Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore (คู่มือ) หนังสือเรียนสสวท เพิ่มเติมชีววิทยา6

(คู่มือ) หนังสือเรียนสสวท เพิ่มเติมชีววิทยา6

Published by แชร์งานครู Teachers Sharing, 2021-01-28 06:38:22

Description: (คู่มือ) หนังสือเรียนสสวท เพิ่มเติมชีววิทยา6

คู่มือครู รายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ ชีววิทยา

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เล่ม 6
ตามผลเรียนรู้
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551

Keywords: (คู่มือ) หนังสือเรียนสสวท เพิ่มเติมชีววิทยา6,คู่มือครู รายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ ชีววิทยา,กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560),หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551

Search

Read the Text Version

40 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ ชีววทิ ยา เล่ม 6 ตรวจสอบความเข้าใจ ใหน้ ักเรียนบอกลักษณะสำ�คญั ที่มกั พบในโพรทิสต์แต่ละกลุ่ม มเี ซลล์เดยี วสรา้ งอาหารเองไม่ไดเ้ คลอ่ื นทไ่ี ดโ้ ดยใช้ซิเลยี และแฟลเจลลา คอื กลุม่ โพรโทซัว สร้างอาหารเองไม่ได้แต่มีการดำ�รงชีวิตคล้ายรา คือ กลุ่ม โพรทิสต์คล้ายรา โพรทิสต์ที่ สงั เคราะหด์ ว้ ยแสงไดไ้ มเ่ คลอ่ื นที่ คอื กลมุ่ สาหรา่ ย นอกเหนอื จากน้ี เชน่ ยกู ลนี า มลี กั ษณะ ก�ำ้ ก่ึงระหวา่ งการเป็นสาหรา่ ยและโพรโทซวั ดว้ ย จงยกตวั อยา่ งกรณที ปี่ จั จยั บางอยา่ งในระบบนเิ วศแหลง่ น�ำ้ เกดิ การเปลยี่ นแปลงและสง่ ผล ตอ่ การเปลย่ี นแปลงประชากรโพรทสิ ต์ รวมทง้ั มผี ลตอ่ การด�ำ รงชวี ติ ของสงิ่ มชี วี ติ อนื่ ทอี่ าศยั อยู่ในแหล่งน้ำ�นั้น กรณตี วั อยา่ ง เชน่ น�้ำ ทะเลทบี่ างแสนเปลย่ี นเปน็ สนี �้ำ ตาลแดงซง่ึ เปน็ สาเหตทุ ท่ี �ำ ใหส้ งิ่ มชี วี ติ เชน่ ปลา ปู กงุ้ หอย ตายเปน็ จ�ำ นวนมาก จากการเกบ็ ตวั อยา่ งน�้ำ ทะเลบางแสนมาวเิ คราะห์ พบวา่ ปรากฏการณน์ เ้ี กดิ จากการบลมู ของไดอะตอมกลมุ่ คโี ตเซอรอส (Chaetoceros) เปน็ สาหรา่ ยสนี �ำ้ ตาลขนาดเลก็ ทเ่ี ซลลม์ รี ปู รา่ งเปน็ ทรงกระบอกตอ่ กนั เปน็ สายยาวโดยยงั ไมพ่ บ รายงานว่าสร้างสารพษิ ส�ำ หรบั สาเหตทุ ที่ ำ�ใหเ้ กดิ การบลูมในคร้ังนอี้ าจเกดิ จากฝนทตี่ กลง มาเปน็ ปรมิ าณมากท�ำ ใหเ้ กดิ การชะลา้ งธาตอุ าหารจากหนา้ ดนิ ไหลลงสทู่ ะเลรวมกบั ปรมิ าณ ธาตุอาหารจากน้ำ�ท้ิงจากบ้านเรือน และช่วงดังกล่าวมีอุณหภูมิ ความเค็มของทะเล และ แสงแดดที่เหมาะสมทำ�ให้ไดอะตอมดังกล่าวเกิดการสังเคราะห์ด้วยแสงและเจริญเติบโต อย่างรวดเร็วปกคลุมผิวหน้าน้ำ� เมื่อไดอะตอมมีจำ�นวนมากขึ้นทำ�ให้ออกซิเจนถูกใช้ไปใน กระบวนการหายใจมากขึน้ ด้วย เม่อื เซลล์ไดอะตอมตายจะเกดิ การยอ่ ยสลายซึ่งแบคทเี รีย ตอ้ งใชอ้ อกซเิ จนในการยอ่ ยสลาย จงึ ท�ำ ใหอ้ อกซเิ จนทอ่ี ยใู่ นน�้ำ ลดลงอยา่ งรวดเรว็ สง่ ผลให้ สตั ว์ทะเลทอ่ี าศยั อยู่ในน�้ำ ทะเลตายเปน็ จ�ำ นวนมาก ทมี่ าขอ้ มลู ปรบั จากบทความเรอ่ื งน�้ำ ทะเลเปลยี่ นสที บ่ี างแสน เรยี บเรยี งโดยศนู ยส์ อ่ื สารวทิ ยาศาสตรไ์ ทย สวทช. ให้นกั เรียนสบื คน้ ข้อมูลและยกตัวอยา่ งการนำ�โพรทิสต์มาใชป้ ระโยชน์ของมนุษย์ คำ�ตอบมีไดห้ ลากหลายข้ึนอยูก่ ับการสบื คน้ ของนักเรยี น เชน่ พืช - ใช้เปน็ อาหารของมนษุ ย์ เชน่ สาหร่ายสีแดง เชน่ พอรไ์ ฟรา หรือจฉี ่าย สาหร่ายสีเขียว จดุ ประสงค์กเชารน่ เรสียไปนโรรู้ ไจรา สาหรา่ ยสนี �้ำ ตาล เชน่ เคลป์ น�ำ มาท�ำ เปน็ อาหาร สาหรา่ ยผมนางหรอื 1. กอรธาิบซาิลยาลเรักียษใณช้ผะลสติำ�ควุน้ัญของพืช และการแบ่งกลุ่มของพืช และอธิบายลักษณะสำ�คัญของ - ใสช่ิงเ้ มปชี ็นีวสิต่วในนปแรตะล่ กะอกบลใุ่มนเพครรอ้ ่อื มงยสกำ�อตาัวงอคย์ า่เชง่น สาหรา่ ยสแี ดง สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชีววิทยา เลม่ 6 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ 41 แนวการวัดและประเมินผล ด้านความรู้ - ลักษณะส�ำ คญั และตวั อยา่ งของสง่ิ มีชีวิตกล่มุ โพรทสิ ต์ ด้านทกั ษะ - การสงั เกต การจ�ำ แนกประเภท การพยากรณ์ ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ การท�ำ งาน การเรียนรู้ และการพงึ่ ตนเองจากการทำ�กิจกรรม - การลงความเห็นจากข้อมูล การจัดกระทำ�และส่ือความหมายข้อมูล การตีความหมาย ข้อมูลและลงข้อสรุป การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ คอมพิวเตอร์ และ เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่อื สารจากการบันทกึ ผลการทดลอง ดา้ นจติ วทิ ยาศาสตร์ - ความอยากรู้อยากเห็น ความมุ่งม่ันอดทน ความใจกว้าง การยอมรับความเห็นต่างจาก การสงั เกตพฤตกิ รรมในการท�ำ กจิ กรรม - ความซอ่ื สตั ย์ ความรอบคอบ วตั ถวุ สิ ยั จากการท�ำ รายงานของกจิ กรรม สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

42 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ ชวี วิทยา เลม่ 6 พชื จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. อธิบายลักษณะสำ�คัญของพืช และการแบ่งกลุ่มของพืช และอธิบายลักษณะสำ�คัญของ ส่ิงมีชวี ิตในแตล่ ะกลุ่ม พรอ้ มยกตัวอยา่ ง แนวการจัดการเรียนรู้ ครูนำ�เข้าส่บู ทเรียนโดยใช้รูปของสัตว์ท่มี ีรูปร่างคล้ายพืชท่เี กาะอย่กู ับพืช เช่น ต๊กั แตนก่งิ ไม้ หรอื อาจใชร้ ปู 7.19 ตก๊ั แตนใบไมใ้ นหนงั สอื เรยี นชวี วทิ ยาเลม่ 2 เพอ่ื ใหอ้ ภปิ รายเกย่ี วกบั ลกั ษณะส�ำ คญั ของพชื โดยใชค้ �ำ ถามดงั น้ี จากรปู มสี ่งิ มชี ีวติ กก่ี ลมุ่ 2 กลมุ่ ได้แก่ สตั วแ์ ละพืช นกั เรยี นคิดว่าพชื กับสัตวแ์ ตกต่างกนั อยา่ งไร คำ�ตอบอาจมีได้หลากหลาย โดยอาจมีแนวค�ำ ตอบ ดงั น้ี - พืชกับสัตว์ต่างกันท่ีโครงสร้างของเซลล์ โดยเซลล์พืชมีผนังเซลล์หุ้มด้านนอกของ เย่อื หุ้มเซลล์และมีคลอโรพลาสต์ แต่เซลล์สตั วไ์ มม่ ผี นงั เซลลแ์ ละคลอโรพลาสต์ - เซลลส์ ัตวม์ ีเซนทริโอลแตเ่ ซลล์พชื ไม่มี - พชื มวี ฏั จกั รชวี ติ แบบสลบั ซง่ึ ตา่ งจากวฏั จกั รชวี ติ ของสตั วท์ สี่ ว่ นใหญจ่ ะอยใู่ นระยะ ท่เี ซลล์อยใู่ นสภาพดพิ ลอยด์ - พชื สังเคราะห์ดว้ ยแสงได้ สตั ว์สังเคราะห์ดว้ ยแสงไม่ได้ ลักษณะสำ�คญั ของพชื คืออะไรบ้าง ลกั ษณะส�ำ คญั ของพชื คอื สง่ิ มชี วี ติ หลายเซลลท์ ม่ี เี นอ้ื เยอ่ื มวี ฏั จกั รชวี ติ แบบสลบั พบระยะ เอม็ บรโิ อ เซลลม์ ผี นงั เซลลท์ ม่ี เี ซลลโู ลสเปน็ สว่ นประกอบ พชื สว่ นใหญส่ งั เคราะหด์ ว้ ยแสงได้ ความรู้เพ่มิ เติมส�ำ หรบั ครู พืชส่วนใหญ่มีกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงเพื่อสร้างอาหาร แต่มีพืชบางชนิดท่ีไม่มี กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงเกิดขึ้น เช่น กล้วยมดดอกขาว (Didymoplexis pallens) จัด เปน็ กลว้ ยไมก้ นิ ซาก (saprophytic orchid) ไมพ่ บคลอโรฟลิ ล์ ได้รับอาหารจากการย่อยสลาย ซากสง่ิ มชี วี ติ โดยอาศยั รา และ บวั ผดุ (Rafflesia arnoldii) จดั เปน็ พชื เบยี นแท้ (true parasitic plant) อาศัยนำ�้ และอาหารจากพืชเจ้าบา้ น (host plant) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชวี วทิ ยา เลม่ 6 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ 43 ส�ำ หรบั การจดั การเรยี นการสอนเรอ่ื งพชื ครอู าจใชพ้ ชื จรงิ จากกลมุ่ ยอ่ ยตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ ไบรโอไฟต์ ไลโคไฟต์ โมนิโลไฟต์ พืชเมล็ดเปลือย และพืชดอก ท่สี ามารถหาได้ สำ�หรับพืชท่หี าตัวอย่างจริงไม่ได้ ครอู าจใชร้ ปู ถา่ ยทไ่ี ดจ้ ากการสบื คน้ มาประกอบการอธบิ ายลกั ษณะส�ำ คญั ของพชื กลมุ่ ตา่ ง ๆ โดยครใู ช้ ตวั อยา่ งพชื ทเ่ี ตรยี มมาในการน�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี น และใชค้ �ำ ถามถามนกั เรยี นวา่ ตัวอยา่ งพชื ที่ครเู ตรยี มไวม้ ีอะไรบา้ ง ค�ำ ตอบอาจมไี ดห้ ลากหลายขน้ึ อยกู่ บั สปชี สี ข์ องพชื ทค่ี รเู ตรยี มและรปู ถา่ ยทค่ี รสู บื คน้ มา โดยอาจมีแนวคำ�ตอบ ดงั นี้ - ตวั อย่างไบรโอไฟต์ เชน่ มอส ลิเวอรเ์ วิร์ท ฮอร์นเวริ ์ท - ตัวอย่างไลโคไฟต์ เช่น สามร้อยยอด สนหางสิงห์ (ไลโคโพเดียม) พ่อค้าตีเมีย (ซแี ลกจเิ นลลา) กระเทยี มน�ำ้ (ไอโซอีเทส) - ตวั อยา่ งโมนิโลไฟต์ เช่น เฟริ น์ ใบมะขาม เฟิร์นก้างปลา เฟริ น์ ขา้ หลวงหลังลาย (ให้ เห็นใบออ่ นม้วนงอ) หญา้ ถอดปลอ้ ง หวายทะนอย - ตวั อย่างพชื เมล็ดเปลอื ย เชน่ สนสองใบ สนสามใบ ปรง เหลียง - ตัวอย่างพชื ดอก เช่น ชบา เฟ่อื งฟา้ หางนกยูงไทย บัวหลวง บวั สาย ถา้ ตอ้ งการแบง่ กลมุ่ ตวั อยา่ งพชื ทเ่ี ตรยี มมาจะแบง่ กลมุ่ ไดอ้ ยา่ งไร ใชอ้ ะไรเปน็ เกณฑ์ แตล่ ะ กล่มุ มีลักษณะส�ำ คัญอย่างไร คำ�ตอบอาจมไี ด้หลากหลายซง่ึ นักเรียนจะไดค้ ำ�ตอบหลังจากเรยี น เร่อื ง พชื ครอู ธบิ ายเพม่ิ เตมิ วา่ นกั เรยี นอาจแบง่ กลมุ่ พชื ไดง้ า่ ย ๆ จากการดวู า่ พชื ชนดิ นน้ั มหี รอื ไมม่ ดี อก แตพ่ ชื เปน็ อกี กลมุ่ สง่ิ มชี วี ติ ทม่ี คี วามหลากหลายสงู การแบง่ กลมุ่ จากการมดี อกของพชื อาจไมเ่ พยี งพอ จงึ ใชเ้ กณฑอ์ น่ื รว่ มดว้ ย เชน่ การมหี รอื ไมม่ ที อ่ ล�ำ เลยี ง การมใี บแบบไลโคฟลิ ลห์ รอื ยฟู ลิ ล์ การมหี รอื ไมม่ เี มลด็ การมหี รอื ไมม่ รี งั ไข่ จากนน้ั ถามนกั เรยี นวา่ ถ้าใช้เกณฑ์การมีหรือไม่มีทอ่ ล�ำ เลยี งจะแบง่ พชื ได้เปน็ กี่กลมุ่ ได้แกอ่ ะไร 2 กลมุ่ ได้แก่ พืชไม่มีท่อล�ำ เลียง และพืชมที ่อลำ�เลียง ครูและนักเรียนร่วมกันแบ่งกล่มุ พืชท่คี รูเตรียมไว้ว่าพืชใดบ้างท่เี ป็นพืชไม่มีและมีท่อลำ�เลียง จากนน้ั ครอู ธบิ ายเพม่ิ เตมิ วา่ นอกจากเกณฑด์ งั กลา่ วแลว้ ยงั ใชเ้ กณฑอ์ น่ื เพอ่ื ใชใ้ นการแบง่ เปน็ กลมุ่ ยอ่ ยได้ และพชื แตล่ ะกลมุ่ มลี กั ษณะส�ำ คญั แตกตา่ งกนั โดยใหค้ รแู ละนกั เรยี นอภปิ รายรว่ มกนั ดงั น้ี สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

44 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ ชีววิทยา เลม่ 6 พชื ไมม่ ที อ่ ล�ำ เลยี ง ครใู หน้ กั เรยี นศกึ ษาขอ้ มลู เกย่ี วกบั พชื ไมม่ ที อ่ ล�ำ เลยี งในหนงั สอื เรยี นแลว้ อภปิ รายรว่ มกนั โดย ใชต้ วั อยา่ งพชื จรงิ หรอื รปู 23.25 ซง่ึ แสดงไรซอยดแ์ ละ รปู 23.26 ซง่ึ แสดงตวั อยา่ งพชื ในกลมุ่ ไบรโอไฟต์ ประกอบการใชค้ �ำ ถาม ดงั น้ี พืชไมม่ ีทอ่ ล�ำ เลียงมชี อ่ื เรียกภาษาอังกฤษวา่ อยา่ งไร ไบรโอไฟต์ พชื ไมม่ ีท่อล�ำ เลียงมลี ักษณะอย่างไร เป็นพืชที่ไม่มีเน้ือเย่ือท่อลำ�เลียง แกมีโทไฟต์เป็นระยะเด่น มีไรซอยด์ทำ�หน้าที่ยึดเกาะ ดดู น้�ำ และธาตุอาหาร สปอโรไฟต์เจรญิ บนแกมโี ทไฟต์ตลอดชีวติ ให้นกั เรยี นยกตวั อยา่ งพืชในไบรโอไฟต์ มอส ลเิ วอรเ์ วิร์ท ฮอร์นเวิรท์ แกมีโทไฟต์ของมอส ลเิ วอรเ์ วิรท์ และฮอรน์ เวิรท์ มีลกั ษณะอยา่ งไร แกมีโทไฟต์ของมอสและลิเวอร์เวิร์ทบางสปีชีส์มีลักษณะเป็นต้นที่มีโครงสร้างคล้ายใบ ส่วนลิเวอรเ์ วริ ์ทส่วนใหญ่ และฮอร์นเวิรท์ มีลักษณะเป็นแผ่นสเี ขียว สปอโรไฟต์ของไบรโอไฟตม์ โี ครงสรา้ งหลักที่คล้ายกัน ประกอบดว้ ยอะไรบ้าง และแตล่ ะ ส่วนมีลักษณะอยา่ งไร สปอโรไฟต์มีโครงสร้างหลักท่ีคล้ายกัน 3 สว่ น ไดแ้ ก่ ฟุต คือ ส่วนท่ีฝังลงในเน้ือเย่ือของแกมีโทไฟต์ ทำ�หน้าท่ียึดกับแกมีโทไฟต์ ดึงนำ้�และ อาหารจากแกมโี ทไฟต์ ก้านชอู บั สปอร์ คือ สว่ นที่ทำ�หน้าที่ชูอบั สปอร์ อบั สปอร์ คอื ส่วนทท่ี �ำ หนา้ ทสี่ ร้างสปอร์ จากการอภปิ รายรว่ มกนั นกั เรยี นควรอธบิ ายไดว้ า่ พชื ไมม่ ที อ่ ล�ำ เลยี งหรอื ไบรโอไฟตเ์ ปน็ พชื ท่ี ไมม่ เี นอ้ื เยอ่ื ทอ่ ล�ำ เลยี ง แกมโี ทไฟตเ์ ปน็ ระยะทเ่ี ดน่ พบเหน็ ไดท้ ว่ั ไป มไี รซอยดท์ �ำ หนา้ ทย่ี ดึ เกาะ ดดู น�ำ้ และธาตุอาหาร สปอโรไฟต์เจริญบนแกมีโทไฟต์ตลอดชีวิต พืชในกล่มุ น้ไี ด้แก่ มอส ลิเวอร์เวิร์ท และ ฮอรน์ เวริ ท์ โดยแกมโี ทไฟตข์ องมอส (รวมทง้ั ลเิ วอรเ์ วริ ท์ บางสปชี สี )์ มลี กั ษณะเปน็ ตน้ ทม่ี โี ครงสรา้ งคลา้ ย สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชวี วิทยา เลม่ 6 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ 45 ใบ แตข่ องลเิ วอรเ์ วริ ท์ และฮอรน์ เวริ ท์ มลี กั ษณะเปน็ แผน่ สเี ขยี ว ระยะสปอโรไฟตม์ รี ปู รา่ งแตกตา่ งกนั ไป ในแตล่ ะสปชี สี ์ แตม่ โี ครงสรา้ งหลกั คลา้ ยกนั คอื ฟตุ กา้ นชอู บั สปอร์ และอบั สปอร์ ครูอาจใช้รูปไบรโอไฟต์ท่ีข้ึนตามแหล่งท่ีอยู่ต่าง ๆ เพ่ืออภิปรายร่วมกันเก่ียวกับขนาดของ ไบรโอไฟตแ์ ละแหลง่ ทอ่ี ยซู่ ง่ึ มกั เปน็ ทม่ี สี ภาพความชน้ื สงู เนอ่ื งจากในการปฏสิ นธไิ บรโอไฟตจ์ ะอาศยั น�ำ้ เปน็ ตวั กลางเพอ่ื ใหส้ เปริ ม์ เคลอ่ื นทไ่ี ปผสมกบั เซลลไ์ ข่ ครอู ธบิ ายเพม่ิ เตมิ เกย่ี วกบั สปอโรไฟตข์ องลเิ วอรเ์ วริ ท์ โดยใชร้ ปู สปอโรไฟตข์ องลเิ วอรเ์ วริ ท์ ใน รหู้ รอื ไม่ วา่ โครงสรา้ งระยะสปอโรไฟตข์ องลเิ วอรเ์ วริ ท์ บางชนดิ ไมส่ ามารถมองเหน็ ไดด้ ว้ ยตาเปลา่ เนอ่ื ง จากเม่ือสเปิร์มผสมกับเซลล์ไข่ท่ีอยู่ในโครงสร้างท่ีสร้างเซลล์สืบพันธ์ุเพศเมียแล้ว สปอโรไฟต์จะ เจรญิ เตบิ โตอยภู่ ายใตโ้ ครงสรา้ งนน้ั พชื มที อ่ ล�ำ เลยี ง ครใู หน้ กั เรยี นศกึ ษาขอ้ มลู เกย่ี วกบั พชื มที อ่ ล�ำ เลยี งในหนงั สอื เรยี นแลว้ อภปิ รายรว่ มกนั โดยใช้ ตวั อยา่ งพชื จรงิ หรอื รปู 23.27-23.30 ซง่ึ แสดงตวั อยา่ งพชื มที อ่ ล�ำ เลยี งประกอบการใชค้ �ำ ถาม ดงั น้ี พืชมที อ่ ล�ำ เลยี งมีชอ่ื เรยี กภาษาอังกฤษวา่ อยา่ งไร เทรคโี อไฟต์ พชื มที ่อลำ�เลยี งมลี ักษณะอยา่ งไร มเี นือ้ เยอื่ ทอ่ ลำ�เลียง มีราก ลำ�ต้น และใบท่แี ทจ้ รงิ มีระยะสปอโรไฟต์เด่น แกมโี ทไฟตม์ ี ขนาดเลก็ และมชี ว่ งชีวติ สน้ั กว่าสปอโรไฟต์ จากหลักฐานทางชีววิทยาโมเลกุล พืชมีท่อลำ�เลียงมีวิวัฒนาการแยกออกได้เป็นกี่พวก ไดแ้ กอ่ ะไร 2 พวก ได้แก่ ไลโคไฟต์ และยูฟลิ โลไฟต์ ไลโคไฟต์และยูฟิลโลไฟต์แบง่ เปน็ กลุ่มยอ่ ยได้กี่กล่มุ แต่ละกลมุ่ มลี ักษณะอยา่ งไร ไลไคไฟตไ์ มม่ กี ลมุ่ ยอ่ ย ยฟู ลิ โลไฟตแ์ บง่ ได้ 2 กลมุ่ ไดแ้ ก่ โมนโิ ลไฟต์ และสเปอรม์ าโทไฟต์ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

46 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ ชวี วิทยา เลม่ 6 ส�ำ หรบั ค�ำ ตอบลกั ษณะของแตล่ ะกลมุ่ นกั เรยี นจะไดค้ �ำ ตอบหลงั จากเรยี น เรอ่ื ง ไลโคไฟตแ์ ละ ยฟู ลิ โลไฟต์ ไลโคไฟต์ ครใู หน้ กั เรยี นศกึ ษาขอ้ มลู เกย่ี วกบั ไลโคไฟตใ์ นหนงั สอื เรยี นแลว้ อภปิ รายรว่ มกนั โดยใชต้ วั อยา่ ง พชื จรงิ หรอื รปู 23.27 ซง่ึ แสดงตวั อยา่ งพชื ในกลมุ่ ไลโคไฟตป์ ระกอบการใชค้ �ำ ถาม ดงั น้ี ไลโคไฟต์มลี ักษณะอย่างไร มีใบแบบไลโคฟลิ ล์ซึ่งเปน็ ใบขนาดเลก็ มีเส้นใบ 1 เส้น ทไ่ี ม่มีการแยกแขนง เสน้ ใบยาว จรดปลายใบหรอื ส้ันมาก ส่วนใหญ่สรา้ งสปอรแ์ บบเดียว ไลโคไฟต์จนี ัสใดทส่ี ร้างสปอรแ์ บบเดยี ว ไลโคโพเดียม ไลโคไฟต์จีนสั ใดทีส่ รา้ งสปอร์ 2 แบบ ซแี ลกจเิ นลลา ไอโซอิเทส ยกตัวอยา่ งจนี สั ของพชื กลุม่ ไลโคไฟต์ ไลโคโพเดยี ม ซแี ลกจิเนลลา ไอโซอีเทส ยกตัวอย่างสปีชสี ข์ องพชื กลุ่มไลโคไฟต์ ตนี ตุ๊กแก สามร้อยยอด กระเทียมนำ�้ การแตกกงิ่ ของพืช จีนสั ซแี ลกจิเนลลา และจนี สั ไลโคโพเดยี มมกี ารแตกก่ิงแบบใด พชื ทงั้ 2 จีนัส มกี ารแตกกิ่งแบบแยกสองแฉก โครงสร้างที่เกิดจากกลุ่มของใบท่ีสร้างอับสปอร์ของไลโคไฟต์ เรียกว่าอะไร เกิดอยู่ที่ใด ของพืช เรยี กวา่ สตรอบิลัส เกิดอย่ทู ป่ี ลายก่ิง อับสปอรข์ องไลโคไฟต์เกดิ ที่บริเวณใดของใบ อับสปอร์เกดิ ทบ่ี รเิ วณโคนใบ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชวี วทิ ยา เล่ม 6 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ 47 พชื จนี ัสไอโซอีเทสมลี กั ษณะอย่างไร พชื จนี สั ไอโซอเี ทสเปน็ ไลโคไฟตท์ ม่ี ลี กั ษณะเปน็ กอคลา้ ยกอกระเทยี มขนาดเลก็ ใบคลา้ ย ใบกระเทยี ม ซึง่ ต่างจากจีนสั ซแี ลกจิเนลลาและไลโคโพเดียม จากการอภปิ รายรว่ มกนั นกั เรยี นควรอธบิ ายไดว้ า่ ไลโคไฟตม์ ใี บแบบไลโคฟลิ ล์ ซง่ึ เปน็ ใบทม่ี ี ขนาดเลก็ มเี สน้ ใบ 1 เสน้ ทไ่ี มม่ กี ารแยกแขนง เสน้ ใบอาจยาวจรดปลายใบหรอื สน้ั มาก พฒั นาการของ แผน่ ใบมาจากเนอ้ื เยอ่ื เจรญิ ทม่ี ตี �ำ แหนง่ อยบู่ รเิ วณโคนใบ สรา้ งสปอรแ์ บบเดยี ว เชน่ ไลโคโพเดยี ม (ยกเวน้ พชื จนี สั ซแี ลกจเิ นลลา และจนี สั ไอโซอเี ทส) การปฏสิ นธยิ งั อาศยั น�ำ้ เปน็ ตวั กลางใหส้ เปริ ม์ เคลอ่ื นทเ่ี ขา้ ผสมกบั เซลลไ์ ข่ พชื กลมุ่ ไลโคไฟตท์ พ่ี บไดบ้ อ่ ยในประเทศไทย คอื พชื จนี สั ซแี ลกจเิ นลลา เชน่ ตนี ตกุ๊ แก และ จนี สั ไลโคโพเดยี ม เชน่ สามรอ้ ยยอด พชื สองกลมุ่ นม้ี กี ารแตกกง่ิ แบบแยกสองแฉก ทป่ี ลายกง่ิ มโี ครงสรา้ ง ทเ่ี กดิ จากกลมุ่ ของใบทส่ี รา้ งอบั สปอร์ เรยี ก สตรอบลิ สั อบั สปอรเ์ กดิ ทบ่ี รเิ วณโคนใบ พชื จนี สั ไอโซอเี ทส เชน่ กระเทยี มน�ำ้ เปน็ ไลโคไฟตอ์ กี กลมุ่ หนง่ึ แตพ่ บไดย้ ากในปจั จบุ นั ลกั ษณะ ทเ่ี หน็ โดยทว่ั ไปเปน็ กอคลา้ ยกอกระเทยี มขนาดเลก็ ใบคลา้ ยใบกระเทยี ม ซง่ึ ตา่ งจากจนี สั ซแี ลกจแิ นลลา กบั ไลโคโพเดยี มมาก ยฟู ลิ โลไฟต์ ครูให้นักเรียนศึกษาข้อมูลเก่ียวกับยูฟิลโลไฟต์ในหนังสือเรียนแล้วอภิปรายร่วมกัน โดยใช้ ตวั อยา่ งพชื จรงิ หรอื รปู 23.28-23.30 ซง่ึ แสดงตวั อยา่ งพชื ในกลมุ่ ยฟู ลิ โลไฟตป์ ระกอบการใชค้ �ำ ถาม ดงั น้ี ยูฟลิ โลไฟตม์ ลี ักษณะอย่างไร ยูฟิลโลไฟต์เป็นพืชท่ีมีใบแบบยูฟิลล์ ซึ่งเป็นใบมีเส้นใบมากกว่า 1 เส้น และมีการแยก แขนงภายในแผ่นใบ โดยพัฒนาการของแผ่นใบมาจากเนื้อเย่ือเจริญที่มีตำ�แหน่งอยู่ บรเิ วณปลายใบและขอบใบ ยฟู ิลโลไฟตแ์ บง่ ยอ่ ยได้เปน็ กกี่ ลมุ่ ได้แกอ่ ะไรบา้ ง แบ่งไดเ้ ป็น 2 กลมุ่ ได้แก่ โมนิโลไฟต์ และสเปอรม์ าโทไฟต์ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

48 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ ชวี วิทยา เล่ม 6 ความแตกต่างท่สี �ำ คัญของโมนิโลไฟตแ์ ละสเปอรม์ าโทไฟต์ คอื อะไร โมนิโลไฟต์ไมส่ ร้างเมล็ด ส่วนสเปอรม์ าโทไฟต์สรา้ งเมล็ด จากการอภปิ รายรว่ มกนั นกั เรยี นควรอธบิ ายไดว้ า่ ยฟู ลิ โลไฟตเ์ ปน็ พชื ทม่ี ใี บแบบยฟู ลิ ลซ์ ง่ึ เปน็ ใบมีเส้นใบมากกว่า 1 เส้น และมีการแยกแขนงภายในแผ่นใบ โดยแผ่นใบมีพัฒนาการมาจาก เนอ้ื เยอ่ื เจรญิ ทม่ี ตี �ำ แหนง่ อยบู่ รเิ วณปลายใบและขอบใบ แบง่ ยอ่ ยตอ่ ไปไดเ้ ปน็ 2 กลมุ่ ยอ่ ยคอื โมนโิ ลไฟต์ ซง่ึ ไมส่ รา้ งเมลด็ และสเปอรม์ าโทไฟตซ์ ง่ึ สรา้ งเมลด็ ครใู หน้ กั เรยี นศกึ ษาขอ้ มลู เกย่ี วกบั โมนโิ ลไฟตแ์ ละสเปอรม์ าโทไฟตใ์ นหนงั สอื เรยี นแลว้ อภปิ ราย รว่ มกนั โดยใชต้ วั อยา่ งพชื จรงิ หรอื รปู 23.28-23.30 ซง่ึ แสดงตวั อยา่ งพชื ในกลมุ่ นป้ี ระกอบการใชค้ �ำ ถาม ดงั น้ี โมนโิ ลไฟต์ ครูให้นักเรียนศึกษาข้อมูลเก่ียวกับโมนิโลไฟต์ในหนังสือเรียนแล้วอภิปรายร่วมกัน โดยใช้ ตวั อยา่ งพชื จรงิ หรอื รปู 23.28 ซง่ึ แสดงตวั อยา่ งพชื ในกลมุ่ โมนโิ ลไฟตป์ ระกอบการใชค้ �ำ ถาม ดงั น้ี โมนโิ ลไฟต์มลี กั ษณะอย่างไร โมนโิ ลไฟตม์ ที ง้ั ล�ำ ตน้ ใตด้ นิ และล�ำ ตน้ เหนอื ดนิ มขี นาดเลก็ ไปจนถงึ เปน็ ไมต้ น้ ขนาดใหญ่ ส่วนใหญ่สปอโรไฟตส์ ร้างสปอรแ์ บบเดยี ว (ยกเว้นพวกเฟิร์นน้�ำ ) ยกตัวอยา่ งพชื กลมุ่ โมนโิ ลไฟต์ เฟริ น์ พชื กลุ่มหญ้าถอดปล้อง พชื กล่มุ หวายทะนอย เฟิรน์ มลี ักษณะอย่างไร เฟิร์นมีใบท่ีพัฒนาสมบูรณ์ มักมีขนาดใหญ่เห็นได้ชัดเจน ใบอ่อนม้วนงอจากปลายใบสู่ โคนใบ สรา้ งอบั สปอร์จ�ำ นวนมากเกิดเป็นกลุม่ เรียก ซอรสั ท่ดี า้ นลา่ งของแผน่ ใบ พืชกลุ่มหญา้ ถอดปลอ้ งมีลักษณะอยา่ งไร พืชกลุ่มหญ้าถอดปล้อง ลำ�ต้นเหนือดินมีข้อปล้องชัดเจน มีการแตกก่ิงจากตาข้าง โครงสร้างท่ีสร้างอับสปอร์เกิดอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มที่ปลายก่ิง เรียก สตรอบิลัส ใบขนาด เล็กเชื่อมตอ่ กนั เป็นวงรอบข้อ แต่ละใบมเี ส้นใบ 1 เส้น ดูคลา้ ยลักษณะของไลโคฟิลล์แต่ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชวี วิทยา เล่ม 6 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ 49 มีกำ�เนิดต่างกัน ลักษณะใบหญ้าถอดปล้องที่คล้ายไลโคฟิลล์นี้เกิดจากการลดรูปของ ยูฟลิ ล์ พืชกลุ่มหวายทะนอยมลี ักษณะอย่างไร พชื กลมุ่ หวายทะนอยไมพ่ บรากทแ่ี ทจ้ รงิ โดยมไี รซอยดท์ �ำ หนา้ ทแ่ี ทนราก ล�ำ ตน้ เหนอื ดนิ แตกกิ่งแบบแยกสองแฉก อับสปอร์ลักษณะเป็น 3 พูเกิดบนกิ่ง หวายทะนอยเป็นกลุ่ม โมนิโลไฟต์ท่ีมีใบแบบยูฟิลล์ไม่พัฒนา อาจเห็นเป็นเพียงต่ิงหรือแขนงเล็ก ๆ ท่ีบริเวณ ปลายก่งิ จากการอภปิ รายรว่ มกนั นกั เรยี นควรอธบิ ายไดว้ า่ โมนโิ ลไฟตม์ ที ง้ั ล�ำ ตน้ ใตด้ นิ และล�ำ ตน้ เหนอื ดนิ มขี นาดเลก็ ไปจนถงึ เปน็ ไมต้ น้ ขนาดใหญ่ สว่ นใหญส่ ปอโรไฟตส์ รา้ งสปอรแ์ บบเดยี ว (ยกเวน้ พวกเฟริ น์ น�ำ้ ) ตวั อยา่ งพชื กลมุ่ น้ี คอื เฟริ น์ หญา้ ถอดปลอ้ ง และหวายทะนอย ซง่ึ มลี กั ษณะทแ่ี ตกตา่ งกนั สเปอรม์ าโทไฟต์ ครใู หน้ กั เรยี นศกึ ษาขอ้ มลู เกย่ี วกบั สเปอรม์ าโทไฟตใ์ นหนงั สอื เรยี นแลว้ อภปิ รายรว่ มกนั โดยใช้ ตัวอยา่ งพชื จริงหรอื รูป 23.29 ซง่ึ แสดงตวั อยา่ งพืชเมลด็ เปลอื ยและ 23.30 ซ่งึ แสดงตวั อย่างพืชดอก ประกอบการใชค้ �ำ ถาม ดงั น้ี สเปอร์มาโทไฟตม์ ีลักษณะและการดำ�รงชวี ติ อย่างไร สเปอร์มาโทไฟต์หรือพืชมีเมล็ด เป็นกลุ่มพืชท่ีสร้างออวุล มีการถ่ายเรณูโดยอาจอาศัย สัตว์ ลม หรือนำ้� ซึ่งไม่พบการถ่ายเรณูในพืชกลุ่มอื่น หลังการถ่ายเรณูจะเกิดการงอก หลอดเรณู ซ่ึงเปน็ ชอ่ งทางทีส่ เปิร์มใช้เคลื่อนท่ีเพ่ือเข้าปฏิสนธกิ ับเซลล์ไข่ ดังนัน้ พชื กลุ่ม นจี้ งึ ไมจ่ �ำ เปน็ ตอ้ งอาศยั น�ำ้ เปน็ ตวั กลางในการปฏสิ นธเิ หมอื นพชื กลมุ่ อน่ื หลงั การปฏสิ นธิ ออวุลจะเจริญไปเป็นเมล็ด สปอโรไฟต์ของพืชมีเมล็ดมักมีขนาดใหญ่เห็นได้ชัดเจน มี การสรา้ งสปอร์ต่างแบบ ส่วนแกมีโทไฟต์ลดรปู ลงจนมขี นาดเล็กโดยอาจพบวา่ ประกอบ ด้วยเซลลจ์ �ำ นวนไม่ก่เี ซลล์ และอาศยั อยูบ่ นสปอโรไฟต์ สเปอร์มาโทไฟตแ์ บ่งได้เป็นกีก่ ลมุ่ คอื อะไรบ้าง สเปอรม์ าโทไฟต์แบง่ ไดเ้ ปน็ 2 กลมุ่ คอื พืชเมลด็ เปลือย และพืชดอก สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

50 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ ชีววิทยา เลม่ 6 จากการอภปิ รายรว่ มกนั นกั เรยี นควรอธบิ ายไดว้ า่ สเปอรม์ าโทไฟตห์ รอื พชื มเี มลด็ เปน็ กลมุ่ พชื ท่สี ร้างออวุล มีการถ่ายเรณูโดยอาจอาศัยสัตว์ ลม หรือนำ�้ ซ่งึ ไม่พบการถ่ายเรณูในพืชกล่มุ อ่นื หลัง การถ่ายเรณูจะเกิดการงอกหลอดเรณู ซ่งึ เป็นช่องทางท่สี เปิร์มใช้เคล่อื นท่เี พ่อื เข้าปฏิสนธิกับเซลล์ไข่ ดงั นน้ั พชื กลมุ่ นจ้ี งึ ไมจ่ �ำ เปน็ ตอ้ งอาศยั น�ำ้ เปน็ ตวั กลางในการปฏสิ นธเิ หมอื นพชื กลมุ่ อน่ื หลงั การปฏสิ นธิ ออวลุ จะเจรญิ ไปเปน็ เมลด็ สปอโรไฟตข์ องพชื มเี มลด็ มกั มขี นาดใหญเ่ หน็ ไดช้ ดั เจน มกี ารสรา้ งสปอรต์ า่ ง แบบ สว่ นแกมโี ทไฟตล์ ดรปู ลงจนมขี นาดเลก็ โดยอาจพบวา่ ประกอบดว้ ยเซลลจ์ �ำ นวนไมก่ เ่ี ซลล์ และอาศยั อยบู่ นสปอโรไฟต์ ครใู หน้ กั เรยี นศกึ ษาขอ้ มลู เกย่ี วกบั พชื เมลด็ เปลอื ยในหนงั สอื เรยี นแลว้ อภปิ รายรว่ มกนั โดยใช้ ตวั อยา่ งพชื จรงิ หรอื รปู 23.29 ซง่ึ แสดงตวั อยา่ งพชื เมลด็ เปลอื ยประกอบการใชค้ �ำ ถาม ดงั น้ี พชื เมลด็ เปลอื ยมลี กั ษณะสำ�คญั อยา่ งไร ออวุลของพืชเมล็ดเปลือยไม่มีรังไข่ห่อหุ้ม ดังน้ันเมล็ดจึงไม่มีผลห่อหุ้ม ซึ่งเป็นลักษณะ ส�ำ คัญที่แตกต่างไปจากพชื ดอก โครงสรา้ งท่ีสรา้ งอบั สปอรข์ องพชื เมลด็ เปลอื ยเรียกวา่ อะไร และมีลกั ษณะอย่างไร โครงสร้างท่ีสร้างอับสปอร์ของพืชเมล็ดเปลือย เรียกว่า โคนหรือสตรอบิลัส มักเกิดรวม กนั เปน็ กลมุ่ ประกอบกนั ขน้ึ มา โดยโคนจะแยกเพศตามชนดิ ของสปอรท์ สี่ รา้ ง โคนทส่ี รา้ ง ไมโครสปอร์ เรียก โคนเพศผู้ โคนท่ีสร้างเมกะสปอร์ เรียก โคนเพศเมีย โดยโครงสร้าง ของโคนในพืชเมล็ดเปลือยแต่ละกล่มุ จะมีรายละเอยี ดท่ีแตกตา่ งกันออกไป ยกตวั อย่างพืชเมล็ดเปลอื ย ตัวอย่างพืชเมลด็ เปลือย เช่น ปรง เหลยี ง มะเมือ่ ย แปะก๊วย สน สนมีลกั ษณะอยา่ งไร โคนสนมีลักษณะอย่างไร สนเป็นไม้ต้นไม่ผลัดใบ มีขนาดใหญ่ สร้างโคนเพศผู้และโคนเพศเมียบนต้นเดียวกัน โคนเพศเมยี ประกอบดว้ ยโครงสรา้ งทเ่ี กดิ จากกงิ่ ซงึ่ เปลย่ี นแปลงรปู รา่ งและหนา้ ทไ่ี ปเปน็ แผ่นแข็ง ท�ำ หนา้ ที่สรา้ งออวุลจ�ำ นวน 2 อนั โคนเพศผู้ประกอบข้ึนจากแผ่นใบ ซ่ึงสรา้ ง อับไมโครสปอรจ์ �ำ นวน 2 อนั สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชวี วทิ ยา เล่ม 6 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ 51 จากการอภปิ รายรว่ มกนั นกั เรยี นควรอธบิ ายไดว้ า่ พชื เมลด็ เปลอื ยไมม่ ผี ลหอ่ หมุ้ เนอ่ื งจากออวลุ ของพืชกล่มุ น้ไี ม่มีรังไข่ห่อห้มุ โครงสร้างท่สี ร้างอับสปอร์ของพืชเมล็ดเปลือยมักเกิดรวมกันเป็นกล่มุ ประกอบกนั ขน้ึ มาเปน็ โครงสรา้ งทเ่ี รยี กวา่ โคน โดยโคนจะแยกเพศตามชนดิ ของสปอรท์ ส่ี รา้ ง โคนทส่ี รา้ ง ไมโครสปอร์ เรยี ก โคนเพศผู้ โคนทส่ี รา้ งเมกะสปอร์ เรยี ก โคนเพศเมยี โดยโครงสรา้ งของโคนในพชื เมลด็ เปลือยแต่ละกล่มุ จะมีรายละเอียดท่แี ตกต่างกันออกไป ตัวอย่างพืชเมล็ดเปลือย เช่น ปรงชนิดต่าง ๆ เหลยี ง มะเมอ่ื ย แปะกว๊ ย และสามารถอธบิ ายลกั ษณะของสนและโคนสนได้ ครใู หน้ กั เรยี นศกึ ษาขอ้ มลู เกย่ี วกบั พชื ดอกในหนงั สอื เรยี นแลว้ อภปิ รายรว่ มกนั โดยใชต้ วั อยา่ ง พชื จรงิ หรอื รปู 23.30 ซง่ึ แสดงตวั อยา่ งพชื ดอกประกอบการใชค้ �ำ ถาม ดงั น้ี พชื ดอกมีลกั ษณะส�ำ คญั อย่างไร ออวุลของพืชดอกอยู่ในโครงสร้างของรังไข่ เมื่อพัฒนาไปเป็นเมล็ดเมล็ดของพืชดอกจึง อยภู่ ายในผลซึ่งพฒั นามาจากรงั ไข่ ยกตัวอยา่ งพชื ดอก กันภัยมหดิ ล บรอ็ กโคลี บวั สาย ดอกคอื อะไร ทำ�หนา้ ท่ีอะไร ดอกเปน็ กงิ่ ทเี่ ปลย่ี นแปลงไปเพอื่ ท�ำ หนา้ ทใี่ นการสบื พนั ธุ์ โดยท�ำ หนา้ ทส่ี รา้ งสปอร์ มกี าร ปฏิสนธแิ บบการปฏิสนธคิ ู่ จากการอภปิ รายรว่ มกนั นกั เรยี นควรอธบิ ายไดว้ า่ พชื ดอกมอี อวลุ อยใู่ นโครงสรา้ งของรงั ไขเ่ มอ่ื พฒั นาไปเปน็ เมลด็ เมลด็ ของพชื ดอกจงึ อยภู่ ายในผลซง่ึ พฒั นามาจากรงั ไข่ เชน่ กนั ภยั มหดิ ล บรอ็ กโคลี บวั สาย ดอกเปน็ กง่ิ ทเ่ี ปลย่ี นแปลงไปเพอ่ื ท�ำ หนา้ ทใ่ี นการสบื พนั ธ์ุ โดยท�ำ หนา้ ทส่ี รา้ งสปอร์ มกี ารปฏสิ นธิ แบบการปฏสิ นธคิ ู่ ครเู พม่ิ เตมิ วา่ นกั เรยี นไดเ้ คยเรยี นเรอ่ื งเกย่ี วกบั พชื ดอกมาแลว้ ในหนงั สอื เรยี นรายวชิ า เพม่ิ เตมิ วทิ ยาศาสตร์ ชวี วทิ ยา เลม่ 3 ครูให้นักเรียนศึกษาข้อมูลเก่ียวกับประโยชน์ของพืชในหนังสือเรียนแล้วอภิปรายร่วมกัน โดยใชค้ �ำ ถาม ดงั น้ี สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

52 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ ชีววิทยา เล่ม 6 ประโยชนข์ องพืชมีอะไรบ้าง พืชทำ�หน้าที่เป็นผู้ผลิตในระบบนิเวศ และยังมีประโยชน์อื่น ๆ อีก เช่น ไบรโอไฟต์ช่วย ดดู ซบั ความชน้ื บรเิ วณพน้ื ผวิ ทเี่ จรญิ เตบิ โตอยู่ ปอ้ งกนั การพงั ทะลายของหนา้ ดนิ ปอ้ งกนั การปนเป้ือนของสารพิษลงสู่นำ้�ในดิน ใช้เป็นไม้ประดับตกแต่งกระถางหรือสวน ใช้ทำ� วัสดุปลูก เฟิร์นบางสปีชีส์ใช้เป็นอาหาร เช่น ผักแว่น กูดน้ำ� กูดแดง บางสปีชีส์ใช้เป็น พชื สมนุ ไพร เชน่ วา่ นลกู ไกท่ องใชด้ ดู ซบั หา้ มเลอื ด กดู แดงใชเ้ ปน็ ยารกั ษาโรคผวิ หนงั น�ำ มา ใชท้ �ำ เครอ่ื งจกั สานและกระเปา๋ ถอื เชน่ ยา่ นลเิ ภา ทงั้ ไลโคไฟตแ์ ละโมนโิ ลไฟตห์ ลายสปชี สี ์ ท่ีนิยมนำ�มาปลูกเป็นไม้ประดับ ประโยชน์ของพืชเมล็ดเปลือย ใช้ประกอบอาหาร เช่น เมล็ดจากแปะกว๊ ย ใบเหลียง น�ำ มาใชจ้ ัดสวนหรอื ปลกู ประดบั เช่น ปรง สว่ นพืชดอกจดั ว่าเป็นพืชกลุ่มท่ีมีความสำ�คัญต่อการดำ�รงชีวิตของมนุษย์ท้ังนำ�มาใช้เป็นอาหาร ท่ีอยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค เครื่องจักสาน เฟอร์นิเจอร์ ใช้ในการประกอบ พธิ กี รรมทางศาสนา และเปน็ สว่ นหนง่ึ ในการจดั งานในงานประเพณที างวฒั นธรรมตา่ ง ๆ ดว้ ย จากการอภปิ รายรว่ มกนั นกั เรยี นควรอธบิ ายถงึ ประโยชนข์ องพชื ไดด้ งั ในค�ำ ตอบขา้ งตน้ ตรวจสอบความเข้าใจ ให้นกั เรยี นเขียนแผนผังสรปุ กลุ่มของพืช พร้อมทัง้ บอกลักษณะส�ำ คัญและยกตัวอย่างของ พชื แตล่ ะกลมุ่ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชวี วิทยา เลม่ 6 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ 53 พชื พืชไม่มที ่อล�ำ เลียง หรือไบรโอไฟต์ พชื มที ่อล�ำ เลยี ง หรือเทรคีโอไฟต์ ลกั ษณะสำ�คญั ตวั อย่างพืช ลักษณะส�ำ คญั ระยะสปอโรไฟตไ์ ม่มที อ่ ลำ�เลยี ง มอส ลิเวอร์เวริ ท์ ฮอร์นเวิรท์ ระยะสปอโรไฟต์เดน่ มไี รซอยด์ มีเนอ้ื เยอ่ื ท่อลำ�เลยี ง มีราก มขี นาดเล็ก อยเู่ ป็นกลุม่ ในแหลง่ ทอี่ ย่ทู มี่ คี วามช้ืนสงู ลำ�ต้น และใบท่ีแท้จริง ไลโคไฟต์ ยฟู ิลโลไฟต์ ลกั ษณะส�ำ คัญ ตวั อย่างพืช ลักษณะส�ำ คญั มีใบแบบยฟู ิลล์ มใี บแบบไลโคฟลิ ล์ ไลโคโพเดียม (สร้างสปอรแ์ บบเดียว) สว่ นใหญ่สร้างสปอร์แบบเดียว ซแี ลกจแี นลลา (สรา้ งสปอร์ 2 แบบ) ไอโซอเี ทส (สร้างสปอร์ 2 แบบ) โมนโิ ลไฟต์ สเปอร์มาโทไฟต์ ลักษณะสำ�คญั ตัวอยา่ งพืช ลกั ษณะสำ�คัญ สร้างสปอร์ 2 แบบ ไม่สรา้ งเมล็ด เฟิรน์ สรา้ งออวุล มีเมลด็ สว่ นใหญส่ รา้ งสปอร์ หญา้ ถอดปล้อง สเปริ ์มไม่ตอ้ งอาศยั น�้ำ เป็นตวั กลางใน แบบเดียว หวายทะนอย การเคลือ่ นท่ไี ปผสมกับเซลลไ์ ข่ มีการถ่ายเรณู พชื เมลด็ เปลือย พืชดอก ลกั ษณะส�ำ คัญ ตัวอยา่ งพืช ลักษณะส�ำ คญั ตวั อยา่ งพืช ออวลุ ไมอ่ ยู่ในโครงสร้าง ปรง มีดอก ราชพฤกษ์ ของรังไข่เนื่องจากไมม่ ีรังไข่ แปะก๊วย ออวลุ อยู่ภายในรงั ไข่ บัวสาย เมล็ดไม่มีผลห่อหุม้ เหลียง เมลด็ มผี ลห่อห้มุ ทุเรยี น กล้วยไม้ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

54 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ ชวี วิทยา เล่ม 6 แนวการวดั และประเมินผล ดา้ นความรู้ - ลักษณะสำ�คัญและตวั อย่างของสิง่ มีชวี ติ กลุ่มพืช ด้านทกั ษะ - การตีความหมายข้อมลู และลงข้อสรุปจากการอภิปราย ดา้ นจติ วทิ ยาศาสตร์ - ความมเี หตผุ ล ความใจกวา้ ง และความอยากรอู้ ยากเหน็ จากการอภปิ ราย ฟงั ไจ จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายลักษณะสำ�คัญของฟังไจ และการแบ่งกลุ่มของฟังไจ และอธิบายลักษณะสำ�คัญ ของส่ิงมชี ีวิตในแต่ละกลมุ่ พร้อมยกตัวอย่าง แนวการจดั การเรียนรู้ ครูนำ�เข้าส่หู ัวข้อความหลากหลายของฟังไจ โดยให้นักเรียนได้สังเกตลักษณะของฟังไจจาก กจิ กรรม 23.3 ซง่ึ มแี นวการจดั กจิ กรรมดงั น้ี กิจกรรม 23.3 ศึกษาลักษณะของฟังไจ จุดประสงค์ 1. สังเกตและอธบิ ายลกั ษณะโครงสรา้ งของเหด็ รา และยีสต์ 2. สังเกตและอธิบายลักษณะของสปอร์และส่วนที่สร้างสปอร์ของเห็ดและลักษณะสปอร์ของ ราทข่ี ึน้ บนอาหารหรอื ขนมปงั เวลาทใี่ ช้ (โดยประมาณ) 1 ช่ัวโมง สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชีววิทยา เลม่ 6 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ 55 วัสดแุ ละอุปกรณ์ ปริมาณต่อกล่มุ รายการ 1 ดอก 1 แผ่น ต่อหอ้ ง 1. เห็ดฟางหรอื เหด็ ชนดิ อื่น เชน่ เหด็ นางฟ้า เห็ดหอม เหด็ นางรม 1 ขวดตอ่ ห้อง 2. ขนมปัง อาหารหรือผลไมท้ ีม่ ีราขนึ้ อย่างละ 1 ตัว 3. ยีสต์ 4. กลอ้ งจลุ ทรรศนใ์ ชแ้ สงเชงิ ประกอบและแบบสเตอริโอ 2 อัน 5. แว่นขยาย 10 ชดุ 6. สไลด์และกระจกปิดสไลด์ 2 ชุด 7. มดี โกน เข็มเข่ยี หลอดหยด 1 ขวด 8. กลีเซอรีน 50% 1 ขวด 9. สีย้อม เชน่ อะนิลนิ บลู ซาฟรานิน เมทิลีนบลู แนวการจดั กิจกรรม ครคู วรเตรยี มขนมปงั หรอื อาหารทม่ี รี าขน้ึ โดยใชถ้ งุ พลาสตกิ หอ่ หมุ้ ใหเ้ รยี บรอ้ ย เหด็ ฟางสด หรอื เหด็ ชนดิ อน่ื ทค่ี ลา้ ยกบั เหด็ ฟาง และยสี ตใ์ นน�ำ้ ผลไมท้ ต่ี ง้ั ทง้ิ ไวป้ ระมาณ 1 คนื แลว้ ใหน้ กั เรยี นแบง่ กลมุ่ ศกึ ษาเหด็ รา และยสี ต์ กลมุ่ ละ 1 ตวั อยา่ ง เมอ่ื นกั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ จดั เตรยี มสไลด์ บนั ทกึ และ วาดภาพลักษณะท่สี ังเกตเห็นภายใต้กล้องจุลทรรศน์แล้ว ครูควรให้นักเรียนแต่ละกล่มุ ได้ศึกษา ตวั อยา่ งอน่ื  ๆ ทน่ี อกเหนอื จากกลมุ่ ของตนเอง จากนกั เรยี นกลมุ่ อน่ื แลว้ ใหน้ กั เรยี นบนั ทกึ และวาด ภาพลกั ษณะทส่ี งั เกต จากนน้ั ใหน้ กั เรยี นตอบค�ำ ถามทา้ ยกจิ กรรม ซง่ึ มแี นวในการตอบค�ำ ถามดงั น้ี คำ�ถามท้ายกิจกรรม จากกจิ กรรมใหส้ รปุ ลักษณะส�ำ คัญของเหด็ รา และยีสตท์ ี่สงั เกตได้ เห็ดมีลักษณะประกอบด้วยเส้นใยจำ�นวนมากอัดกันแน่น มีสปอร์เรียงอยู่เป็นจำ�นวนมาก ขณะท่รี าท่พี บมีสปอรอ์ ยู่รวมกันเป็นกลุ่ม และยีสต์มีเซลล์เพยี งเซลล์เดยี ว สปอร์ของเห็ดและราท่ีสังเกตเห็นมีลักษณะอย่างไร จำ�นวนสปอร์ของเห็ดและรามีผลต่อ การดำ�รงชีวิตอยา่ งไร สปอรข์ องเหด็ และรามรี ปู รา่ งกลมและมจี �ำ นวนมาก เพม่ิ โอกาสในการแพรก่ ระจายพนั ธไุ์ ด้ ครงั้ ละมาก ๆ และกระจายไปไดไ้ กล ยสี ต์มีการสบื พันธอ์ุ ยา่ งไร ยสี ต์มีการสืบพันธุ์โดยการแตกหน่อและการสรา้ งสปอร์ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

56 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ ชวี วิทยา เล่ม 6 จากน้นั ครูให้นักเรียนศึกษาข้อมูลเก่ยี วกับฟังไจในหนังสือเรียนแล้วอภิปรายร่วมกัน โดยใช้ ค�ำ ถาม ดงั น้ี ฟงั ไจมีลกั ษณะอยา่ งไร ยกตัวอยา่ งกลมุ่ ของฟังไจ ฟงั ไจแต่ละกล่มุ มลี กั ษณะและมกี ารดำ�รงชีวิตอยา่ งไร ยกตวั อยา่ งบทบาทของฟงั ไจทม่ี ตี อ่ ระบบนิเวศและมนุษย์ จากการอภิปรายร่วมกันนักเรียนควรอธิบายได้ว่าฟังไจมีท้ังท่ีเป็นส่ิงมีชีวิตเซลล์เดียวและ สง่ิ มชี วี ติ หลายเซลลท์ ไ่ี มม่ เี นอ้ื เยอ่ื ผนงั เซลลม์ ไี คทนิ เปน็ องคป์ ระกอบ โดยทว่ั ไปฟงั ไจมลี กั ษณะเปน็ เสน้ ใย เรยี กวา่ ไฮฟา กลมุ่ ของไฮฟาทร่ี วมกนั เรยี ก ไมซเี ลยี ม ฟงั ไจบางกลมุ่ เมอ่ื สบื พนั ธแ์ุ บบอาศยั เพศ ไมซเี ลยี ม จะพฒั นาไปเปน็ โครงสรา้ งทเ่ี รยี กวา่ ฟรตุ ตงิ บอดี และฟงั ไจบางสปชี สี ท์ ด่ี �ำ รงชวี ติ แบบภาวะปรสติ เสน้ ใย จะเปลย่ี นแปลงเปน็ โครงสรา้ งทส่ี ามารถดดู ซบั สารอาหารจากเซลลข์ องโฮสตไ์ ด้ ตวั อยา่ งฟงั ไจทพ่ี บไดบ้ อ่ ยมดี งั น้ีไคทรดิ ฟงั ไจกลมุ่ ทส่ี บื พนั ธแ์ุ บบอาศยั เพศดว้ ยการสรา้ งไซโกสปอร์ ฟังไจกล่มุ ท่สี ืบพันธ์แุ บบอาศัยเพศด้วยการสร้างแอสโคสปอร์ และฟังไจกล่มุ ท่สี ืบพันธ์แุ บบอาศัยเพศ ดว้ ยการสรา้ งเบสดิ โิ อสปอร์ โดยทฟ่ี งั ไจแตล่ ะกลมุ่ มลี กั ษณะเฉพาะและมกี ารด�ำ รงชวี ติ ทอ่ี าจแตกตา่ งกนั ประโยชนข์ องสง่ิ มชี วี ติ กลมุ่ ฟงั ไจทม่ี ตี อ่ ระบบนเิ วศ คอื เปน็ ผสู้ ลายสารอนิ ทรยี แ์ ละท�ำ ใหเ้ กดิ การหมนุ เวยี น สารอาหาร นอกจากนม้ี นษุ ยย์ งั ใชป้ ระโยชนจ์ ากฟงั ไจในหลายดา้ นอกี ดว้ ย ความร้เู พม่ิ เตมิ ส�ำ หรับครู สปอร์ในการสบื พันธแุ์ บบไม่อาศัยเพศ สปอรใ์ นการสบื พนั ธแุ์ บบอาศยั เพศ สปอรใ์ นการสบื พันธ์ุแบบไมอ่ าศยั เพศของราด�ำ ได้จากการแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซสิ ดังน้นั สปอร์ ในอบั สปอรจ์ งึ มพี นั ธกุ รรมเหมอื นกนั สว่ นสปอรใ์ นการสบื พนั ธแ์ุ บบอาศยั เพศของราด�ำ ไดจ้ าก การแบง่ เซลล์แบบไมโอซสิ สปอรแ์ ต่ละสปอรจ์ ึงมพี ันธุกรรมท่หี ลากหลาย สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชีววทิ ยา เล่ม 6 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ 57 ตรวจสอบความเขา้ ใจ จงบอกความเหมือนและความแตกตา่ งของฟังไจท้งั 4 กลุ่ม ความเหมือนของฟังไจท้ัง 4 กลุ่ม คือ ผนังเซลล์มีไคทินเป็นองค์ประกอบ มีลักษณะเป็น เสน้ ใย เรียกว่า ไฮฟา ความแตกต่างของฟังไจทั้ง 4 กลุ่ม คือ สปอร์ที่ใช้ในการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ โดยฟังไจ กลมุ่ ไคทรดิ มกี ารสรา้ งเซลลส์ บื พนั ธท์ุ ม่ี แี ฟลเจลลาทใ่ี ชใ้ นการเคลอื่ นท่ี ฟงั ไจกลมุ่ ทสี่ บื พนั ธุ์ แบบอาศยั เพศดว้ ยการสรา้ งไซโกสปอรจ์ ะสบื พนั ธแ์ุ บบอาศยั เพศโดนการสรา้ งไซโกสปอร์ ฟงั ไจกลมุ่ ทสี่ บื พนั ธแุ์ บบอาศยั เพศดว้ ยการสรา้ งแอสโคสปอรจ์ ะสบื พนั ธแ์ุ บบอาศยั เพศโดย การสร้างแอสโคสปอร์ในถุงที่เรียกว่า แอสคัส ฟังไจกลุ่มท่ีสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศด้วย การสร้างเบสดิ โิ อสปอร์จะสบื พันธแ์ุ บบอาศัยเพศโดยการสรา้ งเบสดิ โิ อสปอรบ์ นเบสิเดยี ม เหด็ ทนี่ ำ�มาใชป้ รงุ อาหารคือ ส่วนใดของฟังไจ ฟรตุ ตงิ บอดี นอกจากฟังไจยังมีสง่ิ มชี วี ิตใดที่ด�ำ รงชวี ิตเป็นผูส้ ลายสารอินทรีย์ แบคทเี รีย อาร์เคยี สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

58 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ ชวี วิทยา เล่ม 6 แนวการวัดและประเมนิ ผล ดา้ นความรู้ - ลกั ษณะสำ�คญั และตวั อยา่ งของสง่ิ มีชีวติ กลุ่มฟังไจ ด้านทกั ษะ - การสงั เกต การจ�ำ แนกประเภท การพยากรณ์ ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ การท�ำ งาน การเรยี นรู้ และการพง่ึ ตนเองจากการทำ�กจิ กรรม - การลงความเหน็ จากขอ้ มลู การจดั กระท�ำ และสอื่ ความหมายขอ้ มลู การตคี วามหมายขอ้ มลู และลงข้อสรุป การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ คอมพิวเตอร์ และ เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่อื สารจากการบันทกึ ผลการทดลอง ดา้ นจติ วทิ ยาศาสตร์ - ความอยากรู้อยากเห็น ความมุ่งม่ันอดทน ความใจกว้าง การยอมรับความเห็นต่างจาก การสงั เกตพฤตกิ รรมในการท�ำ กจิ กรรม - ความซอ่ื สตั ย์ ความรอบคอบ วตั ถวุ สิ ยั จากการท�ำ รายงานของกจิ กรรม สัตว์ จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ อธิบายลักษณะสำ�คัญของสัตว์ และการแบ่งกลุ่มของสัตว์ และอธิบายลักษณะสำ�คัญของ สง่ิ มชี วี ติ ในแตล่ ะกลมุ่ พรอ้ มยกตวั อยา่ ง แนวการจัดการเรยี นรู้ ครูนำ�เข้าส่บู ทเรียนโดยใช้รูปสัตว์ท่มี ีลักษณะแปลก ๆ ซ่งึ นักเรียนอาจไม่ร้จู ัก เช่น หนอนบ้งุ จากรูปนำ�บทท่ี 1 ในหนังสือเรียนชีววิทยาเล่ม 1 หรือรูปสัตว์ท่ีมีลักษณะคล้ายกับส่ิงมีชีวิตอ่ืน เช่น ต๊กั แตนใบไม้ จากรูป 7.19 ในหนังสือเรียนชีววิทยาเล่ม 2 เพ่อื ให้ร่วมกันอภิปรายว่านักเรียนทราบ ไดอ้ ยา่ งไรวา่ สง่ิ มชี วี ติ ทเ่ี หน็ เปน็ สตั ว์ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชีววิทยา เลม่ 6 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ 59 1บทที่ | การศึกษาชีววทิ ยา ipst.me/7638 รูป 7.19 ต ๊ักแตนใบไม้ท่ีมลี กั ษณะกลมกลืนกบั สภาพแวดล้อม ค�ำ ตอบของนกั เรยี นอาจมไี ดห้ ลากหลาย เชน่ อาจสงั เกตจากการทส่ี ามารถเคลอ่ื นทไ่ี ด้ หรอื จาก การทม่ี ตี า ขา หนวด ปาก ซง่ึ เปน็ อวยั วะตา่ ง ๆ ทส่ี ตั วใ์ ชเ้ พอ่ื การรบั รแู้ ละตอบสนอง จากนน้ั ครทู บทวน ความร้ขู องนักเรียนเก่ยี วกับลักษณะร่วมท่สี ำ�คัญของสัตว์ในเร่อื งโครงสร้างและการทำ�งานของเซลล์ การสบื พนั ธ์ุ และการทไ่ี มส่ ามารถสรา้ งอาหารเองได้ โดยอาจใชค้ �ำ ถามดงั น้ี สัตวม์ ีลักษณะเหมือนหรือแตกตา่ งจากส่ิงมีชีวติ กลุ่มอื่นหรือไม่ อย่างไร สัตว์เป็นยูแคริโอตท่ีมีหลายเซลล์ซ่ึงรวมกันเป็นเน้ือเย่ือเช่นเดียวกับพืช แต่ลักษณะของ เซลล์มีความแตกต่างกับเซลล์พืชที่เด่นชัด คือ เม่ือเปรียบเทียบกับเซลล์พืช เซลล์สัตว์ ไม่มีผนงั เซลล์และไม่มีออร์แกเนลล์บางชนดิ เช่น คลอโรพลาสต์ สัตวส์ ามารถเคลอื่ นที่ไดอ้ ย่างไร และการเคล่อื นทมี่ คี วามสำ�คัญตอ่ สตั ว์อยา่ งไรบา้ ง สัตว์สามารถเคลื่อนที่ซึ่งเกิดจากการทำ�งานของเน้ือเยื่อประสาทและเนื้อเย่ือกล้ามเนื้อ การเคลอ่ื นทม่ี คี วามส�ำ คญั ตอ่ สตั วเ์ พอื่ หาอาหาร เนอ่ื งจากสตั วไ์ มส่ ามารถสรา้ งอาหารได้ เองจึงต้องกินสิ่งมีชีวิตอื่นเป็นอาหาร นอกจากน้ีการเคลื่อนท่ียังช่วยให้สัตว์สามารถ หลบเลี่ยงจากอนั ตรายต่าง ๆ ได้ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

60 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ ชวี วิทยา เล่ม 6 จากวฏั จกั รชวี ติ ของสตั วด์ งั รปู จงอธบิ าย เซลลส์ ืบพนั ธเ์ุ พศผู้ เกยี่ วกบั การสบื พนั ธแ์ุ บบอาศยั เพศทพี่ บ ในสัตว์ n เม่ือสัตว์สืบพนั ธ์ุแบบอาศัยเพศ จะสร้าง เซลลสืบพันธุ์ผ่านการแบ่งเซลล์แบบ ไมโอซิส ปฏสิ นธิ ไมโอซิส ไซโกตที่เกดิ ข้นึ หลังการปฏิสนธิ จ ะ แ บ่ ง เ ซ ล ล์ แ บ บ ไ ม โ ท ซิ ส เ พ่ื อ เ พ่ิ ม n จำ�นวนเซลล์ในการเจริญเติบโตและ พฒั นาเป็นเอม็ บริโอจนเป็นตวั เต็มวัย เซลล์สบื พนั ธ์เุ พศเมยี ไซโกต 2n แฮพลอยด์ (n) 2n ตัวเตม็ วยั ดพิ ลอยด์ (2n) (ส่งิ มีชวี ิตหลายเซลล์) ไมโทซิส วัฏจกั รชีวติ ของสัตว์ ครอู าจใหค้ วามรเู้ พม่ิ เตมิ เกย่ี วกบั วฏั จกั รชวี ติ เพอ่ื ใหน้ กั เรยี นเปรยี บเทยี บความแตกตา่ งของสตั ว์ กับส่งิ มีชีวิตกล่มุ อ่นื  ๆ โดยทบทวนความร้เู ก่ยี วกับการสืบพันธ์แุ บบอาศัยเพศว่าการเกิดไมโอซิสทำ�ให้ เซลลใ์ หมท่ เ่ี กดิ ขน้ึ มจี �ำ นวนชดุ ของโครโมโซมลดลงครง่ึ หนง่ึ (อยใู่ นสภาพแฮพลอยด์ (n)) และการปฏสิ นธิ จะท�ำ ใหเ้ ซลลอ์ ยใู่ นสภาพดพิ ลอยด์ (2n) เปน็ ลกั ษณะทว่ั ไปทพ่ี บไดใ้ นสง่ิ มชี วี ติ ทส่ี บื พนั ธแ์ุ บบอาศยั เพศ แตส่ ง่ิ มชี วี ติ แตล่ ะสปชี สี จ์ ะมรี ปู แบบของวฏั จกั รชวี ติ ทแ่ี ตกตา่ งกนั ดงั เชน่ วฏั จกั รชวี ติ ของสตั ว วฏั จกั รชวี ติ ของฟงั ไจและโพรทสิ ตส์ ว่ นใหญ่ และวฏั จกั รชวี ติ ของพชื และสาหรา่ ยบางชนดิ เซลลส์ บื พันธ์เุ พศผู้ n ไมโทซิส ปฏสิ นธิ n เซลล์สบื พนั ธเ์ุ พศเมยี ตวั เต็มวัย n 2n ไซโกต ไมโอซิส วฏั จักรชีวิตของฟังไจและโพรทสิ ตส์ ว่ นใหญ่ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชวี วทิ ยา เลม่ 6 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ 61 ไมโทซิส สปอร์ n แกมโี ทไฟต์ n ไมโทซิส ไมโอซสิ สปอโรไฟต์ 2n เซลลส์ บื พันธุ์เพศเมยี n n เซลลส์ บื พนั ธ์เุ พศผู้ ปฏิสนธิ ไมโทซิส ไซโกต 2n วัฏจกั รชวี ิตของพชื และสาหร่ายบางชนิด ครใู หน้ กั เรยี นเปรยี บเทยี บวฏั จกั รชวี ติ ทง้ั 3 รปู แบบขา้ งตน้ โดยอาจใหส้ งั เกตวา่ ในแตล่ ะวฏั จกั ร มีการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสเกิดข้นึ ช่วงใด หลังเกิดการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสได้เซลล์อะไร การสร้าง เซลล์สืบพันธ์ุเกิดข้ึนช่วงใด เป็นต้น โดยครูและนักเรียนอภิปรายร่วมกันเพ่ือให้ได้ข้อสรุปเก่ียวกับ วฏั จกั รชวี ติ แตล่ ะรปู แบบ ดงั น้ี - สัตว์ส่วนใหญ่รวมทั้งมนุษย์ เซลล์ปกติทั่วไปในร่างกายอยู่ในสภาพท่ีเป็นดิพลอยด์ (2n) และจะพบการแบ่งเซลล์แบบโมโอซิสเกิดขึ้นในกระบวนการสร้างเซลล์สืบพันธ์ุ ทำ�ให้ เซลล์สืบพันธุ์มีจำ�นวนชุดของโครโมโซมลดลงไปคร่ึงหนึ่ง (n) ไซโกตท่ีเกิดข้ึนหลังการ ปฏสิ นธริ ะหวา่ งเซลลส์ บื พนั ธเุ์ พศผแู้ ละเพศเมยี จงึ กลบั มาอยใู่ นสภาพทเี่ ปน็ ดพิ ลอยด์ (2n) จากนั้นไซโกตจะแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสเพ่ือเพิ่มจำ�นวนเซลล์และเจริญเติบโตเป็น เอม็ บรโิ อและตวั เตม็ วยั ทส่ี ามารถสบื พนั ธไุ์ ดต้ อ่ ไป เรยี กวฏั จกั รชวี ติ แบบนว้ี า่ วฏั จกั รชวี ติ แบบดิพลอนตกิ (diplontic life cycle) - ฟังไจและโพรทิสต์ส่วนใหญ่ โครงสร้างทั่วไปประกอบขึ้นจากเซลล์ที่เป็นแฮพลอยด์ (n) ดังน้ันการแบ่งเซลล์ในการสร้างเซลล์สืบพันธุ์จึงพบเฉพาะการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส และจะพบระยะทเี่ ซลลอ์ ยใู่ นสภาพดพิ ลอยเ์ ฉพาะในชว่ งทเี่ ปน็ ไซโกต (2n) ซง่ึ เกดิ ขนึ้ หลงั การปฏิสนธิ จากน้ันไซโกตจะแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส เพ่ือสร้างเซลล์ท่ีอยู่ในสภาพ แฮพลอด์ (n) เซลล์ดงั กลา่ วจะเติบโตตอ่ ไปเปน็ ตวั เต็มวัย (n) ในฟงั ไจหรอื โพรทสิ ตท์ ่ีเป็น ส่ิงมีชีวิตเซลล์เดียว หรือเซลล์ดังกล่าวท่ีอยู่ในสภาพแฮพลอด์จะแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส และเจริญเตบิ โตต่อไปเปน็ ตวั เต็มวยั (n) ในฟังไจหรอื โพรทสิ ตท์ ่เี ป็นส่งิ มีชวี ติ หลายเซลล์ เรยี กวัฏจักรชวี ติ แบบนีว้ า่ วฏั จักรชีวิตแบบแฮพลอนติก (haplontic life cycle) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

62 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ ชวี วทิ ยา เล่ม 6 - พชื และสาหรา่ ยบางชนดิ มวี ฏั จกั รชวี ติ แบบสลบั ในหนง่ึ ชว่ งชวี ติ จะประกอบดว้ ย 2 ระยะ ได้แก่ สปอโรไฟต์และแกมีโทไฟต์ โดยทั่วไประยะสปอโรไฟต์เป็นระยะที่โครงสร้าง ประกอบข้ึนจากเซลล์ที่อยู่ในสภาพดิพลอยด์ และพบการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสใน กระบวนการสร้างสปอร์ ดังนั้นสปอร์จึงอยู่ในสภาพท่ีเป็นแฮพลอยด์ (n) จากนั้นสปอร์ จะแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสเพ่ิมจำ�นวนเซลล์จนเจริญและพัฒนาไปเป็นระยะแกมีโทไฟต์ ดังน้ันโครงสร้างของแกมีโทไฟต์จึงประกอบขึ้นจากเซลล์ที่อยู่ในสภาพแฮพลอยด์ โดย หนา้ ทข่ี องระยะแกมโี ทไฟตน์ ้ี คอื การสรา้ งเซลลส์ บื พนั ธ์ุ (n) เมอ่ื เกดิ การปฏสิ นธริ ะหวา่ ง เซลล์สืบพันธ์ุเพศผู้และเพศเมียจะได้ไซโกต (2n) ซ่ึงจะแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสเพื่อเพ่ิม จำ�นวนเซลล์และเจริญเติบโตไปเป็นเอ็มบริโอ แล้วเอ็มบริโอจึงเจริญเติบโตเป็น สปอโรไฟต์รุ่นต่อไป เรียกวัฏจักรชีวิตแบบน้ีว่า วัฏจักรชีวิตแบบสลับ (alternation of generation) หรือ วัฏจกั รชวี ิตแบบดโิ พลแฮพลอนติก (diplodhaplontic life cycle) จากนน้ั ครอู าจใชร้ ปู ของสตั วช์ นดิ ตา่ ง ๆ แสดงในชน้ั เรยี น เพอ่ื อภปิ รายรว่ มกนั วา่ จากรปู มสี ตั ว์ อะไรบา้ งและสามารถจ�ำ แนกสตั วเ์ หลา่ นอ้ี อกเปน็ กลมุ่ ไดอ้ ยา่ งไรบา้ ง จากการอภปิ รายรว่ มกนั นกั เรยี น จะพบว่าสัตว์มีลักษณะท่มี ีความหลากหลาย ซ่งึ นักเรียนอาจจำ�แนกสัตว์ออกเป็นกล่มุ โดยใช้เกณฑ์ท่ี แตกตา่ งกนั โดยอาจแบง่ ตามเกณฑง์ า่ ย ๆ เชน่ ลกั ษณะการด�ำ รงชวี ติ เปน็ สตั วบ์ ก สตั วป์ กี สตั วน์ �ำ้ หรอื อาจแบง่ กลมุ่ สตั วต์ ามความรเู้ ดมิ ของนกั เรยี น เชน่ สตั วไ์ มม่ กี ระดกู สนั หลงั และสตั วม์ กี ระดกู สนั หลงั ครทู บทวนความรเู้ ดมิ ของนกั เรยี นเกย่ี วกบั ลกั ษณะทแ่ี ตกตา่ งกนั ระหวา่ งสตั วไ์ มม่ กี ระดกู สนั หลงั และสัตว์มีกระดูกสันหลัง และให้ยกตัวอย่างสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง และสัตว์มีกระดูกสันหลังอ่ืน ๆ ทน่ี กั เรยี นรจู้ กั นอกเหนอื จากรปู ทค่ี รนู �ำ มาแสดง จากนน้ั ครใู หค้ วามรเู้ พม่ิ เตมิ แกน่ กั เรยี นวา่ ในปจั จบุ นั การจ�ำ แนกสตั วอ์ อกเปน็ กลมุ่ ตา่ ง ๆ นน้ั สามารถใชล้ กั ษณะอน่ื  ๆ เปน็ เกณฑร์ ว่ มดว้ ยทง้ั ลกั ษณะทางสณั ฐานวทิ ยาและกายวภิ าค เชน่ การมหี รอื ไมม่ เี นอ้ื เยอ่ื สมมาตรของรา่ งกาย การเปลย่ี นแปลงของบลาสโทพอร์ และการเจรญิ ของตวั ออ่ น เปน็ ตน้ จากนน้ั ใหน้ กั เรยี นอภปิ รายรว่ มกนั เกย่ี วกบั เกณฑต์ า่ ง ๆ ทใ่ี ชใ้ นการจ�ำ แนกสตั ว์ ดงั น้ี 1. การมีหรอื ไมม่ ีเนื้อเย่อื ครใู หค้ วามหมายเกย่ี วกบั เนอ้ื เยอ่ื โดยอาจยกตวั อยา่ งระบบอวยั วะ 2 ระบบเพอ่ื เปรยี บเทยี บ กนั เชน่ ระบบยอ่ ยอาหาร และระบบประสาท ดงั รปู จากนน้ั ใหน้ กั เรยี นอภปิ รายวา่ ระบบบยอ่ ยอาหาร และระบบประสาทมอี วยั วะ เนอ้ื เยอ่ื และเซลลแ์ ตกตา่ งกนั หรอื ไม่ อยา่ งไร สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชีววิทยา เลม่ 6 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ 63 ระบบย่อยอาหาร เนอื้ เยอื่ บผุ วิ ของกระเพาะอาหาร เซลล์บผุ ิวของ อวัยวะในระบบยอ่ ยอาหาร กระเพาะอาหาร กระเพาะอาหาร ระบบประสาท เน้อื เย่อื ประสาท อวยั วะใน ระบบประสาท เซลล์ประสาท จากการอภิปรายนักเรียนควรสรุปได้ว่าระบบอวัยวะแต่ละระบบประกอบด้วยอวัยวะซ่ึงมี เนอ้ื เยอ่ื ประกอบดว้ ยเซลลท์ ม่ี ลี กั ษณะเฉพาะทม่ี คี วามเหมาะสมตอ่ การท�ำ หนา้ ทใ่ี นระบบนน้ั  ๆ ครแู ละ นกั เรยี นรว่ มกนั สรปุ วา่ เนอ้ื เยอ่ื เปน็ กลมุ่ เซลลท์ ม่ี ลี กั ษณะเหมอื นกนั และท�ำ หนา้ ทร่ี ว่ มกนั จากนน้ั ครแู สดง รปู ฟองน�ำ้ โดยใหพ้ จิ ารณากลมุ่ เซลลข์ องฟองน�ำ้ และอธบิ ายวา่ ฟองน�ำ้ ไมม่ เี นอ้ื เยอ่ื แตม่ กี ารรวมกลมุ่ กนั ของเซลลซ์ ง่ึ แตล่ ะเซลลไ์ มไ่ ดร้ ว่ มกนั ท�ำ งาน สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

64 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ ชีววทิ ยา เล่ม 6 ชอ่ งนำ้�ออก อะมโี บไซตเ์ ป็นเซลลท์ ี่สามารถ เกิดการย่อยอาหารและนำ�ส่ง สารอาหารไปยังเซลลอ์ ่ืน ๆ โคเอโนไซตเ์ ป็นเซลล์ทีม่ ี แฟลเจลลมั ช่วยในการโบกพดั อาหารทีม่ ากับนำ�้ ใหเ้ ข้าสเู่ ซลล์ ช่องนำ้�เขา้ ฟองน�้ำ ครอู าจใหค้ วามรเู้ พม่ิ เตมิ แกน่ กั เรยี นเกย่ี วกบั เนอ้ื เยอ่ื ประเภทตา่ ง ๆ ของสตั ว์ ความรเู้ พิม่ เติมสำ�หรับครู เนอื้ เยื่อพ้นื ฐานของสัตวม์ ี 5 ชนิด คอื 1. เนอื้ เยื่อผิวหรอื เน้ือเยอ่ื บผุ ิว (epithelial tissue) มีหน้าทีส่ ำ�คัญ เชน่ ปกคลุมผวิ ภายนอก และภายในของร่างกาย บุอวัยวะภายในและท่อต่าง ๆ ดูดซึมสาร สร้างและหลั่งสาร รับความรูส้ ึก เปน็ ต้น - เน้อื เยอ่ื ผวิ ทเ่ี จรญิ มาจากเอ็กโทเดริ ์ม เช่น ผวิ หนงั รมิ ฝปี าก จมกู และทวารหนกั - เนอ้ื เยอ่ื ผิวทเ่ี จรญิ มาจากเมโซเดิร์ม เชน่ เยือ่ บหุ ลอดเลือด เยอื่ บุหลอดน�ำ้ เหลอื ง และ ชอ่ งล�ำ ตัว - เน้ือเยื่อผิวที่เจริญมาจากเอนโดเดิร์ม เช่น เยื่อบุท่อทางเดินหายใจ เย่ือบุท่อทางเดิน อาหาร รวมทงั้ ตอ่ มต่าง ๆ เชน่ ตับ และตบั อ่อน สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชวี วิทยา เลม่ 6 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ 65 2. เนอื้ เยือ่ เกีย่ วพัน (connective tissue) หรือเน้อื เยอ่ื คำ�้ จุน ( supporting tissue) มีหน้าที่ ส�ำ คัญ คอื ยดึ เหนย่ี วและห่อหุ้มเนื้อเยอ่ื ชนดิ อน่ื  ๆ เพือ่ ใหอ้ วยั วะต่าง ๆ คงรปู อย่ไู ด้ คำ�้ จนุ เนอ้ื เยอ่ื และอวยั วะตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย เกยี่ วขอ้ งกบั เมแทบอลซิ มึ โดยเปน็ แหลง่ สะสมไขมนั ชว่ ยควบคมุ อณุ หภมู ขิ องรา่ งกาย และเปน็ ตวั กลางในการแลกเปลยี่ นสารระหวา่ งเซลลแ์ ละ เลือด เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกันของร่างกาย และช่วยในการซ่อมแซมเนื้อเย่ือที่เสียหาย โดย เนอื้ เยอื่ เกยี่ วพนั เจรญิ มาจากเมโซเดริ ม์ ประกอบดว้ ยเซลลช์ นดิ ตา่ ง ๆ เชน่ เซลลส์ รา้ งเสน้ ใย แมโครฟาจ เซลลแ์ มสต์ เซลลไ์ ขมนั เซลลก์ ระดกู ออ่ น เซลลก์ ระดกู และสว่ นทอี่ ยนู่ อกเซลล์ เช่น เสน้ ใยคอลลาเจน เสน้ ใยอีลาสตกิ 3. เนอื้ เยอ่ื เลอื ด (blood tissue) หรอื เลอื ด (blood) มหี นา้ ทสี่ �ำ คญั คอื ล�ำ เลยี งแกส๊ สารอาหาร ของเสียจากเมแทบอลซิ ึมของเซลล์ และฮอรโ์ มน แลกเปล่ียนแกส๊ และสารต่าง ๆ เกย่ี วกับ ภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยในการแข็งตัวของเลือด รวมทั้งช่วยในการรักษาสมดุลของ ร่างกาย โดยเนอ้ื เย่อื เลอื ดหรอื เลือดจัดเป็นเน้ือเยอื่ เก่ยี วพันทีม่ สี มบัติพิเศษ มีลกั ษณะเปน็ ของเหลว ประกอบดว้ ยเซลล์เมด็ เลอื ดชนิดต่าง ๆ ชนิ้ ส่วนของเซลล์ และพลาสมา 4. เน้ือเย่ือกล้ามเนื้อ (muscular tissue) ช่วยในการเคล่ือนไหวหรือเคลื่อนท่ี ประกอบด้วย เซลลก์ ลา้ มเนอื้ ซง่ึ มตี น้ ก�ำ เนดิ จากเมโซเดริ ม์ เนอ้ื เยอ่ื กลา้ มเนอ้ื ของสตั วม์ กี ระดกู สนั หลงั แบง่ ออกเป็น 3 ชนิดตามลักษณะของโครงสร้างและหน้าที่ คือ กล้ามเน้ือโครงร่างซึ่งพบตาม แขน ขา และทั่วร่างกาย กล้ามเนื้อหัวใจซ่ึงพบเฉพาะท่ีหัวใจ และกล้ามเน้ือเรียบซ่ึงพบท่ี อวัยวะภายในของระบบตา่ ง ๆ เช่น ลำ�ไส้เลก็ มดลกู กระเพาะปัสสาวะ เป็นตน้ 5. เน้ือเย่ือประสาท (nervous tissue) ประกอบด้วยเซลล์ 2 ชนิด คือ เซลล์ประสาท และ เซลล์เกลีย ซ่ึงเจริญมาจากเอ็กโทเดิร์ม โดยจะพบเส้นประสาทกระจายอยู่ทั่วร่างกายใน ลกั ษณะของเครอื ข่ายท่ีติดตอ่ ถงึ กนั 2. สมมาตรของรา่ งกาย ครอู ธบิ ายเกย่ี วกบั เกณฑส์ มมาตรของรา่ งกาย โดยอาจใหน้ กั เรยี นพจิ ารณาสง่ิ ของรอบ ๆ ตวั เชน่ โตะ๊ เกา้ อ้ี โคมไฟ นาฬกิ า หนงั สอื เหรยี ญ เปน็ ตน้ และอาจใหน้ กั เรยี นวาดสง่ิ ของแตล่ ะชน้ิ หรอื ครู อาจเตรยี มรปู สง่ิ ของใหน้ กั เรยี น จากนน้ั ใหน้ กั เรยี นวาดระนาบสมมาตรโดยพจิ ารณาวา่ หากตอ้ งการตดั สง่ิ ของเหลา่ นน้ั ออกเปน็ สว่ น ๆ ใหไ้ ดช้ น้ิ สว่ นทส่ี มมาตรกนั ตอ้ งแบง่ อยา่ งไร สง่ิ ของแตล่ ะชน้ิ สามารถ ตัดแบ่งให้ได้ช้นิ ส่วนท่สี มมาตรกันออกได้เป็นก่สี ่วน และมีส่งิ ของท่ไี ม่สามารถตัดให้มีช้นิ ส่วนท่ี สมมาตรกนั หรอื ไม่ จากนน้ั ใหน้ กั เรยี นอภปิ รายรว่ มกนั โดยใชค้ �ำ ถามและมแี นวค�ำ ตอบดงั น้ี สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

