Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore (คู่มือ) หนังสือเรียนสสวท เพิ่มเติมฟิสิกส์1

(คู่มือ) หนังสือเรียนสสวท เพิ่มเติมฟิสิกส์1

Published by แชร์งานครู Teachers Sharing, 2021-01-26 04:47:02

Description: (คู่มือ) หนังสือเรียนสสวท เพิ่มเติมฟิสิกส์1
คู่มือครู รายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เล่ม 1
ตามผลเรียนรู้
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551

Keywords: (คู่มือ) หนังสือเรียนสสวท เพิ่มเติมฟิสิกส์1,คู่มือครู รายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์,กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560),หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551

Search

Read the Text Version

ฟสิ ิกส์ เล่ม 1 บทท่ี 3 | แรงและกฎการเคล่ือนท่ี 237 จา กสมการ fk = µk N = µk (mg) จะได้ f1 = (0.4)(1.0 kg)(9.8 m/s2 ) f1 = 3.92 N ตอบ แรงเสยี ดทานจลน์ระหวา่ งมวล 1.0 และ 5.0 กโิ ลกรัม มคี า่ 3.92 นวิ ตัน ค. ให้แรงเสียดทานจลนร์ ะหวา่ งมวล 5.0 กโิ ลกรัม กับพน้ื เปน็ f2 = µk N แรงท่กี ดพ้นื ท้ังหมดเกดิ จากนำ�้ หนกั ของมวลทั้งสองก้อน f2 = µk N = (0.5)(5.0 kg+1.0 kg)(9.8 m/s2 ) f2 = 29.4 N ตอบ แรงเสยี ดทานจลนร์ ะหว่างมวล 5.0 กโิ ลกรมั กบั พืน้ มคี ่า 29.4 นิวตนั ง. ให้ความเรง่ ของระบบเปน็ a แรงดงึ ในเส้นเชอื กเปน็ T เม่ือใช้แรง F 50.0 นิวตนั ดึงมวล 5.0 กิโลกรัม คดิ ที่มวล 5.0 กโิ ลกรัม ขณะทแี่ ผน่ ไมม้ วล 5.0 กิโลกรัม เคล่อื นที่ไปทางขวา แรงเสยี ดทานจลน์ f1 กับ f2 มีทิศทางซา้ ย จากแผนภาพของแรงทีก่ ระทำ�ตอ่ มวล 5.0 กโิ ลกรมั ในข้อก. ∑ จากกฎขอ้ ทส่ี องของนวิ ตนั F = ma ให้ทศิ ทางขวาเปน็ บวก F − f1 − f2 − T = (5.0 kg)(a) คดิ ท่มี วล 1.0 กิโลกรัม ขณะทแ่ี ผน่ ไม้มวล 5.0 กโิ ลกรัม เคลอ่ื นท่ไี ปทางขวา แรงดึงเชอื ก T จะดึงมวล 1.0 กิโลกรมั เคลื่อนท่ีไปทางซา้ ย แรงเสยี ดทาTน− f1 =ม(ีท1ศิ .0ทkางgข)ว(าa)จากแผนภาพของแรงทก่ี ระท�ำ ตอ่ มวล 1.0 กิโลกรมั ก. จะได้ T − f1 = (1.0 kg)(a) (2) (1) + (2) F − 2 f1 − f2 = (6.0 kg)(a)

238 บทที่ 3 | แรงและกฎการเคลอ่ื นที่ ฟิสิกส์ เล่ม 1 จะได้ (50.0 N) − (2)(3.92 N) − (29.40 N) = (6.0 kg)(a) a = 12.76 N 6 kg a = 2.13m/s2 ตอบ ความเร่งของระบบมคี า่ 2.13 เมตรต่อวินาท2ี 27. ออกแรง F ในแนวระดับ ผลกั มวล M ให้เคลอ่ื นท่ไี ปบนพ้ืนลื่นดว้ ยความเร่ง a โดยมีกลอ่ ง มวล สมั ผัสกบั ผวิ มวล M ดงั รูป รูป ประกอบปญั หาท้าทายข้อ 27 ถา้ ขนาดของแรง F เป็นแรงที่นอ้ ยที่สุดทท่ี ำ�ใหม้ วล M เคล่ือนท่ี โดยกลอ่ งมวล M ไม่ไถลลง ให้ g เปน็ ความเร่งโนม้ ถ่วง สัมประสทิ ธคิ์ วามเสยี ดทานสถิตระหวา่ งมวลทง้ั สองมีคา่ เท่าใด ในเทอม M, g และ F ∑วธิ ีทำ� หาความเร่ง a ของระบบ จากกฎขอ้ ทีส่ องของนวิ ตัน F = ma F =  M + M  a  4  a=4 F 5M ให้ N เป็นแรงที่มวล M กระทำ�ตอ่ มวล M ในแนวตงั้ ฉาก

ฟิสกิ ส์ เล่ม 1 บทที่ 3 | แรงและกฎการเคลื่อนท่ี 239 N=Ma 4 = M  4 F  4  5 M  N=F 5 กล่องไม่ไถลลง แสดงวา่ แรงเสยี ดทานสถติ สูงสดุ fs,max เทา่ กับนำ้�หนักกล่อง W fs,max = W µ  F  =  M  g  5   4  µ = 5 Mg 4F ตอบ สมั ประสทิ ธคิ์ วามเสียดทานสถติ ระหว่างผิวของมวลทงั้ สองมคี า่ 5 Mg 4F

240 บทที่ 3 | แรงและกฎการเคลื่อนท่ี ฟสิ ิกส์ เล่ม 1 28. มวล m และ M วางอย่บู นพน้ื ราบผวิ เกลย้ี ง โดย M มีค่ามากกว่า m มแี รง F กระทำ�ต่อมวล m ในแนวขนานกับพน้ื ทำ�ให้มวลท้ังสองเคลอื่ นที่ตดิ กันไปดว้ ยความเรง่ a ดงั รูป 1 รปู ท่ี 1 รปู ท่ี 2 รปู ประกอบปญั หาท้าทายข้อ 28 ตอ่ มาใหแ้ รง F กระทำ�ตอ่ มวล M ทำ�ให้มวลทงั้ สองเคล่ือนทีต่ ิดกันไปดว้ ยขนาดความเรง่ เทา่ เดมิ แต่มีทิศทางตรงขา้ ม ดังรูป 2 จงแสดงวา่ แรงทีม่ วล m และ M กระทำ�ตอ่ กันท้ังสองกรณมี คี า่ เท่า กนั หรือไม่ วธิ ที �ำ พจิ ารณารูป 1 ให้ R1 เปน็ แรงทมี่ วลทั้งสองกระทำ�ต่อกัน เขยี นแผนภาพของแรงทกี่ ระท�ำ ต่อมวล m และ M ได้ดงั รปู หาแรงกระท�ำ ระหว่างมวล จากกฎการเคล่อื นทขี่ ้อท่สี องของนวิ ตัน ∑ F = ma มวล m จะได้ มวล M จะได้ F − R1 = ma (1) R1 = Ma a = R1 (2) M แทนคา่ a จากสมการ (2) ใน (1) จะได้

ฟสิ กิ ส์ เล่ม 1 บทท่ี 3 | แรงและกฎการเคลือ่ นที่ 241 F − R1 = m  R1   M  MF − MR1 = mR1 R1 =  M  F (3)  m+M  พิจารณารูป 2 ให้ R2 เปน็ แรงทีม่ วลทง้ั สองกระทำ�ต่อกัน เขยี นแผนภาพของแรงทก่ี ระทำ�ต่อมวล m และ M ไดด้ งั รปู ในท�ำ นองเดียวกนั หาแรงกระทำ�ระหว่างมวล จากกฎการเคล่ือนทข่ี ้อทส่ี องของนวิ ตันได้ F − R2 = Ma (4) แล ะ R2 = ma a = R2 (5) m แทนค่า a จากสมการ (5) ใน (4) จะได้ F − R2 = M R2 m R2 =  m m  F (6)  +M 

242 บทที่ 3 | แรงและกฎการเคลือ่ นท่ี ฟิสิกส์ เลม่ 1 (3) R1 = M (6) R2 m จากสมการ (3) และ (6) จะได้ R1 > R2 ตอบ แรงทม่ี วล m และ M กระทำ�ตอ่ กันท้งั สองกรณมี คี ่าไม่เทา่ กัน 29. วตั ถุก้อนหน่ึงหนัก W อย่บู นพืน้ ล่ืน ถูกแรง F กระท�ำ ในทศิ ทางท�ำ มมุ 30 องศากบั แนวระดบั ดงั รูป รปู ประกอบปญั หาท้าทายข้อ 29 รูปท่ี 1 รูปท่ี 2 ก. แรงปฏิกิริยาของพื้นที่กระทำ�ต่อวัตถุทั้งสองรูปในทิศทางตั้งฉากกับพ้ืนมีค่าเท่ากัน หรือไม่ เพราะเหตใุ ด ข. ในกรณพี ้ืนทมี่ ีความฝดื จะท�ำ ใหแ้ รงปฏกิ ริ ิยาของพนื้ ทีก่ ระทำ�ตอ่ วตั ถใุ นทศิ ทางต้ังฉาก กบั พ้ืน เปลยี่ นแปลงหรอื ไม่ เพราะเหตุใด วธิ ีท�ำ ก. ให้ N1 และ N2 เปน็ แรงปฏิกริ ิยาทพ่ี นื้ กระท�ำ ต่อวัตถใุ นทิศทางตงั้ ฉาก เขยี นแผนภาพของแรงทก่ี ระท�ำ ตอ่ วตั ถใุ นรูป 1

ฟสิ ิกส์ เล่ม 1 บทที่ 3 | แรงและกฎการเคลอ่ื นที่ 243 หาแรง N1 ได้จาก N1 + F sin 30° = W N1 = W − F sin 30° F แรง N1 มคี ่า N1 =W − 2 ดังน้ัน รปู 1 แรงปฏิกิริยาของพื้นท่กี ระทำ�ต่อวตั ถใุ นทศิ ทางตั้งฉากกบั พื้นมีค่าเท่ากบั W − F 2 พิจารณาจากแผนภาพของแรงทีก่ ระทำ�ต่อวตั ถุในรปู 2 หาแรงปฏกิ ิรยิ าในทศิ ทางต้ังฉาก N2 ได้ N2 = W + F sin 30° N2 = W + F 2 W+F รูป 2 แรงปฏกิ ิริยาของพื้นท่ีกระทำ�ต่อวัตถุในทิศทางตั้งฉากกบั พืน้ มีคา่ เทา่ กับ 2 ดังนัน้ แรงปฏกิ ริ ยิ า N2 ทพี น้ื กระท�ำ ต่อวตั ถุรปู 2 มคี า่ มากกว่ารปู 1 ตอบ แรงปฏิกริ ิยาของพนื้ ท่ีกระท�ำ ต่อวตั ถุทั้งสองรูปในทศิ ทางตง้ั ฉากกับพ้ืนมคี ่าไมเ่ ท่ากัน

244 บทที่ 3 | แรงและกฎการเคลื่อนที่ ฟสิ กิ ส์ เล่ม 1 ข. เมือ่ พื้นมคี วามฝืด จะไมม่ ีผลต่อคา่ N1 และ N2 ซ่งึ เปน็ แรงปฏกิ ิริยาในทศิ ทางตั้งฉากกับพื้น ตอบ ในกรณีพ้ืนท่ีมีความฝืด จะทำ�ให้แรงปฏิกิริยาของพ้ืนที่กระทำ�ต่อวัตถุในทิศทางตั้งฉาก กับพื้น ไม่เปลี่ยนแปลง เน่ืองจากแรงปฏิกิริยาของพ้ืนท่ีกระทำ�ต่อวัตถุอยู่ในทิศทางต้ังฉากกับ ทศิ ทางของแรงเสียดทาน 30. อนภุ าค A B และ C มีมวลขนาดเทา่ กัน วางไวท้ ี่ตำ�แหนง่ ดังรปู รูป ประกอบปญั หาทา้ ทายข้อ 30 ถา้ ต้องการทำ�ให้แรงลัพธ์เนอ่ื งจากแรงดึงดูดระหวา่ งมวลทีก่ ระทำ�ต่ออนภุ าค B เป็นศูนย์ จะตอ้ ง วางอนุภาค X ซ่งึ มมี วลเทา่ กับสามอนภุ าคแรกที่ตำ�แหน่งใด และหา่ งจากอนภุ าค B เท่าใด วธิ ีทำ� ให้ F1 และ F2 เป็นแรงโนม้ ถว่ งทอี่ นภุ าค A และ C กระท�ำ ตอ่ อนุภาค B ตามล�ำ ดบั F12 เปน็ แรงลัพธข์ องแรง F1 และ F2 มที ิศทางดังรูป ถา้ ตอ้ งการใหแ้ รงลัพธท์ กี่ ระทำ�ตอ่ อนุภาค B เปน็ ศนู ย์ จะตอ้ งวางอนภุ าค X ในแนวเดยี วกับแรง F12 ห่างจากอนภุ าค B เป็น ระยะ r ในทศิ ทางตรงข้าม ดงั รูป

ฟสิ ิกส์ เลม่ 1 บทที่ 3 | แรงและกฎการเคลื่อนที่ 245 ให้ F3 เปน็ แรงโน้มถ่วงที่อนุภาค X กระท�ำ ต่ออนุภาค B แรง F1 จะตอ้ งมีขนาดเทา่ กับขนาด ของแรง F12 แต่มที ศิ ทางตรงข้าม F = G m1m2 จะได้ F1 F2 และ F12 ดังน้ี จากกฎแรงดงึ ดดู ระหว่างมวลของนิวตนั r2 F1 = G mm d2 = G m2 d2 F2 = G mm d2 และ = F1 F3 = G mm r2 ขนาดของแรงลัพธ์ F12 มคี ่าดงั นี้ = G m2 r2

246 บทท่ี 3 | แรงและกฎการเคลื่อนที่ ฟสิ ิกส์ เล่ม 1 F12 = F12 + F22 = 2F12 = F1 2 F12 = G m2 2 d2 โดย F1 และ F2 มขี นาดเทา่ กัน ดังนนั้ F12 ซงึ่ เปน็ แรงลัพธจ์ งึ ท�ำ มุม 45 องศากบั แกน +xx แต่ F3 = F12 G m2 = G m2 2 r2 d2 r m=2 d m2 2 G r2 =214G d2 ตอบ ตอ้ งวางอนภุ าค X ห่างจากอนภุ าค B เปน็ รrะย=ะ d โดยทำ�มมุ 45 องศากบั แกน -x 1 24 31. วตั ถุ 3 ก้อน มมี วล m , 2m และ 3m อยูห่ า่ งเท่ากบั r ดงั รูป และ r แรงดงึ ดูดระหว่างมวลท่ีเกดิ กบั มวล m มขี นาดเปน็ เท่าใด ตอบในเทอม G , m เมอื่ G เป็นค่าคงตัวโน้มถ่วงสากล รปู ประกอบปญั หาทา้ ทายข้อ 31

ฟสิ กิ ส์ เล่ม 1 บทท่ี 3 | แรงและกฎการเคล่อื นที่ 247 วธิ ีท�ำ พจิ ารณาแรงดงึ ดูดระหวา่ งมวล m และ 3m ที่กระท�ำ ตอ่ มวล 2m ให้ FG1 แทนแรงดงึ ดดู ระหว่างมวล m และ 2m FG2 แทนแรงดึงดูดระหว่างมวล 3m และ 2m จากกฎแรงดึงดดู ระหวา่ งมวลของนิวตัน F = −G m1m2 r2 จะได้ FG1 = −G (m)(2m) r2 และ = −G 2m2 r2 FG 2 = G (3m)(2m) r2 = G 6m2 r2 ให้ FG เป็นแรงลัพธท์ เ่ี กดิ กับมวล 2m FG =  G 6m2  +  −G 2m2   r2   r2      ตอ บ แร งดึงดูดระหว่างมวลทเ่ี กิดกบั ม=วลG24mrm2ม2 ีข นาด G 4rm2 2

248 บทที่ 3 | แรงและกฎการเคลื่อนท่ี ฟสิ ิกส์ เลม่ 1 32. นักเรยี นกล่มุ หน่ึงทดลองออกแรงขนานกับพน้ื ขนาดตา่ ง ๆ กระทำ�กับวัตถุทีว่ างบนพื้นราบ ได้ ขนาดของแรงทก่ี ระท�ำ กบั ขนาดความเรง่ ของวัตถุดงั กราฟ รปู ประกอบปญั หาท้าทายขอ้ 32 สัมประสิทธ์ิความเสียดทานจลนร์ ะหว่างวตั ถุกับพ้ืนมีคา่ เทา่ ใด วิธที ำ� เขยี นแผนภาพของแรงทก่ี ระทำ�ต่อมวล m ได้ดงั รูป ∑ จากสมการ Fx = ma จะได้ F − fk = ma F = ma + fk

ฟิสกิ ส์ เลม่ 1 บทที่ 3 | แรงและกฎการเคล่อื นที่ 249 เปน็ สมการเส้นตรงตามรปู แบบ y = kx + c เมอ่ื k คอื ความชันกราฟ และ c คือ จดุ ตัดแกน y จะไดม้ วล m เท่ากับความชนั ของกราฟ และ fk เทา่ กบั จุดตัดแกนแนวด่ิง m = 35.0 N − 5.0 N 12.0 m/s2 − 0 m = 2.5 kg จา กก ราฟ fk = 5.0 N µk N = 5.0 N µk (mg) = 5.0 N µk (2.5 kg)(9.8 m/s2 ) = 5.0 N µk = 0.20 ตอบ สมั ประสทิ ธ์ิความเสียดทานจลนร์ ะหว่างวตั ถกุ บั พนื้ มีค่า 0.20

250 บทที่ 3 | แรงเเละกฎการเคล่ือนท่ี ฟสิ กิ ส์ เล่ม 1

0 สกิ ส์ เลม่ 1 าค นวก 251 ภาคผนวก สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

252 าค นวก สกิ ส์ เล่ม 1 ตวั อยา่ งเครองมอวั และ ระเมิน ล แบบท สอบ การประเมินผลด้วยแบบทดสอบเป็นวิธีท่ีนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในการวัดผลสัมฤทธ์ิใน การเรียนโดยเฉพาะด้านความรู้เเละความสามารถทางสติปัญญาควบคู่ความเข้าใจในลักษณะของ แบบทดสอบ รวมทัง้ ข้อดีและขอ้ จาำ กดั ของแบบทดสอบรูปแบบตา่ งๆ เพ่ือประโยชน์ในการสร้าง หรอื เลือก ใชแ้ บบทดสอบใหเ้ หมาะสมกับสงิ่ ทตี่ อ้ งการวดั โดยลักษณะของแบบทดสอบ รวมทัง้ ข้อดี และข้อจำากดั ของแบบทดสอบรปู แบบตา่ ง ๆ เป็นดังน้ี 1) แบบท สอบแบบทมี ตี ัวเลอก แบบทดสอบแบบทม่ี ตี ัวเลือก ได้แก่ แบบทดสอบแบบเลือกตอบแบบทดสอบแบบถกู หรอื ผดิ และแบบทดสอบแบบจบั คู่ รายละเอยี ดของแบบทดสอบแต่ละแบบเป็นดังนี้ 1.1) แบบทดสอบแบบเลอื กตอบ เป็นแบบทดสอบท่ีมีการกำาหนดตัวเลอื กใหห้ ลายตวั เลือก โดยมตี ัวเลอื กทถี่ ูกเพียงหนง่ึ ตัวเลอื ก องค์ประกอบหลักของแบบทดสอบแบบเลือกตอบม ี 2 สว่ น คอื คำาถามและตัวเลอื ก แต่บางกรณี อาจมีสว่ นของสถานการณเ์ พิม่ ข้ึนมาด้วย แบบทดสอบแบบเลือกตอบมหี ลายรูปแบบ เช่น แบบทดสอบ แบบเลือกตอบคาำ ถามเดี่ยว แบบทดสอบแบบเลอื กตอบคำาถามชดุ แบบทดสอบแบบ เลือกตอบคาำ ถาม 2 ช้นั โครงสรา้ งดงั ตัวอย่าง แบบทดสอบแบบเลอื กคำาตอบคำาถามเดี่ยวทไ่ี มม่ ีสถานการณ์ คาำ ถาม............................................................................................... ตวั เลือก ก................................................................................. ข................................................................................. ค................................................................................. ง................................................................................. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

สิกส์ เลม่ 1 าค นวก 253 แบบทดสอบแบบเลอื กคำาตอบคำาถามเดยี่ วท่ีมีสถานการณ์ สถานการณ.์ ...................................................................................... คำาถาม............................................................................................... ตัวเลือก ก................................................................................. ข................................................................................. ค................................................................................. ง................................................................................. แบบทดสอบแบบเลือกคำาตอบเป็นชดุ สถานการณ.์ ...................................................................................... คำาถามท่ี 1............................................................................................... ตวั เลอื ก ก................................................................................. ข................................................................................. ค................................................................................. ง................................................................................. คำาถามท่ี 2............................................................................................... ตัวเลือก ก................................................................................. ข................................................................................. ค................................................................................. ง................................................................................. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

254 าค นวก สกิ ส์ เล่ม 1 แบบท สอบแบบเลอกคาถาม 2 นั สถานการณ์....................................................................................... คาำ ถามที่ 1......................................................................................... ตวั เลือก ก................................................................................. ข................................................................................. ค................................................................................. ง................................................................................. คาำ ถามท่ี 2...(ถามเหตุผลของการตอบคำาถามท ่ี 1)... ......................................................................................................... ......................................................................................................... แบบทดสอบแบบเลือกตอบมีข้อดีคือ สามารถใช้ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนได้ครอบคลุม เน้ือหาตามจุดประสงค ์ สามารถตรวจใหค้ ะแนนและแปลผลคะแนนไดต้ รงกนั แตม่ ขี อ้ จาำ กดั คือ ไม่เปดิ โอกาสให้นกั เรยี นไดแ้ สดงออกอย่างอสิ ระจงึ ไม่สามารถวัดความคดิ ระดับสูง เช่น ความคิด สร้างสรรค์ได ้ นอกจากน้ีนกั เรยี นท่ีไม่มคี วามรูส้ ามารถเดาคำาตอบได้ 1.2) แบบทดสอบแบบถูกหรือผิด เป็นแบบทดสอบที่มตี ัวเลอื ก ถูกและผิด เทา่ นั้น มอี งค์ประกอบ 2 สว่ น คอื คำาสั่งและ ขอ้ ความให้นักเรียนพิจารณาวา่ ถูกหรือผิด ดงั ตัวอยา่ ง แบบท สอบแบบถก รอ ิ คาำ ส่ัง ใหพ้ จิ ารณาวา่ ข้อความต่อไปนถี้ ูกหรอื ผิด เเลว้ ใส่เครือ่ งหมาย หรือ หน้าขอ้ ความ ................ 1. ข้อความ............................................................................ ................ 2. ข้อความ............................................................................ ................ 3. ข้อความ............................................................................ ................ 4. ข้อความ............................................................................ ................ 5. ขอ้ ความ............................................................................ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

สิกส์ เลม่ 1 าค นวก 255 แบบทดสอบรูปแบบน้ีสามารถสร้างได้งา่ ย รวดเร็ว เเละครอบคลุมเนอื้ หาสามารถตรวจ ไดร้ วดเรว็ เเละให้คะเเนนได้ตรงกัน แต่นักเรยี นมีโอกาสเดาได้มาก และการสรา้ งขอ้ ความเป็นจรงิ หรือ เป็นเท็จโดยสมบูรณ์ในบางเน้ือทำาไดย้ าก 1.3) แบบทดสอบแบบจบั คู่ ประกอบดว้ ยสว่ นทเ่ี ปน็ คาำ สง่ั และขอ้ ความสองชดุ ทใ่ี หจ้ บั คกู่ นั โดยขอ้ ความชดุ ท ่ี 1 อาจเปน็ คาำ ถาม และข้อความชดุ ที่ 2 อาจเป็นคำาตอบหรอื ตัวเลอื ก โดยจาำ นวนข้อความในชุดที่ 2 อาจม ี มากกว่าในชุดที่ 1 ดงั ตวั อย่าง แบบท สอบแบบ ับค่ คาำ สั่ง ให้นำาตัวอักษรหน้าขอ้ ความในชุดคำาตอบมาเตมิ ในช่องวา่ งหน้าขอ้ ความในชุดคาำ ถาม คาถาม คาตอบ ............ 1. ขอ้ ความ.............................. ............ 1. ขอ้ ความ.............................. ............ 2. ข้อความ.............................. ............ 2. ขอ้ ความ.............................. ............ 3. ข้อความ.............................. ............ 3. ข้อความ.............................. แบบทดสอบรูปแบบนี้สร้างได้ง่ายตรวจให้คะแนนได้ตรงกัน และเดาคำาตอบได้ยาก เหมาะ สำาหรับวัดความสามารถในการหาความสัมพนั ธ์ระหวา่ งคาำ หรือขอ้ ความ 2 ชดุ แตใ่ นกรณที ่นี ักเรยี น จับคผู่ ดิ ไปแลว้ จะทำาให้มกี ารจบั คผู่ ิดในค่อู ืน่ ๆ ดว้ ย 2) แบบท สอบแบบเ ียนตอบ เป็นแบบทดสอบที่ให้นักเรียนคำาตอบเอง จึงมีอิสระในการแสดงความคิดเห็นและสะท้อน ความคิดออกมาโดยการเขยี นให้ผู้อา่ นเข้าใจ โดยทวั่ ไปการเขยี นตอบม ี 2 แบบ คือ การเขยี นตอบแบบเติม คำาหรือการเขียนตอบอย่างส้ันและการเขียนตอบแบบอธิบายรายละเอียดของแบบทดสอบ ที่มีการตอบ แต่ละแบบเป็นดงั นี้ 2.1) แบบทดสอบเขยี นตอบแบบเตมิ คำาหรอื ตอบอย่างสนั้ ประกอบด้วยคำาสั่งและข้อความที่ไม่สมบูรณ์ ซึ่งจะมีส่วนที่เว้นไว้เพื่อให้เติมคำาตอบ หรือขอ้ ความสน้ั ๆ เพอ่ื ใหเ้ ตมิ คาำ ตอบหรอื ขอ้ ความสน้ั ๆ ทที่ าำ ใหข้ อ้ ความขา้ งตน้ ถกู ตอ้ งหรอื สมบรู ณ ์ นอกจากน้ี แบบทดสอบยังอาจประกอบ ด้วยสถานการณ์และคำาถามที่ให้นักเรียนตอบโดยการเขียนอย่างอิสระ แต่ สถานการณแ์ ละคาำ ถาม จะเป็นสิ่งท่กี ำาหนดคำาตอบให้มีความถูกต้องและเหมาะสม สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

256 าค นวก สกิ ส์ เลม่ 1 แบบทดสอบรูปแบบน้ีสร้างได้ง่าย มีโอกาสเดาได้ยาก และสามารถวินิจฉัยคำาตอบที่ นักเรียนตอบผดิ เพือ่ ให้ทราบถึงข้อบกพรอ่ งทางการเรยี นรู้หรือความเข้าใจทีค่ ลาดเคลอ่ื นได ้ แต่การจาำ กัด คาำ ตอบใหน้ ักเรยี นตอบเป็นคำา วลี หรอื ประโยคได้ยาก ตรวจให้คะแนนได้ยากเน่อื งจากบางคร้งั มีคาำ ตอบ ถกู ต้องหรือยอมรับได้หลายคำาตอบ 2.2) แบบทดสอบเขียนตอบแบบอธบิ าย เป็นแบบทดสอบทที่ต้องการให้นักเรียนตอบอย่างอิสระ ประกอบด้วยสถานการณ์และ คาำ ถามทส่ี อดคลอ้ งกนั โดยคำาถามเป็นคำาถามแบบปลายเปดิ แบบทดสอบรปู แบบนี้ในการตอบจงึ สามารถใช้วัดความคิดระดบั สงู ได้ แตเ่ นื่องจาก นกั เรยี นต้องใชเ้ วลาในการคดิ และเขยี นคำาตอบมาก ทำาใหถ้ ามไดน้ อ้ ยขอ้ จึงอาจทำาให้วัดไดไ้ มค่ รอบคลุม เนอ้ื หาทง้ั หมด รวมท้งั ตรวจใหค้ ะแนนยาก และการตรวจให้คะแนนอาจไมต่ รงกนั แบบ ระเมนิ ทกั ะ เมื่อนักเรียนได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมจริงจะมีหลักฐานร่องรอยท่ีแสดงไว้ท้ังวิธีการปฏิบัติและผล การปฏิบัติ ซงึ่ หลักฐานร่องรอยเหลา่ นั้นสามารถใชใ้ นการประเมินความสามารถ ทักษะการคดิ และทกั ษะ ปฏิบตั ิไดเ้ ปน็ อยา่ งดี การปฏิบัตกิ ารทดลองเป็นกจิ กรรมที่สาำ คัญท่ีใชใ้ นการจดั การเรียนรู้ทางวทิ ยาศาสตร ์ โดยทว่ั ไป ประเมนิ ได ้ 2 สว่ น คอื ประเมนิ ทกั ษะการปฏบิ ตั กิ ารทดลองและการเขยี นรายงานการทดลอง โดยเครอื่ งมอื ทีใ่ ชป้ ระเมินดงั ตวั อย่าง ตัวอย่างแบบสารว รายการทัก ะ บิ ัตกิ ารท ลอง รายการทตี องสารว ลการสารว ม่มี มี การวางเเผนการทดลอง ระบ านวนครัง การทดลองความขั้นตอน การสงั เกตการทดลอง การบันทึกผล การอภปิ รายผลการทดลองก่อนลงขอ้ สรุป สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

สิกส์ เลม่ 1 าค นวก 257 ตวั อยา่ งแบบ ระเมนิ ทกั ะ บิ ัติการท ลอง ที เก ก์ าร คะเเนนเเบบเเยกองค์ ระกอบยอ่ ย ทัก ะ ิบัตกิ าร 3 คะแนน 1 ท ลอง 2 การเลอื กใช้อปุ กรณ์ เลือกใช้อปุ กรณ์ เลอื กใชอ้ ปุ กรณ์ เลือกใช้อปุ กรณ์ /เคร่ืองมือใน /เครอ่ื งมอื ในการทดลอง /เครอ่ื งมอื ในการทดลอง /เครอ่ื งมอื ในการทดลอง การทดลอง ไดถ้ กู ตอ้ งเหมาะสม ไดถ้ กู ตอ้ งเเตไ่ มเ่ หมาะสม ไมถ่ กู ตอ้ ง กับงาน กับงาน การใช้อปุ กรณ์ เลือกใชอ้ ุปกรณ์ ใชอ้ ปุ กรณ ์ /เครอ่ื งมอื ใน ใชอ้ ปุ กรณ ์ /เครอ่ื งมอื ใน /เคร่อื งมือใน /เครอ่ื งมอื ในการทดลอง การทดลองไดถ้ กู ตอ้ งตาม การทดลองไมถ่ กู ตอ้ ง การทดลอง ได้อย่างคล่องเเคล่ว หลกั การปฏบิ ติ ิ แตไ่ ม่ และถกู ต้องตามหลกั คลอ่ งเเคลว่ การปฏบิ ตั ิ การทดลองเเผนท่ี ทดลองตามวิธีการเเละ ทดลองตามวิธีการเเละ ทดลองตามวธิ ีการเเละ กาำ หนด ขัน้ ตอนทกี่ าำ หนดไว้ ขัน้ ตอนทกี่ าำ หนดไว ้ มี ข้ันตอนทีก่ ำาหนดไว้หรือ อยา่ งถกู ต้อง มกี ารปรับ การปรับปรุงเเก้ไขบ้าง ดำาเนินการขา้ มข้นั ตอน ปรงุ เเกไ้ ขเป็นระยะ ทีก่ าำ หนดไว ้ ไม่มกี าร ปรับปรงุ แกไ้ ข สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

258 าค นวก สิกส์ เล่ม 1 ตวั อย่างแบบ ระเมินทัก ะ บิ ตั ิการท ลอง ที เก ์การ คะเเนนเเบบมาตร ระมา คา่ ลการ ระเมนิ ทัก ะที ระเมนิ ระดับ 3 ระดับ 2 ระดับ 1 1.วางแผนการทดลองอยา่ งเปน็ ขนั้ ตอน ระดับ 3 ระดับ 2 ระดับ 1 2.ปฏบิ ัติการทดลองได้อย่างคล่องเเคลว่ สามารถ หมายถึง หมายถึง หมายถงึ เลอื กใช้อุปกรณไ์ ดถ้ ูกตอ้ ง เหมาะสมเเละจัดวาง ปฏบิ ัติได้ทั้ง ปฏบิ ตั ไิ ด้ทง้ั ปฏบิ ตั ิได้ทง้ั อุปกรณเ์ ป็นระเบยี บสะดวกต่อการใช้งาน 3 ข้อ 2 ข้อ 1 ขอ้ 3.บันทกึ ผลการทดลองได้ถกู ตอ้ งเเละครบถ้วน สมบูรณ์ ตวั อยา่ งเเนวทาง คะเเนนการเ ยี นรายงานการท ลอง 3 คะเเนน 1 2 เขยี นรายการตามลำาดับ ข้ันตอน ผลการทดลองตรง เขียนรายงานการทดลองตาม เขียนรายงานโดยลาำ ดบั ขนั้ ตอน ตามสภาพจริงเเละส่อื ลาำ ดบั เเต่ไม่สอ่ื ความหมาย ไมส่ อดคลอ้ งกัน เเละสอื่ ความหมาย ความหมาย สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

สกิ ส์ เล่ม 1 าค นวก 259 แบบ ระเมินค ลกั ะ าน ติ วทิ ยาศาสตร์ การประเมนิ จิตวิทยาศาสตร์ไม่สามารถทาำ ได้โดยตรง โดยทั่วไปทาำ โดย การตรวจสอบ พฤติกรรมภายนอกที่ปรากฏให้เห็นในลักษณะของคำาพูด การแสดงความคิดเห็น การปฏิบัติหรือ พฤติกรรมบ่งชี้ที่สามารถสังเกตหรือวัดได้ และแปลผลไปถึงจิตวิทยาศาสตร์ซ่ึงเป็นส่ิงท่ีส่งผลให้เกิด พฤติกรรมดงั กลา่ ว เคร่อื งมือทใ่ี ชป้ ระเมนิ คุณลักษณะด้านจิตวิทยาศาสตร ์ ดงั ตวั อย่าง ตัวอยา่ งแบบ ระเมนิ ค ลัก ะ าน ิตวิทยาศาสตร์ คา ีเเ ง จงทำาเครื่องหมาย ลงในช่องวา่ งที่ตรงกับคณุ ลกั ษณะทน่ี ักเรียนเเสดงออก โดยจำาเเนกระดับ พฤติกรรม การเเสดงออกเปน็ 4 ระดบั ดงั น้ี มาก หมายถงึ นกั เรียนเเสดงออกในพฤติกรรมเหล่านนั้ อยา่ งสม่ำาเสมอ ปานกลาง หมายถึง นักเรียนเเสดงออกในพฤตกิ รรมเหล่าน้ันเปน็ ครง้ั คราว น้อย หมายถงึ นกั เรยี นเเสดงออกในพฤติกรรมเหลา่ นนั้ น้อยครัง้ ไมม่ ีการเเสดงออก หมายถึง นักเรยี นเเสดงออกในพฤติกรรมเหลา่ น้นั เลย ระ ับ ติกรรมการเเส งออก รายการ ตกิ รรมการเเส งออก มาก ปานกลาง นอ้ ย ไมม่ กี าร เเสดงออก านความอยากรอยากเ น 1.นักเรยี นสอบถามจากผู้รูห้ รือไปศกึ ษาค้นควา้ เพม่ิ เตมิ เมอ่ื เกดิ ความสงสยั ในเรอ่ื งราววทิ ยาศาสตร ์ 2.นักเรียนชอบไปงานนทิ รรศการวทิ ยาศาสตร์ 3.นกั เรยี นนาำ การทดลองทส่ี นใจไปทดลองตอ่ ทบ่ี า้ น านความ อสัตย์ 1.นกั เรยี นรายงานผลการทดลองตามทท่ี ดลองไดจ้ รงิ 2.เมอ่ื ทาำ งานทดลองผิดพลาด นกั เรียนจะลอกผล การทดลองของเพ่ือส่งคร ู 3.เม่ือครมู อบหมายใหท้ าำ ช้ินงานส้นิ ประดษิ ฐ์ นกั เรยี นจะประดิษฐต์ ามเเบบทีป่ รากฏอยูใ่ น หนังสอื สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

260 าค นวก สกิ ส์ เลม่ 1 ระ ับ ติกรรมการเเส งออก รายการ ติกรรมการเเส งออก มาก ปานกลาง น้อย ไมม่ กี าร เเสดงออก านความ กวาง 1.แมว้ า่ นกั เรียนจะไม่เห็นดว้ ยกับการสรปุ ผลการ ทดลองในกล่มุ แต่กย็ อมรับผลสรปุ ของสมาชิก ส่วนใหญ่ 2.ถ้าเพ่อื นแย่งวิธกี ารทดลองนักเรียนและมีเหตุผล ทีด่ กี ว่า นักเรยี นพร้อมที่จะนาำ เสนอเเนะของเพอ่ื น ไปปรบั ปรงุ งานของตน 3.เม่อื งานทน่ี ักเรยี นตงั้ ใจและทุ่มเททำาถกู ตาำ หนิ หรอื โต้เเย้ง นกั เรยี นจะหมดกาำ ลงั ใจ านความรอบคอบ 1.นกั เรียนสรปุ ผลการทดลองทนั ทเี มอื่ เสร็จสนิ้ การทดลอง 2.นกั เรยี นทำาการทดลองซ้าำ ๆ ก่อนทีจ่ ะสรปุ ผลการ ทดลอง 3.นักเรียนตรวจสอบความพร้อมของอุปกรณก์ ่อน ทำาการทดลอง านความมง่ มันอ ทน 1.ถึงแมว้ ่างานคน้ ควา้ ท่ีทำาอยมู่ ีโอกาสสำาเร็จได้ยาก นักเรยี นจะยังค้นคว้าต่อไป 2.นักเรยี นล้มเลิกการทดลองทนั ที เม่ือผลการทด ลองท่ไี ด้ขัดจากาทีเ่ คยเรยี นมา 3.เม่อื ทราบวา่ ชุดการทดลองทน่ี กั เรียนสนใจต้อง ใช้ระยะเวลาในการทดลองนาน นักเรียนกเ็ ปลย่ี น ไปศกึ ษาชุดการทดลองท่ใี ชเ้ วลาน้อยกว่า สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

สกิ ส์ เลม่ 1 าค นวก 261 ระ ับ ติกรรมการเเส งออก รายการ ตกิ รรมการเเส งออก มาก ปานกลาง น้อย ไม่มีการ เเสดงออก เ ตคติที ตี อ่ วทิ ยาศาสตร์ 1.นกั เรียนนาำ ความรู้วิทยาศาสตร์ มาใช้เเก้ปัญหา ในชีวิตประจำาวนั อยู่เสมอ 2.นกั เรยี นชอบทำากิจกรรมทีเ่ กย่ี วขอ้ งกับ วิทยาศาสตร์ 3.นกั เรยี นสนใจติมตามข่าวสารท่ีเกี่ยวข้องกบั วิทยาศาสตร์ วิ กี ารตรว คะเเนน ตรวจใหค้ ะเเนนตามเกณฑโ์ ดยกำาหนดนำ้าหนักของตวั เลขในชอ่ งตา่ ง ๆ เปน็ 4 3 2 1 ขอ้ ความท่ี มีความหมายเป็นทางบวก กาำ หนดให้คะเเนนเเต่ละข้อความดงั ตอ่ ไปน้ี ระ บั ติกรรมเเส งออก คะเเนน มาก 4 ปานกลาง 3 น้อย 2 ไมม่ ีการเเสดงออก 1 สว่ นของขอ้ ความทมี คี วามหมายเปน็ ทางลบ การกาำ หนดใหค้ ะเเนนในเเตล่ ะขอ้ ความ จะมีลกั ษณะเป็นตรงกนั ข้าม สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

262 าค นวก สกิ ส์ เลม่ 1 การ ระเมนิ การนาเสนอ ลงาน การประเมินผลและให้คะแนนการนำาเสนอผลงานใช้แนวทางการประเมินเช่นเดียวกับการ ประเมนิ ภาระงานอนื่ คือ การใช้คะแนนแบบภาพรวม และการใหค้ ะแนนแบบแยกองค์ประกอบย่อย ดัง รายละเอยี ด ตอ่ ไปนี้ 1) การ คะแนน น า รวม เป็นการให้คะแนนที่ต้องการสรุปภาพรวมจึงประเมินเฉพาะ ประเดน็ หลกั ท่สี ำาคญั ๆ เช่น การประเมนิ ความถกู ต้องของเนื้อหา ความรแู้ ละการประเมนิ สมรรถภาพ ด้านการเขยี น โดยใชเ้ กณฑ์การใหค้ ะแนนแบบภาพรวม ดงั ตัวอย่างตอ่ ไปน้ี ตวั อยา่ งเก ก์ าร ระเมินความถกตอง องเนอ าความร แบบ า รวม ระ บั ระเมนิ ตอ้ งปรบั ปรงุ รายการ ระเมนิ พอใช้ - เน้ือหาไมถ่ กู ต้องเปน็ ส่วนใหญ่ ดี - เนื้อหาถูกตอ้ งเเตใ่ หส้ าระสำาคญั นอ้ ยมาก เเละระบุเเหลง่ ที่มาของความรู้ ดมี าก - เนือ้ หาถูกตอ้ ง มีสาระสาำ คัญ แตย่ งั ไม่ครบถว้ น มกี ารระบุเเหลง่ ที่มาของความรู้ ระ ับ ระเมิน ตอ้ งปรับปรงุ - เนอ้ื หาถกู ตอ้ ง มสี าระสาำ คญั ครบถ้วน เเละระบเุ เหล่งทมี่ าของความรู้ชดั เจน พอใช้ ตวั อย่างเก ก์ าร ระเมินสมรรถ า านการเ ียน แบบ า รวม ดี รายการ ระเมนิ ดี - เขียนสบั สน ไมเ่ ปน็ ระบบ ไม่บอกปญั หาและจุดประสงค ์ ขาดการเช่ือมโยง เนื้อหาบางส่วนไมถ่ ูกตอ้ งหรอื ไม่สมบูรณ ์ ใช้ภาษาไมเ่ หมาะสมเเละสะกดคาำ ไม่ ถูกต้อง ไม่อ้างองิ เเหลง่ ที่มาของความรู้ - เขยี นเปน็ ระบบเเต่ไมช่ ดั เจน บอกจดุ ประสงค์ไมช่ ัดเจน เนอ้ื หาถูกต้องเเตม่ ี รายละเอยี ดไมเ่ พยี งพอ เนือ้ หาบางตอนไม่สมั พันธก์ ัน การเรยี บเรียงเน้ือหาไม่ ต่อเนอ่ื ง ใชภ้ าษาถูกตอ้ ง อา้ งอิงแหลง่ ท่มี าของความรู้ - เขียนเป็นระบบ แสดงใหเ้ ห็นโครงสรา้ งของเรอ่ื ง บอกความสำาคัญเเละทีม่ าของ ปัญหา จดุ ประสงค ์ เเนวคิดหลกั ไม่ครอบคมุ ประเด็นสาำ คญั ท้งั หมด เน้ือหาบาง ตอนเรียบเรยี งไม่ตอ่ เนอื่ ง ใช้ภาษาถกู ตอ้ ง มกี ารยกตัวอย่าง รูปภาพเเผนภาพ ประกอบ อา้ งอิงเเหล่งทมี่ าของความรู้ - เขียนเป็นระบบ แสดงให้เห็นโครงสร้างของเรอื่ ง บอกความสาำ คญั เเละทมี่ าของ ปัญหา จุดประสงค ์ เเนวคดิ หลักได้ครอบคุมประเด็นสาำ คญั ท้ังหมด เรียบเรยี ง เนอ้ื หาได้ตอ่ เนอ้ื งต่อเนื่อง ใชภ้ าษาถกู ตอ้ ง ชดั เจนเข้าใจง่าย รูปภาพเเผนภาพ ประกอบ อา้ งองิ เเหล่งที่มาของความรู้ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

สกิ ส์ เลม่ 1 าค นวก 263 การ คะแนนแบบแยกองค์ ระกอบยอ่ ย เปน็ การประเมินเพือ่ ต้องการนาำ ผลการประเมนิ ไปใชพ้ ฒั นางานใหม้ คี ณุ ภาพผา่ นเกณฑ ์ และพฒั นาคณุ ภาพใหส้ งู ขน้ึ กวา่ เดมิ อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง โดยใชเ้ กณฑย์ อ่ ย ๆ ในการประเมนิ เพือ่ ทำาให้รู้ทง้ั จดุ เด่นทคี่ วรสง่ เสริมและจดุ ดอ้ ยทคี่ วรแกไ้ ขปรับปรุงการทาำ งานในส่วนนั้น ๆ เกณฑก์ ารให้คะแนนแบบแยกองคป์ ระกอบยอ่ ย มตี ัวอยา่ งดงั น้ี ตัวอย่างเก ก์ าร ระเมนิ สมรรถ า แบบแยกองค์ ระกอบย่อย รายการ ระเมิน ระ บั ค า านการวางเเ น ตอ้ งปรบั ปรุง - ไมส่ ามารถออกเเบบได ้ หรอื อกเเบบไดเ้ เตไ่ มต่ รงกบั ประเดน้ ปญั หาทต่ี อ้ งการเรยี นรู้ พอใช้ - ออกเเบบการไดต้ ามประเดน็ สำาคัญของปัญหาบางส่วน ดี - ออกเเบบครอบคลุมประเดน็ สาำ คัญของปญั หาเปน็ ส่วนใหญ ่ เเตย่ ังไมช่ ดั เจน - ออกเเบบไดค้ รอบคลุมประเดน็ สาำ คญั ของปญั หาอย่างเป็นขัน้ ตอนท่ีชดั เจน ดมี าก เเละตรงตามจดุ ประสงค์ทต่ี อ้ งการ ต้องปรบั ปรงุ านการ าเนินการ - ดาำ เนนิ การไมเ่ ปน็ ไปตามแผน ใชอ้ ปุ กรณเ์ เละสอ่ื ประกอบถกู ตอ้ งเเตไ่ มค่ ลอ่ งเเคลว่ - ดาำ เนนิ การตามแผนทว่ี างไว ้ ใชอ้ ปุ กรณเื เละสอ่ื ประกอบถกู ตอ้ งเเตไ่ มค่ ลอ่ งเเคลว่ พอใช้ - ดำาเนนิ การตามแผนทีว่ างไว้ ใช้อุปกรณเ์ เละส่ือประกอบการสาธติ ได้อยา่ ง ดี คลอ่ งเเคลว่ ท่เี สรจ็ ทนั เวลา ผลงานในบางขัน้ ตอนไม่เปน็ ไปตามจุดประสงค์ ดมี าก - ดาำ เนินการตามแผนที่วางไว้ ใชอ้ ุปกรณเ์ เละส่ือประกอบได้ถกู ต้อง คลอ่ งเเคล่ว ตอ้ งปรบั ปรงุ เเละเสรจ็ ทันเวลา ผลงานทุกขัน้ ตอนเป็นไปตามจุดประสงค์ พอใช้ ดี านการอ บิ าย ดมี าก - อธบิ ายไม่ถกู ต้อง ขัดเเยง้ กับเเนวคดิ หลกั ทางวทิ ยาศาสตร์ - อธิบายโดยอาศยั เเนวคดิ หลักทางวิทยาศาสตร์ เเตก่ ารอธิบายเป็นเเนวพรรณนา ทว่ั ไป ซ่ึงไม่คาำ นงึ ถึงการเช่อื มโยงกับปัญหาทำาใหเ้ ขา้ ใจยาก - อธิบายโดยอาศยั เเนวคดิ หลักทางวิทยาศาสตร์ ตรงตามประเดน็ ของปญั หา เเต่ ข้ามไปในบางขั้นตอน ใช้ภาษาได้ถูกต้อง - อธิบายโดยอาศยั เเนวคิดหลกั ทางวทิ ยาศาสตร์ ตรงตามประเดน็ ของปญั หาเเละ จุดประสงค ์ ใชภ้ าษาได้ถกู ต้องเข้าใจงา่ ย สอื่ ความหมายให้ชดั เจน สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

สกิ ส์ เลม่ 1 าค นวก 264 ค ะกรรมการ ั ทาคม่ อครรายวิ าเ มิ เติมวทิ ยาศาสตร์ สิกส์ เลม่ 1 ตาม ลการเรยี นร กลม่ สาระการเรียนรวทิ ยาศาสตร์ บบั รบั รง ศ 2560 ตาม ลักสตรแกนกลางการศก า ัน น าน ท ศกั รา 2551 -------------- ค ะที รก า 1. ดร.พรพรรณ ไวทยางกรู ผ้อู าำ นวยการสถาบันสง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี รองผูอ้ ำานวยการสถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์ 2. รศ.ดร.สัญญา มิตรเอม และเทคโนโลยี 3. ดร.วนดิ า ธนประโยชนศ์ กั ด ์ิ ผูช้ ว่ ยผูอ้ าำ นวยการสถาบันส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ค ะ ั ทาคม่ อคร รายวิ าเ ิมเติมวิทยาศาสตร์ สกิ ส์ เล่ม 1 นั มั ยมศก า ที 4 1. นายสมุ ติ ร สวนสุข โรงเรียนสวนกหุ ลาบวทิ ยาลัย 2. นายรังสรรค ์ ศรีสาคร ผเู้ ชย่ี วชาญ สาขาวิทยาศาสตรม์ ัธยมศกึ ษาตอนปลาย สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 3. นายบญุ ชยั ตนั ไถง ผชู้ ำานาญ สาขาวิทยาศาสตร์มัธยมศกึ ษาตอนปลาย สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 4. นายวฒั นะ มากช่นื ผ้ชู ำานาญ สาขาวิทยาศาสตรม์ ธั ยมศึกษาตอนปลาย สถาบนั สง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ผชู้ ำานาญ สาขาวิทยาศาสตร์มัธยมศกึ ษาตอนปลาย 5. นายวนิ ัย เลศิ เกษมสนั ต์ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นกั วชิ าการอาวโุ ส สาขาวทิ ยาศาสตรม์ ธั ยมศกึ ษาตอนปลาย 6. นายรักษพล ธนานุวงศ์ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 7. ดร.กวนิ เช่อื มกลาง นกั วชิ าการอาวโุ ส สาขาวทิ ยาศาสตรม์ ธั ยมศกึ ษาตอนปลาย สถาบันสง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 8. ดร.ปรีดา พัชรมณีปกรณ์ นกั วิชาการ สาขาวิทยาศาสตรม์ ัธยมศกึ ษาตอนปลาย สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 9. นายสรจิตต์ อารรี ตั น์ นกั วชิ าการ สาขาวทิ ยาศาสตรม์ ธั ยมศกึ ษาตอนปลาย สถาบนั สง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 10. นายจอมพรรค นวลดี นักวิชาการ สาขาวทิ ยาศาสตรม์ ธั ยมศึกษาตอนปลาย สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

265 าค นวก สกิ ส์ เล่ม 1 11. นายเทพนคร แสงหวั ช้าง นกั วชิ าการ สาขาวทิ ยาศาสตรม์ ธั ยมศึกษาตอนปลาย สถาบนั สง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี นักวิชาการ สาขาวิทยาศาสตร์มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 12. นายธนะรัชต ์ คณั ทกั ษ์ ค ะ ร่วม ิ าร าค่มอคร รายวิ าเ มิ เติมวทิ ยาศาสตร์ สกิ ส์ เลม่ 1 ันมั ยมศก า ที 4 บับร่าง 1. นายวศิ าล จติ ตว์ าริน นกั วิชาการอสิ ระ มหาวิทยาลยั ราชภฏั วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถมั ภ์ 2. ดร.ศักด์ิ สุวรรณฉาย โรงเรียนมัธยมวดั บึงทองหลาง กรุงเทพมหานคร โรงเรยี นศึกษานารวี ทิ ยา กรุงเทพมหานคร 3. นายพลพพิ ฒั น์ วัฒนเศรษฐานุกลุ โรงเรียนวัดบวรนเิ วศ กรุงเทพมหานคร โรงเรยี นมธั ยมวดั หนองจอก กรุงเทพมหานคร 4. นายโฆสิต สงิ หสตุ โรงเรียนรัตนโกสินทรส์ มโภชลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร โรงเรยี นมธั ยมบา้ นบางกะป ิ กรุงเทพมหานคร 5. นางสาวปยิ ะมาศ บุญประกอบ โรงเรยี นลาซาล กรงุ เทพมหานคร โรงเรียนพระมารดานิจจานเุ คราะห ์ กรุงเทพมหานคร 6. นายอดิศักดิ์ ยงยุทธ โรงเรียนจ่านกร้อง จ.พิษณโุ ลก โรงเรียนวังไกลกงั วล จ.ประจวบคีรีขนั ธ์ 7. นายบญุ โฮม สขุ ลว้ น โรงเรยี นขอนแกน่ วทิ ยายน จ.ขอนแก่น โรงเรยี นสตรที ุ่งสง จ.นครศรธี รรมราช 8. นายเสนห่ ์ เชือ้ สูงเนนิ นกั วิชาการ สาขาวิทยาศาสตรม์ ัธยมศกึ ษาตอนปลาย สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 9. นายอิศรชั ฌ ์ โชติผโลทัย 10. นายณฐั วรี วฒุ กิ ลุ 11. นางสาวสายชล สขุ โข 12. นางสาวศรีไพร เเตงออ่ น 13. นางศริ ิเพ็ญ ศรตี ระกลู 14. นางปารชิ าติ อักษรภักดี 15. ดร.จาำ เรญิ ตา ปรญิ ญาธารมาศ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

สกิ ส์ เลม่ 1 าค นวก 266 ค ะบรร า กิ าร จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย ผู้เช่ียวชาญ สาขาวิทยาศาสตรม์ ธั ยมศึกษาตอนปลาย 1. ผศ.ดร.บรุ นิ ทร์ อศั วพภิ พ สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 2. นายรงั สรรค์ ศรสี าคร ผู้ชาำ นาญ สาขาวิทยาศาสตร์มธั ยมศึกษาตอนปลาย สถาบนั สง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ผู้ชำานาญ สาขาวทิ ยาศาสตรม์ ธั ยมศึกษาตอนปลาย สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 3. นายบุญชยั ตนั ไถง นักวิชาการ สาขาวิทยาศาสตรม์ ัธยมศกึ ษาตอนปลาย สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 4. นายวฒั นะ มากช่ืน 5. ดร.ปรดี า พชั รมณปี กรณ์ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี