Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore โรคสัตว์น้ำ

โรคสัตว์น้ำ

Published by poo_supreeda, 2021-03-05 07:40:04

Description: โรคสัตว์น้ำ
กฤษณี วงศ์วุฒิวัฒน์

Search

Read the Text Version

หน่วยการเรียนรู้ท่ี 6 ปรสิตในสัตว์นา้ ปรสิ ต (parasites) เป็ นส่ิ งมีชีวิตท่ีก่อให้เกิดควำมสู ญเสี ย และกำรเจ็บป่ วยของสัตว์น้ ำ ได้อยำ่ งกวำ้ งขวำง ไม่วำ่ จะเป็ น ปลำ กุง้ หรือสัตวน์ ้ำชนิดอ่ืนๆ ปรสิต หมำยถึง ส่ิงมีชีวิตที่ใชช้ ีวิต ช่วงระยะเวลำใดเวลำหน่ึงของชีวิต หรือตลอดชีวิตอำศยั อยู่กับส่ิงมีชีวิตชนิดอื่น และสร้ำงควำม เดือดร้อนให้กับสิ่ งมีชีวิตน้ันๆ ควำมเดือดร้อนดังกล่ำว อำจเป็ นเพียงก่อให้เกิดควำมรำคำญ ไปจนกระทงั่ ถึงแก่ชีวิตก็ได้ นอกจำกน้ี ควำมหมำยของปรสิตยงั สำมำรถอธิบำยไดว้ ่ำเป็ นกำรอยู่ ร่วมกนั ของสิ่งมีชีวติ 2 ชนิด ซ่ึงชนิดหน่ึงจะเป็ นฝ่ ำยไดป้ ระโยชน์ และอีกชนิดหน่ึงจะเสียประโยชน์ ในกำรอยู่ร่วมกนั สิ่งมีชีวิตชนิดท่ีเสียประโยชน์ เป็ นท่ีรู้จกั กนั ในนำมของเจำ้ ของบำ้ น หรือ โฮสต์ (host) และส่ิงมีชีวิตชนิดท่ีไดป้ ระโยชน์ก็คือ ปรสิต (parasite) น่ันเอง ปรสิตมีขนำดต้งั แต่เล็กมำก ตอ้ งดูผำ่ นกลอ้ งจุลทรรศน์ ไปจนถึงขนำดใหญ่ที่สำมำรถมองเห็นไดด้ ว้ ยตำเปล่ำ เรำสำมำรถจำแนก ปรสิตตำมลักษณะกำรอยู่อำศัยกับโฮสต์ออกเป็ น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1) ปรสิตภำยนอก (external parasites) ซ่ึงเป็ นปรสิตที่อำศยั อยู่ท่ีบริเวณผิวตวั ภำยนอก รวมท้งั บริเวณเหงือกของโฮสต์ และ 2) ปรสิตภำยใน (internal parasites) เป็นปรสิตที่อำศยั อยภู่ ำยในตวั ของโฮสต์ โดยทั่วไปแล้ว ปรสิตจะถูกแบ่งออกเป็ น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ ส่ิงมีชีวิตเซลล์เดียว หรือ โปรโตซัว (protozoa) และกลุ่มสิ่งมีชีวิตท่ีมีหลำยเซลล์ หรือ เมตำซวั (metazoa) ซ่ึงมีอยู่หลำยไฟลมั ดว้ ยกนั 1. โปรโตซัว (Protozoa) โปรโตซัวเป็ นสัตวเ์ ซลล์เดียว อำจพบอยู่กนั เป็ นกลุ่มๆ เรียกว่ำโคโลนี (colony) หรืออำจอยู่ เป็ นเซลล์เด่ียวๆ (single cell) ก็ได้ โปรโตซวั ท่ีเป็ นปรสิตในสัตวน์ ้ำ จะมีขนำดเล็กมำก ตอ้ งใช้กลอ้ ง จุลทศั น์กำลงั ขยำยไม่ต่ำกว่ำ 40 เท่ำ จึงจะสำมำรถมองเห็นเซลล์ได้ สำมำรถพบไดท้ ้งั ที่เป็ นปรสิต ภำยนอกที่เกำะอยตู่ ำมลำตวั ครีบ เกล็ด เหงือก และพวกท่ีเป็ นปรสิตภำยใน ซ่ึงจะพบอยใู่ นทำงเดิน อำหำร และระบบหมุนเวยี นเลือด --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

93 1.1 โปรโตซัวที่พบในสัตว์น้า โปรโตซวั กลุ่มสำคญั ที่เป็ นปรสิตของสัตวน์ ้ำน้นั มีอยูม่ ำกมำย หลำยชนิด โดยสำมำรถแบง่ ออกเป็นกลุ่มใหญๆ่ ไดด้ งั น้ี 1.1.1 กลุ่มซีเลยี อาต้า (Ciliata) เป็ นโปรโตชัวที่มีซีเลีย (cilia) หรือขนส้ันๆ จำนวนมำก อำจมีอยูต่ ลอดช่วงชีวิตหรือใน ระยะวยั อ่อนเท่ำน้นั ซีเลียเป็ นโครงสร้ำงท่ีใช้สำหรับกำรเคล่ือนไหว พบไดท้ ้งั ในน้ำจืด น้ำเค็ม และ น้ำกร่อย โปรโตซัวในกลุ่มน้ี ที่เป็ นปรสิตภำยนอกของสัตว์น้ำมีอยู่หลำยชนิด ชนิดที่พบมำก และ ทำอนั ตรำยใหเ้ กิดควำมเสียหำยต่อสัตวน์ ้ำ ไดแ้ ก่ 1) Chilodonella cyprini พบเป็ นปรสิตเกำะตำมซี่เหงือก ผิวหนงั และครีบของปลำน้ำจืดทว่ั ๆ ไป เช่น ปลำไน ปลำจีน โดยเฉพำะลูกปลำ ขนำดเล็ก มกั พบกับปลำท่ีเล้ียงรวมกนั อย่ำงหนำแน่น และบ่อ อนุบำลลูกปลำตวั เซลลม์ ีรูปร่ำงคลำ้ ยรูปหวั ใจ ส่วนฐำนกวำ้ ง ตอนหนำ้ มีซิเลียเรียงเป็ นแถว ดำ้ นหลงั ไม่ มีขน ภำยในตวั มีนิวเคลียสขนำดใหญ่ รูปท่ี 6.1 รูปร่าง ลกั ษณะของ Chilodonella cyprini วงจรชีวติ สำมำรถแพร่ขยำยพนั ธุ์ไดร้ วดเร็ว โดยกำรแบ่งตวั ตำมยำวติดต่อกนั ไป และถำ้ สภำพแวดลอ้ มไมเ่ หมำะสม จะมีกำรสร้ำงซิสต์ (cyst) หุม้ ตวั เรียกวำ่ “เขำ้ เกรำะ” เกรำะเหล่ำน้ี จะอยตู่ ำมบริเวณกน้ แหล่งน้ำ และเม่ือมีโอกำสเขำ้ ไปอยตู่ ำมบริเวณเหงือก ผวิ หนงั ครีบ เกรำะจะแตก ออก ตวั อ่อนปรสิตก็จะเขำ้ เกำะกบั ปลำ และพฒั นำจนเป็ นตวั เตม็ วยั ต่อไป ลกั ษณะอาการ สัตวน์ ้ำจะมีอำกำรระคำยเคืองและจะขบั เมือกออกมำมำกกวำ่ ปกติ ผิวตวั บริเวณที่เกำะจะมีเลือดซึม ผิวหนังอำจเป็ นป่ ุมนูนออกมำ หำกเกำะท่ีเหงือก ซี่เหงือกจะถูก ทำลำย พ้ืนที่ในกำรแลกเปลี่ยนกำ๊ ซออกซิเจนลดนอ้ ยลง ซ่ึงในกรณีน้ีจะมีอตั รำกำรตำยสูงมำก --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

94 รูปที่ 6.2 ลกั ษณะอาการของปลาทเ่ี กดิ จาก Chilodonella cyprinid การป้องกนั ทำไดโ้ ดยกำรเล้ียงสัตวน์ ้ำดว้ ยอตั รำปล่อยที่ไม่หนำแน่นจนเกินไป จดั กำรคุณภำพน้ำใหเ้ หมำะสม โดยเฉพำะปริมำณออกซิเจนที่ละลำยในน้ำ (DO) ค่ำพีเอช (pH) และ อุณหภูมิของน้ำ เพอ่ื ลดควำมเครียดในตวั สตั วน์ ้ำ และหมนั่ เปล่ียนถ่ำยน้ำอยำ่ งสม่ำเสมอ การกาจัด ในกำรกำจดั ปรสิตชนิดน้ีออกจำกตวั สัตวน์ ้ำ สำมำรถทำไดโ้ ดยกำรแช่ ดว้ ยสำรเคมี เช่น แช่ในน้ำเกลือ 3 - 5 เปอร์เซ็นต์ นำน 5 นำที หรือแช่ในสำรละลำยแกลเชี่ยล อะซีติค แอซิด (glacial acetic acid solution) อตั รำส่วน 1 : 500 นอกจำกน้ี ยงั มีสำรเคมีชนิดอื่น ๆ ท่ีใชไ้ ดผ้ ลดี เช่นเดียวกนั เช่น มำลำไคท์ กรีน (Malachite green) ควำมเขม้ ขน้ 0.1 ppm หรือ ฟอร์มำลิน ควำม เขม้ ขน้ 25 ppm เป็นตน้ 2) Ichthyophthirius multifilis เป็นโปรโตซวั ท่ีนิยมเรียกส้ันๆ วำ่ “Ich” (อิ๊ก) ทำใหเ้ กิดโรคท่ีเรียกกนั วำ่ “Ichthyophthiriasis” หรือ “โรคอ๊ิก” หรือ “โรคจุดขำว” (white spot disease) “อ๊ิก” เป็ นสัตวเ์ ซลลเ์ ดียวที่มีขนำดเล็ก เซลลม์ ีลกั ษณะกลมหรือรีเล็กนอ้ ย รอบตวั มี ซิเลียส้ันๆ ช่วยในกำรเคล่ือนไหว กำรเคล่ือนที่ จะเป็ นไปในลกั ษณะของกำรหมุนรอบตวั เองไปดว้ ย สำมำรถมองเห็นได้ด้วยตำเปล่ำเป็ นจุดขำวๆ เคลื่อนไหวอยู่ในน้ ำ แต่เม่ือเข้ำเกำะกับสัตว์น้ ำ จะแทรกตวั เซลล์เข้ำไปอยู่ใต้ผิวหนังระหว่ำงช้ันเย่ือคลุมผิว กับช้ันเน้ือเย่ือเกี่ยวพนั ทำให้บริเวณ ที่ “อิ๊ก” เกำะน้ันจะเกิดเป็ นจุดสีขำวๆ ข้ึน จึงนิยมเรียกโรคท่ีเกิดจำกปรสิตชนิดน้ีว่ำ “โรคจุดขำว” นอกจำกพบจุดขำวที่ลำตวั แลว้ ยงั สำมำรถพบในบริเวณอื่นๆ ไดอ้ ีก เช่น บริเวณลูกนยั น์ตำ ครีบ และ เหงือก เป็นตน้ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

95 หำกนำเซลลม์ ำตรวจสอบดว้ ยกลอ้ งจุลทศั น์กำลงั ขยำยต่ำ จะพบลกั ษณะเด่นของ “อิ๊ก” คือนิวเคลียส (nucleus) ที่มีลกั ษณะเป็ นรูปเกือกมำ้ และจะเห็นไดช้ ดั เจนยง่ิ ข้ึนหำกมีกำรยอ้ มสี ของเซลล์ นิวเคลียสที่มองเห็นเป็ นรูปเกือกมำ้ น้ี เป็ นนิวเคลียสขนำดใหญ่ (macronucleus) ซ่ึงมีขนำด ใหญ่เห็นชดั เจน ส่วนนิวเคลียสขนำดเล็ก (micronucleus) น้นั จะมีขนำดเล็กมำกและมกั มองไม่เห็น รูปท่ี 6.3 ลกั ษณะของเซลล์ และนวิ เคลยี สรูปเกือกม้า ของ Ichthyophthirius multifilis “อิ๊ก” เป็ นปรสิตท่ีพบนอ้ ยในแหล่งน้ำตำมธรรมชำติ แต่จะพบเกำะอยูก่ บั ปลำน้ำ จืดทว่ั ๆ ไป เป็ นจำนวนมำก และจะพบได้มำกกบั ปลำท่ีมีเกล็ดมำกกวำ่ ปลำไม่มีเกล็ด เช่น ปลำใน ตระกลู คำร์พ (carp) พบไดท้ ้งั บริเวณผวิ ตวั ครีบ และซ่ีเหงือก “อ๊ิก” จะแบ่งเซลล์ เพ่ิมจำนวนไดอ้ ยำ่ งรวดเร็วในท่ีๆ มีออกซิเจนสูง อุณหภูมิของ น้ำอยใู่ นช่วง 25 - 26 องศำเซลเซียส ดงั น้นั โรคจุดขำวจึงมกั พบเป็ นปัญหำมำกกบั ปลำสวยงำมท่ีเล้ียง ในตูก้ ระจก เน่ืองจำกมีปริมำณออกซิเจนสูงอยตู่ ลอดเวลำ อิ๊กจึงขยำยพนั ธุ์ไดอ้ ยำ่ งรวดเร็ว นอกจำกน้ี กำรแพร่กระจำยจำกสัตวน์ ้ำตวั หน่ึงไปสู่อีกตวั หน่ึงยงั เกิดข้ึนไดง้ ่ำย และรวดเร็วอีกดว้ ย วงจรชีวิต “อ๊ิก” มีวงจรชีวติ แบบง่ำยๆ และส้ัน จะอำศยั ของเหลวจำกเน้ือเยอ่ื ของ โฮสต์ (host) บริเวณที่มนั ฝังตวั อยูเ่ ป็ นอำหำร เจริญเติบโตภำยใตผ้ วิ หนังของปลำจนถึงระยะตวั เตม็ วยั ซ่ึงมีขนำดเส้นผำ่ ศูนยก์ ลำงประมำณ 0.5 - 1.0 มิลลิเมตร ก็จะผละจำกตวั ปลำ วำ่ ยน้ำเป็ นอิสระโดยใช้ ซิเลีย และจะพยำยำมเกำะกบั วตั ถุในน้ำ เพื่อสร้ำงเกรำะ (cyst) หุ้มตวั จำกน้นั ภำยในเกรำะจะมีกำร แบ่งเซลล์ท้งั ของนิวเคลียสขนำดใหญ่ และนิวเคลียสขนำดเล็กหลำยคร้ัง จนภำยในเกรำะมีตวั อ่อน จำนวน 1,000 - 2,000 เซลล์ ซ่ึงจะมีรูปร่ำงลกั ษณะกลม มีซิเลียรอบตวั เส้นผำ่ ศูนยก์ ลำงประมำณ 20 ไมครอน จำกน้นั “เซลลล์ ูก” (daughter cell) หรือ “ซีลิโอสปอร์” (ciliospore) จะเจริญข้ึน จนในที่สุด จะเจำะผนังเกรำะออกม ำ และว่ำยน้ำเป็ นอิสระอยู่ประมำณ 2-3 ชั่วโมง หำกหำโฮสต์ (สัตว์น้ำ) เขำ้ เกำะไม่ไดใ้ นระยะน้ีก็จะตำย เม่ือเขำ้ เกำะโฮสตไ์ ดแ้ ลว้ จะเจำะแทงทะลุผวิ หนงั เขำ้ ไปจนถึงเน้ือเย่อื เพื่ออำศยั ดำรงชีวติ อยใู่ นบริเวณน้นั ต่อไป --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

96 ลกั ษณะอาการ จะมองเห็นจุดสีขำวๆ อยตู่ ำมลำตวั ครีบ ฯลฯ ปลำจะมีอำกำร กระวนกระวำย วำ่ ยน้ำข้ึนลงอยำ่ งรวดเร็ว หำกเกำะท่ีลูกนยั น์ตำจะทำใหป้ ลำตำบอด และถำ้ เกำะท่ีซ่ี เหงือกจะทำลำยส่วนของเหงือก ทำใหพ้ ้ืนที่ในกำรแลกเปลี่ยนก๊ำซออกซิเจนถูกทำลำย หำกพบเป็น จำนวนมำกจะทำใหป้ ลำตำยได้ รูปที่ 6.4 จุดสีขาว ทเี่ กดิ จาก Ichthyophthirius multifilis เกาะทบ่ี ริเวณส่วนต่างๆ ของปลา การกาจัด กำรใชส้ ำรเคมีหรือยำในกำรกำจดั ปรสิตชนิดน้ีค่อนขำ้ งไม่ไดผ้ ลนกั หำก ปรสิตอยูใ่ นระยะที่เขำ้ เกรำะ (cyst) หรือฝังตวั อยู่ภำยในเน้ือเยื่อของโฮสต์ เพรำะควำมเขม้ ขน้ ของยำ หรือสำรเคมีไม่เพียงพอที่จะซึมผำ่ นเน้ือเย่ือของโฮสต์ หรือผำ่ นเกรำะเขำ้ ไปทำลำยตวั เซลล์ของ “อ๊ิก” ได้ จำเป็ นต้องกำจัดในระยะท่ีว่ำยน้ ำเป็ นอิสระ จึงจะได้ผลดี สำรเคมีท่ีใช้ได้ผล เช่น ฟอร์มำลิน (formalin) ควำมเข้มข้น 25 ppm ร่วมกับมำลำไคท์ กรีน (malachite green) ควำมเข้มข้น 0.1 ppm หรือใช้มำลำไคท์ กรีน เพียงอย่ำงเดียว ในควำมเข้มข้น 0.1 ppm แช่ตลอดไป ก็สำมำรถกำจดั ได้ ภำยในเวลำ 2 – 3 วนั หรือใช้ มำลำไคท์ กรีน ควำมเขม้ ขน้ 1 - 1.25 ppm แช่นำน 30 นำที 3) Zoothamnium penaei เป็ นโปรโตซวั ที่พบอยรู่ ่วมกนั เป็ นโคโลนี โดยมีกำ้ นยึด (stalk) เพียงอนั เดียวซ่ึงจะ โยงเชื่อมเซลล์แต่ละเซลล์ไวด้ ว้ ยกนั สำมำรถยดื หดได้ ตวั เซลล์มีลกั ษณะเป็ นรูปทรงกลมหรือรูปไข่ ปำกมีซิเลียลอ้ มรอบ มกั พบทำควำมเสียหำยให้กบั ฟำร์มเพำะเล้ียงกุง้ ทะเลหลำยชนิด โดยจะเกำะอยู่ ตำมลำตวั เหงือกและแผน่ ปิ ดหวั (carapace) และก่อใหเ้ กิดอตั รำกำรตำยสูง รูปที่ 6.5 กลุ่ม (colony) ของ Zoothamnium penaei ทบี่ ริเวณรยางค์ท้องของก้งุ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

97 ลักษณะอาการ ในกุง้ จะแสดงอำกำรของโรคให้เห็นอย่ำงชัดเจน โดยที่ส่วนของ กลำ้ มเน้ือทอ้ งจะมีสีซีดขำว และหกั งอผิดปกติเล็กน้อย มองเห็นลกั ษณะใยส้ันๆ เส้นสีน้ำตำล ท่ีส่วน ทอ้ ง และส่วนอ่ืนๆ ในกรณีเกิดกบั ปลำ จะทำใหเ้ กล็ดหลุดเป็นหยอ่ มๆ และมีอำกำรตกเลือดร่วมอยดู่ ว้ ย ปลำจะขบั เมือกออกมำมำกผิดปกติ นอกจำกน้ี สำมำรถพบเกำะอยูท่ ี่บริเวณซ่ีเหงือกท้งั ในกุง้ และปลำ อีกดว้ ย รูปที่ 6.6 กล่มุ (colony) ของ Zoothamnium penaei ทบี่ ริเวณเปลือกหัว (carapace) ของก้งุ รูปท่ี 6.7 อาการเกลด็ หลุดเป็ นหย่อมๆ ร่วมกบั การตกเลือดในปลาทม่ี ี Zoothamnium sp เกาะตามลาตวั การกาจัด ใช้ฟอร์มำลิน ควำมเขม้ ขน้ 25 – 50 ppm แช่นำน 24 ชว่ั โมง หรือ ฟอร์มำลิน 25 ppm ร่วมกบั มำลำไคท์ กรีน 0.1 ppm แช่ตลอด จะให้ผลดีท่ีอุณหภูมิของน้ำประมำณ 28 - 30 องศำเซลเซียส หรือแช่ในสำรละลำยเกลือแกงควำมเข้มขน้ 1.0 เปอร์เซ็นต์ โดยแช่นำน 10 นำที --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

98 4) Epistylis sp เป็ นโปรโตซวั ท่ีมีลกั ษณะคลำ้ ยคลึงกนั มำกกบั Zoothamnium sp โดยจะมีควำม แตกต่ำงของเซลล์บำ้ งในรำยละเอียด ตวั เซลล์มีลกั ษณะเป็ นรูประฆงั หงำย มีขนำด 40 - 100 ไมครอน มีซิเลียเฉพำะดำ้ นบนบริเวณท่ีคลำ้ ยปำกระฆงั แต่ละเซลล์จะมีกำ้ นยึด กำ้ นน้ีจะแยกออกเป็ น 2 แฉก แบบไดโคโตมสั (dichotomous) จะอยูร่ วมกนั เป็ นโคโลนี Epistylis sp จดั วำ่ เป็ นปรสิตของสัตวน์ ้ำ ท่ีอำศยั อยตู่ ำมส่วนต่ำงๆ ของร่ำงกำย และก่อใหเ้ กิดอนั ตรำยในลกั ษณะอำกำรเดียวกนั กบั โรคท่ีเกิดจำก Zoothamnium sp ดงั น้นั วธิ ีกำรรักษำกส็ ำมำรถทำไดแ้ บบเดียวกนั รูปท่ี 6.8 ลกั ษณะตวั เซลล์ และโคโลนี (colony) ของ Epistylis sp รูปท่ี 6.9 อาการเกลด็ หลดุ และตกเลือด ในปลาทมี่ ี Epistylis sp เกาะตามลาตวั --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

99 5) Trichodina sp ทริคโคดิน่ำ (Trichodina sp) เป็ นโปรโตชวั ท่ีทำให้เกิดโรคท่ีเรียกวำ่ “ทริกโคดิเนีย ซีส” (Trichodiniasis) พบได้ท้งั ในน้ำจืดและน้ำเค็ม จดั เป็ นปรสิตภำยนอก มกั พบเกำะอยู่ตำมบริเวณ เหงือก ผิวหนัง ครีบของปลำน้ำจืดทวั่ ๆ ไป เช่น ปลำตะเพียน ปลำไน ปลำเทร้ำท์ ปลำสลิด เป็ นตน้ ตวั เซลลม์ ีรูปร่ำงคลำ้ ยระฆงั เมื่อมองดูทำงดำ้ นขำ้ ง จึงเรียกชื่อตำมลกั ษณะท่ีเห็นวำ่ ”เห็บระฆัง” มองทำงดำ้ นตรงจะเห็นเป็ นรูปวงกลม ส่วนหลงั โคง้ มีซิเลียเรียงขนำนกนั 2 แถว ใช้ใน กำรเคล่ือนไหว ส่วนล่ำงเวำ้ สำหรับใชเ้ ป็นที่เกำะติดกบั ตวั ปลำ และดำ้ นในมีตะขอวงแหวน หรือเข้ียว วงแหวน (denticulate ring) เรียงซอ้ นกนั ซ่ึงเป็นอวยั วะที่ช่วยในกำรเกำะติดกบั โฮสต์ Denticulate ring รูปที่ 6.10 โครงสร้าง และอวยั วะช่วยในการยดึ เกาะ (denticulate ring) ของ Trichodina sp กำรเคล่ือนไหวของเห็บระฆงั จะเป็ นไปในลกั ษณะแฉลบๆ ไปด้ำนขำ้ ง พร้อมท้งั กลบั ตวั ไปพร้อมๆ กนั สำมำรถมองเห็นกำรเคล่ือนไหวน้ีไดด้ ว้ ยตำเปล่ำ รูปท่ี 6.11 ลกั ษณะตวั เซลล์ ซิเลยี และอวยั วะช่วยในการยดึ เกาะ (denticulate ring) ของ Trichodina sp --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

100 เห็บระฆงั มกั พบเกำะอยูต่ ำมบริเวณเหงือกและที่ผิวหนงั ของตวั ปลำ สำมำรถพบ ขนำดต่ำงๆ กนั บนปลำตวั เดียวกนั และกลุ่มที่พบวำ่ ยน้ำเป็ นอิสระอยูภ่ ำยนอกตวั ปลำน้นั มกั จะมีขนำด ใหญก่ วำ่ กลุ่มท่ีเกำะอยกู่ บั ตวั ปลำ ลักษณะอาการ ปลำจะขบั เมือกออกมำมำกกวำ่ ปกติ ที่บริเวณผิวตวั และเหงือก สี ลำตวั จะดำคล้ำ พบเกล็ดหลุดเป็ นแห่งๆ ปลำจะวำ่ ยน้ำเชื่องชำ้ หรือชอบเอำลำตวั ถูไถกบั ขอบบ่อ ไม่ กินอำหำร ถำ้ เกำะตำมบริเวณครีบจะทำให้ครีบเน่ำ และหลุดได้ ปลำท่ีมีเกล็ดก็จะทำให้เกล็ดหลุดได้ แต่ส่วนใหญม่ กั พบเกิดกบั ปลำท่ีไม่มีเกลด็ เห็บระฆงั มกั จะก่อใหเ้ กิดปัญหำมำกในปลำขนำดเล็ก ปรสิต ชนิดน้ี นอกจำกจะทำให้ปลำเกิดควำมระคำยเคืองแล้ว ตะขอหรือเข้ียววงแหวน (denticulate ring) ท่ีใชเ้ พื่อกำรยึดเกำะกบั ตวั ปลำ ยงั ไปทำอนั ตรำยเน้ือเย่ือบริเวณน้นั เกิดเป็ นบำดแผล ซ่ึงจะทำให้เป็ น สำเหตุโนม้ นำท่ีสำคญั ในกำรติดเช้ือแบคทีเรีย หรือเช้ือรำไดต้ อ่ ไป การกาจัด แช่ในสำรละลำยเกลือแกง ควำมเขม้ ขน้ 3 เปอร์เซ็นต์ เป็ นเวลำ 30 นำที แช่ในกรดอะซีติค (acetic acid) อตั รำส่วน 1 : 1,500 เป็ นเวลำ 15 นำที หรือแช่ในฟอร์มำลิน 30 – 40 ppm ตลอดไปก็ได้ 1.1.2 กลุ่มแฟลคเจลลาตา (flagellata) ซ่ึงจะมีแส้ (flagellum) 1 หรือ 2 เส้น ซ่ึงใช้ ในกำรเคลื่อนไหว ประกอบดว้ ยปรสิตท่ีเป็นอนั ตรำย และพบมำกในสัตวน์ ้ำ ดงั น้ี 1) Oodinium ocellatum เป็นปรสิตท่ีพบเกำะตำมซี่เหงือก และผวิ หนงั ของปลำทะเล โดยใชส้ ่วนท่ีเรียกวำ่ “ไซโตพลำสมิค โพรเซส” (cytoplasmic process) ในกำรยดึ เกำะ เซลลม์ ีลกั ษณะเป็นรูปไข่ มีขนำด เฉล่ีย 60 x 50 ไมครอน วงจรชีวติ ตวั อ่อนระยะที่เป็นปรสิตจะยน่ื ส่วนของ ไซโตพลำสมิค โพรเซส (cytoplasmic process) เกำะอยตู่ ำมลำตวั เหงือก ของสตั วน์ ้ำ มีชีวติ อยดู่ ว้ ยกำรดูดกินอำหำรจำกโฮสต์ และเจริญเติบโตอยบู่ ริเวณน้นั จนถึงระยะที่จะสืบพนั ธุ์ ก็จะหลุดออกจำกบริเวณที่เกำะ ตวั เซลลจ์ ะมี ขนำดใหญ่ข้ึน ในขณะเดียวกนั กจ็ ะมีกำรเปล่ียนแปลงรูปร่ำง โดยส่วนของไซโตพลำสมิค โพรเซส และแฟลคเจลล่ำ (flagella) ซ่ึงเดิมแผก่ วำ้ ง จะหดเขำ้ ไปอยใู่ นผนงั เซลล์ และมีเซลลล์ ูโลส (cellulose) มำปิ ดช่องเปิ ดท่ีไซโตพลำสมิค โพรเซส และแฟคเจลล่ำยน่ื ออกมำ ภำยในผนงั เซลลจ์ ะมีกำรแบง่ ตวั ซ้ำสองคร้ัง จนไดจ้ ำนวนเซลลเ์ ป็น 256 เซลล์ ต่อมำผนงั เซลลข์ องเซลลแ์ ม่กจ็ ะแตกออก ตวั อ่อนหลุด ออกมำ และหำที่อยูอ่ ำศยั โดยเกำะเป็นปรสิตอยตู่ ำมผวิ หนงั และเหงือกของสัตวน์ ้ำตอ่ ไป --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

101 รูปท่ี 6.12 รูปร่าง ลกั ษณะของ Oodinium ocellatum ทพ่ี บอยู่ในเมือกของสัตว์นา้ ลกั ษณะอาการ ปลำหรือสัตวน์ ้ำท่ีมี Oodinium ocellatum เกำะอำศยั อยู่ จะมองดู คลำ้ ยๆ กบั มีเมือกเป็ นแผน่ สีขำว หรือสีน้ำตำลปกคลุมอยตู่ ำมครีบ และผิวลำตวั บำงแห่ง โดยท่ีเหงือก จะเป็นส่วนท่ีถูกเกำะไดง้ ่ำยท่ีสุด อำกำรเริ่มแรกท่ีสำมำรถสงั เกตเห็นได้ คือ ปลำจะหำยใจเร็วและแรง และชอบเอำลำตวั ถูไถกบั ขอบบ่อหรือวสั ดุต่ำงๆ ภำยในบ่อ อำจพบอำกำรตกเลือดบริเวณเหงือก และซ่ีเหงือก (gill filament) จะเช่ือมติดกนั ทำใหส้ ตั วน์ ้ำอำจตำยได้ เนื่องจำกกำรขำดออกซิเจน รูปท่ี 6.13 ลกั ษณะอาการของปลาทม่ี ี Oodinium ocellatum เกาะท้งั บริเวณลาตวั และเหงือก การกาจัด ใชจ้ ุนสี (CuSo4 solution) หรือใชค้ อปเปอร์ ผสมกบั ฟอร์มำลิน แต่ควร ใช้ด้วยควำมระมดั ระวงั เน่ืองจำกคอปเปอร์จะเป็ นพิษมำกต่อสัตวน์ ้ำ โดยใช้จุนสี หรือ คอปเปอร์ ซัลเฟตในควำมเขม้ ขน้ 0.3 ppm เป็ นเวลำ 5 – 10 วนั จะสำมำรถกำจดั ปรสิตน้ีได้ หำกใช้ควำม เขม้ ขน้ นอ้ ยกวำ่ 0.25 ppm จะไม่สำมำรถกำจดั ไดห้ มด ในขณะเดียวกนั หำกเพิ่มควำมเขม้ ขน้ ใหส้ ูง กวำ่ 0.5 ppm กจ็ ะเป็นอนั ตรำยตอ่ สตั วน์ ้ำถำ้ แช่อยนู่ ำนเกินไป --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

102 2) Trypanosoma sp Trypanosoma sp จัดเป็ นเป็ นปรสิ ตภำยใน (internal parasites) โดยจะพบ อยูใ่ นระบบหมุนเวียนเลือด และระบบอ่ืน ๆ ของสัตวท์ ี่มีกระดูกสันหลงั ท้งั ท่ีอำศยั อยูบ่ นบกและในน้ำ มีรูปร่ำงแบนมำก นอกจำกมีแฟลกเจลลมั่ 1 เส้น แลว้ ยงั มีอวยั วะช่วยในกำรเคลื่อนไหวไดอ้ ยำ่ งรวดเร็ว ในเลือด คือ อนั ดูเลติ้ง เม็มเบรน (undulating membrane) แพร่พนั ธุ์ด้วยกำรแบ่งตวั เป็ นสองส่วน (binary fission) หรือกำรแบ่งตวั ซ้ำๆ หลำยคร้ัง Trypanosoma sp จะแพร่กระจำยได้ดว้ ยกำรนำของพำหะ เช่น ยุง โดยดูดเลือด จำกสัตวห์ น่ึงไปสู่สัตวอ์ ีกตวั หน่ึง โรคท่ีเกิดจำกปรสิตน้ีมีชื่อเรียกทวั่ ไปว่ำ “ทริพพำโนโซเมียซีส” (Trypnosomiasis) ซ่ึงจะพบเฉพำะในเขตร้อน พบเป็นปรสิตไดท้ ้งั ในปลำน้ำจืดและน้ำเคม็ Trypanosoma sp เซลลเ์ ม็ดเลอื ด รูปที่ 6.14 รูปร่าง ลกั ษณะของ Trypanosoma sp ทพ่ี บอยู่ในเลือดของสัตว์นา้ ลกั ษณะอาการ ปลำท่ีมีปรสิตกลุ่มน้ีอยใู่ นระบบเลือด จะมีอำกำรเหงือกซีด ตำลึก และจะเสียกำรทรงตวั โดยวำ่ ยน้ำเฉียง ๆ หรือวำ่ ยวนรอบตวั เอง นอกจำกน้ี อำจเกิดกำรอุดตนั ของเส้น เลือดฝอย และสำมำรถทำใหป้ ลำตำยได้ เนื่องจำกกำรอุดตนั ของเส้นเลือด และกำรเกิดโรคโลหิตจำง การป้องกนั 1) แยกปลำที่เป็นโรคออกจำกปลำอ่ืน 2) ทำลำยพำหะ เช่น ยงุ หอยฝำเดียว ปลิง --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

103 1.1.3 กล่มุ สปอร์โรซัว (sporozoa) เป็นกลุ่มที่ไมม่ ีอวยั วะในกำรเคล่ือนที่ และจะสร้ำง สปอร์เมื่ออยใู่ นระยะสุดทำ้ ยของวงจรชีวติ สปอร์จะประกอบดว้ ยตวั ออ่ น (sporozoites) อยภู่ ำยในผนงั หุม้ อนั เดียวกนั ส่ิงมีชีวติ ในกลุ่มน้ีจะพบเป็นปรสิตท้งั หมด กำรสืบพนั ธุ์มีท้งั แบบมีเพศ และไมม่ ีเพศ ที่พบเป็นปรสิตในสัตวน์ ้ำมีจำนวนนอ้ ย ไดแ้ ก่ 1) Eimeria sp Eimeria sp เป็นปรสิตซ่ึงสร้ำงสปอร์และจะเจริญอยใู่ นกลำ้ มเน้ือของถุงอณั ฑะ (testes) ของโฮสต์ พบเป็นปรสิตในสตั วน์ ้ำหลำยชนิดดว้ ยกนั เช่น ปลำไหล ปลำตะเพยี น ปลำไน ปลำ เทร้ำท์ ปลำมีหนวดท้งั หลำย และปลำซำร์ดีน เป็นตน้ ลกั ษณะอาการ ทำใหถ้ ุงอณั ฑะมีลกั ษณะผดิ ปกติไป และทำใหส้ ัตวน์ ้ำเป็ นหมนั ไม่ สำมำรถแพร่พนั ธุ์ได้ 2) Henneguya sp Henneguya sp พบเป็ นปรสิตอยู่ในเน้ือเย่ือ และซี่เหงือกของปลำน้ำจืด โดย พบเป็ นซิสต์ (cyst) เกำะอยูต่ ำมซี่เหงือกและลำตวั ปลำน้ำจืดหลำยชนิดดว้ ยกนั เช่น ปลำหมอไทย ปลำ สวำย ลักษณะซิสต์มีสีขำว ลกั ษณะแข็งเป็ นก้อนหินปูนมีขนำด 0.5 - 0.9 มิลลิเมตร มีเมือกหุ้ม เม่ือ นำมำบ้ีบนแผ่นสไลด์และส่องดว้ ยกลอ้ งจุลทศั น์ จะพบสปอร์จำนวนมำกอยู่เป็ นกลุ่ม ส่วนที่พบใน ปลำสวำย โดยเฉพำะในลูกปลำวยั อ่อน จะพบฝังอยูใ่ นผวิ หนงั ตำมลำตวั มองเห็นเป็ นจุดสีขำวๆ ขนำด ประมำณ 1 - 2 มิลลิเมตร ทว่ั ท้งั ตวั และปลำจะมีอตั รำกำรตำยสูง 1.2 ยาและสารเคมที ใี่ ช้ป้องกนั และกาจัดพวกโปรโตซัว 1) ฟอร์มาลิน (formalin) สำมำรถใช้ฟอร์มำลินทั่วไปที่มีขำยตำมท้องตลำด ซ่ึงจะมี ควำมเขม้ ขน้ ของฟอร์มำดีไฮด์ (formaldyhide) อยู่ 40 % โดยทว่ั ไป มกั ใช้ฟอร์มำลินในควำมเขม้ ขน้ 25 - 30 ppm แช่ตลอดเพอ่ื เป็ นกำรป้องกนั ไม่ใหเ้ กิดโรคจำกโปรโตซวั ถำ้ จะใหไ้ ดผ้ ลดีมำกข้ึน ควรใช้ ร่วมกับสำรละลำยมำลำไคท์ กรี น โดยใช้ในควำมเข้มข้นของฟอร์มำลิน 25 ppm + 0.1 ppm ของมำลำไคท์ กรีน ใชท้ ุก 10 วนั เพอื่ ป้องกนั โรคจำกโปรโตซวั ในกรณีที่เป็ นกำรรักษำ ควรใส่ฟอร์มำลินทุกๆ 3 วนั พร้อมท้งั เปลี่ยนน้ำดว้ ย ทำซ้ำอีก 3-4 คร้ัง จนอำกำรทุเลำลง จึงใส่ยำป้องกนั ทุก 10 วนั ตำมปกติต่อไป --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

104 หำกตอ้ งกำรใชค้ วำมเขม้ ขน้ ของฟอร์มำลินสูงกวำ่ 25 ppm จำเป็ นตอ้ งเฝ้ำดูอำกำรของ สัตว์น้ำ หำกพบอำกำรผิดปกติให้รีบเปลี่ยนน้ ำใหม่ และในกำรใช้ควำมเข้มข้นสูง ควรใช้แช่ใน ระยะเวลำหน่ึงเทำ่ น้นั แลว้ เปล่ียนน้ำใหม่ ขณะที่ใส่ยำจำเป็นตอ้ งใหอ้ ำกำศดว้ ยเพ่ือเพม่ิ ออกซิเจน หมายเหตุ ขอ้ ดีของกำรใชฟ้ อร์มำลิน คือ ฟอร์มำลินจะสลำยตวั ไดเ้ องเมื่อถูกแสงและ จะไมเ่ กิดตะกอนในบอ่ แตก่ ็ควรระวงั ในกำรใชฟ้ อร์มำลินที่เกบ็ ไวเ้ ป็ นเวลำนำน ซ่ึงจะเกิดตะกอนสีขำว ของพำรำฟอร์มำดีไฮด์ (paraformadyhide) และจะเป็ นพิษต่อสัตวน์ ้ำ ก่อนนำมำใช้ตอ้ งกรองตะกอน แยกออกก่อน และควรเก็บไวใ้ นขวดสีน้ำตำลกนั แสง เน่ืองจำกถำ้ โดนแสงมำกๆ และอยูใ่ นที่อุณหภูมิ ต่ำ ก็จะย่ิงเกิดตะกอนขำวมำกข้ึน นอกจำกน้ี กำรเก็บไวน้ ำน จะทำให้ประสิทธิภำพในกำรออกฤทธ์ิต่อ โปรโตซวั ลดลงอีกดว้ ย 2) เกลือแกง (NaCl) ในกรณีสัตวน์ ้ำขนำดเล็ก ให้ใชค้ วำมเขม้ ขน้ 1 - 2 เปอร์เซ็นต์ หรือ ใชเ้ กลือแกง 10 - 15 กรัม/น้ำ 1 ลิตร แช่นำน 20 นำที แต่ถำ้ เป็ นสัตวน์ ้ำขนำดใหญ่ ให้ใชค้ วำมเขม้ ขน้ 2.5 เปอร์เซ็นต์ หรือใชเ้ กลือ 25 กรัม/น้ำ 1 ลิตร แช่นำน 10 - 15 นำที กำรแช่ดว้ ยเกลือแกง ควรทำซ้ำ 2 - 3 คร้ัง หรือจนกวำ่ จะหำย โดยทำเวน้ ระยะห่ำงกนั คร้ังละ 1 วนั ถำ้ จะให้ไดผ้ ลดีควรใชใ้ นควำมเขม้ ขน้ ต่ำ แต่แช่เป็ นระยะเวลำนำน และทำหลำย ๆ ซ้ำ จะเป็นกำรกำจดั โปรโตซวั ไดอ้ ยำ่ งเดด็ ขำด 3) ด่างทบั ทมิ (KMnO4) ใชด้ ่ำงทบั ทิมในอตั รำส่วน 1 กรัม/น้ำ 100 ลิตร แช่นำน 90 นำที หรือใชใ้ นอตั รำส่วน 1 กรัม/น้ำ 10 ลิตร แช่ปลำนำน 5 - 10 นำที กรณีใส่ในบอ่ เล้ียง ให้ใชส้ ำรละลำยด่ำงทบั ทิมเขม้ ขน้ 20 ppm แลว้ คอยสังเกตอำกำร ของสตั วน์ ้ำ ถำ้ มีอำกำรผดิ ปกติ เช่น ลอยหวั กใ็ หเ้ ติมน้ำลงไปเพือ่ ลดควำมเขม้ ขน้ ของสำรเคมี ด่ำงทบั ทิมที่ใส่ในบ่อจะสำมำรถสลำยตวั ได้เอง เมื่อเกิดปฏิกิริยำกบั ก๊ำชออกซิเจน ฤทธ์ิของด่ำงจะค่อยๆ หมดไป แต่ในขณะท่ีใช้ยำน้ี จำเป็ นตอ้ งมีกำรให้อำกำศด้วย เพรำะด่ำงทบั ทิม จะไปทำปฏิกิริยำกับสำรอินทรียท์ ี่มีอยู่ในน้ำ เกิดตะกอนสีน้ำตำลแดงของแมงกำนีสไดออกไซด์ (MnO2.nH2O) ซ่ึงจะเป็นอนั ตรำยต่อเหงือกของสตั วน์ ้ำ 4) มาลาไคท์ กรีน (Malachite green) เป็นสำรเคมีที่ใชไ้ ดผ้ ลดีในกำรกำจดั พวกโปรโตซวั สำมำรถเตรียมสำรละลำยเขม้ ขน้ ของมำลำไคท์ กรีน ไดโ้ ดยใชผ้ งมำลำไคท์ กรีน 1 กรัม ละลำยน้ำกลน่ั 500 ซี ซี . คนให้เข้ำกัน แล้วเก็บไว้ในขวดกันแสง เม่ือนำมำใช้ ให้ใช้สำรละลำยเข้มข้นน้ี ในอตั รำส่วน 2 ซีซี./น้ำ 1 ลิตร แช่ปลำนำน 1 - 2 วนั ถำ้ ไม่หำยใหท้ ำซ้ำไดอ้ ีกจนกวำ่ จะหำย --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

105 หมายเหตุ ปัจจุบนั มีมำลำไคท์ กรีน ท่ีอยใู่ นรูปของสำรละลำย จำหน่ำยในทอ้ งตลำด ทว่ั ไป พร้อมท้งั ระบุควำมเขม้ ขน้ ในกำรใชไ้ วท้ ี่ขำ้ งขวดดว้ ย 5) เมทธิลีน บลู (Methylene blue) ใช้ได้ผลดี ในกำรกำจดั พวกโปรโตซัว โดยเฉพำะ “อิ๊ก” ที่ก่อให้เกิดโรคจุดขำว กำรเตรียมสำรละลำยเขม้ ขน้ โดยใช้เมทธิลีน บลู 1 กรัม/น้ำร้อน 100 ซีซี. แลว้ เกบ็ ไวใ้ นขวดกนั แสง ในกรณีกำจดั “อ๊ิก” ใหใ้ ชส้ ำรละลำยเขม้ ขน้ 3 ซีซี./น้ำ 5 ลิตร แช่ปลำนำน 1 วนั และ ทำซ้ำทุกๆ 2 วนั จนกว่ำจะหำย ส่วนโปรโตซวั อ่ืน ๆ สำมำรถใชส้ ำรละลำยเขม้ ขน้ 3 ซีซี./น้ำ 10 ลิตร แช่ตลอด หมายเหตุ ตอ้ งเลือกใช้เมทธิลีน บลู ชนิดท่ีเป็ นยำเท่ำน้นั และควรใชก้ บั น้ำท่ีสะอำด ถำ้ น้ำมีตะกอนมำกจะทำใหค้ วำมสำมำรถในกำรทำปฏิกิริยำของเมทธิลีน บลูนอ้ ยลง 6) โปแตสเซียมไดโครเมท (K2Cr2O7) ซ่ึงมีลกั ษณะเป็นผงหยำบ ๆ สีแดงปนส้ม ละลำย น้ำไดง้ ่ำย ละลำยน้ำแลว้ ไดส้ ีเหลืองปนส้ม ใช้รักษำแผลท่ีเกิดจำกกำรเกำะของโปรโตซวั ไดด้ ี เตรียม สำรละลำยเขม้ ขน้ โดยใช้ K2Cr2O7 1 กรัม ละลำยในน้ำ 99 ซีซี. คนจนละลำยท้งั หมด กำรรักษำแผล ให้ใช้สำรละลำยท่ีเตรียมไว้ 4 - 5 ซีซี./น้ำ 1 ลิตร แช่ปลำท่ีมีแผลไว้ จนกวำ่ แผลจะหำย 7) ยาเหลือง (Acriflavine) นอกจำกใชใ้ นกำรกำจดั โปรโตซวั แลว้ ยำเหลืองยงั ใชไ้ ดผ้ ลดี สำหรับป้องกนั กำรติดเช้ือรำ และแบคทีเรียผำ่ นเขำ้ ทำงบำดแผลท่ีเกิดจำกกำรกระทำของโปรโตซัวได้ อีกดว้ ย สำมำรถเตรียมสำรละลำยโดยใช้ยำเหลือง 3 มิลลิกรัม/น้ำร้อน 5 ซีซี. คนให้ละลำยใส่ขวด สีน้ำตำลกนั แสง กำรรักษำ ให้ใช้สำรละลำยในอัตรำส่วน 10 ซีซี/น้ ำ 4.5 ลิตร แช่ประมำณ 3 วนั ใหอ้ ำกำศตลอดเวลำ ควรทำซ้ำ โดยแช่นำน 2 - 3 วนั เพ่ือทำลำยปรสิตท่ีอยใู่ นระยะเขำ้ เกรำะดว้ ย --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

106 2. หนอนตวั แบน (Platyhelminthes) เป็ นส่ิงมีชีวิตหลำยเซลล์ (Metazoa) ที่มีรูปร่ำงแบนจำกดำ้ นหลงั ไปด้ำนท้อง จึงถูกเรียกว่ำ หนอนตวั แบน (flat worms) ภำยในตวั ไม่มีช่องวำ่ ง ไม่มีระบบหมุนเวยี นเลือด ไม่มีระบบแลกเปลี่ยน ก๊ำซ ระบบขบั ถ่ำยของเสียจะประกอบดว้ ยเฟลม เซลล์ (flame cells) ซ่ึงจะรวบรวมของเสียส่งผ่ำน ทำงท่อและขบั ออกนอกตวั ทำงรูขบั ถ่ำย (excretory pore) ระบบยอ่ ยอำหำรยงั ไมส่ มบูรณ์ มีปำกแต่ไม่ มีทวำร มีท้งั ท่ีดำรงชีวติ เป็นอิสระ และเป็นปรสิต แบ่งออกเป็นกลุ่มใหญๆ่ ไดด้ งั น้ี 2.1 ทรีมาโทด (Trematode) หนอนตวั แบนในกลุ่มน้ี พบเป็นปรสิตท้งั หมด ท้งั ปรสิตภำยนอก และปรสิตภำยใน เป็ น พวกที่มีระบบทำงเดินอำหำรแบบง่ำย และระบบย่อยอำหำรท่ียงั ไม่สมบูรณ์ แต่ไม่มีเน้ือเยื่อช้ันนอก ตัวปกคลุมด้วยช้ันเย่ือผิวหนัง (cuticle) ซ่ึงเป็ นเน้ือเย่ือช้ันกลำง ผิวตัวเรี ยบไม่มีขนปกคลุม แบง่ ออกเป็นกลุ่มยอ่ ยไดด้ งั น้ี 2.1.1 โมโนจีเนีย (Monogenea) มีช่ือสำมญั เรียกกนั ว่ำ “โมโนจีนีด” (monogeneids) พบเป็ นปรสิตภำยนอก หรือ ปรสิตภำยในของพวกสัตวท์ ี่มีกระดูกสันหลงั เลือดเยน็ (poikilothermic vertebrates) ส่วนใหญ่แลว้ จะ เป็นปรสิตภำยนอกเกำะตำมผวิ ตวั เหงือก ครีบ เกลด็ ของสัตวน์ ้ำ ลกั ษณะเด่นของโมโนจีนีด คือ มีอวยั วะสำหรับยดึ เกำะ 2 แห่ง แห่งหน่ึงอยู่ ดำ้ นหนำ้ ตวั ใกลส้ ่วนปำก หรืออยลู่ อ้ มรอบปำกมี 1 หรือ 2 อนั ซคั เกอร์บริเวณส่วนหนำ้ น้ีเรียกตำม ตำแหน่งที่อยวู่ ำ่ “anterior sucker” มีชื่อเรียกเฉพำะของซกั เกอร์ที่อยสู่ ่วนหนำ้ น้ีวำ่ “โพรแฮพเตอร์” (Prohaptor) ซ่ึงอำจเส่ือมเหลือเพยี งส่วนเลก็ ๆ หรือบำงชนิดหำยไปมองไม่เห็น อวยั วะยดึ เกำะท่ีสำคญั จะอยดู่ ำ้ นทำ้ ยตวั เรียกตำมตำแหน่งที่อยวู่ ำ่ “caudal sucker” มีชื่อเฉพำะวำ่ “โอพีสแฮพเตอร์” (Opishaptor ) ซ่ึงจะมีขนำดใหญ่ บำงชนิดจะแผก่ วำ้ งออกอยทู่ ำ้ ยตวั มีลกั ษณะเป็นถว้ ยหรือแผน่ แบน กวำ้ งประกอบดว้ ยขอหนำม (hook) เล็ก ๆ หรือซคั เกอร์ หรือแคลม้ (clamp) เลก็ ๆ จำนวนมำกๆ ซ่ึงมี ลกั ษณะแตกต่ำงกนั ไปในแต่ละชนิด --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

107 ตวั อยำ่ งโมโนจีนีดที่พบเป็นปรสิตและทำอนั ตรำยตอ่ สัตวน์ ้ำ ไดแ้ ก่ 1) สกุล ไจโรแดคทลิ สั (Genus Gyrodactylus) เป็ นหนอนตวั แบนที่มีขนำดเล็กมำก ถำ้ ไม่สังเกตจะมองไม่เห็น ลำตวั ใส ตวั โตเต็มที่ประมำณ 0.3 - 1 มิลลิเมตร เรียกกันทวั่ ไปว่ำ “ปลิงใส” โอพีสแฮพเตอร์เป็ นรูปถ้วย ตรง กลำงมีสมอใหญ่ 1 คู่ ส่วนขอบรอบ ๆ มีมำร์จินอล ฮุค (marginal hooks) 16 อนั สำหรับใชเ้ กำะติดกบั เน้ือเย่ือปลำ มกั พบเกำะอยู่ตำมผิวตวั ครีบ บำงคร้ังอำจพบที่เหงือก มีช่ือเรียกกันทวั่ ไปว่ำ “skin flukes” และทำใหเ้ กิดโรคท่ีเรียกวำ่ “skin flukes disease” ลกั ษณะอาการ ทำให้สัตวน์ ้ำเกิดอำกำรระคำยเคืองที่ผวิ ตวั และพยำยำมถูกบั ขอบบ่อ จะขบั เมือกออกมำมำกกวำ่ ปกติ ลำตวั มีสีดำคล้ำ บริเวณท่ีถูกเกำะจะเกิดอำกำรตกเลือด ปลำ ที่มีปรสิตชนิดน้ีจะเห็นผวิ ตวั บวม โป่ งออกมำ ขอบมีสีแดง ครีบเป่ื อย มีจุดแดงตำมโคนครีบ เหงือกถูก ทำลำย ปรสิตจะทำให้ผิวตวั สัตวน์ ้ำเกิดบำดแผล เนื่องจำกขอหนำมท่ีบริเวณโอพีสแฮพเตอร์ฝังลึก ลงไปในเน้ือเย่ือ เป็ นเหตุให้เกิดกำรอักเสบ บวม ทำให้เช้ือแบคทีเรีย และรำเข้ำทำลำยได้ง่ำย ถำ้ เกิดข้ึนในช่วงกำรอนุบำลลูกปลำวยั อ่อน จะทำใหป้ ลำตำยอยำ่ งรวดเร็ว Opishaptor รูปที่ 6.15 รูปร่างลกั ษณะของ Gyrodactylus sp และโอพสี แฮพเตอร์” (Opishaptor ) ซึ่งใช้ยึดเกาะทบ่ี ริเวณผวิ ตวั ปลา การรักษา ใชจ้ ุม่ ลงในน้ำยำฟอร์มำลินควำมเขม้ ขน้ 200 - 250 ppm โดยแช่ไว้ นำน 30 นำที–1 ชวั่ โมง หรือแช่ตลอดดว้ ยฟอร์มำลิน ควำมเขม้ ขน้ 25 – 30 ppm หรืออำจใชด้ ิพเทอร์ เร็กซ์ (dipterex) ควำมเขม้ ขน้ 0.25 ppm แช่ตลอด ทำสปั ดำห์ละหน่ึงคร้ัง ซ่ึงดิพเทอร์เร็กซ์จะสำมำรถ กำจดั พวกทรีมำโทดไดเ้ ป็นอยำ่ งดี แต่ตอ้ งใชด้ ว้ ยควำมระมดั ระวงั เพรำะจะเป็ นพิษกบั สัตวน์ ้ำถำ้ ใชใ้ น ควำมเขม้ ขน้ ท่ีสูงมำกข้ึน --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

108 2) สกุลแดททโิ ลไจรัส (Genus Dactylogyrus) เป็นปลิงใสอีกกลุ่มหน่ึง ที่มีรูปร่ำงลกั ษณะคลำ้ ยคลึงกบั สกลุ Gyrodactylus แต่ ตำ่ งกนั ชดั เจนท่ีส่วนหนำ้ สุดของตวั เซลล์ ซ่ึงไม่แยกเป็นสองแฉกอยำ่ งชดั เจนแบบกลุ่มแรก และใน ส่วนของโอพีสแฮพเตอร์ จะมีสมอ 1 คู่ มีแทง่ ตำมขวำงยดึ สมอท้งั คูไ่ วป้ ลำย สมอโคง้ งอ มีตะขอรอบ นอก 14 - 16 อนั ปรสิตกลุ่มน้ี จะพบมำกที่บริเวณเหงือกปลำ ไดแ้ ก่ ปลำตะเพียน ปลำไน เป็นตน้ จึงมีช่ือเรียกทว่ั ไปวำ่ “gill flukes” และทำใหเ้ กิดโรคที่ เรียกวำ่ “gill flukes disease” จะพบไดม้ ำกกบั ลูกปลำท่ีเล้ียงอยำ่ งหนำแน่น ลกั ษณะอาการ ปลำที่มีปรสิตชนิดน้ีเกำะ จะสังเกตไดจ้ ำกอำกำรที่วำ่ ยน้ำลอยหวั ข้ึนมำฮุบอำกำศที่ผิวน้ำ เนื่องจำกบริเวณเหงือกถูกทำลำย ทำใหพ้ ้ืนที่ผวิ ในกำรแลกเปลี่ยนก๊ำชออกซิเจน นอ้ ยลง และเม่ือมีปรสิตเกำะเป็นจำนวนมำก ปลำจะขบั เมือกออกมำคลุม ทำใหข้ อบของซ่ีเหงือกหนำ ข้ึน และแผน่ ปิ ดเหงือก (operculum) จะปิ ดไมส่ นิท นอกจำกปลำจะตำยเพรำะขำดออกซิเจนแลว้ อำจ ติดเช้ือแบคทีเรีย และเช้ือรำทำใหเ้ กิดโรคเหงือกเน่ำ (gill rot) ข้ึนไดด้ ว้ ย รูปท่ี 6.16 Dactylogyrus sp จานวนมากเกาะอยู่ทบี่ ริเวณซี่เหงือก การรักษา กระทำไดเ้ ช่นเดียวกบั กำรรักษำโรคที่เกิดจำก Gyrodactylus sp 2.1.2 ไดจีเนีย (Digenea) ไดจีเนียส่วนใหญ่ จะพบเป็ นปรสิตภำยในของสัตวม์ ีกระดูกสันหลงั อำศยั อยู่ที่ อวยั วะภำยในต่ำง ๆ ของโฮสต์ ไดแ้ ก่ สำไส้ ทำงเดินอำหำร กระเพำะอำหำร ตบั ถุงน้ำดี กระเพำะ ปัสสำวะ และในเลือด ลำตวั แบนจำกดำ้ นหลงั ไปดำ้ นทอ้ ง แต่บำงชนิดอำจมีตวั หนำค่อนขำ้ งกลม มี รูปร่ำงคล้ำยใบไม้ มีขนำดต่ำงๆ กนั ออกไป สำมำรถมองเห็นได้ด้วยตำเปล่ำ มีชื่อเรียกทวั่ ๆไปว่ำ “พยำธิใบไม”้ หรือ “ฟลุค” (fluke) ปรสิตในกลุ่มน้ีมีวงจรชีวติ ที่ซบั ซ้อน ตอ้ งกำรโฮสต์ ต้งั แต่ 2 ชนิด ข้ึนไป ส่วนใหญ่จะมีอวยั วะสำหรับยึดเกำะ 2 แห่ง คือที่บริเวณด้ำนหน้ำล้อมรอบปำกเรียกว่ำ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

109 ออรัล ซคั เกอร์ (oral sucker) ซ่ึงในบำงชนิดจะมีหนำมเล็กๆ อยโู่ ดยรอบ และจะมีเวนทรอล ซคั เกอร์ (ventral sucker) อยู่ท่ีส่วนท้อง บริเวณกลำงลำตัว ซ่ึงมีช่ือเรียกเฉพำะในพวกไดจีเนียว่ำ “อะเซท ตำบูลมั่ ” (acetabulum) วงจรชีวติ ไขท่ ี่ผสมแลว้ จะมีเปลือกหุม้ มีฝำเปิ ดใหต้ วั อ่อนระยะแรก (miracidium) ออกมำได้ และจะมีหอยเป็นโฮสตท์ ่ีสำคญั เมื่อหำโฮสตไ์ ดแ้ ลว้ ก็จะเจริญไปเป็นตวั อ่อนระยะท่ี 2 (Sporocyst) ซ่ึงภำยในประกอบดว้ ยเซลลส์ ืบพนั ธุ์ (germ cell) ซ่ึงจะสร้ำงเป็นตวั ออ่ นระยะที่ 3 (Redia) ตอ่ มำตวั อ่อนระยะน้ี จะผละออกจำกหอยและพฒั นำเป็ นตวั อ่อนระยะที่ 4(Cercaria) ซ่ึงจะมีหวั แหลม สำหรับเจำะไชเขำ้ สู่เน้ือเยอื่ ของโฮสตต์ วั ท่ี 2 ไดแ้ ก่ ปลำ หรือสัตวน์ ้ำอ่ืนๆ เขำ้ เกำะอำศยั ตอ่ ไป เซอคำ เรียเมื่อเขำ้ สู่ตวั ปลำ ซ่ึงอำจจะโดยกำรกินเขำ้ ไป หรือเกำะอยทู่ ี่บริเวณซี่เหงือกกต็ ำม ตวั อ่อนจะเจำะผนงั ลำไส้เขำ้ สู่กลำ้ มเน้ือและเจริญเป็นตวั ออ่ นระยะที่ 5 (Metacercaria) ซ่ึงจะเป็นระยะเขำ้ เกรำะอยใู่ น กลำ้ มเน้ือ หรืออวยั วะภำยในต่ำงๆ จนกวำ่ จะมีโฮสทต์ วั สุดทำ้ ย เช่น พวกสตั วเ์ ล้ียงลูกดว้ ยน้ำนม หรือ ปลำใหญม่ ำกินโฮสทต์ วั ท่ี 2 เขำ้ ไป น้ำยอ่ ยในกระเพำะอำหำรของ โฮสทต์ วั สุดทำ้ ยจะยอ่ ยผนงั เกรำะ ใหแ้ ตกออก ไดจีเนียกจ็ ะเจริญเป็นตวั เตม็ วยั และแพร่พนั ธุ์ต่อไป พวกไดจีเนียที่เป็ นปรสิตในสตั วน์ ้ำมีจำนวนมำก บำงชนิดเป็นสำเหตุทำใหเ้ กิดโรค กบั ปลำ แตใ่ นปัจจุบนั พบปัญหำที่เกิดกบั ปลำนอ้ ยมำก แตจ่ ะเป็นพำหะนำโรคสู่มนุษยท์ ำใหเ้ กิดกำร เจบ็ ป่ วยที่รุนแรงข้ึนได้ เน่ืองจำกกำรรับประทำนปลำหรือสตั วน์ ้ำที่มีตวั อ่อนของปรสิตกลุ่มน้ีอำศยั อยู่ ไดจีเนียที่พบในปลำส่วนใหญ่ ไดแ้ ก่ สกุลพำรำโกนิมสั (Genus Paragonimus) ซ่ึงตวั เตม็ วยั พบเป็น ปรสิตอยใู่ นปอดของสัตวเ์ ล้ียงลูกดว้ ยนม รวมท้งั มนุษยด์ ว้ ย ซ่ึงเรียกกนั ทว่ั ไปวำ่ “พยำธิใบไมใ้ นปอด” (Lung fluke) ทำใหเ้ กิดโรคที่มีอนั ตรำยร้ำยแรงแก่โฮสท์ ไม่วำ่ จะเป็นคนหรือสตั ว์ เรียกโรคท่ีเกิดจำก ปรสิตน้ีวำ่ โรค “พำรำโกนิเมียซีส” (Paragonimiasis) ปรสิตพวกน้ีตวั มีขนำดใหญ่ ยำวถึง 12 มิลลิเมตร กวำ้ งถึง 6 มิลลิเมตร และมีควำมหนำถึง 5 มิลลิเมตร ผิวตวั มีหนำมเล็กๆ ทวั่ ตวั 2.2 เซสโทด Cestode) พบเป็ นปรสิตภำยใน อยู่ในทำงเดินอำหำรและช่องวำ่ งภำยในตวั ของพวกสัตวม์ ีกระดูก สันหลัง มีช่ือเรียกทั่วไปว่ำ “พยำธิตวั ตืด” (tape worm) เป็ นหนอนตวั แบนท่ีมีผิวตวั เรียบ มีรูปร่ำง 2 แบบ คือลำตวั ยำวเป็ นริบบิ้น และลำตวั ส้ัน มีลกั ษณะคล้ำยพวกพยำธิใบไม้ ปรสิตกลุ่มน้ี มีท้งั ท่ี ลำตวั แบ่งเป็ นปลอ้ งต่อกนั เห็นไดอ้ ยำ่ งชดั เจน และพวกท่ีลำตวั ไม่แบ่งเป็ นปลอ้ ง ไม่มีอวยั วะเก่ียวกบั ระบบทำงเดินอำหำร ไม่ว่ำจะเป็ นปำก กระเพำะอำหำร ลำไส้ หรือทวำร ในทุก ๆ ระยะของกำร เจริญเติบโตในวงจรชีวติ ไม่วำ่ จะเป็ นตวั อ่อนหรือตวั เต็มวยั จะกินอำหำรจำกโฮสท์โดยกำรดูดซึมเขำ้ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

110 ทำงผิวตวั มีอวยั วะสำหรับเกำะดูดอยู่ท่ีบริเวณส่วนหนำ้ ซ่ึงมีลกั ษณะแตกต่ำงกนั ออกไป ตวั มีสีขำว หรือขำวปนเหลืองมีขนำดแตกต่ำงกัน ต้งั แต่ 1 มิลลิเมตร จนถึง 10 - 12 เมตร หรือประมำณ 40 ฟุต มีเพศรวมอยูใ่ นตวั เดียวกนั กำรผสมพนั ธุ์มีท้งั แบบผสมกนั เองภำยในตวั เดียวหรือปลอ้ งเดียวกนั และ ผสมขำ้ มตวั หรือคนละปลอ้ ง มีวงจรชีวิตที่ซับซ้อน ตวั อ่อนมีกำรพฒั นำหลำยข้นั ตอน และตอ้ งกำร โฮสทห์ ลำยชนิด ชนิดท่ีพบมำกในสัตวน์ ้ำคือกลุ่มที่อยใู่ นสกลุ เซงก้า (Senga) ปรสิตในสกุลเซงก้า จะมีส่วนหวั เป็ นรูปสี่เหลี่ยมผนื ผำ้ และมีขอหนำมลอ้ มรอบตำมขอบ อวยั วะเกำะดูดเพ่ือยดึ เกำะกบั โฮสต์ มีลกั ษณะเป็นร่องดูดโบเธรีย ไม่มีคอ ส่วนของปลอ้ งลำตวั ส้นั ช่อง เปิ ดของเซลลส์ ืบพนั ธุ์อยกู่ ่ึงกลำงดำ้ นหลงั รังไขอ่ ยสู่ ่วนทำ้ ยตวั มกั พบเป็ นปรสิตอยใู่ นลำไส้ปลำน้ำจืด พวกปลำไน ปลำตะเพยี น และพวกปลำท่ีมีอวยั วะช่วยในกำรหำยใจ เช่น ปลำช่อน ปลำหมอ เป็ นตน้ ปรสิตในกลุ่มน้ีจะอำศยั อยู่ในช่องว่ำงของลำตวั เกำะอยู่ตำมเน้ือเย่ือต่ำงๆ ของโฮสท์ ซ่ึงจะก่อให้เกิดอนั ตรำยในบริเวณเหล่ำน้ัน เกิดอำกำรขำดสำรอำหำร และมีผลต่อกำรเปลี่ยนแปลง ของเลือด รูปที่ 6.17 ลกั ษณะของ Zenga sp และร่องดูดโบเธรียทใ่ี ช้ยดึ เกาะกบั ผนงั ลาไส้ การป้องกนั และกาจัดพยาธิตวั ตืด กำรป้องกนั มกั จะเนน้ ในเร่ืองของกำรทำลำยพำหะที่ เป็นตวั นำพยำธิเขำ้ สู่แหล่งเล้ียง ส่วนสำรเคมีที่ใชใ้ นกำรรักษำ คือ Dylox ควำมเขม้ ขน้ 0.8 ppm หรือ Ziram (zinc dimethyldithiocarbanate) ควำมเขม้ ขน้ 1.0 ppm หรืออำจใชย้ ำกลุ่ม antihelminth เช่น ได-เอน็ -บิว-ทิว-ทิน-ออกไซด์ (Di-n-butyl-tin-oxide) ผสมอำหำรในอตั รำส่วน 0.3 เปอร์เซ็นต์ หรือ 250 มิลลิกริม/น้ำหนกั ปลำ 1 กิโลกรัม/อำหำร 1 วนั กินติดต่อกนั เป็นเวลำ 3 วนั --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

111 2.3 ยาและสารเคมีทใี่ ช้ป้องกนั และจากดั พวกหนอนตัวแบน พวกท่ีเป็นปรสิตภำยนอก เช่น พวกทรีมำโทด ใชป้ ้องกนั และกำจดั ดว้ ยสำรเคมี ดงั ต่อไปน้ี 1) ฟอร์มาลนิ (formalin) ใชใ้ นอตั รำส่วน 25 ซีซี./น้ำ 1 ลิตร แช่นำน 1 ชวั่ โมง ทำซ้ำ เช่นน้ีทุก 2 วนั จนกวำ่ จะหำย กรณีใส่ในบ่อใหใ้ ชฟ้ อร์มำลินควำมเขม้ ขน้ 25 - 30 ppm แช่ตลอด 2) เกลือแกง (NaCI) กรณีปลำเล็กใชใ้ นอตั รำส่วนปอร์เซ็นต์ หรือ 10 - 15 กรัม/น้ำ 1 ลิตร แช่นำน 20 นำที ปลำใหญ่ใช้ 2.5 เปอร์เซ็นต์ หรือ 25 กรัม/น้ำ 1 ลิตร แช่นำน 10 - 15 นำที ในบ่อ ใช้ 10 - 15 กรัม/น้ ำ 1 ลิตร โรยให้ทั่วบ่อ ทิ้งไว้ 1 วนั แล้วถ่ำยน้ ำออก เติมน้ ำใหม่ ทำซ้ ำอีกคร้ัง ภำยใน 7 วนั 3) มาลาไคท์ กรีน ทำใหเ้ ป็ นสำรละลำยก่อนโดยใชใ้ นอตั รำส่วน 1 กรัม/น้ำกลน่ั 500 ซี ซี. เก็บในขวดกนั แสง เวลำใชน้ ำสำรละลำยที่เตรียมไวม้ ำ 3 ซีซี/น้ำ 1 ลิตร แช่นำน 30 นำที แลว้ นำ ปลำไปลงในน้ำสะอำด 4) เมทธิลีน บลู ทำเป็ นสำรละลำยก่อนโดยใช้ในอัตรำส่ วน 1 กรัม/น้ ำร้อน 100 ซีซี เกบ็ ในขวดกนั แสง เวลำใชน้ ำสำรละลำยที่เตรียมไวม้ ำ 2 - 4 ซีซี./น้ำ 1 ลิตร แช่ตลอด 5) ดพิ เทอร์เร็กซ์ เป็ นยำฆ่ำแมลงท่ีใชไ้ ดผ้ ลดีสำหรับพวกทรีมำโทด และบำงคร้ังใชก้ บั พวกโคพีพอดบำงชนิดไดผ้ ลเช่นกนั ใหใ้ ชใ้ นควำมเขม้ ขน้ 0.25 ppm โดยใส่ในบ่อเล้ียงสัปดำห์ละคร้ัง ในกรณีที่ยงั พบทรีมำโทดเกำะอยู่ ใหท้ ำซ้ำติดต่อกนั ทุกๆ สปั ดำห์ เป็นเวลำ 4 สปั ดำห์ พวกที่เป็นปรสิตภำยใน เช่น ทรีมำโทด และเซสโทด กำรจะใชส้ ำรเคมีหรือยำกำจดั จะทำ ไดย้ ำก โดยเฉพำะพวกที่เขำ้ เกรำะจะมีผนังหุ้มหนำแน่น ยำหรือสำรเคมีไม่สำมำรถจะแทรกเขำ้ ไป ทำลำยตวั ปรสิตได้ ดงั น้ันจึงตอ้ งใชว้ ิธีป้องกนั และกำจดั พวกตวั อ่อนของปรสิตเหล่ำน้ีในระยะท่ียงั ไม่ได้เขำ้ ไปอำศยั อยู่ในตวั ปลำ กำรกำจดั ตวั อ่อนปรสิตในบ่อ ทำได้โดยกำรใช้ quicklime 0.5 ppm (0.5 กรัม/น้ำ 100,000 ซีซี.) ใส่ในบ่อ หรือโดยกำรถ่ำยน้ำออกให้หมด แล้วใช้ปูนขำว (แคลเซียม ออกไซด)์ ในอตั รำส่วน 160 - 240 กิโลกรัม ตอ่ ไร่ โรยใหท้ ว่ั บอ่ ตำกบอ่ ทิง้ ไวป้ ระมำณ 7 วนั --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

112 3. หนอนหัวหนาม (Acanthocephala) เป็นหนอนท่ีมีลำตวั กลม เรียวยำวรูปทรงกระบอก หวั ทำ้ ยเรียวเลก็ ตวั มีขนำดใหญ่เห็นไดช้ ดั ส่วนมำกมีควำมยำวถึง 35 มลิ ลิเมตร บำงชนิดยำวมำกถึง 70 มิลลิเมตร ท้งั หมดเป็นปรสิตภำยในอยใู่ น ทำงเดินอำหำรของสัตวม์ ีกระดูกสันหลงั ท้งั ในน้ำและบนบก ซ่ึงรวมท้งั ในมนุษยด์ ว้ ย ลกั ษณะรูปร่ำง สำมำรถแบ่งออกเป็นส่วนๆ ไดอ้ ยำ่ งชดั เจน ดงั น้ี 1) ส่ วนหัว หรือ head มีลกั ษณะเป็ นงวงยืดหดได้ งวงน้ีคือ โพรบอสซีส (proboscis) ซ่ึงมี รูปร่ำงต่ำงๆ กนั ไปหลำยแบบ งวงน้ีสำมำรถจะเหยียดออกหรือหดกลบั เขำ้ ไปไวใ้ นส่วนลำตวั โดยเก็บ ไวใ้ นถุงเก็บงวง “proboscis receptacle” ได้ ส่วนใหญ่แลว้ ท่ีงวงจะมีขอหนำมที่เรียกวำ่ “hook” เรียง กนั อยโู่ ดยรอบ 2) ส่ วนคอ หรือเรียกว่ำ “neck” เป็ นบริเวณรอยต่อเป็ นเส้นแบ่งเขตระหว่ำงหัวกับลำตัว ในบำงกลุ่มส่วนของคอจะเสื่อมหำยไป 3) ส่วนลาตวั หรือเรียกวำ่ “trunk” ส่วนมำกมกั จะกลมเป็นรูปทรงกลม แตม่ ีบำงพวกแบนขำ้ ง เลก็ นอ้ ย ตอนตน้ ๆ ของลำตวั จะกวำ้ งกวำ่ ส่วนทำ้ ย ผวิ ตวั ส่วนใหญจ่ ะเรียบ แต่อำจมีบำงชนิดที่มีผวิ ตวั ยน่ เห็นเป็ นรอยตำมขวำงตวั ระบบสืบพนั ธุ์ของพวกหนอนหวั หนำม เป็ นแบบที่มีเพศแยก ตวั ผู้ ตวั เมีย อยคู่ นละตวั กนั ตวั ผจู้ ะมีขนำดเลก็ กวำ่ ตวั เมีย ส่วนใหญแ่ ลว้ ตวั ผตู้ วั เมียมีลกั ษณะภำยนอกคลำ้ ยกนั รูปที่ 6.18 ลกั ษณะทวั่ ไปของหนอนหัวหนาม --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

113 วงจรชีวิต ไข่ที่ได้รับกำรผสมแลว้ จะปนออกมำกบั อุจจำระของโฮสท์ ตวั สุดทำ้ ย ซ่ึงได้แก่ สัตวม์ ีกระดูกสนั หลงั ปลำ กบ สตั วเ์ ล้ือยคลำน จำกน้นั จะถูกพวกไรน้ำหรือแมลงซ่ึงเป็นโฮสทร์ ะยะตน้ กินเขำ้ ไป ไข่กจ็ ะเจริญเติบโตเป็ นตวั อ่อนระยะแรก และมีกำรเปล่ียนแปลงรูปร่ำง ตวั อ่อนจะมีรูปร่ำง ยำวข้ึน เปล่ียนไปเป็ นตวั อ่อนระยะท่ี 2 และจะมีกำรเจริญเติบโตข้ึนเรื่อย ๆ จนเป็ นตวั อ่อนระยะท่ี 3 ซ่ึงจะมีกำรสร้ำงเกำะและฝังอยูต่ ำมเน้ือเยื่อ และอวยั วะตำ่ ง ๆ ของโฮสท์ จนกวำ่ จะมีโฮสตต์ วั สุดทำ้ ยมำ กินโฮสท์ระยะตน้ น้ี ตวั อ่อนในเกรำะ จะถูกน้ำย่อยในกระเพำะอำหำรย่อยให้แตกออก หนอนหัว หนำมจะเจริญเติบโตเป็นตวั เตม็ วยั อยใู่ นทำงเดินอำหำรของโฮสทต์ วั สุดทำ้ ยและแพร่พนั ธุ์ต่อไป หนอนหัวหนำมท่ีพบเป็ นปรสิตอยู่ในปลำ จะพบอยู่ในทำงเดินอำหำร กระเพำะ ลำไส้ ท้งั ลำไส้เล็กและแขนงลำไส้โดยจะฝังส่วนหัวหนำม หรืองวงลงไปตำมผนังบริเวณท่ีเกำะ ซ่ึงจะ ทำอนั ตรำยต่อผนงั ลำไส้มำก ปลำที่มีปรสิตน้ีอำศยั อยู่มกั จะมีส่วนทอ้ งบวมข้ึน และจะเห็นตวั ปรสิต โผล่ออกมำทำงช่องขบั ถ่ำยของปลำแลว้ ปลำจะไมค่ อยกินอำหำรและจะตำยในที่สุด รูปที่ 6.19 หนอนหวั หนามจานวนมากฝังส่วนหัวในผนงั กระเพาะอาหารของปลาทะเล พวกหนอนหวั หนำมที่เป็นปรสิตในปลำและสตั วน์ ้ำมีเป็ นจำนวนมำก แตช่ นิดที่พบมำกในปลำ ไดแ้ ก่ 1) Pallisentis nagpurensis พบเป็ นปรสิตอยู่ในลำไส้ปลำช่อน ปลำหมอไทย ปลำตูหนำ และปลำน้ำจืดอ่ืน ๆ มีลำตวั เรียวยำว งวงค่อนขำ้ งกลม ส้ัน ตำมตวั จะมีหนำมรอบตวั แต่ไม่ตลอดท้งั ตวั หนำมตำมตวั น้ี จะแบ่งเป็ น 2 ส่วน คือส่วนตน้ ท่ีติดกบั งวงจะมีแถวของหนำมเรียงกนั ถ่ีๆ ประมำณ 6 - 14 แถวถัด ออกไป แถวจะห่ำงมำกข้ึน มีอยู่ 20 - 40 แถว ปลำยหำงมน ในตัวผูม้ ีอวยั วะช่วยในกำรสืบพันธุ์ (gonopore) อยู่ปลำยสุดของส่วนหำง ส่วนตัวเมียมีวูลว่ำ (vulva) ตวั อ่อนเป็ นปรสิตในพวกกุ้ง ปู และไรน้ำ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

114 2) Acanthocephalus anguillae พบเป็นปรสิตอยใู่ นลำไส้ของปลำทะเลและปลำน้ำจืด เช่น ปลำไหลทะเล Anguilla anguilla, Barbus barbus, ปลำทอง เป็นตน้ มีงวงรูปถว้ ย ดำ้ นหนำ้ กวำ้ งกวำ่ ดำ้ นทำ้ ย แถวของขอหนำม เรียงตำมยำว 10 แถว แตล่ ะแถวมี 5 - 6 อนั ขอหนำมเจริญดี ยกเวน้ ขอหนำมอนั สุดทำ้ ยในแตล่ ะแถว ซ่ึงไม่เจริญ มีลกั ษณะเป็นหนำม (spine) เลก็ ๆ การกาจัดปรสิตพวกหนอนหัวหนาม กำรจำกดั ปรสิตพวกหนอนหวั หนำมท่ีอยูใ่ นสัตวน์ ้ำ ค่อนขำ้ งทำไดย้ ำก เพรำะเป็ นปรสิต ภำยใน ไม่สำมำรถจะทำไดด้ ว้ ยสำรเคมีท่ีใชใ้ นกำรกำจดั ปรสิตภำยนอก อำจจะใชย้ ำถ่ำยพยำธิเพ่ือฆ่ำ พยำธิในลำไส้ แต่ก็ทำไดย้ ำกและไม่ไดผ้ ลนกั วธิ ีที่ดีท่ีสุด คือกำรป้องกนั ไวก้ ่อน โดยดูแลสุขภำพของ สัตวน์ ้ำให้แข็งแรง มีกำรจดั กำรท่ีดี และกำรกำจดั ตวั อ่อนของปรสิตในระยะท่ีอยู่ในโฮสต์ระยะตน้ หรือระยะท่ีเป็ นไข่อยใู่ นน้ำ โดยกำรใชค้ วิคไลม์ (ปูนขำว) ควำมเขม้ ขน้ 0.5 ppm ทำลำยพวกตวั อ่อน ของปรสิตเหล่ำน้ี หรือกำรตำกบ่อ โดยถ่ำยน้ ำออกให้หมด ใช้ปูนขำวในอัตรำส่วน 160 – 240 กิโลกรัมต่อไร่ โรยให้ท่ัวบ่อ ตำกบ่อทิ้งไว้ประมำณ 7 วนั ถ่ำยน้ ำเข้ำปล่อยทิ้งไว้ 10 - 15 วนั จึงปล่อยสัตวน์ ้ำลงเล้ียง 4. พยาธเิ ส้นด้าย (Nematoda) เป็นพวกหนอนตวั กลมท่ีลำตวั ไม่แบ่งเป็นปลอ้ ง มีรูปร่ำงเพรียวยำวคลำ้ ยเส้นดำ้ ย จึงมีชื่อเรียก ทวั่ ไป วำ่ “พยำธิเส้นด้ำย” (thread worms) ปกติจะมีสีขำวหรือสีเน้ือ มีขนำดแตกต่ำงกนั ไป ต้งั แต่ ชนิดท่ีเล็กมำกมองดว้ ยตำเปล่ำไมเ่ ห็น ไปจนถึงขนำดใหญ่ยำวเป็ นเมตร เป็นไฟลมั ขนำดใหญ่มีสมำชิก มำกเป็ นลำ้ นๆ ชนิด ท้งั ที่ดำรงชีวิตเป็ นอิสระ และพวกท่ีเป็ นปรสิต ซ่ึงมีท้งั ท่ีเป็ นปรสิตภำยในของท้งั พืชและสตั ว์ ท้งั มีกระดูกสันหลงั และไม่มีกระดูกสนั หลงั ท่ีอำศยั อยใู่ นน้ำและบนบก ลกั ษณะทวั่ ไปของนีมำโทด เป็นหนอนตวั กลมรูปทรงกระบอกเพรียวยำว หวั ทำ้ ยแหลม ลำตวั ปกคลุมดว้ ยเยอื่ คลุมพวกไฮยำลิน (hyaline) ถดั เขำ้ ไปเป็นช้นั subcuticula ที่ออ่ นนุ่ม ไม่มีอวยั วะ เกี่ยวกบั กำรหมุนเวยี นโลหิต ใชผ้ วิ ตวั เป็นที่ดูดซึมและแลกเปลี่ยนกำ๊ ช มีเส้นประสำทเป็นวงแหวน (nerve ring) ลอ้ มรอบส่วนของหลอดอำหำรไว้ กำรขบั ถ่ำยของเสียจะมีท่อยำวรูปทรงกระบอกรับของ เสียจำกอวยั วะต่ำงๆ รวมกนั ส่งออกนอกตวั ทำงช่องเปิ ดเอคครีทอรี่ พอร์ (excretory pore) ซ่ึงส่วน ใหญ่จะมีอยอู่ นั เดียว อยบู่ ริเวณตรงกลำงตวั ดำ้ นทอ้ งใกลก้ บั ส่วนกลำงของหลอดอำหำร เป็ นพวกท่ีมี เพศแยกคนละตวั ตวั ผมู้ กั มีขนำดเลก็ กวำ่ ตวั เมีย --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

115 รูปที่ 6.20 ลกั ษณะทวั่ ไปของพยาธิเส้นด้าย ตวั อยำ่ งของนีมำโทดท่ีเป็ นปรสิตในสตั วน์ ้ำมีมำกมำย ไดแ้ ก่ 1) สกุลอะนิซาคีส (Anisakis) ตวั เตม็ วยั พบเป็ นปรสิตอยูใ่ นกระเพำะอำหำร และลำไส้ของพวกแมวน้ำ ปลำโลมำ และสัตวเ์ ล้ียงลูกดว้ ยนมในทะเล ส่วนตวั อ่อนจะพบอยใู่ นทำงเดินอำหำรของปลำทะเลแทบทุกชนิด 2) Gnathostoma spinigerum รู้จกั กนั ทว่ั ไปว่ำ “พยำธิตวั จี๊ด” ซ่ึงตวั เต็มวยั พบอยู่ในกระเพำะอำหำรของเสือ สุนัข แมว หนู ซ่ึงเป็นโฮสทต์ วั สุดทำ้ ยที่แทจ้ ริง ส่วนปลำน้ำจืดทวั่ ๆ ไป เช่น ปลำดุก ปลำช่อน ปลำไหล ปลำ บู่ จะเป็ นโฮสทร์ ะยะตน้ ตวั ที่ 2 ปรสิตชนิดน้ี สำมำรถพบในคนแต่จะไมส่ ำมำรถเจริญจนถึงข้นั สืบพนั ธุ์ ได้ เนื่องจำกคนไม่ใช่โฮสท์ตวั สุดท้ำยท่ีแทจ้ ริง ดงั น้ัน ในคนจะพบระยะตวั อ่อน (immature) อยู่ที่ ผิวหนัง และแทรกไชไปตำมอวยั วะต่ำง ๆ ในร่ำงกำยทำให้เกิดอำกำรเจ็บป่ วย เกิดอนั ตรำยร้ำยแรง กบั คนได้ ตวั อย่ำงพยำธิตวั จ๊ีดที่พบในปลำ จะมีเยื่อบำงๆ หุ้มเป็ นเกรำะติดอยูต่ ำมอวยั วะต่ำงๆ ในช่องทอ้ ง ติดอยู่ตำมผนังด้ำนนอกของกระเพำะอำหำร หรือพบฝังอยู่ในตบั ตำมเย่ือไขมนั ในช่อง ท้องของปลำน้ำจืดทั่วๆ ไป เช่น ปลำหมอไทย ปลำดุก ปลำช่อน เป็ นต้น นอกจำกน้ียงั พบอยู่ใน กลำ้ มเน้ือ และในอวยั วะภำยในของปลำอีกดว้ ย --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

116 การจากดั และป้องกนั พวกนีมาโทด กำรกำจดั ทำไดย้ ำกและยงั หำวิธีท่ีไดผ้ ลแน่นอนไม่ได้ เนื่องจำกเป็ นปรสิตภำยใน และไม่ได้ เป็ นสำเหตุที่ทำใหป้ ลำตำยทนั ที แต่จะทำลำยสุขภำพของปลำ ทำให้ปลำอ่อนแอ และเป็ นสำเหตุโนม้ นำให้เกิดกำรติดเช้ือแบคทีเรีย หรือเช้ือรำไดง้ ่ำยข้ึน กำรกำจดั ปรสิตเหล่ำน้ี ทำไดโ้ ดยกำรกำจดั ตวั อ่อน พำหะ หรือโฮสท์ระยะตน้ ของปรสิตในกลุ่มน้ี โดยกำรใชป้ ูนขำว ทำควำมสะอำดบ่อ หรือภำชนะที่ เล้ียงก่อนจะปล่อยปลำลงเล้ียง อยำ่ งไรก็ตำม ปรสิตในกลุ่มน้ีส่วนใหญ่มกั จะไมเ่ ป็ นอนั ตรำยร้ำยแรงกบั สัตวน์ ้ำ แต่จะเป็ นอนั ตรำยกับผูบ้ ริโภค ซ่ึงตอ้ งระมดั ระวงั ในกำรบริโภคปลำ กุ้ง หรือสัตว์น้ำดิบ จำเป็นตอ้ งทำใหส้ ุกดว้ ยควำมร้อนก่อน เพอื่ ฆำ่ ปรสิตเหล่ำน้ีใหห้ มดไป 5. หนอนตวั กลมทลี่ าตัวเป็ นปล้อง (Annelida) เป็นหนอนตวั กลมท่ีลำตวั แบ่งปลอ้ งอยำ่ งแทจ้ ริง ส่วนใหญ่จะเป็ นพวกที่ดำรงชีวติ อยำ่ งอิสระ อำศยั อยทู่ ้งั ในน้ำจืด น้ำเคม็ และบนบก มีเพียงส่วนนอ้ ยที่เป็นปรสิตในส่ิงมีชีวติ ท่ีพบเป็นอนั ตรำยตอ่ สตั วน์ ้ำ คือ ปลิง (Leech) ปลิง (leech) เป็ นหนอนตวั กลม หรือค่อนขำ้ งกลม ตวั สำมำรถหดส้ันหรือเหยยี ดยำวออกไป ได้ มองเห็นตวั เป็ นปลอ้ งๆ ตวั มีขนำดยำวต้งั แต่ 3 - 50 มิลลิเมตร ดำ้ นทำ้ ยตวั จะมีซัคเกอร์ ลกั ษณะ ก ล ม ให ญ่ ค ล้ำยรู ป ถ้วย ค ว่ำ เป็ น ซั ค เก อ ร์ ท้ำย ตัว (posterior sucker) ช่ วย ใน ก ำรยึด เก ำะ และ ที่บริเวณดำ้ นหนำ้ รอบๆ ปำก จะเป็นปำกดูด (oral sucker) ใชส้ ำหรับดูดเลือดจำกตวั สตั วน์ ้ำ รูปท่ี 6.21 ลกั ษณะทวั่ ไปของปลงิ (leech) ปลิง นับว่ำเป็ นปรสิตช่ัวครำว หรือเรียกว่ำ “เทมโพรำร่ี พำรำไซท์” (temporary parasite) เพรำะจะเขำ้ เกำะกบั สัตวน์ ้ำ เฉพำะในช่วงเวลำที่ตอ้ งกำรอำหำรเท่ำน้นั เมื่อดูดกินเลือดจนอิ่มแลว้ ก็จะ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

117 ผละออกไปว่ำยน้ำเป็ นอิสระ ในขณะที่เข้ำดูดเลือดจะใช้ปำกท่ียืดหดได้ ซ่ึงอยู่กลำงออรัล ซัคเกอร์ ทำหนำ้ ท่ีดูดเลือด และจะปล่อยน้ำยอ่ ย hirudin และสำรที่ป้องกนั กำรแขง็ ตวั ของเลือด (anticoagulant) ออกมำ ทำใหเ้ ลือดของเหยอื่ ไม่แขง็ ตวั เลือดไหลเขำ้ สู่ตวั ปลิงไดส้ ะดวก สัตวน์ ้ำท่ีถูกปลิงเกำะและดูด เลือด จะมีอนั ตรำยมำกนอ้ ยข้ึนอยูก่ บั ปริมำณของเลือดท่ีสูญเสีย อีกท้งั รอยแผลเปิ ดท่ีเกิดจำกปำกดูด ของปลิง จะเป็ นช่องทำงให้เช้ือแบคทีเรีย ไวรัส และเช้ือรำ เขำ้ แทรกทำให้เกิดโรคอื่นๆ ตำมมำได้ นอกจำกน้ีปลิงยงั เป็ นตวั แพร่เช้ือโปรโตซัวบำงชนิดที่อยู่ในเลือด เช่น พวก Trypanosoma sp ที่อยู่ใน เลือดปลำตวั หน่ึงอำจถูกถ่ำยทอดไปสู่ปลำอีกตวั ได้ ทำให้เกิดกำรแพร่กระจำยของโรคต่ำงๆ ไดง้ ่ำย และรวดเร็ว รูปท่ี 6.22 การใช้ซัคเกอร์ด้านท้ายตวั (posterior sucker) และปากดูด (oral sucker) ในการเกาะตดิ และดูดเลือดจากตวั ปลา การกาจัดปลงิ วิธีกำรท่ีจะทำให้ปลิงที่ดูดเกำะกินเลือดอยู่หลุดออกจำกตวั โฮสท์ สำมำรถทำได้หลำยวิธี ดว้ ยกนั ไดแ้ ก่ 1) ใชค้ วำมร้อนจำกไมข้ ีดไฟ หรือบุหร่ีจ้ีที่ตวั ปลิงสักครู่ ปลิงจะหลุดออกมำ 2) ใชแ้ อลกอฮอล์ หรือน้ำส้มสำยชู จ้ีท่ีตวั ปลำ 3) แช่ปลำในเกลือแกง ควำมเขม้ ขน้ 2 - 5 เปอร์เซ็นต์ นำน 15 นำที ปลิงจะหลุดออก แตถ่ ำ้ แช่นำนถึง 1 ชวั่ โมง ปลิงจะตำย 4) แช่ในคิวพริค คลอไรด์ (Cupric chloride) 0.005 เปอร์เซ็นต์ นำน 15 นำที 5) แช่ในแกลเซียล อะซีติด แอซิด (glacial acetic acid) เขม้ ขน้ 1:1,000 นำน 1 นำที 6) จุม่ ใน ไลซอล (lysol) ควำมเขม้ ขน้ 0.2 เปอร์เซ็นต์ นำน 5 - 15 นำที --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

118 6. อาร์โธรโปด้า (Arthropoda) เป็นไฟลมั ที่มีขนำดใหญ่มำก สตั วใ์ นไฟลมั น้ีมีท้งั ที่อยบู่ นบก ในน้ำและในอำกำศ มีท้งั ท่ี ดำรงชีวติ อยำ่ งอิสระ และเป็นปรสิตในสตั วม์ ีกระดูกสนั หลงั และไมม่ ีกระดูกสันหลงั แตก่ ลุ่มที่พบเป็น ปรสิตในสตั วน์ ้ำ ไดแ้ ก่ 6.1 Branchiura สตั วใ์ นกลุ่มน้ี ที่พบเป็ นปรสิตและทำควำมเสียหำยมำกใหก้ บั สตั วน์ ้ำ และเป็ นที่รู้จกั กนั ทวั่ ไป ไดแ้ ก่ สกุลอำร์กลู สั Argulus มีช่ือเรียกทว่ั ๆ ไป วำ่ “เห็บปลำ” (fish lice) ซ่ึงจะมีรูปร่ำงแบน ส่วนหวั และอก (cephalothorax) คลุมดว้ ยคำรำเพส (carapace) ซ่ึงเป็นสำรพวกไคติน มีลกั ษณะกลมแผ่ กวำ้ งไปทำงดำ้ นขำ้ ง ทำหนำ้ ท่ีช่วยในกำรหำยใจ ลำตวั เป็นปลอ้ งๆ เช่ือมติดกนั ปำกเจริญดี มีหนวด (antennae) 2 คู่ ปลำยเป็นเลบ็ คม, มี preoral sting คลำ้ ยกบั เขม็ แหลมอยทู่ ี่บริเวณส่วนหนำ้ ของปำก ส่วนของแมกซิลล่ำ (maxilla) คูท่ ่ี 2 เปล่ียนไปเป็นแผน่ ยดึ เกำะ (sucker disk) ขำ 4 คู่แรกเจริญดี ใชใ้ น กำรวำ่ ยน้ำ แตข่ ำคูท่ ี่ 5 และ 6 เสื่อมหำยไป วำ่ ยน้ำโดยกำรใชส้ ่วนทอ้ ง (abdomen) หรือยโู รโซม (urosome) ท่ีอยสู่ ่วนทำ้ ยสุดของตวั ซ่ึงมีลกั ษณะเป็น 2 แฉกคลำ้ ยหำงปลำเป็นเสมือนหำงเสือ หำยใจ ดว้ ยเหงือก และทำงผวิ หนงั รูปที่ 6.23 ลกั ษณะรูปร่าง และโครงสร้างต่างๆ ของ Argulus sp เห็บปลำ มีอวยั วะสืบพนั ธุ์อยู่บริเวณส่วนทอ้ ง ตวั ผูม้ ีถุงอณั ฑะใหญ่ 2 อนั ตวั เมียมีถุงรับ น้ ำเช้ืออสุ จิมำเก็บไว้เพื่อกำรผสมพันธุ์เรียกว่ำ “spermatheca” มีขนำดเล็ก 1 คู่ มีลักษณะกลม มีรังไข่อยบู่ ริเวณกลำงตวั ดำ้ นหลงั ของคำรำเพส มีตำรวม 1 คู่ใหญ่ และระหวำ่ งตำน้ีจะมีตำเด่ียว 1 อนั เล็กๆ ระหวำ่ งตำท้งั 3 มีงวงใหญ่ (probosis) ทำหน้ำที่ยดึ เกำะกบั โฮสท์ โดยจะทำลำยผวิ ตวั เขำ้ ไปดูด --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

119 กินเลือด ปำกอยดู่ ำ้ นหลงั ของงวง มีทำงเดินอำหำรส้ัน แต่มีสำขำแยกออกไปมำกมำย และมกั มีเลือด อยเู่ ตม็ เสมอ ดงั น้นั ปรสิตพวกน้ีจึงสำมำรถอยโู่ ดยไมก่ ินอำหำรนำนเป็ นสปั ดำห์ได้ “เห็บปลำ” มีสีตวั อยูร่ ะหวำ่ งเขียวอ่อนจนถึงเขียวแกมเหลือง และสีน้ำตำล ถำ้ หำกกิน อำหำรอุดมสมบูรณ์ สีตวั จะเขม้ ข้ึน เน่ืองจำกสีเลือดของโฮสทท์ ี่อยใู่ นกระเพำะ ตวั เมียมีขนำดยำว 6 - 9 มิลลิเมตร ส่วนตวั ผยู้ ำวเพียง 4 - 5 มิลลิเมตร พบเป็นปรสิตเกำะตำมตวั และครีบ ของปลำกระดูกแขง็ ท้งั น้ำจืดและทะเล รูปที่ 6.24 -25 Argulus sp จานวนหนง่ึ เกาะทผ่ี วิ ตวั ปลา Argulus จะพบเสมอๆ ในปลำน้ำจืดเกือบทุกชนิด เช่น ปลำตะเพียน ปลำไน ปลำทอง ปลำแรด ปลำหมอ เป็นตน้ ชนิดที่พบมำกท่ีสุด คือ A. foliacious วงจรชีวิต ฤดูผสมพันธุ์ของเห็บปลำอยู่ระหว่ำงเดือนเมษำยนถึงกันยำยน เห็บปลำ แพร่กระจำยมำยงั เขตร้อนโดยอำศยั มำกบั พวกไรน้ำหรืออำหำรท่ีมีชีวิตอ่ืนๆ มีโอกำสนอ้ ยมำกท่ีจะจบั เห็บปลำท่ีกำลงั วำ่ ยน้ำเป็ นอิสระได้ มนั จะวำ่ ยน้ำเป็ นอิสระก็ต่อเมื่อออกหำเหยือ่ ตวั ใหม่หรือเตรียมตวั สืบพนั ธุ์ และจะพบมำกอีกทีก็ตอนท่ีไข่กำลงั จะฟักออกเป็ นตวั ก่อนที่จะวำ่ งไข่ตวั เมียจะมีลำตวั บวม เป่ ง จะวำงไข่เป็ นกระจุกติดอยูบ่ นกอ้ นหินหรือบนกระจกก็ได้ ไข่มีสีเหลืองซีด ลกั ษณะแบน ตวั ผเู้ ม่ือ ผสมพนั ธุ์แลว้ จะตำย ส่วนตวั เมียเมื่อวำงไข่แลว้ จะตำยเช่นกนั ไขใ่ ชเ้ วลำในกำรฟักออกเป็ นตวั ประมำณ 1 เดือน ท้งั น้ีข้ึนอยูก่ บั อุณหภูมิของน้ำและสภำพแวดลอ้ ม เห็บปลำตวั เมียมกั มีจำนวนมำกกว่ำตวั ผู้ กำรผสมพนั ธุ์บำงคร้ังจะเกิดข้ึนในขณะท่ีตวั เมียเกำะอยบู่ นตวั โฮสต์ และตวั เมียก็จะผละจำกโฮสทเ์ พื่อ ไปวำงไข่ ตวั เมียตวั หน่ึงๆ มีไข่คร้ังละ 100 - 400 ฟอง เม่ือไข่ฟักเป็ นตวั ตวั อ่อนกจ็ ะหำโฮสทเ์ กำะอำศยั จนเป็นตวั เตม็ วยั ต่อไป --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

120 เห็บปลำนอกจำกจะเกำะที่ผิวตวั ปลำ ทำให้ปลำเกิดกำรระคำยเคือง และเกิดบำดแผล ซ่ึงเป็นสำเหตุใหพ้ วกแบคทีเรียและเช้ือรำเขำ้ แทรกแลว้ ยงั เป็นพำหะนำเช้ือโรคจำกปลำตวั หน่ึงไปสู่อีก ตวั หน่ึงไดอ้ ีกดว้ ย การป้องกนั วธิ ีควบคุมเห็บปลำในบอ่ ที่ดีท่ีสุด คือ กำรป้องกนั ท้งั ทำงตรงและทำงออ้ ม ท้งั ในบอ่ ลูกปลำและบ่อปลำอื่นๆ ดว้ ย 1) เคลื่อนยำ้ ยพวกวสั ดุต่ำงๆ รวมท้ังพืชน้ำที่เห็บปลำจะใช้ในกำรวำงไข่ออกจำกบ่อ หำแผ่นไม้มำวำงลงในบ่อ และเม่ือเห็นไข่ของเห็บปลำเกิดข้ึน ก็นำแผ่นไม้น้ันมำตำกแดดให้แห้ง เพือ่ ฆำ่ เสียใหห้ มด 2) ยำ้ ยปลำท่ีตำยและที่มีเห็บปลำเกำะออกจำกบอ่ 3) ใชต้ ะแกรงลวดซ่ึงจะป้องกนั เห็บปลำตวั เตม็ วยั ได้ แต่ไม่สำมำรถป้องกนั ตวั อ่อนได้ 4) ปล่อยกระแสน้ำแรงลงบ่อ และทำให้อุณหภูมิของน้ำต่ำ และกนั แสงเขำ้ บ่อ จะทำให้ ไข่ไมส่ ำมำรถเจริญฟักออกเป็นตวั ออ่ นได้ การกาจัด 1) ใชป้ ำกคีบดึงเห็บปลำออก โดยดึงจำกดำ้ นหวั ไปหำง ในกรณีท่ีเกำะอยเู่ ป็นจำนวนนอ้ ย แลว้ ใชย้ ำเหลืองทำตรงแผลเพอื่ ป้องกนั กนั แบคทีเรียและเช้ือรำ 2) หยดน้ำเกลือเขม้ ขน้ ลงไป 1 - 2 หยดบนตวั เห็บปลำ และเข่ียเบำ ๆ เห็บปลำจะหลุดได้ โดยง่ำย โดยที่ไมท่ ำใหป้ ลำเกิดบำดแผล แลว้ ใชย้ ำเหลืองทำซ้ำ 3) ในบอ่ ท่ีมีเห็บปลำมำกๆ ใหใ้ ชด้ ่ำงทบั ทิม ควำมเขม้ ขน้ 0.25 กรัมต่อน้ำ 1 แกลลอน (ประมำณ 4.5 ลิตร) ทำใหเ้ ป็นสำรละลำย แลว้ รำดลงในบอ่ เพื่อกำจดั เห็บปลำ แต่ตอ้ งระวงั ถำ้ น้ำเป็ น กรดหรือด่ำงอ่อนๆ ด่ำงทบั ทิมจะทำอนั ตรำยกบั เหงือกปลำ ซ่ึงสำมำรถแกไ้ ขไดโ้ ดยกำรเพมิ่ ออกซิเจน ใหก้ บั ปลำ 4) ใชด้ ่ำงทบั ทิม ควำมเขม้ ขน้ 1 ppm แช่นำน 30 นำที หรือเขม้ ขน้ 0.5 เปอร์เซ็นต์ แช่ นำน 8 นำที 5) ใชแ้ อมโมเนียมคลอไรด์ ควำมเขม้ ขน้ 500 ppm แช่นำน 24 ชวั่ โมง 6) ใชไ้ ลซอล (Lysol) ควำมเขม้ ขน้ 2,000 ppm แช่นำน 5 - 15 วนิ ำที --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

121 7) ใช้ ดิพเทอร์เร็กซ์ ควำมเขม้ ขน้ 0.25 ppm แช่ในบ่อไวเ้ ลย 8) ใชน้ ีกวู อน (Neguvon) อตั รำส่วน 1:1,000 ใส่ในบ่อ จนกวำ่ จะหำย 6.2 Copepoda โคพีพอด เป็ นกลุ่มของสตั วน์ ้ำท่ีพบดำรงชีวิตไดอ้ ยำ่ งอิสระ หรือเป็นปรสิตเกำะอำศยั อยู่ กบั สิ่งมีชีวติ อื่น โดยเกำะอำศยั อยภู่ ำยนอก รูปร่ำงลกั ษณะแบง่ ออกเป็ น 3 ส่วน คือ ส่วนหวั อก และ ทอ้ ง ส่วนหวั และอกบำงปลอ้ งจะรวมกนั เรียกวำ่ cephalothorax ส่วนหวั มีหนวด 2 คู่ ปลำยของหนวดคู่ ท่ี 2 โคง้ งอเป็นตะขอช่วยในกำรยดึ เกำะ ปำกส่วนใหญ่เป็ นชนิดเจำะดูด เกิดจำกกำรรวมประกบกนั ของ ริมฝีปำกบนและริมฝีปำกล่ำง เกิดเป็นปลอกหุม้ เป็นงวง ภำยในงวงมีเขม็ (stylet) ซ่ึงมีลกั ษณะแบน ปลำยแหลม, รยำงคอ์ กมี 5 คู่ ส่วนของรยำงคแ์ บ่งเป็ นขอ้ ๆ ตอ่ กนั และอำจมีขนหรือหนำม. บำงชนิด ส่วนของปลอ้ งลำตวั และรยำงคจ์ ะเส่ือมมีขนำดเล็กลง หรือไมม่ ีเลย, ปลอ้ งอกปลอ้ งสุดทำ้ ยหรือ 2 ปลอ้ ง สุดทำ้ ยเป็นปลอ้ งที่มีอวยั วะสืบพนั ธุ์อยจู่ ึงเรียกวำ่ “ปลอ้ งสืบพนั ธุ์” (genital segment) ตวั เมียมีปลอ้ ง สืบพนั ธุ์ขนำดใหญก่ วำ่ ในตวั ผู้ และมีถุงไข่ยำว มีไข่เรียงเป็นแถว มีไข่เรียงกนั แน่นเป็ นกลุ่มหลำยแถว ส่วนทอ้ งมี 1 - 5 ปลอ้ ง มีรยำงคเ์ พียง 1 คู่ ท่ีปลอ้ งสุดทำ้ ย เปล่ียนไปเป็น caudal rami หรือแพนหำง รูปท่ี 6.26 ลกั ษณะรูปร่างโดยทว่ั ไปของโคพพี อด --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

122 โคพีพอดที่เป็ นปรสิตของสัตว์น้ำมีเป็ นจำนวนมำก พบในสัตวท์ ้งั น้ำจืดและน้ำเค็ม ที่ พบมำก และรู้จกั กนั แพร่หลำย ไดแ้ ก่ 1) สกลุ เออร์กาซิลสั (Ergasilus) Ergasilus sp มีรูปร่ำงแบบไซคลอพ ดำ้ นทำ้ ยตวั แคบ หวั อำจเชื่อมกบั ปลอ้ งแรกหรือ บำงทีก็ไม่เชื่อม ส่วนทอ้ งในตวั เมีย มี 3 ปลอ้ ง ส่วนในตวั ผู้ มี 4 ปลอ้ ง แพนหำงส้ัน ถุงไข่ยำว หรือ ค่อนขำ้ งพอง ภำยในมีเม็ดไข่เล็กๆ จำนวนมำก จะพบเฉพำะตวั เมียเกำะเป็ นปรสิตท่ีบริเวณซ่ีเหงือก ผวิ ตวั ของปลำท้งั น้ำจืด น้ำกร่อย และปลำทะเล ทวั่ ไป ส่วนตวั ผจู้ ะพบวำ่ ยน้ำเป็นอิสระ ปรสิตชนิดน้ี เมื่อเกำะกบั ปลำจะทำใหเ้ กิดโรคเรียกวำ่ “เออกำซิโลซีส” (Ergasilosis) โดยจะทำลำยส่วนของซ่ีเหงือก ทำใหพ้ ้ืนท่ีแลกเปลี่ยนกำ๊ ซออกซิเจนลดลง ปลำจะขำดออกซิเจน นอกจำกน้ี แผลท่ีเกิดจำกกำรเกำะของ ปรสิต จะเป็นตน้ เหตุใหเ้ ช้ือรำ และแบคทีเรียเขำ้ แทรกไดง้ ่ำย รูปที่ 6.27 Ergasilus sp จานวนมาก เกาะอยู่ทบี่ ริเวณซี่เหงือก การกาจัด 1) ใชส้ ่วนผสมของคอพเปอร์ ซลั เฟต กบั เฟอริค ซลั เฟต ในอตั รำส่วน 5:2 นำสำรเคมี ท้งั 2 ในอตั รำส่วนดงั กล่ำวมำทำเป็นสำรละลำย นำมำใช้ 7 กรัม/น้ำ 10 ลิตร หรือใชค้ วำมเขม้ ขน้ 0.7 ppm แช่นำน 6 - 9 วนั 2) ใช้ ดี ดี ที ควำมเขม้ ขน้ 0.02 - 0.01 ppm แช่ปลำจนปรสิตหลุดออก ซ่ึงจะใชเ้ วลำ ประมำณ 2 - 3 ชวั่ โมง และปลำสำมำรถจะมีชีวติ อยใู่ นน้ำท่ีมีสำรละลำยน้ีไดห้ ลำยวนั 3) ใชโ้ บรเมกซ์ (Bromex) ควำมเขม้ ขน้ 0.3 ppm ใส่ในบ่อเพ่ือกำจดั Ergasilus ทุกๆ 2 สัปดำห์ ควรใชต้ ิดต่อกนั 4 - 6 วนั --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

123 2) สกุลเลอเนีย (Lernaea) Lernaea sp มีชื่อเรียกทว่ั ๆ ไปวำ่ “หนอนสมอ” (anchor worm) เน่ืองจำกส่วนหัว จะมีลกั ษณะเหมือนสมอยื่นออกไป 2 - 4 แฉก ส่วนหวั จะเป็ นส่วนท่ีฝังแน่นอยูใ่ นเน้ือเยื่อของโฮสท์ ส่วนของคอจะอ่อนนุ่ม ลกั ษณะเรียวหรือทรงกระบอก และค่อยๆ เพิ่มขนำดใหญ่ข้ึนไปจนถึงส่วนของ ลำตวั ซ่ึงเป็ นรูปทรงกระบอกเช่นกนั ลำตวั มี 2 ลอน ส่วนทอ้ งส้ันประกอบดว้ ย 3 ปลอ้ ง ปลำยสุดมี แพนหำงเล็ก ๆ เป็ นปล้อง 1 คู่ มีถุงไข่ยำวรูปไข่ ไข่อยู่กนั เป็ นกลุ่มแถว พบเป็ นปรสิตในสัตวน์ ้ำ เฉพำะเพศเมีย โดยจะฝังส่วนของสมอในเน้ือเย่ือตำมลำตวั ของปลำน้ำจืด ส่วนเพศผูด้ ำรงชีวิตอย่ำง อิสระ รูปท่ี 6.28 ลกั ษณะทว่ั ไป และส่วนหวั ทแี่ ตกต่างกนั ของหนอนสมอชนดิ ต่างๆ วงจรชีวิต ไข่มีรูปร่ำงกลม หรือรี สีค่อนขำ้ งเขียว เมื่อไข่แก่ จะฟักออกเป็ นตวั อ่อน ระยะนอเพลียส (nauplius) และจะลอกครำบไปเป็ นระยะโคพีโพดิด (copepodid) ซ่ึงระยะน้ีจะเกำะตวั ปลำเพ่ือกินเมือกที่ผิวตวั เป็ นอำหำร ระยะโคพีโพดิดข้นั แรกๆ ยงั เป็ นเพศรวม จนเมื่อถึงข้นั ท่ี 5 จะมี กำรแยกเพศเกิดเป็ นตวั ผู้ ตวั เมียข้ึน โดยเพศเมียจะมีถุงไข่ค่อนขำ้ งกลม 2 ถุง อยู่ด้ำนขำ้ งของปลอ้ ง ทอ้ ง ส่วนเพศผจู้ ะมีถุงอณั ฑะยำวหอ้ ยลงมำบริเวณก่ึงกลำงตวั ท่ีส่วนของปลอ้ งทอ้ ง ถุงอณั ฑะมี 2 ถุง ต่อมำจะมีกำรผสมพนั ธุ์กนั ในระยะโคพีโพดิดข้นั ท่ี 5 จำกน้ันเพศผูจ้ ะตำย ในเพศเมียจะมีช่องรับ น้ำเช้ือ (Spermatophores) 2 ช่อง ติดอยทู่ ่ีรูเปิ ดของถุงเก็บน้ำเช้ือ ซ่ึงมีน้ำเช้ือสะสมอยูแ่ ละเช่ือมโยงอยู่ กบั ท่อนำไข่ เพศเมียจะลอกครำบเป็ นโคพิโพดิดข้นั ท่ี 6 แลว้ ใชร้ ยำงคท์ ำงดำ้ นหนำ้ ของลำตวั ฉีกผวิ ตวั ปลำแลว้ ฝังส่วนปำกลงไป ตอ่ มำปำกจะเริ่มสลำยไปพร้อมกบั กำรเกิดเป็ นสมอข้ึน เพื่อใชย้ ึดเกำะปลำ เป็ นกำรถำวรตลอดไป มีกำรลอกครำบอีกคร้ังเป็ นตวั อ่อนท่ีมีรูปร่ำงคลำ้ ยกบั ตวั เต็มวยั และวำงไข่ ต่อไป หนอนสมอจะใชเ้ วลำประมำณ 18 - 22 วนั ในวงจรชีวติ หน่ึงๆ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

124 ลกั ษณะอาการ หนอนสมอจะดูดเลือดและของเหลวในเน้ือเยื่อจำกปลำ ทำให้บริเวณ รอบๆ ตำแหน่งที่หนอนสมอเกำะจะมีเลือดซึมออกมำ หรืออำจมองดูเป็นรอยช้ำขนำดเส้นผำ่ ศูนยก์ ลำง ประมำณ 1 - 2 มิลลิเมตร เม่ือตัวเต็มวยั หลุดออกไปจะทำให้เกิดแผลเป็ นช่องเปิ ดข้ึนที่ผิวตัวปลำ เป็ นเหตุให้แบคทีเรียและเช้ือรำเขำ้ ทำลำยไดต้ ่อไป ปลำมกั จะว่ำยน้ำอยูต่ ำมผิวน้ำอย่ำงเชื่องช้ำ และ เอำดำ้ นขำ้ งลำตวั บริเวณท่ีมีหนอนสมอเกำะเขำ้ ถูกบั ขอบบ่อหรือวตั ถุในน้ำ ในกรณีท่ีมีกำรระบำดมำก ในบ่อ จะทำให้ปลำตำยได้ โดยเฉพำะในลูกปลำวยั อ่อน บริเวณที่พบหนอนสมอเขำ้ ทำลำยได้มำก คือบริเวณฐำนครีบหลงั ครีบกน้ รวมท้งั ครีบอื่นๆ บริเวณใกลล้ ูกนยั น์ตำ จมูก ขำกรรไกร และช่อง ปำก สำมำรถพบหนอนสมอท่ีตวั ปลำไดต้ ลอดท้งั ปี โดยเฉพำะฤดูร้อน ซ่ึงจะทำให้กำรแพร่ระบำด เป็นไปอยำ่ งรวดเร็วมำกกวำ่ ฤดูอ่ืนๆ รูปที่ 6.29 รูปร่างลกั ษณะของหนอนสมอ รูปท่ี 6.30- 31 บริเวณผวิ ตวั ปลาทหี่ นอนสมอฝังส่วนหวั ลงไปทาให้เกดิ เป็ นรอยแผลร่วมกบั อาการตกเลือด --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

125 การกาจัด 1) แช่ในด่ำงดบั ทิม ควำมเขม้ ขน้ 20 ppm แช่นำน 1.5 - 2 ชว่ั โมง ซ่ึงจะสำมำรถฆำ่ หนอนสมอไดท้ ้งั ตวั เตม็ วยั และตวั ออ่ น 2) ใชด้ ิพเทอร์เร็กซ์ ควำมเขม้ ขน้ 0.2 - 0.25 ppm ใส่ในบอ่ เพ่อื ฆำ่ ตวั อ่อนใหห้ มด ทำทุก 3 สปั ดำห์ติดต่อกนั ประมำณ 3 คร้ัง สำรเคมีชนิดน้ีมีพษิ ต่อผใู้ ชน้ อ้ ย และไมเ่ ป็นอนั ตรำยต่อ แพลงตอนสัตวใ์ นบอ่ 3) ใชม้ ำลำไธออน (Malathion) ควำมเขม้ ขน้ 0.5-1.5 ppm หรือนีกูวอน (Neguvon) เขม้ ขน้ 0.2 ppm ทุกสัปดำห์ติดต่อกนั ประมำณ 3 คร้ัง จะสำมำรถฆำ่ หนอนสมอท้งั ตวั เตม็ วยั และ ตวั อ่อนไดด้ ี 4) ใชเ้ กลือแกง ควำมเขม้ ขน้ 8,000 - 11,000 ppm แช่ปลำไว้ 3 วนั หรือใชค้ วำมเขม้ ขน้ 30,000 - 50,000 ppm แช่ปลำนำน 1 ชว่ั โมง เพอ่ื ทำลำยตวั อ่อน 5) ใชฟ้ อร์มำลินควำมเขม้ ขน้ 250 ppm แช่ปลำนำน 30 - 60 นำที ทำติดต่อกนั ทุกสปั ดำห์ ประมำณ 1 เดือน เพ่ือทำลำยตวั อ่อน 7. การป้องกนั โรคปรสิตของสัตว์นา้ วธิ ีกำรท่ีดีท่ีสุด ที่จะทำใหผ้ ลผลิตจำกกำรเพำะเล้ียงสัตวน์ ้ำสูง ไม่ถูกทำลำยดว้ ยปรสิตในกลุ่ม ตำ่ งๆ ที่กล่ำวมำท้งั หมดน้นั ไดแ้ ก่กำรป้องกนั ไวก้ ่อน ซ่ึงจะใหผ้ ลดี และทำไดง้ ่ำยกวำ่ กำรกำจดั ปรสิต ในขณะที่เขำ้ เกำะหรือทำลำยตวั สตั วน์ ้ำ ในท่ีน้ี ไดส้ รุปวธิ ีกำรป้องกนั ปรสิตในสัตวน์ ้ำ ไวด้ งั น้ี 1) ในข้นั ตอนกำรเตรียมบ่อ ควรตำกบ่อใหแ้ หง้ พร้อมโรยปูนขำวกำจดั ตวั อ่อน และตวั เตม็ วยั ของปรสิต รวมท้งั สัตวน์ ้ำอื่นๆ ที่เป็นศตั รูปลำดว้ ย สำหรับบ่อใหมใ่ หใ้ ชป้ ูนขำวประมำณ 120 - 200 กิโลกรัม/ไร่ แตถ่ ำ้ ดินเป็นกรดมำกตอ้ งใชป้ ูนขำวมำกข้ึน ในกรณีที่เป็ นบ่อเก่ำ จำเป็นตอ้ งมีกำร ลอกเลนออกหลงั กำรจบั จำหน่ำย และใส่ปูนขำวประมำณ 160 - 240 กิโลกรัม/ไร่ ข้ึนอยกู่ บั ควำมเป็ น กรดเป็นด่ำง (pH) ของดิน ตำกบอ่ ไวป้ ระมำณ 1 สปั ดำห์ แลว้ เปิ ดน้ำเขำ้ และแช่น้ำทิ้งไวป้ ระมำณ 10 - 15 วนั จึงเริ่มดำเนินกำรตำมข้นั ตอนของกำรเล้ียง 2) ควรทำตะแกรงก้นั ท่ีประตูน้ำเขำ้ และออกจำกบ่อ เพ่ือป้องกนั ปรสิต หรือศตั รูของ สัตวน์ ้ำเขำ้ มำในบ่อ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

126 3) น้ ำที่ใช้เล้ียงต้องเป็ นน้ ำสะอำด มีปริมำณออกซิเจนเพียงพอ และมีค่ำ pH ท่ีเหมำะสม 4) ก่อนจะปล่อยสตั วน์ ้ำลงเล้ียง ควรจะทำกำรตรวจหำปรสิตในสัตวน์ ้ำก่อน แลว้ ใช้ ยำหรือสำรเคมีท่ีเหมำะสมเพ่ือกำรกำจดั ก่อนจะมีกำรแพร่กระจำยต่อไป หำกไม่สำมำรถดำเนินกำร ตรวจสอบได้ ควรแช่ในฟอร์มำลิน ควำมเขม้ ขน้ 125 ppm นำนประมำณ 1 - 2 ชวั่ โมง แต่ถำ้ พบวำ่ สัตว์ น้ำมีอำกำรกระวนกระวำยก็ให้รีบเปล่ียนน้ำใหม่ หรือใชฟ้ อร์มำลิน ควำมเขม้ ขน้ 25 - 50 ppm แช่นำน อยำ่ งนอ้ ย 12 ชวั่ โมง 5) อำหำรท่ีใช้เล้ียง ตอ้ งมีปริมำณพอดีกบั จำนวนสัตวน์ ้ำที่เล้ียง ไม่มำกหรือน้อย เกินไป และตอ้ งมีคุณค่ำทำงอำหำรเพยี งพอ 6) ในระหวำ่ งกำรเล้ียงควรเอำใจใส่ดูแลอยำ่ งใกลช้ ิด สังเกตควำมผดิ ปกติ และหมน่ั ตรวจหำปรสิตภำยนอกท่ีเกำะตำมตวั สัตวน์ ้ำอยำ่ งสม่ำเสมอ เพอ่ื จะไดก้ ำจดั ก่อนท่ีจะแพร่กระจำย มำกข้ึน --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

หน่วยการเรียนรู้ที่ 7 การใช้ยาและสารเคมใี นการป้องกนั รักษาโรคสัตว์นา้ กำรเกิดโรคของสัตวน์ ้ำเป็ นจุดสุดทำ้ ยหลงั จำกท่ีควำมพยำยำมในกำรควบคุมและป้องกนั โรค ไม่เป็ นผลสำเร็จ ซ่ึงจะรวมถึงควำมสำมำรถของตวั ปลำหรือสัตวน์ ้ำในกำรท่ีจะต่อตำ้ นเช้ือโรคต่ำง ๆ ลดลงด้วย กำรแก้ไขหลังจำกสัตวน์ ้ำเป็ นโรคแล้วถึงแมว้ ่ำจะกระทำได้ แต่ควำมสูญเสียที่เกิดข้ึน ก็มีมำกเช่นเดียว ดงั น้นั นกั เพำะเล้ียงสัตวน์ ้ำทวั่ ๆ ไป จึงยึดถือหลกั ไวว้ ่ำป้องกนั โรคต่ำงๆ ไวก้ ่อน ดีกวำ่ กำรแกไ้ ขในภำยหลงั ในกรณีท่ีกำรป้องกนั ไม่ไดผ้ ล สัตวน์ ้ำหรือปลำยงั คงเกิดโรคติดเช้ือ กำรใชย้ ำหรือสำรเคมีใน กำรรักษำโรคเหล่ำน้ัน จึงเป็ นส่ิงจำเป็ นในกำรแก้ไขปัญหำให้บรรเทำเบำบำงลง อย่ำงไรก็ตำม กำรใชย้ ำและสำรเคมีในกำรรักษำโรคสัตวน์ ้ำ จำเป็ นตอ้ งศึกษำขอ้ มูลที่เกี่ยวขอ้ งเป็ นอยำ่ งดี เพ่อื ป้องกนั กำรสูญเปล่ำ และอำจเกิดอนั ตรำยตอ่ สตั วน์ ้ำ หรือก่อใหเ้ กิดควำมเสียหำยมำกข้ึนได้ 1. ยาและสารเคมี ในประเทศไทย ไดม้ ีกำรให้ควำมหมำยของยำ ไวด้ งั ต่อไปน้ี 1) วตั ถุที่รองรับไวใ้ นตำรำท่ีรัฐมนตรีประกำศ 2) วตั ถุที่มุง่ หมำยสำหรับในกำรวเิ ครำะห์ บำบดั บรรเทำ รักษำ หรือป้องกนั โรคหรือควำม เจบ็ ป่ วยของมนุษยห์ รือสัตว์ 3) วตั ถุที่เป็ นเภสชั เคมีภณั ฑ์ หรือเภสัชภณั ฑก์ ่ึงสำเร็จรูป 4) วตั ถุท่ีมุง่ หมำยสำหรับใหเ้ กิดผลแก่สุขภำพ โครงสร้ำง หรือกำรกระทำหนำ้ ท่ีใด ๆ ของ ร่ำงกำยมนุษย์ หรือสัตว์ หรือสำมำรถสรุปเป็ นควำมหมำยรวมของยำ คือ สำรเคมีทุกชนิด ยกเวน้ อำหำรซ่ึงนำมำใช้ ในกำรบำรุง ป้องกนั หรือรักษำสุขภำพของคนและสัตว์ ซ่ึงในส่วนของยำท่ีใช้ในกำรป้องกนั รักษำ โรคสตั วน์ ้ำน้นั สำมำรถแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญๆ่ ตำมลกั ษณะองคป์ ระกอบของกำรผลิตยำ ไดด้ งั น้ี  พระรำชบญั ญตั ิยำ พ.ศ. 2522 --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

128 1) ยำตำ้ นจุลชีพ (Antimicrobial drugs) หมำยถึง สำรประกอบเคมีท่ีไดจ้ ำกธรรมชำติ หรือ จำกกำรสงั เครำะห์ ซ่ึงมีผลต่อตำ้ นหรือทำลำยเช้ือจุลชีพอ่ืนๆ ไดแ้ ก่ ยำกลุ่มซลั ฟำ เพนนิซิลิน เป็นตน้ 2) ยำปฏิชีวนะ (Antibiotics) หมำยถึง สำรประกอบเคมีท่ีได้จำกเช้ือจุลชีพบำงชนิด เช่น แบคทีเรีย รำ ซ่ึงมีผลยบั ย้งั หรือทำลำยเช้ือจุลชีพอ่ืนๆ เมื่อใชใ้ นขนำดควำมเขม้ ขน้ ต่ำ ไดแ้ ก่ เพนนิซิลลิน (penicillin) เตตร้ำซยั คลิน (tetracycline) เป็นตน้ นนั่ คือ ยำปฏิชีวนะกจ็ ดั เป็นยำตำ้ นจุลชีพดว้ ย 3) ยำตำ้ นจุลชีพก่ึงสังเครำะห์ (Semi-synthetic antimicrobial drugs) หมำยถึงยำตำ้ นจุลชีพท่ีมี บำงส่วนของโมเลกุลแยกได้จำกเช้ือจุลชีพชนิดใดชนิดหน่ึง และส่วนที่เหลือของโมเลกุลไดจ้ ำกกำร สงั เครำะห์ทำงเคมี ไดแ้ ก่ แอมพซิ ิลลิน (ampicillin) เป็นตน้ กำรจดั จำแนกตำมกำรออกฤทธ์ิตอ่ เช้ือจุลชีพ (Classification on antibacterial action) สำมำรถ แบง่ ได้ 2 กลุ่ม ตำมลกั ษณะกำรมีผลทำลำยหรือยบั ย้งั กำรเจริญเติบโตของเช้ือแบคทีเรีย ไดแ้ ก่ 1) ยำท่ีมีผลไปยบั ย้งั กำรเจริญเติบโตของเช้ือแบคทีเรีย (bacteriostatic antimicrobial drugs) ได้แก่ ยำกลุ่ม ซัลฟำ (sulfa) เตตร้ำซัยคลิน (tetracycline) คลอแรมฟิ นิ คอล (chloramphenicol) อีรีโทรมยั ซิน (erythromycin) โนโวไบโอซิน (novobiocin) เป็นตน้ 2) ยำที่มีผลไปทำลำยหรื อฆ่ำเช้ือแบคทีเรี ย (bactericidal antimicrobial drugs) ได้แก่ ยำกลุ่มเพนนิซิลลิน (penicillin) เป็นตน้ สำหรับกำรใช้ยำต้ำนจุลชีพในสัตว์น้ำน้ัน เพื่อให้เกิดควำมปลอดภัยและมีประสิทธิภำพ ในกำรใช้ รวมท้งั ป้องกนั กำรเกิดปัญหำกำรด้ือยำ จึงได้มีกำรกำหนดหลกั เกณฑ์ของยำตำ้ นจุลชีพที่ดี สำหรับใชใ้ นกำรรักษำโรคสตั วน์ ้ำ ดงั น้ี 1) ยำน้นั ตอ้ งทำลำยเช้ือแบคทีเรียไดอ้ ยำ่ งรวดเร็ว โดยไม่มีผลเสียหรืออนั ตรำยต่อสัตวน์ ้ำ และไมท่ ำใหส้ ภำพกำรติดเช้ือเลวลง 2) ยำน้นั ตอ้ งไม่เป็นอนั ตรำยตอ่ ผใู้ ช้ 3) ยำน้นั ตอ้ งซึมผำ่ นเขำ้ เน้ือเยอื่ และเขำ้ ถึงเช้ือแบคทีเรีย รวมท้งั ตอ้ งแตกตวั และขบั ออก นอกร่ำงกำยไดอ้ ยำ่ งรวดเร็ว เพื่อป้องกนั กำรตกคำ้ งในเน้ือเยอื่ ของสตั วน์ ้ำ นอกจำกน้ี สำรที่เกิดจำกกำร แตกตวั (metabolite) จะตอ้ งไม่เป็นอนั ตรำยตอ่ สัตวน์ ้ำ และสัตวอ์ ่ืนๆ  นนทวทิ ย์ อำรียช์ น (2550) --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

129 4) ในกรณีที่มีกำรตกค้ำงหรือปนเป้ื อนในเน้ือเย่ือจะตอ้ งไม่เกิดสำรพิษ หรือสำรก่อมะเร็ง (carcinogenic product) เม่ือนำมำประกอบอำหำร 5) ตอ้ งมีเสถียรภำพภำยใตส้ ภำวะปกติของกำรเก็บและกำรใช้ รวมท้งั ตอ้ งผำ่ นกำรควบคุม คุณภำพอยำ่ งเขม้ งวดทุกข้นั ตอนของกำรผลิต 1.1 การใช้ยาและสารเคมี กรณีตรวจพบกำรเกิดโรคในสัตวน์ ้ำ กำรตดั สินใจใช้ยำและสำรเคมี จำเป็ นตอ้ งรู้ขอ้ มูล ในส่วนต่ำง ๆ ท่ีเก่ียวขอ้ ง ดงั ตอ่ ไปน้ี 1.1.1 สภาพของน้า เรำจำเป็ นต้องรู้ถึงสภำพต่ำงๆ ของน้ำท่ีใช้ในกำรเล้ียงสัตว์น้ ำ ว่ำมีคุณสมบตั ิท่ีเหมำะสมต่อกำรดำรงชีวิตของสัตวน์ ้ำหรือไม่ เพียงไร มีสำรเคมีหรือสำรพิษต่ำงๆ ปนเป้ื อนในแหล่งน้ำหรือไม่ คุณสมบตั ิของน้ำบำงประกำร เช่น ควำมกระดำ้ ง ควำมเป็ นกรดด่ำง (pH) และอุณหภูมิ หรือ กำรเพม่ิ จำนวนอยำ่ งรวดเร็ว (bloom) ของสำหร่ำยสีเขียวในแหล่งน้ำ ลว้ นเป็ น ขอ้ มูลที่จำเป็ นตอ้ งใชใ้ นกำรพิจำรณำเลือกใชย้ ำ หรือสำรเคมีเพื่อกำรรักษำโรค นอกจำกน้ี กำรคำนวณ ปริมำตรของน้ำที่ถูกตอ้ งแน่นอน กเ็ ป็ นขอ้ มูลสำคญั เช่นเดียวกนั หำกคำนวณปริมำตรน้ำในบ่อเล้ียงต่ำ กว่ำค่ำที่เป็ นจริง ทำให้ควำมเขม้ ขน้ ของยำหรือสำรเคมีที่ใช้มีไม่เพียงพอท่ีจะป้องกนั /รักษำโรคได้ ในทำงกลบั กนั ถำ้ คำนวณปริมำตรน้ำสูงเกินควำมเป็ นจริง ก็จะทำให้ควำมเขม้ ขน้ ของยำและสำรเคมีที่ ใชม้ ำกจนเป็ นอนั ตรำยตอ่ ตวั สัตวน์ ้ำได้ 1.1.2 จะตอ้ งรู้ถึงชนิดและสภาพของสัตว์น้าท่เี ลยี้ ง สตั วน์ ้ำต่ำงชนิดกนั หรือวยั ต่ำงกนั จะมีกำรตอบสนองต่อยำหรือสำรเคมีท่ีแตกต่ำงกนั สัตวน์ ้ำชนิดหน่ึงอำจจะทนทำนต่อยำหรือสำรเคมี ไดม้ ำกกวำ่ อีกชนิดหน่ึงในควำมเขม้ ขน้ ที่เท่ำกนั ยำหรือสำรเคมีบำงตวั ก็อำจเป็ นพิษกบั ปลำชนิดใด ชนิดหน่ึงได้ง่ำยกว่ำชนิดอื่น เช่น กำรใช้มำลำไคท์กรีน (malachite green) ร่วมกับฟูรำเนส (furanace) ในลูกปลำดุกดำ้ นจะเป็ นอนั ตรำยกบั ปลำได้ โดยทว่ั ไปแลว้ มำลำไคทก์ รีน ค่อนขำ้ งจะเป็ น พิษกับปลำมีหนวด (catfish) นอกจำกน้ี อำยุและขนำดของสัตว์น้ำก็ยงั เป็ นปัจจยั สำคัญในกำร ตดั สินใจท่ีจะเลือกชนิดของยำและสำรเคมี รวมท้งั ควำมเขม้ ขน้ ที่ใชด้ ว้ ย 1.1.3 รู้ชนิดของโรค ที่เกิดข้ึน กำรรู้ชนิดของโรคเป็ นหวั ใจสำคญั ของกำรป้องกนั รักษำ กำรรักษำอย่ำงเดำสุ่มจะให้ผลเสียมำกกวำ่ ผลดี นอกจำกจะทำให้สิ้นเปลืองโดยเปล่ำประโยชน์แลว้ บำงคร้ังอำจส่งผลกระทบต่อตวั สัตวน์ ้ำน้นั ๆ ได้ กำรรู้วำ่ สัตวน์ ้ำเป็นโรคชนิดใด และเกิดจำกเช้ือสำเหตุ กลุ่มใด จะทำใหเ้ รำสำมำรถเลือกใชย้ ำและสำรเคมีท่ีถูกตอ้ ง และเหมำะสมกบั โรคน้นั ๆ ได้ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

130 1.1.4 กำรรู้จกั เลือกใช้ยา/สารเคมี กำรรู้จกั เลือกใชย้ ำหรือสำรเคมีที่เหมำะสมเป็ นสิ่งสำคญั มำกตอ่ กำรป้องกนั และรักษำโรคเช่นเดียวกนั ก่อนท่ีจะตดั สินใจเลือกใชย้ ำหรือสำรเคมีชนิดใดควรจะมี ขอ้ พิจำรณำให้รอบคอบก่อน ท้งั ในแง่ของอนั ตรำยจำกกำรใช้ต่อสภำพแวดลอ้ ม และผลกระทบต่อ มนุษย์ และยงั ตอ้ งคำนึงผลกระทบต่อสภำพแวดล้อม ซ่ึงจะทำให้ประสิทธิภำพของยำและสำรเคมี เปล่ียนแปลงไป ไม่วำ่ จะเป็ น แสงแดด อุณหภูมิ pH และคุณสมบตั ิอื่นของน้ำ เช่น กำรใชด้ ่ำงทบั ทิม ไม่ควรใชใ้ นช่วงที่มีแสงแดดจดั กำรใชค้ อปเปอร์ซลั เฟต (CuSO4) ในกำรป้องกนั กำจดั พยำธิภำยนอก และสำหร่ำย จะต้องคำนึงถึงค่ำควำมกระด้ำงของน้ำเป็ นสำคญั หรือกำรใช้มำลำไคท์ กรีน ร่วมกับ ฟอร์มำลินในกำรรักษำโรคจุดขำว จะให้ผลที่ดีกว่ำกำรใช้สำรเคมีชนิดใดชนิดหน่ึงเพียงอย่ำงเดียว เป็ นตน้ นอกจำกขอ้ มูลหลกั ท้งั 4 ประกำร ดงั กล่ำวแลว้ รำยละเอียดปลีกย่อยอยำ่ งอ่ืนก็สำมำรถ นำมำพิจำรณำเป็ นข้อมูลในกำรวำงแผนป้องกันและรักษำโรคได้ เช่น กำรจดั กำรที่ดีในด้ำนต่ำงๆ กำรใหอ้ ำหำร คุณภำพของอำหำร คุณภำพน้ำโดยทว่ั ไป ภูมิประเทศของแหล่งท่ีทำกำรเล้ียง รวมท้งั ระยะเวลำของกำรเกิดโรค และอตั รำกำรตำยที่เกิดข้ึน เป็นตน้ 1.2 การเลือกใช้ยาต้านจุลชีพ โดยทว่ั ไปแลว้ ยำตำ้ นจุลชีพท่ีดีน้นั จะตอ้ งคงทน คงรูปอยู่ไดน้ ำน ไม่ถูกทำลำยไดง้ ่ำย โดยเอน็ ไซม์ซ่ึงมีอยูใ่ นตวั สัตวน์ ้ำ และจะตอ้ งไม่ถูกขบั ออกโดยไตไดง้ ่ำยเกินไป กำรใชย้ ำประเภทน้ี จะตอ้ งทำไดง้ ่ำย และสะดวก รวมท้งั จะตอ้ งแพร่กระจำยไดด้ ีและรวดเร็วในตวั สัตวน์ ้ำ โดยปรำศจำก ควำมเป็ นพิษ หรือเกิดผลเสียต่อสัตวน์ ้ำ ยำที่ดีจะตอ้ งออกฤทธ์ิอยูไ่ ดน้ ำนในเน้ือเยื่อ โดยไม่ถูกทำให้ สลำยตวั ไดง้ ่ำย โดยเฉพำะที่ไต ตบั และในเลือด หรือในกรณีท่ีมีกำรสะสมของยำมำกข้ึน จำกกำร แช่ในน้ำ หรือจำกกำรใช่ซ้ำบ่อย ๆ ในระยะเวลำนำน ๆ จะตอ้ งไม่เป็นพิษตอ่ เน้ือเยอ่ื ของสัตวน์ ้ำ หรือ กล่ำวโดยสรุป ก็คือยำที่ดี จะตอ้ งมีควำมปลอดภยั กบั สัตวน์ ้ำ ในขณะเดียวกนั สำมำรถทำอนั ตรำยต่อ แบคทีเรียไดอ้ ยำ่ งกวำ้ งขวำง ท้งั แบคทีเรียแกรมบวก และแกรมลบ โดยไมท่ ำใหเ้ กิดกำรด้ือยำ นน่ั เอง ในกำรเลือกใชย้ ำตำ้ นจุลชีพ ไมค่ วรจะใชย้ ำหลำย ๆ ชนิดพร้อมกนั กำรใชย้ ำหลำยชนิด หรืออย่ำงน้อยมำกกว่ำ 1 ชนิดพร้อมกนั อำจจะโดยควำมต้งั ใจหรือขำดควำมระมดั ระวงั เช่น เมื่อมี ควำมรู้สึกวำ่ ยำชนิดที่ใชอ้ ยูไ่ ม่ไดผ้ ล ก็จะมีกำรเปลี่ยนไปใช้อีกชนิดหน่ึง โดยไม่ไดง้ ดกำรให้ยำชนิด แรก เป็ นตน้ ผลท่ีเกิดข้ึนอำจจะเป็ นไปในทำงลบหรือทำงบวกก็ได้ ท้งั น้ีข้ึนอยู่กบั ชนิดของยำที่ใช้ ดงั น้ี --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

131 1) Antagonistic effect ผลที่ได้รับจำกกำรใช้ยำ 2 ชนิดจะน้อยกว่ำ กำรใช้ยำชนิดใด ชนิดหน่ึงเพยี งอยำ่ งเดียว คือกำรออกฤทธ์ิของยำจะไปหกั ลำ้ งกนั เอง เหตุกำรณ์เช่นน้ีมกั จะเกิดข้ึนเมื่อ ใชย้ ำพวกท่ีไปยบั ย้งั ขบวนกำรสังเครำะห์โปรตีน (protein synthesis inhibitor) ของจุลชีพ เช่น คลอแรม เฟนนิคอล ร่วมกบั ยำพวกท่ีทำอนั ตรำยต่อผนงั เซลล์ (cell wall inhibitor) ของจุลชีพ เช่นเพนนิซิลลิน ซ่ึงในตวั อยำ่ งน้ี ยำชนิดหน่ึงไปมีผลยบั ย้งั กำรเพิ่มจำนวนเซลล์ ในขณะท่ียำอีกชนิดหน่ึงตอ้ งกำรกำร เพม่ิ จำนวนเซลลอ์ ยำ่ งรวดเร็วในกำรท่ีจะทำใหย้ ำใชไ้ ดผ้ ลดี 2) Synergistic effect ผลที่ไดร้ ับจำกยำ 2 ชนิด หรือมำกกวำ่ 2 ชนิด เมื่อรวมกนั แลว้ มี มำกกว่ำผลรวมของยำแต่ละชนิดรวมกนั แต่ผลท่ีจะออกมำอย่ำงน้ีพบไม่มำกนัก จะพบได้ในกรณี ที่มีกำรใช้ยำจำพวกท่ีไปทำอนั ตรำยต่อผนังเซลล์ (cell wall inhibitor) ร่วมกบั พวกท่ีทำอนั ตรำยต่อ เยื่อหุ้มเซลล์ (cell membrane inhibitor) เช่น กำรใช้ เพนนิซิ ลลิน (cell wall inhibiter) ร่ วมกับ สเตรปโตมยั ซิน (cell membrane inhibiter) เป็นตน้ 3) Indifferent response กำรใช้ยำ 2 ชนิด พร้อมกนั โดยไม่ให้ผลท้งั ในทำงเสริมกัน หรือต่อต้ำนฤทธ์ิกัน ผลท่ีออกมำจะเท่ำ ๆ กับยำชนิดท่ีออกฤทธ์ิดีที่สุ ดเพียงชนิดเดียวเท่ำน้ัน ส่วนอีกชนิดหน่ึงซ่ึงมีฤทธ์ิน้อยกว่ำจะไม่แสดงผลใดๆ เป็ นกำรใช้ท่ีสูญเปล่ำ ซ่ึงกำรออกฤทธ์ิใน ลกั ษณะเช่นน้ีจะพบไดม้ ำกที่สุด 4) Additive effect กำรใช้ยำ 2 ชนิ ด และยำแต่ละชนิ ดจะออกฤทธ์ิ เส ริ มกัน เช่น ยำ X มีฤทธ์ิฆ่ำแบคทีเรียได้ 10 เปอร์เซ็นต์ ในขณะยำ Y ฆ่ำแบคทีเรียได้ 15 เปอร์เซ็นต์ เม่ือ ใชร้ วมกนั แลว้ ฆำ่ แบคทีเรียได้ 25 เปอร์เซ็นต์ เป็นตน้ 1.3 วธิ ีการใช้ยาและสารเคมี (method of treatment) กำรใชย้ ำและสำรเคมีในกำรรักษำโรคในสัตวน์ ้ำ ผูใ้ ชจ้ ะตอ้ งมีควำมแน่ใจวำ่ เลือกใชย้ ำ และสำรเคมีที่เหมำะสมกบั โรค เพรำะถำ้ ใชย้ ำและสำรเคมีที่ไมเ่ หมำะสมนอกจำกจะทำใหส้ ตั วน์ ้ำหรือ ปลำมีอตั รำกำรตำยเพ่ิมข้ึนแลว้ ยงั เป็ นกำรเพ่ิมตน้ ทุนกำรผลิตโดยเปล่ำประโยชน์อีกดว้ ย กำรใช้ยำ และสำรเคมีกบั สัตวน์ ้ำมีอยหู่ ลำยวิธี ซ่ึงสำมำรถพิจำรณำเลือกใชไ้ ดต้ ำมควำมเหมำะสมในแต่ละทอ้ งที่ แต่ละสภำพของกำรเล้ียง เช่น กำรเล้ียงในกระชงั บ่อดิน บ่อซีเมนตห์ รือตูก้ ระจก หรือเลือกใช้ตำม ควำมเหมำะสมตอ่ ชนิดของสตั วน์ ้ำ ดงั น้ี 1.3.1 การใส่ยาหรือสารเคมีลงในนา้ กำรใส่ยำหรือสำรเคมีลงในน้ำ จะทำให้สัตวน์ ้ำสัมผสั กบั ยำหรือสำรเคมีโดยตรง เป็ นวิธีที่ทำไดส้ ะดวก เหมำะสมกบั สัตวน์ ้ำ รวมท้งั ไข่ทุกชนิด มกั ใชก้ บั กำรติดเช้ือภำยนอก เช่น --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

132 บริเวณลำตวั ครีบ รยำงค์ และซ่ีเหงือก หรืออำจใช้เพื่อลดปริมำณเช้ือโรคในน้ำ กำรใช้ยำและ สำรเคมีลงในน้ำจะเหมำะกบั ปลำที่ป่ วยหนกั จนไม่ยอมกินอำหำร ซ่ึงสำมำรถทำไดห้ ลำยวธิ ี ไดแ้ ก่ 1) การแช่ระยะส้ัน (short duration) ทำได้ 2 วธิ ี คือ - การจุ่ม (dip method) กำรใชใ้ นลกั ษณะน้ี สำรเคมีที่ใชจ้ ะมีควำมเขม้ ขน้ สูง และระยะเวลำที่สำรเคมีสัมผสั กบั สัตวน์ ้ำจะส้ัน กำรรักษำโดยวิธีน้ีจึงตอ้ งระมดั ระวงั มำกเพรำะอำจ เป็ นอนั ตรำยต่อตวั สัตวน์ ้ำไดง้ ่ำย โดยทว่ั ไปจะใช้สวงิ ตกั สัตวน์ ้ำข้ึนมำ แลว้ จุ่มลงในสำรเคมีตำมเวลำ ที่กำหนด แลว้ ยกข้ึน จำกน้ันนำไปแช่ลงในน้ำสะอำด มกั นิยมทำกบั สัตวน์ ้ำขนำดเล็ก และพ่อแม่ พนั ธุ์ (เวลำที่ใชป้ ระมำณ 10 - 60 วนิ ำที ข้ึนอยกู่ บั ชนิดและควำมเขม้ ขน้ ของสำรเคมี รวมท้งั ชนิดของ สัตวน์ ้ำ) - การราด (rapid flush) โดยกำรใหย้ ำ หรือสำรเคมีท่ีมีควำมเขม้ ขน้ สูงไหลผำ่ น ตวั สัตวน์ ้ำอยำ่ งรวดเร็ว จำกน้นั ลำ้ งดว้ ยน้ำสะอำด กำรแช่ระยะส้ันท้งั 2 วธิ ี ดงั กล่ำวน้ี ถำ้ จะใหไ้ ดผ้ ลดี ตอ้ งมีกำรทำซ้ำในวนั ที่ 2 หรือ 3 หลงั จำกท่ีแช่วนั แรก 2) การแช่ ระยะยาว (prolonged treatment) ลักษณะของกำรแช่ระยะยำวมีอยู่ 3 แบบ คือ - การแช่ชั่วคราว (definite treatment หรือ bath method) ทำได้โดยกำรเติม ยำหรือสำรเคมีลงในถงั เล้ียงโดยตรง ระยะเวลำท่ีใชส้ ่วนใหญ่จะประมำณ 1 - 1.5 ชวั่ โมง ในระหวำ่ ง กำรแช่ จะตอ้ งเฝ้ำดูพฤติกรรมของสัตวน์ ้ำ หำกมีอำกำรผดิ ปกติใหร้ ีบเติมน้ำสะอำดหรือเปลี่ยนน้ำทนั ที ควำมเขม้ ขน้ ของยำหรือสำรเคมีท่ีใชว้ ธิ ีน้ีค่อนขำ้ งสูง - การแช่แบบไหลผ่าน (constant flow treatment) เป็ นกำรดัดแปลงวิธีแรก โดยค่อยๆ ให้น้ำที่ผสมยำหรือสำรเคมีไหลผ่ำนตวั สัตวน์ ้ำ ในระยะเวลำท่ีตอ้ งกำร (ประมำณ 1 - 1.5 ชว่ั โมง) วธิ ีกำรน้ีจำเป็นตอ้ งติดต้งั ระบบน้ำท่ีมีควำมซบั ซอ้ นมำกข้ึนกวำ่ วธิ ีกำรแรก - การแช่ ตลอดไป (indefinite treatment) เป็ นกำรแช่ตลอด โดยใช้ควำม เข้มข้นของยำหรือสำรเคมีต่ำ แต่ก็เพียงพอท่ีจะทำลำยเช้ือโรคและไม่เป็ นอันตรำยต่อตัวสัตว์น้ ำ ในระยะยำว เป็ นวิธีกำรที่นิยมกนั มำกเพรำะมีควำมปลอดภยั สูง แต่ในกรณีที่จะตอ้ งใช้กบั บ่อเล้ียง สตั วน์ ้ำที่มีขนำดใหญ่ จะตอ้ งคำนึงถึงรำคำของยำและสำรเคมีดว้ ย ซ่ึงจะตอ้ งพิจำรณำถึงควำมเหมำะสม ในกำรลงทุนตอ่ ผลตอบแทนท่ีไดร้ ับ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

133 1.3.2 การใช้ยาหรือสารเคมีผสมอาหาร เป็ นวิธีกำรผสมยำ หรือสำรเคมีลงในอำหำรให้สัตวน์ ้ำที่เป็ นโรคกิน นิยมใช้ใน กำรป้องกนั และรักษำกำรติดเช้ือที่กระจำยทวั่ ร่ำงกำย เช่น โรคที่เกิดจำกแบคทีเรีย และเกิดจำกพยำธิ ภำยในต่ำงๆ (internal parasites) วธิ ีน้ีจะใชไ้ ดผ้ ลในกรณีท่ีสัตวน์ ้ำยงั กินอำหำรอยู่ ในกำรผสมยำ หรือสำรเคมีลงในอำหำร มีส่ิงท่ีตอ้ งคำนึงถึง ดงั น้ี - อำหำรทุกส่วนจะตอ้ งมีเน้ือยำ หรือสำรเคมีทว่ั ถึงกนั หมด ดงั น้นั กำรผสมยำลง ในอำหำรเป็ นข้นั ตอนที่สำคญั ในกรณีของอำหำรเม็ดอำจตอ้ งใช้ยำละลำยในน้ำมนั ปลำเสียก่อน แลว้ จึงนำมำฉำบบนผิวเม็ดอำหำรให้สัตวน์ ้ำกิน หรืออำจจะใชย้ ำละลำยน้ำเพียงเล็กนอ้ ยแลว้ นำอำหำรเม็ด มำคลุกก่อนใหส้ ัตวน์ ้ำกินก็ได้ - อตั รำส่วนของยำที่ใช้ อำจเปรียบเทียบสดั ส่วนของปริมำณยำต่อน้ำหนกั อำหำร หรือต่อน้ำหนกั สัตวน์ ้ำต่อวนั ก็ได้ ในกรณีท่ีใหย้ ำต่อน้ำหนกั อำหำร จำเป็นจะตอ้ งทรำบปริมำณอำหำร ต่อวนั (คิดจำกเปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตวั ) ท้งั น้ี จำเป็ นตอ้ งเพิ่มปริมำณยำเล็กน้อย เน่ืองจำกมีกำร สูญเสียจำกกำรละลำยน้ำของยำดว้ ย - ข้นั ตอนในกำรผสมยำลงในอำหำรจะตอ้ งระวงั เก่ียวกบั กำรสลำยตวั ของยำหรือ สำรเคมี จะตอ้ งหลีกเลี่ยงข้นั ตอนท่ีตอ้ งใชค้ วำมร้อนสูง ควำมดนั สูง หรือ pH ที่มีกำรเปลี่ยนแปลงมำก กำรผสมยำและสำรเคมีลงในอำหำร ส่วนใหญ่จะเป็ นกำรรักษำโรคติดเช้ือ แบคทีเรียและพยำธิภำยในบำงชนิด ซ่ึงจะกระทำไดด้ ีก็ต่อเมื่อสัตวน์ ้ำยงั กินอำหำรอยู่ ระยะเวลำของ กำรใหย้ ำจะข้ึนอยกู่ บั ชนิดของโรคและยำที่ใช้ กำรใหย้ ำโดยที่ไม่ตอ้ งผสมกบั อำหำร อำจจะกระทำได้ โดยใส่ยำในแคปซูลก่อน แลว้ ใชท้ ่อสอดแคปซูลน้นั เขำ้ สู่ทำงเดินอำหำรของสัตวน์ ้ำโดยตรง วธิ ีน้ีจะ กระทำไดส้ ะดวกถำ้ เป็ นสัตวน์ ้ำมีขนำดใหญ่และจำนวนนอ้ ย แต่อำจจะไม่ไดผ้ ล 100% เพรำะปลำ อำจสำรอกอำหำร หรือส่ิงที่กินเขำ้ ไปออกมำได้ 1.3.3 การฉีด (Injection) เป็ นวิธีกำรที่มีประสิทธิภำพ และให้ผลอยำ่ งรวดเร็ว นิยมใชก้ บั สัตวน์ ้ำที่มีขนำด ใหญ่พอสมควร และมีรำคำแพง เช่น พ่อ - แม่พนั ธุ์ปลำแฟนซีคำร์พ หรือสัตวน์ ้ำท่ีป่ วยหนกั จนไม่ ยอมกินอำหำร กำรฉีดโดยทว่ั ไปกระทำได้ 4 วธิ ี คือ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

134 1) การฉีดเข้าใต้ผิวหนัง (subcutaneous or intra-dermal injection) โดยฉีดตวั ยำเขำ้ ใต้ผิวหนงั โดยไม่ลงลึกถึงช้นั ของกล้ำมเน้ือ วิธีกำรน้ี สะดวก ปลอดภยั และทำไดร้ วดเร็ว พอสมควร แตผ่ ฉู้ ีดตอ้ งมีควำมชำนำญ 2) การฉีดเข้ากล้ามเนื้อ (intramuscular injection) โดยกำรฉีดตวั ยำเข้ำในช้ัน ของกลำ้ มเน้ือ วธิ ีน้ีมีขอ้ ดีเหมือนวธิ ีกำรแรก 3) การฉีดเข้าช่องท้อง (intra-peritoneal injection) วิธีกำรน้ีจะให้ผลในกำรฉีด ดีกวำ่ 2 วิธีแรก เพรำะตวั ยำจะถูกดูดซึมเขำ้ สู่กระแสเลือดไดอ้ ยำ่ งรวดเร็ว แต่ค่อนขำ้ งจะเป็ นอนั ตรำย ถำ้ ผูฉ้ ีดไม่มีควำมชำนำญเพียงพอ เน่ืองจำกกำรฉีดเขำ้ ช่องทอ้ งสำมำรถทำอนั ตรำยต่ออวยั วะภำยใน ไดง้ ่ำย ตำแหน่งที่ฉีดจะตอ้ งไม่เป็นที่ต้งั ของอวยั วะภำยใน ไดแ้ ก่ บริเวณโคนครีบกน้ 4) การฉีดเข้าเส้นเลือด (intravascular injection) วิธีกำรน้ีให้ผลดีเช่นเดียวกนั แต่ผูฉ้ ีดจะตอ้ งมีควำมชำนำญสูง และรู้ตำแหน่งของเส้นเลือดที่แน่นอน อตั รำส่วนของยำท่ีใช้ฉีด มกั จะคิดเทียบจำกน้ำหนกั สัตวน์ ้ำเป็น IU, mg หรือ μ g / น้ำหนกั ปลำ 1 กก. อย่ำงไรก็ตำม กำรใชย้ ำตำ้ นจุลชีพ จำเป็ นตอ้ งใช้อย่ำงระมดั ระวงั เพรำะอำจเกิดผลเสีย ท้งั ต่อผูใ้ ชแ้ ละตวั สัตวน์ ้ำได้ อนั ตรำยที่อำจเกิดข้ึนเน่ืองจำกกำรใชท้ ี่ไม่ถูกตอ้ ง สำมำรถรวบรวมได้ ดงั น้ี 1) เช้ือโรคในสัตวน์ ้ำเกิดกำรด้ือยำข้ึนได้ ในกรณีที่ใชไ้ มถ่ ูกวธิ ี ทำใหก้ ำรรักษำ โรคในเวลำต่อมำไมไ่ ดผ้ ลเท่ำท่ีควร 3) ยำบำงอยำ่ ง เป็นสำรก่อมะเร็ง (Carcinogen) ในคน เช่น ยำกลุ่มไนโตรฟูรำนส์ 4) ยำบำงอยำ่ งเป็ นสำเหตุใหเ้ กิดโรคโลหิตจำงในคน เช่น ยำคลอแรมเฟนนิคอล (Chloramphenical) 5) ผลกระทบตอ่ ส่ิงแวดลอ้ ม ในปัจจุบนั ยำตำ้ นจุลชีพท่ีประกำศห้ำมใช้ ไดแ้ ก่ ยำกลุ่มไนโตรฟูรำนส์ (Nitrofurans) คลอแรมเฟนนิคอล (Chloramphenical) และ นอร์ฟล็อกซำซิน (Norfloxacine) --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

135 2. การคานวณปริมาณของยาและสารเคมี กำรคำนวณปริมำณของยำหรือสำรเคมีเพื่อใส่ลงในบ่อเล้ียงสัตวน์ ้ำนอกจำกจะกระทำเพ่ือกำร ป้องกนั และรักษำโรคแลว้ ยงั ใชเ้ พื่อประโยชน์อยำ่ งอ่ืนอีก เช่น ในกำรควบคุมพรรณไมน้ ้ำ กำรกำจดั ปลำชนิดอื่นที่ไม่ตอ้ งกำรในบ่อเล้ียง ใชก้ ำจดั แมลงหรือสัตวอ์ ื่นๆ หรือใส่เพือ่ แกป้ ัญหำคุณสมบตั ิของ น้ำโดยกำรปรับสภำพน้ำให้ดีข้ึน อยำ่ งไรก็ตำม ไม่วำ่ จะเป็ นกำรใส่เพ่ือวตั ถุประสงค์ใด กำรคำนวณ ปริมำตรน้ำและปริมำณของยำ หรือสำรเคมี จะตอ้ งมีควำมถูกตอ้ ง เพ่ือให้กำรรักษำ กำรควบคุม และ กำรป้องกนั ไดผ้ ลแน่นอน และไม่ก่อใหเ้ กิดควำมเสียหำยใดๆ ในส่วนของวธิ ีกำรคำนวณ สำมำรถกระทำไดแ้ ตกต่ำงกนั ตำมวธิ ีกำรในกำรใชย้ ำหรือสำรเคมี ดงั น้ี 2.1 การใส่ยาหรือสารเคมลี งในนา้ กำรใส่ยำหรือสำรเคมีลงในน้ำ ส่ิงสำคัญท่ีจะต้องทรำบค่ำท่ีแน่นอน ก็คือปริมำตร ของน้ำ ซ่ึงในกรณีของตูก้ ระจก หรือบ่อซิเมนต์ จะสำมำรถคำนวณปริมำตรน้ำไดโ้ ดยง่ำย แต่ถำ้ เป็ น บ่อดินส่ีเหล่ียม หรือบ่อดินท่ีมีลกั ษณะเวำ้ แหวง่ กำรคำนวณปริมำตรน้ำภำยในบ่อตอ้ งกระทำดว้ ยควำม ละเอียดรอบคอบ โดยทว่ั ไป ทำไดโ้ ดยนำเอำพ้ืนที่ผวิ น้ำท้งั หมดคูณดว้ ยควำมลึกเฉล่ียของบ่อ โดยที่ ควำมลึกของบ่อจะต้องสุ่มวดั จำกหลำยๆ จุด เพ่ือให้ได้ค่ำเฉล่ียที่ใกล้เคียงค่ำจริ งมำกยิ่งข้ึน ส่วนใหญ่นิยมคำนวณปริมำตรน้ำเป็ นลูกบำศก์เมตร (ตนั หรือคิวบิคเมตร หรือ 1,000 ลิตร) เพ่ือที่จะ สำมำรถเทียบอตั รำส่วนของกำรใชย้ ำหรือสำรเคมีต่ำงๆ ไดง้ ่ำยข้ึน หลงั จำกท่ีทำกำรคำนวณปริมำตร น้ ำในบ่อเป็ นท่ีแน่นอนแล้ว ข้ันตอนต่อไปก็คือกำรคำนวณปริ มำณยำหรื อสำรเคมีท่ีจะใช้ ตำมควำมเขม้ ขน้ ท่ีกำหนดไว้ ซ่ึงมกั มีหน่วยเป็ นส่วนในลำ้ นส่วน หรือ พีพีเอ็ม (ppm) กำรคำนวณ ดงั กล่ำวอำจจะใชว้ ธิ ีเทียบสัดส่วน โดยยดึ หลกั เกณฑ์ ดงั น้ี กรณีท่ี 1 ยาหรือสารเคมมี ีสถานะเป็ นของเหลว ใหแ้ ทนค่ำ พพี ีเอม็ ดว้ ย ซีซี/ตนั หรือ มิลลิลิตร/ตนั (1 มิลลิลิตร (ซีซี) ใน 1,000,000 มิลลิลิตร ) กรณีที่ 2 ยาหรือสารเคมีมีสถานะเป็ นของแข็ง ใหแ้ ทนคำ่ พีพเี อม็ ดว้ ย กรัม/ตนั (1 กรัม ใน 1,000,000 กรัม ) --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

136 ตัวอย่างท่ี 1 ถ้ำกำหนดให้ใช้ฟอร์มำลินในกำรรักษำโรคท่ีเกิดจำกโปรโตซัว ควำมเขม้ ขน้ 30 พีพีเอ็ม ในบ่อปูนขนำดกวำ้ ง 2 เมตร ยำว 5 เมตร และน้ำมีควำมลึก 1.50 เมตร จะตอ้ งใส่ฟอร์มำลินในบอ่ ท้งั หมดกี่มิลลิลิตร (ซีซี) เพื่อใหไ้ ดค้ วำมเขม้ ขน้ ท่ีตอ้ งกำร ปริมำตรน้ำท้งั หมดในบ่อ = กวำ้ ง X ยำว X สูง = 2 X 5 X 1.50 = 15 ตนั (ลูกบำศกเ์ มตร) ฟอร์มำลินมีสถำนะเป็นของเหลว ดงั น้นั จะตอ้ งใช้ มิลลิลิตร/ตนั แทน พีพเี อม็ ควำมเขม้ ขน้ ที่ใช้ = 30 มิลลิลิตร/ปริมำตรน้ำ 1 ตนั นนั่ คือ ถำ้ น้ำปริมำตร 1 ตนั จะตอ้ งใชฟ้ อร์มำลิน = 30 มิลลิลิตร (ซีซี) ฉะน้นั ถำ้ น้ำปริมำตร 15 ตนั จะตอ้ งใชฟ้ อร์มำลิน = 30 x 15 มิลลิลิตร (ซีซี) = 450 มิลลลิ ติ ร(ซีซี) ตัวอย่างท่ี 2 บ่อดินขนำดกวำ้ ง 5 เมตร ยำว 25 เมตร และลึก 2 เมตร ถำ้ ตอ้ งกำรจะใช้ ยำออกซ่ีเตตร้ำซัยคลิน ใส่ ลงในน้ ำซ่ึงมีควำมลึก 0.50 เมตร ให้ได้ควำมเข้มข้น 10 พีพีเอ็ม อยำกทรำบวำ่ จะตอ้ งใชย้ ำออกซี่เตตร้ำซยั คลินก่ีกรัม ปริมำตรน้ำท้งั หมดในบ่อดิน = กวำ้ ง X ยำว X สูง = 5 X 25 X 0.50 = 62.50 ตนั (ลูกบำศกเ์ มตร) ยำออกซี่เตตร้ำซยั คลินมีสถำนะเป็นของแขง็ ดงั น้นั จะตอ้ งใช้ กรัม/ตนั แทน พีพเี อม็ ควำมเขม้ ขน้ ที่ใช้ = 10 กรัม/ปริมำตรน้ำ 1 ตนั นนั่ คือ ถำ้ น้ำปริมำตร 1 ตนั จะตอ้ งใชย้ ำ = 10 กรัม ฉะน้นั ถำ้ น้ำปริมำตร 62.5 ตนั จะตอ้ งใชย้ ำ = 10 x 62.5 กรัม = 625 กรัม 2.2 การผสมยาและสารเคมลี งในอาหาร กำรคำนวณปริมำณยำสำมำรถคำนวณโดยกำรเทียบสัดส่วน ซ่ึงอำจทำได้ 2 แบบ คือ น้ำหนกั ยำต่อน้ำหนกั อำหำร หรือ น้ำหนกั ยำต่อน้ำหนกั สัตวน์ ้ำ ซ่ึงวธิ ีกำรผสมยำและสำรเคมีลงใน อำหำร จะใช้ได้ดีในกรณีท่ีสัตวน์ ้ำหรือปลำยงั กินอำหำรอยู่ แต่จะต้องทรำบน้ำหนักของสัตวน์ ้ำ ท้งั หมดในขณะน้นั ซ่ึงอำจจะเป็นค่ำโดยประมำณก็ได้ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

137 ตัวอย่างที่ 1 กำหนดให้ใช้ยำออกซี่เตตรำซยั คลิน ในกำรรักษำโรคแบคทีเรียในปลำดุก จำนวน 1,000 ตวั มีน้ำหนกั เฉล่ียตวั ละ 50 กรัม โดยกำรผสมในอำหำร อัตรำส่วน 10 กรัม ต่อ อำหำร 1 กิโลกรัม (ปลำกินอำหำร 3 % ของน้ำหนกั ตวั /วนั ) อยำกทรำบวำ่ ตอ้ งใชย้ ำปริมำณท้งั หมด ก่ีกรัม อตั รำส่วนของยำที่กำหนดให้ = 10 กรัม/อำหำร 1 กิโลกรัม น้ำหนกั ปลำท้งั หมด = 1,000 X 50 กรัม = 50,000 กรัม = 50 กิโลกรัม ปลำกินอำหำร 3 % ของน้ำหนกั ตวั /วนั ปลำ 100 กิโลกรัม ตอ้ งกำรอำหำรต่อวนั = 3 กิโลกรัม 3 X 50 ปลำ 50 ตอ้ งกำรอำหำรตอ่ วนั = 100 ปริมำณอำหำรท้งั หมดตอ่ วนั = 1.50 กิโลกรัม 10 กรัม ดงั น้นั อำหำร 1 กิโลกรัม ตอ้ งใชย้ ำ = 10 X 1.50 15 กรัม อำหำร 1.50 กิโลกรัม ตอ้ งใชย้ ำ = = ตวั อย่างที่ 2 เล้ียงกุง้ ในบ่อดินขนำด 10 ไร่ โดยมีอตั รำปล่อย 200,000 ตวั /ไร่ และกงุ้ มี อตั รำรอด 70 % ถ้ำกำหนดให้ใช้ยำคลอแรมฟิ นิคอล โดยกำรผสมในอำหำรอตั รำส่วน 5 กรัม ต่ออำหำร 1 กิโลกรัม (กุง้ กินอำหำร 3 % ของน้ำหนกั ตวั /วนั และมีน้ำหนกั เฉลี่ยตวั ละ 10 กรัม) อยำกทรำบวำ่ ตอ้ งใชย้ ำปริมำณท้งั หมดกี่กรัม บอ่ ดินขนำด 10 ไร่ = 10 X 200,000 อตั รำปล่อย 200,000 ตวั /ไร่ = 2,000,000 ตวั ฉะน้นั จำนวนที่กุง้ ปล่อยท้งั หมด = 70 X 2,000,000 กุง้ มีอตั รำรอด 70 % 100 จำนวนกงุ้ ที่เหลือ = 1,400,000 ตวั --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

138 กงุ้ มีน้ำหนกั เฉล่ียตวั ละ 10 กรัม = 1,400,000 X 10 นำหนกั กงุ้ ท้งั หมด = 14,000,000 กรัม = 14,000 กิโลกรัม กงุ้ กินอำหำร 3 % ของน้ำหนกั ตวั /วนั ปริมำณอำหำร/วนั = 3 X 14,000 100 = กิโลกรัม = 420 ใหอ้ ำหำร 3 ม้ือ/วนั 420 กิโลกรัม ปริมำณอำหำร/ม้ือ 3 = 140 กิโลกรัม = 5 กรัม ดงั น้นั อำหำร 1 กิโลกรัม ตอ้ งใชย้ ำ = 5 X 140 อำหำร 140 กิโลกรัม ตอ้ งใชย้ ำ = 700 กรัม อยำ่ งไรก็ตำม กำรผสมยำหรือสำรเคมีลงในอำหำรเพื่อใหป้ ลำกินทุกคร้ังจะตอ้ งคำนึงถึง กำรสูญเสียของตวั ยำและสำรเคมีเน่ืองจำกกำรละลำยน้ำ ดงั น้นั ในทำงปฏิบตั ิจึงมกั จะเพ่ิมปริมำณยำ และสำรเคมีใหม้ ำกกวำ่ ท่ีคำนวณไดต้ ำมน้ำหนกั ตวั ปลำ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

139 ตารางที่ 7.1 ยาและสารเคมีทใ่ี ช้ในการป้องกนั และรักษาโรคสัตว์นา้ 1 ชนดิ และสารเคมี ปริมาณและลกั ษณะการใช้งาน สาหรับป้องกนั และรักษาโรค กรดน้ำส้ม 2,000 ppm. จุ่ม 45 - 60 วินำที 1,500 กำจดั พยำธิภำยนอกต่ำง ๆ เช่น (acetic acid) ppm. ใ ช้ แ ช่ น ำ น 5 - 10 น ำ ที Trichodina, Costia, 500ppm. แช่นำน 3 นำที ปลิงใส อลูมิเนียม ซลั เฟต 50,000 ppm แช่นำน 1 นำที ก ำจัด โป รโต ซั วพ วก \"Ich\" (Al2(SO4)3nH2O) lchthyophthirius multifilis แอมโมเนี ยมไฮดรอก 2,000 ppm แช่นำน 10 นำที 1:2,000 ก ำจัด พ ย ำธิ ภ ำย น อ ก พ ว ก ไซด์ (NH4OH) (500 ppm) แ ช่ น ำ น 24 ปลิงใสและเห็บปลำ (Argulus) ช่ัวโมง 1:1,000 แช่นำน 4 ชั่วโมง 1:500 แช่นำน 30 นำที ออริโอมยั ซิน 10 - 12 ppm ใช่แช่ตลอดไปผสมใน รักษำโรคติเช้ือแบคทีเรียใน (Chlorotetracycline) อำหำร 1 - 2 กรัมต่ออำหำร 1 กก. ปลำเช่น ใหก้ ินติดตอ่ 4 - 5 วนั Vibriosis,columnaris,bacterial hemorrhagic septicemia เบนซำโคเนียม คลอ 1:2,000 - 1:4,000 แ ช่ น ำ น 30 รักษำโรคเหงือกเน่ำ ครีบเป่ื อย ไรด(์ benzakonium นำที250 - 300 ppm แช่นำน 20 - 30 (bacterial gill disease and fin chloride) นำที rot) กำจัดพยำธิภำยนอกเช่น ปลิงใส Costia sp เบตำดีน, ไอโอโดฟอร์ 100 - 200 ppm แช่นำน 10นำที กำจดั เช้ือแบคทีเรียและไวรัส, (betadine, iodophore) ใชฆ้ ำ่ เช้ือตอนฟักไข่ปลำ แคลเซียมไฮโปคลอไรด์ ละลำยน้ำ 100 - 200 ppm ฆ่ำเช้ื อโรคในบ่อและใช้แช่ (CaOCl2) ภ ำช น ะ , วัส ดุ ที่ ใ ช้ ใ น โ ร ง เพำะฟัก เช่น สวงิ , อวน --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

140 ชนิดและสารเคมี ปริมาณและลกั ษณะการใช้งาน สาหรับป้องกนั และรักษาโรค แคลเซียมออกไซด์ (CaO) 2,000 ppm ใ ช้ จุ่ ม 5 วิ น ำ ที กำจดั พยำธิภำยนอกและฆ่ำ คำร์บำโซน ออกไซด์ 200 กรัม/ตำรำงเมตร ใช้โรยก้นบ่อ เช้ือโรคภำยใน ช่วยปรับสภำพ (carbazone oxide) คลอรำมีน บี ท่ีมีน้ำขงั ดินเป็ นกรด (chloramine B) คลอรำมีน ที ผสมในอำหำร 0.2% ใหก้ ินติดต่อกนั กำจัดโปรโตซัวในลำไส้ เช่น (chloramine T) 4 - 7วนั 2,000 ppmใหก้ ินนำน 3 วนั Hexamita คลอแรมเฟนนิคอล (chloramphenical) 10 ppm แช่นำน 24 ชว่ั โมง ก ำจัด พ ย ำธิ ภ ำ ย น อ ก เช่ น เห็ บ ระฆงั Costia , Chilodonella คอบเปอร์ซลั เฟต (CuSO4.5H2O) 66 ppm แ ช่ น ำ น 2 - 4 ชั่ ว โ ม ง ก ำจัด พ ย ำธิ ภ ำย น อ ก พ ว ก ไซเปรกซ์ (cyprex) 18 - 20 ppm แช่ตลอด โปรโตซวั , ปลิงใส ได-เอน-บิวทิล ทิน ออกไซด์ 80 ppm แช่ตลอดไป รักษำโรคติดเช้ือแบคทีเรีย เช่น (di-N-butyl tin oxide) 20มก./ปลำ 1กก. ฉีดเขำ้ ช่องทอ้ ง bacterial hemorrhagic ผสมในอำหำร 1 - 2 กรัมตอ่ อำหำร 1 septicemia, fin rot, vibriosis กก. ใหก้ ินติดต่อกนั นำน 5 - 7 วนั กำรใชต้ อ้ งระวงั ถึงควำมกระดำ้ ง กำจดั โปรโตซวั ที่เป็นพยำธิ ของน้ำ เช่น ปริมำณที่ใช้ (ppm) : ภำยนอก เช่น Oodinium, ควำมกระดำ้ งของน้ำ; Trichodina 0.50 - 0.75 ppm : 50 - 99 ppm 0.75 ใชก้ ำจดั หอย, สำหร่ำย - 1.0 ppm : 100-149 ppm 1.0 – 2.0 อำจใชร้ ่วมกบั ฟอร์มำลิน ppm : 150 – 200 ppm ในกำรกำจดั พยำธิภำยนอก ละลำยน้ำ 4 ppm ใชก้ ำจดั เช้ือรำ (saprolegnia) ผสมในอำหำร 25 กรัม/น.น.ปลำ 100 ถ่ำยพยำธิภำยในตวั ปลำ เช่น กก. กินติดตอ่ กนั 3 วนั หนอนหวั หนำม พยำธิใบไม้ พยำธิตวั ตืด  ปัจจุบนั จดั เป็นยำตำ้ นจุลชีพที่หำ้ มใช้ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

ชนิดและสารเคมี 141 ไดลอกซ์, ดิพเทอเรกซ์ (dylox, diptrrex) ปริมาณและลกั ษณะการใช้งาน สาหรับป้องกนั และรักษาโรค อีริโทรมยั ซิน 25 กรัม/น้ ำ 1 ลิตร แช่นำน 5 - 10 กำจดั พยำธิภำยนอกต่ำง ๆ (erythromycin) นำที 0.5 -1.0 ppm แช่ตลอดปี 0.25 โดยเฉพำะปลิงใส, ปลิง, ppm แช่สปั ดำห์ละ 2 คร้ัง 4 สปั ดำห์ เห็บปลำ. หนอนสมอ 100 มก./น.น.ปลำ 1 กก. ผสมใน ใ ช้ รั ก ษ ำ โ ร ค แ บ ค ที เรี ย อำหำร ใหก้ ินติดต่อกนั นำน 21 วนั โดยเฉพำะแกรมบวก เช่น โรค ไต (kidney disease) ฟอร์มำลิน (formalin) 235 - 300 ppm แช่ 1 - 1.5 ชม. 100 ใช้กำจัดปรสิตภำยนอกเกือบ ฟูรำเนส (furanace) ppm แช่นำน 3 ช่ัวโมง 40 - 50 ppm ทกุ ชนิด อำจใชร้ ว่ มกบั สำรเคมี เจนเซียล ไวโอเลต แ ช่ 24 ช ม .ห รื อ ต ล อ ด ไ ป ตัวอ่ื น เช่ น ม ำล ำไค ท์ก รีน (gential violet) กำนำมยั ซิน 25 - 30 ppm แช่ตลอดไป คอปเปอรซ์ ลั เฟต (kanamycin) 1 - 2 ppm แ ช่ น ำ น 5 - 10 น ำ ที รักษำโรคติดเช้ือแบคทีเรีย เช่น ไลโซล (lysol) 0.05 - 0.2 ppm แช่ตลอดไป ผสมใน bacterial gill disease, อำหำร 2 - 4 มก./น.น.ปลำ 1 กก. columnaris, vibriosis, ใหก้ ินติดต่อกนั 3 - 5 วนั bacterial hemorrhagic septicemia 0.3 ppm แช่ตลอดไป ก ำจัดเช้ื อรำ (saprolegnia sp) และโปรโตซวั ผสมในอำหำร 50 มก./น.น.ปลำ รักษำโรคติดเช้ือแบคทีเรีย เช่น 1 กก. หรือ 25 - 100 มก./น.น. อำหำร Aeromonas, Pseudomonas 1 กก. ใหก้ ินติดต่อกนั 5 - 7 วนั ฉีดเขำ้ ช่องทอ้ ง 20 มก./ น.น.ปลำ 1กก. 2 ซีซี/น้ำ 1 ลิตร แช่นำน 5 - 15 วนิ ำที ใชแ้ ช่ไข่ปลำเพ่ือฆำ่ เชือ้ ก่อนฟัก 200 ppm แช่นำน 30 วนิ ำที กำจดั พยำธิภำยนอกบำงชนิด --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook