ชดุ คูม่ ือการดำเนินงานการนเิ ทศภายในของสถานศึกษา ด้วยรูปแบบการนิเทศตามแนวคิดการเรียนรแู้ บบผสมผสาน (Blended Learning) เพ่ือยกระดบั คุณภาพการศึกษาอยา่ งยง่ั ยืน ในสถานการณ์การแพรร่ ะบาดของโรคติดเชือ้ ไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ของโรงเรยี นเอกชนประเภทสามัญศกึ ษา สงั กัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศกึ ษาเอกชน จังหวัดสงิ หบ์ ุรี เล่มที่ ๑ ด้านการพฒั นาและการใช้หลกั สูตรของสถานศึกษา จัดทำโดย นายณัฐพล กองทอง ตำแหนง่ ศึกษานเิ ทศก์ วิทยฐานะศกึ ษานเิ ทศกช์ ำนาญการ สำนักงานศกึ ษาธกิ ารจงั หวัดสิงหบ์ ุรี สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธกิ าร กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
คำนำ ชุดคู่มือการดำเนินงานการนิเทศภายในของสถานศึกษา ด้วยรูปแบบการนิเทศตามแนวคิด การเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างยั่งยืน ในสถานการณ์ การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) โรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษา สังกัด สำนกั งานคณะกรรมการส่งเสรมิ การศึกษาเอกชน จงั หวดั สิงหบ์ รุ ี เล่มท่ี ๑ ดา้ นการพฒั นาและการใช้หลักสูตร ของสถานศึกษา ซึ่งประกอบด้วยขอบข่ายการนิเทศ ๑) การจัดทำหลักสูตรของสถานศึกษา และ ๒) การนำ หลักสูตรสถานสถานศึกษาสู่การจัดการเรียนรู้ ซึ่งชุดคู่มือเล่มนี้จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นแนว ทางการขับเคลอ่ื นกระบวนการนิเทศภายในของสถานศกึ ษาและเพ่ือใช้เปน็ แนวทางการสร้างความเข้มแข็งของ การนิเทศภายในโรงเรียนด้านการพัฒนาและการใช้หลักสูตรของสถานศึกษา ภายใต้สถานการณ์การแพร่ ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ของโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษา ในสังกัด สำนกั งานคณะกรรมการสง่ เสรมิ การศึกษาเอกชน จงั หวดั สงิ ห์บรุ ี ผู้จัดทำได้ตระหนักและเห็นความสำคัญในเรื่องดังกล่าว จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง ดำเนินการยกระดบั การบรหิ ารและการจัดการศึกษาใหม้ ีประสิทธิภาพสงู ขึ้น ดว้ ยรูปแบบการนเิ ทศตามแนวคิด การเรียนรูแ้ บบผสมผสาน (Blended Learning) ซึ่งมีความเหมาะสม และสอดคล้องกบั สถานการณ์ในปัจจุบัน ในยุคการจัดการศึกษาวิถีใหม่ ที่ต้องปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องเหมาะสมกับสถานการณ์และเป็นไปตาม มาตราการสาธารณสขุ อยา่ งเครง่ ครัด ผู้จัดทำจงึ ไดจ้ ัดทำชุดคมู่ ือฯ น้ใี หก้ บั ผู้นเิ ทศและผูร้ บั การนิเทศ ตลอดจน ผูม้ ีส่วนเกี่ยวขอ้ งภายในสถานศึกษา เพอื่ เปน็ แนวทาการสร้างความเขม้ แข็งของการนเิ ทศภายในโรงเรยี นให้แก่ โรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศกึ ษา ในสงั กัดสำนกั งานคณะกรรมการส่งเสรมิ การศึกษาเอกชน จังหวดั สิงห์บุรี ต่อไป ขอบขอบพระคุณ ผศ.ดร.ประยูร บุญใช้ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ท่านศึกษาธิการจังหวัดสิงห์บุรี ท่านรองศึกษาธิการจังหวัดสิงห์บุรี ผู้อำนวยการกลุ่ม นิเทศ ติดตาม และประเมินผล คณะศึกษานิเทศก์ และบุคลากรสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสิงห์บุรี ทุกท่าน ตลอดจนคณะผู้บริหารสถานศึกษา คณะครู บุคลากรทางการศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริม การศึกษาเอกชน จังหวัดสิงห์บุรีทุกท่าน ที่ได้ให้ความอนุเคราะห์ข้อมูลประกอบในการจัดทำเอกสารฉบับนี้ จนสำเรจ็ ลุลว่ งดว้ ยดี (นายณัฐพล กองทอง) ศึกษานเิ ทศกช์ ำนาญการ สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสิงห์บุรี ก
สารบญั เรอ่ื ง/หัวขอ้ หนา้ คำนำ ก สารบัญ ข ส่วนที่ ๑ บทนำ ๑ สว่ นที่ ๒ แนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวขอ้ ง ๘ ส่วนท่ี ๓ การดำเนินงานการนิเทศภายในของสถานศึกษา ด้วยรูปแบบการนิเทศตามแนวคดิ ๔๓ การเรยี นรแู้ บบผสมผสาน (Blended Learning) เพอื่ ยกระดบั คุณภาพการศกึ ษาอยา่ ง ๕๓ ย่ังยนื ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคตดิ เชอื้ ไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (Covid-19) ๘๔ ส่วนที่ ๔ การรายงานผลการนเิ ทศภายในของสถานศกึ ษาและเครื่องมือการนเิ ทศ ๘๖ บรรณานุกรม ประวตั ิของผูจ้ ัดทำ ข
๑ ส่วนท่ี ๑ บทนำ ความเปน็ มาและความสำคัญของปญั หา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ในหมวด ๑๖ การปฏิรูปประเทศ มาตรา ๒๕๘ ได้ให้มีกลไกและระบบการผลิตคัดกรองและพัฒนาผู้ประกอบวิชาชีพครู และอาจารย์ให้ได้ผู้มีจิต วิญญาณของความเป็นครู มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริงได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับความสามารถ และประสิทธิภาพในการจัดการเรียนการสอน รวมทั้งมีกลไกลในการสร้างระบบคุณธรรมในการบริหารงาน บุคคลของผู้ประกอบวิชาชีพครู โดยให้สอดคล้องกนทั้งในระดับชาติและระดับพื้นท่ี (สำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต ๒, ๒๕๖๓ : หน้า ๓) นอกจากจากนี้ ยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๑ – ๒๕๘๐) ตามเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเพื่อให้ประเทศไทยบรรลุวิสัยทัศน์ “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนา ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง” โดยยุทธศาสตร์ที่ ๓ ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ มีเป้าหมายในการ พัฒนาที่สำคัญเพื่อพัฒนาในทุกมิติและในช่วงวัยให้เป็นคนดี เก่งและมีคุณภาพ พร้อมสำหรับวิถีชีวิตใน ศตวรรษที่ ๒๑ โดยมุ่งเน้นผู้เรียนให้มีทักษะการเรียนรู้และมีใจใฝ่เรียนรู้ตลอดเวลา มีการออกแบบระบบการ เรียนรู้ใหม่ การเปลี่ยนบทบาทครู การเพิ่มประสิทธิภาพระบบบริหารการจัดการศึกษาและการพัฒนาระบบ การเรียนรู้ตลอดชีวติ (สำนักงานเลขาธิการสภาผูแ้ ทนราษฎร, ๒๕๖๐ : หน้า ๕) สอดคล้องกับแผนการศึกษา แห่งชาติ พุทธศักราช ๒๕๖๐ - ๒๕๗๙ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การพัฒนาศักยภาพคนทุกช่วงวัยและการสร้างสงั คม แหง่ การเรียนรู้ มีเปา้ หมายให้ผเู้ รียนมีทักษะและคุณลักษณะพ้ืนฐานของพลเมืองไทย ทกั ษะและคุณลักษณะท่ี จำเป็นของผู้เรียนในศตวรรษที่ ๒๑ มีทักษะความรู้ความสามารถและสมรรถนะตรงตามมาตรฐานการศึกษา มาตรฐานวิชาชีพและพัฒนาคุณภาพชีวิตได้ตามศักยภาพสถานศึกษาในทุกระดับการศึกษา สามารถจัด กจิ กรรม/ออกแบบกระบวนการจัดการเรียนรูต้ ามหลักสูตรอย่างมีคุณภาพและมีมาตรฐาน รวมทงั้ แหล่งเรียนรู้ ส่อื ตำราเรยี น และนวัตกรรม ประชาชนสามารถเข้าถึงได้โดยไมจ่ ำกัดเวลาและสถานที่ มรี ะบบและกลไกลการ วัด การตกำกับติดตามและประเมินผล ที่มีประสิทธิภาพ มีระบบการผลิตครูอาจารย์และบุคลากรทางการ ศึกษาที่ได้คุณุณภาพ มีมาตรฐาน ในระดับสากล ครูอาจารย์ตลอดจนบุคลากรทางการศึกษาได้รับการพัฒนา สมรรถนะตรงตามมาตรฐานเพื่อการพัฒนาและยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างยั่งยืน (สำนักงานเลขาธิการ สภาการศกึ ษา, ๒๕๖๐ : หนา้ ๑๐๘) พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๒ (สำนกั งานเลขาธิการสภาการศึกษา, ๒๕๖๐ : หน้า ค ) ไดก้ ำหนดทิศทางและกรอบแนวทางการศึกษาของชาติ ไว้หลายประการ เชน่ การปฏริ ูปกระบวนการ บรหิ ารงานด้านการศึกษา ๕ ด้าน ได้แก่ ดา้ นการศึกษา ด้านการ เรยี นรู้ ดา้ นการบรหิ ารและการจัด การศึกษา ดา้ นครูและบุคลากรทางการศึกษา ดา้ นทรพั ยากรและการลงทุน ทางการศึกษา ประกอบกับ การบัญญัติให้สถานศึกษาเป็น “นิติบุคคล” ในกฎหมายว่าด้วยพระราชบัญญัติ ระเบียบบริหารราชการ กระทรวงศึกษาธิการ ฉบับที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยบัญญัติให้มีการกระจายอำนาจการ
๒ บริหารจัดการศึกษา โดยเฉพาะด้านการนิเทศการศึกษา ได้กำหนดแนวทางปฏิบัติไว้ อาทิเช่น จัดระบบการ นิเทศงานวิชาการ และการเรียนการสอนภายในสถานศึกษา ดำเนินงานนิเทศงานวิชาการและการเรียนการ สอนในรูปแบบ หลากหลายและเหมาะสมกับสถานศึกษา การประเมินผลการจดั ระบบและกระบวนการนิเทศ การศึกษาใน สถานศึกษา รวมทั้งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และการจัดระบบการนิเทศการศึกษาภายใน สถานศกึ ษา ประกอบกบั แผนการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐–๒๕๗๙ ในยุทธศาสตรท์ ี่ ๓ การพัฒนาศักยภาพ คนทุก ช่วงวัยและการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้มีเป้าหมายให้ผู้เรียนมีทักษะ และคุณลักษณะพื้นฐานของ พลเมือง ไทย มีทักษะและคุณลักษณะที่จำเป็นในศตวรรษที่ ๒๑ มีทักษะความรู้ความสามารถและสมรรถนะ ตาม มาตรฐานการศึกษาและมาตรฐานวิชาชีพและพัฒนาคุณภาพชีวิตได้ตามศักยภาพ สถานศึกษาทุกระดับ การศึกษาสามารถจัดกิจกรรม/กระบวนการเรียนรู้ตามหลักสตู รอย่างมีคุณภาพและมาตรฐานแหล่ง เรยี นรู้ ส่ือ ตำราเรยี น นวตั กรรมและสื่อการเรียนร้มู ีคุณภาพและมาตรฐาน การพัฒนาคุณภาพศึกษาให้เกิดคุณภาพเพื่อให้เกิดความยั่งยืนนั้น สิ่งหนึ่งที่ต้องมีการพัฒนาคือต้อง เปน็ การพฒั นาคุณภาพของผู้เรียนให้เชือ่ มั่นว่าผ้เู รยี นจะมีคุณภาพตาม หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ และมาตรฐานการเรียนรู้และ ตัวชี้วัด (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) และหลักสูตร การศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ซึ่งเป็นหลักสูตรแกนกลางของประเทศที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคนซึ่งเป็น กาํ ลงั ของชาตใิ หเ้ ปน็ มนุษยท์ ่มี คี วามสามารถท้งั ด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มจี ิตสํานึกในความเป็นพลเมือง ไทย พลเมืองโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจตคติที่จําเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพและการศึกษาตลอด ชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนบนพื้นฐานความเชื่อว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มศักยภาพ (กระทรวงศึกษาธิการ. ๒๕๕๑ : หน้า ๔) ตลอดจนมีทักษะที่จำเป็นของผู้เรียนในศตวรรษที่ ๒๑ นั้น จะต้องมี กระบวนการสู่ความสำเร็จในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ๓ กระบวนการ คือ กระบวนการบริหาร กระบวนการเรียนการสอน และกระบวนการนิเทศการศึกษา ซึ่งกระบวนการนิเทศ การศึกษา เป็นภารกิจ จำเป็นต่อการจัดการศึกษาที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากบุคลากรหลายฝ่ายโดยเฉพาะ อย่างยิ่งทางด้านการ พัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนที่เป็นเป้าหมายสุดท้าย บุคลากรที่เกี่ยวข้อง ในหน่วยงานจัดการศึกษา จำเป็นต้องพัฒนาและปรับปรุงตนเองให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้ การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพ ซึ่งการนิเทศการศึกษาเป็นกระบวนการที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อ ช่วยเหลือ ชี้แนะและพัฒนางานให้ ประสบผลสำเรจ็ ทันต่อสภาพความเปลยี่ นแปลงทเ่ี กิดขนึ้ อีกทง้ั เป็น องคป์ ระกอบสำคญั ทช่ี ่วยเหลือ สนับสนนุ ให้กระบวนการบริหาร และกระบวนการเรียนการสอนมีคุณภาพ ตามมาตรฐานการศึกษาของประเทศ กระบวนการขับเคลื่อนคุณภาพการศึกษาด้วยกระบวนการการนิเทศ การศึกษาโดยเฉพาะการนิเทศภายใน สถานศกึ ษามีความสำคญั ต่อการพัฒนา ปรบั ปรุง และเพิม่ ประสทิ ธภิ าพในการจดั การการศึกษาในสถานศึกษา เพื่อให้บุคลากรมีความรู้ความเข้าใจในด้านการบริหาร จัดการ ด้านหลักสูตร การจัดการเรียนการสอนที่มี ประสิทธิภาพ รวมทั้งการปฏิบัติงานอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อ การพัฒนาคุณภาพการศึกษา และเป็นองค์กรแห่งการ เรียนรู้เป็นองค์กรที่สมาชิกได้พัฒนาขีดความสามารถ ของตนเพื่อการสร้างสรรค์งานและการบรรลุเป้าหมาย ของงานอยา่ งตอ่ เน่อื ง
๓ การนิเทศเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับหน่วยงานทุกระดับ ดังนั้นภารกิจที่สำคัญประการหนึ่งของผู้บริหารก็ คือ การนิเทศ โดยเฉพาะการนิเทศการสอนของครูให้มีการพัฒนาและส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ให้บรรลุ วัตถุประสงค์ เพราะการนิเทศมีความสำคัญต่อการเรียนการสอนเป็นอย่างยิ่ง เพราะในบางครั้งแม้ครูอาจารย์ จะได้ใช้ความสามารถในการจัดกิจกรรมตามที่วางแผนไว้แล้วก็ตาม อาจจะมีบางสิ่งบางอย่างขาดตกบกพร่อง ทำใหก้ ารสอนขาดความสมบูรณ์ดังนัน้ หากมีบุคคลอน่ื ไดช้ แ้ี นะ แนะนาํ ให้ความชว่ ยเหลือ ก็ยอ่ มเกิดผลดี การ นิเทศจึงเปรียบเหมือนกระจกเงาที่คอยส่องให้เห็นภาพการสอนของครูและเป็นกระ บวนการที่เสริมสร้างการ สอนของครูให้มีประสิทธิภาพ และจากกระบวนการดังกล่าว ประกอบกับผู้ที่ทำหน้าที่นิเทศการจัดการเรียน การสอน คือ ศึกษานิเทศก์ ในปัจจุบันที่มีจำนวนไม่เพียงพอ ดังนั้น กระบวนการนิเทศภายในของสถานศกึ ษา จึงต้องมีความสำคัญและมีความจำเปน็ อย่างย่ิง ซ่ึงจะทำให้สถานศกึ ษาน้ันเกิดกระบวนการนิเทศอย่างต่อเน่ือง และยงั่ ยืน จากผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ปีการศึกษา ๒๕๖๒ ของผู้เรียน ระดับช้นั ประถมศึกษาปีที่ ๖ และระดบั ช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี ๓ โรงเรยี นในสังกดั สำนกั งานคณะกรรมการส่งเสริม การศึกษาเอกชน จังหวัดสิงห์บุรี ในภาพรวมทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้มีคะแนนเฉลี่ยไม่ถึงร้อยละ ๕๐ ยกเว้น กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย รายงานผลการประเมินคุณภาพผู้เรียน (NT) ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ ปีการศึกษา ๒๕๖๒ พบว่า มีคะแนนเพิ่มสูงขึ้นจากปีการศึกษา ๒๕๖๑ แต่ยังมีคะแนนเฉลี่ยไม่ถึงร้อยละ ๕๐ ความสามารถด้านภาษาไทย คะแนนเฉล่ียรอ้ ยละ ๔๑.๑๓ ความสามารถดา้ นคณิตศาสตร์ คะแนนเฉล่ียร้อยละ ๔๔.๐๒ รวมทั้ง ๒ ด้าน ผลคะแนนเฉลี่ยร้อยละ ๔๒.๕๘ และรายงานผลการทดสอบความสามารถด้านการ อา่ นของผูเ้ รียน (RT) ระดบั ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ ๑ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๒ พบวา่ สมรรถนะดา้ นการอ่านออกเสียง ผลคะแนนเฉลี่ย ร้อยละ ๖๘.๕๐ ระดับคุณภาพ ดี สมรรถนะด้านการอ่านรู้เรื่อง ผลคะแนนเฉลี่ย ๗๒.๘๑ ระดับคุณภาพ ดี รวมสมรรถนะทั้ง ๒ ด้าน ผลคะแนนเฉลี่ยร้อยละ ๗๐.๖๖ ระดับคุณภาพ ดี (สำนักงาน ศกึ ษาธิการจังหวัดสงิ หบ์ รุ ี, ๒๕๖๓ : หน้า ๙) การนิเทศตามแนวคิดการเรียนรูแ้ บบผสมผสาน (Blended Learning) เป็นรูปแบบการนิเทศอีกแบบ หนึ่งที่มีความสอดคล้องกับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ ที่ต้องมีการผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับเนื้อหาและ วิธีการนิเทศโดยใช้เทคโนโลยีสนับสนุนทฤษฎีการเรยี นรู้รปู แบบใหมใ่ นการพัฒนาเนื้อหาและทักษะ ใช้ส่ือผสม อย่างหลากหลาย ปรับเปลี่ยนตามความสามารถและระดับของผู้รับการนิเทศ (สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนา ประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ), ๒๕๖๐, หน้า ๒) นอกจากนี้จากการศึกษาเกี่ยวกับแนวโน้มในการนิเทศในทศวรรษ หน้า พบว่า เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตจะมีบทบาทในการนิเทศการศึกษา ทั้งนี้เป็นเพราะว่าอินเทอร์เน็ตเป็น ช่องทางในการสื่อสารข้อมูลเป็นเครือขา่ ยนานาชาติ ถูกนำมาใช้ในการเรยี นรู้ และมีงานวิจยั มากมายรองรับว่า ทำให้เกิดการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี ไม่แตกต่างจากการเรียนการสอนตามปกติและการนำเทคโนโลยีออนไลน์ (Online Learning Activities) เข้ามาผสมผสานกับการเรียนการสอนแบบปกติซึ่งเป็นการรวมกันระหว่างช้ัน เรียนแบบดั้งเดิม (Traditional Classroom) มีชื่อเรียกเฉพาะว่าการจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสาน (Blended Learning) เป็นรูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่ผสมผสานการเรียนบนเว็บและการเรียนใน หอ้ งเรยี นเขา้ ดว้ ยกนั