66 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ ชีววทิ ยา เลม่ 6 ระนาบสมมาตรคืออะไร ระนาบสมมาตร คอื แนวทตี่ ดั ผา่ นแกนกลางล�ำ ตวั ของสตั วท์ �ำ ใหไ้ ดช้ นิ้ สว่ นทส่ี มมาตรกนั รูปแบบของการสมมาตรมรี ูปแบบใดบ้าง แตกตา่ งกันอย่างไร รูปแบบของการสมมาตรมี 3 รูปแบบ ได้แก่ รูปแบบที่ไม่สามารถตัดแบ่งช้ินส่วนให้ได ช้ น้ิ ส่วนทสี่ มมาตรกนั ไดห้ รืออสมมาตร  รูปแบบท่มี ีชน้ิ สว่ นทีส่ มมาตรกนั ไดเ้ พียง 2 ส่วน หรือสมมาตรแบบครึ่งซีก  และรูปแบบท่ีได้ชิ้นส่วนท่ีสมมาตรกันมากกว่า 2 ส่วนหรือ สมมาตรแบบรัศมี ครใู หน้ กั เรยี นพจิ ารณารปู 23.37 ในหนงั สอื เรยี น เพอ่ื สรปุ เกย่ี วกบั สมมาตรของรา่ งกายวา่ มที ง้ั แบบอสมมาตร สมมาตรแบบรศั มี และสมมาตรแบบครง่ึ ซกึ จากนน้ั ยกตวั อยา่ งสง่ิ มชี วี ติ ตา่ ง ๆ และให้ นกั เรยี นบอกประเภทของสมมาตรของสง่ิ มชี วี ติ แตล่ ะชนดิ นน้ั 3. การเปลยี่ นแปลงของบลาสโทพอร์ ครทู บทวนความรขู้ องนกั เรยี นเกย่ี วกบั การเจรญิ เตบิ โตของสตั วใ์ นระยะคลเี วจ แกสทรเู ลชนั และออรแ์ กโนเจเนซสิ โดยอาจใชค้ �ำ ถามดงั น้ี ภายหลงั การปฏสิ นธจิ นไดเ้ ปน็ ไซโกต ไซโกตจะมกี ระบวนการในการเจรญิ เตบิ โตจนเปน็ ตวั เต็มวยั อยา่ งไร การเจริญเติบโตของไซโกตจนเป็นตัวเต็มวัยมีกระบวนการต่าง ๆ ได้แก่ คลีเวจ แกสทรูเลชัน และออรแ์ กโนเจเนซสิ โดยแตล่ ะกระบวนการมรี ายละเอยี ด ดงั นี้ - คลเี วจเปน็ กระบวนการทไ่ี ซโกตจะมกี ารแบง่ เซลลแ์ บบไมโทซสิ อยา่ งรวดเรว็ ท�ำ ให้ ได้เอ็มบริโอที่มีเซลล์จำ�นวนมาก จากน้ันจะมีการจัดเรียงตัวเกิดเป็นช่องที่เรียกว่า บลาสโทซลี โดยเรียกเอ็มบริโอระยะนว้ี า่ บลาสทลู า - แกสทรูเลชัน เป็นกระบวนการท่ีเซลล์ของบลาสทูลามีการจัดเรียงตัวเป็น เอ็กโทเดิร์ม เมโซเดิร์ม และเอนโดเดิร์ม โดยเรียกเอ็มบริโอในระยะนี้ว่าแกสทรูลา โดยในระยะน้ีจะมีการม้วนตัวเข้าไปในช่องภายในแล้วทำ�ให้เกิดช่องว่างท่ีจะเจริญ ไปเป็นทางเดินอาหารต่อไป - ออร์แกโนเจเนซิส เป็นกระบวนการที่มีพัฒนาของเอ็กโทเดิร์ม เมโซเดิร์ม และ เอนโดเดิร์ม เป็นเน้อื เยื่อและอวยั วะต่าง ๆ อยา่ งเฉพาะเจาะจงในระบบตา่ ง ๆ ของ รา่ งกาย สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชีววทิ ยา เลม่ 6 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ 67 บลาสโทพอรค์ ืออะไร พบได้ในระยะใดของการเจริญเตบิ โต บลาสโทพอร์เป็นช่องเปิดท่ีเกิดขึ้นหลังจากมีการม้วนตัวเข้าไปในช่องภายในและทำ�ให้ เกดิ ชอ่ งว่างทีจ่ ะเจรญิ ไปเป็นทางเดนิ อาหาร ซ่ึงพบในระยะแกสทรลู า ครูใช้รูป 23.38 โดยให้นักเรียนบอกความแตกต่างของการเจริญเติบโตของเอ็มบริโอของ โพรโทสโทเมีย และดิวเทอโรสโทเมียท่ีเห็นจากในรูป จากน้ันครูใช้รูป 23.39 เพ่ืออธิบายเก่ียวกับ โพรโทสโทเมยี วา่ บางกลมุ่ จะมรี ะยะทเ่ี ปน็ ตวั ออ่ นโทรโคฟอร์ ซง่ึ สว่ นใหญจ่ ะด�ำ รงชวี ติ ในน�ำ้ หรอื ทช่ี น้ื แฉะ เช่น หอย หมึก ไส้เดือนดิน เป็นต้น และบางกลุ่มจะมีการลอกคราบระหว่างการเจริญเติบโต เช่น พยาธไิ สเ้ ดอื น พยาธปิ ากขอ จกั จน่ั ผเี สอ้ื กงุ้ ปู เปน็ ตน้ จากนน้ั ครใู ชร้ ปู 23.40 เพอ่ื อธบิ ายการจ�ำ แนกสตั วโ์ ดยใชเ้ กณฑข์ า้ งตน้ ออกเปน็ กลมุ่ ใหญ ่ ๆ ได้ ดงั น้ี - สตั ว์ที่ไมม่ ีเนอ้ื เยอื่ และไม่มีสมมาตรของร่างกาย เช่น กลุ่มพอริเฟอรัน - สัตว์ทีม่ ีเนื้อเยอื่ 2 ชั้น และมสี มมาตรแบบรศั มี เช่น กลุ่มไนดาเรียน - โพรโทสโทเมยี มเี นื้อเยอ่ื 3 ช้ัน และมสี มมาตรแบบครงึ่ ซกี เช่น กลุ่มแพลทีเฮลมินท์ กลุ่มมอลลัส กล่มุ แอนเนลดิ กลมุ่ นมี าโทด และกลุ่มอารโ์ ทรพอด - ดิวเทอโรสโทเมีย มีเนอื้ เยอ่ื 3 ช้นั และมีสมมาตรแบบคร่ึงซีก เชน่ กลุ่มเอไคโนเดริ ์ม และกลุ่มคอร์เดต ครคู วรชแ้ี จง้ ใหน้ กั เรยี นทราบวา่ ในรปู 23.40 แสดงการแบง่ กลมุ่ ยอ่ ยของสตั วไ์ ดเ้ ปน็ 9 กลมุ่ ซง่ึ หากศกึ ษาในระดบั ทส่ี งู ขน้ึ อาจมไี ดม้ ากกวา่ 9 กลมุ่ ในการจดั การเรยี นรเู้ กย่ี วกบั ความหลากหลายในแตล่ ะกลมุ่ ยอ่ ยของสตั ว์ ครอู าจมอบหมายให้ นกั เรยี นแบง่ กลมุ่ และเลอื กชนดิ ของสตั วใ์ นแตล่ ะกลมุ่ ทส่ี นใจศกึ ษา โดยใหเ้ ลอื กศกึ ษาสตั วไ์ มม่ กี ระดกู สันหลังในกลุ่มต่าง ๆ ก่อน (ยกเว้นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในกลุ่มคอร์เดต) ได้แก่ กลุ่มพอริเฟอรัน กลมุ่ ไนดาเรยี น กลมุ่ แพลทเี ฮลมนิ ท์ กลมุ่ มอลลสั กลมุ่ แอนเนลดิ กลมุ่ นมี าโทด กลมุ่ อารโ์ ทรพอด และ กล่มุ เอโคโนเดิร์ม โดยสืบค้นข้อมูลเก่ยี วกับลักษณะรูปร่าง การดำ�รงชีวิต ประโยชน์หรือความสำ�คัญ ของสตั วช์ นดิ นน้ั  ๆ ทม่ี อี ยใู่ นทอ้ งถน่ิ มาสรปุ เปน็ องคค์ วามรเู้ พอ่ื จดั เปน็ ฐานความรู้ และใหน้ กั เรยี นกลมุ่ อน่ื ไดเ้ วยี นมาศกึ ษา โดยครอู าจมอบหมายใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ จดั ท�ำ ใบความรเู้ พอ่ื ประกอบการศกึ ษาขณะทเ่ี พอ่ื น นกั เรยี นกลมุ่ อน่ื เวยี นมาศกึ ษาฐานความรขู้ องตน สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

68 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ ชวี วิทยา เล่ม 6 จากนน้ั ครใู หน้ กั เรยี นอภปิ รายรว่ มกนั จากการสบื คน้ ขอ้ มลู โดยใชร้ ปู 23.41 – 23.68 ค�ำ ถาม ในหนงั สอื เรยี น และค�ำ ถามเพม่ิ เตมิ ซง่ึ มแี นวในการตอบค�ำ ถาม ดงั น้ี กลุม่ พอริเฟอรัน ค�ำ ถามเพม่ิ เตมิ มตี วั อยา่ งดงั น้ี โครงสร้างของฟองน้�ำ มีลกั ษณะเปน็ เนอื้ เยอ่ื หรอื ไม่ อยา่ งไร ฟองน�้ำ ไม่มเี นื้อเยอื่ แต่มกี ารรวมกันของกลมุ่ เซลลซ์ ง่ึ แตล่ ะเซลล์ไมไ่ ดท้ �ำ งานร่วมกัน ลักษณะสมมาตรของฟองนำ�้ เป็นอยา่ งไร ฟองน�ำ้ ไม่มสี มมาตรของรา่ งกาย ฟองน�้ำ มีบทบาทตอ่ ระบบนิเวศอยา่ งไร เปน็ แหลง่ ทอ่ี ยอู่ าศยั ของสตั วอ์ น่ื  ๆ ทมี่ ขี นาดเลก็ และเปน็ อาหารของสงิ่ มชี วี ติ อน่ื เชน่ หอย ปลา นอกจากนี้ฟองน้ำ�ยังสามารถกรองแบคทีเรีย อนุภาคต่าง ๆ รวมทั้งสารประกอบ คารบ์ อนทลี่ ะลายในนำ้�ออกจากน้�ำ ได้ กลมุ่ ไนดาเรียน ค�ำ ถามในหนงั สอื เรยี นมดี งั น้ี รูปร่างแบบโพลิพและแบบเมดซู ามีผลต่อรูปแบบในการดำ�รงชีวิตของสตั ว์อย่างไร สตั วท์ มี่ รี ปู รา่ งแบบโพลพิ มกั จะอยกู่ บั ที่ อาจมกี ารหลบหลกี ตอ่ อนั ตรายตา่ ง ๆ ไดย้ ากกวา่ สตั ว์ ท่ีมีรูปร่างแบบเมดูซาซ่ึงสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วกว่า โดยสัตว์กลุ่มไนดาเรียนท่ีมีรูปร่างแบบ โพลพิ เชน่ ปะการงั จงึ มกั อยรู่ วมกนั เปน็ กลมุ่ และหลายสปชี สี จ์ ะสรา้ งโครงสรา้ งแขง็ ภายนอก การทปี่ ะการังสญู เสยี สาหรา่ ยและเกดิ ปะการังฟอกขาวมีสาเหตมุ าจากอะไรบ้าง การสูญเสียสาหร่ายของปะการงั จนเกดิ ปะการงั ฟอกขาวมไี ดห้ ลายสาเหตุ โดยสาเหตสุ ำ�คญั คาดวา่ เกดิ จากการเปลย่ี นแปลงอณุ หภมู ขิ องน�ำ้ ทะเล อนั เนอ่ื งมาจากภาวะโลกรอ้ น นอกจากน้ี ยังอาจเกดิ จากสาเหตุอนื่  ๆ อกี เช่น ความเคม็ ของนำ�้ ทะเล ถา้ สตั วใ์ นกลมุ่ พอรเิ ฟอรนั และกลมุ่ ไนดาเรยี นมจี �ำ นวนลดลงจะสง่ ผลตอ่ ระบบนเิ วศในทะเล หรือไม่ อย่างไร การลดจำ�นวนของสัตว์ในกลุ่มพอริเฟอรันและกลุ่มไนดาเรียนส่งผลต่อระบบนิเวศในทะเล อย่างมาก เนื่องจากสัตว์ส่วนใหญ่ในกลุ่มดังกล่าวเป็นแหล่งท่ีอยู่อาศัยและแหล่งอนุบาล ตวั ออ่ นของสตั วน์ �ำ้ การลดจ�ำ นวนลงของสตั วก์ ลมุ่ นจี้ งึ อาจสง่ ผลตอ่ ความอยรู่ อดของตวั ออ่ น สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชีววทิ ยา เล่ม 6 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ 69 ของสัตว์นำ้�อ่ืน ๆ ตลอดจนการลดลงของความหลากหลายทางชีวภาพ ทำ�ให้กระทบต่อ เสถียรภาพของระบบนิเวศในบริเวณนั้น นอกจากน้ีการลดลงของแนวปะการังอาจส่งผล ใหก้ ารกดั เซาะชายฝงั่ มคี วามรนุ แรงมากขนึ้ ท�ำ ใหช้ ายฝงั่ ถกู กดั เซาะจนเกดิ สภาพเสอื่ มโทรม และสญู เสียแนวชาดหาดทีส่ วยงาม ซึ่งอาจส่งผลตอ่ ภาคการท่องเทย่ี ว และเศรษฐกิจ กล่มุ แพลทเี ฮลมินท์ ค�ำ ถามในหนงั สอื เรยี นมดี งั น้ี การมรี ปู รา่ งแบนมผี ลดตี อ่ สตั วก์ ลมุ่ แพลทเี ฮลมนิ ทใ์ นดา้ นการแลกเปลย่ี นสารกบั สง่ิ แวดลอ้ ม อย่างไร สัตว์กลุ่มแพลทีเฮลมินท์ยังไม่มีระบบหมุนเวียนเลือดและระบบหายใจ การแลกเปลี่ยนแก๊ส จะแพร่ผ่านเย่ือหุ้มเซลล์โดยตรง ดังน้ันการมีรูปร่างแบนทำ�ให้สัตว์ในกลุ่มน้ีมีพ้ืนท่ีผิวใน การแลกเปลยี่ นสารและแกส๊ ตา่ ง ๆ กบั สิ่งแวดลอ้ มไดม้ ากขึ้น พยาธิตวั ตืดไม่มีปากและทางเดินอาหารจะได้รับสารอาหารอย่างไร พยาธิตวั ตดื ดำ�รงชีวิตเป็นปรสิต ไม่มปี ากและทางเดินอาหาร จะได้รบั สารอาหารทย่ี ่อยแลว้ จากโฮสตโ์ ดยการดดู ซึมผา่ นทางผวิ ลำ�ตวั ความรู้เพิม่ เตมิ สำ�หรบั ครู การมีรปู ร่างแบน (flattening) การมว้ นพบั (folding) การแตกแขนง (branching) การยืน่ ออก มา (projection) สามารถทำ�ใหพ้ น้ื ทผี่ วิ ของโครงสรา้ งต่าง ๆ เพ่มิ มากขนึ้ ได้ ดังรปู พืน้ ทีผ่ ิว ก. 6 × (3 × 3) = 54 หน่วย2 พื้นท่ผี วิ ข. 2 (3 × 1) + 2 (9 × 1) + 2 (3 × 9) = 78 หน่วย2 ปรมิ าตร ก. 3 × 3 × 3 = 27 หนว่ ย3 ปริมาตร ข. 1 × 3 × 9 = 27 หน่วย3 สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

70 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ ชวี วิทยา เลม่ 6 กลุ่มมอลลัส ค�ำ ถามในหนงั สอื เรยี นมดี งั น้ี หอยทากซึง่ อาศยั อยู่บนบกมีการปรับตัวเชงิ วิวัฒนาการมาอาศยั อยู่บนพ้ืนดนิ ได้อยา่ งไร ไมม่ ีเหงือก แต่มปี อดใช้ในการแลกเปล่ยี นแก๊ส สว่ นเทา้ ของหอยและสว่ นเท้าของหมึกทำ�หน้าท่เี หมือนหรือแตกตา่ งกนั อยา่ งไร ท�ำ หนา้ ทเี่ หมอื นกนั คอื ชว่ ยใหห้ อยและหมกึ เคลอื่ นทไ่ี ด้ แตส่ ว่ นเทา้ ของหมกึ จะแตกตา่ งจาก หอย โดยมีการเปลี่ยนแปลงเป็นแขน เทนทาเคลิ และไซฟอน ส่วนเท้าของหมึกจงึ ทำ�หนา้ ที่ อนื่ ไดอ้ กี เชน่ ไซฟอนชว่ ยใหห้ มกึ สามารถเคลอ่ื นทไี่ ดร้ วดเรว็ แขนและเทนทาเคลิ ชว่ ยในการ จับเหย่ือ โครงสรา้ งของหอยและหมกึ สมั พันธก์ ับการเคลื่อนท่แี ละการหลบหลีกศัตรูอยา่ งไร หอยเคลอื่ นทไี่ ดช้ า้ แตม่ โี ครงสรา้ งทเี่ ปน็ เปลอื กแขง็ หมุ้ อวยั วะภายในเพอ่ื ปอ้ งกนั อนั ตรายจาก ศัตรู ในขณะที่หมึกไม่มีเปลือกแข็งหุ้มลำ�ตัว แต่มีอวัยวะรับความรู้สึกและระบบประสาทที่ ซบั ซอ้ นมากขึน้ ซ่งึ ท�ำ ใหห้ มึกมกี ารเรียนรูแ้ ละพฤตกิ รรมท่ีซบั ซอ้ นข้ึน และสามารถเคลอื่ นที่ ได้เร็ว ทำ�ให้สามารถล่าเหยื่อ และหลบหลีกศัตรูได้ดกี วา่ หอย ค�ำ ถามเพม่ิ เตมิ มตี วั อยา่ งดงั น้ี ยกตัวอย่างสัตว์ในกลุ่มมอลลัสที่มีเปลือกแข็งหุ้มภายนอกและที่ไม่มีเปลือกแข็งหุ้ม ภายนอก สตั วใ์ นกลมุ่ มอลลสั ทม่ี เี ปลอื กแขง็ หมุ้ ภายนอก เชน่ หอยทาก หอยกาบ หอยงวงชา้ ง สว่ น สตั วใ์ นกลมุ่ มอลลสั ทไ่ี มม่ ีเปลอื กแข็งหมุ้ ภายนอก เช่น ทากเปลือย และหมกึ ต่าง ๆ สัตว์ในกลุ่มมอลลสั มีบทบาทที่ส�ำ คัญต่อระบบนิเวศอย่างไร สัตว์ในกลุ่มมอลลัสบางชนิด เช่น หมึก หอยสองฝา เป็นผู้ล่าที่สำ�คัญในระบบนิเวศ หอยบางชนิดเป็นอาหารของสัตว์อื่น เช่น หอยแครง หอยแมลงภู่ หอยขม และหอย บางชนดิ กนิ ซากสงิ่ มีชีวติ เปน็ อาหาร เช่น หอยทาก ท�ำ ใหเ้ กดิ การหมุนเวยี นสารในระบบ นเิ วศ เปน็ ตน้ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชวี วิทยา เลม่ 6 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ 71 กลมุ่ แอนเนลิด ค�ำ ถามเพม่ิ เตมิ มตี วั อยา่ งดงั น้ี ปลิงและทากดดู เลอื ดมกี ารดำ�รงชีวติ แตกต่างจากไส้เดือนดนิ อยา่ งไร ปลิงและทากดูดเลือดดำ�รงชีวิตเป็นปรสิตโดยการดูดเลือดสัตว์อ่ืนรวมทั้งมนุษย์ แต่ ไส้เดือนดินด�ำ รงชวี ิตเปน็ อสิ ระโดยการกินซากสิ่งมชี วี ิตเป็นอาหาร ไสเ้ ดอื นดินมบี ทบาททสี่ ำ�คัญตอ่ ระบบนเิ วศอยา่ งไร ไส้เดือนดินช่วยทำ�ให้ดินมีอากาศแทรก มีความพรุนมาก มีลักษณะร่วนซุยและช่วยใน กระบวนการหมุนเวยี นสารของระบบนิเวศโดยกินซากพชื ปน็ อาหาร เมือ่ ขบั ถา่ ยออกมา จะเปน็ ปยุ๋ อินทรีย์ที่พืชสามารถน�ำ ไปใชป้ ระโยชน์ต่อไป ความรู้เพิม่ เตมิ สำ�หรับครู การมลี �ำ ตวั เปน็ ปลอ้ ง (segmentation) เปน็ สว่ นของรา่ งกายทมี่ ลี กั ษณะเปน็ ปลอ้ งซ�้ำ  ๆ กนั เรยี ง ตอ่ กนั ซงึ่ จะสามารถสงั เกตเหน็ ไดท้ งั้ โครงสรา้ งภายนอกและภายใน พบไดใ้ นสตั วก์ ลมุ่ แอนเนลดิ กลุ่มอาร์โทรพอด และกลุ่มคอร์เดต สำ�หรับกลุ่มคอร์เดตสามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจนในระยะ เอ็มบริโอ ส่วนในตัวเต็มวัยจะเห็นจากโครงสร้างภายในที่แสดงลักษณะชัดเจน เช่น กระดกู สนั หลัง กลา้ มเน้ือ เส้นประสาท ส่วนสัตว์ในกลุ่มนีมาโทดอาจเห็นลักษณะภายนอกเป็นปล้องได้ แต่ไม่ใช่การมีลำ�ตัวเป็นปล้อง ทแ่ี ทจ้ รงิ เป็นเพยี งรอยยน่ ของผวิ หนัง กลมุ่ นมี าโทด ค�ำ ถามเพม่ิ เตมิ มตี วั อยา่ งดงั น้ี สตั วใ์ นกลมุ่ นมี าโทดมีบทบาทตอ่ ระบบนิเวศอยา่ งไรบ้าง - กนิ จลุ นิ ทรยี ์ เชน่ แบคทเี รยี จงึ สามารถชว่ ยควบคมุ ขนาดของประชากรแบคทเี รยี ได้ - มีบทบาทที่สำ�คัญในวัฏจักรไนโตรเจน โดยย่อยซากพืชซากสัตว์ให้มีขนาดเล็กลง ทำ�ให้ผู้สลายสารอินทรยี ส์ ามารถทำ�หนา้ ท่ไี ดเ้ รว็ ข้นึ \\ สตั วใ์ นกล่มุ นมี าโทดมบี ทบาทตอ่ มนุษย์อยา่ งไร สตั วใ์ นกลุ่มน้สี ว่ นใหญ่เป็นปรสิตของมนษุ ย์ เช่น พยาธปิ ากขอ พยาธไิ ส้เดอื น พยาธโิ รค เทา้ ชา้ ง พยาธิตัวจี๊ด เปน็ ตน้ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

72 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ ชีววิทยา เล่ม 6 กลมุ่ อารโ์ ทรพอด ค�ำ ถามในหนงั สอื เรยี นมดี งั น้ี ยกตัวอย่างหน้าท่ีรยางค์ของสัตวก์ ลุ่มอารโ์ ทพอดว่ามีอะไรบา้ ง ตัวอย่างหน้ารยางค์ของสัตว์กลุ่มอาร์โทพอด เช่น รยางค์ท่ีใช้รับความรู้สึก รยางค์ที่ช่วยใน การกินอาหาร รยางค์ที่ใช้ในการเคล่ือนท่ี รยางค์ท่ีใช้ในการว่ายนำ้� รยางค์สำ�หรับวางไข่ รยางคท์ ่ีใช้ในการแลกเปล่ียนแก๊ส เปน็ ต้น โครงร่างแขง็ ภายนอกของสัตวก์ ล่มุ อาร์โทรพอดมีประโยชนอ์ ยา่ งไร ชว่ ยปอ้ งกันอนั ตรายจากศตั รู การมลี �ำ ตัวเปน็ ปล้องและรยางค์เปน็ ขอ้  ๆ ต่อกันมปี ระโยชนต์ ่อสัตวใ์ นกลมุ่ น้อี ย่างไร โครงรา่ งแข็งของสัตวใ์ นกลุ่มอาร์โทรพอด ท�ำ ให้อาจสง่ ผลต่อการเคลือ่ นท่ไี ด้ แตก่ ารมีล�ำ ตัว เป็นปล้องและรยางค์เป็นข้อ ๆ ต่อกันสามารถเพ่ิมความยืดหยุ่นในการเคล่ือนที่ และทำ�ให้ สามารถเคลอื่ นท่ไี ด้หลากหลายรปู แบบ เช่น เดนิ วง่ิ วา่ ยน�ำ้ ผลัก ดนั หรอื ขุด เป็นตน้ ค�ำ ถามเพม่ิ เตมิ มตี วั อยา่ งดงั น้ี ลกั ษณะใดท่ที �ำ ใหส้ ัตวก์ ล่มุ อารโ์ ทรพอดประสบความสำ�เร็จในการอาศยั อยูบ่ นบก ลักษณะทท่ี �ำ ใหก้ ลมุ่ อารโ์ ทรพอดประสบความส�ำ เร็จในการด�ำ รงชีวิตบนบก คือ ลำ�ตัวมี เปลือกแข็งหุ้มภายนอก ทำ�ให้สามารถป้องกันการสูญเสียนำ้�ได้ดี นอกจากนี้ยังมีระบบ ประสาทและอวยั วะรบั ความรสู้ กึ ทเ่ี จรญิ ดี มรี ะบบหายใจทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพ มกี ารเคลอื่ นที่ ไดด้ ีทำ�ให้สามารถปรบั ตัวอยใู่ นส่งิ แวดล้อมที่หลากหลาย แมงมมุ มบี ทบาทอยา่ งไรในระบบนเิ วศ มีบทบาทเป็นผู้ล่า โดยแมงมมุ บางชนิดเปน็ ตวั ห้ำ�ซง่ึ ชว่ ยกำ�จัดแมลงศัตรพู ืช ถ้าผึ้งชนิดหนึ่งซ่ึงเป็นพาหะถ่ายเรณูของพืช A ลดจำ�นวนอย่างมากหรือสูญพันธุ์ จะส่ง ผลอย่างไรต่อพชื A ถา้ พืช A ไม่มีสตั วช์ นดิ อื่นท่เี ป็นพาหะถา่ ยเรณู จะสง่ ผลให้ประชากรของพชื A ลดขนาด ลงไปเร่อื ย ๆ จนอาจสญู พันธใ์ุ นทีส่ ุด ถา้ พืช A ยงั มีสัตวช์ นดิ อนื่ เปน็ พาหะถ่ายเรณู พืช A มีโอกาสทีจ่ �ำ นวนประชากรลดลง แต่อาจไมส่ ูญพนั ธุ์ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชีววิทยา เลม่ 6 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ 73 กิ้งกอื และตะเข็บมีบทบาทต่อการหมนุ เวียนสารในระบบนิเวศอยา่ งไร ช่วยกนิ ซากพืช ซากสตั วท์ ี่เน่าเป่ือยในดนิ และยังเป็นอาหารของสตั วอ์ นื่ แมลงมีประโยชน์และโทษอะไรบา้ ง จงอภิปราย แมลงมีประโยชนห์ ลายดา้ น เชน่ เปน็ พาหะถ่ายเรณขู องพืชดอก แมลงหลายชนิดน�ำ มา ใชเ้ ปน็ อาหาร ขณะเดยี วกนั แมลงกม็ โี ทษหลายดา้ น เชน่ เปน็ ศตั รทู �ำ ลายผลผลติ ทางการ เกษตร เป็นพาหะนำ�โรคหลายชนิดรวมท้ังเปน็ ปรสิตในมนุษย์และสัตวอ์ ื่น นกั เรียนรู้จกั แมลงชนดิ ใดบา้ งที่มนษุ ย์ใชเ้ ปน็ อาหาร ยกตัวอย่างมาอย่างนอ้ ย 3 ชนดิ ตก๊ั แตน ดว้ งมะพรา้ ว หนอนไมไ้ ผ่ มดแดง แมลงดานา แมลงเมา่ แมลงกนิ นู จงิ้ หรดี จง้ิ โกรง่ แมลงกุดจี่ ผ้งึ ตอ่ แมลงกระชอน จั๊กจนั่ การก�ำ จดั แมลงศตั รพู ชื ดว้ ยการควบคมุ แบบชวี วธิ คี อื อะไร และมปี ระโยชนต์ อ่ ระบบนเิ วศ อย่างไร การควบคมุ โดยชวี วธิ เี ปน็ กระบวนการทนี่ �ำ สง่ิ ทมี่ อี ยใู่ นธรรมชาตมิ าใชใ้ นการควบคมุ และ ก�ำ จัดแมลงศัตรูพืช ซ่งึ วธิ นี ้ีไม่ก่อให้เกดิ มลพิษในระบบนเิ วศ ยกตวั อย่างการควบคุมแมลงศัตรพู ชื และสตั วด์ ว้ ยการควบคุมโดยชวี วธิ ี การก�ำ จัดลกู น้�ำ ด้วยปลาหางนกยงู การก�ำ จัดมวนลำ�ไยดว้ ยแตนเบียน สัตวก์ ลมุ่ อารโ์ ทรพอร์ดมบี ทบาทสำ�คญั ทางเศรษฐกจิ อยา่ งไรบ้าง จงอภิปราย สตั วก์ ลมุ่ นห้ี ลายชนดิ เปน็ สตั วท์ ม่ี คี ณุ คา่ ทางเศรษฐกจิ เนอ่ื งจากนยิ มน�ำ มาใชร้ บั ประทาน เป็นอาหาร เช่น กงุ้ กั้ง ปู และแมลงตา่ ง ๆ เปน็ ต้น กล่มุ เอไคโนเดริ ม์ ค�ำ ถามเพม่ิ เตมิ มตี วั อยา่ งดงั น้ี การมีโครงร่างแขง็ ภายในของสัตวใ์ นกลุ่มเอไคโนเดริ ม์ มปี ระโยชน์อยา่ งไร ทำ�ให้คงรูปรา่ งอยู่ได้ ทวิ บ์ฟีทของสตั วใ์ นกล่มุ เอไคโนเดริ ม์ ท�ำ หน้าทเี่ ทยี บได้กับโครงสร้างใดของสัตวอ์ ่ืน ทิวบ์ฟีทช่วยในการเคลื่อนท่ีเช่นเดียวกับขามนุษย์ ขาแมลง เท้าของหอย แขนของหมึก เปน็ ตน้ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

74 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ ชีววิทยา เลม่ 6 สัตวก์ ลมุ่ เอไคโนเดริ ม์ มีบทบาทสำ�คญั ตอ่ ระบบนิเวศอย่างไรบ้าง บทบาทของสัตว์กลุ่มเอไคโนเดิร์มที่สำ�คัญต่อระบบนิเวศ เช่น การอยู่รวมเป็นกลุ่มของ เมน่ ทะเลท�ำ ใหพ้ นื้ ทใ่ี นการเกาะของปะการงั และสงิ่ มชี วี ติ อนื่ ลดลง ซงึ่ อาจสง่ ผลใหค้ วาม หลากหลายของสง่ิ มชี วี ติ บรเิ วณนนั้ ลดลงไปดว้ ย และสตั วบ์ างชนดิ ในกลมุ่ นยี้ งั กนิ สาหรา่ ย เป็นอาหาร ทำ�ให้สามารถควบคุมจำ�นวนสาหร่ายท่ีจะข้ึนปกคลุมแนวปะการังได้ นอกจากน้ีสตั ว์ในกลุ่มนี้ยังเปน็ อาหารหลกั ของสัตว์อกี หลายชนดิ หลังจากศึกษาและอภิปรายเก่ยี วกับสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังกล่มุ ต่าง ๆ ข้างต้นแล้ว ครูอาจ อธบิ ายเพม่ิ เตมิ วา่ นอกจากสตั วไ์ มม่ กี ระดกู สนั หลงั ในกลมุ่ ตา่ ง ๆ ขา้ งตน้ ทน่ี กั เรยี นไดศ้ กึ ษามาแลว้ นน้ั ยงั มสี ตั วไ์ มม่ กี ระดกู สนั หลงั บางชนดิ ทถ่ี กู จดั ไวใ้ นกลมุ่ เดยี วกบั สตั วม์ กี ระดกู สนั หลงั เพอ่ื น�ำ เขา้ สกู่ ารศกึ ษา เกย่ี วกบั สตั วใ์ นกลมุ่ คอรเ์ ดต โดยครอู าจใหน้ กั เรยี นยกตวั อยา่ งสตั วม์ กี ระดกู สนั หลงั ทน่ี กั เรยี นรจู้ กั จาก นน้ั ครใู ชร้ ปู 23.59 แสดงรปู แอมฟอิ อกซสั และเพรยี งหวั หอม ซง่ึ เปน็ สตั วไ์ มม่ กี ระดกู สนั หลงั ทอ่ี ยใู่ นกลมุ่ คอรเ์ ดตและใชค้ �ำ ถามดงั น้ี นกั เรยี นคดิ วา่ เพราะเหตใุ ดแอมฟอิ อกซสั และเพรยี งหวั หอมจงึ ถกู จดั ไว้ ในกลมุ่ เดยี วกบั สตั วม์ กี ระดกู สนั หลงั กลุม่ คอร์เดต ครใู หน้ กั เรยี นศกึ ษาขอ้ มลู ของสตั วก์ ลมุ่ คอรเ์ ดตในหนงั สอื เรยี น และใชร้ ปู 23.58 เพอ่ื อภปิ ราย เกย่ี วกบั ลกั ษณะเฉพาะของสตั วก์ ลมุ่ คอรเ์ ดต โดยจากการสบื คน้ ขอ้ มลู และการอภปิ รายนกั เรยี นควรสรปุ ได้ว่าแม้สัตว์ในกล่มุ คอร์เดตจะมีลักษณะท่แี ตกต่างกัน แต่เอ็มบริโอของสัตว์กล่มุ น้มี ีลักษณะเฉพาะท่ี เหมอื นกนั ดงั น้ี 1. มโี นโทคอร์ด 2. มีทอ่ ประสาทกลวงทางด้านหลงั 3. มถี ุงคอหอย 4. มีหาง จากนน้ั ครอู าจใหน้ กั เรยี นไดส้ บื คน้ ขอ้ มลู เกย่ี วกบั สตั วก์ ลมุ่ คอรเ์ ดต แลว้ รว่ มกนั อภปิ รายโดยใช้ ตวั อยา่ งค�ำ ถามเพม่ิ เตมิ ซง่ึ มแี นวในการตอบค�ำ ถามดงั น้ี สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชวี วทิ ยา เล่ม 6 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ 75 สัตว์กลุ่มคอร์เดตแบ่งออกไดเ้ ปน็ ก่กี ลุ่ม และมลี กั ษณะแตกต่างกันอยา่ งไร แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ไม่มีกระดูกสันหลัง และกลุ่มท่ีมีกระดูกสันหลัง โดย ความแตกตา่ งของทง้ั 2 กลมุ่ นี้ คอื การมโี ครงรา่ งแขง็ ทเ่ี ปน็ กระดกู สนั หลงั ภายในรา่ งกาย สัตวก์ ลุม่ คอรเ์ ดตที่ไมม่ ีกระดกู สันหลงั ไดแ้ ก่สัตว์ชนดิ ใดบา้ ง เพรียงหัวหอม แอมฟิออกซัส จากรปู 23.59 เพรยี งหวั หอมและแอมฟอิ อกซสั มลี กั ษณะเหมอื นหรอื แตกตา่ งกนั อยา่ งไร เพรยี งหวั หอมและแอมฟอิ อกซสั มลี กั ษณะทเ่ี หมอื นกนั คอื ยงั ไมม่ กี ระดกู สนั หลงั ภายใน ร่างกาย แต่แตกต่างกันที่ระยะท่ีมีโนโทคอร์ด โดยเพรียงหัวหอมมีโนโทคอร์ดในระยะ ตัวอ่อน ในขณะทแี่ อมฟิออกซสั จะมีโนโทคอร์ดตลอดชีวติ สำ�หรับการจัดการเรียนร้ขู องสัตว์มีกระดูกสันหลังในกล่มุ คอร์เดต ครูอาจให้นักเรียนศึกษา ลักษณะของสัตว์มีกระดูกสันหลังจากสวนสัตว์หรือหนังสือเพ่มิ เติมอ่นื  ๆ โดยให้นักเรียนสืบค้นข้อมูล เกย่ี วกบั ลกั ษณะ การด�ำ รงชวี ติ บทบาททส่ี �ำ คญั ของสตั วเ์ หลา่ น้ี ซง่ึ แบง่ ออกเปน็ กลมุ่ ตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ ปลา สตั วส์ ะเทนิ น�ำ้ สะเทนิ บก สตั วเ์ ลอ้ื ยคลาน สตั วป์ กี และสตั วเ์ ลย้ี งลกู ดว้ ยน�ำ้ นม เพอ่ื ใหน้ กั เรยี นไดส้ รปุ เปน็ องคค์ วามรแู้ ละมาน�ำ เสนอในชน้ั เรยี น ปลา ครนู �ำ เขา้ สบู่ ทเรยี น โดยใหน้ กั เรยี นศกึ ษารปู 23.60 ซง่ึ เปน็ ปลาปากกลมและไมม่ ขี ากรรไกร รปู 23.61 ซง่ึ เปน็ ปลากระดกู ออ่ นทม่ี ขี ากรรไกร และรปู 23.62 ซง่ึ เปน็ ปลากระดกู แขง็ ทม่ี ขี ากรรไกร โดย ใหน้ กั เรยี นเปรยี บเทยี บลกั ษณะของปลาทง้ั 3 กลมุ่ น้ี จากการใชค้ �ำ ถามดงั น้ี ปลาปากกลม ปลากระดกู ออ่ น และปลากระดกู แขง็ มลี กั ษณะรปู รา่ งส�ำ คญั ทแี่ ตกตา่ งกนั เป็นอยา่ งไร ปลาปากกลมแตกต่างจากปลากระดูกอ่อนและปลากระดูกแข็ง เนื่องจากปลาปากกลม ไม่มีขากรรไกร ในขณะที่ปลากระดูกอ่อนและปลากระดูกแข็งเป็นปลาท่ีมีขากรรไกร นอกจากนี้ ลักษณะรูปร่างของปลาปากกลม ปลากระดูกอ่อน และปลากระดูกแข็งมี ความแตกต่างกัน โดยปลาปากกลมมีลำ�ตัวยาวคล้ายปลาไหล ส่วนปลากระดูกอ่อนมี ล�ำ ตวั แบนจากดา้ นหลงั ไปดา้ นท้อง และมชี ่องเหงอื กเหน็ ได้ชดั เจน สว่ นปลากระดูกแข็ง มลี ำ�ตวั แบนจากด้านขา้ ง และไม่เห็นชอ่ งเหงอื กเพราะมีแผน่ ปดิ เหงอื ก (operculum) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

76 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ ชวี วิทยา เล่ม 6 ฉลามซึง่ เป็นปลากระดกู ออ่ นมบี ทบาทอยา่ งไรในระบบนิเวศ เป็นผ้ลู า่ ที่สำ�คญั ในระบบนเิ วศ นักเรียนคิดว่าการรบั ประทานหฉู ลามจะมีผลต่อระบบนเิ วศในทะเลอยา่ งไร การรบั ประทานหฉู ลามจะตอ้ งฆา่ ฉลามเพอ่ื น�ำ ครบี อกของฉลามมาใชป้ รงุ อาหารท�ำ ใหม้ ี ผลกระทบต่อสายใยอาหารของระบบนิเวศในทะเล นอกจากนี้การล่าฉลามเพิ่มมากขึ้น สง่ ผลใหป้ ระชากรฉลามลดลง และอาจนำ�ไปสูก่ ารสูญพันธุข์ องฉลามได้ มีวธิ กี ารอยา่ งไรในการแกป้ ญั หาจำ�นวนปลากระดูกแขง็ ทมี่ แี นวโน้มลดลง เพาะพันธุ์เพ่ือขยายเพิ่มจำ�นวนปลาและรณรงค์การใช้เคร่ืองมือจับปลาท่ีถูกต้องตาม กฎหมาย รวมทงั้ ไม่จบั ปลาในฤดวู างไข่ เป็นต้น ปลากระดูกอ่อนและปลากระดูกแขง็ มีลักษณะใดบ้างทีแ่ ตกตา่ งกนั ปลากระดูกอ่อนมีช่องเหงือกเห็นได้ชัดเจน แต่ช่องเหงือกของปลากระดูกแข็งจะมี แผน่ ปดิ เหงอื กปดิ อยจู่ งึ มองไมเ่ หน็ ชอ่ งเหงอื ก นอกจากนกี้ ระดกู ของปลากระดกู ออ่ นไมม่ ี สารประกอบแคลเซยี มฟอสเฟตเหมอื นปลากระดูกแข็ง ความรู้เพิ่มเติมส�ำ หรบั ครู ปลาตีนเป็นปลากระดูกแข็ง พบอยู่ทั่วไปตามป่าชายเลนซ่ึงมีโคลน ปลาตีนสามารถเคล่ือนท่ี บนโคลนไดโ้ ดยใชค้ รบี อก และมอี วยั วะทขี่ า้ งเหงอื กซงึ่ สามารถกกั เกบ็ น�ำ้ ไวไ้ ด้ จงึ ท�ำ ใหส้ ามารถ ดำ�รงชีวติ บนบกไดร้ ะยะหน่งึ แต่ยงั คงใช้เหงือกในการแลกเปลี่ยนแก๊ส สตั วส์ ะเทนิ น�ำ้ สะเทนิ บก ครนู �ำ เขา้ สหู่ วั ขอ้ สตั วส์ ะเทนิ น�ำ้ สะเทนิ บก โดยอาจใชร้ ปู 23.63 ซง่ึ เปน็ รปู ของปลาปอดและ อธบิ ายเกย่ี วกบั การมปี อดของปลาปอดซง่ึ เปน็ หลกั ฐานหนง่ึ ทส่ี นบั สนนุ กย่ี วกบั การเกดิ ววิ ฒั นาการของ สัตว์ท่ดี ำ�รงชีวิตในนำ�้ เพ่ือข้นึ มาดำ�รงชีวิตบนบก จากน้นั ครูนำ�เข้าส่บู ทเรียนโดยให้นักเรียนศึกษารูป ตวั อยา่ งของสตั วส์ ะเทนิ น�ำ้ สะเทนิ บก เชน่ กบ เขยี ด อง่ึ อา่ ง ซาลามานเดอร์ งดู นิ หรอื รปู 23.64 และให้ นกั เรยี นรว่ มกนั อภปิ รายโดยอาจใชค้ �ำ ถาม ดงั น้ี สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชวี วทิ ยา เล่ม 6 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ 77 สัตว์สะเทินน้�ำ สะเทินบกสามารถดำ�รงชวี ิตบนบกได้ตลอดชว่ งชวี ติ หรอื ไม่ อยา่ งไร สตั วส์ ะเทนิ น�ำ้ สะเทนิ บกไมส่ ามารถด�ำ รงชวี ติ บนบกไดต้ ลอดชว่ งชวี ติ โดยในระยะตวั ออ่ น จะอาศัยอยู่ในน�ำ้ แต่เมือ่ เจริญเป็นตวั เตม็ วัยจงึ จะด�ำ รงชีวติ บนบกได้ เพราะเหตุใดสตั ว์สะเทนิ น�ำ้ สะเทนิ บกจึงต้องวางไข่ในน�้ำ หรอื บริเวณทีม่ คี วามชื้น ไข่ของสัตว์สะเทินนำ้�สะเทินบกไม่มีเปลือกแข็งหุ้ม หากอยู่ในท่ีแห้งจะทำ�ให้สูญเสีย ความช้ืนได้รวดเร็ว จึงทำ�ให้สัตว์สะเทินน้ำ�สะเทินบกต้องวางไข่ในนำ้�หรือบริเวณท่ีมี ความช้นื ในชว่ งเวลาประมาณ 30 ปที ี่ผา่ นมามีรายงานว่าสตั ว์สะเทนิ นำ�้ สะเทนิ บกมจี ำ�นวนลดลง อย่างรวดเร็ว นกั เรียนคดิ วา่ เปน็ เพราะสาเหตุใด อาจเป็นเพราะแหล่งท่ีอยู่โดยเฉพาะแหล่งน้ำ�เส่ือมโทรม หรือเป็นมลพิษ และอาจเป็น เพราะมนุษย์นิยมจับสัตว์สะเทินน้ำ�สะเทินบกมาจากแหล่งธรรมชาติเพื่อใช้ประกอบ อาหารมากข้นึ จึงส่งผลใหม้ จี �ำ นวนประชากรลดลง สตั วเ์ ลอ้ื ยคลาน ครนู �ำ เขา้ สบู่ ทเรยี นโดยใหน้ กั เรยี นศกึ ษารปู ตวั อยา่ งของสตั วเ์ ลอ้ื ยคลาน เชน่ เตา่ ตะพาบน�ำ้ จง้ิ จก จระเข้ หรอื รปู 23.65 และใหร้ ว่ มกนั อภปิ รายโดยอาจใชค้ �ำ ถาม ดงั น้ี สตั วเ์ ลื้อยคลานมีลักษณะใดบ้างท่ีเหมาะสมต่อการดำ�รงชีวติ บนบก มีผิวหนังปกคลุมด้วยเกล็ดซ่ึงมีสารเคราทินเป็นองค์ประกอบช่วยป้องกันการสูญเสียน้ำ� มกี ารปฏสิ นธิภายใน และไขม่ ีปลือกแขง็ ห้มุ นักเรียนคดิ ว่าสัตวเ์ ลอื้ ยคลานมีประโยชนอ์ ยา่ งไรบา้ ง จงอธิบาย สตั ว์เลอ้ื ยคลานมปี ระโยชน์ต่อมนุษย์ในแงข่ องการควบคุมโดยชีววิธี เช่น เป็นผูล้ ่าสัตว์ที่ ท�ำ ลายศตั รพู ชื บางชนดิ เชน่ งูล่าหนนู า หรือเป็นผลู้ ่าแมลงที่กอ่ ใหเ้ กิดความรำ�คาญ เชน่ จงิ้ จก ตกุ๊ แก จ้ิงเหลน กิ้งกา่ นอกจากนี้ยังเปน็ อาหารของมนษุ ย์ เชน่ แย้ จระเข้ ตะพาบ งู เป็นตน้ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

78 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ ชีววิทยา เล่ม 6 ครอู าจใชค้ �ำ ถามเพอ่ื ใหเ้ ปรยี บเทยี บลกั ษณะของสตั วส์ ะเทนิ น�ำ้ สะเทนิ บกและสตั วเ์ ลอ้ื ยคลาน ดงั น้ี สัตวส์ ะเทินน�ำ้ สะเทนิ บกและสัตว์เลอื้ ยคลานมีลกั ษณะใดบา้ งทีแ่ ตกตา่ งกัน สตั วส์ ะเทนิ น้�ำ สะเทินบกและสัตว์เลื้อยคลานมลี กั ษณะที่แตกต่างกัน ดังตาราง สัตวส์ ะเทนิ นำ�้ สะเทินบก สตั วเ์ ลื้อยคลาน - ผิวหนังเปียกชน้ื - ผิวหนงั มีเกล็ดปกคลมุ - ปฏิสนธิภายนอกรา่ งกาย - ปฏสิ นธภิ ายในร่างกาย - วางไขใ่ นนำ้� - วางไขบ่ นบก - ไข่มวี นุ้ หุ้ม - ไขม่ ีเปลอื กแข็งหุ้ม สตั วป์ กี ครอู าจใชร้ ปู น�ำ บทท่ี 7 ในหนงั สอื เรยี นชวี วทิ ยาเลม่ 2 ซง่ึ เปน็ รปู ของ Archaeopteryx ซง่ึ เปน็ ซากดกึ ด�ำ บรรพท์ อ่ี าจมบี รรพบรุ ษุ รว่ มระหวา่ งสตั วเ์ ลอ้ื ยคลานกบั นกในปจั จบุ นั เพอ่ื เชอ่ื มโยงความรเู้ ดมิ ของนกั เรยี น จากนน้ั ครใู ชร้ ปู 23.66 และ 23.67 เพอ่ื ใหส้ งั เกตลกั ษณะทว่ั ไปของสตั วป์ กี และอาจให้ นกั เรยี นสบื คน้ ขอ้ มลู เกย่ี วกบั การด�ำ รงชวี ติ และบทบาทของสตั วป์ กี ทม่ี ตี อ่ มนษุ ยแ์ ละระบบนเิ วศ โดยให้ นกั เรยี นรว่ มกนั อภปิ รายและตอบค�ำ ถาม โดยอาจใชต้ วั อยา่ งค�ำ ถามดงั น้ี หลักฐานใดท่ีสนบั สนนุ ว่าสัตวป์ ีกและสัตว์เล้อื ยคลานในปัจจบุ ันมีบรรพบรุ ษุ ร่วมกัน หลกั ฐานท่ีแสดงวา่ สตั วป์ กี และสัตวเ์ ลอื้ ยคลานน่าจะมบี รรพบรุ ุษรว่ มกนั คือ การคน้ พบ ซากดึกด�ำ บรรพ์ทีม่ ีลักษณะใกล้เคียงกบั สตั ว์เล้อื ยคลาน คอื มีเกล็ดทขี่ า มกี รงเลบ็ มฟี ัน และมีหางยาว เป็นต้น แตม่ ีปกี ซ่ึงมีขนแบบขนนก สตั วป์ ีกมีววิ ฒั นาการท่ีเหมาะสมต่อการอยบู่ นบกและบนิ ได้อย่างไร สัตว์ปกี มกี ระดูกท่ีมรี ูพรนุ ท�ำ ให้น้�ำ หนักเบา ขนนกมีลักษณะเบา แขง็ แรง มีสารเคราทนิ เคลือบ ทำ�ให้เหมาะสมตอ่ การบินในอากาศ ในทอ้ งถน่ิ ของนกั เรยี นมนี กชนดิ ใดบา้ งและนกเหลา่ นม้ี คี วามส�ำ คญั ตอ่ ระบบนเิ วศอยา่ งไร ค�ำ ตอบในขอ้ นขี้ น้ึ อยกู่ บั สภาพทอ้ งถนิ่ ทน่ี กั เรยี นอาศยั อยู่ แตโ่ ดยรวมแลว้ นกมคี วามส�ำ คญั ตอ่ ระบบนเิ วศแตกตา่ งกนั เชน่ นกบางชนดิ กนิ หนอนหรอื แมลง บางชนดิ กนิ เมลด็ พชื เมอื่ บินไปในที่ต่างๆ จะถ่ายอุจจาระออกมาเป็นการช่วยกระจายพันธุ์พืชอีกวิธีหน่ึงและนก ยังเปน็ อาหารของสตั วอ์ ื่น สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชวี วิทยา เลม่ 6 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ 79 สตั วเ์ ลย้ี งลกู ดว้ ยน�ำ้ นม ครใู ชร้ ปู 23.68 เพอ่ื น�ำ เขา้ สหู่ วั ขอ้ สตั วเ์ ลย้ี งลกู ดว้ ยน�ำ้ นม โดยอาจใหน้ กั เรยี นสงั เกตลกั ษณะ ของสตั วใ์ นรปู เพอ่ื สรปุ ลกั ษณะรว่ มทพ่ี บในสตั วเ์ ลย้ี งลกู ดว้ ยน�ำ้ นม ไดแ้ ก่ การมขี นแบบขนเสน้ เดย่ี ว การ มตี อ่ มน�ำ้ นม จากนน้ั ใหน้ กั เรยี นสบื คน้ ขอ้ มลู เพอ่ื ศกึ ษาลกั ษณะทว่ั ไปของสตั วเ์ ลย้ี งลกู ดว้ ยน�ำ้ นมในกลมุ่ ตา่ ง ๆ คอื กลมุ่ ทอ่ี อกลกู เปน็ ไข่ กลมุ่ ทต่ี ง้ั ทอ้ งระยะสน้ั โดยตวั ออ่ นทอ่ี อกมาจะตอ้ งอาศยั อยใู่ นถงุ หนา้ ทอ้ ง ระยะหนง่ึ จงึ จะสามารถด�ำ รงชวี ติ ไดด้ ว้ ยตวั เอง และกลมุ่ ทม่ี รี กซง่ึ ตวั ออ่ นจะเจรญิ อยภู่ ายในมดลกู ของแม่ และไดร้ บั สารอาหารผา่ นทางรก โดยใหศ้ กึ ษาทง้ั ในแงก่ ารด�ำ รงชวี ติ และบทบาททส่ี �ำ คญั ของกลมุ่ สง่ิ มชี วี ติ ดงั กลา่ วในระบบนเิ วศ และใหน้ กั เรยี นรว่ มกนั อภปิ ราย และตอบค�ำ ถามโดยใชต้ วั อยา่ งค�ำ ถาม ดงั น้ี ลักษณะใดของตุ่นปากเป็ดที่ใกล้เคียงกับสัตว์เล้ือยคลาน และไม่พบในสัตว์เลี้ยงลูกด้วย น้ำ�นมกลุ่มอ่นื ตุ่นปากเป็ดออกลูกเป็นไข่ที่มีเปลือกแข็งหุ้มเช่นเดียวกับสัตว์เลื้อยคลาน ซึ่งลักษณะดัง กล่าวไม่พบในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนำ้�นมกลุ่มอ่ืน อย่างไรก็ตามตุ่นปากเป็ดมีต่อมนำ้�นม ส�ำ หรบั เลี้ยงลูกเชน่ เดยี วกบั สัตวเ์ ลย้ี งลูกดว้ ยน้ำ�นมกลมุ่ อน่ื  ๆ ยกตวั อยา่ งสตั วเ์ ลยี้ งลกู ดว้ ยน�ำ้ นมกลมุ่ ทอ่ี อกลกู เปน็ ไข่ กลมุ่ ทต่ี งั้ ทอ้ งระยะสน้ั โดยตวั ออ่ น ท่ีออกมาจะต้องอาศัยอยู่ในถุงหน้าท้องระยะหนึ่งจึงจะสามารถดำ�รงชีวิตได้ด้วยตัวเอง และกลมุ่ ทม่ี รี กซง่ึ ตวั ออ่ นจะเจรญิ อยภู่ ายในมดลกู ของแม่ และไดร้ บั สารอาหารผา่ นทางรก - กลุม่ ทอ่ี อกลูกเปน็ ไข่ เชน่ ตนุ่ ปากเปด็ ตวั กนิ มดมีหนาม - กลมุ่ ทต่ี งั้ ทอ้ งระยะสนั้ โดยตวั ออ่ นทอี่ อกมาจะตอ้ งอาศยั อยใู่ นถงุ หนา้ ทอ้ งระยะหนงึ่ จงึ จะสามารถด�ำ รงชีวติ ไดด้ ้วยตวั เอง เช่น จิงโจ้ โคอาลา - กลมุ่ ทมี่ รี กซง่ึ ตวั ออ่ นจะเจรญิ อยภู่ ายในมดลกู ของแม่ และไดร้ บั สารอาหารผา่ นทาง รก เช่น โลมา วาฬ ลงิ ช้าง รวมทง้ั มนุษย์ ลิง อุรังอุตัง ชิมแปนซี และมนุษย์จัดอยู่ในกลุ่มท่ีมีรกซ่ึงตัวอ่อนจะเจริญเติบโตอย่าง สมบูรณ์ภายในมดลูกของแม่ ลักษณะใดบ้างของลิง อุรังอุตัง ชิมแปนซี และมนุษย์ที่ แตกตา่ งจากสตั ว์เล้ยี งลกู ดว้ ยนำ�้ นมกลมุ่ อน่ื ลิง อุรังอุตัง ชิมแปนซี และมนุษย์ มีมือและเท้าสำ�หรับยึดเกาะ น้ิวหัวแม่มือพับขวาง มสี มองขนาดใหญ่ มตี ามองไปข้างหนา้ มเี ลบ็ แบนทงั้ น้ิวมือและนิว้ เทา้ ท�ำ ใหม้ ือสามารถ จบั สง่ิ ของและยดึ เกาะไดด้ ี สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

80 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ ชีววทิ ยา เล่ม 6 หลงั จากทน่ี กั เรยี นไดเ้ รยี นเกย่ี วกบั สตั วแ์ ลว้ ครใู หน้ กั เรยี นตอบค�ำ ถามตรวจสอบความเขา้ ใจ โดยการเขียนผังมโนทัศน์แสดงการจำ�แนกสัตว์เป็นกลุ่มย่อยตามเกณฑ์ท่ีได้เรียนรู้มาข้างต้น และ ยกตวั อยา่ งสตั วใ์ นแตล่ ะกลมุ่ เพอ่ื ใหเ้ กดิ แนวคดิ ทช่ี ดั เจน ตรวจสอบความเข้าใจ เขยี นผังมโนทัศนเ์ พ่ือแสดงการแบง่ กลุม่ ของสตั ว์ พรอ้ มท้ังยกตัวอยา่ งสตั ว์ในแต่ละกลุ่ม สัตว์ แบง่ เปน็ สตั วท์ ่ีไม่มีเนือ้ เยื่อ และไมม่ ีสมมาตรของรา่ งกาย สตั วท์ ี่มีเนื้อเยือ่ ได้แก่ แบ่งเป็น กลุ่มพอริเฟอรนั เช่น ฟองน�้ำ สมมาตรแบบครึ่งซกี สมมาตรแบบรัศมี โพรโทสโทเมีย แบง่ เปน็ ไดแ้ ก่ ได้แก่ กลมุ่ แพลทีเฮลมินท์ เช่น ดวิ เทอโรสโทเมยี กลุ่มไนดาเรียน เชน่ พลานาเรีย พยาธิตวั ตดื ได้แก่ ไฮดรา แมงกระพรนุ กลุ่มเอไคโนเดิรม์ เช่น ดาวทะเล เม่นทะเล กลมุ่ มอลลัส เชน่ กลุ่มคอร์เดต กลมุ่ ทมี่ ีกระดกู สนั หลัง หอย หมกึ แบง่ เปน็ แบง่ เปน็ กลุ่มแอนเนลดิ เชน่ กลมุ่ ทไ่ี ม่มกี ระดกู สนั หลัง เชน่ ไส้เดือนดิน ปลงิ น้ำ�จืด ทากดดู เลอื ด เพรียงหัวหอม แอมฟอิ อกซัส กลุ่มนีมาโทด เชน่ กลมุ่ ทไ่ี มม่ ขี ากรรไกร กล่มุ ทมี่ ีขากรรไกร พยาธไิ สเ้ ดือน พยาธเิ สน้ ดา้ ย ได้แก่ ไดแ้ ก่ กลมุ่ อาร์โทรพอด เชน่ ปลาปากกลม เช่น ปลากระดูกอ่อน แมงดาทะเล แมงมุม แมงปอ่ ง ก้ิงกอื ปลาแฮกฟชิ ปลาแลมเพรย์ ปลากกระดกู แขง็ ตะขาบ แมลงชนิดต่าง ๆ กุ้ง ก้ัง ปู สตั ว์สะเทนิ น้ำ�สะเทินบก สตั ว์เลื้อยคลาน สัตวป์ กี สตั ว์เล้ยี งลกู ดว้ ยนม สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชวี วิทยา เล่ม 6 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ 81 ครูอาจเช่ือมโยงเข้าสู่เร่ืองความหลากหลายของส่ิงมีชีวิตท่ีมีการเปล่ียนแปลงไปจากอดีต โดยให้นักเรียนศึกษาและอภิปรายกรณีศึกษาเก่ียวกับการเปล่ียนแปลงความหลากหลายของ สตั วม์ กี ระดกู สนั หลงั บางชนดิ ในประเทศไทย กรณศี ึกษา การศกึ ษาสตั ว์มกี ระดกู สันหลงั ทถี่ กู คุกคามในประเทศไทย จากการสำ�รวจสปีชีส์สัตว์มีกระดูกสันหลังในประเทศไทย และประเมินชนิดพันธ์ุที่ถูกคุกคาม หรอื สปชี สี ท์ ถ่ี กู คกุ คาม (threatened species) ในปี พ.ศ. 2548 และ พ.ศ. 2559 ผลแสดงดงั กราฟ กราฟแสดงรอ้ ยละของจ�ำ นวนสปีชีส์ ทีถ่ กู คุกคามในประเทศไทย ้รอยละของ ำจ�นวนสปี ีช ์ส พ.ศ. 2548 ท่ี ูถกคุกคาม40 พ.ศ. 2559 35 3.6230 ทม่ี า: ดัดแปลงจากส�ำ นกั งานนโยบายและ 11.4625 แผนทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ้ ม. 20 (2560). สรปุ ชนิดพันธท์ุ ่ถี กู คุกคามของ 8.7415 ประเทศไทย: สตั ว์มกี ระดกู สนั หลัง 12.510 (พมิ พ์ครงั้ ท่ี 1). กรุงเทพฯ: 18.33 กระทรวงทรพั ยากรธรรมชาติ 16.95 และส่งิ แวดล้อม. 38.410 35.65 สตั วส์ ะเทินนำ้� สตั ว์ นก สัตว์เลย้ี งลูก สะเทนิ บก เลือ้ ยคลาน ด้วยนำ้�นม การประเมินสปีชีส์ท่ีถูกคุกคามในประเทศไทยปี พ.ศ. 2548 และ พ.ศ. 2559 ของ สตั วส์ ะเทนิ น�้ำ สะเทนิ บก สตั วเ์ ลอื้ ยคลาน นก และสตั วเ์ ลย้ี งลกู ดว้ ยน�้ำ นม มกี ารเปลย่ี นแปลง อยา่ งไร สัตว์สะเทินนำ้�สะเทินบก และสัตว์เลื้อยคลานมีร้อยละของชนิดพันธุ์ท่ีถูกคุกคามสูงขึ้น ในขณะที่สตั ว์ปีกและสตั ว์เล้ยี งลูกดว้ ยน�ำ้ นมมีรอ้ ยละของชนิดพันธ์ุท่ถี ูกคกุ คามลดลง การถูกคกุ คามของสัตวม์ ีกระดูกสันหลังในประเทศไทยน่าจะมสี าเหตุมาจากอะไรบ้าง การถกู คุกคามอาจเกิดขนึ้ ได้จากหลายสาเหตุ เช่น การลา่ ท่มี ากเกินไป แหล่งท่อี ยอู่ าศัยถูก ทำ�ลาย การเปลีย่ นแปลงของสภาพภูมอิ ากาศ เป็นตน้ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

82 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ ชีววทิ ยา เล่ม 6 พะยนู ในประเทศไทย พะยูน (Dugong dugon) เปน็ สัตว์เล้ียงลูกดว้ ยนำ�้ นม พบอาศยั ตามชายฝั่งท่มี หี ญ้าทะเลเจริญ อยเู่ นอ่ื งจากเปน็ อาหารหลกั ของพะยูน พะยนู เป็นสัตวร์ กั สงบ ใช้เวลาสว่ นใหญ่อย่กู บั ค่ขู องมนั แตบ่ างคร้ังอาจพบอย่รู วมกันเป็นฝงู แมว้ ่าพะยูนสามารถอยใู่ ต้น้ำ�ได้หลายนาที แตต่ ้องโผลข่ ้ึน มาหายใจที่ระดบั ผวิ น้�ำ เป็นครง้ั คราว ในปี พ.ศ. 2548 และ พ.ศ.2559 ส�ำ นักงานนโยบายและ แผนทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม (สผ.) ไดท้ ำ�การประเมนิ สถานภาพของชนิดพนั ธุ์โดย ใช้หลักการจัดทำ� Red List of Threatened Species ของสหภาพสากลว่าด้วยการอนุรักษ์ (IUCN) พบวา่ พะยนู ถกู จดั ใหเ้ ปน็ สตั วท์ อ่ี ยใู่ นสถานภาพใกลส้ ญู พนั ธอุ์ ยา่ งยง่ิ สาเหตหุ ลกั ทที่ �ำ ให้ พะยูนในประเทศไทยลดลง มาจากการเสียชีวิตเน่ืองจากติดเครื่องมือในการทำ�ประมง โดย เฉพาะอวนชนิดต่าง ๆ ทำ�ให้พะยูนไม่สามารถขึ้นมาหายใจได้ หรือเกิดการบาดเจ็บและทำ�ให้ เสียชีวิตในท่ีสุด ในปี พ.ศ. 2562 มีลูกพะยูนที่ถูกต้ังชื่อว่ามาเรียมซึ่งพลัดหลงจากแม่และมี อาการเจ็บป่วย ได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยงานของรัฐและชุมชนเป็นอย่างดี แต่สุดท้าย มาเรียมก็เสียชีวิตลง และเม่ือทีมแพทย์ผ่าพิสูจน์มาเรียมพบว่าภายในทางเดินอาหารมี ถุงพลาสติกอยู่จำ�นวนหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหน่ึงที่ทำ�ให้มาเรียมเกิดอาการเจ็บป่วยและตาย ไปในที่สุด การลดจ�ำ นวนลงของพะยูนในประเทศไทยมสี าเหตุมาจากอะไรบา้ ง สาเหตหุ นงึ่ ของการลดจ�ำ นวนของพะยนู มาจากการตดิ เครอ่ื งมอื ในการท�ำ ประมง โดยเฉพาะ อวนชนิดต่าง ๆ ทำ�ให้พะยูนไม่สามารถขึ้นมาหายใจได้ หรือเกิดการบาดเจ็บและทำ�ให้ เสียชีวิตในที่สุด นอกจากนี้อาจมีสาเหตุจากการลดจำ�นวนลงของแหล่งอาหาร เช่น หญา้ ทะเล ตามรายงานของ สผ. เกี่ยวกับการประเมินสถานภาพของพะยูนในประเทศไทยทั้งในปี พ.ศ. 2548 และ 2559 พบวา่ อยใู่ นสถานภาพใกลส้ ญู พนั ธอุ์ ยา่ งยง่ิ นกั เรยี นคดิ วา่ สถานภาพ ของพะยนู ในไทยในอนาคตจะเป็นอยา่ งไร เพราะเหตใุ ด จากปี พ.ศ.2548 และ พ.ศ. 2559 สถานภาพพะยูนในประเทศไทยยังคงอย่ใู นสถานภาพ ใกล้สูญพันธุ์อย่างย่ิง หากยังคงไม่มีการตระหนักและมีการอนุรักษ์ที่เหมาะสม สถานภาพ ของพะยนู ในประเทศไทยอาจแย่ลงได้ เชน่ อาจเปลยี่ นเปน็ สูญพนั ธุ์ในธรรมชาติ แต่หากมี อนรุ กั ษ์ การรณรงคใ์ หท้ �ำ ประมงอยา่ งเหมาะสม รวมทงั้ ดแู ลรกั ษาและฟน้ื ฟแู หลง่ ทอ่ี ยอู่ าศยั และแหล่งอาหารของพะยูนก็อาจทำ�ให้สถานภาพของพะยูนในไทยเปลี่ยนแปลงไปใน ทศิ ทางท่ีดีข้นึ ได้ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชีววทิ ยา เล่ม 6 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ 83 แนวการวัดและประเมินผล ด้านความรู้ - ลักษณะสำ�คัญของสัตว์ และการแบ่งกลุ่มของสัตว์ จากการอภิปรายร่วมกัน และการตอบ ค�ำ ถาม - ลกั ษณะส�ำ คญั ของสตั วใ์ นแตล่ ะกลมุ่ จากการสบื คน้ ขอ้ มลู การน�ำ เสนอขอ้ มลู และการตอบ ค�ำ ถาม ดา้ นทกั ษะ - การสังเกต การลงความเห็นจากข้อมูล การจำ�แนกประเภท จากการตอบคำ�ถาม การนำ� เสนอข้อมูล และการอภิปราย - การพยากรณ์ การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป จากการอภิปรายในกรณีศึกษา เกย่ี วกบั ความหลากหลายของสตั วม์ กี ระดกู สนั หลังในประเทศไทย - ดา้ นการสอ่ื สารสารสนเทศและการรเู้ ทา่ ทนั สอ่ื จากการใชง้ านสารสนแทศเพอื่ สบื คน้ ขอ้ มลู และเพ่อื สอ่ื สารกับบุคคลอนื่ อยา่ งถูกตอ้ งและเหมาะสม - ดา้ นความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ ดา้ นการท�ำ งาน การเรยี นรู้ และการพงึ่ ตนเอง จากการท�ำ งานกลมุ่ การแสดงความรบั ผดิ ชอบตอ่ งานทที่ �ำ รว่ มกนั ความยดื หยนุ่ ใน การทำ�งานร่วมกนั การบริหารจดั การงานที่ไดร้ ับมอบหมายใหล้ ุลว่ ง - ด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จากการใช้ในการทำ�งานเพื่อ การสบื คน้ การรวบรวม และการจัดการข้อมูลเพอ่ื นำ�เสนอ ดา้ นจติ วทิ ยาศาสตร์ - ความรอบคอบ วตั ถวุ สิ ยั จากการสบื คน้ ขอ้ มลู และการวเิ คราะหข์ อ้ มลู - ความอยากรอู้ ยากเหน็ ความมงุ่ มน่ั อดทน จากการสบื คน้ ขอ้ มลู การตอบค�ำ ถาม การน�ำ เสนอ และการอภปิ ราย สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

84 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ ชีววิทยา เล่ม 6 23.3 การศึกษาความหลากหลายของส่ิงมีชวี ิต จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธบิ ายหลกั การในการจ�ำ แนกสง่ิ มชี วี ติ ออกเปน็ กลมุ่ หรอื หมวดหมตู่ ามระบบของลนิ เนยี ส 2. ยกตัวอย่างการจำ�แนกส่ิงมีชีวิตจากลำ�ดับขั้นใหญ่จนถึงลำ�ดับขั้นเล็กตามระบบของ ลนิ เนียส 3. สบื คน้ ขอ้ มลู และอธบิ ายความส�ำ คญั ของชอื่ วทิ ยาศาสตร์ และวธิ กี ารเขยี นชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ ในลำ�ดบั ข้ันสปชี ีส์ 4. อธิบายความส�ำ คญั ของการระบุชือ่ วิทยาศาสตร์ และวธิ ีการระบุ 5. สร้างไดโคโทมัสคยี ์ในการระบุส่ิงมชี ีวิตหรือตัวอยา่ งที่ก�ำ หนด 6. อภิปรายความสัมพันธ์ของการจำ�แนก การตงั้ ชอื่ และการระบุ แนวการจดั การเรียนรู้ ครนู �ำ เขา้ สหู่ วั ขอ้ การศกึ ษาความหลากหลายของสง่ิ มชี วี ติ โดยอาจใชร้ ปู 23.69 และอภปิ ราย รว่ มกบั นกั เรยี นโดยใชค้ �ำ ถาม ดงั น้ี โลมาเปน็ ปลาหรือไม่ โลมาและฉลามจดั เป็นสิง่ มชี ีวติ กลุ่มเดียวกันหรอื ไม่ เพราะเหตใุ ด ถ้าส�ำ รวจความเข้าใจของคนทว่ั ไป จะยังพบวา่ มีความเขา้ ใจวา่ โลมาเปน็ ปลาอยูห่ รอื ไม่ ค�ำ ตอบของนกั เรยี นอาจมไี ดห้ ลากหลายตามประสบการณข์ องแตล่ ะคน จากนน้ั ครอู าจจดั ท�ำ ใบความรเู้ กย่ี วกบั โลมาและปลาฉลามใหน้ กั เรยี นศกึ ษาเพม่ิ เตมิ และใหน้ กั เรยี นอภปิ รายเกย่ี วกบั ลกั ษณะ ของโลมาและปลาฉลามว่าเป็นอย่างไร มีลักษณะท่ีเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรบ้าง และมี ชอ่ื วทิ ยาศาสตรว์ า่ อะไร จากนน้ั ครอู ธบิ ายเพอ่ื ใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจวา่ การศกึ ษาทท่ี �ำ ใหส้ ามารถจ�ำ แนกโลมา และปลาฉลามไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง คอื ศาสตรท์ างดา้ นอนกุ รมวธิ านทม่ี กี ระบวนการพน้ื ฐาน คอื การจ�ำ แนก การตง้ั ชอ่ื และการระบุ ครอู าจยกตวั อยา่ งการจดั การหนงั สอื ในหอ้ งสมดุ หรอื การจดั เกบ็ ขอ้ มลู ในคอมพวิ เตอร์ เพอ่ื น�ำ มาเปรยี บเทยี บกบั กระบวนการจ�ำ แนก การตง้ั ชอ่ื และการระบุ โดยครอู าจแจกเอกสารทม่ี ขี อ้ มลู เกย่ี วกบั การจัดการห้องสมุด หรือรูปการจัดเก็บข้อมูลในคอมพิวเตอร์ และให้นักเรียนบอกส่วนของข้อมูลใน เอกสารท่เี ป็นการจำ�แนก การต้งั ช่อื และการระบุ ดังตัวอย่างท่ี 1 และ 2 จากน้นั ให้อภิปรายร่วมกัน เกย่ี วกบั การจ�ำ แนก การตง้ั ชอ่ื การระบุ และความส�ำ คญั ของแตล่ ะกระบวนการ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชวี วทิ ยา เล่ม 6 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ 85 ตวั อย่างที่ 1 การจำ�แนก การต้งั ชอื่ ห้องสมดุ การระบุ เม่ือมีหนังสือใหม่เพ่ิมเข้ามาในห้องสมุด บรรณารักษ์จะทำ�การ เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู หนงั สอื แตล่ ะเลม่ ทงั้ ชอ่ื หนงั สอื ลกั ษณะเนอื้ หา ชอ่ื ผู้แต่ง ครั้งท่ีจัดพิมพ์ และพิจารณาเพื่อจำ�แนกหนังสือใหม่น้ีไว้ใน หมวดหมู่ท่ีเป็นประเภทเดียวกัน เช่น ประวัติศาสตร์ ภาษาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เป็นต้น โดยก่อนนำ�ไปวางท่ีชั้นหนังสือตามหมวดหมู่ บรรณารักษจ์ ะต้องจดั ท�ำ หัสเฉพาะสำ�หรับหนงั สอื แตล่ ะเลม่ เม่ือผู้ใช้บริการต้องการค้นหาหนังสือในห้องสมุด สามารถใช้ ลักษณะหนังสือเป็นคำ�ค้นจากระบบสารสนเทศของห้องสมุด จะได้ รหัสเฉพาะซ่งึ ระบุตำ�แหน่งหนังสือเล่มท่ตี ้องการไดง้ ่ายและรวดเรว็ ตัวอย่างท่ี 2 Biology My computer Art Biology Report Computer Chemistry Homework Desktop English Physics Animal Downloads Math Astronomy & Space Fish Documents Science Statistics Pictures Social Fish.jpeg Music Thai Survey Local Disk (C:) Shark jpeg Image - 1.2 MB Drive D: Grade Created 12/08/19 6.37 PM DLiMamsotedOnitpioeednn 15/08/19 7.42 PM 15/08/19 7.42 PM - 1 of 8 selected. 151.28 GB availiable การจ�ำ แนก : ก ารแยกประเภทของไฟลเ์ อกสารโดยมกี ารจดั เกบ็ ไวเ้ ปน็ โฟลเดอร์ และในแตล่ ะโฟลเดอร์ อาจมโี ฟลเดอรย์ อ่ ย ๆ เพ่อื แยกประเภทของไฟลเ์ อกสารทีเ่ กบ็ ในโฟลเดอรน์ ้นั อกี การตั้งช่อื : ไฟล์เอกสารและโฟลเดอร์จะมีการต้ังชื่อ และในโฟลเดอร์เดียวกันจะไม่สามารถตั้งช่ือ ซำ�้ ได้ การระบุ : เมอ่ื มผี ทู้ ต่ี อ้ งการคน้ หาไฟลเ์ อกสาร จะตอ้ งทราบประเภทของไฟลเ์ อกสารนน้ั  ๆ เพอ่ื จะ ได้คน้ หาชอ่ื โฟลเดอร์ที่ไฟล์นั้นจัดเก็บอยไู่ ดถ้ กู ต้อง สะดวก และรวดเร็ว สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

86 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ ชวี วทิ ยา เลม่ 6 จากการอภปิ รายรว่ มกนั ระหวา่ งครแู ละนกั เรยี น ควรสรปุ ไดว้ า่ เมอ่ื เปรยี บเทยี บการจดั การขอ้ มลู ตา่ ง ๆ จ�ำ นวนมากทง้ั ในหอ้ งสมดุ และการจดั เกบ็ ขอ้ มลู ในคอมพวิ เตอรน์ น้ั การจ�ำ แนกและการตง้ั ชอ่ื จะ ชว่ ยท�ำ ใหผ้ ใู้ ชส้ ามารถหาขอ้ มลู ไดอ้ ยา่ งเปน็ ระบบและรวดเรว็ ในงานอนกุ รมวธิ านซง่ึ มขี อ้ มลู ของสง่ิ มชี วี ติ จำ�นวนมากก็มีการจำ�แนกและการต้งั ช่อื ซ่งึ ทำ�ให้เราสามารถจัดกล่มุ ส่งิ มีชีวิตได้อย่างเป็นระบบ และ สามารถสอ่ื สารไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งชดั เจนเชน่ กนั แตอ่ ยา่ งไรกต็ ามการจ�ำ แนก การตง้ั ชอ่ื และการระบใุ นงาน อนกุ รมวธิ านจะมหี ลกั การ กฎเกณฑ์ และวธิ กี ารทเ่ี ปน็ รปู แบบมาตรฐาน ท�ำ ใหน้ กั วทิ ยาศาสตรส์ ามารถ ปฏบิ ตั แิ ละเขา้ ใจไปในทศิ ทางเดยี วกนั ได้ 23.3.1 การจ�ำ แนกสงิ่ มีชวี ิต ครูอธิบายเก่ียวกับหลักการในการจำ�แนกส่ิงมีชีวิต โดยกลุ่มส่ิงมีชีวิตท่ีจำ�แนกได้เรียกว่า หน่วยอนุกรมวิธาน ซ่งึ จะแบ่งเป็นลำ�ดับข้นั ต่าง ๆ ต้งั แต่ลำ�ดับข้นั ใหญ่จนถึงลำ�ดับข้นั เล็ก โดยครูอาจ ยกตวั อยา่ งใหน้ กั เรยี นอภปิ รายรว่ มกนั โดยใชป้ ฏทิ นิ และเวลาเพอ่ื ใหเ้ ขา้ ใจเกย่ี วกบั การจ�ำ แนกเปน็ ล�ำ ดบั ขน้ั ใหญไ่ ปเลก็ โดยใหน้ กั เรยี นลองเรยี งล�ำ ดบั วา่ หนว่ ยทใ่ี หญท่ ส่ี ดุ ของเวลาทเ่ี หน็ ในปฏทิ นิ คอื อะไร จน กระทง่ั ถงึ หนว่ ยทเ่ี ลก็ ทส่ี ดุ ทเ่ี หน็ ในนาฬกิ าคอื อะไร โดยค�ำ ตอบทไ่ี ดค้ วรเปน็ ดงั น้ี หนว่ ยทใ่ี หญท่ ส่ี ดุ จนถงึ หน่วยท่ีเล็กท่ีสุด คือ ปี เดือน สัปดาห์ วัน ช่ัวโมง นาที วินาที หรืออาจให้พิจารณาแผนท่ีโลกและ เรยี งล�ำ ดบั จนถงึ บา้ นของนกั เรยี น จากนน้ั ครอู ธบิ ายระบบการจ�ำ แนกสง่ิ มชี วี ติ ทใ่ี ชก้ นั ในปจั จบุ นั ซง่ึ จ�ำ แนก ipst.me/10812 ออกเป็นลำ�ดับข้นั ใหญ่จนถึงลำ�ดับข้นั เล็กลดหล่นั กันเป็น 7 ลำ�ดับข้นั โดยใช้รูป 23.70 ซง่ึ แสดงการจ�ำ แนกปลาฉลามแซลมอนและโลมาปากขวดอนิ โดแปซกิ ฟกิ โดยสามารถขยายเพอ่ื ดรู ายละเอยี ดของรปู 23.70 ไดจ้ าก QR code และใชข้ อ้ มลู เพม่ิ เตมิ ในตารางประกอบการอธบิ าย Kingdom Animalia – สิ่งมีชีวติ ในคิงดอมนต้ี ้องมีลกั ษณะร่วมของสตั ว์ Phylum Chordata – สัตวใ์ นไฟลมั น้ีต้องทมี่ ลี ักษณะรว่ มของกลุ่มคอร์เดต Class Chondrichthyes – สัตว์ในคลาสน้ี เช่น Mammalia - สตั วใ์ นคลาสนตี้ อ้ งมลี กั ษณะ ปลาฉลาม ปลากระเบน ต้องมีลักษณะร่วม รว่ มของสตั วเ์ ลย้ี งลกู ดว้ ยน�ำ้ นม ซง่ึ เปน็ สตั ว์ ข อ ง ป ล า ก ร ะ ดู ก อ่ อ น ซ่ึ ง เ ป็ น ป ล า ท่ี มี ที่มีขากรรไกร มีต่อมน้ำ�นม มีขนแบบขน ขากรรไกร มีครีบเด่ียวและครีบคู่ มีเกล็ด เส้นเดี่ยวปกคลุมลำ�ตัว ใช้ปอดในการ ปกคลุมผิวหนงั เหน็ ช่องเหงือกชดั เจน และ แลกเปล่ยี นแก๊ส เลือกเปลยี่ นแกส๊ โดยใช้เหงือก สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชวี วทิ ยา เล่ม 6 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ 87 Lamniformes – สัตว์ในออร์เดอร์น้ี เช่น Cetacea - สตั วใ์ นออรเ์ ดอรน์ ี้ เชน่ โลมาปาก ปลาฉลามแซลมอน (salmon shark ข ว ด อิ น โ ด แ ป ซิ ฟิ ก ( i n d o - p a ci f i c มีชอ่ื วทิ ยาศาสตรว์ า่ Lamna ditropis), bottlenose dolphin มีชอ่ื วิทยาศาสตรว์ ่า ปลาฉลามพอบเิ กลิ (porbeagle shark Tursiops aduncus), โลมาปากขวดธรรมดา มีช่อื วทิ ยาศาสตรว์ ่า Lamna nasus), (common bottlenose dolphin ปลาฉลามขาว (great white shark มชี อื่ วทิ ยาศาสตรว์ า่ Tursiops truncates), มี ชื่ อ วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ ว่ า C a r c h a r o d o n วาฬเพชฌฆาต (killer whale dolphin carcharias), ปลาฉลามหางยาวหน้าหนู มีช่ือวิทยาศาสตร์ว่า Orcinus orca), (bigeye thresher shark มีชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ วาฬสนี �้ำ เงนิ (blue whale มชี อื่ วทิ ยาศาสตร์ ว่า Alopias superciliosus) เป็นต้น โดย ว่า balaenoptera musculu) เป็นต้น ลักษณะเด่นของสัตว์ในออร์เดอร์นี้ เช่น โดยลกั ษณะเดน่ ของสตั วใ์ นออรเ์ ดอรน์ ี้ เชน่ ล�ำ ตวั เปน็ ทรงกระบอก สว่ นหวั เปน็ รปู กรวย มีครีบข้างลำ�ตัว (flipper) คล้ายใบพาย มี Order หรอื ทรงกระบอก มชี อ่ งเหงอื ก 5 ชอ่ งอยทู่ าง ครบี หาง (fluke) เป็นแผน่ แบนในแนวนอน ดา้ นขา้ งของสว่ นหวั ไมม่ หี นงั ตาทอี่ ยดู่ า้ นใน มี จ ะ ง อ ย ป า ก ( b e a k ) มี ช่ อ ง ห า ย ใ จ ของหนังตาล่างท่ีเรียกว่า nictitating (blowhole) อยสู่ ว่ นบนของหัว มที ่อหายใจ membrane ซึ่งจะท�ำ หนา้ ที่ปิดตา สว่ นปาก กับช่องปากแยกกัน ไม่มีต่อมเหงื่อ สัตว์ใน มีขนาดตั้งแต่ค่อนข้างกว้างจนถึงกว้างมาก ออร์เดอร์นี้มีขนาดต้ังแต่ 1.2 – 30 เมตร มคี รีบหลัง 2 อัน ซ่งึ ครีบหลงั ไม่มีสันยน่ื จาก ลำ�ตัวอาจมีสีขาว ดำ� เทา น้ำ�เงินเทา หรือ ผวิ หนา้ ของเกลด็ มคี รบี อกขนาดกลางจนถงึ ชมพู และสว่ นใหญจ่ ะมลี ายหรอื จดุ กระจาย ขนาดใหญ่ มีครีบสะโพกขนาดเล็กจนถึง ทล่ี ำ�ตัว ขนาดคอ่ นขา้ งใหญ่ มคี รบี กน้ และมคี รบี หาง 2 แฉกท่ีขนาดไม่เท่ากันโดยครีบหางส่วน หลงั (dorsal lobe) มขี นาดยาว สว่ นครบี หาง สว่ นทอ้ ง (ventral lobe) มขี นาดสนั้ กวา่ หรอื อาจไม่มเี ลย สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

88 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ ชวี วิทยา เล่ม 6 Family Lamnidae – สตั วใ์ นแฟมลิ นี ้ี เชน่ ปลาฉลาม Delphinidae - สัตวใ์ นแฟมิลีน้ี เช่น โลมา แซลมอน, ปลาฉลามพอบเิ กลิ , ปลาฉลามขาว ปากขวดอินโดแปซิฟิก, โลมาปากขวด เ ป็ น ต้ น โ ด ย ลั ก ษ ณ ะ เ ด่ น ข อ ง สั ต ว์ ใ น ธรรมดา, วาฬเพชฌฆาต เป็นต้น โดย แฟมลิ นี ้ี เชน่ ล�ำ ตวั เปน็ รปู ทรงกระสวย สว่ นหวั ลกั ษณะเดน่ ของสัตวใ์ นแฟมลิ ีน้ี เชน่ ลำ�ตัว มขี นาดยาวแตส่ น้ั กวา่ ล�ำ ตวั จะงอยปากยาว มขี นาดตงั้ แต่ 1.5 – 10 เมตร สว่ นใหญเ่ พศผู้ แหลมเปน็ ทรงกรวย ตามขี นาดคอ่ นขา้ งใหญ่ มีขนาดใหญ่กว่าเพศเมีย ภายในส่วนหน้า ปากมขี นาดใหญ่ มชี ่องเหงอื กขนาดใหญ่ มี ของหวั มโี ครงสร้างท่เี รียกวา่ melon ท�ำ ให้ ฟนั ขนาดใหญ่ ครีบหลังอนั แรกมีขนาดใหญ่ มลี กั ษณะนนู ออกมาเหนอื จะงอยปาก สว่ น ครีบหลังอันที่สองและครีบก้นมีขนาดเล็ก ใหญ่มีลำ�ตัวเป็นมันเงา ครีบหลังมีลักษณะ มากเม่ือเทยี บกับครีบหลังอนั แรก ครีบอกมี ยาวและโค้งไปทางดา้ นหลงั ลักษณะยาวและแคบ ครีบสะโพกมีขนาด เล็กกว่าครีบหลังอันแรกแต่ใหญ่กว่าครีบ หลงั อนั ทสี่ องและครบี กน้ ครบี หางมลี กั ษณะ คล้ายพระจันทร์เสยี้ ว Lamna - สัตว์ในจีนัสน้ี เช่น ปลาฉลาม Tursiops - สตั วใ์ นจนี สั น้ี เชน่ โลมาปากขวด แซลมอน, ปลาฉลามพอบิเกิล เป็นต้น โดย อนิ โดแปซฟิ กิ , โลมาปากขวดธรรมดา เปน็ ตน้ ลักษณะเด่นของสัตว์ในจีนัสน้ี เช่น ลำ�ตัว โดยลกั ษณะเดน่ ของสตั วใ์ นจนี สั น้ี เชน่ ล�ำ ตวั มี Genus อ้วน ปากมีลักษณะโค้งแบบมมุ กวา้ ง และมี สีนำ�้ เงินเข้มอมเทา ขนาดลำ�ตัวใหญ่เพรียว จะงอยปากเป็นรูปทรงกรวย ส่วนต้นของ ยาวเป็นทรงกระสวย รูปร่างค่อนข้างอ้วน ครีบหลังอันแรกมีตำ�แหน่งเย้ืองไปทางด้าน จะงอยปากคอ่ นขา้ งสน้ั ใหญ่ ครบี หลงั ขนาด หลังของครีบสะโพก ครีบก้นมีตำ�แหน่งอยู่ คอ่ นขา้ งใหญ่ เปน็ รปู โคง้ อยกู่ ง่ึ กลางหลงั สว่ น ตรงกบั ครีบหลงั อนั ท่สี อง จมกู โดยมากจะแหลมยาวเหมอื นปากขวด Lamna ditropis - ปลาฉลามแซลมอน พบ Tursiops aduncus - โลมาปากขวดอินโด แถบภาคเหนอื ของมหาสมทุ รแปซฟิ กิ ตวั โต แปซฟิ กิ พบในพนื้ ทอ่ี ากาศอบอนุ่ และพน้ื ที่ เต็มวัยจะมีสีเทาจนถึงดำ�ไปทั้งตัว ครีบหลัง เขตรอ้ น เชน่ ในประเทศไทย สว่ นโลมาปาก Species อนั แรกมสี ดี �ำ สม�ำ่ เสมอ ดา้ นทอ้ งของปลาจะ ขวดธรรมดาพบในมหาสมุทรแอตแลนติก มสี ขี าวและรอยจดุ สเี ขม้ กระจายอยู่ มจี ะงอย ซง่ึ เปน็ พน้ื ทอี่ ากาศหนาวเยน็ และโลมาปาก ปากสั้นกว่าจะงอยปากของปลาฉลาม ขวดอินโดแปซิฟิกมีจุดสีเทาเข้มประปราย พอบเิ กิล ตามลำ�ตัวด้านข้างและด้านท้อง และมี ขนาดลำ�ตัวเลก็ กวา่ โลมาปากขวดธรรมดา สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชีววิทยา เลม่ 6 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ 89 จากนน้ั ครใู หน้ กั เรยี นตอบค�ำ ถามในหนงั สอื เรยี นซง่ึ มแี นวค�ำ ตอบ ดงั น้ี จากรูป 23.70 สิ่งมีชีวิตในคิงดอม Animalia ชนิดใดท่ีไม่ถูกจำ�แนกไว้ในไฟลัม Chordata เพราะเหตุใด สัตว์ที่ไม่ถูกจำ�แนกไว้ในไฟลัมคอร์ดาตา คือ กุ้ง หอยทาก ผีเส้ือ พลานาเรีย ดาวทะเล แมงกะพุรน และฟองน้ำ� เพราะไม่มีโนโทคอร์ด ท่อประสาทกลวงทางด้านหลัง ถุงคอหอย และหาง ซึง่ เปน็ ลักษณะร่วมของสัตวใ์ นกล่มุ คอร์เดต จากรูป 23.70 สัตว์ในคลาส Chondrichthyes มีลักษณะใดร่วมกันบ้าง และสัตว์ในคลาส Mammalia มีลกั ษณะใดรว่ มกันบา้ ง คลาส Chondrichthyes มีลักษณะร่วม คือ เป็นปลากระดูกอ่อนที่มีขากรรไกร ส่วนคลาส Mammalia เปน็ สตั วเ์ ลยี้ งลกู ดว้ ยน�ำ้ นม ทมี่ ลี กั ษณะรว่ ม คอื มโี ครงรา่ งแขง็ มขี นแบบขนเสน้ เด่ียว มปี อดและรยางค์ มถี ุงน้ำ�น�ำ้ ครำ�่ และตอ่ มน้ำ�นม เป็นต้น หน่วยอนกุ รมวธิ านลำ�ดับขนั้ ใดทมี่ คี วามหลากหลายของสงิ่ มชี วี ติ มากท่สี ดุ คงิ ดอม แนวการคิด ครูให้นักเรียนสังเกตและเปรียบเทียบความหลากหลายของส่ิงมีชีวิตในแต่ละ ลำ�ดับขั้นในรูป 23.70 เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่าเม่ือเปรียบเทียบกันจะเห็นว่าในลำ�ดับขั้นคิงดอม มีความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตมากท่สี ุด หนว่ ยอนกุ รมวธิ านล�ำ ดับขัน้ ใดทีส่ ่งิ มีชวี ิตมจี ำ�นวนลกั ษณะร่วมมากที่สุด สปีชีส์ แนวการคดิ ครเู นน้ ย�ำ ใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจวา่ สงิ่ มชี วี ติ ทจ่ี �ำ แนกอยใู่ นหนว่ ยอนกุ รมวธิ านเดยี วกนั ตอ้ งมลี กั ษณะรว่ มกนั จากนน้ั ใหน้ กั เรยี นสงั เกตและเปรยี บเทยี บเกย่ี วกบั จ�ำ นวนลกั ษณะรว่ ม ในแต่ละลำ�ดับข้ันในรูป 23.70 เพ่ือให้เห็นว่าในลำ�ดับข้ันคิงดอมมีจำ�นวนลักษณะร่วมน้อย ที่สุด และภายในคิงดอมเดียวกันจะมีหลายไฟลัม ซึ่งแต่ละไฟลัมจะมีลักษณะร่วมที่ปรากฏ ในคิงดอม และมีลักษณะร่วมของสิ่งมีชีวิตในไฟลัมน้ัน ๆ เพ่ิมขึ้นด้วย ทำ�ให้จำ�นวนลักษณะ รว่ มในไฟลมั มมี ากกวา่ คงิ ดอม ในท�ำ นองเดยี วกนั นลี้ �ำ ดบั ขน้ั ทเี่ ลก็ ลงจงึ มจี �ำ นวนลกั ษณะรว่ ม ทเี่ พม่ิ มากขน้ึ เรอ่ื ย ๆ ดว้ ยเหตนุ ใ้ี นล�ำ ดบั ขนั้ สปชี สี จ์ งึ มจี �ำ นวนลกั ษณะรว่ มทม่ี ากทส่ี ดุ เนอ่ื งจาก สง่ิ มชี ีวติ ในล�ำ ดบั ขน้ั นีจ้ ะมีลักษณะร่วมท่ปี รากฏต้งั แต่คงิ ดอม ไฟลมั คลาส ออรเ์ ดอร์ แฟมลี ี จนี สั และสปีชสี ์ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี