4.2. อตั ราสวนอากาศตอ เช้อื เพลงิ เชงิ ทฤษฎี 43อกี ดวย ปจ จยั สำหรบั การเผาไหมสมบรู ณมี 4 ประการคือ (1) อากาศมีปริมาณมากพอ (2) อุณหภมู ิการเผาไหมสูงกวาอณุ หภมู ิจดุ ระเบิด (3) การผสมกนั ของอากาศกบั เช้ือเพลิงอยางท่วั ถงึ และ (4) เวลาทำปฏิกิริยาเผาไหมท ่ีมากพอ ปริมาณอากาศพอดีข้นึ อยูกบั ชนดิ ของเชือ้ เพลงิ อยางไรกต็ ามเน่อื งจากการผสมกันอยางท่ัวถงึ ของออกซเิ จนในอากาศกับเช้ือเพลิงเปนไปไดยากในทางปฏิบตั ิ ปริมาณอากาศท่ีใชในการเผาไหมจงึ มกักำหนดใหมีอากาศสวนเกิน (excess air)4.2 อตั ราสวนอากาศตอ เชอ้ื เพลงิ เชิงทฤษฎีในการทำใหเกิดการเผาไหมสมบรู ณ อากาศที่ใชจะตอ งมีปรมิ าณไมนอ ยกวา ปริมาณพอดี อตั ราสวนระหวา งปรมิ าณอากาศพอดีและเช้อื เพลิงเรยี กวาอัตราสว นอากาศตอ เชอื้ เพลิงเชงิ ทฤษฎี (theoret-ical air-fuel ratio) ซึง่ มีสัญลักษณ AFRT อัตราสวนอากาศตอเชอ้ื เพลิงเชงิ ทฤษฎีอาจเปน อตั ราสวนเชงิ มวลหรืออัตราสว นเชงิ โมลก็ได การระบุคา AFRT จงึ ควรระบุหนว ยดวยวาเปน kgair/kgfuel หรือmolair/molfuel ความสมั พนั ธร ะหวางอตั ราสวนเชิงมวลและอัตราสวนเชงิ โมลเปน ดงั น้ี อัตราสวนเชิงมวล = 28.84 × อตั ราสวนเชงิ โมล (4.7) Mf uelโดยที่ 28.84 คอื นำ้ หนกั โมเลกลุ ของอากาศทฤษฎีและ Mfuel คือนำ้ หนักโมเลกลุ ของเช้อื เพลิง เช้อื เพลิงประกอบดวย C, H หรือ S ซึง่ เผาไหมในอากาศ ไดดงั แสดงในสมการ (4.1)-(4.3) นอกจากน้ีเชอื้ เพลิงอาจมีสวนประกอบของ O และ N ดวย ดังนั้นโมเลกลุ ของเช้อื เพลิงอาจเขียนเปน สตู รเคมีCaHbScOdNe อยางไรกต็ ามสูตรเคมีนี้ไมไดหมายความวาธาตุตาง ๆ สรางพันธะเคมีตอ กัน ธาตุบางธาตุเชน C อยูใ นรปู ของคารบอนอสิ ระในเชอ้ื เพลิงแขง็ สมการเผาไหมพ อดขี องเช้ือเพลงิ เปนดังนี้ ()CaHbScOdNe + a+ b +c− d (O2 + 3.76N2) −→ 42 [( )]aCO2 b H2O cSO2 a+ b +c− d e N2 (4.8) + 2 + + 3.76 42 + 2สมการ (4.8) แสดงใหเ หน็ วาเชอื้ เพลิงน้ีมี () bd molair/molfuel (4.9)AF RT = 4.76 a+ +c− 42ตารางที่ 4.2 แสดง AFRT ของเชอื้ เพลงิ บางชนดิ ที่คำนวณจากสมการ (4.9) สำหรบั ธาตุอน่ื หรอื กาซอืน่ทีไ่ มใชเ ชือ้ เพลิงเชน N, O2 และ CO2 คา AFRT เทา กับศูนย ในการหา AFRT ของเชื้อเพลงิ ท่ีมีสว นประกอบหลายชนดิ จะตอ งทราบสัดสวนโดยโมลของสว นประกอบแตล ะชนิด สมมุติวา เช้อื เพลงิ มี k สว นประกอบโดยมีสดั สวนโดยโมลเปน y1, y2, ..., yk และสวนประกอบแตละชนิดมีคา AF RT เทา กบั ,AF RT,1 ,AF RT,2 ..., AF RT,k ตามลำดับ คา AF RTของเช้ือเพลิงสามารถคำนวณไดดงั นี้AF RT = y1AF RT,1 + y2AF RT,2 + ... + ykAF RT,k (4.10)
44 บทที่ 4. การเผาไหมตารางที่ 4.2: AFRT ของเชื้อเพลิงบางชนิดเชอ้ื เพลิง AFRT (m4o.l7a6ir/molfuel)C 1.19H 4.76S 9.52CH4 16.66C2H6 23.8C3H8 2.38CO ตัวอยาง คำนวณ AFRT ของเชือ้ เพลงิ ทปี่ ระกอบดว ย C3H8 40% และ C4H10 60% วธิ ที ำ กำหนดให C3H8 เปนสวนประกอบที่ 1 และ C4H10 เปน สวนประกอบที่ 2 ของเชอ้ื เพลิง ดังนั้น y1= 0.4, y2 = 0.6, AF RT,1 = 23.8, AF RT,2 = 30.94 AF RT = 0.4 × 23.8 + 0.6 × 30.94 = 28.1 molair/molfuel ตัวอยาง คำนวณ AFRT เชิงโมลของเช้อื เพลงิ กาซท่ีประกอบไปดวย CH4 70%, C2H6 10%,C3H8 10% และ CO2 10% วธิ ีทำ กำหนด CH4, C2H6, C3H8 และ CO2 เปนสว นประกอบที่ 1, 2, 3 และ 4 ตามลำดบั สัดสว นโดยโมลและอัตราสวนอากาศตอ เชื้อเพลิงเชงิ ทฤษฎีของกา ซแตละชนดิ เปน ดังนี้ y1 = 0.7, y2 = 0.1, y3 =0.1, y4 = 0.1, AF RT,1 = 9.52, AF RT,2 = 16.66, AF RT,3 = 23.8, AF RT,4 = 0 ดังน้ัน AF RT = 0.7 × 9.52 + 0.1 × 16.66 + 0.1 × 23.8 + 0.1 × 0 = 10.7 molair/molfuel ปริมาณของเชอ้ื เพลงิ แขง็ กบั เช้อื เพลงิ เหลวมักวัดเปนนำ้ หนัก ดงั นั้นจึงนิยมระบุ AFRT เปนอตั ราสวนเชงิ มวลซึง่ หาไดจากการแทนคาอัตราสวนอากาศตอเชื้อเพลงิ เชงิ โมลในสมการ (4.9) ในสมการ(4.7) 28.84 × 4.76 ()AF RT = Mfuel a+ b +c− d kgair/kgfuel (4.11) 42
4.2. อตั ราสว นอากาศตอ เช้ือเพลิงเชงิ ทฤษฎี 45เชื้อเพลงิ ทีม่ ีสูตรเคมี CaHbScOdNe มีนำ้ หนกั โมเลกุลดงั น้ี (4.12) Mfuel = 12a + b + 32c + 16d + 14eสัดสว นโดยมวลของ C, H, S และ O ในเชือ้ เพลิงแขง็ ในสภาพแหง และไมม เี ถาคือ 12a (4.13)xC = Mf uel (4.14) (4.15) b (4.16)xH = Mf uel 32cxS = Mf uel 16dxO = Mf uelถาทราบ xC, xH, xS และ xO ก็สามารถหาคา a, b, c และ d ได สมการ (4.11) จะกลายเปนAF RT = 11.44xC + 34.32xH + 4.29xS − 4.29xO kgair/kgfuel (4.17)ในกรณีที่เชอ้ื เพลิงมีความชนื้ และเถาและสดั สวนโดยมวลของความชื้นคอื xM และสดั สวนโดยมวลของเถาคอื xA อัตราสวนอากาศตอเชื้อเพลงิ ความชนื้ และเถา จะเปน ดังน้ีAF RT = (11.44xC + 34.32xH + 4.29xS − 4.29xO)(1 − xM − xA) (4.18)โดยท่ี xC, xH, xS และ xO เปน สดั สว นโดยมวลจากการวิเคราะหข ้นั สุดทา ยของถา นหินท่แี หงและไมม ีเถา สมการ (3.6) แสดงใหเ ห็นวาสมการ (4.18) อาจเขยี นใหมดังนี้AF RT = 11.44xC,ar + 34.32xH,ar + 4.29xS,ar − 4.29xO,ar (4.19)โดยท่ี ,xC,ar ,xH.ar xS,ar และ xO,ar เปน สดั สวนโดยมวลจากการวเิ คราะหขัน้ สดุ ทายของถานหินในสภาพเดิมซงึ่ มีความช้นื และเถา ตวั อยา ง ผลการวิเคราะหโดยประมาณของถา นหนิ กอ นหน่ึงพบวามีความชื้น 4% และเถา 5%เม่อื นำถานหินในสภาพที่ไมมีความชื้นและเถามาวเิ คราะหข้นั สุดทาย ไดผลดงั นี้ C 83.1%, H 5.5%, O7.4%, N 2.1% และ S 1.9% คำนวณ AFRT ของถา นหนิ วิธีทำ แทนคาสัดสว นโดยมวลในสมการ (4.18) เพื่อหา AFRT AF RT = (11.44 × 0.831 + 34.32 × 0.055 + 4.29 × 0.019 − 4.29 × 0.074) × (1 − 0.04 − 0.05) = 10.2 kgair/kgfuel
46 บทที่ 4. การเผาไหม4.3 คาความรอน ปฏกิ ริ ิยาเคมีมักเกิดขึน้ พรอ มกับการแปลงรูปพลงั งานระหวางพลงั งานความรอนและพลงั งานเคมีพลังงานเคมีของสารตง้ั ตน และสารผลผลิตคือ ผลรวมเอนทัลปกอ รูป (formation enthalpy) ของสารต้งั ตนและสารผลผลิต ถาปฏิกิรยิ าเกิดข้นึ ที่อณุ หภมู ิหอ งในระบบปด ท่ีไมแลกเปลี่ยนความรอ นกับส่ิงแวดลอมอณุ หภมู ิของสารผลผลิตจะมีคาเทากับอุณหภูมิเปลวไฟแอเดยี แบติก (adiabatic flametemperature) ในกรณีท่ีพลังงานเคมีของสารตง้ั ตนนอยกวา พลังงานเคมีของสารผลผลติ อุณหภูมิเปลวไฟแอเดยี แบติกจะนอยกวา อุณหภมู ิหอ ง แตในกรณีที่พลังงานเคมีของสารต้งั ตน มากกวาพลังงานเคมีของสารผลผลิต อุณหภูมิเปลวไฟแอเดยี แบตกิ จะมากกวา อณุ หภูมิหอ ง ในกรณีหลงั ถาปฏิกิรยิ าเกิดขนึ้ท่ีอณุ หภูมิหองในระบบเปด ท่ีถายเทความรอนสูสง่ิ แวดลอมจนอุณหภมู ิของสารผลผลติ ลดลงเทากับอณุ หภมู หิ อง ปรมิ าณความรอนน้ีเรียกวา คาความรอ น (heating value) โดยทั่วไปคาความรอ นของเชื้อเพลงิ จะหมายถึงปริมาณความรอ นที่ไดจากการเผาไหมแบบพอดีของเชือ้ เพลิงแข็งหรอื เช้อื เพลงิ เหลว1 kg หรอื ของเชอื้ เพลิงกาซ 1 m3 การหาคาความรอนโดยตรงอาจใชบอมบแคลอริมิเตอร (bombcalorimeter) คา ความรอนขึ้นกบั ผลผลิตที่ไดจากการเผาไหมซ่งึ อาจปน นำ้ หรือไอน้ำกไ็ ด การเผาไหมที่ใหผลผลิตเปน น้ำใหคาความรอ นสงู (higher heating value) การเผาไหมที่ใหผลผลิตเปนไอนำ้ ใหคาความรอนต่ำ (lower heating value) ดงั นน้ั ผลตางระหวา งคา ความรอนสงู กับคาความรอ นต่ำจึงเทากบัคา ความรอนแฝงในการกลายเปน ไอของน้ำทเ่ี ปนผลผลิตจากการเผาไหม คาความรอ นเปน ลกั ษณะเฉพาะของเชอื้ เพลิงแขง็ แตละชนิด ถา ทราบสัดสวนโดยมวลของธาตุตา งๆ รวมถงึ ความชืน้ และเถาในเช้อื เพลิงแขง็ จากการวเิ คราะหขั้นสุดทายก็สามารถคำนวณคาความรอ นของเชือ้ เพลงิ แข็งได ตารางที่ 4.3 แสดงคา ความรอ นสูงตอมวลของเผาไหมธาตุที่เผาไหมได ธาตุ C และ ตารางท่ี 4.3: คา ความรอนสูงของ C H และ S ธาตุ ปฏกิ ริ ิยา HHV (kJ/kg) C C + O2 −→ CO2 33700 H H + 0.25O2 −→ 0.5H2O 144200 S S + O2 −→ SO2 9300S ท่ีอยูในเชอื้ เพลงิ ทั้งหมดจะเผาไหมและใหคาความรอนตามตารางที่ 4.3 แตในกรณีของ H มีเพียงไฮโดรเจนอิสระเทา นน้ั ที่เผาไหมในขณะที่ไฮโดรเจนไมอสิ ระ 1 kg รวมตวั กบั O 8 kg คาความรอนสงูของเช้ือเพลงิ แข็งจงึ เทา กับ ( ) + 144200 xH HHV = 33700xC − xO + 9300xS (4.20) 8สตู รน้ีมชี ือ่ วา สูตรของดูลอง (Dulong’s formula) คา ความรอ นสงู ในสมการ (4.20) เปนของเชื้อเพลิงแข็งในสภาพที่แหงและไมมีเถา แตถ า เช้ือเพลงิ มที ้งั ความช้นื และเถา สมการของคา ความรอนสงู เปน ดังนี้ ( xO ) (4.21) xH 8HHV = (33700xC + 144200 − + 9300xS )(1 − xM − xA)
4.3. คาความรอ น 47หรอื ( xO,ar ) (4.22) + 144200 xH,ar − 8 HHV = 33700xC,ar + 9300xS,ar ในคำนวณคา ความรอนต่ำของเชื้อเพลงิ แขง็ จะตองทราบปริมาณน้ำท่ีเกดิ จากการเผาไหมตอมวลของเช้อื เพลงิ ตารางที่ 4.3 แสดงใหเห็นวา การเผาไหม C และ S ไมทำใหเกดิ น้ำ แตการเผาไหม Hจะทำใหไดนำ้ 9 kg ตอ 1 kg ของ H ซึ่งนับเฉพาะไฮโดรเจนอิสระ อยา งไรก็ตามเมือ่ รวมนำ้ ท่ีเกิดจากการเผาไหมไฮโดรเจนอสิ ระกับน้ำท่ีมีพนั ธะกบั สารอนื่ ซ่งึ จะกลายเปนไอน้ำจากการเผาไหมก็จะพบวาไฮโดรเจนทงั้ หมดในเชอื้ เพลิงทำใหเกิดนำ้ ซง่ึ มมี วลเปน 9 เทาของมวลไฮโดรเจน นอกจากนเ้ี ชอื้ เพลิงแข็งยังมีความช้นื ซง่ึ ก็จะกลายเปน ไอหลงั การเผาไหมเชน กนั เน่อื งจากคาความรอ นแฝงในการกลายเปน ไอของนำ้ ท่อี ุณหภูมิ 25◦C เทากับ 2442 kJ/kg คา ความรอ นต่ำของเชอื้ เพลิงแข็งจงึ เทา กบั LHV = HHV − 2442(9xH,ar + xM ) (4.23) ในเชอื้ เพลิงเหลวและเข้อื เพลิงกา ซ ธาตุที่เผาไหมไดรวมตวั เปน สารประกอบกบั ธาตุอนื่ โดยมกัอยูในรูปของ CmHn ในกรณีของเชือ้ เพลิงเหลวและ CmHn, CO และ H2 ในกรณีของเชอื้ เพลงิ กา ซสารประกอบเหลา นม้ี ปี ฏิกิรยิ าการเผาไหมแ ละคาความรอนตามตารางท่ี 4.4 ตารางท่ี 4.4: คาความรอนสูงของกาซบางชนิด สารประกอบ ปฏกิ ริ ิยา HHV (kJ/m3) HHV (kJ/kg) CH4 CH4 + 2O2 −→ CO2 + 2H2O 39700 55600 C2H6 C2H6 + 572OO22 2CO2 + 3H2O 69600 52000 C3H8 C3H8 + −→ 3CO2 + 4H2O 99100 50500 H2 H2 1 −→ 12700 142200 CO CO + H2O 12600 10100 + O2 2 −→ CO2 −→ 1 O2 2 ถา เชือ้ เพลงิ กา ซประกอบดว ยกา ซ k ชนิดท่ีเผาไหมได สดั สวนโดยปริมาตรคอื y1, y2, ..., yk และกาซแตละชนิดมีคาความรอ นสูงตอปริมาตรเทา กับ HHV1, HHV2, ..., HHVk ตามลำดับ คาความรอนสูงตอปรมิ าตรของเชือ้ เพลงิ กาซสามารถคำนวณไดดงั น้ี HHV = y1HHV1 + y2HHV2 + ... + ykHHVk (4.24)ถาเช้อื เพลิงเหลวประกอบดวยของเหลว k ชนดิ ทเี่ ผาไหมไ ด สัดสว นโดยมวลคอื x1, x2, ..., xk และกาซแตล ะชนิดมีคา ความรอนสงู ตอมวลเทา กบั HHV1, HHV2, ..., HHVk ตามลำดบั คา ความรอ นสงู ตอมวลของเชือ้ เพลงิ เหลวสามารถคำนวณไดดังน้ี HHV = x1HHV1 + x2HHV2 + ... + xkHHVk (4.25)
48 บทที่ 4. การเผาไหม ตารางที่ 4.4 แสดงปริมาณน้ำที่เกดิ จากการเผาไหมเช้ือเพลงิ แตล ะชนิด จะเห็นวาเช้อื เพลิงทกุ ชนิดยกเวน CO ใหนำ้ เปนผลผลิต ถา กำหนดให Vi เปน ปรมิ าตรของนำ้ ที่เกดิ จากการเผาไหมเชอ้ื เพลงิ i 1m3 ปริมาตรรวมของนำ้ ท่ีเกิดจากการเผาไหมเช้อื เพลิงกาซ 1 m3 ท่ีประกอบดวยกาซ k ชนดิ ท่ีเผาไหมไดมีคาดังนี้V = y1V1 + y2V2 + ... + ykVk (4.26)คา ความรอนแฝงในการกลายเปน ไอของน้ำที่อณุ หภูมิ 25◦C เทากบั 1962 kJ/m3 ดงั น้นั คาความรอนต่ำของเชือ้ เพลิงกา ซLHV = HHV − 1962V (4.27) ในกรณีของเชอื้ เพลงิ เหลว คา ความรอนต่ำหาไดจากสมการ (4.20) แต xM = 0 เนอื่ งจากเช้อื เพลงิเหลวมีน้ำปนอยนู อ ยมาก ตัวอยาง เชอ้ื เพลิงแข็งประกอบดวย C 70%, H 5%, O 4%, S 1%, ความชน้ื 10% และเถา 10%หาคา ความรอ นสูงและความรอนตำ่ ของเชื้อเพลิง วธิ ที ำ ผลรวมของสดั สว นโดยมวลของธาตทุ ้ัง 4 ธาตุ ความชื้นและเถา เทา กบั 100% ดังนนั้ ขอมลู ทโ่ี จทยใ หมาจงึ เปน สดั สว นโดยมวลจากการวิเคราะหขัน้ สดุ ทา ยของถานหนิ ท่ีมีความชืน้ และเถา กลา วคอื xC,ar= 0.70, xH,ar = 0.05, xO,ar = 0.04, xS,ar = 0.01, xM = 0.10 และ xA = 0.10 คาความรอนสงูคำนวณจากสมการ (4.22) HHV = 33700(0.7) + 144200(0.05 − 0.04/8) + 9300(0.01) = 30172 kJ/kgคาความรอ นตำ่ คำนวณจากสมการ (4.23)LHV = 30172 − 2440(9 × 0.05 + 0.1) = 28828 kJ/kg ตัวอยาง เชอ้ื เพลงิ กาซประกอบดว ย CH4 80%, H2 15% และ CO 5% หาคาความรอนสงู และความรอนต่ำของเช้ือเพลิง วิธที ำ คา ความรอ นสงู คำนวณจากสมการ (4.24) และตารางท่ี 4.4 HHV = 39700(0.8) + 12700(0.15) + 12600(0.05)
4.4. อัตราสว นอากาศตอ เช้ือเพลิงจรงิ 49 = 34295 kJ/m3 ปริมาณน้ำเกดิ จากการเผาไหมเ ชื้อเพลิง 1 m3 ไดจากสมการ (4.26) และตารางท่ี 4.4 V = 2 × 0.8 + 1 × 0.15 = 1.75 m3คา ความรอนตำ่ คำนวณจากสมการ (4.27) LHV = 34295 − 1960 × 1.75 = 30865 kJ/m34.4 อตั ราสวนอากาศตอเช้ือเพลิงจริง การคำนวณปรมิ าณอากาศที่ใชในการเผาไหมจรงิ ตองใชขอ มูลจากการวเิ คราะหกาซเสียซ่งึ มี วิธีวเิ คราะห 2 วธิ ี วธิ แี รกใชเซน็ เซอรตรวจวดั ปริมาณกาซตาง ๆ ในกา ซเสีย โดยสามารถอานคา ปรมิ าณกา ซจากเซ็นเซอรไดทันทีแตเซน็ เซอรแตล ะตัวสามารถวัดปรมิ าณกา ซไดเพียงหน่ึงหรือสองชนิดเทา นัน้ วิธีท่ีสองจะเก็บตวั อยา งกาซเสยี มาวิเคราะหในหอ งปฏบิ ัติการ วิธีที่สองไมใหคาปริมาณกา ซสวนประกอบทันทีเหมือนวิธีแรกแตสามารถหาปริมาณกา ซหลายชนิด อุปกรณสำหรับวิเคราะหกาซเสยี ดวยวิธีที่สองท่ีไดรบั ความนิยมคือ อุปกรณออรแสต (Orsat apparatus) เพราะมีราคาไมแพง งายตอ การใช และเคลือ่ นยา ยงา ย อปุ กรณนี้ใชวัดสดั สว นโดยปริมาตรหรือโดยโมลของ CO2, CO และ O2 ในกาซเสียแหงถา สมมตุ ิวามีกาซเพยี งสี่ชนิดในกา ซเสียแหง (CO2, CO, O2 และ N2) ขอมลู ที่ไดจากอุปกรณออรแสตสามารถใชห าสดั สว นโดยปรมิ าตรของ N2 ไดดังน้ี yN2 = 1 − yCO2 − yCO − yO2 (4.28)เมือ่ ทราบสัดสว นโดยปริมาตรของกา ซสว นประกอบในกาซเสยี แลวก็สามารถหาอัตราสวนอากาศตอ เชอื้เพลงิ จริง (AFRA) ไดโ ดยใชวิธใี ดวิธหี น่งึ ในสองวิธตี อ ไปน้ี4.4.1 วิธที ี่หนึง่ วิธีน้ีใหคา AFRA ซึ่งอัตราสวนโดยมวลจงึ เหมาะกบั เช้ือเพลิงแขง็ และเช้อื เพลิงเหลวเร่ิมตน จากนยิ ามของ AF RAAF RA = มวลอากาศทใ่ี ชใ นการเผาไหม = 1 (มมววลลเชขอ้ือเงพNล2ิง ในอากาศทีใ่ ชเผาไหม) 0.767 มวลเชอื้ เพลิง
50 บทที่ 4. การเผาไหม= 1 (มวลของ N2 ในกา ซเสยี − มวลของ N2 ในเชือ้ เพลงิ )= 0.767 ( มวลเชอื้ เพลิง ) 1 28(จำนวนโมลของ N2 ในกา ซเสีย) 0.767 − xN,ar (4.29) มวลเชอื้ เพลงิโดยที่ xN คอื สัดสวนโดยมวลของธาตุ N ในเช้ือเพลิง C ที่เผาไหมจะกลายเปน CO หรือ CO2 กำหนดให xcb เปน สดั สวนโดยมวลของ C ทเ่ี ผาไหมต อ 1 kg เชอ้ื เพลิง ดังน้ัน xcb = มวลของ CO และ CO2 ในกา ซเสีย มวลเชอื้ เพลงิ 12(จำนวนโมลของกา ซเสยี )(yCO = มวลเชื้อเพลิง + yCO2 )=⇒ มวลเช้อื เพลงิ = 12(yCO + yCO2)(จำนวนโมลของกาซเสยี ) (4.30) xcbโดยท่ี xcb คือสัดสวนโดยมวลของ C ในเช้ือเพลิงที่เผาไหม แทนคามวลเชอื้ เพลงิ จากสมการ (4.30) ในสมการ (4.29) ไดผ ลลัพธดังนี้ () 1 28xcbyN2 (4.31) AF RA = 0.767 12(yCO + yCO2 ) − xN,arxcb มีคา นอยมากหรอื เปนศูนยถา เช้อื เพลงิ เปน น้ำมันเตาหรือกา ซธรรมชาติ แตการเผาไหมเช้ือเพลิงแขง็มกั กอใหเกดิ คารบ อนที่ไมเผาไหมซึง่ อาจเปนเพราะคารบอนสว นนน้ั ไมไดสมั ผัสกับอากาศหรือเวลาในการเผาไหมนอ ยเกนิ ไป ในบางครงั้ การหาคา xcb จะตอ งใชวิธีทางออมเพราะการวัดโดยตรงคอนขา งยาก โดยทั่วไปสิง่ ท่ีทราบเก่ียวกับเชือ้ เพลิงแข็งคอื สัดสวนโดยมวลของเถา (xA) ผลผลิตจากการเผาไหมทีเ่ ปน ของแขง็ เรียกวาขี้เถา (refuse) ซงึ่ จะประกอบดว ยคารบอนผสมกบั เถา ถานำข้ีเถา ไปวเิ คราะหก็จะทราบสัดสว นโดยมวลของคารบ อน (xcr) ขอมลู เหลาน้ีใชหาคา xcbมวลเถา ในขเ้ี ถา มวลข้ีเถา = 1 − xcrมวลเถาในเชอื้ เพลงิ มวลเชือ้ เพลิง = xA มวลขี้เถา = 1 xAมวลเชื้อเพลิง − xcrมวลคารบ อนในข้เี ถา (มวลคารบ อนในข้ีเถา ) ( มวลข้เี ถา )มวลเชอ้ื เพลงิ = × มวลเช้ือเพลิง xcr xA มวลขี้เถา 1 − xcr = มวลคารบอนทเี่ ผาไหม xcb = มวลเช้ือเพลิง
4.4. อตั ราสว นอากาศตอ เชือ้ เพลิงจรงิ 51 มวลคารบ อนทง้ั หมดในเช้อื เพลิง มวลคารบอนในขีเ้ ถา = มวลเชือ้ เพลงิ − มวลเชอ้ื เพลงิดงั นน้ั xcb = xC,ar − xcr xA (4.32) 1 − xcr ตวั อยา ง ถา นหินลิกไนตมีสดั สว นโดยมวลของธาตุตาง ๆ ดังนี้ C 36%, H 3%, O 8%, S 0.64%,N 0.84%, ความช้นื 36% และเถา 15.52% เมือ่ เผาไหมถา นหนิ กบั อากาศ พบวา ไดกาซเสยี แหงซึง่ประกอบดวย CO2 18.57%, O2 5.84%, SO2 0.13% และ CO 0.66% นอกจากนพ้ี บวา ขเ้ี ถาประกอบดวยคารบ อน 7.18% จงคำนวณหาอตั ราสวนอากาศตอเชอ้ื เพลงิ จริง วิธีทำ yN2 = 1 − yCO2 − yO2 − ySO2 − yCO = 0.748 xcb = 0.36 − 0.0718 × 0.1552 1 − 0.0718 = 0.348 () 1 28 × 0.348 × 0.748 − 0.0084 AF RA = 0.767 12(0.0066 + 0.1857) = 4.11 kgair/kgfuel4.4.2 วธิ ที สี่ อง วิธีน้ีเหมาะกับเชือ้ เพลิงที่ไมม ีไนโตรเจนเปนสว นประกอบซึง่ ไดแกเชือ้ เพลิงเหลวและเชอ้ื เพลงิ กาซสมมุตวิ า เชอ้ื เพลงิ มสี ูตรเคมี CaHbScOd สมการเผาไหมพ อดีของเชอ้ื เพลิงนี้ดัดแปลงจากสมการ (4.8) () CaHbScOd + a+ b +c− d (O2 + 3.76N2) −→ 42 () aCO2 b H2O cSO2 a+ b +c− d N2 (4.33) + 2 + + 3.76 42 ในการเผาไหมจริงจะมปี รมิ าณอากาศมากกวาปริมาณอากาศพอดีซง่ึ ทำใหมี O2 ในกา ซเสีย นอกจากนี้การเผาไหมอาจไมส มบูรณซึง่ ทำใหม ี CO ในกา ซเสยี ดว ย สมการเผาไหมจริงจงึ อาจเขียนไดด ังนี้ () CaHbScOd + α a+ b +c− d (O2 + 3.76N2) −→ (a − β)CO2 + βCO + 42 [( )] b H2O cSO2 a+ b +c− d β O2 + 2 + + (α − 1) 42 + 2
52 บทที่ 4. การเผาไหม () a+ b +c− d N2 (4.34)3.76α 42α คือ อัตราสว นอากาศ (air ratio) ซงึ่ มีคาเทากับอัตราสว นระหวาง AFRA กบั AFRT สัดสวนโดยโมลของ O2, CO และ N2 ในกา ซเสยี ไดจ ากสมการ (4.29) yO2 = (α − 1)(a + b/4 + c − d/2) + β/2 (4.35) Ntotal β (4.36) yCO = Ntotal yN2 = 3.76α(a + b/4 + c − d/2) (4.37) Ntotalโดย Ntotal เทากับจำนวนโมลของกาซเสยี กำจัด β และ ออกจากสมการ (4.30) โดยใชสมการ (4.31) yO2 − 1 = (α − 1)(a + b/4 + c − d/2) (4.38) 2 yCO Ntotalหารสมการ (4.32) ดว ยสมการ (4.33) yN2 3.76α = yO2 − 0.5yCO (α − 1)แกส มการหา α α = yN2 − yN2 − 0.5yC O ) (4.39) 3.76(yO2 (4.40)หลงั จากไดค า α แลว AFRA คำนวณไดจาก AF RA = αAF RT ตวั อยา ง C3H8 เผาไหมในอากาศแลว ไดกา ซเสียแหง ซง่ึ มีสดั สวนโดยปรมิ าตรของ CO2, O2 และCO เทา กับ 11.5%, 2.7% และ 0.7% ตามลำดบั จงหาอตั ราสวนอากาศตอ เช้อื เพลงิ จรงิ ในการเผาไหม วธิ ที ำ คา AFRT ของ C3H8 เทากบั 23.8 โมลอากาศ/โมลเชอ้ื เพลิง ในการหาคา α จากสมการ (4.31)ตอ งทราบสดั สว นโดยปริมาตรของ N2 ซ่ึงคำนวณไดดังน้ี yN2 = 1 − yCO2 − yO2 − yCO = 0.851และเนอ่ื งจากเชอื้ เพลงิ ไมม ี N (e = 0) ดงั น้นั α = 0.851/(0.027 − 007/2) 0.851/(0.027 − 007/2) − 3.76 = 1.116 =⇒ AF RA = 1.116 × 23.8 = 26.56 molair/molfuel
4.5. อากาศสว นเกิน 534.5 อากาศสวนเกนิ ปริมาณอากาศเชิงทฤษฎีเปน เพียงความตอ งการขน้ั ต่ำสำหรบั การเผาไหมสมบรู ณ แตในความเปนจริงความตองการอากาศสำหรับการเผาไหมจะมากกวา นี้เพราะอากาศกับจะไมผสมกันอยา งทัว่ ถงึ จะมีบางบริเวณที่มีอากาศมากเกนิ ไป (lean mixture) และบางบรเิ วณท่ีมีเชือ้ เพลิงมากเกินไป (rich mix-ture) ซ่งึ อนั หลงั นี้จะเปนตนเหตุของการเผาไหมไมส มบรู ณ เพ่อื แกปญ หานี้ อากาศที่ใหใ นการเผาไหมจ ะตอ งมีสว นเกนิ จากปริมาณพอดีตามทฤษฎี อากาศสว นเกินมักบงบอกเปนเปอรเซน็ ตของปริมาณอากาศเชงิ ทฤษฎี ตัวอยางเชน อากาศสวนเกนิ 20% คือปรมิ าณอากาศทีม่ ากกวา ปริมาณอากาศเชงิ ทฤษฎี 20%สตู รการคำนวณเปอรเซ็นตอากาศสว นเกนิ (e) คอื () (4.41) e = AF RA − AF RT × 100 AF RT ถงึ แมวาอากาศสวนเกนิ จะลดการเผาไหมไมสมบูรณ แตอากาศสว นเกินจะทำใหเกดิ การสญู เสยีพลงั งานความรอน เน่อื งจากความรอ นบางสวนจะตองถกู ใชไปกบั การทำให N2 และ O2 บางสวนในอากาศสวนเกินรอนข้ึนกอนท่ีมนั จะถูกปลอยออกไปสูส่ิงแวดลอม ความตอ งการอากาศสว นเกนิ ขึ้นอยูกับปจจยั หลายอยาง เชน ชนิดของเชือ้ เพลิง ลกั ษณะเตาเผา ลกั ษณะหวั เผา (burner) และอัตราการผลติ ไอนำ้ ตามปกติถา นหนิ ตองการอากาศสวนเกนิ 15-30% ในขณะท่ีเช้ือเพลงิ กา ซตองการ 5-10%และเชื้อเพลงิ เหลวตองการ 3-15% สำหรับอตั ราการผลติ ไอนำ้ มีผลตอ อากาศสว นเกินเพราะอตั ราการผลิตไอน้ำแปรผนั กับอตั ราการไหลของกาซเสยี ถากา ซเสียไหลชา ลง การผสมกันระหวา งอากาศกบั เชอ้ืเพลงิ อยา งเหมาะสมจะเกดิ ยากข้นึ ดงั นัน้ ปริมาณอากาศสวนจะตอ งเพ่มิ มากขนึ้ ถาอตั ราการผลติ ไอนำ้ลดลง ในกรณีของการเผาไหมโดยใชถานหนิ ปรมิ าณอากาศสวนเกนิ อาจตอ งเพิ่มขน้ึ เทาตวั ถา อัตราการผลติ ไอนำ้ ลดลงครึ่งหนงึ่ การวดั อากาศสวนเกินอาจกระทำไดทางออ มจากการวัดสดั สวนของ O2 และ CO2 ในกา ซเสยี ถาสมมุตวิ าการเผาไหมเ ช้อื เพลงิ CmHn เปนการเผาไหมสมบรู ณโ ดยมี O2 ในกาซเสียCmHn ( n ) (O2 3.76N2) m+COn22H+2O[(+α3−.716)α((mm++n4n4))]NO22 m 4 + α + + −→ (4.42)สัดสว นโดยโมลของ O2, CO2 ในกาซเสยี แหง และอากาศสว นเกินของปฏกิ ิริยาการเผาไหมน้ีมคี าเทา กบั [(α − 1)(m + n/4) yO2 = 4.76α(m + n/4) − n/4 m yCO2 = 4.76α(m + n/4) − n/4 e = 100(α − 1)ซึ่งทำใหไ ดสมการระหวาง yO2 และ yCO2 กบั e ดังน้ี 0.01e yO2 = 4.76(1 + 0.01e) − n/(4m + n)
54 บทท่ี 4. การเผาไหม 4m/(4m + n) yCO2 = 4.76(1 + 0.01e) − n/(4m + n) รูปที่ 4.1 เปนกราฟระหวา ง yO2 และ yCO2 กับ e ในการเผาไหมเชอ้ื เพลิง CmHn ที่มีคา m และn ตางกนั จะเหน็ วาเสน โคงของ yO2 ในการเผาไหมทกุ เชอ้ื เพลงิ มีลกั ษณะคลายกันมาก ในทางตรงขามเสน โคงของ yCO2 ข้ึนกบั ชนดิ ของเชื้อเพลงิ อยา งชัดเจน เหตผุ ลคอื CO2 ข้นึ กบั สดั สว นของคารบ อนในเชอ้ื เพลิง ถานหนิ มีสดั สวนของคารบ อนมากกวา กา ซมีเทน ปริมาณ CO2 ที่ไดจากการเผาไหมถานหินจึงมากกวาท่ีไดจากการเผาไหมกาซมเี ทน รปู ที่ 4.1: ความสมั พันธระหวาง yO2 และ yCO2 กับ e ในการเผาไหมเ ช้ือเพลงิ ไฮโดรคารบ อน ถงึ แมวาปริมาณอากาศสว นเกนิ จะหาไดจ ากการวัด O2 หรือ CO2 แตก ารวัด O2 เปน ทน่ี ิยมมากกวาเน่ืองจาก • เสนโคงการเปล่ียนแปลง O2 ตามเปอรเ ซ็นตอากาศสว นเกินจะคลา ยกันไมวาเช้ือเพลิงจะเปน ถานหนิ น้ำมนั เตาหรือกา ซธรรมชาติ ในขณะท่ีชนดิ ของเชือ้ เพลิงมีผลอยางมากตอเสนโคง ของ CO2 • เสนโคงของ CO2 มีความชันนอ ยกวาเสนโคง ของ O2 ซง่ึ ทำใหการวัด CO2 ตอ งมีความแมนยำ สูงกวาการวัด O2 เพ่อื ใหไ ดคา อากาศสว นเกนิ ท่มี คี วามคลาดเคลอ่ื นเทากัน • CO2 ละลายน้ำดีกวา O2 การวัดปรมิ าณอากาศสวนเกนิ ดวยการวดั CO2 จงึ อาจใหคาท่ีผิดพลาด มากกวา รูปท่ี 4.2 แสดงการเปลยี่ นแปลงของสัดสว นของ CO2, O2 และ CO ตามปรมิ าณอากาศทใ่ี ชเ ผาไหมเปน ที่นา สงั เกตวาสัดสว นของ CO2 ทมี่ ากเปน สิง่ ดเี พราะหมายความวาการเผาไหมมีประสทิ ธิภาพสูง ในทางตรงขา มสัดสว นของ O2 ที่มากเกินไปเปน ส่งิ ท่ีไมพงึ ประสงคเพราะมนั หมายถงึ ความรอนปรมิ าณมากที่สูญเสียไปกับอากาศสวนเกิน ถึงแมวา ปริมาณ O2 ท่ีเพมิ่ ขน้ึ จะบงบอกถึงอากาศสว นเกนิ ที่เพิม่ ข้นึ แตถามีอากาศรวั่ ไหลเขา มาในระบบหลังจากการเผาไหมสิ้นสุดแลว ปรมิ าณ O2 จะไมสามารถใชหาปริมาณอากาศสว นเกนิ อยา ง
4.6. อณุ หภมู จิ ดุ นำ้ คา ง 55รปู ท่ี 4.2: การเปลีย่ นแปลงของสดั สวนของ O2 CO2 และ CO ในกา ซเสียตามอากาศสว นเกินถูกตองเพราะ O2 บางสวนมาจากอากาศที่ร่ัวไหลเขามาในระบบ ถา คิดวา ปรมิ าณ O2 ท่ีวัดไดมาจากการเผาไหมเพียงแหลงเดยี วและไปลดปรมิ าณ O2 ผลที่ตามมาอาจเปน การเผาไหมไมสมบูรณเ พราะโดยแทจ ริงแลว กระบวนการเผาไหมก ำลังขาดอากาศ สดั สวนของ CO ที่เพิม่ ขนึ้ ก็บง บอกอยา งชัดเจนถึงการเผาไหมไมสมบูรณท่ีรนุ แรงขนึ้ โดยไมขนึ้กับการรว่ั ไหลของอากาศเขา สูระบบ การวดั ทั้ง O2 และ CO อาจกระทำควบคูกนั เพ่ือผลการวิเคราะหอากาศสว นเกินท่ีแมนยำ ดงั ที่ไดกลาวไวขางตน อากาศสวนเกนิ ทำใหเกิดการสูญเสยี พลงั งาน ดังนัน้ปรมิ าณอากาศสวนเกนิ ควรจะนอ ยทีส่ ดุ เทาท่ีจะทำใหการเผาไหมเกิดข้นึ อยางสมบูรณ วธิ ีหนึ่งท่ีใชควบคมุ ปรมิ าณอากาศสวนเกินไดคอื การลดอากาศสวนเกนิ ลงมาเรื่อย ๆ ถา พบวา สดั สว นของ O2 มากไปพรอ มกับตรวจวัด CO เมือ่ CO เรม่ิ เพิ่มข้นึ ก็ใหหยุดลดอากาศสวนเกินแลว ใหเพม่ิ มนั ขน้ึ มาตามเลก็นอ ยสมควร ปรมิ าณอากาศสว นเกนิ ท่ีไดขณะน้ีนา จะเปนคา ท่ีเหมาะสมที่สดุ ในแงของการสง เสรมิ การเผาไหมส มบรู ณและการประหยัดพลงั งาน4.6 อณุ หภมู ิจดุ น้ำคา ง เน่ืองจากถา นหนิ มีกำมะถันเปนสว นประกอบ กาซเสียจะประกอบไปดวย SO2 ซึ่งเกดิ ขึ้นจากปฏกิ ิรยิ า S + O2 −→ SO2SO2 จะทำปฏิกิริยากับ O2 กลายเปน SO3 SO2 + 1 O2 −→ SO3 2ถา ไอน้ำในกา ซเสยี ควบแนน SO3 จะทำปฏกิ ริ ยิ ากบั นำ้ จะทำใหเ กดิ กรดซลั ฟรู ิก (sulfuric acid) SO3 + H2O −→ H2SO4
56 บทที่ 4. การเผาไหมซ่งึ มีความสามารถในการกดั กรอนโลหะสงู จงึ เปนอนั ตรายตอ อปุ กรณท่ีทำดว ยโลหะ ดงั น้ันจงึ มีความจำเปน ตอ งปองกันการเกิดกรดชนิดนี้ข้ึนดว ยการเลอื กใชถา นหินท่ีมีกำมะถันตำ่ และตดิ ตง้ั ระบบกำจดัSO2 นอกจากนี้ยังควรควบคุมไมใหเกดิ การควบแนน ของไอน้ำในกา ซเสยี ที่จะทำใหมีน้ำมาทำปฏิกิรยิ ากบั กาซ SO2 ได ไอน้ำในกาซเสยี เกดิ จากปฏกิ ริ ิยาการเผาไหมท คี่ วามดนั บรรยากาศ (p) เทา กบั 1 atm ความดันยอ ย(partial pressure) ของไอน้ำ (pH2O) มีคาเทา กับ pH2O = yH2Opโดยท่ี yH2O คอื สัดสวนโดยโมลของไอน้ำ ถา อณุ หภมู ิของกาซเสียลดลงเรือ่ ย ๆ โดยที่ความดันคงที่ท่ี1 atm ในทส่ี ดุ ไอน้ำจะควบแนน อุณหภูมิท่ีการควบแนน เรม่ิ เกดิ ขึ้นเรยี กวา อุณหภมู ิจดุ นำ้ คาง (dew-point temperature) ซ่งึ มีคา เทากับอณุ หภมู ิของไอนำ้ อ่ิมตวั ท่ีความดัน pH2O ตราบใดที่อณุ หภูมิของกาซเสยี สงู กวาอุณหภูมิน้ี จะไมม ีการควบแนน ของน้ำ ดังน้ันอณุ หภูมิของกา ซเสียจึงถกู ควบคมุ ใหสงู กวาอุณหภูมจิ ุดนำ้ คางของกาซเสีย4.7 อปุ กรณเ ผาไหม หวั ขอ ที่ผานมากลาวถึงองคประกอบทางเคมีของการเผาไหมซง่ึ ประกอบดว ยเชอื้ เพลงิ และอากาศแตการเผาไหมจะเกดิ ข้ึนไดอยางสมบรู ณก็ตอเมื่อมีองคประกอบทางกายภาพท่ีเหมาะสมดวย ปจจัยท่ีทำใหการเผาไหมเ กิดข้ึนอยางสมบรู ณมีสามประการคือ 1. อุณหภมู ขิ องเชื้อเพลิงจะตอ งสงู กวาอุณหภูมิจดุ ระเบิด (ignition temperature) เช้อื เพลิงทผ่ี สม กับอากาศจะไมทำปฏิกิรยิ าเผาไหมกันถาอุณหภูมิของเช้อื เพลิงตำ่ เกนิ ไป การเผาไหมจะเกดิ ขึน้ เมอ่ื เชอ้ื เพลงิ ไดรบั ความรอ นจนมีอุณหภูมิถึงอณุ หภมู ิจดุ ระเบิด ตารางท่ี 4.5 แสดงอุณหภมู ิจุด ระเบิดของเชอ้ื เพลงิ บางชนิดทใ่ี ชใ นโรงไฟฟาตารางท่ี 4.5: อณุ หภมู จิ ุดระเบิดของเชื้อเพลงิ บางชนิดเชื้อเพลิง อณุ หภูมิจุดระเบิด (◦C)C 700S 243H2 500CO 609CH4 580C2H6 515C3H8 480
4.7. อปุ กรณเผาไหม 57 2. เชอ้ื เพลิงกบั อากาศตองผสมกนั อยางทัว่ ถงึ ถึงแมว าจะมีปริมาณอากาศมากเม่ือเทียบกับเชือ้ เพลิงแตการเผาไหมอยา งไมสมบรู ณก็อาจเกิดขน้ึ ถามีบางจดุ ท่ีมีอากาศไมเพยี งพอกับเชือ้ เพลิง อนั เปน ผลจากการที่อากาศกับเช้ือเพลิงไมไดผสมกันอยา งทัว่ ถงึ วธิ ีหนงึ่ ที่ชวยทำใหเช้ือเพลงิ กบั อากาศผสมกนั คอื การทำใหเ กิดการไหลปน ปวนของอากาศผา นเชือ้ เพลงิ 3. มีเวลาที่มากพอสำหรับการเผาไหม การเผาไหมอาจไมสมบรู ณในชว งเวลาสนั้ ๆ เนอ่ื งจากการ ผสมกนั ระหวา งอากาศกับเช้อื เพลงิ อาจไมเกิดขนึ้ อยา งทนั ทีทนั ใด แตถา ใหเวลาการเผาไหมที่ มากพอ การผสมกนั ก็มโี อกาสเกดิ ขึน้ และในที่สดุ การเผาไหมก จ็ ะเปน ไปอยา งสมบูรณ การเผาไหมของเช้อื เพลงิ เกิดขน้ึ ภายในเตาเผา (furnace) ซึ่งถกู ออกแบบมาเพือ่ การเผาไหมแบบสมบูรณโดยคำนงึ ถึงปจจยั ท้งั สามประการดงั กลา ว ดังนัน้ อุปกรณเผาไหมในเตาเผาจะถูกออกแบบใหมี(1) มีระบบใหความรอ นแกเชือ้ เพลงิ เพือ่ เพ่มิ อุณหภูมิใหสงู กวาอุณหภมู ิจุดระเบดิ (2) ควบคุมปริมาณอากาศสำหรับการเผาไหมไดและมีระบบการผสมเช้อื เพลิงกับอากาศ และ (3) มีขนาดใหญพอท่ีใหอากาศกบั เช้ือเพลิงมเี วลาเผาไหมทเ่ี พยี งพอ4.7.1 อุปกรณเผาไหมเ ชือ้ เพลงิ กา ซและเชื้อเพลงิ เหลว อุปกรณห ลกั คือ หวั เผา (burner) ซง่ึ มหี นาที่สำคัญประการแรกคอื จา ยเช้อื เพลิงกับอากาศและผสมกับเชือ้ เพลิงกบั อากาศระหวา งการเผาไหม รปู ที่ 4.3 แสดงการไหลของเชื้อเพลิงและอากาศในหวั เผา จะเหน็ วา เชื้อเพลิงและอากาศไหลแยกกนั ภายในหัวเผาและจะผสมกันนอกหัวเผา การท่ีเชอ้ื เพลงิ ไมผสมกับอากาศภายในหัวเผาทำใหการเผาไหมไมเกิดข้นึ ภายในหัวเผาและชวยปอ งกันอบุ ตั เิ หตุ อยางไรกต็ ามหวั เผาตองไดรบั อาการออกแบบใหเชอื้ เพลิงตองผสมกบั อากาศนอกหวั เผา รูปท่ี 4.3 แสดงใหเหน็ วาอากาศมีการไหลวนซ่งึ ทำใหเกิดการไหลแบบปนปว นของอากาศ นอกจากน้ีอากาศบางสว นยงั ไหลยอนกลับเขาเปลวไฟซง่ึ ทำใหม กี ารผสมกันระหวางอากาศกับเชอื้ เพลงิ อยางมีประสทิ ธภิ าพ รูปที่ 4.3: การไหลของเชื้อเพลงิ และอากาศในหัวเผา หนาที่อกี ประการหน่ึงของหัวเผาคอื จุดระเบิดเชือ้ เพลิงใหเกดิ การเผาไหม การใหความรอ นแกเช้ือเพลงิ นิยมใชประกายไฟจากความตา งศักยไฟฟา 11 kV ซ่งึ ทำใหเกิดเปลวไฟนำรอ ง (pilot flame)
58 บทท่ี 4. การเผาไหมและนำไปสูเปลวไฟหลัก (main flame) ในทีส่ ดุ พลังงานที่ทำใหเกิดการจุดระเบิดข้นึ กับหลายปจจยัเชน ชนิดของเช้ือเพลิง ความเรว็ ของเชอื้ เพลิง อตั ราสวนอากาศตอเชื้อเพลงิ เปนตน พลงั งานมีคาต่ำสุดเม่ืออตั ราสวนอากาศตอ เชื้อเพลิงเปนอัตราสวนอากาศตอเชอื้ เพลงิ เชงิ ทฤษฎี หลงั จากไดเปลวไฟหลกัแลว หวั เผาตองทำหนาท่ีควบคมุ เปลวไฟใหมีเสถยี รภาพเพือ่ ใหการเผาไหมเกิดขน้ึ อยางตอเนือ่ ง หวั เผามีกลไกการควบคุมปรมิ าณอากาศและเชอ้ื เพลิงเพอ่ื ใหเปลวไฟมีเสถยี รภาพ อัตราการไหลของเชือ้ เพลิงจะมีคาต่ำสดุ คาหนง่ึ ซงึ่ ทำใหเปลวไฟมีเสถียรภาพได ในขณะเดยี วกันหวั เผาก็ถกู ออกแบบใหจายเช้ือเพลงิ ไดไมเกนิ อัตราการไหลสูงสดุ อัตราสวนระหวางอตั ราการไหลสงู สุดกับอัตราการไหลตำ่ สุดของเชอื้เพลงิ ในหัวเผาเรยี กวา อัตราลดเปลวไฟ (turndown ratio) ในสภาวะที่อัตราลดเปลวไฟมีคา ต่ำ อัตราการไหลของเชือ้ เพลิงและอากาศจะลดลงจากสภาวะปกติ การผสมกันของอากาศกับเชือ้ เพลงิ จะยากขึน้เน่อื งจากความปน ปว นของการไหลของอากาศลดลงตามอตั ราการไหล ดงั นัน้ อัตราสว นอากาศตอเชอื้เพลงิ จึงตอ งเพ่มิ ข้ึนเพ่ือควบคมุ ใหการเผาไหมส มบรู ณ ในกรณีของเชื้อเพลิงเหลว การเผาไหมจะยากกวา การเผาไหมเช้ือเพลงิ กาซเนือ่ งจากเช้อื เพลงิ เหลวตองไดร ับความรอนเพื่อเปลี่ยนสถานะเปนไอกอ นทจ่ี ะเผาไหม ความเร็วของการเปลยี่ นสถานะขึ้นกบั พืน้ผิวของเชอ้ื เพลงิ เหลว ดังนัน้ หวั เผาสำหรับเช้ือเพลงิ เหลวจงึ ประกอบดว ยหัวฉีด (atomizer) ซง่ึ จะทำใหเชอ้ื เพลงิ แตกตวั เปนละอองเล็ก ๆ จำนวนมาก ขนาดของละอองท่ีเลก็ ลงจะเพมิ่ พ้นื ผิวสัมผสั ระหวางเชอื้ เพลงิ กับอากาศ ทำใหเชอื้ เพลงิ กลายเปนไอเรว็ ขนึ้ และเพม่ิ โอกาสของการเกดิ การเผาไหมสมบรู ณ มีหลายวธิ ีทท่ี ำใหเชอ้ื เพลงิ แตกตัวเปนละอองไดเ ชน (1) การสง เช้อื เพลงิ ภายใตความดนั สูงผา นรเู ลก็ ๆ (2)การสง เชื้อเพลงิ ที่ความดันปกติใหไหลมาบรรจบกับไอนำ้ หรืออากาศที่มีความดันสูงตรงทางออกของหัวฉดี หรอื (3) การสงเช้ือเพลงิ ผา นทอกลวงท่ีหมนุ รอบแกนดวยความเร็วสูง แรงหนีศนู ยกลางจะทำใหเชอื้เพลงิ แตกตัวเปน ละอองท่ีปลายหวั ฉดี4.7.2 อปุ กรณเ ผาไหมเช้อื เพลงิ แขง็ สว นประกอบของเชื้อเพลงิ แข็งที่เผาไหมไดคือสารระเหยและคารบ อนอิสระ สารระเหยคือ กา ซหลายชนิดท่ีแทรกตัวในเชอื้ เพลิงโดยมีกาซบางชนดิ เชน H2, CH4 และ CO ที่เผาไหมได เมือ่ เชื้อเพลงิแขง็ ไดรบั ความรอ น สารระเหยจะถกู ขบั ออกจากเชื้อเพลงิ และกาซที่เผาไหมไดจะเผาไหมกับอากาศความรอนท่ีเกิดข้ึนจะทำใหเชื้อเพลงิ แขง็ กลายเปนถา นโคก ซง่ึ ก็คอื คารบ อนอิสระกับเถา จากนนั้ ถา นโคกก็จะเผาไหมกับอากาศจนกลายเปน ข้ีเถา ในที่สุด การเผาไหมถานโคก เกดิ ขนึ้ คอ นขา งชา และเปนสาเหตุที่ทำใหเชอื้ เพลิงแข็งเผาไหมไดยากกวาเชื้อเพลิงเหลวและเชอ้ื เพลิงกา ซ อปุ กรณเผาไหมเชอื้ เพลิงแข็งจึงมีความซบั ซอ นมากกวา อปุ กรณเผาไหมเชื้อเพลิงเหลวและเชอื้ เพลิงกาซ อุปกรณเผาไหมเชอ้ื เพลิงแข็งท่ีใชในโรงไฟฟาแบงเปน เครอ่ื งปอนเชอ้ื เพลงิ (mechanical stoker) เครื่องบดละเอียดกบั หวั เผา(pulverizer-burner system) และระบบเผาไหมแบบฐานไหล (fluidized bed combustion system)เครื่องปอนเช้อื เพลงิ สวนประกอบสำคัญของเครือ่ งปอนเชือ้ เพลงิ แขง็ คอื ตะกรับ (grate) ซึง่ เปนฐานสำหรับกองเช้อืเพลงิ ขณะเผาไหม ตะกรบั อาจถกู ออกแบบใหอยูนิ่งหรือเคลื่อนท่ีได เชอื้ เพลิงท่ีผา นกระบวนการลดขนาดจนมีขนาดเล็กพอเหมาะจะถกู ปอนเขาตะกรบั ดว ยวธิ ีตาง ๆ เชน ปอนจากดานลาง ปอนจากดา น
4.7. อุปกรณเผาไหม 59บน และปอ นจากเครอ่ื งกระจาย (spreader) ซง่ึ ขับเคลอื่ นดวยมอเตอร การปอนเชื้อเพลงิ ดวยเคร่อื งกระจายนบั วา มีประสทิ ธภิ าพมากทสี่ ดุ เพราะทำใหเชอ้ื เพลิงกระจายไปท่ัวตะกรับและไมกระจกุ ตวั ที่จดุ ใดจุดหนง่ึ การจุดระเบิดการเผาไหมอาจใชหัวเผาที่ใชเช้ือเพลิงเหลวหรือเชื้อเพลิงกาซ หรอื อาจใชแหลง ความรอ นซ่งึ อาจเปนโคง (arch) ท่ีแผรังสีความรอนมายงั กองเช้ือเพลงิ เพ่อื ใหมีอณุ หภูมิสงู พอท่ีจะเรม่ิ การเผาไหมได นอกจากน้ีจะตองมีระบบการควบคมุ อากาศใหมีปริมาณมากพอสำหรับการเผาไหมสมบูรณ รูปท่ี 4.4 แสดงใหเหน็ แผนภาพของเครื่องปอนเชอ้ื เพลิงแขง็ แบบทใี่ ชเ คร่อื งกระจาย (spreaderstoker) จะเห็นวามีการจายอากาศเขาทางดา นลางเพือ่ เผาไหมเช้ือเพลิงบนตะกรบั และทางดา นบนเพ่ือเผาไหมอนภุ าคเช้อื เพลิงทล่ี อยขึ้นไปในอากาศ รูปที่ 4.4: เครื่องปอ นเชื้อเพลงิ แขง็ แบบทใี่ ชเ ครอ่ื งกระจาย เครือ่ งปอนเชอื้ เพลงิ แขง็ แบบท่ีใชเครอ่ื งกระจายเหมาะกบั โรงไฟฟาขนาดเล็กเพราะใหอตั ราการเผาไหมที่คอนขางต่ำซ่ึงเปน ผลจากอัตราการปอนเชอ้ื เพลิงท่ีจำกัด ดงั น้ันอุปกรณเผาไหมประเภทน้ีเกอื บทัง้ หมดจงึ พบในโรงไฟฟา ชวี มวล ขอ ไดเปรียบอกี ประการหนึ่งซ่ึงทำใหอุปกรณเผาไหมประเภทนี้ไดรบัความนิยมในโรงไฟฟา ชวี มวลคือ เชอื้ เพลิงชวี มวลบางชนิดเชน แกลบและชานออ ยมีขนาดเล็กอยูแลวและไมต อ งผานกระบวนการลดขนาดอกีเคร่ืองบดละเอียดกับหัวเผา กอนเชื้อเพลงิ แขง็ ที่มีขนาดใหญเผาไหมยาก ถาเชอื้ เพลงิ แข็งสามารถถกู ทำใหละเอียดเปนผง การเผาไหมจะงายข้นึ มาก ถานหินเปนเชอ้ื เพลิงแข็งท่ีบดละเอยี ดไดดว ยเครือ่ งบดถานหิน (pulverizer) การออกแบบเครอื่ งบดถา นหินตองพิจารณาปจจัยสำคัญ 3 ประการคือความชน้ื ของถานหิน ความสามารถในการถูกบดและปรมิ าณสารระเหยในถา นหิน ความชื้นทำใหผงถานหินจับตวั กันเปนกอ น ดังนัน้ ในเครอ่ื งบดถานหินตองมีการเปา ถา นหินใหแหงโดยใชอากาศรอ น ความสามารถในการถูกบดวัดไดจากดรรชนีฮารด โกรฟซง่ึ มีคา ประมาณ 26 ถงึ 112 ตวั เลขตำ่ หมายถงึ ถา นหินท่ีแขง็ และยากตอ การบดสำหรับปริมาณสารระเหยเปนตัวบอกวา ถานหินควรตองถูกบดละเอยี ดขนาดไหน ถานหนิ ท่ีมีสารระเหย
60 บทที่ 4. การเผาไหมมากอาจตอ งการการบดนอ ยกวาถา นหนิ ท่ีมีสารระเหยนอยเพราะสารระเหยชวยใหการเผาไหมงายข้นึเพราะฉะน้นั การบดจงึ ควรทำให 85% ของถา นหนิ แอนทราไซตผ านชอ งตะแกรงเบอร 200 (200 mesh)หรือมีขนาดเล็กกวา 74 ไมครอน แตท ำใหเพยี ง 60% ของถานหนิ ลิกไนตผา นชองตะแกรงเบอร 200 การบดถานหินใหละเอียดเกนิ ความจำเปนจะทำใหสูญเสียพลงั งานโดยใชเหตุ ผงถานหินจะถกู เก็บในถังเก็บซึง่ อยูใกลเตาเผาจะทำหนา ที่ปอนผงถานหินสูเตาเผาเมือ่ ตอ งการเผาไหมถานหนิ โดยผงถานหนิ จะถกู สง ไปยงั สูหวั เผาที่มีลักษณะคลา ยรปู ท่ี 4.3 แตเชื้อเพลงิ จะไหลในทอพรอ มกบั อากาศดว ยระบบนิวแมติก หัวเผาทำหนาท่ี 4 อยางคือ (1) ผสมของผงถา นหนิ กับอากาศในสัดสว นที่เหมาะสม (2) จดุ ระเบดิ และควบคมุ ความมีเสถียรภาพของเปลวไฟ (3) ปองกนั การไหลยอนของเปลวไฟ (flashback) กลับเขา ไปในหวั เผา ซ่ึงหมายความวา อัตราการไหลของสว นผสมของผงถา นหนิ กับอากาศออกจากหัวเผาจะตอ งมากพอ และ (4) เพิม่ เตมิ อากาศเพือ่ ใหการเผาไหมสมบรู ณ เครือ่ งบดละเอยี ดกับหัวเผาเหมาะกับโรงไฟฟาขนาดใหญเพราะสามารถใหอตั ราการเผาไหมท่ีสงูและตอบสนองตอความตอ งการพลงั งานความรอ นท่ีรวดเร็ว ขอ จำกัดของอปุ กรณเผาไหมประเภทน้ีคือเชอื้ เพลงิ ตอ งอยูในสภาพที่บดละเอียด เชือ้ เพลงิ ชวี มวลสวนมากไมสามารถอยูในสภาพบดละเอียดไดจึงไมเหมาะที่จะใชกบั อปุ กรณเผาไหมประเภทน้ี ดังน้นั โรงไฟฟาท่ีใชเครือ่ งบดละเอียดกบั หวั เผาจึงเปน โรงไฟฟา ถา นหนิระบบเผาไหมแบบฐานไหล รูปที่ 4.5 แสดงอนุภาคของแข็งจำนวนมากท่ีรวมตัวกันเปนฐานอยบู นแผน ทม่ี ีรูพรนุ ถาไมมกี าซไหลผา นแผน อนุภาคก็จะเรียงตวั ทบั กนั ตามปกติ แตถา มีกาซท่ีมีความเร็วมากพอไหลผาน อนุภาคของแข็งเหลาน้ีจะแปรสภาพเปนฐานไหลเพราะอนุภาคจะถูกพยงุ ตัวใหลอยอยูในกา ซ โดยอนุภาคจะคลุกเคลากับกา ซเปน อยางดี ลักษณะทางกายภาพของฐานไหลทีม่ กี าซพยุงจะคลา ยกับของไหล รปู ท่ี 4.5: หลักการทำงานของฐานไหล ถา อนุภาคเปน กอ นถานหินขนาดเล็กกวา 32 mm และกาซดังกลาวขางตน เปนอากาศที่มีความเร็ว0.6-4.6 m/s ฐานไหลท่ีเกดิ ขนึ้ จะมีการผสมกันระหวางถานหนิ กับอากาศอยา งท่ัวถึง และถาอุณหภูมิ
4.7. อปุ กรณเ ผาไหม 61ของฐานไหลสูงกวา จุดระเบดิ ของการเผาไหม การเผาไหมก็จะเกดิ ขึน้ ระบบเผาไหมแบบฐานไหลสามารถเผาไหมถา นหินคุณภาพต่ำที่มีความช้นื เถา และกำมะถนั มากไดเปนอยางดี ซึ่งนอกจากถานหนิแลว ระบบเผาไหมน ้ียังสามารถใชเชอ้ื เพลิงแขง็ อืน่ ๆ เชนฟางขาว ชานออย เศษขยะไดอีกดว ย นอกจากเชอ้ื เพลิงแขง็ และขี้เถา จากการเผาไหมแลว ฐานไหลยังประกอบไปดว ยทรายซ่งึ เปนวสั ดุเฉือ่ ยทีไ่ มเ ผาไหมและปนู ขาว เม็ดของปูนขาวประกอบดว ยแคลเซียมคารบอเนต (CaCO3) เปนสวนใหญและมี MgCO3 อยบู า ง CaCO3 จะทำแตกตัวเปน CaO และ CO2 เม่อื ไดร บั ความรอนท่เี หมาะสม CaCO3 −→ CaO + CO2CaO จะทำปฏกิ ิรยิ ากับ SO2 และ O2 ดงั นี้ CaO + SO2 + 0.5O2 −→ CaSO4ซง่ึ เปน ปฏกิ ริ ิยากำจดั SO2 อณุ หภมู ิที่ทำใหเกดิ ปฏิกิรยิ าน้ีดีท่สี ุดประมาณ 815◦C ถงึ 870◦C ซงึ่ ใกลเคยี งกบั อุณหภมู ิการเผาไหมภายในฐานไหล CaSO4 ที่เกิดขน้ึ และตกคา งอยูในฐานจะถูกถา ยเทออกจากฐานเปนระยะ ๆ สว นท่ีลอยไปกับกา ซเสียก็จะถกู แยกออกจากกาซเสยี กอนกาซเสียจะถูกปลอ ยสูบรรยากาศ ระบบเผาไหมในฐานไหลมีอณุ หภูมิการเผาไหมประมาณ 900◦C ซง่ึ นอ ยกวา อณุ หภมู ิในระบบเผาไหมแบบอน่ื มาก ขอ ดีของอณุ หภูมิเผาไหมต่ำนอกจากจะชวยใหปฏิกริ ิยากำจดั ซลั เฟอรไดออกไซดเกิดขึ้นไดดีแลว ยงั มีขอ ดีอีกสองประการ ประการแรกคือ อุณหภูมิเผาไหมต่ำชว ยลดการเกิดกาซ NOxซง่ึ เกิดขน้ึ มากท่ีอณุ หภูมิเผาไหมสงู ถงึ แมวา อณุ หภูมิเผาไหมของระบบนี้จะต่ำกวา ระบบอื่น แตปจ จยัสำหรบั การเผาไหมสมบรู ณยังมีอยูครบครนั รวมทั้งเวลาของการเผาไหมท่ีมากจากการที่ถา นหินสามารถลอยอยูในอากาศไดนาน ๆ ประการท่ีสองคอื อณุ หภูมิเผาไหมในฐานไหลตำ่ กวา อณุ หภูมิเถาหลอมเหลวซงึ่ จะลดปญหาการเกดิ สแลกและฟาวล่งิ ระบบเผาไหมใ นฐานไหลทำงานไดที่ความดันบรรยากาศและที่ความดนั สูง ระบบเผาไหมในฐานไหลมีสองแบบคือ แบบฟองอากาศ (bubbling fluidized bed combustion) และแบบไหลเวยี น (bub-bling fluidized bed combustion) รูปท่ี 4.6 แสดงเตาเผาในระบบเผาไหมใ นฐานไหลแบบฟองอากาศอากาศที่ไหลเขา ฐานไหลมีความเรว็ พอเหมาะท่ีจะทำใหเกดิ ฐานไหลซึ่งเปน พิ้นที่สีเทาในรปู การเผาไหมระหวา งเชอ้ื เพลิงแข็งกบั อากาศทำใหฐานไหลมีอณุ หภมู ิสงู ดงั น้ันจึงมีการฝง ทอน้ำในฐานไหลเพื่อถา ยเทความรอ นจากการเผาไหมสูนำ้ นอกจากน้ีผนงั ของเตาเผาอาจทำดว ยผนงั นำ้ เพื่อเพ่มิ ประสิทธภิ าพการดดู กลนื ความรอ นในเตาเผา กา ซเสยี ที่ลอยขึน้ จากฐานไหลมีอณุ หภูมิสงู และสามารถถายเทความรอนใหเครื่องทำไอนำ้ ยวดยิ่ง เคร่อื งใหความรอนซ้ำ และเครือ่ งประหยัดเชื้อเพลิง กา ซเสยี จะมีอนภุ าคของเชือ้เพลิง ปูนขาวและทรายปะปนในปริมาณมาก จงึ ตอ งใชอุปกรณกำจัดฝนุ ดกั อนภุ าคเหลา น้ีและสงกลับเขาฐานไหล กา ซเสียท่ปี ราศจากอนภุ าคจะถกู ระบายออกจากระบบเผาไหม รปู ที่ 4.7 แสดงระบบเผาไหมในฐานไหลแบบไหลเวยี น อากาศที่ไหลเขาฐานไหลมีความเรว็ สงู มากจนทำใหอนภุ าคของเชือ้ เพลงิ ลอยไปกบั อากาศ การกระจายตวั ของเชอ้ื เพลิงคอนขา งคงท่ีท่วั เตาเผาซงึ่ ทำใหอุณหภูมิเผาไหมคงที่เชน กัน ผนงั ของเตาเผาแบบนี้เปนผนังนำ้ เพือ่ ดูดกลืนความรอ นจากการเผาไหม กาซเสยี และเช้อื เพลงิ ที่เหลอื จากการเผาไหมจะไหลออกจากเตาเผาเขาสูอุปกรณกำจดั ฝนุ ซึ่ง