๔ ทำให้เกิดการเรียนที่ยืดหยุ่น ตอบสนองต่อความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียนทั้งด้านรูปแบบการเรียน รูปแบบการคิด ความสนใจ และความสามารถของผู้เรียนแต่ละคน ผู้เรียนสามารถศึกษาและฝึกปฏิบัติด้วย ตนเองไดท้ ุกเวลาจากทุกสถานที่ตามความต้องการของตนเองและสามารถพัฒนาผู้เรยี นใหเ้ กิดการเรียนรู้อย่าง มีความหมายโดยใช้สงิ่ แวดลอ้ มออนไลน์ และส่งิ แวดล้อมในช้นั เรยี น (ปณติ า วรรณพิรณุ , ๒๕๕๑, หน้า ๑๐๐) สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสิงห์บุรี มีบทบาทหน้าท่ีในการกำกับดูแลโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญ ศกึ ษา ในสังกดั สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จังหวัดสงิ หบ์ รุ ี จำนวน ๑๑ โรงเรยี น ซึ่งโรงเรียนตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอ ๖ อำเภอ แต่ละโรงเรียนมีความหลากหลายแตกต่างกันตามบริบทของ โรงเรียนทั้งมาตรฐานและคุณภาพการจัดการศึกษา สถานศึกษาบางแห่งมีนักเรียนจำนวนมาก บางแห่งมี จำนวนนักเรียนนอ้ ยมาก บางแหง่ รบั นกั เรียนจากพ้นื ทภี่ ูเขาท่ีมีความแตกต่างทางดา้ นชาติพันธุ์ วัฒนธรรมชีวิต ความเป็นอยู่ ประกอบกับจำนวนศกึ ษานิเทศก์มจี ำนวนเพียง ๔ คน ทำให้กระบวนการนิเทศภายในโรงเรียนมี ความแตกต่างกัน การนิเทศยังขาดความต่อเนื่องและความเป็นเอกภาพที่สอดคล้องกับบริบทเชิงพื้นท่ี สถานศึกษายังมีความต้องการให้มีการพัฒนาระบบนิเทศภายในโรงเรียนให้มีความเข้มแข็งและต่อเนื่อง ประกอบกับในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ในช่วงปี การศึกษา ๒๕๖๓ - ๒๕๖๔ จึงส่งผลให้ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดการเรียนการสอนปกติในห้องเรียน แบบเดิม ไปสู่การจัดการเรียนการสอนทางไกลที่จะเป็นวิถีการเรียนรู้ใหม่ในยุคปัจจุบัน ดังนั้นกลุ่มนิเทศ ติดตาม และประเมินผล สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสิงห์บุรี จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินการ ยกระดับคุณภาพการศึกษาด้วยการใชก้ ระบวนการนิเทศภายในสถานศกึ ษาเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียน และใช้ เป็นแนวทางขับเคลื่อนการพัฒนาระบบการนิเทศภายในเพือ่ สง่ เสริมสนับสนุนกิจกรรม การเรียนการสอนให้มี มาตรฐานและทัดเทียมสอดรับการการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ โดยได้จัดทำชุดคู่มอื การดำเนนิ งานการ นิเทศภายในของสถานศึกษา ด้วยรูปแบบการนิเทศตามแนวคิดการเรียนรู้แบบผสมผสาน ( Blended Learning) เพือ่ ยกระดับคุณภาพการศึกษาอยา่ งยัง่ ยนื ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโร นา ๒๐๑๙ (COVID-19) โรงเรียนเอกชนประเภทสามญั ศึกษา สงั กดั สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษา เอกชน จงั หวดั สิงหบ์ ุรี วัตถุประสงค์ ๑. เพื่อพัฒนาชุดคู่มือที่เป็นแนวทางการขับเคลื่อนกระบวนการนิเทศภายในของสถานศึกษา ตามแนวคิดการเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ของโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษา ในสงั กดั สำนกั งานคณะกรรมการส่งเสรมิ การศึกษาเอกชน จังหวดั สงิ หบ์ ุรี ๒. เพื่อเสริมสร้างกระบวนการนิเทศภายในของสถานศึกษาตามแนวคิดการเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) ด้านการพัฒนาและการใช้หลักสูตรของสถานศึกษา และด้านการจัด กระบวนการเรียนรู้ของโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษา ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการ ส่งเสริมการศึกษาเอกชน จงั หวัดสงิ หบ์ ุรี
๕ เป้าหมาย ๑. ผู้บริหารสถานศึกษา ครูและบุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษา ใน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จังหวัดสิงห์บุรีมี ความตระหนัก มีความรู้ความเข้าใจ และดำเนินการขับเคล่ือนการนิเทศภายในโรงเรียนโดยกำหนดนโยบาย สนับสนุนส่งเสริมให้ดำเนนิ การ นิเทศ ภายในทกุ โรงเรยี นไดอ้ ย่าง มปี ระสิทธิภาพ ๒. ผู้บริหารสถานศึกษาของโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษา ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการ ส่งเสริมการศึกษาเอกชน จังหวัดสิงห์บุรี มีความรู้ความเข้าใจและสามารถดำเนินการนิเทศภายในโรงเรียนได้ อย่างมปี ระสิทธภิ าพ ๓. ครูผู้สอนของโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษา ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริม การศึกษาเอกชน จังหวัดสิงห์บุรี ได้รับการนิเทศอย่างทั่วถึง และสามารถพัฒนาด้านการพัฒนาและการใช้ หลักสูตรของสถานศึกษา และด้านการจัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อนำไปสู่พัฒนาคุณภาพผู้เรียนได้ อย่างมี ประสิทธภิ าพ ขอบขา่ ยการนเิ ทศ เล่มท่ี ๑ ดา้ นการพัฒนาและการใชห้ ลกั สตู รของสถานศึกษา ประกอบด้วย ๑.๑ การจดั ทำหลกั สตู รของสถานศึกษา (ตามองค์ประกอบของหลักสูตรสถานศกึ ษา) ๑.๒ การนำหลักสตู รสถานสถานศกึ ษาสู่การจัดการเรียนรู้ (หลกั สตู รระดบั ชน้ั เรียน) เลม่ ท่ี ๒ ดา้ นการจดั กระบวนการเรยี นรู้ของสถานศกึ ษา ประกอบดว้ ย ๒.๑ การออกแบบและจัดการเรียนร้เู ชงิ รุก (Active Learning) ๒.๒ การใชส้ อ่ื เทคโนโลยีสารสนเทศ และแหลง่ เรียนรทู้ เ่ี ออื้ ตอ่ การเรยี นรู้ ๒.๓ การวดั และประเมนิ ผล กลุ่มเปา้ หมาย ประกอบด้วย ผูบ้ รหิ ารสถานศึกษา คณะครู และบคุ ลากรทางการศึกษา ของโรงเรยี นเอกชนประเภท สามัญศกึ ษา ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการสง่ เสริมการศึกษาเอกชน จงั หวดั สิงห์บรุ ี จำนวน ๑๑ โรงเรยี น ไดแ้ ก่ ๑. โรงเรยี นอินทโมลปี ระทาน อำเภอเมอื งสิงหบ์ รุ ี จังหวดั สิงห์บุรี (ระดบั ปฐมวยั - ม.๓) ๒. โรงเรียนใจเพยี รวทิ ยานสุ รณ์ อำเภอทา่ ชา้ ง จงั หวดั สงิ หบ์ ุรี (ระดับปฐมวยั - ป.๖) ๓. โรงเรียนวจิ ติ รศกึ ษา อำเภอบางระจนั จงั หวัดสงิ ห์บรุ ี (ระดับปฐมวัย - ป.๖) ๔. โรงเรยี นพระกุมารเยซู สิงห์บรุ ี อำเภอพรหมบรุ ี จงั หวดั สงิ ห์บรุ ี (ระดับปฐมวัย - ม.๓) ๕. โรงเรียนนาคประดษิ ฐ์วิทยา อำเภอพรหมบรุ ี จังหวัดสงิ หบ์ ุรี (ระดับปฐมวัย - ม.๓) ๖. โรงเรยี นอินทโมลปี ระทาน ๒ (ค่ายบางระจนั ) อำเภอคา่ ยบางระจัน จังหวดั สิงหบ์ ุรี (ระดบั ปฐมวัย - ป.๖)
๖ ๗. โรงเรียนอดุ มศิลป์ (โพธลิ ังการม์ ูลนิธิ) อำเภออนิ ทร์บุรี จงั หวดั สงิ ห์บุรี (ระดับปฐมวยั - ม.๓) ๘. โรงเรยี นสามัคคีวิทยา อำเภออนิ ทรบ์ ุรี จังหวัดสิงห์บรุ ี (ระดบั ป.๑ - ม.๓) ๙. โรงเรยี นศรีอุดมวทิ ยา อำเภออินทรบ์ รุ ี จังหวัดสงิ ห์บุรี (ระดับปฐมวยั - ป.๖) ๑๐.โรงเรยี นปราสาทวิทยา อำเภออินทร์บรุ ี จังหวัดสงิ หบ์ รุ ี (ระดบั ปฐมวัย - ป.๖) ๑๑.โรงเรียนสงิ หอ์ ุดมวทิ ยา อำเภออินทรบ์ ุรี จังหวดั สิงหบ์ รุ ี (ระดบั ปฐมวยั - ม.๓) ระยะเวลาการดำเนนิ งาน ระยะท่ี ๑ มนี าคม - เมษายน ๒๕๖๔ ระยะที่ ๒ พฤษภาคม - กรกฎาคม ๒๕๖๔ นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ ๑. ชดุ ค่มู ือการดำเนินงานการนิเทศภายในของสถานศึกษา หมายถงึ เอกสารแนวทางการดำเนนิ งาน การนิเทศภายในของสถานศึกษา ซึ่งประกอบด้วย ๒ ด้าน ได้แก่ ด้านการพัฒนาและการใช้หลักสูตรของ สถานศึกษา และด้านการจัดกระบวนการเรียนรู้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นแนวทางในการขับเคลื่อน กระบวนการนิเทศภายในและเพื่อเป็นแนวทางการสร้างความเข้มแข็งของการนิเทศภายในโรงเรียนด้านการ พัฒนาและการใช้หลักสูตรของสถานศึกษา และด้านการจัดกระบวนการเรียนรู้ของโรงเรียนเอกชนประเภท สามญั ศึกษา ในสงั กัดสำนกั งานคณะกรรมการสง่ เสรมิ การศกึ ษาเอกชน จงั หวดั สิงห์บุรี ๒. การนเิ ทศภายในของสถานศึกษา หมายถึง การใหค้ ำแนะนำ การชี้แนะ ช่วยเหลือ ให้คำปรึกษา เพื่อแก้ไขปรับปรุงพัฒนา การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของครูสอนให้มีประสิทธิภาพ ที่ส่งผลให้นักเรียนมี คณุ ภาพตรงตามมาตรฐานของหลกั สตู ร และเพื่อเป็นการยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างยั่งยืน ๓. การนิเทศตามแนวคดิ การเรยี นรูแ้ บบผสมผสาน (Blended Learning) หมายถึง รูปแบบ กระบวนการการนิเทศ ติดตามการดำเนินงานการนิเทศภายในของสถานศึกษา ด้วยกิจกรรมการนิเทศท่ี หลากหลายวธิ ีผสมผสานตามหลักการเรยี นรู้แบบผสมผสาน(Blended Learning) ภายใต้สถานการณ์การแพร่ ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา ๒๐๑๙ (Covid-19) ซึ่งในที่นี้ ผู้จัดทำได้รวบรวมและสามารถแบ่งออกได้ ดังน้ี ๓.๑ รปู แบบการนิเทศแบบเผชิญหนา้ โดยใชพ้ ื้นทีส่ ถานศึกษาเปน็ ฐาน (Face to Face based on School) ได้แก่ การสังเกตการสอน การเยี่ยมชมชั้นเรียน หรือกิจกรรมการให้คำแนะนำ ปรึกษา ระหว่างผู้รบั การนิเทศและผ้นู เิ ทศ โดยเปน็ กจิ กรรมท่จี ัดขนึ้ ณ สถานศึกษานั้นๆ ๓.๒ รปู แบบการนิเทศผา่ นชอ่ งทางออนไลน์(Online Learning) ดว้ ย Platform ตา่ งๆ โดย ใช้เครือข่าย Internet เช่น โปรแกรม Zoom Could Meeting , Google Classroom , Line Group Video Call Facebook เป็นตน้
๗ ๔. การพัฒนาและการใช้หลกั สตู รของสถานศึกษา หมายถึง การจดั ทำและพัฒนาหลกั สูตรรายวิชา พื้นฐาน รายวิชาเพิ่มเติม และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ให้สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ เหมาะสมกับบริบทของโรงเรียน เพื่อเป็นการยกระดับคุณภาพการศึกษอย่างยั่งยืน ซ่ึง ประกอบด้วย การจัดทำหลักสูตรของสถานศึกษา ตามองค์ประกอบของหลักสูตรสถานศึกษา และการนำ หลักสูตรสถานสถานศึกษาสู่การจดั การเรยี นรู้ (หลกั สตู รระดับช้ันเรียน) โดยมีการนำหลักสตู รสู่ห้องเรียน การประเมินการใช้หลักสูตรและนำผลการประเมินไปใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรอย่างเป็นระบบ และตอ่ เนื่อง ๕. การจัดกระบวนการเรียนรู้ของสถานศกึ ษา หมายถงึ วิธกี าร รปู แบบ กิจกรรม ท่ีครผู ู้สอนหรอื ผเู้ กย่ี วขอ้ ง ไดเ้ ลอื กนำมาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพ่ือใหผ้ ูเ้ รียนเกดิ การเรียนรู้ ในเรื่อง หรอื ประเดน็ นั้นๆ โดยในทน่ี ี้ สามารถแบง่ ออกได้ดังนี้ ๑) ดา้ นการออกแบบและจัดการเรียนร้เู ชิงรุก (Active Learning) ๒) ด้าน การใชส้ อ่ื เทคโนโลยีสารสนเทศ และแหล่งเรยี นร้ทู ่เี ออ้ื ตอ่ การเรยี นรู้และ ๓) ด้านการวัดและประเมินผล ๖. การออกแบบและจัดการเรียนรู้เชงิ รกุ (Active Learning) หมายถึง การจัดกระบวนการเรียนรู้อีก รูปแบบหนึ่ง ที่เปิดดอกาสให้ให้นักเรียนได้เรียนรู้ด้วยการลงมือปฏิบัติจริง มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ ซึ่งถือว่าเป็นการเรียนรู้อย่างมีความหมาย โดยเกิดการร่วมมือระหว่างนกั เรียนด้วยกัน และจะเกิดการ เรียนรู้ที่คงทนถาวรกว่าการเรยี นรใู้ นรูปแบบเดมิ ๆ ๗. การใช้ส่อื เทคโนโลยีสารสนเทศและแหล่งเรียนรู้ หมายถึง ข้นั ตอนในการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ของ ครูผู้สอน ที่ได้ใช้สื่อ วัสดุ อุปกรณ์ แหล่งเรียนรู้ สถานที่ ตลอดจนเครื่องมือเทคโนโล ยีสารสนเทศสมัยใหม่ นำมาใช้เปน็ สอื่ ทีก่ ่อใหเ้ กิดการเรยี นรู้ และทำใหก้ ารจดั กกิ จรรมการรเรียนรู้ของครผู ู้สอนบรรลวุ ตั ถุประสงค์ ๘. การวัดและประเมินผล หมายถึง กระบวนการในวัดคุณภาพ/คุณลักษณะของผู้เรียน ที่จะนำไปสู่ การตดั สิน/วนิ ิจฉัย/ประเมินค่า ผูเ้ รยี น ซ่ึงเป็นกระบวนการหนง่ึ ท่ีอยู่ในกระบวนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ของ ครผู ู้สอน และจะมีประโยชน์ต่อกระบวนการเรียนการสอนเป็นอย่างย่ิงเพราะว่าเป็นเคร่ืองมืออย่างหนึ่งในการ ตดั สนิ ใจของครู ผู้บริหารและนกั การศึกษาหรอื ผทู้ ่เี กีย่ วข้อง ๙. โรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษา หมายถึง โรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริม การศึกษาเอกชน ในจังหวดั สิงห์บุรี ที่เป็นสถานศึกษาที่จัดการศึกษาตามหลักสตู รของกระทรวงศึกษาธิการใน ระดับต่าง ๆ ได้แก่ ระดับก่อนประถมศึกษา (เตรียมอนุบาล อนุบาล) ระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษา (มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ มัธยมศึกษาตอนปลาย)
๘ สว่ นท่ี ๒ แนวคดิ ทฤษฎีท่เี กี่ยวข้อง ชุดคูม่ ือการดำเนนิ งานการนิเทศภายในของสถานศกึ ษา ของโรงเรยี นเอกชนประเภทสามัญศกึ ษา ในสงั กดั สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จงั หวดั สงิ ห์บุรี เลม่ นไ้ี ดน้ ำแนวคิด ทฤษฎีในด้านการ นิเทศ และการนิเทศภายในมาใช้เป็นแนวคิดหลัก ซึ่งกระบวนการนิเทศภายในนั้นถือว่าเป็นกระบวนที่มี ความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง ในการพัฒนาคุณภาพของสถานศึกษา เพราะเป็นกระบวนการหนึ่งชองระบบ โรงเรยี น ซง่ึ ประกอบด้วย ผนู้ ิเทศ และผูร้ บั การนิเทศ การดำเนนิ งานการนิเทศภายในนั้น มีผลต่อคุณภาพการ เรียนการสอนของครูผู้สอน โดยยึดหลักสำคัญว่า การสอนเป็นพฤติกรรมที่เรียนรู้ได้ และการเรียนรู้เป็นการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในทางที่ดีขึ้น ผู้นิเทศสามารถนิเทศครูผู้สอนเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมใน การเรียนการสอนได้ เพอ่ื ปรับปรุงและพัฒนาการเรียนการสอนให้ดียิง่ ขน้ึ จงึ จดั ได้ว่า การนิเทศภายในโรงเรียน เป็นการใหก้ ารศึกษาต่อเนื่องแก่ครูผู้สอนในโรงเรียน (ปรียาพร วงศอ์ นุตรโรจน์. ๒๕๔๖ : หน้า ๒๐-๒๑) ซึ่งใน ทน่ี ้ี ผจู้ ัดทำได้รวบรวมแนวคิด ทฤษฎี และงานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ไวด้ ังน้ี ๑. แนวคิดพน้ื ฐานและทฤษฎีท่เี กี่ยวขอ้ งกับการนเิ ทศการศกึ ษา ๒. ความรู้เบือ้ งตน้ ท่เี กยี่ วขอ้ งกับการนิเทศภายในสถานศกึ ษา ๓. รูปแบบการนเิ ทศตามแนวคดิ การเรียนรูแ้ บบผสมผสาน (Blended Learning) ๑. แนวคดิ พื้นฐานและทฤษฎีทเ่ี กีย่ วข้องกบั การนเิ ทศการศกึ ษา ผู้จัดทำได้ทำการรวบรวมองค์ความรู้ด้านการนิเทศการศึกษา รวมทั้งแนวคิดทฤษฎีต่างๆ และท่ี เกี่ยวข้อง โดยขอสรปุ เป็นประเด็นต่างๆ ดังน้ี ความหมายของการนิเทศการศกึ ษา คำว่า การนิเทศ (Supervision) หมายถึง การให้คำแนะนำ ชี้แนะ ให้คำปรึกษา หรือปรับปรงุ ให้ดีขึ้น ดังนั้นการนิเทศการศึกษาก็น่าจะหมายถึงการให้ความช่วยเหลือแนะนำ หรือปรับปรุงเกี่ยวกับการศึกษา โดยเฉพาะในโรงเรียนไดม้ ผี ู้ใหค้ วามหมายคำว่า การนเิ ทศการศึกษา ไวแ้ ตกตา่ งกนั ดังนี้ สเปียร์ส (Spears, ๑๙๖๗ : หน้า ๑๐) ได้ให้คำจำกัดความไว้ว่า การนิเทศการศึกษาเปน็ กระบวนการ ทจ่ี ะทำใหเ้ กดิ การปรับปรุงกระบวนการเรยี นการสอนของครู โดยการทำงานรว่ มกับบุคคลท่เี ก่ียวข้องกับการน้ี เป็นกระบวนการกระต้นุ ความเจริญกา้ วหน้าของครู และมงุ่ หวังทีจ่ ะช่วยเหลือครู เพ่ือให้ครูไดช้ ว่ ยตนเองได้ กูด (Good, อ้างถงึ ในเสถียร เที่ยงธรรม, ๒๕๕๑ : หนา้ ๑๕) ได้ใหค้ วามหมายของการนิเทศการศึกษา ว่า เปน็ ความพยายามของผทู้ ำหน้าที่นิเทศท่จี ะช่วยในการให้คำแนะนำแก่ครู หรือผอู้ น่ื ทท่ี ำหน้าท่ีเก่ียวข้องกับ การศึกษาให้สามารถปรับปรุงการสอนของตนให้ดีขึ้น ช่วยให้เกิดความเจริญงอกงามในด้านอาชพี ช่วยพัฒนา ความสามารถของครู แฮร์ริส (Harris, อ้างถึงในเสถียร เที่ยงธรรม, ๒๕๕๑ : หน้า ๓๕) ได้กล่าวถึงความหมายของการ นเิ ทศการศกึ ษาวา่ หมายถงึ สงิ่ ทบี่ คุ ลากรในโรงเรียนกระทำต่อบุคคลหรือสิ่งหนงึ่ สิง่ ใดโดยมีวัตถปุ ระสงค์เพื่อจะ
๙ คงไว้ หรือเปลี่ยนแปลงปรับปรุงการดำเนินการเรยี นการสอนให้เหมาะสมกับสถานการณ์และสง่ ผลสะท้อนไป ถงึ การพัฒนานักเรยี นดว้ ย มาคส์ และสทูปส์ (Marks and Stoops, ๑๙๗๘ : หน้า ๒๓) ได้กล่าวถึงการนิเทศการศึกษาว่า คุณคา่ ของการนเิ ทศการศึกษาอยู่ที่การพัฒนาและปรับปรุงการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ และ สง่ ผลสะท้อนไปถงึ การพฒั นานักเรยี นด้วย กรองทอง จิรเดชากุล (๒๕๕๐ : หน้า ๔) ได้ให้ความหมายว่า การนิเทศเป็นการช่วยเหลือครูใน โรงเรียนให้ประสบความสำเร็จในการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนหรือการสร้างเสริมพัฒนาการของนักเรียน ทกุ ดา้ นทง้ั ดา้ นรา่ งกาย สังคม อารมณ์ จติ ใจ และสติปญั ญาให้เต็มตามศักยภาพ ชาญชัย อาจิณสมาจาร (๒๕๒๕ : หน้า ๕) ได้ให้คำจำกัดความว่า การนิเทศการศึกษา คือ กระบวนการสร้างสรรค์ ที่ไม่หยุดนิ่งในการให้คำแนะนำและการชี้ช่องทางในลักษณะที่เป็นกันเองแก่ครูและ นักเรยี น เพ่ือการปรบั ปรุงตวั เขาเอง และสภาพการเรยี นการสอน เพ่ือให้บรรลุเปา้ หมายท่ีพึงประสงค์ ฉวีวรรณ พันวัน (๒๕๕๒, หน้า ๙) กล่าววา่ การนิเทศการศึกษา หมายถึงกระบวนการร่วมกันทาง การศกึ ษาของผบรู้ หิ ารโรงเรียน และบคุ ลากรทางการศึกษา เพ่ือพัฒนาการเรยี นการสอนให้มีคุณภาพ และเกิด ผลสัมฤทธ์ิสูงสดุ แกผ่ เู้ รียน ทำให้ผู้เรยี นไดพ้ ัฒนาศกั ยภาพตามจดุ หมายของหลกั สูตร ฉันทนา จันทร์บรรจง (๒๕๕๔ : หน้า ๓๒) ให้ความหมายว่า การนิเทศเป็นกระบวนการปรับปรุงและ พัฒนาคุณภาพการศกึ ษา โดยความร่วมมือระหวา่ งผ้นู ิเทศและผู้รับการนเิ ทศ วัชรา เล่าเรียนดี (๒๕๕๐ : หน้า ๓) ได้ให้ความหมายของการนิเทศ ว่าหมายถึง กระบวนการ ดำเนินงานรว่ มกนั ระหวา่ งผ้นู เิ ทศกบั ผู้รบั การนิเทศ เพือ่ ใหก้ ารชว่ ยเหลอื แนะนำ และใหค้ วามรว่ มมือกันในการ ปรับปรุงและพฒั นาคณุ ภาพการจัดกิจกรรมการเรียนรอู้ นั จะส่งผลถงึ ผลการเรยี นรู้ของผเู้ รียน สน สุวรรณ (๒๕๓๒ : หน้า ๓๐๖ ) ไดใ้ ห้คำนิยามของ คำวา่ นิเทศการศึกษา ไวว้ ่า กระบวนการพัฒนา ครู เพื่อให้ครูปรับปรุงและพัฒนาการจัดกระบวนการเรียนรู้ เพื่อให้การจัดการศึกษาบรรลุจุดมุ่งหมายที่วางไว้ การนิเทศการศึกษาจึงเป็นกระบวนการในการแนะนำชว่ ยเหลือ ครู ให้สามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ซึ่งการนิเทศนั้นอยู่บนหลักการของประชาธิปไตย ได้แก่ การเคารพซึ่งกันระหว่างผู้นิเทศและ ผรู้ ับการนเิ ทศ สันต์ ธรรมบำรุง (๒๕๒๖ : หน้า ๓) ได้ให้ความหมายว่า การนิเทศการศึกษา หมายถึงการช่วยเหลือ การแนะนำการชี้แจง การบริการ การปรับปรุงที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน ในการที่จะส่งเสริมให้ครู ปรบั ปรุงการสอนใหด้ ขี ึ้น จากความหมายของคำวา่ การนเิ ทศการศึกษา ทผ่ี ู้จดั ทำไดร้ วบรวมไว้ในทน่ี ้ี จึงขอสรปุ ความหมายของ การนิเทศการศึกษา ไว้ว่า การนิเทศการศึกษา หมายถึง แนวทาง วิถีทาง หรือกระบวนการในการพัฒนาครู เพือ่ ให้ครนู นั้ ไดป้ รบั ปรุงและพฒั นาการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้ดียงิ่ ข้นึ บรรลุวตั ถุประสงคข์ องการจดั กิจกรรม การเรียนรู้ เพื่อนำไปสู่การจัดการศึกษาที่บรรลุจดุ มุง่ หมายทีว่ างไว้ การนิเทศการศึกษาจึงเป็นกระบวนการใน การแนะนำช่วยเหลือ ครู ให้สามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการนิเทศนั้นอยู่บน หลักการของประชาธปิ ไตย ไดแ้ ก่ การเคารพซึ่งกันระหว่างผู้นเิ ทศและผูร้ ับการนิเทศ
๑๐ ความมุง่ หมายของการนเิ ทศการศึกษา ดร.สงัด อทุ รานนั ท์ (๒๕๓๐ : หนา้ ๑๒) ได้กลา่ วถึงจุดมุ่งหมายของการนเิ ทศการศึกษาไว้ ซงึ่ มี จุดมงุ่ หมายทีส่ ำคญั ๔ ประการ ดังนี้ ๑) เพื่อพัฒนาคน ๒) เพอ่ื พัฒนางาน ๓) เพือ่ สรา้ งการประสานสมั พนั ธ์ ๔) เพ่อื สร้างขวัญและกำลังใจ การนเิ ทศการศึกษาเพ่ือพฒั นาคน หมายถงึ การนเิ ทศการศึกษาเปน็ กระบวนการทำรว่ มกันกบั ครูและ บคุ ลากรทางการศึกษา เพ่ือใหค้ รูและบคุ ลากรได้เปลย่ี นแปลงพฤติกรรมในทางทด่ี ีขึ้น การนิเทศการศึกษาเพ่ือพัฒนางาน หมายถงึ การนเิ ทศการศกึ ษา มเี ป้าหมายสูงสุดอย่ทู ี่ผู้เรียนซึ่งเปน็ ผลผลติ จากการจดั กระบวนการเรยี นรู้ของครูและบุคลากรทางการศกึ ษา โดยเหตนุ ีก้ ารนิเทศที่จดั ขน้ึ จงึ มี จดุ หมายทีจ่ ะพฒั นางาน คอื การจดั กิจกรรมการเรียนการสอนที่ดีข้นึ การนเิ ทศการศึกษาเพื่อสรา้ งการประสานสมั พนั ธ์ หมายถึง การนิเทศการศึกษา เป็นการสรา้ งการ ประสานสัมพันธ์ ระหวา่ งผูน้ ิเทศและผรู้ บั การนิเทศ ซ่งึ เป็นผลมาจากการทำงานร่วมกนั รับผดิ ชอบรว่ มกันมี การแลกเปลย่ี นเรียนรซู้ ง่ึ กนั และกัน ซง่ึ ไม่ใช่เป็นการทำงานภายใตก้ ารถูกบังคับและคอยตรวจตราหรือคอย จับผดิ การนเิ ทศการศึกษาเพ่ือสร้างขวัญและกำลังใจ หมายถึง การจัดกิจกรรมการนิเทศท่ีมุ่งให้กำลังใจแก่ ครู และบุคลากรทางการศึกษา ซ่ึงถอื ว่าเป็นจุดมุ่งหมายทส่ี ำคัญอีกประการหนึง่ ของการนิเทศ เน่ืองจากขวัญ และกำลงั ใจเป็นสงิ่ สำคญั ท่ีจะทำให้บุคคลมคี วามตั้งใจทำงาน หากนเิ ทศไม่ได้สร้างกำลงั ใจแก่ผู้ปฏิบตั ิงานแล้ว การนิเทศการศึกษาก็ยอ่ มประสบผลสำเร็จไดย้ าก จากการรวบรวมความมงุ่ หมายของการนิเทศการศกึ ษา ผู้จัดทำจงึ ขอสรปุ ความมุ่งหมายของการนเิ ทศ การศึกษา ไว้ว่า จดุ ม่งุ หมายที่สำคัญของการนิเทศการศึกษาน้นั มจี ุดมุ่งหมายหรือมีวัตถุประสงค์ทสี่ ำคัญ คือ เพ่ือเป็นการพัฒนาหรอื ยกระดับคณุ ภาพการศึกษาทัง้ สนิ้ โดยใช้กระบวนการนเิ ทศการศึกษามาใช้เป็น เครอื่ งมอื ในระบบบรหิ ารจัดการน่ันเอง หลกั การสำคญั ของการนิเทศการศึกษา บริกส์ และจสั ทแ์ มน (Briggs and Justman , ๑๙๘๒ : หนา้ ๕) ได้เสนอหลกั การนเิ ทศสำหรับ ผูบ้ รหิ ารไว้ดังนี้ ๑) การนเิ ทศการศึกษาต้องเป็นประชาธปิ ไตย ๒) การนเิ ทศการศึกษาจะต้องเป็นการส่งเสริม และการสร้างสรรค์ ๓) การนเิ ทศการศึกษาควรจะตอ้ งอาศัยความร่วมมือของวิทยากรหลายคนมากกว่าทีจ่ ะแบง่ ผูน้ เิ ทศ ออกเปน็ รายบุคคล ๔) การนเิ ทศการศึกษา ควรต้งั อยูบ่ นรากฐานของการพัฒนาวิชาชีพมากกวา่ จะเป็นความสัมพนั ธส์ ว่ น บคุ คล
๑๑ ๕) การนเิ ทศการศึกษา จะต้องคำนงึ ถึงความถนดั ของแต่ละบคุ คล ๖) จุดมุ่งหมายสูงสดุ ของการนิเทศการศกึ ษา คือหาทางช่วยใหผ้ เู้ รียนเกดิ ความรู้ ความสามารถตาม ความมุง่ หมายของการศกึ ษา ๗) การนิเทศการศึกษาจะต้องเกยี่ วข้องอยู่กบั การสง่ เสริมความรสู้ กึ อบอนุ่ ให้แกค่ รู และการสร้าง มนษุ ยสัมพนั ธ์อันดรี ะหวา่ งหมคู่ ณะ ๘) การนเิ ทศการศึกษาควรเริม่ ตน้ จากสภาพการณ์ปัจจบุ นั ทีก่ ำลังประสบอยู่ ๙) การนิเทศการศึกษาควรเปน็ การสง่ เสริมความกา้ วหน้า และความพยายามของครูใหส้ งู ข้ึน ๑๐) การนิเทศการศึกษาควรเปน็ การสง่ เสรมิ และปรบั ปรงุ สมรรถวิสัย ทศั นคติ และข้อคดิ เหน็ ของครู ใหถ้ กู ตอ้ ง ๑๑) การนิเทศการศึกษา พยายามหลกี เล่ยี งการกระทำอย่างเปน็ พิธกี ารมาก ๆ ๑๒) การนเิ ทศการศึกษาควรใช้เคร่อื งมือ และกลวิธงี า่ ย ๆ ๑๓) การนเิ ทศการศึกษาควรตง้ั อยูบ่ นหลักการและเหตุผล ๑๔) การนเิ ทศการศึกษาควรมจี ุดมุ่งหมายท่ีแน่นอน และสามารถประเมนิ ผลได้ด้วยตนเอง เบอร์ตัน และบรคุ เนอร์ (Burton and Brueckner, ๑๙๖๕, อ้างถงึ ใน กำพล วิลยาลยั , ๒๕๔๙ : หนา้ ๑๔ - ๑๕) ไดส้ รปุ หลกั การนเิ ทศการศึกษาไว้ ๔ ประการ คอื ๑) การนิเทศการศึกษาควรมีความถกู ต้องตามหลักวชิ า การนเิ ทศการศกึ ษาท่ีดีควรจะเปน็ ไปตาม วัตถุประสงค์ และนโยบายที่วางไว้ ควรเปน็ ไปตามความจรงิ และกฎเกณฑ์ท่แี น่นอน ๒) การนเิ ทศการศึกษาควรเปน็ วิทยาศาสตร์ การนิเทศการศึกษาควรเป็นไปอย่างมีระเบียบมีการ ปรับปรุงและประเมนิ ผล การนเิ ทศควรจะมาจากการรวบรวมขอ้ มูล และการสรปุ ผลอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพเป็น ทเ่ี ชอื่ ถือได้ ๓) การนิเทศการศึกษาควรเปน็ ประชาธปิ ไตย การนเิ ทศการศกึ ษาจะต้องเคารพในความแตกตา่ งของ บุคคล เน้นความร่วมมือร่วมใจกันในการดำเนนิ งาน และใช้ความร้คู วามสามารถในการปฏิบัติงานเพ่ือใหง้ าน นน้ั ไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ ๔) การนิเทศการศึกษาควรจะเปน็ การสรา้ งสรรค์ การนิเทศการศึกษาควรเป็นการแสวงหา ความสามารถพิเศษของบคุ คล แล้วเปิดโอกาสให้ได้แสดงออกและพฒั นาความสามารถเหลา่ นน้ั อย่างเต็มท่ี ไวลส์ (Wiles , ๑๙๖๗ : หน้า ๕) ได้เสนอแนะหลักการนิเทศการศึกษาไว้ดงั น้ี ๑) ใหค้ วามสำคญั กับครูทกุ คนและทำให้เหน็ วา่ ต้องการความชว่ ยเหลอื จากเขา ๒) แผนงานหรอื ความเจรญิ ก้าวหน้าเปน็ ผลจากการทำงานเป็นทมี ๓) หาโอกาสพบปะสงั สรรค์เปน็ กันเองกบั ครโู ดยสมำ่ เสมอ ๔) เปิดโอกาสใหส้ มาชิกได้แสดงความคดิ เหน็ และสง่ เสรมิ ให้มคี วามคดิ ริเร่ิม ๕) เป็นมิตรไมตรีกับบุคคลทว่ั ไป ๖) ปรกึ ษากับหมคู่ ณะเกีย่ วกับการเปลี่ยนแปลงใด ๆ อนั จะพงึ มี
๑๒ ๗) พิจารณาสภาพที่เปน็ ปญั หาของสมาชกิ อาจจะซักถามสัมภาษณห์ รอื ใหค้ ณะครเู สนอปัญหาทีอ่ ยู่ใน ความสนใจร่วมกัน ๘) หากศกึ ษานิเทศก์กระฉับกระเฉงมีชีวติ ชีวา หมคู่ ณะย่อมจะเปน็ เช่นกัน ๙) บทบาทการนำของศึกษานิเทศก์คือ การประสานงานและการชว่ ยเหลือทางวชิ าการ ๑๐) ฟังมากกวา่ พูด ๑๑) การปฏบิ ตั งิ านเร่มิ ดว้ ยปัญหาของสมาชิก ๑๒) วางแผนปฏบิ ตั ิงานของหมคู่ ณะไว้ ๑๓) ตำแหน่งหน้าทม่ี ิไดท้ ำให้ศึกษานิเทศก์ต้องเปล่ียนแปลงพฤติกรรม หรอื ความเป็นมิตรไมตรกี ับหมู่ คณะต้องชะงักงนั ๑๔) พยายามใช้ประสบการณ์ด้านความสามารถตา่ ง ๆ ของครอู าวุโสใหเ้ กดิ ประโยชนใ์ นการนเิ ทศ มากทสี่ ดุ ๑๕) ตัดสินใจแน่วแน่ทนั ตอ่ เหตุการณ์ ๑๖) เอาใจใส่รูง้ านในหน้าทีด่ ี ๑๗) สำรวจและปรบั ปรุงตนเองอยู่เสมอ ๑๘) สนใจในสวัสดิภาพของสมาชกิ ๑๙) มคี วามรับผดิ ชอบ ปลกู ฝังความรับผดิ ชอบให้แกห่ มู่คณะ ๒๐) สนใจในสวัสดภิ าพของสมาชิก มารค์ และคณะ (Marks, ๑๙๗๘ : หนา้ ๑๒๘) ได้ใหห้ ลกั เบอื้ งตน้ ของการนิเทศการศึกษาไวด้ ังนี้ ๑) การนิเทศการศึกษา ต้องอาศยั ความรว่ มมือจากทกุ ฝ่าย ๒) การนิเทศการศึกษา ต้องถือหลักวา่ เป็นการบริการ ซง่ึ ครูเป็นผ้ใู ชบ้ ริการ ๓) การนเิ ทศการศึกษา ควรสอดคล้องกับความต้องการของครู ๔) การนิเทศการศึกษา ควรเปน็ การสร้างสรรค์ทัศนคติ และความสมั พันธร์ ะหวา่ งผู้นเิ ทศกบั ผู้รบั การ นิเทศ ๕) การนเิ ทศการศึกษา ควรเน้นให้เห็นความสำคัญของงานวจิ ัย และพยายามหาทางให้ครูศึกษา งานวิจยั แลว้ นำมาปฏบิ ัตติ ามนนั้ ๖) การนเิ ทศการศึกษา ควรยดึ หลักการประเมนิ ผลการนเิ ทศท้งั ผ้นู ิเทศและผู้รับการนิเทศ วินยั เกษมเศรษฐ์ (๒๕๒๗ : หนา้ ๓ - ๔) ได้กล่าวไว้วา่ การนเิ ทศการศกึ ษาที่มปี ระสิทธภิ าพจะต้อง อาศัยหลักการตา่ ง ๆ ดังนี้ ๑) หลกั สภาพผนู้ ำ (Leadership) คือการใช้อทิ ธิพลของบุคคลท่จี ะทำให้กิจกรรมต่าง ๆ ของกล่มุ เปน็ ไปตามเป้าประสงค์ ๒) หลกั ความร่วมมือ (Cooperation) คือการกระทำร่วมกัน และรวมพลงั ทั้งหมดเพอื่ แก้ปญั หา ดว้ ยกัน โดยยอมรับและยกย่องผลของความร่วมมือในการปรบั ปรุงการเรยี นการสอนจากหลายฝ่ายและทำ หน้าทีแ่ ละความรับผิดชอบชดั แจง้ ในการจดั องค์การ การประเมนิ ผล ตลอดจนการประสานงาน
๑๓ ๓) หลักการเห็นใจ (Considerateness) คอื การนิเทศการศึกษาจะต้องคำนงึ ถึงตัวบุคคลที่รว่ มงาน ดว้ ยการเหน็ ใจ จะทำให้ตระหนกั ในคุณคา่ ของมนษุ ยสัมพันธ์ ๔) หลักการสรา้ งสรรค์ (Creativity) คือการนิเทศการศึกษา จะตอ้ งทำให้ครเู กดิ พลังที่จะคดิ เริม่ ส่ิง ใหม่ ๆ แปลก ๆ หรอื ทำงานด้วยตนเองได้ ๕) หลักการบูรณาการ (Integration) เปน็ กระบวนการซ่ึงรวมสงิ่ กระจัดกระจายให้สมบูรณม์ องเหน็ ได้ ๖) หลกั การมุง่ ชมุ ชน (Community) เป็นการแสวงหาปจั จยั ที่สำคัญในชุมชน และการปรบั ปรงุ ปจั จยั เหล่าน้นั เพ่อื ส่งเสรมิ ความเปน็ อยู่ในชมุ ชนให้ดขี ึ้น ๗) หลักการวางแผน (Planning) หมายถึงกระบวนการวิเคราะห์ซง่ึ เกีย่ วกบั การแสวงผลในอนาคตการ กำหนดจุดประสงคท์ ี่ต้องการล่วงหนา้ การพฒั นาทางเลือกเพื่อปฏิบตั ิใหบ้ รรลุถึงจุดประสงค์และการเลือกทาง ปฏบิ ัติใหเ้ หมาะสมที่สดุ ๘) หลกั การยืดหยนุ่ (Flexibility) หมายถึง ความสามารถที่จะถูกเปลยี่ นแปลงได้ และพร้อมอยูเ่ สมอ ท่จี ะสนองความต้องการสภาพทเ่ี ปล่ยี นแปลงไป ๙) หลกั วตั ถวุ ิสัย (Objectivity) หมายถึงคุณภาพที่เป็นผลจากหลกั ฐานตามสภาพความจริงมากกวา่ ความเห็นบุคคล ๑๐) หลกั การประเมินผล (Evaluation) หมายถงึ การหาความจริงโดยการวดั ที่แนน่ อน และหลาย อย่าง วิจิตร วรุตบางกรู และคณะ (๒๕๓๔ : หน้า ๒) ได้เสนอแนะหลักสำคัญในการนเิ ทศการศึกษาไว้ ดงั นี้ ๑) หาทางใหค้ รูร้จู ักช่วยและพงึ่ ตวั เอง ไมใ่ ชค่ อยจะอาศัยและหวังพงึ่ ศึกษานิเทศกห์ รือคนอ่ืน ตลอดเวลา ๒) ช่วยให้ครูมคี วามเช่ือมน่ั ในตนเอง สามารถทีจ่ ะวเิ คราะห์และแยกแยะปัญหาต่าง ๆ ด้วยตนเองได้ ๓) ต้องทราบความต้องการของครู แล้ววางแผนการนเิ ทศเพือ่ ตอบสนองความต้องการนั้น ๆ ๔) ศกึ ษาปัญหาตา่ ง ๆ ของครู และทำความเข้าใจกบั ปญั หาน้ัน ๆ แลว้ พิจารณาหาทางชว่ ยแกไ้ ข ๕) ชกั จงู ให้ครชู ว่ ยกนั แยกแยะและวเิ คราะหป์ ัญหาร่วมกัน ๖) การแก้ไขปัญหาเกย่ี วกับการเรยี นการสอน ควรเปิดโอกาสใหค้ รูไดใ้ ชค้ วามคิดและลงมือกระทำเอง ให้มากที่สุด ๗) รับฟังความคดิ เห็นและข้อเสนอแนะต่าง ๆ ของครู แลว้ นำมาพิจารณารว่ มกัน ๘) ช่วยจัดหาแหล่งวทิ ยากร อปุ กรณ์การสอน ตลอดจนเครื่องมือเคร่ืองใชต้ า่ ง ๆ ให้แกค่ รู ๙) ช่วยจดั หาเอกสาร หนังสือ และตำราต่าง ๆ ให้แก่ครู ๑๐) ช่วยใหค้ รูร้จู กั จัดหาหรอื จัดทำวัสดุอปุ กรณ์การสอนท่ีขาดแคลนด้วยตนเอง โดยใชว้ ัสดุในทอ้ งถิน่ ทม่ี ีอยู่ ๑๑) หาทางใหส้ ถานศกึ ษา ชุมนุมชน และหนว่ ยงานทีใ่ กลเ้ คียง มีความสมั พนั ธ์กันและช่วยเหลอื ซ่ึง กนั และกัน
๑๔ ๑๒) ต้องยอมรบั นบั ถือบุคลากรทีร่ ่วมงานในโรงเรยี นนั้น ๆ และแสดงใหเ้ ขาเห็นวา่ เขามีความสำคัญ ในสถานศึกษาน้นั ๆ ด้วย ๑๓) ช่วยให้ครไู ดแ้ ถลงกจิ กรรม และผลงานต่าง ๆ ของสถานศึกษาใหช้ ุมชนทราบโดยสม่ำเสมอ ๑๔) ต้องทำความเข้าใจกบั ผู้บรหิ ารสถานศกึ ษาในสว่ นที่เปน็ หนา้ ทแี่ ละความรบั ผิดชอบของกนั และ กนั ๑๕) ชว่ ยประสานงานระหว่างสถานศึกษากบั องค์การหรือหนว่ ยงานที่เก่ยี วข้อง ๑๖) รวบรวมขอ้ มลู ตา่ ง ๆ ทเ่ี หน็ ว่าเป็นประโยชนม์ าทำการวิเคราะห์และวิจยั ๑๗) ทำความเขา้ ใจเกีย่ วกบั เรอ่ื งราวต่าง ๆ ของการศกึ ษาอยา่ งแจ่มแจ้ง เพ่อื จะไดด้ ำเนนิ การใหบ้ รรลุ เป้าหมาย จากการรวบรวมหลกั การสำคัญของการนิเทศการศกึ ษาผู้จัดทำจงึ ขอสรุปหลักการสำคญั ของการนเิ ทศ การศึกษา ไวว้ า่ หลกั การนเิ ทศการศกึ ษาที่สำคัญนัน้ จะควรตอ้ งมีความถูกต้องเชิงวิชการ สามารถอ้างอิงที่มา ได้อยา่ งเปน็ รปู ธรรม ตามหลักวิชา การนเิ ทศการศึกษาที่ดีนั้นควรจะเปน็ ไปตามวตั ถปุ ระสงค์ และนโยบายที่ วางไว้ ควรเป็นไปตามความจริง เปน็ ไปเพื่อการมงุ่ พัฒนา ปรับปรงุ แกไ้ ข ทำให้ดียิ่งขึ้น หรือยกระดับคุณภาพ การศึกษาใหม้ ีประสิทธภิ าพมากยิ่งข้ึน ๒. ความร้เู บอื้ งต้นท่เี กี่ยวข้องกับการนเิ ทศภายในสถานศกึ ษา ผู้จัดทำได้ทำการรวบรวมความรู้เบื้องต้นที่เกี่ยวข้องกับการนิเทศภายในสถานศึกษา รวมทั้งแนวคิด ทฤษฎีต่างๆ และทีเ่ กี่ยวขอ้ ง โดยขอสรุปเป็นประเด็นตา่ งๆ ดังนี้ ความหมายของการนิเทศภายในโรงเรียน นกั วชิ าการด้านการศกึ ษาหลายท่าน ไดใ้ หค้ วามหมายของการนิเทศภายใน สรปุ พอสงั เขปได้ ดงั นี้ กิติมา ปรีดีดิลก (๒๕๓๒ : หน้า ๓๐๖) ได้กล่าวว่า กำรนิเทศภายในโรงเรียนเป็นการนิเทศ โดย บคุ ลากรในโรงเรียนเอง จะตอ้ งกระทำอย่างมีขัน้ ตอนและกระบวนการในอนั ทจี่ ะทำใหเ้ กิดประสทิ ธิภาพสูงสุด การนิเทศบูรณาการและการนเิ ทศภายในโรงเรยี น สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (๒๕๓๕ : หน้า ๑๐) ได้เสนอว่า การนิเทศภายใน โรงเรียน หมายถึง ความพยายามทุกชนิดของผู้ที่อยู่ในโรงเรียน ตั้งแต่ผู้บริหารรลงมาในการที่จะปรับปรุง ส่งเสริมประสิทธิภาพการเรียนการสอนในโรงเรียนได้ขึ้น ซึ่งเป็นการพัฒนาครูผู้สอนให้ปฏิบัติหน้าที่ในการ จัดการประสบกการณก์ ารเรยี นการสอนอยา่ งมปี ระสทิ ธิผล ชาลี มณีศรี (๒๕๓๘ : หน้า ๑๕) ได้กล่าวว่า การนิเทศภายใน หมายถึง กระบวนการส่งเสริม แนะนำ ชน้ี ำปรึกษา หรอื ประสานมอบหมายความรับผดิ ชอบและปรับปรุงพฒั นาเพื่อคุณภาพของนักเรียน นอกจากนี้ เสถียร เที่ยงธรรม (๒๕๔๒ : หน้า ๗) ได้สรุปว่า การนิเทศภายในโรงเรียน หมายถึง กระบวนการที่จัดขึ้นเพื่อพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพคุณภาพการเรียนการสอนในโรงเรียนให้สูงขึ้น โดยการ ร่วมมือของบุคลากรทั้งหมดภายในโรงเรียน และสมเดช พินิจสกุล (๒๕๔๔ : หน้า ๗) สรุปได้ว่า การนิเทศ ภายใน หมายถึง ความพยายามของผู้บริหารโรงเรียนในอันท่ีจะปรบั ปรุงส่งเสริมประสิทธิภาพในด้านการเรียน
๑๕ การสอนใหด้ ีข้นึ ทำใหเ้ กดิ การเพิ่มพลังในการปฏิบตั ิงานของครู รวมทั้งให้ครูเกิดความก้าวหน้าในวิชาชีพ และ ก่อให้เกดิ ผลขั้นสุดทา้ ย คอื การศกึ ษาของเด็กกา้ วไปอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ หลักการและแนวคิดการนเิ ทศภายในโรงเรียน การพฒั นาคุณภาพการศึกษา กระบวนการนเิ ทศเปน็ กระบวนการหน่ึงทส่ี ่งผลตอ่ การพัฒนา คณุ ภาพการศกึ ษา (หนว่ ยศึกษานเิ ทศก์ สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน, ๒๕๖๒ : หน้า ๖) ดงั นี้ สภาพปญั หา กระบวนการบริหาร คุณภาพ ความตอ้ งการ กระบวนการเรยี นการสอน ผเู้ รียน กระบวนการนิเทศ การพฒั นาคณุ ภาพการศึกษา จะสำเร็จไดต้ ามเปา้ หมาย จำเปน็ ต้องมอี งคป์ ระกอบสำคัญในการ พฒั นา คือ กระบวนการบรหิ าร กระบวนการจดั การเรียนรู้และกระบวนการนเิ ทศ ทีต่ อ้ งรวมกนั สนบั สนุนส่งเสรมิ ไปดว้ ยกนั ใน ลกั ษณะของ “เกลียวเชอื ก” กระบวนการนิเทศการศกึ ษา (supervision) เป็นกระบวนการท่ีทำให้เกิดการพฒั นาและ ปรับปรงุ กระบวนการเรียนการสอนของครู โดยมุง่ ใหเ้ กดิ การจัดการเรยี นรู้ท่ีมปี ระสทิ ธิภาพส่งผลถึงคณุ ภาพของผู้เรียน กระบวนการนเิ ทศการศกึ ษาช่วยทำให้ เกดิ การพฒั นาคน พัฒนางาน สร้างการประสานสัมพันธแ์ ละขวญั กำลงั ใจ ซ่ึงตอ้ ง ดำเนนิ งานให้ ประสานสมั พันธก์ ับกระบวนการอื่นในการพฒั นาคุณภาพการศึกษาให้บรรลตุ ามเปา้ หมาย ทำใหเ้ กดิ การ พฒั นาที่ย่งั ยืนถาวร ดงั ทสี่ ำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน (สำนกั งานคณะกรรมการ การศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน, ๒๕๔๙ : หนา้ ๕๒) กล่าวว่า “การจดั การท่ดี ีเป็นกุญแจนำไปสู่ความสำเรจ็ ขององคก์ ร การนเิ ทศท่ดี นี ำไปส่กู ารจดั การทด่ี ”ี หลักการนเิ ทศการศกึ ษา เป็นแนวทางหรือกฎเกณฑ์ที่กำหนดขึ้น เพื่องานนิเทศการศึกษาตามความคิดเห็น ความเชื่อและ ประสบการณ์ของนักการศกึ ษา ดงั น้ี วัชรา เล่าเรียนดี (๒๕๕๓ : หน้า ๑๑๖ - ๑๑๗) กล่าวถึงหลักการสำคัญของการนิเทศภายใน สถานศึกษา ดังน้ี ๑) การให้ความรว่ มมอื รว่ มใจสอน ๒) การสร้างความผูกพนั ตอ่ ภาระหนา้ ท่ี ด้วยความเตม็ ใจของบคุ ลากรในโรงเรียนและครู ๓) การประสานสมั พันธท์ ด่ี ตี ่อกนั ๔) การประสานกันทกุ ฝา่ ย
๑๖ ๕) เป็นประชาธิปไตย ๖) การยดึ ความแตกต่างของมนุษยแ์ ละพัฒนาการของมนุษย์แต่ละวยั ๗) การมเี ป้าหมายเดียวกนั คือคุณภาพการศกึ ษาของผเู้ รียน ดงั นน้ั ผู้นเิ ทศจึงต้องยึดหลกั การนิเทศ ดังต่อไปนี้ ๑) ผนู้ เิ ทศต้องมีความร้คู วามเข้าใจในหลักการนิเทศอย่างถกู ต้อง ตรงประเด็น มรี ะบบและ ขัน้ ตอนท่ีชัดเจนในกระบวนการนิเทศ ๒) กระบวนการนเิ ทศทเ่ี กิดขึน้ ต้องเกดิ จากความรว่ มมือของคณะครทู ุกคนทป่ี ฏิบัติหนา้ ทอ่ี ยู่ ในโรงเรียน และการนเิ ทศ ๓) ตอ้ งเป็นไปเพื่อการพัฒนากระบวนการเรียนการสอนของครู และการนเิ ทศการศึกษาควรมี การบรหิ ารเปน็ กระบวนการเชงิ ระบบ มีการวางแผนการดำเนนิ งาน มขี ัน้ ตอนในการปฏิบตั ิงาน ถอื หลักการมสี ่วนรว่ ม ในการทำงานมคี วามเป็นประชาธิปไตย มกี ารดำเนินงานอย่างสร้างสรรคม์ ีการ แก้ปัญหาทเ่ี กิดขึ้นจากการเรยี นการสอน ๔) สร้างสภาพแวดลอ้ มในการทำงานใหด้ ีขึ้น สร้างความผูกพันและความม่ันคงต่องานอาชพี รวมท้งั พฒั นาและส่งเสริมวชิ าชีพครใู ห้มีความรสู้ กึ ภาคภมู ิใจในวิชาชพี ของตนเองพร้อมทจ่ี ะรับการ พัฒนาอย่างตอ่ เน่ือง หนว่ ยศกึ ษานิเทศก์ สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน (๒๕๖๒ : หนา้ ๑๓) สรุปไว้วา่ หลักการของการนเิ ทศภายในโรงเรียน เปน็ การปฏิบัติงานรว่ มกันระหว่างผูน้ เิ ทศและผูร้ บั การนิเทศ ตาม ความต้องการและความจำเป็นในการพัฒนา โดยมเี ปา้ หมายเดียวกัน ขอบขา่ ยการนิเทศภายในโรงเรยี น ขอบขา่ ยการนเิ ทศภายในโรงเรยี น ผู้จัดทำไดร้ วบรวมขอบขา่ ยของการนิเทศภายในโรงเรยี น ไวพ้ อสังเขป สรปุ ได้ดังนี้ สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาแหง่ ชาติ (๒๕๔๔ : หน้า ๕๔ - ๕๖) ได้กลา่ วว่า การบริหาร โรงเรยี นจะบรรลสุ ำเร็จตามจดุ มงุ่ หมายของหลกั สูตรได้ดนี ัน้ ย่อมต้องอาศัยงานบริหาร ๔ งาน คือ ๑) งานบรหิ ารงานวิชาการ ๒) งานบริหารงานบุคคล ๓) งานบรหิ ารท่ัวไป ๔) งานบรหิ ารแผนและงบประมาณ งานวชิ าการ ถือเปน็ งานหลกั ของโรงเรียนทีม่ ีความสำคัญทส่ี ดุ ซึ่งผู้บริหารสถานศึกษาจะตอ้ งให้ ความสำคญั มากกวา่ กจิ กรรมด้านอื่น ๆ เพ่ือให้การเรยี นการสอนได้ผลตามเปา้ หมายงานวิชาการ ประกอบดว้ ยงานยอ่ ย ๆ ดงั นี้ ๑) งานกำหนดเปา้ หมายและการวางแผนงานวชิ าการ ๒) งานหลักสูตรและการนำหลักสูตรไปใช้ให้เหมาะสมกบั ท้องถ่นิ ๓) งานจดั หาวสั ดุการสอนและสง่ เสริมการใชส้ อื่ การสอน ๔) การจดั ตารางสอนจดั ครูเข้าทำการสอน
๑๗ ๕) งานวางแผนการสอนกำหนดการสอนการสอน ๖) งานจดั ช้นั เรยี นแบง่ กลมุ่ นกั เรียน ๗) งานนเิ ทศการสอน ๘) งานประเมนิ ผลการศึกษา ๙) งานห้องสมดุ งานเคร่อื งเขยี นแบบเรียน ๑๐) งานพฒั นาการสอนกลุ่มสาระการเรยี นรตู้ ่าง ๆ ๑๑) งานประชมุ อบรมเสรมิ ความรคู้ รู ๑๒) งานการใชท้ รัพยากรในชมุ ชนเพือ่ การเรยี นการสอน ๑๓) การจดั ทำบนั ทึกการใช้แบบฟอร์มต่าง ๆ ทางวชิ าการ สรุปรายงานประจำตวั นกั เรยี น แบบกรอก คะแนนประเมินผลประจำปี ๑๔) งานหลกั ฐานแสดงผลการเรียนเพื่อยา้ ยสถานศึกษาหรอื ได้รบั การยกเว้น กลกิ แมน (Glickman, ๑๙๘๕ : หนา้ ๒๓) ไดจ้ ดั ขอบขา่ ยงานนิเทศของโรงเรยี นไว้ ๕ งานมาใช้ ดังน้ี ๑) การให้ความชว่ ยเหลอื แกค่ รโู ดยตรง ๒) การเสริมสร้างประสบการณ์ทางอาชพี ๓) การพฒั นาการทำงานกลมุ่ ๔) การพัฒนาหลักสตู ร ๕) การวิจัยเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารในห้องเรยี น ปีเตอร์โอลิวา และ จอร์ช พาวลาส (Peter Oliva & George Pawlas, 2004 อ้างถึงในประกิต สิงหท์ อง, ๒๕๕๑ : หน้า ๒๑) ได้เสนอขอบขา่ ยของการนิเทศภายในไวด้ ังน้ี ๑) การพัฒนาการสอน ๒) การพฒั นาหลักสูตร ๓) การพฒั นาทีมงาน สรุปได้ว่า ขอบข่ายของการนิเทศภายใน โรงเรียน เป็นการกำหนดกรอบเนื้อหาในการพัฒนางาน รว่ มกันเพือ่ ใหบ้ รรลผุ ลตามท่ีกำหนดไว นอกจากนี้ ยังมีการให้คำนิยาม และการวิเคราะหเ์ กีย่ วกับการนิเทศภายในโรงเรียน ไว้ว่าเป็นรูปแบบ หนึ่งของการนิเทศการสอนที่มีการริเริ่ม และจัดดำเนินการโดยบุคลากรภายในโรงเรียน ประกอบด้วย บุคคล หลายฝ่ายตั้งแต่ผู้บริหารสถานศึกษา รอง/ผู้ช่วยผู้บริหารสถานศึกษา คณะครูที่ได้รับมอบหมาย ทำหน้าท่ีผู้ นิเทศ และครูผู้สอนทุกคนเป็นผู้รับการนิเทศ มีขอบข่ายการดำเนินงาน โดยสรุปได้ดังนี้ (ปรียาพร วงศ์อนุตร โรจน.์ ๒๕๔๖ : หน้า ๖๖-๖๘) ๑) การนิเทศภายในโรงเรียนมีองค์ประกอบสำคัญ ได้แก่บุคลากรภายในสถานศึกษา เป็นผู้จัด ดำเนินการเป็นเจ้าของโปแกรมการนิเทศตวามความต้องการของครูในสถานศึกษานั้นๆ การดำเนินงาน กิจกรรมต่างๆ กระบวนการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เกดิ ขนึ้ ภายในสถานศึกษา ๒) ผู้นเิ ทศดำเนนิ การนิเทศภายในโรงเรียน มีจุดมุ่งหมายหลักว่า เป็นการมงุ่ พฒั นาครผู สู้ อนภายใน
๑๘ สถานศึกษา ให้รู้จักวิธีการปรับปรุงการเรียนการสอนให้ดีขึ้น เพื่อทำให้การศึกษาเกิดผลสัมฤทธิ์ตามความ คาดหมายของการศึกษา และผู้บริหารสถานศึกษามีบทบาทสำคัญต่อการนิเทศภายในสถานศึกษาซ่ึง ความสำเร็จของการนิเทศภายใน ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับการสนับสนุนและเห็นความสำคัญของการนิเทศของ ผู้บริหาร ดังนั้น จึงสามารถสรปุ ได้ว่า การนิเทศภายในโรงเรียน เป็นหน้าที่โดยตรงของผู้บริหารสถานศึกษาใน การปรบั ปรุงคุณภาพการเรยี นการสอน ๓) ผนู้ เิ ทศภายในโรงเรียน ประกอบด้วย ๓.๑) ผู้บริหารสถานศกึ ษา ๓.๒) ผู้ช่วยผ้บู ริหารสถานศึกษาโดยเฉพาะฝ่ายวิชาการ ๓.๓) หัวหน้ากล่มสาระการเรียนร้/ู หัวหนา้ สาขาวิชา/แผนก/ฝา่ ย ๓.๔) ครูอาจารย์ที่ทำหน้าที่สอน แต่มีความรู้ ความสามารถเฉพาะด้าน มีประสบการณ์ใน การสอนสามารถสาธิตหรอื ใหค้ ำปรึกษาแนะนำ เพ่อื นรว่ มงานได้ ๓.๕) ผู้เช่ยี วชาญทีเ่ ชิญมาเป็นวทิ ยากรเฉพาะด้านแนวคดิ ทใ่ี ช้ในการนิเทศภายในโรงเรยี น การนเิ ทศภายในโรงเรียนจะต้องใหเ้ กดิ ความรว่ มมือรว่ มใจของผู้เกี่ยวข้องทกุ ฝ่ายซึ่งในปัจจุบันยึดกรอบแนวคิด ที่ใช้เป็นแนวทางดำเนินการนิเทศภายในโรงเรียน โดยสรุปได้ดังนี้ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ัน พน้ื ฐาน. ๒๕๔๖ : หน้า ๒๗) ๑) วิธีการเชงิ ระบบ (System Approach) เป็นแนวคดิ การดำเนนิ การนิเทศภายใน โรงเรียนมคี วาม มงุ่ หมายเพอ่ื การแก้ปัญหาและพัฒนาโรงเรยี น โดยพจิ ารณาตามความตอ้ งการจำเปน็ ตามลำดับความสำคัญ วเิ คราะห์หาทางเลอื กที่เหมาะสมที่สุดในการแกป้ ัญหา และหรอื พัฒนา ทดลองดำเนนิ การ ตดิ ตามประเมินผล การนเิ ทศบูรณาการและการนิเทศภายในโรงเรยี น ปรบั ปรุงและนำไปปฏบิ ัติจริง ท้งั น้คี ำนงึ ถงึ การใช้ทรัพยากร ที่มอี ยู่ให้คุ้มคา่ และไดป้ ระโยชน์สงู สดุ ๒) วิธีการเชิงมนุษยนิยม (Humanistic Approach) เป็นแนวคิดการดำเนินการนิเทศภายใน โรงเรียนโดยใช้วิธีการประสานงานระหว่างผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศ ทำให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อกัน บรรยากาศการทำงานในโรงเรียนมีลักษณะเป็นกัลยาณมิตร ร่วมมือ ร่วมใจ ผู้บริหารและครูได้รับการยกย่อง เชงิ ชเู กยี รติ ใหข้ วญั กำลังใจ และมีความรู้สกึ อสิ ระที่จะแสวงหาทางเลอื กในการแก้ปัญหาและพฒั นาโรงเรียน ๓) วิธีการร่วมพัฒนา (Collaborative Approach) เป็นแนวคิดการดำเนินการนิเทศภายใน โรงเรียนโดยใช้วิธีการรว่ มคดิ รว่ มทำระหว่างผนู้ ิเทศกบั ผ้รู ับการนิเทศภายในโรงเรียน และมกี ารประสานความ รว่ มมอื จากผู้เชีย่ วชาญเฉพาะทางภายนอกหรอื แหลง่ วทิ ยากรภายนอกเพื่อช่วยเหลือโรงเรยี น ดังนั้น ผู้จัดทำจึงขอสรุปถึงขอบข่ายของการนิเทศภายในโรงเรยี น โดยได้วิเคราะห์จากแนวคิดในการ นเิ ทศภายใน ๓ วธิ กี ารดงั กล่าวขา้ งต้น ซง่ึ มจี ดุ เดน่ เฉพาะ กล่าวคือ วิธกี ารเชงิ ระบบ ประกอบดว้ ย กระบวนการ มีขัน้ ตอนชัดเจน เรม่ิ ต้นดว้ ยการประเมนิ ความตอ้ งการจำเป็นตามลำดับความสำคัญ วิเคราะห์หาทางเลือกเพื่อ ใช้ในการนเิ ทศ ดำเนนิ การนเิ ทศ ติดตามและประเมนิ ผล และการปรับปรุงพัฒนา
๑๙ กระบวนการและขั้นตอนการนิเทศภายในโรงเรียน ผจู้ ดั ทำไดร้ วบรวม กระบวนการและขัน้ ตอนการนเิ ทศภายในโรงเรียน ไวพ้ อสังเขป สรปุ ไดด้ งั นี้ วัชรา เล่าเรียนดี (๒๕๕๓ : หน้า ๒๒๖) ได้นำเสนอกระบวนการนิเทศภายในโรงเรียนที่เป็นการ ปรบั ปรงุ และ พัฒนาการจดั การเรียนการสอนในชนั้ เรียนโดยตรง ดังน้ี ๑) วางแผนรว่ มกนั ระหวา่ งผ้นู เิ ทศและผู้รับการนเิ ทศ ๒) เลือกประเดน็ หรือเร่ืองท่ีสนใจจะปรับปรุงพัฒนา ๓) นำเสนอโครงการพัฒนาละขั้นตอนการปฏิบัติให้ผู้บริหารโรงเรียนได้รับทราบเพื่ออนุมัติการ ดำเนินการ ๔) ให้ความร้หู รอื แสวงหาความรู้จากแหลง่ ต่าง ๆ จัดฝึกอบรมเชงิ ปฏบิ ตั ิการเก่ยี วกบั เทคนิคการสังเกต การสอน ความรเู้ กี่ยวกับวิธสี อน และนวัตกรรมใหม่ๆ ทนี่ ่าสนใจ ๕) จัดทำแผนการนิเทศ กำหนดวัน เวลา ที่จะสังเกตการสอน ประชุมปรึกษาหารือ เพื่อแลกเปลี่ยน ความคิดเหน็ และประสบการณ์ ๖) ดำเนนิ การตามแผนโดยครแู ละผู้นเิ ทศ (แผนจัดการเรียนรู้และแผนนิเทศ) ๗) สรปุ และประเมินผลการปรับปรงุ พัฒนา และรายงานผล สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน (๒๕๔๔ : หน้า ๑๖) ไดก้ ำหนดขัน้ ตอนการนิเทศภายใน โรงเรยี น ประกอบดว้ ย การศกึ ษาสภาพปัจจุบนั ปญั หา ลำดบั ความสำคญั ของปัญหา การวางแผนดำเนินการ วางแผนการสรา้ งเครื่องมอื และพฒั นาวธิ ีการ ตดิ ตามและประเมินผล การศึกษาสภาพ การวางแผนและ การสร้างส่อื และ ปัจจุบัน ปญั หาและ กำหนดทางเลอื ก เครื่องมือ ความต้องการ การประเมนิ ผล การปฏบิ ัติการ และรายงานผล นเิ ทศภายในโรงเรยี น ภาพประกอบ แสดงข้นั ตอนการนเิ ทศภายในโรงเรยี น (ทีม่ า : หน่วยศกึ ษานิเทศก์ สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน, ๒๕๖๒ : หนา้ ๑๓) กระบวนการและข้นั ตอนนิเทศภายใน โรงเรยี น เปน็ การกำหนดแนวทางการปฏิบตั งิ านร่วมกันอยา่ ง เป็นระบบเพ่ือใหก้ ารช่วยเหลอื แนะนำ ครูผู้สอนในโรงเรยี นเก่ียวกับการจัดการเรยี นการสอนเพื่อพฒั นาผู้เรียน ให้บรรลเุ ปา้ หมายและวัตถปุ ระสงค์ท่ีหลกั สูตรกำหนดไว้ เทคนิค/วิธีการนเิ ทศภายในโรงเรยี น เทคนคิ หรอื วิธกี ารจัดการนิเทศภายในโรงเรยี น มุ่งเน้นการปรบั ปรงุ การจดั การเรยี นการสอนและ การปฏบิ ตั ิงาน การจัดการนิเทศภายในโรงเรยี นเป็นงานสำคญั ที่โรงเรยี นตอ้ งดำเนินการ โดยเลือกวิธีการ
๒๐ จัดการนิเทศให้เหมาะสมกับ สภาพการณ์และบุคลากรภายในโรงเรียนซึ่ง วไลรัตน์ บุญสวัสดิ์ (๒๕๓๘ : หน้า ๔๒) ได้กล่าวไว้ว่าการนิเทศการศึกษาจะ ประสบความสำเร็จด้วยดีนั้น ผู้นิเทศจำเป็นจะต้องทราบเทคนิคใน การนเิ ทศการศึกษาเป็นอย่างดีเทคนิคหรือวธิ กี าร จดั การนิเทศภายในโรงเรียนซ่งึ มีนักการศกึ ษาไดเ้ สนอไวด้ งั น้ี แกลตทอน (Glatthorn, ๑๙๘๔ อ้างถึงในวัชรา เล่าเรียนดี, ๒๕๔๘ : หน้า ๑๐๒ - ๑๐๙) ได้เสนอ เทคนิค/วธิ กี ารนิเทศท่ีหลากหลายวิธี คือ ๑. การนเิ ทศแบบคลินิก (Clinical Supervision) หลักการนิเทศแบบคลินิก เปน็ การนิเทศท่เี น้นกระบวนการปรับปรุงการสอนของครูอย่างเข้มข้นที่ต้อง วางแผนอย่าง เป็นระบบ มีการกระทำอย่างรอบคอบทุกขั้นตอน และทำให้ครบวงจร ในการนิเทศซ่ึง ประกอบด้วย การประชุมก่อน การสังเกตการสังเกตการสอน การวิเคราะห์ข้อมูลหลังการสังเกตการสอนการ ประชุมหลงั การวิเคราะห์ข้อมลู และ การประเมินผลโดยวงจรการนเิ ทศจะต้องกระทำซ้ำ ๆ หลาย ๆ คร้ังตลอด ปี สำหรับผู้ท่ีทำหนา้ ที่นเิ ทศ ควรได้รับการฝึกฝนวธิ ีการและเทคนิคการนิเทศแบบนี้ โดยเฉพาะและควร มีสัมพันธภาพอันดีกับผู้รับการนิเทศการนิเทศแบบคลินิกเริ่มจากแนวคิดของ โกลด์แฮมเมอร์ และโกแกน (Goldhammer and Gogan, ๑๙๖๙, ๑๙๗๓, quoted in Glickman and others ๑๙๙๕ : หน้า ๒๘๗ - ๒๙๐) การนิเทศแบบคลินิกเป็นทั้งความคิดรวบยอดเกี่ยวกับการนิเทศ (Concept) และโครงสร้างของการ ดำเนนิ การนเิ ทศ (Structure) โกลด์แฮมเมอร์ และ แอนเดอซัน คราจาสกี้ (Goldhammer, Andersonand Krajewski, ๑๙๙๓, อ้างถึงใน Glickman and others ๑๙๙๕ : หน้า ๒๘๘) ได้เสนอลักษณะสำคัญของการนิเทศแบบคลินิกสรุป ได้ดงั น้ี คอื ๑) การนิเทศแบบคลนิ กิ เป็นเทคโนโลยีในการปรบั ปรงุ การเรยี นการสอนโดยตรง ๒) การนิเทศแบบคลินกิ เปน็ สว่ นสำคัญทีแ่ ทรกอย่ใู นกระบวนการจัดการเรียนการสอน ๓) การนิเทศแบบคลินิก เป็นกระบวนการที่มีเป้าหมายวัตถุประสงค์ชัดเจน โดยเชื่อมโยงระหว่าง ความตอ้ งการของโรงเรยี นและความตอ้ งการในความเจริญกา้ วหนา้ ในวิชาชีพของครู ในโรงเรียน ๔) การนเิ ทศแบบคลินิก เป็นกระบวนการทส่ี ร้างความสัมพันธ์ท่ีดีในการทำงาน ในวิชาชีพระหว่างครู และผู้นิเทศ ๕) การนิเทศแบบคลินิก เปน็ กระบวนการทจี่ ะตอ้ งมคี วามเชื่อใจเชื่อถือซึง่ กนั และกัน โดยสะท้อนให้ เห็นถงึ ความเขา้ ใจสนบั สนุนกันและกนั และความผกู พนั ในการท่ีจะพฒั นาตนเองให้เจรญิ ก้าวหน้า ๖) การนิเทศแบบคลนิ กิ เปน็ กระบวนการทเี่ ปน็ ระบบถึงแม้ว่าการดำเนินการจะตอ้ งยืดหย่นุ มีการ ปรบั เปลยี่ นวธิ กี ารอย่างตอ่ เน่ือง ๗) การนิเทศแบบคลินิก เป็นกระบวนการที่สร้างสรรค์เชื่อมโยงช่องว่างระหว่างความจริงกับ อุดมการณ์
๒๑ ๘) การนิเทศแบบคลินิก เป็นกระบวนการท่ีอยู่บนพืน้ ฐานความเช่ือที่ว่า ผู้นิเทศ คือผู้ที่มคี วามรู้อย่าง แท้จริง เกี่ยวกับการวิเคราะห์การสอนและการเรียนรู้รวมทั้งการสร้างความสัมพันธ์ ที่ดีต่อกันระหว่างเพื่อน มนุษย์ ๙) การนิเทศแบบคลินิก เป็นกระบวนการที่ต้องมีการให้การฝึกอบรมสำหรับผู้ที่จะทำหน้าที่นิเทศ ก่อนที่จะ นำการนิเทศแบบคลินิกไปใช้โดยเฉพาะในเรื่องเทคนิคการสังเกตการสอนและการดำเนินการนิเทศ แบบคลินกิ ทีม่ ีประสทิ ธิภาพและประสทิ ธผิ ล ๒. การนเิ ทศแบบร่วมพัฒนาวชิ าชพี (Cooperative professional Development) การนิเทศแบบร่วมพัฒนาวิชาชีพ จัดเป็นวิธีนิเทศการสอนแบบหนึ่งของระบบการนิเทศแบบ หลากหลายวิธีการ ของ แกลตทอน (Glatthorn, ๑๙๘๔, อ้างใน วัชรา เล่าเรียนดี ๒๕๔๕ : หน้า ๑๓๗) การ นิเทศแบบร่วมมือพัฒนาวิชาชีพเป็นกระบวนการ นิเทศที่ครูตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไป ร่วมมือร่วมใจกันปฏิบัติงาน เพื่อปรับปรุงความเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพของตนเอง โดยปกติจะมีการสังเกตการสอนกันและกันในชั้นเรียน แลกเปลยี่ นกนั ใหข้ อ้ มูลยอ้ นกลบั จากการสังเกตการสอนกัน และอภิปรายแลกเปลย่ี นความคดิ เห็นร่วมกัน แกลตทอน (Glatthorn, ๑๙๘๔: หน้า ๔๐-๔๑) ได้กล่าวถึง ลักษณะพิเศษของการนิเทศแบบร่วม พฒั นาวิชาชพี ดงั ต่อไปนี้ ๑) ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งผู้รบั การนิเทศมีความเป็นทางการและเป็นเร่ืองของสถานศกึ ษาระดับหน่ึงน่ัน คือ มีการดำเนินการในโรงเรียนโดยบุคลากรในโรงเรียนตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไป มีกระบวนการการทำงาน มีการ แลกเปลยี่ น การสงั เกตการสอนในช้นั เรยี นกันและกนั และมีความสมั พนั ธ์ฉันท์เพอ่ื นทใี่ กลช้ ิดกัน ๒) การจับคู่กันสังเกตการสอนอย่างน้อย ๒ ครั้ง หรือมากกว่า ๒ ครั้ง ตามความจำเป็นและมีการให้ ขอ้ มลู ยอ้ นกลับภายหลงั การสงั เกตการสอน ๓) เน้นความสัมพันธ์ระหว่างเพ่ือนร่วมงาน ถงึ แมว้ า่ ผูบ้ ริหารหรือผู้นเิ ทศอาจจะมีส่วนเก่ียวข้องในการ จัด ดำเนนิ การและติดตามดูแลโครงการเปน็ บางคร้งั หรอื เขา้ สงั เกตการสอนในช้นั เรยี น จดั ประชมุ กับอภิปราย โดยเข้าร่วม โครงการโดยตลอดกไ็ ด้ ๔) เน้นความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ไม่มีการประเมินมาเกี่ยวข้องการนิเทศในแบบดังกล่าว เพื่อให้การ ชมเชย ผู้ปฏิบัติ ไม่ใช้ระบบการประเมินผลการปฏิบัติงานด้วยมาตรฐาน ดังนั้น ข้อมูลจากผลการสังเกตการ สอนหรอื จาก การประชุมจะไมค่ วรนำไปใช้ในกระบวนการประเมินผลครูของผบู้ ริหาร ลักษณะสำคัญ ๔ ประการ ของการนเิ ทศแบบรว่ มพัฒนาวชิ าชีพ เป็นลกั ษณะที่สำคญั ของวิธีการนิเทศ แบบ หลากหลายวิธีการ แต่อย่างไรก็ตามจากความหมายของคำว่า การนิเทศแบบร่วมพัฒนาวิชาชีพซึ่งมี ความหมายกว้างขึ้น ทำให้เกิดความหลากหลายในการปฏิบัติในการนิเทศแบบร่วมพัฒนาวิชาชีพ การนิเทศ แบบร่วมพัฒนาวิชาชีพไม่ใช่เรื่อง ใหม่แต่มีการนำไปใช้อย่างแพร่หลายตั้งแต่ปีค.ศ. ๑๙๖๘ ได้นำวิธีการนิเทศ แบบดังกล่าวไปใช้แตค่ อ่ นข้างจะเปน็ ทางการ สรปุ ปัญหาที่เกดิ ข้นึ แกลตทอน (Glatthorn, ๑๙๘๔ : หน้า ๘๘) คอื ครทู ่รี ว่ มโครงการประสบปัญหาด้านเวลาในการสงั เกต การสอนกนั และกัน แตท่ สี่ ำคญั
๒๒ ข้อดีของการนิเทศแบบร่วมพัฒนาวิชาชีพเกิดขึ้นกล่าว คือ ครูมีโอกาสแลกเปลี่ยนวิธีสอนซึ่งกันและ กัน ครูเกิดแรงจูงใจทางบวกเกี่ยวกับการสอนของตนเอง ครูเกิดความเข้าใจในงานของเพื่อนร่วมงานมากขึ้น และ ครูเกดิ ความเข้าใจในตวั นกั เรียนของตนเองมากย่ิงข้ึน ๓. การนเิ ทศแบบเพ่ือนนิเทศเพอื่ น (Peer Coaching) การนเิ ทศแบบเพ่อื นนเิ ทศเพ่ือน เป็นการนิเทศภายในรปู แบบหน่ึงที่เน้นการพัฒนาปรับปรงุ การจัดการ เรียน การสอนของครแู ละเพอ่ื ส่งเสรมิ ปฏสิ มั พนั ธท์ ่ีดรี ะหว่างครูและบุคลากรอน่ื ๆ ในโรงเรียน วัชรา เล่าเรียนดี (๒๕๔๕ : หน้า ๑๕๖-๑๕๘) ได้กล่าวถึงการนิเทศแบบเพื่อนนิเทศเพื่อน ว่าเป็น วิธีการที่ครูและ เพื่อนครูหรือครูในสาขาอื่นหรอื บุคลากรทีไ่ ม่ใช่บุคคลในสายผู้สอนตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไป ร่วมกัน มาปฏบิ ัตงิ านเกี่ยวกับ การพฒั นาปรบั ปรุงการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธภิ าพยง่ิ ขึ้น หรือร่วมกันพัฒนา โรงเรียนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จะต้องมีการวางแผนการปฏิบัติร่วมกัน มีการสังเกตการสอน วิเคราะห์การ สอน และการให้ข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) รูปแบบต่าง ๆ ของเพื่อนนิเทศเพื่อน (Peer Coaching) ได้ จำแนกการนิเทศแบบเพื่อนนิเทศเพื่อน (Peer Coaching) เป็น ๓ ประเภทซึ่งแต่ละประเภทจะมีจุดเน้นหรือ จุดมงุ่ หมายในการพัฒนาตา่ งกนั ดงั น้ี ๑) Technical Coaching เป็นการนิเทศทีช่ ว่ ยและส่งเสรมิ การถ่ายโยงความรู้ทักษะและวิธีการสู่การ ปฏบิ ตั จิ ริง ให้เกดิ ประสิทธิภาพสงู สดุ (หลงั การฝึกอบรมเทคนคิ วิธกี ารใหม่ๆ หรอื นวัตกรรมใหม่ๆ) ๒) Collegial Coaching เป็นการนิเทศที่ช่วยให้ครูได้พัฒนาปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนของ ตนเองด้วยตัวเอง เป็นการปฏิบัตงิ านพร้อมกันระหว่างผู้นิเทศกับครูหรือครูกับเพื่อนครูหรือครกู ับบุคลากรอน่ื ๆ ในโรงเรียน ๓) Challenge Coaching เป็นการนิเทศที่ช่วยเหลือและให้ความร่วมมือในการแก้ปัญหาการสอน ท่ี เกดิ ข้ึน เสมอและยังไม่ไดร้ ับการแกไ้ ขซึ่งเป็นงานท่ีท้าทายความสามารถในการแก้ปญั หาของบคุ คลทเ่ี ก่ยี วข้อง ข้อดีของการเพอ่ื นนิเทศเพอื่ น (Peer Coaching) ๑) ช่วยให้มีการช่วยเหลือแนะนำซึ่งกันและกันอย่างต่อเนื่องทำให้มีการปรับปรุงพัฒนาการจัดการ เรียนการสอนอย่างสม่ำเสมอ ๒) เป็นวิธหี น่งึ ท่จี ะช่วยให้ครไู ด้ปรับปรุงและพัฒนาการสอนของตนเองอย่างต่อเนื่อง ๓) เปน็ การแลกเปล่ียนความรคู้ วามคดิ ทกั ษะวธิ ีสอนซง่ึ กนั และกนั ๔) ส่งเสริมการทำงานร่วมกันในสายเดียวกันหรือตา่ งสาขากนั ๕) สร้างเสริมสภาพแวดลอ้ มทีด่ ใี นโรงเรียนสร้างบรรยากาศทด่ี ีในการร่วมมอื กนั ปฏบิ ตั ิงาน ๖) ช่วยใหค้ รูไดต้ ระหนกั ถึงความสำคญั และเปา้ หมายในการพฒั นาการเรยี นร้ขู องผู้เรยี น ๗) ช่วยเติมช่องว่างระหว่างครูด้วยกันช่วยสลายกฎแห่งความโดดเดี่ยวของครูแต่ละคน ช่วยทำให้ครู รู้สกึ ว่า ตนเองมเี พ่อื นหัวอกเดยี วกันประสบปญั หาคล้ายกนั ข้อเสนอแนะในการเร่ิมต้นโครงการเพื่อนนิเทศเพ่ือน (Peer Coaching) ๑) เปดิ โอกาสจดั เวลาใหม้ ีการสงั เกตการสอนเพื่อนร่วมงานท้ังในโรงเรียนเดยี วกัน และโรงเรียนอื่นท่ีมี ชอ่ื เสยี งขณะเดียวกนั เปิดโอกาสให้รับการสังเกตการสอนจากเพ่ือน
๒๓ ๒) จดั ประชุมปฏบิ ตั ิการเพ่อื สำรวจจดุ เด่นจดุ บกพร่องในการจัดการเรยี นการสอนของตนเอง ๓) ให้ความรทู้ บทวนหลักการและวธิ ีการสอนทีม่ ปี ระสทิ ธภิ าพหรือวธิ ที ่ีจะนำมาใชท้ ดลองปฏิบตั ิ ๔) ให้การฝกึ อบรมฝกึ ปฏบิ ัติทักษะท่ีจำเป็นเช่นทกั ษะการสงั เกตการสอน ๔. การนเิ ทศภายในแบบพฒั นาการ (Supervisory Approach in Developmental Supervision) ในการนิเทศแบบพัฒนาการน้ัน กลิคแมน และคณะ (Glickman and others, ๑๙๙๕ : หน้า ๑๓๕ - ๑๗๑) ไดก้ ำหนดวิธกี ารนิเทศหรือ พฤติกรรมการนเิ ทศ ๔ แบบ คือ ๑) วธิ ีให้การนเิ ทศแบบชี้นำควบคุม (Directive Control Approach) เปน็ พฤติกรรมการนเิ ทศภายใน ที่เน้น การประพฤติปฏิบัติด้วยการพูด การใช้ภาษา ท่าทางต่าง ๆ ในการให้คำแนะนำช่วยเหลือครูในการ ปรบั ปรงุ และ พัฒนาการจัดการเรยี นการสอน ซึ่งสามารถทีก่ ระทำไดก้ บั ครเู ป็นรายบคุ คลและเปน็ กลมุ่ ๒) วิธีให้การนิเทศแบบชี้นำให้ข้อมูล (Directive Informational Approach) เป็นพฤติกรรมการ นิเทศ ภายในแบบชี้นำให้ข้อมูลมีลักษณะเช่นเดียวกันกับการนิเทศแบบชี้นำควบคุม เพียงแต่ไม่ชี้นำหรือไม่ แนะนำวิธีการ ปฏิบัติให้ครโู ดยตรง แต่ให้ข้อมูลและวิธีการหลายวิธีให้ครูได้เลือกปฏิบตั ิ ซึ่งผู้นิเทศควรจะตอ้ ง พยายามลดพฤติกรรมการ นิเทศแบบชี้นำควบคุมให้น้อยลง และพยายามส่งเสริมครูในการตัดสินใจมากขึ้น เรื่อย ๆ จนครูสามารถที่จะร่วมคิดร่วมปฏิบัติงานได้กับบุคคลอื่น โดยไม่ต้องอาศัยผู้นิเทศช่วยแนะนำ ตลอดเวลา ๓. วธิ ีใหก้ ารนิเทศแบบรว่ มมือ (Collaborative Approach) เปน็ พฤติกรรมการนิเทศภายในท่ีเน้นทั้ง ผู้นิเทศและครูจะร่วมกันตัดสินใจในวิธีการแก้ปัญหาและการปฏิบัติงานตลอดเวลา ทั้งครูและผู้นิเทศจะให้ ขอ้ เสนอแนะแกก่ ันและกัน เพ่อื รว่ มกันพิจารณาหาขอ้ ตกลงร่วมกนั ในการปฏบิ ัติ ๔. วิธีให้การนิเทศแบบไม่ชี้นำ (Non - directive Approach) เป็นพฤติกรรมการนิเทศภายในที่ผ็ นิเทศจะ ใช้พฤติกรรมในการพูดคุยทำงานร่วมกับครู โดยที่ครูจะเป็นผู้ที่ตัดสินใจด้วยตัวเอง ผู้นิเทศเป็นเพียง ผู้ช่วยใน การสนับสนุนในเรื่องต่าง ๆ ที่ครูร้องขอเท่านั้น จากแนวคิดของนักการศึกษาและและหน่วยงาน ทางการศึกษา สรุปได้ว่า เทคนิคและวิธีการนิเทศภายในโรงเรียน เป็นการกำหนดแนวทางการพัฒนางาน ร่วมกนั อย่างเป็นระบบเพ่ือรว่ มแก้ไขปัญหาท่เี กิดขน้ึ โดยการมีส่วนร่วมของผ้ทู ่เี กย่ี วขอ้ งภายใตข้ ้อตกลงรว่ มกนั นอกจากเทคนิค/วิธีการนิเทศภายในโรงเรียนที่กล่าวมาข้างต้น สถานศึกษาสามารถนำเอาเทคนิควิธี ต่าง ๆ มาปรับประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสถานศึกษาให้เหมาะสมในแต่ละบริบทของสถานศึกษาเพื่อนำมา กำหนดเปน็ แนวทางการพัฒนางานรว่ มกันอย่างเป็นระบบเพื่อรว่ มแก้ไขปัญหาทเี่ กิดขน้ึ โดยการมสี ว่ นร่วมของผู้ ท่เี กี่ยวขอ้ งภายใตข้ ้อตกลงร่วมกัน กิจกรรมการนิเทศภายในโรงเรียน กิจกรรมต่าง ๆ ที่ใช้ในการนิเทศการศึกษา เป็นเครื่องมอื สำคัญเพื่อสง่ เสริมและพัฒนาการปฏิบัติงาน ของครูซึ่งจะช่วยให้การดำเนินการนิเทศบรรลุเป้าหมาย กิจกรรมการนิเทศมีหลากหลาย ซึ่งผู้นิเทศสามารถ เลือกใช้ให้เหมาะสม กับจุดมุ่งหมายของการนิเทศแต่ละครั้ง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ครูและนักเรียน
๒๔ ดังนั้นผู้นิเทศจึงต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกิจกรรมการนิเทศ โดยจะขอนำเสนอกิจกรรมการนิเทศที่ สำคัญและใช้มาก ๒๓ กจิ กรรม ดงั น้ี ๑) การบรรยาย (Lecturing) เป็นกิจกรรมที่เน้นการถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจของผู้นิเทศไปสู่รับ การนิเทศ ใชเ้ พียงการพดู และการฟงั เท่านนั้ ๒) การบรรยายโดยใช้สื่อประกอบ (Visualized Lecturing) เป็นการบรรยายที่ใช้สื่อเข้ามาช่วย เช่น สไลดแ์ ผนภมู ิ แผนภาพ มลั ตมิ เี ดีย อนิ โฟกราฟฟิก เปน็ ต้น ซึ่งจะชว่ ยให้ผฟู้ ังมีความสนใจมากยิ่งขึน้ ๓) การบรรยายเป็นกลุ่ม (Panel presenting) เปน็ กิจกรรมการใหข้ ้อมลู เป็นกลมุ่ ท่ีมีจุดเน้นท่ี การให้ ขอ้ มูล ตามแนวความคดิ หรอื แลกเปล่ียนความคิดเหน็ ซงึ่ กนั และกัน ๔) การให้ดูภาพยนตร์หรือโทรทัศน์(Viewing film and television) เป็นการใช้เครื่องมือที่สื่อทาง สายตา ไดแ้ ก่ ภาพยนตรโ์ ทรทศั น วดิ ีโอเทป เพ่ือทำใหผ้ รู้ บั การนเิ ทศได้รบั ความรแู้ ละเกิดความสนใจมากขึน้ ๕) การฟังคำบรรยายจากส่ือผ่านเครือขา่ ยอินเทอร์เน็ต ส่อื สงั คมออนไลนก์ ารถา่ ยทอดสด (Live) การ ประชุมทางไกล (Conference) ซึ่งกิจกรรมนี้เป็นการใช้วิธีการบันทึกในรูปแบบดิจิทัลเพื่อนำเสนอ แนวความคิดของ บคุ คลหนง่ึ ไปสผู่ ้ฟู ังคนอ่ืน ๖) การจัดนิทรรศการเกี่ยวกับวัสดุและเครื่องมือต่าง ๆ (Exhibiting materials and equipment) เป็นกิจกรรมทช่ี ่วยในการฝกึ อบรมหรือเป็นกิจกรรมสำหรบั งานพัฒนาส่ือตา่ ง ๆ ๗) การสังเกตในชั้นเรียน (Observing in classroom) เป็นกิจกรรมที่ทำการสังเกตการปฏิบัติงานใน สถานการณ์จริงของบุคลากร เพื่อวิเคราะห์สภาพการปฏิบัติงานของบุคลากร ซึ่งจะช่วยให้ทราบจุดหรือ จุดบกพร่อง ของบุคลากร เพ่อื ใชใ้ นการประเมินผลการปฏิบัตงิ านและใช้ในการพัฒนาบุคลากร ๘) การสาธิต (Demonstrating) เป็นกิจกรรมการให้ความรู้ที่มุ่งให้ผู้อื่นเห็นกระบวนการและวิธีการ ดำเนนิ การ ๙) การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (Structured interviewing) เป็นกิจกรรมสัมภาษณ์ที่กำหนด จดุ ประสงคช์ ดั เจนเพ่อื ใหไ้ ดข้ ้อมลู ต่าง ๆ ตามต้องการ ๑๐) การสัมภาษณ์เฉพาะเรื่อง (Focused interviewing) เป็นกิจกรรมการสัมภาษณ์แบบกึ่ง โครงสร้าง โดยจะทำการสมั ภาษณเ์ ฉพาะโรงเรียนที่ผูต้ อบมีความสามารถจะตอบได้เทา่ นัน้ ๑๑) การสัมภาษณ์แบบไม่ชี้นำ (Non-directive interview) เป็นการพูดคุยและอภิปราย หรือ การ แสดง แนวความคิดของบุคคลท่สี นทนาดว้ ย ลักษณะการของการสมั ภาษณจ์ ะสนใจกบั ปญั หาและ ความสนใจ ของผู้รับการสัมภาษณ์ ๑๒) การอภิปราย (Discussing) เป็นกิจกรรมที่ผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศปฏิบัตริ ่วมกัน ซึ่งเหมาะสม กบั กลุ่ม ขนาดเลก็ มกั ใช้ร่วมกับกจิ กรรมอ่นื ๆ ๑๓) การอ่าน (Reading) เปน็ กิจกรรมที่ใชม้ ากกจิ กรรมหนง่ึ สามารถใช้ไดก้ บั คนจำนวนมาก เช่น การ อ่าน ขอ้ ความจากวารสาร มักใชร้ ่วมกับกิจกรรมอ่นื ๑๔) การวิเคราะหข์ ้อมูลและการคิดคำนวณ (Analyzing and calculating) เปน็ กิจกรรมท่ีใช้ใน การ ตดิ ตาม ประเมนิ ผล การวิจัยเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารและการควบคมุ ประสิทธภิ าพการสอน
๒๕ ๑๕) การระดมสมอง (Brainstorming) เป็นกิจกรรรมที่เกี่ยวข้องกับการเสนอแนว ความคิดวิธีการ แก้ปัญหา หรือใช้ข้อแนะนำต่าง ๆ โดยให้สมาชิกแต่ละคนแสดงความคิดโดยเสรี ไม่มีการวิเคราะห์หรือ วิพากษ์วิจารณแ์ ตอ่ ยา่ งใด ๑๖) การบนั ทึกวิดีโอและการถา่ ยภาพ (Videotaping and photographing) วดิ ีโอเทปเป็นเครื่องมือ ที่ แสดงให้เหน็ รายละเอียดทั้งภาพและเสียง สว่ นการถา่ ยภาพมีประโยชน์มากในการจดั นทิ รรศการกิจกรรมนี้มี ประโยชน์ในการประเมนิ ผลงานและการประชาสมั พนั ธ์ ๑๗) การจัดทำเคร่ืองมือและแบบทดสอบ (Instrumenting and testing) กจิ กรรมนี้เกีย่ วข้องกับการ ใช้ แบบทดสอบและแบบประเมนิ ต่าง ๆ ๑๘) การประชุมกลุ่มย่อย (Buzz session) เป็นกิจกรรมการประชุมกลุ่มเพื่ออภิปรายในหัวข้อเรือ่ งที่ เฉพาะเจาะจง มุ่งเน้นการปฏิสมั พันธภ์ ายในกลุ่มมากท่ีสดุ ๑๙) การจัดทัศนศึกษา (Field trip) กิจกรรมนี้เป็นการเดินทางไปสถานที่แห่งอื่น เพื่อศึกษาดูงานท่ี สมั พนั ธ์กบั งานท่ีตนปฏิบัติ ๒๐) การเยี่ยมเยียน (Inter visiting) เป็นกิจกรรมที่บุคคลหนึ่งไปเยี่ยมและสังเกตการทำงานของอีก บคุ คลหน่ึง ๒๑) การแสดงบทบาทสมมติ (Roleplaying) เปน็ กจิ กรรมที่สะท้อนใหเ้ หน็ ความรสู้ ึกนึกคิดของบุคคล กำหนดสถานการณข์ นึ้ แล้วใหผ้ ู้ทำกจิ กรรมตอบสนองหรือปฏิบัติตนเองไปตามธรรมชาติทค่ี วรจะเป็น ๒๒) การเขียน (Writing) เป็นกิจกรรมที่ใช้เป็นสื่อกลางในการนิเทศเกือบทุกชนิด เช่น การเขียน โครงการ นิเทศ การบันทกึ ข้อมลู การเขียนรายงาน การเขียนบนั ทึก ฯลฯ ๒๓) การปฏิบตั ติ ามคำแนะนำ (Guided practice) เปน็ กิจกรรมท่เี นน้ การปฏิบตั ใิ นขณะทป่ี ฏบิ ตั ิมี การคอย ดแู ลชว่ ยเหลอื มกั ใช้กบั รายบุคคล จากการทผี่ ู้จัดทำไดร้ วบรวม และสรปุ รูปแบบของกิจกรรมการนิเทศภายในโรงเรียน ตามรายละเอียด ขา้ งต้นแลว้ ตน้ แลว้ นั้น ผจู้ ดั ทำขออธบิ าย ขยายความเพ่มิ เตมิ ในรปู แบบกจิ กรรมการนิเทศภายในโรงเรียน ท่ีสำนักงานศึกษาธิการจังหวดั สงิ ห์บุรี จะนำมาใชใ้ นการขบั เคลอ่ื นการพฒั นาในโรงเรยี นกลมุ่ เป้าหมาย มดี งั นี้ ๑. กิจกรรมการสังเกตการสอน การสังเกตการสอน : เปน็ กจิ กรรมท่ีผ้นู ิเทศดำเนนิ การสังเกตการสอนครผู ู้สอนซึ่งเปน็ ผู้รับการนิเทศใน ห้องเรียน มีจุดมุ่งหมายเพื่อติดตาม ตรวจสอบและประเมินพฤติกรรมการสอนของครูในห้องเรียน การ ดำเนินการเป็นการสังเกตพฤติกรรมระหว่างพฤติกรรมการสอนของครูผู้สอนและการเรียนของนักเรียนเพื่อ สรุปสภาพปัจจุบนั ปญั หาเพือ่ ปรบั ปรงุ แก้ไข และหรือค้นหาแบบอย่างการสอนและพัฒนาการสอน โดยอาจจะ ทำได้หลายลักษณะ เช่น การเขาไปสังเกตการสอนของครูโดยตรง ประกอบการรายงานของนักเรียนและ เอกสารอื่นๆได้แก่ การบันทึกการสอนของครู เป็นต้น ซึ่งการสังเกตการสอนแบ่งออกเป็น การสังเกตการสอน แบบเป็นทางการ และการสงั เกตการสอนแบบไมเ่ ป็นทางการ ๑.๑ การสงั เกตการสอนอยา่ งเปน็ ทางการ ประกอบมแี นวดำเนนิ การโดยสรุป ดังนี้ ๑.๑.๑ หลกั การดำเนนิ การสังเกตอย่างเปน็ ทางการ ประกอบดว้ ย
๒๖ ๑) การกำหนดจดุ มงุ่ หมายจดุ ม่งุ หมายของการนเิ ทศ ๒) การทำใหจ้ ดุ มงุ่ หมายเป็นทย่ี อมรบั ของบุคคลท่เี กีย่ วข้อง ๓) การกำหนดเวลาในการนเิ ทศ ๔) การเลอื กเครื่องมอื ๕) การทบทวนการดำเนนิ การนเิ ทศการสอน ๖) ย้ำกับครูผสู้ อนท่จี ะเข้าสังเกตการสอน ๗) ตดั สนิ ใจเกี่ยวกับกิจกรรม ท่จี ะใชต้ ิดตามประเมินผล กำหนดเวลาและจุดมุ่งหมายไว้ ล่วงหน้า ๑.๑.๒ การดำเนินการสงั เกตการสอนอยา่ งเปน็ ทางการ ประกอบดว้ ย ๑) การเข้าห้องเรียนเพื่อสังเกตการสอนของผู้นิเทศ : ผู้นิเทศควรเข้าห้องเรียนตาม กำหนดเวลาตามปฏทิ ินการนเิ ทศ เลอื กตำแหน่งน่งั ทำใหไ้ ดย้ ินไดฟ้ ังเสยี งทั่วห้องเรียน เตรียมเครอื่ งมือนเิ ทศให้ พร้อม โดยเขา้ ไปในหอ้ งลว่ งหน้า สร้างความค้นุ เคยกบั ครูผสู้ อนและนกั เรยี นตามสภาพจรงิ ของการเรยี นปกติ ๒) การใชเ้ ครอ่ื งมอื เพอ่ื การจดบันทกึ การสอน : เปน็ เครื่องมือทจ่ี ดั ทำล่วงหน้า สอดคลอ้ งกบั จดุ มุ่งหมายการนิเทศ และครูผสู้ อนรบั ทราบลว่ งหน้า ใช้เครือ่ งมือประกอบการสงั เกตพฤติกรรมการสอนและ พฤตกิ รรมการเรียนของนกั เรียนโดยเกบ็ ขอ้ มลู ตามภาวะปกติโดยไม่ไปสอดแทรกรบกวนการเรียนการสอนปกติ ในช้ันเรียน ๓) ระยะเวลาของกำรสังเกต: ใชเ้ วลาในแต่ละครั้งระหว่าง ๒๐-๔๐ นาที โดยผนู้ ิเทศจะต้อง ทำการสังเกตในหลายๆครั้ง โดยจะต้องใช้เครื่องมือนิเทศเพื่อกำรจดบันทึกการสอน ทุกครั้ง และจะต้อง ดำเนินการสงั เกตหลายครัง้ เพ่ือหาขอ้ มลู ทเ่ี พียงพอในการตัดสินใจสรุปผลการนเิ ทศ ๑.๒ การสังเกตการสอนอย่างไม่เป็นทางการ เป็นกิจกรรมการสังเกตการสอนแบบไม่เป็นทางการ คือ ถือโอกาสผ่านไปเยี่ยมเยียนขณะครูกำลังสอนอยู่ หรือจะจัดอย่างเตรียมความพร้อมล่วงหน้า เช่น ให้ ครผู ้สู อนทราบล่วงหน้าพรอ้ มกับมีแบบสงั เกตกไ็ ด้ สรุปไดว้ ่า การสังเกตการสอน เปน็ การสงั เกตพฤติกรรมระหว่างพฤตกิ รรมการสอนของครแู ละการ เรียนของนักเรียน โดยสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นระบบ คือ การใช้เครื่องมือ การสังเกต และการเก็บ รวบรวมข้อมูลที่สังเกตการสอนได้ ขั้นตอนการสังเกตการสอนมี ๓ ขั้นตอน คือ การเตรียมการก่อนการสงั เกต การสงั เกตในหอ้ งเรียน และการติดตามผลหลังสอน นอกจากน้ี ผูน้ ิเทศซง่ึ เป็นผ้บู ริหารสถานศกึ ษากส็ ามารถใช้ การเย่ยี มช้ันเรียนอย่างไมเ่ ปน็ ทางการ เพ่ือสร้างขวัญและกำลังใจใหค้ รผู ู้สอน ๒. กิจกรรมการเยย่ี มช้นั เรยี น การเยย่ี มช้ันเรียน หมายถงึ การทผ่ี ้นู เิ ทศไปพบและสงั เกตการทำงานของครใู นชัน้ เรยี น เพือ่ รว่ มกนั พฒั นาการทำงานให้มีคณุ ภาพ วตั ถปุ ระสงค์ ๑) เพอ่ื สำรวจความต้องการของครู ๒) เพือ่ ศกึ ษาปญั หาของครูในสถานศึกษา
๒๗ ๓) เพื่อประเมนิ ผลการสอนของครู ๔) เพอื่ กระตุ้นให้ครูปรบั ปรุงการจดั การเรียนรู้ ๕) เพือ่ ใหค้ ำปรึกษาแนะนำแกค่ รู รายละเอยี ดข้นั ตอนการนิเทศแบบเยี่ยมช้ันเรยี น ข้ันที่ ๑ สร้างข้อตกลงในการนิเทศเยี่ยมช้นั เรยี น มีขนั้ ตอน ดังน้ี ๑. พบปะสนทนา สร้างความคุ้นเคยและสร้างเจตคติทีด่ ใี นการนิเทศแก่ ครู ๒. วางแผนการนเิ ทศเย่ยี มชั้นเรยี น รว่ มกบั ครูในเรอื่ งต่าง ๆ ดังนี้ ๒.๑ กำหนดการนิเทศเย่ยี มชน้ั เรยี น ๒.๒ กำหนดจุดมงุ่ หมายในการนิเทศเย่ียมช้นั เรียน ๒.๓ กำหนดที่จะนเิ ทศตามความตอ้ งการ/จำเปน็ ดงั นี้ ๑) การจัดทำเอกสารและงานธุรการประจำห้องเรยี น ๒) การจดั ห้องเรยี นและบรรยากาศในหอ้ งเรยี น ๓) การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ ฯลฯ ๒.๔ กำหนดวิธกี ารนเิ ทศ ดังนี้ ๑) สำรวจปัญหาและความต้องการของครู ๒) สอบถามการปฏบิ ัตงิ านของครู ๓) ให้คำปรกึ ษาแนะนำ ๔) สังเกตการสอน ฯลฯ ข้นั ที่ ๒ ปฏิบัติการนิเทศเย่ยี มชน้ั เรยี น ตำมขอ้ ตกลงทกี่ ำหนดรว่ มกนั กบั ครู ดังนี้ ๑. เข้านเิ ทศเยีย่ มช้นั เรยี นตรงตามเวลาท่กี ำหนด ๒. ใหค้ วามเป็นกันเอง เพื่อสร้างเจตคตทิ ี่ดีแก่ครู ขัน้ ที่ ๓ วิเคราะหผ์ ลการนิเทศเยย่ี มชัน้ เรียน มีขั้นตอน ดงั นี้ ๑. วิเคราะหผ์ ลการนิเทศเยี่ยมชั้นเรยี นรว่ มกับครู ๒. สรุปผลการนเิ ทศเยี่ยมช้นั เรยี น ๓. ใหค้ ำปรึกษาแนะนำ ขน้ั ที่ ๔ ปรบั ปรุงการทำงาน ครนู ำผลการนิเทศเยี่ยมชั้นเรยี น มาปรบั ปรุงแก้ไขคำถามและการระดมสมองไดอ้ ย่างมปี ระสิทธภิ าพ
๒๘ ข้ันตอนการนิเทศแบบนิเทศช้ันเรียน สร้างขอ้ ตกลงในการเยยี่ มช้นั เรยี น ปรบั ปรงุ การทำงาน เย่ยี มนเิ ทศช้ันเรยี น วิเคราะหผ์ ลการเยี่ยมนเิ ทศช้ันเรยี น แบบบันทึกนิเทศแบบเยย่ี มนิเทศช้ันเรียน โรงเรยี น.................................................................................................... ................... อำเภอ............................ ชื่อผ้นู ิเทศ............................................................ชอ่ื ผู้รับการนิเทศ..................................................................... รายวชิ า...............................................................ระดับชนั้ ................................................................................... วนั /เดือน/ปี วเิ คราะห์ผล สรปุ ผล ใหค้ ำปรึกษาแนะนำ การเยยี่ มนิเทศชั้นเรยี น การเย่ียมนิเทศช้ันเรยี น ๓. กิจกรรมการให้ปรกึ ษาแนะนำ ความหมาย การใหค้ ำปรกึ ษาแนะนำ เป็นการพบปะกันระหว่างผนู้ ิเทศกับผรู้ ับการนิเทศซ่ึงอาจกระทำได้หลายวธิ ี แต่ในทนี่ ีข่ อเสนอเทคนิคการนิเทศแบบ โคชชิง่ (Coaching Techniques) ซ่ึงเป็นวธิ กี ารพฒั นาบคุ ลากรอย่างมี แบบแผน โดยกระทำ ณ จุดปฏบิ ตั ิงาน วตั ถุประสงค์ เพื่อช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานก้าวหน้าไปถึงจุดหมายปลายทางได้ เช่น ความก้าวหน้าทางวิชาชีพ ความสามารถที่จะรบั ผดิ ชอบงานในหน้าท่ีสงู ขน้ึ (เช่น ในกรณีแต่งตั้งเปน็ ผู้นิเทศ) หรือ เป็นที่ยอมรับของเพ่ือน รว่ มงามากข้ึน
๒๙ วธิ ีการใหค้ ำปรึกษาแนะนำ การให้คำปรึกษาแนะนำมี ๒ วิธี คือ วธิ ีท่ี ๑ การใหค้ ำปรกึ ษาแนะนำแบบไม่เปน็ ทางการ เปน็ กำรใหค้ ำปรกึ ษาแนะนำโดยใช้เวลาว่างพดู คุยกนั เช่น ตอนรบั ประทานอาหาร กลางวนั ซงึ่ วธิ นี ้ีผู้นเิ ทศสามารถให้ความช่วยเหลือผรู้ ับการนเิ ทศได้ ๓ ลกั ษณะ คอื ๑.๑ บอกวิธแี ก้ปญั หาโดยตรง ๑.๒ เสนอขอ้ มูลและให้โอกาสผรู้ บั การนิเทศวิเคราะห์ปญั หาเอง ๑.๓ แบบผสมผสาน ท้ังลักษณะที่ ๑ และ ๒ ข้นั ตอนการนิเทศ ๑) รับรปู้ ญั หา ๒) วเิ คราะหป์ ญั หา ๓) แก้ไขปญั หา โดยเลอื กวิธลี กั ษณะใดลักษณะหนงึ่ ข้างตน้ นี้ วธิ ที ่ี ๒ การให้คำปรึกษาแบบเป็นทางการ การใหค้ ำปรึกษาแบบเปน็ ทางการใชข้ ั้นตอนการนเิ ทศแบบ Coaching Techniques เขียนเปน็ สญั ลักษณ์ คอื CQCD ซ่ึงย่อมาจากคำตอ่ ไปน้ี C - Compliment (ชมเชย) Q – Question (สอบถาม) C – Correct (แก้ไข) D – Demonstrate (สาธติ ) แผนภูมิการให้คำปรึกษาแบบเป็นทางการ ชมเชย สาธติ สอบถาม แก้ไข
๓๐ รายละเอียดขัน้ ตอนการนเิ ทศแบบกำรให้คำปรึกษาแนะนำ ขั้นท่ี ๑ ชมเชย C - Compliment C - Compliment หมายถึง การสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างผู้ที่ทำหน้าที่เป็น Coach และผู้ให้ คำแนะนำ ซึ่งเป็นสัมพันธภาพที่สร้างความไว้วางใจความสบายใจ ยินดีร่วมในแนวทางของ Coaching Techniques นับเปน็ บทบาทสำคญั ของ Coach ท่ีจะตอ้ งดำเนินการ ดงั นนั้ ควรดำเนินการ ดงั น้ี ๑. ศึกษาข้อมูลของผู้ที่รับการแนะนำ เช่น จุดเด่น ผลงานเด่น ความชอบ อัธยาศัย จุดอ่อน จดุ ทีต่ ้องปรบั ปรุง ข้อมลู ต่าง ๆ ควรบันทึก ไว้อย่างเปน็ ระบบมีความเหมาะสม ๒. นำข้อมูลมาเป็นแนวทางในการสร้างสัมพันธภาพ ได้แก่ การชมเชย หรือการสร้าง บรรยากาศ เพ่อื การเชอ่ื มโยงไปสูข่ นั้ ตอ่ ไป เมื่อมีใครคนหนึ่งกำลังรับการนิเทศ เขาอาจรู้สึกว่าเขาถูกวิพากษ์วิจารณ์ เขาจึงพยายามหา ขอ้ แกต้ ัวต่าง ๆ และพยายามสร้าง “กำแพงใจ” มาขวางกนั้ การตดิ ต่อสื่อสารระหว่างเขากับผู้นิเทศ แต่เมื่อเร่ิม การสนทนาด้วยการชมเชย ยกย่องผลงานที่ดขี องเขาก่อน (ด้วยความบริสุทธิ์ใจ) เขาก็จะ “ปลดอาวุธตนเอง” ขอ้ แก้ตวั ของเขาก็จะถูกเก็บเอาไว้ และ “กำแพงใจ” จะเปิดออก แลว้ เขาก็พรอ้ มที่จะรบั ฟัง ขนั้ ท่ี ๒ สอบถาม Q - Question Q - Question หมายถึง การถาม ซึ่งเน้นการถามในเชิงขอความคิดเห็นไม่ให้ผู้ตอบจนมุมหรือเกิด ความไม่สบายใจที่จะตอบคำถาม ซึ่งผู้เป็น Coach อาจจะใช้ความเหมาะสมของผู้รับคำแนะนำและสภาพ ปัญหา เช่น o คุณคดิ ว่าผมจะชว่ ยอะไรได้บ้าง o คุณคดิ ว่ามวี ธิ ีการอะไรบ้างทแ่ี ก้ปัญหาน้ี o คุณคิดว่าถ้าใชว้ ิธีการนแี้ ลว้ จะเกิดอะไรขึน้ o ทุกอย่างจะตอ้ งมขี อ้ ดแี ละข้อจำกดั คณุ คิดว่าวิธนี อี้ ะไรคอื ขอ้ ดีอะไรคือข้อจำกัด o คณุ คดิ ว่าขอ้ จำกัดนน้ั ๆ จะมที างแกไ้ ขหรือควรทำอย่างไรหรือ จะหาทางออกอย่างไร ในสภาวะ หรอื ในสภาพเช่นนี้ o คุณคิดว่าถ้าคุณจะพฒั นางานใหด้ ยี ิง่ ข้นึ มอี ะไรบ้างทเี่ ราควรทำ o ท่ีคุณคดิ ว่า “ไม่ดี, ยังไมด่ ี คอื อะไรบ้าง” “คุณคิดว่า มีอะไรบ้างท่คี ุณต้องการเสรมิ เพ่ิมเติม” ในขั้นที่แล้วมา แม้ว่าจะได้คำชมเชยแก่เขาไปบ้างแล้ว บางทีความคิดต่อต้านอาจเกิดขึ้นได้อีกอย่าง งา่ ยดายหรอื กระทำในเชงิ วจิ ารณ์ หรือเสนอแนะเร็วข้ึน การถามในขัน้ นี้ ทำใหผ้ ู้รบั การนเิ ทศมีความม่ันใจว่า ผนู้ เิ ทศยนิ ดรี ับฟงั เหตผุ ลของเขา และเขารสู้ กึ ว่า ผู้นิเทศต้องการมาให้ความช่วยเหลือ มีจิตใจเปิดกว้างและการสื่อสารเป็นแบบคู่ปรึกษามากกว่าแบบเจ้านาย กบั ลูกนอ้ ง
๓๑ ขอ้ ควรระวัง กค็ ือ อย่าถามให้เขาร้สู ึกวา่ เป็นการจบั ผิด ขนั้ ท่ี ๓ แกไ้ ข C - Correct C - Correct หมายถงึ การเสนอแนะแนวทางแก้ไข ในข้นั ตอนนีผ้ ูเ้ ปน็ Coach ควรให้ความสำคัญ ในขัน้ ตอนทีส่ บื เนื่องจากขน้ั Question นำคำตอบของผรู้ บั คำแนะนำมาวเิ คราะหแ์ ละนำเสนอในส่วน ที่ยังบกพร่อง และสังเคราะห์เป็นแนวการปฏบิ ัตหิ รือการพัฒนางานในลักษณะแลกเปลี่ยนเรียนรู้รว่ มกัน และ ในขนั้ ตอนน้ีควรกำหนดบทบาทในการปฏบิ ตั แิ ตล่ ะเร่อื งชดั เจน เมื่อผ่านมา ๒ ขั้นตอนแล้ว ผู้นิเทศก็มาถงึ ขั้นที่จะเสนอแนะแนวทางปรับปรงุ แก้ไขข้อบกพรอ่ งต่างๆ ได้ เพราะมีความเข้าใจท่ดี ีต่อกัน ขั้นที่ ๔ สาธติ D - Demonstrate D - Demonstrate หมายถึง การนำขอ้ เสนอหรอื แนวทางทตี่ กลงกันไว้ในขน้ั ตอนของ C - Correct หรอื แผนการใช้นวัตกรรม ซง่ึ ผู้รับคำแนะนำเป็นผู้ปฏบิ ัติ ผู้เปน็ Coach เปน็ ผูแ้ นะนำอยา่ งใกลช้ ิด บางครง้ั Coach อาจตอ้ งสาธติ **ดังน้ัน การนเิ ทศแบบ Coaching Techniques ประสบผลสสำเร็จได้เป็นอยา่ งดี ก็ขนึ้ อยู่กบั ๑. ผเู้ ป็น Coach ตอ้ งเป็นผูเ้ ชย่ี วชาญ และเป็นผ้ทู ีผ่ ู้รับคำแนะนำยอมรับ ๒. มคี วามเหมาะสมกับการสอนแนะเป็นรายบุคคลหรือกลุ่มย่อย ใช้ไดก้ บั บคุ คลทุกกลมุ่ ทั้งการ พัฒนาศึกษานิเทศก์ พัฒนาผู้บริหารและพัฒนาครูบางครัง้ การอธบิ ายตามขั้นตอนท่ี ๓ อาจไม่ชัดเจนเพียงพอ จงึ อาจสาธติ หรอื ยกตวั อย่าง ยกเหตุการณ์ มาแสดงใหเ้ หน็ จริง การนิเทศแบบ Coaching สามารถนำไปใช้นิเทศได้ทั้งงานวิชาการและงานอื่น ๆ อีก ๓ งาน ได้เป็น อย่างดี เมอ่ื ผู้นเิ ทศ ให้คำปรกึ ษาแนะนำผ้รู ับการนิเทศเสรจ็ แลว้ จึงบนั ทกึ ลงในแบบบนั ทึกการให้คำปรกึ ษา แนะนำ ดงั น้ี แบบบันทึกการให้คำปรึกษาแนะนำ โรงเรยี น.................................................................................................... ................... อำเภอ............................ ช่ือผ้นู เิ ทศ............................................................ชื่อผ้รู ับการนิเทศ..................................................................... รายวชิ า...............................................................ระดบั ชนั้ ................................................................................... วัน/เดอื น/ปี เร่อื งทใี่ ห้คำแนะนำ รายละเอียดการให้ ผรู้ ับการนเิ ทศ ปรึกษา คำปรกึ ษาแนะนำ ลงชอื่ ...................................................ผู้นเิ ทศ (...............................................................) ตำแหนง่ ...........................................................
๓๒ ๔. กิจกรรมการสนทนาทางวิชาการ ความหมาย การสนทนาทางวชิ าการ หมายถึง การประชมุ ครูหรือกลุ่มผู้สนใจเร่ืองราวขา่ วสารเดียวกัน โดย กำหนดให้ ผนู้ ำสนทนาคนหนึ่ง นำสนทนาในเร่อื งทีก่ ลุ่มสนใจ วตั ถปุ ระสงค์ ๑. เพ่อื เพิ่มพนู ความร้คู วามเข้าใจแนวทางการปฏบิ ตั ิงาน เทคนิค วิธีการแก่คณะครใู นโรงเรียน ๒. เพื่อพฒั นาบุคลากรในโรงเรียน รายละเอยี ดขนั้ ตอนการนเิ ทศแบบสนทนาทางวชิ าการ ขน้ั ท่ี ๑ ศึกษาปัญหา ขน้ั ศึกษาปัญหามวี ธิ กี าร คอื สำรวจปญั หา ความตอ้ งการในเรือ่ งราวที่มีความสนใจรว่ มกนั หรอื เปน็ ปัญหารว่ มกัน เช่น เร่อื งการสอนภาษาไทยแบบบูรณาการ เร่อื งการจดั การเรยี นรู้ทกั ษะกระบวนการ คิด เปน็ ต้น ลำดบั เร่ืองทใ่ี ชส้ นทนาทางวิชาการตามความสำคัญ ความจำเป็นและความเหมาะสม ขั้นที่ ๒ เลือกผูน้ ำสนทนาทางวิชาการ ขน้ั การเลอื กผู้นำทางวิชาการ มีวิธกี าร ดังน้ี ๒.๑ เลือกบุคคลใดบุคคลหนึ่งในโรงเรยี น ที่เห็นว่ามีความสามารถเปน็ ผนู้ ำสนทนาทางวิชาการได้ โดยผู้นำจะต้องเป็นผู้มีความร้คู วามเข้าใจเรื่องทจี่ ะสนทนาไดอ้ ย่างลึกซงึ้ กว่าผูอ้ ่ืน ๒.๒ เลอื กบุคคลภายนอก หากเหน็ ว่า เรอ่ื งที่จะสนทนาน้ันคอ่ นข้างยากคณะครใู นโรงเรยี นยงั ไมม่ ี ความรคู้ วามเข้าใจและความชำนาญเพียงพอ ๒.๓ ผู้นำทางวิชาการ ควรหมุนเวยี นกันไป ไม่ควรเปน็ ผเู้ ดียวซำ้ ตลอดปี ๒.๔ ประสำนงำนกบั ผนู้ ำสนทนาทางวิชาการ ท้ังในหรือนอกโรงเรยี นโดยแจ้งวตั ถุประสงค์ให้ เขา้ ใจตรงกัน ขั้นที่ ๓ ปฏิบัติการ ขน้ั ปฏบิ ัตกิ าร มขี ัน้ ตอน ดังน้ี ๓.๑ กำหนดการสนทนาทางวชิ าการในช่วงหลงั รับประทานอาหารกลางวนั หรือชว่ งว่างตอนใด ตอนหนงึ่ ทเี่ หน็ ว่าเหมาะสม โดยอาจกำหนดเป็นรายสปั ดาหห์ รอื รายเดอื นตามความตอ้ งการและทำปฏทิ ินไวใ้ ห้ ชัดเจน ๓.๒ กำหนดเวลาสนทนาครง้ั ละ ๓๐ - ๔๕ นาที ขัน้ ที่ ๔ การประเมินผล ขนั้ การประเมนิ ผล มขี ้ันตอน ดังนี้ ๔.๑ สงั เกต สอบถามและบนั ทึก ความสนใจและความเขา้ ใจของผรู้ ว่ มสนทนาทางวชิ าการ แล้ว นำมาเป็นข้อมลู เพ่ือใช้ประโยชนใ์ นการจดั ดำเนนิ การตอ่ ไป ๔.๒ สังเกตการพฒั นาตนเองและการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมการจดั การเรยี นรู้ของครู
๓๓ ๕. กิจกรรมการประชุมเพื่อปรกึ ษาหารอื เป็นกจิ กรรมการประชมุ ร่วมกันระหว่างผู้นเิ ทศและครูผู้สอน โดยได้ดำเนินการวางแผนและกำหนด ปฏทิ ินไว้ล่วงหน้า กำหนดช่วงเวลาและสถานทป่ี ระชุมไว้อย่างชดั เจน วิธกี ารประชุมจะเรม่ิ ตน้ ด้วยการประชุม ร่วมกันระหว่างครผู ู้สอนและคณะผูน้ ิเทศ ซึ่งการดำเนินการประชุมจะสิ้นสุดด้วยการที่ผู้นเิ ทศตดั สินใจร่วมกัน กับครูผู้สอนในการกำหนดแนวทางในการพัฒนาและปรับปรุงการเรียนการสอน ซึ่งคณะผู้นิเทศจะต้องใช้ ทกั ษะต่าง ๆในการดำเนนิ การประชุมตามลำดบั ต่อเน่ืองโดยสรุปประกอบดว้ ย ๘ ข้นั ตอน ดงั น้ี (สุทธนู ศรีไสย์. ๒๕๔๕. หน้า ๑๑๗-๑๒๐) ๕.๑ การฟงั (Listening) : คณะผู้นิเทศรว่ มกันฟงั แล้วพิจารณาปญั หาของครูผู้สอนแต่ละคนโดยให้ครู อธบิ ายใหฟ้ ัง ผู้นเิ ทศจะเริ่มตน้ ดว้ ย การสังเกต เก็บรวบรวมข้อมูลที่ได้จากคำบอกเล่าของครูผู้สอน และสภาพ จริงของการปฏิบัติงานจากนั้นสะท้อนคำพูดกลับให้ครูผู้สอนรับทราบว่า ผู้นิเทศเข้าใจปัญหาแล้วแค่ไหน เพยี งไร ๕.๒ การทำให้กระจ่าง (Clarifying) : ถ้าในขณะฟังผู้นิเทศยังไม่เข้าใจถ่องแท้ในปัญหาใดๆของครูแต่ ละคนผู้นิเทศจะต้องกระตุ้นครูผู้สอนให้เล่าหรืออธิบายรายละเอียดของพฤติกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ ประเด็นปัญหาเพิ่มเติมตามที่ต้องการโดยการใช้คำถามง่ายๆ เช่น “คุณคิดว่าปัญหานี้เป็นอย่างไร และทำไม คณุ คิดเช่นน้ัน” ๕.๓ การฟัง (Listening) : ผู้นิเทศฟงั ทศั นะครูผู้สอน โดยการรวบรวมขอ้ มูลให้ไดม้ ากท่สี ดุ ในช่วงเวลา จำกัดทมี่ อี ยู่ และต้องต้ังใจฟงั ครูอธิบายอยา่ งละเอียดรอบคอบ พร้อมทัง้ แสดงสหี น้าท่าทาง เปน็ การแสดงการ กระตนุ้ และสนบั สนุนใหค้ รูพดู อย่างต่อเน่ือง เพอื่ ใหไ้ ด้รับข้อมลู เพิ่มเติมมากเท่าท่ีจะสามารถทำได้ ๕.๔ การแก้ปัญหา (Problem Solving) : ผูน้ เิ ทศพจิ ารณาแนวทางการแก้ไขปญั หาท่ีดีทส่ี ดุ ซ่งึ จะต้อง เปน็ แนวทางทใี่ ห้ผลกระทบด้านจิตใจแก่ครผู สู้ อนน้อยทส่ี ดุ คำถามท่ใี ชอ้ าจเป็น “คุณคดิ ว่าจะมีวิธีการใดบ้างท่ี สามารถแก้ไขปัญหาน้ีได้” หลังจากนน้ั ผูน้ เิ ทศจะต้องเสนอแนะให้ครูผู้สอนได้เลือกแนวทางใดแนวทางหน่ึงใช้ ปฏิบตั สิ ำหรับการแกไ้ ขปญั หานัน้ ๕.๕ การให้คำแนะนำ (Directing) โดยการบอก (Telling) สิ่งที่คาดหวังและต้องการให้เกิดแก่ ครูผู้สอนโดยอาจกล่าวว่า “ผม (ฉัน) ต้องการเห็นคุณทำในสิ่งต่อไปนี้” ซึ่งคำกล่าวนี้ จะเป็นสิ่งสำคัญมาก สำหรับการนิเทศทางตรง ๕.๖ การทำให้กระจ่าง (Clarifying) : โดยการถามครูผู้สอนเกี่ยวกับแนวคิดที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ตลอดจนรายละเอียดและวธิ กี ารต่าง ๆ ทจ่ี ะใช้ในการปรบั ปรุงการสอน ผู้นิเทศ ควรทีจ่ ะแจง้ ให้ครูผู้สอนทราบ ทุกครั้งก่อนที่จะลงมือแกไ้ ขหรือก่อนท่ีจะส้ินสุดการประชุมระหว่าง ผู้นิเทศกับครูผู้สอนในแต่ละคร้ัง กล่าวคอื เมื่อผู้เสนอวิธีการแก้ปัญหาแก่ผู้สอนแล้วครูผู้สอนไม่เห็นด้วย หรือมีพฤติกรรมที่แสดงว่าไม่ยอมรับ ผู้นิเทศ จะตอ้ งจัดการปรับแก้วิธีการให้เหมาะสม จนเปน็ เป็นยอมรับครูผู้สอนและยดึ หลักการท่ีถูกต้องมีประสิทธิภาพ และสามารถนำไปใช้ได้ง่ายสะดวกตามสภาพการปฏิบัติงานจริง โดยการใช้คำถาม เช่น “จงบอกดิฉันมาซิว่า คุณต้องการให้ปรับปรุง….หรือตัด…ออกไป” หรือ “ดิฉันจะช่วยคุณปรับแผนการจดั การเรียนรู้อย่างไรได้บ้าง” เปน็ ตน้
๓๔ ๕.๗ การกำหนดมาตรฐาน (Standardizing) : เป็นการพิจารณาปรับรายละเอียดของแนวทางแก้ไข ปญั หาสำหรับครูผูส้ อนให้เกิดความสมบรู ณ์ เพอื่ ให้สามารถนำไปใชไ้ ด้จริง อย่างมีประสทิ ธภิ าพมากท่ีสุด ๕.๘ การเสริมแรงหรือการให้กำลังใจ (Reinforcing) : ผู้นิเทศควรจะทบทวนแนวทางแก้ปัญหา กำหนดเวลาต่างๆ ของแต่ละกิจกรรมที่มอบหมายให้ครูผู้สอนได้ปฏิบัติที่ได้ดำเนินการตามข้อตกลงมาแล้ว อย่างสม่ำเสมอเพื่อตรวจสอบความก้าวหน้าของงานที่ครูผู้สอนได้ดำเนินการ/ปฏิบัติไปแล้ว เพื่อส่งเสริม กระตุ้นใหเ้ กิดการกระทำซ้ำในกิจกรรมท่ีคาดหวังใหเ้ กดิ ข้ึน และมกี ารชมเชยเม่ือทำไดต้ ามแผนทว่ี างแผน และ กระตุ้นให้กำลังในการปฏิบัติกิจกรรมที่ยังไม่ได้ปฏิบัติ หรือปฏิบัติแล้วให้ดำเนินการต่อเนื่องอย่างมี ประสทิ ธภิ าพต่อไป โดยใชค้ ำถาม เชน่ “คณุ เข้าใจในส่ิงท่คี ณุ ได้ดำเนนิ การไปแล้วเพยี งไร” หรอื “ จงบอกดิฉัน มาซิว่าคุณได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง” เปน็ ต้น สรุปได้ว่า การศึกษาด้วยตนเอง การสังเกตการสอน และการประชุมเพื่อปรึกษาหารือเป็นกิจกรรม การนเิ ทศภายในโรงเรียนท่ีสามารถนำมาใช้ตามสภาพการปฏิบัตงิ านจริงของโรงเรยี นอย่างมีประสิทธภิ าพและ ประสิทธผิ ลได้ เทคนคิ สำหรับใชป้ ระกอบการดำเนินการนิเทศภายใน ผู้นิเทศจะสามารถดำเนินการนิเทศภายในโรงเรียนได้ผลดีนั้น จะต้องพัฒนาตนเองเกี่ยวกับเทคนิค ต่างๆเพ่อื นำไปใชเ้ ปน็ แนวทางดำเนนิ การนิเทศโดยสรุป ดังน้ี เทคนิคการบรรยาย : มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาพฤติกรรมผู้รับการนิเทศด้านความรู้ผู้นิเทศจะมี บทบาทมากที่สุด เน้นเนื้อหาสาระวิชาต่างๆ ที่จำเป็นสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายการนิเทศสอดคล้องกับความ ต้องการและความสนใจของผู้รับการนิเทศ สามารถใช้กับคนจำนวนมาก ซึ่งการบรรยายจะต้องกำหนดกรอบ เนือ้ หาสาระและเวลาแนน่ อน และการดำเนนิ การบรรยายนิยมใช้โสตทศั นูปกรณ์ประกอบช่วย เชน่ แผน่ ใส สื่อ โปรแกรมสำเร็จรูป (Power Point) เป็นต้น การบรรยายจะนำไปสอดแทรกในกิจกรรมการนิเทศอื่นๆ ได้แก่ การประชุมสัมมนา เป็นต้น การดำเนินการบรรยายให้ประสบความสำเร็จได้ ผู้นิเทศจะต้องเตรียมเนื้อหาเป็น อย่างดี และในระหว่างการดำเนินการบรรยายมเี ทคนคิ ดงั น้ี ๑. ควรเตรียมเนอ้ื หาทจ่ี ะบรรยายมาแล้วอย่างดี ๒. ควรใช้น้ำเสียงและท่าทางทเี่ รา้ ใจ ๓. ควรตง้ั คำถามระหว่างการบรรยาย ๔. ควรมีการเขียนกระดานและหรอื แผน่ ใสระหว่างการบรรยาย ๕. ควรใชส้ ่อื และอุปกรณก์ ารสอนช่วย ๖. ควรเปดิ โอกาสใหซ้ กั ถามสิ่งทีไ่ ม่เข้าใจ ๗. ควรจะได้สรปุ บทบรรยาย เทคนิคการอภิปราย : มีจุดมุ่งหมายเพือ่ เปิดโอกาสให้ผูร้ ับการนิเทศได้แสดง ความคิดเห็นตามสาระ การเรียนรู้ทีไ่ ด้จากการอ่าน การฝึกอบรมหรือการประชุมสัมมนา การดำเนินการโดยผู้นเิ ทศเปิดโอกาสให้ผูร้ ับ การนิเทศได้แสดงความคิดเห็นตามกรอบหัวข้อที่กำหนดไว้ ภายใต้การดำเนินการอภิปรายของผู้นิเทศ การ
๓๕ แสดงความเห็นคิดไม่ใช่การตอบคำถาม จึงไม่จำเป็นต้องผิดหรือถูก มักเป็นข้อสรุปที่เป็นการวางแนวทางจาก สิง่ ทีไ่ ดจ้ ากความคิดเห็น เปน็ การแสดงถึงกระบวนการความคิดการให้เหตผุ ล และจะต้องให้ผู้รับการนิเทศได้มี โอกาส แสดงความคิดเห็นด้วยความสมัครใจอย่างทั่วถึง ใช้เวลาในการอภิปรายระหว่าง ๑๐-๓๐ นาที ประโยชน์ของการอภิปรายจึงเป็นการพัฒนาพฤติกรรมด้านความรู้ ความเข้าใจ ควบคู่ไปกับเจตคติของผู้รับ การนิเทศ นอกจากนี้เปน็ การกระตุ้นให้ผูร้ ับการนิเทศด้านการแสดงออก การฝึกนำเสนอและการแสดงเหตุผล การดำเนนิ การอภิปราย ควรใช้เทคนิคการจัดกจิ กรรมโดยสรปุ ดังนี้ ๑) ใหผ้ ู้รับการนิเทศแสดงบทบาทอย่างเตม็ ท่ี ๒) สร้างบรรยากาศการอภิปรายใหน้ ่าสนใจ และกระตุ้นให้ทุกคนมสี ว่ นร่วม ในการแสดงความ คิดเหน็ อยา่ งเตม็ ท่ี ๓) ผู้นิเทศต้องเปน็ ผู้ฟัง และหาขอ้ สรุปหรอื เพมิ่ เตมิ ในด้านความรู้ ความเข้าใจ ๔) ผ้นู ิเทศตอ้ งมคี วามสามารถในการดำเนนิ การอภิปรายไปส่ขู ้อสรุป เทคนคิ การตัง้ คำถาม : ผู้นเิ ทศจะตอ้ งใชว้ ธิ ีการต้ังคำถาม ซงึ่ สามารถตง้ั คำถามไดอ้ ย่างหลากหลายใน การดำเนินกิจกรรมการนิเทศภายในโรงเรียน มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการทดสอบการเรียนรู้ และเพื่อกระตุ้น การมสี ่วนร่วมในการแสดงความคดิ เห็น ชว่ ยเปิดประเด็นอภิปราย และเทคนคิ ของการต้ังคำถามจะช่วยให้ผู้รับ การนิเทศได้เรียนรู้ถึงลักษณะต่างๆของการถาม การคิดวิเคราะห์ การค้นพบการฉุกคิดและการแก้ปัญหา ใน การตัง้ คำถามมปี ระโยชนแ์ ละแนวดำเนินการโดยสรุป ดังน้ี (จงกลนี ชตุ ิมาเทวินทร์. ๒๕๔๒ : หนา้ ๑๔๔) ๑. สามารถประเมินการเรยี นรไู้ ด้โดยไม่ตอ้ งใช้แบบทดสอบข้อเขียน ๒. มีความประหยัดและคลอ่ งตัวในการดำเนนิ การ ๓. จงู ใจใหเ้ กิดการมสี ว่ นร่วม และให้ผู้รบั การนเิ ทศเปน็ จดุ ศูนยก์ ลาง ๔. กระต้นุ ให้เกดิ ทางเลอื กในการมองปัญหาและคำตอบ ๕. ผู้นิเทศควรพัฒนาทักษะในการตั้งคำถามที่หลากหลาย เช่น การตั้งคำถามเพื่อทดสอบการต้ัง คำถามเพื่อเปิดประเด็นอภิปราย ซึ่งผู้นิเทศอาจเตรียมคำถามก่อนล่วงหน้าได้ เพื่อให้ครอบคลุมประเด็นและ บรรลตุ ามวัตถุประสงค์ ๖. กรณที ีผ่ ู้รบั การนิเทศแสดงอาการลังเลในการตอบคำถาม ควรผ่านเลยไป ผนู้ ิเทศไม่ควรจี้ใหต้ อบ ซึ่งทำใหเ้ กดิ ความอดึ อัด เทคนิคการระดมสมอง : การระดมสมอง เปน็ การระดมแนวคดิ ในเร่อื งใดเรอ่ื งหนง่ึ เก่ียวกับการนเิ ทศ จากผรู้ บั การนเิ ทศ หรือหากจะเปน็ การระดมความคิดเพ่อื หาวิธแี ก้ปญั หา ซง่ึ ผูน้ เิ ทศจะเปน็ ผ้รู วบรวมความคิด ต่าง ๆไวท้ ้ังหมด โดยไมม่ ีการตัดสนิ ว่า ความคิดของใครผิดหรือถูก แตผ่ ูน้ เิ ทศจะแยกประเภทหรือจัดหมวดหมู่ ให้เห็นชัดเจน ซึ่งการระดมสมองเป็นวิธีการกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมที่ดีและสามารถดึงเอาประสบการณ์ ของผู้รับการนิเทศมาใช้ได้ในทันทีทันใด และการระดมสมองสามารถใช้ได้ในกิจกรรมการประชุมเพื่อการ ปรึกษาหารือ และใชร้ ่วมกับกจิ กรรมนเิ ทศภายในต่าง ๆได้ มีประโยชนแ์ ละแนวดำเนินการโดยสรุป ดงั นี้ (จงกลนี ชตุ ิมาเทวนิ ทร์. ๒๕๔๒ : หน้า ๑๔๒) ๑. กระตุ้นใหผ้ มู้ คี วามรู้ ความสามารถและประสบการณ์ไดม้ โี อกาสแสดงความคดิ เห็น
๓๖ ๒. ทำใหเ้ กิดความคดิ สร้างสรรค์ เกิดความคิดใหม่ ไมต่ ิดอยกู่ ับความคิดเดิม ๓. จงู ใจใหส้ มาชกิ ในองค์กรได้มีสว่ นรว่ มและรกั ษาระดบั ความสนใจของผรู้ บั การนเิ ทศให้ต่อเนื่อง ตลอดการดำเนนิ กิจกรรมการนิเทศภายใน ๔. ผู้นเิ ทศจะต้องพัฒนาทักษะในการกระตุ้นให้ผ้รู บั การอบรมแสดงความคดิ เหน็ ไม่ใช้การกดดัน ๕. พึงระวังว่า ความคิดเหน็ ของคนส่วนน้อยจะครอบงำความคดิ เห็นของคนสว่ นใหญ่จึงควรกระตุ้น ให้ทุกคนมโี อกาสได้แสดงความคดิ เห็นอย่างทวั่ ถงึ เทา่ เทียมกนั สรุปไดว้ ่า ผนู้ เิ ทศจะสามารถดำเนินการนเิ ทศภายในโรงเรยี นไดอ้ ย่างมีประสทิ ธิภาพและประสิทธิผล นนั้ จำเป็นจะตอ้ งพฒั นาตนเองให้สามารถใช้เทคนคิ การบรรยาย การอภปิ รายการตง้ั คำถาม ๓. รปู แบบการนเิ ทศตามแนวคดิ การเรยี นรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) ความเปน็ มาและความสำคัญของการเรียนรูแ้ บบผสมผสาน นฤมล รอดเนียม (๒๕๕๔, หน้า ๑๓) ได้สรุปที่มาและความสำคัญของการเรียนรู้ แบบผสมผสานจาก แนวคดิ ฟลัวคเู นยี ร์ และเทนิ เนอร์ (Fauconnier and Turner, ๑๙๙๘ : หน้า ๑๓๓ ) ; ซาย (Singh, ๒๐๐๓ : หน้า ๕๓ ) เรยี นรแู้ บบผสมผสานไม่ได้เปน็ แนวคิดใหม่เนื่องจากตามธรรมชาติ แล้ววธิ กี ารเรยี นรู้ของคนเรานั้น จำเป็นจะตอ้ งมีการใช้หลายๆ วิธรี ว่ มกนั เพือ่ ให้เกิดการเรียนรู้ท่ดี ีที่สุด ประกอบกบั ผเู้ รียนแต่ละคนมีความถนัด และความชอบในการเรยี นรู้ทตี่ ่างกัน จึงไม่สามารถใชว้ ธิ กี ารเรียนรเู้ พียงวธิ ีเดยี วให้ไดผ้ ลดีกับผู้เรียนทุกคน การ ที่จะให้เกิดการเรียนรูท้ ี่เหมาะสมที่สุดจึงจำเป็นต้องใช้วิธีการผสมผสาน ทฤษฎีการเรียนรู้แบบผสมผสาน เพ่ือ เพมิ่ ประสทิ ธิภาพและเพ่ิมมลู ค่าในการแกป้ ัญหาต่างๆ ซ่ึงไมม่ ีกฎเกณฑ์ตายตวั สำหรบั องคป์ ระกอบทฤษฎีการ ผสมผสาน (Blended Theory) ความหมายของการเรยี นรู้แบบผสมผสาน การเรียนรู้แบบผสมผสาน มีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไป มีมากมายหลากหลายชื่อ ได้แก่ Blended Learning , Mixed Mode Learning , Blended Instruction เป็นต้น ส่วนชื่อที่เป็นความหมายในภาษาไทย ก็มีชื่อเรียกที่แตกต่างกันหลากหลายชื่อ ได้แก่ การเรียนการสอนแบบผสมผสาน การจัดการเรียนรู้แบบ ผสมผสาน การจัดการเรยี นรบู้ นเวป็ แบบผสมผสาน ในทีน่ ผี้ จู้ ัดทำ ไดร้ วบรวมมาไว้พอสงั เขป ดังนี้ มนต์ชัย เทียนทอง (๒๕๔๙, หน้า ๔๘) กล่าวว่า การเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) หมายถึง การบูรณาการระหว่างการเรียนรู้แบบเผชิญหน้าในชั้นเรียนโดยมีผู้สอนเป็นผู้นำกับการเรียนรู้แบบ ออนไลน์ซึ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญโดยใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีการสื่อสารเพื่อให้การเรียนการ สอนมีประสิทธภิ าพสูงสุดภายใต้สภาพแวดล้อมของชุมชนแห่งการเรียนรู้ซึง่ เป็นการใช้ประโยชนจ์ าก ICT เป็น ช่องทางในการส่งผลความรู้และติดต่อสื่อสารระหว่างผู้เรียนกับผู้สอนหรือระหว่างผู้เรียนด้วยกันเชื่อมต่อเข้า ดว้ ยกันในระยะไกล ประหยัด จิระวรพงศ์ (๒๕๕๒, หน้า ๑-๑๖) ได้นำเสนอแนวคิดการเรียนรู้แบบผสมผสานคือการ ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทางการสื่อสารคอมพิวเตอร์ประยุกต์มาสนับสนุนการเรียนการสอนให้ประสบผลส ำเร็จ ตอ้ งอาศัยบุคลากรทางการศึกษา ไดแ้ ก่ ครผู สู้ อน นักวชิ าการศกึ ษา ผบู้ ริหารสถานศึกษาร่วมกนั ศึกษาวางแผน
๓๗ เชิงระบบและกำหนดนโยบาย ตลอดจนมีส่วนร่วมจัดรายละเอียดของสื่อการสอน เนื้อหา รายวิชา รวมไปถึง การพิจารณารปู แบบและระยะเวลาการเรยี นการสอนอย่างเปน็ รปู ธรรมที่มีความเหมาะสม โดยการรวมศาสตร์ ของเทคโนโลยีการสื่อสาร เทคโนโลยีโปรแกรมคอมพิวเตอรป์ ระยกุ ตใ์ นระบบเครือข่ายออนไลน์ต่างๆ นำมาจัด ประยุกต์ให้เขา้ กับการจดั การเรยี นการสอนและได้สรุปคุณลักษณะของการเรียนการสอนแบบผสมผสานไว้ ดังนี้ ๑) เป็นการรวมวิธีการเรียนต่างๆ เข้าด้วยกัน ๒) เป็นการบูรณาการระหว่างการใช้สื่อเทคโนโลยี สารสนเทศและโปรแกรมประยุกต์/ศาสตร์การจัดการเรียนการสอนรูปแบบต่างๆ เป็นการเลือกวิธีการท่ี เหมาะสมที่สุดกับผลการเรียน ผู้สอนจะต้องเลือกหรือสนับสนุนรูปแบบวิธีการเรียนรู้ที่เหมาะสมให้ผู้เรียนแต่ ละคนได้ใชพ้ ฒั นาตนเองอย่างเต็มศักยภาพโดยอาศยั เอกสาร สื่อเทคโนโลยีต่างๆ เขา้ มาชว่ ยในการจดั การเรียน การสอนอยา่ งเหมาะสม ปณิตา วรรณพิรุณ (๒๕๕๗ : หน้า ๑๐๑ - ๑๐๓) นำเสนอแนวคิดของการเรียนรู้แบบผสมผสาน สามารถจัดกล่มุ ได้ ๔ แนวคดิ ดงั น้ี ๑. การผสมผสานเทคโนโลยีการเรียนรู้บนเว็บกับการเรียนในชั้นเรียนแบบดั้งเดิม (to combine or mix modes of web-based technology) เป็นการรวมหรือผสมเทคโนโลยีของเว็บ ( web-based technology) กับการเรียนในชั้นเรียนแบบเดิม เช่น การเรียนในห้องเรียนเสมือนแบบสด (live virtual classroom) การเรียนด้วยตนเอง (self-paced instruction) การเรียนรู้ร่วมกัน (collaborative learning) วีดีโดสตรีมมิ่ง เสียง และข้อความเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายของการจัดการศึกษา เป็นการเรียนโดยใช้การ ผสมผสานวิธสี อนท่ีหลากหลายเขา้ ด้วยกันเพ่ือให้ผูเ้ รียนเกดิ ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นสูงสดุ ๒. การผสมผสานวิธีสอนที่หลากหลายเ ข้าด้วยกัน (to combine various pedagogical approaches) เป็นการผสมผสานวิธีสอนที่หลายหลายเข้าด้วยกัน เช่น คอนสตรักติวิสต์ (constructivism) พฤติกรรมนิยม (behaviorism) และพทุ ธินิยม (cognitivism) เพื่อให้ไดผ้ ลลัพธจ์ ากการเรียนที่ดีท่ีสุดซ่ึงอาจใช้ หรือไมใ่ ช้เทคโนโลยีการสอนก็ได้โดยการผสมผสานระบบการเรียนและทฤษฎีการสอนทหี่ ลากหลายเข้าด้วยกัน เพอ่ื เป็นการแก้ปัญหาทหี่ ลากหลายในการเรียนเพ่อื ตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคลของผ้เู รียนให้ผู้เรียน เกดิ การเรยี นรู้ไดอ้ ย่างเท่าเทียมกันตามศักยภาพท่ีตนเองมีอยู่ ๓. การผสมผสานเทคโนโลยกี ารเรยี นรู้ทุกรูปแบบกับการเรียนการสอนในชั้นเรยี นปกติแบบด้ังเดมิ (to combine any form of instructional technology) เป็นการจัดการเรียนการสอนทางไกลโดยใช้เทคโนโลยี การสอนในทุกรูปแบบ เช่น วีดิทัศน์ ซีดีรอม การเรียนการสอนบนเว็บ ข้อความเสียงและการประชุมทาง โทรศพั ท์ รว่ มกบั การศกึ ษาแบบดัง้ เดิมโดยการสผสมผสานระหว่างการเรยี นแบบเผชญิ หนา้ ในหอ้ งเรียนกับการ เรียนแบบออนไลน์เข้าด้วยกัน โดยใช้จุดเด่นของการเรียนแบบออนไลน์เติมเต็มช่องว่างของการเรียนใน หอ้ งเรยี นซ่งึ เป็นแนวคิดที่มีผูย้ อมรับกนั อยา่ งแพร่หลายมากท่ีสุด ๔. การผสมผสานเทคโนโลยีการเรียนการสอนกับการทำงาน (to mix or combine instructional technology with actual job tasks) เป็นการผสมเทคโนโลยีการเรียนการสอนกับการทำงานจริงโดยการ จัดการเรียนแบบผสมผสาน เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกอบรมในองค์กรด้วยการเรียนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ และสื่ออืน่ ๆ ในการส่งผา่ นความรู้ในการเรียนและการฝึกอบรม
๓๘ เอเอลน และซีแมน (Allen and Seaman, ๒๐๑๐ : หน้า ๔) กล่าวว่า การเรียนการสอนแบบ ผสมผสานเป็นการเรียนที่ผสมกันระหว่างการเรียนแบบเผชิญหน้าและการเรียนออนไลน์ โดยนำเสนอเนื้อหา ส่วนใหญผ่ า่ นเครือข่ายอินเทอร์เนต็ เช่น การสนทนาออนไลน์และยงั คง มีส่วนที่ให้ผู้เรียนและผู้สอนพบปะกัน โดยมสี ัดส่วนในการนำเสนอเน้อื หาผ่านระบบออนไลน์ อยู่ระหวา่ งร้อยละ ๓๐-๗๙ ของเน้ือหาการเรียนทัง้ หมด ในที่นี้พอสรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน เป็นการจัดการเรียนรู้ที่มีลักษณะเป็นการ ผสมผสานวิธีการเรียนรู้แบบพบหน้ากันหรือมีการเผชิญหน้ากันโดยตรง(Face-to-Face) และการเรียนรู้แบบ ออนไลน์ผ่านชอ่ งทางเครอื ข่าย Internet ประโยชนข์ องการเรยี นรู้แบบผสมผสาน การเรยี นร้แู บบผสมผสานก่อใหเ้ กดิ ประโยชน์ ดังน้ี อนุชัย ธีระไชยรุ่งเรืองศรี (๒๕๔๙, อ้างถึงใน นฤมล รอดเนียม, ๒๕๕๔, หน้า ๑๖ - ๑๗) ได้สรุป ประโยชน์ทางอ้อมทเี่ กิดจากการเรียนรู้ผสมผสาน ดงั น้ี ๑. เป็นการเตรียมผู้เรียนสำหรับคุณลักษณะทักษะการปฏิบัติงานในศตวรรษที่ ๒๑ ได้แก่ การเรียนรู้ เทคโนโลยี (Technological Literacy) การเรียนรู้สารสนเทศ (Information Literacy) การเรียนรู้วัฒนธรรม (Cultural Literacy) การตระหนักร้โู ลกาภวิ ตั น์ (Global Awareness) ๒. เป็นการปรับปรุงทักษะการคิดของผู้เรียนในการคิดสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ (Inventive Thinking) ได้แก่ การปรับเปลี่ยนความกระหายใคร่รู้ ความคิดสร้างสรรค์ การจัดการความเสีย่ ง การคิดระดับสูงและการ คดิ แกป้ ัญหา เปน็ ตน้ ๓. เป็นการปรับปรุงทักษะความร่วมมือ เช่น ทักษะการติดต่อสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ทักษะการ ทำงานเป็นทีม การเรียนรู้ร่วมกันและทักษะความสัมพันธ์ภายในบุคคล ความรับผิดชอบทางสังคมและส่วน บุคคล ปฏิสัมพันธด์ า้ นการตดิ ตอ่ ส่อื สาร ทักษะการสรา้ งสรรค์ผลติ ภณั ฑ์ ๔. เป็นการฝกึ ฝนวธิ กี ารเรียนรูด้ ว้ ยตนเองที่จะท าให้เกดิ การเรยี นรู้ตลอดชวี ติ อยา่ งมีประสิทธภิ าพ เกรแฮม, เอเลน และอูร์ (Graham, Allen and Ure , ๒๐๐๓, อ้างถึงใน เกรแฮม (Graham, ๒๐๐๕ : หน้า ๘ - ๑๐ ) นำเสนอประโยชนข์ องการเรียนรูแ้ บบผสมผสาน ดงั น้ี ๑. ช่วยปรับปรงุ และเพม่ิ ประสิทธภิ าพการเรียนการสอน ไดแ้ ก่ ชว่ ยเสรมิ สร้างยุทธวธิ ีการเรียนรู้แบบ กระตือรือร้น ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ระหว่างผู้เรียนด้วยกันมากขึ้นและช่วยสนับสนุนการเรียนการสอนที่เน้น ผู้เรยี นเปน็ สำคญั ๒. เพิ่มความยดื หยนุ่ และเปดิ โอกาสให้ผู้เรียนมากยง่ิ ขนึ้ ๓. เพมิ่ ประสทิ ธผิ ลของการลงทนุ กอ่ ใหเ้ กิดจดุ ทเ่ี หมาะสมท่สี ุดของต้นทุนและเวลา ออสกัสโทรพี และ เกรแฮม (Osguthorpe and Grahamm, ๒๐๐๓ : หน้า ๒๒๗) ได้สรุปถึงเหตุผล ของการจดั การเรยี นร้แู บบผสมผสานไว้ ๖ ประเด็น ดังน้ี ๑. สามารถเลือกใช้วธิ ีสอนทเ่ี หมาะสมหลากหลาย (Pedagogical Richness) ๒. สามารถเขา้ ถงึ องค์ความรไู้ ดง้ ่าย (Access to Knowledge) ๓. ช่วยเพ่มิ ปฏสิ ัมพนั ธ์ทางสังคม (Social Interaction)
๓๙ ๔. มีความเป็นส่วนตัว (Personal Agency) ๕. ชว่ ยใหเ้ กดิ ความคุ้มคา่ ในการลงทุน (Cost Effectiveness) ๖. ชว่ ยอำนวยความสะดวกในการปรับปรงุ แกไ้ ข (Ease of Revision) ในที่นี้พอสรุปได้ว่า การเรียนรู้แบบผสมผสานนั้นมีประโยชน์ช่วยปรับปรุงและเพิ่ม ประสิทธิภาพการเรียนการสอน สามารถทำให้เพิ่มปฏิสัมพันธ์ทางสังคม โดยมีความยืดหยุ่นและเปิดโอกาสให้ ผู้เรยี นไดเ้ รียนรมู้ ากข้ึน ผเู้ รยี นสามารถเรียนร้จู ากวิธีสอนทเ่ี หมาะสมและหลากหลาย และเปน็ การฝึกฝนวธิ ีการ เรียนรู้ดว้ ยตนเองที่จะทำใหเ้ กิดการเรียนรูต้ ลอดชวี ิตอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ รปู แบบการนิเทศตามแนวคิดการเรยี นรูแ้ บบผสมผสาน (Blended Learning) ผู้จัดทำได้รวบรวมความรู้เกี่ยวกับรูปแบบการนิเทศตามแนวคิดการเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) โดยในการดำเนินงานการนเิ ทศภายในของสถานศึกษาในทน่ี ี้ จะเป็นการดำเนินงานดว้ ยรูปแบบการ นเิ ทศทหี่ ลากหลายวธิ ีผสมผสาน (Mixed Methods) ภายใตส้ ถานการณก์ ารแพร่ระบาดของโรคติดเช้ือไวรัสโค โรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ทงั้ รูปแบบการนเิ ทศโดยใช้พ้ืนท่ีเปน็ ฐาน ไดแ้ ก่ การสังเกตการสอน การเยี่ยมชมชั้น เรียน (โดยได้รวบรวมรูปแบบการนิเทศโดยใช้พื้นทีเ่ ปน็ ฐาน กล่าวคือ เป็นการนิเทศ ณ สถานศึกษานั้นๆ ซึ่งมี การเผชิญหน้ากันโดยตรง (Face to Face Base On School) หรือการทำกิจกรรมร่วมกัน ร่วมพูดคุย แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันนั้น) ซึ่งกล่าวไว้ในหัวข้อที่ ๒ ความรู้เบื้องต้นที่เกี่ยวข้องกับการนิเทศภายใน สถานศึกษา เรยี บร้อยแลว้ น้นั ในที่นี้ ผู้จัดทำจึงได้รวบรวมรูปแบบการการนิเทศผ่านช่องทางออนไลน์ ด้วย Platform ในรูปแบบ ตา่ งๆ ไวด้ งั นี้ ๑. การนเิ ทศออนไลน์โดยใช้โปรแกรม Zoom Could Meeting (หน่วยศกึ ษานิเทศก์ สำนกั งาน คณะกรรมการการอาชีวศึกษา, ๒๕๖๓ : หน้า ๑๔) ได้ให้คำนิยามไว้ว่า โปรแกรม Zoom เป็นโปรแกรมที่ สามารถใช้ในการเรียนการสอน การนิเทศติดตาม และการประชุมแบบออนไลน์ ซึ่งเป็นระบบที่รองรับ ระบบปฏบิ ัตกิ ารทั้ง Windows, และ Android สามารถประชมุ ร่วมกันไดจ้ ำนวนมากเหมาะสำหรับการจัดการ เรียนการสอนในช่วงท่ีไม่สามารถไปนิเทศที่พบหน้า หรือเผชิญหนา้ กันได้ แต่มีจุดอ่อนในเรื่องการที่ไมส่ ามารถ มอบหมายงาน ส่งงาน ส่งการบ้าน ตรวจงานให้คะแนน ไม่สามารถมาดูย้อนหลังได้ และมีข้อดีคือสามารถ VDO Call แชรห์ น้าจอกันได้ จะใชใ้ นเครื่อง PC หรือ โหลด App บนมือถือกไ็ ด้ ๒. การนิเทศออนไลนโ์ ดยใช้โปรแกรม Google Classroom (ดนัยศักด์ิ กาโร, ๒๕๖๑ : หนา้ ๓๒) ได้ให้คำนิยามไว้ว่าเป็นแอพลิเคชั่นที่พัฒนาขึ้นโดย Google ที่จัดอยู่ในกลุ่มของการให้บริการในหมวดหมู่ Google for Education ที่มีเครื่องมือสำหรับใช้ในงานด้านการศึกษาที่ประกอบไปด้วยแอปพลิเคชัน ต่างๆ เช่น จีเมล (Gmail) เอกสาร (Docs) ปฏิทิน (Calendar) ไดรฟ์ (Drive) และห้องเรียน (Classroom) เป็นต้น โดยเครื่องมือ ที่พัฒนาขึ้นมาสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้อย่างหลากหลายทั้ง ในเรื่องของการบริหารงานใน องค์กร หรือนำมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนหรือมาประยุกต์สำหรับการนิเทศภายในสถานศึกษาได้ด้วย สำหรบั วัตถปุ ระสงค์ของ Google for Education พฒั นา ขึน้ มาเพ่อื รองรบั การทำงานของโรงเรียนในทกุ ระดับ ท้ังโรงเรียน ขนาดเล็กหรอื ใหญ่ หรือแมก้ ระทงั่ มหาวิทยาลัย สามารถท่ีจะ ใช้งานได้ เนอ่ื งด้วยเป็นบริการท่ีเปิด
๔๐ ใช้งานแบบฟรี ไม่ต้องเสีย ค่าใช้จ่าย มีการใช้งานที่สะดวกและง่าย ทำให้ทุกคนไม่ว่าจะเป็น ผู้อำ นวยการ สถานศึกษา ครูบุคลากรทางการศกึ ษาและนกั เรียนสามารถใชง้ าน ได้โดยการมสี ่วนรว่ มในการใชง้ านแอปพลิเค ชันต่าง ๆ รว่ มกนั รวมถึงการใชง้ านได้ทุกทีท่ ุกเวลา (Any time Any place) เข้าถงึ ได้ในหลากหลาย อุปกรณ์ ทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต (tablet) โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น ในครั้งนี้จะขอเสนอแนะการประยุกต์ใชง้ าน การประยกุ ตใ์ ช้ Google Classroom สำหรบั การนเิ ทศภายในสถานศกึ ษา ซง่ึ การใช้งาน Google Classroom สำหรับการสร้างเป็นห้องเรียนออนไลน์ไว้สำหรับมอบหมายงาน พบปะพูดคุยหรือแลกเปลี่ยน ข้อมูลข่าวสาร ต่างๆ กัน ระหวา่ งผ้อู ำนวยการสถานศกึ ษา ทมี นิเทศภายใน ครแู ละบุคลากรทางการศึกษา ภายในโรงเรียน ความสามารถของ Google Classroom ๑. สามารถเชิญผู้คนให้เข้าร่วมในฐานะครู (ผู้นิเทศ เช่น ผู้อำนวยการโรงเรียน ทีมนิเทศภายใน ศึกษานิเทศก์ และผูท้ เ่ี ก่ยี วข้องเปน็ ตน้ ต้น) และ นักเรียน (ครแู ละบุคลากรทางการศึกษาที่เป็นผรู้ ับการนิเทศ) ๒. ผู้นิเทศสามารถมอบหมายงาน ให้ผู้รับการนิเทศดำเนินการ เช่น การส่งแผนการจัดการเรียนรู้ ส่ง คลิปวีดีโอบรรยากาศการจัดการกิจกรรมการเรียนการสอน ส่งข้อมูลข่าวสาร ความรู้ การให้คำแนะนำทั้ง รปู แบบกล่มุ และรายบุคคล ๓. สามารถกำหนดระยะเวลากำหนดการสง่ งาน กำหนดการใหค้ ะแนน นัดหมาย ๔. สามารถส่งงานในรูปแบบการอัพโหลดเข้าภายในห้องหรือเชื่อมโยงไปยัง Drive หรือ เว็บไซต์อ่ืน ได้ ๕. สามารถจดั การยกเลิกหรือผ้ใู ชง้ าน ๖. สามารถบนั ทกึ หรือสำรองข้อมูลภายในหอ้ งได้ ๗. ผู้รับการนเิ ทศสามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันภายในห้องและผู้นิเทศสามารถให้คำแนะนำ หรือ ข้อเสนอแนะเติมเตม็ ๘. สามารถใช้งานได้บนเคร่ืองคอมพวิ เตอร์และอปุ กรณเ์ คลอ่ื นทที่ ั้งโทรศพั ทม์ ือถอื และแท็บเล็ต ๙. สามารถจัดการเผยแพรข่ ้อมูลสารสนเทศ แจ้งขา่ ว นำเสนอความรู้ในรูปแบบเอกสาร คลปิ วีดโี อ ใน รูปแบบออนไลน์ ๑๐. สามารถเชอื่ มโยงกบั แอพพลเิ คล่นั ของ Google for Education เง่อื นไขสำหรบั การใช้งาน Classroom ๑. ผู้ใช้งานทง้ั ครู (ผ้นู เิ ทศ) และ นักเรียน (ผู้รับการนิเทศ) จำเป็นต้องมีบัญชผี ใู้ ชง้ าน G-mail สำหรบั เขา้ ใช้งาน ๒. รองรบั การใชง้ านสำหรับครู (ผนู้ เิ ทศ) ไดไ้ มเ่ กนิ ๒๐ คน และ นกั เรียน (ผรู้ ับการนเิ ทศ) ไม่เกิน ๑,๐๐๐ คน ตอ่ ๑ หอ้ ง ๓. ผู้ใช้งานต้องเชอื่ มต่อระบบเครือข่ายอินเทอรเ์ น็ตเพื่อใชง้ าน ประโยชนโ์ ดยรวมของ Google Classroom ๑. คณุ ครูสรา้ งหอ้ งเรยี นออนไลนข์ องวชิ านั้น ๆ ขึ้นมา ๒. เพิ่มรายช่อื นกั เรียนจากบญั ชขี องกูเกลิ เข้ามาอยู่ในห้องเรยี น
๔๑ ๓. คุณครูสามารถนารหัสผา่ นให้นกั เรยี นนาไปกรอกเพอ่ื เข้าห้องเรียนเองได้ ๔. คุณครูต้ังโจทยก์ ารบ้านใหน้ กั เรียนทา โดยสามารถแนบไฟลแ์ ละกาหนดวนั ส่งการบ้านได้ ๕. นักเรยี นเขา้ มาทำการบา้ นใน Google Docs และส่งเข้า Google Drive ของคุณครู ๖. คุณครสู ามารถเขา้ มาดจู ำนวนนักเรยี นทสี่ ง่ การบา้ นภายในกำหนดแลว้ และยงั ไมไ่ ด้ส่งได้ ๗. คุณครูตรวจการบา้ นของนกั เรียนแต่ละคน พรอ้ มทง้ั ให้คะแนนและคำติชม ๓. การนิเทศออนไลนโ์ ดยใช้โปรแกรม Line Group Video Call (หนว่ ยศกึ ษานิเทศก์ สำนกั งาน คณะกรรมการการอาชีวศึกษา, ๒๕๖๓ : หน้า ๑๔) ได้ให้คำนิยามไว้ว่า โปรแกรม Line Group Video Call นั้นเป็นแอพลิเคชั่นที่คนสว่ นใหญ่รู้จักและทกุ คนค่อนข้าง คุ้นเคย ซึ่งสามารถ Video Call ได้ คุยงาน แชทกัน ได้ ส่งงานกันได้ในกลุ่ม ใช้งานง่าย แต่อย่างไรก็ตาม เหมาะสำหรับการแชท คุยกันส่งข้อความ ประกาศข่าว สำคัญเร่งด่วน จะดีที่สุด ซึ่งโปรแกรมไลน์ เป็นโปรแกรมระบบส่งข้อความทันที ที่มีความสามารถใช้งานได้ท้ัง โทรศัพท์มือถือที่มีระบบปฏิบัติการทั้ง Windows, และ Android ยังสามารถใช้งานได้บนคอมพิวเตอร์ส่วน บุคคล และแมคโอเอส ด้วยความที่มีลูกเล่นมากมาย สามารถคุย ส่งรูป ส่งไอคอน ส่งสติกเกอร์ ตั้งค่าคุยกัน เป็นกลุ่ม สามารถสร้างแบบสำรวจ สร้างตารางการนัดหมายกิจกรรม ฯลฯ ทำให้มีผู้ใช้งานโปรแกรมนี้เป็น จำนวนมาก ชาวไทยนิยมใชเ้ ปน็ อันมาก การประยกุ ต์ใช้ LINE กบั การนิเทศภายในโรงเรียน จากความสามารถของแอปฟลิเคชน่ั ไลน์ท่สี ามารถ สง่ ข้อความ ส่งรปู ภาพ ไฟล์วดิ ีโอ และ สามารถตั้งค่าการคุยเป็นกลุ่มได้ ทำให้สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการนิเทศภายในโรงเรียนได้ (หน่วย ศกึ ษานิเทศก์ สำนักงานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษา, ๒๕๖๓ : หนา้ ๑๔) โดยสามารถต้ังกลุม่ การคยุ สำหรับ การนิเทศภายในโรงเรยี น ดงั นี้ ๑. กลุ่มไลนโ์ รงเรียน (สูงสดุ ๕๐๐ คน) สมาชิกประกอบด้วย ผบู้ รหิ ารสถานศึกษา คณะครู และบุคลากรทางการศึกษาทุกคนในโรงเรียน ใช้สำหรับแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันภายในโรงเรียน เป็น ช่องทางสำหรับผู้บริหารสถานศึกษา ใช้ในการ สั่งการ การนิเทศติดตามการดำเนินงาน เป็นช่องทางในแจ้ง ปัญหาอุปสรรคในการจดั การเรยี นการสอนของครู หรือรายงานผลการจัดการเรยี นการสอนของครูในโรงเรียน ๒. กลมุ่ ไลนก์ ลมุ่ สาระการเรียนรู้ สมาชกิ ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา หวั หน้ากลุ่ม สาระการเรียนรู้ ครูผู้สอน ใช้สำหรับแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันภายในกลุ่มสาระการเรียนรู้ เป็นช่องทาง สำหรับผู้บรหิ ารสถานศึกษา/หัวหน้ากลุม่ สาระการเรียนรู้ ใช้ในการนิเทศตดิ ตามการจดั การเรยี นการสอนของ ครูในกลุ่มสาระฯ เป็นช่องทางสำหรับครูผู้สอนในการในแจ้งปัญหาอุปสรรคในการจัดการเรียนการสอน หรือ รายงานผลการจดั การเรียนการสอนของครใู นกล่มุ สาระฯ มีแนวทางในการดำเนนิ การ ดังนี้ ๒.๑ ครูผสู้ อนรายงานผลการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนในไลนก์ ลมุ่ สาระฯ พร้อม เอกสารหลักฐาน เช่น รูปภาพการจัดกิจกรรม เอกสารประกอบการสอน บันทึกผลหลังสอน และชิ้นงาน นกั เรยี น เปน็ ต้น
๔๒ ๒.๒ ผบู้ รหิ ารโรงเรยี น ผทู้ ผี่ ้บู ริหารมอบหมาย ทำการนเิ ทศการสอน ให้ขอ้ เสนอแนะ ในการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนของครผู ู้สอนท่ไี ดร้ ายงานมาในไลน์กลุม่ สาระฯ ในขั้นตอนนอี้ าจใชร้ ูปแบบ PLC ในการนเิ ทศ สรุปได้ ดงั นี้ - ครูผู้สอนรายงานผลการจัดการเรียนการสอนด้วยข้อความ รูปภาพ วดี โี อ - ผ้นู ิเทศ ให้ข้อมลู ย้อนกลับจากการนเิ ทศ ผา่ น ไลน์กลมุ่ - ครผู สู้ อน ปรับปรุงพัฒนาการเรยี นจดั การเรียนการสอนตามข้อเสนอแนะฟ ในที่นี้ ผู้จัดทำพอจะสรุปได้ว่ารูปแบบการนิเทศตามแนวคิดการเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) นั้น ซึ่งมีความเหมาะสมสอดคล้องกับบริบทในปัจจุบัน และจะเป็นอีกหนึ่งรูปแบบที่สามารถใช้ใน การดำเนนิ งานการนิเทศภายในของสถานศึกษา ภายใตส้ ถานการณก์ ารแพร่ระบาดของโรคตดิ เช้ือไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ที่สถานศึกษาจะต้องปรับการเรียน เปล่ยี นวิธสี อนสู่การจัดการศึกษาวิถีใหม่ ท่ีการเรียนรู้ ไม่ไดจ้ ำกัดเพียงแค่ท่สี ถานศกึ ษาเทา่ น้ัน แต่การเรียนรู้สามารถเกดิ ขนั้ ได้ทกุ ที่ และทุกเวลา
๔๓ ส่วนท่ี ๓ การดำเนนิ งานการนเิ ทศภายในของสถานศึกษา ด้วยรูปแบบการนิเทศตามแนวคดิ การเรียนรู้ แบบผสมผสาน (Blended Learning) เพ่ือยกระดบั คณุ ภาพการศกึ ษาอย่างย่ังยืน ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคตดิ เชอื้ ไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ด้วยภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) นั้นเป็น สถานการณท์ ่ีไม่สามารถคาดการณ์เหตุการณล์ ่วงหน้าได้ และการแพร่ระบาดมคี วามไม่แน่นอน จึงสง่ ผลให้ตอ้ ง ปรับเปลี่ยนรูปแบบการนิเทศในรูปแบบปกติที่เป็นการนิเทศแบบเผชิญหน้าโดยใช้พื้นที่สถานศึกษาเป็นฐาน (Face to Face based on School) ในห้องเรียนแบบเดิม ไปสู่รูปแบบการนิเทศผ่านช่องทางออนไลน์ (Online Supervision) โดยใช้เครือข่าย Internet ด้วย Platform ต่างๆ ตามบริบทความเหมาะสมของ สถานศึกษานั้นๆ เพื่อให้สอดคล้องกับการเรียนรู้วิถีใหม่ในยุคปัจจุบัน ที่ต้องสามารถเรียนรู้ในทุกที่ ไม่จำกัด เพียงแค่ที่โรงเรียนเท่านั้น เป็นวิถีการเรียนรู้ใหม่ในยุคปัจจุบัน และเพื่อเป็นการขับเคลื่อนกระบวนการนิเทศ ภายในของสถานศึกษา ด้านการพัฒนาและการใช้หลักสูตรของสถานศึกษา และด้านการจัดกระบวนการ เรียนรู้ ภายใตส้ ถานการณ์การแพรร่ ะบาดของโรคตดิ เชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (Covid-19) ของโรงเรียนเอกชน ประเภทสามัญศึกษา ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการสง่ เสริมการศึกษาเอกชน จังหวัดสิงห์บุรี ผู้จัดทำ จึงได้ นำเสนอชุดคู่มือการดำเนินงานการนิเทศภายในของสถานศึกษา ด้วยรูปแบบการนิเทศตามแนวคิดการเรียนรู้ แบบผสมผสาน (Blended Learning) เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างยั่งยืน ในสถานการณ์การแพร่ ระบาดของโรคตดิ เชอ้ื ไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ในที่นี้ ผู้จัดทำจึงขอนำเสนอการดำเนินงานการนิเทศภายในของสถานศึกษา ด้วยรูปแบบการนิเทศ ตามแนวคิดการเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) โดยมีขอบข่ายการนิเทศในด้านการพัฒนาและการใช้หลักสูตรของ สถานศึกษา โดยผ้จู ดั ทำไดเ้ รยี บเรยี งประเด็นท่เี ก่ยี วขอ้ ง ดังตอ่ ไปน้ี ๑. การดำเนนิ งานการนิเทศภายในของสถานศกึ ษา ด้วยรูปแบบการนเิ ทศตามแนวคดิ การเรียนรู้ แบบผสมผสาน (Blended Learning) การนิเทศภายในของสถานศึกษาในรูปแบบปกติโดยใช้พื้นที่สถานศึกษาเป็นฐาน(Face to Face based on School) และการนิเทศภายในของสถานศึกษาผ่านช่องทางออนไลน์ โดยใช้เครือข่าย Internet ด้วย Platform ต่างๆ นั้นเป็นไปตามบริบทของโรงเรียนที่ผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องรู้จักครูและ นักเรยี นโดยรอบด้าน ดว้ ยข้อมูลสารสนเทศของครู คณุ ภาพผูเ้ รียน จดุ เด่น จุดพฒั นาของครแู ละนกั เรียนที่เปน็ แบบอย่างได้ ครูรู้จักนักเรียนโดยรอบด้านด้วยข้อมูลสารสนเทศของนักเรียนแต่ละคน คุณภาพผู้เรียนและ จุดเดน่ จุดพัฒนาของนกั เรียน และนักเรียนท่ีมคี ณุ ภาพตามมาตรฐานหลกั สูตรท่ีเป็นแบบอยา่ งได้ ท้ังนี้ ผู้จัดทำไดท้ ำการสงั เคราะห์แนวทางเพอื่ ขบั เคล่ือนการนเิ ทศภายในของสถานศึกษา ด้วยรูปแบบการนิเทศตามแนวคิดการเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) จากเอกสารแนวทางการ ขบั เคล่อื นของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน และศึกษาค้นคว้าเพ่ิมเติมท่ีเก่ียวข้องกับการนิเทศ
๔๔ ภายในโรงเรียนจากเอกสารทางวิชาการและผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องต่างๆ จึงได้สรุปเป็นแนวทางในการ ดำเนนิ งานการนิเทศภายในของโรงเรียนเอกชนประเภทสามญั ศึกษา ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริม การศึกษาเอกชน จงั หวัดสงิ หบ์ รุ ี ไว้ดังนี้ รูปแบบการนเิ ทศตามแนวคิดการเรียนรูแ้ บบผสมผสาน (Blended Learning) รูปแบบการนเิ ทศแบบเผชิญหนา้ โดย รปู แบบการนิเทศผา่ นชอ่ งทาง ใชพ้ ้ืนท่ีสถานศกึ ษาเป็นฐาน ออนไลน์ (Online Supervision) ด้วย Platform ตา่ งๆ ผา่ นเครอื ขา่ ย (Face to Face based on School) Internet เช่น โปรแกรม Zoom ในหอ้ งเรียนแบบเดมิ เช่น กจิ กรรม การสังเกตการสอน การเยี่ยมชมชัน้ Could Meeting, Google เรยี น การใหค้ ำแนะนำ/ปรึกษา Classroom , Line Group เป็นตน้ Video Call เปน็ ต้น ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) สถานศึกษาสามารถเลือก รปู แบบในการนิเทศภายในของสถานศึกษาได้ตามความเหมาะสมเป็นไปตามบรบิ ทของแตล่ ะสถานศึกษา โดย สามารถเลอื กได้ทงั้ รูปแบบการนเิ ทศแบบเผชิญหน้าโดยใช้พนื้ ทส่ี ถานศึกษาเป็นฐาน ในห้องเรยี นแบบเดิม เช่น มีกิจกรรมการสังเกตการสอน การเยี่ยมชมชั้นเรียน การให้คำแนะนำ/ปรึกษา เป็นต้น แต่ยังคงต้องคำนึงถึง มาตราการทางสาธารณสุขซึ่งเป็นแนวทางปฎิบัติที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำให้ใช้ในการชะลอการระบาด ของโรคโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) หรือในบางสถานศึกษาที่มีความพร้อม สามารถเลือกรูปการ นเิ ทศผ่านชอ่ งทางออนไลน์ (Online Supervision) ดว้ ย Platform ต่างๆ ผา่ นเครือข่าย Internet เช่น โปร แรกม Zoom Could Meeting, Google Classroom , Line Group Video Call เป็นต้น หรือนอกจากนี้ สถานศึกษายังสามารถใชร้ ูปแบบการนเิ ทศในท้ังสองรูปแบบ ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั รูปแบบการนิเทศตามแนวคิดการ เรยี นรแู้ บบผสมผสาน (Blended Learning) อีกดว้ ย
๔๕ ขน้ั ตอนการดำเนนิ งานการนเิ ทศภายในของสถานศกึ ษา ในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโรคตดิ เชอ้ื ไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ดา้ นการพัฒนาและการใช้หลักสูตรของสถานศึกษา ขนั้ ตอน/กิจกรรม รูปแบบการนิเทศ แนวทางการ รปู แบบการนิเทศแบบ รปู แบบการนเิ ทศผา่ น ผสมผสานการ เผชญิ หนา้ โดยใช้พืน้ ที่ ช่องทางออนไลน์ ดำเนนิ งานการนเิ ทศ สถานศกึ ษาเป็นฐาน (Online Supervision) ภายในของ (Face to Face based สถานศึกษา on School) ๑. สรา้ งความตระหนกั รู้ /ความรู้ความ - การประชมุ ปรกึ ษาหารือ - การประชมุ ปรกึ ษาหารือ -โรงเรยี นทม่ี ีบคุ ลากร เข้าใจ เกยี่ วกบั หลักสตู รแกนกลาง - การใหค้ ำปรกึ ษาแนะนำ - การให้คำปรึกษาแนะนำ จำนวนไม่เกนิ ๒๐คน การศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน พุทธศักราช - การประชมุ ปฏบิ ตั ิการ - การประชมุ ปฏบิ ตั ิการ สามารถจดั กจิ กรรม ๒๕๕๑ และหลกั สตู รสถานศึกษา - การอบรม/สมั มนา - การอบรม/สัมมนา ในรปู แบบ F2F เช่น - การระดมความคดิ - การระดมความคิด การจัดประชมุ ฯ โดย ด้วยรูปแบบออนไลน์ ผา่ น คำนงึ ถึงมาตราการ เครอื ข่าย Internet ดว้ ย ทางสาธารณสุขอย่าง โปรแกรม Zoom Could เครง่ ครัด Meeting, Google -โรงเรยี นทีม่ บี คุ ลากร Classroom , Line Group เกินกวา่ ๒๐ คน ควร Video Call เปน็ ต้น ดำเนินการในรปู แบบ ออนไลน์ ๒. จัดทำหลักสูตร (ตามองค์ประกอบ - การประชุมปรกึ ษาหารือ - การประชุมปรกึ ษาหารือ โรงเรยี นสามารถ ของหลกั สูตรสถานศกึ ษา) - การให้คำปรกึ ษาแนะนำ - การให้คำปรึกษาแนะนำ ดำเนินการได้ทั้ง ๒ ๒.๑ ส่วนนำ - การประชุมปฏบิ ตั ิการ - การประชุมปฏิบตั ิการ ลกั ษณะทง้ั รูปแบบ ๒.๒ โครงสรา้ งหลกั สตู รสถานศึกษา - การอบรม/สมั มนา - การอบรม/สมั มนา F2F และ Online ๒.๓ คำอธบิ ายรายวิชา - การระดมความคิด - การระดมความคดิ ตามความเหมาะสม ๒.๔ การจัดทำโครงสร้างรายวชิ า - การศึกษาเอกสารวชิ าการ - การศกึ ษาเอกสารวชิ าการ และคำนงึ ถงึ ๒.๕ การจดั ทำหนว่ ยการเรยี นรู้ - การศึกษาดงู าน ด้วยรูปแบบออนไลน์ ผ่าน มาตราการทาง ๒.๖ กิจกรรมพัฒนาผเู้ รยี น เครือข่าย Internet ด้วย สาธารณสขุ อย่าง ๒.๗ เกณฑก์ ารจบการศกึ ษา โ ปรแกรม Zoom Could เคร่งครดั Meeting,Google Classroom, Line Group Video Call เป็นตน้
๔๖ ขน้ั ตอน/กจิ กรรม รปู แบบการนิเทศแบบ รูปแบบการนเิ ทศผา่ น แนวทางการ เผชิญหนา้ โดยใช้พนื้ ที่ ชอ่ งทางออนไลน์ ผสมผสานการ สถานศึกษาเปน็ ฐาน (Online Supervision) ดำเนินงานการนเิ ทศ (Face to Face based ภายในของ on School) สถานศึกษา ๓. การนำหลักสูตรสถานสถานศึกษาสู่ - การสาธิตการสอน - การสาธิตการสอน โรงเรียนสามารถ การจัดการเรียนรู้ (หลักสูตรระดับชั้น - การเยี่ยมชนั้ เรียน - การเยย่ี มชมช้นั เรยี น ดำเนนิ การได้ท้ัง ๒ เรียน) - การสงั เกตการจดั การเรียนรู้ - การสังเกตการณ์สอน ลกั ษณะทงั้ รูปแบบ ๓.๑ การจดั ครูผสู้ อนลงสู่ตารางเรียน - การสนทนาเชงิ วิชาการ - การสนทนาเชิงวชิ าการ F2F และ Online ๓.๒ การจัดเตรียมสื่อวัสดุ อุปกรณ์ ด้วยรูปแบบออนไลน์ ผ่าน เชน่ การสาธติ การ สถานที่ เครือข่าย Internet ด้วย สอน/การสังเกตการ ๓.๓ การออกแบบการจัดการเรียนรู้ โ ปรแกรม Zoom Could สอนผ่าน Line (ตามแผนการจดั การเรียนรู้) Meeting,Google Videoไดต้ ามความ เหมาะสมและ คำนงึ ถงึ มาตราการ ทางสาธารณสขุ อย่าง เครง่ ครัด ๔. การประเมินผลการใช้หลักสูตร - การประชุมเพื่อสรุปผลการ - การประชมุ เพ่ือสรุปผลการ -โรงเรยี นทมี่ บี คุ ลากร สถานศึกษา นิเทศฯ นเิ ทศฯ จำนวนไมเ่ กิน ๒๐ ๔.๑ การประเมินการใช้หลักสูตร - การระดมความคิด - การระดมความคิด คน สามารถจดั สถานศึกษาอยา่ งตอ่ เนอื่ ง ดว้ ยรปู แบบออนไลน์ ผา่ น กิจกรรมในรปู แบบ ๔.๒ นำผลการประเมินการใช้หลักสูตร เครือข่าย Internet ด้วย F2F เช่นการจดั สถานศึกษามาวางแผนในการพัฒนา โปรแกรม Zoom Could ประชุมฯ สามารถทำ หลกั สตู รสถานศกึ ษาอยา่ งตอ่ เน่อื ง Meeting,Google ได้ โดยคำนึงถึง มาตรากรทาง สาธารณสขุ อยา่ ง เครง่ ครดั -โรงเรียนที่มบี ุคลากร เกนิ กว่า ๒๐ ควร ดำเนนิ การในรปู แบบ ออนไลน์
Search