Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore (คู่มือ) หนังสือเรียนสสวท พื้นฐานวิทยาศาสตร์ ม.3 ล.2

(คู่มือ) หนังสือเรียนสสวท พื้นฐานวิทยาศาสตร์ ม.3 ล.2

Published by แชร์งานครู Teachers Sharing, 2021-01-23 19:01:34

Description: (คู่มือ) หนังสือเรียนสสวท พื้นฐานวิทยาศาสตร์ ม.3 ล.2
คู่มือครูรายวิชาพื้นฐาน วิทยาศาสตร์

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
เล่ม 2
ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551

Keywords: (คู่มือ) หนังสือเรียนสสวท พื้นฐานวิทยาศาสตร์ ม.3 ล.2,คู่มือครูรายวิชาพื้นฐาน วิทยาศาสตร์,กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560),หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551

Search

Read the Text Version

คมู่ ือครู รายวชิ าพืน้ ฐาน วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชั้น มธั ยมศึกษาปที ี่ ๓ เล่ม ๒ ตามมาตรฐานการเรยี นรู้และตัวช้ีวดั กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ จัดทำโดย สถาบนั สง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี กระทรวงศกึ ษาธิการ สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

คำช้ีแจง สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ได้จัดทำตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้ แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ โดยมีจุดเน้นเพื่อต้องการพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ความสามารถ ทัดเทียมกับนานาชาติ ได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่เชื่อมโยงความรู้กับกระบวนการ ใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ และแก้ปัญหาที่หลากหลาย มีการทำกิจกรรมด้วยการลงมือปฏิบัติเพื่อให้ผู้เรียนได้ใช้ทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ และทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑ ซึ่งในปีการศึกษา ๒๕๖๑ เป็นต้นไปนี้ โรงเรี ยนจะต้องใช้ หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) สสวท. จึงได้จัดทำคู่มือครู ประกอบหนังสือเรียนทีเ่ ปน็ ไปตามมาตรฐานหลกั สตู รเพ่อื ใหโ้ รงเรียนไดใ้ ชส้ ำหรบั จดั การเรยี นการสอนในชั้นเรียน คู่มือครูรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ เล่ม ๒ นี้ สสวท. ได้พัฒนาขึ้นเพ่ือ นำไปใช้เป็นคู่มือครูคู่กับหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ เล่ม ๒ ตามตวั ชี้วัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลางกลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ภายในคู่มือครูประกอบด้วยโครงสร้างหลักสูตร แนวความคิดต่อเนื่อง แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับเนื้อหาในหนังสือเรียน ซึ่งเป็นตัวอย่างการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลายโดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้และเชื่อมโยงกับชีวิตจริง ซึ่งช่วยให้ผู้เรียนสร้าง องค์ความรู้ด้วยตนเอง รวมทั้งส่งเสริมและพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ การคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และการนำไปใช้ ในการจัดทำคู่มือครรู ายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเล่มน้ี ได้รบั ความร่วมมืออย่างดีย่ิงจากคณาจารย์ ผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ ครูผู้สอนจากสถาบันต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน จึงขอขอบคุณไว้ ณ ที่น้ี สสวท. หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คู่มือครูรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเล่มนี้จะเป็นประโยชน์แก่ ครูและผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่จะช่วยให้การจัดการศึกษาวิทยาศาสตร์มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล หากมี ข้อเสนอแนะใดที่จะทำใหค้ ูม่ อื ครูสมบูรณ์ยงิ่ ขนึ้ โปรดแจ้ง สสวท. ทราบด้วย จะขอบคณุ ยงิ่ (ศาสตราจารย์ชกู ิจ ลมิ ปจิ ำนงค)์ ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธกิ าร สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

สารบัญ ส่วนหนา้ เป้าหมายของการจัดการเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์ ก สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ ค คุณภาพผู้เรยี นเมื่อจบชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 3 จ ตวั ชว้ี ดั และสาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 ช หน่วยการเรยี นรู้ ท ความสอดคล้องของบทเรียน กจิ กรรมการเรียนรู้และตวั ชีว้ ัด ธ รายการวัสดอุ ปุ กรณ์ประกอบหนงั สอื เรียน ผ แนะนำการใช้คมู่ ือครู ภ หน่วยที่ 5 ปฏิกิริยาเคมแี ละวสั ดุในชีวติ ประจำวัน 1 บทที่ 1 ปฏิกิรยิ าเคมี 2 บทท่ี 2 วัสดุในชีวิตประจำวัน 69 109 หน่วยท่ี 6 ไฟฟา้ 110 บทที่ 1 วรจรไฟฟา้ อย่างง่าย 172 บทที่ 2 ไฟฟ้าในชวี ติ ประจำวนั 265 266 หน่วยที่ 7 ระบบนเิ วศและความหลากหลายทางชวี ภาพ 312 บทที่ 1 ระบบนิเวศ 340 บทที่ 2 ความหลากหลายทางชวี ภาพ 344 ภาคผนวก บรรณานุกรม คณะผู้จดั ทำ สถาบันส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

คมู ือครูรายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ก เปา หมายของการจดั การเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร ในการเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร มงุ เนน ใหผ เู รยี นไดคน พบความรูดวยตนเองมากท่ีสดุ เพ่ือใหไดก ระบวนการและ ความรจู ากการสังเกต การสำรวจตรวจสอบ การทดลอง แลวนำผลท่ีไดมาจดั ระบบเปน หลกั การ แนวคิด และองคค วามรู การจดั การเรียนการสอนวิทยาศาสตรมเี ปาหมายท่ีสำคัญดงั น้ี 1. เพือ่ ใหเ ขาใจหลกั การ ทฤษฎี และกฎทีเ่ ปน พน้ื ฐานในวิชาวิทยาศาสตร 2. เพื่อใหเ ขา ใจขอบเขตของธรรมชาติของวชิ าวิทยาศาสตรแ ละขอ จำกัดในการศกึ ษาวชิ าวทิ ยาศาสตร 3. เพอ่ื ใหมที กั ษะทสี่ ำคัญในการศึกษาคนควาและคดิ คนทางวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี 4. เพื่อใหตระหนักถึงความสัมพันธระหวางวิชาวิทยาศาสตร เทคโนโลยี มวลมนุษย และสภาพแวดลอมในเชิงทม่ี ี อทิ ธพิ ลและผลกระทบซง่ึ กันและกนั 5. เพอ่ื นำความรู ความเขา ใจในวชิ าวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยไี ปใชใ หเกดิ ประโยชนต อ สงั คมและการดำรงชีวิต 6. เพื่อพัฒนากระบวนการคดิ และจินตนาการ ความสามารถในการแกปญหาและการจดั การ ทักษะในการสือ่ สาร และความสามารถในการตดั สินใจ 7. เพื่อใหเปนผูที่มีจิตวิทยาศาสตร มีคุณธรรม จริยธรรม และคานิยมในการใชวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีอยาง สรางสรรค สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

ข คูมอื ครูรายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี เปา หมายของการจัดการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีมุงหวังใหผูเรียนไดเรียนรูวิทยาศาสตร ทั้งดานความรูในเนื้อหา และกระบวนการในการสืบเสาะหาความรูทางวิทยาศาสตร ตลอดจนเชื่อมโยงความรูกับกระบวนการตาง ๆ มีทักษะ สำคัญในการคนควาและสรางองคความรู โดยใชกระบวนการในการสืบเสาะหาความรู และแกปญหาที่หลากหลาย ให ผูเรียนมีสวนรวมในการเรียนรูทุกขั้นตอน มีการลงมือปฏิบัติอยางหลากหลาย เหมาะสมกับวัยและระดับชั้นของผูเรียน โดยกำหนดสาระสำคัญดงั นี้  วิทยาศาสตรชีวภาพ (Biological Science) เรียนรูเกี่ยวกับชีวิตในสิ่งแวดลอม องคประกอบของสิ่งมีชีวิต การดำรงชีวิตของมนุษยและสัตว การดำรงชีวิตของพืช พันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพและวิวัฒนาการของ สงิ่ มีชวี ติ  วิทยาศาสตรกายภาพ (Physical Science) เรียนรูเกี่ยวกับธรรมชาติของสาร การเปลี่ยนแปลงของสาร การเคล่อื นที่ พลงั งาน และคล่นื  วิทยาศาสตรโลกและอวกาศ (Earth and Space Science) เรียนรูเกี่ยวกับองคประกอบของเอกภพ ปฏสิ มั พันธภายในระบบสุรยิ ะ เทคโนโลยีอวกาศ ระบบโลก การเปล่ยี นแปลงทางธรณีวิทยา กระบวนการเปล่ยี นแปลงลม ฟา อากาศ และผลตอ ส่ิงมชี ีวติ และสิ่งแวดลอม  เทคโนโลยี (Technology) • การออกแบบและเทคโนโลยี (Designing and Technology) เรียนรูเกี่ยวกับเทคโนโลยีเพื่อดำรงชีวิต ในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอยางรวดเร็ว ใชความรูและทักษะทางดานวิทยาศาสตร คณิตศาสตร และศาสตรอื่น ๆ เพื่อ แกปญหาหรือพัฒนางานอยางมีความคิดสรางสรรคดวยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใชเทคโนโลยี อยางเหมาะสมโดยคำนงึ ถงึ ผลกระทบตอชีวติ สงั คม และสิ่งแวดลอ ม • วทิ ยาการคำนวณ (Computing Science) เรียนรเู กี่ยวกับการคดิ เชิงคำนวณ การคดิ วเิ คราะห แกปญหา เปนขั้นตอนและเปนระบบ ประยุกตใชความรูดานวิทยาการคอมพิวเตอรและเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารใน การแกปญ หาทีพ่ บในชีวติ จรงิ ไดอ ยางมีประสิทธภิ าพ สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คูมือครรู ายวิชาพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ค สาระและมาตรฐานการเรียนรู สาระท่ี 1 วทิ ยาศาสตรชวี ภาพ มาตรฐาน ว 1.1 เขาใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธระหวางสิ่งไมมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตและ ความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตตาง ๆ ในระบบนิเวศ การถายทอดพลังงาน การเปลี่ยนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปญหาและผลกระทบที่มีตอ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม แนวทางในการอนุรักษทรัพยากรธรรมชาติและการแกไข ปญหาสิ่งแวดลอม รวมท้งั นำความรไู ปใชประโยชน มาตรฐาน ว 1.2 เขาใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หนวยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การลำเลียงสารเขาและออกจากเซลล ความสัมพันธของโครงสรางและหนาที่ของระบบตาง ๆ ของสัตวและมนุษยที่ทำงานสัมพันธกัน ความสัมพันธของโครงสรางและหนาที่ของอวัยวะตาง ๆ ของพืชที่ทำงานสัมพันธกัน รวมทั้งนำ ความรูไ ปใชประโยชน มาตรฐาน ว 1.3 เขาใจกระบวนการและความสำคัญของการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สารพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่มีผลตอสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพและวิวัฒนาการ ของสิ่งมีชวี ติ รวมทั้งนำความรไู ปใชประโยชน สาระท่ี 2 วทิ ยาศาสตรก ายภาพ มาตรฐาน ว 2.1 เขาใจสมบัติของสสาร องคประกอบของสสาร ความสัมพันธระหวางสมบัติของสสารกับโครงสราง และแรงยึดเหนี่ยวระหวางอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมี มาตรฐาน ว 2.2 เขาใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจำวัน ผลของแรงที่กระทำตอวัตถุ ลักษณะการเคลื่อนที่ แบบตา ง ๆ ของวัตถุ รวมท้ังนำความรูไปใชประโยชน มาตรฐาน ว 2.3 เขาใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธระหวาง สสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจำวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณที่เกี่ยวของกับ เสียง แสง และคล่นื แมเหล็กไฟฟา รวมทัง้ นำความรูไปใชประโยชน สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

ง คูมือครรู ายวชิ าพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี สาระท่ี 3 วทิ ยาศาสตรโ ลกและอวกาศ มาตรฐาน ว 3.1 เขาใจองคประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธภายในระบบสุริยะที่สงผลตอสิ่งมีชีวิตและการประยุกตใช เทคโนโลยอี วกาศ มาตรฐาน ว 3.2 เขาใจองคประกอบและความสัมพันธของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในโลกและ บนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลีย่ นแปลงลมฟา อากาศและภูมอิ ากาศโลก รวมทั้งผลตอ สิ่งมชี ีวติ และสิง่ แวดลอ ม สาระที่ 4 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 4.1 เขาใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพื่อการดำรงชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอยางรวดเร็ว ใชความรูและทักษะทางดานวิทยาศาสตร คณิตศาสตร และศาสตรอื่น ๆ เพื่อแกปญหาหรือ พฒั นางานอยางมคี วามคิดสรางสรรคดว ยกระบวนการออกแบบเชิงวศิ วกรรม เลือกใชเทคโนโลยี อยา งเหมาะสมโดยคำนึงถึงผลกระทบตอชวี ิต สังคม และส่งิ แวดลอ ม มาตรฐาน ว 4.2 เขาใจและใชแนวคิดเชิงคำนวณในการแกปญหาที่พบในชีวิตจริงอยางเปนขั้นตอนและเปนระบบ ใชเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู การทำงาน และการแกปญหาไดอยางมี ประสิทธิภาพ รูเ ทา ทัน และมจี รยิ ธรรม สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คมู อื ครรู ายวชิ าพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี จ คณุ ภาพผเู รยี นเม่อื จบช้นั มธั ยมศึกษาปท่ี 3 • เขาใจลักษณะและองคประกอบที่สำคัญของเซลลสิ่งมีชีวิต ความสัมพันธของการทำงานของระบบตาง ๆ ในรางกาย มนุษย การดำรงชีวิตของพืช การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงของยีนหรือโครโมโซม และ ตัวอยางโรคที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม ประโยชนและผลกระทบของสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ ปฏิสมั พนั ธขององคประกอบของระบบนิเวศ และการถา ยทอดพลงั งานในสิง่ มชี วี ิต • เขาใจองคประกอบและสมบัติของธาตุ สารละลาย สารบริสุทธิ์ สารผสม หลักการแยกสาร การเปลี่ยนแปลงของสาร ในรูปแบบของการเปลี่ยนสถานะ การเกิดสารละลายและการเกิดปฏิกิริยาเคมี และสมบัติทางกายภาพ และการใช ประโยชนของวสั ดุประเภทพอลเิ มอร เซรามิก และวสั ดุผสม • เขาใจการเคลื่อนที่ แรงลัพธและผลของแรงลัพธที่กระทำตอวัตถุ โมเมนตของแรง แรงที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน สนามของแรง ความสัมพันธของงาน พลังงานจลน พลังงานศักยโนมถวง กฎการอนุรักษพลังงาน การถายโอน พลังงาน สมดุลความรอน ความสัมพันธของปริมาณทางไฟฟา การตอวงจรไฟฟาในบาน พลังงานไฟฟา และหลักการ เบือ้ งตน ของวงจรอิเล็กทรอนิกส • เขาใจสมบัตขิ องคลื่นและลักษณะของคลื่นแบบตาง ๆ แสง การสะทอน การหกั เหของแสง และทศั นอุปกรณ • เขาใจการโคจรของดาวเคราะหรอบดวงอาทิตย การเกิดฤดู การเคลื่อนที่ปรากฏของดวงอาทิตย การเกิดขางข้ึน ขางแรม การขึ้นและตกของดวงจันทร การเกิดน้ำขึ้นน้ำลง ประโยชนของเทคโนโลยีอวกาศ และความกาวหนาของ โครงการสำรวจอวกาศ • เขาใจลักษณะของชั้นบรรยากาศ องคประกอบและปจจัยที่มีผลตอลมฟาอากาศ การเกิดและผลกระทบของพายุ ฟาคะนอง พายุหมุนเขตรอน การพยากรณอากาศ สถานการณการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก กระบวนการเกิด เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพและการใชประโยชน พลังงานทดแทนและการใชประโยชน ลักษณะและโครงสรางภายใน โลก กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาบนผิวโลก ลักษณะชั้นหนาตัดดิน กระบวนการเกิดดิน แหลงน้ำผิวดิน แหลงน้ำใตดนิ กระบวนการเกดิ และผลกระทบของภยั ธรรมชาติ และธรณีพิบตั ภิ ัย • เขาใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยี ไดแก ระบบทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ความสัมพันธระหวาง เทคโนโลยีกับศาสตรอื่น โดยเฉพาะวิทยาศาสตร หรือคณิตศาสตร วิเคราะห เปรียบเทียบ และตัดสินใจเพื่อเลือกใช เทคโนโลยี โดยคำนึงถึงผลกระทบตอชีวิต สังคม และสิ่งแวดลอม ประยุกตใชความรู ทักษะ และทรัพยากรเพื่อ ออกแบบและสรางผลงานสำหรับการแกปญหาในชีวิตประจำวันหรือการประกอบอาชีพ โดยใชกระบวนการออกแบบ เชิงวิศวกรรม รวมทั้งเลือกใชวัสดุ อุปกรณ และเครื่องมือไดอยางถูกตอง เหมาะสม ปลอดภัย รวมทั้งคำนึงถึง ทรัพยสินทางปญญา • นำขอมูลปฐมภูมิเขาสูระบบคอมพิวเตอร วิเคราะห ประเมิน นำเสนอขอมูลและสารสนเทศไดตามวัตถุประสงค ใชทักษะการคิดเชิงคำนวณในการแกปญหาที่พบในชีวิตจริง และเขียนโปรแกรมอยางงายเพื่อชวยในการแกปญหา ใชเ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการสือ่ สารอยา งรเู ทา ทนั และรบั ผดิ ชอบตอ สังคม สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

ฉ คมู ือครูรายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี • ตั้งคำถามหรือกำหนดปญหาที่เชื่อมโยงกับพยานหลักฐาน หรือหลักการทางวิทยาศาสตรที่มีการกำหนดและควบคุม ตัวแปร คิดคาดคะเนคำตอบหลายแนวทาง สรางสมมติฐานที่สามารถนำไปสูการสำรวจตรวจสอบ ออกแบบและ ลงมือสำรวจตรวจสอบโดยใชวสั ดุและเครื่องมือที่เหมาะสม เลือกใชเครื่องมือและเทคโนโลยีสารสนเทศทีเ่ หมาะสมใน การเกบ็ รวบรวมขอ มลู ทัง้ ในเชงิ ปรมิ าณและคณุ ภาพที่ไดผลเท่ียงตรงและปลอดภัย • วิเคราะหและประเมินความสอดคลองของขอมูลที่ไดจากการสำรวจตรวจสอบจากพยานหลักฐาน โดยใชความรูและ หลักการทางวิทยาศาสตรในการแปลความหมายและลงขอสรุป และสื่อสารความคิด ความรู จากผลการสำรวจ ตรวจสอบหลากหลายรูปแบบ หรอื ใชเ ทคโนโลยสี ารสนเทศเพอื่ ใหผอู ื่นเขา ใจไดอยา งเหมาะสม • แสดงถงึ ความสนใจ มงุ มนั่ รับผิดชอบ รอบคอบ และซ่ือสัตย ในสงิ่ ทีจ่ ะเรียนรู มคี วามคดิ สรางสรรคเ กยี่ วกับเรื่องที่จะ ศึกษาตามความสนใจของตนเอง โดยใชเครื่องมือและวิธีการที่ใหไดผลถูกตอง เชื่อถือได ศึกษาคนควาเพิ่มเติมจาก แหลงความรูตาง ๆ แสดงความคิดเห็นของตนเอง รับฟงความคิดเห็นผูอื่น และยอมรับการเปลี่ยนแปลงความรูท่ี คน พบ เมอ่ื มขี อมูลและประจักษพ ยานใหมเพ่ิมขึ้นหรือโตแยงจากเดมิ • ตระหนักในคุณคาของความรูวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีที่ใชในชีวิตประจำวัน ใชความรูและกระบวนการทาง วิทยาศาสตรและเทคโนโลยีในการดำรงชีวิต และการประกอบอาชีพ แสดงความชื่นชม ยกยองและเคารพสิทธิใน ผลงานของผูคิดคน เขาใจผลกระทบทั้งดานบวกและดานลบของการพัฒนาทางวิทยาศาสตรตอสิ่งแวดลอมและตอ บรบิ ทอื่น ๆ และศึกษาหาความรูเพิม่ เตมิ ทำโครงงานหรอื สรางชน้ิ งานตามความสนใจ • แสดงถึงความซาบซึ้ง หวงใย มีพฤติกรรมเกี่ยวกับการดูแลรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ และความหลากหลาย ทางชวี ภาพ สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คมู ือครรู ายวชิ าพ้นื ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ช ตัวชีว้ ดั และสาระการเรยี นรูวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ชัน้ มธั ยมศึกษาปท ี่ 3 ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู มาตรฐาน ว 1.1 1. อธิบายปฏิสมั พันธขององคประกอบ • ระบบนเิ วศประกอบดว ยองคป ระกอบที่มชี วี ติ เชน พืช สัตว จุลินทรีย และองคประกอบที่ไมมีชีวิต เชน แสง น้ำ ของระบบนเิ วศที่ไดจ ากการสำรวจ อุณหภูมิ แรธาตุ แกส องคประกอบเหลานี้มีปฏิสัมพันธกัน เชน พืชตองการแสง น้ำ และแกสคารบอนไดออกไซดใน 2. อธิบายรูปแบบความสัมพันธระหวาง การสรางอาหาร สัตวตองการอาหาร และสภาพแวดลอมท่ี สิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตรูปแบบตาง ๆ เหมาะสมในการดำรงชีวิต เชน อุณหภูมิ ความชื้น ในแหลงที่อยูเดียวกันที่ไดจากการ องคประกอบทั้งสองสวนนี้จะตองมีความสัมพันธกันอยาง สำรวจ เหมาะสม ระบบนิเวศจึงจะสามารถคงอยูต อ ไปได 3. สรางแบบจำลองในการอธิบาย • สิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตมีความสัมพันธกันในรูปแบบตาง ๆ การถายทอดพลังงานในสายใย เชน ภาวะพง่ึ พากนั ภาวะอิงอาศยั ภาวะเหย่ือกบั ผูลา ภาวะ อาหาร ปรสิต 4. อธิบายความสัมพันธของผูผลิต • สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันที่อาศัยอยูรวมกันในแหลงที่อยู ผูบริโภค และผูยอยสลายสารอินทรยี  เดยี วกัน ในชวงเวลาเดยี วกัน เรยี กวา ประชากร ในระบบนเิ วศ • กลมุ ส่ิงมชี ีวติ ประกอบดวยประชากรของสิ่งมีชีวิตหลาย ๆ 5. อธบิ ายการสะสมสารพิษในสิ่งมีชีวิต ชนิด อาศัยอยูรวมกนั ในแหลง ท่อี ยูเดียวกนั ในโซอาหาร • กลุมสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศแบงตามหนาที่ไดเปน 3 กลุม 6. ตระหนักถึงความสัมพันธของสิ่งมีชีวติ ไดแก ผูผลิต ผูบริโภค และผูยอยสลายสารอินทรีย สิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดลอมในระบบนิเวศ โดย ทั้ง 3 กลุมนี้ มีความสัมพันธกัน ผูผลิตเปนสิ่งมีชีวิตที่สราง ไมทำลายสมดุลของระบบนเิ วศ อาหารไดเอง โดยกระบวนการสังเคราะหดวยแสง ผูบริโภค เปนสิ่งมีชีวิตที่ไมสามารถสรางอาหารไดเอง และตองกิน ผูผลิตหรือสิ่งมีชีวิตอื่นเปนอาหาร เมื่อผูผลิตและผูบริโภค ตายลง จะถูกยอยโดยผูยอยสลายสารอินทรียซึ่งจะเปลี่ยน สารอินทรียเปนสารอนินทรียกลับคืนสูสิ่งแวดลอม ทำใหเกิด การหมุนเวียนสารเปนวัฏจักร จำนวนผูผลิต ผูบริโภค และ ผูยอยสลายสารอินทรียจะตองมีความเหมาะสม จึงทำใหกลมุ ส่งิ มีชวี ติ อยไู ดอยา งสมดุล สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

ซ คูม ือครรู ายวชิ าพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ตวั ชวี้ ดั สาระการเรียนรู • พลังงานถูกถายทอดจากผูผลิตไปยังผูบริโภคลำดับตาง ๆ มาตรฐาน ว 1.3 1. อธิบายความสัมพันธระหวางยีน รวมทั้งผูยอยสลายสารอินทรียในรูปแบบสายใยอาหาร ที่ประกอบดวย โซอาหารหลายโซที่สัมพันธกัน ในการ ดีเอ็นเอ และโครโมโซม โดยใช ถายทอดพลังงานในโซอาหาร พลังงานที่ถูกถายทอดไปจะ แบบจำลอง ลดลงเรอ่ื ย ๆ ตามลำดับของการบริโภค • การถายทอดพลังงานในระบบนิเวศ อาจทำใหมีสารพิษ สะสมอยูในสิ่งมีชีวิตได จนอาจกอใหเกิดอันตรายตอ สิ่งมีชีวิต และทำลายสมดุลในระบบนิเวศ ดังนั้นการดูแล รักษาระบบนิเวศใหเกิดความสมดุล และคงอยูตลอดไปจึง เปนสิ่งสำคัญ • ลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตสามารถถายทอดจาก รุนหนึ่งไปยังอีกรุนหนึ่งได โดยมียีนเปนหนวยควบคุม ลักษณะทางพนั ธกุ รรม • โครโมโซมประกอบดวยดีเอ็นเอ และโปรตีนขดอยูใน นิวเคลียส ยีน ดีเอ็นเอ และโครโมโซมมีความสัมพันธกัน โดยบางสวนของดีเอ็นเอทำหนาที่เปนยีนที่กำหนดลักษณะ ของส่ิงมชี ีวิต • สิ่งมีชีวิตที่มีโครโมโซม 2 ชุด โครโมโซมที่เปนคูกัน มีการ เรียงลำดับของยีนบนโครโมโซมเหมือนกัน เรียกวา ฮอมอโลกัสโครโมโซม ยีนหนึ่งที่อยูบนคูฮอมอโลกัส โครโมโซม อาจมีรูปแบบแตกตางกัน เรียกแตละรูปแบบ ของยีนที่ตางกันนี้วา แอลลีล ซึ่งการเขาคูกันของแอลลีล ตา ง ๆ อาจสงผลทำใหส ิ่งมีชวี ติ มีลกั ษณะท่แี ตกตางกันได • สิ่งมีชีวิตแตละชนิดมีจำนวนโครโมโซมคงที่ มนุษยมีจำนวน โครโมโซม 23 คู เปนออโตโซม 22 คู และโครโมโซมเพศ 1 คู เพศหญิงมีโครโมโซมเพศเปน XX เพศชายมีโครโมโซม เปน XY สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คมู ือครูรายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ฌ ตัวชวี้ ัด สาระการเรยี นรู 2. อธิบายการถายทอดลักษณะทาง • เมนเดลไดศึกษาการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของ พันธุกรรมจากการผสมโดยพิจารณา ตนถั่วชนิดหนึ่ง และนำมาสูหลักการพื้นฐานของการ ลักษณะเดียวที่แอลลีลเดนขมแอลลลี ถา ยทอดลกั ษณะทางพันธุกรรมของสิง่ มีชวี ิต ดอยอยางสมบูรณ 3. อธิบายการเกดิ จโี นไทปแ ละฟโนไทป • สิ่งมีชีวิตที่มีโครโมโซมเปน 2 ชุด ยีนแตละตำแหนงบน ของลูกและคำนวณอัตราสวนการ ฮอมอโลกัสโครโมโซมมี 2 แอลลีล โดยแอลลีลหนึ่งมาจากพอ เกิดจีโนไทปและฟโนไทปของ และอีกแอลลีลมาจากแม ซึ่งอาจมีรูปแบบเดียวกัน หรือ รุนลูก แตกตางกัน แอลลีลที่แตกตางกันนี้ แอลลีลหนึ่งอาจมีการ แสดงออกขมอีกแอลลีลหนึ่งได เรียกแอลลีลนั้นวาเปนแอลลลี 4. อธิบายความแตกตางของการแบง เดน สวนแอลลีลที่ถูกขมอยางสมบูรณ เรียกวาเปนแอลลีล เซลลแบบไมโทซสิ และไมโอซิส ดอย • เมื่อมีการสรางเซลลสืบพันธุ แอลลีลที่เปนคูกันในแตละ ฮอมอโลกัสโครโมโซมจะแยกจากกันไปสูเซลลสืบพันธุ แตละเซลล โดยแตละเซลลสืบพันธุจะไดรับเพียง 1 แอลลีล และจะมาเขาคูกับแอลลีลที่ตำแหนงเดียวกันของอีกเซลล สืบพันธุหนึ่ง เมื่อเกิดการปฏิสนธิ จนเกิดเปนจีโนไทปและ แสดงฟโ นไทปใ นรุนลกู • กระบวนการแบงเซลลของสิ่งมีชีวิตมี 2 แบบ คือไมโทซสิ และไมโอซสิ • ไมโทซิส เปนการแบงเซลลเพื่อเพิ่มจำนวนเซลลรางกาย ผลจากการแบงจะไดเซลลใหม 2 เซลลที่มีลักษณะและ จำนวนโครโมโซมเหมือนเซลลต ัง้ ตน • ไมโอซิส เปนการแบง เซลลเ พื่อสรางเซลลสืบพันธุ ผลจาก การแบง จะไดเ ซลลใ หม 4 เซลล ที่มจี ำนวนโครโมโซมเปน ครึ่งหนึ่งของเซลลตั้งตน เมื่อเกิดการปฏิสนธิของเซลล สืบพันธุ ลูกจะไดรับการถายทอดโครโมโซมชุดหนึ่งจาก พอและอีกชุดหนึ่งจากแม จึงเปนผลใหรุนลูกมีจำนวน โครโมโซมเทากบั รุน พอ แมและจะคงท่ีในทกุ ๆ รนุ สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

ญ คูมือครูรายวชิ าพื้นฐานวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ตัวชีว้ ัด สาระการเรียนรู • การเปลี่ยนแปลงของยีนหรือโครโมโซม สงผลใหเกิด 5. บอกไดวาการเปลี่ยนแปลงของยีน หรือโครโมโซมอาจทำใหเกิดโรคทาง การเปลี่ยนแปลงลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต เชน พันธุกรรม พรอมทั้งยกตัวอยางโรค โรคธาลัสซีเมียเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของยีน กลุมอาการ ทางพันธกุ รรม ดาวนเกิดจากการเปล่ยี นแปลงจำนวนโครโมโซม • โรคทางพันธุกรรมสามารถถายทอดจากพอแมไปสูลูกได 6. ตระหนักถึงประโยชนของความรูเรื่อง ดังนั้นกอนแตงงานและมีบุตรจงึ ควรปองกันโดยการตรวจ โรคทางพันธุกรรม โดยรูวากอน และวินิจฉัยภาวะเสี่ยงจากการถายทอดโรคทาง แตงงานควรปรึกษาแพทยเพื่อตรวจ พันธุกรรม และวินิจฉัยภาวะเสี่ยงของลูกที่อาจ เกิดโรคทางพนั ธุกรรม • มนุษยเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติ เพื่อใหไดสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะตามตองการ เรียกสิ่งมีชีวิต 7. อธิบายการใชประโยชนจากสิ่งมีชีวิต นี้วา ส่งิ มชี ีวิตดดั แปรพันธุกรรม ดัดแปรพันธุกรรม และผลกระทบท่ี อาจมีตอมนุษยและสิ่งแวดลอม โดย • ในปจจุบันมนุษยมีการใชประโยชนจากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพนั ธุกรรม ใชขอมลู ทร่ี วบรวมได เปนจำนวนมาก เชน การผลิตอาหาร การผลิตยารักษาโรค การเกษตร อยางไรก็ดีสังคมยังมีความกังวลเกี่ยวกับ 8. ตระหนักถึงประโยชนและผลกระทบ ผลกระทบของสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมที่มีตอสิ่งมีชีวิต ของสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมที่ และสิ่งแวดลอม ซึ่งยังทำการติดตามศึกษาผลกระทบ อาจมีตอมนษุ ยและส่ิงแวดลอ ม โดย ดังกลาว การเผยแพรความรูที่ไดจากการ โตแยงทางวิทยาศาสตร ซึ่งมีขอมูล • ความหลากหลายทางชีวภาพ มี 3 ระดับ ไดแก ความ สนับสนุน หลากหลายของระบบนิเวศ ความหลากหลายของชนิด ส่ิงมีชีวิต และความหลากหลายทางพันธกุ รรม ความหลากหลาย 9. เปรียบเทียบความหลากหลายทาง ทางชีวภาพนี้มีความสำคัญตอการรักษาสมดุลของระบบนิเวศ ชีวภาพในระดับชนิดสิ่งมีชีวิตใน ระบบนิเวศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงจะรักษา ระบบนิเวศตา ง ๆ สมดุลไดดีกวาระบบนิเวศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ ต่ำกวา นอกจากนี้ความหลากหลายทางชีวภาพยังมี 10. อธ ิ บายความสำค ั ญของความ ความสำคัญตอมนุษยในดานตาง ๆ เชน ใชเปนอาหาร หลากหลายทางชีวภาพที่มีตอการ ยารักษาโรค วัตถุดิบในอุตสาหกรรมตาง ๆ ดังนั้น จึงเปน รักษาสมดุลของระบบนิเวศและตอ หนาที่ของทกุ คนในการดแู ลรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ มนษุ ย ใหค งอยู 11. แสดงความตระหนักในคุณคาและ ความสำคัญของความหลากหลาย ทางชีวภาพ โดยมีสวนรว มในการดูแล รกั ษาความหลากหลายทางชวี ภาพ สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คูมือครรู ายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ฎ ตัวชีว้ ัด สาระการเรยี นรู มาตรฐาน ว 2.1 1. ระบุสมบัติทางกายภาพและการใช • พอลิเมอร เซรามิก และวัสดุผสม เปนวัสดุที่ใชมากใน ชวี ติ ประจำวนั ประโยชนวัสดุประเภทพอลิเมอร เซรามิก และวัสดุผสมโดยใช • พอลิเมอรเปนสารประกอบโมเลกุลใหญที่เกิดจากโมเลกุล หลกั ฐานเชงิ ประจักษและสารสนเทศ จำนวนมากรวมตัวกันทางเคมี เชน พลาสติก ยาง เสนใย 2. ตระหนักถึงคุณคาของการใชวัสดุ ซึ่งเปนพอลิเมอรที่มีสมบัติแตกตางกัน โดยพลาสติกเปน ประเภทพอลิเมอร เซรามิก และ พอลิเมอรที่ขึ้นรูปเปนรูปทรงตาง ๆ ได ยางยืดหยุนได วัสดุผสม โดยเสนอแนะแนวทางการ สวนเสนใยเปนพอลิเมอรที่สามารถดึงเปนเสนยาวได ใชว ัสดอุ ยางประหยัดและคุมคา พอลิเมอรจ งึ ใชประโยชนไดแตกตา งกนั 3. อธิบายการเกิดปฏิกิรยิ าเคมี รวมถึง • เซรามิกเปนวัสดุที่ผลิตจากดิน หิน ทราย และแรธาตุ การจัดเรียงตัวใหมของอะตอมเม่ือ ตาง ๆ จากธรรมชาติ และสวนมากจะผานการเผาที่อุณหภูมิ เกิดปฏิกิริยาเคมีโดยใชแบบจำลอง สูง เพื่อใหไดเนื้อสารที่แข็งแรง เซรามิกสามารถทำเปน และสมการขอความ รูปทรงตาง ๆ ได สมบัติทั่วไปของเซรามิกจะแข็ง ทนตอ การสึกกรอนและเปราะ สามารถนำไปใชประโยชนได เชน ภาชนะที่เปนเคร่ืองปนดนิ เผา ช้ินสว นอิเล็กทรอนกิ ส • วัสดุผสมเปนวัสดุที่เกิดจากวัสดุตั้งแต 2 ประเภทที่มีสมบัติ แตกตางกันมารวมตัวกัน เพื่อนำไปใชประโยชนไดมากข้ึน เชน เสื้อกันฝนบางชนิดเปนวัสดุผสมระหวางผากับยาง คอนกรตี เสริมเหล็กเปน วัสดผุ สมระหวา งคอนกรตี กบั เหลก็ • วัสดุบางชนิดสลายตัวยาก เชน พลาสติก การใชวัสดุอยาง ฟมุ เฟอยและไมร ะมัดระวงั อาจกอ ปญหาตอ ส่ิงแวดลอ ม • การเกิดปฏิกิริยาเคมีหรือการเปลี่ยนแปลงทางเคมีของ สาร เปนการเปลี่ยนแปลงที่ทำใหเกิดสารใหม โดยสารท่ี เขาทำปฏิกิริยา เรียกวา สารตั้งตน สารใหมท่ีเกิดขึ้นจาก ปฏิกิริยา เรียกวา ผลิตภัณฑ การเกิดปฏิกิริยาเคมี สามารถเขยี นแทนไดด วยสมการขอ ความ สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

ฏ คูมือครูรายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ตวั ชวี้ ดั สาระการเรยี นรู 4. อธิบายกฎทรงมวล โดยใชหลักฐาน • การเกิดปฏกิ ิริยาเคมี อะตอมของสารต้ังตนจะมกี ารจัดเรียงตัว เชิงประจักษ ใหม ไดเปนผลิตภัณฑ ซึ่งมีสมบัติแตกตางจากสารตั้งตน โดย อะตอมแตล ะชนิดกอ นและหลังเกิดปฏิกิริยาเคมีมีจำนวนเทา กนั 5. วิเคราะหปฏิกิริยาดูดความรอน และปฏิกิริยาคายความรอน จาก • เมื่อเกิดปฏิกิริยาเคมี มวลรวมของสารตั้งตนเทากับมวล การเปล่ียนแปลงพลังงานความรอน รวมของผลิตภณั ฑ ซึ่งเปนไปตามกฎทรงมวล ของปฏิกริ ยิ า • เมื่อเกิดปฏิกิริยาเคมี มีการถายโอนความรอนควบคูไปกับ 6. อธิบายปฏิกิริยาการเกิดสนิมของ การจัดเรียงตัวใหมของอะตอมของสาร ปฏิกิริยาที่มี เหล็ก ปฏิกิริยาของกรดกับโลหะ การถายโอนความรอนจากสิ่งแวดลอมเขาสูระบบเปน ปฏิกิริยาของกรดกับเบส และ ปฏิกิริยาดูดความรอน ปฏิกิริยาที่มีการถายโอนความรอน ปฏิกิริยาของเบสกับโลหะ โดยใช จากระบบออกสสู ง่ิ แวดลอ มเปนปฏิกิริยาคายความรอน โดย หลักฐานเชิงประจักษ และอธิบาย ใชเ ครอื่ งมอื ท่ีเหมาะสมในการวดั อุณหภมู ิ เชน เทอรมอมิเตอร ปฏิกิริยาการเผาไหม การเกิดฝนกรด หัววัดที่สามารถตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิได การสังเคราะหดวยแสง โดยใช อยา งตอ เนอื่ ง สารสนเทศ รวมทั้งเขียนสมการ ขอ ความแสดงปฏิกิริยาดงั กลาว • ปฏิกิริยาเคมีที่พบในชีวิตประจำวันมีหลายชนิด เชน ปฏิกิริยาการเผาไหม การเกิดสนิมของเหล็ก ปฏิกิริยาของ กรดกับโลหะ ปฏิกิริยาของกรดกับเบส ปฏิกิริยาของเบสกบั โลหะ การเกิดฝนกรด การสังเคราะหดวยแสง ปฏิกิริยาเคมี สามารถเขียนแทนไดดวยสมการขอความ ซึ่งแสดงชื่อของ สารตัง้ ตน และผลิตภัณฑ เชน เช้อื เพลงิ + ออกซเิ จน → คารบอนไดออกไซด + น้ำ ปฏิกิริยาการเผาไหมเปนปฏิกิริยาระหวางสารกับออกซิเจน สารที่เกิดปฏิกิริยาการเผาไหม สวนใหญเปนสารประกอบที่ มีคารบอนและไฮโดรเจนเปนองคประกอบ ซึ่งถาเกิดการ เผาไหมอยา งสมบูรณ จะไดผลิตภัณฑเปนคารบ อนไดออกไซด และนำ้ สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คูมอื ครรู ายวชิ าพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ฐ ตัวชว้ี ัด สาระการเรยี นรู 7. ระบุประโยชนและโทษของปฏิกิริยา • การเกิดสนิมของเหล็ก เกิดจากปฏิกิริยาเคมีระหวางเหล็ก เคมีที่มีตอสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม นำ้ และออกซเิ จน ไดผ ลิตภัณฑเ ปน สนิมของเหล็ก และยกตัวอยางวิธีการปองกันและ แกปญหาที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมีท่ี • ปฏิกิริยาการเผาไหมและการเกิดสนิมของเหล็กเปน พบในชีวติ ประจำวัน จากการสบื คน ปฏิกิริยาระหวา งสารตาง ๆ กบั ออกซิเจน ขอ มลู • ปฏิกิรยิ าของกรดกบั โลหะ กรดทำปฏิกิรยิ ากับโลหะไดห ลาย 8. ออกแบบวธิ แี กปญหาในชีวติ ประจำวัน ชนดิ ไดผ ลติ ภัณฑเปนเกลือของโลหะและแกส ไฮโดรเจน โดยใชความรูเกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมี โ ด ย บ ู ร ณ า ก า ร ว ิ ท ย า ศ า ส ต ร • ปฏิกิริยาของกรดกับสารประกอบคารบอเนตไดผลิตภัณฑ คณิตศาสตร เทคโนโลยี และ เปน แกสคารบ อนไดออกไซด เกลอื ของโลหะ และน้ำ วิศวกรรมศาสตร • ปฏิกิริยาของกรดกับเบส ไดผลิตภัณฑเปนเกลือของโลหะ และน้ำ หรืออาจไดเพียงเกลือของโลหะ • ปฏิกิริยาของเบสกับโลหะบางชนิด ไดผลิตภัณฑเปนเกลือ ของเบสและแกส ไฮโดรเจน • การเกิดฝนกรด เปนผลจากปฏิกิริยาระหวางน้ำฝนกับ ออกไซดของไนโตรเจน หรือออกไซดของซัลเฟอร ทำให นำ้ ฝนมีสมบตั เิ ปนกรด • การสังเคราะหดวยแสงของพืช เปนปฏิกิริยาระหวางแกส คารบ อนไดออกไซดกบั นำ้ โดยมแี สงชวยในการเกดิ ปฏิกิรยิ า ไดผลิตภณั ฑเปน นำ้ ตาลกลโู คสและแกส ออกซเิ จน • ปฏิกิริยาเคมีที่พบในชีวิตประจำวันมีทั้งประโยชนและโทษ ตอสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม จึงตองระมัดระวังผลจาก ปฏิกิริยาเคมี ตลอดจนรูจักวิธีปองกันและแกปญหาที่เกิด จากปฏกิ ิรยิ าเคมีทพี่ บในชีวิตประจำวัน • ความรูเกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมี สามารถนำไปใชประโยชนใน ชีวิตประจำวัน และสามารถบูรณาการกับคณิตศาสตร เทคโนโลยี และวิศวกรรมศาสตรเพื่อใชปรับปรุงผลิตภัณฑ ใหมีคุณภาพตามตองการหรืออาจสรางนวัตกรรมเพ่ือ ปองกันและแกปญหาที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาเคมี โดยใช ความรูเกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมี เชน การเปลี่ยนแปลงพลังงาน ความรอนอันเนื่องมาจากปฏิกิริยาเคมี การเพิ่มปริมาณ ผลผลิต สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

ฑ คมู ือครูรายวชิ าพนื้ ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู มาตรฐาน ว 2.3 1. วิเคราะหความสัมพันธระหวาง • เมื่อตอวงจรไฟฟาครบวงจรจะมีกระแสไฟฟาออกจาก ขั้วบวกผานวงจรไฟฟาไปยังขั้วลบของแหลงกำเนิดไฟฟา ความตางศักย กระแสไฟฟา และ ซงึ่ วดั คาไดจ ากแอมมเิ ตอร ความตานทาน และคำนวณปริมาณ ที่เกี่ยวของโดยใชสมการ V = IR จาก • คาที่บอกความแตกตางของพลังงานไฟฟาตอหนวยประจุ หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ ระหวางจุด 2 จุด เรียกวา ความตางศักย ซึ่งวัดคาไดจาก 2. เขียนกราฟความสัมพันธระหวาง โวลตมเิ ตอร กระแสไฟฟาและความตา งศกั ยไฟฟา 3. ใชโวลตมิเตอร แอมมิเตอรในการ • ขนาดของกระแสไฟฟามีคาแปรผันตรงกับความตางศักย วดั ปรมิ าณทางไฟฟา ระหวางปลายทั้งสองของตัวนำ โดยอัตราสวนระหวาง ความตางศักยและกระแสไฟฟามีคาคงที่ เรียกคาคงที่นี้วา 4. วิเคราะหความตางศักยไฟฟาและ ความตานทาน กระแสไฟฟาในวงจรไฟฟาเมื่อตอ ตัวตานทานหลายตัวแบบอนุกรม • ในวงจรไฟฟาประกอบดวยแหลงกำเนิดไฟฟา สายไฟฟา และแบบขนานจากหลักฐานเชิง และอุปกรณไฟฟา โดยอุปกรณไฟฟาแตละชิ้นมีความตานทาน ประจักษ ในการตอตัวตานทานหลายตัว มีทั้งตอแบบอนุกรมและ แบบขนาน 5. เขียนแผนภาพวงจรไฟฟาแสดง การตอตัวตานทานแบบอนุกรม • การตอตัวตานทานหลายตัวแบบอนุกรมในวงจรไฟฟา และแบบขนาน ความตางศักยที่ครอมตัวตานทานแตละตัวมีคาเทากับ ผลรวมของความตางศักยที่ครอมตัวตานทานแตละตัว 6. บรรยายการทำงานของชิ้นสวน โดยกระแสไฟฟาที่ผานตวั ตา นทานแตล ะตัวมีคาเทากัน อิเล็กทรอนกิ สอ ยา งงายในวงจรจาก ขอมูลท่ีรวบรวมได • การตอตัวตานทานหลายตัวแบบขนานในวงจรไฟฟา กระแสไฟฟาที่ผา นวงจรมีคาเทากบั ผลรวมของกระแสไฟฟา 7. เขียนแผนภาพและตอชิ้นสวน ที่ผานตัวตานทานแตละตัว โดยความตางศักยที่ครอม อเิ ล็กทรอนกิ สอยา งงายในวงจรไฟฟา ตัวตานทานแตล ะตัวมคี า เทา กัน • ชิ้นสวนอิเล็กทรอนิกสมีหลายชนิด เชน ตัวตานทาน ไดโอด ทรานซิสเตอร ตัวเก็บประจุ โดยชิ้นสวนแตละชนิด ทำหนาที่แตกตา งกันเพ่อื ใหวงจรทำงานไดต ามตอ งการ สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คมู ือครูรายวชิ าพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ฒ ตวั ชวี้ ัด สาระการเรยี นรู 8. อธิบายและคำนวณพลังงานไฟฟา • ตัวตานทานทำหนาที่ควบคุมปริมาณกระแสไฟฟาใน โดยใชสมการ W = Pt รวมทั้งคำนวณ วงจรไฟฟา ไดโอดทำหนาที่ใหกระแสไฟฟาผานทางเดียว คาไฟฟา ของเครือ่ งใชไฟฟา ในบาน ทรานซิสเตอรทำหนาที่เปนสวิตชปดหรือเปดวงจรไฟฟา และควบคุมปริมาณกระแสไฟฟา ตัวเก็บประจุทำหนาท่ี 9. ตระหนักในคุณคาของการเลือกใช เกบ็ และคายประจไุ ฟฟา เครือ่ งใชไฟฟา โดยนำเสนอวิธีการใช เครื่องใชไฟฟาอยางประหยัดและ • เครื่องใชไฟฟาอยางงายประกอบดวยชิ้นสวนอิเล็กทรอนิกส ปลอดภัย หลายชนิดที่ทำงานรวมกัน การตอวงจรอิเล็กทรอนิกส โดยเลือกใชชิ้นสวนอิเล็กทรอนิกสที่เหมาะสมตามหนาที่ 10. สรางแบบจำลองที่อธิบายการเกิด ของชิ้นสวนนั้น ๆ จะสามารถทำใหวงจรไฟฟาทำงานได คลื่นและบรรยายสวนประกอบของ ตามตอ งการ คลืน่ • เครือ่ งใชไ ฟฟาจะมคี ากำลังไฟฟาและความตางศกั ยกำกับ ไว กำลังไฟฟา มีหนวยเปนวตั ต ความตา งศกั ยม หี นวยเปน โวลต คาไฟฟา สวนใหญคิดจากพลังงานไฟฟาท่ีใชท้ังหมด ซึ่งหาไดจากผลคูณของกำลังไฟฟาในหนวยกิโลวัตต กับ เวลาในหนวยชั่วโมง พลังงานไฟฟามีหนวยเปนกิโลวัตต ชวั่ โมง หรอื หนวย • วงจรไฟฟาในบานมีการตอเครื่องใชไฟฟาแบบขนานเพื่อให ความตา งศักยเ ทากัน การใชเครือ่ งใชไฟฟาในชวี ติ ประจำวัน ตอ งเลอื กใชเ ครือ่ งใชไ ฟฟาทม่ี ีความตา งศักยและกำลังไฟฟา ใหเหมาะกับการใชงาน และการใชเครื่องใชไฟฟาและ อุปกรณไ ฟฟา ตอ งใชอยางถูกตอ ง ปลอดภัย และประหยดั • คลื่นเกิดจากการสงผานพลังงานโดยอาศยั ตัวกลางและไม อาศัยตัวกลาง ในคลื่นกล พลังงานจะถูกถายโอนผาน ตัวกลางโดยอนุภาคของตัวกลางไมเคลื่อนที่ไปกับคลื่น คลื่นที่แผออกมาจากแหลงกำเนิดคลื่นอยางตอเนื่องและ มีรูปแบบที่ซ้ำกัน บรรยายไดดวยความยาวคล่ืน ความถ่ี แอมพลิจูด สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

ณ คูมือครูรายวชิ าพน้ื ฐานวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ตัวช้ีวดั สาระการเรียนรู 11. อธิบายคลื่นแมเหล็กไฟฟาและ • คลื่นแมเหล็กไฟฟาเปนคลื่นที่ไมอาศัยตัวกลางในการ สเปกตรัมคลื่นแมเหล็กไฟฟาจาก เคลื่อนที่ มีความถี่ตอเนื่องเปนชวงกวางมาก เคลื่อนที่ใน ขอมูลทรี่ วบรวมได สุญญากาศดวยอัตราเร็วเทากัน แตจะเคลื่อนที่ดวย 12. ตระหนักถึงประโยชนและอันตราย อัตราเร็วตางกันในตัวกลางอื่น คลื่นแมเหล็กไฟฟาแบง จากคลน่ื แมเหล็กไฟฟา โดยนำเสนอ ออกเปนชวงความถี่ตาง ๆ เรียกวา สเปกตรัมของคลื่น การใชประโยชนในดานตาง ๆ และ แมเหล็กไฟฟา แตละชวงความถี่มีชื่อเรียกตางกัน ไดแก อันตรายจากคลื่นแมเหล็กไฟฟาใน คลื่นวิทยุ ไมโครเวฟ อินฟราเรด แสงที่มองเห็น อัลตราไวโอเลต ชวี ิตประจำวนั รังสีเอกซและรงั สีแกมมา ซึง่ สามารถนำไปใชประโยชนไ ด 13. ออกแบบการทดลองและดำเนินการ • เลเซอรเปนคลื่นแมเหล็กไฟฟาที่มีความยาวคลื่นเดียว ทดลองดวยวิธีที่เหมาะสมในการ เปนลำแสงขนานและมีความเขมสูง นำไปใชประโยชนใน อธิบายกฎการสะทอ นของแสง ดานตาง ๆ เชน ดานการสื่อสาร มีการใชเลเซอรสำหรับสง สารสนเทศผานเสนใยนำแสง โดยอาศัยหลักการการสะทอน 14. เขียนแผนภาพการเคลื่อนที่ของ กลบั หมดของแสง ดา นการแพทยใ ชในการผา ตดั แสง แสดงการเกิดภาพจากกระจก เงา • คลื่นแมเหล็กไฟฟานอกจากจะสามารถนำไปใชประโยชน แลว ยังมีโทษตอมนุษยดวย เชน ถามนุษยไดรับรังสี อัลตราไวโอเลตมากเกินไป อาจจะทำใหเกิดมะเร็งผิวหนัง หรือถาไดรังสีแกมมาซึ่งเปนคลื่นแมเหล็กไฟฟาที่มีพลังงาน สูงและสามารถทะลุผานเซลลและอวัยวะได อาจทำลาย เนื้อเยื่อหรืออาจทำใหเสียชีวิตได เมื่อไดรับรังสีแกมมาใน ปรมิ าณสงู • เมื่อแสงตกกระทบวัตถุจะเกิดการสะทอนซึ่งเปนไปตาม กฎการสะทอนของแสง โดยรังสีตกกระทบ เสนแนวฉาก รังสีสะทอนอยูในระนาบเดียวกัน และมุมตกกระทบ เทากับมุมสะทอน ภาพจากกระจกเงาเกิดจากรังสี สะทอนตัดกันหรือตอแนวรังสีสะทอนใหตัดกัน โดยถา รังสีสะทอนตัดกันจริงจะเกิดภาพจริง แตถาตอแนวรังสี สะทอ นใหไปตดั กัน จะเกิดภาพเสมอื น สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คมู อื ครรู ายวิชาพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ด ตัวชี้วดั สาระการเรียนรู 15. อธิบายการหักเหของแสงเมื่อผาน • เมื่อแสงเดินทางผานตัวกลางโปรงใสที่แตกตางกัน เชน ตัวกลางโปรงใสที่แตกตางกัน และ อากาศและน้ำ อากาศและแกว จะเกิดการหักเห หรืออาจ อธิบายการกระจายแสงของแสง เกิดการสะทอนกลับหมดในตัวกลางที่แสงตกกระทบ ขาวเมื่อผานปริซึมจากหลักฐาน การหักเหของแสงผานเลนสทำใหเกิดภาพที่มีชนิดและ เชงิ ประจกั ษ ขนาดตา ง ๆ 16. เขียนแผนภาพการเคลื่อนที่ของ แสงแสดงการเกิดภาพจากเลนส • แสงขาวประกอบดวยแสงสตี าง ๆ เม่ือแสงขาวผานปริซึมจะ บาง เกิดการกระจายแสงเปนแสงสีตาง ๆ เรียกวา สเปกตรัมของ แสงขาว เมื่อเคลื่อนที่ในตัวกลางใด ๆ ที่ไมใชอากาศ จะมี 17. อธบิ ายปรากฏการณทเ่ี กี่ยวกับแสง อตั ราเร็วตา งกันจงึ มกี ารหักเหตา งกัน และการทำงานของทัศนอุปกรณ จากขอ มลู ทร่ี วบรวมได • การสะทอนและการหักเหของแสงนำไปใชอธิบาย ปรากฏการณที่เกี่ยวกับแสง เชน รุง มิราจ และอธิบาย 18. เขียนแผนภาพการเคลื่อนที่ของแสง การทำงานของทัศนอุปกรณ เชน แวนขยาย กระจกโคง แสดงการเกิดภาพของทัศนอุปกรณ จราจร กลองโทรทรรศน กลอ งจุลทรรศน และแวนสายตา และเลนสตา • ในการมองวัตถุ เลนสตาจะถูกปรับโฟกัส เพื่อใหเกิดภาพ 19. อธิบายผลของความสวางที่มีตอ ชัดที่จอตา ความบกพรองทางสายตา เชน สายตาสั้น ดวงตาจากขอมลู ทีไ่ ดจากการสืบคน และสายตายาว เปนเพราะตำแหนงที่เกิดภาพไมไดอยูท่ี จอตาพอดี จึงตองใชเลนสในการแกไขเพื่อชวยให 20. วัดความสวางของแสงโดยใช มองเห็นเหมือนคนสายตาปกติ โดยคนสายตาสั้นใช อุปกรณว ัดความสวา งของแสง เลนสเวา สวนคนสายตายาวใชเลนสนูน 21. ตระหนักในคุณคาของความรูเรื่อง • ความสวางของแสงมีผลตอดวงตามนษุ ย การใชสายตาใน ความสวางของแสงที่มีตอดวงตา สภาพแวดลอ มทม่ี คี วามสวา งไมเ หมาะสมจะเปนอันตราย โดยวิเคราะหสถานการณปญหา ตอดวงตา เชน การดูวัตถุในที่มีความสวางมากหรือนอย และเสนอแนะการจัดความสวางให เกินไป การจองดูหนาจอภาพเปนเวลานาน ความสวาง เหมาะสมในการทำกจิ กรรมตาง ๆ บนพื้นที่รับแสงมีหนวยเปนลักซ ความรูเกี่ยวกับ ความสวางสามารถนำมาใชจัดความสวางใหเหมาะสมกบั การทำกิจกรรมตาง ๆ เชน การจัดความสวางที่เหมาะสม สำหรับการอา นหนงั สอื สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

ต คูมือครรู ายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ตัวช้วี ดั สาระการเรยี นรู มาตรฐาน ว 3.1 1. อธิบายการโคจรของดาวเคราะห • ในระบบสุริยะมีดวงอาทิตยเปนศูนยกลางโดยมี ดาวเคราะหและบริวาร ดาวเคราะหแคระ ดาวเคราะห รอบดวงอาทิตยดวยแรงโนมถวง นอย ดาวหาง และอื่น ๆ เชน วัตถุคอยเปอรโคจรอยู จากสมการ F = (Gm1m2)/r2 โดยรอบ ซึ่งดาวเคราะห และวัตถุเหลานี้โคจรรอบ ดวงอาทิตยดวยแรงโนมถวง แรงโนมถวงเปนแรงดึงดูด 2. สรางแบบจำลองที่อธิบายการเกิด ระหวางวัตถุสองวัตถุโดยเปนสัดสวนกับผลคูณของมวล ฤดู และการเคลื่อนที่ปรากฏของ ทั้งสอง และเปนสัดสวนผกผันกับกำลังสองของระยะทาง ดวงอาทติ ย ระหวางวัตถุทั้งสอง แสดงไดโดยสมการ F = (Gm1m2)/r2เมื่อ F แทนความโนมถวงระหวางมวลทั้งสอง G แทนคานิจโนม 3. สรางแบบจำลองที่อธิบายการเกิด ถวงสากล m1 แทนมวลของวัตถุแรก m2 แทนมวลของวัตถุ ขางขึ้นขางแรม การเปลี่ยนแปลง ที่สอง และ r แทนระยะหา งระหวา งวัตถทุ ้ังสอง เวลาการขึ้นและตกของดวงจันทร และการเกดิ นำ้ ข้นึ น้ำลง • การที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตยใ นลักษณะที่แกนโลกเอียง กับแนวตั้งฉากของระนาบทางโคจร ทำใหสวนตาง ๆ บน โลกไดรับปริมาณแสงจากดวงอาทิตยแตกตางกันใน รอบป เกิดเปนฤดู กลางวันกลางคืนยาวไมเทากัน และ ตำแหนงการขึ้นและตกของดวงอาทิตยที่ขอบฟาและ เสนทางการขึ้นและตกของดวงอาทิตยเปลี่ยนไปในรอบป ซ่ึงสง ผลตอ การดำรงชวี ติ • ดวงจันทรโคจรรอบโลก โลกและดวงจันทรโคจรรอบ ดวงอาทิตย ดวงจันทรรับแสงจากดวงอาทิตยครึ่งดวง ตลอดเวลา เมื่อดวงจันทรโคจรรอบโลกไดหันสวนสวาง มายังโลกแตกตางกัน จึงทำใหคนบนโลกสังเกตสวนสวาง ของดวงจันทรแตกตางไปในแตละวันเกิดเปนขางขึ้น ขา งแรม • ดวงจันทรโคจรรอบโลกในทิศทางเดียวกันกับที่โลก หมุนรอบตวั เอง จงึ ทำใหเ หน็ ดวงจันทรขน้ึ ชาไปประมาณวนั ละ 50 นาที สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คมู ือครรู ายวชิ าพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ถ ตวั ชี้วัด สาระการเรียนรู 4. อธิบายการใชประโยชนข องเทคโนโลยี • แรงโนมถวงที่ดวงจันทร ดวงอาทิตยกระทำตอโลก ทำให อวกาศและยกตัวอยางความกาวหนา เกิดปรากฏการณน้ำขึ้นน้ำลง ซึ่งสงผลตอสิ่งแวดลอมและ ของโครงการสำรวจอวกาศ จาก สิ่งมีชีวิตบนโลก วันที่น้ำมรี ะดบั การขึน้ สูงสุดและลงต่ำสุดเรียก ขอมูลทีร่ วบรวมได วันน้ำเกิด สวนวันที่ระดับน้ำมีการขึ้นและลงนอยเรียก วันน้ำตาย โดยวันน้ำเกิด น้ำตาย มีความสัมพันธกับขางขึ้น ขางแรม • เทคโนโลยีอวกาศไดมีบทบาทตอการดำรงชีวิตของมนุษยใน ปจจุบันมากมาย มนุษยไดใชประโยชนจากเทคโนโลยี อวกาศ เชน ระบบนำทางดวยดาวเทยี ม (GNSS) การตดิ ตาม พายุ สถานการณไฟปา ดาวเทียมชวยภัยแลง การตรวจ คราบน้ำมนั ในทะเล • โครงการสำรวจอวกาศตาง ๆ ไดพัฒนาเพิ่มพูนความรู ความเขาใจตอโลก ระบบสุริยะและเอกภพมากขึ้นเปน ลำดับ ตัวอยางโครงการสำรวจอวกาศ เชน การสำรวจ สิ่งมีชีวิตนอกโลก การสำรวจดาวเคราะหนอกระบบสุริยะ การสำรวจดาวอังคารและบรวิ ารอื่นของดวงอาทิตย สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

ท คูม ือครูรายวชิ าพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี เวลา 60 ช่วั โมง เวลา (ชวั่ โมง) หนว ยการเรียนรู 20 รายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที่ 3 เลม 2 หนว ยการเรยี นรู 22 หนวยท่ี 5 ปฏกิ ิรยิ าเคมแี ละวสั ดใุ นชีวติ ประจำวนั 18 บทท่ี 1 ปฏิกริ ยิ าเคมี เรอ่ื งที่ 1 การเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี เรอ่ื งท่ี 2 ปฏกิ ริ ิยาเคมีรอบตัว กจิ กรรมทายบท ออกแบบวิธกี ารลดปรมิ าณแกสเรอื นกระจกไดอยา งไร หนว ยที่ 6 ไฟฟา บทที่ 1 วงจรไฟฟา อยางงาย เรอื่ งที่ 1 ปริมาณทางไฟฟา เร่อื งที่ 2 วงจรไฟฟาแบบอนุกรมและแบบขนาน กิจกรรมทายบท ออกแบบวงจรไฟฟา ในหองไดอ ยา งไร บทที่ 2 ไฟฟา ในชีวติ ประจำวนั เรื่องที่ 1 พลังงานไฟฟา เรอื่ งที่ 2 อเิ ล็กทรอนกิ ส กิจกรรมทายบท Smart Farming ทำไดอยางไร หนว ยที่ 7 ระบบนเิ วศและความหลากหลายทางชวี ภาพ บทที่ 1 ระบบนเิ วศ เรอ่ื งท่ี 1 องคป ระกอบของระบบนิเวศ เรื่องที่ 2 ความสมั พนั ธของสิง่ มชี ีวิตในระบบนิเวศ กิจกรรมทายบท เราจะดูแลรกั ษาระบบนิเวศในทองถ่นิ ไดอ ยางไร บทที่ 2 ความหลากหลายทางชวี ภาพ เร่ืองท่ี 1 ความหลากหลายของชนดิ ส่งิ มีชีวติ กจิ กรรมทา ยบท ความหลากหลายทางชวี ภาพมีความสำคัญอยา งไร สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คมู อื ครรู ายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ธ ความสอดคลอ งของบทเรียน กิจกรรมการเรยี นรู และตัวช้ีวัด ในหนังสือเรยี นวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ชั้นมธั ยมศึกษาปที่ 3 เลม 2 หนวยการเรยี นรู/ บทเรยี น กิจกรรม ตัวช้วี ดั มาตรฐาน ว 2.1 หนวยที่ 5 ปฏิกิริยาเคมีและวสั ดุใน กิจกรรมที่ 5.1 การเกดิ ปฏกิ ิรยิ า • อธิบายการเกิดปฏิกิริยาเคมี รวมถึง ชวี ติ ประจำวัน เคมีเปนอยา งไร การจัดเรียงตัวใหมของอะตอมเม่ือ บทท่ี 1 ปฏกิ ิรยิ าเคมี เกิดปฏิกิริยาเคมีโดยใชแบบจำลอง และสมการขอความ กิจกรรมที่ 5.2 มวลรวมของสาร • อธิบายกฎทรงมวล โดยใชหลักฐาน กอ นและหลงั เกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี เชิงประจักษ เปนอยา งไร กิจกรรมท่ี 5.3 การถา ยโอน • วิเคราะหปฏิกิริยาดูดความรอน และ ความรอ นของปฏิกิรยิ าเคมเี ปน ปฏิกิริยาคายความรอน จากการ อยางไร เปลี่ยนแปลงพลังงานความรอนของ ปฏิกริ ยิ า กจิ กรรมท่ี 5.4 ปฏิกิริยาของกรด • อธิบายปฏิกิริยาการเกิดสนิมของเหล็ก กบั เบสเปน อยางไร ปฏิกิริยาของกรดกับโลหะ ปฏิกิริยา กจิ กรรมที่ 5.5 ปฏกิ ิรยิ าของกรด ของกรดกับเบส และปฏิกิริยาของเบส กบั โลหะและเบสกบั โลหะเปน กับโลหะ โดยใชหลักฐานเชิงประจักษ อยางไร และอธิบายปฏิกิริยาการเผาไหม การ เกิดฝนกรด การสังเคราะหดว ยแสง โดย กจิ กรรมท่ี 5.6 ปฏกิ ิริยาการเกดิ ใชสารสนเทศ รวมทั้งเขียนสมการ สนมิ เหล็กเปน อยางไร ขอความแสดงปฏกิ ริ ิยาดงั กลาว กจิ กรรมท่ี 5.7 ปฏกิ ิรยิ าเคมีมีผล • ระบุประโยชนและโทษของปฏิกิริยา ตอส่งิ มีชีวติ และสิ่งตาง ๆ รอบตัว เคมีที่มีตอสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม อยางไร และยกตัวอยางวิธีการปองกันและ แกปญหาที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมีที่พบ ในชีวติ ประจำวนั จากการสบื คน ขอ มูล สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

น คมู ือครูรายวชิ าพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ความสอดคลอ งของบทเรยี น กิจกรรมการเรียนรู และตวั ช้ีวัด ในหนงั สือเรียนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ช้ันมัธยมศึกษาปท่ี 3 เลม 2 หนว ยการเรียนรู/ บทเรียน กจิ กรรม ตัวช้ีวัด กิจกรรมทายบท ออกแบบวิธีการ • ออกแบบวิธีแกปญหาในชีวิตประจำวัน ลดปริมาณแกส เรือนกระจกได โดยใชความรูเกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมี อยา งไร โดยบูรณาการวิทยาศาสตร คณิตศาสตร เทคโนโลยี และวศิ วกรรมศาสตร หนวยที่ 5 ปฏิกิริยาเคมีและวสั ดุใน กจิ กรรมที่ 5.8 พอลเิ มอร เซรามกิ • ระบุสมบัติทางกายภาพและการใช ชีวติ ประจำวนั และโลหะมสี มบตั ิอยา งไร ประโยชนวัสดุประเภทพอลิเมอร เซรา บทท่ี 2 วสั ดุในชวี ิตประจำวัน กจิ กรรมท่ี 5.9 วัสดุผสมมีสมบัติ มิก และวัสดุผสมโดยใชหลักฐานเชิง เปน อยา งไร ประจักษแ ละสารสนเทศ กิจกรรมทายบท • ตระหนักถึงคุณคาของการใชวัสดุ ใชว ัสดใุ นชีวติ ประจำวันอยา งไร ประเภทพอลิเมอร เซรามิก และ ใหป ระหยัดและคมุ คา วัสดุผสม โดยเสนอแนะแนวทางการใช วัสดอุ ยา งประหยัดและคุม คา มาตรฐาน ว 2.3 หนว ยท่ี 6 ไฟฟา กิจกรรมท่ี 6.1 ใชแ อมมิเตอรว ดั • ใชโวลตมิเตอร แอมมิเตอรในการวัด บทท่ี 1 วงจรไฟฟา อยางงาย กระแสไฟฟา ไดอยา งไร ปรมิ าณทางไฟฟา กิจกรรมท่ี 6.2 ใชโ วลตมิเตอรวดั ความตางศกั ยไฟฟาไดอยางไร กจิ กรรมที่ 6.3 กระแสไฟฟาและ • วิเคราะหความสัมพันธระหวาง ความตางศกั ยไฟฟา ของตัวนำไฟฟา ความตางศักย กระแสไฟฟา และ มีความสัมพนั ธก ันอยา งไร ความตานทาน และคำนวณปริมาณท่ี เกี่ยวของโดยใชสมการ V = IR จาก หลกั ฐานเชิงประจักษ • เขียนกราฟความสัมพันธระหวาง กระแสไฟฟาและความตางศักยไฟฟา สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คมู อื ครรู ายวิชาพนื้ ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี บ ความสอดคลอ งของบทเรียน กิจกรรมการเรยี นรู และตัวช้ีวัด ในหนงั สือเรยี นวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ชนั้ มธั ยมศึกษาปท่ี 3 เลม 2 หนว ยการเรียนรู/บทเรยี น กจิ กรรม ตวั ชี้วดั หนวยที่ 6 ไฟฟา กิจกรรมท่ี 6.4 วงจรไฟฟา แบบ บทที่ 1 วงจรไฟฟาอยางงาย อนุกรมเปน อยา งไร • วิเคราะหความตางศักยไฟฟาและ กจิ กรรมท่ี 6.5 วงจรไฟฟา แบบ กระแสไฟฟาในวงจรไฟฟาเมื่อตอ หนวยท่ี 6 ไฟฟา ขนานเปน อยางไร ตัวตานทานหลายตัวแบบอนุกรม บทที่ 2 ไฟฟา ในชวี ิตประจำวัน กจิ กรรมทายบท ออกแบบ และแบบขนานจากหลักฐานเชิง วงจรไฟฟาในหองไดอ ยา งไร ประจกั ษ กจิ กรรมท่ี 6.6 ใชเครอ่ื งใชไฟฟา • เขียนแผนภาพวงจรไฟฟาแสดง อยางประหยดั และปลอดภัยได การตอตัวตานทานแบบอนุกรมและ อยางไร แบบขนาน กิจกรรมท่ี 6.7 ตวั ตา นทานมี • อธิบายและคำนวณพลังงานไฟฟาโดย หนา ที่อะไร ใชสมการ W = Pt รวมทั้งคำนวณ กิจกรรมที่ 6.8 ไดโอดมหี นาท่ี คา ไฟฟา ของเครอ่ื งใชไฟฟา ในบา น อะไร กิจกรรมท่ี 6.9 ตัวเก็บประจมุ ี • ตระหนักในคุณคาของการเลือกใช หนา ทอ่ี ยางไร เครื่องใชไฟฟาโดยนำเสนอวิธีการใช กิจกรรมที่ 6.10 ทรานซสิ เตอรมี เครื่องใชไฟฟาอยางประหยัดและ หนาท่อี ะไร ปลอดภัย กจิ กรรมทา ยบท Smart Farming ทำไดอยา งไร • บรรยายการทำงานของชิ้นสวน อิเล็กทรอนิกสอยางงายในวงจรจาก ขอมูลทีร่ วบรวมได • เขียนแผนภาพและตอชิ้นสวน อิเล็กทรอนิกสอยางงายในวงจรไฟฟา สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

ป คู่มอื ครรู ายวิชาพน้ื ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความสอดคลอ้ งของบทเรียน กจิ กรรมการเรยี นรู้ และตวั ชวี้ ัด ในหนงั สือเรียนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 เลม่ 2 หนว่ ยการเรยี นร้/ู บทเรยี น กจิ กรรม ตวั ชีว้ ัด มาตรฐาน ว 1.1 หน่วยที่ 7 ระบบนิเวศและ กิจกรรมท่ี 7.1 องคป์ ระกอบของ • อธิบายปฏิสัมพันธ์ขององค์ประกอบ ความหลากหลายทางชวี ภาพ บทที่ 1 ระบบนิเวศ สภาพแวดลอ้ มในทอ้ งถน่ิ มี ของระบบนิเวศที่ได้จากการสำรวจ ปฏสิ ัมพนั ธ์กันอยา่ งไร กิจกรรมที่ 7.2 สร้างแบบจำลอง • สร้างแบบจำลองในการอธิบาย สายใยอาหารได้อย่างไร การถา่ ยทอดพลังงานในสายใยอาหาร กจิ กรรมท่ี 7.3 การสะสมสารพิษ • อธิบายความสัมพันธ์ของผู้ผลิต ในสง่ิ มีชวี ติ เกดิ ขนึ้ ไดอ้ ย่างไร ผู้บริโภค และผู้ย่อยสลายสารอินทรีย์ ในระบบนิเวศ • อธิบายการสะสมสารพิษในสิ่งมีชีวิต ในโซอ่ าหาร กจิ กรรมที่ 7.4 สิง่ มีชวี ิตอยู่ • อธิบายรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่าง ร่วมกันอยา่ งไร สิ่งมชี วี ติ กับสิง่ มชี วี ิตรูปแบบต่าง ๆ ใน แหล่งท่ีอยเู่ ดียวกนั ที่ไดจ้ ากการสำรวจ กจิ กรรมท้ายบท เราจะดูแล • ตระหนักถึงความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิต รักษาระบบนเิ วศในท้องถ่นิ ได้ และสิ่งแวดล้อมในระบบนิเวศ โดยไม่ อย่างไร ทำลายสมดลุ ของระบบนเิ วศ มาตรฐาน ว 1.3 หน่วยที่ 7 ระบบนเิ วศและ กิจกรรมที่ 7.5 ชนดิ ของส่งิ มชี ีวิต • เปรียบเทียบความหลากหลายทาง ความหลากหลายทางชวี ภาพ ในแต่ละระบบนิเวศแตกตา่ งกัน ชีวภาพในระดับชนิดสิ่งมีชีวิตใน บทท่ี 2 ความหลากหลายทางชวี ภาพ อย่างไร ระบบนเิ วศตา่ ง ๆ กจิ กรรมท่ี 7.6 ความหลากหลาย • อธิบายความสำคัญของความหลากหลาย ทางชวี ภาพเกี่ยวข้องกับการรักษา ทางชีวภาพที่มีต่อการรักษาสมดุล สมดุลของระบบนิเวศอยา่ งไร ของระบบนิเวศและตอ่ มนษุ ย์ กจิ กรรมท้ายบท ความหลากหลาย • แสดงความตระหนักในคุณค่าและ ทางชีวภาพมีความสำคัญอย่างไร ความสำคัญของความหลากหลาย ทางชีวภาพ โดยมีส่วนร่วมในการดูแล รกั ษาความหลากหลายทางชีวภาพ สถาบันส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

คู่มือครรู ายวิชาพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผ ตารางรายการวสั ดอุ ปุ กรณป์ ระกอบหนังสือเรยี นวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 3 เลม่ 2 ที่ รายการ ปริมาณ/กลมุ่ หนว่ ยที่ 5 50 cm3 15 cm3 1. สารละลายกรดไฮโดรคลอริก ความเข้มข้น 0.6 โมลตอ่ ลติ ร 20 cm3 2. สารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ ความเขม้ ขน้ ประมาณ 0.6 โมลตอ่ ลติ ร 35 cm3 3. สารละลายโซเดยี มไฮดรอกไซด์ ความเขม้ ข้นประมาณ 3 โมลตอ่ ลิตร 250 cm3 4. สารละลายกรดแอซีตกิ หรือน้ำส้มสายชู 1 ขวด 5. น้ำกลน่ั 1 แผน่ 6. น้ำมนั พืช 1 แผน่ 7. แผ่นสงั กะสี 5 ตวั 8. แผน่ อะลมู เิ นยี ม 2 ชนดิ ชนิดละ 1 ชน้ิ 9. ตะปเู หลก็ 10. พอลิเมอร์ เช่น ยางรัดของ ลูกโป่ง ขวดเพ็ต ชามเมลามีน ถุงพลาสติก 2 ชนดิ ชนิดละ 1 ช้ิน 2 ชนดิ ชนิดละ 1 ช้นิ (ถุงเยน็ ถุงร้อน) เสน้ ด้าย 11. เซรามกิ เชน่ ช้อนกระเบื้อง แผ่นกระเบื้องดินเผา อฐิ มอญ 2 ก้อน 12. โลหะ เชน่ แผน่ สงั กะสี แผ่นอะลูมิเนยี ม แผ่นทองแดง ตะปูเหล็ก 3 เส้น 13. ถา่ นไฟฉาย 1.5 V พร้อมกระบะถา่ น 1 ชดุ 14. สายไฟฟา้ พร้อมขวั้ เสียบและคลิปปากจระเข้ ยาว 50 เซนตเิ มตร 3 ใบ 15. หลอดไฟฟ้า 2.5 V พรอ้ มฐาน 1 ใบ 16. บีกเกอร์ขนาด 50 ลกู บาศกเ์ ซนติเมตร 2 ใบ 17. บกี เกอร์ขนาด 250 ลกู บาศก์เซนติเมตร 2 ใบ 18. กระบอกตวงขนาด 10 ลกู บาศกเ์ ซนติเมตร 1 คนั 19. กระบอกตวงขนาด 25 ลูกบาศก์เซนติเมตร 1 คัน 20. ชอ้ นตกั สารเบอร์หน่ึง 1 หลอด 21. ชอ้ นตักสารเบอร์สอง 6 หลอด 22. หลอดทดลองขนาดกลาง 1 อนั 23. หลอดทดลองขนาดใหญ่ 24. ทว่ี างหลอดทดลอง สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ฝ ค่มู อื ครรู ายวชิ าพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตารางรายการวสั ดอุ ปุ กรณป์ ระกอบหนังสือเรียนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 3 เลม่ 2 ท่ี รายการ ปริมาณ/กลมุ่ 1 อนั 25. คีมคบี หลอดทดลอง 1 อัน 26. ปากคบี 1 ใบ 27. ถงุ ผา้ ขนาด กว้าง x ยาว ประมาณ 7 นวิ้ x 9 นิว้ 1 ชดุ 28. ตะเกียงแอลกอฮอล์พรอ้ มท่ีกั้นลม 1 เลม่ 29. กรรไกร 1 อนั 30. คอ้ นขนาดเล็ก 2 แผน่ 31. กระดาษทราย 1 แท่ง 32. แท่งแกว้ คน 1 อัน 33. กระจกนาฬิกา 1 กล่อง 34. กระดาษยนู เิ วอรซ์ ลั อนิ ดิเคเตอร์ 4 อัน 35. จุกยางเบอร์สบิ 1 อนั 36. เทอรม์ อมเิ ตอร์ 37. แวน่ ตานริ ภยั เท่าจำนวนนักเรยี นในกลมุ่ 38. ถงุ มือยาง เทา่ จำนวนนกั เรียนในกลมุ่ หน่วยท่ี 6 1 ใบ 1 ใบ 1. ใบแจ้งคา่ ไฟฟ้ากอ่ นการปฏิบัติกิจกรรม 38 ก้อน 2. ใบแจ้งคา่ ไฟฟ้าหลังการปฏิบัติกจิ กรรม 2 กอ้ น 3. ถา่ นไฟฉายขนาด 1.5 V 1 อัน 4. แบตเตอร่ีขนาด 9 V 1 อัน 5. กระบะถา่ นแบบ 2 ก้อน 14 เส้น 6. กระบะถา่ นแบบ 4 ก้อน 1 มว้ น 7. สายไฟฟา้ แบบทมี่ ีคลิปปากจระเข้ 1 ชดุ 8. สายไฟฟ้า 1 ชุด 9. หลอดไฟฟา้ ขนาด 2.5 V พร้อมฐาน 4 อัน 10. หลอดไฟฟ้าขนาด 6 V พร้อมฐาน 11. สวิตชแ์ บบโยก สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

คู่มอื ครรู ายวชิ าพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พ ตารางรายการวสั ดอุ ปุ กรณ์ประกอบหนงั สอื เรียนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 เล่ม 2 ที่ รายการ ปริมาณ/กลมุ่ 12. สวติ ชก์ ดติดปลอ่ ยดับ 1 อัน 13. แอมมิเตอร์ 1 เครอื่ ง 14. โวลตม์ ิเตอร์ 1 เคร่อื ง 15. ลวดนโิ ครมเบอร์ 26 ความยาว 1 เมตร 1 เสน้ 16. ฝอยเหล็ก 1 ม้วน 17. ตวั ตา้ นทานคงท่ีขนาด 10 Ω 2 อัน 18. ตัวต้านทานคงที่ขนาด 30 Ω 1 อัน 19. ตวั ตา้ นทานคงที่ขนาด 100 Ω 1 อัน 20. ตวั ตา้ นทานคงท่ีขนาด 220 Ω 2 อัน 21. ตัวต้านทานคงที่ขนาด 330 Ω 5 อัน 22. ตัวต้านทานคงที่ขนาด 680 Ω 2 อัน 23. ตวั ตา้ นทานคงท่ีขนาด 1 kΩ 1 อัน 24. ตัวต้านทานคงท่ีขนาด 4.7 kΩ 1 อัน 25. ตวั ต้านทานคงที่ขนาด 10 kΩ 3 อนั 26. ตัวต้านทานคงท่ีขนาด 20 kΩ 2 อนั 27. ตวั ต้านทานคงท่ีขนาด 100 kΩ 2 อัน 28. ตวั ต้านทานแปรค่าได้ขนาด 1 kΩ 1 อัน 29. ตัวต้านทานแปรค่าได้ขนาด 10 kΩ 1 อัน 30. ตัวต้านทานแปรค่าตามแสง 2 อัน 31. ไดโอดเบอร์ 1N4001 1 อัน 32. ไดโอดเปลง่ แสงสีแดง 2 อนั 33. ไดโอดเปล่งแสงสเี ขียว 3 อนั 34. ตัวเก็บประจขุ นาด 100 µF 3 อนั 35. ตัวเก็บประจุขนาด 470 µF 1 อนั 36. ทรานซสิ เตอรช์ นดิ NPN เบอร์ BC547 6 อนั 37. เบรดบอร์ด 4 อัน สถาบันส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ฟ คมู่ อื ครูรายวชิ าพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตารางรายการวสั ดอุ ปุ กรณ์ประกอบหนงั สือเรยี นวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 3 เล่ม 2 ท่ี รายการ ปริมาณ/กลุ่ม หนว่ ยที่ 7 1 อัน 2 อนั 1. เทอร์มอมเิ ตอร์ 2 แผ่น 2. แท่งแกว้ คนสาร 1 ใบ 3. กระดาษยนู ิเวอร์ซัลอินดิเคเตอร์ 1 อัน 4. กระจกนาฬกิ า 1 ดา้ ม 5. ปากคบี 3 ใบ 6. พูก่ นั 3 ใบ 7. ถุงพลาสติก 1 อัน 8. บกี เกอร์หรอื แกว้ พลาสตกิ ใส 1 ชดุ 9. เข็มทิศ 1 อนั 10. อปุ กรณ์บันทึกภาพ 1ชุด 11. แว่นขยายหรือกล้องจลุ ทรรศนใ์ ชแ้ สง 1 ใบ 12. เซคคดิ ิสก์ (Secchi disc) 4 ใบ 13. ถังพลาสติก 4 ใบ 14. แก้วพลาติกขนากเลก็ 4 ใบ 15. แก้วพลาติกขนากกลาง 40 เมด็ 16. แก้วพลาติกขนากใหญ่ 40 เม็ด 17. ลกู ปดั สีเขยี ว 18. ลูกปัดสแี ดง สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

คมู อื ครรู ายวชิ าพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ภ แนะนำการใชคูมือครู ช่ือหนว ยและจดุ มุง หมายของหนว ยการเรียนรู ชื่อบทเรียนและสาระสำคัญ แสดงสาระสำคัญที่ นักเรียนจะไดเ รียนรูในบทเรียน องคประกอบของหนวย ซึ่งจัดเปนบทเรียน เรื่องของ บทเรียนน้ัน และกจิ กรรมทา ยบท รวมทัง้ แสดงเวลาทีใ่ ช จุดประสงคของบทเรียน แสดงเปาหมายหรือสิ่งท่ี นักเรยี นจะทำไดเมือ่ เรยี นจบบทเรียน ภาพรวมการจัดกิจกรรมการเรียนรู แสดงความ ทักษะที่นักเรียนควรจะไดรับหรือฝกปฏิบัติ เมื่อ สอดคลอ งของจุดประสงคของบทเรียน แนวความคิด เรียนจบในแตล ะเร่ือง ตอ เนื่อง และรายการประเมนิ สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

ม คมู ือครรู ายวชิ าพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี การนำเขาสูหนวยการเรียนรู แสดงแนวทางการ ช่ือเรอ่ื งและแนวการจดั การเรยี นรขู องเรอ่ื ง จดั การเรียนการสอนเมื่อเรม่ิ ตนบทเรยี น ภาพนำบทพรอมคำอธิบายภาพ เพื่อสรางความสนใจ ภาพนำเรื่องพรอมคำอธิบายภาพ เพื่อสรางความสนใจ ในการเรยี นในบทน้ี ในการเรียนในหนว ยนี้ ทบทวนความรูกอนเรียน เพื่อทบทวนความรูขั้น พื้นฐานของนักเรียน ที่ควรจะมีเพื่อเตรียมพรอมใน การเรียนเรอื่ งน้ี รูอะไรบางกอนเรียน เพื่อตรวจสอบความรูเดิมของ นักเรียน เกี่ยวกับเรื่องที่กำลังจะเรียน โดยนักเรียน ไมจำเปนตองตอบถูกตองครบถวน ซึ่งครูสามารถ นำไปวางแผนในการจัดการเรียนการสอน ในเรื่อง น้ัน ๆ ได สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คูมือครูรายวชิ าพืน้ ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ย เฉลยคำถามระหวางเรียนแสดงแนวคำตอบของ คำถาม ขอ สรปุ ที่นักเรียนควรได เม่อื อภิปราย และสรุปสิ่งที่ ไดเ รยี นรหู ลงั ขอความ เพ่ือใหไ ดขอสรุป กิจกรรมการเรียนรูของเรื่อง แสดงแนวการจัดการ เรียนรู กอน ระหวา ง และหลังทำกิจกรรม กิจกรรมเสริม ตัวอยางผลการทำกิจกรรม และ ตัวอยางองคความรูหรือทักษะที่นักเรียนควรไดรับ จากการทำกิจกรรมเสริม แนวคิดคลาดเคล่ือน แสดงแนวคิดคลาดเคลื่อนและแนวคิดที่ถูกตองในเรื่อง นัน้ ๆ สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

ร คูมือครรู ายวิชาพนื้ ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี สรุปกจิ กรรมการเรียนรขู องเรอื ง โดยแสดง ความรูเพิ่มเติมสำหรับครูที่เกี่ยวของกับเนื้อหาในเรื่อง • จดุ ประสงค แตนอกเหนือผลการเรียนรูซึ่งไมควรนำไปใชในการ • เวลาทใ่ี ชในการทำกจิ กรรม วัดผลประเมนิ ผลนักเรียน • รายการวสั ดแุ ละอปุ กรณ • การเตรยี มตัวลว งหนาสำหรับครู เฉลยแบบฝก หัดทา ยหนวย พรอมแสดงระดับความยาก • ขอ ควรระวงั ในการทำกิจกรรม (**) และงาย (*) ของแบบฝกหัด โดยแบบฝกหัดทาย • ขอ เสนอแนะในการทำกจิ กรรม หนวยสอดคลองกับแบบทดสอบระดับชาติ (O-NET) • สือ่ การเรียนรแู ละแหลง เรียนรู และนานาชาติ (PISA) • ตวั อยางผลการทำกจิ กรรม • เฉลยคำถามทา ยกจิ กรรม เฉลยแบบฝกหัดทายบท พรอมแสดงระดับความยาก (**) และงาย (*) ของแบบฝก หดั สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คมู อื ครูรายวชิ าพน้ื ฐานวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ล สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

1 หน่วยท่ี 5 | ปฏกิ ริ ิยาเคมแี ละวสั ดใุ นชีวติ ประจำวัน ค่มู ือครูรายวชิ าพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 5หน่วยท่ี หน่วยการเรียนรู้นี้มีจุดมุ่งหมายให้นักเรียนเรียนรู้เกี่ยวกับการ เกิดปฏิกิริยาเคมี มวลรวมของสารก่อนและหลังเกิดปฏิกิริยาเคมี การ เปลี่ยนแปลงความร้อนของปฏิกิริยาเคมี ปฏิกิริยาเคมีที่พบใน ชีวิตประจำวัน เช่น ปฏิกิริยาของกรดกับเบส ปฏิกิริยาของกรดกับโลหะ ปฏิกิริยาของเบสกับโลหะ การเกิดสนิมเหล็ก การเผาไหม้ การเกิดฝนกรด และการสงั เคราะห์ด้วยแสง ประโยชนแ์ ละโทษของปฏิกริ ิยาเคมีต่อสิง่ มชี วี ิต และส่ิงต่าง ๆ รอบตัว วธิ กี ารปอ้ งกนั และแกป้ ัญหาทีเ่ กิดจากปฏกิ ริ ิยาเคมี พอลิเมอร์ เซรามกิ โลหะ และวสั ดผุ สมเป็นวสั ดุที่ใชใ้ นชีวิตประจำวัน วัสดุเหล่าน้ีมีสมบัติบางประการเหมือนกันและบางประการแตกต่างกัน ซึ่ง สามารถนำไปใชป้ ระโยชน์ได้แตกตา่ งกนั องคป์ ระกอบของหนว่ ย บทท่ี 1 ปฏิกริ ิยาเคมี เวลาท่ใี ช้ 4 ชั่วโมง เร่อื งที่ 1 การเกิดปฏิกิริยาเคมี เวลาท่ใี ช้ 9 ช่ัวโมง เรอื่ งท่ี 2 ปฏิกริ ิยาเคมรี อบตวั เวลาท่ีใช้ 2 ชั่วโมง กิจกรรมทา้ ยบท เวลาท่ีใช้ 4 ช่ัวโมง บทท่ี 2 วสั ดใุ นชีวติ ประจำวนั เวลาท่ใี ช้ 1 ชัว่ โมง เรื่องที่ 1 วสั ดุรอบตัว รวมเวลาทใ่ี ช้ 20 ชั่วโมง กจิ กรรมทา้ ยบท สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

หน่วยที่ 5 | ปฏกิ ริ ยิ าเคมแี ละวัสดใุ นชวี ติ ประจำวัน 2 ค่มู อื ครูรายวชิ าพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี บทที่ 1 ปฏิกริ ิยาเคมี สาระสำคญั ปฏิกิริยาเคมีเป็นการเปลี่ยนแปลงของสารที่ทำให้เกิดสารใหม่ สารที่ทำปฏิกิริยาเคมี เรียกว่า สารตั้งต้น ส่วนสารใหม่ที่เกดิ ข้ึนจากปฏิกิริยาเคมี เรยี กวา่ ผลิตภณั ฑ์ ขณะท่เี กิดปฏกิ ิริยาเคมี อะตอมของสารแต่ละชนิดไม่สูญหาย หรือเกิดขึ้นใหม่ แต่มีการจัดเรียงตัวกันใหม่ มวลรวมของสารก่อนและหลังเกิดปฏิกิริยาเคมีจึงเท่าเดิม ซึ่งเป็นไปตาม กฎทรงมวล การอธิบายปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นจะใช้แบบจำลอง ซึ่งสามารถเขียนอยู่ในรูปแบบของสมการข้อความ ขณะเกิดปฏิกิริยาเคมีจะมีการถ่ายโอนความร้อนควบคู่ไปกับการเปลี่ยนแปลงของสาร ปฏิกิริยาเคมีที่พบใน ชีวิตประจำวันมีหลายชนิด เช่น ปฏิกิริยาของกรดกับเบส ปฏิกิริยาของกรดกับโลหะ ปฏิกิริยาของเบสกับโลหะ การเกิด สนิมเหล็ก การเผาไหม้ การเกิดฝนกรด และการสังเคราะห์ด้วยแสง ปฏิกิริยาเคมีมีทั้งที่เป็นประโยชน์และโทษต่อ สิง่ มีชีวิตและสิ่งแวดลอ้ ม เราจงึ ต้องรู้จกั ควบคมุ ปอ้ งกัน และแกไ้ ขปญั หาทีเ่ กดิ จากปฏิกริ ยิ าเคมีเหล่านี้ สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

3 หนว่ ยท่ี 5 | ปฏิกิรยิ าเคมีและวัสดุในชีวติ ประจำวัน คมู่ ือครูรายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี จุดประสงค์ของบทเรยี น เมอ่ื เรียนจบบทน้แี ลว้ นกั เรยี นจะสามารถทำสิง่ ต่อไปน้ีได้ 1. อธิบายการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมีโดยใช้สมการข้อความ 2. อธบิ ายการจดั เรยี งตัวใหมข่ องอะตอมเมื่อเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมี 3. อธบิ ายกฎทรงมวล 4. อธบิ ายปฏกิ ิรยิ าดูดความรอ้ นและปฏกิ ิริยาคายความร้อน 5. อธิบายปฏิกิริยาของกรดกับเบส ปฏิกิริยาของกรดกับโลหะ ปฏิกิริยาของเบสกับโลหะ การเกิดสนิมเหล็ก การเผาไหม้ การเกิดฝนกรด และการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง รวมท้ังเขียนสมการขอ้ ความแสดงปฏกิ ริ ยิ าดังกล่าว 6. ระบุประโยชน์และโทษของปฏิกิริยาเคมีที่มีต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งต่าง ๆ รอบตัว และยกตัวอย่างวิธีการป้องกัน และแกป้ ัญหาที่เกิดขึ้น 7. ออกแบบวิธีแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันโดยใช้ความรู้เกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมี บูรณาการกับคณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และกระบวนการออกแบบเชิงวศิ วกรรม สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

หนว่ ยท่ี 5 | ปฏิกิรยิ าเคมแี ละวสั ดุในชีวติ ประจำวนั 4 คู่มอื ครูรายวชิ าพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภาพรวมการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ จุดประสงค์ แนวความคิดต่อเนอ่ื ง กจิ กรรม รายการประเมิน การเรยี นรขู้ องบทเรยี น 1. อธบิ ายการเกิด 1. อธบิ ายการเกดิ 1. การเกิดปฏกิ ิริยาเคมีหรือการ กจิ กรรมท่ี 5.1 ปฏกิ ิริยาเคมีโดยใช้ ปฏกิ ริ ิยาเคมีโดยใช้ เปลีย่ นแปลงทางเคมขี องสารเปน็ การเกิดปฏกิ ิริยา สมการข้อความ สมการข้อความ การเปลี่ยนแปลงท่ีทำใหเ้ กิดสาร เคมเี ปน็ อย่างไร 1. อธบิ ายการจัดเรียงตัว 2. อธบิ ายการจดั เรยี งตวั ใหมข่ องอะตอมเม่ือ ใหมข่ องอะตอมเม่ือ ใหม่ โดยสารทท่ี ำปฏิกริ ิยาเคมี เกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมโี ดยใช้ เกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี แบบจำลอง เรยี กวา่ สารตง้ั ต้น สารใหมท่ ่ี 3. อธบิ ายกฎทรงมวล 1. อธิบายกฎทรงมวลโดย เกิดขน้ึ จากปฏิกริ ิยาเคมี เรียกว่า ใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ 4. อธิบายปฏิกริ ิยา ดดู ความร้อน และ ผลิตภัณฑ์ 1. อธิบายปฏิกิรยิ าดูด ปฏกิ ริ ิยาคายความ ความรอ้ น และปฏกิ ริ ยิ า รอ้ น 2. การอธบิ ายการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี คายความร้อน สามารถเขียนแทนไดด้ ว้ ยสมการ ข้อความ ซ่ึงแสดงชือ่ ของสารตั้ง ตน้ และผลติ ภณั ฑ์ 1. เมื่อเกิดปฏิกริ ิยาเคมี อะตอมของ สารตง้ั ต้นจะมีการจดั เรียงตัวใหม่ ได้เป็นผลิตภัณฑ์ 2. อะตอมแตล่ ะชนิดก่อนและหลัง เกิดปฏิกิรยิ าเคมมี ีจำนวนเทา่ กัน 1. เม่ือเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี มวลรวมของ กจิ กรรมที่ 5.2 สารตง้ั ต้นเท่ากบั มวลรวมของ มวลรวมของสาร ผลติ ภณั ฑ์ ซึ่งเป็นไปตาม กอ่ นและหลงั กฎทรงมวล เกิดปฏิกิรยิ าเคมี เปน็ อยา่ งไร 1. เมื่อเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี จะมี กิจกรรมที่ 5.3 การถ่ายโอนความร้อน การถ่ายโอนความ 2. ปฏิกิริยาทีม่ ีการถ่ายโอนความร้อน ร้อนของปฏิกริ ิยา จากสิ่งแวดล้อมเข้าสู่ระบบเปน็ เคมเี ปน็ อยา่ งไร ปฏกิ ิรยิ าดูดความร้อน สถาบันส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

5 หนว่ ยที่ 5 | ปฏกิ ิริยาเคมแี ละวัสดใุ นชวี ติ ประจำวนั คู่มอื ครรู ายวชิ าพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จุดประสงค์ แนวความคิดต่อเนอ่ื ง กิจกรรม รายการประเมิน การเรยี นรขู้ องบทเรียน 3. ปฏิกริ ยิ าทม่ี ีการถ่ายโอนความร้อน กจิ กรรมท่ี 5.4 1. อธบิ ายปฏิกิริยาของกรด 5. อธิบายปฏิกิรยิ าของ จากระบบออกส่สู ่ิงแวดล้อมเป็น ปฏกิ ิรยิ าของกรด กบั เบส ปฏิกิริยาของ กรดกับเบส ปฏกิ ริ ิยา ปฏกิ ริ ยิ าคายความร้อน กับเบสเปน็ อย่างไร กรดกบั โลหะ ปฏกิ ริ ยิ า ของกรดกบั โลหะ กิจกรรมที่ 5.5 ของเบสกบั โลหะ ปฏกิ ริ ิยาของเบสกบั 1. ปฏกิ ิริยาเคมใี นชีวิตประจำวันมี ปฏกิ ิริยาของกรด การเกิดสนิมเหล็ก โดย โลหะ การเกิดสนิม หลายชนิด ปฏิกริ ยิ าของกรดกับ กับโลหะและเบส ใชห้ ลักฐานเชงิ ประจักษ์ เหล็ก การเผาไหม้ เบสส่วนใหญ่ ไดผ้ ลิตภัณฑ์เป็น กบั โลหะเป็น รวมทง้ั เขียนสมการ การเกิดฝนกรด และ เกลือและนำ้ อยา่ งไร ขอ้ ความแสดงปฏกิ ิรยิ า การสงั เคราะหด์ ้วยแสง กิจกรรมที่ 5.6 ดงั กล่าว รวมท้ังเขยี นสมการ 2. กรดทำปฏกิ ริ ยิ ากับโลหะไดห้ ลาย ปฏิกิริยาการเกดิ ขอ้ ความแสดงปฏกิ ิรยิ า ชนิด สว่ นใหญ่ไดผ้ ลติ ภณั ฑ์เป็น สนิมเหลก็ เปน็ 2. อธบิ ายปฏิกริ ยิ า ดังกล่าว เกลือของโลหะและแก๊สไฮโดรเจน อยา่ งไร การเผาไหม้ การเกิด กจิ กรรมที่ 5.7 ฝนกรด และ 6. ระบปุ ระโยชน์และโทษ 3. เบสทำปฏกิ ริ ิยากบั โลหะบางชนิด ปฏกิ ริ ิยาเคมมี ผี ล การสังเคราะหด์ ว้ ยแสง ของปฏิกิรยิ าเคมีท่มี ีต่อ ไดผ้ ลติ ภัณฑ์เป็นเกลอื ของโลหะ ตอ่ สงิ่ มีชีวิตและสิ่ง โดยใชส้ ารสนเทศ สิง่ มชี วี ิตและส่ิงตา่ ง ๆ และแก๊สไฮโดรเจน ตา่ ง ๆ รอบตวั รวมทง้ั เขียนสมการ รอบตัว และ อย่างไร ข้อความแสดงปฏกิ ริ ยิ า ยกตวั อยา่ งวิธกี าร 4. การเกิดสนิมเหล็ก เกิดจาก ดงั กล่าว ปอ้ งกันและแกป้ ัญหาท่ี ปฏกิ ิรยิ าเคมรี ะหวา่ งเหล็ก น้ำ เกิดขนึ้ และแก๊สออกซิเจน ไดผ้ ลติ ภณั ฑ์ 3. ระบุประโยชนแ์ ละโทษ เป็นสนมิ ของเหลก็ ของปฏกิ ริ ยิ าเคมีทมี่ ีต่อ สง่ิ มชี วี ิตและส่ิงตา่ ง ๆ 5. ปฏกิ ิรยิ าเคมีที่พบในชวี ติ รอบตัว ประจำวันมีหลายชนดิ เช่น การเผาไหม้ การเกิดฝนกรด 4. ยกตัวอย่างวิธีการ การสังเคราะห์ดว้ ยแสงของพืช ป้องกนั และแกป้ ัญหาที่ เกิดขนึ้ 6. ปฏิกริ ยิ าการเผาไหมเ้ ปน็ ปฏิกิรยิ า เคมรี ะหวา่ งสารประเภทเช้อื เพลงิ กับแก๊สออกซเิ จน 7. ปฏิกิรยิ าการเผาไหม้ของ สารประกอบทมี่ ีคาร์บอนและ ไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบ ถา้ เกดิ การเผาไหม้อย่างสมบูรณ์ จะได้ผลติ ภณั ฑ์เป็นแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์และน้ำ สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

หน่วยท่ี 5 | ปฏิกิริยาเคมีและวัสดใุ นชวี ติ ประจำวนั 6 คู่มอื ครรู ายวชิ าพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี จุดประสงค์ แนวความคดิ ต่อเนือ่ ง กจิ กรรม รายการประเมนิ การเรียนรู้ของบทเรยี น 8. การเกิดฝนกรดเป็นผลจากปฏิกิรยิ า 1. เสนอแนะแนวทาง 7. ออกแบบวิธแี ก้ปัญหา ระหว่างน้ำฝนกบั ออกไซดข์ อง แกป้ ญั หาใน ในชีวติ ประจำวันโดย ไนโตรเจน หรือออกไซด์ของ ชวี ติ ประจำวนั โดยใช้ ใชค้ วามรู้เกยี่ วกบั ซัลเฟอร์ ทำให้นำ้ ฝนมีสมบตั เิ ป็น ความรู้เกยี่ วกบั ปฏกิ ิรยิ าเคมี บรู ณา- กรด ซ่ึงมพี ีเอชต่ำกวา่ 5.6 ปฏิกริ ยิ าเคมี บูรณาการ การกบั คณติ ศาสตร์ กบั คณติ ศาสตร์ เทคโนโลยี และ 9. การสังเคราะหด์ ้วยแสงของพืช เทคโนโลยี และ กระบวนการ เปน็ ปฏกิ ิรยิ าระหว่างแก๊ส กระบวนการออกแบบ ออกแบบเชิงวิศวกรรม คารบ์ อนไดออกไซด์กบั นำ้ โดยมี เชิงวิศวกรรม แสงและคลอโรฟิลล์ช่วยในการ เกดิ ปฏกิ ิริยา ได้ผลติ ภัณฑ์เป็น น้ำตาลกลโู คสและแกส๊ ออกซเิ จน 1. ความรู้เกี่ยวกับปฏกิ ิรยิ าเคมี กจิ กรรมทา้ ยบท สามารถนำไปใช้ประโยชน์ใน ออกแบบวธิ ีการลด ชวี ิตประจำวัน โดยบูรณาการกับ ปริมาณแก๊สเรือน คณติ ศาสตร์ เทคโนโลยี และ กระจกได้อยา่ งไร กระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรมเพื่อใช้ปรับปรงุ ผลติ ภัณฑใ์ หม้ ีคุณภาพตาม ต้องการ หรืออาจสร้างนวตั กรรม เพอ่ื ป้องกนั และแกป้ ัญหาที่ เกิดข้ึนจากปฏิกิริยาเคมี สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

7 หน่วยท่ี 5 | ปฏิกริ ยิ าเคมีและวัสดใุ นชวี ติ ประจำวัน คมู่ อื ครูรายวชิ าพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละทักษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 ท่ีควรจะได้จากบทเรยี น ทักษะ เร่ืองที่ ท้ายบท 12   ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์   การสงั เกต  การวดั    การจำแนกประเภท    การหาความสมั พันธ์ระหว่างสเปซกบั สเปซ และสเปซกับเวลา   การใช้จำนวน    การจัดกระทำและส่อื ความหมายขอ้ มลู  การลงความเหน็ จากขอ้ มลู  การพยากรณ์  การตงั้ สมมตฐิ าน การกำหนดนิยามเชงิ ปฏบิ ตั กิ าร การกำหนดและควบคมุ ตวั แปร  การทดลอง  การตีความหมายขอ้ มลู และลงข้อสรปุ  การสรา้ งแบบจำลอง  ทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21  ด้านการคดิ อย่างมวี ิจารณญาณและการแก้ปัญหา  ด้านการสื่อสาร สารสนเทศและการรู้เทา่ ทนั สื่อ  ด้านความรว่ มมือ การทำงานเปน็ ทีมและภาวะผนู้ ำ ดา้ นการสร้างสรรค์และนวตั กรรม ดา้ นคอมพวิ เตอร์และเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สาร  ด้านการทำงาน การเรียนรู้ และการพ่งึ ตนเอง  สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

หน่วยที่ 5 | ปฏกิ ิรยิ าเคมีและวสั ดุในชีวติ ประจำวนั 8 คมู่ อื ครรู ายวชิ าพนื้ ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การนำเข้าสหู่ นว่ ยการเรยี นรู้ ครดู ำเนนิ การดงั นี้ 1. กระตนุ้ ความสนใจของนักเรียนเพื่อนำเข้าสู่หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 เร่ือง ปฏิกริ ิยาเคมีและวสั ดุในชีวติ ประจำวัน โดยให้นักเรียน สังเกตภาพนำหน่วย จากนั้นร่วมกันอภิปรายโดยใช้คำถาม ตอ่ ไปน้ี ● นักเรยี นสังเกตเห็นอะไรในภาพ (ภาพยางรถจักรยานยนต์) ● นักเรียนคิดว่ายางรถจักรยานยนต์ทำจากวัสดุชนิดใด (นกั เรยี นจะทราบคำตอบหลังจากอา่ นเนอ้ื หานำหนว่ ย) 2. ให้นกั เรยี นอ่านเนอ้ื หานำหนว่ ย และร่วมกันอภปิ รายเพ่ือให้ ได้แนวคิดว่าผลิตภัณฑ์ยางที่ทำจากยางธรรมชาติอาจมี สมบัติไม่เป็นไปตามต้องการ เช่น เสื่อมสภาพได้ง่ายเม่ือ ไดร้ ับความร้อน ปัจจบุ ันมกี ารผลิตยางสังเคราะห์ ซึ่งได้จาก ปฏิกิริยาเคมีของสารที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม ยาง ดังกล่าวจะทนทานต่อการขัดถแู ละสึกกร่อนมากกว่า ทำให้ เป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย จากนั้นอ่านคำถามนำ หน่วยและร่วมกันอภิปรายเพื่อให้นักเรียนทราบว่าจะต้อง เรยี นรอู้ ะไรบ้างในหนว่ ยน้ี 3. เชื่อมโยงเข้าสู่บทที่ 1 โดยให้นักเรียนดูภาพนำบท อ่านเนื้อหานำบท จากนั้นนักเรียนอภิปรายร่วมกันโดยอาจ ใชแ้ นวคำถามดงั น้ี ● ขณะท่ีชมพลใุ นงานเฉลมิ ฉลองตา่ ง ๆ นกั เรียนสงั เกตพบ อะไรบ้าง (ได้ยินเสียงดัง เห็นแสงสว่างเป็นแสงสีต่าง ๆ เหนือบริเวณท่จี ดุ พลุ และมคี วัน) ● แสงสีจากการจุดพลุเกิดข้ึนได้อย่างไร (แสงสีจากการจุด พลุเกิดจากปฏิกิริยาการเผาไหม้ของดินปืนและ สารประกอบของธาตุต่าง ๆ ทำให้เกิดแสงสีตามชนิด ของธาตุในสารประกอบนัน้ ๆ) สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

9 หน่วยท่ี 5 | ปฏกิ ริ ยิ าเคมีและวสั ดใุ นชีวติ ประจำวนั คู่มือครรู ายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ● ส่ิงท่ีนกั เรยี นมองเห็นเกี่ยวข้องกับการเกิดปฏิกิริยาเคมหี รือไม่ อย่างไร (เก่ยี วขอ้ งกบั การเกิดปฏกิ ิริยาเคมี โดยเป็น ปฏิกิริยาการเผาไหม้ของดินปืนและสารประกอบของธาตุ ได้เป็นควัน ประกายไฟ และแสงสีตามชนิดของ สารประกอบของธาตุ) 4. ให้นักเรียนอ่านคำถามนำบท จุดประสงค์ของบทเรียน และอภิปรายร่วมกัน เพื่อให้นักเรียนทราบขอบเขตเนื้อหาท่ี นักเรียนจะได้เรียนรู้ในบทเรียน รวมทั้งเป้าหมายการเรียนรู้ (นักเรียนจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับ การเกิดปฏิกิริยาเคมี การเปลี่ยนแปลงความร้อนของปฏิกิริยาเคมี ปฏิกิริยาที่พบในชวี ิตประจำวัน ประโยชน์และโทษของปฏิกิริยาเคมีที่มี ต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งต่าง ๆ รอบตัว วิธีการป้องกันและแก้ปัญหาที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมี โดยบูรณาการวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม) 5. ครเู ชอื่ มโยงเข้าสู่เรอ่ื งท่ี 1 โดยถามนกั เรียนว่าปฏกิ ิรยิ าเคมีท่พี บในชวี ิตประจำวันมอี ะไรบ้าง และเกิดขึ้นได้อย่างไร สถาบันส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

หนว่ ยที่ 5 | ปฏิกริ ยิ าเคมแี ละวัสดใุ นชีวติ ประจำวัน 10 ค่มู อื ครูรายวชิ าพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เรอื่ งที่ 1 การเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมี แนวการจดั การเรยี นรู้ ครูดำเนนิ การดังน้ี 1. ให้นักเรียนดูภาพนำเรื่องหรือครูใช้วิธีสาธิตโดยนำผ้าที่เปื้อน หมึกสีจุ่มลงไปในน้ำ เปรียบเทียบกับการนำผ้าทีเ่ ปื้อนหมึกสี จุ่มลงไปในน้ำยาซักผ้าขาว แล้วสังเกตการเปลี่ยนแปลงท่ี เกิดขึ้น นักเรียนอ่านเนื้อหานำเรื่องและคำสำคัญ จากน้ัน อภปิ รายร่วมกันโดยอาจใชแ้ นวคำถามดังนี้ • จากภาพ 5.1 เป็นภาพอะไร (ภาพนำ้ ยาซักผ้าขาว) • รอยเปื้อนบนผ้าหายไปได้อย่างไร เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยา เคมีหรอื ไม่ (นักเรียนตอบตามความเขา้ ใจของตนเอง) 2. ให้นักเรยี นทำกจิ กรรมทบทวนความรู้ก่อนเรียน นำเสนอผล การทำกิจกรรม หากครูพบว่านกั เรยี นยงั ทำกจิ กรรมทบทวน ความรู้ก่อนเรียนไม่ถูกต้อง ครูควรทบทวนหรือแก้ไข ความเข้าใจคลาดเคลื่อนของนักเรียน เพื่อให้นักเรียนมี ความรู้พื้นฐานที่ถูกต้องและเพียงพอที่จะเรียนเรื่องปฏิกิริยา เคมีตอ่ ไป สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

11 หน่วยท่ี 5 | ปฏกิ ริ ยิ าเคมแี ละวัสดุในชีวติ ประจำวัน คูม่ อื ครรู ายวชิ าพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เฉลยทบทวนความรู้ก่อนเรียน เขียนเครื่องหมาย  หน้าข้อความใต้ภาพ เพื่อระบุว่าภาพใดเป็นการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ หรือการ เปลี่ยนแปลงทางเคมี การเกิดสนิมของตะปูเหล็ก การผสมน้ำหวานสแี ดงกบั นำ้ การจดุ ไม้ขดี  การเปลีย่ นแปลงทางกายภาพ  การเปลย่ี นแปลงทางกายภาพ  การเปลีย่ นแปลงทางกายภาพ  การเปล่ียนแปลงทางเคมี  การเปลย่ี นแปลงทางเคมี  การเปลย่ี นแปลงทางเคมี การหลอมเหลวของนำ้ แข็ง การผสมนำ้ อญั ชนั กับมะนาว การตม้ นำ้  การเปลย่ี นแปลงทางกายภาพ  การเปล่ยี นแปลงทางกายภาพ  การเปลย่ี นแปลงทางกายภาพ  การเปลีย่ นแปลงทางเคมี  การเปลยี่ นแปลงทางเคมี  การเปล่ยี นแปลงทางเคมี หมายเหตุ สำหรบั การตม้ นำ้ ถา้ พจิ ารณาเปลวไฟที่ใหค้ วามรอ้ นแก่กาต้มนำ้ จะจัดเป็นการเปล่ียนแปลงทางเคมี (ปฏิกิริยา การเผาไหม้) แต่ถา้ พจิ ารณาที่การกลายเปน็ ไอของน้ำ จะจดั เป็นการเปลย่ี นแปลงทางกายภาพ 3. ตรวจสอบความรู้เดิมของนักเรียนเกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมีโดยให้นักเรียนทำกิจกรรมรู้อะไรบ้างก่อนเรียน นักเรียน สามารถเขยี นขอ้ ความ แผนผงั หรือแผนภาพได้อยา่ งอิสระตามความเขา้ ใจของตนเอง โดยครูยังไม่เฉลยคำตอบ แต่ถ้า ครูพบแนวคิดคลาดเคลื่อนจากคำตอบของนักเรียน ครูควรรวบรวมแนวคิดคลาดเคลื่อนที่พบเพื่อนำไปใช้ในการ วางแผนการจัดการเรียนรู้และแก้ไขแนวคิดเหล่านั้นให้ถูกต้อง เมื่อนักเรียนเรียนจบเรื่องนี้แล้ว นักเรียนจะมีความรู้ ความเข้าใจครบถ้วนตามจุดประสงคข์ องบทเรียนในขณะท่ีเรียนเรื่องนน้ั ๆ ตัวอยา่ งแนวคดิ คลาดเคลื่อนทีอ่ าจพบในเรื่องน้ี • ในการเกิดปฏิกิริยาเคมี จำนวนหรอื ชนิดของอะตอมอาจจะเปล่ียนแปลงไป (Mondal & Chakraborty, 2013) • ในการเกิดปฏกิ ิริยาเคมี มวลรวมของสารหลังเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมีอาจเพิ่มข้ึนหรือลดลง (Ozmen & Ayas, 2003) • เมอ่ื อณุ หภูมิของสารเปลี่ยนแปลง แสดงว่ามีปฏิกิริยาเคมีเกิดข้ึน (การตดิ ตามผลการทดลองใช้หนังสือเรียน สสวท., 2562) สถาบันสง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

หน่วยท่ี 5 | ปฏิกิรยิ าเคมแี ละวสั ดุในชวี ติ ประจำวัน 12 คมู่ อื ครูรายวชิ าพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 4. ให้นักเรียนอ่านเนือ้ หาเกี่ยวกับการเกิดปฏิกิริยาเคมีในหนังสือเรียนหนา้ 5 และอภิปรายร่วมกนั เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า การเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมีเป็นการเปลย่ี นแปลงทที่ ำให้เกิดสารใหม่ โดยอาจสงั เกตได้จากการเปลี่ยนสี กลนิ่ หรอื อณุ หภมู ิ มี ฟองแก๊สหรือมีตะกอนเกิดขึ้น ครูอาจอธิบายเพิ่มเติมว่า บางครั้งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวที่สังเกตเห็น อาจไม่มี ปฏิกิริยาเคมีเกิดขนึ้ เชน่ การเปลย่ี นสเี มอ่ื ผสมน้ำหวานกบั นำ้ 5. เชื่อมโยงเข้าสู่กิจกรรมที่ 5.1 การเกิดปฏิกิริยาเคมีเป็นอย่างไร โดยใช้คำถามว่านักเรียนคิดว่าเราสามารถใช้ แบบจำลองอธิบายปฏกิ ริ ิยาเคมีทเี่ กิดขึ้นไดอ้ ย่างไร 6. รว่ มกันอภิปรายข้อตกลงพน้ื ฐานในการทำกจิ กรรมวทิ ยาศาสตร์ โดยให้นกั เรยี นเสนอความคิดเหน็ เกี่ยวกับการปฏิบัติ ตนในการทำกิจกรรมที่เหมาะสม และรว่ มกันสรปุ ข้อตกลงในการทำกจิ กรรมวิทยาศาสตร์ ดังน้ี • สวมแว่นตานิรภยั ระหวา่ งการทำกจิ กรรม เพื่อปอ้ งกันอุบตั เิ หตุท่ีเปน็ อนั ตรายตอ่ ดวงตา • แต่งกายให้เหมาะสมตามข้อปฏิบตั คิ วามปลอดภยั ในห้องปฏิบัติการ สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

13 หน่วยที่ 5 | ปฏกิ ิรยิ าเคมีและวสั ดุในชวี ติ ประจำวนั คมู่ ือครรู ายวิชาพน้ื ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กิจกรรมท่ี 5.1 การเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมีเป็นอยา่ งไร แนวการจดั การเรยี นรู้ ครูดำเนินการดังน้ี กอ่ นการทำกิจกรรม (10 นาที) 1. ให้นักเรียนอ่านชื่อกิจกรรม จุดประสงค์ และวิธีดำเนินกิจกรรม จากนั้นตรวจสอบความเข้าใจจากการอ่านโดยใช้ คำถามดังต่อไปน้ี • กิจกรรมนี้เกี่ยวกบั เรอื่ งอะไร (การเกิดปฏกิ ิริยาเคมี) • กจิ กรรมน้ีมีจดุ ประสงคอ์ ะไร (สังเกตและอธิบายการเกิดปฏกิ ิริยาเคมโี ดยใช้แบบจำลอง) • วิธีดำเนินกิจกรรมมีขั้นตอนโดยสรุปอย่างไร (รินสารละลายกรดไฮโดรคลอริกลงในแคลเซียมคาร์บอเนต แล้ว สังเกตการเปลี่ยนแปลง จากนั้นสืบค้นข้อมูลและใช้แบบจำลองเพื่ออธิบายการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น) ครูควร บันทึกข้ันตอนการทำกิจกรรมโดยสรุปบนกระดาน • ขอ้ ควรระวงั ในการทำกจิ กรรมมอี ะไรบ้าง (ระวังการสัมผัสสารละลายกรดไฮโดรคลอรกิ ในกรณที ส่ี ัมผัสสารละลาย ดังกล่าว ให้ปล่อยน้ำปริมาณมากไหลผ่านบรเิ วณที่สมั ผัส) • นักเรียนต้องสังเกตหรือรวบรวมข้อมูลอะไรบ้าง (สังเกตและบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะของสารที่ใช้ในกิจกรรม การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อรินสารละลายกรดไฮโดรคลอริกลงในแคลเซียมคาร์บอเนต และรวบรวมข้อมูลสารที่ เกิดขนึ้ ทง้ั หมดจากการเปลี่ยนแปลง) ระหวา่ งการทำกิจกรรม (20 นาที) 2. ใหน้ ักเรยี นแต่ละกลุม่ ลงมือทำกจิ กรรม ครูเดินสงั เกตการทำกจิ กรรมของนักเรียนพร้อมใหค้ ำแนะนำในประเดน็ ต่าง ๆ ที่อาจเป็นปัญหา เช่น วิธีการรินสาร ควรรินช้า ๆ หรือรินสารละลายผ่านด้านในของหลอดทดลอง ไม่ควรรินลงบน แคลเซียมคารบ์ อเนตโดยตรงเนอื่ งจากอาจกระเดน็ หรอื เกดิ ฟองแกส๊ ขึ้นมาถงึ ปากหลอดทดลองได้ หลงั การทำกิจกรรม (20 นาที) 3. ให้นักเรียนนำเสนอผลการทำกิจกรรมบนกระดานเพื่อใช้ประกอบการอภิปรายและตอบคำถามท้ายกิจกรรม จากนั้น ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเพื่อให้ได้ข้อสรุปจากกิจกรรมว่า เมื่อผสมแคลเซียมคาร์บอเนตกับสารละลายกรด ไฮโดรคลอริกจะมีการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เกิดสารใหม่ คือ แคลเซียมคลอไรด์ นํ้า และแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นผลจากการเกิดปฏิกิริยาเคมี (chemical reaction) ซึ่งสามารถใช้แบบจำลองใน การอธิบายปฏิกริ ิยาทเี่ กิดขึน้ ได้ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี