Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore (คู่มือ)หนังสือเรียนสสวท พื้นฐานวิทยาศาสตร์ ป.5 ล.2

(คู่มือ)หนังสือเรียนสสวท พื้นฐานวิทยาศาสตร์ ป.5 ล.2

Published by แชร์งานครู Teachers Sharing, 2021-01-19 13:36:53

Description: (คู่มือ)หนังสือเรียนสสวท พื้นฐานวิทยาศาสตร์ ป.5 ล.2
คู่มือครูรายวิชาพื้นฐาน วิทยาศาสตร์

ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
เล่ม 2
ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551

Keywords: (คู่มือ)หนังสือเรียนสสวท พื้นฐานวิทยาศาสตร์ ป.5 ล.2,คู่มือครูรายวิชาพื้นฐาน วิทยาศาสตร์,กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560),หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551

Search

Read the Text Version

คมู อื ครรู ายวชิ าพ้นื ฐานวิทยาศาสตร ชน้ั ประถมศึกษาปท ี่ ๕ เลม ๒ กลมุ สาระการเรียนรวู ิทยาศาสตร ตามมาตรฐานการเรยี นรแู ละตัวช้ีวดั กลมุ สาระการเรยี นรวู ทิ ยาศาสตร (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ จดั ทาํ โดย สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี กระทรวงศกึ ษาธิการ

คําชี้แจง สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี (สสวท.) ไดจัดทําหนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร ช้ันประถมศึกษาปท่ี ๕ เลม ๒ ขึ้นตามมาตรฐานการเรียนรูและตัวช้ีวัด กลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ท่ีมีจุดเนนเพ่ือตองการพัฒนาผูเรียนใหมีความรูความสามารถท่ีทัดเทียมกับนานาชาติ ไดเรียนรูวิทยาศาสตร ที่เชื่อมโยงความรูกับกระบวนการ ใชกระบวนการสืบเสาะหาความรูและการแกปญหาท่ีหลากหลาย มีการทํากิจกรรมดวยการลงมือปฏิบัติเพื่อใหผูเรียนไดใชทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร และทักษะ แหงศตวรรษที่ ๒๑ ซึ่งในปการศึกษา ๒๕๖๑ นี้ โรงเรียนจะตองใชหลักสูตรกลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตร (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) สสวท. จึงไดจัดทําหนังสือเรียนท่ีเปนไปตามมาตรฐานการเรียนรูและตัวช้ีวัดของ หลักสตู รเพอื่ ใหโรงเรียนไดใชส าํ หรบั จัดการเรียนการสอนในชน้ั เรียน คูมอื ครูรายวิชาพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร ชั้นประถมศึกษาปท่ี ๕ เลม ๒ กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตร เลมน้ี สสวท. ไดพัฒนาขึ้น เพื่อนําไปใชประกอบหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร ช้ันประถมศึกษา ปท่ี ๕ เลม ๒ โดยภายในคูมือครปู ระกอบดวยผังมโนทัศน ตัวช้ีวัด ขอแนะนําการใชคูมือครู ตารางแสดงความ สอดคลอ งระหวางเนื้อหาและกจิ กรรมในหนังสือเรียนกบั มาตรฐานการเรียนรูและตัวช้ีวัด กลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ตลอดจนแนวการจัดกิจกรรมการเรียนรูท่ีมุงเนนการพัฒนาทักษะรอบดาน ทั้งการอาน การสํารวจตรวจสอบ การฝกปฏิบตั ิ การปฏบิ ตั กิ ารทดลอง การสืบคนขอมูล และการอภิปราย โดยมีเปาหมายใหนักเรียนพัฒนาท้ัง ดานความรู ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร ทักษะแหงศตวรรษท่ี ๒๑ จิตวิทยาศาสตร กระบวนการ สืบเสาะหาความรู ทักษะการคิด การอาน การสื่อสาร การแกปญหา ตลอดจนการนําความรูไปใชใน ชีวิตประจําวันอยางมีคุณธรรมและคานิยมท่ีเหมาะสม สามารถดํารงชีวิตอยูในสังคมแหงการเปล่ียนแปลงใน ศตวรรษท่ี ๒๑ อยางมีความสุข ในการจัดทําคูมือครูรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร ชั้นประถมศึกษาปที่ ๕ เลม ๒ กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตรเลมนี้ ไดรับความรวมมืออยางดีย่ิงจากคณาจารย ผูทรงคุณวุฒิ นกั วชิ าการ และครผู สู อน จากหนว ยงานและสถานศกึ ษาท้งั ภาครฐั และเอกชน จงึ ขอขอบคุณไว ณ ทน่ี ี้ สสวท. หวังเปนอยางยิ่งวาคูมือครูรายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตรเลมน้ี จะเปนประโยชนแกครูและ ผูเก่ียวของทุกฝาย ที่จะชวยใหการจัดการศึกษาดานวิทยาศาสตรมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล หากมี ขอเสนอแนะใดทจ่ี ะทําใหคูมือครูเลมน้สี มบูรณย่งิ ข้ึน โปรดแจง สสวท. ทราบดว ย จะขอบคุณย่ิง (ศาสตราจารยชกู จิ ลิมปจ าํ นงค) ผูอํานวยการสถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี กระทรวงศกึ ษาธกิ าร

สารบัญ หนา คาํ ช้ีแจง เปาหมายของการจัดการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร......................................................................................... ก คุณภาพของนักเรียนวิทยาศาสตร เม่ือจบช้ันประถมศึกษาปท ่ี 6...................................................................... ข ทกั ษะท่ีสําคัญในการเรยี นรูวิทยาศาสตร ..........................................................................................................ง ผังมโนทัศน (concept map) รายวิชาพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร ชั้นประถมศึกษาปที่ 5 เลม 2............................... ซ ตวั ชว้ี ดั สาระการเรยี นรแู กนกลาง วทิ ยาศาสตร ป.5 เลม 2............................................................................ ฌ ขอแนะนําการใชค ูมือครู................................................................................................................................... ฏ การจดั การเรียนการสอนวิทยาศาสตรใ นระดับประถมศึกษา ............................................................................ บ การจดั การเรยี นการสอนท่ีเนนการสบื เสาะหาความรทู างวิทยาศาสตร............................................................. บ การจัดการเรยี นการสอนทีส่ อดคลอ งกบั ธรรมชาติของวทิ ยาศาสตร ................................................................. ผ และกระบวนการทางวิทยาศาสตร การวัดผลและประเมนิ ผลการเรยี นรวู ิทยาศาสตร............................................................................................. พ ตารางแสดงความสอดคลองระหวา งเน้อื หาและกจิ กรรม ระดับชน้ั ประถมศึกษาปที่ 5 เลม 2........................... ม กับตัวชวี้ ัด กลุมสาระการเรียนรูว ิทยาศาสตร (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 รายการวสั ดุอปุ กรณวิทยาศาสตร ป.5 เลม 2................................................................................................... ล หนว ยท่ี 4 วัฏจักร 1 ภาพรวมการจดั การเรยี นรูประจาํ หนวยท่ี 4 วัฏจักร 1 บทที่ 1 วัฏจกั รน้าํ 5 บทนีเ้ ร่ิมตนอยางไร 8 เรอ่ื งที่ 1 แหลงนํา้ 12 กจิ กรรมท่ี 1.1 นาํ้ แตล ะแหลงบนโลกมีอยเู ทา ใด 16 กิจกรรมที่ 1.2 ทาํ อยา งไรจึงจะใชน ้ําอยา งประหยดั และอนรุ กั ษแหลงนาํ้ ในทองถ่ินได 30 เรอื่ งที่ 2 เมฆ หมอก นา้ํ คา ง และน้าํ คางแขง็ 46

สารบญั กจิ กรรมที่ 2 เมฆ หมอก นาํ้ คาง และนาํ้ คางแข็งเกิดขน้ึ ไดอ ยางไร หนา เรือ่ งที่ 3 หยาดน้าํ ฟา 50 65 กิจกรรมท่ี 3 ฝน หิมะ และลูกเห็บเกดิ ขน้ึ ไดอยางไร 69 เรื่องท่ี 4 การหมนุ เวยี นของนํ้า 79 83 กิจกรรมที่ 4 วฏั จักรน้าํ เปนอยา งไร 105 กจิ กรรมทายบทท่ี 1 วัฏจักรน้าํ 106 แนวคําตอบในแบบฝกหดั ทายบท 110 บทที่ 2 วฏั จกั รการปรากฏของกลุมดาว 113 บทนี้เร่มิ ตน อยางไร 117 เร่อื งที่ 1 ดาวเคราะหแ ละดาวฤกษ 121 136 กิจกรรมที่ 1 มองเหน็ ดาวเคราะหและดาวฤกษไดอ ยางไร 140 เร่อื งที่ 2 กลมุ ดาวบนทอ งฟา 150 171 กิจกรรมที่ 2.1 เหตใุ ดจงึ เห็นกลมุ ดาวเปนรูปรางตาง ๆ 173 กิจกรรมที่ 2.2 วัฏจักรการปรากฏของกลุมดาวเปน อยางไร 176 กจิ กรรมทา ยบทที่ 2 วฏั จกั รการปรากฏของกลุมดาว แนวคําตอบในแบบฝก หดั ทายบท 177 บรรณานกุ รมหนว ยที่ 4 วฏั จักร 177 179 หนวยท่ี 5 ส่งิ มชี ีวิต 182 187 ภาพรวมการจัดการเรยี นรูประจาํ หนว ยท่ี 5 สงิ่ มีชีวติ 193 บทท่ี 1 ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมของสิง่ มชี ีวติ 215 บทนเ้ี ร่มิ ตน อยางไร 228 เรือ่ งท่ี 1 การถา ยทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรมของสิ่งมชี วี ิต กจิ กรรมท่ี 1.1 ลักษณะทางพันธกุ รรมของพชื มีอะไรบา ง กิจกรรมท่ี 1.2 ลกั ษณะทางพันธุกรรมของสัตวม ีอะไรบา ง กิจกรรมที่ 1.3 ลกั ษณะทางพันธกุ รรมของคนในครอบครวั เปน อยา งไรบา ง

สารบัญ กจิ กรรมทา ยบทท่ี 1 ลักษณะทางพันธกุ รรมของสง่ิ มีชวี ติ หนา แนวคาํ ตอบในแบบฝก หดั ทา ยบท 249 บทท่ี 2 สงิ่ มีชีวติ กับส่ิงแวดลอม 250 บทน้ีเริ่มตนอยางไร 254 เรอื่ งท่ี 1 โครงสรางและลกั ษณะของสิง่ มีชวี ิตในแหลง ท่ีอยู 257 263 กจิ กรรมที่ 1 โครงสรางและลักษณะของสง่ิ มีชีวิตเหมาะสมกับแหลงที่อยอู ยา งไร 268 เรอื่ งที่ 2 ความสัมพันธร ะหวางสง่ิ มชี วี ติ กับสิ่งมีชวี ิต 282 287 กจิ กรรมท่ี 2 สิ่งมชี วี ิตมีความสมั พนั ธกบั สิ่งมีชวี ติ อยางไร 299 เรื่องที่ 3 ความสมั พนั ธระหวางสิ่งมีชีวิตกับส่ิงไมม ชี ีวติ 303 319 กจิ กรรมที่ 3 สง่ิ มชี วี ิตมคี วามสมั พนั ธก ับสิง่ ไมมชี วี ิตในแหลงทีอ่ ยูอยางไร 320 กิจกรรมทายบทที่ 2 สงิ่ มีชวี ติ กับสง่ิ แวดลอม 324 แนวคาํ ตอบในแบบฝก หดั ทา ยบท 325 บรรณานุกรมหนวยที่ 5 สง่ิ มีชีวิต 336 แนวคาํ ตอบในแบบทดสอบทายเลม 338 บรรณานุกรม คณะทํางาน

ก คูมือครรู ายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตร ป.5 เลม 2 เปาหมายของการจัดการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร วิทยาศาสตรเปนเรื่องของการเรียนรูเก่ียวกับธรรมชาติ โดยมนุษยใชกระบวนการสังเกต สํารวจ ตรวจสอบ และการทดลองเกี่ยวกับปรากฏการณทางธรรมชาติแลวนําผลท่ีไดมาจัดระบบ หลักการ แนวคิด และทฤษฎี ดังนั้นการเรียนการสอนวิทยาศาสตรจึงมุงเนนใหนักเรียนไดเรียนรูและคนพบดวยตนเองมากที่สุด นน่ั คอื ใหเกิดการเรียนรูทัง้ กระบวนการและองคความรู การจดั การเรียนรวู ทิ ยาศาสตรใ นสถานศึกษามเี ปาหมายสาํ คญั ดังน้ี 1. เพื่อใหเขา ใจแนวคดิ หลักการ ทฤษฎี กฎและความรูพน้ื ฐานของวทิ ยาศาสตร 2. เพื่อใหเ ขา ใจขอบเขตธรรมชาติของวทิ ยาศาสตร และขอ จาํ กดั ของวทิ ยาศาสตร 3. เพื่อใหม ที ักษะทสี่ าํ คญั ในการสบื เสาะหาความรแู ละพฒั นาเทคโนโลยี 4. เพ่ือใหตระหนักถึงการมีผลกระทบซึ่งกันและกันระหวางวิทยาศาสตร เทคโนโลยี มวลมนุษย และ ส่ิงแวดลอม 5. เพ่ือนําความรู แนวคิดและทักษะตาง ๆ ทางวิทยาศาสตร และ เทคโนโลยีไปใชใหเกิดประโยชนตอ สังคมและการดาํ รงชีวิต 6. เพื่อพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการแกปญหาและการจัดการ ทักษะใน การสอื่ สาร และความสามารถในการประเมนิ และตัดสนิ ใจ 7. เพ่ือใหเปนผูท่ีมีจิตวิทยาศาสตร มีคุณธรรม จริยธรรม และคานิยมในการใชวิทยาศาสตรและ เทคโนโลยีอยา งสรา งสรรค  สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี

คูม อื ครูรายวิชาพนื้ ฐานวิทยาศาสตร ป.5 เลม 2 ข คุณภาพของนักเรียนวิทยาศาสตร เมื่อจบช้ันประถมศกึ ษาปท ี่ 6 นักเรียนท่ีเรียนจบชั้นประถมศึกษาปที่ 6 ควรมีความรู ความคิด ทักษะกระบวนการ และจิตวิทยาศาสตร ดังนี้ 1. เขาใจโครงสราง ลักษณะเฉพาะและการปรับตัวของส่ิงมีชีวิต รวมท้ังความสัมพันธของส่ิงมีชีวิตใน แหลง ทอ่ี ยู การทําหนาทข่ี องสวนตา ง ๆ ของพชื และการทาํ งานของระบบยอยอาหารของมนุษย 2. เขาใจสมบัติและการจําแนกกลุมของวัสดุ สถานะและการเปลี่ยนสถานะของสสาร การละลาย การเปล่ยี นแปลงทางเคมี การเปลีย่ นแปลงที่ผันกลับไดและผนั กลับไมไ ด และการแยกสารอยางงาย 3. เขาใจลักษณะของแรงโนมถวงของโลก แรงลัพธ แรงเสียดทาน แรงไฟฟาและผลของแรงตาง ๆ ผลท่ี เกดิ จากแรงกระทําตอวัตถุ วงจรไฟฟา อยา งงาย ปรากฏการณเบ้ืองตนของเสยี ง และแสง 4. เขา ใจปรากฏการณการขึน้ และตก รวมถึงการเปล่ียนแปลงรูปรางปรากฏของดวงจันทร องคประกอบ ของระบบสุริยะ คาบการโคจรของดาวเคราะห ความแตกตางของดาวเคราะหและดาวฤกษ การข้ึน และตกของกลุมดาวฤกษ การใชแผนท่ีดาว การเกิดอุปราคา พัฒนาการและประโยชนของเทคโนโลยี อวกาศ 5. เขาใจลักษณะของแหลงน้ํา วัฏจักรนํ้า กระบวนการเกิดเมฆ หมอก นํ้าคาง นํ้าคางแข็ง หยาดนํ้าฟา กระบวนการเกิดหิน วัฏจักรหิน การใชประโยชนหินและแร การเกิดซากดึกดําบรรพ การเกิดลมบก ลมทะเล มรสุม ลักษณะและผลกระทบของภัยธรรมชาติ ธรณีพิบัติภัย การเกิดและผลกระทบของ ปรากฏการณเ รอื นกระจก 6. คน หาขอมูลอยา งมีประสทิ ธิภาพและประเมนิ ความนาเช่ือถือ ตดั สนิ ใจเลือกขอมูลใชเหตุผลเชิงตรรกะ ในการแกปญหา ใชเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารในการทํางานรวมกัน เขาใจสิทธิและหนาที่ ของตน เคารพสิทธขิ องผอู ่นื 7. ต้ังคําถามหรือกําหนดปญหาเกี่ยวกับส่ิงท่ีจะเรียนรูตามที่กําหนดใหหรือตามความสนใจ คาดคะเน คําตอบหลายแนวทาง สรางสมมติฐานที่สอดคลองกับคําถามหรือปญหาท่ีจะสํารวจตรวจสอบ วางแผนและสํารวจตรวจสอบโดยใชเคร่ืองมือ อุปกรณ และเทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสมในการ เกบ็ รวบรวมขอ มลู ทงั้ เชิงปริมาณและคณุ ภาพ 8. วิเคราะหขอมูล ลงความเห็น และสรุปความสัมพันธของขอมูลที่มาจากการสํารวจตรวจสอบใน รูปแบบที่เหมาะสม เพื่อสื่อสารความรูจากผลการสํารวจตรวจสอบไดอยางมีเหตุผลและหลักฐาน อา งองิ 9. แสดงถึงความสนใจ มุงมั่น ในส่ิงที่จะเรียนรู มีความคิดสรางสรรคเก่ียวกับเรื่องท่ีจะศึกษาตาม ความสนใจของตนเอง แสดงความคิดเห็นของตนเอง ยอมรับในขอมูลท่ีมีหลักฐานอางอิง และรับฟง ความคดิ เหน็ ผูอ่นื 10. แสดงความรับผิดชอบดวยการทํางานท่ีไดรับมอบหมายอยางมุงมั่น รอบคอบ ประหยัด ซ่ือสัตย จนงานลลุ วงเปน ผลสาํ เรจ็ และทาํ งานรวมกับผอู ืน่ อยา งสรางสรรค สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 

ค คมู ือครรู ายวิชาพน้ื ฐานวิทยาศาสตร ป.5 เลม 2 11. ตระหนกั ในคุณคาของความรูวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ใชความรูและกระบวนการทางวิทยาศาสตร ในการดํารงชีวิต แสดงความชื่นชม ยกยอง และเคารพสิทธิในผลงานของผูคิดคนและศึกษาหาความรู เพมิ่ เติม ทาํ โครงงานหรอื ชิน้ งานตามทีก่ ําหนดใหห รอื ตามความสนใจ 12. แสดงถงึ ความซาบซึ้ง หวงใย แสดงพฤติกรรมเก่ียวกับการใช การดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและ ส่ิงแวดลอ มอยางรคู ณุ คา  สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คูม อื ครูรายวิชาพนื้ ฐานวิทยาศาสตร ป.5 เลม 2 ง ทักษะที่สําคัญในการเรยี นรวู ทิ ยาศาสตร ทักษะสําคัญท่ีครูจําเปนตองพัฒนาใหเกิดขึ้นกับนักเรียนเม่ือมีการจัดการเรียนรูวิทยาศาสตร เชน ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร ทักษะแหง ศตวรรษที่ 21 ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร (Science Process Skills) การเรียนรูทางวิทยาศาสตรจําเปนตองใชทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรเพื่อนําไปสู การสืบเสาะคนหาผานการสังเกต ทดลอง สรางแบบจําลอง และวิธีการอื่นๆ เพ่ือนําขอมูล สารสนเทศและ หลักฐานเชิงประจักษมาสรางคําอธิบายเก่ียวกับแนวคิดหรือองคความรูทางวิทยาศาสตร ทักษะกระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตร ประกอบดวย ทกั ษะการสังเกต (Observing) เปน ความสามารถในการใชป ระสาทสมั ผสั อยางใดอยางหน่ึง หรือ หลายอยางสํารวจวัตถุหรือปรากฏการณตาง ๆ ในธรรมชาติหรือจากการทดลอง โดยไมลงความคิดเห็นของ ผสู งั เกต ประสาทสัมผสั ท้งั 5 ไดแ ก การดู การฟงเสียง การดมกลิน่ การชิมรส และการสมั ผสั ทักษะการวัด (Measuring) เปนความสามารถในการเลือกใชเครื่องมือในการวัดปริมาณตาง ๆ ไดอยางเหมาะสม รวมถึงความสามารถในการหาปริมาณของสิ่งตาง ๆ จากเครื่องมือที่เลือกใชออกมาเปน ตวั เลขไดถูกตองและรวดเร็ว พรอมระบุหนว ยของการวดั ไดอ ยางถูกตอง ทักษะการลงความเห็นจากขอมูล (Inferring) เปนความสามารถในการคาดการณอยางมี หลักการเกี่ยวกับเหตุการณหรือปรากฏการณ โดยใชขอมูล (Data) หรือสารสนเทศ (Information) ที่เคย เก็บรวบรวมไวใ นอดตี ทกั ษะการจําแนกประเภท (Classifying) เปน ความสามารถในการแยกแยะ จัดพวกหรือจัดกลุม สิ่งตาง ๆ ท่ีสนใจ เชน วัตถุ ส่ิงมีชีวิต ดาว และเทหะวัตถุตาง ๆ หรือปรากฏการณท่ีตองการศึกษาออกเปน หมวดหมู นอกจากน้ียังหมายถึงความสามารถในการเลือกและระบุเกณฑหรือลักษณะรวมลักษณะใดลักษณะ หน่ึงของส่งิ ตา ง ๆ ที่ตองการจาํ แนก ทักษะการหาความสัมพันธของสเปซกับเวลา (Relationship of Space and Time) สเปซ คือ พื้นที่ที่วัตถุครอบครอง ในท่ีน้ีอาจเปนตําแหนง รูปราง รูปทรงของวัตถุ สิ่งเหลานี้อาจมีความสัมพันธกัน ดังนี้ การหาความสัมพันธร ะหวา งสเปซกบั สเปซ เปนความสามารถในการหาความเก่ียวของ สั ม พั น ธ กั น ร ะ ห ว า ง พ้ื น ที่ ที่ วั ต ถุ ต า ง ๆ (Relationship between Space and Space) ครอบครอง สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 

จ คมู อื ครูรายวิชาพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร ป.5 เลม 2 การหาความสมั พันธร ะหวางสเปซกับเวลา เปนความสามารถในการหาความเกี่ยวของ (Relationship between Space and Time) สัมพันธกันระหวางพ้ืนที่ท่ีวัตถุครอบครอง เมื่อเวลาผา นไป ทักษะการใชจํานวน (Using Number) เปนความสามารถในการใชความรูสึกเชิงจํานวน และ การคํานวณเพ่ือบรรยายหรือระบุรายละเอยี ดเชงิ ปรมิ าณของส่งิ ที่สังเกตหรอื ทดลอง ทักษะการจัดกระทําและส่ือความหมายขอมูล (Organizing and Communicating Data) เปน ความสามารถในการนาํ ผลการสงั เกต การวดั การทดลอง จากแหลงตาง ๆ มาจัดกระทําใหอยูในรูปแบบที่ มคี วามหมายหรือมีความสมั พนั ธกันมากขน้ึ จนงายตอ การทาํ ความเขาใจหรอื เห็นแบบรูปของขอมูล นอกจากน้ี ยังรวมถึงความสามารถในการนําขอมูลมาจัดทําในรูปแบบตาง ๆ เชน ตาราง แผนภูมิ แผนภาพ วงจร กราฟ สมการ การเขียนบรรยาย เพ่อื สอื่ สารใหผ ูอ ื่นเขา ใจความหมายของขอมลู มากขนึ้ ทักษะการพยากรณ (Predicting) เปนความสามารถในบอกผลลัพธของปรากฏการณ สถานการณ การสังเกต การทดลองท่ีไดจากการสังเกตแบบรูปของหลักฐาน (Pattern of Evidence) การพยากรณที่ แมนยําจึงเปนผลมาจากการสังเกตที่รอบคอบ การวัดที่ถูกตอง การบันทึก และการจัดกระทํากับขอมูลอยาง เหมาะสม ทักษะการต้ังสมมติฐาน (Formulating Hypotheses) เปนความสามารถในการคิดหาคําตอบ ลวงหนากอนดําเนินการทดลอง โดยอาศัยการสังเกต ความรู ประสบการณเดิมเปนพ้ืนฐานคําตอบที่คิด ลวงหนาที่ยังไมรูมากอน หรือยังไมเปนหลักการ กฎ หรือ ทฤษฎีมากอน การตั้งสมมติฐานหรือคําตอบท่ีคิดไว ลวงหนามักกลาวไวเปนขอความท่ีบอกความสัมพันธระหวางตัวแปรตนกับตัวแปรตาม ซ่ึงอาจเปนไปตามที่ คาดการณไวหรือไมก็ได ทักษะการกําหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ (Defining Operationally) เปนความสามารถในการ กาํ หนดความหมายและขอบเขตของส่งิ ตา ง ๆ ท่อี ยูใ นสมมติฐานของการทดลอง หรือที่เกี่ยวของกับการทดลอง ใหเ ขาใจตรงกัน และสามารถสงั เกตหรอื วดั ได ทักษะการกําหนดและควบคุมตัวแปร (Controlling Variables) เปนความสามารถในการ กําหนดตัวแปรตาง ๆ ทั้งตัวแปรตน ตัวแปรตาม และตัวแปรที่ตองควบคุมใหคงที่ ใหสอดคลองกับสมมติฐาน ของการทดลอง รวมถึงความสามารถในการระบุและควบคุมตัวแปรอื่น ๆ นอกเหนือจากตัวแปรตน ซ่ึงอาจ สงผลตอผลการทดลอง หากไมควบคุมใหเหมือนกันหรือเทากัน ตัวแปรท่ีเกี่ยวของกับการทดลอง ไดแก ตวั แปรตน ตวั แปรตาม และตวั แปรท่ีตองควบคมุ ใหคงที่ ซึง่ ลวนเปนปจจยั ท่เี ก่ียวขอ งกับการทดลอง ดงั นี้ ตัวแปรตน (Independent Variable) หมายถงึ ส่ิงท่เี ปน ตนเหตทุ ําใหเกิดการเปลี่ยนแปลง จึงตอง จดั สถานการณใหม ีส่ิงนแ้ี ตกตางกัน ตัวแปรตาม (Dependent Variable) หมายถึง ส่ิงท่ีเปนผลจากการจัดสถานการณบางอยางให แตกตา งกนั และเราตองสังเกต วดั หรอื ติดตามดู  สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คูม ือครรู ายวิชาพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร ป.5 เลม 2 ฉ ตัวแปรที่ตองควบคุมใหคงที่ (Controlled Variable) หมายถึง สิ่งตาง ๆ ท่ีอาจสงผลตอการจัด สถานการณ จงึ ตองจดั ส่ิงเหลานี้ใหเหมือนกันหรือเทากัน เพ่ือใหม่ันใจวาผลจากการจัดสถานการณเกิดจากตัว แปรตนเทาน้ัน ทกั ษะการทดลอง (Experimenting) การทดลองประกอบดวย 3 ขั้นตอน คือ การออกแบบการ ทดลอง การปฏิบัติการทดลอง และการบันทึกผลการทดลอง ทักษะการทดลองจึงเปนความสามารถในการ ออกแบบและวางแผนการทดลองไดอยางรอบคอบ และสอดคลอ งกับคําถามการทดลองและสมมติฐาน รวมถึง ความสามารถในการดําเนินการทดลองไดตามแผน และความสามารถในการบันทึกผลการทดลองไดละเอียด ครบถว น และเทย่ี งตรง ทักษะการตีความหมายขอมูลและลงขอสรุป (Interpreting and Making Conclusion) ความสามารถ ในการแปลความหมาย หรือการบรรยาย ลักษณะและสมบัติของขอมูลที่มีอยู ตลอดจน ความสามารถในการสรปุ ความสมั พันธข องขอ มูลทั้งหมด ทักษะการสรางแบบจําลอง (Formulating Models) ความสามารถในการสรางและใชสิ่งท่ีทํา ข้ึนมาเพ่ือเลียนแบบหรืออธิบายปรากฏการณที่ศึกษาหรือสนใจ เชน กราฟ สมการ แผนภูมิ รูปภาพ ภาพเคล่ือนไหว รวมถึงความสามารถในการนําเสนอขอมูล แนวคิด ความคิดรวบยอดเพ่ือใหผูอ่ืนเขาใจในรูป ของแบบจําลองแบบตา ง ๆ ทกั ษะแหงศตวรรษท่ี 21 (21st Century Skills) ราชบัณฑิตยสถานไดระบุทักษะท่ีจําเปนแหงศตวรรษที่ 21 ซ่ึงสอดคลองกับสมรรถนะที่ควรมีในพลเมือง ยุคใหมรวม 7 ดาน (สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีแหงชาติ, 2558; ราชบัณฑิตยสถาน, 2557) ในระดบั ประถมศกึ ษาจะเนนใหครูสงเสรมิ ใหน ักเรยี นมที ักษะ ดังตอไปนี้ การคิดอยางมีวิจารณญาณ (Critical Thinking) หมายถึง การคิดโดยใชเหตุผลท่ีหลากหลาย เหมาะสมกับสถานการณ มีการคิดอยางเปนระบบ วิเคราะห ประเมินหลักฐานและขอคิดเห็นดวยมุมมองท่ี หลากหลาย สังเคราะห แปลความหมาย และจัดทําขอสรุป สะทอนความคิดอยางมีวิจารณญาณโดยใช ประสบการณแ ละกระบวนการเรยี นรู การแกปญหา (Problem Solving) หมายถึง ความสามารถในการแกปญหาที่ไมคุนเคย หรือ ปญ หาใหม โดยอาจใชค วามรู ทักษะ วธิ ีการและประสบการณท เี่ คยรูมาแลว หรอื การสืบเสาะหาความรู วิธีการ ใหมมาใชแกปญหาก็ได นอกจากน้ียังรวมถึงการซักถามเพื่อทําความเขาใจมุมมองท่ีแตกตาง หลากหลาย เพอื่ ใหไ ดว ิธแี กป ญ หาทด่ี ีย่งิ ขน้ึ การสื่อสาร (Communications) หมายถึง ความสามารถในการส่ือสารไดอยางชัดเจน เชื่อมโยง เรียบเรียงความคิดเเละมุมมองตาง ๆ แลวส่ือสารโดยการใชคําพูด หรือการเขียน เพ่ือใหผูอื่นเขาใจได สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี 

ช คูมอื ครรู ายวิชาพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร ป.5 เลม 2 หลากหลายรูปแบบและวัตถุประสงคนอกจากน้ียังรวมไปถึงการฟงอยางมีประสิทธิภาพเพื่อใหเขาใจ ความหมายของผสู ง สาร ความรวมมือ (Collaboration) หมายถึง ความสามารถในการทํางานรวมกับคนกลุมตาง ๆ ท่ี หลากหลายอยางมีประสิทธิภาพและใหเกียรติ มีความยืดหยุนและยินดีที่จะประนีประนอม เพ่ือใหบรรลุ เปาหมายการทาํ งาน พรอ มทง้ั ยอมรับและแสดงความรับผดิ ชอบตอ งานทท่ี าํ รวมกัน และเห็นคุณคาของผลงาน ทพ่ี ัฒนาขน้ึ จากสมาชิกแตล ะคนในทมี การสรางสรรค (Creativity) หมายถึง การใชเทคนิคที่หลากหลายในการสรางสรรคแนวคิด เชน การระดมพลังสมอง รวมถึงความสามารถในการพัฒนาตอยอดแนวคิดเดิม หรือไดแนวคิดใหม และ ความสามารถในการกลั่นกรอง ทบทวน วิเคราะห และประเมินแนวคิด เพื่อปรับปรุงใหไดแนวคิดท่ีจะสงผลให ความพยายามอยา งสรางสรรคนเ้ี ปนไปไดม ากท่สี ุด การใชเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร (Information and Communication Technology (ICT)) หมายถึง ความสามารถในการการใชเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารเพ่ือเปนเคร่ืองมือสืบคน จัดกระทํา ประเมินและส่ือสารขอมูลความรูตลอดจนรูเทาทันส่ือโดยการใชส่ือตาง ๆ ไดอยางเหมาะสมมี ประสิทธิภาพ  สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คมู อื ครรู ายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตร ป.5 เลม 2 ซ ผงั มโนทัศน (concept map) รายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร ชัน้ ประถมศึกษาปท่ี 5 เลม 2 เน้ือหาการเรยี นรวู ิชาวิทยาศาสตร ชั้นประถมศกึ ษาปที่ 5 เลม 2 ประกอบดวย หนวยท่ี 4 วฏั จักร หนวยท่ี 5 สงิ่ มีชวี ติ ไดแก ไดแ ก แหลงน้ํา ลกั ษณะทางพันธกุ รรม ของสิ่งมีชวี ติ เมฆ หมอก น้ําคาง และ น้าํ คา งแขง็ โครงสรา งและลกั ษณะ ของส่ิงมีชวี ติ ในแหลงท่ีอยู หยาดนาํ้ ฟา ความสัมพนั ธร ะหวาง การหมุนเวียนของนํ้า สง่ิ มีชีวติ กับส่ิงมีชีวิต ดาวเคราะหและดาวฤกษ ความสัมพนั ธระหวา ง ส่ิงมีชีวติ กับสิ่งไมมชี ีวิต กลุมดาวบนทองฟา สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 

ฌ คมู อื ครูรายวิชาพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร ป.5 เลม 2 ตัวชว้ี ดั สาระการเรียนรูแกนกลาง วิทยาศาสตร ป.5 เลม 2 ตวั ชวี้ ดั ชน้ั ป สาระการเรยี นรูแกนกลาง ว 1.1 ป.5/1 • สิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตวมีโครงสรางและลักษณะท่ี บรรยายโครงสรางและลักษณะของส่ิงมีชีวิตที่ เหมาะสมในแตละแหลงที่อยู ซ่ึงเปนผลมาจากการ เหมาะสมกับการดํารงชีวิตซึ่งเปนผลมาจาก ปรับตัวของส่ิงมีชีวิต เพื่อใหดํารงชีวิตและอยูรอด การปรบั ตวั ของสิ่งมชี ีวติ ในแตละแหลง ท่ีอยู ไดในแตละแหลงท่ีอยู เชน ผักตบชวามีชองอากาศ ในกานใบ ชวยใหลอยนํ้าได ตนโกงกางท่ีขึ้นอยูใน ปา ชายเลนมีรากค้ําจุนทําใหลําตนไมลม ปลามีครีบ ชวยในการเคลื่อนที่ในนํ้า ว 1.1 ป.5/2 • ในแหลงที่อยูหน่ึง ๆ ส่ิงมีชีวิตจะมีความสัมพันธ อธิบายความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิตกับ ซึ่งกันและกันและสัมพันธกับส่ิงไมมีชีวิต เพ่ือ สิ่งมีชวี ิต และความสัมพันธระหวางส่ิงมีชีวิตกับ ประโยชนตอการดํารงชีวิต เชน ความสัมพันธกัน สิ่งไมมชี ีวติ เพ่อื ประโยชนตอการดํารงชวี ติ ดานการกินกันเปนอาหาร เปนแหลงที่อยูอาศัย ว 1.1 ป.5/3 หลบภยั และเล้ยี งดูลูกออน ใชอ ากาศในการหายใจ เขียนโซอาหารและระบุบทบาทหนาที่ของ สง่ิ มชี วี ติ ทเ่ี ปนผผู ลิตและผูบรโิ ภคในโซอ าหาร • ส่ิงมีชีวิตมีการกินกันเปนอาหารโดยกินตอกันเปน ทอด ๆ ในรูปแบบของโซอาหารทําใหสามารถระบุ ว 1.1 ป.5/4 บทบาทหนา ทข่ี องสงิ่ มีชีวติ เปน ผูผลติ และผูบริโภค ต ร ะ ห นั ก ใ น คุ ณ ค า ข อ ง ส่ิ ง แ ว ด ล อ ม ท่ี มี ต อ การดํารงชีวิตของส่ิงมีชีวิต โดยมีสวนรวม ในการดแู ลรกั ษาส่งิ แวดลอ ม ว 1.3 ป.5/1 • สิ่งมีชีวิตท้ังพืช สัตว และมนุษย เม่ือโตเต็มท่ีจะมี อธิบายลักษณะทางพันธุกรรมที่มีการถายทอด การสืบพันธุเพือ่ เพมิ่ จํานวนและดํารงพันธุ โดยลูกท่ี จากพอแมส ูลูกของพืช สัตว และมนุษย เกิดมาจะไดรับการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม ว 1.3 ป.5/2 จากพอแมทําใหมีลักษณะทางพันธุกรรมท่ีเฉพาะ แสดงความอยากรูอยากเห็นโดยการถาม แตกตา งจากสิง่ มีชีวิตชนิดอนื่ คําถามเกี่ยวกับลักษณะที่คลายคลึงกันของ • พืชมีการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เชน ตนเองกับพอแม ลกั ษณะของใบ สีดอก • สัตวมีการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เชน สีขน ลักษณะของขน ลกั ษณะของหู  สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คมู อื ครรู ายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตร ป.5 เลม 2 ญ ตวั ชี้วดั ชนั้ ป สาระการเรียนรูแกนกลาง • มนุษยมีการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เชน เชิงผมท่ีหนาผาก ลักยิ้ม ลักษณะหนังตา การหอล้ิน ลักษณะของติง่ หู ว 3.1 ป.5/1 • ดาวท่ีมองเห็นบนทองฟาอยูในอวกาศซึ่งเปน เปรยี บเทยี บความแตกตา งของดาวเคราะหและ บริเวณท่ีอยูนอกบรรยากาศของโลกมีท้ังดาวฤกษ ดาวฤกษจ ากแบบจาํ ลอง และดาวเคราะห ดาวฤกษเปนแหลงกําเนิดแสง จึงสามารถมองเห็นได สวนดาวเคราะหไมใช แหลงกําเนิดแสง แตสามารถมองเห็นไดเนื่องจาก แสงจากดวงอาทิตยตกกระทบดาวเคราะหแลว สะทอนเขา สูตา ว 3.1 ป.5/2 • การมองเห็นกลุมดาวฤกษมีรูปรางตาง ๆ เกิดจาก ใชแผนท่ีดาวระบุตําแหนงและเสนทางการขึ้น จินตนาการของผูสงั เกต กลุม ดาวฤกษตาง ๆ ท่ีปรากฏ และตกของกลุมดาวฤกษบนทองฟา และ ในทองฟาแตละกลุมมีการเรียงตัวของดาวฤกษ อธิบายแบบรูปเสนทางการข้ึนและตกของกลุม คงท่ีจึงมีรูปรางเหมือนเดิม และมีเสนทางการขึ้น ดาวฤกษบนทองฟา ในรอบป และตกตามเสนทางเดิมทุกคืน และจะปรากฏ ตําแหนงเดิม การสังเกตตําแหนงและการข้ึนและ ตกของดาวฤกษและกลุม ดาวฤกษส ามารถทําไดโดย ใชแผนทีด่ าวซ่ึงระบุมุมทิศและมุมเงยที่กลุมดาวน้ัน ปรากฏ ผูสังเกตสามารถใชมือในการประมาณคา ของมมุ ทิศและมมุ เงยเมอื่ สงั เกตดาวในทองฟา ว 3.2 ป.5/1 • โลกมีทั้งน้ําจืดและน้ําเค็มซ่ึงอยูในแหลงนํ้าตาง ๆ เปรียบเทียบปริมาณนํ้าในแตละแหลงและระบุ ที่มีทั้งแหลงน้ําผิวดิน เชน ทะเล มหาสมุทร บึง ปริมาณนํ้าท่ีมนุษยสามารถนํามาใชประโยชน แมน้ํา และแหลงน้ําใตดิน เชน น้ําในดิน และ ได จากขอมลู ท่รี วบรวมได น้ําบาดาล นํ้าทั้งหมดของโลกแบงเปนนํ้าเค็ม ประมาณรอยละ 97.5 ซ่ึงอยูในมหาสมุทรและ แหลงนํ้าอ่ืน ๆ และที่เหลืออีกประมาณรอยละ 2.5 เปนนํ้าจืด ถาเรียงลําดับปริมาณน้ําจืดจากมากไป นอยจะอยูท่ี ธารน้ําแข็งและพืดน้ําแข็ง น้ําใตดิน ช้ันดินเยือกแข็งคงตัวและน้ําแข็งใตดิน ทะเลสาบ ความช้ืนในดิน ความช้ืนในบรรยากาศ บึง แมน้ํา และน้ําในสิง่ มีชวี ติ สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 

ฎ คูม อื ครรู ายวิชาพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร ป.5 เลม 2 ตวั ชี้วดั ชนั้ ป สาระการเรยี นรูแกนกลาง ว 3.2 ป.5/2 • นํ้าจืดท่ีมนุษยนํามาใชไดมีปริมาณนอยมาก จึงควร ตระหนักถึงคุณคาของน้ําโดยนําเสนอแนวทาง ใชน้ําอยา งประหยดั และรวมกันอนรุ กั ษน ้าํ การใชน ้าํ อยา งประหยดั และการอนุรักษน า้ํ ว 3.2 ป.5/3 • วัฏจกั รนา้ํ เปนการหมุนเวียนของนํา้ ท่ีมีแบบรปู ซํ้าเดมิ สรา งแบบจําลองที่อธิบายการหมุนเวียนของน้ํา และตอ เนื่องระหวางน้ําในบรรยากาศ น้ําผิวดิน และ ในวัฏจักรนา้ํ นํ้าใตดิน โดยพฤติกรรมการดํารงชีวิตของพืชและ สัตวสง ผลตอ วฏั จักรน้ํา ว 3.2 ป.5/4 • ไอน้ําในอากาศจะควบแนนเปนละอองนํ้าเล็ก ๆ โดย เปรียบเทียบกระบวนการเกิดเมฆ หมอก มีละอองลอย เชน เกลือ ฝุนละออง เกสรดอกไม นํ้าคาง และนา้ํ คา งแขง็ จากแบบจาํ ลอง เปนอนุภาคแกนกลาง เมื่อละอองน้ําจํานวนมาก เกาะกลุมรวมกันลอยอยูสูงจากพ้ืนดินมาก เรียกวา เมฆ แตละอองนํ้าท่ีเกาะกลุมรวมกันอยูใกลพื้นดิน เรียกวา หมอก สวนไอนํ้าที่ควบแนนเปนละอองน้ํา เกาะอยูบนพ้ืนผิววัตถุใกลพ้ืนดิน เรียกวา นํ้าคาง ถาอุณห ภูมิใก ลพื้นดิน ต่ํากว าจุดเยื อกแข็ ง นํ้าคางก็จะกลายเปน นาํ้ คางแข็ง ว 3.2 ป.5/5 • ฝน หิมะ ลูกเห็บ เปนหยาดน้ําฟาซ่ึงเปนน้ําท่ีมี เปรียบเทียบกระบวนการเกิดฝน หิมะ และ สถานะตาง ๆ ที่ตกจากฟาถึงพ้ืนดิน ฝนเกิดจาก ลกู เหบ็ จากขอมลู ท่ีรวบรวมได ละอองน้ําในเมฆที่รวมตัวกันจนอากาศไมสามารถ พยุงไวไดจึงตกลงมา หิมะเกิดจากไอน้ําในอากาศ ระเหิดกลับเปนผลึกน้ําแข็ง รวมตัวกันจนมีนํ้าหนัก มากขึ้น จนเกินกวาอากาศจะพยุงไว จึงตกลงมา ลูกเห็บเกิดจากหยดน้ําท่ีเปลี่ยนสถานะเปนนํ้าแข็ง แลวถูกพายุพัดวนซ้ําไปซ้ํามาในเมฆฝนฟาคะนอง ที่มีขนาดใหญแ ละอยูใ นระดับสงู จนเปนกอนนํ้าแข็ง ขนาดใหญขน้ึ แลวตกลงมา  สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี

คูม ือครรู ายวิชาพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร ป.5 เลม 2 ฏ ขอ แนะนําการใชคมู อื ครู คมู อื ครูเลม นจี้ ัดทาํ ข้นึ เพอ่ื ใชเ ปน แนวทางการจัดกิจกรรมสําหรับครู ในแตละหนวยการเรียนรูนักเรียน จะไดฝกทักษะจากการทํากจิ กรรมตาง ๆ ทงั้ การสังเกต การสํารวจ การทดลอง การสืบคนขอมูล การอภิปราย การทาํ งานรวมกัน ซ่ึงเปนการฝก ใหน กั เรยี นชางสงั เกต รูจักต้ังคําถาม รูจักคิดหาเหตุผล เพ่ือตอบปญหาตาง ๆ ไดดว ยตนเอง ทงั้ น้ีโดยมเี ปา หมายเพื่อใหนักเรียนไดเรียนรูและคนพบดวยตนเองมากที่สุด ดังนั้นในการจัดการ เรียนรูครูจึงเปนผูชวยเหลือ สงเสริม และสนับสนุนนักเรียนใหรูจักสืบเสาะหาความรูจากส่ือและแหลงการ เรียนรูตาง ๆ และเพ่ิมเติมขอมูลที่ถูกตองแกนักเรียน เพ่ือใหนักเรียนมีทักษะจากการศึกษาหาความรูดวย ตนเอง เพื่อใหเกิดประโยชนจากคูมือครูเลมนี้มากที่สุด ครูควรทําความเขาใจในรายละเอียดของแตละหัวขอ และขอ เสนอแนะเพิม่ เติม ดงั น้ี 1. สาระการเรยี นรูแกนกลาง สาระการเรียนรูแกนกลางเปนสาระการเรียนรูเฉพาะกลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตรที่ปรากฏใน มาตรฐานการเรียนรูและตัวช้ีวัด ฯ (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กระทรวงศึกษาธิการ ไดกําหนดไวเฉพาะสวนที่จําเปนสําหรับเปนพื้นฐาน เกี่ยวของกับชีวิตประจําวัน และเปนพ้ืนฐานในการศึกษาตอในระดับท่ีสูงข้ึน โดยสอดคลองกับสาระและ ความสามารถ ความถนดั และความสนใจของนักเรียน ในทุกกิจกรรมจะมีสาระสําคัญ ซ่ึงเปนเน้ือหาสาระ ทปี่ รากฏอยูตามสาระการเรียนรูโ ดยสถานศึกษาสามารถพฒั นาเพิ่มเติมไดตามความเหมาะสม สาระการเรียนรูวิทยาศาสตร ตามมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัด ฯ (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ไดเพ่ิมสาระเทคโนโลยี ซ่ึง ประกอบดวยการออกแบบและเทคโนโลยี และวิทยาการคํานวณ ทั้งนี้เพ่ือเอ้ือตอการจัดการเรียนรู บูรณาการสาระทางคณิตศาสตร วิทยาศาสตร และเทคโนโลยี กับกระบวนการเชิงวิศวกรรม ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา 2. ภาพรวมการจดั การเรยี นรปู ระจาํ หนวย ภาพรวมการจัดการเรียนรูประจําหนว ยมีไวเพ่ือเช่ือมโยงเนื้อหาสาระกับมาตรฐานการเรียนรูและ ตัวชี้วัดท่ีจะไดเรียนในแตละกิจกรรมของหนวยน้ัน ๆ และเปนแนวทางใหครูนําไปปรับปรุงและ เพ่ิมเตมิ ตามความเหมาะสม 3. จุดประสงคก ารเรียนรู แตละหนวยการเรียนรูนักเรียนจะไดทํากิจกรรมอยางหลากหลาย ในแตละสวนของหนังสือเรียนท้ัง สวนนําบท นําเร่ือง และกิจกรรมมีจุดประสงคการเรียนรูท่ีสอดคลองกับตัวช้ีวัดช้ันปเพ่ือให นักเรียนเกิด การเรียนรู โดยยึดหลักใหนักเรียนไดลงมือปฏิบัติ สืบเสาะหาความรูดวยกระบวนการทางวิทยาศาสตร กระบวนการแกปญหา การสื่อสาร และความสามารถในการตัดสินใจ การนําความรูไปใชในชีวิตและ สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 

ฐ คมู ือครรู ายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตร ป.5 เลม 2 ในสถานการณใ หม มที ักษะในการใชเทคโนโลยี มีเจตคติ คุณธรรม จริยธรรม และคานิยมที่เหมาะสม สามารถอยใู นสังคมไทยไดอยางมีความสุข 4. บทนี้มอี ะไร สวนท่ีบอกรายละเอยี ดในบทนัน้ ๆ ซงึ่ ประกอบดว ยชอ่ื เรื่อง คาํ สาํ คัญ และช่อื กิจกรรม เพ่ือครูจะ ไดทราบองคประกอบโดยรวมของแตละบท 5. ส่อื การเรยี นรูและแหลงเรยี นรู สวนที่บอกรายละเอียดสื่อการเรียนรูและแหลงเรียนรูที่ตองใชสําหรับการเรียนในบท เรื่อง และ กิจกรรมน้ัน ๆ โดยสื่อการเรียนรูและแหลงเรียนรูประกอบดวยหนาหนังสือเรียนและแบบบันทึกกิจกรรม และอาจมีโปรแกรมประยุกต เว็บไซต ส่ือส่ิงพิมพ สื่อโสตทัศนูปกรณหรือตัวอยางวีดิทัศนปฏิบัติการ ทางวทิ ยาศาสตรเพื่อเสรมิ สรา งความม่นั ใจในการสอนปฏิบตั ิการวทิ ยาศาสตรส ําหรับครู 6. ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรและทกั ษะแหง ศตวรรษที่ 21 ทักษะท่ีนักเรียนจะไดฝกปฏิบัติในแตละกิจกรรม โดยทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรเปน ทักษะที่นักวิทยาศาสตรนํามาใชในกระบวนการตาง ๆ ในการสืบเสาะหาความรู สวนทักษะแหง ศตวรรษที่ 21 เปนทักษะท่ีชวยเสริมสรางการเรียนรูและพัฒนาความสามารถของนักเรียนในดานตาง ๆ เพือ่ ใหทนั ตอ การเปลย่ี นแปลงของโลก  สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คมู ือครูรายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร ป.5 เลม 2 ฑ วีดทิ ัศนตวั อยางการปฏิบตั ิการวทิ ยาศาสตรสําหรับครู เพื่อฝก ฝนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรต าง ๆ มดี ังน้ี รายการวีดทิ ศั นตัวอยา ง ทักษะกระบวนการทาง Short link QR code การปฏบิ ตั กิ ารวิทยาศาสตรสําหรบั ครู วิทยาศาสตร วีดิทศั น การสงั เกตและ การสังเกตและ http://ipst.me/8115 การลงความเหน็ จากขอ มลู การลงความเห็นจากขอมลู ทาํ ไดอยา งไร วดี ิทัศน การวัดทําไดอ ยางไร การวัด http://ipst.me/8116 วดี ิทัศน การใชตวั เลขทาํ ไดอยา งไร การใชจํานวน http://ipst.me/8117 วีดทิ ัศน การจําแนกประเภททําได การจําแนกประเภท http://ipst.me/8118 อยา งไร วดี ิทศั น การหาความสมั พันธระหวา ง การหาความสัมพันธ http://ipst.me/8119 สเปซกับสเปซทาํ ไดอยางไร ระหวา งสเปซกบั สเปซ วดี ทิ ัศน การหาความสมั พนั ธร ะหวา ง การหาความสัมพันธ http://ipst.me/8120 สเปซกบั เวลาทาํ ไดอยา งไร ระหวา งสเปซกบั เวลา วีดิทัศน การจดั กระทาํ และสอื่ การจัดกระทําและสื่อ http://ipst.me/8121 ความหมายขอมลู ทําได ความหมายขอมูล http://ipst.me/8122 อยา งไร การพยากรณ วดี ทิ ศั น การพยากรณทําไดอยางไร สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี 

ฒ คมู ือครูรายวิชาพน้ื ฐานวิทยาศาสตร ป.5 เลม 2 รายการวดี ทิ ัศนตวั อยาง ทักษะกระบวนการทาง Short link QR code http://ipst.me/8123 การปฏบิ ตั กิ ารวิทยาศาสตรสําหรบั ครู วทิ ยาศาสตร วีดิทัศน ทาํ การทดลองไดอยา งไร การทดลอง วดี ทิ ัศน การตงั้ สมมตฐิ านทําได การตั้งสมมติฐาน http://ipst.me/8124 อยา งไร วีดทิ ัศน การกาํ หนดและควบคมุ ตัว การกําหนดและควบคุม http://ipst.me/8125 แปรและ ตัวแปรและ การกําหนดนิยามเชิง การกาํ หนดนยิ ามเชิง ปฏบิ ตั กิ าร ปฏบิ ตั กิ ารทําไดอ ยางไร การตีความหมายขอมลู และ http://ipst.me/8126 ลงขอสรปุ วดี ิทัศน การตีความหมายขอมูลและ ลงขอสรุปทําไดอยางไร วดี ิทศั น การสรางแบบจาํ ลองทําได การสรา งแบบจาํ ลอง http://ipst.me/8127 อยางไร  สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี

คมู ือครรู ายวิชาพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร ป.5 เลม 2 ณ 7. แนวคดิ คลาดเคลอื่ น ความเช่ือ ความรู หรือความเขาใจท่ีผิดหรือคลาดเคลื่อนซึ่งเกิดขึ้นกับนักเรียน เน่ืองจาก ประสบการณในการเรยี นรทู ่ีรับมาผิดหรือนําความรูท่ีไดรับมาสรุปตามความเขาใจของตนเองผิด แลว ไมส ามารถอธิบายความเขาใจนั้นได ดังน้ันเม่ือเรียนจบบทน้ีแลวครูควรแกไขแนวคิดคลาดเคลื่อนของ นักเรียนใหเ ปนแนวคดิ ท่ีถกู ตอง 8. บทนเี้ รมิ่ ตน อยา งไร แนวทางสําหรับครูในการจัดการเรียนรูวิทยาศาสตรเพ่ือสงเสริมใหนักเรียนรูจักคิดดวยตนเอง รูจักคนควาหาเหตุผล ครูควรกระตุนใหนักเรียนเกิดความสนใจในบทเรียนน้ัน ๆ โดยและใหนักเรียน ตอบคําถามสํารวจความรูกอนเรียน จากนั้นครูสังเกตการตอบคําถามของนักเรียนและยังไมเฉลย คาํ ตอบทถ่ี ูกตอง เพอื่ ใหน ักเรยี นไปหาคาํ ตอบจากเรอ่ื งและกิจกรรมตาง ๆ ในบทน้นั 9. เวลาที่ใช การเสนอแนะเวลาท่ีใชในการจัดการเรียนการสอนวาควรใชประมาณก่ีช่ัวโมง เพื่อชวยใหครู ไดจัดทําแผนการจัดการเรียนรูไดอยางเหมาะสม อยางไรก็ตามครูอาจปรับเปล่ียนเวลาไดตาม สถานการณและความสามารถของนักเรียน 10. วัสดุอปุ กรณ รายการวัสดุอุปกรณท้ังหมดท้ังหมดสําหรับการจัดกิจกรรม โดยอาจมีท้ังวัสดุส้ินเปลือง อุปกรณ สําเรจ็ รูป อุปกรณพ น้ื ฐาน หรืออ่นื ๆ 11. การเตรยี มตวั ลว งหนา สาํ หรบั ครู เพ่ือจัดการเรียนรใู นคร้งั ถัดไป การเตรียมตัวลวงหนาสําหรับการจัดการเรียนรูในครั้งถัดไป เพ่ือครูจะไดเตรียมส่ือ อุปกรณ เครื่องมือตา ง ๆ ท่ตี องใชในกิจกรรมใหอยูในสภาพที่ใชการไดดีและมีจํานวนเพียงพอกับนักเรียน โดย อาจมีบางกิจกรรมตอ งทําลวงหนา หลายวนั เชน การเตรียมถงุ ปรศิ นาและขาวโพดคว่ั หรือส่ิงทก่ี ินได ขอ เสนอแนะเพิม่ เตมิ นกั เรียนในระดบั ชัน้ ประถมศกึ ษา มีกระบวนการคดิ ทเ่ี ปนรูปธรรม ครูจึงควรจัดการเรียนการ สอนท่ีมุงเนนใหนักเรียนไดปฏิบัติหรือทําการทดลองดวยตนเอง ซ่ึงเปนวิธีหนึ่งท่ีนักเรียนจะไดมี ประสบการณต รง ดังนน้ั ครูจงึ ตองเตรียมตวั เองในเร่ืองตอ ไปนี้ 11.1 บทบาทของครู ครูจะตองเปลี่ยนบทบาทจากการเปนผูชี้นําหรือผูถายทอดความรูเปนผู ชวยเหลือ โดยสงเสริมและสนับสนุนนักเรียนในการแสวงหาความรูจากสื่อและแหลงการ เรียนรูตาง ๆ และใหขอมูลท่ีถูกตองแกนักเรียน เพ่ือใหนักเรียนไดนําขอมูลเหลาน้ันไปใช สรางสรรคค วามรูของตนเอง 11.2 การเตรียมตัวของครูและนักเรียน ครูควรเตรียมนักเรียนใหมีความพรอมในการทํา กิจกรรมตา ง ๆ แตบางคร้ังนักเรียนไมเขาใจและอาจจะทํากิจกรรมไมถูกตอง ดังน้ันครูจึง ตอ งเตรียมตัวเอง โดยทําความเขาใจในเร่อื งตอไปน้ี สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 

ด คมู อื ครรู ายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตร ป.5 เลม 2 การสืบคนขอมูลหรือการคนควาดวยวิธีการตาง ๆ เชน สอบถามจากผูรูในทองถ่ิน ดูจากรูปภาพแผนภูมิ อานหนังสือหรือเอกสารเทาท่ีหาได นั่นคือการใหนักเรียนเปนผูหา ความรแู ละพบความรูหรือขอมลู ดว ยตนเอง ซ่งึ เปน การเรยี นรูดวยวธิ ีแสวงหาความรู การนําเสนอ มีหลายวิธี เชน ใหนักเรียนหรือตัวแทนกลุมออกมาเลาเร่ืองท่ีไดรับ มอบหมายใหไ ปสํารวจ สังเกต หรือทดลองหรืออาจใหเขียนเปนคําหรือเปนประโยคลงใน แบบบันทึกกิจกรรมหรือสมุดอื่นตามความเหมาะสม นอกจากน้ีอาจใหวาดรูป หรือตัด ขอ ความจากหนงั สือพิมพ แลว นาํ มาติดไวใ นหอ ง เปน ตน การสํารวจ ทดลอง สืบคนขอมูล สรางแบบจําลองหรืออื่น ๆ เพื่อสรางองคความรู เปนสิ่งสําคัญย่ิงตอการเรียนรูวิทยาศาสตร ครูสามารถใหนักเรียนทํากิจกรรมไดท้ังใน หองเรียน นอกหองเรียนหรือที่บาน โดยไมจําเปนตองใชอุปกรณวิทยาศาสตรราคาแพง อาจใชอุปกรณท่ีดัดแปลงจากสิ่งของเหลือใช หรือใชวัสดุธรรมชาติ ขอสําคัญ คือ ครูตอง ใหนักเรียนทราบวา ทําไมจึงตองทํากิจกรรมนั้น และจะตองทําอะไร อยางไร ผลจากการ ทํากิจกรรมจะสรุปผลอยางไร ซ่ึงจะทําใหนักเรียนไดความรู ความคิด และทักษะ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตรพ รอมกับเกิดคา นยิ ม คุณธรรม เจตคตทิ างวทิ ยาศาสตรด ว ย 12. แนวการจดั การเรยี นรู แนวทางสําหรับครูในการจัดกิจกรรมการเรียนรูวิทยาศาสตรที่มุงสงเสริมใหนักเรียนรูจักคิดดวย ตนเอง รูจักคนควาหาเหตุผลและสามารถแกปญหาไดดวยการนําเอาวิธีการตาง ๆ ของกระบวนการทาง วิทยาศาสตรไ ปใช วธิ ีการจัดการเรียนรูท่ี สสวท. เห็นวาเหมาะสมท่ีจะนํานักเรียนไปสูเปาหมายที่กําหนด ไวก็คือ วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู ซึ่งมีองคประกอบที่สําคัญ คือ การมองเห็นปญหา การสํารวจ ตรวจสอบ และอภิปรายซักถามระหวา งครูกับนักเรียนเพื่อนาํ ไปสูขอมูลสรปุ ขอเสนอแนะเพม่ิ เตมิ นอกจากครูจะจัดกิจกรรมตาง ๆ ตามคูมือครูนี้ ครูสามารถจัดกิจกรรมการเรียนรูตามความ เหมาะสมเพอ่ื ใหบรรลจุ ุดมงุ หมาย โดยจะคํานึงถงึ เรื่องตาง ๆ ดังตอไปนี้ 12.1 นกั เรียนมสี วนรวมในกิจกรรมการเรียนรู ครูควรใหนักเรียนทุกคนมีสวนรวมในกิจกรรมการ เรียนรูตลอดเวลาดวยการกระตุนใหนักเรียนลงมือทํากิจกรรมและอภิปรายผล โดยครูอาจ ใชเทคนิคตาง ๆ เชน การใชคําถาม การเสริมแรงมาใชใหเปนประโยชน เพ่ือใหการเรียน การสอนนาสนใจและมีชีวิตชวี า 12.2 การใชคําถาม เพื่อนํานักเรียนเขาสูบทเรียนและลงขอสรุป โดยไมใชเวลานานเกินไป ท้ังน้ี ครูตองวางแผนการใชคําถามอยางมีประสิทธิภาพ โดยเลือกใชคําถามที่มีความยากงาย พอเหมาะกบั ความสามารถของนักเรียน 12.3 การสํารวจตรวจสอบซํ้า เปนส่ิงจําเปนเพ่ือใหไดขอมูลที่นาเชื่อถือ ดังน้ันในการจัดการเรียนรู ครูควรเนน ยาํ้ ใหนักเรียนไดส าํ รวจตรวจสอบซํา้ เพอื่ นาํ ไปสขู อ สรปุ ทีถ่ กู ตอ งและเช่ือถอื ได  สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี

คมู อื ครูรายวิชาพนื้ ฐานวิทยาศาสตร ป.5 เลม 2 ต 13. ขอ เสนอแนะเพิ่มเตมิ ขอเสนอแนะสําหรับครูที่อาจเปนประโยชนในการจัดการเรียนรู เชน ตัวอยางวัสดุอุปกรณที่ เหมาะสมหรือใชแทน ขอควรระวัง วิธกี ารใชอ ุปกรณใ หเหมาะสมและปลอดภัย วิธีการทํากิจกรรมเพ่ือ ลดขอผิดพลาด ตวั อยา งตาราง และเสนอแหลงเรยี นรูเพอื่ การคน ควาเพ่มิ เติม 14. ความรูเพ่มิ เติมสาํ หรบั ครู ความรูเพิ่มเติมในเน้ือหาท่ีสอนซ่ึงจะมีรายละเอียดท่ีลึกขึ้น เพื่อเพ่ิมความรูและความม่ันใจใน เร่ืองที่จะสอนและแนะนํานักเรียนที่มีความสามารถสูง แตครูตองไมนําไปสอนนักเรียนในชั้นเรียน เพราะไมเ หมาะสมกบั วยั และระดับชัน้ 15. อยาลืมนะ สวนทีเ่ ตอื นไมใหครูเฉลยคําตอบทีถ่ กู ตอง กอนท่ีจะไดรับฟงความคิดและเหตุผลของนักเรียน เพ่ือใหนักเรียนไดคิดดวยตนเองและครูจะไดทราบวานักเรียนมีความรูความเขาใจในเร่ืองน้ันอยางไร บา ง โดยครูควรใหค ําแนะนําเพือ่ ใหน กั เรียนหาคาํ ตอบไดดวยตนเอง นอกจากน้ันครูควรใหความสนใจ ตอคําถามของนักเรยี นทุกคนดวย 16. แนวการประเมนิ การเรยี นรู การประเมินการเรียนรูของนักเรียนที่ไดจากการอภิปรายในชั้นเรียน คําตอบของนักเรียนระหวาง การจัดการเรียนรูและในแบบบันทึกกิจกรรม รวมท้ังการฝกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรและ ทักษะแหง ศตวรรษท่ี 21 ท่ไี ดจากการทาํ กิจกรรมของนกั เรียน 17. กิจกรรมทายบท สวนท่ีใหน ักเรยี นไดส รุปความรู ความเขา ใจ ในบทเรียน และไดต รวจสอบความรูในเนื้อหาท่ี เรยี นมาท้งั บท หรืออาจตอยอดความรใู นเรอ่ื งนน้ั ๆ ขอ แนะนําเพิม่ เตมิ 1. การสอนอาน พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ใหความหมายของคําวา “อาน” หมายถึง วาตาม ตวั หนงั สอื ถา ออกเสยี งดว ย เรยี กวา อานออกเสียง ถาไมตองออกเสียง เรียกวา อานในใจ หรืออีกความหมาย ของคําวา “อาน” หมายถึง สังเกตหรือพิจารณาดูเพ่ือใหเขาใจ เชน อานสีหนา อานริมฝปาก อานใจ ตีความ เชน อา นรหสั อานลายแทง ปพุทธศักราช 2541 กรมวิชาการ ไดกลาวถึงความสําคัญของการอานไววา การอานเปนทักษะที่สําคัญ จําเปนตองเนนและฝกฝนใหแกนักเรียนเปนอยางมาก เน่ืองจากการอานเปนกระบวนการสําคัญท่ีทําใหผูอาน สรา งความหมายหรือพฒั นาการวิเคราะห ตีความในระหวางอาน ผูอานจะตองรูหัวเร่ือง รูจุดประสงคการอาน มีความรูทางภาษาใกลเคียงกับภาษาที่ใชในหนังสือที่อานและจําเปนตองใชประสบการณเดิมที่เปน ประสบการณพื้นฐานของผูอาน ทําความเขาใจเร่ืองท่ีอาน ทั้งนี้นักเรียนแตละคนอาจมีทักษะในการอานท่ี สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 

ถ คมู ือครูรายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตร ป.5 เลม 2 แตกตางกัน ขึ้นอยูกับองคประกอบหลายอยาง เชน ประสบการณเดิมของนักเรียน ความสามารถดานภาษา หรอื ความสนใจเร่อื งทอ่ี า น ครคู วรสงั เกตนักเรียนวานักเรียนแตละคนมีความสามารถในการอานอยูในระดับใด ซ่ึงครจู ะตองพจิ ารณาทง้ั หลักการอา น และความเขา ใจในการอา นของนักเรยี น การรูเรือ่ งการอาน (Reading literacy) หมายถงึ การเขา ใจขอ มลู เน้ือหาสาระของสิง่ ท่ีอา น การใช ประเมนิ และสะทอนมุมมองของตนเองเกย่ี วกับสิง่ ที่อานอยางต้งั ใจเพอ่ื บรรลุเปาหมายสว นตัวของตนเองหรือ เพือ่ พฒั นาความรแู ละศักยภาพของตนเองและนําความรแู ละศกั ยภาพน้นั มาใชในการแลกเปลยี่ นเรยี นรูใน สงั คม (PISA, 2018) กรอบการประเมนิ ผลนักเรียนเพื่อใหม สี มรรถนะการอา นในศตวรรษท่ี 21 ตามแนวทางของ PISA สามารถ สรุปไดด ังแผนภาพดานลา ง การรูเ ร่ืองการอาน (Reading literacy) ใชเนื้อหาสาระภายในส่ิงที่อา น ใชค วามรู ความคดิ เจตคตขิ องตนเองเช่ือมโยงกบั (Use content primarily within the text) เน้ือหาสาระของสิ่งทอ่ี าน (Draw primarily upon outside knowledge) การคนหาและการคดั เลือก (Access and retrieve) การเชื่อมโยงและการแปลความ (integrate and interpret) การสะทอนและประเมินผล (Reflect and evaluate) จากกรอบการประเมินดังกลาวจะเห็นไดวา การรูเรื่องการอานเปนสมรรถนะท่ีสําคัญท่ีครูควรสงเสริมให นักเรียนมีความสามารถใหครอบคลุม ต้ังแตการคนหาขอมูลในสิ่งที่อาน เขาใจเนื้อหาสาระที่อานไปจนถึง ประเมินคาเน้ือหาสาระท่ีอานได การเรียนการสอนวิทยาศาสตรจําเปนตองอาศัยการอานเพื่อหาขอมูล ทําความเขาใจเนื้อหาสาระของสิ่งท่ีอาน รวมทั้งประเมินส่ิงท่ีอานและนําเสนอมุมมองของตนเองเก่ียวกับสิ่งที่ อา น นกั เรียนควรไดร บั สง เสริมการอานดงั ตอไปน้ี 1. นักเรยี นควรไดรับการฝก การอานขอความแบบตอเนอ่ื งจําแนกขอความแบบตางๆ กัน เชน การบอก การพรรณนา การโตแ ยง รวมไปถงึ การอา นขอ เขียนที่ไมใ ชขอความตอเนื่อง ไดแก การอานรายการ ตาราง แบบฟอรม กราฟ และแผนผัง เปนตน ซงึ่ ขอ ความเหลาน้ีเปน ส่ิงท่นี กั เรยี นไดพ บเห็นใน  สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คูมอื ครรู ายวิชาพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร ป.5 เลม 2 ท โรงเรยี น และจะตองใชใ นชีวิตจรงิ เมือ่ โตเปน ผใู หญ ซึ่งในคูมือครเู ลม นี้ตอ ไปจะใชคําแทนขอความทงั้ ท่ี เปนขอ ความแบบตอเนื่องและขอความที่ไมใชข อ ความตอเน่อื งวา ส่งิ ท่ีอา น (Text) 2. นกั เรียนควรไดรับการฝกฝนใหมีความสามารถในการประเมนิ ส่งิ ทอ่ี า นวา มคี วามเหมาะสมสอดคลอง กบั ลักษณะของขอ เขยี นมากนอยเพียงใด เชน ใชน วนิยาย จดหมาย หรือชวี ประวตั ิเพ่ือประโยชน สวนตัว ใชเอกสารราชการหรือประกาศแจงความเพื่อสาธารณประโยชน ใชร ายงานหรือคูมอื ตางๆ เพ่ือการทาํ งานอาชีพ ใชต าํ ราหรอื หนงั สอื เรยี น เพ่ือการศึกษา เปน ตน 3. นกั เรียนควรไดร บั การฝกฝนใหมีสมรรถนะการอานเพื่อเรยี นรู ในดา นตา ง ๆ ตอไปนี้ 3.1 ความสามารถทีจ่ ะคน หาเน้ือหาสาระของสงิ่ ท่ีอา น (Retrieving information) 3.2 ความสามารถท่จี ะเขา ใจเน้ือหาสาระของสิ่งท่ีอา น (Forming a broad understanding) 3.3 ความสามารถในการแปลความของส่ิงทอ่ี าน (Interpretation) 3.4 ความสามารถในการประเมนิ และสามารถสะทอนความคดิ เห็นหรอื โตแยง จากมุมมองของตน เกีย่ วกบั เนื่อหาสาระของส่งิ ท่ีอา น (Reflection and Evaluation the content of a text) 3.5 ความสามารถในการประเมินและสามารถสะทอนความคิดเหน็ หรอื โตแยง จากมุมมองของตน เกยี่ วกับรูปแบบของสิ่งทอี่ าน (Reflection and Evaluation the form of a text) ท้งั นี้ สสวท. ขอเสนอแนะวิธกี ารสอนแบบตา ง ๆ เพื่อเปนการฝก ทักษะการอานของนักเรยี น ดงั นี้  เทคนิคการสอนแบบ DR-TA (The directed reading-thinking activity) การสอนอานทีม่ งุ เนน ใหนักเรียนไดฝกกระบวนการคิด กล่ันกรองและตรวจสอบขอมูลที่ไดจากการอาน ดวยตนเอง โดยใหนักเรียนคาดคะเนเน้ือหาหรือคําตอบลวงหนาจากประสบการณเดิมของนักเรียน โดยมี ข้ันตอนการจดั การเรียนการสอน ดงั น้ี 1. ครจู ดั แบงเนอ้ื เรื่องท่ีจะอา นออกเปน สวนยอ ย และวางแผนการสอนอา นของเนื้อเร่ืองทั้งหมด 2. นาํ เขา สูบทเรยี นโดยชกั ชวนใหนักเรยี นคดิ วานักเรียนรูอะไรเก่ยี วกับเรื่องท่จี ะอานบาง 3. ครใู หนักเรยี นสังเกตรปู ภาพ หวั ขอ หรืออืน่ ๆ ท่ีเกย่ี วกับเนื้อหาท่ีจะเรยี น 4. ครูต้ังคําถามใหนักเรียนคาดคะเนเนื้อหาของเรื่องท่ีกําลังจะอาน ซ่ึงอาจใหนักเรียนคิดวาจะไดเรียน เก่ยี วกบั อะไร โดยครพู ยายามกระตนุ ใหน กั เรียนไดแ สดงความคดิ เหน็ หรือคาดคะเนเน้ือหา 5. ครูอาจใหนักเรียนเขียนส่ิงที่ตนเองคาดคะเนไว โดยจะทําเปนรายคนหรือเปนคูก็ได หรือครูนํา อภปิ รายแลวเขียนแนวคดิ ของนกั เรียนแตล ะคนไวบนกระดาน 6. นักเรียนอานเน้ือเรื่อง จากนั้นประเมินหรือตรวจสอบ และอภิปรายวาการคาดคะเนของตนเองตรง กับเนอ้ื เรือ่ งที่อา นหรือไม ถานักเรียนประเมินวาเรื่องท่ีอานมีเน้ือหาตรงกับที่คาดคะเนไวใหนักเรียน แสดงขอความทีส่ นับสนนุ การคาดคะเนของตนเองจากเนื้อเรือ่ ง 7. ครูและนักเรียนอภิปรายรวมกัน โดยครูวิเคราะหวานักเรียนแตละคนสามารถใชการคาดคะเนดวย ตนเองอยางไรบาง สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี 

ธ คมู อื ครูรายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตร ป.5 เลม 2 8. ทําซํ้าขั้นตอนเดิมในการอานเน้ือเร่ืองสวนอ่ืน ๆ เม่ือจบท้ังเร่ืองแลว ครูปดเร่ืองโดยการทบทวน เน้อื หาและอภปิ รายถึงวธิ ีการคาดคะเนของนักเรียนที่ควรใชสาํ หรับการอานเรื่องอ่นื ๆ  เทคนคิ การสอนแบบ KWL (Know – Want – Learning) การสอนอา นทม่ี ุงเนนใหน ักเรยี นไดเชอ่ื มโยงประสบการณเดิมกับประสบการณใหมอยางเปนรูปธรรมและ เปนระบบ โดยผานตาราง 3 ชอง คือ K-W-L (นักเรียนรูอะไรบางเก่ียวกับเร่ืองท่ีจะอาน นักเรียนตองการรูอะไร เก่ียวกับเร่ืองที่จะอา น นักเรียนไดเรยี นรอู ะไรบางจากเร่อื งท่ีอาน) โดยมีขนั้ ตอนการจดั การเรียนการสอน ดังน้ี 1. นําเขาสูบทเรียนดวยการกระตุนความสนใจของนักเรียน โดยการใชคําถาม การนําดวยรูปภาพหรือ วีดิทศั นท ่ีเกยี่ วกับเน้อื เรอ่ื ง เพอ่ื เชือ่ มโยงเขาสูเร่ืองทีจ่ ะอา น 2. ครูทําตารางแสดง K-W-L และอธิบายขั้นตอนการทํากิจกรรมโดยใชเทคนิค K-W-L วามีขั้นตอน ดงั นี้ ขั้นที่ 1 กิจกรรมกอนการอาน เรียกวา ข้ัน K มาจาก know (What we know) เปนข้ันตอนท่ีให นักเรียนระดมสมองแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับเร่ืองที่จะอาน แลวบันทึกส่ิงที่ตนเองรูลงใน ตารางชอง K ข้ันตอนน้ีชวยใหนักเรียนรูวาตนเองรูอะไรแลวตองอานอะไร โดยครูพยายาม ต้ังคาํ ถามกระตุนใหน กั เรียนไดแ สดงความคดิ เห็น ขัน้ ที่ 2 กิจกรรมระหวางการอาน เรียกวา ข้ัน W มาจาก want (What we want to know) เปน ข้ันตอนท่ีใหนักเรียนตั้งคําถามเกี่ยวกับสิ่งที่ตองการรูเกี่ยวกับเรื่องท่ีกําลังจะอาน โดยครูและ นักเรียนรวมกนั กาํ หนดคาํ ถาม แลวบันทึกส่งิ ทต่ี องการรูลงในตารางชอง W ขั้นที่ 3 กิจกรรมหลังการอาน เรียกวา ข้ัน L มาจาก learn (What we have learned) เปน ข้ันตอนที่สํารวจวาตนเองไดเรียนรูอะไรบางจากการอาน โดยหลังจากอานเนื้อเรื่อง นักเรียน หาขอความมาตอบคําถามท่ีกําหนดไวในตารางชอง W จากนั้นนําขอมูลท่ีไดจากการอานมา จัดลาํ ดับความสําคญั ของขอมลู และสรปุ เนื้อหาสําคัญลงในตารางชอง L 3. ครแู ละนักเรียนรวมกันสรุปเนือ้ หา โดยการอภิปรายหรือตรวจสอบคําตอบในตาราง K-W-L 4. ครูและนกั เรยี นอาจรว มกันอภิปรายเกย่ี วกบั การใชตาราง K-W-L มาชว ยในการเรยี นการสอนการอาน  เทคนคิ การสอนแบบ QAR (Question-answer relationship) การสอนอา นท่ีมุงเนนใหน ักเรยี นมคี วามเขา ใจในการจัดหมวดหมูของคําถามและตั้งคําถาม เพ่ือใหไดมา ซ่ึงแนวทางในการหาคําตอบ ซ่ึงนักเรียนจะไดพิจารณาจากขอมูลในเน้ือเร่ืองท่ีจะเรียนและประสบการณเดิม ของนักเรียน โดยมขี ้นั ตอนการจดั การเรียนการสอน ดังนี้ 1. ครูจัดทําชุดคําถามตามแบบ QAR จากเรื่องท่ีนักเรียนควรรูหรือเรื่องใกลตัวนักเรียน เพื่อชวยให นักเรยี นเขา ใจถงึ การจัดหมวดหมูของคําถามตามแบบ QAR และควรเช่ือมโยงกับเร่ืองทจี่ ะอา นตอไป 2. ครูแนะนําและอธิบายการสอนแบบ QAR โดยครูควรชี้แจงนักเรียนเก่ียวกับการอานและการต้ังคําถาม ตามหมวดหมู ไดแก คําถามที่ตอบโดยใชเนื้อหาจากเรื่องท่ีอาน คําถามท่ีตองคิดและคนควา คําถามที่ ไมมคี ําตอบโดยตรง ซ่ึงจะตอ งใชค วามรเู ดิมและสิ่งท่ีผูเ ขยี นเขียนไว 3. นักเรียนอา นเนอื้ เร่ือง ต้ังคาํ ถามและตอบคาํ ถามตามหมวดหมู และรวมกนั อภิปรายเพื่อสรปุ คําตอบ  สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี

คมู ือครรู ายวิชาพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร ป.5 เลม 2 น 4. ครแู ละนกั เรียนรว มกันอภิปรายเกี่ยวกบั การใชเทคนิคนดี้ ว ยตนเองไดอ ยา งไร 5. ครูและนักเรยี นอาจรวมกันอภิปรายเก่ียวกับการใชตาราง K-W-L มาชว ยในการเรยี นการสอนการอาน 2. การใชงานสื่อ QR CODE QR CODE เปนรหัสหรือภาษาท่ีตองใชโปรแกรมอานหรือสแกนขอมูลออกมา ซ่ึงตองใชงานผาน โทรศัพทเคลื่อนท่ีหรืออุปกรณอิเล็กทรอนิกสอ่ืน ๆ ที่ติดตั้งกลองไว แลวอาน QR Code ผานโปรแกรมตาง ๆ เชน LINE (สําหรับโทรศัพทเคล่ือนที่) Code Two QR Code Reader (สําหรับคอมพิวเตอร) Camera (สาํ หรับผลิตภณั ฑของ Apple Inc.) ขน้ั ตอนการใชง าน 1. เปด โปรแกรมสําหรับอาน QR Code 2. เล่อื นอปุ กรณอ ิเล็กทรอนิกส เชน โทรศพั ทเ คลื่อนที่ แท็บเล็ต เพอ่ื สองรปู QR Code ไดท ง้ั รูป 3. เปดไฟลห รือลงิ กท ่ีขนึ้ มาหลงั จากโปรแกรมไดอาน QR CODE **หมายเหตุ อปุ กรณท ่ีใชอา น QR CODE ตองเปด Internet ไวเ พ่อื ดึงขอมูล 3. การใชงานโปรแกรมประยุกตความจรงิ เสริม (ภาพเคล่ือนไหว 3 มติ ิ) โปรแกรมประยุกตค วามจรงิ เสรมิ (AR) เปนโปรแกรมที่สรางข้ึนเพื่อเปนส่ือเสริมชวยใหนักเรียนเขาใจ เน้ือหาสาระของบทเรียนอยางเปนรูปธรรมมากขึ้น สําหรับระดับประถมศึกษาปท่ี 5 จะใชงานผานโปรแกรม ประยกุ ต “AR วิทย ป.5” ซ่ึงสามารถดาวนโหลดไดทาง Play Store หรอื App Store **หมายเหตุ เน่ืองจากโปรแกรมมีขนาดไฟลที่ใหญประมาณ 150 เมกะไบต หากพื้นท่ีจัดเก็บในอุปกรณ อเิ ล็กทรอนกิ สไ มเพียงพออาจตองลบขอมลู บางอยางออกจากอุปกรณกอนติดตง้ั โปรแกรม ข้นั ตอนการตดิ ต้งั โปรแกรม 1. เขาไปที่ Play Store ( ) หรอื App Store ( ) 2. คน หาคาํ วา “AR วทิ ย ป.5” 3. กดเขา ไปทโี่ ปรแกรมประยุกตที่ สสวท. พัฒนา 4. กด “ติดตง้ั ” และรอจนตดิ ตั้งเรียบรอ ย 5. เขาสูโปรแกรมจะปรากฏหนาแรก จากน้ันกด “วิธีการใชงาน” เพื่อศึกษาการใชงานโปรแกรมเบื้องตน ดว ยตนเอง 6. หลังจากศึกษาวิธีการใชงานดวยตนเองแลว กด “สแกน AR” และเปด หนังสอื เรยี นหนา ทม่ี ีสญั ลักษณ AR 7. สองรูปท่ีอยูบริเวณสัญลักษณ AR โดยมีระยะหางประมาณ 10 เซนตเิ มตร และเลือกดูสือ่ ในมมุ มองตาง ๆ ตามความสนใจ สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี 

บ คูมือครูรายวิชาพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร ป.5 เลม 2 การจัดการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตรในระดบั ประถมศึกษา นักเรียนในระดับประถมศึกษาตอนตน (ป.1 - ป.3) ตามธรรมชาติแลวมีความอยากรูอยากเห็น เกี่ยวกบั สงิ่ ตา งๆ รอบตัว และเรียนรูไดด ีทีส่ ดุ ดวยการคน พบ จากการลงมอื ปฏิบัติดว ยตนเองโดยอาศัยประสาท สัมผัสทั้งหา ดังนั้นการจัดการเรียนการสอนในระดับประถมศึกษาตอนตน จึงควรใหโอกาสนักเรียนมีสวนรวม ในการลงมือปฏบิ ตั ิ การสํารวจตรวจสอบ การคนพบ การตงั้ คาํ ถามเพือ่ นาํ ไปสูการอภิปราย การแลกเปลี่ยนผล การทดลองดว ยคําพดู หรือภาพวาด การอภปิ รายเพอ่ื สรปุ ผลรวมกัน สําหรับนักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษา ตอนปลาย (ป.4-ป.6) มีพัฒนาการทางสติปญญาจากขั้นการคิดแบบรูปธรรมไปสูขั้นการคิดแบบนามธรรม มี ความสนใจในสิ่งตาง ๆ รอบตัว และสนใจวาสิ่งตาง ๆ ถูกประกอบเขาดวยกันอยางไร และทํางานอยางไร นักเรียนในชวงวัยน้ีตองการโอกาสที่จะมีสวนรวมในการทํากิจกรรมกลุมโดยการทํางานแบบรวมมือ ดังน้ันจึง ควรสงเสริมใหนักเรียนทําโครงงานวิทยาศาสตรรวมกันซ่ึงจะเปนการสรางความสามัคคี และประสานสัมพันธ ระหวา งนกั เรยี นในระดับนด้ี ว ย การจดั การเรยี นการสอนทีเ่ นน การสบื เสาะหาความรูท างวทิ ยาศาสตร การสบื เสาะหาความรทู างวทิ ยาศาสตร หมายถึงวิธีการที่นักวิทยาศาสตรใชเพ่ือศึกษาสิ่งตาง ๆ รอบตัวอยาง เปนระบบ และเสนอคําอธิบายเกี่ยวกับสิ่งท่ีศึกษาดวยขอมูลท่ีไดจากการทํางานทางวิทยาศาสตร มีวิธีการอยู หลากหลาย เชน การสํารวจ การสืบคน การทดลอง การสรางแบบจําลอง นักเรียนทุกระดับช้ันควรไดรับโอกาสในการสืบเสาะหาความรูทางวิทยาศาสตรและพัฒนาความสามารถ ในการคิดและแสดงออกดวยวิธีการที่เช่ือมโยงกับการสืบเสาะหาความรูซึ่งรวมท้ังการต้ังคําถาม การวางแผนและ ดําเนินการสืบเสาะหาความรู การใชเครื่องมือและเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการรวบรวมขอมูล การคิดอยางมี วิจารณญาณและมีเหตุผลเก่ียวกับความสัมพันธระหวางพยานหลักฐานและการอธิบาย การสรางและวิเคราะห คําอธิบายท่ีหลากหลาย และการส่ือสารขอ โตแยงทางวทิ ยาศาสตร การจัดการเรียนการสอนท่ีเนนการสืบเสาะหาความรู ควรมีหลายรูปแบบ แตละรูปแบบมีความตอเนื่องกัน จากที่เนนครเู ปนสาํ คญั ไปจนถงึ เนนนกั เรยี นเปนสาํ คัญ โดยแบง ไดดงั นี้ • การสืบเสาะหาความรูแบบครูเปนผูกําหนดแนวทาง (Structured Inquiry) ครูเปนผูต้ังคําถามและบอก วิธีการใหน ักเรยี นคน หาคําตอบ ครูชแ้ี นะนักเรยี นทกุ ขัน้ ตอนโดยใชก ระบวนการทางวิทยาศาสตร • การสืบเสาะหาความรูแบบทั้งครูและนักเรียนเปนผูกําหนดแนวทาง (Guided Inquiry) ครูเปนผูตั้งคําถาม และจัดหาวัสดุอุปกรณท่ีใชในการสํารวจตรวจสอบใหกับนักเรียน นักเรียนจะเปนผูออกแบบการทดลอง ดวยตวั เอง  สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี

คมู ือครรู ายวิชาพนื้ ฐานวิทยาศาสตร ป.5 เลม 2 ป • การสืบเสาะหาความรูแบบนักเรียนเปนผูกําหนดแนวทาง (Open Inquiry) นักเรียนทํากิจกรรมตามที่ครู กาํ หนด นักเรียนพัฒนาวิธี ดําเนินการสํารวจ ตรวจสอบจากคําถามท่ีครูต้ังขึ้น นักเรียนตั้งคําถามในหัวขอท่ี ครูเลอื ก พรอ มทั้งออกแบบการสํารวจตรวจสอบดวยตนเอง การสบื เสาะหาความรูทางวิทยาศาสตรในหองเรยี น เราสามารถจัดการเรียนรูวิทยาศาสตรในหองเรียนโดยจัดโอกาสใหนักเรียนไดสืบเสาะหาความรูทาง วิทยาศาสตรตามที่หลักสูตรกําหนด ดวยกระบวนการแบบเดียวกันกับท่ีนักวิทยาศาสตรสืบเสาะ แตอาจมี รูปแบบทห่ี ลากหลายตามบรบิ ทและความพรอ มของครูและนกั เรยี น เชน การสืบเสาะหาความรูแบบปลายเปด (Opened Inquiry) ที่นักเรียนเปนผูควบคุมการสืบเสาะหาความรูของตนเองตั้งแตการสรางประเด็นคําถาม การสํารวจตรวจสอบ (Investigation) และอธิบายสง่ิ ทศี่ ึกษาโดยใชขอ มูล (Data) หรือหลักฐาน (Evidence) ท่ี ไดจากการสํารวจตรวจสอบ การประเมินและเช่ือมโยงความรูที่เก่ียวของหรือคําอธิบายอ่ืนเพื่อปรับปรุง คําอธิบายของตนและนําเสนอตอผูอ่ืน นอกจากน้ี ครูอาจใชการสืบเสาะหาความรูท่ีตนเองเปนผูกําหนด แนวทางในการทํากิจกรรม (Structured Inquiry) โดยครสู ามารถแนะนํานักเรียนไดต ามความเหมาะสม การจัดการเรียนรูแบบสืบเสาะหาความรูทางวิทยาศาสตร ครูสามารถออกแบบการสอนใหมีลักษณะ สําคัญของการสบื เสาะ ดงั นี้ ภาพ วฏั จกั รการสืบเสาะหาความรทู างวทิ ยาศาสตรในหอ งเรยี น สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 

ผ คมู ือครูรายวิชาพนื้ ฐานวิทยาศาสตร ป.5 เลม 2 การจัดการเรียนการสอนท่ีสอดคลอ งกับธรรมชาตขิ องวิทยาศาสตร และกระบวนการทางวิทยาศาสตร ธรรมชาติของวิทยาศาสตร เปนลักษณะเฉพาะตัวของวิทยาศาสตรท่ีมีความแตกตางจากศาสตรอ่ืน ๆ เปนคานิยม ขอสรุป แนวคิด หรือคําอธิบายที่บอกวา วิทยาศาสตรคืออะไร มีการทํางานอยางไร นักวิทยาศาสตรคือใคร ทํางานอยางไร และงานดานวิทยาศาสตรมีความสัมพันธอยางไรกับสังคม คานิยม ขอ สรปุ แนวคิด หรอื คาํ อธบิ ายเหลาน้จี ะผสมกลมกลนื อยูในตัววิทยาศาสตร ความรูทางวิทยาศาสตร และการ พัฒนาความรูทางวิทยาศาสตร สําหรับนักเรียนในระดับประถมศึกษาตอนตน ความเขาใจเกี่ยวกับธรรมชาติ ของวิทยาศาสตรและกระบวนการทางวิทยาศาสตรขึ้นอยูกับระดับพัฒนาการทางสติปญญาของนักเรียนและ ประสบการณท่ีครูจดั ใหแ กนกั เรยี น ความสามารถในการสังเกตและการส่ือความหมายของนักเรียนในระดับนี้ คอย ๆ พัฒนาขึ้น ครูควรอํานวยความสะดวกในการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรและแนวคิด ทางวิทยาศาสตรของนักเรียน นักเรียนในระดับน้ีเริ่มที่จะเขาใจวาวิทยาศาสตรคืออะไร วิทยาศาสตรทํางาน อยางไร และนักวิทยาศาสตรทํางานกันอยางไรโดยผานการทํากิจกรรมในหองเรียน จากเรื่องราวเก่ียวกับ นักวิทยาศาสตร และจากการอภิปรายในหอ งเรยี น นักเรียนในระดับประถมศึกษาตอนปลายซึ่งกําลังพัฒนาฐานความรูโดยใชการสังเกตมากข้ึน สามารถ นาํ ความรูมาใชเพื่อกอใหเกิดความคาดหวังเกยี่ วกบั สิ่งตา ง ๆ รอบตัว โอกาสการเรียนรูสําหรับนักเรียนในระดับนี้ ควรเนนไปที่ทักษะการต้ังคําถามเชิงวิทยาศาสตร การสรางคําอธิบายท่ีมีเหตุผลโดยอาศัยพยานหลักฐานที่ ปรากฏ และการสือ่ ความหมายเก่ยี วกบั ความคดิ และการสํารวจตรวจสอบของตนเองและของนักเรียนคนอื่นๆ นอกจากนี้เรื่องราวทางประวัติศาสตรสามารถเพิ่มความตระหนักถึงความหลากหลายของคนในชุมชน วิทยาศาสตร นักเรียนในระดับน้ีควรมีสวนรวมในกิจกรรมท่ีชวยใหเขาคิดอยางมีวิจารณญาณเก่ียวกับ พยานหลักฐานและความสมั พันธระหวางพยานหลักฐานกับการอธิบาย การเรยี นรวู ิทยาศาสตรของนักเรยี นแตล ะระดับช้ันมพี ฒั นาการเปนลาํ ดบั ดงั น้ี ชน้ั ประถมศึกษาปท ี่ 1 สามารถ ช้นั ประถมศึกษาปท ี่ 2 สามารถ • ตงั้ คําถาม บรรยายคาํ ถาม เขียนเก่ียวกบั • ออกแบบและดําเนนิ การสาํ รวจตรวจสอบ คาํ ถาม เพื่อตอบคําถามที่ไดต ั้งไว • บันทกึ ขอมลู จากประสบการณ สาํ รวจ • สอ่ื ความหมายความคิดของเขาจากสิ่งท่ี ตรวจสอบชนั้ เรียน สงั เกต • อภปิ รายแลกเปล่ียนหลักฐานและความคิด • อา นและการอภิปรายเรอ่ื งราวตา ง ๆ • เรยี นรวู าทุกคนสามาเรียนรูวิทยาศาสตรไ ด เกีย่ วกบั วิทยาศาสตร  สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คูมือครูรายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร ป.5 เลม 2 ฝ ช้นั ประถมศึกษาปท ี่ 3 สามารถ ชนั้ ประถมศกึ ษาปที่ 4 สามารถ • ตั้งคาํ ถามทส่ี ามารถตอบไดโดยการใช • ทําการทดลองอยางงาย ๆ • ใหเหตผุ ลเกย่ี วกับการสงั เกต การสอ่ื ฐานความรูท างวิทยาศาสตรและการสังเกต • ทาํ งานในกลมุ แบบรว มมือเพื่อสาํ รวจ ความหมาย • ลงมือปฏิบัตกิ ารทดลองและการอภิปราย ตรวจสอบ • คนหาแหลง ขอมูลท่เี ช่ือถือไดและ • คนหาขอ มูลและการส่อื ความหมายคาํ ตอบ • สรา งคําบรรยายและคาํ อธบิ ายจากส่ิงท่ี บรู ณาการขอมลู เหลาน้ันกบั การสังเกต ของตนเอง สงั เกต • ศกึ ษาประวตั ิการทํางานของ • นาํ เสนอประวัติการทาํ งานของ นักวทิ ยาศาสตร นักวทิ ยาศาสตร ชัน้ ประถมศกึ ษาปที่ 6 สามารถ • สาํ รวจตรอบสอบที่เนนการใชทกั ษะทาง ช้ันประถมศึกษาปท ่ี 5 สามารถ • สํารวจตรอบสอบ วทิ ยาศาสตร • ตง้ั คําถามทางวทิ ยาศาสตร • ตีความหมายขอมลู และคิดอยางมี • รวบรวมขอ มูลทเ่ี ก่ยี วขอ ง การมองหา แบบแผนของขอมูล การสื่อความหมาย วิจารณญาณโดยมหี ลักฐานสนับสนนุ และการแลกเปล่ยี นเรียนรู คําอธบิ าย • เขา ใจธรรมชาตวิ ทิ ยาศาสตรจ ากประวตั ิการ • เขา ใจความแตกตางระหวา ง ทํางานของนักวิทยาศาสตรท ่ีมคี วามมานะ วิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี อตุ สาหะ • เขาใจการทํางานทางวิทยาศาสตรผาน ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร ข อ ง นั ก วิ ท ย า ศ า ส ต ร ทุกเพศท่มี หี ลายเช้ือชาติ วฒั นธรรม สามารถอานขอมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนที่เนนการสืบเสาะหาความรูทาง วิทยาศาสตรและการจัดการเรียนรทู ี่สอดคลองกับธรรมชาติของวิทยาศาสตรและกระบวนการทางวิทยาศาสตร จากคมู ือการใชหลักสูตร http://ipst.me/8922 สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี 

พ คมู ือครูรายวิชาพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร ป.5 เลม 2 การวดั ผลและประเมนิ ผลการเรียนรูวทิ ยาศาสตร แนวคดิ สําคญั ของการปฏิรูปการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแหงชาติ พุทธศักราช 2542 และ ท่ีแกไขเพ่ิมเติม (ฉบับท่ี 2) พุทธศักราช 2545 ที่เนนนักเรียนเปนสําคัญ คือ การจัดกิจกรรมการเรียนรูที่เปด โอกาสใหนักเรียนคิดและลงมือปฏิบัติดวยกระบวนการที่หลากหลาย เพื่อใหเกิดการเรียนรูและพัฒนาตนเอง เต็มตามศักยภาพ การวัดและประเมินผลจึงมีความสําคัญและจําเปนอยางยิ่งตอการจัดกิจกรรมการเรียนรูใน หองเรยี น เพราะสามารถทําใหค รูประเมนิ ระดับพัฒนาการการเรยี นรขู องนักเรียนได กิจกรรมการเรียนรูของนักเรียนมีหลากหลาย เชน กิจกรรมสํารวจภาคสนาม กิจกรรมการสํารวจ ตรวจสอบ การทดลอง กิจกรรมศึกษาคน ควา กิจกรรมศึกษาปญ หาพิเศษ หรือโครงงานวิทยาศาสตร อยางไรก็ ตามในการทํากิจกรรมเหลานี้ตองคํานึงวานักเรียนแตละคนมีศักยภาพแตกตางกัน นักเรียนจึงอาจทํางาน ชนิ้ เดยี วกันไดส าํ เร็จในเวลาที่แตกตา งกนั และผลงานท่ีไดก อ็ าจแตกตางกนั ดวย เมื่อนักเรียนทํากิจกรรมเหลานี้ แลวก็ตองเก็บรวบรวมผลงาน เชน รายงาน ช้ินงาน บันทึก และรวมถึงทักษะปฏิบัติตาง ๆ เจตคติทาง วิทยาศาสตร เจตคติตอวิทยาศาสตร ความรัก ความซาบซึ้ง กิจกรรมที่นักเรียนไดทําและผลงานเหลานี้ตองใช วิธีประเมินที่มีความเหมาะสมและแตกตางกันเพื่อชวยใหสามารถประเมินความรูความสามารถและความรูสึก นึกคดิ ท่ีแทจ ริงของนกั เรยี นได การวัดผลและประเมินผลจะมีประสิทธิภาพก็ตอเม่ือมีการประเมินหลายๆ ดาน หลากหลายวธิ ี ในสถานการณต าง ๆ ทส่ี อดคลอ งกบั ชีวิตจริง และตองประเมินอยางตอเน่ือง เพื่อจะไดขอมูลท่ี มากพอท่ีจะสะทอนความสามารถทแ่ี ทจ ริงของนกั เรียนได จดุ มุงหมายหลกั ของการวดั ผลและประเมนิ ผล 1. เพ่ือคนหาและวินิจฉัยวานักเรียนมีความรูความเขาใจเนื้อหาวิทยาศาสตร มีทักษะความชํานาญใน การสํารวจตรวจสอบทางวิทยาศาสตร รวมถึงมีเจตคติทางวิทยาศาสตรอยางไรและในระดับใด เพ่ือเปน แนวทางใหค รสู ามารถวางแผนการจัดการเรียนการสอนไดอยางเหมาะสมเพื่อพัฒนาการเรียนรูของนักเรียนได อยา งเต็มศกั ยภาพ 2. เพือ่ ใชเปนขอมูลยอนกลับสําหรับนักเรียนวามกี ารเรยี นรอู ยางไร 3. เพ่ือใชเปนขอมูลในการสรุปผลการเรียน และเปรียบเทียบระดับพัฒนาการดานการเรียนรูของนักเรียน แตล ะคน การประเมินการเรียนรูของนักเรียน มี 3 แบบ คือ การประเมินเพื่อคนหาและวินิจฉัย การประเมิน เพอื่ ปรบั ปรุงการเรยี นการสอน และการประเมนิ เพอื่ ตัดสินผลการเรยี นการสอน การประเมินเพื่อคนหาและวินิจฉัย เปนการประเมินเพื่อบงชี้กอนการเรียนการสอนวา นักเรียนมี พื้นฐานความรู ประสบการณ ทักษะ เจตคติ และแนวคิดที่คลาดเคล่ือนอะไรบาง การประเมินแบบนี้สามารถ บงชไ้ี ดวา นกั เรยี นคนใดตองการความชวยเหลอื เปนพเิ ศษในเร่ืองท่ีขาดหายไป หรือเปนการประเมินเพื่อพัฒนา ทักษะที่จําเปนกอนท่ีจะเรียนเร่ืองตอไป การประเมินแบบน้ียังชวยบงช้ีทักษะหรือแนวคิดที่มีอยูแลวของ นักเรียนอีกดวย การประเมินเพ่ือปรับปรุงการเรียนการสอน เปนการประเมินในระหวางชวงท่ีมีการเรียนการสอน  สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คูมือครรู ายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตร ป.5 เลม 2 ฟ การประเมินแบบนจี้ ะชวยบงช้ีระดับทีน่ ักเรียนกําลงั เรียนอยใู นเรื่องทไี่ ดส อนไปแลว หรอื บง ช้ีความรูของนกั เรยี นตาม จุดประสงคการเรียนรูท่ีไดวางแผนไว เปนการประเมินที่ใหขอมูลยอนกลับกับนักเรียนและกับครูวาเปนไปตาม แผนการที่วางไวหรือไม ขอมลู ท่ีไดจากการประเมินแบบนีไ้ มใ ชเพอ่ื เปาประสงคใ นการใหร ะดับคะแนน แตเพ่อื ชวยครู ในการปรบั ปรุงการสอน และเพือ่ วางแผนประสบการณต า งๆ ทจ่ี ะใหกับนักเรยี นตอไป การประเมินเพ่ือตัดสินผลการเรียนการสอน เกิดข้ึนเม่ือส้ินสุดการเรียนการสอนแลว สวนมากเปน “การสอบ” เพ่ือใหระดับคะแนนแกนักเรียน หรือเพื่อใหตําแหนงความสามารถของนักเรียน หรือเพื่อเปนการบงชี้ ความกาวหนาในการเรียน การประเมินแบบนี้ถือวามีความสําคัญในความคิดของผูปกครองนักเรียน ครู ผูบริหาร อาจารยแ นะแนว ฯลฯ แตก็ไมใชเปนการประเมินภาพรวมท้ังหมดของความสามารถของนักเรียน ครูตองระมัดระวัง เม่อื ประเมินผลรวมเพือ่ ตดั สนิ ผลการเรยี นของนกั เรียน ทง้ั น้เี พ่อื ใหเ กิดความสมดลุ ความยุตธิ รรม และเกดิ ความตรง การตัดสินผลการเรียนของนักเรียนมักจะมีการเปรียบเทียบกับสิ่งอางอิง สวนมากการประเมินมักจะ อางอิงกลุม (norm reference) คือเปนการเปรียบเทียบความสามารถของนักเรียนโดยเปรียบเทียบกับกลุมหรือ คะแนนของนักเรียนคนอ่ืนๆ การประเมินแบบกลุมน้ีจะมี “ผูชนะ” และ “ผูแพ” อยางไรก็ตามการประเมินแบบ อิงกลุมนี้จะมีนักเรียนคร่ึงหน่ึงท่ีอยูต่ํากวาระดับคะแนนเฉลี่ยของกลุม นอกจากน้ียังมีการประเมินแบบอิงเกณฑ (criterion reference) ซ่ึงเปนการเปรียบเทียบความสามารถของนักเรียนกับเกณฑท่ีตั้งเอาไวโดยไมคํานึงถึง คะแนนของนักเรียนคนอ่ืนๆ ฉะน้ันจุดมุงหมายในการเรียนการสอนจะตองชัดเจนและมีเกณฑท่ีบอกใหทราบวา ความสามารถระดับใดจึงจะเรียกวาบรรลุถึงระดับ “รอบรู” โดยที่นักเรียนแตละคน หรือช้ันเรียนแตละช้ัน หรือ โรงเรียนแตละโรงจะไดรับการตัดสินวาประสบผลสําเร็จก็ตอเมื่อ นักเรียนแตละคน หรือชั้นเรียนแตละช้ัน หรือ โรงเรียนแตละโรงไดสาธิตผลสําเร็จ หรือสาธิตความรอบรูตามจุดประสงคการเรียนรูหรือตามเกณฑท่ีตั้งไว ขอมูล ที่ใชสําหรับการประเมินเพ่ือวินิจฉัย หรือเพื่อปรับปรุงการเรียนการสอน หรือเพื่อตัดสินผลการเรียนการสอน สามารถใชการประเมินแบบอิงกลุมหรืออิงเกณฑ เทาท่ีผานมาการประเมินเพื่อตัดสินผลการเรียนการสอนจะใช การประเมนิ แบบอิงกลมุ แนวทางการวดั ผลและประเมินผลการเรยี นรู การเรยี นรจู ะบรรลุตามเปาหมายของการจัดกิจกรรมการเรียนรทู ีว่ างไว ควรมีแนวทางดังตอไปนี้ 1. วัดและประเมินผลทั้งความรูความคิด ความสามารถ ทักษะกระบวนการ เจตคติ คุณธรรม จริยธรรม คานิยมดา นวิทยาศาสตร รวมท้งั โอกาสในการเรียนรขู องนกั เรยี น 2. วิธีการวดั และประเมนิ ผลตองสอดคลองกบั มาตรฐานการเรียนรูท ี่กาํ หนดไว 3. เกบ็ ขอมลู จากการวัดและประเมินผลอยา งตรงไปตรงมา และตอ งประเมินผลภายใตข อมูลทีม่ ีอยู 4. ผลของการวัดและประเมินผลการเรียนรูของนักเรียนตองนําไปสูการแปลผลและลงขอสรุปที่ สมเหตุสมผล 5. การวดั และประเมนิ ผลตองมคี วามเทย่ี งตรงและเปน ธรรม ท้งั ในดานของวิธีการวัดและโอกาสของการประเมนิ สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 

ภ คูมอื ครูรายวิชาพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร ป.5 เลม 2 วิธกี ารและแหลงขอ มลู ท่ีใชใ นการวดั ผลและประเมินผล เพือ่ ใหก ารวดั ผลและประเมินผลไดส ะทอนความสามารถท่ีแทจรงิ ของนักเรียน ผลการประเมนิ อาจ ไดม าจากแหลง ขอมลู และวธิ กี ารตา งๆ ดงั ตอไปนี้ 1. สังเกตการแสดงออกเปนรายบคุ คลหรอื รายกลุม 2. ช้นิ งาน ผลงาน รายงาน 3. การสัมภาษณท ้ังแบบเปน ทางการและไมเปนทางการ 4. บนั ทกึ ของนกั เรยี น 5. การประชมุ ปรึกษาหารือรวมกันระหวางนักเรียนและครู 6. การวดั และประเมินผลภาคปฏิบตั ิ 7. การวัดและประเมินผลดา นความสามารถ 8. การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรูโดยใชแ ฟม ผลงาน  สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คมู ือครูรายวิชาพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร ป.5 เลม 2 ม ตารางแสดงความสอดคลอ งระหวา งเนอ้ื หาและกจิ กรรม ระดับชน้ั ประถมศกึ ษาปที่ 5 เลม 2 กบั ตัวช้ีวัด กลมุ สาระการเรยี นรูว ิทยาศาสตร (ฉบับปรับปรงุ พทุ ธศกั ราช 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551 หนว ยการ ช่ือกจิ กรรม เวลา ตัวช้วี ดั เรียนรู (ชวั่ โมง) บทที่ 1 วัฏจักรนา้ํ หนวยท่ี 4 เร่อื งที่ 1 แหลง น้าํ 1 • เปรียบเทียบปริมาณนํ้าใน วัฏจักร 1 แ ต ล ะ แ ห ล ง แ ล ะ ร ะ บุ กิจกรรมที่ 1.1 น้าํ แตล ะแหลง บนโลกมี 2 ปริมาณนํ้าที่มนุษยสามารถ อยูเทาใด กิจกรรมท่ี 1.2 ทําอยางไรจงึ จะใชน ้าํ นํามาใชประโยชนได จาก อยา งประหยัดและอนรุ ักษแ หลงน้าํ ใน 1 ขอ มูลทร่ี วบรวมได ทองถน่ิ ได เรอื่ งท่ี 2 เมฆ หมอก นํ้าคาง และน้าํ คางแข็ง • ตระหนักถึงคุณคาของนํ้า กจิ กรรมที่ 2 เมฆ หมอก นาํ้ คาง และ โดยนําเสนอแนวทางการใช นาํ้ คา งแข็งเกิดขึน้ ไดอ ยางไร เรอ่ื งที่ 3 หยาดนํา้ ฟา 1 น้ําอยางประหยัดและการ กิจกรรมท่ี 3 ฝน หมิ ะ และลูกเหบ็ 2 อนุรักษน้ํา เกดิ ข้ึนไดอ ยางไร เร่ืองที่ 4 การหมนุ เวียนของนาํ้ 1 • เปรียบเทียบกระบวนการ กิจกรรมที่ 4 วัฏจกั รนาํ้ เปน อยา งไร 1 เกิดเมฆ หมอก นํ้าคาง และ กจิ กรรมทายบทท่ี 1 วฏั จักรนํ้า นํา้ คา งแข็ง จากแบบจาํ ลอง บทที่ 2 วฏั จักรการปรากฏของกลุมดาว 1 • เปรียบเทียบกระบวนการ เรอื่ งท่ี 1 ดาวเคราะหและดาวฤกษ 2 เกิดฝน หิมะ และลูกเห็บ 1 จากขอมลู ทีร่ วบรวมได กจิ กรรมที่ 1 มองเหน็ ดาวเคราะหแ ละ ดาวฤกษไดอยางไร • สรางแบบจําลองที่อธิบาย เรอ่ื งที่ 2 กลุมดาวบนทอ งฟา กิจกรรมที่ 2.1 เหตุใดจงึ เห็นกลมุ ดาว ก า ร ห มุ น เ วี ย น ข อ ง นํ้ า เปน รปู รางตาง ๆ กิจกรรมที่ 2.1 วัฏจักรการปรากฏของ ในวัฏจักรนาํ้ 0.5 • เปรียบเทียบความแตกตาง 0.5 ข อ ง ด า ว เ ค ร า ะ ห แ ล ะ 2 ดาวฤกษจากแบบจาํ ลอง • ใชแผนท่ีดาวระบุตําแหนง 1 และเสนทางการขึ้นและตก 1 ข อ ง ก ลุ ม ด า ว ฤ ก ษ บ น ทองฟา และอธิบายแบบรูป 2 สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 

ย คูม อื ครูรายวิชาพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร ป.5 เลม 2 หนวยการ ชือ่ กิจกรรม เวลา ตวั ชวี้ ัด เรียนรู (ชวั่ โมง) หนวยท่ี 5 กลุมดาวเปน อยางไร เสนทางการขึ้นและตกของ สิ่งมีชีวติ กิจกรรมทายบทท่ี 2 วัฏจกั รการปรากฏของกลมุ ดาว 1 กลุมดาวฤกษบนทองฟาใน รอบป บทที่ 1 ลักษณะทางพนั ธุกรรมของสิ่งมชี ีวิต 1 • อ ธิ บ า ย ลั ก ษ ณ ะ ท า ง เรอื่ งท่ี 1 การถายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรมของ 1 พันธุกรรมที่มีการถายทอด ส่ิงมีชีวติ จากพอแมสูลูกของพืช สัตว กิจกรรมท่ี 1.1 ลักษณะทางพันธุกรรม 2 และมนุษย ของพืชมีอะไรบา ง • แสดงความอยากรูอยาก 2 เห็นโดยการถามคําถาม กจิ กรรมท่ี 1.2 ลกั ษณะทางพันธกุ รรม เ ก่ี ย ว กั บ ลั ก ษ ณ ะ ที่ ของสัตวมีอะไรบาง 1 คลายคลึงกันของตนเองกับ กิจกรรมที่ 1.3 ลกั ษณะทางพันธุกรรม พอแม 1 ของคนในครอบครัวเปนอยา งไร กจิ กรรมทายบทที่ 1 ลักษณะทางพนั ธกุ รรมของ ส่ิงมีชีวติ บทที่ 2 สิ่งมชี ีวิตกบั ส่ิงแวดลอม 1 • บรรยายโครงสรางและ เรือ่ งท่ี 1 โครงสรางและลกั ษณะของส่ิงมีชีวิตใน 1 ลักษณะของส่ิงมีชีวิต ที่ แหลง ท่ีอยู เหมาะสมกับการดํารงชีวิต กจิ กรรมท่ี 1 โครงสรางและลักษณะของ 2 ซึ่ ง เ ป น ผ ล ม า จ า ก ก า ร ส่ิงมีชีวิตเหมาะสมกบั แหลง ท่ีอยูอ ยา งไร ป รั บ ตั ว ข อ ง ส่ิ ง มี ชี วิ ต ใ น เรอ่ื งที่ 2 ความสัมพนั ธร ะหวางส่งิ มีชีวิตกับ 1 แตล ะแหลงท่ีอยู ส่งิ มีชีวิต • อ ธิ บ า ย ค ว า ม สั ม พั น ธ กิจกรรมที่ 2 ส่ิงมชี ีวติ สัมพนั ธกบั สง่ิ มีชวี ติ 1 ร ะ ห ว า ง สิ่ ง มี ชี วิ ต กั บ อยางไร สิ่งมีชีวิต และความสัมพันธ เรื่องที่ 3 ความสมั พนั ธระหวางสิง่ มีชีวติ กับ 1 ร ะ ห ว า ง ส่ิ ง มี ชี วิ ต กั บ ส่งิ ไมม ีชีวิต ส่ิงไมมีชีวิตเพ่ือประโยชน กิจกรรมท่ี 3 สงิ่ มีชีวติ สมั พนั ธกบั 2 ตอ การดาํ รงชวี ติ สง่ิ ไมม ีชีวติ ในแหลงท่ีอยูอยา งไร กจิ กรรมทายบทที่ 2 สงิ่ มชี ีวติ กับส่ิงแวดลอ ม 1 • เขียนโซอาหารและระบุ บทบาทหนาที่ของส่ิงมีชีวิต ท่ีเปนผูผลิตและผูบริโภคใน โซอ าหาร  สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

คูมอื ครรู ายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร ป.5 เลม 2 ร หนวยการ ชอ่ื กิจกรรม เวลา ตัวช้ีวดั เรียนรู รวมจํานวนช่ัวโมง (ช่วั โมง) • ต ร ะ ห นั ก ใ น คุ ณ ค า ข อ ง ส่ิ ง แ ว ด ล อ ม ท่ี มี ต อ ก า ร ดํารงชีวิตของสิ่งมีชีวิต โดย มีสวนรวมในการดูแลรักษา สิง่ แวดลอ ม 40 หมายเหตุ: กจิ กรรม เวลาทใ่ี ช และสิง่ ที่ตองเตรยี มลว งหนา นั้น ครูสามารถปรับเปลีย่ นเพิ่มเตมิ ไดตามความ เหมาะสมของสภาพทองถ่ิน สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 

ล คูมอื ครรู ายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตร ป.5 เลม 2 รายการวสั ดุอปุ กรณวทิ ยาศาสตร ป.5 เลม 2 ลาํ ดบั ท่ี รายการ จาํ นวน/กลมุ จํานวน/หอ ง จํานวน/คน หนวยท่ี 4 วฏั จกั ร 1 บีกเกอรข นาด 500 ลูกบาศกเ ซนติเมตร 1 ใบ 1 อนั 2 หลอดฉดี ยาขนาด 10 ลูกบาศกเซนติเมตร 1 คัน 20 ลติ ร 3 ชอ น 22 ขวด 4 น้าํ 1 อัน 1 ใบ 5 ขวดพลาสตกิ ขนาด 1,000 ลกู บาศกเ ซนติเมตร 1 อนั 1 ใบ 6 ใบเสรจ็ คาน้ํากอนทํากจิ กรรม 1 คนั 1 ฉบบั 1 แกว 1 ฉบับ 7 ใบเสรจ็ คานํ้าหลังทาํ กิจกรรม 1 ดอก 8 คตั เตอร 1 ขวด 9 กระปองทราย 2 แผน 1 กลอง 10 แทง แกว คน 1 กระบอก 11 แกวพลาสติกใส 12 ชอ นพลาสตกิ 13 น้าํ สีผสมอาหาร 14 กระติกนํา้ รอน 1 ใบ 1 กโิ ลกรมั 15 นาํ้ แขง็ 1 ถุง 16 เกลือแกง 1 กลกั 17 ธปู 1 มวน 9 ลกู 18 ไมข ีดไฟ 1 อนั 19 ขวดพลาสติก ขนาด 1,500-2,000 ลกู บาศกเ ซนตเิ มตร 20 กระดาษปรฟู 21 สีเมจิก 22 เทปใส 23 ลกู เตา วัฏจักรน้าํ 24 อุปกรณใหสญั ญาน เชน นกหวดี 25 ไฟฉายขนาดใหญ  สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี

คมู อื ครูรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร ป.5 เลม 2 ว ลําดับท่ี รายการ จาํ นวน/กลุม จาํ นวน/หอง จํานวน/คน 1 กระบอก 26 ไฟฉายขนาดเล็ก 1 กลอ ง 1 ลกู 27 กลองกระดาษทึบพรอ มฝาปด 1 อนั 1 รปู 28 วัตถุทรงกลมขนาดเล็ก 5 ชุด 1 อัน 29 แวน กันแดด 1 เรือน 1 แผน 30 รูปกลุม ดาวของนกั ดาราศาสตร 1 วง 31 แผนทด่ี าว 32 เข็มทิศ 33 นาฬกิ า 34 กระดาษแกวสแี ดง 35 ยางรัดของ หนวยท่ี 5 สงิ่ มีชวี ิต 1 บัตรภาพตนพืชรนุ ลูก 1 ชดุ 1 ชุด 2 บัตรภาพตน พชื รุนพอแม 1 ชุด 1 กลอง 3 บัตรภาพครอบครัวของสัตว 1 เร่ือง 4 สไี ม 5 วีดทิ ัศน สารคดเี กี่ยวกับสิง่ มชี ีวติ ตาง ๆ ในแหลงที่อยู สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี 

1 คมู่ ือครูรายวิชาพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 2 | หน่วยที่ 4 วัฏจักร หน่วยท่ี 4 วัฏจกั ร ภาพรวมการจดั การเรยี นรูป้ ระจำหน่วยที่ 4 วฏั จักร บท เร่อื ง กจิ กรรม ลำดบั การจดั การเรียนรู้ ตวั ชว้ี ัด บทที่ 1 วัฏจกั รน้ำ เรื่องท่ี 1 แหลง่ น้ำ กจิ กรรมท่ี 1.1 น้ำแต่ • โลกปกคลมุ ไปดว้ ยนำ้ จดื และนำ้ เคม็ ซึ่ง ว.3.2 ละแหล่งบนโลกมีอยู่ อยู่ในแหลง่ น้ำตา่ ง ๆ เทา่ ใด ป.5/1 เปรียบเทยี บปรมิ าณ • นำ้ เคม็ และนำ้ จดื มปี ริมาณร้อยละ น้ำในแต่ละแหล่ง และระบุ กิจกรรมท่ี 1.2 ทำ 97.5 และ 2.5 ตามลำดบั ปริมาณนำ้ ทมี่ นุษยส์ ามารถ อย่างไรจึงจะใชน้ ำ้ นำมาใชป้ ระโยชนไ์ ด้ จาก อย่างประหยดั และ • ปรมิ าณน้ำจดื เรยี งลำดับจากมากไป ข้อมลู ท่ีรวบรวมได้ อนุรักษ์แหลง่ น้ำใน นอ้ ยไดด้ ังน้ี ธารน้ำแข็งและพืดนำ้ แขง็ ทอ้ งถิ่นได้ นำ้ ใตด้ นิ ช้ันดนิ เยือกแขง็ คงตัวและ ป.5/2 ตระหนักถึงคณุ คา่ ของ นำ้ แข็งใตด้ ิน ทะเลสาบ ความชื้นในดนิ น้ำโดยนำเสนอแนวทางการ ความชน้ื ในบรรยากาศ บงึ แม่น้ำ และ ใช้น้ำอย่างประหยัดและการ นำ้ ในสงิ่ มชี วี ิต อนุรักษ์นำ้ • นำ้ จดื ที่มนษุ ยน์ ำมาใชไ้ ดม้ ปี ริมาณนอ้ ย มาก จงึ ควรใช้น้ำอย่างประหยดั และ ร่วมกนั อนรุ ักษน์ ้ำเพอ่ื ให้มีนำ้ ไวอ้ ปุ โภค บริโภคตอ่ ไป • แหล่งน้ำในธรรมชาติ สามารถจำแนกได้ เปน็ 2 ประเภท คอื แหล่งนำ้ ผิวดนิ และแหลง่ น้ำใต้ดิน • แหล่งนำ้ ผวิ ดิน เช่น ทะเล มหาสมทุ ร บึง แม่น้ำ • แหลง่ น้ำใตด้ นิ ไดแ้ ก่ นำ้ ในดิน และน้ำ บาดาล • ไอน้ำในอากาศจะควบแน่นเปน็ ละอองนำ้ เล็ก ๆ โดยมลี ะอองลอย เชน่ ฝุ่นละออง หรืออนุภาคอนื่ ๆ เป็นอนภุ าค แกนกลาง เมอ่ื ละอองนำ้ จำนวนมาก เกาะกลมุ่ รวมกันลอยอยู่ในทอ้ งฟ้า เรียกว่า เมฆ แตล่ ะอองน้ำท่ีเกาะกลุ่ม รวมกันอยใู่ กลพ้ นื้ โลก เรยี กว่า หมอก

คมู่ ือครูรายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 2 | หนว่ ยท่ี 4 วัฏจกั ร 2 บท เร่อื ง กิจกรรม ลำดบั การจัดการเรียนรู้ ตวั ชี้วัด เรือ่ งที่ 2 เมฆ หมอก กิจกรรมท่ี 2 เมฆ ป.5/4 เปรยี บเทยี บ นำ้ ค้าง และนำ้ ค้าง หมอก นำ้ ค้าง และ • ไอน้ำท่ีควบแนน่ เป็นละอองนำ้ เกาะอยู่ กระบวนการเกิดเมฆ หมอก แข็ง น้ำค้างแขง็ เกดิ ขนึ้ ได้ บนพ้นื ผิววตั ถใุ กล้พนื้ โลก เรียกวา่ น้ำคา้ ง และน้ำคา้ งแข็ง จาก อยา่ งไร น้ำค้าง ถ้าอณุ หภูมิใกล้พน้ื โลกต่ำกวา่ แบบจำลอง เรอ่ื งท่ี 3 หยาดน้ำฟ้า จดุ เยือกแข็ง น้ำค้างจะกลายเป็น กิจกรรมที่ 3 ฝน หิมะ น้ำค้างแข็ง ป. 5/5 เปรียบเทยี บ ลกู เห็บ เกดิ ข้นึ ได้ กระบวนการเกิดฝน หมิ ะ อย่างไร • ฝนเกดิ จากละอองนำ้ ในเมฆทีร่ วมตวั กัน และลกู เห็บ จากขอ้ มลู ท่ี จนอากาศไมส่ ามารถพยุงไวไ้ ด้จึงตกลง รวบรวมได้ มา • หิมะเกดิ จากไอนำ้ ในอากาศระเหดิ กลับ เป็นผลกึ นำ้ แข็ง รวมตวั กันจนมนี ำ้ หนัก มากขน้ึ จนเกนิ กวา่ อากาศจะพยงุ ไวจ้ งึ ตกลงมา • ลูกเหบ็ เกดิ จากหยดนำ้ ทีเ่ ปลีย่ นสถานะ เป็นนำ้ แข็งแล้วถกู พายุพดั วนซ้ำไปซ้ำมา ในเมฆฝนฟา้ คะนองทม่ี ีขนาดใหญแ่ ละ อยใู่ นระดับสูงจนเปน็ กอ้ นนำ้ แข็งขนาด ใหญข่ นึ้ แล้วตกลงมา เรื่องท่ี 4 การ กจิ กรรมท่ี 4 วฏั จกั ร • ทั้งฝน หมิ ะ และลูกเหบ็ เปน็ หยาดน้ำ ป.5/3 สร้างแบบจำลองที่ หมนุ เวยี นน้ำ น้ำเปน็ อยา่ งไร ฟา้ ซง่ึ เป็นนำ้ ท่ีมสี ถานะตา่ ง ๆ ทต่ี กจาก อธิบายการหมนุ เวยี นของน้ำ ฟ้าถงึ พื้นโลก ในวฏั จักรนำ้ • วัฏจกั รน้ำ เป็นแบบรูปการหมนุ เวยี น อย่างต่อเนอื่ งของน้ำผวิ ดิน น้ำใตด้ นิ น้ำในบรรยากาศ และนำ้ จากกิจกรรม ต่าง ๆ ของส่ิงมีชีวติ • การเปลย่ี นทีอ่ ยขู่ องแหล่งน้ำจาก แหล่งนำ้ หนงึ่ ไปยังอกี แหลง่ หนงึ่ อาจมี การเปลยี่ นสถานะหรือไมเ่ ปลีย่ นสถานะ ก็ได้ การเปล่ยี นที่อยู่ของอนุภาคนำ้ จาก แหล่งนำ้ เดมิ ไปยงั แหล่งนำ้ ใหมไ่ มว่ ่าจะ เกิดขนึ้ ทีบ่ ริเวณใดในโลกจะมี กระบวนการเปลีย่ นแปลงทเี่ ปน็ แบบรปู คงท่ี สถาบันส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ⎯

ครรู ายวชิ าพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ ป.5 เลม่ 2 | หนว่ ยที่ 4 วัฏจกั ร 6 บท เรื่อง กิจกรรม ลำดับการจัดการเรียนรู้ ตัวช้วี ดั บทที่ 2 วัฏจักรการ เร่ืองที่ 1 ดาวเคราะห์ กิจกรรมท่ี 1 มองเห็น • ดาวฤกษ์เป็นแหล่งกำเนิดแสงจึง ว 3.1.1 เปรียบเทียบ ปรากฏของกล่มุ ดาว และดาวฤกษ์ ด า ว เค ร า ะ ห์ แ ล ะ ส า ม า ร ถ ม อ ง เห็ น ได้ ส่ ว น ความแตกต่างของ ดาวฤกษ์ได้อยา่ งไร ดาวเคราะห์ไม่ใช่แหล่งกำเนิดแสง ดาวเคราะห์ แต่สามารถมองเห็นได้เน่ืองจาก และดาวฤกษ์จาก แสงจากดวงอาทิตย์ตกกระทบ แบบจำลอง ดาวเคราะห์แลว้ สะทอ้ นเข้าสูต่ า เรื่องที่ 2 กลุ่มดาวบน กิจกรรมที่ 2.1 เหตุใด • การมองเห็ นกลุ่มดาวฤกษ์ มี ว. 3.1.2 ใช้แผนทดี่ าว ทอ้ งฟา้ จึงเห็น กลุ่มดาวเป็น รูปร่างต่าง ๆ เกิดจากจินตนาการ ระบตุ ำแหนง่ และ รูปร่างตา่ ง ๆ ของผูส้ งั เกต เสน้ ทางการข้ึนและ กิจกรรมที่ 2.2 วัฏจักร ตกของกล่มุ ดาวฤกษ์ ก า ร ป ร า ก ฏ ข อ ง • กลุ่มดาวฤกษ์ต่าง ๆ ท่ีปรากฏใน บนทอ้ งฟา้ และ กลุม่ ดาวเป็นอย่างไร ท้องฟ้าแต่ละกลุ่มมีดาวฤกษ์แต่ อธบิ ายแบบรปู ละดวงเรียงกันที่ตำแหน่งคงที่ เส้นทางการขน้ึ และ และมีเส้นทางการขึ้นและตก ตกของกลุ่มดาวฤกษ์ ตามเส้นทางเดิมทุกคืน ซ่ึงจะ บนท้องฟา้ ในรอบปี ปรากฏตำแหนง่ เดมิ • การสังเกตตำแหน่ง การขึ้นและ ตกของดาวฤกษ์ และกลุ่มดาวฤกษ์ สามารถทำได้โดยใช้แผนท่ีดาว ซ่ึงระบุมุมทิศและมุมเงยท่ีกลุ่ม ดาวน้ันปรากฏ ผู้สังเกตสามารถ ใช้มือในการประมาณค่าของมุม เงยเม่ือสังเกตดาวบนท้องฟา้

ค่มู ือครรู ายวิชาพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 2 | หน่วยที่ 4 วัฏจกั ร 4 สถาบันส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ⎯

5 คมู่ ือครรู ายวิชาพนื้ ฐานวิทยาศาสตร์ ป.5 เลม่ 2 | หนว่ ยที่ 4 วฏั จักร บทที่ 1 วัฏจักรน้ำ จดุ ประสงค์การเรยี นรูป้ ระจำบท บทนมี้ ีอะไร เมื่อเรียนจบบทน้ี นักเรียนสามารถ เรื่องที่ 1 แหลง่ นำ้ 1. เปรียบเทียบปริมาณน้ำในแต่ละแหล่งและระบุ กิจกรรมที่ 1.1 นำ้ แต่ละแหล่งบนโลกมอี ย่เู ท่าใด ปริมาณนำ้ ที่มนษุ ย์สามารถนำมาใช้ประโยชนไ์ ด้ กจิ กรรมที่ 1.2 ทำอย่างไรจึงจะใช้น้ำอย่างประหยัด 2. นำเสนอแนวทางการใช้น้ำอย่างประหยัดและ การอนรุ กั ษ์น้ำ และอนุรกั ษแ์ หลง่ นำ้ ในท้องถิน่ ได้ 3. เปรียบเทียบกระบวนการเกิดเมฆ หมอก น้ำค้าง เรอ่ื งท่ี 2 เมฆ หมอก น้ำคา้ ง และน้ำคา้ งแขง็ และน้ำคา้ งแข็ง กิจกรรมที่ 2 เมฆ หมอก น้ำค้าง และน้ำค้างแข็ง 4. เปรียบเทียบกระบวนการเกิดฝน หิมะ และ ลกู เห็บ เกิดขนึ้ ได้อยา่ งไร 5. สร้างแบบจำลองการหมุนเวียนของน้ำใน เรือ่ งท่ี 3 หยาดนำ้ ฟา้ วัฏจกั รน้ำ กิจกรรมที่ 3 ฝน หิมะ และลูกเหบ็ เกิดขน้ึ ไดอ้ ย่างไร เรอื่ งท่ี 4 การหมุนเวยี นของน้ำ เวลา 14 ชวั่ โมง กจิ กรรมที่ 4 วฏั จักรนำ้ เป็นอย่างไร แนวคิดสำคญั พ้ืนผิวโลกมีน้ำปกคลุมเป็นส่วนใหญ่ ซ่ึงเกือบท้ังหมด เป็นน้ำเค็ม ส่วนน้ำจืดที่นำมาใช้ได้มีปริมาณน้อยมาก เราจึงต้องใช้น้ำอย่างประหยัด น้ำจากแหล่งน้ำต่าง ๆ ท้ัง น้ำผิวดิน น้ำใต้ดิน น้ำในบรรยากาศ และน้ำในส่ิงมีชีวิต เกิดการหมุนเวียนระหว่างแหล่งต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง กระบวนการเกิดเมฆ หมอก น้ำค้าง น้ำค้างแข็ง ฝน หิมะ และลูกเห็บ เป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้เกิดการหมุนเวียน ของน้ำเปน็ วัฏจกั ร ส่อื การเรียนรแู้ ละแหลง่ เรียนรู้ 1. หนังสอื เรยี น ป.5 เล่ม 2 หนา้ 1 - 44 2. แบบบันทึกกจิ กรรม ป.5 เลม่ 2 หนา้ 1 - 33 ⎯ สถาบันส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ครรู ายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 2 | หนว่ ยท่ี 4 วฏั จักร 6 ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21 รหัส ทักษะ 1.1 กจิ กรรมท่ี 4  1.2 2 3 ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์    S1 การสังเกต  S2 การวดั   S3 การใชจ้ ำนวน   S4 การจำแนกประเภท    S5 การหาความสัมพนั ธร์ ะหวา่ ง     สเปซกับสเปซ    สเปซกับเวลา  S6 การจัดกระทำและส่อื ความหมายข้อมลู  S7 การพยากรณ์  S8 การลงความเหน็ จากข้อมลู S9 การตงั้ สมมติฐาน S10 การกำหนดนิยามเชิงปฏิบตั ิการ S11 การกำหนดและควบคุมตัวแปร S12 การทดลอง S13 การตคี วามหมายข้อมลู และลงขอ้ สรปุ S14 การสร้างแบบจำลอง ทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 C1 การสร้างสรรค์ C2 การคิดอย่างมีวจิ ารณญาณ C3 การแก้ปัญหา C4 การสื่อสาร C5 ความรว่ มมือ C6 การใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสือ่ สาร หมายเหต:ุ รหสั ทกั ษะที่ปรากฏน้ี ใช้เฉพาะหนงั สอื คูม่ ือครเู ลม่ นี้

7 ค่มู ือครรู ายวิชาพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์ ป.5 เลม่ 2 | หนว่ ยที่ 4 วฏั จกั ร แนวคดิ คลาดเคล่อื น แนวคิดคลาดเคล่ือนทอ่ี าจพบและแนวคดิ ทถี่ ูกต้องในบทท่ี 1 วฏั จกั รน้ำ มีดังต่อไปนี้ แนวคดิ คลาดเคลอ่ื น แนวคิดท่ถี ูกต้อง วัฏจักรนำ้ เกีย่ วขอ้ งกบั การแข็งตัวและการหลอมเหลว วัฏจกั รนำ้ เก่ียวขอ้ งกับการระเหยของนำ้ การควบแน่นของ ของนำ้ (Brody, 1993) ไอน้ำ และหยาดนำ้ ฟ้า (ฝน หิมะ ลกู เห็บ) (UCAR, 2011) น้ำระเหยจากทะเลสาบและมหาสมุทรเท่านนั้ การระเหยของน้ำผิวดิน นอกจากจะมีการระเหยจากทะเลสาบ (Henriques, 2000) และมหาสมุทรแล้ว นำ้ ยงั ระเหยจากแหล่งน้ำผิวดินอ่นื ๆ เช่น บงึ ลำธาร แมน่ ้ำ และยังระเหยจากพืช และสัตว์ได้ (USGS, เมฆเปน็ แกส๊ (Philips, 1991) 1967 and The Hydrologic Cycle (Pamphlet), USGS, 1984)) น้ำเม่ือกลายเปน็ ไอหรือเดอื ดจะหายไปตลอดกาล (Philips, เมฆประกอบดว้ ยน้ำทงั้ ที่เป็นสถานะของเหลวและของแข็ง 1991) (NARST, 2000) น้ำเมื่อกลายเปน็ ไอ ไอนำ้ จะควบแนน่ เปน็ ละอองน้ำตกลงมา กลายเป็นฝน และการหมนุ เวยี นของนำ้ ในธรรมชาติจะมีการ หมนุ เวยี นเป็นวฏั จักร (NARST, 2000) ถา้ ครูพบว่ามีแนวคดิ คลาดเคลื่อนใดทย่ี งั ไม่ได้แก้ไขจากการทำกิจกรรมการเรยี นรู้ ครูควรจัดการเรยี นรู้เพ่ิมเติมเพ่อื แก้ไข ตอ่ ไป ⎯ สถาบนั สง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

คู่มือครรู ายวิชาพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์ ป.5 เลม่ 2 | หนว่ ยที่ 4 วฏั จักร 8 บทนีเ้ ร่มิ ต้นอยา่ งไร (1 ชัว่ โมง) 1. ครูทบทวนความรู้พื้นฐานของนักเรียนเก่ียวกับวัฏจักร ซ่ึงเคยเรียน ใน ก าร ท บ ท ว น ค ว า ม รู้ ผ่านมาแล้วในช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 เร่ืองวัฏจักรชีวิตของพืชดอก พื้นฐาน ครูควรให้เวลานักเรียน และชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เร่ืองวัฏจักรชีวิตของสัตว์ โดยใช้คำถาม คดิ อย่างเหมาะสม รอคอยอย่าง ดังน้ี อดทน นักเรียนต้องตอบคำถาม 1.1 วัฏจักรคืออะไร และปรากฏการณ์ใดบา้ งท่ีเป็นวัฏจักร (วัฏจักร เหล่านี้ได้ถูกต้อง หากตอบไม่ได้ คือช่วงระยะเวลาของเหตุการณ์หรือกิจกรรมชุดหนึ่งซ่ึงเกิดขึ้น หรือลืม ครูต้องให้ความรู้ที่ และดําเนินติดต่อกันไปเป็นแบบรูปคงท่ีและหมุนเวียนกลับไปท่ี ถูกตอ้ งทนั ที จุดเริ่มต้นน้ันอีกต่อเน่ืองไปไม่มีส้ินสุด เช่น วัฏจักรชีวิต ของพชื ดอก วัฏจักรชวี ติ ของสตั ว์) 2. ครูชักชวนนักเรียนศกึ ษาเรื่องวฏั จักร โดยให้อ่านช่อื หน่วย และอ่าน คำถามสำคัญประจำหน่วยท่ี 4 คือ “วัฏจักรน้ำและวัฏจักร การปรากฏของกลุม่ ดาวเป็นอย่างไร และสำคญั กบั มนุษยอ์ ย่างไร” ครูให้นักเรียนตอบคำถาม โดยยังไม่ต้องเฉลยคำตอบ แต่จะให้ นักเรียนย้อนกลบั มาตอบอกี ครั้งหลังเรียนจบหน่วยนแ้ี ลว้ 3. ครูให้นักเรียนอ่านชื่อบท และจุดประสงค์การเรยี นรู้ประจำบท ใน หนงั สือเรียนหน้า 1 จากนั้นครใู ชค้ ำถามว่า 3.1 บทนี้จะได้เรยี นเรื่องอะไร (วฏั จกั รน้ำ) 3.2 จากจุดประสงค์การเรยี นรู้เมื่อเรียนจบบทนี้นักเรียนสามารถทำ อะไรได้บ้าง (จะสามารถเปรียบเทียบปริมาณน้ำในแต่ละแหล่ง แ ล ะ ร ะ บุ ป ริ ม า ณ น้ ำ ท่ี ม นุ ษ ย์ ส า ม า ร ถ น ำ ม า ใช้ ป ร ะ โ ย ช น์ ได้ นำเสนอแนวทางการใช้น้ำอย่างประหยัดและการอนุรักษ์น้ำ เปรยี บเทียบกระบวนการเกิดเมฆ หมอก น้ำคา้ ง และน้ำคา้ งแข็ง เปรียบเทียบกระบวนการเกิดฝน หิมะ และลูกเห็บ รวมท้ังสร้าง แบบจำลองการหมนุ เวยี นของน้ำในวฏั จกั รนำ้ ) 4. นักเรียนอ่านชื่อบทและแนวคิดสำคัญ ในหนังสือเรียนหน้า 2 จากน้นั ครูใช้คำถามว่า จากการอา่ นแนวคดิ สำคัญ นกั เรยี นคดิ ว่าจะ ได้เรียนเก่ียวกับเรื่องอะไรบ้าง (จะได้เรียนเกี่ยวกับปริมาณน้ำจืด น้ำเค็ม น้ำที่มนุษย์นำไปใช้ประโยชน์ การใช้น้ำอย่างประหยัด กระบวนการเกิดเมฆ หมอก น้ำค้าง น้ำค้างแข็ง ฝน หิมะ และ ลูกเห็บ และการหมนุ เวียนของน้ำเป็นวัฏจกั ร) สถาบันส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ⎯

9 คู่มอื ครูรายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์ ป.5 เลม่ 2 | หน่วยท่ี 4 วัฏจกั ร ครูชักชวนให้นักเรียนสังเกตรูป และแสดงความคิดเห็นว่าเป็นรูป อะไร เกี่ยวข้องกับเราอย่างไร จากน้ันให้อา่ นเนอ้ื เรื่องในหน้า 2 โดย ครูฝึกทักษะการอ่านตามวิธีการอ่านที่เหมาะสมกับความสามารถ ของนักเรียน ครูใช้คำถามเพ่ือตรวจสอบความเข้าใจจากการอ่าน โดยใช้คำถามว่า น้ำตกแห่งนี้ เป็นน้ำท่ีไดโนเสาร์เคยดื่มมาก่อน หรอื ไม่ เพราะเหตใุ ด (นกั เรยี นตอบตามความเข้าใจของตนเอง) 5. ครูชักชวนนักเรียนตอบคำถามเกี่ยวกับวัฏจักรน้ำในสำรวจความรู้ ถ้านักเรียนไม่สามารถตอบ ก่อนเรยี น คำถามหรืออภิปรายได้ตามแนว คำตอบ ครูควรให้เวลานักเรียน 6. นักเรียนทำสำรวจความรู้ก่อนเรียน ในแบบบันทึกกิจกรรม หน้า คิดอย่างเหมาะสม รอคอยอย่าง 2-3 โดยนักเรียนอ่านคำถามแต่ละข้อ ครูตรวจสอบความเข้าใจของ อดทน และรับฟังแนวความคิด นักเรียน จนแน่ใจว่านักเรียนสามารถทำได้ด้วยตนเอง จึงให้ ของนักเรยี น นักเรียนตอบคำถาม โดยคำตอบของแต่ละคนอาจแตกต่างกัน และ คำตอบอาจถกู หรอื ผิดก็ได้ 7. ครูสังเกตการตอบคำถามของนักเรียนเพื่อตรวจสอบว่านักเรียนมี การเตรยี มตวั ล่วงหนา้ สำหรับครู แนวคิดเกี่ยวกับวัฏจักรน้ำอย่างไร โดยอาจสุ่มให้นักเรียน 2-3 คน เพือ่ จดั การเรียนร้ใู นครงั้ ถัดไป นำเสนอคำตอบของตนเอง ครูยังไม่ต้องเฉลยคำตอบ แต่จะให้ นักเรียนย้อนกลับมาตรวจสอบอีกครั้งหลังเรียนจบบทนี้แล้ว ทั้งนี้ ในคร้ังถัดไป นักเรียนจะได้ ครูอาจบันทึกแนวคิดคลาดเคลื่อนหรือแนวคิดที่น่าสนใจของ เรยี นเร่ืองท่ี 1 แหล่งนำ้ ครูนำรปู นักเรียน แล้วนำมาใช้ในการออกแบบการจัดการเรียนการสอนเพื่อ แหลง่ น้ำตา่ ง ๆ ทใี่ กล้ตัวนักเรียน แก้ไขแนวคิดคลาดเคล่ือนให้ถูกต้อง และต่อยอดแนวคิดท่ีน่าสนใจ เชน่ มหาสมุทร ทะเล บงึ แม่น้ำ ของนักเรียน น้ำในดิน น้ำบาดาล ธารนำ้ แข็ง เพ่ือให้นกั เรียนสังเกตและจัดกลุ่ม แหลง่ นำ้ ในการตรวจสอบความรู้ ของนักเรยี น ⎯ สถาบันส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี