9.7. ระบบควบคุมอณุ หภูมิไอน้ำยวดยง่ิ 193ยวดยิง่ ปฐมภมู ิ ในขณะที่ไอน้ำไหลจากเครือ่ งทำไอน้ำยวดยิง่ ปฐมภูมิไปยังเครื่องทำไอน้ำยวดยงิ่ ทตุ ยิ ภมู ิแอตเทมเพอเรเทอร (attempetor) รับไอน้ำจากเคร่ืองทำไอนำ้ ยวดยิง่ ปฐมภูมิและพน ละอองน้ำไปผสมกับไอน้ำกอนสง ไอนำ้ ท่ีมีอณุ หภมู ิลดลงไปยงั เคร่อื งทำไอน้ำยวดย่งิ ทุตยิ ภูมิ น้ำท่ีไหลเขา แอตเทมเพอ-เรเทอรไดมากจากเคร่ืองประหยดั เชือ้ เพลงิ เซน็ เซอรวัดอุณหภมู ิตวั ท่ี 1 ( TT1) ติดต้ังท่ีทางออกจากเครื่องทำไอนำ้ ยวดยงิ่ ทุติยภมู ิ และเซน็ เซอรวดั อุณหภมู ิตัวท่ี 2 (TT2) ติดต้งั ที่ทางออกจากแอตเทม-เพอเรเทอร ตวั ควบคุมอุณหภูมิตวั ที่ 1 (TC1) รับสญั ญาณจาก TT1 คำนวณผลตางระหวา งสัญญาณนี้กับจุดปรับต้ังอุณหภมู ิซึ่งเปนอณุ หภูมิของไอน้ำยวดยิ่งท่ีตองการ และสง สัญญาณควบคุมไปท่ีตัวควบคมุอณุ หภมู ิตัวที่ 2 (TC2) สญั ญาณน้ีคือ จุดปรับตง้ั ของ TC2 ถา มีความแตกตางระหวา งสัญญาณจาก TT2และจุดปรับต้ังดงั กลา ว TC2 จะสง สญั ญาณควบคมุ ไปท่ีอุปกรณควบคุมแอตเทมเพอเรเทอรซึง่ จะปรับอัตราการไหลของน้ำใหเหมาะสมตอไปรปู ท่ี 9.40: ระบบควบคมุ อุณหภมู ไิ อน้ำยวดย่ิง
194 บทท่ี 9. อปุ กรณและระบบควบคมุคำถามทายบท 1. อธบิ ายการทำงานของระบบควบคุมแบบตอ เรียงกัน 2. ในการวัดผลตา งความดันดว ยมาโนมิเตอรครงั้ หนงึ่ พบวา ระดบั นำ้ ในขาสองขางของมาโนมิเตอร ตางกัน 10 cm จงหาผลตางความดนั 3. อธิบายการทำงานของบูรดองเกจ 4. อธิบายการทำงานของเบลโลวเ กจ 5. เคร่อื งวดั ความดนั ใดทำงานโดยอาศยั การเปล่ียนแปลงความตา นทานไฟฟาของขดลวดโลหะตาม ความยาวของขดลวด 6. การวัดระดบั ของเหลวดว ยมาตรวดั ระดบั จะใหคาคลาดเคลือ่ นอยา งไรถาอุณหภูมิของเหลวใน มาตรวัดระดับตำ่ กวาอณุ หภูมิของเหลวในถงั ทีบ่ รรจุของเหลว 7. อธิบายการทำงานของเครอ่ื งวดั ระดบั แบบแทง ลอย 8. อธบิ ายการทำงานของเคร่ืองวัดระดบั ของเหลวแบบผลตางความดนั 9. เคร่ืองวดั อุณหภูมิประเภทใดใชหลักการท่ีโลหะตางชนดิ ขยายตวั ตามอณุ หภูมิไมเ ทากัน 10. อะไรคือขอ แตกตางระหวา ง RTD กับเทอรม สิ เตอร 11. อะไรคือสัญญาณไฟฟา ทีอ่ อกจากเทอรโมคปั เปล 12. เทอรโมเวลทำหนา ทีอ่ ะไร 13. อธบิ ายการทำงานของทอเวนจรู ิในการวดั อตั ราการไหล 14. เครอื่ งวดั อัตราการไหลประเภทใดใชหลักการที่ผลตา งระหวา งความดันรวม (total pressure) กบั ความดันสถติ (static pressure) เทา กับความดนั จลศาสตร (dynamic pressure) 15. อธิบายความแตกตา งระหวา งทอ แอนนบู ารกบั ทอ พโิ ทตเ ฉลยี่ 16. อธิบายการทำงานของเคร่ืองวดั อตั ราการไหลแบบกระแสวน 17. ในระบบควบคุมภาระแบบเครอ่ื งกงั หนั ตามหมอ ไอนำ้ สัญญาณควบคุมจะถูกสง ไปยงั อุปกรณใด เปน ลำดับแรก 18. อธิบายระบบควบคุมการเผาไหมแ บบไขวก นั 19. ระดับนำ้ ท่ีต่ำเกนิ ไปในถงั พักไอนำ้ จะสง ผลเสียอยา งไร 20. อธิบายขอไดเปรยี บของระบบควบคมุ ระดบั ของเหลวแบบสามองคประกอบเมอื่ เทยี บกับระบบ ควบคมุ ระดับของเหลวแบบสององคป ระกอบ
บทท่ี 10โรงไฟฟาพลังความรอนรวม10.1 วัฏจกั รเบรยต ัน วฏั จกั รท่ีผลิตกำลงั งานในโรงไฟฟากังหนั กา ซเรยี กวา วฏั จกั รกงั หันกาซ (gas turbine cycle) รปูท่ี 10.1 แสดงการทำงานของวฏั จกั รน้ี อากาศจะไหลเขา เครื่องอดั กาซ (compressor) ซ่ึงทำหนา ท่ีเพม่ิความดนั และอณุ หภมู ขิ องอากาศ หลงั จากน้ันอาาศจะเผาไหมกบั เช้อื เพลิงในหองเผาไหม (combustor)กา ซเสยี ท่ีไหลออกจากหอ งเผาไหมมีความดันและอณุ หภูมิสูง กังหนั กา ซ (gas turbine) จะผลติ กำลงังานจากกาซเสียนี้ กำลังงานบางสวนจากกังหันกา ซใชเดนิ เครอื่ งอัดกาซและอุปกรณอ ่ืน ๆ กำลงั งานสวนที่เหลือจึงนำมาใชผลติ ไฟฟา กา ซเสยี ทไ่ี หลออกจากกังหันกาซจะถกู ปลอ ยสสู งิ่ แวดลอม รปู ที่ 10.1: วฏั จักรกังหนั กาซ การวเิ คราะหวัฏจักรกงั หนั กา ซคอ นขา งซับซอ นเนื่องจากอตั ราการไหลของกาซและสมบัติทางเคมีของกาซในวฏั จกั รไมคงที่ วัฏจักรที่วเิ คราะหงายกวา และเปนแบบจำลองของวัฏจักรกังหนั กาซคือวัฏจักรเบรยต นั แบบเปด (open Brayton cycle) รปู ที่ 10.2 แสดงใหเ ห็นวา อุปกรณในวัฏจักรเบรยต ันแบบเปดคลายกบั อุปกรณในวฏั จักรกงั หนั กา ซ อปุ กรณที่แตกตา งกนั คือ เครอื่ งทำใหรอน (heater) ซ่งึทำหนา ที่ใหความรอ นแกวฏั จกั รเบรยตันเหมือนกบั หองเผาไหมที่ใหความรอ นแกวฏั จักรกงั หนั กาซ แต
196 บทท่ี 10. โรงไฟฟาพลงั ความรอ นรวมอากาศไมเปลี่ยนสภาพเปนกาซอืน่ และอัตราการไหลของอากาศก็ไมเปลยี่ นแปลงจากการไหลผานเครอื่ งทำใหร อนรปู ท่ี 10.2: วัฏจกั รเบรยต ันแบบเปด รูปที่ 10.3 แสดงวฏั จักรเบรยตันแบบปด (closed Brayton cycle) สิ่งที่เพม่ิ เติมในวฏั จักรน้ีคอืเครอื่ งทำใหเยน็ (cooler) ซง่ึ จะรบั อากาศรอนทอ่ี อกจากกงั หนั กา ซและลดอุณหภูมิของอากาศใหเ ทากบัT1 วฏั จกั รเบรยตันแบบปด มีคา ใชจายสงู กวาวัฏจกั รเบรยตนั แบบเปด เนื่องจากตอ งมีการตดิ ต้งั เครื่องทำใหเย็น อยางไรก็ตาม วัฏจักรเบรยตนั แบบปดมีขอ ไดเปรียบที่ สารทำงานในวัฏจักรอาจเปนกา ซชนิดอืน่ ท่ีมีคณุ สมบัติดีกวาอากาศ นอกจากน้ี วฏั จักรเบรยตนั แบบปด สามารถทำงานที่ความดันต่ำกวาความดนั บรรยากาศไดซงึ่ จะเพ่มิ ประสทิ ธภิ าพของวัฏจักร ในกรณีท่ีวัฏจักรเบรยตันแบบปด และวฏั จักรเบรยตนั แบบเปดมีอากาศเปนสารทำงานเหมอื นกนั และสถานะของอากาศในวัฏจักรท้งั สองเหมอื นกันประสิทธภิ าพและงานสุทธิของทั้งสองวัฏจกั รจะเทา กนั สมมตุ ิวา สารทำงานในวัฏจกั รเบรยตนั แบบปด เปน กาซในอดุ มคติ (ideal gas) การวเิ คราะหวัฏจักรเริ่มจากการเขียนแผนภูมิ T-s ดังแสดงในรปู ที่ 10.3 จะเหน็ วา มี 4 กระบวนการคอื• กระบวนการ 1-2 เครือ่ งอดั กาซเพม่ิ ความดันกา ซโดยเอนโทรปคงที่• กระบวนการ 2-3 กา ซไดรบั ความรอนโดยความดนั คงท่ี• กระบวนการ 3-4 กงั หนั กา ซลดความดันกาซโดยเอนโทรปคงที่• กระบวนการ 4-1 กา ซสญู เสยี ความรอ นโดยความดนั คงที่เนือ่ งจากสารทำงานเปนกาซในอุดมคติ งานสทุ ธิ (wnet) และความรอ นเขา (qin) มคี า ดงั น้ีwnet = cp(T3 − T4) − cp(T2 − T1) (10.1) qin = cp(T3 − T2) (10.2)โดย cp คือ คาความจุความรอนของกา ซ ประสทิ ธิภาพของวัฏจักร (ηB) มีคา เทา กับงานสุทธิหารดวยความรอนเขา ดงั นั้นηB = 1 − T4 − T1 T3 − T2
10.1. วัฏจักรเบรยตนั 197 รปู ที่ 10.3: วัฏจกั รเบรยตันแบบปด = 1 − T1(T4/T1 − 1) T2(T3/T2 − 1)กระบวนการ 1-2 และ 3-4 เปน กระบวนการท่ีเอนโทรปคงท่ีและไมมีความดนั สญู เสยี ในกระบวนการ2-3 และ 4-1 ดังน้ัน T2 = rp(k−1)/k = T3 (10.3) T1 T4โดยทอ่ี ัตราสว นคา ความจคุ วามรอน k = cp/cv และอัตราสว นความดนั rp = p2/p1 ประสิทธภิ าพของวัฏจกั รจึงมีคาดังน้ี ηB = 1 − T1 T2 = 1 − 1 (10.4) rp(k−1)/kสมการ (10.4) แสดงใหเหน็ วา ประสทิ ธิภาพของวฏั จักรเบรยตันเพ่มิ ข้ึนตาม k กา ซท่ีมีคา k สูงคอืกาซเฉื่อยเชน He และ Ar ซึ่งมีคา k เทากบั 1.67 อยา งไรกต็ าม สารทำงานในวฏั จักรเบรยตนั สว นใหญคือ อากาศซง่ึ มีคา k เทากับ 1.4 นอกจากนี้ ประสิทธิภาพของวัฏจักรเบรยตนั เพมิ่ ขน้ึ ตามอัตราสวนความดัน แตถา กำหนดอณุ หภมู ิสงู สุด (T3) และอุณหภมู ิตำ่ สดุ (T1) ใหคงที่แลวเพม่ิ rp เรือ่ ย ๆ ในท่ีสดุrp จะถึงคาสูงสดุ เทากบั rp.max = ( T3 )k/(k−1) (10.5) T1ท่ีคา น้ีวฏั จักรเบรยตนั มีประสทิ ธิภาพเทา กบั วัฏจกั รคารโนตท่ีทำงานระหวา ง T3 และ T1 อยา งไรก็ตามงานสุทธิท่ีไดจะเปนศูนย ถา คำนงึ ถึงงานที่ไดจากวฏั จกั รเบรยตันมากกวาประสิทธิภาพและตอ งการไดงานสุทธิมากท่ีสุดก็จะตอ งหาอตั ราสวนความดนั ที่เหมาะสม แทนคา อัตราสว นอุณหภูมิจากสมการ(10.3) ในสมการ (10.1) [ ( ) )]wnet = cp T3 1 − 1 − T1 ( − 1 (10.6) rp(k−1)/k rp(k−1)/k
198 บทที่ 10. โรงไฟฟาพลังความรอ นรว มคา rp ท่ีทำให wnet ในสมการ (10.6) มีคา สงู สุดคือrp,opt = ( T3 )k/2(k−1) (10.7) T1ทอี่ ตั ราสวนความดนั นี้ งานสุทธิมคี าสูงสุดเทา กบั ( √ )2wmax = cpT3 1 − T1 (10.8) T3 ประสิทธภิ าพสูงสุดและงานสงู สุดในวัฏจกั รเบรยตันในอุดมคติจะไมเกดิ ขึ้นจรงิ เพราะกระบวนการในวัฏจกั รเบรยตันที่เกิดข้นึ จรงิ เปน กระบวนการผวนกลบั ไมได จากรูปท่ี 10.4 จะเห็นวา กระบวนการ1-2 และ 3-4 เปน กระบวนการท่ีเอนโทรปเพ่มิ ในวัฏจกั รเบรยตันท่ีเกิดขน้ึ จรงิ ถา สมมุติวากาซในวฏั จักรเปน กา ซในอดุ มคติ ประสิทธิภาพของเคร่ืองอดั กาซและเครื่องกงั หนั จะมนี ยิ ามดงั นี้ηc = T2s − T1 (10.9) T2 − T1 (10.10)ηt = T3 − T4 T3 − T4sในวฏั จักรเบรยตันจรงิ เคร่ืองอดั กา ซและเครือ่ งกังหนั จะมีประสิทธิภาพไมถงึ 100% ซึง่ ทำใหงานท่ีตองใหแกเครอ่ื งอัดกาซและงานที่ไดจากเครอ่ื งกงั หนั นอยลง งานสทุ ธิจากวฏั จกั รเบรยตันจรงิ จงึ นอ ยกวาจากวัฏจักรเบรยต ันในอุดมคติ รปู ท่ี 10.4: วฏั จกั รเบรยตันท่ีเกดิ ขน้ึ จริง โดยทว่ั ไปประสทิ ธิภาพของวฏั จักรเบรยตนั คอนขา งต่ำเน่อื งจากงานท่ีตองใหเครือ่ งอัดกาซมากเมอื่เทียบกบั งานท่ีไดจากเคร่อื งกังหันกา ซ ในทางตรงขามงานที่ใหเคร่อื งสบู ในวัฏจกั รแรงคินนอ ยกวา งานที่ไดจากเครือ่ งกังหนั ไอนำ้ มาก นอกจากน้ีกาซเสียที่ออกจากเครื่องกงั หันมีอณุ หภมู ิสงู และอัตราการไหลของกา ซก็มากเนือ่ งจากตองใชอากาศปรมิ าณมากในการเผาไหมกา ซธรรมขาติ ดงั นน้ั จึงมีการสญู
10.1. วฏั จักรเบรยตัน 199เสียพลงั งานในปรมิ าณมากตามไปดว ย วธิ ีหนึ่งท่ีใชเพิม่ ประสิทธิภาพของวัฏจักรเบรยตันคือ การเพิม่ ร-ีเจนเนอเรเตอร (regenerator) ในวฏั จักร รีเจนเนอเรเตอรจะทำหนาที่แลกเปลี่ยนความรอ นระหวา งกาซเสยี จากเครอ่ื งกงั หนั และอากาศท่ีกำลังจะเขาไปเผาไหมท่ีเครือ่ งเผาไหม การกระทำเชนนี้จะลดความรอนท่ีตอ งใหแกวฏั จักรแตไมเปลีย่ นงานสทุ ธิที่ได รปู ท่ี 10.5 แสดงแผนภาพอุปกรณและแผนภาพT-s ของวฏั จักรเบรยต ันทม่ี รี เี จนเนอเรชนั รูปท่ี 10.5: วัฏจกั รเบรยตนั ท่มี รี ีเจนเนอเรชนั ถารีเจนเนอเรเตอรในรูปที่ 10.5 เปนรีเจนเนอเรเตอรในอดุ มคติอณุ หภูมิของกาซที่ออกจากร-ีเจนเนอเรเตอร (Tx) จะเทากับอุณหภมู ิของกาซที่ออกจากเครื่องกังหัน (T4) แตในรีเจนเนอเรเตอรจรงิTx จะนอยกวา T4 ความใกลเคียงระหวา งสองอณุ หภูมิบงบอกดวยประสทิ ธผิ ลของรีเจนเนอเรเตอร(regenerator effectiveness, ϵ) ϵ = Tx − T2 (10.11) T4 − T2 ถงึ แมวารีเจนเนอเรชันจะเปน วิธีเพม่ิ ประสทิ ธิภาพของวฏั จักรเบรยตันท่ีไดผล แตก็มีขอจำกัดท่ี T4ตอ งมากกวา T2 พอสมควร ไมเชนน้ัน วิธีนี้จะไมคมุ คา อยางไรกต็ ามมีวธิ ีเพิ่มความแตกตางระหวา งT4 และ T2 คือ การเพิม่ กระบวนการใหความรอ นซำ้ (reheating) และกระบวนการอนิ เตอรคูลลิ่ง(intercooling) ใหว ฏั จกั ร รูปท่ี 10.6 แสดงวัฏจกั รเบรยต นั ที่มีอินเตอรค ูลล่งิ หน่ึงครงั้ มกี ารใหความรอ นซำ้ หนง่ึ คร้ัง และมีรีเจนเนอเรชนั อปุ กรณในวฏั จกั รประกอบดวยเคร่ืองอัดความดันตำ่ (LC) หน่งึ เครอื่ งเคร่ืองอัดความดันสูง (HC) หน่ึงเครือ่ ง เครื่องกงั หันความดันตำ่ (LT) หนง่ึ เครื่อง เครอ่ื งกังหันความดนั
200 บทท่ี 10. โรงไฟฟา พลังความรอนรวมตำ่ (HT) หนึ่งเครอ่ื ง หองเผาไหม รีเจนเนอเรเตอร อนิ เตอรคูลเลอร และเครือ่ งใหความรอ นซ้ำ โดยสามอปุ กรณหลังเปนอุปกรณแลกเปลี่ยนความรอนรูปท่ี 10.6: วัฏจกั รเบรยตันทม่ี รี เี จนเนอเรชัน การใหความรอ นซ้ำ และอนิ เตอรค ลู ลง่ิ ตัวอยาง วัฏจกั รเบรยตันท่ีมีรีเจนเนอเรชันในรปู ท่ี 10.5 มีความดันตำ่ สุด 1 atm อุณหภูมิตำ่ สุด15.6◦C อณุ หภมู ิสูงสดุ 1093.3◦C อตั ราสวนความดนั เทากบั 4 ประสิทธิภาพของเคร่ืองกังหันเทา กับ0.88 ประสิทธิภาพของเครือ่ งอดั กาซเทา กับ 0.85 และประสทิ ธิผลของรีเจนเนอเรเตอรเทา กับ 0.7 จงหาประสทิ ธิภาพของวัฏจักรนี้ สมมุติวา กา ซในวฏั จกั รเปน อากาศทมี่ ี cp = 1.005 kJ/kg.K และ k = 1.4วิธที ำ ( )(k−1)/k p2 T2s = T1 p1 K= 288.6(4)0.4/1.4 = 429 T2s − T1 = ηc = 0.85 T2 − T1 =⇒ T2 = 454 K ( )(k−1)/k p4 T4s = T3 p3
10.2. วัฏจักรผสม 201 K= 1366.3(4)−0.4/1.4 = 919 T3 − T4 = ηt = 0.88 T3 − T4s =⇒ T4 = 973 K ϵ = Tx − T2 = 0.7 T4 − T2 =⇒ Tx = 817 K wc = cp(T2 − T1) = 166 kJ/kg wt = cp(T3 − T4) = 395 kJ/kg qin = cp(T3 − Tx) = 552 kJ/kg η = 395 − 166 = 41.5% 55210.2 วฏั จกั รผสม การเพ่ิมประสิทธภิ าพของวัฏจกั รเบรยตนั กระทำไดโดยการนำวฏั จักรเบรยตันมาทำงานรว มกับวฏั จักรแรงคนิ โดยใหวัฏจกั รเบรยตันทำงานในชวงอณุ หภูมิสูงและวัฏจกั รแรงคินทำงานในชวงอณุ หภมู ิต่ำ ผลท่ีไดค อื วัฏจกั รผสมดังแสดงในรปู ที่ 10.7 ความรอ นทีร่ ะบายออกจากวัฏจกั รเบรยตนั จะใชผ ลติ ไอนำ้ ในวัฏจักรแรงคินโดยใชอ ุปกรณท ่เี รียกวาเครื่องกำเนดิ ไอนำ้ แบบกูค วามรอ น (heat recovery steamgenerator หรอื HRSG) ดังนั้นความรอนที่ใหแกวฏั จกั รผสมจึงเกดิ ขึน้ ท่ีหอ งเผาไหมในสวนของวัฏจกั รเบรยตนั เทา น้นั ประสิทธิภาพของวฏั จกั รผสมสามารถคำนวณไดจากสูตรน้ี ηcc = w˙ B + w˙ R (10.12) q˙inโดยท่ี w˙B เปนกำลงั งานสุทธิจากวัฏจกั รเบรยตัน w˙R เปน กำลงั งานสุทธิจากวฏั จกั รแรงคนิ และ q˙inเปนอตั ราการถา ยเทความรอ นสูวัฏจักรเบรยตัน จากนยิ ามของประสิทธภิ าพของวฏั จักรเบรยตนั (ηB)และวัฏจกั รแรงคนิ (ηR) ทำใหไ ดส มการตอไปน้ี w˙ B = ηBq˙in (10.13) w˙ R = ηR(1 − ηB)q˙inแทนคา w˙B และ w˙R ในสมการ (10.12) ηcc = ηR + ηB − ηRηB
202 บทที่ 10. โรงไฟฟาพลังความรอนรวมสมการนี้แสดงใหเห็นวา ประสิทธภิ าพของวฏั จักรผสมสูงกวา ประสิทธภิ าพของวฏั จกั รเบรยตันหรอื วัฏ-จักรแรงคนิ ถา ηR = 0.33 และ ηB = 0.26 ประสทิ ธภิ าพของวฏั จกั รผสมจะมีคาประมาณ 0.5 ซงึ่ นบัวาสูงมาก แตใ นทางปฏิบัติ ηcc มคี า ระหวาง 0.38 ถงึ 0.42 เทา น้นั รูปที่ 10.7: วฏั จกั รผสม กำลงั งานของเครอ่ื งกังหันไอน้ำในวฏั จกั รผสมแปรผนั ตามอัตราการไหลของไอน้ำในวัฏจกั รแรงคินวิธีเพิ่มกำลังงานของวฏั จักรผสมที่งา ยคอื การเพม่ิ อตั ราการผลติ ไอน้ำใน HRSG วัฏจักรผสมอาจถูกดัดแปลงเปนวฏั จักรในรปู ที่ 10.8 โดยมีการใหความรอนแกเครือ่ งกำเนิดไอนำ้ แบบกูความรอนเพ่ิมเตมิจากการถายเทความรอ นจากกาซเสยี สมมตุ ิวา q˙1 เปน อตั ราการถา ยเทความรอ นเขาสูวัฏจักรเบรยตันและ q˙2 เปน อัตราการถายเทความรอ นเขาสูว ัฏจักรแรงคิน ประสิทธภิ าพของวฏั จักรผสมคำนวณไดด ังน้ี w˙ B = ηBq˙1 w˙ R = ηR[(1 − ηB)q˙1 + q˙2] ηcc = w˙ B + w˙ R q˙1 + q˙2=⇒ ηcc = ηB q˙1 + ηR[(1 − ηB)q˙1 + q˙2] (10.14) q˙1 + q˙2กำหนดให x เปน สดั สว นของอัตราการถา ยเทความรอนเขาสูวฏั จักรแรงคนิ เทยี บกับอตั ราการถา ยเทความรอ นทีเ่ ขาสวู ฏั จกั รผสมทัง้ หมด x = q˙2 q˙1 + q˙2 =⇒ q˙2 = x(q˙1 + q˙2)
10.2. วฏั จักรผสม 203แทนคา q˙2 ในสมการ (10.14) ηcc = ηB + ηR − ηBηR − xηB(1 − ηR) (10.15)ประสทิ ธิภาพน้ีนอยกวา ประสิทธภิ าพของวฏั จกั รผสมแบบท่ีไมมีการเผาไหมในเครื่องกำเนดิ ไอนำ้ แบบกูความรอ น ซ่งึ หมายความวา ถงึ แมวา การผลิตไอน้ำเพิม่ จะเพิ่มกำลงั งานของวฏั จกั รผสม แตก็ทำใหประสิทธภิ าพของวฏั จกั รลดลงรปู ที่ 10.8: วฏั จกั รผสมท่ีมีการใหค วามรอนจากภายนอกวัฏจกั รแก HRSG สมการ (10.13) สำหรับคำนวณประสทิ ธภิ าพวัฏจกั รผสมในอุดมคติไมสามารถใชไ ดกับวฏั จักรผสมจรงิ ในการคำนวณประสทิ ธิภาพ จะตองใชสมการ (10.12) และหาคา w˙B, w˙R และ q˙in ดังนี้ w˙ B = m˙ gcpg(T3 − T4 − T2 + T1) (10.16) w˙ R = m˙ s(ha − hb − hd + hc) (10.17) q˙in = m˙ gcpg(T3 − T2) (10.18)โดยท่ี m˙ g คอื อัตราการไหลของกา ซในวฏั จักรเบรยต นั m˙ s คือ อัตราการไหลของไอนำ้ ในวฏั จักรแรงคนิและ cpg คอื คาความจุความรอ นของกา ซ ขอ มลู เพิ่มเตมิ ท่ีตองทราบคือ อตั ราสว นระหวา ง m˙ g กบั m˙ sขอ มลู นไ้ี ดจ ากสมดุลความรอนใน HRSG สมมตุ วิ าไมมีความรอ นสญู เสยี ใน HRSG อัตราการถา ยเทความรอนจากกาซจะเทา กับอตั ราการถา ยเทความรอนใหน้ำ m˙ gcpg(T4 − T5) = m˙ s(ha − hd) (10.19)
204 บทท่ี 10. โรงไฟฟาพลังความรอ นรว ม ตวั อยา ง โรงไฟฟา แหงหนง่ึ ผลติ ไฟฟาดว ยเปน วัฏจกั รผสมตามรูปท่ี 10.7 โดยอัตราสวนความดันในสวนของวัฏจักรเบรยตนั เทากบั 7.5 อุณหภูมิของอากาศเขา เครอื่ งอดั กาซคือ 15◦C และอุณหภมู ิสูงสดุ ในวฏั จักรคอื 750◦C กาซเสยี ไหลออกจากเครือ่ งกำเนดิ ไอน้ำแบบกูความรอ นที่ 100◦C ในสวนของวัฏจักรแรงคนิ ไอนำ้ ท่ีเขาเคร่ืองกังหนั มีความดนั 50 bar อณุ หภมู ิ 500◦C ความดนั ในเครื่องควบแนนเทา กับ 0.1 bar ถากำลงั งานจากวัฏจกั รผสมเทากับ 200 MW จงหาอัตราการไหลของอากาศและไอนำ้กำลังงานจากวัฏจักรเบรยตันและวัฏจกั รแรงคิน และประสิทธิภาพของวฏั จกั รผสม สมมุติวากา ซในสว นของวัฏจักรเบรยตันเปนอากาศท่ีมีอัตราการไหลคงที่ กำหนดให cpg = 1.1 kJ/kg.K และ k = 1.4 และไมต อ งพจิ ารณางานท่ใี หเครือ่ งสบูวธิ ที ำในสวนของวฏั จกั รเบรยตัน ( )(k−1)/k p2T2 = T1 p1 K= 288 × (7.5)0.4/1.4 = 512.2 ( )(k−1)/k p4T4 = T3 p3 K= 1023 × (7.5)−0.4/1.4 = 620.5คาของ w˙B ไดจากสมการ (10.16) w˙ B = 196.1m˙ g (10.20) (10.21)และคาของ q˙in ไดจ ากสมการ (10.18) q˙in = 561.9m˙ gในสวนของวัฏจกั รแรงคิน แผนภมู ใิ หสมบตั ิของน้ำและไอน้ำดงั น้ีคาของ w˙R ไดจากสมการ (10.17) ha = 3670 kJ/kg hb = 2305 kJ/kg hc = 192 kJ/kg = hd (10.22) w˙ R = 1365m˙ sโจทยก ำหนดคา ของกำลงั งานรวม (w˙B + w˙R) มาให ดงั นั้น (10.23) 196.1m˙ g + 1365m˙ s = 200 × 103
10.3. เครือ่ งกังหันกา ซ 205โปรดสังเกตวา คาท่ีโจทยใหมามีหนวยเปน MW ในขณะที่คา ของ w˙B ในสมการ (10.20) และ w˙R ในสมการ (10.22) มีหนว ยเปน kW ดังนัน้ จึงตองแปลงหนวยของกำลงั งานรวมทีโ่ จทยใหม าเปน kW แทนคา อณุ หภมู ิและเอนทัลปใ นในสมการ (10.19) m˙ s = 0.0712 (10.24) m˙ gแกส มการ (10.23) และ (10.24) เพอื่ หาคา m˙ g และ m˙ s m˙ g = 681.9 kg/s m˙ s = 48.6 kg/sแทนคา m˙ g, m˙ s ลงในสมการ (10.20)-(10.22) และคำนวณประสทิ ธิภาพโดยใชส มการ (10.12) w˙ B = 133.8 MW q˙in = 383.2 MW w˙ R = 66.3 MW ηcc = 0.5210.3 เคร่ืองกงั หนั กา ซ เครอื่ งกงั หนั กาซเคร่ืองแรก ๆ ออกแบบสำหรบั เครอ่ื งบินไอพน ตอมามผี ูทดลองนำเครื่องยนตกังหันกา ซมาผลิตไฟฟา ซึง่ ใหผลเปน ที่นาพอใจ จากนัน้ จึงเรม่ิ มีการออกแบบเครือ่ งยนตกังหนั กาซสำหรับผลิตไฟฟา จนไดรบั ความนิยมมาจนปจ จุบัน การผลิตไฟฟาดว ยเครอ่ื งกงั หันกาซอาจแบงเปนสามรปู แบบรปู แบบแรกเปน โรงไฟฟากงั หันกาซซง่ึ เหมาะกับการใชเปนโรงไฟฟา ภาระสูงสดุ รปู แบบที่สองเปน โรงไฟฟาพลงั ความรอ นรวม ประสิทธภิ าพของโรงไฟฟา พลังความรอนรว มสูงกวาโรงไฟฟา พลงั ความรอ นนอกจากนี้โรงไฟฟา พลงั ความรอนรวมอาจถกู ออกแบบใหสามารถเดนิ เครื่องเปน โรงไฟฟากงั หันกา ซก็ได ดงั นัน้ โรงไฟฟาพลงั ความรอนรว มจงึ เปนไดทั้ง โรงไฟฟา ภาระหลัก โรงไฟฟา ภาระเสริม และโรงไฟฟาภาระสูงสดุ รปู แบบที่สามเปน การผลติ พลงั งานความรอนรว มกบั พลงั งานไฟฟา รปู แบบนี้เหมาะกบั โรงงานอตุ สาหกรรมท่ีตอ งใชความรอ นในกระบวนการผลติ ความรอ นท้งิ จากเครือ่ งกงั หันกาซอาจนำไปใชใ นกระบวนการผลติ ไดแทนท่ีจะปลอ ยทิ้งสบู รรยากาศ10.3.1 ประเภทของเคร่อื งกงั หันกาซ เครอื่ งกงั หันกา ซท่ีมีจำหนายในทองตลาดแบง เปน สองประเภทหลกั ไดแ ก เครอื่ งกงั หนั กาซแบบอนพุ ันธของเครือ่ งยนตไอพน (aeroderivative gas turbine) และเครอ่ื งกังหันกาซแบบอตุ สาหกรรม(industrial gas turbine) เครือ่ งกังหันกา ซแบบอนพุ นั ธของเครือ่ งยนตไอพน พฒั นามาจากเครอื่ งกังหันกา ซท่ีใชเปนเครอื่ งยนตสำหรบั เครอื่ งบนิ ไอพนโดยเปล่ียนโครงหุม ใหมีนำ้ หนักนอ ยลง ดัดแปลงให
206 บทที่ 10. โรงไฟฟาพลงั ความรอนรว มสามารถตดิ ตง้ั บนพ้นื ระนาบได และตดิ ตง้ั อปุ กรณท ีแ่ ปลงพลังงานจลนของไอพนเปนพลงั งานกลจากการหมนุ เคร่ืองกังหันกาซแบบอตุ สาหกรรมออกแบบมาสำหรบั การผลิตไฟฟาโดยตรง จงึ ไมตองออกแบบใหมีน้ำหนักนอ ย และประสิทธภิ าพสงู เหมือนเคร่อื งกังหนั กาซแบบอนพุ ันธของเครอ่ื งยนตไอพน แตออกแบบใหมีราคาถูก ทนทาน และบำรุงรกั ษางาย ตารางที่ 10.1 เปรียบเทยี บเครอื่ งกังหนั กา ซทง้ั สองประเภทตารางที่ 10.1: เปรียบเทียบเครอ่ื งกังหันกาซแบบอนุพนั ธของเคร่ืองยนตไอพนกับเครือ่ งกงั หันกา ซแบบอุตสาหกรรม เครือ่ งกงั หันกา ซ แบบอนุพนั ธข องเครอ่ื งยนตไ อพน แบบอุตสาหกรรมขนาด เลก็ ใหญประสิทธิภาพ สงู ตำ่อตั ราสว นความดัน ไมเ กนิ 30 ไมเกิน 16กำลังงาน ไมเกิน 50 MW ไมเกนิ 300 MWความเร็วรอบ สูง ตำ่ราคาตอกำลังการผลิตไฟฟา มาก นอ ยความตอ งการการบำรงุ รกั ษา มาก นอ ย10.3.2 สวนประกอบหลัก เคร่อื งกังหันกาซทุกยห่ี อ และทกุ รุนมีสว นประกอบหลกั ท่ีเหมือนกนั คือ เครื่องอดั กา ซ (compres-sor) หอ งเผาไหม (combustor) และกังหันกา ซ (turbine) ทั้งสามสวนวางติดกันในอยูโครงหุม (casing)รปู ที่ 10.9 แสดงใหเห็นวา อากาศไหลเขา เครอื่ งกังหันกา ซท่ีเครือ่ งอดั กาซ เชื้อเพลิงไหลเขา ที่หอ งเผาไหม การเผาไหมร ะหวางเช้ือเพลงิ กับอากาศทำใหเกิดกา ซเสยี ท่ไี หลออกกงั หันกา ซสูบรรยากาศเครอ่ื งอดั กาซ เครื่องอดั กา ซมีสามแบบคือ เคร่อื งอัดกา ซแบบบีบอัด (positive displacement) เครอื่ งอดั กาซแบบแรงเหว่ยี ง (centrifugal ) และเคร่อื งอัดกาซแบบไหลตามแกน (axial) ถึงแมวา เครือ่ งอดั กาซสองแบบแรกจะสามารถอัดกาซใหมีความดนั สงู มากได แตเครือ่ งอัดกา ซแบบไหลตามแกนมีขอไดเปรียบคอื สามารถใหอัตราการไหลท่ีสงู กวา นอกจากน้ีการเพมิ่ ความดนั ในเครื่องอดั กา ซแบบไหลตามแกนสามารถกระทำไดโ ดยการเพมิ่ จำนวนข้ันทำงาน หนึ่งขัน้ ทำงานของเคร่ืองอดั กาซซ่งึ ประกอบโรเตอรและสเตเตอร ใบพัดหมุนของโรเตอรยดึ ติดกบั เพลาและใบพดั นิ่งของสเตเตอรยดึ ตดิ กับโครงหุม ใบพดั หมนุและใบพัดนง่ิ มีรปู รางคลา ยปกเครอ่ื งบนิ เพ่อื ใชคณุ สมบตั ิดานอากาศพลศาสตรของใบพดั ในการอดั กาซรูปที่ 10.10 แสดงการไหลปะทะใบพัดหมุนของกา ซซึ่งทำใหเกดิ แรงยก (lift) หรอื ความแตกตา งความดนั ระหวางดา นออก (หรือดา นลางของใบพดั ) กบั ดา นเขา (หรือดา นบนของใบพัด) มุมระหวางความเร็ว
10.3. เครอ่ื งกังหนั กาซ 207 รูปที่ 10.9: เคร่ืองกังหนั กาซสมั พทั ธ (W) กับเสน คอรด (chord line) ของใบพดั หมนุ เรยี กวา มุมปะทะ (α) แรงยกจะเพม่ิ ขึ้นตามมมุปะทะตราบเทาที่มุมปะทะไมมากเกินไป รปู ที่ 10.11 แสดงใหเห็นวา กอนไหลเขาขนั้ ทำงานอากาศจะไหลผานใบพดั นำ (guide vane) ซ่งึ ทำหนาท่ีปรบั ทศิ ทางการไหลของอากาศเพอ่ื ใหมมุ ปะทะมีคาเหมาะสมที่สดุ หลักการทำงานของเครื่องอัดกา ซแบบไหลตามแกนคลายกบั กังหนั แรงปฏิกริ ิยาที่กลา วถงึ ในบทที่ 7 แตท ศิ ทางการไหลตรงขา มกนั ซ่งึ ทำใหความดนั ของอากาศคอ ย ๆ เพมิ่ ข้ึนจากการไหลผานแตล ะข้ันทำงาน อัตราสวนความดันโดยรวมของเครอ่ื งอดั กาซจึงขึน้ กับจำนวนข้นั ทำงานรปู ที่ 10.10: การไหลปะทะใบพดั หมุนของอากาศทำใหเ กิดผลตางความดันระหวางสองดานของใบพดั ปญหาหนึง่ ท่ีอาจเกิดกับเครืองอดั กา ซคอื สภาวะสะดดุ (stall) ที่เกิดจากมุมปะทะที่มากเกนิ ไปจนทำใหแรงยกลดลงอยา งกระทนั หนั แรงยกท่ีลดลงอยา งมากหมายความวา ความดันท้ังสองดา นของใบพดั หมนุ จะใกลเคยี งกันและอตั ราสว นความดนั ก็จะลดลง ดังนน้ั เครื่องอัดกา ซจงึ มีสมรรถนะตำ่ ลงในสภาวะสะดดุ ซ่งึ สงผลลบตอกำลังงานที่ผลิตโดยเครือ่ งกงั หนั กา ซ รูปท่ี 10.12 แสดงใหเหน็ วา
208 บทที่ 10. โรงไฟฟา พลังความรอ นรว ม รปู ท่ี 10.11: ใบพดั นำเปลี่ยนทศิ ทางการไหลของกาซเขาข้ันทำงานของเครอ่ื งอัดกา ซความเร็วสัมบรู ณท่ีลดลงสง ผลใหมุมปะทะเพิ่มขึ้น สภาวะสะดดุ เกิดขึ้นเมอ่ื อัตราการไหลเขา ของอากาศตำ่ เกนิ ไปซงึ่ สงผลใหความเร็วสัมบูรณ (V ) มีคา นอ ยจนมุมปะทะ (α) มีคามากเกินไป แตถา ทศิ ทางของความเร็วสัมบรู ณเปลีย่ นไปอยา งเหมาะสม มมุ ปะทะจะไมเปลยี่ นและสภาวะสะดดุ จะไมเกดิ ข้ึน ทศิ ทางของความเรว็ สมั บรู ณส ามารถเปล่ยี นแปลงไดโดยใชใ บพดั นำทป่ี รับมมุ ได (variable-angle guide vane) รปู ที่ 10.12: การเปลี่ยนแปลงมมุ ปะทะเม่อื ขนาดและทศิ ทางของความเรว็ สัมบรู ณเปลย่ี น เคร่อื งอดั กา ซอยูบนเพลาเดยี วกบั กงั หันกา ซและมีความเร็วรอบเทา กนั การหมนุ ของใบพดั ของกงั หนั กา ซทำใหเกิดการหมุนของใบพัดหมนุ ของเครอื่ งอัดกา ซและกระบวนการอัดกาซทำงานได เครอ่ื งอดั กาซแบบไหลตามแกนในเครอ่ื งกงั หนั กาซขนาดใหญอาจแยกเปน เครอ่ื งอดั กา ซความดนั ต่ำ (low-pressure compressor) และเคร่ืองอดั กาซความดนั สูง (high-pressure compressor) ในกรณีนก้ี งั หนักาซก็จะแยกเปน สองสว นคอื กังหันกาซความดันตำ่ (low-pressure turbine) และกงั หันกาซความดันสงู (high-pressure turbine) เชน เดียวกัน เครอื่ งอดั กา ซความดันตำ่ จะถกู ขับเคลือ่ นโดยกงั หนั กาซความดนั ต่ำ และเครือ่ งอดั กา ซความดนั สูงจะถกู ขับเคลือ่ นโดยกังหันกาซความดนั สูง รปู ท่ี 10.13 แสดงใหเห็นวา เพลาของเครือ่ งอดั กา ซความดนั ตำ่ วางอยูภายในเพลาของเคร่ืองอดั กา ซความดันสงู ดงั นัน้เครอ่ื งอดั กาซความดนั ตำ่ และเครื่องอดั กาซความดนั สงู จะสามารถหมุนที่ความเร็วรอบไมเ ทา กนั ได กอ นไหลเขาเครื่องอัดกา ซอากาศจะไหลผานแผนกรองฝุน เพื่อใหไดอากาศท่ีสะอาดปราศจากฝนุละอองเปนสารทำงานในเครอ่ื งกังหนั กาซ แผน กรองฝนุ จะถกู เปลีย่ นเมอื่ ความดันอากาศท่ีไหลผา นลดลงเกินคาท่ีกำหนดซ่ึงแสดงวา แผนกรองสกปรกเกนิ ไป อยา งไรก็ตามอาจมีสง แปลกปลอมเชน ฝนุ แมลง
10.3. เครอื่ งกงั หนั กา ซ 209 รูปที่ 10.13: เครอื่ งกังหันกาซแบบแยกสวนตวั เลก็ หรือคราบน้ำมันหลอลน่ื เล็ดรอดเขา ไปเกาะที่ผวิ ใบพัดของเครอื่ งอัดกาซได ใบพดั ที่สกปรกจะทำใหอตั ราสวนความดนั ที่ไดจากเครอื่ งอดั กา ซลดลงและจะสงผลใหกำลังงานท่ีไดจากเครือ่ งกงั หนั กา ซลดลงตามไปดว ย ระบบลางเครื่องอัดกาซ (compressor wash) ทำหนาที่กำจัดส่ิงแลกปลอมออกจากผิวใบพัด การทำความสะอาดเครอื่ งอัดกาซอาจกระทำขณะที่เครอ่ื งอดั กา ซกำลงั ทำงานหรือหยดุ ทำงานวธิ หี ลังใหผ ลดกี วาแตเครือ่ งกงั หันกาซตอ งหยดุ ทำงานและโรงไฟฟา ตอ งสูญเสยี กำลังการผลติหอ งเผาไหม หอ งเผาไหมอยูถัดจากเครอื่ งอัดกา ซ อากาศท่ีมีความดันสงู ไหลเขา หอ งเผาไหมโดยมีหวั ฉีดพนเชื้อเพลิงเขา ไปผสมกบั อากาศและทำปฏกิ ิริยาเผาไหมกนั เช้ือเพลงิ ของเครอ่ื งยนตกังหันกา ซเปนเชื้อเพลงิกา ซ (กาซธรรมชาติ, SNG) หรือเชื้อเพลงิ เหลว (นำ้ มนั กาด, นำ้ มนั ดีเซล, น้ำมันเตาเบอร 2) หองเผาไหมแบงเปน 3 แบบคือ แบบทอ (tubular) แบบกงึ่ ทอ กงึ่ วงแหวน (tuboannular) และแบบวงแหวน(annular) ดงั แสดงในรูปที่ 10.14 หองเผาไหมแบบทอแบงเปน หองเผาไหมขนาดเล็กลงเรยี กวา ทอเปลวไฟ (flame tube) หลายทอ วางตามเสนรอบวงของแกนกลาง ทกุ ทอ เชื่อมตอ กันเพื่อใหจายเช้อืเพลงิ ใหไดเทา ๆ กันและจุดระเบิดไดพรอมกนั แตการจา ยอากาศใหแตล ะทอ แยกออกจากกนั หองเผาไหมแบบก่ึงทอกงึ่ วงแหวนคลา ยแบบทอ สิ่งที่ตา งกันคอื การจายอากาศใหแตละทอไมไดแยกออกจากกนั หอ งเผาไหมแบบวงแหวนมีหองเผาไหมหรือทอ เปลวไฟเปนรปู วงแหวนเพยี งทอเดยี วและมีหัวฉดีรอบ ๆ ทอเพ่ือพน เชื้อเพลิงและอากาศเขาทอ รปู ที่ 10.15 แสดงการไหลของอากาศและเชื้อเพลงิ ในหองเผาไหม อากาศบางสวนจะใชในการเผาไหม อากาศท่ีเหลือทำหนาท่ีหลอ เยน็ หองเผาไหม การเผาไหมในหอ งเผาไหมแบง เปนสามเขต เขตแรกคือ เขตไหลวน (recirculation zone) อยูใกลหัวฉีดเปนบริเวณท่ีมีการผสมกนั ระหวา งอากาศกบั เช้ือเพลิงอยางทัว่ ถึงโดยอาศัยการไหลวนอยางปน ปวนของอากาศและเช้อื เพลงิ นอกจากนี้เช้อื เพลงิ บางสวนเผาไหมกบั อากาศในเขตน้ีแตการเผาไหมอาจไมสมบรู ณเพราะปริมาณอากาศไมมากพอ เขตท่ีสองคือเขตเผาไหม (burning zone) อยหู างจากหัวฉดี ออกมาเปนบริเวณท่ไี ดรบั อากาศเพม่ิ เติมซงึ่ ทำใหก ารเผาไหมสมบูรณและไดกา ซเสยี ท่ีมีอุณหภมู ิสูง เขตท่ีสามคอื เขตเจอื จาง (dilution zone) อยูใกลทางออกจากหอ งเผาไหม มีอากาศเขา มาในหองเผาไหมเพิ่มเติมท่ีเขตน้ีเพ่ือลดอณุ ภูมิกา ซเสยี ที่กำลงั จะออกจากหอ งเผาไหม อยางไรก็ตามอณุ หภมู ิในหองเผาไหมอาจสูงมากจนทำใหเกดิ NOx การควบคมุ NOx อาจใชว ธิ พี นนำ้ หรอื ไอน้ำเขา หองเผาไหมเพ่ือลดอุณหภูมเิ ผาไหมและลดการเกดิ NOx
210 บทท่ี 10. โรงไฟฟาพลงั ความรอนรว ม รปู ท่ี 10.14: หอ งเผาไหมสามแบบ รปู ที่ 10.15: เขตเผาไหมใ นหอ งเผาไหมกังหันกาซ กาซทมี่ ีอณุ หภมู ิสูงและความดันสูงจะไหลจากหองเผาไหมเ ขา กังหนั กาซ เคร่ืองกังหนั กาซแบบเพลาเดียว (single-shaft gas turbine) มีเครือ่ งอัดกาซหนึ่งเคร่ืองและกงั หนั กา ซหน่งึ เครือ่ งที่หมุนบนพลาเดยี วกนั รูปแบบการติดต้ังเครือ่ งกังหนั กาซเพอ่ื ผลติ ไฟฟาแบง เปน เครื่องยนตกังหันกาซแบบเพลาเดยี วรูปที่ 10.16 แสดงเครื่องกงั หันกาซแบบสองเพลา (two-shaft gas turbine) ซ่ึงประกอบดวยเคร่อื งอัดกาซหนงึ่ เครอ่ื งและกงั หนั กา ซสองเครอ่ื ง เคร่อื งแรกทำงานท่ีความดันสงู และขบั เคลื่อนเครื่องอัดกา ซเคร่อื งที่สองขับเคล่ือนเคร่อื งกำเนิดไฟฟา เครอ่ื งกงั หนั ท้งั สองเคร่ืองไมอยูบนเพลาเดยี วกันจงึ สามารถทำงานท่ีความรอบตางกนั ได ดงั น้ันเคร่ืองกงั หันกา ซแบบสองเพลาจงึ มีประสทิ ธิภาพสงู กวา แตขอ เสียของเคร่อื งกงั หนั กาซแบบน้ีคอื เครอ่ื งกงั หนั ความดนั ต่ำอาจหมนุ ดวยความเรว็ ท่ีมากจนเครือ่ งเสยี หายได
10.3. เครือ่ งกงั หันกาซ 211เน่อื งจากไมม ีเครื่องอดั กาซทำหนาที่เหมือนเบรกท่คี วบคุมความเร็วรอบดงั เชน เคร่อื งกังหนั ความดนั สงู รปู ท่ี 10.16: เครือ่ งกังหันกาซแบบสองเพลา กงั หนั กา ซประกอบดว ยขั้นทำงานหลายข้นั เหมือนกังหันไอน้ำ ขนั้ ทำงานความดันสงู เปนขน้ั ทำงานแรงดลหรอื ขัน้ ทำงานแรงปฏิกิรยิ าท่ีมีระดับปฏกิ ิรยิ าต่ำ ข้นั ทำงานความดันตำ่ เปนขน้ั ทำงานท่ีมีระดับปฏกิ ริ ยิ าสงู อยางไรกต็ ามขอแตกตางกังหนั กา ซกบั กังหนั ไอนำ้ คอื ใบพดั ของกงั หนั กา ซถูกออกแบบใหสามารถทนกา ซอณุ หภูมิสูงกวาถงึ แมวาอุณหภูมิของกา ซเสยี จะตำ่ กวาจุดหลอมเหลวของโลหะท่ีใชทำใบพดั แตอุณหภูมิก็มากพอท่ีจะสงผลเสียตออายุการใชงานของใบพดั เน่อื งจากการที่ใบพัดตองเผชิญกับความเคนและอุณหภูมิที่สูงเปน เวลานานทำใหเกิดความคืบ (creep) ซงึ่ นำไปสูการยดื ตัวของใบพัดเมือ่เวลาผา นไปและอาจทำใหเกิดการแตกรา วของใบพัดไดในท่ีสุด พารามเิ ตอรที่สามารถใชทำนายอายุการใชงานของใบพัดไดคอื พารามิเตอรลารสันมลิ เลอร (Larson-Miller parameter) ผลการทดลองแสดงใหเ ห็นวาความเคนเปนฟง กชันของ LM และ LM ขน้ึ กบั อุณหภมู ิ (หนว ยเปน K) และอายเุ วลาใชง านกอ นใบพัดแตกรา วจากความคบื (หนวยเปน ช่ัวโมง) ดงั น้ี LM = T (20 + log t) (10.25)ท่ีความเคน เทากนั LM มีคา เทา กนั ถากำหนดใหอณุ หภมู ิตา งกันคือ T1 = 900 K และ T2 = 890K สมการ (10.1) แสดงใหเหน็ วา t1 = 25000 ชว่ั โมงและ T2 = 47000 ชว่ั โมง ซึ่งหมายความวาการอณุ หภูมิลดลงเพียง 10 K ชว ยเพม่ิ อายุเวลาใชงานของใบพัดเกือบเทาตวั ดงั นนั้ การระบายความรอ นใหใบพัดของเครอื่ งกังหนั กาซจงึ มคี วามสำคญั มาก ใบพัดของเครือ่ งกังหันกาซถกู ออกแบบใหอากาศสามารถไหลเขา ออกและภายในใบพัดมีชอ งทางไหลท่ีวกวนเพื่อใหอากาศระบายความรอ นอยา งทั่วถึงภายในใบพดั อากาศท่ีใชหลอ เย็นใบพัดไดมาจากเคร่อื งอัดกาซท่ีไมไดไหลผา นหองเผาไหมจึงยังคงมีอุณหภมู ิไมสงู นักอากาศไหลเขาใบพดั ท่ีฐานใบพัดดังแสดงในรูปท่ี 10.17 ผิวใบพดั มีรูใหอากาศไหลออกไดโดย อากาศบางสวนจะออกจากใบพดั ทางรูเหลา น้ีและเคลอื บใบพดั ไมใหสัมผสั กับกาซรอน
212 บทที่ 10. โรงไฟฟา พลังความรอนรว ม รปู ท่ี 10.17: การระบายความรอนใหใ บพัด10.3.3 ปจ จยั ที่สงผลตอสมรรถนะของเครอ่ื งกงั หนั กา ซ ผูผลติ เคร่ืองกังหันกาซจะระบุกำลังงานของอตั ราความรอนของเครื่องกังหนั กาซทุกรุนที่จำหนา ยโดยผูผลิต สภาวะมาตรฐาน ISO สำหรบั วัดคากำลงั งานและอัตราความรอนคือ ที่อุณหภูมิ 15◦C ความช้นื สัมพทั ธิ์ 60% และความดัน 1 atm การใชงานเครอ่ื งกังหนั กา ซจรงิ อาจใหคา กำลังงานและอัตราความรอ นทีแ่ ตกตา งกบั คานเ้ี น่ืองจากปจ จัยตา ง ๆ ทสี่ งผลตอสมรรถนะของเคร่อื ง ปจจยั ทีส่ ำคญั ไดแก • อุณหภมู ิแวดลอม อัตราการไหลเชิงปริมาตรของอากาศที่ไหลเขาเคร่อื งอัดกาซคอ นขา งคงที่ แต กำลงั งานของเคร่ืองกงั หนั กา ซขน้ึ กับอตั ราการไหลเชิงมวล ดังนนั้ อากาศท่ีมีความหนาแนน มากขน้ึ จะทำใหกำลงั งานเครื่องเพมิ่ ขึ้นตามไปดว ย นอกจากน้ีอตั ราความรอนจะลดลง หรอื ประสทิ ธิภาพของเครื่องจะเพิ่มขึ้นเมือ่ อณุ หภูมิแวดลอมลดลงเนือ่ งจากอตั ราสว นความดันของ เคร่ืองอัดกา ซจะเพิ่มขน้ึ • ความดนั บรรยากาศ กำลังงานของเคร่อื งกงั หันกาซลดลงเม่อื เครือ่ งกงั หนั กาซทำงานที่ระดบั ความสงู เหนือระดับนำ้ ทะเลซงึ่ ความดนั บรรยากาศจะนอ ยกวา 1 atm และความหนาแนน ของ อากาศจะนอ ยลงเมอื่ เทียบกบั ความหนาแนน ท่ีระดับน้ำทะเล อยางไรกต็ ามอัตราความรอ นไม เปล่ยี นแปลงเมื่อความดนั บรรยากาศเปลีย่ นแปลง • ความช้นื สัมพัทธ ไอน้ำมีความหนาแนน นอยกวาอากาศแหง ดงั นนั้ อากาศที่มีความชืน้ สัมพทั ธ เพมิ่ ขึ้นจะมีความหนาแนน ลดลง และสง ผลใหกำลงั งานของเครือ่ งกังหันกา ซลดลงและอัตรา ความรอ นจะเพม่ิ ข้ึน อยางไรก็ตามผลกระทบของความชน้ื สัมพัทธนอยมากเมอ่ื เทียบผลกระทบ ของอุณหภมู แิ วดลอม • ความดนั สญู เสียทางเขา และทางออก กำลังงานและประสทิ ธิภาพที่ระบุโดยผูผลติ เครอื่ งกงั หนั กา ซอยูภายใตเงอื่ นไขวา ไมม ีความดนั สูญเสียทีท่ างเขา และทางออกของเครอื่ ง แตในการใชงาน จรงิ จะมีความดนั สูญเสยี ทท่ี างเขาเนอ่ื งจากมีการติดตง้ั เครอ่ื งกรองฝนุ ละอองและสิ่งแปลกปลอม
10.3. เคร่อื งกงั หันกาซ 213 ในอากาศกอนเขา เครอื่ งอดั กาซ และจะมีความดันสูญเสยี ทท่ี างออกเน่ืองจากมีการตดิ ตั้งทอกา ซ เสยี อุปกรณควบคมุ เสยี งและ ปลอ งระบายกาซเสียที่ทางออก ดังน้ันความดนั ของกาซเสียที่ทาง ออกจงึ ตองมากกวาความดนั บรรยากาศเพ่อื ใหกา ซเสียสามารถไหลจากเคร่ืองสูบรรยากาศได ความดันสญู เสียทางเขา และทางออกสงผลใหกำลงั งานของเครื่องกงั หนั กาซลดลงและอตั รา ความรอนจะเพิ่มขนึ้• การพนน้ำหรอื ไอนำ้ วธิ ีลดการเกิด NOx ที่ไดผลคอื การพนนำ้ หรือไอน้ำเขา ไปในหองเผาไหมซ ึง่ จะทำใหอ ุณหภมู เิ ผาไหมลดลง ผลพลอยไดค อื กำลังงานของเครอื่ งกังหนั กาซจะเพ่มิ ขน้ึ เน่อื งจาก มีอตั ราการไหลเชงิ มวลในกังหนั กา ซมากขึน้ นอกจากน้ีการพน ไอน้ำยงั ทำใหอัตราความรอ นลด ลง แตการพนนำ้ กลับทำใหอตั ราความรอ นเพ่มิ ขนึ้ เนื่องจากเชอ้ื เพลงิ บางสว นตองใชในการทำให น้ำระเหย• ภาระของเครอ่ื ง โรงไฟฟา กงั หนั กาซมักถูกใชงานเปนโรงไฟฟาภาระสูงสุด ซง่ึ หมายความวา กำลงั งานที่ผลติ โดยเครื่องกังหันกาซไมคงท่ี และบอยครั้งท่ีภาระของเคร่ืองไมเต็ม 100% ผู ผลิตเครื่องกงั หนั กา ซมักออกแบบใหเครอื่ งมีประสทิ ธภิ าพสูงสดุ หรืออัตราความรอ นตำ่ สุดเม่อื เดนิ เคร่ืองผลิตไฟฟาเตม็ ที่ อตั ราความรอนจะเพิม่ ขึ้นเม่อื ภาระของเครอ่ื งลดลง10.3.4 การเพ่มิ สมรรถนะใหเ ครอื่ งกังหันกาซ ประเทศไทยมีอณุ หภูมิเกนิ 15◦C เกือบตลอดป ดังนั้นกำลงั งานและประสทิ ธภิ าพของเครือ่ งกังหนักาซที่ใชงานในประเทศไทยจึงนอยกวา คาที่ระบุโดยผูผลิต วธิ ีเพิม่ กำลังงานและประสทิ ธิภาพที่ไดผลคอืการลดอณุ หภูมิอากาศที่ไหลเขาเครอ่ื งอัดกา ซ รูปท่ี 10.18 แสดงใหเห็นวา หลกั การของวธิ ีนี้คือ การตดิตงั้ ระบบทำความเย็นทที่ างเขา เคร่อื งอดั กา ซ ระบบสามารถใชในกรณีนไ้ี ดแก รปู ที่ 10.18: การลดอณุ หภมู ิอากาศท่เี ขา เครื่องกังหันกาซ• ระบบทำความเย็นแบบระเหย (evaporative cooling system) ใชการไหลของอากาศผา นวัสดุ พรุนเปยกลดอณุ หภูมิอากาศพรอมกบั เพิม่ อตั ราการไหลเมือ่ เทยี บกับอากาศแหง ระบบน้ีเหมาะ กับอากาศท่ีมีความชน้ื สัมพัทธตำ่
214 บทท่ี 10. โรงไฟฟา พลังความรอ นรวม • ระบบทำใหเกิดหมอก (fogging system) ใชการพน นำ้ ที่ละอองเลก็ มากจนเหมอื นหมอกไปผสม กบั อากาศ ละอองน้ำจะระเหยและสงผลใหอากาศมีอุณหภูมิลดลง นอกจากนี้อตั ราการไหลของ อากาศชน้ื ท่ีไหลออกจะมากกวาอตั ราการไหลของอากาศแหงที่ไหลเขา ระบบนี้เหมาะกับอากาศ ท่มี คี วามชน้ื สัมพทั ธตำ่ • ระบบทำความเย็นแบบดูดกลนื (absorption cooling system) ใชความรอนขบั เคล่ือนการ ทำงานของระบบซงึ่ อาจมีแอมโมเนียเปนสารทำความเยน็ ระบบน้ีทำงานไดในอากาศที่มีความ ช้นื สมั พทั ธส ูง • ระบบทำความเย็นแบบอดั ไอ (vapor compression system) ใชไฟฟา ขบั เคลื่อนการทำงาน ของระบบ ระบบนีท้ ำงานไดใ นอากาศทม่ี คี วามชื้นสมั พัทธส ูง นอกจากน้ีกำลงั งานและประสิทธภิ าพจะเพม่ิ ขึน้ จากการดัดแปลงวฏั จักรเบรยต ัน รูปที่ 10.19 แสดงแผนภาพของวฏั จักรพนไอนำ้ (steam injection cycle) วัฏจักรน้ีใชความรอ นจากกาซเสียที่ออกจากเครือ่ งกงั หันในการผลติ ไอนำ้ ในเคร่อื งแลกเปลี่ยนความรอ น ไอนำ้ ท่ไี ดจ ะถูกพนเขา หอ งเผาไหมพ รอ มกบัอากาศและเชอ้ื เพลิง ผลที่ไดคอื กำลังงานและประสิทธิภาพที่เพ่ิมขน้ึ เม่อื เทยี บกับวฏั จักรกงั หนักาซในรปูที่ 10.1 รูปที่ 10.19: วัฏจกั รพน ไอนำ้ รปู ที่ 10.20 แสดงแผนภาพของวฏั จักรการระเหย (evaporation cycle) เมอื่ เปรียบเทยี บกบัวฏั จกั รกงั หนั กาซในรปู ที่ 10.1 จะเห็นวา อปุ กรณท่ีเพมิ่ เติมคือ เคร่ืองระเหยและอุปกรณแลกเปล่ยี นความรอ น หลงั จากอากาศความดันสงู ออกจากเคร่ืองอดั กา ซมันจะไหลผา นเครอ่ื งระเหย น้ำท่ีพน เขาเครือ่ งระเหยจะกลายเปนไอเมอ่ื ผสมกบั อากาศซ่งึ ทำใหอัตราการไหลของอากาศชน้ื ที่ออกจากเคร่อื งระเหยมากกวาอตั ราการไหลเขา ของอากาศแหง กอ นไหลเขา หองเผาไหมอากาศจะไดรับความรอนเพม่ิขน้ึ จากการแลกเปล่ยี นความรอ นกบั กาซเสยี ท่ีออกจากเครอื่ งกงั หนั วฏั จักรการระเหยจงึ กำลังงานสทุ ธิและประสทิ ธภิ าพสงู กวา วฏั จักรเบรยตนั
10.4. เคร่อื งกำเนดิ ไอนำ้ แบบกคู วามรอ น 215 รูปที่ 10.20: วัฏจักรการระเหย10.4 เครือ่ งกำเนดิ ไอน้ำแบบกคู วามรอ น เครอ่ื งกำเนิดไอนำ้ แบบกูความรอ นหรือ HRSG ทำหนาท่ีเปลีย่ นน้ำปอนเปน ไอน้ำยวดยงิ่ โดยใชความรอนจากกา ซเสยี ที่ไดจากเคร่อื งกงั หันกาซ HRSG เปนอปุ กรณแลกเปลย่ี นความรอ นที่มีกาซเสยีไหลสวนทางกบั นำ้ และไอนำ้ โพรไฟลของอณุ หภมู ิกา ซเสยี และน้ำแสดงในรูปที่ 10.21 เห็นไดวา ผลตางอุณหภูมิของกาซเสยี และนำ้ เปลีย่ นแปลงตลอดการไหล ผลตางอุณหภูมิท่ีนอยท่ีสดุ เกดิ ขึ้นเม่อื น้ำอิ่มตัวเริ่มเปล่ยี นสถานะท่ีอณุ หภมู ิ Ty ในขณะท่ีกา ซเสยี มีอณุ หภูมิ Tx จุดน้ีซึ่งเรยี กวาจดุ พนิ ช (pinch point)เปนขอจำกัดของการออกแบบ HRSG เนอ่ื งจาก Tx − Ty ตอ งมคี ามากกวา ศนู ย ขนาดของเคร่อื งกำเนิดไอน้ำแบบกูความรอ นจะข้ึนอยูกับจุดพนิ ชกลา วคือถาจดุ พนิ ชท่ีมีคา นอ ยจะสงผลใหก ารแลกเปลย่ี นความรอนใน HRSG มีประสทิ ธผิ ลสูง แต HRSG จะตอ งมีขนาดใหญ โดยทว่ั ไปจุดพินชมีคาอยูระหวาง5-30◦C HRSG มีสามแบบคือ แบบแนวนอน (horizontal) แบบแนวตัง้ (vertical) และแบบไหลผา นครงั้เดียว (once-through) รปู ที่ 10.22 แสดง HRSG แบบแนวนอนซึง่ มีเครอ่ื งประหยัดเชอ้ื เพลงิ เคร่อื งระเหยและเครอ่ื งทำไอนำ้ ยวดยงิ่ วางเรียงกนั ตามแนวนอน ทงั้ หมดเปน กลุม ทอ ซึ่งอาจเปน ทอเรียบหรอืทอติดครีบก็ได ทอติดครบี ไดรบั ความนิยมมากกวา เพราะกาซเสียมีข้ีเถานอ ยจึงไมสรางความสกปรกใหทอ มากนัก กาซเสยี จะไหลจากเครอ่ื งทำไอนำ้ ยวดย่ิงไปเคร่ืองประหยดั เช้อื เพลิง นำ้ ปอ นท่ีไหลเขา เคร่ืองระเหยทางทอนำ้ ขึ้นไมไดกลายเปนไอน้ำทง้ั หมดเมอื่ ออกจากเคร่อื งระเหย ดงั นน้ั จงึ ตองมีถังพกั ไอนำ้แยกไอน้ำอม่ิ ตัวออกจากน้ำซ่ึงจะไหลลงทางทอน้ำลงกอ นไหลเขาทอขึ้นอกี คร้งั การไหลเวยี นของไอน้ำใน HRSG แบบแนวนอนเปน ไปโดยธรรมชาติเนอื่ งจากความหนาแนน ที่ตางกันในทอ น้ำลงและทอ นำ้ ข้นึดังนน้ั HRSG แบบแนวนอนจงึ ไมต อ งมีเคร่ืองสบู
216 บทที่ 10. โรงไฟฟาพลังความรอนรว ม รูปที่ 10.21: โพรไฟลอ ณุ หภมู ิใน HRSG รปู ท่ี 10.23 แสดง HRSG แบบแนวตงั้ เคร่อื งประหยัดเชอื้ เพลงิ เคร่อื งระเหยและเครอื่ งทำไอน้ำยวดยง่ิ วางเรยี งกนั ตามแนวตัง้ กา ซเสียไหลขึ้นจากเครอ่ื งทำไอน้ำยวดย่ิงไปเคร่ืองประหยดั เชือ้ เพลิงแรงลอยตัวของไอน้ำไมเพยี งพอทำใหเกิดการไหลเวยี นของน้ำและไอนำ้ ใน HRSG แบบแนวต้ังไดจึงตองมีเคร่อื งสูบชว ยใหเกิดการไหลเวียนในอัตราท่ีเหมาะสม HRSG แบบแนวตง้ั ตองการพนื้ ที่นอยกวาHRSG แบบแนวนอนซึง่ เปนขอไดเปรียบท่ีสำคญั ของ HRSG แบบแนวตงั้ HRSG แบบไหลผานครงั้ เดียวมีลักษณะท่วั ไปคลาย HRSG แบบแนวต้ังแตไมม ีถังพกั ไอนำ้ และทอ ท้งั หมดเช่ือมตอกันเพอ่ื ใหนำ้ ปอ นท่ีไหลเขาทางดานบนกลายเปนไอนำ้ ยวดยงิ่ เมอื่ ไหลออกทางดา นลาง HRSG ในรปู ที่ 10.22 และ 10.23 เปน แบบความดนั เดยี ว (single-pressure HRSG) เพราะการเปลี่ยนสถานะของนำ้ เปนไอนำ้ เกิดข้นึ ท่ีความดันคา เดียว HRSG อาจถกู ออกแบบใหผลติ ไอนำ้ มากกวาหนง่ึ ความดนั เพื่อเพิม่ ประสทิ ธิผล HRSG แบบสองความดนั (double-pressure HRSG) มเี ครอ่ื งประหยดัเชือ้ เพลิง เครื่องระเหย ถงั พกั ไอน้ำ และเครื่องทำไอนำ้ ยวดยิง่ อยา งละสองชดุ ที่ทำงานที่มีความดนั รปู ที่ 10.22: เคร่ืองกำเนดิ ไอน้ำแบบกคู วามรอ นแนวนอน
10.4. เครอ่ื งกำเนดิ ไอนำ้ แบบกูความรอ น 217 รปู ท่ี 10.23: เครอ่ื งกำเนดิ ไอนำ้ แบบกคู วามรอนแนวตั้งตา งกนั ดังแสดงในรูปที่ 10.24 ไอน้ำยวดยง่ิ ความดันตำ่ ท่ีไดจะไหลเขา เครือ่ งกงั หนั ไอนำ้ ความดันต่ำและไอนำ้ ยวดยิ่งความดันสงู จะไหลเขา เคร่อื งกังหนั ไอนำ้ ความดนั สงู โรงไฟฟาพลงั ความรอ นรวมที่ใชHRSG แบบสองความดนั มีประสทิ ธิภาพสูงกวา โรงไฟฟา พลงั ความรอ นรว มท่ีใช HRSG แบบความดันเดียว อยา งไรกต็ ามโรงไฟฟา พลังความรอ นรวมที่สรางขน้ึ ใหมนยิ มใช HRSG แบบสามความดนั (triple-pressure HRSG) เพ่อื เพิ่มประสิทธิภาพของโรงไฟฟาใหส ูงข้นึ อกี รูปที่ 10.24: HRSG แบบสองความดัน ถึงแมวา HRSG ทำหนา ทผี่ ลติ ไอนำ้ ยวดย่ิงเหมอื นเครื่องกำเนดิ ไอน้ำในโรงไฟฟาพลงั ความรอน และมีสว นประกอบหลกั ท่ีเหมือนกัน แตก็มีขอ แตกตา งสำคญั ระหวางเครอ่ื งกำเนิดไอนำ้ ทง้ั สองแบบหลายประการ ดังนี้ • HRSG ใชกา ซเสยี รอ นผลิตไอน้ำ และอาจมีการเผาไหมเชอื้ เพลิงกา ซเพอื่ ผลิตไอนำ้ เพิ่มเติม สวน เคร่ืองกำเนิดไอนำ้ ในโรงไฟฟาพลงั ความรอ นมกี ารเผาไหมเชือ้ เพลิงแขง็ • HRSG ไมตอ งมพี ัดลมดูดอากาศหรอื พัดลมดดู กาซเสยี
218 บทที่ 10. โรงไฟฟา พลงั ความรอ นรว ม • HRSG สามารถผลติ ไอน้ำหลายความดัน สว นเครื่องกำเนิดไอน้ำในโรงไฟฟาพลงั ความรอ นผลิต ไอน้ำความดันเดยี ว • ความรอนถายเทใน HRSG โดยการพาความรอน สวนการถา ยเทความรอนในเครือ่ งกำเนิดไอน้ำ ในโรงไฟฟา พลงั ความรอนมีทั้งการแผรงั สคี วามรอนและการพาความรอน • HRSG ไมม ีผนงั น้ำ • HRSG ใชทอติดครบี เพ่ือเพิม่ ประสทิ ธิผลของการถา ยเทความรอน สวนเครื่องกำเนดิ ไอน้ำในโรง ไฟฟาพลงั ความรอ นใชท อเรยี บ
10.4. เคร่ืองกำเนดิ ไอนำ้ แบบกคู วามรอ น 219คำถามทายบท1. อะไรคอื ขอ แตกตา งระหวางวัฏจกั รกงั หันกา ซกับวฏั จกั รเบรยต นั แบบเปด2. วัฏจักรเบรยตนั แบบปดมคี วามไดเปรียบอยางไรเมอ่ื เทยี บกับวฏั จกั รเบรยต นั แบบเปด3. รีเจนเนอเรเตอรเพม่ิ ประสทิ ธิภาพของวัฏจกั รเบรยตนั ไดอยา งไร4. เขียนแผนภาพ T-s ของวฏั จกั รเบรยตนั ท่ีมีรีเจนเนอเรชนั การใหความรอนซ้ำ และอนิ เตอรคูล ลง่ิ5. เขยี นแผนภาพอุปกรณข องวัฏจักรผสม6. ถาวฏั จกั รเบรยตันมีประสทิ ธิภาพ ηB และวัฏจักรแรงคินมีประสิทธิภาพ ηR วัฏจกั รผสมใน อุดมคตจิ ะมีประสิทธภิ าพเทา ไร7. การใหความรอ นเพิ่มเตมิ ที่เครอื่ งกำเนิดไอน้ำแบบกูความรอนในวฏั จักรผสมเพอ่ื เพ่ิมอัตราการ ผลิตไอนำ้ จะสงผลอยา งไรตอประสิทธภิ าพของวัฏจกั ร8. เคร่อื งกังหันกา ซแบง เปนกี่แบบ อะไรบา ง9. ระบุลักษณะเฉพาะของเครือ่ งกังหันกาซแบบอนุพนั ธของเครอื่ งยนตไ อพนมาสองขอ10. เคร่อื งอัดกาซท่ีนยิ มใชใ นโรงไฟฟา กงั หันกา ซเปนแบบใด11. อธิบายการเกดิ สภาวะสะดดุ ในเคร่ืองอดั กา ซ12. หองเผาไหมแ บบใดนิยมใชใ นเครือ่ งกงั หันกาซ13. วธิ ใี ดลดปรมิ าณ NOx ในหองเผาไหมข องเคร่อื งกังหนั กา ซได14. เคร่อื งกงั หนั กาซแบบสองเพลาหมายถึงอะไร15. การหลอเยน็ ในใบพัดของกงั หันกาซใชอ ะไรเปนสารหลอเย็น16. สภาวะมาตรฐาน ISO ทใ่ี ชทดสอบเครอ่ื งกังหันกา ซเปน สภาวะทีม่ คี วามชื้นสมั พทั ธเทา ไร17. กำลังงานของเครื่องกงั หนั กาซจะเปล่ียนแปลงอยางไรถา อณุ หภมู อิ ากาศแวดลอมลดลง18. อัตราความรอ นของเครอ่ื งกังหนั กา ซจะเปลี่ยนแปลงหรือไม อยางไร ถาภาระของเครอ่ื งตำ่ กวา ภาระสงู สุด19. การลดอุณหภมู อิ ากาศทไ่ี หลเขาเคร่ืองอัดกาซสงผลอยางไรตอสมรรถนะของเครอื่ ง20. อะไรคอื ขอ จำกดั ของการเพม่ิ สมรรถนะใหเ ครอ่ื งกังหันกาซโดยระบบทำใหเกดิ หมอก
220 บทที่ 10. โรงไฟฟาพลังความรอ นรว ม21. เขยี นแผนภาพอปุ กรณของวฏั จกั รพน ไอน้ำ22. เขียนโพรไฟลของอณุ หภมู ินำ้ และกาซเสียในเครอื่ งกำเนดิ ไอนำ้ แบบกูความรอน พรอ มทง้ั ระบุ ทิศทางการไหล23. ระบุสวนประกอบหลกั ของเคร่ืองกำเนิดไอนำ้ แบบกูความรอน24. รีเจนเนอเรเตอรมีประสทิ ธิผล 50% กา ซเสยี ไหลเขา ท่ีอุณหภมู ิ 300◦C ไหลออกที่อุณหภูมิ 200◦C และอากาศไหลเขาท่ีอุณหภมู ิ 100◦C จงคำนวณหาอณุ หภมู อิ ากาศทไี่ หลออก25. หาประสิทธภิ าพของวฏั จักรเบรยตนั ในอุดมคติท่ีมีอณุ หภมู ิต่ำสดุ 30◦C อุณหภมู ิสูงสุด 2000◦C และอัตราสว นความดนั เทา กับ 426. ถาตอ งการใหประสทิ ธิภาพของวฏั จกั รในคำถามขอที่แลว มีคา เพิ่มขึน้ 50% จะตอ งตดิ ตง้ั รีเจน เนอเรเตอรท ่ีมปี ระสิทธผิ ลเทา ไร (อากาศมีคา k = 1.4, cp = 1.005 kJ/kg.K)27. อากาศไหลเขาเคร่อื งอัดกา ซทอี่ ณุ หภมู ิ 300 K และความดัน 1 atm เครือ่ งอดั กา ซมีประสทิ ธิภาพ 80% จงหาอณุ หภมู ิของอากาศที่ไหลออกถาความดนั ของอากาศท่ีไหลออกเทา กับ 8 atm (อากาศมคี า k = 1.4)28. กาซเสยี ไหลเขา เครื่องกงั หนั กา ซที่อุณหภูมิ 1300 K และความดัน 8 atm เครอ่ื งกังหนั กาซมี ประสิทธภิ าพ 80% จงหาอุณหภมู ิของกาซเสียท่ีไหลออกถา ความดนั ของกา ซเสียที่ไหลออก เทากบั 1 atm (กาซเสียมีคา k = 1.4)29. วัฏจกั รเบรยตันมีอินเตอรคูลล่ิงหนง่ึ ครงั้ และการใหความรอ นซำ้ หน่ึงครงั้ อัตราสว นความดัน √ของเครือ่ งอัดกา ซและกงั หนั กาซเทากบั 2 อุณหภมู ิของอากาศท่ีเขาเครือ่ งอัดกาซแตล ะเคร่ืองเทากบั 300 K อุณหภูมิของอากาศท่ีเขา กงั หนั กา ซแตละเครอื่ งเทา กบั 1300 K วฏั จักรน้ีมีรีเจนเนอเรเตอรท ม่ี คี า ประสิทธผิ ลเทากับ 0.8 จงหาประสิทธิภาพของวฏั จักร (กำหนดให cp = 1.005kJ/kg.K และ k = 1.4)30. วฏั จกั รผสมผลติ กำลังงาน 200 MW โดยวัฏจักรเบรยตนั มีอตั ราสว นความดนั เทากบั 7.5 และ อุณหภูมติ ำ่ สดุ และสูงสุดเทา กบั 15◦C และ 750◦C ตามลำดบั กา ซเสียท่ไี หลออกจากกงั หนั กา ซ ไดรบั ความรอ นเพิ่มเติมเพอ่ื ทำใหอุณหภมู ิเปน 750◦C หลังจากน้นั จงึ ไหลเขา HRSG เพ่ือผลติ ไอนำ้ ยวดยิง่ ท่ีมีความดัน 50 bar และอุณหภมู ิ 600◦C ความดนั ในเคร่ืองควบแนน ของวฏั จักร เทากบั 0.1 bar จงคำนวณหาประสทิ ธภิ าพของวัฏจกั ร (กำหนดให cp = 1.11 kJ/kg.K, k = 1.33 และไมต อ งพิจารณากำลังงานของเครื่องสูบในวัฏจกั รแรงคนิ )
บทที่ 11โรงไฟฟาพลังน้ำ11.1 ลักษณะทัว่ ไป แสงอาทิตยที่สอ งมาบนโลกทำใหน้ำในลำคลอง แมน ำ้ ทะเลและมหาสมทุ รระเหย ความหนาแนนของไอน้ำนอ ยกวาอากาศ ไอน้ำจึงลอยข้นึ ไปที่ระดับความสูงหนงึ่ จากพ้นื ดินและกอตวั เปนเมฆฝน เมือ่เมฆฝนมีขนาดใหญไดพอเหมาะ ฝนก็ตกลงมา ฝนบางสว นตกลงในแหลงน้ำที่ตั้งอยูบนที่สูงหรอื ภูเขาเมอ่ื นำ้ ไหลจากแหลง น้ำน้ีลงสูท่ีต่ำ พลงั งานศักยจะแปรรูปเปนพลงั งานจลนซ่งึ สามารถใชผลิตไฟฟาไดดวยโรงไฟฟา พลงั นำ้ (hydroelectric power plant) เหน็ ไดวา พลงั งานน้ำมีท่ีมาจากพลังงานแสงอาทติ ย การผลติ ไฟฟา จากพลงั งานน้ำก็คอื การใชประโยชนจากพลังงานแสงอาทติ ยทางออมนน่ั เอง โรงไฟฟาพลงั น้ำมีขอ ไดเปรียบหลายประการเมือ่ เปรยี บเทยี บกบั โรงไฟฟา ประเภทอ่ืน กลาวคอื คาใชจายในการผลิตไฟฟา ตำ่ เนือ่ งจากไมมีตน ทนุ คา เชอื้ เพลงิ และดูแลรกั ษางา ย ทนทานตอ การใชงาน เดนิเครอ่ื งโรงไฟฟา และหยดุ การทำงานไดรวดเร็ว อายุการใชงานยาวนาน ประสิทธภิ าพสูง สามารถใชเปนไดทง้ั หนว ยผลิตไฟฟา หลักและหนว ยผลิตไฟฟา สำรอง และไมกอใหเกิดมลภาวะทางอากาศหรอื ทางนำ้โรงไฟฟาพลังนำ้ มีขอ เสียที่ตอ งการการลงุ ทุนกอ สรา งสงู และใชเวลากอสรางนาน แตเมอื่ กอ สรางเสรจ็จนใชงานได การลงทนุ จะคมุ คา อยา งไรก็ตามการกอสรา งโรงไฟฟา พลังน้ำในบางพืน้ ที่อาจไมคุม คา เมื่อคำนึงถึงผลกระทบตอ ระบบนิเวศน โรงไฟฟาพลังนำ้ มหี ลายขนาดต้ังแต 100 kW ถึงมากกวา 30 MW โรงไฟฟา พลงั งานน้ำแบง เปน สามประเภทคือ (1) โรงไฟฟาพลงั งานน้ำแบบไมม ีอา งเก็บนำ้ (run-of-river plant) เปนโรงไฟฟา ขนาดเลก็ท่ีสรางข้นึ ขวางทางนำ้ ไหลในแหลง น้ำเล็ก ๆ ลำธารหรือฝายตาง ๆ (2) โรงไฟฟา พลงั งานน้ำแบบมีอา งเกบ็ น้ำ (impoundment plant) เปน โรงไฟฟาขนาดใหญที่ผลิตไฟฟา จากพลังงานศกั ยของนำ้ ที่มีอยูในแหลง น้ำธรรมชาติหรอื แหลงน้ำท่ีสรางขน้ึ มา และ (3) โรงไฟฟา พลงั งานนำ้ แบบสูบน้ำกลบั (pumped-storage plant) เปน โรงไฟฟาท่ีสามารถผลติ ไฟฟา ไดจ ากพลงั งานศกั ยของนำ้ ในแหลง น้ำและใชไ ฟฟาสบูนำ้ กลับขึ้นไปแหลงนำ้ เพ่ือสะสมพลงั งานศักย โรงไฟฟา สว นใหญในประเทศไทยเปน ประเภททส่ี อง รปู ที่ 11.1 แสดงสวนประกอบหลกั ของโรงไฟฟาพลังน้ำ เขื่อน (dam) ทำหนา ท่กี ักเก็บน้ำและปลอ ยนำ้ สำหรับผลติ ไฟฟา ทอ สง น้ำ (penstock) ทำหนาที่แปลงพลังงานศกั ยของน้ำเปน พลงั งานจลน เคร่ืองกงั หันไฮดรอลิก (hydraulic turbine) ทำหนาที่แปลงพลงั งานจลนของนำ้ เปน พลงั งานงานกลในรปู ของ
222 บทท่ี 11. โรงไฟฟา พลงั นำ้การหมนุ เคร่ืองกงั หัน และเคร่อื งกำเนดิ ไฟฟา (generator) ทำหนาที่แปลงพลงั งานกลจากเคร่อื งกังหนัเปน พลงั งานไฟฟารปู ที่ 11.1: สว นประกอบหลักของโรงไฟฟาพลังนำ้ นำ้ ท่ีระดับความสูง H เมือ่ เทยี บกบั เคร่ืองกังหันและมีอัตราการไหลเชงิ ปรมิ าตร Q จะมีศกั ยภาพในการผลิตไฟฟาได ρgQH โรงไฟฟาพลงั นำ้ มีประสทิ ธิภาพมากกวา 75% ในการแปลงศักยภาพนี้เปนพลงั งานไฟฟา ประสิทธิภาพของโรงไฟฟาพลังนำ้ มีคา เทากบั อตั ราสวนระหวางพลังงานไฟฟา ท่ีไดจากโรงไฟฟา กบั พลงั งานศักยของน้ำในเขื่อน ประสทิ ธภิ าพของโรงไฟฟาพลงั นำ้ ขึ้นกับประสทิ ธิภาพในการแปลงรปู พลงั งานของสว นประกอบตา ง ๆ ของโรงไฟฟาดังนี้η = ηp.ηt.ηg (11.1)โดยท่ี ηp คอื อตั ราสว นระหวางพลังงานจลนข องนำ้ ท่ีออกจากทอสง นำ้ กับ พลังงานศกั ยของน้ำในเข่อื น ηt คือ อตั ราสวนระหวางพลังงานกลจากเครอื่ งกงั หันไฮดรอลกิ กับ พลังงานจลนข องน้ำทอ่ี อกจากทอสงนำ้ ηg คือ อัตราสว นระหวา งพลังงานไฟฟา จากเครอื่ งกำเนดิ ไฟฟากบั พลังงานกลจากเคร่อื งกงั หันไฮดรอลิก11.2 เข่ือน ตน ทุนหลักของการสรางโรงไฟฟาพลงั น้ำมาจากการสรา งเข่ือน ซง่ึ คาใชจายสว นน้ีรวมถงึ คาเวนคนืทีด่ นิ และคาใชจา ยแฝงในรปู ของระบบนิเวศนที่เปลยี่ นไป อยา งไรก็ตามเข่อื นมีประโยชนในดานอืน่ เชนเปนแหลง นำ้ เพ่อื การชลประทาน เปน แหลงเพาะพันธุปลา และเปน สถานทพ่ี กั ผอ น เปนตน เขอ่ื นเปนโครงสรางขนาดใหญท่ีมีคา กอสรา งสงู และตอ งใชพื้นที่มาก ที่ตงั้ ของเขื่อนเปน แหลงน้ำขนาดใหญท่ีมีน้ำ
11.2. เขือ่ น 223ปรมิ าณมากพอและมีน้ำระดบั สงู พอท่ีจะทำใหการสรา งเขื่อนคมุ คา การจำแนกประเภทของเข่ือนอาจจำแนกดว ยวสั ดุที่ใชกอสรางเข่ือนเปน เขอื่ นหนิ ถม (rock-filled dam) เขื่อนดนิ (earth dam) และเข่อื นคอนกรตี นอกจากน้ีเมื่อพจิ ารณาจากโครงสรางเข่อื นคอนกรีตอาจแบง เปนเขอ่ื นถว งนำ้ หนกั (gravitydam) เขอ่ื นโคง (arc dam) และเขอ่ื นครบี (buttress dam) • เข่ือนหนิ ถมเหมาะกบั ทอ งถิน่ ที่มีหนิ จำนวนมากซ่งึ จะลดคา กอสรางเขอ่ื น เขื่อนหนิ ถมไมจำเปน ตองมีฐานรากท่ีแข็งแรงมาก เขื่อนถมมกั มีปญ หาการร่วั ซึมของนำ้ ผานเขือ่ น ดงั นน้ั จึงตอ งมีการ สรา งผนงั กัน้ นำ้ ดา นหนา เขอื่ นหรอื การเสริมตรงกลางเขอ่ื นหรือดว ยวสั ดุกันนำ้ เชน ดินเหนยี ว คอนกรตี หรือยางมะตอย ตวั อยางของเขอื่ นชนิดนี้ในประเทศไทยไดแ ก เขือ่ นศรนี ครนิ ทร เขื่อน วชริ าลงกรณ และเขือ่ นบางลาง เปน ตน • เขื่อนดินมีคณุ สมบัติคลา ยเข่อื นถมหินแตวสั ดุท่ีใชสรา งเข่อื นสวนใหญเปนดิน ตัวอยา งเขอื่ นชนดิ นใ้ี นประเทศไทยไดแ ก เข่อื นสิรกิ ิต์ิ เขอื่ นแกงกระจาน และเขื่อนแมงดั เปน ตน • เขอื่ นถวงนำ้ หนกั มีลักษณะรูปหนา ตัดเปน ส่ีเหลยี่ มคางหมู สามเหล่ยี ม เขอ่ื นชนดิ น้ีเหมาะกับการ กอ สรา งในบริเวณท่ีมีหินฐานรากท่ีแขง็ แรง ตัวเขอ่ื นเปนคอนกรีตท่ีมีความหนาและน้ำหนักมาก พอท่ีจะตา นทานแรงดนั ของน้ำไดโดยอาศัยน้ำหนักของตัวเข่อื นเอง เขื่อนถว งน้ำหนกั ออกแบบ งา ยและมคี วามปลอดภยั สงู แตตองใชคอนกรตี ปริมาณมากในกอ สรา ง จงึ มคี า กอ สรางสูง • เขอ่ื นโคง ถกู ออกแบบใหดานหนาเขือ่ นโคง เขาหาแหลงเกบ็ นำ้ ความโคง ของเขอื่ นจะตานแรงดัน ของน้ำได เข่อื นชนดิ น้ีเหมาะท่ีจะสรา งในบรเิ วณหุบเขาที่มีความกวา งนอ ยกวาความสูงมากและ มีหินฐานรากท่ีแข็งแรง ถาฐานรากไมแข็งแรงพออาจจำเปน ตองปรบั ฐานรากใหมีความแข็งแรง เพม่ิ ขึน้ กอ น แลว จึงสรา งเขือ่ นข้ึนภายหลงั ขอ ดีของเขอ่ื นโคง คอื มีรูปรา งบางกวาเขอ่ื นถวงน้ำ หนักมากซึง่ ทำใหคากอสรา งถกู กวา แตม ขี อ เสียคือ คาใชจ ายในการออกแบบและการดำเนนิ การ ที่แพงกวา ประเทศไทยมีเขอ่ื นโคงเพียงแหง เดียวคือ เข่ือนภมู พิ ลซ่งึ เปน เขื่อนคอนกรีตที่มีขนาด ใหญทสี่ ุดในประเทศ • เขอ่ื นครบี เปน เขือ่ นคอนกรตี เสรมิ เหลก็ มีดา นหนา เปน แบบเรียบหรือแบบโคง ก็ไดและดา นหลัง มีแผน คอนกรตี รปู ครีบ (buttress) หลายอันสำหรบั รับแรงดันของน้ำและถายแรงไปยังฐานราก ของเข่อื น เขอื่ นชนิดน้ีใชวัสดุปริมาณคอนกรตี นอ ยกวา เขอื่ นถวงนำ้ หนกั 20-30% ทำใหมีความ แขง็ แรงนอ ยกวา และความปลอดภยั จะลดลง จงึ ไมน ิยมสรา งเขอื่ นใหมีความสงู มากนักตารางท่ี 11.1 แสดงใหเห็นวาเขือ่ นสวนใหญในประเทศไทยเปนเขอื่ นหินถม เขื่อนที่ใหญทส่ี ดุ ในประเทศไทยคอื เข่อื นศรนี ครินทร แตเขอ่ื นท่มี ีโรงไฟฟาพลงั นำ้ ขนาดใหญทสี่ ุดของประเทศคอื เข่ือนภูมิพล ระดบั น้ำในเขือ่ นอาจสงู จนน้ำลน ขามสันเข่อื นไดในกรณีท่ีมีฝนตกมากและทำใหปริมาณน้ำสะสมในแหลงเก็บน้ำมากเกนิ ไป เพอ่ื ควบคมุ ระดับนำ้ ไมใหสูงเกินไปจึงตอ งมีการกอสรา งชอ งระบายน้ำลน(spillway) ควบคูไปกับเข่อื น ชอ งระบายนำ้ ลนทำหนา ท่ีระบายน้ำทง้ิ ผา นเขื่อน สันของชองระบายน้ำลน จะเทา กับระดับนำ้ เกบ็ กกั ถา ระดับน้ำสูงกวาระดบั เกบ็ กักนำ้ จะระบายออกทางชอ งระบายน้ำลนทันที การระบายน้ำตามปกติในปริมาณท่ีคาดการณไวเมอื่ ออกแบบเข่ือนจะใชชองระบายน้ำลนปกติ
224 บทท่ี 11. โรงไฟฟาพลังนำ้ ตารางท่ี 11.1: เข่ือนที่สำคัญในประเทศไทยเขอื่ น ท่ีตง้ั ประเภท ความจุ กำลังการผลติ ไฟฟา (m3) (MW)ภมู พิ ล ตาก เข่ือนโคง 13462 731ศรนี ครนิ ทร กาญจนบรุ ี เขือ่ นหนิ ถม 17745 720สิริกติ ์ิ อุตรดิตถ เขื่อนดนิ 9510 500วชิราลงกรณ กาญจนบุรี เขื่อนหินถม 8860 300รชั ชประภา สรุ าษฎรธานี เขอื่ นหนิ ถม 3057 240บางลาง ยะลา เขอ่ื นหนิ ถม 1420 72อบุ ลรตั น ขอนแกน เขื่อนหนิ ถม 2263 55สริ นิ ธร อุบลราชธานี เขื่อนหินถม 1967 36(service spillway) แตถาปรมิ าณน้ำเกนิ กวา ท่ีคาดการณไวก็จำเปน ตอ งระบายนำ้ ออกทางชองระบายน้ำลนฉุกเฉิน (emergency spillway) สันของชองระบายน้ำลนฉกุ เฉนิ จะสงู กวา สนั ของชองระบายน้ำปกติเพอื่ ใหนำ้ ไหลผา นชอ งระบายน้ำลน ปกตกิ อนชอ งระบายนำ้ ลน ฉุกเฉิน11.3 ทอสง นำ้ ทอ สงน้ำมีสองสว น สวนแรกเปน ทอ สง น้ำความดันต่ำ (low-pressure conduit) น้ำท่ีออกจากเขือ่ นจะไหลเขาทอสง นำ้ ความดนั ต่ำเปน ลำดบั แรก ทางเขาทอตดิ ตั้งตะแกรง (screen) เพือ่ ปอ งกนั เศษไม, วชั พืช หรือวตั ถุขนาดใหญไหลเขาไปในทอ สง น้ำซงึ่ อาจจะเขาไปสรา งความเสียหายใหใบพัดของเครื่องกังหนั ได ขนาดของชอ งตะแกรงจะตองไมเล็กหรอื ใหญเกนิ ไป ถา เล็กเกนิ ไปจะจำกดั อัตราการไหลของนำ้ ภายในทอสงนำ้ ถา ใหญเ กินไปกจ็ ะไมสามารถปองกนั วัตถขุ นาดใหญไ ด ดา นปลายของทอนจ้ี ะตอกับถงั ลดแรงดันน้ำ (surge tank) ซ่ึงทำหนา ท่ีดูดซบั ความดันนำ้ ที่เพม่ิ อยา งกระทันหันและเพิ่มความดันใหน้ำในกรณีที่ความดันน้ำลดลงอยา งกระทนั หนั สว นที่สองเปน ทอ นำ้ ความดันสงู (penstock) ท่ีลาดลงเพ่อื เพ่ิมความดันของนำ้ ทอสงนำ้ ความดนั ต่ำอาจสรา งจาก PVC หรือโพลีเอตทีลนี (polyethelene)ทอสงนำ้ ความดันสูงอาจสรางจากเหลก็ กลาหรือคอนกรตี เสริมเหล็ก ทอ สง นำ้ อาจวางใตด นิ หรือบนดินกไ็ ด และอาจมขี อตอ การขยาย (expansion joint) เพ่ือรับมือกบั การเคล่ือนตัวของแนวทอเม่ือเวลาผานไป ถา พจิ ารณาสมดุลพลงั งานของทอ สง นำ้ จะไดสมการดังนี้ p1 + 1 V12 + pL = gH (11.2) ρ 2 ρโดยท่ี H คือ ระยะตามแนวต้ังจากระดับนำ้ ในเข่อื นถึงทางออกจากทอสงน้ำ p1 คอื ความดนั น้ำทางออกpL คอื ความดันสญู เสีย (pressure loss) ของการไหลในทอสงน้ำ และ V1 คือ ความเร็วเฉลยี่ ของน้ำท่ี
11.4. กงั หันไฮดรอลิก 225ไหลออกจากทอสง น้ำซึ่งคำนวณจากอตั ราการไหลหารดวยพืน้ ท่ีหนา ตดั ของทอ ประสทิ ธิภาพของทอ สงน้ำคอื ηp = 1 − pL (11.3) ρgHการไหลในทอทำใหเกดิ ความดันสญู เสยี ซง่ึ เปนสาเหตุท่ีทำให ηp นอยกวา 1 ความดันสูญเสยี มีคา ลดลงเม่อื ขนาดของทอเพิม่ ข้ึนและความยาวของทอ ลดลง ดังนั้นทอ สง น้ำมักมีขนาดใหญเพอื่ ลดความดนัสญู เสียและเพมิ่ อตั ราการไหลของน้ำแตขนาดของทอ ถูกจำกดั ดว ยราคา นอกจากน้ีการออกแบบทอ สงนำ้ ควรลดความยาวของทอท่ีไมจำเปนและหลีกเล่ียงการวางทอแบบหักมุมซงึ่ จะเพิ่มความดนั สูญเสยี ในทอ อยา งไรก็ตามทอ สง น้ำมักเปนคาใชจายหลกั ของการกอสรา งโรงไฟฟาพลังนำ้ เนอ่ื งจากทอ สงน้ำมกั มีขนาดใหญแ ละมคี วามยาวมาก การควบคมุ การไหลในทอสงนำ้ ใชวาลว ซง่ึ ติดตั้งใกลทางเขา เครอื่ งกงั หนั ไฮดรอลกิ โรงไฟฟา พลังนำ้ ที่ทำหนา ที่จายไฟใหภาระสูงสดุ ในระบบมีความจำเปนตองเปลีย่ นอัตราการไหลตลอดเวลา ในชว งที่ภาระลดลงตำ่ กวา ภาระสูงสดุ โรงไฟฟาจะหยดุ เดนิ เครอื่ งโดยการปด วาลว การปด วาลวอยางกระทนั หนัทำใหเ กดิ สภาวะคลนื่ กระแทก (water hammer) ซง่ึ เปน สภาวะทค่ี วามดนั น้ำในทอเพม่ิ ข้ึนอยา งรวดเรว็และอาจมากกวา ความดันท่ีทอออกแบบใหรองรบั ได สภาวะดงั กลาวจึงอาจทำใหทอ เสยี หายไดจากการความดันภายใน ในทางกลบั กนั การเปดวาลว อยา งกระทันหนั นำ้ ไหลออกจากทอสงนำ้ อยางรวดเร็วจนอาจเกดิ สภาวะสญุ ญากาศในทอซ่ึงทำใหทอ เสียหายจากการยบุ ตวั ลงไดเชนกัน วธิ ีปองกนั ความเสยีหายจากการเปลยี่ นคลื่นกระแทกและการเกดิ สุญญากาศในทอ คอื การตดิ ตั้งถงั ลดแรงดันน้ำท่ีทอสงน้ำหนา ที่อื่นของถงั ลดแรงดนั น้ำคือ เปนท่ีเก็บนำ้ ท่ีเกนิ ความตอ งการของเครอ่ื งกังหัน จา ยน้ำเพมิ่ เติมใหเครือ่ งกงั หนั เมื่อมีความตอ งการน้ำมากกวาปกตแิ ละลดการเปล่ียนแปลงความดันนำ้ ในทอ สง น้ำ ถงั ลดแรงดันนำ้ มสี ามแบบ ถงั ลดแรงดันนำ้ แบบธรรมดา (simple surge tank) เปนถงั ทรงกระบอกที่มีทางเขา ขนาดเทา หนา ตดั ของถัง ถงั ตองมีความสูงเพียงพอสำหรับรองรบั ปรมิ าณนำ้ ที่ลน ออกมาจากทอสง นำ้ เมื่อปด วาลว ถังแบบน้ีไมสามารถปองกนั การเปล่ียนแปลงความดันในทอ อยา งรวดเร็วได ถังลดแรงดันนำ้ แบบออริฟซ (orifice surge tank) มีทางเขา ขนาดเล็กและสามารถรองรบั การเปล่ยี นแปลงความดันอยา งรวดเร็วในทอ สง นำ้ ไดดี ถังลดแรงดนั นำ้ แบบผลตาง (differential surge tank) เปนแบบผสมโดยมีถังเล็กอยูในถงั ใหญ น้ำไหลจากทอ สงน้ำเขา ถงั เล็กผา นออริฟซ น้ำท่ีลนจากถงั เล็กจะไหลเขาถังใหญ จงึ ไมมกี ารสูญเสียนำ้ เหมือนสองแบบแรก รปู ท่ี 11.2 แสดงถงั ลดแรงดันน้ำทั้งสามแบบ11.4 กังหันไฮดรอลกิ กงั หนั ไฮดรอลิกมีตน กำเนดิ จากกงั หนั น้ำที่ใชเพอ่ื การเกษตร ในเวลาตอมาไดรบั การพฒั นาใหมีประสิทธิภาพสูงและมีขนาดใหญข้ึนจนสามารถใชในโรงไฟฟาพลงั นำ้ ทง้ั ขนาดเล็กและขนาดใหญไดหลกั การทำงานทว่ั ไปของกงั หนั ไฮดรอลิกคลายกบั กงั หันไอน้ำและกงั หนั กาซ แตกังหนั ไฮดรอลิกก็มีลักษณะเฉพาะเนือ่ งจากของไหลในกงั หันไฮดรอลิกเปน นำ้ รปู ที่ 11.3 แสดงการไหลของน้ำท่ีมีความดันสงู (p1) และความเร็วสงู (V1) เขา กังหันไฮดรอลกิ น้ำท่ีไหลออกมีความดนั ตำ่ (p2) และความเร็วสูง (V2) สมมุตวิ า ทางเขาและทางออกอยรู ะดับเดียวกนั และ
226 บทที่ 11. โรงไฟฟา พลังนำ้ รปู ที่ 11.2: ถังลดแรงดันน้ำไมม ีการสูญเสยี พลงั งานภายในกงั หัน สมการสมดุลพลังงานของการไหลผานกังหนั คอื p1 + 1 V12 = p2 + 1 V22 +E (11.4) ρ 2 ρ 2 (11.5) (11.6)งานในอดุ มคติที่ไดจากกังหันไฮดรอลกิ จงึ มคี าดังน้ีE = p1 − p2 + 1 ( − ) ρ 2 V12 V22ประสทิ ธภิ าพของกงั หันคำนวณจาก ηt = Eact Eโดยท่ี Eact คือ งานที่ไดจ ากกังหนั จริงรูปที่ 11.3: สมดุลพลงั งานในกังหันไฮดรอลิก11.4.1 ประเภทของกงั หนั ไฮดรอลกิ สมการ (11.5) แสดงใหเหน็ วา งานที่ไดจากกังหันไฮดรอลิกมาจากสองสว นคอื ผลตา งความดันและผลตา งพลังงานจลน ระดับปฏกิ ริ ยิ า (reaction degree) ของกงั หนั คอื อตั ราสวนของงานสว นแรกตองานรวม R = (p1 − p2)/ρ (11.7) E
11.4. กงั หนั ไฮดรอลกิ 227คา R เปนตัวกำหนดประเภทของกังหนั ไฮดรอลกิ กงั หันแรงดล (impulse turbine) มคี า R เทา กบั ศนู ยกังหันแรงปฏกิ ิรยิ า (reaction turbine) มคี า R มากกวาศนู ย กงั หนั แรงดลผลิตงานพลงั งานจลนของน้ำ นำ้ ท่ีไหลเขากงั หันแรงดลมีความดันบรรยากาศและความเรว็ สูง นำ้ ท่ีไหลออกมีความเร็วตำ่ กงั หนั แรงดลที่สำคัญคอื กงั หนั เพลตัน (Pelton turbine) รูปท่ี11.4 แสดงลกั ษณะทั่วไปของกงั หันเพลตนั กังหันเปนวงลอ ขนาดใหญซ ึ่งประกอบยึดตดิ อยกู ับเพลาทตี่ อกับเคร่อื งกำเนดิ ไฟฟา ตามเสน รอบวงกังหนั มีใบพดั รปู ถวยหลายใบ ลำน้ำจากทอสง นำ้ ไหลมายังหัวฉดี(nozzle) และพงุ ออกไปปะทะใบพดั ทำใหเกิดแรงกระทำตอ ใบพดั ซง่ึ ทำใหกงั หันหมุนได จำนวนหวั ฉดีมักมีมากกวาหน่งึ แตก็มีจำนวนไมมากเพราะลำนำ้ ท่ีพุงออกจากหัวฉดี หนงึ่ จะปะทะกับลำน้ำจากอกี หวัฉดี ถาอยูใกลกนั เกินไป หัวฉดี จะวางอยูใกลตัวกงั หนั เพ่ือใหลดการกระจายของน้ำใหนอยที่สดุ วาลว เข็มฉดี (needle valve) ทำหนา ท่ีควบคมุ อตั ราการไหลของนำ้ ที่ออกจากหัวฉีด อยางไรกต็ ามการปดวาลวอยา งรวดเรว็ จะทำใหเกิดคลน่ื กระแทกในทอ สงน้ำ การหยุดการทำงานของกังหนั อยา งกระทนั หันจึงไมใชวาลวเข็มฉีดเพยี งอยา งเดียว แตตอ งใชดีเฟล็กเตอร (deflector) เบนลำนำ้ ไปทิศทางอ่นื แลวจงึ คอ ยๆ ปดวาลว กอ นทจี่ ะนำดเี ฟล็กเตอรก ลบั สตู ำแหนงเดมิ รปู ที่ 11.4: กังหนั เพลตนั ใบพดั ของกังหันเพลตันถกู ออกแบบใหมีสันตรงกลางดังแสดงในรูปท่ี 11.5 นำ้ จากหวั ฉดี จะพุง ตรงไปที่สันใบพดั และไหลออกไปทางซายและขวาเทา ๆ กัน ผวิ ดานในท่ีรบั น้ำของใบพัดเปน รปู เวา โคงในลักษณะท่ที ำใหน ้ำท่มี าปะทะไหลกลบั ทิศทาง พลงั งานจลนใ นน้ำจะถา ยเทใหใบพัดในรปู ของพลังงานกลจากการหมนุ ของวงลอ ถาการถายเทพลงั งานเปน ไปอยา งสมบูรณและ θ = 180◦ ความเร็วของนำ้ เมือ่วกกลับจะลดลงเปน ศูนย (V2 = 0) ซึง่ หมายความวาไมม ีพลงั งานจลนหลงเหลอื ในน้ำที่ไหลออก และการแปลงพลังงานจลนของน้ำเปน พลงั งานกลของกังหนั เปน ไปอยา งสมบรู ณ อยา งไรก็ตาม มมุ 180◦ทำใหเกิดปญหาในทางปฏิบตั ิคอื ลำน้ำออกจะปะทะกับลำนำ้ เขา ดงั น้นั ใบพัดจงึ ถูกออกแบบให θ มีคาประมาณ 170◦ เทา นั้น ผลท่ีตามมาคือประสิทธิภาพสงู สดุ ของกงั หันเพลตนั จะนอ ยกวา 1 เนอื่ งจากน้ำทไ่ี หลออกยงั คงมีพลังงานจลนหลงเหลอื อยู (V2 > 0)
228 บทที่ 11. โรงไฟฟา พลงั นำ้ รปู ที่ 11.5: ใบพดั ของกงั หนั เพลตนั การที่ลำน้ำจากหัวฉดี พุงชนใบพัดอยางรนุ แรงตอ เน่ืองเชน น้ีจะทำใหเกดิ ความเคนสงู ในโลหะท่ีใชเปนวสั ดุใบพัด ในขณะเดยี วกนั ใบพัดเองก็จะมีแรงเหวย่ี งหนีศูนยก ลางที่พยายามแยกใบพัดออกจากวงลอ และแกนเพลา ดังน้ันวสั ดุที่นำมาใชทำใบพัดจงึ ตองเปน วัสดุอยางดีที่ทนตอ การสกึ กรอน นอกจากน้ีผวิ ดานที่สมั ผัสกบั นำ้ ของใบพัดควรเรยี บท่ีสดุ เพอื่ ลดความเสียดทานในขณะที่น้ำไหลวกกลบั กังหันแรงปฏกิ ิริยาผลิตงานจากผลตางความดันและพลงั งานจลนของน้ำ ดงั น้ันนำ้ ที่ไหลเขากังหนัจึงตองเปนนำ้ ท่ีมีความดันสงู กังหนั จมน้ำอยูในโครงหมุ (casing) ส่ิงนี้เปน ขอ แตกตา งที่สำคัญระหวางกังหันแรงปฏิกริ ยิ ากบั กังหนั แรงดล กังหนั แรงปฏิกิริยาท่ีสำคัญคอื กังหนั ฟรานซสิ (Francis turbine)และกังหนั คาปลาน (Kaplan turbine) รูปที่ 11.6 แสดงลกั ษณะของกังหนั ฟรานซสิ เห็นไดวา กงั หันฟรานซิสจมอยูในนำ้ ขณะทำงานและอยูในเปลือกหุม ในทางตรงขา มกงั หนั เพลตันไมจมน้ำและไมมีอะไรหมุ สวนประกอบสำคัญของกังหันฟรานซิสคือ (1) โครงหมุ ทส่ี ามารถทนความดนั สูง (2) ใบพัดนำ (guide vane) หรอื ประตูนำ้ เขา (wicketgate) ซง่ึ ทำหนา ทเ่ี หมือนวาลว ควบคมุ อตั ราการไหลของนำ้ เขาสูใ บพดั หมนุ นอกจากน้ีหนา ที่อีกประการหนึ่งของใบพัดนำคอื การปรับทิศทางการไหลของน้ำใหเขาปะทะใบพัดหมนุ ที่มมุ ที่เหมาะสม (3) ใบพดัหมุน (runner blade) ซ่งึ ทำหนาที่แปลงพลังงานศกั ยและพลังงานจลนของน้ำเปน พลังงานกลจากการหมนุ น้ำความดันสงู จะไหลเขาใบพัดหมนุ ตามแนวรศั มีรอบวงแหวนของใบพัดหมนุ หลงั จากน้ันน้ำที่ออกจากใบพัดหมนุ จะเปล่ียนทิศทางการไหลเปน ไหลออกตามแนวแกน กังหนั คาปลานมีสวนประกอบหลกั คลายกังหันฟรานซิส แตมีการออกแบบที่แตกตา งกัน ใบพดัหมุนของกงั หนั คาปลานมีลกั ษณะคลา ยใบจกั ร (propeller) ของเรอื เดนิ สมทุ รและมีจำนวนเพียง 4 ถงึ8 ใบพดั ซึง่ นอ ยกวา จำนวนใบพัดหมนุ ของกังหันฟรานซิสที่เรียงตัวอยูรอบลอหมุน รูปท่ี 11.7 แสดงลักษณะของกงั หนั คาปลาน ใบพดั หมนุ ปรับมุมไดโดยใชเซอรโวมอเตอร (servo-motor) น้ำที่ไหลเขากงั หนั ตามแนวรัศมีจะผา นใบพดั นำกอนเปลี่ยนทิศทางการไหลเปนการไหลตามแนวแกนและไหลผานใบพัดหมนุ ของกงั หนั การไหลเชน น้ีแตกตา งจากการไหลในกงั หันฟรานซสิ ซ่งึ นำ้ จะไหลเขา ตามแนวรศั มีแลว จึงไหลออกตามแนวแกนหมนุ ส่ิงหนงึ่ ท่ีปรากฏในรปู ที่ 11.6 และ 11.7 คือ อุโมงคทา ยนำ้ (draft tube) ซ่ึงไมใ ชสวนประกอบของกังหันไฮดรอลิก แตมกั พบวามีการตดิ ตงั้ อโุ มงคทา ยน้ำทท่ี างออกของกงั หนั แรงปฏิกิรยิ า ประโยชนของอุโมงคทา ยน้ำคอื เพ่มิ งานท่ีไดจากกังหนั แรงปฏิกริ ยิ า สมการ (11.5) แสดงใหเห็นวา ถากำหนดให p1
11.4. กงั หันไฮดรอลิก 229 รูปที่ 11.6: กงั หันฟรานซิส รปู ท่ี 11.7: กงั หนั คาปลานและ V1 มีคาคงที่ E จะมีคา เพมิ่ ข้ึนเมอื่ p2 และ V2 มคี าลดลงโดยจะมีคา สงู สุด Emax = p1 + 1 V12 (11.8) ρ 2เมือ่ p2 = 0 และ V2 = 0 ในกรณีท่ีนำ้ ถกู ปลอ ยจากกงั หนั ไฮดรอลิกสูสง่ิ แวดลอมโดยตรง p2 จะเทากับความดันบรรยากาศ นอกจากน้ีดว ยขอจำกัดบางประการ V2 ของกงั หันแรงดลและกงั หนั แรงปฏิกริ ิยาจะมีคามากกวา ศนู ย ดงั น้นั E จะมีคา นอยกวา Emax ขอจำกัดนี้ไมสามารถแกไ ขไดในกรณีของกังหนัแรงดล แตสำหรบั กังหันแรงปฏกิ ิริยา มีความเปน ไปไดท ่ีจะเพิม่ E ใหมีคา ใกลเคยี งกบั Emax โดยใชอโุ มงคทายน้ำ รายละเอยี ดเพม่ิ เตมิ จะกลาวถงึ ในหวั ขอ 11.511.4.2 การเปรียบเทียบประสทิ ธิภาพของกงั หนั กังหันท้ังสามแบบมีคุณลกั ษณะตางกันและเหมาะกับสภาวะการใชงานท่ีตา งกัน เคร่ืองกงั หันไฮ-ดรอลิกถูกเลอื กใชตามสภาวะการใชงานเพื่อใหไดประสิทธิภาพสงู สุด ปจ จัยสำคญั ที่สงผลตอประสิทธิ-
230 บทท่ี 11. โรงไฟฟาพลงั นำ้ภาพของกังหนั ไฮดรอลิกไดแก ระดับนำ้ หรือเฮด (head) ของแหลงน้ำ ความเรว็ จำเพาะ (specificspeed) และภาระของกังหนั• กงั หนั คาปลานเหมาะกับเฮดตำ่ (นอยกวา 60 m) กงั หนั ฟรานซิสเหมาะกับเฮดปานกลาง (60- 350 m) และกังหนั เพลตนั เหมาะกบั เฮดสงู (มากกวา 350 m) อยา งไรกต็ ามในบางชวงของเฮด อาจมกี งั หันท่ีเหมาะสมมากกวา หนึ่งแบบ ซ่งึ ตอ งใชป จจัยอื่นประกอบการเลอื กกังหัน• ประสิทธภิ าพของกงั หันไฮดรอลิกข้ึนกับเฮด (H) กำลงั งาน (P) และความเร็วรอบ (N) ตวั แปร เพลานร้ี วมกนั เปนตัวแปรทเี่ รยี กวา ความเร็วจำเพาะ √ (11.9) NPNs = H5/4โดยท่ี N มีหนว ยเปน รอบตอ นาที (rpm) P มีหนว ยเปน kW และ H มีหนวยเปน m ชวงความเร็วจำเพาะของกงั หันไฮดรอลิกอยูระหวา ง 4 ถึง 1100 กงั หนั แตล ะแบบเหมาะกบั การใชงานในชวงความเร็วจำเพาะที่ตา งกัน ความเร็วจำเพาะท่ีสูงหมายถงึ ขนาดเครื่องกงั หัน เคร่ืองกำเนิดไฟฟาและหอ งเครื่องท่ีเล็ก ดงั นน้ั ตามปกติกังหนั ที่เลือกใชควรทำงานไดดีที่ความเร็วจำเพาะสูง รูปท่ี 11.8 แสดงใหเหน็ วาประสิทธิภาพของกังหันขึ้นกบั ความเรว็ จำเพาะ โดยกงั หันเพลตันเหมาะกับความเรว็ จำเพาะต่ำ กังหนั ฟรานซิสเหมาะกับความเรว็ จำเพาะปานกลาง และกงั หันคาปลานเหมาะกบั ความเรว็ จำเพาะสูง รปู ท่ี 11.8: การเปล่ียนแปลงประสทิ ธิภาพของกงั หนั สามประเภทตามความเรว็ จำเพาะ• โรงไฟฟา พลังน้ำอาจถูกใชงานเปนโรงไฟฟา ภาระสงู สดุ ซึง่ หมายความวา กงั หนั จะทำงานที่ภาระ ต่ำกวา 100% ผลกระทบของภาระตอประสิทธิภาพจึงเปนส่งิ ท่ีไมอาจมองขามไดในการพจิ ารณา เปรยี บเทียบกังหัน รปู ท่ี 11.9 แสดงผลของการเปล่ียนภาระของกงั หนั ทมี่ ีตอประสทิ ธภิ าพ กังหัน คาปลานมีประสทิ ธิภาพสูงในชวงภาระที่กวาง กังหนั เพลตันทำงานไดดีในชวงภาระที่แคบกวา ใบจกั ร (propeller) ในรปู น้ีหมายถงึ ใบพดั ท่ีปรับมุมไมได (fixed-blade) ซง่ึ มีประสทิ ธภิ าพต่ำ กวา กังหันหลกั ท้งั สามแบบ
11.5. อุโมงคทา ยน้ำ 231 รปู ที่ 11.9: การเปล่ียนแปลงของประสิทธภิ าพกังหนั ตามภาระ11.4.3 ระบบควบคมุ เคร่ืองกงั หัน เคร่อื งกงั หันไฮดรอลิกที่ปราศจากการควบคุมจะมีความเร็วรอบเพ่มิ ขึ้นเมื่อภาระลดลงจนความเรว็รอบอาจเพิ่มขึน้ ถึงความเรว็ สูงสุด (runaway speed) ซ่งึ อาจทำใหเคร่อื งกงั หนั เสียหายได ในทางตรงขา มภาระท่ีสูงขึ้นจะลดความเร็วรอบของเครอ่ื งกังหนั รปู ที่ 11.10 แสดงระบบควบคุมเครือ่ งกงั หัน (tur-bine governing system) ซง่ึ ทำหนาท่ีควบคมุ ความเรว็ รอบของเคร่อื งกังหนั ใหคงที่เม่อื ภาระเปลย่ี นโดยการเปลี่ยนอัตราการไหลของนำ้ ตวั ควบคมุ ของระบบเรยี กวา กัฟเวอรเนอรความเร็ว (speed gov-ernor) ซง่ึ เปน ตัวควบคุมแบบไฟฟาไฮดรอลิก (electro-hydraulic governor) สญั ญาณไฟฟา จากเซ็นเซอรความเร็ว (speed sensor) ซึ่งวดั ความเรว็ รอบของกงั หันจะถกู สง ไปกัฟเวอรเนอร ถา ความเรว็ที่วัดไดนี้แตกตางกบั ความเร็วของจดุ ปรบั ตัง้ กัฟเวอรเนอรจะสงสัญญาณไฮดรอลกิ ไปท่ีอปุ กรณควบคุม(actuator) ซง่ึ จะขยายสัญญาณไฮดรอลิกที่สงไปยงั เซอรโวมอเตอรใหปรับตำแหนงของวาลวเขม็ ฉดี(สำหรับกงั หันเพลตนั ) หรือใบพดั นำ (สำหรับกังหนั ฟรานซิสและกังหันคาปลาน) เพือ่ ควบคุมอัตราการไหลของน้ำเขาใบพดั หมุน (runner) ระบบน้สี ามารถควบคุมความเรว็ รอบอยา งแมน ยำและมกี ารควบคมุแบบปอนกลบั โดยใชตำแหนง ของวาลว เขม็ ฉดี หรอื ใบพดั นำเพอ่ื ความมีเสถยี รภาพของระบบ11.5 อโุ มงคท ายน้ำ อโุ มงคทายน้ำคือ ทอ ขนาดใหญซง่ึ ทำหนาท่ีรบั นำ้ หลังจากที่น้ำผานออกมาจากกงั หนั เพือ่ นำน้ำออกจากโรงไฟฟา ทอนี้อาจทำเปน ทอ ทรงกรวยตรงหรอื เปน ของอฝง อยูท่ีคอนกรีตก็ได สมการ (11.5) แสดงใหเหน็ วา E จะนอ ยกวา Emax ในสมการ (11.8) ถา นำ้ ถกู ปลอ ยออกจากกงั หนั ไฮดรอลิกสูบรรยากาศเพราะ p2 เทา กับศูนย แต V2 มากกวาศนู ย การปรับปรุงใหกงั หนั แรงปฏิกริ ิยามีสมรรถนะสูงสามารถกระทำไดโดยการติดต้งั อุโมงคทา ยนำ้ ตรงทางออกของกงั หัน รูปท่ี 11.11 แสดงการติดต้งั อโุ มงคทา ยนำ้
232 บทท่ี 11. โรงไฟฟา พลังนำ้รูปท่ี 11.10: ระบบควบคุมเคร่อื งกังหนัท่มี ีความสูง z ดานลา งของกังหนั แรงปฏกิ ริ ิยา กำหนดให 1 คอื น้ำทไี่ หลเขาเครือ่ งกังหัน 2 คอื ตำแหนงของนำ้ ที่ไหลออกจากกงั หนั เขาสูอุโมงคทา ยน้ำ และ 3 คือ ตำแหนงของนำ้ ท่ีไหลออกจากอโุ มงคทายนำ้สมมตุ ิวาไมมีความดันสูญเสยี ในการไหลภายในอุโมงคทา ยน้ำและความเร็วของนำ้ ท่ีไหลออกจากอุโมงคทา ยนำ้ เทา กบั ศนู ย สมดุลพลงั งานระหวาง 1 กับ 3 นำไปสงู านในอุดมคติทไ่ี ดจ ากกังหันE = p1 − p3 + 1 ( − ) (11.10) ρ 2 V12 V32นำ้ ที่ออกจากอโุ มงคทา ยนำ้ มีความดันบรรยากาศ ดังนนั้ p3 = 0 นอกจากน้ีการออกแบบอุโมงคทายนำ้อยางเหมาะสมทำใหค วามเร็วของน้ำท่ไี หลออกจากมคี านอย (V3 ≈ 0) ดงั นั้น E จะมคี าใกลเ คียง Emaxโปรดสงั เกตวา E ไมขึ้นกบั z ดงั นั้นกงั หนั สามารถตดิ ตั้งสูงจากระดบั พืน้ ดินเทา ไรก็ไดเพือ่ ความสะดวกในการเดนิ เครอ่ื งและบำรุงรักษาโดยไมสงผลตอ งานของกังหนัรูปที่ 11.11: การไหลในอุโมงคท ายนำ้การพิจารณาสมดุลพลงั งานระหวาง 2 กบั 3 ใหส มการตอ ไปน้ีp2 + V22 + gz = V32ρ2 2
11.6. โรงไฟฟาพลงั นำ้ แบบสบู กลับ 233 p2 = − [ + 1 ( − )] (11.11) ρgz ρ V22 V32 2สมการ (11.11) แสดงใหเหน็ วา p2 มีคานอยกวาศนู ยเพราะ z มากกวา ศนู ยและ V2 มากกวา V3 การออกแบบอุโมงคทายน้ำเพ่อื ให E มีคามากข้ึนจะสงผลให p2 มคี วามเปนสญุ ญากาศมากข้ึน p2 ไมอ าจมีคา นอยเกนิ ไปไดเ พราะจะทำใหเกิดโพรงในของเหลว (cavitation) นำ้ เปลีย่ นสถานะจากของเหลวเปน ไอเมือ่ ความดันของนำ้ ลดลงถึงความดนั ไอ (vapor pressure)ซึง่ ข้นึ กบั อุณหภมู ิ การทำใหนำ้ เดือดอาจแบง สองวธิ ี วธิ ีแรกคือ เพิ่มอณุ หภมู ิแตไมเปลีย่ นความดนั น้ำท่ีความดนั บรรยากาศ (101.3 kPa) เดือดท่ีอณุ หภมู ิ 100◦C เนอ่ื งจากความดันไอที่อณุ หภมู ิน้ีเทากับความดันบรรยากาศ วธิ ีที่สองคอื ลดความดนั แตไมเปลีย่ นอณุ หภมู ิ สมมตุ ิวาน้ำมีอุณหภูมิ 27◦C ถาลดความดันของน้ำจากความดนั บรรยากาศไปที่ 3.54 kPa นำ้ ก็จะเดอื ดเนอื่ งจากความดันนี้คือความดันไอท่ีอุณหภมู ิ 27◦C โพรงในของเหลวเกิดจากการท่ีความดันของนำ้ นอยมากจนเกดิ ฟองไอเกาะที่ผวิ ของของแข็งซ่งึ อาจเปน ใบพัดของเครอื่ งกังหนั ไฮดรอลกิ แตเม่อื ใบพดั เคลือ่ นที่ไปยังตำแหนงที่ความดันมากกวาความดันไอ ฟองจะยบุ ตัวลงอยา งรวดเรว็ ทำใหมีความดนั สูง ณ จดุ ท่ีฟองยุบตัวซึง่ อาจสูงถงึ 7000 atm ปรากฏการณน้ีเปนตัวกัดกรอนโลหะของกังหนั อีกทง้ั ยังทำใหเกิดเสียงดังและการส่นัสะเทือน นอกจากนี้ฟองไอท่ีหลดุ จากผิวใบพัดก็จะไปขดั ขวางการไหลของน้ำและทำใหอตั ราการไหลของน้ำต่ำกวาทคี่ วรจะเปน ซงึ่ สง ผลใหก ำลังงานท่ีผลติ โดยกังหนั นอยลง ดงั น้นั โพรงในของเหลวจงึ เปนสิ่งท่ีควรปองกันไมใ หเกิดขนึ้ ในกังหนั ไฮดรอลิก จดุ ท่ีความดันตำ่ ทส่ี ดุ ในกงั หันไฮดรอลิกคอื ทางออกจากกงั หนั กังหันแรงดลไมมีปญหาการเกดิโพรงในของเหลวเพราะความดันทางออกมีคา ใกลเคยี งกับความดนั ทางเขา แตกังหันแรงปฏกิ ริ ิยาที่มีการตดิ ต้ังอุโมงคทายน้ำมีความเสย่ี งท่ีจะเกดิ ปญ หาโพรงในของเหลวไดเนื่องจาก p2 อาจมีคานอ ยกวาpv − patm โดย pv คอื ความดันไอ และ patm คอื ความดันบรรยากาศ สมการ (11.11) แสดงใหเห็นวาถา ตองการให p2 มีคามากเพือ่ หลกี เลี่ยงการเกิดโพรงในของเหลว กังหนั แรงปฏิกิริยาจะตอ งอยูที่ระดับทไี่ มสงู มากนกั จากระดบั พ้ืนดินและความเร็วของนำ้ ที่ไหลออกจากอุโมงคท ายน้ำตอ งไมน อ ยเกนิ ไป11.6 โรงไฟฟา พลงั นำ้ แบบสูบกลบั โดยท่ัวไปการสะสมพลังงานไฟฟา โดยโรงไฟฟาไมเ ปน ที่นิยมเพราะมีตนทุนสูง แตก ารสะสมพลงั งานมีขอ ดีท่ีทำใหการใชโรงไฟฟามีประสิทธิภาพมากขน้ึ โรงไฟฟาภาระหลกั ท่ีเดนิ เครือ่ งไมเตม็ ท่ีในชวงความตองการไฟฟาตำ่ เปนสาเหตุท่ีทำใหแฟกเตอรความสามารถของโรงไฟฟา ตำ่ ถา โรงไฟฟา สามารถเดนิเครื่องมากขนึ้ ในชวงเวลาดังกลาวก็จะเพิ่มแฟกเตอรความสามารถและลดตน ทนุ การผลิตไฟฟา ไฟฟาท่ีผลิตไดจะสะสมไวในรูปอนื่ และนำมาใชในชว งเวลาที่ระบบมีความตอ งการไฟฟาสูง การสะสมพลังงานไฟฟาเปนพลังงานศักยของน้ำในท่ีสูงอาจมีความคมุ คาเชิงเศรษฐศาสตรซงึ่ เปนเหตุผลหนงึ่ ท่ีมีการสรา งโรงไฟฟา พลงั นำ้ แบบสูบกลบั หลายแหงในโลกรวมท้งั ในประเทศไทย โรงไฟฟา พลงั นำ้ แบบสบู กลับมีลักษณะท่ัวไปคลา ยโรงไฟฟาพลังนำ้ แบบมีอางเกบ็ น้ำดงั แสดงในรปูที่ 11.12 สวนประกอบท่เี พิม่ เติมขนึ้ มาคอื อางเก็บนำ้ หลงั จากน้ำไหลออกจากเครอ่ื งกงั หนั ไฮดรอลกิ โรงไฟฟา พลังนำ้ แบบสบู กลับอาจมีระบบผลิตไฟฟา ซึง่ มีเครอ่ื งกังหนั และเครอ่ื งกำเนิดไฟฟาแยกจากระบบสูบน้ำซ่ึงมีเครอื่ งสบู และมอเตอรสำหรับการสบู น้ำจากอางเกบ็ นำ้ ดานลา งไปอา งเกบ็ น้ำดา นบน ระบบ
234 บทท่ี 11. โรงไฟฟาพลังน้ำผลติ ไฟฟา และระบบสบู นำ้ ตางก็มีประสทิ ธิภาพไมถึง 100% ซึ่งหมายความวา มีการสูญเสยี พลังงานในระบบทั้งสองและพลงั งานไฟฟา ที่ผลิตไดโดยโรงไฟฟา พลงั น้ำแบบสูบกลบั จะไมเพียงพอกับการสบู น้ำโรงไฟฟา พลังน้ำแบบสูบกลบั จงึ ไมส ามารถทำงานไดด ว ยตวั มนั เองแตต อ งอาศยั พลงั งานจากโรงไฟฟาอน่ื รูปท่ี 11.12 แสดงใหเหน็ วาถา เครอื่ งกังหันทำหนาท่ีเปน เครอ่ื งสบู ไดและเครื่องกำเนิดไฟฟาทำหนาท่ีเปนมอเตอรไดระบบผลิตไฟฟา และระบบสูบน้ำก็จะรวมเปนระบบเดยี วซึ่งใชทอ รว มกนั และทำใหคา ใชจายในการกอสรา งโรงไฟฟา ลดลงอยางมากเนอื่ งจากมีอุปกรณนอ ยลงและใชทอนอยลง อุปกรณที่เปน ไดท้ังเครื่องกงั หันและเครื่องสบู เรียกวา เคร่ืองสบู ผสมเคร่อื งกังหนั (pump-turbine) สว นอปุ กรณท่ีเปน ไดท้ังเครื่องกำเนิดไฟฟาและมอเตอรเ รยี กวา มอเตอรผ สมเครอ่ื งกำเนดิ ไฟฟา (motor-generator) รูปท่ี 11.12: โรงไฟฟาพลังนำ้ แบบสบู กลบั เครอ่ื งสูบผสมเครือ่ งกังหนั มีลักษณะคลายกงั หนั ฟรานซิสแตใบพัดคลายใบพดั ของเคร่ืองสูบแบบหอยโขง (centrifugal pump) จากการที่อุปกรณนี้เปนการผสมผสานระหวางเครอ่ื งกังหนั และเคร่อื งสบู ประสทิ ธภิ าพสงู สดุ ของอุปกรณจงึ นอยกวา ประสทิ ธิภาพของเคร่อื งกงั หนั และเครือ่ งสบู ซึง่ นอกจากน้ีความเรว็ รอบท่ีใหประสิทธิภาพสูงสุดขณะผลติ ไฟฟา ยังนอ ยกวาความเรว็ รอบที่ใหประสทิ ธิภาพสูงสดุขณะสูบน้ำ ความเรว็ รอบที่เลอื กใชจงึ อาจอยูระหวางความเร็วรอบสองคานี้ แตถาใชมอเตอรผสมเครอ่ื งกำเนิดไฟฟา ท่ีทำงานไดท่ีสองความเร็วรอบก็จะแกปญ หานี้ได กลา วคือ เมอ่ื ตอ งการสูบน้ำข้นึ เครื่องสูบและมอเตอรจะทำงานที่ความเรว็ รอบคา หน่งึ และเมื่อตองการผลิตไฟฟา เคร่ืองกงั หันและเครอ่ื งกำเนิดไฟฟา จะทำงานท่คี วามเร็วรอบอีกคา หนึ่ง โรงไฟฟาพลงั นำ้ แบบสูบกลบั ที่ใหญที่สดุ ในประเทศไทยตั้งอยูท่ีเข่ือนลำตะคอง จงั หวดั นครราชสมี าอางเกบ็ นำ้ ตอนบนเปน อางเกบ็ นำ้ ท่ีสรา งข้นึ ใหมโดยใชหนิ ถมลาดดว ยยางมะตอยเพื่อปอ งกนั น้ำซึมออกจากอาง อา งเกบ็ น้ำตอนลางคือ อางเก็บนำ้ ลำตะคองที่มีอยูแลว เฮดอยูระหวา ง 620-660 m โรงไฟฟาตัง้ อยูลึกจากผวิ ดินประมาณ 350 m ภายในโรงไฟฟาตดิ ตง้ั เครื่องสบู ผสมเครอื่ งกงั หนั และมอเตอรผสมเครอ่ื งกำเนิดไฟฟาขนาด 250 MW รวม 4 เคร่อื ง
11.6. โรงไฟฟาพลงั น้ำแบบสูบกลบั 235คำถามทายบท1. ระบุขอ ดีของโรงไฟฟา พลงั นำ้ มาสามขอ2. สวนประกอบใดของโรงไฟฟาพลงั น้ำแปลงพลงั งานศักยของนำ้ เปน พลงั งานจลน3. โรงไฟฟา พลงั นำ้ แหง หน่งึ ไดรับน้ำจากระดบั ความสูง 100 m ถา น้ำไหลผานเคร่ืองกงั หันนำ้ ดว ย อตั ราการไหล 3.6 × 105 kg/h อยากทราบวา โรงไฟฟา แหง น้ีจะผลติ ไฟฟาไดไมเ กนิ เทา ไร4. เขอื่ นสว นใหญในประเทศไทยเปนเขอื่ นแบบใด5. เขอ่ื นเขอ่ื นสริ ิกติ ์เิ ปน เข่อื นประเภทใด6. เขื่อนใดในประเทศไทยมกี ำลงั การผลติ ไฟฟาสูงทีส่ ดุ7. อุปกรณใดทำหนา ท่ปี อ งกันการเปลยี่ นแปลงความดันอยางกระทันหนั ในทอสงน้ำ 8. สภาวะคลื่นกระแทกหมายถงึ อะไร 9. ระบขุ อแตกตางระหวา งกงั หันแรงดลและกงั หันแรงปฏกิ ิริยา10. ใบพดั ของกงั หนั เพลตันมีลกั ษณะอยา งไร11. ดีเฟลกเตอรท ำหนาท่ีอะไรในกังหนั เพลตัน12. อธิบายความแตกตางระหวา งกงั หนั ฟรานซิสกบั กงั หันคาปลาน13. อุปกรณใดทำหนา ที่ควบคมุ อตั ราการไหลของน้ำเขา กงั หันฟรานซิส14. กังหนั แบบใดเหมาะกับการทำงานทีเ่ ฮดต่ำกวา 60 m15. ทำไมกังหนั คาปลานจงึ มปี ระสทิ ธิภาพสูงกวา ใบจกั ร16. สภาวะโพรงในของเหลวสงผลเสยี อยา งไร17. จุดใดในโรงไฟฟา พลงั น้ำท่ีใชกงั หนั แรงปฏกิ ิริยามีความเสีย่ งตอ การเกดิ สภาวะโพรงในของเหลว มากทีส่ ดุ18. อโุ มงคทายน้ำทำหนา ที่อะไร19. เครอ่ื งสบู ผสมเคร่อื งกังหันทใี่ ชใ นโรงไฟฟา พลังน้ำแบบสบู กลบั มีลักษณะคลา ยกังหนั แบบใด20. โรงไฟฟา พลงั นำ้ แบบสบู กลับของประเทศไทยตัง้ อยทู ีใ่ ด
236 บทที่ 11. โรงไฟฟา พลงั นำ้
บทท่ี 12โรงไฟฟานวิ เคลยี ร12.1 สัญลกั ษณน วิ เคลียรแ ละไอโซโทปอะตอมประกอบดว ยนิวเคลียสซึ่งมีขนาดใหญ นำ้ หนกั มากและประจุบวก และอเิ ล็กตรอนซึ่งมีขนาดเล็ก นำ้ หนักเบาและประจุลบ อเิ ลก็ ตรอนโคจรรอบนวิ เคลียส (nucleus) ที่อยูน่งิ ตัวนิวเคลียสเองประกอบดวยนิวตรอนและโปรตอนซึง่ เรียกโดยรวมวา นวิ คลีออน (nucleon) นวิ ตรอนไมมีประจุประจุของโปรตอนมีขนาดเทากับประจุของอิเลก็ ตรอนแตเปน บวก จำนวนโปรตอนในอะตอมเทา กับจำนวนอเิ ล็กตรอน ซง่ึ ทำใหอ ะตอมมสี มบตั ิเปนกลางทางไฟฟา มวลนวิ ตรอน (mn) คือ 1.008665 amuมวลโปรตอน (mp) คือ 1.007277 amu และมวลอิเล็กตรอน (me) คือ 0.0005486 amu โดย amu ยอมาจาก atomic mass unit มีคาเทากบั 1.66 × 10−27 kg โดยประมาณ ดังนน้ั มวลเกอื บทงั้ หมดของอะตอมคอื มวลของนวิ เคลยี สเพราะมวลของนวิ ตรอนและโปรตอนมากกวามวลของอเิ ลก็ ตรอนมากธาตุตา งชนดิ กันมีจำนวนโปรตอนตา งกัน ตัวอยา งเชน H มีโปรตอน 1 ตวั He มีโปรตอน 2 ตัว และC มีโปรตอน 12 ตวั จำนวนของโปรตอนเรยี กวาเลขอะตอม (atomic number หรือ Z) จำนวนของนิว-คลีออนเรยี กวา เลขมวล (mass number หรือ A) ดังนั้นจำนวนนิวตรอนจงึ เทา กับผลตางระหวางเลขมวลกับเลขอะตอม (A −เปZน)สสญั ญั ลลักกั ษษณณนน วิ วิ เคเคลลียียรรข (อnงuไcฮlโeดaรrเจsนym42bHoel)เคปือน สAZัญXลโักดษยทณี่ Xนวิ เปเคนลสยี ญั รขลอกั งษฮณีเลขียอมงธาตุ ตวั อยางเชน 11Hแอลิเละ็ก1ต62รCอนเปมนีสสัญญั ลลักักษษณณ −น10วิ eเคอลเิียลร็กขตอรงอคนารไมบ มอีนนวิ อคนลภุีอาอคนอแื่นตทเล่ีไมขใอชะอตะอตมอเมทกา็มกีับสญั -1ลักหษมณายนคิวเวคาลมียวราเชปนรกะันจุของอเิ ลก็ ตรอนตรงขามกับประจุของโปรตอน นิวตรอนมีสญั ลกั ษณ 01n ซึ่งหมายความวา นวิ ตรอนมีนิวคลีออน 1 ตวั ซึง่ ก็คือ ตัวนวิ ตรอนนนั่ เอง อยางไรก็ตาม ในกรณีของอนภุ าคท่ีไมมีประจุ ไมมีโปรตอนและไมมีนิวตรอน เชน นิวตริโน (neutrino) สัญลกั ษณนวิ เคลยี รคือ 00ν ซึง่ อาจเขยี นแบบไมม ีตวั หอ ยและตัวยกเปน ν เพื่อความสะดวกธาตุทุกชนดิ มีหลายไอโซโทป (isotope) โดยแตละไอโซโทปมีเลขอะตอมเทากนั แตมีเลขมวลตางกนั ตวั อยา งเชน ไฮโดรเจน (11H) มีโปรตอน 1 ตวั แตไมมีนิวตรอน ในขณะที่ดวิ เทอเรียม (12H) ซ่งึ เปนไอโซโทปของไฮโดรเจน มมีโีโปปรรตตออนนแล1ะตนวั ิวแตลระอนนวิอตยราองลนะ2หนต่ึงวั ตัวสญั แลละักทษรณิเทนยีวิ มเค(ลtียriรtiอuาmจ)เข(31ียHน)อซยงึ่า เงปยนออวกีาไอโซโทปของไฮโดรเจนX-Z แตใหความหมายครบถว นเหมอื นสัญลักษณเต็มเนอ่ื งจากธาตุ X มีเลขอะตอมเปน เอกลกั ษณของ
238 บทที่ 12. โรงไฟฟานิวเคลยี รตวั มันเองซง่ึ หาดูไดจากตารางธาตุ (periodical table) ตัวอยางของสญั ลกั ษณนวิ เคลยี รอาจเขยี นอยางยดอิวเไทดอแเกรยี Hมeแ-ล3ะซทงึ่รหิเทมยีามยไถมงึ น32ิยHมeเขแยี ลนะตาUม-ห2ล3กั5ดซังึ่งกหลมาวายแถตึงน 2ยิ 93ม25ใUชต อวั ยอาักงษไรรกD็ตาแมลสะญั Tลตกั าษมณลอำดยับา งยอ ของ ธาตตุ าง ๆ ในธรรมชาติมีไอโซโทปหลกั เพียงหนงึ่ ไอโซโทปซงึ่ มปี ริมาณในธรรมชาติมากกวาไอโซโทปอ่ืนคอนขา งมาก ตัวอยางเชน สัดสวนโดยมวลของ U-235, U-238 และ U-234 ในยเู รเนยี มที่พบในธรรมชาติคือ 99.282%, 0.712% และ 0.006% ตามลำดับ ไอโซโทปบางตวั ไมปรากฏในธรรมชาติแตสงั เคราะหข้นึ มาไดในหองปฏิบตั ิการหรอื ในปฏกิ ิรยิ านิวเคลียร ถงึ แมว าไอโซโทปของยเู รเนียมท่ีพบในธรรมชาติมีเพยี ง 3 ไอโซโทปแตถา รวมท่ีสงั เคราะหข้นึ มาแลว มีต้งั แต U-227 ถึง U-240 ไอโซโทปอาจอยูในรูปของสารประกอบเชน นำ้ ที่พบในธรรมชาติประกอบดวย นำ้ มวลเบา (H2O) และน้ำมวลหนัก(D2O) สดั สวนโดยมวลของนำ้ มวลหนกั ในน้ำธรรมชาติประมาณ 1 สว นใน 3200 สวน ซ่งึ หมายความวาถานำนำ้ จากแหลงธรรมชาตมิ าผานกระบวนแยกเชงิ นวิ เคลยี รจะไดน้ำมวลหนักประมาณ 0.03% ไอโซโทปท่ีตางกันของธาตุเดยี วกนั มีสมบัติทางเคมีเหมอื นกัน แตน้ำหนกั ตา งกัน โมเลกลุ ท่ีเกิดจากไอโซโทปท่ีตา งกันของธาตุเดียวกันก็มีสมบัติทางเคมีเหมือนกัน แตสมบัติทางกายภาพจะแตกตางกันตวั อยา งเชน H2O และ D2O มีสมบัติทางเคมีที่เหมือนกนั ทุกประการ แตสิ่งที่ตางกนั คือ จดุ เยอื กแข็งจดุ เดอื ด ความหนาแนน ความหนืด เปนตน ดงั นั้นกระบวนการทางเคมีจงึ ไมสามารถแยก D2O ออกจาก H2O ได การแยกนิวเคลียสของไอโซโทปที่ตา งกนั ของธาตุเดียวกัน หรอื การแยกโมเลกลุ ท่ีประกอบดวยไอโซโทปตา งกันตองใชส มบตั ทิ างกายภาพทตี่ า งกนั ของไอโซโทป12.2 ปฏกิ ริ ยิ านิวเคลียรกระบวนการที่โมเลกุลสองโมเลกุลทำปฏิกริ ยิ ากันเปนโมเลกลุ ใหมเรยี กวา ปฏกิ ริ ิยาเคมี ตัวอยา งเชน C + O2 −→ CO2เปน ปฏิกริ ยิ าเคมีระหวา ง C และ O2 จะเห็นท้ังสองโมเลกุลเกดิ การเปลยี่ นแปลงทางเคมีจากการรวมตัวกนั เปนโมเลกลุ ใหม การรวมตัวกนั น้ีแทท่ีจรงิ เปนการแลกเปล่ยี นอเิ ลก็ ตรอนในวงโคจรนอกสุดหรอื วาเลนซอเิ ล็กตรอน (valence electron) แตไมมีการเปล่ยี นแปลงท่ีนวิ เคลยี ส ดังนนั้ จึงไมม ีการเปลยี่ นแปลงของธาตใุ นปฏกิ ริ ิยาเคมี ผลที่ตามมาก็คือมวลของสารตั้งตนและเทา กับมวลของสารผลผลติในปฏกิ ิรยิ านิวเคลียรมีการเปลีย่ นแปลงระดบั นิวเคลยี ส ทำใหธาตุผลผลิตตา งจากธาตุต้ังตน ตัวอยา งเชน KA1 ทำปฏกิ ริ ยิ านวิ เคลยี รก บั LA2 ได M และ N A3 A4 Z1 Z2 Z3 Z4 K L M NA1 Z1 +AZ22 −→AZ33 +AZ44ปฏิกริ ิยานิวเคลยี รไมมีการอนุรักษมวลเหมือนปฏกิ ริ ยิ าเคมี อยางไรกต็ ามผลรวมของเลขอะตอมและผลรวมของเลขมวลจะไมเ ปลีย่ นแปลงในปฏกิ ริ ยิ านิวเคลียร ดงั นัน้ การทำสมดลุ จงึ ใชสมการตอ ไปนี้ Z1 + Z2 = Z3 + Z4 A1 + A2 = A3 + A4
12.3. เสถียรภาพทางนวิ เคลยี ร 239ตวั ทำปฏกิ ิริยาและผลผลิตของปฏิกริ ยิ านิวเคลยี รอาจเปน อนภุ าคอน่ื ที่ไมใ ชนวิ เคลียสของอะตอมตวั อยาง อยากทราบวาธาตุ X ในปฏกิ ิริยานวิ เคลยี รขางลา งนคี้ ืออะไร 27 Al + He4 −→3140 Si + AZ X 13 2วิธที ำ 13 + 2 = 14 + Z Z =1 27 + 4 = 30 + A A=1ธาตุที่มีเลขมวล 1 และเลขอะตอม 1 คอื 11H หรอื ไอโซโทปหลกั ไฮโดรเจนน่นั เอง บางครง้ั เราอาจเรียก11H วา โปรตอนซ่งึ มสี ญั ลักษณ 11p12.3 เสถียรภาพทางนิวเคลียร มวลของนวิ คลอี อนของอะตอมหนึ่งรวมกนั จะมคี า มากกวามวลของอะตอมนน้ั ผลตางของมวลเรยี กวามวลพรอง (mass defect) ในกรณขี อง AZX มวลพรองมีคาเทา กบั ∆m = (A − Z)mn + Z(mp + me) − mX (12.1)มวลพรอ งนเ้ี ทยี บเทากับพลังงานตามกฎของไอนสไตน (Einstein’s law) ∆E = ∆mc2 (12.2)โดยท่ี ∆m มีหนว ยเปน kg และ c คือความเรว็ แสงในสุญญากาศซึง่ เทากับ 3.00 × 108 m/s โดยประมาณ พลังงาน ∆E น้เี รียกวาพลงั งานยดึ เหน่ยี ว (binding energy) ของนิวเคลียสเพราะมนั ทำหนายึดโปรตอนและนิวตรอนเขา ดว ยกนั ถา ตองการแยกโปรตอนและนวิ ตรอนของนวิ เคลยี สใดใหเปน อสิ ระก็ตอ งใหพลังงานยดึ เหนีย่ วแกนวิ เคลยี สนัน้ เพ่อื ใหมันสลายตวั เนื่องจาก 1 amu = 1.66 × 10−27 kgมวลพรอง 1 amu จงึ เทียบเทา กบั 1.494 ×10−11 J หรือ 931 MeVพลงั งานยดึ เหนีย่ วตอนวิ คลีออนกำหนดเสถยี รภาพของนวิ เคลยี ส ในกรณีของ He มวลของนิว- 4 2เคลยี สเทา กับ 4.00277 amu ดังนน้ั ∆m เทา กบั 0.03037 amu ซ่งึ เทยี บเทา กบั ∆E = 27.1 MeVเน่ืองจาก 24He มีนวิ คลีออน 4 ตัว ดังนัน้ พลงั งานยึดเหนย่ี วตอนิวคลีออนเทากับ 6.78 MeV รปู ท่ี12.1 เปรยี บเทียบพลังงานยดึ เหน่ียวตอนวิ คลีออนของนิวเคลียสตา ง ๆ พลงั งานยึดเหน่ยี วตอ นวิ คลีออนจะเพิ่มขึน้ อยางรวดเร็วตามเลขมวลจนมีคามากสุดท่ีเลขมวลประมาณ 40 กอนที่จะลดลงอยา งชา ๆนวิ เคลียสท่ีมีพลงั งานยดึ เหนีย่ วตอนิวคลีออนสงู จะมีเสถยี รภาพสูงกวานิวเคลียสท่ีมีพลังงานยดึ เหนย่ี วตอ นิวคลีออนต่ำ ดงั น้นั ธาตทุ มี่ เี ลขมวลปานกลางเชน Fe, Co และ Ni จึงมเี สถยี รภาพสูง ในทางตรงขา ม
240 บทท่ี 12. โรงไฟฟานิวเคลยี ร รูปท่ี 12.1: พลงั งานยดึ เหนีย่ วตอ นวิ คลีออนของธาตุตา ง ๆธาตุท่ีมีเลขมวลสูง ๆ จะมีคา พลงั งานยดึ เหนยี่ วตอ นิวคลีออนคอ นขางตำ่ คอื นอ ยกวา 7.5 MeV โดยประมาณ นวิ เคลยี สของธาตุเหลาน้ีตองการพลังงานกระตุนเพียง 7.5 MeV เพอื่ ใหนิวตรอนแยกตวั ออกมา 11H มีพลงั งานยดึ เหนี่ยวเปน ศนู ยเพราะมีนิวคลีออนเพยี งหนึง่ ตัว ดังน้ัน 11H จึงอาจรวมตวั กันเพ่อืเปน He ซ่ึงมีเสถียรภาพมากข้นึ กระบวนการน้ีเรยี กวา ฟว ช่ัน (fusion) ฟวชั่นทำใหมีพลงั งานถูก 4 2ปลดปลอยออกมา ซง่ึ หลกั การผลิตพลงั งานนิวเคลยี รจาก 11H พลังงานแสงอาทิตยมีท่ีมาจากฟว ชน่ั ในดวงอาทิตย แตการทำใหเกิดฟว ช่ันบนโลกเพ่ือผลิตพลังงานในปรมิ าณมากยังไมประสบความสำเร็จกระบวนการที่ตรงขามกบั ฟวชนั่ คือ ฟชชั่น (fission) ซ่ึงหมายถึงการแตกตัวของธาตุหนักท่ีมีเสถียรภาพต่ำเปน ธาตุขนาดกลางสองธาตุท่ีมีเสถียรภาพมากขึ้น ฟชช่นั ใหพลังงานในปริมาณมากและสามารถควบคมุ ใหผ ลิตพลังงานไฟฟา ได โรงไฟฟานิวเคลียรทกุ โรงผลิตไฟฟา ดว ยฟชชน่ั12.4 กัมมนั ตภาพรังสี โดยท่ัวไปไอโซโทปหลกั ของธาตเุ บาจะมีเสถยี รภาพสงู ในขณะที่ไอโซโทปอืน่ ทม่ี ีอยนู อ ยในธรรมชาติจะมีเสถยี รภาพตำ่ นอกจากนี้ ไอโซโทปทุกตัวของธาตุหนกั ก็มีเสถียรภาพตำ่ เชน กัน นวิ เคลยี สท่ีมีพลังงานยึดเหนย่ี วตอ นิวคลีออนตำ่ มีสมบัติเปน สารกัมมนั ตรงั สี (radioactive matter) จะแผกมั มันต-ภาพรังสีเพอื่ จะไดกลายเปน นวิ เคลยี สท่ีมีเสถียรภาพมากขนึ้ การแผกมั มันตภาพรงั สีจะเกิดขึ้นพรอ มกบั การปลดปลอยพลังงานเน่อื งจากมีมวลบางสว นหายไป และกลายเปนพลงั งานตามกฎของไอนสไตนกัมมนั ตภาพรังสีท่สี ำคัญไดแ ก 1. รงั สีแกมมา (gamma ray)
12.4. กมั มันตภาพรงั สี 241รังสีแกมมานับเปนคล่นื แมเ หลก็ ไฟฟา ท่ีมีความยาวคลื่นต่ำและพลังงานสงู นวิ เคลียสท่ีอยูในสภาวะถูกกระตนุ (excited state) จะแผรังสีแกมมา ออกมาเพือ่ กลบั สูสภาวะปกติ (groundstate) X( )∗ −→ A X + γ A Z Z รงั สีแกมมา มีความสามารถในการทะลทุ ะลวงสูงสุดเน่ืองจากไมม ีมวล2. รังสเี บตา (beta ray) รังสีเบตาคือ อเิ ลก็ ตรอนที่มีความเร็วสูง แตความสามารถในการทะลุทะลวงของรังสีเบตา ตำ่ กวารงั สีแกมมา การปลดปลอ ยอิเลก็ ตรอนทำใหเลขอะตอมของนิวเคลียสเพม่ิ 1 แตเลขมวลไม เปลย่ี น รงั สีเบตา มักถูกปลดปลอยออกมาพรอมกับอนภุ าคนวิ ตรโิ นและรงั สีแกมมา เชน 6207Co −→ 2680Ni +−01 e + ν + γ กมั มนั ตภาพรงั สีในปฏิกิรยิ านี้มีทง้ั รงั สีเบตาและรงั สีแกมมา อนุภาคนวิ ตริโนไมทำปฏิกิริยากบั สสารใด จึงไมจดั เปน กมั มันตภาพรงั สี3. รังสีอัลฟา (alpha ray) รงั สีอัลฟาคือ นวิ เคลียสของฮีเลียม รงั สีอลั ฟามกั เกิดข้ึนพรอ มกับรงั สีแกมมา เชน 29349Pu −→ U235 +42 He + γ 92เนอ่ื งจากนวิ เคลยี สของฮีเลยี มมีขนาดใหญกวา อิเลก็ ตรอน รงั สีอลั ฟาจงึ มีความสามารถในการทะลุทะลวงต่ำกวารังสเี บตา อตั ราการแผกัมมนั ตรงั สีขน้ึ อยูกับจำนวนนวิ เคลียสกัมมนั ตรงั สีที่เวลานั้น แตไมขน้ึ กับปจ จัยอ่ืนเชนอุณหภมู ิ ความดัน หรอื สถานะของสาร กำหนดให N(t) เปน จำนวนนิวเคลียสกมั มันตรงั สที ่เี วลา t − dN = λN (12.3) dtโดยที่ λ คอื คาคงที่การสลายตัว (decay constant) มีหนว ยเปน s−1 ผลเฉลยของสมการ (12.3) คอื N (t) = N (0)e−λt (12.4)โดยท่ี N(0) เปน จำนวนเริ่มตน นวิ เคลียสกมั มันตรงั สี อัตราการสลายตวั มกั บง บอกดวยครึ่งชวี ิต (half-life) ของนิวเคลียสกมั มันตรงั สี คร่งึ ชีวิตคอื เวลาที่ใชในการสลายตัวของนวิ เคลยี สกมั มันตรังสีจำนวนครงึ่ หน่งึ ของจำนวนนวิ เคลยี สเรม่ิ ตน ครง่ึ ชวี ติสามารถคำนวณไดจากสมการ (12.4) โดยให t = t1/2 ซง่ึ เปน ครง่ึ ชวี ิตและ N(t1/2) = 0.5N0 0.5N0 = N (0)eλt1/2
242 บทที่ 12. โรงไฟฟา นวิ เคลียรตารางที่ 12.1: ตัวอยางของนิวเคลียสกัมมันตรงั สีนวิ เคลยี ส ครึง่ ชีวิต กมั มันตภาพรงั สี พลังงานท่ไี ด (MeV)C-14 5715 ป เบตา 0.156N-16 7.13 วนิ าที เบตา, แกมมา 4.24 (เบตา), 6.129 (แกมมา)P-32 14.28 วนั เบตา 1.170K-40 1.25 ×109 ป เบตา 1.312Co-60 5.271 ป เบตา , แกมมา 0.315 (เบตา), 1.332 (แกมมา)Sr-90 29.1 ป เบตา 0.546I-131 8.021 วัน เบตา, แกมมา 0.606 (เบตา ), 0.364 (แกมมา)Xe-135 9.10 ชว่ั โมง เบตา , แกมมา 0.910 (เบตา), 0.250 (แกมมา )Cs-137 30.2 ป เบตา, แกมมา 0.514 (เบตา), 0.662 (แกมมา)Rn-222 3.823 วนั อัลฟา, แกมมา 5.490 (อลั ฟา), 0.510 (แกมมา)U-235 7.40 ×108 ป อัลฟา 4.152U-238 4.47 ×109 ป อลั ฟา 4.040Pu-239 2.41 ×104 ป อัลฟา 5.055 =⇒ t1/2 = 0.6931 (12.5) λผลที่ไดแสดงใหเหน็ วาครงึ่ ชวี ิตเปนสัดสวนผกผันกับคาคงที่การสลายตวั ไอโซโทปตางกันมีคา λ และt1/2 ตางกนั ตารางท่ี 12.1 แสดงครง่ึ ชีวติ ของนวิ เคลียสกมั มนั ตรังสบี างตัว กัมมันภาพรงั สที เ่ี กิดข้นึ และพลงั งานทไ่ี ดจ ากแผกมั มนั ตภาพรังสี ตัวอยาง จงหาจำนวนนวิ เคลยี สของ Co-60 หลงั จากเวลาผานไป 3 ป ถาจำนวนเร่ิมตนคอื 1000นวิ เคลยี สวธิ ที ำตารางที่ 12.1 แสดงใหเห็นวา t1/2 ของ Co-60 คือ 5.271 ป คา λ ไดจ ากสมการ (12.5)แทนคา λ ในสมการ (12.4) 0.6931 λ= t1/2 () N (t) = N (0) exp −0.6931t t1/2 () = 1000 × exp −0.6931 × 3 5.271 = 674
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293