Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore โรคสัตว์น้ำ

โรคสัตว์น้ำ

Published by poo_supreeda, 2021-03-05 07:40:04

Description: โรคสัตว์น้ำ
กฤษณี วงศ์วุฒิวัฒน์

Search

Read the Text Version

42 ควำมรุนแรงของโรคมี 4 ระดบั ดงั น้ี 1) อาการเฉียบพลัน (Acute form) : สัตวน์ ้ำ จะตำยอย่ำงรวดเร็ว และจำนวนมำก ภำยใน 1 - 2 วนั โดยไม่ปรำกฏอำกำรภำยนอกใหเ้ ห็น หำกเปิ ดช่องทอ้ งจะพบอวยั วะภำยในตกเลือด 2) อาการกึ่งเฉียบพลัน (Sub-acute form) : สัตวน์ ้ำท่ีตำยจะแสดงอำกำรให้เห็น เช่น ทอ้ งบวมน้ำ แผลพพุ อง ฝี และเกล็ดต้งั ฯลฯ 3) อาการเรื้อรัง (Chronic form) : จะพบลกั ษณะเป็ นแผลหลุมลึกถึงช้ันกล้ำมเน้ือ และ เกิดฝี โดยจะป่ วยเป็ นระยะเวลำนำน และสัตวน์ ้ำที่รอดตำยจำกอำกำรเหล่ำน้ี จะมีแผลเป็ นสีดำ เห็นไดช้ ดั 4) อาการแฝง (Latent form) : สัตว์น้ ำจะไม่แสดงอำกำรของโรค ท้ังอำกำร ภำยนอกและภำยใน และสตั วน์ ้ำที่ติดเช้ือ จะเป็นพำหะของโรคไดเ้ ป็นอยำ่ งดี เช้ือแบคทีเรียชนิดน้ี ยงั พบมำกในปลำดุก โดยรู้จกั กนั ทว่ั ไปวำ่ “โรคโคนครีบหูบวม” หรือ “โรคกกหูบวม” พบได้ต้งั แต่ปลำดุกขนำดเล็กไปจนถึงขนำดใหญ่ อำกำรของโรคที่สำคญั คือ โคนครีบหูบวมแดง มีแผล และตกเลือดทว่ั ท้งั ตวั ช่องทอ้ งมีน้ำสีเหลืองขุ่นปนเลือด ตบั และมำ้ ม บวมโต ไตท้งั ส่วนหนำ้ และส่วนหลงั บวมแดง รูปที่ 3.3 อาการบวมนา้ ทบ่ี ริเวณช่องท้อง และโคนครีบหู --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

การป้องกนั รักษา 43 การป้องกัน จำเป็ นตอ้ งมีกำรจดั กำรที่ดี โดยคำนึงถึงสุขลกั ษณะ ควำมสะอำดและ ปลอดเช้ือโรค ท้งั ในส่วนของโรงเพำะฟัก เคร่ืองมือ/อุปกรณ์ต่ำงๆ รวมท้งั ควำมสะอำดภำยในบ่อเล้ียง สัตวน์ ้ำดว้ ย นอกจำกน้ี ในระหว่ำงหรือภำยหลงั กำรลำเลียงสัตวน์ ้ำ ควรจะมีกำรจดั กำรท่ีเป็ นกำร ป้องกนั คือ กำรใช้ยำหรือสำรเคมี เช่น ใช้ยำเหลือง ควำมเขม้ ขน้ 2 ppm แช่ตลอด หรือ ควำม เขม้ ขน้ 10 ppm แช่ในระยะเวลำ 1 ช่ัวโมง เมทธิลีน บลู (methylene blue) ในควำมเขม้ ขน้ ที่ เทำ่ กบั ยำเหลือง หรือใชเ้ กลือแกง (NaCl) 3 เปอร์เซ็นต์ กไ็ ด้ การรักษา ในกรณีท่ีกำรป้องกนั ไมเ่ ป็นผล จำเป็ นตอ้ งรักษำโรคที่เกิดข้ึน โดยกำรใช้ ยำหรือสำรเคมีท่ีเหมำะสม เช่น กำรใช้ยำปฏิชีวนะ เช่น ออกซ่ีเตตร้ำซัยคลิน (Oxytetracyclin) ด้วยกำรแช่ในน้ำ ควำมเข้มขน้ 3 – 5 ppm หรือผสมอำหำรให้กิน โดยใช้ผสมในอำหำรปริมำณ 50 มิลลิกรัม ต่อปลำ 1 กิโลกรัม ต่อวนั ให้กินติดต่อกันนำน 1 สัปดำห์ หรือ ใช้ซัลฟำเมอรำซีน (Sulfamerazine) ผสมในอำหำรปริมำณ 200 - 300 มิลลิกรัม ต่อปลำ 1 กิโลกรัม ต่อวนั กินติดต่อกัน นำนถึง 3 วนั และตำมด้วย 150 มิลลิกรัม ต่อปลำ 1 กิโลกรัม ต่อวนั กินติดต่ออีกเป็ นระยะเวลำ 1 สปั ดำห์ 2) Pseudomonas sp. และ Pseudomonas fluorescens แบคทีเรียกลุ่มน้ี ทำให้เกิดโรค ท่ีเรียกว่ำ Pseudomonas Septicemia ซ่ึงให้ลกั ษณะอำกำรที่คล้ำยคลึงกบั โรคท่ีเกิดจำก Aeromonas hydrophila Pseudomonas fluorescens เป็นเช้ือสำเหตุที่พบไดบ้ ่อยคร้ังเช่นเดียวกนั แต่กไ็ ม่มำก เท่ำกับ Aeromonas hydrophila แส ดงอำกำรที่ ใกล้เคียงกัน คือ ตก เลื อด เป็ น แบคที เรี ย ที่สำมำรถสร้ำงสำรพิษ (toxin) ไดม้ ำก ทำให้เกิดแผลบริเวณผิวกล้ำมเน้ือ ลกั ษณะแผลจะลึกลงไป มำกกวำ่ A. hydrophila ในระยะเวลำกำรติดเช้ือที่เทำ่ กนั ลักษณะของเชื้อ มีลักษณะเป็ น facultative bacteria เคลื่อนท่ีได้โดยใช้แฟลกเจลลำ รูปร่ำงเป็ นแท่งส้ัน ติดสีแกรมลบ สำมำรถเจริญไดใ้ นสภำพที่มีอำกำศ แต่ไม่เจริญในท่ีท่ีไม่มีออกซิเจน เจริญไดใ้ นอำหำรเล้ียงเช้ือหลำยชนิด เช่น NA, BHI, BA สร้ำงสำรเรืองแสง และใหโ้ คโลนีสีเหลือง ปนเขียวในอำหำรเล้ียงเช้ือ ลกั ษณะอาการ สัตวน์ ้ำท่ีเป็ นโรค Pseudomonas septicemia จะมีสำเหตุส่วนใหญ่มำจำก ควำมเครียด เน่ืองจำกสภำพแวดลอ้ มที่ไม่ดี ซ่ึงเกิดจำกสำเหตุต่ำงๆ เช่น ควำมหนำแน่นสูงเกินไป --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

44 ขำดกำรจดั กำรเรื่องอำหำร กำรจดั กำรคุณภำพน้ำ ฯลฯ เมื่อสัตวน์ ้ำอ่อนแอ เช้ือแบคทีเรียในกลุ่ม Pseudomonas จะเขำ้ ทำอนั ตรำยได้ทนั ที สัตวน์ ้ำจะมีอำกำรตกเลือดคล้ำยกบั กำรติดเช้ือ Aeromonas hydrophila จะมีสีผิวตวั เปล่ียนไป พบจ้ำเลือดตำมผิวตวั และครีบ รวมท้งั ช่องทอ้ งและอวยั วะภำยใน ท้งั หมด และอำกำรบวมน้ำบริเวณช่องทอ้ ง การป้องกนั และแก้ไข เหมือนกบั โรคท่ีเกิดจำกเช้ือ Aeromonas hydrophila Pseudomonas anguilliseptic ทำใหเ้ กิดโรค Red spot Disease Pseudomonas anguilliseptica จ ะ มี ค ว ำม แ ต ก ต่ ำงจ ำก P. fluorescens ต ร ง ที่ ไม่สำมำรถสร้ำงสำรเรืองแสงได้ เกิดได้ท้งั สัตว์น้ำจืด และน้ำกร่อย โดยเฉพำะกลุ่มปลำทอง และ ปลำคำร์พ อำกำรของโรคจะเหมือนกบั โรค hemorrhagic septicemia ทว่ั ไป การป้องกนั และแก้ไข กำรป้องกนั เป็นวธิ ีท่ีดีที่สุด กำรจดั กำรกำรเล้ียง กำรจดั กำรอำหำร ท่ีดี เพ่ือให้สัตวน์ ้ำมีสุขภำพดี แข็งแรง เป็ นเรื่องท่ีสำคญั มำก เน่ืองจำกสำมำรถลดอตั รำกำรเกิดโรค ลงไดม้ ำก ในกำรรักษำ ใชย้ ำปฏิชีวนะทว่ั ไป เหมือนกบั กำรติดเช้ือจำกแบคทีเรียกลุ่ม Aeromonas 3) Vibrio angillarum, Vibrio parahaemolyticus เกิดข้ึนกับสัตว์น้ำกร่อย และน้ำเค็ม หรือสัตวน์ ้ำจืดท่ีมีชีวิตช่วงหน่ึงอยูใ่ นเขตน้ำกร่อย เช่น กุง้ กำ้ มกรำม (Macrobrachium rosenbergii) ปลำเทร้ำต์ แบคทีเรียกลุ่มน้ี ทำใหเ้ กิดโรคท่ีเรียกวำ่ โรควบิ ริโอซีส (vibriosis) เช้ือ Vibrio anguillarum, และ Vibrio parhaemolyticus มีลกั ษณะทว่ั ไปเป็ นแท่งโคง้ ติดสีแกรมลบ สำมำรถเคล่ือนท่ีไดด้ ว้ ยแฟลกเจลลำ เจริญในอำหำรเล้ียงเช้ือที่มีเกลือไมต่ ่ำกวำ่ 1.5 – 3 เปอร์เซ็นต์ เจริญได้ดีบนอำหำรเล้ียงเช้ือ TCBS ให้ลักษณะโคโลนีท่ีแตกต่ำงกันไป เช่น Vibrio cholera จะใหโ้ คโลนีสีเหลือง Vibrio parhaemolyticus ใหโ้ คโลนีสีเขียว ลักษณะอาการ ลกั ษณะอำกำรโดยทัว่ ไปของปลำที่ป่ วยเป็ นโรค Vibriosis จะมีแผล ท่ีปำก, กระพุ้งแก้ม และผิวหนังตัวด้ำนท้อง ช้ันผิวหนังและกล้ำมเน้ือเกิดฝี หรือเป็ นแผลหลุม (ulceration) ภำยในมีน้ำเหลือง หนอง หรือเลือดคงั่ ที่ผิวหนงั และครีบ ซ่ึงจะมีอำกำรคลำ้ ยคลึงกบั กำร เกิดโรคติดเช้ือจำก Aeromonas hydrophila และ Pseudomonas sp กำรติดต่อของโรคอำจเกิดจำก กำรอยรู่ ่วมกนั หรือไดร้ ับอำหำรท่ีปนเป้ื อนจำกเช้ือ กลุ่ม Vibrio ในกรณีที่เกิดกบั กุง้ ทะเล ท้งั กุง้ วยั รุ่นและกุง้ โตเตม็ วยั จะมีกำรเคล่ือนไหวที่ผิดปกติ เช่น วำ่ ยน้ำไม่มีทิศทำงแน่นอน กลำ้ มเน้ือบริเวณทอ้ งขนุ่ มวั และมีเมด็ สีกระจำยเป็นบริเวณกวำ้ ง --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

45 รูปท่ี 3.4 การเกดิ แผลหลมุ ทบ่ี ริเวณผวิ ตวั (Ulceration) รูปที่ 3.5 การเกดิ แผลหลมุ ร่วมกบั อาการตกเลือดทว่ั ลาตวั การป้องกนั 1) กำรป้องกนั กำรแพร่ระบำดของเช้ือโรคจำกแหล่งหน่ึงไปยงั อีกแหล่งหน่ึง รวมถึง กำรรักษำควำมสะอำด และสุขำภิบำลที่ดีของบ่อเพำะฟัก บ่อเล้ียง ตลอดจนอุปกรณ์และเคร่ืองมือต่ำงๆ 2) หลีกเลี่ยงกำรขนส่ งสัตว์น้ ำในสภำพที่อ่อนแอ โดยพยำยำมลดกำรกระทบ กระเทือนให้มำกที่สุด โดยเฉพำะอย่ำงย่ิง กำรกระทบกระเทือนที่ก่อให้เกิดกำรทำลำยเย่ือเมือก เยอื่ บุผวิ และเกลด็ 3) กำรใชย้ ำเหลือง เมทธิลีน บลู หรือยำปฏิชีวนะ ในขณะท่ีลำเลียงขนส่ง ซ่ึงจะทำ ใหแ้ บคทีเรียหยดุ กำรเจริญเติบโต --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

46 การรักษา 1) กำรรักษำภำยนอก โดยกำรแช่ยำปฏิชีวนะ หรือสำรเคมีท่ีเหมำะสม เช่น - ด่ำงทบั ทิม (KMnO4) ควำมเขม้ ขน้ 2 – 4 ppm แช่ตลอด (เปลี่ยนถ่ำยน้ำ และสำรเคมีทุกวนั ) ในบ่อที่มีสำรอินทรียส์ ูงๆ จะตอ้ งคำนึงถึงกำรสูญเสียของด่ำงทบั ทิม เนื่องจำก ส่วนหน่ึงจะใชใ้ นกำรยอ่ ยสลำยสำรอินทรียเ์ หล่ำน้นั - เตตร้ำซยั คลิน (tetracyclin) ควำมเขม้ ขน้ 10 – 20 ppm 2) กำรรักษำภำยใน (internal treatment) สำมำรถทำได้ 2 ลกั ษณะ คือ กำรผสม อำหำรใหก้ ิน (oral feeding) และกำรฉีด (injection) - กำรผสมอำหำรให้กิน (oral feeding) ตวั ยำจะลงสู่ระบบทำงเดินอำหำร โดยตรง เป็ นกำรป้องกนั กำรสะสมในตวั สัตวน์ ้ำ ซ่ึงจะถ่ำยทอดไปสู่คน ยำและสำรเคมีที่ใช้ไดผ้ ลดี คือ เทอรำมยั ซิน ในอตั รำส่วน 2 – 4 กรัม/อำหำร 1 กก หรือ ไนโตรฟูรำน 2 - 4 กรัม/อำหำร 1 กก. - กำรฉีด (injection) วธิ ีกำรน้ีกระทำไดส้ ะดวกกบั lสัตวน์ ้ำขนำดใหญ่ พอ่ แม่พนั ธุ์ หรือสตั วน์ ้ำชนิดท่ีมีรำคำแพง และไม่กินอำหำร 5.2 โรคก้งุ เรืองแสงหรือโรคเพชรพลอย โรคเรืองแสงทำควำมเสียหำยกบั สัตวน์ ้ำเศรษฐกิจที่สำคญั คือกุง้ ทะเล โดยเฉพำะอยำ่ งยิง่ กุ้งกุลำดำ (Penaeus monodon) และกุ้งก้ำมกรำม (Macrobrachium rosenbergii) และพบว่ำลูกกุ้ง ในช่วงวยั อ่อนระยะนอเพลียส ( nauplius) จะมีควำมไวต่อกำรเกิดโรคไดม้ ำกที่สุด รองลงมำคือระยะ ไมซีส (mysis) ส่วนลูกกุ้งในระยะโพสลำวำ (Post larva) จะมีควำมทนทำนต่อโรคไดด้ ีกว่ำ เช้ือ สำเหตุของโรค คือ Vibrio harvaeyii ลกั ษณะอาการ ลูกกุง้ จะไมก่ ินอำหำร อ่อนแอ และไมว่ ำ่ ยน้ำ ลำตวั ข่นุ ขำว หำกตรวจดู ลูกกุง้ ในเวลำกลำงคืน จะเห็นแสงสีเขียวเคลื่อนท่ีตำมกำรข้ึนลงของลูกกุง้ โดยจะพบท้งั ในลูกกุ้ง ที่อ่อนแอใกลต้ ำย และกุง้ ท่ีตำยแลว้ ซ่ึงจะล่องลอยไปตำมกำรเคลื่อนไหวของน้ำ โรคเรืองแสงจะทำให้ ลูกกุง้ ตำยอยำ่ งรวดเร็วภำยใน 1 – 2 วนั สำมำรถตรวจพบเช้ือแบคทีเรียในกระแสเลือด การป้องกันและรักษา ควรทำกำรป้องกันด้วยกำรฆ่ำเช้ือในน้ ำทะเล และอุปกรณ์ เคร่ืองมือต่ำงๆ ดว้ ยสำรเคมีให้สะอำด ก่อนที่จะนำมำใช้ในกำรเพำะเล้ียงกุง้ หำกพบว่ำเกิดโรค ให้ รักษำ โดยใชย้ ำปฏิชีวนะไดท้ ุกชนิดที่วำงขำยโดยทวั่ ไป ในอตั รำกำรใช้ตำมควำมเขม้ ขน้ แต่ละชนิด ของยำ แช่ติดต่อกนั 3 - 5 วนั และปรับควำมเค็มของน้ำ ในกรณีที่เกิดโรคในระหว่ำงกำรอนุบำล --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

47 กำรรักษำจะทำได้ยำกกว่ำเกิดข้ึนในช่วงของกำรเล้ียง หำกพบว่ำลูกกุ้งมำกกว่ำ 50 เปอร์เซ็นต์ เป็ นโรคเรืองแสง กำรรักษำมกั จะไม่ไดผ้ ล จึงควรเปิ ดบ่อทำลำยลูกกุง้ ชุดน้ันเสีย จำกน้ันทำควำม สะอำดบอ่ เครื่องมือ อุปกรณ์อยำ่ งดี ก่อนดำเนินกำรเพำะเล้ียงกุง้ รุ่นตอ่ ไป 5.3 โรคคอลมั นารีส (columnaris disease) โรคคอลมั นำรีส หรือเรียกกนั ทวั่ ไปวำ่ โรคตวั ด่ำง เกิดข้ึนไดง้ ่ำยท้งั ในปลำที่มีเกล็ดและ ไม่มีเกล็ด ท้งั ในปลำน้ำจืด และน้ำกร่อย กำรเกิดโรคชนิดน้ีมกั เป็ นผลสืบเนื่องมำจำกควำมเครียด ภำยในตวั ปลำ เช่น ควำมบอบช้ำเน่ืองจำกกำรลำเลียงและขนส่ง กำรเพิ่มลดของอุณหภูมิอยำ่ งรวดเร็ว กำรเล้ียงอยำ่ งหนำแน่น ฯลฯ เชื้อสาเหตุ เกิดจำกแบคทีเรี ยกลุ่ม myxobacterium ชื่อ flexibacter columnaris หรื อ Chondrococcus columnaris มีลักษณะเป็ นแท่งยำว ขนำด 0.5 x 10  m สำมำรถเจริญในอำหำร เล้ียงเช้ือทวั่ ไป เจริญไดด้ ีที่อุณหภูมิ 25 – 30 0 เซลเซียส ให้โคโลนีสีเหลือง มีรอยหยกั ตรงขอบ โคโลนีจะติดแน่นอยกู่ บั ผวิ หนำ้ ของอำหำรเล้ียงเช้ือ ลกั ษณะอาการ พบไดห้ ลำยรูปแบบ ดงั น้ี 1) เกิดข้ึนเฉพำะบริเวณเหงือก มกั ไม่พบที่ลำตวั มีควำมรุนแรง และอตั รำกำรตำย สูง ไม่พบบำดแผล แตเ่ หงือกจะมีสีเหลืองซีด บริเวณปลำยเหงือกเป็นสีน้ำตำล เนื่องจำกเกิดกำรตำย ของเน้ือเยื่อเหงือก ถ้ำนำเหงือกมำตรวจสอบดว้ ยกล้องจุลทรรศน์ จะเห็นเซลล์แบคทีเรียมำกมำย ที่บริเวณซี่เหงือก รูปท่ี 3.6 อาการเนื้อเยื่อตายทบี่ ริเวณซ่ีเหงือก --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

48 2) เกิดข้ึนท้งั บริเวณลำตวั และเหงือก ซ่ึงจะพบวำ่ ผิวหนงั บริเวณลำตวั จะมีสีซีดขำว แผเ่ ป็ นบริเวณกวำ้ ง เมด็ สี บนผิวหนงั ถูกทำลำย จะมีลกั ษณะเป็ นปุยสีขำวคลำ้ ยเช้ือรำ บริเวณขอบๆ ของแผลอำจจะมีอำกำรตกเลือดร่วมดว้ ยเล็กนอ้ ย ส่วนใหญ่จะพบกำรติดเช้ือบริเวณผิวหนงั อำจจะ พบลกั ษณะของกำรติดเช้ือทว่ั ตวั ไดบ้ ำ้ งแต่นอ้ ย กลไกกำรติดเช้ือแบคทีเรียชนิดน้ีใชร้ ะยะเวลำส้ันมำก ใหอ้ ตั รำกำรตำยสูง ภำยในเวลำ 1 – 2 วนั รูปท่ี 3.7 การถูกทาลายของเมด็ สีบริเวณผวิ ตวั รูปที่ 3.8-9 การถูกทาลายของเมด็ สีทเ่ี กดิ ขนึ้ ทวั่ ลาตวั --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

49 การป้องกนั รักษา เนื่องจำกกำรเกิดโรคมีลักษณะเป็ นกำรติดเช้ือบริเวณผิวหนัง กำรป้องกันและรักษำ ส่วนใหญจ่ ะใชว้ ธิ ีกำรแช่ยำหรือสำรเคมี ไดแ้ ก่ 1) คลอโรมยั ซิติน (chloromycetin) 5 –10 ppm แช่ตลอด 2) มำลำไคท์ กรีน (malachite green) 1:15,000 เพ่ือกำรป้องกนั โรค โดยแช่นำน 30 นำที ก่อนจบั หรือลำเลียง 3) ยำเหลือง (acriflavin) 2 มิลลิกรัม/gallon ใชป้ ้องกนั โรค แช่ตลอดไป 4) ฟูรำเนส (furanace) 0.5 – 1.0 ppm แช่ 3 ชวั่ โมง ทำติดต่อกนั 3 วนั 5) ด่ำงทบั ทิม (KMnO4) 3 – 4 ppm 5.4 โรคฟูรังคูโลซีส (furunculosls) โรคฟูรังคูโลซีส เป็ นโรคท่ีเกิดกบั สัตวน์ ้ำในช่วงของกำรเพำะและอนุบำลในโรงเพำะฟัก เป็ นส่วนใหญ่ สำเหตุของโรค เกิดจำกเช้ือแบคทีเรียชนิด Aeromonas salmonicida ซ่ึงเซลล์ มีลกั ษณะเป็ นแท่งส้ัน (Bacillus) ติดสีแกรมลบ ไม่สำมำรถเคลื่อนที่ได้ ให้สำรสีน้ำตำลบนอำหำร เล้ียงเช้ือ และเป็ นแบคทีเรียท่ีเจริญไดด้ ีในช่วงอุณหภูมิ 20 – 30 เซลเซียส โดยที่จะหยุดกำรเจริญ ท่ี 37 เซลเซียส ลักษณะอาการ จะพบลักษณะตุ่มนูน (furuncle) บริเวณผิวตวั มีแผลหลุม (ulcer) และมีลกั ษณะเน้ือตำยอยูภ่ ำยใน ทำใหเ้ กิดแผลบวมปูด ซ่ึงภำยในจะมีท้งั เซลล์ที่ตำยแลว้ น้ำเลือด และ น้ำเหลืองขงั อยู่ รูปท่ี 3.10 ลกั ษณะแผลต่มุ นูน (furuncle) และมนี า้ เลือด นา้ เหลืองขงั อยู่ภายใน --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

50 นอกจำกน้ี ยงั มีลกั ษณะอำกำรร่วมอย่ำงอ่ืน ไดแ้ ก่ มีกำรตกเลือดบริเวณผิวหนัง และ อวยั วะภำยใน จะพบเช้ือแบคทีเรียอยู่ในเลือด ช่องเปิ ดทวำรหนักจะบวมและย่ืนออกมำนอกลำตวั มีอำกำรตกเลือดที่ช่องทอ้ ง รวมท้งั ในลำไส้จะมีน้ำเลือดขงั อยทู่ ำใหเ้ กิดอำกำรบวมน้ำ รูปท่ี 3.11 อาการตกเลือดอย่างรุนแรงทบ่ี ริเวณช่องท้อง และช่องเปิ ดทวารหนัก (anus) บวมยื่นออกมานอกลาตวั ควำมรุนแรงของโรค พบได้ท้งั 4 ระดับ คือ 1) แบบเฉียบพลัน (acute) จะมีอัตรำ กำรตำยสูง ภำยในเวลำ 3 – 4 วนั ไม่แสดงลักษณะอำกำรภำยนอกให้เห็น 2) แบบก่ึงเฉียบพลัน (sub - acute) ซ่ึงกำรพฒั นำของโรคจะช้ำลง ทำให้อตั รำกำรตำยไม่สูงมำกเหมือนแบบเฉียบพลนั พบแผลลักษณะตุ่มนูน (furuncle) ให้เห็น และอำจพบแผลหลุม (ulcer) ร่วมอยู่ด้วย 3) แบบเรื้อรัง (chronic) กำรพฒั นำของโรคจะชำ้ มำก มีระยะกำรพฒั นำเป็นเดือน มีอตั รำกำรตำยต่ำ (low mortality) และพบแผลลกั ษณะตุ่มนูนที่บริเวณดำ้ นขำ้ งลำตวั และ 4) แบบที่เป็ นพาหะ (latent) ซ่ึงสำมำรถ ตรวจพบเช้ือสำเหตุ ในตวั สัตวน์ ้ำท่ีไม่แสดงอำกำร แต่จะไม่พบกำรตำย ลกั ษณะเช่นน้ี จะเป็ นปัญหำ สำคญั ในเรื่องของกำรระบำดของโรค ในกรณีที่มีกำรขนยำ้ ยลำเลียงสัตวน์ ้ำจำกแหล่งหน่ึงไปยงั อีก แหล่งหน่ึง การป้องกนั รักษา การป้องกัน ทำควำมสะอำดบ่อเพำะฟักโดยใช้สำรไฮโปคลอไรท์ (hypochlorite) ควำมเข้มข้น 200 ppm ปล่อยในอัตรำควำมหนำแน่น (stocking rate) ท่ีเหมำะสม ควรทำกำร ฆ่ำเช้ือ (disinfection) ในระยะที่เป็ นไข่ โดยใชเ้ มทธิโอเลต (methiolate) เขม้ ขน้ 1:5,000 แช่นำน 10 นำที หรือใชย้ ำเหลือง (acriflavin) เขม้ ขน้ 1: 2,000 แช่นำน 30 นำที --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

51 การรักษา 1) ให้ยำซัลฟำเมรำซีน (sulfamerazine) อตั รำส่วน 8 – 10 กรัม/น้ำหนักปลำ 50 กิโลกรัม/วนั โดยใหต้ ิดต่อกนั เป็ นระยะ 10 – 12 วนั (อำจเพิ่มอตั รำส่วนของยำต่อน้ำหนกั ปลำมำกข้ึน เพ่อื ป้องกนั กำรละลำยน้ำ) 2) ให้ยำเทอรำมยั ซิน (terranycin) อตั รำส่วน 2.5 กรัม/น้ำหนกั ปลำ 50 กิโลกรัม/ วนั ติดต่อกนั 10 – 12 วนั 3) ให้ยำไนโตรฟูรำซีน (nitrofurazine) อตั รำส่วน 8 – 10 กรัม/น้ำหนักปลำ 50 กิโลกรัม/วนั 5.5 โรคเหงือก (bacterial gill disease) โดยทวั่ ไปแล้ว โรคเหงือกในสัตวน์ ้ำ อำจเกิดข้ึนได้เน่ืองจำกสำเหตุอ่ืนหลำยประกำร ด้วยกนั ได้แก่ เกิดจำกกำรขำดธำตุอำหำรบำงชนิด (nutrition gill diseases) เกิดเนื่องจำกสำรเคมี ที่เป็ นมลพิษ ซ่ึงจะทำใหม้ ีกำรตกเลือดบริเวณซ่ีเหงือก (Haemorrhagic gill diseases) หรือกำรมีปรสิต อยู่ในเลือดบริเวณเหงือก (branchiomycosis) เป็ นต้น แต่สำหรับโรคเหงือกท่ีเกิดจำกเช้ือแบคทีเรีย (bacterial gill diseases) มกั เกิดเนื่องมำจำกสภำพแวดลอ้ มที่เลวลงเป็ นสำเหตุโน้มนำ ร่วมกบั กำรติด เช้ือแบคทีเรียกลุ่ม myxobacteria นอกเหนือจำกแบคทีเรียกลุ่มน้ีแลว้ ยงั พบกลุ่มอื่นๆ ร่วมอยู่ดว้ ย เช่น Aeromonas และ Pseudomonas ลักษณะอาการ สัตวน์ ้ำจะเร่ิมแสดงอำกำรด้วยกำรไม่กินอำหำร เคลื่อนไหวผิดปกติ เช่นวำ่ ยน้ำแฉลบไปมำ พยำยำมถูไถกบั ขอบบ่อ หรือวำ่ ยน้ำแบบควงสวำ่ น เป็ นตน้ ส่วนของกระพุง้ แก้มจะเปิ ดอำ้ มำกกว่ำปกติ มกั พบเคล่ือนไหวอย่ำงเช่ืองช้ำที่บริเวณผิวน้ำ ชอบวำ่ ยทวนกระแสน้ำ พบกำรขบั เมือกออกมำมำกผิดปกติท่ีบริเวณเหงือก เหงือกมีสีแดงเขม้ ในระยะแรก เมื่อมีอำกำรมำก ข้ึน เหงือกจะมีสีซีด ซ่ีเหงือกเช่ือมติดกนั เป็ นรูปตะบอง หำกมีกำรตรวจสอบทำงเน้ือเย่ือ จะพบว่ำ บริเวณปลำยของซี่เหงือก (gill filament) เช่ือมติดกนั และพบเซลลข์ องแบคทีเรียจำนวนมำกท่ีบริเวณน้ี --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

52 รูปที่ 3.12 การเชื่อมตดิ กนั ของปลายซ่ีเหงือก (gill filament) รูปท่ี 3.13 อาการเปิ ดอ้าของกระพ้งุ แก้ม (operculum) ในปลาตดิ เชื้อ ลกั ษณะอำกำรของโรคเหงือก ท้งั ท่ีเกิดจำกแบคทีเรีย และเกิดจำกกำรขำดธำตุอำหำรจะมี ควำมคล้ำยคลึงกนั มำก อย่ำงไรก็ตำม สำมำรถวินิจฉัยไดจ้ ำกกำรตรวจสอบเน้ือเยื่อเหงือก และ กำรตรวจหำเซลลข์ องแบคทีเรียท่ีเป็นเช้ือสำเหตุ การป้องกนั รักษา กำรป้องกนั เป็ นวิธีที่ดีท่ีสุด กำรควบคุมสภำพแวดลอ้ ม คุณภำพน้ำ กำรให้อำหำร และ กำรจดั กำรดำ้ นอื่นๆ โดยเฉพำะอยำ่ งยงิ่ กำรควบคุมควำมหนำแน่นของสัตวน์ ้ำใหเ้ หมำะสม เน่ืองจำก กำรเล้ียงสัตว์น้ำแบบหนำแน่นมำกเกินไป เป็ นสำเหตุเบ้ืองต้นสำคญั ที่จะก่อให้เกิดปัญหำเหล่ำน้ี ไดง้ ่ำยข้ึน --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

53 นอกจำกน้ี กำรป้องกันโดยใช้สำรเคมี เพื่อป้องกันควำมสูญเสียท่ีอำจเกิดข้ึน ซ่ึงใน ลกั ษณะของกำรป้องกนั สำมำรถกระทำได้ 1 – 2 อำทิตยต์ ่อคร้ัง สำรเคมีที่นิยมใช้ในกำรป้องกนั ไดแ้ ก่ - อลั คิล เบนซำโคเนียม คลอไรด์ (alkyl benzalkonium chloride) ควำมเขม้ ขน้ 2 ppm แช่นำน 1 ชวั่ โมง - ไพริดิล เมอคิวริค อะซีเตต (pyridylmercuric acetate) (PMA) ควำมเขม้ ขน้ 1 – 2 ppm แช่นำน 1 ชว่ั โมง - ยำเหลือง (acriflavin) ควำมเขม้ ขน้ 2 ppm แช่ตลอด - ไดควอท (diquat) ควำมเขม้ ขน้ 2 – 4 ppm แช่นำน 1 ชว่ั โมง 5.6 โรคไต (Bacterial Kidney Diseases (BKD)) กำรแพร่กระจำยของโรคไตมีอยู่ทว่ั ไป ท้งั ทวีปอเมริกำ ยุโรป และเอเชีย ตรวจพบเช้ือ สำเหตุได้คร้ังแรกจำกปลำในกลุ่มซัลโมนิด (salmonid) ในประเทศไทย ตรวจพบคร้ังแรกใน ปลำบู่ทรำย (Oxyeleotris mamoratus) สำเหตุเกิดจำกเช้ือแบคทีเรีย Renibacterium salmoninarum ซ่ึงเป็นแบคทีเรียชนิดท่ีติดสีแกรมบวก และมีรูปร่ำงทรงกระบอก (Bacillus) ลักษณะอาการ ลักษณะอำกำรของโรคน้ี อำจพบไดท้ ้งั แบบเฉียบพลนั และค่อนขำ้ ง เฉียบพลนั แต่ส่วนใหญ่แลว้ จะพบเป็ นแบบเร้ือรัง สัตวน์ ้ำที่ติดเช้ือ จะมีอำกำรโดยทวั่ ไป คือ นยั น์ตำ จะขุ่น สีผิวลำตวั ดำคล้ำ มีกำรบวมน้ำ เนื่องมำจำกกำรบวมน้ำในส่วนของไต และจะพบลกั ษณะ กอ้ นเน้ือ หรือเน้ืองอก (cyst หรือ granuloma) สีขำวภำยในเน้ือเยื่อไต ซ่ึงเกิดจำกกำรตำยของเน้ือเยื่อ ในบำงกรณี อำจพบกำรบวมน้ำท่ีตบั ม้ำม และใต้ลูกนัยน์ตำ ทำให้มีลักษณะตำโปน ซ่ึงเป็ นผล เน่ืองมำจำกเน้ือเยอ่ื ไตถูกทำลำย นอกจำกน้ี ที่บริเวณผวิ หนงั อำจจะเกิดตุม่ พองข้ึนดว้ ย รูปท่ี 3.14 อาการบวมนา้ อย่างรุนแรงทบี่ ริเวณช่องท้อง --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

54 รูปที่ 3.15 cyst หรือ granuloma สีขาว (ศรชี้) ภายในเนื้อเย่ือไต การป้องกันรักษา โรคไต เป็ นโรคท่ีติดต่อได้โดยตรงผ่ำนทำงอำหำรที่ให้ และกำร ติดต่อทำงพนั ธุกรรมจำกพ่อแม่พนั ธุ์ไปยงั ลูก กำรใชย้ ำในกำรรักษำ ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยไดผ้ ล ยำที่มี ประสิทธิภำพดีในกำรรักษำ คือ อีรีโทรมัยซิน (erythromycin) โดยกำรฉีดให้พ่อแม่พนั ธุ์ในอัตรำ 9 – 10 กรัม/ปลำ 100 กิโลกรัม/วัน และยำในกลุ่มซัลฟำ คือ sulfadiazine sulfamerazine หรื อ sulfamethazine ใหใ้ นอตั รำ 16 – 20 กรัม/ปลำ100 กิโลกรัม/วนั ติดตอ่ กนั 7 วนั 5.7 โรคเอดวาร์ดซิเอลโลซีส (edwardsiellosis) เป็ นโรคแบคทีเรียที่พบมำกในปลำมีหนวด (catfish) โดยเฉพำะปลำในต่ำงประเทศ ได้แก่ปลำดุกอเมริ กัน (channel catfish) ส่ วนในประเทศไทยพบมำกในปลำดุก ที่มีกำรเล้ียง อย่ำงหนำแน่น ขำดกำรจดั กำรคุณภำพน้ำท่ีดี ซ่ึงเป็ นสำเหตุโน้มนำท่ีจะก่อให้เกิดโรคน้ีได้ง่ำยข้ึน เป็นโรคที่ใหอ้ ตั รำกำรตำยค่อนขำ้ งสูง สาเหตุ เกิดจำกเช้ือแบคทีเรีย Edwardsiella tarda ซ่ึงเป็ นแบคทีเรียชนิดท่ีพบในลำไส้ (enteric bacteria) มีลักษณะเป็ นแท่งส้ันๆ ติดสีแกรมลบ สำมำรถเคล่ือนที่ได้โดยใช้แฟลกเจลล่ำ เจริญไดด้ ีบนอำหำรเล้ียงเช้ือหลำยชนิด ลักษณะอาการ มักเกิดอำกำรบริเวณด้ำนข้ำงลำตัวของสัตว์น้ำ โดยเฉพำะอย่ำงย่ิง บริเวณครีบอกและครีบหู โดยที่สัตวน์ ้ำจะขบั เมือกออกมำมำกผิดปกติในบริเวณดงั กล่ำว โดยจะเริ่ม สังเกตเห็นเป็ นตุ่มเล็กๆ บริเวณผิวหนงั จำกน้นั ตุ่มน้ีจะแตกออกและแผ่ขยำยเป็ นวงกวำ้ ง เมือกและ ผวิ หนงั บริเวณแผลจะหลุดออก อำกำรเหล่ำน้ีจะพฒั นำภำยใน 10 – 15 วนั บริเวณขอบของแผลอำจจะ ขยำยลุกลำม หำกมีกำรติดเช้ือซ้ำโดย Aeromonas hydrophila อำกำรเหล่ำน้ี อำจพบไดท้ ่ีบริเวณครีบ อ่ืนๆ แตน่ อ้ ยมำก --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

55 รูปที่ 3.16 แผลทข่ี ยายเป็ นวงกว้างบริเวณครีบหูของปลาทตี่ ดิ เชื้อและลกั ษณะของ Edwardsiella tarda การป้องกันรักษา กำรป้องกันโดยกำรจดั กำรเกี่ยวกับกำรเล้ียงต่ำงๆ เช่น ลดควำม หนำแน่น ฯลฯ จะช่วยลดอตั รำกำรเกิดโรคน้ีได้ ในส่วนของกำรรักษำ ส่วนใหญ่จะใชย้ ำปฏิชีวนะ เช่น ออกซ่ีเตตรำซัยคลิน หรือ คลอแรมฟิ นิคอล ผสมลงในอำหำร อตั รำส่วน 2 – 3 กรัม/อำหำร 1 กิโลกรัม 5.8 โรคแผลหลมุ (ulcer disease) ลกั ษณะของโรคแผลหลุม (ulcer disease) จะมีควำมคลำ้ ยคลึงกบั กำรเกิดแผลท่ีบริเวณ ผวิ หนงั (skin ulceration) ซ่ึงมีสำเหตุมำจำกเช้ือแบคทีเรียอื่นๆ หลำยชนิด เช่น Aeromonas hydrophila หรือ Aeromonas salmonicida แต่ลกั ษณะของกำรขยำยตวั จะเป็นไปในแนวด่ิงมำกกวำ่ ในแนวรำบ สาเหตุ เกิดจำกเช้ือแบคทีเรีย Hemophilus pisium ซ่ึงมีลกั ษณะเป็ นแบคทีเรียแกรมลบ แท่งส้ัน และไม่สำมำรถเคล่ือนท่ีได้ กำรเล้ียงเช้ือแบคทีเรียชนิดน้ี ทำไดค้ ่อนขำ้ งยำกเพรำะไม่เจริญ ในอำหำรเล้ียงเช้ือทวั่ ไป ลักษณะอาการ ลักษณะของแผลที่เกิดเนื่องจำกแบคทีเรีย Haemophilus pisium จะมี ลกั ษณะเป็นหลุมคลำ้ ยกบั ท่ีเกิดจำกโรคฟูรังคูโลซีส หรือเช้ือแบคทีเรียชนิดอ่ืนๆ ลกั ษณะของแผลท่ีเกิด จะเป็ นหลุมลึก มีสีแดงเขม้ หรือสีเทำ ลกั ษณะของโรคมกั เป็ นแบบเร้ือรัง หำกมีกำรตรวจสอบอวยั วะ ภำยใน จะสำมำรถแยกเช้ือไดจ้ ำกปลำท่ีมีอำกำรดงั กล่ำว --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

56 รูปท่ี 3.17 การเกดิ แผลหลุมลกึ สีแดงเข้มในปลาตดิ เชื้อ การป้องกันรักษา กำรป้องกนั ข้นั แรกควรเนน้ ในเรื่องของควำมสะอำดเก่ียวกบั บ่อและ โรงเพำะฟัก ตลอดจนอุปกรณ์ต่ำงๆ ที่ใชใ้ นกำรเล้ียงสัตวน์ ้ำ ควรมีกำรป้องกนั กำรติดต่อของเช้ือผำ่ น ทำงน้ำ โดยกำรใช้สำรเคมีฆ่ำเช้ือในน้ำ ก่อนนำน้ำมำใช้ รวมท้งั กำรเคลื่อนยำ้ ยปลำ โดยวิธีกำรใช้ สำรเคมีป้องกนั กำรใช้ยำหรื อสำรเคมีในกำรรักษำ โดยใช้ออกซ่ี เตตรำซัยคลิน (oxytetracyclin) ในอตั รำส่วน 25 – 75 มิลลิกรัม / น้ำหนกั ปลำ 1 กิโลกรัม/วนั 5.9 โรคแผลแดง (enteric red mouth disease) (ERM) โรคแผลแดง เป็ นโรคที่มีลักษณะอำกำรโดยรวมคล้ำยคลึงกับโรคแบคทีเรียอ่ืนๆ เป็ นโรคที่เกิดจำกเช้ือแบคทีเรีย Yersinia ruckeri ซ่ึงจดั อยู่ในกลุ่มที่พบในลำไส้ (enteric bacteria) มีลกั ษณะเป็นแทง่ ส้นั ๆ ติดสีแกรมลบ สำมำรถเคล่ือนที่ไดโ้ ดยใชแ้ ฟลกเจลล่ำ ลกั ษณะอาการ ลกั ษณะอำกำรคลำ้ ยกบั กำรเกิดโรคติดเช้ือแบคทีเรียทวั่ ไป แต่มีลกั ษณะ อำกำรเด่นชดั คือจะพบกำรอกั เสบและกร่อนบริเวณปำก และขำกรรไกร สีผิวลำตวั จะดำคล้ำและ มีเมือกปกคลุมมำก ท่ีบริเวณปำกและฐำนของครีบต่ำงๆ จะมีสีแดง เน่ืองมำจำกกำรตกเลือด นอกจำกน้ี ยงั พบกำรตกเลือดในอวยั วะภำยในต่ำงๆ รวมท้งั กำรเชื่อมติดกนั ของเน้ือเยอื่ และอวยั วะ ภำยในตำ่ งๆ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

57 รูปท่ี 3.18 อาการตกเลือดบริเวณปาก ฐานครีบต่างๆ และทว่ั ลาตวั รูปที่ 3.19 อาการอกั เสบบริเวณปาก และขากรรไกร การป้องกนั รักษา กำรป้องกนั ท่ีสำคญั คือ กำรจดั กำรด้ำนสุขำภิบำลท่ีดีของบ่อ โรงเพำะฟัก รวมท้งั กำร จดั กำรในดำ้ นอ่ืนๆ โดยให้ควำมสำคญั ในเรื่องของควำมสะอำด ในส่วนของกำรรักษำ พบวำ่ กำรใช้ ยำซลั ฟำเมอรำซีน (sulfamerazine) และยำปฏิชีวนะ อื่นๆ ไดผ้ ลดี โดยกำรผสมในอำหำร ในอตั รำส่วน ดงั น้ี - ใช้ซัลฟำเมอรำซีน (sulfamerazine) ในอัตรำส่ วน 20 กรัม / น้ ำหนักปลำ 100 กิโลกรัม/วนั กินติดต่อกนั 5 วนั - ใช้ออกซี่เตตร้ำซัยคลิน (oxytetracyclin) 5 กรัม /น้ำหนักปลำ 100 กิโลกรัม/วนั กินติดตอ่ กนั 2 สปั ดำห์ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

หน่วยการเรียนรู้ท่ี 4 โรคเชื้อรา โรคเช้ือรำ มีควำมสำคญั และสร้ำงควำมเสียหำยให้แก่อุตสำหกรรมกำรเพำะเล้ียงสัตว์น้ำ โดยเฉพำะอยำ่ งยง่ิ ในช่วงของกำรเพำะฟักและกำรอนุบำลสัตวน์ ้ำวยั อ่อน อตั รำกำรสูญเสียของไขแ่ ละ สัตวน์ ้ำวยั อ่อนจะสูงข้ึนมำก หำกไม่มีกำรจดั กำรในเร่ืองของกำรป้องกนั กำรเกิดเช้ือรำ ที่ดีเพียงพอ อย่ำงไรก็ตำม ในสภำพของกำรเล้ียงสัตวน์ ้ำ กำรเกิดโรคเช้ือรำ ก็มีผลทำให้ปริมำณผลผลิตลดต่ำลง ไดม้ ำกเช่นเดียวกนั 1. ลกั ษณะทว่ั ไปของเชื้อรา 1.1 รูปร่างลกั ษณะ (morphology) รำ มีรูปร่ำงลกั ษณะเป็ นเส้นใยไฮฟำ (Hypha) ซ่ึงจะประกอบไปด้วยไฮฟ่ี (hyphae) เรียงต่อกันเป็ นสำยยำว และจะพบโคโลนีอยู่รวมกนั เป็ นกระจุก เรียกว่ำ “ขยุม้ รำ” หรือไมซีเลี่ยม (mycelium) รูปท่ี 4.1 ไฮฟ่ี (hyphae) ทเี่ รียงต่อกนั เป็ นไฮฟา (hypha) และกล่มุ ไมซีเลยี ม (Mycelium) ของ เชื้อรา 1.2 การสืบพนั ธ์ุ (reproduction) 1.2.1 การสื บพันธ์ุแบบไม่ อาศัยเพศ กำรสื บพันธ์แบบไม่อำศัยเพศ (asexual reproduction) เป็ นกำรสร้ำงซูโอสปอร์ (zoospore) โดยบริเวณปลำยของไฮฟี่ จะพัฒนำไปเป็ น กระเปำะ เรียกวำ่ ซูโอสปอร์แรงเจ้ียม (zoosporangium) ซ่ึงภำยในจะสร้ำงซูโอสปอร์จำนวนมำกมำย และจะแตกออกและเจริญเป็นไฮฟ่ี ต่อไป --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

59 รูปที่ 4.2 ซูโอสปอร์แรงเจยี้ ม (zoosporangium) (ศรชี)้ ทบ่ี ริเวณส่วนปลายของไฮฟา (hypha) 1.2.2 การสืบพันธ์ุแบบมีเพศ (sexual reproduction) ซ่ึงจะให้เซลล์สืบพนั ธุ์ 2 แบบ คือ เซลล์สืบพนั ธุ์เพศผู้ เรียกว่ำ แอนเทอริเดียม (antheridium) และเซลล์สืบพนั ธุ์เพศเมีย เรียกว่ำ โอโอโกเนี ยม (oogonium) ก ำรสื บ พัน ธ์ แบ บ มี เพ ศ เกิ ดข้ึ น เมื่ อบ ริ เวณ ป ล ำยของไฮฟ ำ มีกำรเปลี่ยนแปลงไปเป็ นแอนเทอริเดียม และ โอโอโกเนียม โดยท่ีสองส่วนน้ีจะเขำ้ มำติดกนั แล้ว มีกำรแลกเปลี่ยนโครโมโซมกนั หลงั จำกน้ันก็จะสร้ำงเป็ นโอโอสปอร์ (oospore) ซ่ึงต่อมำก็จะเจริญ ไปเป็นไฮฟ่ี ตอ่ ไป รูปท่ี 4.3 ลกั ษณะของโอโอสปอร์ (Oospore) --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

60 1.3 การเลยี้ งเชื้อ (cultivation) เช้ือรำท่ีพบในสัตว์น้ ำ สำมำรถเจริญเติบโตได้ดี ท้ังในอำหำรเล้ียงเช้ือ Sabouraud Dextrose Agar (SDA) และใน Nutrient Agar (NA) ซ่ึงเป็ นอำหำรเล้ียงเช้ือแบคทีเรียโดยทว่ั ไป แต่ใน NA จะมีโอกำสปนเป้ื อน (contaminate) จำกเช้ือแบคทีเรียไดม้ ำกกวำ่ 2. โรคเชื้อราในสัตว์นา้ 2.1 สภาพแวดล้อมทเี่ อือ้ ต่อการเกดิ โรคเชื้อรา (environmental factors) 2.1.1 อณุ หภูมิ เส้นใยของเช้ือรำจะเจริญไดด้ ีเม่ืออุณหภูมิของน้ำเพม่ิ สูงข้ึน 2.1.2 การขาดสารอาหารของตัวสัตว์น้า เช่น กำรขำดวติ ำมินซีจะทำใหป้ ระสิทธิภำพใน กำรสร้ำงเน้ือเยื่อบริเวณบำดแผลของสัตว์น้ำต่ำลง ทำให้มีโอกำสติดเช้ือรำได้ง่ำยข้ึน นอกจำกน้ี กำรเกิดควำมเครียด ซ่ึงจะทำให้ฮอร์โมนคอร์ติโคสเตอรรอยด์ (corticosteroids hormone) สูงข้ึน ยงั มี ผลทำใหว้ ติ ำมินซีในเลือดต่ำลงอีกดว้ ย 2.1.3 การเกดิ บาดแผลเนื่องมาจากสาเหตุต่างๆ ซ่ึงจะทำใหม้ ีโอกำสติดเช้ือรำไดง้ ่ำยข้ึน 2.2 กลไกการตดิ เชื้อรา (mechanisms of Infection) กำรติดเช้ือรำ มกั จะเกิดข้ึนในกรณีที่เกิดบำดแผล หรือผวิ หนงั ถูกทำลำย อนั เน่ืองมำจำก สำเหตุต่ำงๆ โดยเร่ิมข้ึนเม่ือมีสปอร์ของเช้ือรำเขำ้ ไปเกำะท่ีบริเวณดงั กล่ำว จำกน้นั มีกำรงอกของเส้นใย (hypha) แลว้ ลุกลำมไปยงั ส่วนของเน้ือเยือ่ ท่ีปกติ หำกเป็ นกำรติดเช้ือท่ีบริเวณเหงือกก็จะมีผลต่อกำร แลกเปลี่ยนแกซออกซิเจน หรือเกิดกำรอุดตนั ของส้นเลือดฝอยในเหงือก ส่งผลให้เกิดกำรตำยของ เน้ือเยื่อเหงือก ส่วนในกรณีของไข่ปลำ กำรติดเช้ือจะเกิดกบั ไข่เสียท่ีไม่ไดร้ ับกำรผสมก่อน แลว้ จึง ลุกลำมไปยงั ไข่ที่กำลงั พฒั นำ ไข่ที่ถูกปกคลุมดว้ ยขยมุ้ ของรำ จะไดร้ ับออกซิเจนน้อยลง นอกจำกน้ี เช้ือรำอำจจะแทรกผ่ำนผนงั เซลล์ของไข่ไดโ้ ดยตรงอีกดว้ ย ผลของกำรเกิดโรคติดเช้ือรำในกรณีที่มี ควำมรุนแรงมำก จะมีผลทำให้สัตวน์ ้ำตำยได้ เนื่องจำกระบบสมดุลของของเหลวผิดปกติไป และทำ ใหอ้ ตั รำส่วนของอลั บูมินต่อโกลบูลิน (albumin : globulin) ลดนอ้ ยลง --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

61 ตารางท่ี 4.1 ผลของการติดเชื้อราทมี่ ตี ่อปริมาณออิ อนในนา้ เลือด ออิ อนในนา้ เลือด สัตว์นา้ ปกติ สัตว์นา้ ตดิ เชื้อ Na mM/I 164.2 130.65 K 2.10 1.25 Ca 2.25 1.55 Mg 0.80 0.50 6.70 3.35 Total serum protein (g%) 0.48 0.265 Albumin : globulin ratio ทม่ี า : Noga (1996) 2.3 การระบาดของโรค ข้ึนอยกู่ บั ปัจจยั ตำ่ งๆ ดงั น้ี 2.3.1 แหล่งของเช้ือ - สตั วน์ ้ำ และไขท่ ี่ติดเช้ือ - บริเวณแหล่งน้ำท่ีมีสำรอินทรียส์ ูง 2.3.2 กำรแพร่เช้ือ - จำกตวั สัตวน์ ้ำสู่ตวั สตั วน์ ้ำ - จำกตะกอน/ของเสีย สู่ตวั สตั วน์ ้ำหรือไข่ 2.4 ลกั ษณะการตดิ เชื้อรา โรคติดเช้ือรำในสัตวน์ ้ำ โดยทว่ั ไปจะแบ่งลกั ษณะอำกำร ออกเป็ น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ กำรติดเช้ือภำยนอก (external infection) และกำรติดเช้ือภำยใน (internal infection) 2.4.1 การตดิ เชื้อภายนอก (external infection) กำรติดเช้ือภำยนอกที่เกิดข้ึนกับสัตว์น้ ำ ส่วนใหญ่จะเป็ นกำรติดเช้ือซ้ ำเติม เพรำะเช้ือรำจะสำมำรถดำรงชีวิตอยูไ่ ดอ้ ยำ่ งดีในสิ่งแวดลอ้ มโดยทวั่ ไป และจะมีลกั ษณะเป็ นพวกเช้ือ ฉวยโอกำส เมื่อไรก็ตำมที่มีบำดแผลเกิดข้ึนบนตวั ของสัตวน์ ้ำ หรือมีช่องเปิ ดบริเวณผิวหนงั เหงือก อันเนื่องมำจำกสำเหตุเบ้ืองต้นต่ำงๆ เช่น กำรบำดเจ็บเน่ืองจำกำรลำเลียง กำรเกิดแผลเนื่องจำก แบคทีเรีย หรือปรสิต กจ็ ะเป็นโอกำสของเช้ือรำไดท้ นั ที --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

62 Saprolegnia sp เป็ นเช้ือรำกลุ่มที่ก่อให้เกิดกำรติดเช้ือภำยนอกที่พบมำกท่ีสุดใน สัตวน์ ้ำ ซ่ึงสำมำรถสังเกตเห็นไดง้ ่ำย จำกลกั ษณะคลำ้ ยปุยสำลี หรือปุยฝ้ำยสีขำว ๆ ที่บริเวณ ผวิ หนงั ลำตวั ครีบ และไขป่ ลำที่ติดเช้ือ ลักษณะอาการภายนอก บริเวณลำตวั ครีบต่ำงๆ หรือบริเวณที่มีบำดแผลของ สัตวน์ ้ำ จะเห็นกลุ่มเส้นใยสีขำว และจะเกิดกำรติดเช้ือไดง้ ่ำยท่ีบริเวณครีบ โดยเฉพำะอยำ่ งยงิ่ ท่ีฐำน ของครีบหลงั หรือครีบไขมนั รูปท่ี 4.4 – 5 กลุ่มเส้นใยสีขาวทบี่ ริเวณต่างๆ ของลาตวั สัตว์นา้ พยาธิสภาพของเนื้อเยื้อ หำกตรวจสอบพยำธิสภำพของเน้ือเยอ่ื จะพบวำ่ เส้นใยของเช้ือรำ Saprolegnia sp จะแทรกผำ่ นผวิ หนงั ช้นั นอกสุดลงไป และในบำงคร้ังอำจพบวำ่ เส้นใยลุกลำมไปถึงช้นั ของกลำ้ มเน้ือ ซ่ึงจะเกิดร่วมกบั กำรติดเช้ือแบคทีเรีย บริเวณท่ีเกิดกำรติดเช้ือจะเกิดลกั ษณะเน้ือตำยข้ึนรอบเส้นใย ซ่ึงเกิดจำกกำรปล่อยสำรคุณสมบตั ิคลำ้ ยเอนไซม์ออกมำยอ่ ยเน้ือเยื่อของสัตวน์ ้ำ กำรตอบสนองของ เน้ือเย่อื ที่พบ เช่น กำรอกั เสบ ซ่ึงอำจจะเกิดข้ึนนอ้ ยมำกหรือไม่มีเลย และพบวำ่ ไม่มีกำรสร้ำงสำรพิษ จำกเส้นใยของเช้ือรำชนิดน้ี --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

63 รูปที่ 4.6 การเกดิ ลกั ษณะเนื้อตาย และการอกั เสบในบริเวณทต่ี ดิ เชื้อรา การป้องกนั รักษา การป้องกนั - หลีกเล่ียงสำเหตุตำ่ งๆ ท่ีทำใหส้ ัตวน์ ้ำหรือปลำบอบช้ำ - เล้ียงดว้ ยอำหำรที่มีคุณภำพดี - ลดปริมำณสำรอินทรีย์ - ควบคุมอุณหภูมิน้ำอยำ่ ใหส้ ูงเกินไป - กำรใชส้ ำรเคมีในกำรป้องกนั ไดแ้ ก่ - มำลำไคท์ กรีน (Malachite green) - ฟอร์มำลิน (Formalin) - โซเดียมคลอไรด์ (NaCL) การรักษา ในกรณีเกิดกำรติดเช้ือข้ึนแล้ว สำรเคมีท่ีใช้รักษำได้ผลดี มีหลำยชนิด ไดแ้ ก่ มำลำไคท์ กรี น เมทธิ ลีน บลู ฟอร์มำลีน ด่ำงทับทิม (KmnO4) คอปเปอร์ซัลเฟต (CuSO4) โปแตสเซียมไดโครเมท (K2Cr2O7) และ ซิลเวอร์ไนเตรท (AgNO3) เป็นตน้ ไข่ปลำท่ีติดเช้ือ อำจใช้วิธีจุ่มลงในสำรละลำยของมำลำไคท์ กรีน อตั รำส่วน 1 : 15,000 ใชเ้ วลำ 10 – 30 วนิ ำที แลว้ นำข้ึนมำแช่น้ำสะอำด ทำซ้ำจนกวำ่ จะหมดไป --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

64 กรณีตัวสัตว์น้ำ อำจใช้วิธีกำรรักษำแบบแช่ระยะยำว โดยใช้มำลำไคท์ กรีน ควำมเขม้ ขน้ 0.15 – 0.2 ppm แช่ตลอดไป แต่ควรใช้ดว้ ยควำมระมดั ระวงั เพรำะจะเป็ นพิษต่อปลำ ไมม่ ีเกล็ด โดยเฉพำะกลุ่มปลำมีหนวด หรืออำจใชฟ้ อร์มำลิน ควำมเขม้ ขน้ 30 – 40 ppm แช่ตลอดไป ก็ได้ อย่ำงไรก็ตำม กำรใช้มำลำไคท์ กรีน ต้องใช้ด้วยควำมระมัดระวงั เพรำะมี คุณสมบตั ิเป็นสำรท่ีก่อใหเ้ กิดโรคมะเร็ง (carcinogen) ได้ 2.4.2 การตดิ เชื้อภายใน (internal infection) กำรติดเช้ือภำยในของโรคเช้ือรำส่วนใหญ่ จะพบนอ้ ยในปลำเขตร้อน เช้ือรำชนิด ที่สำมำรถตรวจพบได้ คือ Branchiomyces sp ซ่ึงเป็นสำเหตุของโรคเหงือกเน่ำ (gill rot) Branchiomyces sp เป็ นเช้ือรำท่ี ก่อให้เกิดโรคเหงือกเน่ำ (gill rot) ในปลำ หลำยชนิด มีลกั ษณะเป็ นพวกเส้นใย ที่ไม่มีผนังก้นั เช้ือรำชนิดน้ีจะเขำ้ สู่ตวั ปลำท่ีบริเวณซ่ีเหงือก แกนเหงือก และเส้นเลือด ซ่ึงทำให้เกิดลกั ษณะกำรติดเช้ือทวั่ ร่ำงกำยได้ แต่ส่วนใหญ่จะก่อให้เกิด อำกำรท่ีบริเวณเน้ือเย่ือเหงือกมำกกว่ำ สปอร์ของเช้ือรำ จะผ่ำนเข้ำสู่ตวั ปลำทำงเหงือก หรือผ่ำน ทำงเดินอำหำรของปลำเขำ้ สู่ระบบไหลเวียน เลือด และระบบน้ำเหลืองในบริเวณลำไส้ และสปอร์ เหล่ำน้ีจะเจริญเป็น ไฮฟี่ ไฮฟ่ ำ และไมซีเลียม ตำมลำดบั อยทู่ ่ีบริเวณเหงือก ซ่ึงสปอร์จะเจริญไดด้ ีใน บริเวณเน้ือเยอ่ื ที่มีออกซิเจนเขำ้ ไปหล่อเล้ียงมำกๆ เช่น เหงือก และเส้นเลือดตำ่ งๆ โรคเหงือกเน่ำ (gill rot) จะลุกลำมอย่ำงรวดเร็ว ทำให้อตั รำกำรตำยของปลำสูง ภำยใน 2 – 4 วนั ปลำที่ตำยมกั เกิดจำกกำรขำดออกซิเจนในร่ำงกำย เนื่องจำกเน้ือเยอ่ื เหงือกถูกทำลำย ลกั ษณะอาการ จะพบเน้ือเยอ่ื ที่บริเวณเหงือกตำยเป็ นหยอ่ มๆ และเกิดกำรเชื่อม ติดกนั ของแกนเหงือก มกั จะพบไฮฟี่ อยภู่ ำยในในเส้นเลือดท่ีบริเวณเหงือก ทำใหเ้ กิดกำรอุดตนั โดยเช้ือรำจะไปขดั ขวำงกระแสหมุนเวยี นของเลือดในเหงือกท้งั หมด ทำใหเ้ หงือกเป็ นสีแดงและน้ำตำล เนื่องจำกกำรตกเลือด และกำรคง่ั ของเลือด หรืออำจเป็นสีขำว สีเทำเนื่องจำกกำรขำดเลือดมำเล้ียง แต่ในกรณีท่ีเหงือกมีลกั ษณะเป็นกอ้ นสีขำว แสดงวำ่ โรคน้ีมีควำมรุนแรงในข้นั เฉียบพลนั --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

65 รูปท่ี 4.7 การเชื่อมตดิ กนั ของแกนเหงือก รูปท่ี 4.8 การตดิ เชื้ออย่างรุนแรง เกดิ เป็ นก้อนสีขาวบริเวณเหงือก การป้องกนั รักษา ในปัจจุบนั ยงั ไมม่ ียำหรือสำรเคมีที่เหมำะสม และใชไ้ ดผ้ ลดีจริง ในกำรรักษำโรค กำรป้องกนั ทำไดโ้ ดยกำรควบคุมปริมำณสำรอินทรียใ์ นบ่อไมใ่ หม้ ีมำกเกินไป ลดปริมำณอำหำรท่ีให้ กำรรักษำ อำจทำไดโ้ ดยกำรใชส้ ำรเคมี ตอ่ ไปน้ี 1. มำลำไคท์ กรีน ควำมเขม้ ขน้ 0.3 ppm แช่นำน 24 ชวั่ โมง 2. BKC (Benzalkonium chloride) ควำมเขม้ ขน้ 1 – 4 ppm แช่นำน 1 ชว่ั โมง 3. คอปเปอร์ซลั เฟต ควำมเขม้ ขน้ 100 ppm แช่นำน 10 – 30 นำที --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 โรคไวรัสในสัตว์นา้ โรคไวรัส มีบทบำทสำคญั อยำ่ งมำกต่อผลผลิตของกำรเพำะเล้ียงสัตวน์ ้ำ โดยเฉพำะอยำ่ งย่ิง ผลผลิตจำกกำรเล้ียงกุ้งทะเล มีกำรรำยงำนโรคไวรัสในสัตวน์ ้ำคร้ังแรกจำกประเทศเยอรมนั คือ โรคลิมโฟซีสทีส (lymphocystis) ท่ีพบในปลำ จำกน้ัน กำรศึกษำโรคไวรัสในสัตว์น้ำ ก็ได้รับ กำรพฒั นำ และมีควำมกำ้ วหน้ำมำกข้ึนเป็ นลำดบั โดยได้มีกำรประยุกตใ์ ช้เทคนิคใหม่ๆ เขำ้ มำช่วย เพ่ือให้ได้ข้อมูลท่ีเป็ นประโยชน์ต่อกำรจัดกำร/ควบคุมกำรเกิดโรคไวรัสในสัตว์น้ ำได้อย่ำง มีประสิทธิภำพ เป็นผลใหอ้ ุตสำหกรรมกำรเพำะเล้ียงสัตวน์ ้ำมีกำรเจริญเติบโตมำอยำ่ งต่อเน่ือง 1. ลกั ษณะทว่ั ไปของไวรัส ไวรัสเป็ นอนุภำคขนำดเล็กมำก ท่ีสำมำรถเพิ่มจำนวนได้ก็ต่อเม่ืออำศัยอยู่ในเซลล์ของ ส่ิงมีชีวิตเท่ำน้นั โดยทว่ั ไปแลว้ หำกจะเปรียบเทียบกบั แบคทีเรียจะพบว่ำ ไวรัสจะมีขนำดเล็กกว่ำ แบคทีเรียมำก และไม่สำมำรถมองเห็นไดภ้ ำยใตก้ ลอ้ งจุลทรรศน์ธรรมดำ ขอ้ แตกต่ำงอีกประกำรหน่ึง ก็คือ ไวรัส ไมส่ ำมำรถเจริญเติบโตบนอำหำรเล้ียงเช้ือไดเ้ อง ในขณะที่แบคทีเรียสำมำรถเจริญเติบโตได้ ดีในอำหำรเล้ียงเช้ือทว่ั ไป 1.1 ลกั ษณะสาคัญของไวรัส สรุปได้ 3 ประกำร ดงั น้ี 1.1.1 ไวรัสมีขนำดเล็กมำก โดยมีขนำดต้งั แต่ 20 – 300 นำโนเมตร ในขณะที่เซลล์ แบคทีเรียมีขนำดใหญ่กวำ่ มำก (200 – 2,000 นำโนเมตร) 1.1.2 สำรพนั ธุกรรม ที่มีอยู่ในอนุภำคไวรัส ซ่ึงจะเป็ นกรดนิวคลีอิก (Nucleic acid) โดยอำจจะเป็ น DNA (Deoxyribonucleic acid) หรือ RNA (Ribonucleic acid) อย่ำงใดอย่ำงหน่ึง เท่ำน้นั 1.1.3 ไวรัสไม่สำมำรถเพิ่มจำนวนอนุภำคได้เอง เหมือนกำรแบ่งเซลล์ของแบคทีเรีย แตจ่ ะเพมิ่ จำนวนไดก้ ต็ อ่ เมื่อเขำ้ ไปอยใู่ นเซลลข์ องส่ิงมีชีวติ อื่นเท่ำน้นั --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

67 1.2 โครงสร้างของอนุภาคไวรัส โครงสร้ำงของอนุภำคไวรัส (virion) ประกอบไปด้วยแกนกลำงซ่ึงเป็ นกรดนิวคลีอิก (Nucleic Acid) และจะถูกหุ้มดว้ ยสำรประกอบโปรตีน (Protein Coat) นอกเหนือจำกชนิดของกรด นิวคลีอิกแล้ว โปรตีนท่ีห่อหุ้มจะมีควำมจำเพำะเจำะจง ทำให้ไวรัสแต่ละชนิดมีควำมแตกต่ำงกนั โครงสร้ำงของอนุภำคไวรัส จะประกอบดว้ ย 3 ส่วนท่ีสำคญั ดงั น้ี 1.2.1 จีโนม (Genome) ซ่ึงเป็ นแกนกลำง ประกอบดว้ ยกรดนิวคลีอิก (Nucleic acid) ซ่ึง อำจจะเป็น DNA หรือ RNA อยำ่ งใดอยำ่ งหน่ึง 1.2.2 โปรตีน โคท้ (Protein coat) ซ่ึงเป็ นโปรตีนที่ห่อหุม้ สำรพนั ธุกรรมไว้ อำจเรียกอีก อยำ่ งหน่ึงวำ่ แคปซิด (capsid) กำรเรียงตวั ของโปรตีนในช้นั น้ีจะเป็นส่วนที่ทำใหอ้ นุภำคไวรัสมีรูปร่ำง แตกตำ่ งกนั ออกไปในแต่ละชนิด 1.2.3 ผนังหุ้มไขมัน (Lipid Envelope) ซ่ึ งเป็ นสำรประกอบพวกไลโปโปรตีน (lipoprotein) เป็นผนงั หุม้ ช้นั นอกสุด ซ่ึงอำจจะมีหรือไม่กไ็ ด้ ข้ึนอยกู่ บั ชนิดของไวรัส Genome (DNA หรือ RNA) Protein coat (Capsid) ) รูปท่ี 5.1 องค์ประกอบทส่ี าคญั ของโครงสร้างอนุภาคไวรัส 1.3 รูปร่างลกั ษณะของอนุภาคไวรัส สำมำรถแบง่ กลุ่มรูปร่ำงลกั ษณะของอนุภำคไวรัสได้ 3 กลุ่ม ดงั น้ี --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

68 รูปท่ี 5.2 อนุภาคไวรัสรูปทรงกระบอก (Rod - Shape) รูปท่ี 5.3 อนุภาคไวรัสทม่ี รี ูปร่างแบบทรงกลม (Spherical - Shape) รูปท่ี 5.4 อนุภาคไวรัสทม่ี รี ูปทรงซับซ้อน ไม่สมมาตร (Complex Structure) --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

69 2. การจาแนกชนิดของไวรัส กำรจำแนกชนิดของไวรัส ยงั ไม่มีกฎเกณฑ์ท่ีชดั เจน เหมือนของพืชและสัตว์ โดยทว่ั ไปแลว้ กำรจดั จำแนกในส่วนของกำรศึกษำโรคไวรัสในสตั วน์ ้ำ จะพิจำรณำควำมแตกตำ่ งจำกลกั ษณะที่สำคญั 2 ประกำร คือ 2.1 ชนิดของกรดนิวคลอี กิ เช่น DNA หรือ RNA - ไวรัสท่ีมีสำรพนั ธุกรรมชนิด DNA (DNA Viruses) - ไวรัสที่มีสำรพนั ธุกรรมชนิด RNA (RNA Viruses) 2.2 การมหี รือไม่มผี นังหุ้มไขมัน (Lipid envelope) - ไวรัสท่ีมีผนงั หุม้ (Enveloped Viruses) - ไวรัสที่ไม่มีผนงั หุม้ (Non - enveloped Viruses) 3. การเพม่ิ จานวนของอนุภาคไวรัส จำกควำมรู้ในเรื่องลกั ษณะสำคญั ของไวรัสท่ีวำ่ ไวรัสจะเพิ่มจำนวนอนุภำคได้ ก็ต่อเมื่อเขำ้ ไป อำศยั อยใู่ นเซลล์ของสิ่งมีชีวิตที่เป็ นโฮสตเ์ ท่ำน้นั ดงั น้นั ในกำรศึกษำกิจกรรมกำรดำรงชีวติ ของไวรัส จำเป็ นตอ้ งมีสิ่งมีชีวิตที่จำเพำะเจำะจงกบั ชนิดของไวรัส (Specific host) น้ันๆ หรือจำเป็ นตอ้ งมีกำร เพำะเล้ียงเซลล์หรือเน้ือเย่ือของส่ิงมีชีวิตน้ันข้ึนมำ ในกำรศึกษำไวรัสท่ีก่อให้เกิดโรคในสัตว์น้ำ ก็เช่นเดียวกนั จำเป็ นตอ้ งมีกำรเพำะเล้ียงเซลล์ของสัตวน์ ้ำ (Cell line) แต่ละชนิดข้ึนมำ กำรเพำะเล้ียง เซลล์และเน้ือเย่ือของสัตวน์ ้ำ ทำได้โดยกำรตดั ชิ้นส่วนของเน้ือเย่ือที่ต้องกำร แล้วนำมำย่อยด้วย เอนไซม์ทริปซิน ซ่ึงจะทำให้เซลล์ของเน้ือเยื่อหลุดออกเป็ นเซลล์เดี่ยวๆ และนำมำเพำะเล้ียงเพื่อให้ แบ่งเซลล์เพิ่มจำนวนมำกข้ึนอยำ่ งต่อเนื่อง จนกลำยเป็ นเซลลไ์ ลน์ (Cell line) ที่สำมำรถนำไปใชเ้ พ่ือ ศึกษำกิจกรรมของไวรัสในหอ้ งทดลองไดน้ น่ั เอง 3.1 การเพาะเลยี้ งเซลล์และเนื้อเยื่อของสัตว์นา้ แมว้ ่ำในปัจจุบนั จะมีเซลล์ไลน์ (cell line) ของปลำอยู่หลำยชนิด ท่ีสำมำรถนำใช้ใน กำรศึกษำโรคไวรัสได้ เช่น ปลำเทร้ำต์ (Salmon gairdneri R.) ปลำไน (Cyprinus carpio) ปลำดุก อเมริ กัน (Ictalurus punctatus) และปลำดุกด้ำน (Clarias batrachus) แต่ไวรัสท่ีก่อให้เกิดโรค ในสัตวน์ ้ำบำงชนิด ค่อนขำ้ งจะจำเพำะเจำะจงในเร่ืองของโฮสท์ ดงั น้นั กำรศึกษำโรคติดเช้ือไวรัสของ สัตวน์ ้ำท่ีมีควำมสำคญั ทำงเศรษฐกิจกลุ่มใดกลุ่มหน่ึง จำเป็ นตอ้ งมีกำรเพำะเล้ียงเซลลห์ รือเน้ือเยือ่ ของ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

70 สัตวน์ ้ำกลุ่มน้นั ดว้ ย เพื่อให้กำรตรวจสอบและวนิ ิจฉยั โรคถูกตอ้ งและนำไปสู่กำรควบคุมและป้องกนั โรคที่ดี และมีประสิทธิภำพมำกข้ึน กำรเพำะเล้ียงเซลล์และเน้ือเย่ือของสัตวน์ ้ำ จำเป็ นตอ้ งมีอำหำรท่ีสมบูรณ์ และเหมำะสม โดยทว่ั ไปจะมีองคป์ ระกอบที่จำเป็นในกำรเจริญเติบโต (growth factors) ดงั น้ี 1) กรดอมิโน (amino acid) เพ่ือใชใ้ นกำรสังเครำะห์โปรตีน 2) กลูโคส หรือน้ำตำลกลุ่มอื่น เพอ่ื ใชเ้ ป็นแหล่งพลงั งำน 3) เซร่ัม (โดยทวั่ ไปจะใช้ fetal bovine serum) ซ่ึงจะให้ growth factors และช่วยในกำร ลดควำมเป็นพษิ ของเมตำโบไลทต์ ่ำงๆ 4) เกลือ (buffered salt solution) เพ่ือช่วยให้สภำพแวดลอ้ มมีปริมำณอิออนท่ีเหมำะสม และ pH คงที่ 5) วติ ำมิน เพื่อช่วยในกระบวนกำรทำงำนของเซลล์ 6) ยำปฏิชีวนะ (antibiotics) เพอื่ ใชใ้ นกำรควบคุมปริมำณของแบคทีเรีย เซลลแ์ ละเน้ือเยอื่ ท่ีเพำะเล้ียงข้ึนมำน้นั แบง่ ออกไดเ้ ป็น 2 ลกั ษณะ คือ 1) เซลล์เพำะเล้ียงเริ่มต้น (primary cell culture) เป็ นกำรเพำะเล้ียงเซลล์จำกตัวปลำ โดยตรง ซ่ึงเซลลท์ ี่ไดย้ งั ไมส่ ำมำรถปรับตวั ใหเ้ ขำ้ กบั สภำพในหลอดทดลองได้ กำรเจริญเติบโตจะชำ้ 2) เซลล์ไลน์ (cell line culture) เป็ นเซลล์ท่ีผ่ำนกำรเล้ียงจำกเซลล์เริ่มต้นมำเป็ น เวลำนำน มีกำรเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนสภำพของเซลล์ ทำให้ลักษณะรูปร่ำงหรือพันธุกรรม มีกำรเปลี่ยนแปลงไปบำ้ ง เซลลท์ ่ีไดจ้ ะเจริญเติบโตเร็วมำก อย่ำงไรก็ตำม เซลล์ที่ไดจ้ ำกข้อแรก จะไม่เหมำะสมในกำรนำมำศึกษำอนุภำคไวรัส เพรำะเซลล์เหล่ำน้ีจะตำยอยำ่ งรวดเร็ว และมีกำรเปล่ียนแปลงไดง้ ่ำย ส่วนใหญ่ในกำรศึกษำเพ่ือแยก เช้ือไวรัสจะนิยมใชเ้ ซลลไ์ ลน์ (cell line) มำกกวำ่ 3.2 การเพมิ่ จานวนของอนุภาคไวรัส เนื่องจำกอนุภำคไวรัสไม่สำมำรถเพ่ิมจำนวนไดเ้ องในธรรมชำติ หรือบนอำหำรสังเครำะห์ เหมือนกบั เช้ือแบคทีเรีย ดังน้ัน กำรเพ่ิมจำนวนของอนุภำคไวรัส จึงต้องอำศยั เซลล์ของสิ่งมีชีวิต กระบวนกำรเพิม่ จำนวนของอนุภำคไวรัสในเซลลข์ องโฮสต์ ประกอบดว้ ยข้นั ตอนตำ่ งๆ ดงั น้ี --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

71 1) การเกาะติด (attachment or adsorption) เป็ นข้นั ตอนที่อนุภำคไวรัสเขำ้ ไปเกำะติด กบั ผนังเซลล์ของโฮสท์ ซ่ึงกำรเกำะติดดงั กล่ำว ผนงั เซลล์ของโฮสท์จะตอ้ งมีตวั รับ (receptor site) ท่ีเหมำะสมอยู่ เพ่ือให้มีกำรเกำะติดเกิดข้ึน นน่ั คือ ไวรัสแต่ละชนิดตอ้ งโฮสทท์ ่ีเฉพำะเจำะจงแตกต่ำง กนั ไป (Specific host) 2) การแทรกผ่านเข้าสู่เซลล์ (penetration or injection) เป็ นข้ันตอนที่อนุภำคไวรัส แทรกส่วนของสำรพนั ธุกรรม (Genome) และโปรตีนท่ีห่อหุ้ม (protein coat หรือ Capsid) ผ่ำนผนัง เซลล์ (cell membrane) ของโฮสท์เข้ำไปภำยในเซลล์ ในกรณี ที่เป็ นอนุภำคไวรัสท่ีมีผนังหุ้ม (enveloped viruses) กจ็ ะสลดั ส่วนน้ีทิ้งไวภ้ ำยนอกเซลล์ 3) การแยกออกจากกันระหว่างสารพันธุกรรม และโปรตีนที่ห่อหุ้ม (Un-coating) เม่ืออนุภำคไวรัสเขำ้ ไปภำยในเซลลข์ องโฮสทแ์ ลว้ กจ็ ะมีกำรแยกตวั ออกจำกกนั ระหวำ่ งสำรพนั ธุกรรม (DNA หรือ RNA) กบั ส่วนของโปรตีนท่ีห่อหุม้ 4) การเพม่ิ จานวนไวรัส (Genome replication) สำรพนั ธุกรรม (DNA หรือ RNA) จะ มีกำรจำลองตวั เอง (replication) เพ่อื เพิม่ ปริมำณมำกข้ึนอยำ่ งต่อเนื่อง โดยมีกำรสงั เครำะห์เอนไซม์ ตำ่ งๆ เพอ่ื ใหไ้ วรัสนำมำใชใ้ นกำรสังเครำะห์สำรพนั ธุกรรม ในขณะเดียวกนั กจ็ ะมีกำรสงั เครำะห์ โปรตีน โดยใชโ้ ปรตีนเดิมของอนุภำคไวรัสเป็นตน้ แบบ และดึงเอำโปรตีนต่ำงๆ ภำยในเซลลข์ อง โฮสท์ มำสังเครำะห์เป็ นโปรตีนที่มีคุณสมบตั ิตำมตอ้ งกำร เพื่อนำไปใชใ้ นกำรห่อหุม้ (protein coat) สำรพนั ธุกรรมท่ีเพมิ่ ปริมำณมำกข้ึนนน่ั เอง 5) การสร้างอนุภาคไวรัส (assembly) เป็ นข้นั ตอนที่มีกำรรวมตวั กนั ระหว่ำงโปรตีนที่ สงั เครำะห์ข้ึนมำ กบั สำรพนั ธุกรรม เพอื่ ใหไ้ ดเ้ ป็นอนุภำคไวรัส (Virion) ท่ีสมบูรณ์ 6) การปล่อยอนุภาคไวรัสออกจากเซลล์ (release หรือ lysis) เป็ นข้ันตอนสุดท้ำย ที่ไวรัสเพ่ิมจำนวนไดเ้ ต็มท่ีภำยในในเซลล์แล้ว ก็จะทำให้เซลล์แตก และปล่อยอนุภำคไวรัสออกมำ ภำยนอกเพื่อทำลำยเซลล์อื่นต่อไป นอกจำกน้ี ในขณะที่เซลล์ยงั ไม่แตก ร่องรอยหรือผลที่เกิดจำก กระบวนกำรเพ่ิมจำนวนของอนุภำคไวรัสภำยในเซลล์ (inclusion bodies หรือ occlusion bodies) ยงั สำมำรถทำใหโ้ ครงสร้ำง และกำรทำหนำ้ ท่ีของเซลลโ์ ฮสท์ มีควำมผดิ ปกติไปจำกเดิมอีกดว้ ย --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

72 4. โรคไวรัสในสัตว์นา้ 4.1 โรคไวรัสในปลา โรคไวรัสในปลำ ส่วนใหญจ่ ะพบและมีกำรศึกษำกนั มำก ในปลำเขตอบอุ่น และเขตหนำว เช่น ปลำซลั มอน และปลำเทร้ำต์ เป็ นตน้ ในปลำเขตร้อนกม็ ีรำยงำนบำ้ ง เช่น ในปลำดุกอเมริกนั ปลำทะเลบำงชนิด เช่น ปลำกะพงขำว ปลำกะรัง เป็นตน้ ลกั ษณะอำกำรของโรคไวรัสในปลำ ส่วนใหญจ่ ะแสดงอำกำรโดยรวมท่ีคลำ้ ยคลึงกนั ท้งั หมด ซ่ึงสำมำรถสรุปได้ ดงั น้ี 1) กินอำหำรนอ้ ยลง 2) มีกำรเคล่ือนไหวที่ผดิ ปกติ เช่น กำรวำ่ ยน้ำเสียกำรทรงตวั กำรควงสวำ่ น ฯลฯ 3) สีตวั /ครีบ ดำคล้ำ หรือเขม้ ข้ึนอยำ่ งชดั เจน 4) ตำโปน ซ่ึงเน่ืองมำจำกกำรบวมน้ำ 5) กำรตกเลือด โดยเฉพำะท่ีอวยั วะภำยใน โรคไวรัสท่ีสำคญั ในปลำ สำมำรถแบ่งออกเป็ น 2 กลุ่ม ตำมประเภทของเช้ือสำเหตุ ดงั น้ี 4.1.1 ไวรัสทม่ี ี RNA เป็ นสารพนั ธุกรรม (RNA viruses) 1) โรค Viral hemorrhagic septicemia (VHS) เป็นโรคติดเช้ือไวรัสท่ีพบส่วนใหญ่ในปลำเรนโบว์ เทร้ำท์ (rainbow trout) แต่ ก็สำมำรถติดต่อไปยงั ปลำในกลุ่มซัลโมนิด (salmonid) ได้ เกิดจำกเช้ือไวรัสที่อยูใ่ นกลุ่ม RNA virus มีลักษณะรูปร่ำงเป็ นรูปกระสุน ท้ำยกลมมน ขนำดอนุภำคยำว 180 นำโนเมตร และกวำ้ ง 60 – 70 นำโนเมตร โครงสร้ำงของอนุภำคมีผนงั หุม้ (enveloped virus) ลักษณะอาการ ปลำท่ีติดเช้ือไวรัสชนิดน้ี จะแสดงอำกำรเฉ่ือยชำ ไม่วำ่ ยน้ำ ชอบกบดำนอยูบ่ ริเวณพ้ืนบ่อ หรืออำจมีกำรว่ำยน้ำแบบหัวต้งั ลำตวั สีคล้ำดำ ตำโปน พบอำกำรตก เลือดกระจำยท่ัวร่ำงกำย เหงือกจะมีสีซีดและมีจุดตกเลือดเป็ นหย่อมๆ อวยั วะภำยในจะมีกำร เปลี่ยนแปลงอยำ่ งเห็นไดช้ ดั เจน เช่น ทำงเดินอำหำรจะวำ่ งไม่มีเศษอำหำร ตบั มีลกั ษณะซีดหรือตก เลือดเป็ นหยอ่ มๆ จะพบกำรตกเลือดท่ีเน้ือเย่ือเกี่ยวพนั ถุงลมและลำไส้ ไตจะบวม ในปลำท่ีติดเช้ือ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

73 เร้ือรัง จะพบวำ่ มีกำรตำยของเซลลเ์ น้ือเย่ือบริเวณตบั ไต มำ้ ม รวมท้งั ตบั อ่อน ไตและมำ้ มจะมีสีเขม้ ข้ึนเน่ืองจำกมีกำรสะสมของเมด็ สี (melanin) มำกผดิ ปกติ การควบคุมโรค ควบคุมโรคติดเช้ือไวรัส VHS ตอ้ งพยำยำมหลีกเลี่ยงไขป่ ลำ ที่ติดเช้ือไวรัส กำรจดั กำรท่ีดี โดยเฉพำะในเรื่องของควำมสะอำด หรือกำรทำลำยปลำท่ีติดเช้ือและ พำหะของเช้ือ จะช่วยลดอตั รำกำรเกิดโรคลงได้ 2) โรค Infectious pancreatic necrosis virus (IPNV) เป็ นโรคติดเช้ือท่ีพบได้มำกในปลำกลุ่มซัลโมนิด (salmonid) โรค IPNV มีรำยงำนคร้ังแรกในปลำบรู๊ค เทรำท์ (brook trout) เป็นโรคท่ีมีอตั รำกำรตำยคอ่ นขำ้ งสูง เกิดจำกเช้ือ ไวรัสในกลุ่ม RNA ไวรัส อนุภำคไวรัสมีลกั ษณะเป็ นรูปทรงแปดเหล่ียมขนำดเล็ก (icosahedral) ไม่มี ผนงั หุม้ (non – enveloped virus) อนุภำคมีเส้นผำ่ ศูนยก์ ลำงประมำณ 65 นำโนเมตร ลักษณะอาการ ปลำจะแสดงอำกำรว่ำยน้ ำตัวหมุน ลำตัวเป็ นสีดำคล้ำ ตำโปนและท้องบวม มีอำกำรตกเลือดบริเวณท้องและฐำนครีบ อวยั วะภำยในจะตกเลือดท่วั ไป ตบั และมำ้ มมีสีซีด หำกตรวจสอบพยำธิสภำพของเน้ือเย่ือ จะพบว่ำ มีกำรทำลำยส่วนของตบั อ่อน และเกิดกำรตำยของเซลล์ (cell necrosis) ร่วมอยู่ดว้ ย นอกจำกน้ี จะพบกำรตำยของเซลล์ในอวยั วะ สร้ำงเมด็ เลือด และไต อีกดว้ ย การควบคุม กำรติดเช้ือไวรัส สำมำรถติดต่อไดท้ ้งั ในแนวรำบ (horizontal transmission) โดยผ่ำนทำงน้ ำหรื อจำกตัวปลำสู่ ตัวปลำ และกำรติดต่อในแนวด่ิง (vertical transmission) จำกแม่สู่ลูกผำ่ นทำงไข่ กำรให้อำหำรสดก็อำจเป็ นแหล่งแพร่เช้ือไวรัสสู่ปลำที่เล้ียง ไดเ้ ช่นเดียวกนั ดงั น้นั ควรหลีกเล่ียงปลำ และแหล่งน้ำท่ีมีเช้ือไวรัส กรณีที่พบปลำติดเช้ือไวรัส ให้ ทำลำยปลำที่ติดเช้ือโดยกำรฝังหรือเผำ กำรลำ้ งไข่ปลำดว้ ยไอโอดีน หรือทำควำมสะอำดโรงเพำะฟัก และแหล่งเล้ียงก็จะช่วยลดกำรแพร่กระจำยของเช้ือไวรัสได้ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

74 4.1.2 ไวรัสทมี่ ี DNA เป็ นสารพนั ธุกรรม (DNA Viruses) 1) โรค Channel catfish virus disease (CCVD) เป็ นโรคติดเช้ือไวรัสที่เร่ิมเกิดข้ึนกบั ปลำดุกอเมริกนั (channel catfish) และมี อตั รำกำรตำยที่ค่อนขำ้ งสูง สำมำรถก่อให้เกิดโรคกบั ปลำไดอ้ ีกหลำยชนิด เกิดจำกเช้ือไวรัสในกลุ่ม DNA ไวรัส รูปร่ำงของอนุภำคไวรัสชนิดน้ี เป็ นรู ปทรงแปดเหล่ียม (icosahedral) มีผนังหุ้ม (enveloped virus) อนุภำคมีเส้นผ่ำศูนยก์ ลำง 175 – 200 นำโนเมตร ส่วนอนุภำคที่ยงั ไม่มีผนังหุ้ม จะมีเส้นผำ่ ศูนยก์ ลำง 95 – 105 นำโนเมตร ลกั ษณะอาการ อำกำรที่แสดงใหเ้ ห็นอยำ่ งเด่นชดั ของโรค CCVD คือปลำจะ วำ่ ยน้ำแบบควงสวำ่ น ลอยตวั อยบู่ ริเวณผวิ น้ำเพื่อฮุบอำกำศ เหงือกสีซีดและตกเลือด รวมท้งั มีอำกำร ตำโปนร่วมดว้ ย มีอำกำรตกเลือดบริเวณครีบและช่องทอ้ ง หำกเปิ ดช่องทอ้ งจะมีน้ำเลือดขงั อยภู่ ำยใน อวยั วะภำยในจะมีกำรตกเลือดในส่วนของตบั ไต มำ้ ม กลำ้ มเน้ือ และทำงเดินอำหำร พยำธิสภำพ ของเน้ือเยือ่ บริเวณไต จะมีกำรตำยของเซลล์อยำ่ งรุนแรง นอกจำกน้ียงั พบกำรตำยของเซลลใ์ นเน้ือเย่อื ส่วนตบั มำ้ ม และทำงเดินอำหำร อีกดว้ ย รูปที่ 5.5 อาการตกเลือดทช่ี ่องท้อง และการเปลย่ี นสีของครีบต่างๆ (ภาพล่าง) การควบคุมโรค กำรป้องกนั โดยกำรฆ่ำเช้ือในแหล่งน้ำท่ีใช้เพำะฟักลูกปลำ กำรตรวจสอบไข่ปลำ ก่อนนำมำเพำะฟัก รวมท้งั กำรคุมอุณหภูมิน้ำไม่ให้สูงเกิน 27 องศำเซลเซียส กจ็ ะช่วยลดกำรแพร่ระบำดของโรคได้ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

75 2) โรค Lymphocystis virus disease (LVD) โรคลิมโฟซีสธีส พบไดท้ วั่ ไปในปลำชนิดต่ำงๆ ทวั่ โลก ท้งั ในปลำน้ำจืดและ ปลำน้ำเค็ม มีอตั รำกำรตำยค่อนขำ้ งต่ำ และปลำสำมำรถหำยเองได้ เกิดจำกเช้ือไวรัส Lymphocystis ซ่ึงเป็น DNA ไวรัส รูปร่ำงเป็ นแปดเหล่ียม (icosahedral) ซ่ึงจะมีขนำดแตกต่ำงกนั ไปแลว้ แต่ชนิดของ ปลำที่พบ ลกั ษณะเด่นของไวรัสชนิดน้ี คือทำให้เซลล์ของโฮสต์เกิดกำรเปลี่ยนแปลง โดยขยำยขนำดใหญ่ข้ึนอยำ่ งชดั เจน (giant cell) เม่ือเทียบกบั เซลล์ปกติ (normal cells) ท่ีอยตู่ ิดกนั และ ภำยในเซลลต์ ิดเช้ือจะพบ อินคลูชนั่ บอด้ี (inclusion bodies) ติดสีน้ำเงินอยใู่ นไซโตพลำสซึม Normal cells Inclusion bodies Giant cell รูปท่ี 5.6 เซลล์ขนาดใหญ่ (Giant Cell) เปรียบเทยี บกบั เซลล์ปกติ (Normal Cells) ลักษณะอาการ ปลำท่ีติดเช้ือ จะมีตุ่มนูน ลักษณะคล้ำยหูดสีขำวบริเวณ ผวิ หนงั และครีบ ลกั ษณะหูดจะขำวใส หรือสีชมพู กอ้ นหูดจะโตข้ึนเรื่อยๆ และในบำงคร้ังอำจจะพบ ในบริเวณอวยั วะภำยใน เยอ่ื หุม้ หวั ใจ หลอดอำหำร รังไข่ ผนงั ลำไส้ มำ้ ม และตบั ดว้ ย รูปที่ 5.7 ลกั ษณะหูดขาวใส หรือสีชมพูทวั่ ลาตวั --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

76 การควบคุมโรค เนื่องจำกกำรติดต่อของโรคเกิดข้ึนจำกกำรท่ีกอ้ นหูดแตกออก และปล่อยไวรัสลงสู่แหล่งน้ำ ซ่ึงสำมำรถติดต่อในแนวรำบผำ่ นทำงน้ำได้ ดงั น้นั พอ่ – แม่พนั ธุ์ปลำ ที่มีอำกำรของโรค หรือปลำท่ีมีรำคำแพง อำจนำมำขดู กอ้ นเน้ือท่ีเป็ นหูดออก แลว้ ป้ำยดว้ ยซิลเวอร์ไน เตรท 1% ในกำรคดั เลือกพ่อ – แม่พนั ธุ์ ควรเป็ นปลำปลอดโรค รวมท้งั กำรใชส้ ำรไอโอดีนทำควำม สะอำดไข่ปลำก่อนฟักก็จะทำให้ลดกำรแพร่กระจำยของเช้ือลงได้ ปลำติดเช้ือที่หำยแลว้ ก็สำมำรถ เป็นพำหะนำเช้ือสู่ปลำตวั อ่ืนไดเ้ ช่นเดียวกนั 4.2 โรคไวรัสในก้งุ โรคติดเช้ือในกุง้ ทะเลมีหลำยชนิด เช่น เช้ือโปรโตซัวในกลุ่มซูโอแทมเนียม โรคติดเช้ือ แบคทีเรียในกลุ่มวิบริโอ กำรติดเช้ือเหล่ำน้ีก่อให้เกิดควำมสูญเสียได้มำกในช่วงของกำรเล้ียง อย่ำงไรก็ตำม กำรติดเช้ือดงั กล่ำว ปัจจุบนั สำมำรถแกไ้ ขปัญหำและรักษำโรคไดค้ ่อนขำ้ งดี หำกผู้ เล้ียงทรำบถึงสำเหตุของโรค และจดั กำรสภำพกำรเล้ียงให้ดีข้ึน ร่วมกบั กำรใชย้ ำและสำรเคมีที่ถูกตอ้ ง แต่กำรติดเช้ือไวรัสในกุง้ ก่อให้เกิดควำมเสียหำยอยำ่ งมำกมำยกบั ธุรกิจกำรเพำะเล้ียงกุง้ ทะเล และ จนกระทงั่ ถึงปัจจุบนั ก็ยงั ไม่สำมำรถจดั กำรกบั เช้ือโรค หรือรักษำโรคไดอ้ ย่ำงแทจ้ ริง เนื่องจำกเช้ือ ไวรัสเป็ นอนุภำคของส่ิงมีชีวิตท่ีมีขนำดเล็กท่ีสุด และมีขนำดเล็กกวำ่ แบคทีเรียมำก ไม่สำมำรถมอง ดว้ ยกลอ้ งจุลทรรศน์ธรรมดำ นอกจำกน้ี ไวรัสยงั ไม่สำมำรถดำรงชีวติ อยอู่ ยำ่ งอิสระในน้ำและอำกำศ ได้ ตอ้ งอำศยั อยู่ภำยในในเซลล์ของส่ิงมีชีวิตอ่ืนเท่ำน้นั กำรรักษำโรคติดเช้ือไวรัสจึงกระทำได้ยำก ดงั น้นั กำรป้องกนั และควบคุมโรคจึงเป็ นวิธีกำรท่ีดีที่สุด เช้ือไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคในกุ้งทะเลมีท้งั ชนิดท่ีมีควำมรุนแรงต่ำไปจนถึงเช้ือไวรัสท่ีมีควำมรุนแรงสูง ก่อให้เกิดกำรตำยของกุ้งอย่ำงรวดเร็ว และแพร่ระบำดไดใ้ นบริเวณกวำ้ ง ดงั น้ี 4.2.1 โรคไวรัสทมี่ ีความรุนแรงตา่ 1) โรคไวรัสเอม็ บีวี (MBV : Monodon baculovirus) โรคไวรัสเอ็มบีวี ตรวจพบคร้ังแรกในกุ้งกุลำดำจำกประเทศไต้หวนั เมื่อปี พ.ศ.2542 หลงั จำกน้นั ก็มีรำยงำนจำกหลำยประเทศทว่ั โลก และพบในกุง้ ทะเลหลำยชนิด ในประเทศ ไทยมีรำยงำนกำรตรวจพบไวรัสเอ็มบีวีในกุ้งกุลำดำ ท้งั จำกลูกกุ้งในโรงเพำะฟักและกุ้งในบ่อเล้ียง อย่ำงไรก็ตำม กำรตำยของกุง้ ที่มีสำเหตุมำจำกเช้ือไวรัสเอ็มบีวียงั ไม่มีควำมรุนแรงมำก และยงั ไม่ ชดั เจน ส่วนใหญ่มกั พบวำ่ มีสำเหตุอื่นร่วมอยู่ดว้ ย เช่น คุณภำพน้ำไม่เหมำะสม ปล่อยกุง้ ด้วยอตั รำ ควำมหนำแน่นสูงเกินไป พ้ืนบอ่ หมกั หมม เป็นตน้ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

77 ลกั ษณะอาการ โรคไวรัสเอ็มบีวใี นกุง้ กุลำดำไม่แสดงอำกำรที่ชดั เจนซ่ึงจะทำ ให้สำมำรถบ่งช้ีไดว้ ่ำกุง้ มีกำรติดเช้ือไวรัสชนิดน้ี แต่ในกรณีท่ีเกิดกบั ลูกกุง้ ระยะโพสลำวำ (post – larva (PL)) อำจจะสังเกตเห็นกอ้ นกลมๆ เล็กๆ ในตบั ได้ โดยกำรใชแ้ สงไฟส่องท่ีตวั ลูกกุง้ สาเหตุและการวินิจฉัยโรค สำเหตุของโรคเกิดจำกเช้ือไวรัสในกลุ่มแบคคิวโล ไวรัส อนุภำคมีควำมยำว 280 – 300 นำโนเมตร เส้นผ่ำศูนยก์ ลำง 70 – 75 นำโนเมตร กำรตรวจ วินิจฉัยโรคไวรัสเอ็มบีวีในกุ้งระยะโพสลำวำ ทำไดโ้ ดยกำรนำตบั กุง้ มำบ้ีบนสไลด์ แล้วยอ้ มสีด้วย กำรหยดสำรละลำย มำลำไคท์ กรีน ควำมเขม้ ขน้ 0.5 % จำกน้นั นำไปส่องดูดว้ ยกลอ้ งจุลทรรศน์ จะเห็นก้อนกลมๆ ติดสีเขม้ ของออคคลูช่นั บอด้ี (Occlusion bodies) ซ่ึงเป็ นกลุ่มกอ้ นของโปรตีน ท่ีเกิดจำกกำรกระทำของเช้ือไวรัสกระจำยอยู่ ในกรณีกุง้ โตหรือพ่อแม่พนั ธุ์ อำจนำเอำข้ีกุง้ จำกบ่อ เล้ียงมำส่องดูในลกั ษณะเดียวกนั ก็ได้ ซ่ึงวิธีกำรเดียวกันน้ี เป็ นเทคนิคท่ีสำมำรถนำไปใช้ในกำร คดั เลือกลูกกุง้ หรือพอ่ แม่พนั ธุ์ที่ปรำศจำกเช้ือไวรัสไดด้ ว้ ย 2) โรคไวรัสแอลโอววี ี (LOVV : Lymphoid Organ Vacuolating Virus) โรคไวรัสแอลโอวีวีในกุ้งกุลำดำ สำมำรถแพร่กระจำยได้ทั่วไปในกุ้งทะเล หลำยชนิด แต่มีบทบำทและควำมสำคญั มำกนอ้ ยมำก เพรำะโรคชนิดน้ีไม่มีผลต่ออตั รำกำรตำยของกุง้ มำกนกั ในกงุ้ กุลำดำสำมำรถตรวจพบโรคแอลโอววี ี ไดท้ ้งั ในกุง้ ปกติ และกุง้ ที่มีกำรติดเช้ือไวรัสชนิด อื่น เช่น เอม็ บีวี (MBV) เอชพวี ี (HPV) และไวรัสหวั เหลือง (YHV) เป็นตน้ ลักษณะอาการ อำกำรของกุ้งกุลำดำท่ีเป็ นโรคไวรัสแอลโอวีวี ไม่มีอำกำรที่ แสดงใหเ้ ห็นชดั เจน ส่วนใหญจ่ ะเกิดร่วมกบั กำรติดเช้ือไวรัสชนิดอ่ืน หรือกำรติดเช้ือแบคทีเรีย สาเหตุและการวินิจฉัยโรค สำเหตุเกิดจำกเช้ือไวรัสในกลุ่มแบคคิวโลไวรัส สำมำรถตรวจวินิจฉัยไดโ้ ดยดูกำรเปล่ียนแปลงทำงพยำธิสภำพของเซลล์ท่ีผิดปกติไป เช่น มีช่องว่ำง เกิดมำกข้ึน เนื่องจำกมีกำรตำยของเซลล์ (cell necrosis) รวมท้งั มีกำรตำยของเซลล์ในต่อมน้ำเหลือง อีกดว้ ย --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

78 3) โรคไวรัสเอชพวี ี (HPV : Hepatopancreatic parvo – like virus) โรคไวรัสเอชพีวี เป็ นโรคที่พบมำนำนแล้วในกำรเล้ียงกุง้ กุลำดำของประเทศ ไทย แต่ควำมสูญเสียของกุง้ กุลำดำที่เกิดเน่ืองจำกไวรัสชนิดน้ียงั ไม่มีรำยงำนอยำ่ งชัดเจน เน่ืองจำก ไวรัสชนิดน้ีมีควำมรุนแรงต่ำเหมือนกับเช้ือไวรัสเอ็มบีวี และมักพบร่วมกับกำรติดเช้ือชนิดอื่น นอกจำกน้ียงั สำมำรถตรวจพบไดใ้ นกงุ้ ปกติที่ไมไ่ ดแ้ สดงอำกำรของโรคแต่อยำ่ งใด ลกั ษณะอาการ อำกำรของโรคเอชพีวใี นกุง้ กุลำดำจะสังเกตไดย้ ำก ไม่มีอำกำร เด่นชดั ส่วนใหญจ่ ะมีอำกำรร่วมกบั กำรติดเช้ือชนิดอ่ืนๆ สาเหตุและการวินิจฉัยโรค สำเหตุของโรคเกิดมำจำกเช้ือไวรัสในกลุ่มพำโว ไวรัส ซ่ึงเป็ นไวรัสท่ีมีขนำดเล็กมำก เส้นผ่ำศูนยก์ ลำงของเช้ือไวรัสประมำณ 22 – 24 นำโนเมตร กำรติดเช้ือจะพบเฉพำะบริเวณตบั อ่อน ทำใหเ้ กิดกำรเปล่ียนแปลงในนิวเคลียสของเซลล์ตบั อ่อนอยำ่ ง ชดั เจน ซ่ึงทำใหส้ ำมำรถวนิ ิจฉยั ไดโ้ ดยง่ำย 4) โรคไวรัสไอเอชเอชเอ็นวี (IHHNV : Infectious hypodermal hematopoeitic necrosis virus) โรคไอเอชเอชเอน็ วี เป็ นโรคที่ยงั ไม่มีช่ือเรียกเป็ นภำษำไทย ผูเ้ ล้ียงส่วนใหญ่ เรียกโรคน้ีตำมอำกำรท่ีแสดงออกวำ่ โรคแคระแกร็น และกรีงอ ส่วนช่ือภำษำองั กฤษยงั เป็ นที่รู้จกั กนั ในช่ือ runt-deformity syndrome (RDS) ซ่ึงมำจำกลักษณะอำกำรกรีงอที่สังเกตได้ชัดจำกกุ้งที่ป่ วย ในปัจจุบนั โรคน้ีก็ไดก้ ่อให้เกิดควำมเสียหำยให้แก่กำรเล้ียงกุ้งขำวในประเทศไทยไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพำะลูกกุง้ ขำวที่ไดม้ ำจำกพอ่ แม่พนั ธุ์ท่ีเล้ียงในบ่อดิน อยำ่ งไรก็ตำม มีกำรตรวจพบไวรัสชนิดน้ี ในบำงตวั อยำ่ งของกงุ้ กุลำดำที่เป็นโรคไวรัสหวั เหลือง และโรคไวรัสตวั แดงดวงขำวดว้ ย ลกั ษณะอาการ โรคน้ีจะแสดงอำกำรอยำ่ งเร้ือรัง หรือที่เรียกวำ่ runt-deformity syndrome (RDS) โดยลูกกุง้ ขำวที่ติดเช้ือไวรัส IHHNV จะมีลกั ษณะท่ีสังเกตไดง้ ่ำย คือ ลกั ษณะของ กรีท่ีผิดปกติ อำจจะบิดงอ กุดหรือส้ันกว่ำปกติ อำจพบลกั ษณะคดงอของลำตวั ซ่ึงลกั ษณะเหล่ำน้ี จะสังเกตไดห้ ลงั จำกปล่อยลูกกุง้ ลงเล้ียงในบ่อประมำณ 30 วนั ส่วนกุง้ ในระยะวยั รุ่น (2-3 เดือน) จะมีอำกำรกรีคดงอ เสียรูปร่ำง หนวดงอ เปลือกไม่เรียบ และไม่โต โดยจะพบกุ้งลักษณะเช่นน้ีถึง 30-50 % ของกงุ้ ภำยในบ่อท่ีเป็นโรค ทำใหก้ ุง้ ไม่โต และมีขนำดท่ีแตกตำ่ งกนั อยำ่ งเห็นไดช้ ดั --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

79 รูปที่ 5.8 ก้งุ ทแ่ี สดงอาการ RDS สังเกตการเสียรูปร่างของกรี และหนวด สาเหตุและการวินิจฉัยโรค สำเหตุมำจำกเช้ือพำโวไวรัส (pavovirus) ซ่ึงเป็ น DNA ไวรัสท่ีสำมำรถทนอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้ดี พบเช้ือชนิดน้ีกระจำยอยู่ท่ัวโลก มีโฮสท์ (host) หลำยชนิด ได้แก่ กุ้งกุลำดำ กุ้งขำว กุ้งญี่ป่ ุน เป็ นต้น ช่องทำงติดต่อท่ีสำคัญ คือพ่อแม่พันธุ์ นอกจำกน้ี ยงั สำมำรถติดตอ่ ผำ่ นทำงน้ำ หรือพำหะอื่นๆ ไดเ้ ช่นกนั กำรตรวจวนิ ิจฉยั โดยทวั่ ไปยงั ใชว้ ธิ ีตรวจสอบทำงพยำธิสภำพของเน้ือเยอื่ เช่น เหงือก เปลือกกุ้ง ระบบประสำท ไต อวยั วะน้ำเหลือง กลำ้ มเน้ือ เป็ นตน้ โดยสังเกตลกั ษณะของ อินคลูช่ัน บอด้ี (inclusion bodies) ซ่ึงจะพบอินคลูช่ันที่มีลกั ษณะพิเศษที่เรียกว่ำ Cowdry type A หรือจะใช้ชุดตรวจวินิจฉัยโรคไวรัสไอเอชเอชเอ็นวี ซ่ึงมีจำหน่ำยในท้องตลำด ก็สำมำรถตรวจ วนิ ิจฉยั โรคน้ีไดอ้ ยำ่ งชดั เจน การป้องกนั /ควบคุมโรค ควรตรวจสอบพนั ธุ์กงุ้ ขำว ก่อนกำรนำลงบ่อเล้ียง ดว้ ยวธิ ีพีซีอำร์ หรือ DNA dotblotting ในกรณีบ่อท่ีเกิดโรคข้ึนแลว้ ในกำรเตรียมบ่อใหม่เพ่ือเล้ียงรุ่น ถดั ไป จำเป็นตอ้ งตำกบ่อใหแ้ หง้ และกำจดั กุง้ อื่นๆ ท่ีจะเป็นพำหะ และฆ่ำเช้ือในบ่อใหด้ ี ระมดั ระวงั ในเร่ืองของแพร่กระจำยของเช้ือ เนื่องจำกไวรัสชนิดน้ีมีควำม ทนทำนต่อสภำพแวดลอ้ ม และสำมำรถติดต่อผำ่ นทำงน้ำ รวมท้งั อุปกรณ์ภำยในฟำร์มที่ใชร้ ่วมกนั ได้ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

80 4.2.2 โรคไวรัสทม่ี ีความรุนแรงสูง 1) โรคไวรัสหัวเหลือง (YBV : Yellow – head baculovirus) หรือ YHV (Yellow – head virus) โรคหวั เหลือง (Yellowhead Disease (YHD)) ที่เกิดในกุง้ ตระกูล penaeid น้นั เป็ นโรคที่ทำใหก้ ุง้ มีอตั รำกำรตำยสูง และรวดเร็ว ทำควำมสูญเสียใหธ้ ุรกิจกำรเพำะเล้ียงกุง้ กุลำดำอยำ่ ง มหำศำลในช่วงเวลำหลำยปี ที่ผำ่ นมำ โดยในประเทศไทย เริ่มระบำดคร้ังแรกในภำคใต้ และหลงั จำก น้นั กแ็ พร่กระจำยไปในหลำยจงั หวดั ลักษณะอาการ ลกั ษณะของกุง้ ที่เป็ นโรคหัวเหลืองจะมีอำกำรโดยทวั่ ไป คือจะ มีสีเหลืองที่ส่วนหวั และอก (cephalothorax) ซ่ึงถูกคลุมไวด้ ว้ ยแผน่ ปิ ดหวั (carapace) อนั เน่ืองมำจำก สีเหลืองของตบั (hepatopancrease (HP)) โดยส่วนของตบั จะนิ่มกว่ำกุง้ ปกติ ซ่ึงมีสีน้ำตำลและแข็ง สีตวั ของกงุ้ จะซีดจำง กงุ้ จะเพลีย ไม่มีแรงดีดตวั มกั ข้ึนมำเกยขอบบ่อ อตั รำกำรตำยของกงุ้ จะสูงมำก ภำยใน 3 – 4 วนั และจะตำยหมดภำยใน 5 วนั หลงั จำกกำรตรวจพบอำกำรคร้ังแรก รูปที่ 5.9 ความแตกต่างทสี่ ่วนหัวและอก (cephalothorax) ระหว่างก้งุ ปกติ (ขวา) และก้งุ ป่ วย (ซ้าย) ท้งั น้ี อำกำรภำยนอกที่เห็น และกำรตำยของกุง้ จะเกิดข้ึนภำยในเวลำ 2 – 4 วนั และตำมดว้ ยกำรกินอำหำรซ่ึงจะดีเป็ นช่วงๆ และสุดทำ้ ยก็จะหยุดกินอำหำร กุง้ ที่ใกลต้ ำยจำนวนมำก จะมำรวมกลุ่มกนั ใกล้ๆ กบั ผิวน้ำบริเวณขอบบ่อ มีหลำยกรณีท่ีพบว่ำกำรตำยของกุ้งท้งั บ่อเกิดข้ึน ภำยในเวลำเพียงไม่กี่วนั หลงั จำกท่ีกงุ้ เร่ิมแสดงอำกำรภำยนอกให้เห็น ไวรัส YHV สำมำรถก่อใหเ้ กิด โรคในกุง้ ไดต้ ้งั แตร่ ะยะปลำยๆ ของโพสลำวำ คือช่วงหน่ึงเดือนแรกของกำรเล้ียง แตก่ ำรตำยจำนวน มำกมกั พบในระยะต้งั แต่เดือนท่ีสองไปจนถึงจบั จำหน่ำย --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

81 สาเหตุและการวินิจฉัยโรค สำเหตุของโรคท่ีเกิดจำกเช้ือไวรัส YHV เป็นไวรัส รูปทรงกระบอก มีควำมยำว 150 – 200 นำโมเมตร เส้นผำ่ ศูนยก์ ลำง 45 – 50 นำโมเมตร สำมำรถติด เช้ือไดท้ ่ีบริเวณเหงือก ต่อมน้ำเหลือง อวยั วะสร้ำงเมด็ เลือดและเมด็ เลือด พยำธิสภำพของกุง้ ที่เป็ นโรค หวั เหลืองจะทำใหเ้ กิดกำรตำยของเน้ือเยอ่ื และเซลลใ์ นอวยั วะตำ่ งๆ รูปท่ี 5.10 รูปร่างลกั ษณะของอนุภาคไวรัส YHV รูปที่ 5.11 ลกั ษณะเมด็ เลือดก้งุ กลุ าดาปกติ (ซ้าย) และ เมด็ เลือดของก้งุ ตดิ เชื้อไวรัส YHV ซ่ึงนวิ เคลยี สของเซล จะแตกออก (ขวา) รูปท่ี 5.12 ต่อมนา้ เหลืองก้งุ กลุ าดาปกติ (ซ้าย) และต่อมนา้ เหลืองก้งุ กลุ าดาทตี่ ดิ เชื้อไวรัส YHV ซ่ึง เซลจะตาย และแตกกระจาย (ขวา) --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

82 การรักษา/การป้องกัน เม่ือพบกำรติดเช้ือ ควรลดอตั รำกำรให้อำหำร 50% จดั กำร/ควบคุมคุณภำพน้ำ โดยไมต่ อ้ งใหย้ ำปฏิชีวนะใดๆ ส่วนในกำรป้องกนั อำจทำไดโ้ ดยมีบ่อพกั น้ำและบำบดั น้ำใหด้ ีก่อนนำมำใชใ้ นบอ่ เล้ียง และถำ้ กงุ้ ในบ่อเกิดโรคหวั เหลืองแลว้ ก่อนถ่ำยน้ำลงสู่ แหล่งน้ำธรรมชำติ จำเป็ นตอ้ งฆำ่ เช้ือดว้ ยแคลเซียมไฮโปรคลอไรท์ ควำมเขม้ ขน้ 8-16กิโลกรัม/ไร่ หรือโซเดียมไฮโปคลอไรทใ์ นปริมำณ 60 มล./ไร่ เพื่อไมใ่ หเ้ ช้ือไวรัสแพร่ระบำดไปท่ีอ่ืน นอกจำกน้ี กำรปล่อยกงุ้ ในอตั รำควำมหนำแน่นต่ำ (ไมเ่ กิน 60,000-100,000 ตวั /ไร่) กจ็ ะลดปัญหำกำรเกิดโรค ไดม้ ำก และทำใหส้ ำมำรถจดั กำรกบั โรคไดง้ ่ำยข้ึนดว้ ย 2) โรคไวรัสตัวแดงดวงขาว (WSV : White spot Syndrome Virus) โรคไวรัสตัวแดงดวงขำว (White spot disease (WSD)) ท่ีเกิดกับกุ้งตระกูล penaeid เป็นโรคท่ีใหอ้ ตั รำกำรตำยของกุง้ สูง และเกิดข้ึนอยำ่ งรวดเร็ว ในประเทศไทย โดยสถำบนั วจิ ยั กำรเพำะเล้ียงสัตวน์ ้ำชำยฝ่ัง จงั หวดั สงขลำ พบวำ่ มีกำรระบำดโรคชนิดน้ีต้งั แต่ปลำยปี 2537 ถึงตน้ ปี 2538 บริเวณที่มีกำรระบำดอยำ่ งรุนแรง คือ ภำคตะวนั ออก แถบ จนั ทบุรี และ ตรำด ส่วนในภำคใตฝ้ ั่ง ตะวนั ตกพบที่ ชุมพร สุรำษฎร์ธำนี สงขลำ นครศรีธรรมรำช และ ปัตตำนี ภำคใตฝ้ ่ังตะวนั ตกพบท่ี ตรัง กำรระบำดของโรคก่อให้เกิดควำมสูญเสียอย่ำงมำกในกำรเล้ียงกุ้งกุลำดำในประเทศไทย โดยควำมรุนแรงของเช้ือและกำรสูญเสียที่เกิดข้ึนจะใกลเ้ คียงกบั โรคหวั เหลืองท่ีเคยระบำดในกงุ้ กุลำดำ ลักษณะอาการ กำรเกิดโรคจะเริ่มด้วยกำรท่ีกุ้งไม่กินอำหำร และจำกน้ัน ในเวลำไม่ก่ีวนั ก็จะเห็นกุง้ ใกลต้ ำยวำ่ ยอยูใ่ กลผ้ วิ น้ำบริเวณขอบบอ่ ผิวใตเ้ ปลือกตลอดท้งั ลำตวั มีสีแดง เร่ือๆ อมชมพูจนถึงสีแดงเขม้ บำงคร้ังจะพบออกเป็ นสีส้ม และพบจุดขำวขนำดเส้นผ่ำศูนยก์ ลำง 0.1 – 2 มิลลิเมตร ท่ีใตเ้ ปลือกบริเวณส่วนหัวและลำตวั หลงั จำกกำรเร่ิมเห็นจุดขำวเกิดข้ึน กำรตำย ของกุง้ จะตำมมำอยำ่ งรวดเร็ว กุง้ ท่ีเป็นโรคจะวำ่ ยน้ำอยทู่ ี่บริเวณผวิ น้ำ หรือเกยขอบบ่อ ไม่มีแรงดีดตวั บำงคร้ังพบกุง้ มีอำกำรลอกครำบไม่ออก หรือลอกครำบแลว้ ไม่แข็งตวั ตวั น่ิม อตั รำกำรตำยของกุ้ง หลงั จำกเกิดโรคสูงถึง 80 – 100% ภำยใน 4 – 5 วนั --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

83 รูปท่ี 5.13 จดุ ขาวจานวนมากทบี่ ริเวณใต้เปลือกหวั ของก้งุ ป่ วย สาเหตุและการวนิ ิจฉัยโรค เช้ือโรคที่เป็ นสำเหตุของโรค WSD คือ White spot syndrome virus (WSSV) หรือ WSV ซ่ึงเป็ น DNA virus รูปร่ำงของเช้ือเป็ นท่อนทรงกระบอกไป จนถึงรูปไข่ พร้อมท้งั มีผนงั (envelope) ห่อหุ้มอยู่ และอนุภำคมีขนำดใหญ่ (80 – 120 X 250 – 380 นำ โนเมตร) อนุภำค (virions) จะอยู่ในนิวเคลียส (nucleus) ของเซลล์ที่ติดเช้ือ เช้ือไวรัสสำมำรถ ทำลำยเน้ือเย่อื ผวิ บริเวณใตเ้ ปลือก เหงือก อวยั วะสร้ำงเมด็ เลือด ต่อมน้ำเหลือง และเม็ดเลือด โดย ทำให้นิวเคลียสของเซลล์บวมโต กำรวินิจฉัยโรคสำมำรถสังเกตอำกำรได้โดยกุ้งที่เป็ นโรคจะมี ลกั ษณะตวั แดงและมีจุดสีขำวบริเวณเปลือก นอกจำกน้ียงั สังเกตไดจ้ ำกอตั รำกำรตำย และไม่สำมำรถ ใชย้ ำปฏิชีวนะรักษำโรคชนิดน้ีได้ รูปท่ี 5.14 รูปร่างลกั ษณะของอนุภาคไวรัส WSV ควำมผิดปกติทำงเน้ือเย่ือท่ีเกิดจำกโรค WSD น้นั มีควำมพิเศษเฉพำะตวั และ สำมำรถนำมำใชใ้ นกำรวินิจฉัยกุง้ ใกลต้ ำยในช่วงของกำรระบำดได้ กุง้ ใกลต้ ำยเหล่ำน้ีจะมีลกั ษณะ ของกำรถูกทำลำยระบบเน้ือเยอ่ื และเซลลท์ ี่ติดเช้ือหลำยๆ เซลลจ์ ะแสดงใหเ้ ห็นนิวเคลียสท่ีขยำยใหญ่ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

84 ผิดปกติ และอินคลูช่ัน บอด้ี (inclusion bodies) ตรงกลำงจะติดสียอ้ ม haematoxylin และ eosin (H & E staining) และจะลอ้ มรอบดว้ ยขอบที่ชดั เจน เน้ือเยื่อดีท่ีสุดท่ีจะนำใชใ้ นกำรตรวจสอบ คือ เน้ือเยอ่ื เหงือก รูปท่ี 5.15 นวิ เคลยี สทขี่ ยายขนาดใหญ่ขนึ้ และลกั ษณะอนิ คลูช่ัน บอดี้ (inclusion bodies) (ศรชี้) การรักษา/การป้ องกัน ลดปริมำณอำหำร 10-20 % พร้อมท้ังปรับปรุ ง คุณภำพน้ ำ โดยกำรใช้ปูนขำว อัตรำส่วน 2-5 กก./ไร่ สำดไปท่ัวๆ บ่อ จำกน้ันใช้คลอรีนผง ในอตั รำส่วน 0.5-1 กก./ไร่ โรยใหท้ ว่ั บ่อก่อนใหอ้ ำหำร 1 ชวั่ โมง ทำติดตอ่ กนั นำน 3 วนั และในช่วงน้ี จำเป็ นตอ้ งเปิ ดเครื่องตีน้ำตลอดเวลำ ท้งั น้ีเพื่อเป็ นกำรปรับคุณภำพน้ำ ควรมีกำรฆ่ำเช้ือน้ำก่อนนำเขำ้ บ่อเล้ียง โดยใช้คลอรีนหรือฟอร์มำลิน กรณี ใช้คลอรีนให้นำถุงใส่คลอรีนผงแขวนไว้ปำกทำง น้ำเขำ้ นอกจำกน้ี ควรควบคุมปริมำณแพลงตอนไม่ให้มีปริมำณสูงจนเกินไป เพ่ือป้องกนั กำรตำย พร้อมกนั ท้งั บ่อ 3) โรคไวรัสทอร่า ซินโดรม (Taura syndrome) โรค Taura syndrome (TS) ซ่ึงเกิดจำกเช้ือไวรัส TSV ไดก้ ่อให้เกิดผลเสียหำย ร้ำยแรงใหก้ บั พ้นื ที่เล้ียงกุง้ ในซีกโลกตะวนั ตกมำแลว้ เช้ือไวรัสตวั น้ีไดแ้ พร่เขำ้ มำในเอเซีย โดยกงุ้ ขำว (Penaeus vannamei) ท่ีติดเช้ือ ซ่ึงนำเขำ้ มำจำกแหล่งเล้ียงตำ่ งๆ ในทวปี อเมริกำกลำงและอเมริกำใต้ โฮสทท์ ี่สำคญั ของ TSV คือ กงุ้ ขำว แมว้ ำ่ จะสำมำรถพบไดบ้ ำ้ งในกงุ้ ชนิดอื่น และแสดงอำกำรได้เช่นเดียวกัน อัตรำกำรตำยสะสมอันเน่ืองมำจำก TSV อยู่ในช่วงต้ังแต่ 40 ถึงมำกกวำ่ 90 % ของประชำกรกุง้ ขำวในบ่อ และกุง้ ท่ีรอดตำยก็อำจจะเป็ นพำหะของไวรัสชนิดน้ีไป ตลอดชีวติ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

85 ไวรัส TSV สำมำรถก่อใหเ้ กิดโรคกบั กุง้ ขำว ท้งั ในระยะวยั อ่อน และกงุ้ ที่เล้ียง ในบ่อ ซ่ึงจะเกิดข้ึนภำยใน 14 – 40 วนั หลงั กำรปล่อยกุง้ ลงบ่อดิน ดงั น้นั กุง้ ท่ีติดเช้ือ TSV มกั จะเป็ น กงุ้ ที่มีขนำดต้งั แต่ 0.05 กรัม จนถึง 5 กรัม อยำ่ งไรก็ตำม กุง้ ท่ีมีขนำดใหญ่กวำ่ น้ีกส็ ำมำรถติดเช้ือได้ เช่นเดียวกนั ลกั ษณะอาการ โรคท่ีเกิดจำกไวรัส TSV น้ีสำมำรถแบ่งออกไดเ้ ป็ น 3 ระยะ คือ 1) ระยะเฉียบพลัน (acute phase) 2) ระยะแพร่กระจาย (transition phase) และ 3) ระยะเรื้อรัง (chronic phase) ลกั ษณะอำกำรที่กุ้งแสดงออกมำให้เห็นในระยะเฉียบพลนั โดยเฉพำะอย่ำงย่ิงใน ระยะแพร่กระจำยเช้ือจะมีลกั ษณะเฉพำะตวั และสำมำรถวนิ ิจฉยั ได้ อำกำรท่ีพบในกุง้ ขำวที่กำลงั จะตำย ในช่วงท่ีเป็ นระยะเฉียบพลัน น้ัน ได้แก่ กำรขยำยตัวของเม็ดสีสีแดง ซ่ึงทำให้กุ้งมีสีแดงซีดๆ อยูท่ วั่ ไป แพนหำงและขำวำ่ ยน้ำจะมีสีแดงจดั ดงั น้นั เกษตรกรผเู้ ล้ียงกุง้ จึงเรียกโรคน้ีวำ่ โรคหำงแดง นอกจำกน้ีกุง้ เหล่ำน้ีจะมีเปลือกน่ิม ลำไส้วำ่ งเปล่ำ และมกั จะอยู่ในระยะปลำยๆ ของกำรลอกครำบ โดยทว่ั ไปแลว้ กงุ้ ท่ีแสดงอำกำรในช่วงน้ีจะตำยในระหวำ่ งกำรลอกครำบ รูปที่ 5.16 ส่วนของแพนหางสีแดงจดั ของก้งุ ป่ วย (ก้งุ ตวั บน) แม้ว่ำจะเป็ นช่วงเวลำส้ัน แต่อำกำรของกุ้งท่ีติดเช้ือในระยะแพร่กระจำย (transition phase) ก็เพียงพอที่จะสำมำรถตรวจวินิจฉยั ไดค้ ร่ำวๆ นน่ั คือ กุง้ จำนวนหน่ึงจะแสดงให้ เห็นกำรเกิดเม็ดสีสีแดง ที่มีกำรกระจำยและขนำดที่ไม่แน่นอน กุ้งเหล่ำน้ีอำจมีเปลือกนิ่ม มีกำร ขยำยตวั ของเม็ดสีแดงหรือไม่มีก็ได้ นอกจำกน้ีกุ้งอำจมีพฤติกรรมและกำรกินอำหำรที่ปกติก็ได้ ภำยหลังกำรลอกครำบแล้ว กุ้งในระยะ transition phase ก็จะเข้ำสู่ ระยะเร้ื อรัง (chronic phase) โดยที่ไวรัสจะยงั คงอยู่ และอำจจะอยตู่ ลอดชีวิตของกงุ้ กุง้ ที่เป็ นพำหะ TSV น้ีอำจแพร่เช้ือในแนวรำบ (Horizontal transmission) ไปยงั กุง้ ตวั อ่ืนๆ หรืออำจแพร่เช้ือในแนวดิ่ง (Vertical transmission) ไปยงั ลูกหลำนกไ็ ด้ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

86 สาเหตุและการวินิจฉัยโรค ไวรัส TSV จะเพิ่มจำนวนได้ในไซโตพลำสซึม (cytoplasm) ของเซลล์โฮสท์ อนุภำคของ TSV มีขนำด 32 nm มีรู ปร่ ำงแบบ icosahedrons และไม่มีผนงั (envelope) หุ้ม ภำยในจีโนม (genome) ของ TSV จะประกอบดว้ ยสำรพนั ธุกรรมชนิด RNA รูปที่ 5.17 รูปร่างลกั ษณะของอนุภาคไวรัส TSV วิธีกำรตรวจสอบพยำธิสภำพของเน้ือเยื่อ (standard histology methods) จดั ว่ำ เป็ นวิธีที่ใช้ในกำรตรวจสอบเพื่อกำรควบคุมโรค และกำรใช้วิธีน้ี สำหรับตรวจหำไวรัส TSV ในกงุ้ ทะเลน้นั รอยโรค (inclusion bodies) ของเน้ือเย่ือจำกกำรวนิ ิจฉยั ในระยะแพร่กระจำย จะแสดง ใหเ้ ห็นในส่วนของกลุ่มเน้ือเยอ่ื เป้ำหมำยตำ่ งๆ โดยเฉพำะที่บริเวณเยอื่ บุผวิ ใตเ้ ปลือก ส่วนในกำรติดเช้ือ ระยะ chronic phase จะเห็นรอยโรคไดเ้ พยี งบริเวณเดียวคือส่วนของต่อมน้ำเหลือง (lymphoid organ) การป้องกนั และควบคุมโรค ควรมีกำรตรวจสอบกำรติดเช้ือในลูกกงุ้ โดยกำร สุ่มตวั อยำ่ งไปตรวจพีซีอำร์ ก่อนปล่อยลงเล้ียง ถำ้ พบกำรเกิดโรค ไมค่ วรถ่ำยเปล่ียนน้ำเพรำะจะเป็น กำรแพร่กระจำยเช้ือไวรัสออกไปสู่ภำยนอก ในระยะที่กงุ้ ข้ึนเกยขอบบ่อ ควรจะเกบ็ กุง้ ที่ป่ วยออกจำก บ่อใหม้ ำกท่ีสุดเท่ำท่ีจะทำได้ และทำลำยกงุ้ ท่ีป่ วยเหล่ำน้ี ปรับสภำพแวดลอ้ มในบอ่ ใหด้ ีข้ึน เช่น กำรเพ่ิมเครื่องให้อำกำศ กุง้ ที่เหลือเมื่อจบั ขำยหมดบอ่ ตอ้ งระมดั ระวงั ในกำรฆำ่ เช้ือน้ำและดิน พร้อมท้งั เคร่ืองมืออุปกรณ์ทุกชนิดในบ่อก่อนลงกุง้ รุ่นต่อไป โดยกำรใชค้ ลอรีน/แลว้ ตำกแดดใหแ้ หง้ อยำ่ งนอ้ ย 3-4 วนั นอกจำกน้ี ควำมหนำแน่นที่เหมำะสมในกำรเล้ียง และกำรจดั กำรท่ีดีในระหวำ่ งกำรเล้ียงก็มี ส่วนสำคญั ในกำรป้องกนั กำรเกิดโรคไดเ้ ป็นอยำ่ งดี --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

87 5. การวนิ ิจฉัยโรคไวรัสในก้งุ กำรสุ่มตวั อยำ่ งกุง้ ท่ีเล้ียงในบ่อเพื่อดำเนินกำรในส่วนท่ีเกี่ยวกบั โรคต่ำงๆ น้นั มีวตั ถุประสงค์ อยำ่ งนอ้ ยที่สุดอยสู่ ำมประกำร คือ 1) เพ่ือเป็ นกำรควบคุมโรค 2) เพ่ือรับรองกำรปลอดจำกเช้ือโรค และ 3) กำรตรวจวนิ ิจฉยั โรค จำนวนคร้ังและรูปแบบของกำรสุ่มตวั อยำ่ งน้นั มีควำมหลำกหลำยข้ึนอยู่ กบั วำ่ จะกระทำกำรเพือ่ วตั ถุประสงคใ์ ดเป็นหลกั ในข้นั ตอนกำรวนิ ิจฉยั สภำวะของโรค จำเป็ นจะตอ้ งคดั เลือกตวั อยำ่ งที่ดี สำมำรถเป็ นตวั แทน ของกุง้ ที่ป่ วยได้ โดยคดั จำกกุง้ ที่ยงั มีชีวิตอยู่ กุง้ กำลงั จะตำย หรือแสดงอำกำรของโรคอย่ำงชดั เจน เพื่อท่ีจะไดต้ วั อยำ่ งท่ีเป็ นตวั แทนในกำรตรวจวินิจฉยั เช้ือโรคท้งั หมดท่ีมีผลต่อกุง้ ในบ่อ และไม่ควร เก็บตวั อยำ่ งที่ตำยแลว้ มำใช้ 5.1 วธิ ีการตรวจวนิ ิฉัยโรคกุ้งโดยเทคนิคพซี ีอาร์ กำรพฒั นำเทคโนโลยกี ำรตรวจวนิ ิจฉยั โรคไวรัสในกงุ้ โดยเทคนิคพีซีอำร์ (PCR) หรือ ปฏิกิริยำลูกโซ่โพลีเมอเรส (Polymerase Chain Reaction) เป็ นเทคนิคในกำรเพิ่มปริมำณดีเอน็ เอ แบบทวคี ูณในหลอดทดลอง โดยใชเ้ อน็ ไซมด์ ีเอน็ เอโพลีเมอเรส (DNA polymerase) ท่ีสำมำรถทนตอ่ ควำมร้อนท่ีอุณหภูมิสูง เพอื่ เพิม่ ปริมำณดีเอน็ เอที่ตอ้ งกำรเป็นลำ้ นๆ เทำ่ ภำยในระยะเวลำ 2 - 3 ชว่ั โมง เป็นวธิ ีที่จำเพำะและมีควำมไวสูงในกำรตรวจหำไวรัส เทคนิคพซี ีอำร์สำมำรถใชต้ รวจหำอนุภำคไวรัส ในกรณีที่อนุภำคไวรัสยงั มีปริมำณนอ้ ย และกุง้ ยงั ไม่แสดงอำกำรของโรคได้ เป็ นกำรเพม่ิ ทำงเลือก ใหก้ บั เกษตรกรอีกทำงหน่ึงในกำรป้องกนั โรค นอกเหนือจำกกำรจดั กำรบ่อที่ดี ข้นั ตอนกำรตรวจ วนิ ิจฉยั ลูกกงุ้ ดว้ ยเทคนิค PCR สำมำรถกล่ำวโดยสรุปได้ ดงั น้ี 1) บดตวั อยำ่ งลูกกุง้ โดยนำตวั อยำ่ งที่แช่ใน 95% ethyl alcohol มำดูดเอำอลั กอฮอล์ออก ใหม้ ำกที่สุด เติมสำรยอ่ ย (Lysis solution) แลว้ บดใหล้ ะเอียด จำกน้นั นำไปตม้ ประมำณ 5 นำที แช่ ใหเ้ ยน็ อยำ่ งรวดเร็วในน้ำแขง็ ปล่อยใหแ้ ยกช้นั ตกตะกอนที่กน้ หลอด 2) เตรียมสำรละลำยในกำรทำ PCR โดยมีไพรเมอร์ (primer) ที่เป็ นตน้ แบบ คือ ไพรเมอร์ 1 และ ไพรเมอร์ 2 ผสมรวมกนั แลว้ นำไปผสมกบั ตวั อยำ่ ง เพ่ือใชใ้ นกำรทำ PCR (ตอ้ งเตรียมสำรละลำยอีก 2 ตวั คือ Positive control กบั น้ำกลน่ั ซ่ึงเป็น Negative control เพือ่ เป็นตวั เปรียบเทียบ) 3) นำสำรละลำยท้งั 3 ส่วน (ไพรเมอร์ + ตวั อยำ่ ง, positive control และน้ำกลน่ั (positive control)) เขำ้ เครื่องตรวจ PCR --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

88 4) ตรวจหำไวรัส (ในกรณี ท่ีมี) ได้จำกผลผลิตของกำรทำพีซี อำร์ (PCR Product) โดยสังเกตเห็นเป็ นแถบแสง (band) ซ่ึงเกิดจำกกำรแยกผลผลิตด้วยกระแสไฟฟ้ำบนแผ่นวุ้น (Gel Electrophoresis) แลว้ บนั ทึกภำพผลกำรตรวจ รูปท่ี 5.18 ข้นั ตอนโดยสรุปของเทคนิคพซี ีอาร์ (PCR) หรือ ปฏกิ ริ ิยาลูกโซ่โพลเี มอเรส กำรตรวจพีซีอำร์ในลูกกุง้ จดั วำ่ เป็ นกำรป้องกนั โรคไวรัสที่ไดผ้ ลดีในระดบั หน่ึง อยำ่ งไร ก็ตำม ถำ้ สำมำรถตรวจพีซีอำร์ไดต้ ้งั แต่ตน้ ทำง คือ กำรตรวจสอบแม่พนั ธุ์กุง้ ก็จะช่วยลดควำมสูญเสีย ในส่วนของกำรอนุบำลที่ตำมมำอีกมำกมำย ดงั น้นั กำรตรวจคุณภำพแม่กุง้ จึงเป็ นทำงเลือกที่ดีสำหรับ กำรผลิตลูกกุ้งคุณภำพ กำรใช้เทคนิคพีซีอำร์ สำมำรถช่วยในกำรค้นควำ้ วิจยั ทำให้พบว่ำพำหะ นำโรคตวั แดงดวงขำวในกุง้ มีหลำยชนิด ไดแ้ ก่ กงุ้ เคย กงุ้ กระต่อม และปูชนิดตำ่ ง ๆ เป็ นตน้ ซ่ึงช่วยให้ เรำมีวิธีป้องกนั กำรเกิดโรคได้ เช่น กำรกรองน้ำก่อนเขำ้ บ่อ หรือกำรใชส้ ำรเคมีเพื่อกำจดั พำหะนำโรค ท่ีมำกบั น้ำเหล่ำน้ี นอกจำกน้ี พีซีอำร์ ยงั ใช้ในกำรตรวจสุขภำพกุง้ ขณะที่เล้ียง เพื่อเป็ นกำรเฝ้ำระวงั กำรเกิดโรค และช่วยใหส้ ำมำรถจดั กำรไดท้ นั เวลำ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

89 6. วธิ กี ารควบคุมและป้องกนั โรคไวรัสในก้งุ โรคที่เกิดจำกเช้ือไวรัสยงั ไม่มีกำรรักษำที่ไดผ้ ลอยำ่ งแทจ้ ริง ดงั น้นั และป้องกนั ไม่ให้เกิดโรค จึงเป็นวธิ ีกำรที่ดีท่ีสุดในกำรควบคุมกำรแพร่กระจำยของเช้ือไวรัสในกงุ้ 6.1 วธิ ีการสังเกตอาการผดิ ปกติของก้งุ ป่ วยทมี่ สี าเหตุจากการตดิ เชื้อไวรัส ในระหวำ่ งกำรตรวจสอบปริมำณอำหำรในยอ ควรมีกำรตรวจดูลกั ษณะหรืออำกำรผดิ ปกติ ของกุง้ ในยอควบคูก่ นั ไปดว้ ย ซ่ึงจะสำมำรถสังเกตไดจ้ ำก 1) สีผวิ ตวั กงุ้ ท่ีเริ่มป่ วยหรือกำลงั ป่ วย ผิวตวั หรือเปลือกอำจมีสีเขม้ หรือซีดกวำ่ ปกติ ผิวตวั จะดำ้ น ไม่มนั เงำ มีรอยสึกกร่อน หรือมีส่ิงแปลกปลอมเป็ นครำบสกปรกเกำะตำมเปลือกเป็ น หยอ่ ม ๆ หรือตลอดลำตวั มีจุดหรือดวงขำวประปรำยตำมเปลือกคลุมลำตวั และส่วนหวั 2) แพนหำง กุง้ ท่ีอ่อนแอ แพนหำงจะหุบลง ไม่คลี่แผ่ออกเหมือนกุง้ ปกติทว่ั ไป เมื่อ บีบบริเวณโคนหำงเบำ ๆ แพนหำงจะกำงออกเลก็ นอ้ ยเทำ่ น้นั และมีสีแดงผดิ ปกติ 3) ลำไส้ กุง้ ท่ีเริ่มป่ วยจะกินอำหำรนอ้ ยลง และเม่ือป่ วยมำกก็จะไม่กินอำหำร ซ่ึงจะ สังเกตไดว้ ำ่ ในลำไส้ของกงุ้ ป่ วยมีอำหำรไม่เตม็ หรือไมม่ ีอำหำรอยเู่ ลย หรือข้ีขำวผดิ ปกติ 4) เหงือก ควำมผดิ ปกติของเหงือก อำจสงั เกตไดจ้ ำกสีของเหงือกท่ีเปลี่ยนแปลงไปเป็น สีตำ่ งๆ เช่นสีเหลือง ส้ม น้ำตำล แดงหรือดำ หรือมีลกั ษณะกร่อน เน่ำเป่ื อยหรือบวมน้ำ เป็นตน้ 5) ตบั และตบั ออ่ น อำจสงั เกตไดจ้ ำกกำรมองทะลุเปลือกหุม้ ส่วนหวั หรือเปิ ดเปลือกหุม้ ส่วนหวั ออกแลว้ ดูวำ่ สีและขนำดของตบั และตบั อ่อนผิดปกติไปหรือไม่ ตบั และตบั ออ่ นของกุง้ ป่ วย อำจจะมีลกั ษณะนิ่มกวำ่ ปกติ หรือมีสีเหลืองเห็นไดช้ ดั เจน 6) กงุ้ ท่ีติดเช้ือไวรัส เมื่อปรำกฎอำกำรใหเ้ ห็นชดั เจนแลว้ จะมีอตั รำกำรตำยสูงอยำ่ ง รวดเร็ว ภำยใน 3-5 วนั สำหรับกงุ้ มีภูมิตำ้ นทำนดีอำจจะชะลออตั รำกำรตำยออกไปไดถ้ ึง 2 สัปดำห์ กำรจดั กำรคุณภำพน้ำจะสำมำรถช่วยใหอ้ ำกำรดีข้ึนได้ โดยไมจ่ ำเป็นตอ้ งใชย้ ำปฏิชีวนะ หำกไม่มีโรค แทรกซอ้ นอ่ืนในระยะน้ี และกงุ้ มีอำกำรปกติ แสดงวำ่ กำรจดั กำรไดผ้ ล และกงุ้ มีภูมิตำ้ นทำนเช้ือโรค ไดด้ ี อยำ่ งไรกต็ ำม อำจจะยงั มีเช้ือไวรัสแฝงเป็นพำหะอยใู่ นตวั กุง้ ควรควบคุมกำรแพร่กระจำยของ โรคในระหวำ่ งกำรถ่ำยเทน้ำ และกำรจบั กงุ้ ตำมที่กล่ำวมำแลว้ ขำ้ งตน้ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

90 6.2 หลกั การในการควบคุมและป้องกนั โรคติดเชื้อไวรัสในก้งุ 1) พันธ์ุกุ้ง กำรติดเช้ือไวรัสหลำยชนิดสำมำรถติดต่อผ่ำนพ่อแม่พันธุ์ได้ ดังน้ัน ตรวจสอบคุณภำพพอ่ แม่พนั ธุ์ และกำรคดั เลือกลูกกุง้ เพ่ือนำมำเล้ียง จึงเป็ นข้นั ตอนสำคญั ท่ีจะป้องกนั กำรติดเช้ือไวรัสมำกบั ลูกกุง้ ลูกกุง้ ท่ีแขง็ แรงและมำจำกแหล่งผลิตท่ีเช่ือถือได้ ก็จะทำใหป้ ัญหำในช่วง ของกำรเล้ียงลดนอ้ ยลง 2) การเตรียมบ่อและการเตรียมน้า กำรเตรียมบ่อท่ีดีสำมำรถป้องกนั หรือตดั วงจรของ เช้ือไวรัสลงได้ กำรเตรียมบ่อควรมีช่วงเวลำท่ีตำกพ้ืนบ่อให้แห้งสนิท และทำกำรฆ่ำเช้ือบริเวณ พ้ืนบ่อโดยใชป้ ูนขำวโรยให้ทวั่ และไถพรวนเพื่อพลิกดินขำ้ งใตใ้ ห้สัมผสั อำกำศ สำหรับกำรเตรียมน้ำ ก่อนปล่อยลูกกุง้ ควรผำ่ นข้นั ตอนกำรทำลำยพำหะของเช้ือไวรัสใหห้ มด ซ่ึงอำจใชส้ ำรเคมี เช่น คลอรีน เป็ นตน้ 3) ความหนาแน่นของอัตราการปล่อย ปัจจยั หน่ึงท่ีทำให้กุ้งเครียดและติดเช้ือไวรัส ได้ง่ำยก็คือ ควำมเครียด ซ่ึงเกิดจำกอตั รำกำรปล่อยลูกกุ้งที่มีควำมหนำแน่นสูง ส่งผลให้กำรเล้ียง ในเดือนท่ี 2 เป็ นตน้ ไป มีปัญหำเน่ืองจำกกุง้ มีขนำดโตข้ึน โดยทว่ั ไปอตั รำกำรปล่อยไม่ควรเกิน 100,000 ตวั ต่อไร่ 4) การจัดการในระหว่างการเลยี้ ง ในช่วงของกำรเล้ียง หำกสำมำรถควบคุมสภำพน้ำใน บ่อให้อยใู่ นสภำพดี และคงท่ีตลอดเวลำ รวมท้งั ควำมสะอำดของพ้ืนกน้ บ่อ ซ่ึงจะทำให้กุง้ มีสุขภำพ แข็งแรง ปัญหำเรื่องโรคติดเช้ือ ไม่ว่ำจะเป็ นแบคทีเรียหรือเช้ือไวรัสจะเกิดข้ึนน้อยมำก ดงั น้นั กำร จดั กำรต่ำงๆ ที่จะทำใหก้ ุง้ แขง็ แรง ไมเ่ ครียด จึงเป็นหวั ใจสำคญั ของกำรป้องกนั โรค 5) การใช้สารเคมใี นการกาจัดเชื้อไวรัส ในกรณีที่เช้ือไวรัสหลุดปะปนอยใู่ นน้ำกส็ ำมำรถ ที่จะใช้สำรเคมีกำจดั ได้ หรืออำจกำจดั พำหะนำเช้ือไวรัส เช่น กุ้งเคย กุ้งหัวแข็ง กุ้งแชบ๊วย และ สัตวน์ ้ำชนิดอ่ืนๆ เช่น ปูทะเล กำรป้องกันไม่ให้พำหะเหล่ำน้ีเข้ำสู่บ่อเล้ียง ก็จะเป็ นหนทำงหน่ึง ในกำรป้องกนั กำรเกิดโรคติดเช้ือไวรัสได้ สำรเคมีที่สำมำรถฆ่ำเช้ือไวรัสในน้ำได้ดี ไดแ้ ก่ คลอรีน ไอโอดีน แต่หำกต้องกำรกำจัดพำหะนำเช้ือไวรัสด้วย กำรใช้คลอรีนจะมีประสิทธิภำพสูงกว่ำ อย่ำงไรก็ตำม กำรใช้คลอรีนควรใช้อย่ำงระมัดระวงั เพรำะมีผลตกค้ำงและเป็ นอันตรำยต่อ สภำพแวดลอ้ มได้ 6) การจัดการหลังการเกิดโรคติดเชื้อไวรัส หลงั จำกเกิดกำรติดเช้ือไวรัสข้ึนในบ่อเล้ียง ซ่ึงอำจจะสังเกตไดจ้ ำกอำกำรและอตั รำกำรตำย รวมท้งั กำรตรวจสอบเพิ่มเติม ในกรณีท่ีกุง้ ในบ่ออำยุ 1 เดือน หรือมำกกว่ำ ควรจะมีกำรฆ่ำเช้ือของน้ำในบ่อก่อนที่จะปล่อยออกสู่ภำยนอก เพื่อป้องกัน --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์

91 ไม่ใหเ้ ช้ือไวรัสมีกำรแพร่กระจำย หรือถำ้ กุง้ มีขนำดโตพอท่ีจะจบั ขำยได้ ในช่วงกำรจบั ควรจะแขวนถุง เจำะรูใส่คลอรีนไวบ้ ริเวณทำงน้ำออก เพื่อลดปริมำณเช้ือไวรัสในน้ำลง กำรกระทำดงั กล่ำวจะช่วยให้ สำมำรถควบคุมกำรระบำดของเช้ือไวรัสใหอ้ ยใู่ นบริเวณจำกดั ไดเ้ ป็นอยำ่ งดี --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook