การสัมมนาวิชาการด้านการเฝา้ ระวงั ปอ้ งกนั ควบคมุ โรคและภัยสขุ ภาพ และระบาดวทิ ยา ปีงบประมาณ 2564 “ISAN New Normal : Fight against COVID-19 เครือข่ายวิชาการอสี าน วถิ ชี ีวติ ใหม่ ตา้ นภยั COVID-19” วันท่ี 8 – 9 ธนั วาคม 2563 ณ โรงแรมสุนียแ์ กรนด์ แอนด์ คอนเวนช่ันเซ็นเตอร์ จ.อบุ ลราชธานี
ก คำนำ การสัมมนาวิชาการด้านการเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรคและภัยสุขภาพ และระบาดวิทยา ปีงบประมาณ 2564 คร้ังนี้เป็นคร้ังที่ 24 จัดขึ้นระหว่างวันท่ี 8-9 ธันวาคม 2563 ณ โรงแรมสุนีย์แกรนด์ แอนด์ คอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ จ.อุบลราชธานี มีวัตถุประสงค์เพ่ือส่งเสริมและกระตุ้นให้บุคลากรทางการแพทย์ และสาธารณสุข ได้พัฒนาผลงานวิชาการและนวัตกรรมท่ีเป็นประโยชน์ในการควบคุมป้องกันโรคและภัย สุขภาพ ท้ังโรคท่ีเป็นปัญหาท้องถ่ิน และโรคอุบัติใหม่อย่างโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) พร้อม ท้ังเปดิ โอกาสให้มีการแลกเปล่ียนเรยี นรู้ ความคดิ เห็น ประสบการณใ์ นการพัฒนาผลงานวิชาการตอ่ ไป ในการจดั ประชุมคร้ังน้ี มผี ูส้ นใจเขา้ ร่วมงานวชิ าการกว่า 200 คน มผี ลงานส่งเขา้ ประกวด 244 เร่ือง และผ่านการคัดเลือกทั้งส้นิ 56 เร่ือง โดยประเภทนาเสนอด้วยวาจา (Oral) แบ่งเป็น 4 ด้าน ได้แก่ ผลงานวิชาการดา้ นโรคติดต่อท่ัวไป/โรคเอดส์/วัณโรค/โรคติดต่อทางเพศสัมพนั ธ์ และโรคเรื้อนจานวน 7 เรื่อง ผลงานวิชาการด้านโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม /โรคไม่ติดต่อ จานวน 7 เรื่อง ผลงานวิชาการ นานาชาติ(ภาษาอังกฤษ) จานวน 7 เร่ือง และผลงานวิชาการด้านระบาดวิทยา จานวน 7 เร่ือง ส่วนการ นาเสนอแบบโปสเตอร์อิเล็กทรอนิคส์(E-Poster) แบ่งเป็น 4 ด้าน ได้แก่ ผลงานวิชาการด้านโรคติดต่อท่ัวไป/ โรคเอดส์/วัณโรค/โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และโรคเร้ือนจานวน 7 เร่ือง ผลงานวิชาการด้านโรคจากการ ประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม /โรคไม่ติดต่อ จานวน 7 เรื่อง ผลงานวิชาการด้านนวัตกรรม จานวน 7 เร่ือง และผลงานวชิ าการด้านระบาดวิทยา จานวน 7 เร่ือง นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงนทิ รรศการผลงานเดน่ ของแต่ ละสานักงานป้องกันควบคุมโรคในเขตภาคอีสานทั้ง 4 แห่ง พร้อมท้ังนิทรรศการรูปภาพการการดาเนินงาน ด้านระบาดวิทยากว่า 200 รูป จึงนับว่า ผลงานวิชาการในครั้งนี้มีความน่าสนใจ มีคุณค่าและมีประโยชน์ต่อ ผู้เข้าร่วมโครงการเปน็ อยา่ งย่ิงทงั้ ในแง่ของการพัฒนารูปแบบการควบคุมป้องกนั โรค ตดิ เชอื้ ไวรสั โคโรนา 2019 (COVID-19) ให้มากข้นึ ตลอดจนการพฒั นาการเขียนผลงานวิชาการให้มีคุณภาพได้ต่อไป ในโอกาสน้ี ขอขอบพระคุณ นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ท่ีอานวยความ สะดวกในการจัดโครงการ พร้อมท้ังผู้อานวยการสานักงานป้องกันควบคุมโรคท่ี7,8,9,10 ท่ีได้ให้ความร่วมมือ ในการสนับสนุนโครงการ และท่ีสาคัญคือ คณะกรรมการโครงการสัมมนาวิชาการด้านการเฝ้าระวังป้องกัน ควบคมุ โรคและภยั สขุ ภาพ และระบาดวทิ ยาปีงบประมาณ 2564 จากสานักงานป้องกันควบคุมโรคท่ี 4 แหง่ ท่ี ได้เสียสละเวลาชว่ ยกนั ดาเนนิ โครงการคร้ังนีจ้ นสาเร็จลุลว่ งไปดว้ ยดี (นายแพทยด์ นยั เจยี รกลู ) ผู้อานวยการสานกั งานปอ้ งกนั ควบคุมโรคท่ี 10 จงั หวดั อบุ ลราชธานี
ข สำรบญั ก ข คำนำ จ สำรบญั ผังจดั งำนนำเสนอวิชำกำร 1 ประเภทนำเสนอด้วยวำจำ (Oral) 2 ผลงานวชิ าการดา้ นโรคติดตอ่ ทั่วไป/โรคเอดส์/วณั โรค/โรคติดตอ่ ทางเพศสัมพันธ์ 3 และโรคเร้อื น 4 5 O_G1_No1_กฤษณา ปะตปิ ัง 6 O_G1_No2_ศุภนนั ท์ จนั ทะกรณ์ 7 O_G1_No3_นงคน์ ุช คุณะโคตร 8 O_G1_No4_สรศกั ด์ิ ตันทอง O_G1_No5_วาสนา สอนเพ็ง 9 O_G1_No6_นาฏอนงค์ ดาพะธกิ O_G1_No7_พงพรรณ กาละนิโย 10 11 ผลงานวิชาการดา้ นโรคจากการประกอบอาชพี และส่งิ แวดล้อม /โรคไม่ติดตอ่ 12 13 O_G2_No1_สุพาพร แสนศรี 14 O_G2_No2_ศุภมิตรา คาผาลา 15 O_G2_No3_กาญจนา แสนตะรัตน์ 17 O_G2_No4_สมบูรณ์ แนวม่ัน O_G2_No5_ทิพาพร ราชาไกร 18 O_G2_No6_ชนิดาภา มาตยบ์ ณั ฑิต O_G2_No7_อษุ ณีย์ รามฤทธ์ิ 19 20 ผลงานวิชาการนานาชาต(ิ ภาษาอังกฤษ) 21 22 O_G3_No1_ Suwannee Sirisatapakdee 23 O_G3_No2_ Suwattana Onprasonk 24 O_G3_No3_ Thanom Namwong 25 O_G3_No4_ Pimontipa Malahom O_G3_No5_ Rintham Charupash O_G3_No6_ Pimontipa Malahom O_G3_No7_ Samorn Numpong
ค สำรบญั (ต่อ) 26 ผลงานวิชาการด้านระบาดวทิ ยา 27 28 O_G4_No1_ บุญมี โตดประโคน 29 O_G4_No2_ มะลณิ ี บตุ รโท 30 O_G4_No3_ สายชล เพชรล้า 31 O_G4_No4_ สริ ภทั ร์ นนั ใจ 32 O_G4_No5_ จฬุ าลกั ษณ์ สายสุด 33 O_G4_No6_ เครือวัลย์ อินทอง O_G4_No7_ บญุ มี โตดประโคน 34 ประเภทนำเสนอแบบโปสเตอร์อิเลก็ ทรอนคิ ส์(E-Poster) 35 36 ผลงานวิชาการดา้ นโรคติดตอ่ ทว่ั ไป/โรคเอดส/์ วณั โรค/โรคตดิ ตอ่ ทางเพศสมั พันธ์ 37 และโรคเร้อื น 38 39 P_G1_No1_จันทร์จริ า พรมโพธ์ิ 40 P_G1_No2_วราภรณ์ สมดี 41 P_G1_No3_จารวุ ัฒน์ สาแก้ว P_G1_No4_สจุ ติ ตรา ศิลาชัย 42 P_G1_No5_พหรุ ัตน์ ดนี อก P_G1_No6_ศศิธร ชาววัลจนั ทกึ 43 P_G1_No7_วินิจ มนทอง 44 45 ผลงานวชิ าการดา้ นโรคจากการประกอบอาชพี และสิ่งแวดล้อม /โรคไมต่ ดิ ต่อ 46 47 P_G2_No1_เฌอมาวีร์ การะเกษ 48 P_G2_No2_จิราวรรณ สุวรรณศรี 49 P_G2_No3_โสรยา สานิสี P_G2_No4_สมปอง ฤทธศ์ิ รีบุญ P_G2_No5_จักรพงศ์ ปิตโิ ชคโภคนิ ท์ P_G2_No6_เน้ือทพิ ย์ หมู่มาก P_G2_No7_จุรีภรณ์ อาจสาลี
สำรบญั (ตอ่ ) ง ประเภทนำเสนอแบบโปสเตอรอ์ เิ ลก็ ทรอนคิ ส์(E-Poster) 50 ผลงานวิชาการด้านนวตั กรรม 51 52 P_G3_No1_มนสภรณ์ สมหมาย 53 P_G3_No2_ปารชิ าติ จติ กลาง 54 P_G3_No3_สาวิตรี ประทมุ ภาพ 55 P_G3_No4_ดวงกมล สมี นั ตะ 56 P_G3_No5_ลกั ขณา สนี วลแล 57 P_G3_No6_นายกฤศ แกมคา P_G3_No7_ธนพนธ์ วระโพธิ์ 58 ผลงานวิชาการด้านระบาดวิทยา 59 60 P_G4_No1_พิมพอ์ มั พร คาพรมมา 61 P_G4_No2_ปาริชาติ จิตกลาง 62 P_G4_No3_พรสุดา โสวรรณี 63 P_G4_No4_พชิ ญาณี กทศิ าสตร์ 64 P_G4_No5_จนั ทร์จริ า พรมโพธ์ิ 65 P_G4_No6_ณฐั นี ภูมพิ นั ธ์ P_G4_No7_วรี ะพล วิเศษสังข์
จ ผังจัดงานนาเสนอผลงานวิชาการ ทบั ทมิ สยำม 3 ทับทมิ สยำม 2 จุดนำเสนอผหลอ้ งำงนปวิชรำะกชำรุมEว-Pชิ oำstกerำร ห้องรบั ประทำนอำหำรเยน็ ด้ำนโรคตดิ ตอ่ ท่ัวไป /โรคเอดส/์ วณั โรค จุดรับ-ส่ง ไฟล์ ผลงานวชิ าการ บูทกลำง จุดนำเสนอ “อีสำน วิถใี หม”่ ผลงำนวชิ ำกำร ปทมุ ทิพย์ E-Poster ด้ำนนวตั กรรม หอ้ งนาเสนอผลงาน Oral presentation บทู แสดง สคร.7 ดา้ นนานาชาติ นิทรรศกำร สคร.8 ทางเขา้ งาน สสคครร..98 โรงแรมสนุ ียแ์ กรนด์ ชั้น5 ปทุมชำติ ผลงำนเดน่ สคร.9 สคร.10 หอ้ งนาเสนอผลงาน บทู แสดง สคร.10 Oral presentation โรคติดต่อท่วั ไป/โรคเอดส/์ วณั โรค/โรคติดตอ่ ทาง ระบำด นทิ รรศกำร เพศสมั พันธ์ และโรคเรือ้ น ภำพถำ่ ยระบำด ปทมุ มำศ วิทยำ ห้องนาเสนอผลงาน E-poster E-poster Oral presentation ENVOCC/โรคไม่ติดตอ่ จดุ นำเสนอ จดุ นำเสนอ ผลงำนวชิ ำกำร E-Poster ผลงำนวิชำกำร E-Poster ปทุมวัน ENVOCC/โรคไม่ตดิ ตอ่ ระบำดวทิ ยำ ห้องนาเสนอผลงาน Oral presentation ลฟิ ท์ ดา้ นระบาดวิทยา ห้องนำ ทางเขา้ งาน โรงแรมสุนียแ์ กรนด์ ชั้น5
ประเภทนาเสนอดว้ ยวาจา (Oral presentation) บทคดั ยอ่ บทคดั ยอ่ ผลงำนวิชำกำร ด้ำนโรคติดต่อทั่วไป/โรคเอดส/์ วัณโรค โรคติดตอ่ ทำงเพศสัมพนั ธ์ และโรคเรอื น (สถำนที่ : ห้องปทมุ ชำติ) 8 ธันวำคม 2563 ณ โรงแรมสนุ ีย์แกรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
ORAL : ห้องปทุมชาติ O_G1_No1 ผลงานวชิ าการด้านโรคตดิ ตอ่ ทัว่ ไป/โรคเอดส/์ วัณโรคฯ รปู แบบการดาเนินงานเฝา้ ระวังโรคไขเ้ ลอื ดออก กรณเี สียชวี ิต โดยทีม SRRT ระดบั หมบู่ ้าน และตาบล ในพื้นทบ่ี ้านยางดินเหลือง ตาบลดงยาง อาเภอนาดนู จงั หวัดมหาสารคาม กฤษณำ ปะตปิ ัง,ส.บ. (สำธำรณสขุ ศำสตร์) โรงพยำบำลสง่ เสริมสขุ ภำพตำบลดงยำง บทนา : โรคไข้เลอื ดเปน็ โรคทม่ี กี ำรแพรร่ ะบำดโดยมยี ุงลำยเป็นพำหะนำโรค และยงั ไม่มียำรกั ษำทำได้เพียงรกั ษำ ตำมอำกำร โรค ไข้เลอื ดออกเกิดจำกกำรติดเชือ ไวรัสเดงกี่ (Dengue Virus) อยใู่ น family Flaviviridae อำกำรของ โรคจะคล้ำยคลงึ กบั โรคไขห้ วดั เชน่ มีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อกล้ำมเนือ เบ่อื อำหำร เป็นตน้ ทำให้ผูป้ ว่ ยหลำยรำย เขำ้ ใจวำ่ ตนเปน็ เพยี งไข้หวดั จึงไม่ไดร้ บั กำรรกั ษำอยำ่ ง ถกู ต้องและทันทว่ งที หำกมอี ำกำรรนุ แรงอำจเปน็ สำเหตทุ ี่ ทำใหผ้ ู้ป่วยเสยี ชวี ติ ได้ และในเดอื น มถิ ุนำยน ปี 2562 พนื ทีบ่ ้ำนยำงดนิ เหลอื ง ตำบลดงยำง อำเภอนำดูน จังหวัด มหำสำรคำม ได้มผี ูป้ ่วยดว้ ยโรคไข้เลือดออก จำนวน 7 รำย (เสยี ชีวิต 1 รำย) นบั เปน็ อัตรำ ป่วย และอัตรำปว่ ยตำย ท่ีสูงทส่ี ุด ในอำเภอนำดูน จังหวดั มหำสำรคำม วตั ถปุ ระสงค์ : เพอื่ ศึกษำรูปแบบกำรดำเนนิ งำนเฝ้ำระวงั โรคไขเ้ ลอื ดออก โดยทีม SRRT ระดบั หมบู่ ำ้ นและตำบล ในพืนทบี่ ้ำนยำงดนิ เหลอื ง ตำบลดงยำง อำเภอนำดูน จงั หวดั มหำสำรคำม วิธีการศกึ ษา : กำรวจิ ัยครงั นี ใช้ใช้ระเบยี บวธิ ีกำรวิจยั แบบผสม (Mixed Methods) โดยกำหนดขนั ตอนกำรวิจยั เปน็ 2 ระยะ ดงั นี ระยะ ท่ี 1 กำรศึกษำเชงิ สำรวจ (Survey Study) เพื่อวเิ ครำะห์สภำพปญั หำ ระดับควำมพรอ้ ม และ บรบิ ทของพืนท่ี ระยะท่ี 2 กำรวิจยั เชิง ปฏบิ ัตกิ ำร (Action Research) ประกอบไปดว้ ย 4 ขนั ตอน 1)กำรวำงแผน (Planning) 2)กำรปฏิบัติ (Action) 3)กำรสงั เกต (Observation) 4)กำรสะทอ้ นผล (Reflection) ประชำกรทใ่ี ช้ใน กำรศึกษำคอื ผนู้ ำชมุ ชน สอบต. อสม. และ กสค.ทอี่ ำศยั อย่ใู นพืนท่ี ช่วง 1 ปี จำนวน 150 คน กลุ่มตวั อยำ่ ง ใชว้ ธิ ี สมุ่ แบบชนั ภมู อิ ยำ่ งมสี ดั ส่วน (Proportional stratified random sampling) เมอ่ื ได้ จำนวนในแต่ละกลุม่ แล้ว จงึ สมุ่ กลุม่ ตวั อยำ่ ง ด้วยวิธกี ำรสมุ่ อยำ่ งงำ่ ย จำนวน 40 คน เครอ่ื งมอื ทใ่ี ชใ้ นกำรวจิ ัย ไดแ้ ก่ กจิ กรรมตำม แผนปฏบิ ัติกำร ของรูปแบบกำรดำเนนิ งำนเฝ้ำระวงั โรคไข้เลือดออก โดยทมี SRRT ระดับตำบล และเคร่อื งมือสำหรบั เกบ็ รวบรวม ข้อมลู เชงิ ปริมำณและเชงิ คุณภำพ สถิติท่ใี ช้ในกำรวจิ ยั ไดแ้ ก่ สถิตเิ ชิงพรรณนำ (Descriptive Statistic) สถิตเิ ชงิ อนุมำน (Inferential Statistic) และกำรวิเครำะหข์ อ้ มูลเชงิ คณุ ภำพ ผลกำรศกึ ษำ: ระยะท่ี 1 กำรศึกษำเชิงสำรวจ (Survey Study) เพอื่ วเิ ครำะหส์ ภำพปัญหำ ระดบั ควำมพรอ้ ม และ บริบทของพืนท่ี พบวำ่ บ้ำนยำงดินเหลือง ตงั อยทู่ ิศเหนือ ของตำบลดงยำง ประชำกร 562 คน ชำย 285 หญงิ 277 คน 128 หลังคำเรือนอำชีพสว่ นใหญ่ เกษตรกร รำยไดเ้ ฉลย่ี 25,000บำท/คน/ปี มี อสม. 10 คน ขำดภำคีเครือขำ่ ยใน กำร ดำเนินงำนที่ชัดเจน ขำดควำมรู้ เขำ้ ใจและทกั ษะกำรทำงำน ขำดกำรทำงำนเปน็ ทีม ขำดกำรบรู ณำกำรทำงำน ของหนว่ ยงำน ขำดกำรมี สว่ นร่วมของประชำชน ขำดกำรจดั กำรรปู แบบโครงสรำ้ งกำรดำเนนิ งำนท่ีดี ผลการศกึ ษา : เชิงปริมำณ ดำ้ นควำมรู้ พบว่ำกอ่ นกำรพฒั นำ ควำมรูอ้ ยใู่ นระดับํตำ่ หลังกำรพัฒนำควำมรู้อยใู่ นระดับสูง กำรปฏบิ ตั ิ ตวั พบว่ำ ก่อนกำรพฒั นำกล่มุ แกนนำชมุ ชน มพี ฤติกรรมในกำรปอ้ งกันโรคไข้เลือดออก ระดบั น้อย คือเม่ือเป็นไข้ สูง ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย อำเจียน มักจะซอื ยำกินเอง ไม่ไปพบหมอ ( = 1.60 ) ดำ้ นกำรมสี ว่ นรว่ ม กอ่ นกำรพฒั นำอยใู่ นระดับปำนกลำง หลงั กำรพัฒนำอย่ใู น ระดบั สงู ควำมพงึ พอใจ อยู่ในระดับสงู ระยะท่ี 2 กำรวจิ ัยเชงิ ปฏบิ ตั กิ ำร (Action Research) ประกอบไปด้วย 4 ขันตอน 1)กำรวำงแผน (Planning) ประชมุ วิเครำะหป์ ัญหำ ประชมุ ทำแผน 2)กำรปฏบิ ัติ (Action) บูรณำกำรแผนงำน แตง่ ตงั กรรมกำร จดั โครงสรำ้ งระบบ กำหนดแนวทำงกำรเฝำ้ ระวังโรค สร้ำงทมี SRRTตำบล อบรมควำมรู้ อบรมหน้ำทแี่ ละทกั ษะกำรทำงำน กำรซ้อมแผน รณรงคค์ วำม สะอำด กำร ประชำสัมพนั ธ์ 3)กำรสังเกต (Observation) พ่ีเลยี งตดิ ตำมนเิ ทศและประเมินผล 4)กำรสะท้อนผล (Reflection) จัด เวที แลกเปลย่ี นเรียนรู้ และถอดบทเรียน สรุป : จำกผลกำรศึกษำดำ้ นควำมรู้ และดำ้ นพฤตกิ รรม ของกลุ่มตวั อยำ่ ง แสดงใหเ้ ห็นถึงสง่ิ ทรี่ ัฐ และหนว่ ยงำนที่ เกย่ี วขอ้ งต้องมกี ำร เร่งรดั และเพ่มิ มำตรกำรในกำรป้องกันโรค แก่ประชำชน โดยเฉพำะอย่ำงย่งิ พฤตกิ รรมท่จี ะชว่ ย ปอ้ งกนั โรค กำรมสี ว่ นร่วมของแกนนำ ชมุ ชน ที่ไม่มเี วลำเข้ำรว่ มกิจกรรมและเข้ำรว่ มกจิ กรรมไดไ้ ม่ต่อเน่ือง ควร ปรบั กจิ กรรมให้มีควำมยืดหยุ่นดำ้ นเวลำ ให้สอดคลอ้ งกบั วถิ ี ชวี ติ ควรมกี ำรประสำนงำนและกำรกระตุ้นตดิ ตำม เพื่อใหม้ กี ำรวำงแผนดำเนนิ งำน ไว้ลว่ งหนำ้ เปน็ ระยะๆ และควรนำรูปแบบทไี่ ดจ้ ำก กำรศกึ ษำครงั นี ไปเป็นข้อมลู ในกำรวำงแผนและกำหนดแนวทำงรูปแบบเฝำ้ ระวงั โรคไขเ้ ลอื ดออกโดยทมี SRRT ระดบั ตำบลอืน่ ๆต่อไป 8 ธนั วำคม 2563 ณ โรงแรมสุนียแ์ กรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
ORAL : หอ้ งปทุมชาติ O_G1_No2 ผลงานวชิ าการดา้ นโรคตดิ ต่อท่วั ไป/โรคเอดส์/วณั โรคฯ ระบบการกากบั การกินยาในผูป้ ว่ ยวัณโรค 2-2-2\" (สขุ สวสั ดโ์ิ มเดล) ศุภนนั ท์ จันทะกรณ์, ส.บ.* ขจรยศ สุวรรณ, ภ.บ.** ชมภู แหวนเพชร,พย.บ.** ศนชิ ำ แซอ่ งึ ,พย.บ. ** * โรงพยำบำลส่งเสริมสขุ ภำพตำบลบำ้ นพะแวะ อ.ไพรบึง จ.ศรีสะเกษ **โรงพยำบำลไพรบึง จ.ศรสี ะเกษ บทนา : ในปี 2562 ในพืนที่บริกำรโรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพตำบลบ้ำนพะแวะ พบ ผู้ป่วยวัณโรคดือยำหลำย ขนำน (MDR-TB) จำนวน 1 รำย จำกกำรทบทวนปัญหำร่วมกับทีม TBC อำเภอไพรบึง พบว่ำ เป็นผู้ป่วยที่เกิด ในระยะต่อเน่ือง (เดือนที่ 5 หลังกำร วินิจฉัย) ทำให้ทีม TBC อำเภอไพรบึง มำทบทวนระบบกำรดูแลผู้ป่วยวัณโรค ในพืนท่ี และมีกำรพัฒนำระบบกำรกำกับกำรกินยำใน ผู้ปว่ ยวัณโรค จำกมำตรฐำน 2-2-2 เป็น มำตรฐำน 2-2-2 (สขุ สวสั ดโิ์ มเดล) ทีพ่ ัฒนำขนึ และใช้ในโรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพตำบลบ้ำน พะแวะ วัตถุประสงค์ : เพื่อพัฒนำระบบ กำรกำกับกำรกิน ยำในผู้ป่วยวัณโรค โรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพตำบลบ้ำนพะแวะ โดยใช้ กระบวนกำร PDCA เร่ิมต้น วำงแผนกำร ดำเนินงำนจำกกำรทบทวนผู้ปว่ ยวณั โรคเสียชีวติ และผปู้ ่วยวัณโรคดือยำหลำยขนำน พัฒนำ ระบบกำร กำกบั กำร กินยำร่วมกับทีม TBC อำเภอไพรบงึ วิธีการศึกษา : เชงิ ปฏบิ ตั ิกำร กลุ่มเป้ำหมำย คอื ผูป้ ่วยวัณโรคในพนื ท่ีตำบลสขุ สวสั ด์ิ จำนวน 7 รำย เครือ่ งมอื : กล่องเก็บรกั ษำยำ อุปกรณ์กนิ ยำ นำฬิกำปลุก กิจกรรมการพัฒนา : กำรกำกับกำรกินยำเดิมในระยะเร่ิมต้น (2 สัปดำห์แรก) ลงพืนท่ีกำกับกำรกินยำวัณโรคทุกวัน ระยะเข้มข้น (2 เดอื นแรก) กำกบั กินยำสปั ดำหล์ ะ 1 ครัง ในระยะตอ่ เน่ือง (4 เดือน 6 เดอื น) กำกับกำรกนิ ยำเดอื นละ 1 ครงั จำกปญั หำ ทพ่ี บในพนื ที่ บริกำรโรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพตำบบ้ำนพะแวะ ได้ปรับเปลี่ยนกำรลงกำกับกำรกินยำ ในระยะต่อเนื่อง (4 เดือน 6 เดือน) เป็นลง พนื ท่ีทุกสัปดำห์ รว่ มกับทีม อสม. ในพืนที่ โดยกำหนดออกพนื ท่เี ยี่ยม ผ้ปู ่วยในทกุ วันจันทร์ เวลำตังแต่ 09.00 น. เป็นต้นไป การประกนั คุณภาพยา : 1. พัฒนำเร่ืองกำรประกันคุณภำพยำหลังกำรจ่ำยยำจำกโรงพยำบำลมำพืนที่ จำกเดิมผู้ป่วย จะเป็นผู้เก็บรักษำยำวัณโรคเองท่ีบ้ำน ปรับเปลย่ี นมำเป็นเจำ้ หน้ำทีส่ ำธำรณสขุ เกบ็ ยำวัณโรคไวท้ ่ีหอ้ งเก็บยำ ของ โรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพตำบลบำ้ นพะแวะ มกี ำรควบคุม อณุ หภูมิและควำมชืนตำมมำตรฐำนของกำรดูแล ผปู้ ่วยวณั โรคดือยำหลำยขนำน เจำ้ หน้ำที่สำธำรณสขุ ผดู้ แู ล เป็นผู้จำ่ ยยำให้กับผู้ป่วย สัปดำหล์ ะ 1 ครัง ในกลอ่ งเกบ็ รักษำยำท่ีพัฒนำใหเ้ ข้ำกบั ระบบกำรดูแลผปู้ ่วยวัณในพืนที่ 2. ต่อยอดกลอ่ งยำวัณโรคจำกคำแนะนำของทีมนิเทศ TBC ศรีสะเกษ โดยกำรเพ่ิมช่องกำรใสย่ ำ ให้ครบ 7 วัน เป้ำหมำยเพื่อให้ผู้ดูแล สำมำรถกำกบั กำรกินยำได้ง่ำย และสะดวกต่อกำรเกบ็ รกั ษำและตดิ ตำม กำร รับประทำนยำของผูป้ ว่ ยวณั โรค เคร่อื งมือ/นวตั กรรม : 1. ต่อยอดกล่องเก็บรักษำยำวัณโรค และปรับเปลี่ยนให้เข้ำกับระบบกำรดูแลผู้ป่วยวัณโรคในพืนที่ รับผิดชอบโรงพยำบำลส่งเสริม สขุ ภำพตำบลบ้ำนพะแวะ 2. จดั ทำแผนกำรรักษำรำยกรณี(Case Management) ร่วมกันระหว่ำงผู้ป่วย ผู้ดูแล เจ้ำหน้ำที่ สำธำรณสุข ผู้ดูแล และทีมสหวิชำชีพ ในผู้ป่วยวัณโรคทุกรำย ตังแต่ก่อนเริ่มกำรรักษำ3. ตังนำฬิกำปลุก กำหนดเวลำกำรกินยำให้ตรงกันทังผู้ป่วย ผู้ดูแล และ เจ้ำหน้ำที่ สำธำรณสขุ ผดู้ แู ล ผลการศึกษา : จำกกำรดำเนนิ งำน พัฒนำรปู แบบและองค์ประกอบในกำรดำเนินงำนดแู ลผู้ป่วยวณั โรคในพืนที่โรงพยำบำล สง่ เสริมสุขภำพตำบลบ้ำน พะแวะ พบวำ่ ในปี 2563 พืนที่โรงพยำบำลสง่ เสริมสุขภำพตำบล บ้ำนพะแวะ มีผู้ปว่ ยโรค วัณโรค ๗ คน ไม่พบรำยงำนผปู้ ่วยเสียชีวิต จำกวัณโรคและผปู้ ว่ ยวณั โรคดือยำหลำยขนำน (MDR-TB) คาสาคัญ : กำรรักษำรำยกรณี, กำรกำกบั กำรกนิ ยำ 8 ธันวำคม 2563 ณ โรงแรมสนุ ีย์แกรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
ORAL : หอ้ งปทุมชาติ O_G1_No3 ผลงานวิชาการดา้ นโรคติดตอ่ ทวั่ ไป/โรคเอดส์/วัณโรคฯ Continuous care in People Living with HIV in the Covid 19 epidemic situation. นงค์นุช คุณะโคตร, พย.ม.สุริยงค์ บุญประเชญิ พย.บ.ยงยุทธ วฒั นำ ไชย,ปร.ด., นิตยำ ดำววงศญ์ ำต,ิ ภม. ธญั ลักษณ์ กดุ เปง่ , พย.บ.นวพร พลศักดิ์, พย.บ.และคณะ โรงพยำบำลสรรพสิทธปิ ระสงค์ บทนาและวตั ถุประสงค์ : สถำนกำรณ์แพร่ระบำดของเชือไวรัสโคโรนำ 2019 ส่งผลใหผ้ ู้ตดิ เชอื HIV/AIDS มำรบั บริกำรในโรงพยำบำล มีควำมยำกลำบำก และเสี่ยงต่อกำรติดเชือได้ง่ำย ศูนย์องค์รวม เป็นหน่วยบริกำรดูแลผู้ติด เชือHIV เฉลี่ยจำนวน80-100 คน/วัน ขณะเดียวกันพืนที่ให้บริกำรจำกัด ทำให้มีควำมเสี่ยงท่ีจะเกิดกำรแพร่กระจำย เชือไวรัสโควิดได้ ดังนันศูนย์องค์รวมร่วมกับ กลุ่ มงำน เภสชั กรรม งำนสทิ ธบิ ัตร แกนนำผู้ติดเชือและ ไปรษณีย์ ไทย จงึ รว่ มกนั ดำเนินกำรจดั รปู แบบบรกิ ำรในชว่ งโรคระบำดขนึ กำรศึกษำครงั นีมีวัตถุประสงค์ เพ่ือให้ผู้ติดเชือ HIV/AIDS ได้รับกำรดูแลรักษำอย่ำงต่อเน่ืองและลดควำมเส่ียงให้กับบุคลำกรที่ปฏิบัติงำนใน โรงพยำบำล วิธีการศึกษา : รูปแบบกำรพฒั นำกิจกรรมคณุ ภำพ โดยใช้กระบวนกำร PDSA Plan: วิเครำะห์ปญั หำโดยใช้แผนภูมิ ต้นไม้ในประเด็น สถำนกำรณ์ COVID-19 จำนวนผรู้ ับบริกำรช่วงท่ีมกี ำรระบำด พืนทใี่ ห้บริกำรคับแคบ และมี ผรู้ ับบริกำรอยู่ในพนื ที่ทม่ี ีกำรระบำดของ โรค D0:1) กำหนดข้อตกลงร่วมกับแพทย์ เภสัชกร LAB งำนสิทธิบัตร และกำหนดเกณฑ์จำแนกผู้ป่วยในกำรรับยำทำงไปรษณีย์ 2) สร้ำงแนวทำงกำรสง่ ยำทำงไปรษณีย์ โดยตงั เกณฑ์ ดงั นี Study : 1.แบง่ ผูต้ ิดเชอื เป็น 2 กลมุ่ ดงั นี กล่มุ Refill รับยำต่อเนือ่ ง รบั ผิดชอบ โดย HIV Co. โทรศัพท์ติดตำม ผู้ป่วยเพื่อจัดส่งยำให้ทำงไปรษณีย์ ทังนีไม่มีข้อห้ำมในกำรส่งยำ เช่น Viral load 440 copies/ml ผล Lab ปกติโดยมี ประเดน็ ในกำรแจ้งผู้ตดิ เชือ ดังนี (1) สถำนกำรณโ์ รคระบำดงดกำรเข้ำมำรับบรกิ ำรใน ร.พ. (2)อำกำรทว่ั ไปปกติ (3)ซัก ประวัตกิ ำรรบั ประทำนยำอย่ำงสม่ำเสมอ พร้อมทังจำนวนเม็ดยำที่คงเหลือ (4)กำรนัดครังตอ่ ไป กลมุ่ ท่ี 2 คอื 1) ผ้ตู ดิ เชือที่รับกำรรักษำ โดยแพทย์ ขนั ตอนดังนี พมิ พ์ OPD card ส่งใหแ้ พทยพ์ ิจำรณำสั่งกำรรักษำ ในกรณีท่ี สำมำรถส่งยำให้ทำงไปรษณีย์ได้ จะโทรศัพท์แจ้ง เพ่ืองดกำรเขำ้ มำโรงพยำบำล และจดั สง่ ยำให้ 2) ในกลมุ่ ที่มีควำม จำเป็นต้องพบแพทย์ พยำบำลโทรศพั ทแ์ จ้งในเรอื่ งขนั ตอนกำรมำรับ บริกำร กำรสวมหน้ำกำกอนำมัย รวมทังประตู ทำงเข้ำออก ของ ร.พ. พร้อมทงั จัด Zoning social distancing ใหข้ อ้ มลู กำรคัดกรองใน กรณผี ้รู ับบริกำรที่เดินทำง มำตำ่ งจังหวดั หรืออยใู่ นพืนเส่ียงต้องแยกโซนผ้รู บั บริกำรและปฏบิ ัติตำมขันตอนกำรดูแลผปู้ ่วย ARI PUI Act : 1) กำหนดแนวทำงกำรดูแลผู้ตดิ เชอื ในชว่ งCOVID-19 ระบำด (2) จัดทำฐำนขอ้ มูลเพ่อื ตดิ ตำมกำรส่งยำ (3) โทรศัพท์ ติดตำมภำยใน 2 สัปดำห์ (4) ประเมินผลกำรรักษำต่อเน่ือง โดยประเมินจำกกำรกดเชือไวรัสในกระแสเลือด (HIV viral load) (5)ติดตำมและประเมิน ควำมสม่ำเสมอในกำรรับประทำนยำตำ้ นไวรัส > 95 % ผลการศึกษา : ตังแตว่ ันท่ี 1 ม.ี ค.-1 ต.ค.63 1) จำนวนผปู้ ่วยทังหมด 2 ,262 คน (แยกเป็น Refill จำนวน 1,102 คน และ คลินกิ ตรวจ สขุ ภำพ 1,160 คน) เข้ำเกณฑ์ในกำรรับยำทำงไปรษณีย์ 1,006 คน รับยำต้ำนไวรัส ทำงไปรษณยี ์ 100 %2) ผู้ติดเชือที่อยใู่ นพืนที่เส่ียง และถกู กกั ตัว ได้รับยำตำ้ นไวรัส 10963) อตั รำกำรเกิดกำรแพรก่ ระจำยเชือหรอื ตดิ เชอื ไวรสั Covid -19 ในผู้ตดิ เชอื HIV/AIDS ทีเ่ ข้ำรับ กำรรักษำใน คลินิก = 04) ผู้รับบริกำรมคี วำมพึงพอใจใน กำรส่งยำทำงไปรษณีย์ 100 %5)อัตรำกำรขำดนัด = 05)ควำมสม่ำเสมอใน กำรรับประทำนยำต้ำนไวรสั (drug Adherence)> 98.6 % 6) HIV viral load< 40 copies/ml = 99.86 % สรุป : จำกผลกำรจัดรปู แบบบริกำรเฉพำะผู้ตดิ เชือ HIV/AIDS ในช่วงที่มีกำรระบำดของ COVID-19 ส่งผลให้ผ้ตู ิด เชื่อ ได้รับกำรดูแล ต่อเน่ือง ในสถำนกำรณ์ท่ีมีควำมยุ่งยำก และซับซ้อนในกำรบริหำรจัดกำรด้ำนสุขภำพ และลด ควำมเส่ียงให้กับบุคลำกรที่ปฏิบัติงำน โดยตรง และหน่วยงำนเก่ยี วข้องที่จำเป็นต้องให้บรกิ ำรผู้ป่วยในกลุม่ ดังกล่ำว อย่ำงมีประสิทธิภำพ ผู้ให้บริกำรมคี วำมปลอดภัยในกำร ทำงำน (2P SAFETY) คาสาคัญ : Covid-19,Continuous care in People Living with HIV, 8 ธนั วำคม 2563 ณ โรงแรมสนุ ยี ์แกรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
ORAL : หอ้ งปทุมชาติ O_G1_No4 ผลงานวชิ าการด้านโรคติดต่อทว่ั ไป/โรคเอดส/์ วัณโรคฯ การพฒั นารูปแบบการเปิดสถานศกึ ษาภายใต้สถานการณก์ ารแพรร่ ะบาด ของโรคติดเชอื้ ไวรสั โค โรนา 2019 (Covid - 19) ในพ้ืนที่จงั หวดั บึงกาฬ สรศกั ดิ์ ตนั ทอง, สบ. (สำธำรณสุขชมุ ชน), สม. (อนำมยั ส่ิงแวดลอ้ ม) กลุ่มงำนสง่ เสริมสุขภำพ สำนกั งำนสำธำรณสขุ จังหวดั บงึ กำฬ หลักการและวัตถุประสงค์ : กำรแพร่ระบำดของโรคติดเชือไวรัสโคโรนำ 2019 (Covid – 19) เกิดกำรระบำด เป็นวงกว้ำงทั่วโลก ประเทศไทยได้ประกำศให้โรคติดเชือไวรัสโคโรนำ 2019 (Covid - 19) เป็นโรคติดต่ออันตรำยตำม พระรำชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ท่เี ปน็ โรคติดต่อผำ่ นระบบทำงเดนิ หำยใจ แพร่กระจำยทำงละอองเสมหะจำกกำร ไอ นำมกู นำลำย สำหรับประเทศไทยพบผู้ปว่ ย และผู้เสียชีวิตเพ่ิมขึนอย่ำงต่อเนื่อง และมีโอกำสขยำยวงกว้ำงขึนเร่ือยๆ โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งแนวโน้มที่จะเกิดกำรแพร่ระบำดใน สถำนศกึ ษำ เนื่องจำกสถำนศกึ ษำเปน็ สถำนที่ท่ีมนี กั เรียนอยู่ รวมกนั เปน็ จำนวนมำก มกั จะมีควำมเสีย่ งสงู ในกำรแพรก่ ระจำยเชือ หำกมี ระบบกำรจัดกำรท่ีไม่ดี กำรศกึ ษำนี จงึ มวี ัตถุประสงคเ์ พอ่ื ศกึ ษำสถำนกำรณค์ วำมพร้อม พัฒนำรูปแบบ และศึกษำผลกำรใช้รปู แบบกำร เปิดสถำนศกึ ษำ (Reopening) ภำยใต้สถำนกำรณ์กำรแพร่ระบำดของโรคติดเชือไวรัสโคโรนำ 2019 (Covid - 19) ในพืนที่จังหวดั บึง กำฬ วิธีการศึกษา : ใช้กระบวนกำรวิจัยเชิงปฏิบัติกำร (Action Research) ของ Kemmis & McTaggart ประกอบด้วย PAOR ประชำกร และกลุ่มตวั อยำ่ ง คอื บุคลำกรทำงกำรศึกษำ บคุ ลำกรทำงสำธำรณสขุ และโรงเรยี นทกุ สงั กัดในพืนที่จังหวดั บงึ กำฬ จำนวน 327 แห่ง เกบ็ ขอ้ มลู ระหวำ่ งเดือน พ.ค. - ม.ิ ย. 63 ผลการศกึ ษา : สถำนศึกษำในจงั หวดั บงึ กำฬ ตอบขอ้ มูลควำมพร้อมกอ่ นเปิดสถำนศกึ ษำตำมมำตรกำรป้องกนั กำรแพร่ ระบำดของโรค ตดิ เชอื ไวรัสโคโรนำ 2019 (Covid – 19) ทงั สนิ 188 แหง่ (ณ วนั ที่ 3 มถิ ุนำยน 2563) จำกจำนวน สถำนศึกษำทงั สิน 327 แหง่ คดิ เป็น ร้อยละ 57.5 สถำนศึกษำมีควำมพร้อมในระดับสีเขียว ร้อยละ 20.2 สีเหลือง ร้อยละ 29.3 และสีแดง ร้อยละ 50.5 หลังดำเนินกำร พัฒนำรูปแบบโดยใช้กระบวนกำร PAOR พบว่ำ สถำนศึกษำใน จังหวัดบึงกำฬ ตอบข้อมูลควำมพร้อมก่อนเปิดสถำนศึกษำตำม มำตรกำรป้องกันกำรแพร่ระบำดของโรคตดิ เชอื ไวรัส โคโรนำ 2019 (Covid – 19) เพิ่มขึนเป็น 281 แห่ง (ณ วันที่ 30 มถิ ุนำยน 2563) จำกจำนวนสถำนศึกษำทังสิน 327 แห่ง คดิ เปน็ ร้อยละ 85.9 สถำนศกึ ษำมีควำมพร้อมในระดบั สีเขยี ว รอ้ ยละ 83.6 และสีเหลอื ง รอ้ ย ละ 29.3 คะแนนเฉล่ยี รำยด้ำนทงั 6 มติ ใิ นมำตรกำรปอ้ งกนั กำรแพรร่ ะบำดในสถำนศึกษำดขี ึนทุกระดับ สรปุ : จำกกำรดำเนนิ ตำมกระบวนกำร PAOR ทำใหเ้ กิดรปู แบบในกำรเปิดสถำนศึกษำ ทังสิน 4 ประเด็นหลักดังนี 1) กำรมีนโยบำยท่ี ชดั เจน (Policy) 2) กำรถ่ำยทอดควำมรู้ (Knowledge) 3) กำรมีส่วนร่วม (Participation) และ 4) กำรคืนข้อมูล (Information) และ ทำ้ ยทส่ี ุดควรมีกำรตดิ ตำมกำรดำเนนิ งำนตำมมำตรฐำนปอ้ งกนั โรคในสถำนศึกษำ อยำ่ งต่อเนอ่ื ง คาสาคัญ : สถำนศึกษำ, บึงกำฬ, มำตรกำรปอ้ งกนั 8 ธนั วำคม 2563 ณ โรงแรมสุนยี ์แกรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
ORAL : หอ้ งปทุมชาติ O_G1_No5 ผลงานวิชาการด้านโรคติดตอ่ ท่ัวไป/โรคเอดส์/วณั โรคฯ การพัฒนาระบบเฝ้าระวังโรคลิซมาเนยี ในพื้นทีเ่ ขตสขุ ภาพที่ 7 วำสนำ สอนเพง็ ปร.ด.(กฏี วทิ ยำ) กติ ติพชิ ญ์ จันที วท.ม.(สำธำรณสุขศำสตร์) รัชนี นนั ทนชุ ส.ม.(วิทยำกำรระบำด) นิตยำ ควงแสง วทบ.(สำธำรณสขุ ชมุ ชน) กลุ ชล ภทั ร โภคำนนท์ วท.บ.(กฏี วทิ ยำ) สำนักงำนปอ้ งกันควบคมุ โรคที่ 7 ขอนแก่น ความเปน็ มาและวตั ถุประสงค์ : โรคลิชมำเนีย เกดิ จำกเชอื ลชิ มำเนียทม่ี รี นิ ฝอยทรำยเปน็ พำหะนำโรค มรี ำยงำนกำร ตดิ เชือของกลมุ่ นกั ศกึ ษำวทิ ยำลยั แหง่ หนงึ่ ในจังหวดั ร้อยเอ็ดและมหำสำรคำม กลบั จำกฝกึ ประสบกำรณ์ทป่ี ระเทศ อสิ รำเอลแสดงอำกำรและตรวจพบ เชอื ลิชมำเนีย นบั ว่ำเป็นโรคอบุ ัตใิ หม่ที่เกิดขนึ ในพืนท่ี จงึ ไดพ้ ัฒนำระบบเฝำ้ ระวังโรคลชิ มำเนยี ในกลุ่มเสี่ยง เพ่ือเพมิ่ ประสทิ ธิภำพระบบ เฝำ้ ระวัง ตรวจจบั ควบคุมและปอ้ งกันกำรแพร่กระจำย ของโรคลิชมำเนยี วธิ กี ารศกึ ษา : ใช้เทคโนโลยีดิจทิ ัลสอื่ สำรกลมุ่ เส่ียง พัฒนำ Health beware card และประมวลผลนกั ศกึ ษำทเ่ี ดินทำง ไปยังพนื ทีเ่ ส่ยี ง อยำ่ งตอ่ เนือ่ งแบบ Real Time ในระบบออนไลน์ ระหวำ่ งปี 2561 - 2563 เมือ่ กลับมำทำกำรตรวจ คัดกรองโดยแบบสอบสวนเฉพำะ รำย ตรวจชนิดเชอื ลชิ มำเนยี โดยเทคนคิ PCR และศกึ ษำทำงด้ำนกฏี วิทยำ ผลการศึกษา : ผลกำรตรวจหำเชอื ลิชมำเนียในปี 2561 จำกตวั อยำ่ งเลอื ด 55 ตัวอยำ่ ง พบเชอื ลชิ มำเนยี 11 ตวั อย่ำง (ร้อยละ 20) ตวั อยำ่ งํนำ้ ลำย 55 ตัวอย่ำง พบเชอื 1 ตวั อยำ่ ง (ร้อยละ 1.81) อำกำรสำคัญ คอื ํนำ้ หนกั ลด 4-9 กโิ ลกรมั รอ้ ยละ 20.69 รองลงมำ คอื แผลเปอื่ ย และไข้ (เปน็ ๆ หำยๆ) ร้อยละ 13.79 ตำมลำดบั กำรศกึ ษำทำงกฏี วิทยำพบ ชนิ ฝอยทรำย Sergentomyia hivenus, S. baruadi, Sergentomvia spp. ผลกำรตรวจชนิ ฝอยทรำยไมพ่ บเช่อื ในปี 2562 ส่งตวั อย่ำงเลอื ดและํน้ำลำย อยำ่ งละ 60 ตัวอย่ำง พบ เชอื ในตวั อย่ำงํนำ้ ลำย 1 ตวั อยำ่ ง (รอ้ ยละ 1.66) อำกำรสำคัญ คือ ไข้ (เป็นๆ หำยๆ) และอ่อนเพลยี ร้อยละ 26.67 รองลงมำ คอื แผล เปอื่ ย รอ้ ยละ 20 ตำมลำดบั และ ปี 2563 ส่งตวั อยำ่ งเลือดและนำลำย อย่ำงละ 50 ตวั อย่ำง ไมพ่ บผู้ติดเชอื อำกำรสำคญั คือ แผลเป่อื ย และไข้ (เปน็ ๆ หำยๆ) รอ้ ยละ 28.57 ผลจำกกำรขับเคล่อื นกำรพัฒนำระบบเฝำ้ ระวังโรคลิชมำเนยี พบวำ่ ควำมพงึ พอใจของ นกั ศกึ ษำ ต่อกำรให้บรกิ ำร คิดเป็นร้อยละ 89.6 กลมุ่ เส่ียงไดร้ ับกำรตรวจหำเชือรอ้ ยละ 100 และไม่มกี ำรระบำดใน พนื ที่ สรปุ และข้อเสนอแนะ : จำกขอ้ มลู จำเปน็ อย่ำงยงิ่ ท่ตี อ้ งให้ควำมรู้ กำรปฏบิ ตั ิตน กำรเฝ้ำระวงั คัดกรองประชำกรกลมุ่ เสยี่ งทเี่ ดินทำงเข้ำ ไปในพืนท่ที ี่มโี รคลิชมำเนียเป็นโรคประจำถ่ิน เน่ืองจำกกลมุ่ เสี่ยงยงั แสดงอำกำร ขอ้ มลู กำรศกึ ษำทำงกฏี วทิ ยำยังพบชนิ ฝอยทรำยหลำย ชนิดทมี่ คี วำมเสีย่ งต่อกำรเปน็ พำหะนำโรคได้ ถึงแมว้ ่ำชว่ งทีด่ ำเนนิ กำรสำรวจ ยงั ไม่พบเชือในรินฝอยทรำยกต็ ำม คาสาคญั : โรคลชิ มำเนียรินฝอยทรำย 8 ธันวำคม 2563 ณ โรงแรมสุนยี แ์ กรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
ORAL : หอ้ งปทุมชาติ O_G1_No6 ผลงานวิชาการดา้ นโรคตดิ ตอ่ ท่ัวไป/โรคเอดส์/วัณโรคฯ การพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยวณั โรคในผสู้ งู อายุ/กล่มุ ภาวะเปราะบาง โดยใช้กระบวนการ Team3C อาเภอตระการพชื ผล จงั หวัดอุบลราชธานี นำฏอนงค์ ดำพะธกิ , พย.บ.(พยำบำลและผดงุ ครรภ์) บษุ บำ กำรกลำ้ , พย.บ.(พยำบำลและผดงุ ครรภ์), ส.ม.(กำรจัดกำรระบบสขุ ภำพ) กลุม่ งำนบรกิ ำรด้ำนปฐมภมู ิและองค์รวม โรงพยำบำลตระกำรพืชผล บทนำ : วัณโรคยงั เปน็ ปญั หำสำธำรณสขุ สำคัญของโลกและประเทศไทย โดยองคก์ ำรอนำมยั โลกจดั ใหไ้ ทย ติด อนั ดบั 1 ใน 14 ประเทศ ท่มี ปี ัญหำวัณโรคสูงท่ีสดุ ใน 3 กลุ่ม คือกล่มุ ประเทศท่ีมีผู้ป่วยวณั โรคสูง กลมุ่ ที่มีผู้ป่วยวัณ โรคที่ติดเชือเอชไอวีสูง และกลุ่มที่มีผปู้ ่วยวณั โรคดอื ยำหลำยขนำนสูง แตล่ ะปไี ทยพบผ้ปู ว่ ยรำยใหม่ประมำณ 120,000 คน เสียชวี ติ กว่ำ 13,800 คน ในสถำณกำรณ์ของอำเภอ ตระกำรพืชผล พบวำ่ มปี ญั หำ อตั รำคน้ หำผู้ป่วย รำยใหม่ค้นเจอน้อย อตั รำผลสำเร็จของกำรรกั ษำวัณโรคํตำ่ และอัตรำกำรตำยสงู มำก ขนึ พบในผู้ป่วยสูงอำยุที่มี โรครว่ มสูงถงึ ร้อยละ 50 และเพมิ่ ขึนทกุ ปี คลนิ ิกวัณโรคจึงวิเครำะหข์ อ้ มูลเพ่อื พัฒนำระบบกำรดูแลผปู้ ่วยวัณ โรค ในกลมุ่ ผสู้ งู อำย/ุ กลุ่มภำวะเปรำะบำง วัตถปุ ระสงค์เพื่อพัฒนำระบบกำรดแู ลผู้ปว่ ยวณั โรคในผู้สงู อำยุ/กลมุ่ ภำวะเปรำะบำงทม่ี ี ปญั หำหรอื ภำวะแทรกซอ้ นจำกกำรรกั ษำวัณโรค ในอำเภอตระกำรพืชผล จงั หวดั อบุ ลรำชธำนี วธิ ีดาเนินการวิจยั : เป็นกำรวจิ ัยเชงิ ปฏิบัติกำร (Action Research) โดยใชว้ งจร PAOR จำนวน 3 วงจร ประกอบด้วย 4 ระยะ ไดแ้ ก่ ระยะที่ 1 กำรวิเครำะห์สถำนกำรณ์และวำงแผน ระยะที่ 2 กำรดำเนนิ งำนตำม แผนท่ีกำหนด ระยะที่ 3 กำรสงั เกตผลทีเ่ กดิ ขนึ ระยะที่ 4 กำรสะท้อนผล ระยะเวลำกำรดำเนินกำร ตุลำคม 2560 - มีนำคม 2563 กล่มุ ตวั อยำ่ ง คือ ผูป้ ว่ ยวัณโรคทกุ ประเภททข่ี ึนทะเบยี นรกั ษำ ในปีงบประมำณ ตลุ ำคม 2560 - มีนำคม 2563 เครอ่ื งมอื เก็บรวบรวมข้อมลู ได้แก่ ทะเบยี นผู้ป่วยวัณโรค,ระบบ HI, แบบประเมนิ และ ตดิ ตำมกำรรกั ษำวัณโรค แบบประเมนิ ควำมพงึ พอใจ วเิ ครำะห์ข้อมูลดว้ ยสถติ ิเชงิ พรรณนำ ผลการศึกษา : พบวำ่ ระยะท่ี 1กำรวเิ ครำะห์สถำนกำรณ์ อตั รำค้นหำยผ้ปู ่วยรำยใหม่และอัตรำผลสำเร็จของกำร รักษำวณั โรค อัตรำ กำรตำย ยังไมไ่ ด้ตำมเป้ำหมำย จำนวนผปู้ ่วยสงู อำยทุ ่มี ีโรคร่วมสงู ถึง รอ้ ยละ 50 ระยะที่ 2 มี ประชุมทีมทเี่ ก่ยี วข้อง กำรพฒั นำกำรค้นหำ ผูป้ ่วยวัณโรครำยใหมใ่ นชมุ ชนเชงิ รกุ กำรพัฒนำศักยภำพทีมTB คลินกิ ทปี่ ระกอบดว้ ย แพทย์ พยำบำลทกุ สว่ นทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง เภสัช เจำ้ หนำ้ ท่ีเอก็ ซเรย์ ระยะท่ี 3 สังเกตผลทีเ่ กดิ ขนึ ด้วยระบบรำยงำนต่ำงๆ ระยะท่ี 4 สะท้อนผล ด้วยกำรคนื ข้อมูล กำรทำcase Conference ปรับแนวทำงใหมใ่ น กระบวนกำรพฒั นำทมี กำรรกั ษำดแู ลผู้ป่วยวณั โรคโดยเนน้ สหวชิ ำชีพและกำรทำงำนเป็นทมี จำก รพ.ส่งต่อสู่ ชมุ ชน ใช้กระบวนกำร Team3C คือ T-Team ทีมดแู ลรกั ษำ เป็นแพทยค์ นเดิม (Mr.TB) ร่วมกับสหวชิ ำชพี กำร อบรมให้ ควำมรูท้ ่ีมรพ.สตโดยใชโ้ ปรแกรมโรงพยำบำลํนำ้ ยนื C-Cure ปรบั กระบวนกำรรักษำ เกณฑ์กำร Admittedผปู้ ว่ ยวณั โรค เกณฑก์ ำรเฝ้ำ ระวงั LFT/Crในกลมุ่ ผู้ป่วยเสี่ยงสูง และมแี พทยป์ ระจำคลนิ กิ โดยตรงเปน็ ผดู้ แู ล และแนวทำงกำรคัดกรองกลุ่มเส่ียง C-Care กำรให้ คำปรกึ ษำญำติและผ้ปู ว่ ยโดยพยำบำล กำรจดั ระบบ ให้คำปรึกษำตอ่ เนื่องและเข้ำถึงงำ่ ย กำรตดิ ตำมเยยี่ มบ้ำน โดย Mr.TB และพยำบำล ประจำคลนิ ิกโดยตรง ในกลุ่ม ที่มีปัญหำซบั ซอ้ นและในกลมุ่ ผสู้ ูงอำยุ จะมี CG ในพนื ท่ี ชว่ ยดูแล และ C=Case management กำรใน รำยที่ ย่งุ ยำกซับซอ้ นเช่น XDRTB มกี ำรออกแบบกำรดแู ลผูป้ ่วยรว่ มกบั ชมุ ชนตำมบรบิ ทพืนที่ เพ่อื ให้สอดคลอ้ งกบั ปญั หำ หลังกำร ดำเนนิ งำน อัตรำกำรคน้ หำผปู้ ว่ ยรำยใหมเ่ พิม่ ขึน ปี 2560-ปี 2563(6 เดือน) คือ 112 ,128,133และ67 รำย ตำมลำดบั อตั รำผลสำเร็จ ของกำรรกั ษำวณั โรค เพ่มิ ขึน ปี 2560-ปี 2563(6 เดือน) รอ้ ยละ 83.89,81.74 และ 90.39 ตำมลำดับ อตั รำกำรตำยลดลง ปี 2560-ปี 2563(6 เดอื น) ร้อยละ 10.1,17.39 และ9.62 ตำมลำดบั ควำมพึงพอใจ เจำ้ หนำ้ ที่อยู่ในระดบั ควำมพึงพอใจของผดู้ แู ลผปู้ ่วยอยู่ในระดับ มำก สรุป : ปัจจยั ควำมสำเรจ็ คือ 1.กำรวิเครำะห์สถำนกำรณ์ข้อมูลผู้ปว่ ยยอ้ นหลงั และถอดบทเรียนระหว่ำงเจำ้ หนำ้ ท่ี รพ.สต. รว่ มกับ อสม. ในพนื ท่ี โดยกระบวนกำรมีส่วนรว่ ม 2.กำรมีทมี แพทย์ Mr.TB ทเ่ี ป็นคนเดิม ไม่หมุนเวียน ดแู ลผ้ปู ่วยร่วมกบั สหวิชำชีพ 3.ปรับ กระบวนกำรดแู ลผปู้ ่วยใหเ้ ขำ้ กับบรบิ ทของแต่ละพนื ที่ 4.ควำมร่วมมอื ของ ผปู้ ว่ ยและเจำ้ หนำ้ ท่ผี ดู้ ูแล คาสาคญั : พัฒนำระบบ,ผู้ป่วยวณั โรคในผสู้ งู อำย/ุ กลุ่มภำวะเปรำะบำง 8 ธันวำคม 2563 ณ โรงแรมสนุ ยี แ์ กรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
ORAL : หอ้ งปทุมชาติ O_G1_No7 ผลงานวชิ าการด้านโรคตดิ ต่อทัว่ ไป/โรคเอดส์/วณั โรคฯ การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยวัณโรคปอดด้วยการมีส่วนรว่ ม ของอาสาสมคั รสาธารณสขุ เรือนจา พว.พงพรรณ กำละนิโย ตำแหน่ง พยำบำลวิชำชีพชำนำญกำร ศนู ยส์ ขุ ภำพชุมชนเมืองบำ้ นสอ่ งนำงใย เครอื ขำ่ ยปฐมภมู โิ รงพยำบำลมหำสำรคำม บทนา : องค์กำรอนำมัยโลก (WHO 2010) พบว่ำ 1 ใน 3 ของประชำกรทั่วโลกติดเชือวัณโรค มีรำยงำนพบ ผู้ป่วยวัณโรครำยใหม่ ประมำณ 9.4 ล้ำนคน คดิ เป็นรอ้ ยละ 137 รำย ต่อประชำกรแสนคน เสยี ชวี ติ ประมำณ 2 ลำ้ นคน ประเทศไทยมีปญั หำวณั โรค และพบ ผู้ป่วยวัณโรครำยใหม่ปีละประมำณ 92,319 รำย เสียชีวิต ประมำณ 12,000 รำยต่อปี วัณโรคจึงเป็นโรคติดต่อที่กำลังเป็นปัญหำ สำธำรณสุข และพบได้บ่อยในเรือนจำ เนื่องจำกเรือนจำเป็นสถำนท่ี ท่ีมีปัจจัยเสี่ยงท่ีเอือต่อกำรแพร่กระจำยของเชือวัณโรคสูง ศูนย์ สุขภำพชุมชนเมืองบ้ำนส่องนำงใยซึ่งดูแลเรือนจำมหำสำรคำม จึงเห็นควำมสำคัญของปัญหำว่ำควรมีกำรพัฒนำรูปแบบกำรดูแล ผู้ต้องขังป่วยวัณโรคปอดด้วยกำรมีส่วนร่วมของอำสำสมัครสำธำรณสุขเรือนจำขึน โดยมีวัตถุประสงค์1)เพ่ือ ศึกษำสถำนกำรณ์ และ สภำพปัญหำของกำรดูแลผู้ป่วยวัณโรคปอดในเรือนจำ 2) เพื่อพัฒนำรูปแบบกำรดูแล ผู้ป่วยวัณโรคปอดโดยกำรมีส่วนร่วมของ อำสำสมัครสำธำรณสุขเรือนจำ 3)เพื่อศึกษำผลลัพธข์ องกำรใช้รูปแบบ กำรวิจัยในครงั นีเปน็ กำรวิจัยเชิงปฏิบัติกำร โดยผู้มีส่วนรว่ มใน กำรวิจัยได้แก่ พยำบำลวิชำชีพเจ้ำหน้ำท่ีรำชทัณฑ์ อำสำสมัครสำธำรณสุขเรือนจำ ผู้ต้องขังป่วยวัณโรคปอด และผู้ต้องขังทั่วไปใน เรอื นจำมหำสำรคำม จำนวน 32 รำย วิธีการศึกษา : กำรดำเนินกำรวิจัย แบ่งเป็น 3 ระยะ 1)ระยะเตรียมกำร ประกอบด้วยกำรประชุม วิเครำะห์ปัญหำและกำรสร้ำง วสิ ัยทศั น์ 2)ระยะดำเนินกำร กำรพัฒนำรปู แบบกำรดแู ลผปู้ ่วยวัณโรคปอดโดยกำรมสี ว่ นรว่ มของอำสำสมัคร สำธำรณสุขเรือนจำโดยใช้ ขบวนกำร PAOR มี 4 ขันตอน ตำมแนวคิดของ Kemmis & Mc Taggart และ 3)ระยะ ประเมินผล เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัยได้แก่ แบบสอบถำมปลำยเปดิ แบบสังเกตแบบมีส่วนร่วม แบบสัมภำษณ์ รำยกลุ่ม กำรวเิ ครำะห์ขอ้ มูลเชิงปริมำณด้วยค่ำเฉลี่ย ร้อยละ ข้อมูล เชงิ คุณภำพใช้วิธวี ิเครำะหเ์ ชิงเนือหำ ผลการศึกษา : พบว่ำรูปแบบกำรดูแลผู้ต้องขังป่วยวัณโรคปอดด้วยกำรมีส่วนร่วมของอำสำสมัครสำธำรณสุขเรือนจำนัน เป็นกำรนำ อำสำสมคั รสำธำรณสขุ เรือนจำเข้ำมำมสี ่วนร่วมในกำรดูแลซ่ึงส่งผลให้กำรดูแลมีคณุ ภำพมำกยง่ิ ขนึ นอกจำกนียงั ได้เกดิ รปู แบบกำรดแู ล ขึน 10 ขันตอนไดแ้ ก่1)กำรประชุมระดมสมองผู้มสี ว่ นรว่ ม 2)กำรอบรมให้ ควำมรู้กับผู้ทเ่ี กี่ยวข้อง 3)กำรจดั มมุ ควำมรูเ้ ร่ืองวณั โรค 4 ) มี มำตรกำรในกำรป้องกันกำรแพร่กระจำยเชือ 5มีมำตรกำรในกำรคดั กรองวัณโรค 6)มมี ำตรกำรดแู ลส่งิ แวดล้อม 7 มีกำรสนับสนุนและ ส่งเสริมสุขภำพในผู้ต้องขัง 8)มีกำรรักษำท่ีได้มำตรฐำนรวดเร็ว 9)มีกำรพัฒนำกำรส่งต่อที่เป็นระบบ 10)มีกำรกำกับกำรกินยำ(DOT) หลังจำกไดน้ ำรปู แบบดังกล่ำวไปดำเนินกำร พบว่ำผตู้ ้องขังได้รับกำรคัดกรองโดยกำรถ่ำยภำพรังสีทรวงอก(X-rays) 91.39 เปอร์เซ็นต์ พบผลเอกซเรย์ (X-rays) ผิดปกติและเป็นวัณโรคปอด จำนวน 22 รำยและผู้ที่ป่วยเป็น วัณโรคทัง 22 รำยได้รับกำรรักษำภำยใน 4 สัปดำห์ทุกรำย คิดเป็น 100 เปอร์เซ็นต์ และยังพบว่ำอัตรำควำมสำเร็จของ กำรรักษำผู้ป่วยวัณโรคปอดรำยใหม่ของเรือนจำ มหำสำรคำมได้ร้อยละ 91.43 สรุปและข้อเสนอแนะ : ผลของกำรวิจัยในครังนี ควรส่งเสริม และกำหนดเป็นนโยบำยของเรือนจำมหำสำรคำม เพ่ือให้เกิด ประสทิ ธิภำพต่อกำรดูแลผ้ตู ้องขังป่วยวัณโรคปอด ชว่ ยลดกำรแพรก่ ระจำยของวัณโรคในเรือนจำ และลดกำรแพร่กระจำยของวัณโรคสู่ สังคมต่อไป 8 ธันวำคม 2563 ณ โรงแรมสุนียแ์ กรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
ประเภทนาเสนอดว้ ยวาจา (Oral presentation) บทคดั ย่อ บทคดั ยอ่ ผลงำนวชิ ำกำร โรคจำกกำรประกอบอำชีพและ สง่ิ แวดลอ้ ม /โรคไม่ตดิ ต่อ (สถำนท่ี : หอ้ งปทุมมำศ) 8 ธนั วำคม 2563 ณ โรงแรมสุนียแ์ กรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
ORAL : หอ้ งปทุมมาศ O_G2_No1 โรคจากการประกอบอาชพี และสิ่งแวดลอ้ ม /โรคไมต่ ดิ ตอ่ การศกึ ษาคณุ ภาพของขอ้ มลู ในการรายงานผู้ป่วยโรคจากพิษสารกาจดั ศัตรูพชื จากระบบรายงาน 43 แฟม้ จงั หวดั นครราชสีมา ปี พ.ศ. 2562 Study on Data Quality of the Pesticides Poisoning Disease Reporting System Nakhon Ratchasima Province, 2019 สพุ าพร แสนศร,ี วท.บ. (อาชวี เวชศาสตร)์ งานโรคจากการประกอบอาชพี และสง่ิ แวดลอ้ ม สานกั งานป้องกันควบคมุ โรคที่ 9 นครราชสมี า คานา : โรคจำกพษิ สำรกำจดั ศตั รูพืช เปน็ 1 ใน 7 โรคเฝำ้ ระวงั ของกองโรคจำกกำรประกอบอำชพี และสิง่ แวดล้อม มี กำรเฝำ้ ระวงั โรค ดว้ ยข้อมูลกำรให้รหสั โรคจำกโครงสรำ้ ง 43 แฟ้ม และนำเสนอผ่ำนระบบรำยงำน Health Data Center : HDC นำขอ้ มูลที่ไดม้ ำจดั ทำ รำยงำนสถำนกำรณ์ กำรศกึ ษำมวี ตั ถปุ ระสงค์เพือ่ ประเมนิ คุณภำพขอ้ มูลกำรรำยงำนโรคจำก พษิ สำรกำจดั ศตั รูพชื และให้ข้อเสนอแนะ ในกำรปรับปรงุ ระบบเฝ้ำระวังโรคจำกพษิ สำรกำจดั ศตั รพู ชื เป็นกำรศึกษำ วธิ กี ารศกึ ษา : ภำคตัดขวำงเชงิ ปริมำณและคุณภำพข้อมูลโรคจำกพิษสำรกำจัดศัตรูพืช จำกระบบข้อมลู 43 แฟม้ เลอื กหน่วยบริกำร สุขภำพในจังหวดั นครรำชสมี ำ แบบส่มุ อย่ำงง่ำย 6 แห่ง โรงพยำบำลคง โรงพยำบำลบ้ำนเหล่ือม โรงพยำบำลครบุรี โรงพยำบำลส่งเสริม สุขภำพตำบลขนงพระใต้ อำเภอปำกช่อง โรงพยำบำลสง่ เสรมิ สุขภำพตำบลกระฉอด อำเภอเมือง โรงพยำบำลสง่ เสรมิ สขุ ภำพตำบลมำบ ตะโกเอน อำเภอครบุรี กำรศึกษำเชิงปริมำณ กลุ่มตัวอย่ำงคือผู้ป่วยท่ีมำรับกำร รักษำท่ีโรงพยำบำลท่ีศึกษำ วันท่ี 1 มกรำคม – 31 ธันวำคม 2562 จำนวน 6648 คน สืบค้นและทบทวนเวชระเบียนตำม รหัสโรคในหมวด T60, R, L. สุ่มเวชระเบียนแบบสุ่มอย่ำงง่ำย 792 เวชระเบยี น ศึกษำเชิงคณุ ภำพ สมั ภำษณ์ กลมุ่ เป้ำหมำยในโรงพยำบำลท่ศี กึ ษำโดยวิธเี ลอื กแบบเจำะจงผู้เก่ยี วข้องเชิงระบบทงั หมด 28 คน ผู้บรหิ ำร 6 คน ผู้ปฏิบัตงิ ำนวิชำกำร 19 คน ผดู้ แู ลระบบข้อมูล 3 คน ผลการศกึ ษา : พบหน่วยบริกำรโรงพยำบำลสง่ เสริมสุขภำพตำบล มี คำ่ พยำกรณ์บวกเปน็ 0 และไมส่ ำมำรถประเมนิ ค่ำควำมไวได้ โรงพยำบำลมีคำ่ พยำกรณบ์ วกและค่ำควำมไวร้อยละ 100 ขอ้ มลู เฝำ้ ระวังโรคจำกพษิ สำรกำจัดศตั รพู ืช ควำมทนั เวลำของระบบเฝ้ำระวัง อยใู่ นระดบั พอใช้สำมำรถนำขอ้ มูลไป แก้ปญั หำได้ ขอ้ มลู จำกระบบรำยงำนสำมำรถเป็นตัวแทนของเวชระเบยี นไดค้ วำมถกู ต้องของ ขอ้ มูลตัวแปรกำรให้รหัส กำรวินจิ ฉยั หลักไม่ถกู ต้องและรหสั สำเหตภุ ำยนอกใสร่ หสั ผิดตำแหนง่ ผิดหมวด สง่ ผลต่อขอ้ มูลกำรรำยงำน คลำดเคล่ือน ผู้บรหิ ำรและผปู้ ฏบิ ัตงิ ำนเห็นควำมสำคญั และประโยชน์ของกำรเฝำ้ ระวงั โรค เปน็ ปจั จยั เสรมิ ทำใหร้ ะบบ เฝ้ำระวังมโี อกำส พัฒนำตอ่ ไปได้ง่ำยและมปี ระสทิ ธภิ ำพแตก่ ำรใหร้ หัสโรคยงั มคี วำมเขำ้ ใจนอ้ ย ขำดกำรสนบั สนุนด้ำน กำรอบรม ควำมรเู้ ร่ืองโรค กำรให้ รหัสโรคจำกพษิ สำรกำจัดศตั รพู ืช กำรติดตำมสถำนกำรณโ์ รค กำรนำขอ้ มลู ไปใช้ ประโยชน์ กำรนำขอ้ มูลไปวำงแผนกำรดำเนินงำนยงั น้อยเนือ่ งจำกกำรเข้ำถงึ ขอ้ มูลในระบบคอ่ นขำ้ งยำก รำยละเอยี ด ขอ้ มลู นอ้ ย ขอ้ เสนอแนะ : ควรมกี ำรปรับปรุงระบบกำรรำยงำน กำรเข้ำถงึ ข้อมูล และกำรใหน้ ิยำมโรคทีช่ ดั เจน ต่อไป คาสาคญั : คุณภำพขอ้ มลู , โรคจำกพษิ สำรกำจัดศตั รพู ชื 8 ธันวำคม 2563 ณ โรงแรมสุนยี แ์ กรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
ORAL : หอ้ งปทุมมาศ O_G2_No2 โรคจากการประกอบอาชพี และส่ิงแวดล้อม /โรคไม่ตดิ ต่อ ผลของการใชโ้ ปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพ (Health Promotion Model) ที่มผี ลต่อ KAP และ ค่ามวลกายของเจ้าหน้าทโ่ี รงพยาบาลป่าต้ิว จังหวัดยโสธร ศุภมิตรำ คำผำลำ, วท.บ. (วิทยำศำสตรอ์ นำมัยส่งิ แวดล้อม) กลมุ่ งำนบริกำรด้ำนปฐมภูมแิ ละองค์รวม โรงพยำบำลปำ่ ตวิ หลักการและวัตถุประสงค์ : วิถีชวี ิตในปัจจบุ ันกำลังก้ำวสู่ควำมเจริญขึนดว้ ยเทคโนโลยี ทำให้มีควำมสะดวกสบำย มำกขึน ส่งผลให้มี พฤติกรรมกำรบริโภคที่เปลี่ยนไป รวมทังกำรเคลื่อนไหวและออกกำลังกำยน้อย นำไปสู่ปัญหำ โรคอ้วนลงพุงตำมมำได้ จำกผลตรวจ สขุ ภำพประจำปี 2561 ของเจำ้ หน้ำท่โี รงพยำบำลป่ำตวิ จำนวน 113 คน ปัญหำทพี่ บสว่ นใหญ่คือ คำ่ รอบเอวเกิน ค่ำดชั นมี วลกำยเกิน และควำมเส่ียงต่อโรคควำมดันโลหติ สูง คิดเป็นร้อยละ 30.0, 24.9 และ 21.2 ตำมลำดับ อีกทงั จำกรำยงำนวจิ ยั เชงิ สำรวจเพอ่ื เฝำ้ ระวัง พฤตกิ รรมเส่ยี งเจ้ำหนำ้ ท่ีโรงพยำบำล ป่ำติวปี 2561 จำนวน 64 คน พบปัญหำส่วนใหญ่คอื กำรบรโิ ภคผักผลไมน้ ้อยและออกกำลังกำย น้อย คิดเป็นร้อยละ 59,4 และ 50.0 ตำมลำดับ จำกสภำพปัญหำดังกล่ำว จึงได้จัดทำโครงกำรวิจัยโดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือทดสอบ ประสิทธิภำพของโปรแกรมกำรสร้ำงเสริมสุขภำพท่ีส่งผลต่อควำมรู้ ทัศนคติ พฤติกรรมและมวลกำยของ อำสำสมัคร วิธีการศึกษา : เปน็ กำรศึกษำวจิ ัยกง่ึ ทดลอง โดยใชแ้ บบแผนกำรวิจยั กล่มุ เดยี ววัดก่อนและหลงั กำรทดลอง ในกลุ่ม อำสำสมคั รเจำ้ หน้ำทโ่ี รงพยำบำลปำ่ ตวิ ท่ีเขำ้ ร่วมโครงกำรแบบสมัครใจ จำนวน 30 คน ดำเนินกำรระหว่ำงวันท่ี 15 พฤษภำคม ถึง 31 สิงหำคม 2563 วัดผลขอ้ มูลควำมรู้ ทัศนคติ พฤติกรรมตำมแบบสมั ภำษณ์ และวัดขอ้ มลู มวลกำย ในช่วงก่อนและหลงั สินสุดโครงกำร ผลการศึกษา : หลังสินสุดโครงกำรพบวำ่ ทัศนคติกำรให้ควำมสำคัญกับอำหำรเช้ำเพ่ิมขนึ (P-value=0.031) พฤติกรรมกำรออกกำลัง กำยตังแต่ 3 ครังต่อสัปดำหข์ ึนไปเพ่ิมขึน (P-value=0.035) พฤติกรรมกำรลดนำหนักด้วย กำรรับประทำนลดลงร่วมกับกำรออกกำลัง กำยเพ่ิมขึน (P-value=0.008) ควำมรู้เพ่ิมขึน (d=0.97, P-value<0.001) ค่ำมวลกำยที่ลดลง ได้แก่ นำ หนัก (d=1.23, P- value=0.001), ค่ำรอบเอว (P-value<0.001), อำยุร่ำงกำย (P-value=0.004), เปอร์เซน็ ต์ไขมนั ร่ำงกำย (P-value-0.026) และค่ำมวล กำยท่ีเพิ่มขึน ได้แก่ ค่ำเปอร์เซ็นต์กล้ำมเนือ (P-value<0.011) มีเพียงแค่ค่ำระดับไขมันช่องท้องที่ไม่พบควำมแตกต่ำง (P- value=0.079) สรุป : โปรแกรมดังกล่ำวสำมำรถสร้ำงแรงจูงใจให้อำสำสมัครเกิดกำรเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมท่ีพึงประสงค์และ ค่ำมวลกำยที่ดีขึนได้ อย่ำงชัดเจน เน่ืองจำกรูปแบบกิจกรรมในลักษณะ “คลินิค DPAC มีชีวิต” ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่มีผู้ เข้ำมำรับบรกิ ำรเชิงรับเพยี งอย่ำงเดียว แตส่ ร้ำงกำรมสี ว่ นร่วมของอำสำสมัคร ให้เกิดกำรรับรู้ กำรได้รับปัจจยั เสริม จำกอิทธพิ ลของบคุ คล และปัจจัยสิ่งชกั นำในกำรปฏิบัตจิ น นำไปสูก่ ำรเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรม (Out come) และ ค่ำมวลกำยที่ดขี นึ (Impact) ขอ้ เสนอแนะในกำรทำวิจัยคอื ควรขยำยระยะเวลำ กำรวิจัยเพิ่มขึนอยำ่ งนอ้ ย 6 เดือน เพื่อใหเ้ หน็ ผลลพั ธค์ ่ำมวลกำยท่ชี ัดเจนขึน 8 ธันวำคม 2563 ณ โรงแรมสุนยี ์แกรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
ORAL : ห้องปทุมมาศ O_G2_No3 โรคจากการประกอบอาชีพและสิง่ แวดล้อม /โรคไมต่ ดิ ต่อ ความพรอ้ มของห้องแยกโรคผปู้ ่วยแพรเ่ ชอ้ื ทางอากาศในโรงพยาบาล เขตสุขภาพท่ี 8 Preparedness of airborne infection isolation room of the hospitals in health region 8 กำญจนำ แสนตะรตั น*์ ส.ม. (อนำมยั สงิ่ แวดล้อม), ดำรวิ รรณ เศรษฐีธรรม** ปร.ด. สำธำรณสุขศำสตร์) นฏกร บุญขันธ*์ ว.ทบ. (สำธำรณสุขศำสตร์) *สำนักงำนปอ้ งกนั ควบคมุ โรคที่ 3 จังหวัดอุดรธำนี ** คณะสำธำรณสุขศำสตร์ มหำวิทยำลยั ขอนแกน่ หลักการและวตั ถปุ ระสงค์ : ในปจั จบุ นั ทว่ั โลกกำลังเผชญิ กับสถำนกำรณ์ของโรคอบุ ัตใิ หม่ โรคอุบตั ซิ ำ และโรคตดิ เชือตำ่ งๆ ทังนีตำม หลกั กำรควบคมุ กำรติดเชือในโรงพยำบำล ต้องมกี ำรแยกผปู้ ว่ ยแพร่เชอื ทำงอำกำศไวใ้ นหอ้ งแยก ท่ไี ดม้ ำตรฐำน โดยหอ้ งแยกโรคผู้ป่วย แพร่เชือทำงอำกำศกำหนดให้เปน็ หอ้ งทค่ี วำมดันภำยในห้องเป็นลบหรอื ํตำ่ กวำ่ บรเิ วณข้ำงเคียง(Negative Pressure) เพอื่ กำหนดทศิ ทำงกำรไหลของอำกำศและปอ้ งกันกำรแพร่กระจำยของเชอื โรค กำรศึกษำนีมวี ัตถปุ ระสงค์เพ่ือประเมนิ ควำมพรอ้ มใชง้ ำนของหอ้ งแยก โรคผปู้ ว่ ยแพรเ่ ชือทำงอำกำศใน โรงพยำบำล เขตสขุ ภำพที่ 8 วิธีการศึกษา : รูปแบบกำรศึกษำเป็นกำรศึกษำเชิงพรรณนำแบบภำคตัดขวำง (Cross-sectional Descriptive Study) ทำกำรศึกษำ หอ้ งแยกโรคแพร่เชือทำงอำกำศของโรงพยำบำลในเขตสุขภำพที่ 8 จำนวน 25 แห่ง โดยกำรตรวจวดั กำรระบำยอำกำศ และประเมิน ควำมพร้อมใช้งำนของหอ้ งแยกโรคผู้ป่วยแพร่เชือทำงอำกำศ ตำมมำตรฐำนกำรปรับ อำกำศและระบำยอำกำศสำหรับสถำนพยำบำล ของห้องแยกผู้ป่วยแพร่เชือทำงอำกำศ วิศวกรรมสถำนแห่งประเทศ ไทย ทำกำรศึกษำในระหว่ำงเดือนพฤศจิกำยน 2562 ถึง เดือน มีนำคม 2563 ผลการศึกษา : ห้องแยกโรคผปู้ ่วยแพรเ่ ชือทำงอำกำศในโรงพยำบำล เขตสุขภำพที่ 8 ที่เปน็ ไปตำมมำตรฐำน สำมำรถใชง้ ำนได้ตำม วัตถปุ ระสงค์ มรี อ้ ยละ 52.0 เม่ือพจิ ำรณำควำมพรอ้ มใช้งำน แยกตำมขนำดของโรงพยำบำล พบว่ำ หอ้ งแยกโรคฯ ในโรงพยำบำลศนู ย์/ ท่วั ไป มคี วำมพร้อมใช้งำนมำกกวำ่ หอ้ งแยกโรคฯ ในโรงพยำบำลชุมชน คือ รอ้ ยละ 66.7 และร้อยละ 45.0 ตำมลำดับ และเม่ือพจิ ำรณำ ตำมประเภทของหอ้ ง พบวำ่ หอ้ งแยกโรคผปู้ ว่ ยแพร่ เชือทำงอำกำศ (AIR) มคี วำมพรอ้ มใช้งำน ร้อยละ 100.0 ส่วนหอ้ งแยกโรคผู้ปว่ ย แพรเ่ ชือทำงอำกำศ แบบประยกุ ต์ (Modified AIR) มคี วำมพร้อมใช้งำน ร้อยละ 56.5 เนื่องจำกกำรระบำยอำกำศและควำมดันของห้อง ไมเ่ ป็นไปตำม มำตรฐำน รวมถงึ อุปกรณข์ องห้อง เชน่ HEPA Filter ชำรุดอุดตัน ไม่พรอ้ มใชง้ ำน สรุปและข้อเสนอแนะ : ห้องแยกโรคผู้ป่วยแพร่เชือทำงอำกำศในโรงพยำบำล เขตสุขภำพท่ี 8 ยังพบปัญหำควำม พร้อมใช้งำน จึงมี ควำมเส่ยี งท่ีจะเกิดกำรแพร่กระจำยเชือโรคมำสู่บุคลำกรและผมู้ ำใช้บริกำรอน่ื ดงั นนั โรงพยำบำล ควรมีมำตรกำรในกำรตรวจสอบและ บำรงุ รักษำหอ้ งแยกโรคผู้ป่วยแพรเ่ ชือทำงอำกำศ ให้เปน็ ไปตำมมำตรฐำน มี ประสิทธิภำพ และพรอ้ มใช้งำนอยเู่ สมอ คาสาคญั : ห้องแยกโรคผูป้ ว่ ยแพร่เชือทำงอำกำศ, ห้องควำมดนั ลบ, กำรแยกกกั 8 ธนั วำคม 2563 ณ โรงแรมสนุ ยี แ์ กรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
ORAL : หอ้ งปทุมมาศ O_G2_No4 โรคจากการประกอบอาชพี และสงิ่ แวดล้อม /โรคไม่ตดิ ตอ่ การศกึ ษาผลการเขา้ ถงึ บรกิ ารกลุ่มเสีย่ งในกลุ่มโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง เพ่อื ปอ้ งกนั โรคหลอดเลือดสมอง ตาบลโคกหล่าม อาเภออุทุมพรพสิ ัย จังหวดั ศรสี ะเกษ นำยสมบรู ณ์ แนวมน่ั , พย.บ. โรงพยำบำลสง่ เสรมิ สุขภำพตำบลโคกหลำ่ ม อำเภออทุ มุ พรพสิ ัย จงั หวัดศรีสะเกษ ความเป็นมา : ครงั นีเป็นกำรศึกษำรูปแบบกำรคัดกรอง “ STROKE KHOK- LAM Model” พัฒนำโดยทมี สุขภำพโรงพยำบำลสง่ เสริม สขุ ภำพตำบลโคกหล่ำม กลุ่มที่ศกึ ษำ คือ กลุ่มเส่ียงโรคหลอดเลือด สมอง จำนวน 120 คน ในเขตตำบลโคกหลำ่ ม โดยมีวัตถุประสงค์ เพือ่ ศึกษำกำรเข้ำถึงบริกำรกลุม่ เส่ียงในกลุม่ โรคเบำหวำนและควำมดันโลหิตสงู ทีไ่ ด้รับกำรประเมนิ ควำมเสยี่ งต่อโรคหลอดเลือดสมอง และระดับควำมรู้ในกำร เข้ำถึงบริกำรเพื่อป้องกันกำรเกิดโรคหลอดเลือดสมอง 2. เพื่อศึกษำผลลัพธ์ควำมรู้ และควำมสำมำรถในกำร ดูแลผู้ป่วย ของผู้ดแู ลผูป้ ่วยในชมุ ชน ในกำรสง่ เสรมิ กลุ่มเสี่ยงและผ้ปู ่วยเพื่อเข้ำถึงบริกำรควำมเสี่ยงโรคหลอดเลอื ดสมอง วิธีการศึกษา : กำรศึกษำเชิงพรรณนำ โดยใช้ แบบประเมิน CVD risk แบบประเมิน (Stroke Risk Score Card) EKG และ แบบสอบถำมควำมรูเ้ ร่อื งโรคหลอด เลอื ดสมองและกำรเขำ้ ถงึ บริกำร กำรวิเครำะห์ข้อมูลโดยใช้สถติ ิเชิงพรรณนำ ทำกำรศึกษำระหว่ำง เดือน กันยำยน 2561 ถึงเดอื น ตุลำคม 2562 ผลการศึกษา : จำกกำรดำเนินงำนตำมรูปแบบ “ STROKE KHOK- LAM Model” ทำให้กลุ่มตัวอย่ำงผ่ำนกำรคัด กรองโรคหลอด เลือดสมองรอ้ ยละ 100 ส่วนใหญ่เปน็ เพศหญิง รอ้ ยละ 76 ผู้มคี วำมเสี่ยง 120 คน เสีย่ งไม่เกิดโรค 109 คน เสย่ี งเกิดโรค 11 คน และ มี ควำมรู้เร่ืองโรคหลอดเลือดสมองในระดับดีมำก ร้อยละ 96 (SD=2.59, = 18) รับรู้ช่องทำงกำรกำรประสำนงำน ร้อยละ 98 และ สำมำรถประเมินอำกำรและแจ้งเหตุได้ถูกต้อง ร้อยละ 100 ผู้ป่วยเข้ำถึงระบบบริกำรทันเวลำ (stroke fast track) ร้อยละ 100 ได้รับ กำรรักษำและส่งต่อทันเวลำ ร้อยละ 100 ผลลัพธ์ท่ีได้จำกกำรพัฒนำรูปแบบกำรเขำ้ ถึงบรกิ ำรโรคหลอดเลือดสมอง จัดกำรสร้ำงเสริม สุขภำพกลมุ่ ผดู้ ูแลมี ควำมรูส้ ำมำรถประเมินและแจ้งเหตกุ ำรณ์ไดอ้ ย่ำงถกู ตอ้ ง รอ้ ยละ 100 ผูป้ ว่ ยโรคหลอดเลือดสมองเขำ้ รบั กำรรกั ษำ ทันเวลำ ร้อยละ 100เสี่ยง ดังกรณีตัวอย่ำง ผู้ป่วยขณะท่ีร่วมเตรียมงำนกฐิน มีอำกำรล้มลงพืน ปำกเบียว แขนขำไม่มี แรง 1 ข้ำง ผูเ้ หน็ เหตุกำรณ์มี อสม. และผู้นำชุมชน จึงรวู้ ่ำผู้ป่วยเข้ำข่ำยอำกำรหลอดเลือดสมอง จึงโทรไปยัง 1669 และจนท.รพ.สต. มำ(5 นำที) เพอื่ ประเมินอำกำรและประสำนเพือ่ สง่ ตัวคนไขร้ ักษำที่รพ.ศรสี ะเกษ ซง่ึ กำรช่วยเหลือ ในครงั นรี วมเวลำทงั สิน 3 ชั่วโมง ส่งผลใหผ้ ู้ป่วย ไม่เกิดภำวะแทรกซ้อน ไม่มีกำรกลับเข้ำมำรับกำรรักษำซำ ได้ แนวทำงในกำรดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง โดยมีกำรจัดทำแผนท่ี กลุ่มเส่ยี งในชมุ ชน โดย Care manager ร้อย ละ 100 มี Care giver ในกำรดแู ลกลุ่มเสยี่ งเพ่ิมขึน ร้อยละ100 เกิดเป็นหมบู่ ้ำนป้องกัน โรคหลอดเลือดสมองและเป็น หมู่บ้ำนตัวอย่ำง สร้ำงเสริมสุขภำพมคี วำมพึงพอใจกำรดูแล ร้อยละ 100 ส่งผลให้ผปู้ ่วยโรคหลอดเลือด สมองมี คณุ ภำพชีวติ ท่ดี ีขึนร้อยละ 100 ทำใหก้ ลุ่มตัวอย่ำงมีควำมเขำ้ ใจในกำรพฒั นำรูปแบบกำรเขำ้ ถงึ บรกิ ำรโรคหลอดเลอื ด สมองใน ชมุ ชนได้มำกขึน เกดิ ประโยชนต์ ่อตัวผู้ป่วยและชุมชนได้เป็นอย่ำงดี และสำมำรถนำกลวิธีและแนวทำงที่ใช้ใน กำรจัดกำรสุขภำพผู้ป่วย โรคหลอดเลอื ดสมองไปใช้กับชมุ ชนอื่น ๆ ตอ่ ไป คาสาคญั : กำรเขำ้ ถงึ บรกิ ำร,หลอดเลอื ดสมอง,โรคเรือรงั 8 ธนั วำคม 2563 ณ โรงแรมสุนีย์แกรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
ORAL : ห้องปทุมมาศ O_G2_No5 โรคจากการประกอบอาชีพและสงิ่ แวดล้อม /โรคไมต่ ิดตอ่ การพัฒนารปู แบบชุมชนลดการบรโิ ภคเค็ม ในการป้องกันโรคความดนั โลหิตสงู จงั หวดั กาฬสนิ ธุ์ ปีงบประมาณ ๒๕๖๒ นำงทพิ ำพร รำชำไกร ตำแหน่ง พยำบำลวิชำชีพชำนำญกำร สำนกั งำนสำธำรณสขุ จังหวัด กำฬสนิ ธ์ุ จงั หวดั กำฬสินธุ์ ความเป็นมา : ภำวะควำมดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักต่อกำรเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด กำรศึกษำครังนีเป็น กำรวิจัยเชิง ปฏบิ ตั ิกำร (Action Research) มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ พฒั นำรปู แบบชมุ ชนลดกำรบริโภคเคม็ ในกำร ปอ้ งกนั โรคควำมดนั โลหิตสูง วธิ กี าร : กำรศึกษำครังนีเป็นกำรวิจัยเชิงปฏิบตั ิกำร (Action Research) มีวัตถุประสงค์เพ่อื พัฒนำรูปแบบ ชุมชนลดกำรบรโิ ภคเค็มใน กำรป้องกันโรคควำมดันโลหิตสงู ดำเนนิ กำรระหว่ำงเดือน ธันวำคม ๒๕๖๑ - กรกฎำคม ๒๕๖๒ ใชก้ ระบวนกำรเรยี นรู้แบบมีส่วนร่วม โดยให้คำแนะนำ ปรึกษำ แลกเปลี่ยนเทคนคิ กำรลด กำรบริโภคอำหำรท่ีมีเกลือและโซเดียม ดำเนนิ กำรทงั ๑๘ อำเภอ โดยสุ่มตวั อยำ่ ง ชุมชนอย่ำงง่ำยอำเภอละ ๑ ชุมชน จำกนันสุ่มอย่ำงง่ำยกลุ่มสงสัยป่วยควำมดันโลหิตสูงจำนวน ๕๐ คน รวม ๔๐๐ คน เก็บข้อมูลด้วย แบบ ประเมนิ ควำมรู้ ตรวจร่ำงกำย และวดั ระดับควำมเค็มในอำหำร วิเครำะหข์ ้อมลู ดว้ ยสถิติเชิงพรรณนำ นำเสนอ ดว้ ยค่ำควำมถ่ี รอ้ ย ละ และค่ำเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบนมำตรฐำนเปรียบเทียบค่ำเฉล่ียควำมรู้ ปริมำณโซเดียม และ ค่ำควำมดันโลหิตก่อนและหลังดำเนินกำร ด้วย Paired t-test เปรียบเทียบค่ำสัดส่วนระดับควำมดันโลหิตก่อน และหลังด้วยสถิติ Stuart-Maxwell Chi-square กำหนดระดับ นัยสำคัญทำงสถิตทิ ่ี ๐.๐๕ ผลการศกึ ษา : พบว่ำ กล่มุ สงสัยป่วยควำมดันโลหติ สูง จำนวน ๔๐๐ คน อำยุเฉลี่ย ๕๖.๒๕ ปี (SD ๑๑.๐๕) มีคะแนนควำมรู้เพิ่มขึน ร้อยละ ๘๗.๑๑ อย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติ (Mean difference ๓.๓๕; ๔๕%CI ๓.๑๘-๓.๕๒, p-value<0.000) ปริมำณโซเดียมใน อำหำรของกลุ่มสงสยั ป่วย ก่อนดำเนินกำรมีค่ำเฉล่ีย ๔๑๓.๔๒ มิลลกิ รัม (SD ๑๒๕๔๒) หลังดำเนินกำรมีค่ำเฉล่ยี ๓๐๓.๘๒ มิลลิกรัม (SD ๑๑๖.๕๘) โดยมีค่ำเฉล่ยี ปริมำณโซเดียมในอำหำรลดลง ร้อยละ ๗๐.๑๑ อย่ำงมีนยั สำคัญทำงสถิติ (Mean difference ๑๐๙.๖๐ ๔๕%CI 900.๙๐-๑๑๗.๒๔, p-value<0.004) สัดส่วนของระดับควำมดันโลหิตก่อนและหลังแตกต่ำงกัน อย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติ (Stuart-MaxwellChi-square = ๓๐๓.๖๘, p-value < 0.009) สรปุ และ ขอ้ เสนอแนะ : ได้รปู แบบกำรมีสว่ นร่วมของชมุ ชนในกำรปรบั เปลี่ยนพฤติกรรม และสร้ำงควำมตระหนักด้วย เคร่ืองวัดควำม เค็มในอำหำร ในกำรสรำ้ งสุขภำพ ซึ่งควรเนน้ กำรสร้ำงกระแส รณรงคท์ ุกภำคสว่ นใหป้ ระชำชนมี ควำมรอบรูเ้ รอื่ งระดับควำมดันโลหิต ท่ีทำให้เกิดโรคท่ีรุนแรง ซ่ึงมีผลจำกกำรบริโภคเกลือและโซเดียม ผลักดัน กำรสร้ำงนโยบำยสำธำรณะ ให้เกิดควำมย่ังยืน ลดโรค ลด คำ่ ใช้จำ่ ย และเพิม่ คณุ ภำพชวี ติ คาสาคญั : ชุมชนลดเค็ม, กำรบรโิ ภคเคม็ , โรคควำมดันโลหติ สงู 8 ธันวำคม 2563 ณ โรงแรมสนุ ยี แ์ กรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
ORAL : หอ้ งปทุมมาศ O_G2_No6 โรคจากการประกอบอาชีพและส่ิงแวดลอ้ ม /โรคไม่ตดิ ตอ่ ผลการเฝา้ ระวังบคุ ลากรทส่ี ัมผสั ผู้ป่วยโรคไข้สุกใสในโรงพยาบาลอดุ รธานี นำงชนดิ ำภำ มำตยบ์ ณั ฑติ พย.บ , น.บ., ศศ.ม.ป.กำรพยำบำลเฉพำะทำงอำชวี อนำมัย พญ. ภทั รยิ ำ มลู กำย พ.บ. นำงพไิ ลลักษณ์ บ้ำนใหม่ พย.บ กล่มุ งำนอำชีวเวชกรรม โรงพยำบำลอดุ รธำนี ทม่ี า: บคุ ลำกรของโรงพยำบำลมีควำมเส่ียงต่อกำรได้รับเชอื จำกผู้ปว่ ยขณะปฏิบัติงำน กำรปว่ ยของบคุ ลำกรก่อใหเ้ กดิ ผล กระทบทังต่อ บุคลำกร ผูป้ ่วย ญำตผิ ปู้ ว่ ย และผู้มำเยี่ยมผูป้ ่วย รวมทงั อำจทำให้เกดิ กำรระบำดในโรงพยำบำล โรคที่มีควำมสำคญั และเป็นสำเหตทุ ีท่ ำ ให้บุคลำกรเกิดกำรติดเชือขณะปฏิบัตงิ ำนมักแพรก่ ระจำยเชือโดยกำรสมั ผสั ฝอยละออง นำมูกนำลำยและแพร่กระจำยเชือทำงอำกำศ โรคทพี่ บเกดิ กำรระบำดได้แก่ โรคคอตีบ โรคไขส้ ุกใส โรคคำงทมู และโรค ไข้หวัดใหญ่ ก่อให้เกดิ ผลกระทบอย่ำงรุนแรงต่อบุคลำกรและ โรงพยำบำล (นอกจำกนีปัจจุบันยงั มสี ถำนกำรณ์กำรระบำด ของโรค covid-19) ในช่วงวันท่ี 18 มกรำคม - 17 มีนำคม 2563 บคุ ลำกร ทป่ี ฏิบัตงิ ำนในโรงพยำบำลอุดรธำนีมีกำรสมั ผัส ผ้ปู ่วยไขส้ กุ ใสและมีนักศกึ ษำพยำบำลที่มำฝกึ งำนเจบ็ ป่วยด้วยไขส้ กุ ใส 4 ชว่ งเวลำของ กำรสัมผัสผู้ป่วย มีบคุ ลำกรที่ สัมผัสผู้ป่วยจำนวน 97 คน โรคไข้สุกใส เกิดจำก varicella Zoster virus ซ่ึง สำมำรถแพร่กระจำยทำง ละอองอำกำศและจำก กำรสัมผสั โดยตรงกับตุ่มคันหรือรอยโรคระยะฟักตัว ของโรคไขส้ ุกใสโดยท่ัวไปประมำณ 14-16 วนั (ํต่ำสุด 10 วัน สูงสุด 21 วัน) ช่วงท่ีสำมำรถติดต่อได้จะ เริ่มตังแต่วันที่ 1-2 ก่อนท่ีผ่ืนจะมำกขึนจนกระทั่วผื่นทังหมดตกสะเก็ด โรคไข้สุกใส สำมำรถทำใหเ้ กดิ ภำวะแทรกซอ้ นได้ เช่น กำรตดิ เชือแบคทีเรียที่ผวิ หนัง และนวิ มอเนีย นอกจำกนียังอำจพบวำ่ มี encephalitis และ Reyes Syndrome ได้ด้วย กลุม่ งำนอำชีวเวชกรรม ซ่ึงเปน็ หนว่ ยงำนทีม่ ีบทบำทในกำรดแู ลสขุ ภำพ บคุ ลำกร จึงไดด้ ำเนนิ กำรสอบสวน โรค ป้องกันควบคุมโรค เพ่ือเฝ้ำระวังบุคลำกรที่สัมผัสและให้บริกำรสร้ำงเสริม ภูมิคุ้มกันโรค เพื่อศึกษำข้อมูลกำรสัมผั สผู้ป่วยโรคไข้ สกุ ใสในบุคลำกรของโรงพยำบำลอุดรธำนี ระเบียบวิธีวิจัย : เป็นกำรวิจัยเชิงสำรวจ โดยศึกษำในกลุ่มตัวอย่ำงจำนวน 97 คน ที่สงสัยสัมผัสผู้ป่วย ใช้แบบสอบถำม บุคลำกรที่ สมั ผัสผู้ป่วยโรคไข้สกุ ใสท่ีสร้ำงขึนโดยแพทย์อำชีวเวชศำสตร์ โดยแบบสอบถำมแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่ ข้อมูลทั่วไป ประวัติสัมผัส ประวัตกิ ำร ได้รับภมู คิ ุ้มกนั ไข้สุกใส และประวัตสิ ขุ ภำพวิเครำะห์ขอ้ มูลโดยสถิตเิ ชิงพรรณนำ จำนวน ร้อยละ ผลการศึกษา : บุคลำกรท่ีสัมผัสผู้ป่วยสุกใส เป็นเพศหญิง ร้อยละ 93.8 อำยุเฉล่ีย 31.1 ปี ตำแหน่งพยำบำลสูงสุด ร้อยละ 59.8 รองลงมำคือ ผูช้ ว่ ยเหลือคนไข้ พนักงำนช่วยกำรพยำบำล เปน็ รอ้ ยละเทำ่ กนั คือ ร้อยละ 11.3 พบแพทยส์ ัมผสั ผปู้ ว่ ย 1 รำย ตึกผูป้ ่วยใน ทบี่ ุคลำกรสัมผัสผู้ปว่ ยสกุ ใสสูงสดุ คือ อำยุรกรรมหญงิ 3 คิดเป็นร้อยละ 14.2 รองลงมำคือ ตึก ศลั ยกรรมตกแต่ง และ อำยุรกรรมชนั 7 คิดเป็นร้อยละ 32.0 และ 12.4 ตำมลำดบั โดยกำรสัมผัสผู้ป่วยโดยตรงหรอื ยงุ่ เก่ียวกับผู้ป่วยสุกใส คือ กิจกรรมทำงกำรพยำบำล เช่น กำรวัดสัญญำณชีพ กำรเจำะเลือด กำรทำแผล กำรเช็ดตัว กำร ให้สำรํน้ำ บุคลำกรที่สัมผัสผู้ป่วยเคยเป็นโรคสุกใสหรืองูสวัด ร้อยละ 47.4 สว่ นใหญ่ไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคสุกใส ร้อยละ 60.8 บุคลำกร ไม่เคยตรวจภูมิ ร้อยละ 74.2 ผลกำรคัดกรองบุคลำกรจำนวน 97 คน เข้ำเกณฑ์ Contract Case (หมำยถงึ บุคลำกรผสู้ ัมผัสเชือสกุ ใส โดย 1) สัมผัสผู้ป่วย หรือสมั ผสั สง่ิ ของของผู้ป่วย 2) อยู่ในหอ้ ง เดยี วกนั กับผู้ปว่ ยนำน 1 ชั่วโมงขนึ ไป) บคุ ลำกรที่เสี่ยงสงู ตอ่ กำร เปน็ Severe Varicella (คือบุคลำกรผสู้ มั ผสั เชอื สกุ ใสทม่ี ีควำมเสย่ี งสูง ตอ่ กำรเปน็ โรคไข้สุกใสชนดิ รุนแรง ได้แก่ 1) บคุ ลำกรทมี่ ีภูมิคุ้มกนั บกพร่อง ได้แก่ มะเร็งเม็ดเลอื ดขำว มะเร็งต่อมนำเหลือง กำลังไดร้ ับ ยำกดภูมิคุ้มกัน เช่น Systemic steroids เคมีบำบัด โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องอื่นๆ 2) กำลังตังครรภ์ มีจำนวน 36 คน คิดเป็นร้อยละ 37.1 ส่งเจำะเลือด VZIG/IVIG พบมีภูมิจำนวน 11 รำย คิดเป็นร้อยละ 11.3 ไม่มำตรวจภูมิ 14 รำย คิดเป็นร้อยละ 14.4 บุคลำกรที่ สัมผสั ภำยใน 5 วันไดร้ บั กำรฉดี วคั ซนี โรคไข้สกุ ใส จำนวน 5 รำย ผลกำรเฝ้ำระวงั อำกำรไข้ ผ่ืน หลงั สัมผัส 21 วนั ทกุ กลุ่ม ทีส่ ัมผสั ไมม่ ี อำกำรผดิ ปกติ การนาผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์: ผลกำรควบคุมโรคและเฝ้ำระวังกำรเกิดโรคไข้สุกใสในบุคลำกร โรงพยำบำลอุดรธำนี ในครังนี สำมำรถประยกุ ต์นำไปใช้ในกำรควบคมุ และเฝ้ำระวงั โรคตดิ เชอื อ่ืนๆ ในบุคลำกรโรงพยำบำลต่อไปได้ 8 ธันวำคม 2563 ณ โรงแรมสนุ ยี ์แกรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
ORAL : หอ้ งปทุมมาศ O_G2_No6 โรคจากการประกอบอาชีพและสง่ิ แวดล้อม /โรคไม่ตดิ ต่อ บทเรียนท่ีได้รับ : บุคลำกรท่ีปฏิบัตงิ ำนในโรงพยำบำลมคี วำมเส่ียงต่อกำรติดเชือโรคไขส้ ุกใสขณะปฏิบัตงิ ำนและ แพรก่ ระจำยเชอื กำร จัดหำวคั ซนี รวมถึงกำรคัดกรองบุคลำกรกลุ่มเสีย่ งเพื่อสร้ำงเสริมภูมิคุ้มกันจะชว่ ยให้ลดกำรเจ็บป่วย ของบุคลำกรและกำรแพร่กระจำย เชอื และบุคลำกรใหม่ทุกรำยทีป่ ฏิบัตงิ ำนในหอผู้ป่วยควรได้รบั กำรตรวจหำภูมิคุ้มกัน โรคไข้สุกใส กำรควบคุมโรคขันต้น และเฝ้ำระวัง กำรเกิดโรคไข้สุกใสในบุคลำกร ซึ่งกำรเฝ้ำระวงั กำรเกิดโรคไข้สุกใสใส บคุ ลำกรผู้สัมผัสเชือ บุคลำกรทุกคนท่สี ัมผัสผู้ป่วยตอ้ งได้รับกำร ติดตำมอำกำรไข้ ผนื่ ผิวหนังทุกวัน จนถึงวันที่ 21 หลัง กำรสัมผัสครังสดุ ท้ำย หำกมอี ำกำรต้องรบี รำยงำนหวั หน้ำงำนทันที และให้รีบ หยุดงำน ปัจจัยแห่งความสาเร็จ : กำรกำหนดแนวทำงกำรดูแลบุคลำกรผู้ปฏิบัติงำนท่ีชัดเจน ได้แก่ แยกผู้ป่วย ใช้ห้อง Negative pressure ผู้ปฏิบัติงำนใช้หลัก Universal precaution ใส่อุปกรณ์ป้องกนั อันตรำยส่วนบุคคล ทุกครังท่ีสัมผัสผู้ป่วย ล้ำงมือ อย่ำงถูกต้องทุกครัง หลงั สมั ผสั ผูป้ ว่ ย จดั ระบบกำรดูแลผปู้ ว่ ยโดยให้บุคลำกรที่เคยเป็นสุกใส หรือเคยฉดี วคั ซีนป้องกนั โรค สุกใสครบ 2 เขม็ เป็นผดู้ ูแลผู้ป่วย ฉดี วัคซีนปอ้ งกนั โรคสกุ ใสหำกไม่มขี ้อห้ำมในกำรฉดี เมอื่ มกี ำรสัมผัสให้ปฏิบตั ิตำม แนวทำงปอ้ งกนั หลังสัมผสั เชอื บคุ ลำกรทม่ี ภี ูมคิ ุ้มกัน บกพร่อง หรอื ตงั ครรภ์ ต้องงดกำรสัมผัสผู้ป่วยเด็ดขำดจนกว่ำจะครบ 21 วนั หลังจำกมผี ู้ปว่ ยคนสุดท้ำย ตดิ ตำมอำกำรข้ำงเคียงหลงั ฉีด วัคซีน เฝำ้ ระวงั ภำยหลังกำรสมั ผสั ต่อเนื่อง 21 วนั ผล กำรตดิ ตำมไมม่ ีบุคลำกรป่วยหลงั กำรสัมผัส การสนับสนุนท่ีได้รบั : ไดร้ บั กำรสนับสนนุ จำกผู้บริหำร หัวหน้ำกลมุ่ งำนอำชีวเวชกรรม บุคลำกรกลุม่ งำนอำชีวเวชกรรม หน่วยงำน IC กล่มุ งำนเภสชั กรรม กลมุ่ งำนกำรพยำบำล รวมทังบคุ ลำกรกล่มุ เสย่ี ง 8 ธนั วำคม 2563 ณ โรงแรมสุนียแ์ กรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
ORAL : ห้องปทุมมาศ O_G2_No7 โรคจากการประกอบอาชีพและสิง่ แวดล้อม /โรคไมต่ ิดต่อ ผลของโปรแกรมการจัดการตนเองตอ่ พฤติกรรมสขุ ภาพและระดบั ฮโี มโกบิลเอวนั ซี ในผ้ปู ่วย เบาหวานชนิดท่ี 2 อุษณยี ์ รำมฤทธิ์ พย.ม. ศรณั ยพ์ ร เหมวงค์ โภชนำกร โรงพยำบำลเรณนู คร จังหวดั นครพนม หลกั การและวัตถปุ ระสงค์ : โรคเบำหวำนเปน็ โรคท่ีส่งผลให้ผู้ป่วยมรี ะดบั นำตำลในเลือดสูงมำกกวำ่ ปกติ หำกไม่ สำมำรถควบคุมระดับ นำตำลในเลือดได้ จะส่งผลต่อเส้นเลอื ดจนนำไปสู่ภำวะแทรกซ้อนต่ำงๆ เชน่ เบำหวำนขึนตำ ไตเรือรัง โรคหัวใจและหลอดเลอื ดสมอง เป็นต้น ดังนันกำรควบคุมระดับนำตำลสะสมเฉลี่ย (HbA1C) จะช่วย ชะลอควำมเส่ือมของหลอดเลือดในผู้ป่วยเบำหวำนได้ จำกกำร ดำเนินงำนที่ผ่ำนมำ รพ.เรณูนคร มีผู้ป่วยเบำหวำนท่ี ควบคุมระดับนำตำลในเลือดได้ดี (HbAICK 7%) ปี 2560-2562 ร้อยละ 8.69, 7.42 และ 7.64 ตำมลำดับ ซึ่งมี แนวโน้มลดลง ศนู ยป์ รับเปลีย่ นพฤตกิ รรมสขุ ภำพจงึ พัฒนำโปรแกรมกำรดแู ลผ้ปู ว่ ยเบำหวำนขึนโดยใช้ แนวคดิ กำร จัดกำรตนเองซ่ึงเปำ้ หมำยสำคัญคอื ปอ้ งกันผลกระทบและภำวะแทรกซ้อนในระยะยำว สง่ เสรมิ และสนับสนนุ ให้ ผปู้ ว่ ยเกิด ควำมตังใจในกำรปรับเปลย่ี นพฤตกิ รรม โดยเน้นกำรให้ควำมรู้และกจิ กรรมเสรมิ ทักษะในกำรจดั กำร ตนเองท่ีเหมำะสม กำรศึกษำครังนี มีวตั ถุประสงค์เพ่ือศึกษำผลของโปรแกรมกำรจดั กำรตนเองตอ่ พฤตกิ รรมสุขภำพ และระดับฮีโมโกบลิ เอวนั ซี ในผู้ป่วยเบำหวำนชนดิ ท่ี 2 โรงพยำบำลเรณนู คร จังหวัดนครพนม วธิ ีการศกึ ษา : กลุ่มตัวอย่ำงเป็นผู้ปว่ ยเบำหวำนชนิดท่ี 2 จำนวน 57 คน เลือกกล่มุ ตัวอยำ่ งแบบเจำะจง (purposive Sampling) ตำม เกณฑ์ที่กำหนด เครื่องมือในกำรศึกษำ ได้แก่ โปรแกรมกำรจัดกำรตนเองระยะเวลำ 12 สัปดำห์ สัปดำห์ท่ี 1, 4, 8 และ 12 กิจกรรม แบ่งเป็น 2 รุ่น ประกอบด้วย สัปดำห์ที่ 1) ทบทวนพฤติกรรมสุขภำพด้ำนอำหำร ออกกำลงั กำย และกำรใช้ยำ 2) เรียนรู้ “ฮโี มโกบิลเอ วันซีนันสำคัญไฉน” 3) กินหวำนแค่ไหนใหพ้ อดี 4) สรุป บทเรียนและตังเปำ้ หมำยดูแลตนเอง สัปดำหท์ ี่ 4 กระตนุ้ เตือนพฤติกรรมด้ำน อำหำร ออกกำลงั กำยและกำรใชย้ ำ สัปดำห์ท่ี 3 กระตนุ้ เตอื นทำงโทรศัพท์ สัปดำห์ที่ 12 ประเมนิ พฤติกรรมสุขภำพ สรุปบทเรียนและ ตรวจระดบั ฮโี มโกบิลเอวันซี วิเครำะหข์ ้อมูลโดยใช้ ร้อยละ ค่ำเฉลี่ย และสถิติ Paired t-test ดำเนินกำรในชว่ งวันที่ 1 ตุลำคม 2562 - 30 มนี ำคม 2563 รวมระยะเวลำ 6 เดือน ผลการศึกษา : พบวำ่ กลุ่มตัวอย่ำงส่วนใหญเ่ ปน็ เพศหญงิ จำนวน 30 คน ร้อยละ 52.6 เพศชำยจำนวน 27 คน ร้อยละ 47.4 อำยุ 70 ปี ขึนไปมำกท่ีสุด ร้อยละ 35.1 หลงั เข้ำร่วมโปรแกรม 12 สปั ดำห์ มีกำรเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมใน กำรบริโภคอำหำร กำรออกกำลัง กำยและกำรใช้ยำอย่ำงมีนยั สำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 ส่วนระดับฮีโมโกบิลเอวันซี ไม่มีควำมแตกต่ำงกันทำงสถิติ แต่มีค่ำเฉล่ียลดลง จำก 7.5 เปน็ 7.3% สรุป : กลุ่มตวั อย่ำงมีกำรเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในกำรบริโภคอำหำร กำรออกกำลังกำยและกำรใช้ยำมนี ัยสำคัญ ทำงสถติ ิท่ีระดับ .05 แสดงใหเ้ ห็นวำ่ กจิ กรรมท่ีจดั ขึน สำมำรถนำไปปฏบิ ัตไิ ดจ้ รงิ สง่ ผลให้ผ้ปู ว่ ยเบำหวำนเกดิ กำร เรียนรูแ้ ละพฒั นำทกั ษะในกำรดแู ลตนเองที่ เหมำะสม มีชอ่ งทำงในกำรแลกเปลี่ยนเรยี นรูท้ ี่ชดั เจนเขำ้ ถงึ ไดง้ ่ำย คาสาคัญ : ผู้ป่วยเบำหวำนชนดิ ท่ี 2,ฮีโมโกบิลเอวันซี 8 ธนั วำคม 2563 ณ โรงแรมสุนยี ์แกรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
ประเภทนาเสนอด้วยวาจา (Oral presentation) บทคดั ย่อ บทคดั ยอ่ ผลงำนวชิ ำกำร นำนำชำต(ิ ภำษำองั กฤษ) (สถำนท่ี : ห้องปทมุ ทิพย์) 8 ธนั วำคม 2563 ณ โรงแรมสุนียแ์ กรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
ORAL : ห้องปทุมทิพย์ O_G3_No1 ผลงานวิชาการนานาชาต(ิ ภาษาองั กฤษ) Factor Related to Success of the Survillance and Rapid Response Team Sub-district level Surin Province 2019 Suwannee Sirisatapakdee : Surin Provincial Health Office Kanyarat Sakaew : The Office of Disease Prevention and Control 9th Nakhon Ratchasima The purpose of this research is to study about factors that are contributed to the successfulness of Surveillance and Rapid Response Team (abbreviated as SRRT) in subdistrict level, Surin Province with an additional intent of finding a solution to improve the efficiency of SRRT's ability to control diseases and epidemics to match the subdistrict standard. This is a descriptive, cross-sectional research with a specific area of research. The sampled demographic were core members of SRRT from each subdistrict, in a total of 65 members. The study has been resulted that the most valued factor that contributes to SRRT successfulness was the contribution and collaboration from the citizens on controlling an epidemic, followed by the organized network of multi -vocational team and resource supports from provisional organizations. The result has been examined further by separating variable method, utilizing Chi-Square distribution and Fisher's Exact Test. It has been founded that the contribution and collaboration from the citizens on controlling an epidemic, the organized network of multi-vocational team and resource supports from provisional organizations contributes to the successfulness rate has the statistically significance of [p = 0.05). Furthermore, the mentioned factors have been calculated for the scale of faultiness by crude odds ratio. The result has proven that the probability of the resource supported SRRT operation successfulness rate is more well-received 3.36 times than the unsupported SRRT operation with 95% of Cl being between 1.02-11.67. In addition, the received support has been shown to correlate with the successfulness rate at the significant of [p = 0.025]. Therefore, development and improvement must be made of SRRT in terms of communication with supportive organizations to increase efficiency and the probability of successfulness. Keyword : Surveillance and Rapid Response Team 8 ธันวำคม 2563 ณ โรงแรมสุนีย์แกรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
ORAL : หอ้ งปทุมทิพย์ O_G3_No2 ผลงานวชิ าการนานาชาติ(ภาษาอังกฤษ) A survey of health literacy in sexually transmitted disease in vocational schools in health region 7, Thailand Suwattana Onprasonk M.P.H.(Biostatistic), Kanokporn Pinitluek M.P.H.(Health Education and Health Promotion), Rintham Charupash M.D. The Office of Disease Prevention and Control 7, Khon Kaen, Thailand Introduction and objective : The situation of Sexually Transmitted Diseases (STDs) is showing an increasing trend in Thailand, especially the 15-24 years old age-group, meaning improving the knowledge and awareness of people in this age group regarding STD risk factors and prevention methods is crucial. To date, there have been many studies of students' knowledge, attitudes and behaviors regarding prevention of STDs / AIDS, but most of these only measure basic knowledge, and do not address preventive factors or activities. In the 7th World Health Promotion Conference, the WHO emphasized the importance of developing health literacy in the population, and defined this as the intellectual and social skills needed to develop healthy lifestyles and behaviors. People with low levels in health literacy were more likely to have risky behaviours, poor self-care, and health problems which led to increasing health-care costs. Therefore, we were interested to explore health literacy regarding prevention of STDs among vocational students in Health Region. This study was aimed at studying the level of health literacy, and the relationship between health literacy in prevention of STDs of vocational students in health region 7 and sexual experiences. Methods : A cross-sectional study was conducted using questionnaires. The questionnaires consisted of questions on health literacy and sexual experiences. The sample were collected 364 vocational students, in the health region7 by two stages cluster sampling. Data was analyzed with descriptive statistics and inferential statistics, to analyze the relationship between health literacy and sexual experiences. Results : Study participants comprised 364 vocational students, 220 (60.4%) male students, and 144 (39.6%) female students. Male students had sexual 47.3% at age of 15.8 years (S.D. = 1.7), 86.5% of them had first sexual with their girlfriends, 76.9% used condoms. While female students had sexual 39.6% at age of 15.7 years (S.D. = 1.3), 93.4% of them had first sexual with their boyfriends, 84.5% used condoms. Most students had a low health literacy level, 79.5% of male students and 62.5% of female students. There was significant relationship between sexual experience and health literacy in STDs prevention in male and female students (p< 0.05). Conclusion : This study found that health literacy in the prevention of sexually transmitted diseases was low among participants. Therefore, Education and Health care sector should be aware of the situation and jointly develop health education programs in the prevention of STDs for vocational students or teenagers. Keywords : Sexually Transmitted Diseases, Health literacy, Vocational students 8 ธนั วำคม 2563 ณ โรงแรมสุนีย์แกรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
ORAL : หอ้ งปทุมทิพย์ O_G3_No3 ผลงานวชิ าการนานาชาติ(ภาษาองั กฤษ) The Development of Health Literacy Intervention for Hepatitis B Virus Prevention. Thanom Namwong M.P.H. (Biostatistics) Khum-ngein Health Promoting Hospital, Yasothon, Thailand Background : Current, approximate 5% of people in Yasothon are infected with hepatitis B virus (HBV). The majority of these people living in the community and low-income family can be a barrier to accessing the health care system. This study aimed to developed and evaluated of health literacy promotion among people living whit HBV in the community. Methods : Action research study was performed for develop HLI. The HLI had 4-phase, 6 months, 1) 1th month, health literacy training, 2) 2 th month, first home visit, 3) 3th month, second home visit and 4) 6th month,conclusions and evaluation. The HLI program conducted by health officer in health promoting hospital. Home visitconducted by health officer and community health volunteer. After that trial and evaluate the HLI on participants who have living with HBV and close contact. The participants were divided in to two group were compared pre and post-test. The intervention group (n = 54) attended the HLI; while the control group (n = 51) did not. The research instruments were the HLI and home visit form. Data were analyzed by using frequency, percentage,means, standard deviation and Z-test. The research was conducted from October 2019 to March 2020. Results : The results demonstrated that intervention group had significantly better health behavior practices for HBV preventing more than control group. New HBV prevention, after receipted the HLI in the close contact of treatment group don't have who were HBsAg positive but HBsAg positive in control group were 5.9% which the difference was significant (p < 0.001). Chronic HBV prevention, in a person living with HBV of treatment group found that HBsAg positive were 5.6% and control group were 17.7 %. However, the difference was not significant (p 0.265). Satisfaction of the HLI of the participants found that were high level. The participants were fun and enjoyed that to joined the HLI. Conclusion and discussion : HBV infection was a serious health problem; it can affect to increase for cirrhosis and liver cancer in the future. The HLI help participants be able access to knowledge and decision making to health behavior change affect to HBV prevention. Defining and operationalizing HLL is critical to design and measure effective interventions, which must be adapted to patients' needs. However, suggest health worker take HLI to improv in risk group for other area and should take to solve the other health problem. Keywords : HBV, Health Literacy Interventions, Community 8 ธนั วำคม 2563 ณ โรงแรมสนุ ียแ์ กรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
ORAL : หอ้ งปทุมทิพย์ O_G3_No4 ผลงานวชิ าการนานาชาติ(ภาษาองั กฤษ) Transborder migrant screening process the strengthening for disease prevention and Control at temporary checkpoints at Tambon Song Khon, Phodi Sai district, Ubon Ratchathani Pimontipa Malahom, MSc., Panumwan Swangkaew (Bsc of Nursing), Pirat Chanthapan (MSc.), Precha Wichai (BPH.) Santi Pheng thong (M.P.H), Suwat Pimpabuth (BSc.), Thatsawaskorn Salet (BSc.of Nursing), Werapan Seasat (Ph.D of Regional Development Strategies) Rationale: Ubon Ratchathani province is 261 kilometer boarded with 2 countries: Lao (PDR) and Cambodia. Along the border line, there are 1 ground crossing international immigration point, 17 temporary border checkpoints, and 76 natural border paths. A number of labor migration move into Thailand to work both legally and illegally; many of them access to public health services in Ubon Ratchathani. 20 percent of them have got screened at the disease screen points, the temporary checkpoints in particular. The province is interesting in strengthening labor migrant screening process the for prevention and control disease at temporary checkpoints in Tambon Song Khon, Phodi Sai district, Ubon Ratchathani. Objectives : To develop the screening process strengthening of labor migrant for disease prevention and control at temporary checkpoints. Methodology: It was an action research with stakeholder were public health staffs, community leaders, and community volunteers in Tambon Song Khon. Phrase 1 duration was between October, 1st, 2019-September, 30\"h, 2020. Results : The results revealed strengthening process for labor migrant checkpoints for screening and control at the temporary checkpoint in Tambon Song Khon was depending on the participation among community, government organizations, community leaders and volunteers. These partners designed a system to screen labor migrant from neighbor countries by defining roles and duties of all in figure form which was easy understanding to pilot and operate in the same directions with documentation and report systems. Also, community could analyze needs independently that they could implement until getting more strength with volunteers to screen and control at the temporary checkpoints. When finding cases, they could refer the cases to the Health Promotion Hospital, Tambon Songkhon, and PhoSai Hospital, respectively. Suggestions : Strengthening process needs government organization supports as facilitators to support budgets, equipment/supplies for screening, techniques, academy, including lesson learnt with coordination among the network partners of security, governors, community leaders, and volunteers. Key words : Trans-border, migrant, strengthening, screening, prevention, control, checkpoint 8 ธันวำคม 2563 ณ โรงแรมสุนีย์แกรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
ORAL : ห้องปทุมทิพย์ O_G3_No5 ผลงานวิชาการนานาชาติ(ภาษาอังกฤษ) Health Literacy and Health Behavior Evaluation of Coronavirus 2019 in Chronic Disease Patients (Diabetes and Hypertension) in Khon Kaen Province. Rintham Charupash, MD. Nongnut Surattanawadee, M.P.H Viparorn Tonphukhiaw, M.Sc. (Entomology) Natchanok Phansura, B.P.H Nathada Suanphai, B.Sc (Public health) Orathai Preedee, B.N.S. Office of Disease Prevention and control, Khonkaen 7 Background : Nowadays, the Coronavirus pandemic is likely to intensify in the near future. Patients with chronic diseases such as diabetes and hypertension, which has a high prevalence rate in the area, are susceptible and prone to be fatally affected when they contract the disease. Therefore, we conducted this study to acknowledge the diabetes and hypertension patients' health literacy levels as well as health behaviors of Coronavirus 2019. Furthermore, the study's results could be applied for further studies and for planning health care programs. Methods : This study was a survey research. A population study was diabetes and hypertension patients who reside in KhonKean Province. A sample size was 620 cases which calculated with design effect of 2 and multi-stage cluster random sampling was used. Probability Proportion to Size was applied to allocate representative numbers of patients in health promoting hospitals in each subdistrict, which were as followed Phon Phak, Nam Phong, Hin Tang, Chot Nong Kae, Non Hun, Nong Kung Soen and Kud Nam Sai. The study's tools were questionnaires. Quality testing were content validity (Index of item objective congruence was over 0.5 in every questions) and reliability coefficient (Cronbach's alpha Coefficient) was 0.94. The data were collected during June to August 2020. Analysing data by descriptive statistics, which included means, standard deviation, frequency and percentage. Results : General data was as followed; 21 percent was diabetic patients, 38.2 percent was hypertension patients and 40.8 percent was both diabetes and hypertension patients; 73.4 percent was female. The averaged ages was 62.98 (SD=10.22). 72.7 percent of the participants was married and 84.7 percent finished elementary schools. 65.8 percent work in agricultural sectors, average income was 36,190.87 bath/year (S.D.= 42,920.46). Overall health literacy's result was in very high level (59.5 percent). Results of some skills' level were high, such as Decision skill (75.3 percent), self management skill (70.0 percent), media literacy skill (68.1 percent) and communication skill (55.6 percent). However, access skill's level was poor (56.5 percent) as well as cognitive skill's level was fair (52.4 percent). Also, overall results of level in health behavior of Coronavirus 2019 was high (99.5 percent). Suggestions : There were some elements of Health literacy skills' level among chronic disease patients (Diabetes and hypertension) was low such as access skill and cognitive skill. Healthcare personnel could design the patients' health care programmes which could be suitable to the levels of some lacking skills as well as initiate further studies which might include more factors associated with the skill's levels of health literacy in this study. Keywords : Health literacy, Health behavior in prevention of Coronavirus 2019 8 ธนั วำคม 2563 ณ โรงแรมสุนยี แ์ กรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
ORAL : หอ้ งปทุมทิพย์ O_G3_No6 ผลงานวิชาการนานาชาติ(ภาษาอังกฤษ) Ubon Ratchathani-Champasack-Salavanh-Savannakert, the challenges of triple border health arrangement on disease prevention and control Pimontipa Malahom, (MSc.), Panumwan Swangkaew (Bsc of Nursing), Pirat Chanthapan (M.P.H), Precha Wichai (BPH.) Santi Pheng thong (M.P.H), Suwat Pimpabuth (BSc. of Public Health), Thatsawaskorn Salet (BSc. of Nursing), Weerapan Suesat (Ph.D of Regional Development of Strategies) Objective : To develop a model of border health arrangement on migrant workers among Ubon Ratchathani Province and neighboring countries between; Savannakhet, Salavan and Champasack districts. Method : By employing Participatory Action Research (PAR) of this study, the target population were Executives, Administrative Practitioners as well as Security and Public Health staff at parallel cities along Thai-Laos borders, including Song Khon city, Khemmarat district, Savannakhet province; La Khon Pheng city, Natal and Phosai districts, Salavan province; Chanasomboon city, Khong Chaim district, Champasack province; Phonthong city, Sirindhron district, Champasack province; and Sukuma city, Buntharik district, Champasack province. The study of the first phase was from 1 October 2019 to 30 September 2020. Results : The research which had been conducted within the areas of parallel cities among Ubon Ratchathani Province as well as Savannakhet, Salavan and Champasack districts found that there were the Preparing and Planning stage by 1) survey, examining the area and a clarification on the participatory action research's methodology with public health administrators at the provincial, district, and parallel city levels and 2) review in the international health implementation in order to identify gaps and obstacles for preparing cooperative guideline under IHR 2005, together with enhancing the stability of facilitating the accessibility to public health serve at the local level. Action Stage by 1) the establishment of MOA at local level between sheriff and district governor. 2) The establishment of the coordination in public health of parallel cities and of agreement to share information. 3) A report of communicable disease surveillance system between parallel cities 4) The collaborative development on the potential of health care personnels about communicable disease surveillance and buddy health volunteers at local level of parallel cities and 5) The establishment of implemented guideline or SOP for international check point, Permanent border Crossing, and point of relief by the collaboration between sheriff, the administrative team from community hospital, District Health Office, Tambon Health Promoting Hospital, Local Government Organization, and community leaders. The Stage of Observe and Reflection will be proceeding in the Second phase of the project. Recommendations: The implementation of this process must drive self-managed involvement that will lead to the construction of sustainable practices. Under the budget support in the solution of the problem in accordance with the context of the areas, it should be eventually created sustainable border health management in the future. Key words : challenges, arrangement, PAR, IHR 2005, self-managed involvement, sustainable 8 ธนั วำคม 2563 ณ โรงแรมสนุ ยี แ์ กรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
ORAL : หอ้ งปทุมทิพย์ O_G3_No7 ผลงานวชิ าการนานาชาต(ิ ภาษาองั กฤษ) An investigation on the first case of coronavirus disease 2019, Buri Ram Province: limitation for transmission control Samorn Numpong, M.P.H. (Public Health) Manit Kongpaen, M.D. in Field Epidemiology Training Program Chalermporn Devahasatin Na Ayutthaya, M.S. (Health Education) Sawitree Nuramrum, M.S. (Medical Science) The Office of Disease Prevention and Control 9 Nakhon Ratchasima Province Background : On March 19, 2020, the first confirmed coronavirus disease 2019 (COVID-19) case from Buri Ram Province was reported by the Situation Awareness Team (SAT) of the Office of Disease Prevention and Control 9, Nakhon Ratchasima Province. Hence, the Joint Investigation Team (JIT) investigated the case. The objective of the investigation was to describe and implement the control of SAR-CoV-2 transmission. Methods : Individual case investigation was conducted. Novel corona forms were used for collecting data on March 20, 2020, at Buri Ram Hospital. Also, contact tracing was done to identify close contact cases in responsibility areas of health region 9. The definition of close contact was the persons that stayed within 6 feet of an infected person for a total of 15 minutes or more of laboratory-confirmed or probable COVID-19 cases. Results : The patient was a British male, age 30 years, married to a Thai woman, and lived in Hin Lat Sub-District, Baan Kruat District, Buri Ram Province. The case reported that departed from Thailand to visit Los Angeles and San Francisco, United States of America (USA) from February 26, 2020, to March 16, 2020. Afterward, the patient was back in Thailand and arrived at Suvarnabhumi airport on March 16, 2020, by Japan airline, flight number JL033, seat number 47K, then visited Pattaya city and stayed at the hotel for 2 nights. The symptoms occurring when staying in the USA on March 10, 2020, included cough, runny nose, sore throat, muscle pain, and headache. The patient went to 2 private hospitals in Pattaya and Buri Ram for testing, but they declined to test due to the inability to test for SAR-CoV-2. Finally, this case got the test in Buri Ram Provincial Hospital. The result revealed that detected SARS-CoV-2 nucleic acid or antigen. Active case finding was conducted in the health region 9. About 9 cases were identified, comprised of 3 high-risk cases and 6 low-risk cases. Only 12 cases were identified in health region 6, Chon Buri Province. Passengers of the same flight, flight attendances, taxi driver, immigration police officers, public health officers at health control, room service person of the hotel, motorcycle driver, and convenience store employees were not identified. Discussion and Conclusion : Depended on limitation to identify all close contact due to the high burden of health care providers, and coordination between organizations not well. Moreover, the recall bias of interviews might lose other details. We recommendation to decrease the chance to expose the virus that causes COVID-19. Social distancing, preventive actions such as washing your hands, wearing masks, and protect high-risk populations were strongly recommended. Keywords : Limitation, Investigation, Coronavirus disease 2019 8 ธนั วำคม 2563 ณ โรงแรมสนุ ยี แ์ กรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
ประเภทนาเสนอด้วยวาจา (Oral presentation) บทคัดยอ่ บทคดั ยอ่ ผลงำนวิชำกำร ดำ้ นระบำดวทิ ยำ (สถำนที่ : หอ้ งปทมุ วนั ) 8 ธนั วำคม 2563 ณ โรงแรมสุนียแ์ กรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
ORAL : หอ้ งปทุมวัน O_G4_No1 ผลงานวิชาการด้านระบาดวิทยา การสอบสวนการระบาดของโรคตดิ เช้ือไวรสั โคโรนา 2019 (COVID-19) หมู่ 7 และหมู่ 12 ตาบล หนองตะครอง อาเภอละหานทราย จังหวัดบุรีรมั ย์ ระหว่างวันที่ 8 มนี าคม - 25 เมษายน 2563 บุญมี โตดประโคน / โสมนัส โกยสวัสด*ิ์ / บุญเชดิ อินพลทัน** / ฉฏั ฐพร เหมอื นวำจำจฬุ ำ*** ลักษณ์ สำยสุด*** / วรยศ ดำรำสวำ่ ง*** และคณะ *โรงพยำบำลกระสงั /**โรงพยำบำลละหำนทรำย /* **สำนกั งำนสำธำรณสขุ อำเภอละหำนทรำย****สำนกั งำนสำธำรณสุขจงั หวดั บรุ ีรัมย์/** ***โรงพยำบำลบุรรี ัมย์ ความเป็นมา : ประเทศจีนมีกำรรำยงำน พบผู้ป่วยโรคปอดอักเสบท่ีไม่รู้สำเหตุในเมืองอู่ฮั่นเพ่ิมขึนเป็นลำดับ ต่อมำได้มี กำรรำยงำน เป็นทำงกำรเมื่อ 3 มกรำคม 2563 ว่ำมีสำเหตุจำกไวรัสโคโรนำสำยพันธุ์ใหม่ 2019 พบกำรแพร่เชือจำกคนสู่ คนได้ และมีกำรแพร่ ระบำดไปทั่วโลก ในขณะท่ีสถำนกำรณ์ในประเทศไทย ข้อมูล ณ วันที่ 26 มีนำคม 2563 พบผู้ป่วย ยืนยัน จำนวน 1,045 รำย และ เสียชีวิต 4 รำย ในเวลำต่อมำ เมื่อวันที่ 27 มนี ำคม 2553 เวลำ 08.00 น. ทีม SAT สำนักงำนสำธำรณสุขจังหวัดบุรีรัมย์ ได้รับรำยงำน จำกโรงพยำบำลละหำนทรำย วำ่ พบผูป้ ่วยยืนยนั ดว้ ยโรคตดิ เชือไวรัสโคโรนำ 2019 จำนวน 1 รำย ผปู้ ่วยเป็นเพศหญิง อำยุ 24 ปี อำศยั อยู่ หมู่ 7 ตำบลหนองตะครอง ผู้ป่วยเริ่มมีอำกำรไข้ เจบ็ คอ มีนำมูก เม่ือวันท่ี 22 มนี ำคม 2563 ทีมสอบสวนโรค จึงไดร้ ่วมดำเนนิ กำร สอบสวนโรค เพ่ือยนื ยนั กำรวินจิ ฉัย และยืนยัน กำรระบำดของโรค อธิบำยขนำดปญั หำ กำรกระจำยของโรคตำมบุคคล เวลำ สถำนที่ ค้นหำปัจจยั เส่ยี งตอ่ กำรเกดิ โรค แหลง่ รงั โรค ชอ่ งทำงกำรแพร่โรค และประเมินมำตรกำรควบคุมโรคในพืนท่ี วิธีการศึกษา : ใช้วิธีกำรศึกษำระบำดวิทยำเชิงพรรณนำ กำรศึกษำเชิงวิเครำะห์ ศึกษำข้อมูลแบบ Pretest-Posttest Design กลุ่ม ตัวอย่ำงประชำชนในพืนท่ี 2 หมู่บ้ำน สอบถำมควำมรู้ ทัศนคติ สถิติทใ่ี ช้ ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ต่ำสุด สูงสดุ และ อัตรำ โดยทดสอบ สมมติฐำนของกล่มุ ตวั อย่ำง 2 กลุ่มท่ีสัมพันธก์ ัน ดว้ ย Paired Samples t-test ท่ี p-value<0.05 ผลการสอบสวน : พบผูป้ ่วยยืนยันจำนวน 2 รำย จำกผลตรวจยืนยันทำงหอ้ งปฏิบตั ิกำร กำรศึกษำด้ำนขนำดปัญหำและ กำรกระจำย ของโรคตำมบคุ คล เวลำ สถำนที่ พบวำ่ กอ่ นเรมิ่ ปว่ ย 14 วัน ผปู้ ่วย Index Case ทำงำนท่สี ถำนบันเทงิ แหง่ หนึ่ง จังหวัดกรุงเทพมหำนคร ต่อมำสถำนบันเทงิ ปิดใหบ้ รกิ ำร ผูป้ ว่ ยจึงได้เดนิ ทำงกลบั บำ้ นเกิด บ้ำนตะครอง ในวันท่ี 19 มนี ำคม 2563 มกี ำรสัมผัส และรว่ มกิจกรรม กับบุคคลอ่ืนจำนวนมำกทังในกลุ่มผู้ที่เดินทำงมำด้วยกันในยำนพำหนะ กลมุ่ ผู้สัมผัสร่วม บ้ำน กลุ่มผสู้ ัมผัสในชุมชน และกลุ่มบุคลำกร ทำงกำรแพทย์ ทำให้พบกลุ่มเสี่ยงผูป้ ่วยสงสยั ) จำนวน 39 รำย เป็นกลุ่มเสี่ยงสูง 21 รำย กลมุ่ เส่ียงํตำ่ 18 รำย กำรติดตำมกล่มุ ผู้สัมผัส เส่ียงสงู จำนวน 21 รำย ไดร้ ับกำรเก็บตัวอยำ่ งส่งตรวจทัง 21 รำย และ ผลตรวจพบเชือไวรสั SARS-CoV-2 จำนวน 1 รำย และมกี ำร ติดตำมคัดกรองเฝ้ำระวังอำกำรประชำชนในพืนที่ จำนวน 613 รำย เป็นเวลำ 14 วัน รวมทังมีกำรประเมินควำมรู้ ทัศนคติ ในช่วง มำตรกำรส่งั ปิดหม่บู ้ำนเป็นเวลำ 14 วนั พบว่ำ ภำยหลงั กำรใหค้ วำมรู้ ประชำชนมีควำมรู้ เรอื่ งโรค มำกกวำ่ ก่อนกำรใหค้ วำมรู้ แตกตำ่ ง อย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ 0.05 (t = 32.744 ,p-value <0.001) และมีทัศนคติในกำรใช้ชีวิตประจำวันในช่วงกำรกักกันตัว 14 วนั มำกกวำ่ กอ่ นกำรดำเนนิ กำร แตกตำ่ งอยำ่ งมีนัยสำคญั ทำงสถิติทีร่ ะดบั 0.05 (t= 23.411 ,p-value <0.001) สรปุ วจิ ารณ์และขอ้ เสนอแนะ : สรปุ ผลกำรสอบสวน ปัจจัยเส่ียงตอ่ กำรเกิดโรค แหล่งรังโรค ช่องทำงกำรแพร่โรค สันนิ ฐำนวำ่ ผู้ปว่ ย Index Case ได้รับเชือจำกเพื่อนสนิทรุ่นพ่ี ที่มีผลตรวจยืนยันอีก 1 รำย มีประวัติสังสรรค์กันในห้องพัก และดื่ม เครื่องด่ืมจำกแก้ว เดียวกัน และในขณะที่ผู้ป่วย Index Case ได้เดินทำงกลับมำท่ีบ้ำนผู้ป่วยได้มีกำรสัมผัสและร่วมกิจกรรมกับ บุคคลอื่นจำนวนมำก ดงั นนั หน่วยงำนสำธำรณสุขทกุ แหง่ ควรมีกำรเนน้ ํยำ้ ให้ประชำชนในพนื ที่ เวน้ ระยะหำ่ งระหวำ่ งบคุ คล กรณีจำเป็นต้องพบปะผอู้ นื่ ให้ใช้ หน้ำกำกอนำมัยหรือหน้ำกำกผ้ำและรักษำระยะหำ่ งไม่น้อย กว่ำ 1-2 เมตร ประชำชนที่ เดินทำงมำจำกพืนที่เสยี่ ง ใหแ้ จ้งประวัติเสี่ยง และเฝ้ำระวงั อำกำรตนเองทกุ วนั และหำกมอี ำกำรปว่ ยตำมเกณฑน์ ยิ ำมของ โรคใหร้ ีบรำยงำนเจำ้ หน้ำท่ีสำธำรณสขุ ในพืนท่ีโดยเรว็ และ ควรมีกำรเน้นยำกลมุ่ ท่เี ดนิ ทำงมำจำกพนื ทีเ่ สย่ี ง หรอื กลมุ่ ท่ี เข้ำเกณฑต์ อ้ งกกั ตัว ห้ำมมกี ำรดำเนนิ กิจกรรมร่วมกับบคุ คลอ่นื คาสาคญั : กำรสอบสวนกำรระบำดโรคตดิ เชอื ไวรสั โคโรนำ 2019 (COVID-19) จังหวัดบุรีรมั ย์ 8 ธนั วำคม 2563 ณ โรงแรมสุนยี แ์ กรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
ORAL : ห้องปทุมวนั O_G4_No2 ผลงานวิชาการด้านระบาดวิทยา ปจั จยั ทส่ี ัมพนั ธ์กับการระบาดของโรคไขห้ วดั ใหญ่ในเรือนจาแหง่ หนงึ่ อาเภอเมือง จังหวัดยโสธร ระหว่างวันที่ 29 สิงหาคม – 15 กันยายน 2552 สมพร จนั ทรแ์ กว้ 1, ถนอม นำมวงศ์2 กลั ยพัทธ์ เตโช1 ,มะลณิ ี บุตรโท1 สำวติ รี ประทุมภำพ1, ณปภัทร จันทรคง4 ปยิ นชุ หำหลกั 4 แมน แสงภักด2ิ์ , สกุ ัญญำ คำพัฒน์2 จันทมิ ำพร ไชยดำ1 , ชลลดำ สรณอนศุ ำสน์2 พวงพร เสยี วทอง2 , ธีรภัทร์ นำมชำรี3 โรงพยำบำลยโสธร1, สำนักงำนสำธำรณสขุ จังหวดั ยโสธร2, หนว่ ยพยำบำลเรือนจำ3, PCU เมอื งยศ4 หลักการและวตั ถปุ ระสงค์ : โรคไข้หวดั ใหญย่ ังเปน็ ปญั หำสำธำรณสุขท่ีสำคญั ผ้ปู ว่ ยบำงรำยอำจมีอำกำรรุนแรงถึง แกช่ ีวติ กำรระบำด มักเกิดในสถำนท่ีท่ีมีคนแออัดโดยเฉพำะในเรือนจำ ต้องมีกำรเฝ้ำระวังอย่ำงใกล้ชิด กำรศึกษำนี สืบเน่ืองจำก เม่ือวันที่ 28 สิงหำคม 2562 โรงพยำบำลยโสธร ได้รับแจ้งจำกเรือนจำแห่งหนงึ่ พบผู้ต้องขังป่วยเป็น ไข้หวัดหลำยรำย ดังนัน ทมี เฝ้ำระวังสอบสวนเคลื่อนท่ี เร็ว (SRRT) โรงพยำบำลยโสธร จงึ ประสำนสำนักงำน สำธำรณสุขจงั หวัดยโสธร เพื่อออกสอบสวนโรคระหวำ่ งวันท่ี 29 สงิ หำคม - 15 กนั ยำยน 2562 มวี ัตถุประสงค์เพ่อื ศกึ ษำกำรเกิดกำรกระจำยของโรค หำสำเหตแุ ละปัจจัยเสยี่ งของกำรระบำดและให้ข้อเสนอแนะกำร ควบคุมป้องกัน โรค วิธีการศึกษา : เป็นกำรศึกษำระบำดวิทยำเชิงวิเครำะห์ โดยวิธี Retrospective Cohort Study วิเครำะห์ข้อมูลหำปัจจัย เสี่ยงด้วย Multiple Logistic Regression สัมภำษณ์และค้นหำผู้ป่วยตำมนิยำมที่กำหนดขึน ศึกษำส่ิงแวดล้อม และ ศึกษำทำงห้องปฏิบัติกำร ดว้ ยกำรทำ throat swab ผลการศกึ ษา : พบผปู้ ่วย 177 รำย อตั รำป่วย รอ้ ยละ 11.2 เป็นเพศชำย ร้อยละ 8.7 อำยเุ ฉลย่ี 33 ปี (SD 12.5) อำกำร ปว่ ย 5 อันดบั แรก คือ ไอ ร้อยละ 88.7 มีน้ำมกู ร้อยละ 85.9 ปวดศีรษะ รอ้ ย 84.7 มเี สมหะ ร้อยละ 82.5 และปวด กล้ำมเนือ ร้อยละ 71.8 ผลตรวจ ทำงห้องปฏิบัติกำรพบเชือไข้หวัดใหญ่ชนิด A(H3) 8 รำย ปัจจัยเสี่ยงของกำรระบำด ได้แก่ (1) ใช้แก้วนำร่วมกับผู้ป่วย (ORadj) 3.2,95%CI 1.9-5.4) (2) รับประทำนอำหำรรว่ มกับผปู้ ว่ ย (ORadj) 2.1, 95%CI 1.3-3.3) (3) นอนใกล้กับผ้ปู ่วย (ORadj 1.8, 95%CI 1.1- 2.9) และ (4) ทำกจิ กรรมร่วมกับผปู้ ว่ ย (ORadj 2.6, 95%CI 1.5-4.3) ส่วนปัจจัยป้องกนั คอื ซกั ผำ้ หม่ หรอื ท่ีนอนทุกสัปดำห์ (ORadj 0.5, 95%CI 0.3-0.7) กำรศึกษำด้ำน สิ่งแวดล้อมพบวำ่ ในช่วงที่เกิดโรคมีฝนตกชุก มำตรกำรท่ีดำเนินกำร ได้แก่ กำรจ่ำยยำต้ำนไวรัส แจก หน้ำกำก อนำมัย คัดแยกผู้ป่วยให้นอนห้องแยกงดกำรทำกิจกรรมร่วมกันแยกของใช้ส่วนตัวตรวจคัดกรองในตอนเช้ำ เท่ียง และก่อน เข้ำนอนทกุ วนั ใหส้ ุขศกึ ษำโรคไขห้ วัดใหญ่ เน้นกำรลำ้ งมอื บ่อยๆ ด้วยสบู่ สรปุ : กำรระบำดครงั นเี ป็นลักษณะแหล่งโรคแพรก่ ระจำยเปน็ กำรระบำดของโรคไข้หวัดใหญ่ท่ีเกดิ จำกเชอื ไวรัส ไขห้ วดั ใหญ่สำยพนั ธุ์ที่ พบได้ทั่วไปในท้องถน่ิ กำรอำศัยอยู่รว่ มกันอย่ำงแออัด อีกทงั ทำกิจวัตรประจำวนั รว่ มกัน ทำใหเ้ ชือโรคแพร่ระบำดไปอยำ่ งรวดเร็ว หลัง ดำเนนิ กำรควบคุมโรคผู้ปว่ ยลดลงอย่ำงรวดเร็ว ทงั นี เรือนจำควร กำหนดให้ผู้ตอ้ งขังมีกำรซกั หรอื ฝ่งั แดดผำ้ ห่มหรอื ที่นอนทุกๆ สัปดำห์ และมกี ำรคัดกรองโรคไข้หวดั ใหญ่ในกลมุ่ ผตู้ ้องขงั ทกุ ๆ วนั หำกป่วยให้คดั แยกทนั ที คาสาคญั : กำรสอบสวนกำรระบำด, ไข้หวดั ใหญ่, เรือนจำ 8 ธันวำคม 2563 ณ โรงแรมสุนียแ์ กรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
ORAL : หอ้ งปทุมวัน O_G4_No3 ผลงานวชิ าการด้านระบาดวิทยา โปรแกรมระบบข้อมูลและติดตามผลการสง่ ตรวจทางห้องปฏบิ ตั ิการสนบั สนุนงาน SAT&JIT สคร.9 นครราชสีมา (Situation Awareness Team & Joint Investigation Team Laboratory) สำยชล เพชรลำ, สม.(วิทยำกำรระบำด) อภิรตั น์ โสกำบัง, สค.ม. (สังคมศำสตร์กำรแพทยแ์ ละสำธำรณสขุ ) ประวทิ ย์ ลำยจันทกึ , วทบ. (วทิ ยำกำรคอมพวิ เตอร์) นันท์นภัส สุขใจ, สม. กำรพัฒนำสุขภำพชมุ ชน) สำนกั งำนป้องกนั ควบคมุ โรคท่ี 9 นครรำชสีมำ บทนา : สำนักงำนป้องกันควบคุมโรคท่ี 9 นครรำชสมี ำ กรมควบคุมโรค มภี ำรกิจสนบั สนนุ กำรส่งตรวจ ทำงห้องปฏบิ ัตกิ ำรเพอื่ ยืนยัน เชือก่อโรคเพื่อกำรสอบสวนและควบคุมกำรระบำดให้กับเครือข่ำยในเขตสุขภำพที่ 9 กำรดำเนินงำนที่ผ่ำนมำ พบว่ำ ไม่มีโปรแกรม บันทึกขอ้ มูลอยำ่ งครบวงจร เพอ่ื ให้สำมำรถตรวจสอบได้ทนั ที เม่อื มีกำรเรยี กเกบ็ คำ่ บรกิ ำรตรวจวิเครำะหย์ ้อนหลงั และยังใช้ประโยชน์ จำกผลกำรตรวจทำงห้องปฏิบตั ิกำร ในกำร ควบคุมโรคได้อย่ำงรวดเร็ว โดยมีวัตถุประสงค์ เพ่ือสรำ้ งโปรแกรมระบบข้อมูลบันทกึ และ ติดตำมผลกำรสง่ ตรวจ ทำงห้องปฏิบตั ิกำรเพื่อสนับสนุนงำน SAT & JIT ของสคร.9 เรง่ รัดกำรเบกิ จ่ำยงบประมำณ สำมำรถตรวจสอบ ข้อมูลย้อนหลงั ได้ ลดระยะเวลำกำรทำงำนและมีระบบประมวลผลข้อมลู ที่รวดเรว็ วิธีการศึกษา : ใช้รูปแบบกำรวิจัยและพัฒนำ กระบวนกำรคิดเชิงออกแบบ มี 5 ขันตอน 1) ทำควำมเข้ำใจ กลุ่มเป้ำหมำย 2) ระบุ ประเด็นปัญหำ 3) ระดมควำมคิด 4) สร้ำงต้นแบบ 5) ทดสอบกำรใช้งำน ตำมหลักกำรสร้ำง นวัตกรรม มีกำรทดลองใช้ ทบทวน ปรับปรุง และประเมินผลควำมพึงพอใจของผู้ใช้งำน ได้แก่ สมำชิกทีม SAT&JIT ผู้บริหำร และงำนกำรเงิน จำนวน 20 คน วิเครำะห์ ขอ้ มูลโดยใช้สถติ ิ คอื จำนวน และร้อยละ ผลการศึกษา : เป็นเว็บแอพพลิเคชั่น แบบ real time ใช้ได้กับทุก platform ไม่ซับซ้อน ง่ำยต่อกำรคีย์ เช่ือมกับสมำร์ท โฟนเพื่อ ถ่ำยภำพ อัพโหลดภำพ เก็บหลักฐำนในโปรแกรมได้ ค้นหำข้อมูลที่ต้องกำร ได้รวดเร็วและส่งออกไฟล์Microsoft Excel เพื่อนำไป วเิ ครำะห์ต่อได้ จำกกำรทดลองใช้งำนในปี 2563 ตรวจจับกำรเรียกเกบ็ เงินซำ เป็นเงิน 1,500 บำท ตรวจจับกำรลืมเรียกเก็บเงิน เป็น เงนิ 2,200 บำท จำกกำรประเมินโดยผ้ทู ี่เกีย่ วข้อง พบว่ำมีควำมพึงพอใจ ในภำพรวม ระดบั มำกถงึ มำกที่สุด รอ้ ยละ 95 และพอใจนอ้ ย ร้อยละ 5 โดยมีข้อเสนอแนะในประเดน็ ให้โปรแกรม ใช้ง่ำย สะดวก ขันตอน ไมซ่ ับซอ้ น จงึ ได้ปรับปรุง คือ จดั ทำคู่มือในกำรปฏบิ ัตงิ ำน เพ่ือให้ผู้ใช้งำนเข้ำใจง่ำยและให้ On the job training สำหรับผู้ปฏิบัติงำน เพ่ือพัฒนำศักยภำพในกำรใช้โปรแกรม สรุปและ ข้อเสนอแนะ : โปรแกรมท่ีสร้ำงขึนสำมำรถใช้เก็บรวบรวมข้อมูลกำรส่งตรวจทำงห้องปฏิบัติกำรได้ตำม วัตถุประสงค์ ช่วยให้ติดตำม สถำนะกำรส่งตรวจ สถำนะกำรจ่ำยค่ำตรวจ กำรเรียกเกบ็ ย้อนหลัง กำรเรียกเกบ็ ซำซอ้ น ลดระยะเวลำในกำรจัดเก็บข้อมูลตรวจสอบ ขอ้ มูลยอ้ นหลงั ไดอ้ ยำ่ งมปี ระสทิ ธภิ ำพ แตย่ งั ตอ้ งพฒั นำให้สำมำรถสร้ำง Dash Board เพ่อื เสนอขอ้ มูลที่สำคญั และขยำยผลใหเ้ ครอื ข่ำย ทีเ่ กย่ี วขอ้ งรว่ มพฒั นำและใชป้ ระโยชนต์ อ่ ไป คาสาคญั : กำรสง่ ตัวอยำ่ งตรวจทำงหอ้ งปฏบิ ัติกำร 8 ธนั วำคม 2563 ณ โรงแรมสนุ ยี ์แกรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
ORAL : หอ้ งปทุมวัน O_G4_No4 ผลงานวิชาการด้านระบาดวิทยา การสอบสวนการระบาดของโรคอุจจาระรว่ งในงานมงคลสมรสหมูบ่ ้านแหง่ หนึง่ ตาบลหลุ่ง ตะเคียน อาเภอหว้ ยแถลง จังหวัดนครราชสีมา ระหวา่ งวันที่ 23 - 27 กุมภาพันธ์ 2563 สิรภทั ร์ นันใจ ปรีชำ พลเยย่ี ม, ธวัฒชยั เมอื งนำม รพ.หว้ ยแถลง,รพ.สต.ไผน่ กเขำ,สสอ.หว้ ยแถลง ความเป็นมา : วันที่ 24 กุมภำพันธ์ 2563 เวลำ 06.30 น.งำนระบำดวทิ ยำโรงพยำบำลห้วยแถลง ได้รับ แจ้งทำงไลน์กลุ่มรำยงำนโรค โรงพยำบำล พบผูป้ ่วยอุจำระรว่ ง 6 รำย จำกหม่บู ้ำนเดียวกนั มำด้วยอำกำรถ่ำย เหลวมำกกว่ำ 3 ครัง ปวดทอ้ ง มีไข้ แพทยว์ นิ ิจฉัยโรค เบืองตน้ อุจจำระร่วง ส่งต่อรกั ษำท่รี พ.มหำรำช นครรำชสีมำ 1 รำย ผู้ป่วยในรพ.ห้วยแถลง 1 รำย กลับบำ้ น 4 รำย ตรวจสอบข้อมูล เบืองต้น พบผู้ป่วยเพิ่ม 12 รำย จึงประสำนทีม SRRT อำเภอห้วยแถลงร่วมออกสอบสวนโรคและเกบ็ ตัวอย่ำงส่ิงส่งตรวจในพนื ท่ีเวลำ 13.30 น. ในวันเดียวกัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ ยืนยันกำรวินิจฉัยและกำรระบำดของโรค ค้นหำสำเหตุของกำร เกิดโรค หำวิธีกำร ถำ่ ยทอดโรค ศกึ ษำลกั ษณะกำรกระจำยของโรคตำมบุคคล เวลำ สถำนที่ และเพื่อหำ มำตรกำรควบคุมโรคในพืนที่ วธิ ีการศกึ ษา : ศึกษำระบำดวิทยำเชิงพรรณนำ และระบำดวิทยำเชิงวิเครำะห์ (Case Control study) หำควำมสัมพนั ธ์ของชนิดอำหำร กบั กำรเกิดโรค ศึกษำทำงหอ้ งปฏิบตั ิกำรโดยกำรเก็บอุจจำระผปู้ ่วยโดยวิธี Rectal Swab culture จำนวน 4 ตัวอยำ่ ง สำรวจทำงด้ำน สงิ่ แวดล้อมและขันตอนกำรปรุงอำหำร เครื่องมอื ที่ ใช้เก็บขอ้ มลู ดว้ ยกำรสมั ภำษณแ์ ละแบบสอบสวนโรคอจุ จำระร่วงอย่ำงแรง สถติ ิท่ีใช้ คือ จำนวน ร้อยละ อัตรำส่วน ค่ำเฉลี่ย อัตรำเส่ียงสัมพันธ์ ( Odd Ratio : OR) และช่วงควำมเช่ือมั่น 95 % CI วิเครำะห์ข้อมูล ด้วย โปรแกรมสำเร็จรปู ผลการศกึ ษา : พบกำรระบำดของโรคอุจจำระร่วงเป็นกลุ่มกอ้ นแบบแหล่งโรครว่ ม ผู้ปว่ ย 46 รำย (N=296) อตั รำป่วย (Attack rate) :15.56% เป็นผู้ป่วยมำรับกำรรักษำในรพ. 28 รำย ค้นหำผู้ป่วยเพ่ิมเติมใน ชุมชน 18 รำย อัตรำส่วนเพศชำยต่อหญิง 1:2 ผู้ป่วยอำยุ เฉล่ยี 40.26 ปี (7.39, 9-83) พบอำกำรถ่ำยเหลว (100%)รองลงมำคือปวดท้อง(92.89%) และไข้(73.86%)ตำมลำดับ ระยะฟกั ตวั เฉลี่ย 22.3ชม.(6.42,5-93 ชม.) ผลกำรวิเครำะห์พบว่ำอำหำรท่ีเป็นปัจจัยเสี่ยง คือ ลำบหมูดบิ (OR=64,95%CI=17.5 - 235.3) ผลกำรตรวจ ทำงห้องปฏิบัติกำรโดยวิธี Rectal Swab culture ทัง 4 รำยพบเชือกลุ่ม Enterobacteriaceae คือ Salmonella spp. และ Plesiomonas shigelloides สถำนทป่ี ระกอบและแหล่งของอำหำรไม่เป็นไปตำม หลักกำรสขุ ำภิบำลอำหำร สรุป วิจารณ์ และข้อเสนอแนะ : สำเหตุของกำรระบำดครังนีเกิดจำกกำรกินและปรุงอำหำรที่ไม่ถูก สุขลักษณะ พฤติกรรมกำรกิน อำหำรของชำวบ้ำนแบบดังเดิมท่ีในงำนต่ำง ๆ จะตอ้ งกนิ ลำบดิบ สว่ นเนือหมูดบิ ทนี่ ำมำประกอบอำหำรไม่ผ่ำนกำรอนุญำตให้ชำแหละ ขำยตำมมำตรฐำนกำหนด หน่วยงำนท่ีเก่ียวขอ้ งควร เขม้ งวดเรื่องมำตรกำรโรงชำแหละและจำหน่ำยเนือหมู เจ้ำหน้ำท่ีสำธำรณสขุ เน้น พฤตกิ รรมกำรบริโภคอำหำร ในงำนเทศกำลต่ำง ๆ เพอื่ ปอ้ งกนั กำรระบำดในพนื ท่ตี อ่ ไป 8 ธันวำคม 2563 ณ โรงแรมสุนียแ์ กรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
ORAL : ห้องปทุมวนั O_G4_No5 ผลงานวิชาการดา้ นระบาดวิทยา การสอบสวนการระบาดเป็นกลุ่มก้อนของโรคไขห้ วัดใหญ่ ชนดิ A (H1N1) ณ คา่ ยทหารแห่งหนึง่ จงั หวัดบรุ รี ัมย์ เดือนกันยายน 2562 จฬุ ำลกั ษณ์ สำยสุด*/ อธิพันธ์ ศิรธิ รรมำภรณ์* /กติ ตศิ ักดิ์ ประครองใจ*/ พมิ พอ์ มั พร คำพรมมำ*/ ละออง เลยี วประโคน* / ธดิ ำพร อำจทวกี ลุ ** / เจษฎำกร หบี แกว้ **/ รัชนี ศรโี สภำ*** /ณัฐกำนต์ รำชสที ำ*** / ฐิตำพร งำมเจรญิ * *** *สำนักงำนสำธำรณสขุ จงั หวดั บรุ รี มั ย/์ **สำนกั งำนสำธำรณสขุ อำเภอเมอื งบรุ รี ัมย์/ ***โรงพยำบำลบุรรี มั ย/์ ****โรงพยำบำลสง่ เสรมิ สขุ ภำพตำบลบ้ำนหวั ววั ความเป็นมา : สถำนกำรณโ์ รคไข้หวัดใหญใ่ นประเทศไทย ปี 2562 พบผู้ป่วยอำกำรคล้ำยไข้หวดั ใหญ่เป็นกลุ่มกอ้ น 125 เหตกุ ำรณ์ ใน 49 จงั หวัด โดยพบมำกที่สุดในสถำนศึกษำ เรือนจำ และค่ำยทหำร ตำมลำดับ เมอื่ วนั ที่ 16 กันยำยน 2562 ทีมตระหนักรู้สถำนกำรณ์ จังหวัดบุรีรัมย์ได้รับแจ้งข่ำวจำกโรงพยำบำลค่ำยแห่งหนึ่ง ว่ำมีทหำรป่วย เป็นโรคไข้หวดั ใหญ่จำนวนมำก คณะผู้สอบสวนโรคจังหวั ด บุรรี มั ย์ จึงไดป้ ระชุมวำงแผน ออกสอบสวนโรค เพอื่ ค้นหำสำเหตแุ ละปจั จัยเสีย่ งของกำรระบำด ให้ขอ้ เสนอแนะมำตรกำรในกำรปอ้ งกัน และควบคมุ โรคในพนื ที่ วธิ ีการศึกษา : รูปแบบกำรศึกษำเป็นระบำดเชิงพรรณนำและเชงิ วิเครำะห์ (Retrospective cohort study) โดย ศึกษำในค่ำยทหำร แห่งหน่ึง จังหวัดบุรีรัมย์ ระหว่ำงวันท่ี 16 - 30 กันยำยน 2562 เก็บข้อมูลโดยใช้แบบ สอบสวนโรคที่ดัดแปลงมำจำกองระบำดวิทยำ ประชำกรกลุ่มตัวอย่ำงคือ ครูฝึกและทหำรเกณฑ์ในค่ำยทหำร แห่งหนึ่งทังหมด 187 รำย วิเครำะห์ผลด้วยสถิติเชิงพรรณนำ ได้แก่ ควำมถ่ี ร้อยละ และสถิติเชิงอนุมำน โดยสถิติ ทใี่ ช้ Multiple logistic regression นำเสนออัตรำควำมเสี่ยงสัมพันธ์ ORadj พร้อมช่วง ควำมเชอ่ื มั่น 95%CI ผลการสอบสวน : ผู้ป่วยทังหมด จำนวน 54 รำย อัตรำป่วย ร้อยละ 28.88 (เพศชำยร้อยละ 100) ผู้ป่วยส่วนใหญ่มี อำกำรไข้ รอ้ ยละ 81.48 ผู้ป่วยรำยแรกป่วยวันท่ี 9 กันยำยน 2562 และมีผู้ป่วยมำกท่ีสุดในวันที่ 14 กันยำยน 2562 พบสำรพันธุกรรมของเชือไข้หวัด ใหญช่ นดิ A (H1N1) 2 รำย จำกจำนวน 3 ตวั อยำ่ ง สำเหตขุ องกำรระบำดใน ครังนมี ำจำกทหำรเกณฑก์ ลับบำ้ น แลว้ นำเชือไขห้ วดั ใหญ่ มำแพร่เชือภำยในค่ำย พฤติกรรมกำรไม่ล้ำงมือด้วยํน้ำ หรือเจลแอลกอฮอล์เป็นประจำ (ORadj = 3.79 (95% CI 1.30-11.06) เป็น ปัจจัยเส่ียง มำตรกำรท่ีใช้ คือ กำรให้สุขศึกษำเรื่องกำรล้ำงมือ ทำควำมสะอำดครังใหญ่ และกำรแยกผู้ป่วย หลังจำกดำเนินกำร มำตรกำรควบคุม โรค ไมพ่ บผ้ปู ่วยรำยใหม่เพ่ิมเตมิ สรปุ วิจารณแ์ ละข้อเสนอแนะ : จำกกำรสอบสวนพบ สำเหตกุ ำรระบำดไขห้ วัดใหญช่ นดิ A (H1N1) ในครังนี คือ ทหำรเกณฑก์ ลบั บ้ำน รับเชือไข้หวัดใหญ่ ชนิด A (H1N1) มำจำกภำยนอกมำแพร่เชือในค่ำย มีปัจจัยเส่ียง คือ พฤติกรรมกำรไม่ล้ำงมือ ด้วยนำหรือเจล แอลกอฮอล์เปน็ ประจำ ดงั นัน ควรจัดให้มกี ำรคัดกรองทหำรกอ่ นเข้ำค่ำยทุกครัง หำกพบมีอำกำร ป่วย ใหแ้ ยกไว้ทโี่ รงนอน และส่งต่อ ผปู้ ว่ ยไปรักษำที่โรงพยำบำลทนั ที รวมทงั จดั ให้มจี ดุ บริกำรล้ำงมือ เจลแอลกอฮอล์ ให้เพียงพอ คาสาคญั : โรคไขห้ วดั ใหญ่, ค่ำยทหำร, กำรระบำด, ทหำรเกณฑ์ 8 ธันวำคม 2563 ณ โรงแรมสนุ ีย์แกรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
ORAL : หอ้ งปทุมวัน O_G4_No6 ผลงานวิชาการด้านระบาดวิทยา การสอบสวนการระบาดโรคไข้ปวดขอ้ ยงุ ลาย(Chikungunya) ชมุ ชนโนนสมบูรณ์ หมู่ 10,11 ตาบลโนน สมบรู ณ์ อาเภอบา้ นแฮด จังหวัดขอนแกน่ 18 พฤษภาคม - 14 สงิ หาคม 2563 เครือวัลย์ อนิ ทอง */ภทั รนนท์ บณุ ยอุดมศำสตร*์ /วรรณิสำ สภุ โส*/ จิตรำ ธำรงชยั ชนะ** ฐติ ชิ ญำ สทิ ธศิ ริ ิสำร** /กิ่งแก้ว แก้วกลั ป์** *โรงพยำบำลสริ ินธร จังหวดั ขอนแกน่ /**ศนู ยส์ ขุ ภำพชุมชนโนนสมบรู ณ์ ความเปน็ มา : โรคไข้ปวดขอ้ ยุงลำยเกดิ จำกเชอื ไวรัสชคิ ุนกนุ ยำ(Chikungunya virus) ตดิ ตอ่ โดยมยี งุ ลำยสวนและยุงลำย บำ้ นเป็นพำหะ นำโรค ผ้ปู ว่ ยสว่ นใหญ่จะมไี ข้สงู เฉยี บพลนั ผนื่ แดง และปวดตำมขอ้ บำงรำยปวดนำนเปน็ ปี สว่ นใหญพ่ บกำรระบำดทำงภำคใต้ ปจั จบุ ัน พบผปู้ ว่ ยกระจำยทว่ั ทุกภูมภิ ำคของประเทศไทย โรงพยำบำลสริ ินธร จังหวดั ขอนแกน่ พบผปู้ ่วยไขป้ วดขอ้ ยงุ ลำยครังแรก ปี พ.ศ.2562 วนั ท่ี 18 พ.ค. 2563 เวลำ 10.40 น. ทมี เฝำ้ ระวังสอบสวนเคลื่อนที่เรว็ ได้รับแจง้ จำกแพทยเ์ วชศำสตรค์ รอบครวั วำ่ พบเจำ้ หน้ำทป่ี ระจำ หอผู้ปว่ ยเดก็ มี อำกำร ไข้ ผืน่ แดง จำนวนหลำยรำย จึงดำเนนิ กำรสอบสวนโรค ในเวลำ 11.00 น. เพ่อื ยนื ยันกำรวินจิ ฉยั โรค ยนื ยันกำร ระบำด ศึกษำลกั ษณะกำรระบำด และหำสำเหตุของกำรระบำด และหำมำตรกำรในกำร ควบคมุ และป้องกันโรค วิธกี ารศึกษา : ศึกษำระบำดวิทยำเชงิ พรรณนำ(Descriptive Epidemiology Study) โดยศกึ ษำขอ้ มลู ผู้ป่วยย้อนหลงั 5ปี ทบทวนบนั ทกึ เวชระเบียน คน้ หำผปู้ ว่ ยเพิ่มเตมิ ในชมุ ชน รวมทงั สมั ภำษณ์ ผ้ปู ่วย ญำติ ศกึ ษำสงิ่ แวดลอ้ มโดยกำรสำรวจภมู ปิ ระเทศ สง่ิ แวดลอ้ ม ใน ชุมชน ในบ้ำนผู้ป่วย และประเมนิ ดชั นลี กู นำยุงลำย ศึกษำทำงห้องปฏบิ ัติกำรส่ง ตรวจยืนยันด้วยวธิ ี PCR for Chikungunya virus ผลการศกึ ษา : พบผปู้ ่วยครงั แรกในปี พ.ศ.2562 จำนวน 3 รำยอตั รำป่วย 4.79 ตอ่ ประชำกรแสนคน ซ่งึ รับเชือมำจำกพนื ที่อื่นปี พ.ศ.2563 พบผปู้ ว่ ย 97 รำย อตั รำปว่ ย 154.73 ตอ่ ประชำกรแสนคน ไมม่ ีรำยงำนผู้ป่วยเสยี ชีวิต ชว่ งเวลำทีพ่ บผปู้ ว่ ยตงั แต่วันที่ 12 เม.ย. - 17 ก.ค. 2563 โดยพบผปู้ ว่ ยสูงสดุ ในเดือนมิ.ย. 41 รำย พนื ทีท่ ี่พบผูป้ ว่ ยมำกท่สี ุด คอื หมู่10 จำนวน 57 รำย (รอ้ ยละ 58.76) หมู่ 11 จำนวน 36 รำย (ร้อยละ 37.11) และโรงพยำบำล 4 รำย (ร้อยละ 4.12) พบผ้ปู ว่ ยเพศหญิงมำกกวำ่ เพศชำย 1:1.39 กระจำยในทกุ กล่มุ อำยุ กลุม่ อำยุทพี่ บมำกท่สี ดุ 45-49 ปี 14 รำย(ร้อยละ 14.43) ผูป้ ่วยมอี ำกำรไข้ รอ้ ยละ100 รองลงมำผนื่ แดงรอ้ ยละ65.93 ปวดข้อรอ้ ย ละ51.65 กำรศกึ ษำสงิ่ แวดลอ้ มของชุมชนพบว่ำ ชุมชนหมู่10,11เป็นหมู่บำ้ นตดิ กัน หลังโรงพยำบำล เดิมเป็นชมุ ชนพิเศษผู้ปว่ ยโรคเรอื น ตอ่ มำในปีพ.ศ. 2556 ประกำศเปน็ ชมุ ชนปกติ ลกั ษณะของชุมชนมีบำ้ นเรือนอยู่ หนำแน่น ส่วนใหญ่เป็นบำ้ นชนั เดียว กำรจดั เกบ็ บำ้ นเรอื นคอ่ นขำ้ งไม่เปน็ ระเบียบ มีกำรใชภ้ ำชนะรองนำไวใ้ ช้ จำนวนมำก ในช่วงเดือนเม.ย.2563 ซ่งึ เปน็ ชว่ งทีม่ ีกำรประกำศ พรก. ฉกุ เฉนิ เพือ่ ควบคุมกำรระบำดของโรค โควดิ -19 มีประชำชนเคล่อื นย้ำยมำจำกตำ่ งจงั หวัดมำอำศัยในหมู่ 10 จำนวน 5 รำย โดยมำจำก จงั หวัดตรงั 4 รำย จังหวัดกำฬสนิ ธ์ุ 1 รำย ซง่ึ ในพนื ทที่ ่ีเดินมำไม่มผี ้ปู ว่ ยไข้ปวดข้อยุงลำย ระหว่ำงชว่ งกกั ตวั ครบ 14 วนั ไม่มีท่ำนใดมี อำกำรปว่ ย บำ้ นของผ้ปู ว่ ยรำยแรกอยกู่ ลำงคมุ้ เปน็ บำ้ นชนั เดียว ค่อนข้ำงมดื กำรจดั เกบ็ บ้ำนค่อนข้ำงเป็นระเบยี บ บริเวณนอกบำ้ นมอี ำ่ ง เลียงปลำหำงนกยูง คำ่ CIบำ้ น ผปู้ ว่ ย=0 ค่ำHIชมุ ชน = 26.47 คำ่ C/ชุมชน= 32.14 วันท่ี 5 เม.ย. 2563 สำมีของผปู้ ่วยเดนิ ทำงมำจำก บ้ำนหนองไมต้ ำย ตำบลโคกเครือ อำเภอหนองกรุงศรี จังหวัดกำฬสินธุ์ วนั ท่ี 12 เม.ย. 2563 ผู้ปว่ ยมอี ำกำร ไข้ ปวดตำมรำ่ งกำย และมี ผ่ืนแดง หลังจำกนันพบผปู้ ว่ ยในชมุ ชนทงั หมู่10,11 อย่ำงต่อเนือ่ ง และ วันที่ 18 พ.ค. 2563 พบเจ้ำหนำ้ ที่ในแผนกนันมอี ำกำร ไข้ มีผื่น แดง ปวดตำมข้อ 4 รำย ลักษณะของหอผปู้ ่วยเด็กเปน็ อำคำร 2 ชนั เดก็ อยชู่ ัน1 มนี ำขังบริเวณใตถ้ นุ อำคำร ภำยในและภำยนอกอำคำร ไม่พบลกู นำยุงลำย ค่ำCl=0 ผลกำรตรวจยืนยันดว้ ยวิธี PCR for Chikungunya virus จำนวน 4 รำย ผลพบเชือ ทงั 4 รำย สรปุ และวิจารณผ์ ล : กำรระบำดของโรคไข้ปวดขอ้ ยงุ ลำย ลกั ษณะของกำรระบำดเปน็ propagated source สำเหตุมำจำกเชือ Chikungunya virus ท่ีน่ำจะมีกำรนำเขำ้ มำจำกต่ำงถน่ิ ในชว่ งประกำศพรก.ฉกุ เฉนิ เนือ่ งจำกในชมุ ชนนีไม่เคยมีผ้ปู ว่ ยดว้ ยโรคไข้ปวดขอ้ ยุงลำย ประกอบกบั ค่ำดชั นีลูกนำในชุมชนสูง และกำรตรวจจบั เหตกุ ำรณผ์ ิดปกตใิ นชมุ ชนทลี่ ่ำช้ำทำใหเ้ กิดกำรระบำดของโรค มำตรกำร ควบคุมปอ้ งกันโรค ได้ทำกำรเปดิ ศนู ย์ EOC ประชำคม สือ่ สำรควำมเสี่ยงทำงหอกระจำยขำ่ วทกุ วัน ปรบั ปรุงสิง่ แวดล้อมของหมบู่ ้ำนใน วันอำทติ ย์ของสปั ดำห์ สำรวจและทำลำยลกู นำตำมมำตรกำร 3-3-1 ติดตำมกำรดำเนินงำนทกุ วันศุกร์ จำกมำตรกำรชุมชนที่เข้มแข็งและ กำรควบคมุ ปอ้ งกนั โรคแบบมสี ่วนรว่ มกบั ทุกภำคสว่ นทำให้สำมำรถควบคุมโรคได้สงบภำยใน 2 generation คาสาคัญ : โรคไขป้ วดข้อยงุ ลำย ศนู ย์ปฏิบัติกำรตอบโต้ภำวะฉกุ เฉิน 8 ธนั วำคม 2563 ณ โรงแรมสุนยี แ์ กรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
ORAL : หอ้ งปทุมวนั O_G4_No7 ผลงานวชิ าการด้านระบาดวิทยา การประเมินระบบเฝ้าระวังโรควัณโรคปอด (Pulmonary tuberculosis) โรงพยาบาลกระสัง อาเภอกระสัง จงั หวดั บรุ ีรมั ย์ ปงี บประมาณ 2562 บุญมี โตดประโคน / โสมนสั โกยสวัสดิ์ / วรยศ ดำรำสวำ่ ง และคณะ โรงพยำบำลกระสงั จังหวดั บุรีรัมย์, โรงพยำบำลบรุ ีรัมย์ ความเป็นมา : วัณโรคเป็นโรคติดต่อทส่ี ำคัญและยังคงเป็นปญั หำสำธำรณสุขระดบั โลก ซึ่งเป็นสำเหตขุ องกำรปว่ ยและ กำรตำยในหลำย ประเทศท่วั โลก จำกรำยงำนวณั โรคของโลกปี พ.ศ. 2562(Global tuberculosis report 2019) โดย องคก์ ำรอนำมัยโลกพบวำ่ วัณโรค เป็นสำเหตุกำรตำย 1 ใน 10 อันดับแรกของโลก โดยคำดประมำณอุบัติกำรณ์ผู้ป่วยวัณ โรคของโลกสูงถึง 10 ล้ำนคน โรงพยำบำล กระสัง อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ ร่วมกับโรงพยำบำลบุรีรัมย์ จึงได้ประเมิน ระบบเฝ้ำระวังโรควัณโรคปอด โรงพยำบำลกระสัง อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ ปีงบประมำณ 2562 ขนึ เพ่ือศึกษำ คุณลักษณะเชิงปริมำณของระบบรำยงำนวัณโรคในโปรแกรม NTIP และคณุ ลักษณะเชงิ คณุ ภำพ รวมทังใหข้ อ้ เสนอแนะ ในกำรปรบั ปรุงระบบกำรเฝ้ำระวงั โรควณั โรคปอด ของโรงพยำบำลกระสังตอ่ ไป วธิ ีการศึกษา : เป็นกำรศกึ ษำแบบภำคตัดขวำง ทังกำรศึกษำเชิงปริมำณ และเชิงคุณภำพ ทำกำรศกึ ษำในโรงพยำบำล กระสัง อำเภอ กระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ ระยะเวลำท่ีทำกำรศึกษำตังแต่วันท่ี 1 ธันวำคม 2560 - 31 มกรำคม 2563 โดย ประชำกรที่ทำกำรศึกษำคือ ผู้ป่วยท่ีมำรับกำรรักษำและมีกำรบันทึกรหัสกำรวินิจฉัย (ICD 10) ท่ีโรงพยำบำลกระสังตังแต่ วันที่ 1 ตุลำคม 2561 – 30 กันยำยำน 2562 ขนำดตัวอย่ำง จำนวนผู้ป่วยที่เข้ำได้ตำมเกณฑ์ที่ต้องกำรศึกษำ จำนวน 3,287 รำย โดยทำกำรเลือกสุ่มกลุ่มตัวอย่ำงที่จะ ทำกำรศึกษำทงั หมด จำนวน 372 รำย ผลการสอบสวน : กำรศกึ ษำคุณลักษณะเชิงปริมำณของระบบเฝำ้ ระวงั มีจำนวนผูป้ ่วยท่ีเข้ำนิยำม จำนวน 122 รำย ค่ำควำมไว อยู่ท่ี รอ้ ยละ 91.80 คำ่ พยำกรณ์บวก อยู่ที่ร้อยละ 100 ควำมทันเวลำ อยู่ท่ีร้อยละ 92.85 คณุ ภำพของข้อมูล ขอ้ มูลมีควำมครบถว้ นในกำร บันทึกข้อมูลครบทุกช่อง อยู่ท่ีร้อยละ 100 และมีควำมถูกต้องสมบูรณ์ร้อยละ 100 จำนวน 4 ตัวแปร และอยู่ในช่วงร้อยละ 91 - 96 จำนวน 3 ตัวแปร กำรศกึ ษำคุณลกั ษณะเชิงคณุ ภำพของระบบเฝ้ำระวัง ทำกำร สมั ภำษณผ์ ู้ท่ีเกี่ยวข้อง จำนวน 15 รำย พบว่ำเมอ่ื ผปู้ ่วย ได้รับกำรวินิจฉัยจำกแพทย์แล้ว (ทงั ในกรณเี สมหะ และกรณี เสมหะ+) ข้อมูลท่เี จ้ำหน้ำท่ีผ้รู ำยงำนโรค จะได้มำนันมำจำก 4 ช่องทำง ได้แก่ กรณขี ้อมูลจำกกำรเก็บขณะสอบสวนและ ขึนทะเบียนรักษำ กรณีกำรแจ้งข้อมูลจำกพยำบำลแผนกผู้ป่วยในชำย กรณีกำรแจ้ง ข้อมูลจำกพยำบำลแผนกผ้ปู ว่ ยใน หญิง และขอ้ มูลจำกคลินกิ วณั โรค สรุป วิจารณ์และข้อเสนอแนะ : สรุปผลพบว่ำ ค่ำควำมไว จัดว่ำอยู่ในเกณฑ์ท่ีดี เน่ืองมำจำกระบบกำรรำยงำนข้อมูล ผู้ป่วยผ่ำน โปรแกรม NTIP มีควำมครอบคลุมและมีกำรปรับปรุงพัฒนำโปรแกรมอยู่เสมอ ค่ำพยำกรณ์บวก จัดอยู่ในเกณฑ์ท่ี ดีมำกเน่ืองจำกทีม แพทย์ พยำบำล เจ้ำหนำ้ ทีค่ ลนิ ิกวณั โรค ได้มกี ำรใชน้ ยิ ำม ของสำนกั วณั โรคอยู่แล้ว ควำมทันเวลำ อยู่ใน เกณฑ์ทด่ี ี เน่อื งจำกเจ้ำหน้ำที่ผู้ บนั ทึกข้อมูลนันได้มีกำรจัดกำรบันทึกข้อมูลผู้ปว่ ยรำยใหม่ในทุกๆ 7 วนั คุณภำพของข้อมูล ข้อมูลมีควำมครบถ้วนในกำรบันทึกข้อมูล ครบทกุ ชอ่ ง เนื่องจำกโปรแกรม NTIP ออกแบบมำใหล้ งบันทึกข้อมลู ให้ครบทุก ชอ่ งอยู่แลว้ หำกลงไมค่ รบจะไมส่ ำมำรถบันทึกขอ้ มลู ได้ โดยรวมคุณภำพของข้อมูลจัดอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ข้อมูลจำกระบบ รำยงำนสำมำรถเป็นตัวแทนของข้อมูลในเวชระเบียนได้ กำรศึกษำ คุณลกั ษณะเชงิ คุณภำพของระบบเฝำ้ ระวัง พบว่ำดำ้ น บุคลำกร งบประมำณ/ค่ำตอบแทน มจี ำนวนที่เพียงพอ หำกมีกำรเปลี่ยนนิยำม กำรำยงำนเข้ำโปรแกรม ท่ีใช้อยู่ในปัจจุบัน ก็ ยังสำมำรถดำเนินกำรต่อไปได้ และเจ้ำหน้ำผู้ปฏิบัติงำนที่เกี่ยวข้อง ในระบบโปรแกรม NTIP คิดว่ำระบบมีประโยชน์และมี ควำมสุขกับกำรร่วมใช้งำน ส่วนกำรเก็บรวบรวมข้อมูลผู้ป่วยวัณโรคปอดเพ่ือบันทึกเข้ำโปรแกรม NTIP ออกแบบมำใหม้ ีกำร ลงข้อมลู เชิงลึก ทำใหก้ ำรลงขอ้ มลู อำจต้องใช้เวลำนำนในกำรบนั ทึกขอ้ มลู และตอ้ งลงบันทึกอย่ำงสม่ำเสมอ ซงึ่ จำเปน็ ตอ้ งมี ผ้รู ่วมใช้งำนโปรแกรมคนอืน่ ๆ ทส่ี ำมำรถทำงำนทดแทนกนั ได้ คาสาคัญ : กำรประเมินระบบเฝำ้ ระวังโรควณั โรคปอด, โรงพยำบำลกระสงั อำเภอกระสัง จังหวดั บรุ ีรมั ย์ 8 ธนั วำคม 2563 ณ โรงแรมสนุ ียแ์ กรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
ประเภทนาเสนอแบบ โปสเตอร์อเิ ล็กทรอนคิ ส(์ E-Poster) บทบคัดทยค่อัดยอ่ ผลงำนวชิ ำกำร ดำ้ นโรคติดต่อทวั่ ไป/โรคเอดส์/วณั โรค โรคติดตอ่ ทำงเพศสมั พันธ์ และโรคเรอื น (สถำนท่ี : หน้ำห้องทับทิมสยำม2) 8 ธนั วำคม 2563 ณ โรงแรมสุนีย์แกรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
E-POSTER : หอ้ งทบั ทิมสยาม2 P_G1_No1 ผลงานวชิ าการดา้ นโรคตดิ ตอ่ ทั่วไป/โรคเอดส์/วัณโรคฯ การพฒั นาระบบการค้นหากลุ่มเสย่ี ง สูร่ ะบบเฝา้ ระวังและลดการแพรก่ ระจายเชือ้ COVID-19 โดยภาคเี ครอื ขา่ ยในเขตเทศบาลตระการพืชผล อาเภอตระการพืชผล จังหวดั อบุ ลราชธานี จนั ทร์จริ ำ พรมโพธ,ิ์ นวก.สำธำรณสุขชมุ ชน บุษบำ กำรกลำ้ , พย.บ.(พยำบำลวิชำชีพชำนำญกำรพเิ ศษ) กลมุ่ งำนบรกิ ำรดำ้ นปฐมภูมแิ ละองค์รวม โรงพยำบำลตระกำรพืชผล หลักการและวตั ถุประสงค์ : ดว้ ยสถำนกำรณ์โรค COVID-19 เปน็ โรคระบำดใหม่ ซ่งึ ไมม่ ีแนวทำงในกำรปฏิบตั ทิ ่ีชัดเจน ได้สร้ำงควำม วติ กกงั วลใหก้ บั เจำ้ หนำ้ ท่แี ละประชำชนเป็นอย่ำงมำกและเกิดกำรตีตรำในชุมชน จึงไดม้ กี ำรศกึ ษำพัฒนำ ระบบกำรคน้ หำกลมุ่ เสยี่ ง โดย กระบวนกำรมีสว่ นรว่ มของชมุ ชนและภำคเี ครอื ข่ำย เพอื่ ให้เขำ้ สรู่ ะบบกำรเฝำ้ ระวังได้ อยำ่ งรวดเรว็ สำมำรถลดกำรแพร่กระจำยเชือ COVID-19 กำรศกึ ษำนมี วี ัตถปุ ระสงค์เพ่อื ศึกษำผลของกำรค้นหำกลมุ่ เสยี งใหเ้ ข้ำส่รู ะบบเฝ้ำระวังและลดกำรแพรก่ ระจำยเชอื COVID- 19 ในชมุ ชน วธิ ีการศกึ ษา : รปู แบบกำรศกึ ษำเปน็ กำรวจิ ยั เชิงปฏบิ ัติกำรใชก้ รอบควำมคิด PAOR กล่มุ ตวั อย่ำงคือ บคุ ลำกรใน โรงพยำบำล จำนวน 20 คน และ อำสำสมคั รสำธำรณสุข (อสม.) จำนวน 135 คน ในชว่ งเดือนมีนำคมถึงเดอื น พฤษภำคม พ.ศ. 2563 เครอื่ งมือทใี่ ช้ ประกอบดว้ ย แบบสอบสวนโรค COVID-19,แบบรำยงำนผู้ทเี่ ดินทำงเข้ำหมูบ่ ำ้ น, ระบบHI และแบบประเมินควำมพงึ พอใจ วิเครำะห์ ขอ้ มูลโดยสถิติเชิงพรรณนำ ขนั Plan : วิเครำะห์สถำนกำรณ์และ บรบิ ท กำหนดเปำ้ หมำยในกำรพฒั นำ ขนั Action : กำรให้ควำมรู้ กำร ประชมุ เชงิ ปฏบิ ัติกำร เพอื่ สร้ำงควำมมน่ั ใจใน กำรป้องกันกำรแพร่กระจำยเชอื ขนั Observation : ติดตำมประเมนิ ผลและพัฒนำ ตอ่ เน่ือง ขัน Reflection : นำข้อมูลมำถอดบทเรียนรว่ มกนั และคนื ขอ้ มูลเพ่อื ใช้ในกำรพัฒนำระบบกำรค้นหำกลมุ่ เสยี่ งส่รู ะบบเฝำ้ ระวัง ท่ีรวดเร็วเทคนิคและเครื่องมอื ทใี่ ช้ในกำรเฝ้ำระวงั ไดแ้ ก่กำรประชุมทบทวนร่วมกันระหวำ่ งหนว่ ยงำนและอสม. ผลการศกึ ษา : เกิดกำรคน้ หำกล่มุ เสยี่ งที่เป็นระบบ รวดเรว็ และครอบคลมุ ประกอบดว้ ย แบบเฝ้ำระวงั รำยบุคคล พร้อมชุด Home quarantine,เกดิ ระบบกำรรำยงำนผำ่ น Application Line, กระบวนกำรทำ D/C Plan, Applicationประเมินภำวะซึมเศรำ้ เพ่ือใหก้ ล่มุ เสย่ี งใช้ประเมนิ สขุ ภำพจติ เบืองตน้ ดว้ ยตนเอง และระบบใหค้ ำปรึกษำ รำยบุคคล ผ่ำน Application Line หลังพฒั นำระบบกำรค้นหำ กลมุ่ เสยี ง ในช่วงเดอื นมนี ำคมถึงเดอื นพฤษภำคม พ.ศ. 2563 พบวำ่ มีกำรค้นหำกลุม่ เสี่ยงคดิ เป็นร้อยละ 79.72, 85.88 และ 100 ซง่ึ มี ควำมครอบคลุมและเขำ้ สู่ระบบกำร เฝำ้ ระวังได้รวดเร็วยิง่ ขึน สำมำรถลดควำมเส่ียงในกำรแพรก่ ระจำยเชือ COVID-19 ในชุมชนควำม พงึ พอใจของบุคลำกรและอสม.อยู่ในระดบั มำก สรปุ : กล่มุ ตัวอยำ่ งมคี วำมร้คู วำมเข้ำใจเก่ยี วกับโรคและกำรปอ้ งกนั โรค COVID-19 ทถี่ ูกวิธี เกดิ แนวทำงกำรคน้ หำกลมุ่ เสีย่ งอย่ำงเป็น ระบบโดยกระบวนกำรมสี ว่ นรว่ มของภำคีเครือขำ่ ยในกำรเฝ้ำระวังโรคท่รี วดเร็วและมีประสทิ ธภิ ำพโดย ใช้ Application Line เข้ำมำมี บทบำทให้ระบบกำรรำยงำนทรี่ วดเร็วขนึ รวมทังสรำ้ งควำมมั่นใจและควำมภำคภมู ใิ จ ให้กับบุคลำกรทำงกำรแพทยแ์ ละภำคเี ครือขำ่ ย คาสาคญั : กำรพัฒนำระบบกำรค้นหำ กล่มุ เสีย่ ง โรคตดิ เชอื COVID-19 8 ธันวำคม 2563 ณ โรงแรมสุนยี ์แกรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
E-POSTER : หอ้ งทบั ทิมสยาม2 P_G1_No2 ผลงานวชิ าการด้านโรคตดิ ต่อทัว่ ไป/โรคเอดส์/วัณโรคฯ การพฒั นาระบบการดูแลและการพยาบาลผู้ปว่ ย COVID-19 โรงพยาบาลสมเดจ็ พระยุพราชเดชอุดม วรำภรณ์ สมดี กล่มุ ภำรกจิ ดำ้ นกำรพยำบำล โรงพยำบำลสมเดจ็ พระยพุ รำชเดชอดุ ม จ.อุบลรำชธำนี บทนา : โรคติดเชือ COVID-19 เป็นโรคอุบัติใหม่ท่ีมีกำรระบำดใหญ่ไปท่ัวโลก โรคนีเริ่มมีกำรพบในประเทศ ไทย โรงพยำบำลสมเด็จ พระยุพรำชเดชอุดมเป็นโรงพยำบำลทั่วไปขนำด 300 เตียง มีหอผู้ป่วยแยกโรคแบบ ห้องแยกเด่ียว 10 ห้องยังไม่มีห้อง negative pressure ดงั นันเพื่อเปน็ กำรเฝำ้ ระวังคัดกรองและปอ้ งกัน ควบคุมโรคจึงไดม้ ีกำรจดั ทำแนวทำงกำรดแู ลและวินจิ ฉยั กำรตดิ เชอื รวมถึง แนวปฏบิ ัตทิ ำงกำรพยำบำลและได้ จัดประชุมศนู ยป์ ฏบิ ตั ิกำรภำวะฉุกเฉินระดับอำเภอขึนในวันท่ี 9 ม.ี ค.63 วัตถุประสงค์ : เพื่อพัฒนำระบบกำรดูแลและกำรพยำบำลผู้ป่วยโรคติดเชือ COVID-19 และเพื่อป้องกันกำร แพร่กระจำยเชือใน โรงพยำบำลสมเดจ็ พระยุพรำชเดชอุดมและในชุมชน วิธีดำเนินกำรวิจัย: รูปแบบกำรศึกษำเป็นกำรวิจัยปฏิบัตกิ ำร (action research) มกี ำรนำทฤษฎรี ะบบมำเป็น กรอบแนวคดิ ในกำรพฒั นำ โดยปจั จัยนำเข้ำไดแ้ ก่ ทรพั ยำกรทำงกำรบริหำรจดั กำร ดำ้ นกระบวนกำรไดแ้ ก่ กำร จัดทำแนวทำงกำรวินิจฉัย กำหนดแนวทำงในกำรประสำนงำน กำรซักประวัติคัดกรอง สอบสวนโรค กำรดูแล รักษำพยำบำลให้ ถูกต้องตำมมำตรฐำน โดยกำรศึกษำคู่มือต่ำงๆท่ีกรมควบคุมโรคได้มีกำรประกำศใช้และ ปรับปรุงเนือหำอย่ำงต่อเน่ืองเพ่ือให้ทันต่อ สถำนกำรณ์และพืนท่ีทีม่ ีกำรระบำดของโรค ดำ้ นผลลัพธ์ไดแ้ ก่ จำนวนผปู้ ่วยทเี่ ข้ำเกณฑส์ อบสวนโรค(PUI) ท่เี ข้ำรบั กำรรกั ษำเปน็ ผ้ปู ว่ ย ใน จำนวนผู้ปว่ ยยืนยนั COVID-19 จำนวนผูส้ ัมผสั เส่ียงสูง (HRC) และจำนวนบุคลำกรทพ่ี บกำรตดิ เชือ COVID-19 ผลการศกึ ษา : ดำ้ นบุคลำกร จัดตำรำงทีมรับ Consult ประกอบด้วยแพทย์เฉพำะทำงอำยุรกรรม กุมำรเวชกรรม ICN และนักระบำด วทิ ยำ ดำ้ นกระบวนกำรจัดกำร จดั ทำแนวทำงกำรดแู ลและวินิจฉยั กำรติด เชอื กรณีผู้ปว่ ยท่เี ข้ำได้กบั ปอดอักเสบ/สงสัยปอดอักเสบจำก เชอื COVID-19 และได้มีกำรปรบั ปรงุ คำนยิ ำมตำม กรมควบคุมโรคกำหนดบทบำทหนำ้ ที่ตังแตร่ ะบบกำรคดั กรอง กำรประสำนงำน กำร รำยงำนระบำดวทิ ยำเพ่ือ สอบสวนโรค กำรสง่ ตอ่ จดุ ต่ำงๆ กำรจดั เตรียมหอผ้ปู ่วยใน แนวทำงกำรปฏิบัติกำรพยำบำลตังแต่ระยะแรกรับ จนถึงจำหนำ่ ย กำรสอนสำธิตสวมใส่ชุด PPE และระบบกำรสง่ ตอ่ ด้ำนสถำนที่ จัดทำห้องตรวจแยกโรคแผนก ผู้ป่วยนอก ปรบั ปรุงหอ ผู้ป่วยในระบบระบำยอำกำศและกำหนดให้ห้องแยกที่อยู่ท้ำยตึก 4 ห้องเป็นห้องที่รับ ผู้ป่วยCOVID-19 ด้ำนวัสดุอุปกรณ์เวชภัณฑ์ มี ปริมำณเพียงพอตอ่ กำรใช้งำน ด้ำนแรงจูงใจ บุคลำกรหอ ผู้ปว่ ยแยกโรคได้ค่ำตอบแทนล่วงเวลำเพิ่ม โดยพยำบำลวิชำชีพ 800บำท/8 ชวั่ โมง ผู้ช่วยเหลือคนไข้และ พนักงำนบริกำร 400 บำท/8 ชั่วโมง ด้ำนผู้ป่วย ผู้ป่วยท่ีเข้ำเกณฑ์สอบสวนโรค(PUI) ที่เข้ำรับกำรรักษำ ตงั แต่ วันที่ 27 ก.พ.63 ถงึ 30 ก.ย.63 จำนวน 51 รำย เปน็ ผปู้ ว่ ยยนื ยัน COVID-19 และรกั ษำหำยจำนวน 2 รำย ผู้สัมผสั เสี่ยงสงู (HRC) 6 รำย ไม่พบกำรติดเชอื และไม่พบกำรแพรก่ ระจำยเชือในกลุ่มบุคลำกร ผปู้ ว่ ยและชุมชน สรุป : กำรจัดทำแนวทำงต่ำงๆทังด้ำนกำรวินิจฉัยและกำรดูแลรักษำพยำบำลโดยกำรศึกษำจำกมำตรฐำนที่กรม ควบคุมโรคกำหนด และส่ือสำรสู่ผู้ปฏิบัติอย่ำงทั่วถึง รวมทังกำรสอนสำธิตกำรสวมใส่ชุด PPE จะทำให้ บุคลำกรมีควำมรู้ควำมเข้ำใจและมั่นใจในกำร ปฏิบตั ิงำน ปัจจัยแห่งความสาเร็จ : กำรท่ีผู้บริหำรเห็นควำมสำคัญและอนุมัติงบประมำณในกำรปรับปรุงสถำนท่ีต่ำงๆ กำรประกำศนโยบำยท่ี ชดั เจนในกำรปฏิบัติงำน กำรจัดระบบกำรประสำนงำนและกำรทำงำนเป็นทีม คาสาคัญ : COVID-19, ระบบกำรดูแลผู้ป่วย 8 ธนั วำคม 2563 ณ โรงแรมสนุ ียแ์ กรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
E-POSTER : หอ้ งทับทิมสยาม2 P_G1_No3 ผลงานวิชาการดา้ นโรคติดต่อท่ัวไป/โรคเอดส/์ วัณโรคฯ ประสิทธผิ ลของโปรแกรมสุขศกึ ษารว่ มกับทฤษฎแี รงจูงใจเพือ่ ปอ้ งกนั โรคของผู้ปกครองเด็กกอ่ น วยั เรียนในศูนย์พฒั นาเด็กเล็กตาบลกระโพ อาเภอทา่ ตูม จังหวดั สรุ ินทร์ จำรวุ ัฒน์ สำแกว้ ส.ม.(สำธำรณสุขศำสตร์) ชรนิ ดำ จำปำทอง ส.บ.(สำธำรณสุขศำสตร)์ โรงพยำบำลส่งเสริมสขุ ภำพตำบลกระโพ อำเภอทำ่ ตมู จังหวัดสรุ ินทร์ หลกั การและวตั ถุประสงค์ : โรคมือเท้ำปำกปัญหำดำ้ นสุขภำพของเดก็ กอ่ นวยั เรยี นของประเทศไทย ปี 2563 พบวำ่ มีกำรระบำดอย่ำง ต่อเน่ือง ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจำกผปู้ กครองเด็กก่อนวัยเรียนขำดควำมร้เู รื่องโรคมอื เทำ้ ปำกและกำร ปฏิบัตติ นในกำรป้องกนั โรคในเด็กกอ่ น วัยเรียนไม่ถูกต้อง ดังนันเพ่ือป้องกันโรคมือเท้ำปำกในศูนย์พัฒนำเด็กเล็ก ประสบผลสำเร็จ กำรศึกษำครังนีมีวัตถุประสงค์เพื่อศึก ษำ ประสิทธิผลของโปรแกรมสุขศึกษำร่วมกับทฤษฎี แรงจูงใจเพือ่ ป้องกันโรคของผู้ปกครองเด็กก่อนวัยเรียนในศูนยพ์ ัฒนำเด็กเล็ก ตำบล กระโพ อำเภอท่ำตมู จังหวดั สรุ นิ ทร์ วิธีการศึกษา : เป็นกำรศึกษำกึ่งทดลอง (Quasi - Experimental Research) แบบสองกลุ่ม วัดสองครัง (Two Groups Pre - test and Post-test) กลมุ่ ตวั อย่ำงท่ีใชใ้ นกำรศกึ ษำคอื ผปู้ กครองเดก็ ก่อนวัยเรียนในศูนยพ์ ัฒนำเด็กเลก็ จำกกำร สุม่ แบบเจำะจง จำนวน 66 คน โดยแบ่งเปน็ กล่มุ ทดลอง จำนวน 33 คน และกล่มุ เปรียบเทยี บ จำนวน 33 คน ในกลุม่ ทดลองไดร้ ับกำรอบรมจำนวน 2 ครงั ๆ ละ1 วันหำ่ งกันครังละ 1 สัปดำห์ โดยกจิ กรรมใหค้ วำมรู้ ใช้สือ่ สไลด์ กำร ถ่ำยทอดประสบกำรณ์จำกผปู้ กครองเด็กก่อนวยั เรียนที่เคยป่วยใน อดีต และกำรแสดงบทบำทสมมติ ระหว่ำงเดือน กรกฎำคม พ.ศ. 2563 ถึงกันยำยน พ.ศ.2563 วิเครำะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนำ ประกอบด้วย รอ้ ยละ ค่ำเฉล่ีย และสว่ น เบีย่ งเบนมำตรฐำน และสถิตเิ ชงิ อนมุ ำน ประกอบด้วย paired t-test และ independent t – test. ผลการศึกษา : กลุ่มทดลองส่วนใหญ่เป็นเพศชำย ร้อยละ 81.8 อำยุเฉล่ีย 39ปี ระดับกำรศึกษำประถมศึกษำ ร้อยละ 39.4 และใน ครอบครัวเคยมีเด็กป่วยโรคมอื เท้ำปำกร้อยละ 9.09 ผลวิจัยพบว่ำ หลังกำรทดลองกลุ่มทดลองมีควำมรู้ เร่ืองโรค กำรรบั รู้ควำมรุนแรง กำรรับรู้โอกำสเส่ียงของกำรเกิดโรค และพฤติกรรมกำรปฏิบัติตนในกำรป้องกันโรค มือเท้ำปำก สูงกว่ำกลุ่มเปรียบเทียบอย่ำงมี นัยสำคัญทำงสถิติ (p<0.001) สรุป : กำรจัดโปรแกรมสุขศกึ ษำร่วมกบั ทฤษฎีแรงจูงใจเพื่อป้องกนั โรคของผู้ปกครองเดก็ ก่อนวัยเรยี นในศูนย์พัฒนำ เดก็ เล็ก มคี วำมรู้ โรคมอื เท้ำปำก กำรรบั รู้ควำมรุนแรงของโรค กำรรบั รโู้ อกำสเสี่ยงต่อกำรเกดิ โรคและพฤติกรรม กำรป้องกนั โรคเพม่ิ ขึน และปรับเปลย่ี น พฤติกรรมกำรปฏิบัติตนเพ่อื ปอ้ งกันโรคมือเท้ำปำกในเด็กก่อนวัยเรยี นท่ี ถกู ตอ้ ง ดงั นันกำรนำโปรแกรมสุขศกึ ษำรว่ มกับทฤษฎแี รงจงู ใจ เพ่อื ป้องกนั โรคไปใช้ในสถำนศึกษำและชุมชนเพอื่ ลดควำมเส่ียงและกำรแพร่ระบำดของโรคมือเทำ้ ปำกสำเรจ็ คาสาคญั : โปรแกรมสขุ ศึกษำ โรคมอื เทำ้ ปำก,ศนู ยพ์ ฒั นำเด็กเล็ก 8 ธนั วำคม 2563 ณ โรงแรมสุนียแ์ กรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
E-POSTER : ห้องทบั ทมิ สยาม2 P_G1_No4 ผลงานวชิ าการดา้ นโรคติดต่อท่ัวไป/โรคเอดส/์ วัณโรคฯ การพัฒนารปู แบบการแกไ้ ขปญั หาโรคพยาธิใบไม้ในตับโดยการมสี ่วนรว่ ม โรงพยาบาลส่งเสริม สุขภาพตาบลบ้านสาโรง ตาบลคเู มอื ง อาเภอมหาชนะชัย จงั หวัดยโสธร สจุ ิตตรำ ศลิ ำชยั *, เบญจมำศ บุญโถน* นำงสมภมู ิ กัลป*์ ,นำยรศั มี ชอบศิลป์** โรงพยำบำลสง่ เสรมิ สุขภำพตำบลบำ้ นสำโรง* สำนกั งำนสำธำรณสขุ อำเภอมหำชนะชัย** หลักการ : ปี ๒๕๕๙-๒๕๖๑ ตรวจพบหนอนพยำธิทุกชนิด ร้อยละ ๑๑.๑๑ ร้อยละ ๑๐.๗๑ และ ร้อยละ ๑๐.๐๖๙ ตำมลำดับ ใน จำนวนที่ตรวจพบนี ตรวจพบสูงสุดในพืนท่ี คือ พยำธิใบไม้ตับมีอัตรำควำมชุก ร้อยละ ๔.๖๔ ร้อยละ ๔.๕๔ และ ร้อยละ ๘.๔๕ ตำมลำดับ จำกข้อมูลข้ำงต้นจะพบวำ่ ผลกำรตรวจคัดกรองแต่ละปไี ม่มีแนวโน้มลดลง ผู้ศกึ ษำจึงสนใจพัฒนำรูปแบบกำรแก้ไข ปญั หำ โรคพยำธิใบไม้ตับโดยกำรมีสว่ นร่วมของประชำชนในเขตรับผิดชอบ เพื่อศึกษำผลของกำรประยกุ ต์ใช้รปู แบบกำรแก้ไขปัญหำโรคพยำธิ ใบไม้ในตับโดยกำรมสี ่วนร่วม ๒.เพื่อส่งเสรมิ พฤตกิ รรมกำรป้องกนั โรคพยำธิใบไมใ้ นตบั วิธกี ารศกึ ษา : กำรศึกษำเชงิ ปฏิบตั ิกำรแบบมีส่วนร่วม แบง่ เป็น ๓ ระยะ คอื ระยะท่ี๑ กำรค้นหำปญั หำในชุมชนโดยกำรทำประชำคม หมบู่ ้ำน กำรตรวจคัดกรองพยำธิใบไม้ในตบั ด้วยวธิ ี Kato - Katz และจ่ำยยำรักษำโรคพยำธิ กำรประเมินควำมร้แู ละพฤติกรรมในกำร ป้องกนั โรคพยำธิ ใบไม้ในตับ ระยะที่ ๒ กำรดำเนินกำรพัฒนำส่ิงแวดล้อม พฒั นำส้วมสำธำรณะตำมมำตรฐำน HAS ส่งเสรมิ กำร สร้ำง บ่อบำบัดสิ่งปฏิกูล ระยะท่ี ๓ กำรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในกำรป้องกันโรคพยำธิใบไม้ในตับในกลุ่มเส่ียง ทำกำรวัดก่อน และหลัง เคร่ืองมือที่ใช้เปน็ แบบทดสอบควำมรู้เกี่ยวกับพฤตกิ รรมกำรปอ้ งกนั โรคพยำธิใบไม้ตบั แบบสอบถำมเกย่ี วกับพฤตกิ รรมกำรป้องกันโรค พยำธใิ บไม้ตับและพฤตกิ รรมกำรบริโภคอำหำร กำรวิเครำะหข์ ้อมูลท่วั ไป ใช้สถติ ิเชิงพรรณนำ รอ้ ยละ ค่ำเฉลย่ี ผลการศกึ ษา : ระยะท่ี ๑ ประชำชนเขำ้ ร่วมประชำคม ๓๕๘ คน ประกอบไปดว้ ย ผูน้ ำ ชมุ ชน ตวั แทนอบต.คูเมือง สมำชกิ สภำอบต.ใน พืนที่ คณะกรรมกำรหมู่บ้ำน อสม. ตวั แทนกลมุ่ สตรีแม่บ้ำน ตัวแทนกล่มุ เยำวชน ตัวแทนผพู้ กิ ำรผู้สูงอำยุ ตวั แทนพระภิกษสุ งฆ์ ตัวแทน จำกครู และประชำชนผมู้ ีส่วนได้ ส่วนเสีย ได้รว่ ม เสนอปัญหำ เสนอควำมต้องกำรของตนเอง แนวทำงแก้ไขของหมูบ่ ำ้ น ตรวจคน้ หำผู้ ตดิ เชือพยำธดิ ้วยวิธี Kato - Katz พบวำ่ ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ พบไข่หนอนพยำธิ ควำมชุกร้อยละ ๑๑.๑๑ ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ พบไขห่ นอนพยำธิ ควำมชุกร้อยละ ๑๐.๗๑ และปี พ.ศ. ๒๕๖๑ พบไข่หนอนพยำธิควำมชุกร้อยละ ๑๐.๐๖ ระยะที่ ๒ รพ.สต.บ้ำนสำโรง ผำ่ นมำตรฐำน ส้วมสำธำรณะ HAS ได้รับรำงวัลสุดยอดส้วมในปี ๒๕๖๐ เผยแพร่มำตรฐำนHas สู่เครือข่ำยในชุมชน จำนวน ๔๕๙ ครัวเรอื น สำรวจ สว้ ม ๖๐๒ โถส้วม แยกเป็น ส้วมน่ังยอง ๔๕๓ โถ ร้อยละ ๗๕.๒๔ ส้วมนั่งรำบ ๑๔๙ โถ ร้อยละ ๒๔๗๕ ครัวเรือนมกี ำรปรับปรงุ โถส้วม จำกสว้ มน่งั ยอง เปน็ สว้ มนง่ั รำบ ๙๗ ครวั เรอื น รวมแลว้ มสี ว้ มโถนงั่ รำบรอ้ ยละ ๒๔๖ โถ คดิ เป็น รอ้ ยละ ๔๐.๘๖ มกี ำรดำเนนิ งำนจดั ตัง กองทุนส้วม มีเงินหมุนเวียนกองทุน ๒๕,๐๐๐บำท กำรสร้ำงบ่อบำบัดสิ่งปฏิกูล ตำบลคูเมือง สร้ำงแล้วเสร็จและใช้งำนในปี ๒๕๖๒ ระยะที่ ๓ ปรบั เปลย่ี นพฤติกรรมกำรป้องกันโรคพยำธขิ องกลุ่มเส่ยี ง จำนวน ๕๐ คน มีอำยุระหว่ำง ๕๐ - ๕๕ ปี มำกท่ีสุด ร้อยละ ๔๐ เป็นเพศชำย รอ้ ย ละ ๙๐ สถำนภำพกำรสมรสคู่ ร้อยละ ๗๘ จบระดบั ประถมศึกษำมำกท่ีสดุ ร้อยละ ๖๖ อำชพี ทำนำมำกทส่ี ดุ รอ้ ยละ ๖๔ มีส้วมใช้ ร้อยละ ๑๐๐ อำหำรท่ีกินมำกท่ีสุดคือ ปลำ ป้ิง/ย่ำง/เผำสุกๆดิบๆ ร้อยละ ๖๒ เคยนำอุจจำระไปตรวจเพื่อหำไข่พยำธิ ร้อยละ ๑๐๐ ผลตรวจอุจจำระพบไข่พยำธใิ บไมใ้ นตบั ร้อยละ ๘๒ คนในครอบครัวส่วนใหญไ่ มม่ ีประวัตปิ ว่ ยเปน็ โรคมะเรง็ ท่อนำด/ี โรค พยำธใิ บไม้ตบั รอ้ ยละ ๙๑ หน่ึงปีท่ผี ำ่ นมำเคยไดร้ ับกำรตรวจสุขภำพประจำปี ร้อยละ ๗๘ เปรียบเทยี บคำ่ เฉลี่ยคะแนนควำมรู้ มคี วำมรู้ เก่ียวกับพฤติกรรมกำรปอ้ งกันโรคพยำธิใบไม้ ตบั ค่ำเฉลี่ยเท่ำกับ ๑๑.๐๐ และพฤติกรรมเกี่ยวกบั กำรป้องกันโรคพยำธใิ บไมต้ ับในด้ำน กำรปฏิบัติตน ค่ำเฉลี่ย เท่ำกับ ๒.๔๑ พฤติกรรมกำรบริโภคอำหำร ค่ำเฉลี่ยเท่ำกับ ๔.๑๗ อยู่ในระดับปำนกลำง หลังทดลอง พบว่ำ ประชำชนกล่มุ เส่ยี งมีค่ำเฉลย่ี ควำมรอู้ ยู่ในระดับสูงคำ่ เฉลีย่ เท่ำกบั ๑๓.๔๓ และพฤตกิ รรมเกยี่ วกับกำรปอ้ งกันโรคพยำธิใบไม้ตบั ในดำ้ น กำรปฏบิ ัตติ น ค่ำเฉลยี่ เท่ำกับ ๓.๘๐ พฤตกิ รรมกำรบรโิ ภคอำหำร ค่ำเฉล่ียเท่ำกับ ๕.๗๗ อยูใ่ นระดับปำนกลำง มำกกว่ำก่อนกำรทดลอง ข้อเสนอแนะ : ๑. พฤติกรรมกำรบริโภคอำหำรของประชำชนยังอยู่ในระดับปำนกลำง ควรมีกำรส่งเสริมควำมรู้ในกำรบริโภคอำหำร ให้กับประชำชน ผ้ปู ระกอบกำรรำ้ นค้ำ แผงลอยจำหน่ำยอำหำรปรุงสำเร็จ กลุ่มเดก็ วยั เรียนเพือ่ สง่ เสรมิ และปลกู ฝังพฤติกรรมสุขภำพ ของเด็กในกำรเลอื กบริโภคอำหำร ร่วมกับกิจกรรม อย.น้อยในโรงเรียน ๒. ในพืนทีต่ ำบลคูเมือง อำเภอมหำชนะชัย จังหวัดยโสธร ยัง ขำดกำรสำรวจพยำธใิ บไม้ในตบั ในหอย และปลำในแมน่ ำ 8 ธนั วำคม 2563 ณ โรงแรมสุนีย์แกรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
E-POSTER : หอ้ งทบั ทิมสยาม2 P_G1_No5 ผลงานวิชาการดา้ นโรคตดิ ต่อท่ัวไป/โรคเอดส์/วณั โรคฯ โครงการรูปแบบการให้คาปรกึ ษาปัญหาสุขภาพ สาหรับนักศกึ ษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น ในยุค NEW NORMAL หนว่ ยบรกิ ารปฐมภมู ิ123 มหาวิทยาลัยขอนแก่น พหรุ ัตน์ ดนี อก* (พยาบาลและผดงุ ครรภ)์ วรสิ รำลวุ รี ะ แพทยศำสตรบ์ ัณฑิต พรรษ โนนจยั แพทยศำสตร์บณั ฑิต วิลำวณั ย์ อุน่ เรือน พยบ. (พยำบำลและผดงุ ครรภ์) สะอำด โยธำทลู (พยำบำลและผดุงครรภ์) หน่วยบรกิ ำรปฐมภูม1ิ 23มข.จังหวัดขอนแก่น ความเป็นมา : ปัญหำโรคไวรัส โควิด-19 รัฐบำลประกำศได้ภำวะฉุกเฉิน นักศึกษำที่ต้องกำรมำรับคำปรึกษำด้ำนควำมเครียดไม่ สำมำรถมำรับบรกิ ำรได้รวมทังผู้ท่ตี อ้ งดูแลต่อเนื่องอำจเกดิ ปัญหำจำกกำรขำดนัดได้ จำกสถิติผทู้ ่ีมำรับคำปรกึ ษำควำมเครยี ดจำกแพทย์ ประจำบ้ำนสำขำเวชปฏิบัติครอบครัวและอำจำรย์ประจำภำควิชำเวชศำสตร์ชุมชนของ หน่วยบริกำรปฐมภูมิ 123 มข. ตังแต่เดือน มกรำคม 2562 ถึง ธันวำคม มี เฉล่ียเดือนละ 30-40 รำย 2562ดังนันเพ่ือ เป็นเกิดผลดีต่อกำรรักษำต่อเนื่องในนักศึกษำกลุ่มนีหน่วย บริกำรปฐมภมู ิ123 มหำวทิ ยำลยั ขอนแกน่ จงึ ไดจ้ ัดทำ รูปแบบกำรให้บรกิ ำรให้คำปรกึ ษำต่อเนือ่ ง ผำ่ นโปรแกรมGoogle Meeting วตั ถุประสงค์ : พัฒนำรูปแบบกำรบริกำรให้คำปรกึ ษำในภำวะวกิ ฤติผู้รบั บริกำรท่มี ำรับคำปรึกษำปัญหำสุขภำพ ได้รับกำรดแู ลต่อเนือ่ ง เหมำะสม สง่ เสรมิ คุณภำพชีวติ ในยคุ New Normal วิธีดาเนินการ : กำรพัฒนำกำรให้คำปรึกษำโดยใช้google meetingกลุ่มเป้ำหมำยคือนักศึกษำรำยท่ีนัดผ่ำนทำงเฟส บุกของหน่วย บริกำรปฐมภูมิ123มข. และนัดตรวจติดตำมกำรรักษำพบแพทย์วันละ 1-2 คน และต้องประเมิน209แล้ว และได้รับคำชีแจง กำรนัด หมำยและกำรใช้Google Meeting ขณะรับบริกำรต้อง เปิดใช้กล้อง เวลำเฉล่ีย 1.5 ช่ัวโมง ต่อ รำย ประเมินควำมพึงพอใจทุกครัง Conference ทกุ บำ่ ยวนั อังคำร ตังแต่ 1 เมษำยน ถงึ 31 สิงหำคม ผลการดาเนินการ : ได้รูปแบบกำรให้คำปรึกษำใหม่ มีผู้ขอรับบริกำรทังสิน 28คน ควำมพึงพอใจมำกท่ีสุดคือกำร เข้ำถึงบริกำรให้ คำปรกึ ษำร้อยละ90 และพงึ พอใจต่อกำรให้บริกำรทุกดำ้ นรอ้ ยละ 85กำรรบั ยำ ในรำยท่ีไมส่ ำมำรถ มำรบั ยำได้ จะส่งยำพรอ้ มใบนดั ถึง บ้ำน ในรำยท่ีสำมำรถมำรบั ยำได้ ใหม้ ำรับยำเองหำกมนี ดั ปรกึ ษำต่อเนื่องต้องลง บนั ทกึ นัดในสมดุ นัดและในระบบให้คำปรกึ ษำทกุ ครงั สรุป : กำรให้บริกำรGoogle meetingสำมำรถใช้ติดตำมกำรรักษำและมีช่องทำงให้บริกำรสำหรับผู้ที่ต้องกำรรับ คำปรึกษำแต่เสียง และภำพไมช่ ัดเจนขึนอยกู่ บั สัญญำณอินเตอรเ์ นตซ่ึงตอ้ งนำไปปรับรปู แบบกำรให้บริกำร คาสาคัญ : กำรใหบ้ รกิ ำรใหค้ ำปรกึ ษำ New normal ตดิ ตำมกำรรักษำอย่ำงตอ่ เนอื่ ง 8 ธนั วำคม 2563 ณ โรงแรมสุนีย์แกรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
E-POSTER : ห้องทบั ทิมสยาม2 P_G1_No6 ผลงานวิชาการดา้ นโรคติดต่อท่ัวไป/โรคเอดส/์ วณั โรคฯ การศึกษาปจั จัยที่ผลต่อการกดไวรัสเอชไอวใี นผตู้ ิดเช้อื ที่รบั ประทานยาตา้ นไวรัส โรงพยาบาลด่านขนุ ทด จงั หวัดนครราชสมี า ศศธิ ร ชำววัลจันทึก, ภ.บ. (เภสัชศำสตร)์ โรงพยำบำลดำ่ นขุนทด สำนักงำนสำธำรณสขุ จังหวัดนครรำชสมี ำ หลักการและวัตถุประสงค์ : โรงพยำบำลด่ำนขุนทดมีผู้ติดเชือเอชไอวีและรับยำต่อเน่ืองทังหมด 315 คน ผู้ติดเชือเอชไอวีรับยำต้ำน ไวรสั สว่ นใหญ่อยใู่ นช่วงวยั รนุ่ ถึงวัยทำงำน (20-60 ปี) 25 - 49 ปี จำนวน 216 คน (69%) อำยุ 50 ปีขึนไป จำนวน 78 คน (25%) และ ชว่ งอำยุ 20 – 24 ปี จำนวน 14 คน (4%) หลังจำกผู้ติดเชอื เอชไอวีเร่ิม รับประทำนยำ 3 - 6 เดือนแรกจะได้รับกำรตรวจจำนวน viral load ซึ่งผู้ติดเชือเอชไอวีท่ีไม่สำมำรถกดไวรัสได้ (viral load <50 copies/ml) และพบกำรดือยำพบในกลุ่มอำยุ 20 – 60 ปี ซ่ึงยังไม่ เคยทำกำรศึกษำเพื่อค้นหำปัจจัยหำทำงแก้ไขในแต่ละช่วงอำยุ จึงสนใจศึกษำปัจจัยท่ีผลต่อกำรกดไวรัสเอชไอวี ในผู้ติดเชือท่ี รบั ประทำนยำต้ำนไวรัส และหำควำมชกุ ของกำรเกิดเชือดอื ยำต้ำนไวรสั ในผ้ตู ิดเชอื เอชไอวีแตล่ ะชว่ ง อำยุ วิธีการศึกษา : เปน็ กำรศึกษำแบบเชิงพรรณนำ cross sectional study เกณฑ์กำรคัดเข้ำ ผู้ติดเชือเอชไอวีรำยใหมท่ ุกรำยที่เรมิ่ รับยำ ต้ำนไวรัสในโรงพยำบำลด่ำนขุนทด ตังแต่วันท่ี 1 9 ต.ค.2558 ถึง 31 ต.ค. 2561 ระยะเวลำกำรศึกษำ เคร่ืองมือที่ใช้ แบบบันทึกกำร เก็บข้อมูลรวบรวมข้อมูลควำมร่วมมือในกำรใช้ยำจำกเวชระเบียนและผลตรวจทำงห้องปฏิบัติกำรจำกเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์จำก ฐำนข้อมูล HOSXP รวบรวม ข้อมูล baseline CD4 ผล viral load และสูตรยำต้ำนไวรัสเร่ิมต้นจำกบันทึกข้อมูลลงระบบ NAP ของ สปสช. วิเครำะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรม Stata 14.0 สถิติท่ีใช้เป็นข้อมูลเชิงปริมำณ ร้อยละ และสถิติวิเครำะห์ multiple logistic regression ผลการศกึ ษา : กำรศกึ ษำพบว่ำเพศหญงิ เรม่ิ รบั ยำเรว็ กว่ำเพศชำยโดยคำ่ กลำงของ baseline CD4 ในผหู้ ญิง คือ 284 cel/ml ในขณะ ทค่ี ่ำกลำงของ baseline CD4 ของผู้ชำย เท่ำกับ 184 cell/ml เมื่อศึกษำผลกำรกดไวรัสเอชไอวีหลัง เริ่มยำต้ำนไวรัส พบว่ำผู้ติดเชือ เอชไอวี/เอดส์รอ้ ยละ 75 สำมำรถกดไวรัสได้ สว่ นใหญ่ใหค้ วำมร่วมมอื ในกำรรบั ประทำนยำ ซ่งึ ไม่มีควำมแตกตำ่ งกันระหว่ำงเพศชำยกับ เพศหญงิ ควำมชุกของผู้ตดิ เชือเอชไอวี/เอดส์ที่พบกำร ดือยำต้ำนไวรัสร้อยละ 9.68 ของผู้ติดเชือเอชไอวีรำยใหม่ทเ่ี ริ่มยำตำ้ นไวรัสครัง แรก กลุ่มอำยํตุ ำ่ กวำ่ 20 ปพี บกำรซือยำสูงกวำ่ ชว่ งอำยุอ่นื ๆ และพบกำรกดไวรัสในสัดส่วนทํี่ต่ำกวำ่ ช่วงอำยุอ่ืนๆ วิเครำะหป์ ัจจยั ท่มี ีต่อ กำรกดไวรัส (VL-50) ผู้ที่มี baseline CD4 มำกกว่ำ 250 cell/ml สำมำรถกดไวรัสได้มำกกว่ำผู้ที่เร่ิมยำขณะ CD4 ต่ำกว่ำ 250 cell/ml เป็น 0.29 เท่ำ (95%CI; 0.15-0.59, p-0.001) วิเครำะห์ปัจจัยอ่ืนร่วม ได้แก่ เพศ อำยุ ควำมร่วมมือในกำรใช้ยำ พบว่ำผู้ท่ี baseline CD4 มำกกว่ำ 250 cell/ml สำมำรถกดไวรัสได้มำกกวำ่ ผทู้ ี่ baseline CD4 ต่ำำกว่ำ 250 cell/ml เปน็ 1.71 เท่ำ (95%CI; 0.66-442, p-0.267) สรปุ ผลและข้อเสนอแนะ : ผตู้ ิดเชอื เอชไอวี/เอดสท์ ี่เริม่ ยำตำ้ นไวรัสเรว็ จะมโี อกำสตอ่ กำรรกั ษำคอื เปน็ ปัจจยั ท่มี ีผล ตอ่ กำรกดไวรัสหลงั เร่ิมรับประทำนยำ และควำมชุกกำรดือยำพบในกล่มุ อำยตุ ่ำกว่ำ 20 ปี และมีสัดส่วนในกำรกดไวรัสเอชไอวีไดต้ ่ำกวำ่ กลุ่มวัยอน่ื ๆ ดงั นัน กำรใหค้ ำปรกึ ษำด้ำนยำ (Intensive counseling) จำเป็นต้องกำรให้กำรดูแลเป็นพเิ ศษมำกกวำ่ กลุ่มชว่ งอำยุอ่ืนๆ ข้อจำกัดคอื ยังไม่ได้ กำรศึกษำปัจจัยของอำกำรไม่พึงประสงค์จำกยำท่ีอำจส่งผลกระทบให้ผู้ติดเชือเอชไอวี ผู้ป่วยเอดส์ นอกจำกนีควรมี กำรศึกษำที่นำน มำกขึนเพอ่ื จำนวนผูท้ ่ีเขำ้ ร่วมกำรศกึ ษำมำกกวำ่ เดิม เพอ่ื ดูปัจจยั ทม่ี ีผลตอ่ กำรกดไวรัสเอชไอวีได้ กำรนำผลกำรศึกษำปัจจยั ท่ีผลต่อกำร กดไวรสั เอชไอวีในผตู้ ิดเชือท่รี ับประทำนยำต้ำนไวรัส คือ กำรเร่มิ ยำเร็วท่ี CD4 สูงมีผลกำรกดไวรัสเอชไอวีได้ ดงั นันกลุ่มผู้ชำยเพศชำย ควรได้รบั กำรบริกำรใหค้ ำแนะนำเจำะ เลอื ดแบบเชิงรกุ ได้แก่ กลมุ่ ชำยมีเพศสัมพันธก์ ับชำย, ผู้ปว่ ยคลินิกสุรำเรอื รัง, และสำมีของหญิง ตังครรภ์ เพ่ือค้นหำผู้ป่วยและให้ผ้ปู ่วยได้เริ่มยำเร็วขึน ร่วมพัฒนำงำนบริบำลเภสัชกรรมด้ำนให้คำปรึกษำกลุ่มผ้ตู ิดเชือวัยรนุ่ ที่ต้องให้ คำปรกึ ษำด้วยเทคนิคพิเศษ ใหเ้ กดิ ควำมเขำ้ ใจและสัมพันธภำพท่ีดี สร้ำงควำมร่วมมือในกำรรักษำอย่ำงตอ่ เนอื่ ง คาสาคญั : antiretroviral, HIV, adherence 8 ธันวำคม 2563 ณ โรงแรมสุนยี แ์ กรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
E-POSTER : ห้องทบั ทมิ สยาม2 P_G1_No7 ผลงานวชิ าการด้านโรคติดต่อท่วั ไป/โรคเอดส/์ วัณโรคฯ การป้องกนั การติดเช้อื วัณโรคของประชาชนที่อยูใ่ นชุมชนที่มีผปู้ ่วยวณั โรคด้อื ยาหลายขนาน อาเภอขขุ ันธ์ จังหวดั ศรสี ะเกษ วินิจ มนทอง วท.บ. (สำธำรณสขุ ชมุ ชน) โรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพตำบลคลองกลำง อำเภอขุขนั ธ์ จงั หวัดศรสี ะเกษ หลักการและวัตถุประสงค์ : เชือวัณโรคดือยำหลำยขนำน พบว่ำยังมีกำรแพร่กระจำยเชืออยู่ในชุมชน อำเภอขุขันธ์ และเป็นพืนที่ท่ีมี อตั รำอุบตั กิ ำรณ์ของกำรเกดิ วัณโรคสูง และยงั พบผู้ปว่ ยวณั โรคดอื ยำหลำยขนำนตดิ ตอ่ กนั เป็น 10 ปี วณั โรคดอื ยำหลำยขนำนถอื เป็นตัว บง่ ชีว่ำชุมชนทีเ่ กิดโรคมีควำมเสี่ยงตอ่ กำรเชือติดวัณโรคทังคนในครอบครวั ผู้ปว่ ยและคนในชมุ ชนดงั นันควำมรู้ ทศั นคติ และพฤตกิ รรม กำรป้องกันวัณโรค จึงเป็นปัจจัยสำคัญต่อกำร แพร่กระจำยของชือวัณโรคในชุมชน กำรวิจัยนีมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษำระดับควำมรู้ ทัศนคติและพฤติกรรมกำร กำรป้องกันวัณโรคของประชำชนท่ีอยู่ในชุมชนเดียวกันกับผู้ป่วยวัณโรคดือยำหลำยขนำนในชุมชน อำเภอขุขนั ธ์ จังหวัดศรีสะเกษ วิธกี ารศึกษา : คัดเลอื กผูส้ ัมผัสโรควัณโรคปอดดือยำ ท่ีอย่ใู นชมุ ชน 2 ชุมชนโดยใชต้ ัวแทนหลังคำเรือนละ 2 คน จำนวน 220 คน เก็บ ข้อมูลตังแต่วันที่ 1 มกรำคม 2563 ถึง 30 กันยำยน 2563 โดยใช้แบบสอบถำม สถิติท่ีใช้วิเครำะห์ ข้อมูลได้แก่ Chi-square test, Fisher's exact test และ Multiple logistic regression หำขนำดควำมสมั พนั ธด์ ้วย Odds retio และชว่ งควำมเช่ือมน่ั 95% ผลการศึกษา : พบว่ำ กลุ่มตัวอย่ำงมีพฤติกรรมกำรป้องกันวัณโรคอยู่ในระดับสูง ร้อยละ 41% ปัจจัยอ่ืนๆ ที่มี ควำมสัมพันธ์กับ พฤติกรรมกำรป้องกันวณั โรคท่ีระดับนัยสำคัญทำงสถิติ 0.05 ได้แก่ รำยได้ระดับกำรศึกษำ และ เจตคติ (p = 0.024, p = 0.004, p < 0.001) ปัจจยั นำกลุ่มตัวอยำ่ งมีกำรรบั รู้ประโยชน์อุปสรรคในกำรปฏบิ ัติระดบั สูง รอ้ ยละ 68.12 และแรงจงู ใจในระดบั สงู รอ้ ยละ 71.33 ปัจจัยเอือมีควำมสัมพันธ์กับพฤตกิ รรมกำรปอ้ งกนั วณั โรคดือ ยำ จำกกำรวเิ ครำะห์แบบตัวแปรเดีย่ ว ได้แก่ กำรไดร้ ับสนับสุนนอุปกรณ์ ในกำรป้องกันวัณโรค (p = 0.013) แตจ่ ำก กำรวเิ ครำะหแ์ บบพหตุ ัวแปร ไมม่ คี วำมสมั พนั ธแ์ ตร่ ะบุวำ่ ไดร้ บั กำรสนบั สนนุ อปุ กรณ์ในกำร ปอ้ งกนั วณั โรครอ้ ย ละ 71.44 ปัจจัยเสรมิ กลมุ่ ตวั อยำ่ งระบุว่ำบคุ ลำกรทำงกำรแพทย์และสำธำรณสขุ ได้ใหค้ วำมรู้กำรป้องกนั ตัวเองจำก วัณโรคเปน็ อันดับหน่งึ ร้อยละ 85.32 สรุป : กำรศึกษำพฤติกรรมกำรป้องกันกำรติดเชือวัณโรคปอดดือยำ ของประชำชนอยู่ในระดับสูงที่ 41% บ่งชีว่ำ มี ประชำชนที่ยังมี พฤติกรรมกำรป้องกันตัวเอง เพื่อไม่ให้ติดเชือวัณโรคปอดอยู่ในระดับต่ำอยู่ ซึ่งประชำชนกลุ่มนี สำมำรถติดเชือวัณโรคดือยำ และนำ ควำมเส่ยี งต่อกำรติดเชือวัณโรคดือยำมำแพร่กระจำยสู่ชุมชนได้อีก จึงถือวำ่ เปน็ ปจั จัยหลักทจี่ ะทำใหเ้ ชอื วัณโรคดอื ยำหลำยขนำนยงั คง มกี ำรแพรก่ ระจำยอยใู่ นชมุ ชน จงึ ต้องเร่งรดั มอบอุปกรณ์ป้องกัน จัดกำรอบรมเพิม่ ทกั ษะ แบบเข้มขน้ เพอ่ื กำรป้องกันกำรตดิ เชอื วณั โรค ปอดดือยำใหแ้ ก่ประชำชนทยี่ งั มี พฤติกรรมกำรป้องกันวณั โรคทีอ่ ยใู่ นระดบั ต่ำอยู่ ควบค่กู บั กำรปอ้ งกนั กำรแพรก่ ระจำยเชือโดยตรงจำก ผปู้ ว่ ย ผลกั ดันให้เกดิ กำรศึกษำนีไปยังชุมชนอ่นื โดยเฉพำะกลุ่มเสย่ี งที่เป็นผสู้ ูงอำยุ และกลมุ่ โรคเรือรงั ใหไ้ ดร้ ับศึกษำ พฤติกรรมทุกคน ซึ่งจะชว่ ยลดควำมควำมเสยี่ งตอ่ กำรตดิ เชือวณั โรคดอื ยำ และเพิม่ ประสิทธภิ ำพกำรป้องกันไม่ให้ เกดิ ผปู้ ่วยวณั โรครำยใหม่ด้วย คาสาคญั : พฤติกรรมกำรปอ้ งกนั วณั โรค,วณั โรคดือยำหลำยขนำน 8 ธันวำคม 2563 ณ โรงแรมสุนยี ์แกรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
ประเภทนาเสนอแบบ โปสเตอร์อิเลก็ ทรอนคิ ส(์ E-Poster) บทคัดย่อ ผลงำนวชิ ำกำร โรคจำกกำรประกอบอำชีพและสิ่งแวดล้อม / โรคไม่ตดิ ต่อ (สถำนท่ี : หอ้ งจัดนิทรรศกำรผลงำนเดน่ ) 8 ธันวำคม 2563 ณ โรงแรมสุนีย์แกรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
E-POSTER : หอ้ งนิทรรศการผลงานเด่น P_G2_No1 โรคจากการประกอบอาชพี และส่งิ แวดล้อม /โรคไม่ตดิ ต่อ การวเิ คราะห์ 5 มิติโรคพษิ สารกาจดั ศัตรพู ืช ในเขต 10 ปี พ.ศ. 2558 - 2562 เฌอมำวรี ์ กำระเกษ วท.บ. (สำธำรณสขุ ศำสตร์) สำนกั งำนป้องกนั ควบคมุ โรคท่ี 10 จงั หวดั อบุ ลรำชธำนี หลักการและวัตถุประสงค์ : โรคพิษสำรกำจัดศัตรูพชื เป็นหนงึ่ ในกลุ่มโรคจำกกำรประกอบอำชีพและส่งิ แวดลอ้ ม ในระบบเฝ้ำระวัง 5 โรค 3 มิติ ซึ่งเป็นแนวทำงในกำรวเิ ครำะห์สถำนกำรณ์โรคร มิติ ได้แก่ ปจั จยั ต้นเหตุ พฤติกรรมเสีย่ ง มำตรกำรควบคุมป้องกนั โรค กำร เจ็บป่วย เหตุกำรณ์ผิดปกติ ในเขต 10 ปี พ.ศ. 2558 – 2562 เพื่ออธิบำยควำมสัมพันธ์ และวิเครำะห์ประเมินสถำนกำรณ์ เพ่ือใช้ วำงแผนจัดกำรกบั โรคพิษสำรกำจดั ศัตรพู ชื วิธีการศึกษา : รูปแบบกำรศึกษำเป็นแบบภำคตัดขวำง (Cross-sectional study) โดยรวบรวมข้อมูลจำกฐำนข้อมูล ทังภำพรวม ประเทศและขอ้ มูลเขต 10 ปี พ.ศ. 2558 - 2562 เพือ่ จดั ทำฐำนข้อมลู และวิเครำะหต์ ำมกรอบกำรวเิ ครำะห์ 5 มิติ ผลการศึกษา : ปริมำณกำรนำเขำ้ สำรกำจัดศัตรพู ืชเข้ำมำในประเทศไทยตงั แต่ ปี พ.ศ. 2554 - 2562 มีกำรนำเข้ำสำรกำจัดวัชพืชมำก ที่สุด แต่ข้อมูลอัตรำป่วยจำกสำรกำจัดศัตรูพชื ในเขต 10 กลบั พบว่ำ มีอัตรำป่วยจำกสำรกำจัดแมลง มำกที่สดุ เมื่อเปรียบเทียบอัตรำ ป่วยกับจำนวนเกษตรกรและพืนที่กำรเพำะปลูก พบว่ำ จังหวัดท่ีมีจำนวนเกษตรกร และพืนท่ีเพำะปลูกมำท่ีสุดคืออุบลรำชธำนี แต่ จงั หวัดท่ีมอี ัตรำป่วยมำกท่ีสุดกลับเป็นจังหวัดศรีสะเกษ ดำ้ นข้อมลู กำร จดั บริกำรอำชวี อนำมัยให้กับแรงงำนในชุมชน เปรียบเทียบกับ อตั รำป่วยโรคพษิ สำรกำจัดศตั รูพืช ปี 2561-2562 พบวำ่ ทุกจังหวัดมีอัตรำปว่ ย ๆ ลดลงจำกปี 2561 ยกเว้นจังหวัดอุบลรำชธำนี ด้ำน ขอ้ มูลพฤติกรรมจำก Health Data Center (HDC) กำรตรวจหำระดับเอนไซม์โคลีนเอสเตอเรสในเลือดในผู้รับบริกำร ฯ ท่ีมีอำยุ 15 ปี ขึนไป ในปี พ.ศ. 2562 ผลไม่ปลอดภัย พบว่ำ ทุกจังหวดั ลดลงจำก ปี 2561 ยกเว้นศรีสะเกษที่เพมิ่ ขึน ส่วนผลเส่ียง พบว่ำ จังหวัดที่มี ผลเสย่ี งลดลงจำก ปี 2561 คอื อำนำจเจรญิ และอบุ ลรำชธำนี สว่ นยโสธร ศรสี ะเกษ และมกุ ดำหำร ผลเสี่ยง เพิ่มขนึ จำกปี 2561 สรุป : ปัจจัย ทงั 5 มิติ ขอ้ มูลยังบำงสว่ นยังมีขอ้ จำกัด เช่น ข้อมูลด้ำนพฤตกิ รรม ทไ่ี ด้จำกกำรตรวจหำระดับเอนไซม์ โคลนี เอสเตอเรส ในเลอื ด ซึ่งมีข้อจำกัดท่ีตรวจไดเ้ ฉพำะผู้สัมผสั สำรเคมปี ระเภทออกำโนฟอสเฟสและคำรบ์ ำเมต ไม่สำมำรถสรุปได้วำ่ ผลดังกลำ่ วมำจำก พฤตกิ รรมกำรสมั ผัสสำรเคมีกำจดั ศัตรูพืช ดงั นนั จึงควรมกี ำรสำรวจขอ้ มูล ด้ำนพฤติกรรมกำรสัมผัสสำรเคมกี ำจดั ศัตรูพืชของเกษตรกร เพ่ิมเตมิ และข้อมูลส่วนมำกเป็นข้อมูลทุติยภูมิ ควรไดร้ ับกำรตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้อง จำกกำรศกึ ษำดังกล่ำวทำให้ทรำบจดุ บกพร่อง ด้ำนฐำนข้อมลู ที่ไม่สมบรู ณ์ และทำให้กำรเชื่อมโยงข้อมลู อำจไมส่ อดคลอ้ งกับควำมเปน็ จรงิ คาสาคัญ : 5 โรค 5 มิต,ิ สำรเคมีกำจัดศตั รูพืช เขต 10 8 ธนั วำคม 2563 ณ โรงแรมสนุ ยี ์แกรนด์ฯ จ.อุบลรำชธำนี
Search