรรมด้านความรู้ ความเข้าใจ ควบคู่ไปกับเจตคติของผู้รับ การนิเทศ นอกจากนี้เปน็ การกระตุ้นให้ผูร้ ับการนิเทศด้านการแสดงออก การฝึกนำเสนอและการแสดงเหตุผล การดำเนนิ การอภิปราย ควรใช้เทคนิคการจัดกจิ กรรมโดยสรปุ ดังนี้ ๑) ใหผ้ ู้รับการนิเทศแสดงบทบาทอย่างเตม็ ท่ี ๒) สร้างบรรยากาศการอภิปรายใหน้ ่าสนใจ และกระตุ้นให้ทุกคนมสี ว่ นร่วม ในการแสดงความ คิดเหน็ อยา่ งเตม็ ท่ี ๓) ผู้นิเทศต้องเปน็ ผู้ฟัง และหาขอ้ สรุปหรอื เพมิ่ เตมิ ในด้านความรู้ ความเข้าใจ ๔) ผ้นู ิเทศตอ้ งมคี วามสามารถในการดำเนนิ การอภิปรายไปส่ขู ้อสรุป เทคนคิ การตัง้ คำถาม : ผู้นเิ ทศจะตอ้ งใชว้ ธิ ีการต้ังคำถาม ซงึ่ สามารถตง้ั คำถามไดอ้ ย่างหลากหลายใน การดำเนินกิจกรรมการนิเทศภายในโรงเรียน มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการทดสอบการเรียนรู้ และเพื่อกระตุ้น การมสี ่วนร่วมในการแสดงความคดิ เห็น ชว่ ยเปิดประเด็นอภิปราย และเทคนคิ ของการต้ังคำถามจะช่วยให้ผู้รับ การนิเทศได้เรียนรู้ถึงลักษณะต่างๆของการถาม การคิดวิเคราะห์ การค้นพบการฉุกคิดและการแก้ปัญหา ใน การตัง้ คำถามมปี ระโยชนแ์ ละแนวดำเนินการโดยสรุป ดังน้ี (จงกลนี ชตุ ิมาเทวินทร์. ๒๕๔๒ : หนา้ ๑๔๔) ๑. สามารถประเมินการเรยี นรไู้ ด้โดยไม่ตอ้ งใช้แบบทดสอบข้อเขียน ๒. มีความประหยัดและคลอ่ งตัวในการดำเนนิ การ ๓. จงู ใจใหเ้ กิดการมสี ว่ นร่วม และให้ผู้รบั การนเิ ทศเปน็ จดุ ศูนยก์ ลาง ๔. กระต้นุ ให้เกดิ ทางเลอื กในการมองปัญหาและคำตอบ ๕. ผู้นิเทศควรพัฒนาทักษะในการตั้งคำถามที่หลากหลาย เช่น การตั้งคำถามเพื่อทดสอบการต้ัง คำถามเพื่อเปิดประเด็นอภิปราย ซึ่งผู้นิเทศอาจเตรียมคำถามก่อนล่วงหน้าได้ เพื่อให้ครอบคลุมประเด็นและ บรรลตุ ามวัตถุประสงค์ ๖. กรณที ีผ่ ู้รบั การนิเทศแสดงอาการลังเลในการตอบคำถาม ควรผ่านเลยไป ผนู้ ิเทศไม่ควรจี้ใหต้ อบ ซึ่งทำใหเ้ กดิ ความอดึ อัด เทคนิคการระดมสมอง : การระดมสมอง เปน็ การระดมแนวคดิ ในเร่อื งใดเรอ่ื งหนง่ึ เก่ียวกับการนเิ ทศ จากผรู้ บั การนเิ ทศ หรือหากจะเปน็ การระดมความคิดเพ่อื หาวิธแี ก้ปญั หา ซง่ึ ผูน้ เิ ทศจะเปน็ ผ้รู วบรวมความคิด ต่าง ๆไวท้ ้ังหมด โดยไมม่ ีการตัดสนิ ว่า ความคิดของใครผิดหรือถูก แตผ่ ูน้ เิ ทศจะแยกประเภทหรือจัดหมวดหมู่ ให้เห็นชัดเจน ซึ่งการระดมสมองเป็นวิธีการกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมที่ดีและสามารถดึงเอาประสบการณ์ ของผู้รับการนิเทศมาใช้ได้ในทันทีทันใด และการระดมสมองสามารถใช้ได้ในกิจกรรมการประชุมเพื่อการ ปรึกษาหารือ และใชร้ ่วมกับกจิ กรรมนเิ ทศภายในต่าง ๆได้ มีประโยชนแ์ ละแนวดำเนินการโดยสรุป ดงั นี้ (จงกลนี ชตุ ิมาเทวนิ ทร์. ๒๕๔๒ : หน้า ๑๔๒) ๑. กระตุ้นใหผ้ มู้ คี วามรู้ ความสามารถและประสบการณ์ไดม้ โี อกาสแสดงความคดิ เห็น

๓๖ ๒. ทำใหเ้ กดิ ความคิดสร้างสรรค์ เกิดความคิดใหม่ ไม่ตดิ อยู่กับความคิดเดิม ๓. จงู ใจใหส้ มาชิกในองคก์ รไดม้ สี ่วนร่วมและรกั ษาระดบั ความสนใจของผู้รบั การนเิ ทศให้ตอ่ เน่ือง ตลอดการดำเนินกจิ กรรมการนเิ ทศภายใน ๔. ผู้นเิ ทศจะตอ้ งพัฒนาทักษะในการกระตุน้ ใหผ้ ้รู ับการอบรมแสดงความคิดเห็นไม่ใช้การกดดนั ๕. พึงระวังว่า ความคดิ เหน็ ของคนสว่ นนอ้ ยจะครอบงำความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่จึงควรกระตุ้น ใหท้ ุกคนมีโอกาสไดแ้ สดงความคิดเหน็ อย่างทั่วถงึ เทา่ เทียมกนั สรุปได้ว่า ผนู้ ิเทศจะสามารถดำเนนิ การนเิ ทศภายในโรงเรียนไดอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพและประสิทธผิ ล นัน้ จำเป็นจะต้องพฒั นาตนเองให้สามารถใช้เทคนคิ การบรรยาย การอภปิ รายการต้งั คำถาม ๓. รปู แบบการนิเทศตามแนวคดิ การเรียนรูแ้ บบผสมผสาน (Blended Learning) ความเปน็ มาและความสำคัญของการเรียนรู้แบบผสมผสาน นฤมล รอดเนียม (๒๕๕๔, หน้า ๑๓) ได้สรุปที่มาและความสำคัญของการเรียนรู้ แบบผสมผสานจาก แนวคิด ฟลัวคูเนยี ร์ และเทินเนอร์ (Fauconnier and Turner, ๑๙๙๘ : หน้า ๑๓๓ ) ; ซาย (Singh, ๒๐๐๓ : หน้า ๕๓ ) เรียนรู้แบบผสมผสานไม่ไดเ้ ป็นแนวคิดใหมเ่ นื่องจากตามธรรมชาติ แลว้ วิธีการเรียนรู้ของคนเราน้ัน จำเป็นจะต้องมีการใชห้ ลายๆ วธิ ีร่วมกนั เพื่อให้เกดิ การเรียนรู้ทดี่ ีทสี่ ดุ ประกอบกบั ผูเ้ รยี นแต่ละคนมีความถนัด และความชอบในการเรียนรู้ที่ต่างกนั จึงไม่สามารถใชว้ ิธีการเรยี นรู้เพยี งวธิ เี ดียวให้ไดผ้ ลดีกับผู้เรยี นทุกคน การ ที่จะให้เกิดการเรียนรู้ที่เหมาะสมที่สุดจึงจำเป็นต้องใช้วิธีการผสมผสาน ทฤษฎีการเรียนรู้แบบผสมผสาน เพ่ือ เพิ่มประสทิ ธิภาพและเพ่ิมมูลค่าในการแก้ปัญหาตา่ งๆ ซงึ่ ไม่มกี ฎเกณฑต์ ายตัว สำหรับองค์ประกอบทฤษฎีการ ผสมผสาน (Blended Theory) ความหมายของการเรยี นรู้แบบผสมผสาน การเรียนรู้แบบผสมผสาน มีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไป มีมากมายหลากหลายชื่อ ได้แก่ Blended Learning , Mixed Mode Learning , Blended Instruction เป็นต้น ส่วนชื่อที่เป็นความหมายในภาษาไทย ก็มีชื่อเรียกที่แตกต่างกันหลากหลายชื่อ ได้แก่ การเรียนการสอนแบบผสมผสาน การจัดการเรียนรู้แบบ ผสมผสาน การจดั การเรยี นรบู้ นเว็ปแบบผสมผสาน ในที่น้ผี ้จู ดั ทำ ไดร้ วบรวมมาไว้พอสงั เขป ดงั นี้ มนต์ชัย เทียนทอง (๒๕๔๙, หน้า ๔๘) กล่าวว่า การเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) หมายถึง การบูรณาการระหว่างการเรียนรู้แบบเผชิญหน้าในชั้นเรียนโดยมีผู้สอนเป็นผู้นำกับการเรียนรู้แบบ ออนไลน์ซึ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญโดยใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีการสื่อสารเพื่อให้การเรียนการ สอนมีประสิทธิภาพสูงสุดภายใต้สภาพแวดล้อมของชุมชนแหง่ การเรียนรูซ้ ึ่งเป็นการใช้ประโยชน์จาก ICT เป็น ช่องทางในการส่งผลความรู้และติดต่อสื่อสารระหว่างผู้เรียนกับผู้สอนหรือระหว่างผู้เรียนด้วยกันเชื่อมต่อเข้า ดว้ ยกันในระยะไกล ประหยัด จิระวรพงศ์ (๒๕๕๒, หน้า ๑-๑๖) ได้นำเสนอแนวคิดการเรียนรู้แบบผสมผสานคือการ ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทางการสื่อสารคอมพิวเตอร์ประยุกต์มาสนับสนุนการเรียนการสอนให้ประสบผลส ำเร็จ ต้องอาศยั บุคลากรทางการศึกษา ไดแ้ ก่ ครูผสู้ อน นักวชิ าการศกึ ษา ผ้บู ริหารสถานศกึ ษาร่วมกนั ศึกษาวางแผน

๓๗ เชิงระบบและกำหนดนโยบาย ตลอดจนมีส่วนร่วมจัดรายละเอียดของสื่อการสอน เนื้อหา รายวิชา รวมไปถึง การพิจารณารปู แบบและระยะเวลาการเรยี นการสอนอย่างเปน็ รูปธรรมท่ีมีความเหมาะสม โดยการรวมศาสตร์ ของเทคโนโลยีการสอื่ สาร เทคโนโลยีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ประยกุ ตใ์ นระบบเครอื ขา่ ยออนไลน์ต่างๆ นำมาจัด ประยุกต์ให้เขา้ กับการจดั การเรียนการสอนและไดส้ รุปคณุ ลักษณะของการเรยี นการสอนแบบผสมผสานไว้ ดังนี้ ๑) เป็นการรวมวิธีการเรียนต่างๆ เข้าด้วยกัน ๒) เป็นการบูรณาการระหว่างการใช้สื่อเทคโนโลยี สารสนเทศและโปรแกรมประยุกต์/ศาสตร์การจัดการเรียนการสอนรูปแบบต่างๆ เป็นการเลือกวิธีการที่ เหมาะสมที่สุดกับผลการเรียน ผู้สอนจะต้องเลือกหรือสนับสนุนรูปแบบวิธีการเรียนรู้ที่เหมาะสมให้ผู้เรียนแต่ ละคนได้ใชพ้ ฒั นาตนเองอยา่ งเต็มศักยภาพโดยอาศัยเอกสาร ส่อื เทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาชว่ ยในการจัดการเรียน การสอนอยา่ งเหมาะสม ปณิตา วรรณพิรุณ (๒๕๕๗ : หน้า ๑๐๑ - ๑๐๓) นำเสนอแนวคิดของการเรียนรู้แบบผสมผสาน สามารถจัดกล่มุ ได้ ๔ แนวคิด ดังน้ี ๑. การผสมผสานเทคโนโลยีการเรียนรู้บนเว็บกับการเรียนในชั้นเรียนแบบดั้งเดิม (to combine or mix modes of web-based technology) เป็นการรวมหรือผสมเทคโนโลยีของเว็บ ( web-based technology) กับการเรียนในชั้นเรียนแบบเดิม เช่น การเรียนในห้องเรียนเสมือนแบบสด (live virtual classroom) การเรียนด้วยตนเอง (self-paced instruction) การเรียนรู้ร่วมกัน (collaborative learning) วีดีโดสตรีมมิ่ง เสียง และข้อความเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายของการจัดการศึกษา เป็นการเรียนโดยใช้การ ผสมผสานวิธสี อนทหี่ ลากหลายเขา้ ด้วยกันเพ่อื ให้ผู้เรียนเกิดผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นสูงสุด ๒. การผสมผสานวิธีสอนที่หลากหลายเ ข้าด้วยกัน (to combine various pedagogical approaches) เป็นการผสมผสานวิธีสอนที่หลายหลายเข้าด้วยกัน เช่น คอนสตรักติวิสต์ (constructivism) พฤติกรรมนิยม (behaviorism) และพทุ ธินิยม (cognitivism) เพ่อื ให้ไดผ้ ลลพั ธ์จากการเรียนท่ีดีที่สุดซ่ึงอาจใช้ หรือไมใ่ ช้เทคโนโลยีการสอนก็ได้โดยการผสมผสานระบบการเรยี นและทฤษฎีการสอนทหี่ ลากหลายเข้าด้วยกัน เพอ่ื เป็นการแก้ปญั หาทหี่ ลากหลายในการเรียนเพ่อื ตอบสนองความแตกต่างระหวา่ งบุคคลของผูเ้ รยี นให้ผู้เรียน เกิดการเรยี นรู้ได้อยา่ งเทา่ เทียมกันตามศักยภาพท่ตี นเองมีอยู่ ๓. การผสมผสานเทคโนโลยกี ารเรยี นรทู้ ุกรปู แบบกับการเรยี นการสอนในช้ันเรียนปกติแบบด้ังเดิม (to combine any form of instructional technology) เป็นการจัดการเรียนการสอนทางไกลโดยใช้เทคโนโลยี การสอนในทุกรูปแบบ เช่น วีดิทัศน์ ซีดีรอม การเรียนการสอนบนเว็บ ข้อความเสียงและการประชุมทาง โทรศพั ท์ รว่ มกบั การศึกษาแบบดั้งเดมิ โดยการสผสมผสานระหวา่ งการเรียนแบบเผชิญหนา้ ในห้องเรียนกับการ เรียนแบบออนไลน์เข้าด้วยกัน โดยใช้จุดเด่นของการเรียนแบบออนไลน์เติมเต็มช่องว่างของการเรียนใน หอ้ งเรยี นซ่งึ เป็นแนวคิดที่มีผยู้ อมรบั กนั อย่างแพรห่ ลายมากทส่ี ุด ๔. การผสมผสานเทคโนโลยีการเรียนการสอนกับการทำงาน (to mix or combine instructional technology with actual job tasks) เป็นการผสมเทคโนโลยีการเรียนการสอนกับการทำงานจริงโดยการ จัดการเรียนแบบผสมผสาน เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกอบรมในองค์กรด้วยการเรียนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ และสื่ออืน่ ๆ ในการส่งผา่ นความร้ใู นการเรยี นและการฝกึ อบรม

๓๘ เอเอลน และซีแมน (Allen and Seaman, ๒๐๑๐ : หน้า ๔) กล่าวว่า การเรียนการสอนแบบ ผสมผสานเป็นการเรียนที่ผสมกันระหว่างการเรียนแบบเผชิญหน้าและการเรียนออนไลน์ โดยนำเสนอเนื้อหา ส่วนใหญผ่ า่ นเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เช่น การสนทนาออนไลน์และยงั คง มีส่วนที่ให้ผู้เรียนและผู้สอนพบปะกัน โดยมสี ัดส่วนในการนำเสนอเน้อื หาผา่ นระบบออนไลน์ อยู่ระหว่างร้อยละ ๓๐-๗๙ ของเน้ือหาการเรียนทัง้ หมด ในที่นี้พอสรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน เป็นการจัดการเรียนรู้ที่มีลักษณะเป็นการ ผสมผสานวิธีการเรียนรู้แบบพบหน้ากันหรือมีการเผชิญหน้ากันโดยตรง(Face-to-Face) และการเรียนรู้แบบ ออนไลน์ผ่านชอ่ งทางเครอื ข่าย Internet ประโยชนข์ องการเรยี นรแู้ บบผสมผสาน การเรยี นร้แู บบผสมผสานกอ่ ให้เกดิ ประโยชน์ ดังน้ี อนุชัย ธีระไชยรุ่งเรืองศรี (๒๕๔๙, อ้างถึงใน นฤมล รอดเนียม, ๒๕๕๔, หน้า ๑๖ - ๑๗) ได้สรุป ประโยชน์ทางอ้อมทเี่ กิดจากการเรียนร้ผู สมผสาน ดงั น้ี ๑. เป็นการเตรียมผู้เรียนสำหรับคุณลักษณะทักษะการปฏิบัติงานในศตวรรษที่ ๒๑ ได้แก่ การเรียนรู้ เทคโนโลยี (Technological Literacy) การเรียนรู้สารสนเทศ (Information Literacy) การเรียนรู้วัฒนธรรม (Cultural Literacy) การตระหนกั รโู้ ลกาภิวตั น์ (Global Awareness) ๒. เป็นการปรับปรุงทักษะการคิดของผู้เรียนในการคิดสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ (Inventive Thinking) ได้แก่ การปรับเปลี่ยนความกระหายใคร่รู้ ความคิดสร้างสรรค์ การจัดการความเสีย่ ง การคิดระดับสูงและการ คดิ แกป้ ัญหา เปน็ ต้น ๓. เป็นการปรับปรุงทักษะความร่วมมือ เช่น ทักษะการติดต่อสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ทักษะการ ทำงานเป็นทีม การเรียนรู้ร่วมกันและทักษะความสัมพันธ์ภายในบุคคล ความรับผิดชอบทางสังคมและส่วน บุคคล ปฏิสัมพันธด์ า้ นการตดิ ตอ่ สื่อสาร ทกั ษะการสร้างสรรค์ผลติ ภณั ฑ์ ๔. เป็นการฝกึ ฝนวธิ กี ารเรียนรู้ดว้ ยตนเองที่จะท าใหเ้ กดิ การเรยี นรู้ตลอดชวี ติ อยา่ งมีประสิทธภิ าพ เกรแฮม, เอเลน และอูร์ (Graham, Allen and Ure , ๒๐๐๓, อ้างถึงใน เกรแฮม (Graham, ๒๐๐๕ : หน้า ๘ - ๑๐ ) นำเสนอประโยชนข์ องการเรียนร้แู บบผสมผสาน ดงั น้ี ๑. ช่วยปรับปรงุ และเพม่ิ ประสิทธิภาพการเรยี นการสอน ไดแ้ ก่ ชว่ ยเสรมิ สร้างยุทธวธิ ีการเรียนรู้แบบ กระตือรือร้น ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ระหว่างผู้เรียนด้วยกันมากขึ้นและช่วยสนับสนุนการเรียนการสอนที่เน้น ผู้เรยี นเปน็ สำคญั ๒. เพิ่มความยดื หยนุ่ และเปดิ โอกาสใหผ้ ู้เรียนมากย่ิงข้ึน ๓. เพมิ่ ประสทิ ธผิ ลของการลงทนุ ก่อใหเ้ กิดจุดทเี่ หมาะสมท่สี ุดของต้นทุนและเวลา ออสกัสโทรพี และ เกรแฮม (Osguthorpe and Grahamm, ๒๐๐๓ : หน้า ๒๒๗) ได้สรุปถึงเหตุผล ของการจดั การเรยี นร้แู บบผสมผสานไว้ ๖ ประเด็น ดงั น้ี ๑. สามารถเลือกใช้วิธสี อนทีเ่ หมาะสมหลากหลาย (Pedagogical Richness) ๒. สามารถเขา้ ถึงองค์ความรูไ้ ดง้ า่ ย (Access to Knowledge) ๓. ช่วยเพ่มิ ปฏสิ มั พันธท์ างสังคม (Social Interaction)

๓๙ ๔. มีความเป็นส่วนตัว (Personal Agency) ๕. ช่วยใหเ้ กดิ ความคุ้มคา่ ในการลงทนุ (Cost Effectiveness) ๖. ชว่ ยอำนวยความสะดวกในการปรับปรงุ แกไ้ ข (Ease of Revision) ในที่นี้พอสรุปได้ว่า การเรียนรู้แบบผสมผสานนั้นมีประโยชน์ช่วยปรับปรุงและเพิ่ม ประสิทธิภาพการเรียนการสอน สามารถทำให้เพิ่มปฏิสัมพันธ์ทางสังคม โดยมีความยืดหยุ่นและเปิดโอกาสให้ ผู้เรยี นไดเ้ รียนรมู้ ากข้ึน ผเู้ รยี นสามารถเรียนร้จู ากวิธีสอนทเ่ี หมาะสมและหลากหลาย และเป็นการฝกึ ฝนวธิ กี าร เรียนรู้ดว้ ยตนเองที่จะทำใหเ้ กิดการเรียนรูต้ ลอดชีวติ อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ รปู แบบการนิเทศตามแนวคิดการเรยี นรูแ้ บบผสมผสาน (Blended Learning) ผู้จัดทำได้รวบรวมความรู้เกี่ยวกับรูปแบบการนิเทศตามแนวคิดการเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) โดยในการดำเนินงานการนเิ ทศภายในของสถานศึกษาในทนี่ ้ี จะเปน็ การดำเนนิ งานดว้ ยรปู แบบการ นเิ ทศทหี่ ลากหลายวธิ ีผสมผสาน (Mixed Methods) ภายใตส้ ถานการณก์ ารแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโค โรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ทงั้ รูปแบบการนเิ ทศโดยใช้พนื้ ท่ีเปน็ ฐาน ไดแ้ ก่ การสงั เกตการสอน การเย่ียมชมช้ัน เรียน (โดยได้รวบรวมรูปแบบการนิเทศโดยใช้พ้ืนทีเ่ ปน็ ฐาน กล่าวคือ เป็นการนิเทศ ณ สถานศึกษานั้นๆ ซึ่งมี การเผชิญหน้ากันโดยตรง (Face to Face Base On School) หรือการทำกิจกรรมร่วมกัน ร่วมพูดคุย แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันนั้น) ซึ่งกล่าวไว้ในหัวข้อที่ ๒ ความรู้เบื้องต้นที่เกี่ยวข้องกับการนิเทศภายใน สถานศึกษา เรยี บร้อยแลว้ น้นั ในที่นี้ ผู้จัดทำจึงได้รวบรวมรูปแบบการการนิเทศผ่านช่องทางออนไลน์ ด้วย Platform ในรูปแบบ ตา่ งๆ ไวด้ งั นี้ ๑. การนเิ ทศออนไลน์โดยใช้โปรแกรม Zoom Could Meeting (หนว่ ยศกึ ษานเิ ทศก์ สำนกั งาน คณะกรรมการการอาชีวศึกษา, ๒๕๖๓ : หน้า ๑๔) ได้ให้คำนิยามไว้ว่า โปรแกรม Zoom เป็นโปรแกรมที่ สามารถใช้ในการเรียนการสอน การนิเทศติดตาม และการประชุมแบบออนไลน์ ซึ่งเป็นระบบที่รองรับ ระบบปฏบิ ัตกิ ารทั้ง Windows, และ Android สามารถประชุมรว่ มกันไดจ้ ำนวนมากเหมาะสำหรับการจัดการ เรียนการสอนในช่วงท่ีไม่สามารถไปนิเทศที่พบหน้า หรือเผชิญหนา้ กันได้ แต่มีจุดอ่อนในเรือ่ งการที่ไมส่ ามารถ มอบหมายงาน ส่งงาน ส่งการบ้าน ตรวจงานให้คะแนน ไม่สามารถมาดูย้อนหลังได้ และมีข้อดีคือสามารถ VDO Call แชรห์ น้าจอกนั ได้ จะใชใ้ นเครื่อง PC หรือ โหลด App บนมือถือก็ได้ ๒. การนิเทศออนไลนโ์ ดยใช้โปรแกรม Google Classroom (ดนยั ศกั ด์ิ กาโร, ๒๕๖๑ : หนา้ ๓๒) ได้ให้คำนิยามไว้ว่าเป็นแอพลิเคชั่นที่พัฒนาขึ้นโดย Google ที่จัดอยู่ในกลุ่มของการให้บริการในหมวดหมู่ Google for Education ที่มีเครื่องมือสำหรับใช้ในงานด้านการศึกษาที่ประกอบไปด้วยแอปพลิเคชัน ต่างๆ เช่น จีเมล (Gmail) เอกสาร (Docs) ปฏิทิน (Calendar) ไดรฟ์ (Drive) และห้องเรียน (Classroom) เป็นต้น โดยเครื่องมือ ที่พัฒนาขึ้นมาสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้อย่างหลากหลายทั้ง ในเรื่องของการบริหารงานใน องค์กร หรือนำมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนหรือมาประยุกต์สำหรับการนิเทศภายในสถานศึกษาได้ด้วย สำหรบั วัตถปุ ระสงค์ของ Google for Education พัฒนา ข้ึนมาเพ่ือรองรบั การทำงานของโรงเรยี นในทุกระดับ ท้ังโรงเรียน ขนาดเล็กหรอื ใหญ่ หรือแมก้ ระทงั่ มหาวิทยาลัย สามารถท่ีจะ ใชง้ านได้ เนอื่ งดว้ ยเป็นบริการท่ีเปิด

๔๐ ใช้งานแบบฟรี ไม่ต้องเสีย ค่าใช้จ่าย มีการใช้งานที่สะดวกและง่าย ทำให้ทุกคนไม่ว่าจะเป็น ผู้อำนวยการ สถานศึกษา ครูบุคลากรทางการศึกษาและนกั เรียนสามารถใช้งาน ได้โดยการมสี ว่ นรว่ มในการใชง้ านแอปพลิเค ชันต่าง ๆ รว่ มกัน รวมถึงการใช้งานได้ทุกทีท่ ุกเวลา (Any time Any place) เข้าถึงได้ในหลากหลาย อุปกรณ์ ทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต (tablet) โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น ในครั้งนี้จะขอเสนอแนะการประยุกต์ใชง้ าน การประยกุ ตใ์ ช้ Google Classroom สำหรบั การนเิ ทศภายในสถานศกึ ษา ซึ่งการใชง้ าน Google Classroom สำหรับการสร้างเป็นห้องเรียนออนไลน์ไว้สำหรับมอบหมายงาน พบปะพูดคุยหรือแลกเปลี่ยน ข้อมูลข่าวสาร ต่างๆ กัน ระหวา่ งผ้อู ำนวยการสถานศึกษา ทมี นิเทศภายใน ครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา ภายในโรงเรยี น ความสามารถของ Google Classroom ๑. สามารถเชิญผู้คนให้เข้าร่วมในฐานะครู (ผู้นิเทศ เช่น ผู้อำนวยการโรงเรียน ทีมนิเทศภายใน ศึกษานิเทศก์ และผูท้ เ่ี ก่ยี วข้องเปน็ ต้นต้น) และ นักเรียน (ครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษาทเ่ี ป็นผ้รู บั การนิเทศ) ๒. ผู้นิเทศสามารถมอบหมายงาน ให้ผู้รับการนิเทศดำเนินการ เช่น การส่งแผนการจัดการเรียนรู้ ส่ง คลิปวีดีโอบรรยากาศการจัดการกิจกรรมการเรียนการสอน ส่งข้อมูลข่าวสาร ความรู้ การให้คำแนะนำท้ัง รปู แบบกล่มุ และรายบุคคล ๓. สามารถกำหนดระยะเวลากำหนดการสง่ งาน กำหนดการใหค้ ะแนน นดั หมาย ๔. สามารถส่งงานในรูปแบบการอัพโหลดเข้าภายในห้องหรือเชื่อมโยงไปยัง Drive หรือ เว็บไซต์อ่ืน ได้ ๕. สามารถจดั การยกเลิกหรือผู้ใชง้ าน ๖. สามารถบนั ทกึ หรือสำรองขอ้ มูลภายในหอ้ งได้ ๗. ผู้รับการนเิ ทศสามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันภายในห้องและผู้นิเทศสามารถให้คำแนะนำ หรือ ข้อเสนอแนะเติมเตม็ ๘. สามารถใช้งานได้บนเครอ่ื งคอมพวิ เตอร์และอปุ กรณเ์ คลือ่ นทที่ ้ังโทรศพั ทม์ ือถอื และแทบ็ เล็ต ๙. สามารถจัดการเผยแพรข่ อ้ มูลสารสนเทศ แจ้งขา่ ว นำเสนอความรูใ้ นรูปแบบเอกสาร คลิปวีดโี อ ใน รูปแบบออนไลน์ ๑๐. สามารถเชอื่ มโยงกบั แอพพลเิ คล่นั ของ Google for Education เง่อื นไขสำหรบั การใช้งาน Classroom ๑. ผู้ใช้งานทง้ั ครู (ผ้นู เิ ทศ) และ นักเรียน (ผู้รับการนิเทศ) จำเปน็ ตอ้ งมบี ัญชีผู้ใชง้ าน G-mail สำหรบั เขา้ ใช้งาน ๒. รองรับการใชง้ านสำหรบั ครู (ผนู้ เิ ทศ) ไดไ้ มเ่ กนิ ๒๐ คน และ นกั เรยี น (ผรู้ บั การนเิ ทศ) ไม่เกิน ๑,๐๐๐ คน ตอ่ ๑ หอ้ ง ๓. ผู้ใชง้ านต้องเชอื่ มตอ่ ระบบเครอื ข่ายอินเทอรเ์ น็ตเพื่อใช้งาน ประโยชนโ์ ดยรวมของ Google Classroom ๑. คณุ ครูสร้างห้องเรยี นออนไลนข์ องวชิ านัน้ ๆ ขึ้นมา ๒. เพิ่มรายชื่อนักเรยี นจากบญั ชขี องกูเกลิ เข้ามาอยใู่ นห้องเรียน

๔๑ ๓. คณุ ครูสามารถนารหัสผา่ นใหน้ ักเรียนนาไปกรอกเพื่อเข้าหอ้ งเรียนเองได้ ๔. คณุ ครูต้ังโจทยก์ ารบ้านใหน้ กั เรียนทา โดยสามารถแนบไฟล์และกาหนดวนั สง่ การบา้ นได้ ๕. นกั เรยี นเขา้ มาทำการบา้ นใน Google Docs และส่งเข้า Google Drive ของคณุ ครู ๖. คุณครสู ามารถเขา้ มาดจู ำนวนนักเรยี นที่ส่งการบา้ นภายในกำหนดแล้วและยงั ไม่ไดส้ ง่ ได้ ๗. คณุ ครูตรวจการบา้ นของนกั เรยี นแต่ละคน พร้อมทง้ั ใหค้ ะแนนและคำติชม ๓. การนิเทศออนไลนโ์ ดยใช้โปรแกรม Line Group Video Call (หนว่ ยศึกษานเิ ทศก์ สำนักงาน คณะกรรมการการอาชีวศึกษา, ๒๕๖๓ : หน้า ๑๔) ได้ให้คำนิยามไว้ว่า โปรแกรม Line Group Video Call นั้นเป็นแอพลิเคชั่นที่คนสว่ นใหญ่รู้จักและทกุ คนค่อนข้าง คุ้นเคย ซึ่งสามารถ Video Call ได้ คุยงาน แชทกัน ได้ ส่งงานกันได้ในกลุ่ม ใช้งานง่าย แต่อย่างไรก็ตาม เหมาะสำหรับการแชท คุยกันส่งข้อความ ประกาศข่าว สำคัญเร่งด่วน จะดีที่สุด ซึ่งโปรแกรมไลน์ เป็นโปรแกรมระบบส่งข้อความทันที ที่มีความสามารถใช้งานได้ทั้ง โทรศัพท์มือถือที่มีระบบปฏิบัติการทั้ง Windows, และ Android ยังสามารถใช้งานได้บนคอมพิวเตอร์ส่วน บุคคล และแมคโอเอส ด้วยความที่มีลูกเล่นมากมาย สามารถคุย ส่งรูป ส่งไอคอน ส่งสติกเกอร์ ตั้งค่าคุยกัน เป็นกลุ่ม สามารถสร้างแบบสำรวจ สร้างตารางการนัดหมายกิจกรรม ฯลฯ ทำให้มีผู้ใช้งานโปรแกรมนี้เป็น จำนวนมาก ชาวไทยนิยมใชเ้ ป็นอันมาก การประยกุ ตใ์ ช้ LINE กบั การนิเทศภายในโรงเรียน จากความสามารถของแอปฟลเิ คชั่นไลน์ท่สี ามารถ ส่งขอ้ ความ ส่งรูปภาพ ไฟล์วิดโี อ และ สามารถตั้งค่าการคุยเป็นกลุ่มได้ ทำให้สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการนิเทศภายในโรงเรียนได้ (หน่วย ศกึ ษานิเทศก์ สำนกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษา, ๒๕๖๓ : หน้า ๑๔) โดยสามารถต้ังกลุ่มการคยุ สำหรับ การนิเทศภายในโรงเรียน ดงั นี้ ๑. กลมุ่ ไลนโ์ รงเรียน (สูงสดุ ๕๐๐ คน) สมาชิกประกอบด้วย ผูบ้ ริหารสถานศกึ ษา คณะครู และบุคลากรทางการศึกษาทุกคนในโรงเรียน ใช้สำหรับแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันภายในโรงเรียน เป็น ช่องทางสำหรับผู้บริหารสถานศึกษา ใช้ในการ สั่งการ การนิเทศติดตามการดำเนินงาน เป็นช่องทางในแจ้ง ปัญหาอุปสรรคในการจัดการเรียนการสอนของครู หรอื รายงานผลการจัดการเรยี นการสอนของครใู นโรงเรียน ๒. กลุม่ ไลน์กลุ่มสาระการเรียนรู้ สมาชกิ ประกอบด้วย ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา หวั หนา้ กลุ่ม สาระการเรียนรู้ ครูผู้สอน ใช้สำหรับแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันภายในกลุ่มสาระการเรียนรู้ เป็นช่องทาง สำหรับผู้บริหารสถานศึกษา/หัวหน้ากลุ่มสาระการเรยี นรู้ ใช้ในการนิเทศติดตามการจัดการเรยี นการสอนของ ครูในกลุ่มสาระฯ เป็นช่องทางสำหรับครูผู้สอนในการในแจ้งปัญหาอุปสรรคในการจัดการเรียนการสอน หรือ รายงานผลการจัดการเรยี นการสอนของครใู นกลุม่ สาระฯ มีแนวทางในการดำเนนิ การ ดังน้ี ๒.๑ ครูผู้สอนรายงานผลการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนในไลน์กล่มุ สาระฯ พรอ้ ม เอกสารหลักฐาน เช่น รูปภาพการจัดกิจกรรม เอกสารประกอบการสอน บันทึกผลหลังสอน และชิ้นงาน นกั เรยี น เปน็ ต้น

๔๒ ๒.๒ ผู้บรหิ ารโรงเรียน ผทู้ ีผ่ ู้บริหารมอบหมาย ทำการนิเทศการสอน ให้ขอ้ เสนอแนะ ในการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนของครูผสู้ อนที่ได้รายงานมาในไลนก์ ลุม่ สาระฯ ในขน้ั ตอนนอ้ี าจใชร้ ปู แบบ PLC ในการนิเทศ สรุปได้ ดังนี้ - ครูผ้สู อนรายงานผลการจดั การเรียนการสอนดว้ ยข้อความ รูปภาพ วีดีโอ - ผู้นเิ ทศ ให้ขอ้ มูลยอ้ นกลับจากการนิเทศ ผา่ น ไลน์กลุ่ม - ครผู ้สู อน ปรับปรุงพฒั นาการเรียนจดั การเรียนการสอนตามขอ้ เสนอแนะฟ ในที่นี้ ผู้จัดทำพอจะสรุปได้ว่ารูปแบบการนิเทศตามแนวคิดการเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) นั้น ซึ่งมีความเหมาะสมสอดคล้องกับบริบทในปัจจุบัน และจะเป็นอีกหนึ่งรูปแบบที่สามารถใช้ใน การดำเนินงานการนเิ ทศภายในของสถานศึกษา ภายใตส้ ถานการณก์ ารแพร่ระบาดของโรคตดิ เช้ือไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ทส่ี ถานศึกษาจะต้องปรับการเรียน เปล่ยี นวธิ ีสอนสู่การจัดการศึกษาวิถีใหม่ ท่ีการเรียนรู้ ไมไ่ ด้จำกดั เพียงแคท่ ่ีสถานศกึ ษาเทา่ น้ัน แตก่ ารเรียนรูส้ ามารถเกิดขั้นได้ทกุ ที่ และทุกเวลา

๔๓ สว่ นที่ ๓ การดำเนินงานการนิเทศภายในของสถานศึกษา ด้วยรปู แบบการนิเทศตามแนวคดิ การเรียนรู้ แบบผสมผสาน (Blended Learning) เพ่ือยกระดับคณุ ภาพการศกึ ษาอยา่ งยั่งยนื ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคตดิ เช้อื ไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ด้วยภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (Covid-19) นั้นเป็น สถานการณท์ ่ีไม่สามารถคาดการณ์เหตุการณล์ ว่ งหนา้ ได้ และการแพรร่ ะบาดมีความไมแ่ น่นอน จงึ ส่งผลให้ตอ้ ง ปรับเปลี่ยนรูปแบบการนิเทศในรูปแบบปกติที่เป็นการนิเทศแบบเผชิญหน้าโดยใช้พื้นที่สถานศึกษาเป็นฐาน (Face to Face based on School) ในห้องเรียนแบบเดิม ไปสู่รูปแบบการนิเทศผ่านช่องทางออนไลน์ (Online Supervision) โดยใช้เครือข่าย Internet ด้วย Platform ต่างๆ ตามบริบทความเหมาะสมของ สถานศึกษานั้นๆ เพื่อให้สอดคล้องกับการเรียนรู้วิถีใหม่ในยุคปัจจุบัน ที่ต้องสามารถเรียนรู้ในทุกที่ ไม่จำกัด เพียงแค่ที่โรงเรียนเท่านั้น เป็นวิถีการเรียนรู้ใหม่ในยุคปัจจุบัน และเพื่อเป็นการขับเคลื่อนกระบวนการนิเทศ ภายในของสถานศึกษา ด้านการพัฒนาและการใช้หลักสูตรของสถานศึกษา และด้านการจัดกระบวนการ เรียนรู้ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ของโรงเรียน เอกชนประเภทสามัญศึกษา ในสงั กัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสรมิ การศึกษาเอกชน จงั หวัดสงิ ห์บรุ ี ผู้จัดทำ จึงได้นำเสนอชุดคู่มือการดำเนินงานการนิเทศภายในของสถานศึกษา ด้วยรูปแบบการนิเทศตามแนวคิดการ เรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างยั่งยืน ในสถานการณ์การ แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ในที่นี้ ผู้จัดทำจึงขอนำเสนอการดำเนินงานการนิเทศภายในของสถานศึกษา ด้วยรูปแบบการนิเทศ ตามแนวคิดการเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) โดยมีขอบข่ายการนิเทศในด้านการพัฒนาและการใช้หลักสูตรของ สถานศกึ ษา โดยผจู้ ดั ทำได้เรยี บเรยี งประเด็นทีเ่ ก่ียวขอ้ ง ดงั ตอ่ ไปน้ี ๑. การดำเนนิ งานการนิเทศภายในของสถานศึกษา ด้วยรปู แบบการนเิ ทศตามแนวคดิ การเรียนรู้ แบบผสมผสาน (Blended Learning) การนิเทศภายในของสถานศึกษาในรูปแบบปกติโดยใช้พื้นที่สถานศึกษาเป็นฐาน(Face to Face based on School) และการนิเทศภายในของสถานศึกษาผ่านช่องทางออนไลน์ โดยใช้เครือข่าย Internet ด้วย Platform ต่างๆ นั้นเป็นไปตามบริบทของโรงเรียนที่ผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องรู้จักครูและ นักเรยี นโดยรอบดา้ น ดว้ ยข้อมูลสารสนเทศของครู คุณภาพผเู้ รยี น จุดเดน่ จดุ พฒั นาของครูและนักเรยี นทเ่ี ปน็ แบบอย่างได้ ครูรู้จักนักเรียนโดยรอบด้านด้วยข้อมูลสารสนเทศของนักเรียนแต่ละคน คุณภาพผู้เรียนและ จดุ เด่น จดุ พัฒนาของนักเรียน และนักเรยี นที่มีคณุ ภาพตามมาตรฐานหลกั สูตรทเี่ ป็นแบบอย่างได้ ท้งั นี้ ผู้จัดทำได้ทำการสงั เคราะหแ์ นวทางเพอ่ื ขับเคล่ือนการนเิ ทศภายในของสถานศึกษา ด้วยรูปแบบการนิเทศตามแนวคิดการเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) จากเอกสารแนวทางการ ขบั เคลอ่ื นของสำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พ้ืนฐาน และศกึ ษาค้นคว้าเพิ่มเติมที่เก่ยี วข้องกับการนิเทศ

๔๔ ภายในโรงเรียนจากเอกสารทางวิชาการและผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องต่างๆ จึงได้สรุปเป็นแนวทางในการ ดำเนินงานการนิเทศภายในของโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษา ในสงั กัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริม การศึกษาเอกชน จงั หวัดสงิ ห์บุรี ไว้ดงั นี้ รูปแบบการนิเทศตามแนวคดิ การเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) รูปแบบการนเิ ทศแบบเผชญิ หนา้ โดย รปู แบบการนิเทศผ่านช่องทาง ใช้พ้ืนทส่ี ถานศึกษาเป็นฐาน ออนไลน์ (Online Supervision) ดว้ ย Platform ต่างๆ ผ่านเครือข่าย (Face to Face based on School) Internet เช่น โปรแกรม Zoom ในหอ้ งเรยี นแบบเดมิ เช่น กจิ กรรม การสงั เกตการสอน การเย่ียมชมชน้ั Could Meeting, Google เรียน การให้คำแนะนำ/ปรึกษา Classroom , Line Group เป็นตน้ Video Call เปน็ ต้น ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) สถานศึกษาสามารถเลือก รปู แบบในการนเิ ทศภายในของสถานศึกษาได้ตามความเหมาะสมเป็นไปตามบรบิ ทของแตล่ ะสถานศึกษา โดย สามารถเลือกได้ท้ังรูปแบบการนิเทศแบบเผชิญหน้าโดยใช้พื้นทส่ี ถานศึกษาเป็นฐาน ในหอ้ งเรยี นแบบเดิม เช่น มีกิจกรรมการสังเกตการสอน การเยี่ยมชมชั้นเรียน การให้คำแนะนำ/ปรึกษา เป็นต้น แต่ยังคงต้องคำนึงถึง มาตราการทางสาธารณสุขซึ่งเป็นแนวทางปฎิบัติที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำให้ใช้ในการชะลอการระบาด ของโรคโรคตดิ เชื้อไวรสั โคโรนา (COVID-19) หรอื ในบางสถานศึกษาที่มคี วามพร้อม สามารถเลือกรูปการนิเทศ ผา่ นชอ่ งทางออนไลน์ (Online Supervision) ดว้ ย Platform ต่างๆ ผ่านเครือขา่ ย Internet เช่น โปรแรกม Zoom Could Meeting, Google Classroom , Line Group Video Call เ ป ็ น ต ้ น ห ร ื อ น อ ก จ า ก นี้ สถานศึกษายงั สามารถใชร้ ูปแบบการนิเทศในทั้งสองรูปแบบ ซึ่งสอดคล้องกับรปู แบบการนเิ ทศตามแนวคิดการ เรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) อกี ดว้ ย

๔๕ ขน้ั ตอนการดำเนนิ งานการนิเทศภายในของสถานศกึ ษา ในสถานการณก์ ารแพร่ระบาดของโรคติดเชอื้ ไวรสั โคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ด้านการจัดกระบวนการเรียนรู้ของสถานศกึ ษา ซงึ่ ประกอบดว้ ย ประเดน็ ท่ี ๑ การออกแบบและจดั การเรยี นรู้เชิงรุก (Active Learning) ข้ันตอน/กิจกรรม รปู แบบการนเิ ทศ แนวทางการผสมผสาน การดำเนินงานการ ๑. สร้างความรู้ความเข้าใจแก่ รูปแบบการนเิ ทศแบบ รปู แบบการนเิ ทศผา่ น นเิ ทศภายในของ บุคลากรในโรงเรียนในด้านการ สถานศกึ ษา ออกแบบและจดั การเรียนรเู้ ชิงรุก เผชญิ หนา้ โดยใช้พ้นื ที่ ช่องทางออนไลน์ (Active Learning) -โรงเรียนทมี่ ีบคุ ลากร - วิเคราะห์มาตรฐาน ตวั ช้วี ัด/ สถานศึกษาเป็นฐาน (Online Supervision) จำนวนไม่เกิน ๒๐คน โครงสร้างรายวชิ า เพอ่ื นำไปส่กู าร สามารถจัดกจิ กรรมใน ออกแบบการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ (Face to Face based รปู แบบ F2F เช่นการจดั ประชมุ ฯ โดยคำนึงถึง on School) มาตราการทาง สาธารณสุขอยา่ ง - การประชุมปรึกษาหารอื - การประชมุ ปรึกษาหารือ เคร่งครัด -โรงเรียนทมี่ ีบุคลากร - การให้คำปรกึ ษาแนะนำ - การให้คำปรกึ ษาแนะนำ เกินกว่า ๒๐ คน ควร ดำเนินการในรูปแบบ - การประชุมปฏบิ ตั ิการ - การประชุมปฏิบตั ิการ ออนไลน์ โรงเรียนสามารถ - การอบรม/สมั มนา - การอบรม/สมั มนา ดำเนินการไดท้ ง้ั ๒ ลกั ษณะท้ังรูปแบบF2F - การระดมความคดิ - การระดมความคิด และ Online ตามความ เหมาะสมและคำนึงถงึ ดว้ ยรูปแบบออนไลน์ ผ่าน มาตราการทาง สาธารณสขุ อยา่ ง เครือข่าย Internet ดว้ ย เครง่ ครดั โปรแกรม Zoom Could Meeting, Google Classroom , Line Group Video Call เปน็ ต้น ๒. จดั ทำแผนการจัดการเรียนรู้ - การใหค้ ำปรกึ ษาแนะนำ - การใหค้ ำปรกึ ษาแนะนำ - การประชมุ ปฏบิ ัติการ ทเี่ นน้ Active Learning - การประชมุ ปฏบิ ัติการ - การอบรม/สมั มนา - การระดมความคดิ - การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ในแผน - การอบรม/สมั มนา ด้วยรูปแบบออนไลน์ ผ่าน เครอื ข่าย Internet ด้วย มีความเหมาะสม ใช้กระบวนการ - การระดมความคดิ โปรแกรม Zoom Could Meeting, Google จัดการเรียนรู้เชิงรุกให้ผู้เรียนได้มี - การศกึ ษาเอกสารวชิ าการ Classroom , Line Group Video Call เปน็ ต้น สว่ นร่วม ผา่ นการปฏบิ ัตจิ รงิ

๔๖ รูปแบบการนเิ ทศแบบ รูปแบบการนเิ ทศผ่าน แนวทางการผสมผสาน เผชญิ หนา้ โดยใช้พ้ืนที่ ช่องทางออนไลน์ การดำเนินงานการ ขั้นตอน/กจิ กรรม สถานศกึ ษาเป็นฐาน (Online Supervision) นเิ ทศภายในของ (Face to Face based สถานศกึ ษา on School) ๓. ดำเนินการนิเทศ ติดตาม ให้ - การประชุมปรึกษาหารือ - การประชุมปรกึ ษาหารือ โรงเรยี นสามารถ คำแนะนำช่วยเหลือครูผู้สอนในการ - การใหค้ ำปรึกษาแนะนำ - การให้คำปรึกษาแนะนำ ดำเนนิ การได้ท้ัง ๒ นำการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active - การสาธิตการสอน - การสาธิตการสอน ลกั ษณะทัง้ รูปแบบF2F Learning) ไปจดั การเรียนการสอน - การเยย่ี มชัน้ เรียน - การเย่ียมชนั้ เรียน และ Online เชน่ การ - การสงั เกตการจัดการเรียนรู้ - การสังเกตการจัดการ สาธิตการสอน/การ - การสนทนาเชิงวชิ าการ เรียนรู้ สงั เกตการสอนผ่าน - การสนทนาเชงิ วิชาการ Line Videoไดต้ ามความ ด้วยรูปแบบออนไลน์ ผ่าน เหมาะสมและคำนึงถึง เครือข่าย Internet ด้วย มาตราการทาง โ ปรแกรม Zoom Could สาธารณสขุ อย่าง Meeting,Google เคร่งครัด ๔. การสรปุ รายงานผลการนิเทศ เพ่ือ - การประชุมเพื่อสรุปผลการ - การประชมุ เพอ่ื สรุปผลการ โรงเรียนที่มีบคุ ลากร พฒั นาและใช้เป็นส่วนหนง่ึ ในการวาง นเิ ทศฯ นเิ ทศฯ จำนวนไม่เกิน ๒๐ คน แ ผ น ก า ร พ ั ฒ น า ค ุ ณ ภ า พ ข อ ง - การระดมความคิด - การระดมความคดิ สามารถจดั กจิ กรรมใน สถานศึกษาต่อไป ดว้ ยรูปแบบออนไลน์ ผา่ น รูปแบบ F2F เชน่ การจัด เครอื ข่าย Internet ดว้ ย ประชุมฯ สามารถทำได้ โปรแกรม Zoom Could โดยคำนงึ ถงึ มาตรากร Meeting,Google ทางสาธารณสุขอยา่ ง เคร่งครัด -โรงเรียนทม่ี บี คุ ลากร เกนิ กวา่ ๒๐ ควร ดำเนนิ การในรปู แบบ ออนไลน์