62 บทท่ี 4. การเผาไหม รปู ท่ี 4.6: ระบบเผาไหมในฐานไหลแบบฟองอากาศจะแยกอนภุ าคของเช้อื เพลงิ ออกจากกา ซเสยี เชือ้ เพลิงจะถูกสง กลับเขา เตาเผา กาซเสยี ที่ไหลออกมีอุณหภูมิสูงและจะไหลผานเคร่ืองทำไอนำ้ ยวดยิง่ (SH) เครอ่ื งใหความรอ นซำ้ (RH) เครอื่ งประหยัดเชอื้เพลิง (Eco) และเคร่ืองอนุ อากาศ (AH) ทอ่ี ยูนอกเตาเผากอ นท่จี ะระบายออกสูบรรยากาศ รูปที่ 4.7: ระบบเผาไหมใ นฐานไหลแบบไหลเวยี น ถึงแมวา ระบบเผาไหมแบบฐานไหลมีขอดีมากมาย แตอุปกรณเผาไหมมีขนาดเล็กและราคาแพงจงึ อาจไมเหมาะกับโรงไฟฟาขนาดใหญแตเหมาะกับโรงไฟฟาขนาดเล็กท่ีใชเชื้อเพลงิ ท่ีเผาไหมยากดวยอปุ กรณเผาไหมแบบเคร่ืองปอ นเชอ้ื เพลิงและอุปกรณเผาไหมแบบเครอื่ งบดละเอยี ดและหวั เผานอกจากนี้เชือ้ เพลงิ ที่มีกำมะถันมากซง่ึ ทำใหเกิด SO2 ปริมาณมากและยากแกการกำจดั มีความเหมาะ
4.7. อุปกรณเผาไหม 63สมที่จะเผาไหมดว ยอุปกรณประเภทน้ี อยา งไรก็ตามมีแนวโนมที่อุปกรณเผาไหมแบบฐานไหลจะไดรบัความนยิ มมากขึ้นในการใชเ ผาไหมเ ช้อื เพลิงท่หี ลากหลายมากข้ึน
64 บทที่ 4. การเผาไหมคำถามทา ยบท 1. ธาตสุ ามตวั ท่เี ผาไหมไดคืออะไร 2. จงระบุขอแตกตางระหวา งการเผาไหมแบบพอดี (stoichiometric combustion) และการเผา ไหมแ บบสมบรู ณ (complete combustion) 3. การเผาไหมแบบไมสมบูรณม ักทำใหเกดิ กาซใด 4. ในถานหินที่มีสัดสว นโดยมวลของ H เทา กับ xH และ สดั สว นโดยมวลของ O เทา กับ xO จะมี สัดสวนโดยมวลของไฮโดรเจนอิสระ (free hydrogen) เทาไร 5. อัตราสว นอากาศ (air ratio) หมายถึงอะไร 6. การวเิ คราะหกาซเสยี แหงโดยใช Orsat apparatus จะทำใหทราบสวนประกอบอะไรบางของ กา ซเสีย 7. ทำไมการเผาไหมเ ช้ือเพลงิ ในโรงไฟฟา จงึ ตอ งการอากาศสวนเกนิ เสมอ 8. การใชอากาศสวนเกนิ มากเกนิ ไปสงผลอยางไรตอ ประสทิ ธภิ าพของโรงไฟฟา และทำไมถึงเปน เชนน้ัน 9. เชื้อเพลงิ ชนดิ ใดระหวาง ถา นหิน นำ้ มันเตา กาซธรรมชาติตองการอากาศสวนเกินนอยทส่ี ุด 10. ทำไมการวัดปรมิ าณอากาศสวนเกินดวยเครื่องวดั O2 เพียงอยา งเดยี วอาจใหคาท่ผี ดิ ได 11. ถาเครื่องวดั CO2 และเคร่ืองวัด O2 มีความแมนยำเทา กัน เคร่ืองไหนจะใหคาอากาศสว นเกนิ ท่ี คลาดเคล่ือนมากกวา เพราะอะไร 12. จงระบปุ จ จัยสามประการของการผาไหมแบบสมบรู ณ 13. ทำไมปรมิ าณอากาศสวนเกนิ จึงเพมิ่ ขนึ้ เมือ่ อตั ราลดเปลวไฟลดลง 14. เคร่อื งปอนเชื้อเพลิงนยิ มใชเผาไหมเ ช้ือเพลิงชนดิ ใด 15. จงระบุขอ เสียของระบบเผาไหมแบบฐานไหลมาสองขอ 16. ปูนขาวในระบบเผาไหมแ บบฐานไหล (fluidized-bed combustion system) ทำหนาทอ่ี ะไร 17. ทำไมระบบเผาไหมแ บบฐานไหล (fluidized bed) จงึ กอใหกาซ SO2 นอ ยกวาระบบทใี่ ชถา นหิน บดละเอยี ด 18. ทำไมระบบเผาไหมแ บบฐานไหลจึงกอ ใหเกดิ NOx ปรมิ าณนอย 19. คา ความรอ นสูง (HHV) ของ C4H10 เทากับ 128400 kJ/m3 และคาความรอนแฝงในการ ควบแนน ของไอนำ้ เทากบั 1960 kJ/m3 จงหาคา ความรอ นต่ำ (LHV) ของ C4H10
4.7. อุปกรณเ ผาไหม 6520. ถานหนิ กอนหนึง่ เม่ือนำไปวเิ คราะหข้ันสดุ ทายในสภาพเดมิ (as-received basis) พบวา มี C 70%, H 3%, O 4%, N 2%, S 1%, ความชนื้ 15% และเถา 5% จงหา AFRT21. เม่ือเผาไหมถานหินในขอท่ีแลวโดยสมบูรณแ ลวจะไดน้ำก่ีกโิ ลกรัม22. จงหาอตั ราสวนอากาศตอเชื้อเพลงิ เชงิ ทฤษฎีของ C5H1223. กาซ C4H10 1 m3 เม่อื เผาไหมโดยสมบูรณกับอากาศจะทำใหไ ดไ อนำ้ ก่ีลกู บาศกเมตร24. เชือ้ เพลิงกาซชนดิ หนง่ึ ประกอบดวย CH4 74%, C2H6 17% และ CO 9% ถา คา HHV ของเช้อื เพลงิ เทา กับ 41475 kJ/m3 และคา ความรอนแฝงของการควบแนน ไอน้ำเทากบั 1960 kJ/m3 จงหา LHV25. ในการเผาไหมเช้อื เพลิงชนิดหนงึ่ พบวา ปริมาณอากาศสว นเกินท่ีใชคือ 30% ถาเชอื้ เพลงิ นี้มีคา AF RT = 10 kgair/kgfuel จงหา AF RA
66 บทท่ี 4. การเผาไหม
บทที่ 5เทอรโมไดนามกิ สข องโรงไฟฟา พลังความรอ น5.1 สมบตั ิของไอน้ำ ในสภาวะปกตสิ ถานะของนำ้ คอื ของเหลว ถา น้ำไดรบั ความรอ นที่ความดันคงท่ี น้ำจะมีอุณหภมู ิเพิม่ขึน้ จนถงึ จดุ เดอื ด จากนั้นอณุ หภูมิของนำ้ จะไมเพม่ิ แตนำ้ จะกลายเปน ไอนำ้ เพิม่ ขนึ้ เร่ือย ๆ ตราบใดท่ีน้ำยังไดรบั ความรอน ในทีส่ ุดน้ำจะกลายเปน ไอนำ้ ทัง้ หมดและไอน้ำก็จะมีอณุ หภมู ิเพิ่มขนึ้ ถาไอนำ้ ยังคงไดรบั ความรอน รปู ที่ 5.1 แสดงใหเห็นการเปลีย่ นอุณหภูมิของน้ำและไอนำ้ เม่ือไดรบั ความรอนอยางตอเนือ่ งท่ีความดันคงที่ น้ำท่ีมีอณุ หภูมิต่ำกวาจุดเดือดเรยี กวา ของเหลวอัดตวั (compressed liquid หรอืsubcooled liquid) นำ้ ท่ีมีอุณหภมู ิเทา กับจดุ เดอื ดแตยังคงมีสถานะเปนของเหลวเรยี กวา ของเหลวอิ่มตวั (saturated liquid) ไอน้ำท่ีมีอณุ หภูมิเทากบั จดุ เดอื ดโดยไมมีของเหลวปะปนเรยี กวา ไอน้ำอิ่มตัว(saturated vapor) ไอน้ำท่ีมีอุณหภูมิสงู กวาจดุ เดือดเรยี กวา ไอรอ นยวดยง่ิ (superheated vapor)ชว งระหวางของเหลวอิม่ ตวั กบั ไอนำ้ อม่ิ ตวั เปนชว งของของผสมระหวา งนำ้ กับไอน้ำ รูปท่ี 5.1: การเปลย่ี นสถานะของนำ้ เม่ือไดร บั ความรอ น
68 บทที่ 5. เทอรโ มไดนามิกสของโรงไฟฟา พลังความรอน รปู ที่ 5.1 เปนกราฟท่ีความดันหนึง่ ถา เขยี นกราฟท่ีความดันอื่น ๆ ก็จะไดกราฟคลายกับรปู ท่ี 5.2จะเหน็ วา ตำแหนง ของของเหลวอิม่ ตัวกอ ใหเ กิดเสน โคงทเ่ี รียกวา เสนของเหลวอ่ิมตวั (saturated liquidline) และตำแหนงของไอน้ำอิ่มตวั กอ ใหเกิดเสน โคงที่เรียกวา เสน ไอน้ำอิม่ ตัว (saturated vapor line)เสน โคงสองเสนน้ีบรรจบกันท่ีจดุ วิกฤตซึง่ มีอณุ หภูมิ 374◦C และความดนั 22 MPa กลายเปน โดมครอบพืน้ ที่ท่ีเปน ของผสมระหวา งน้ำกับไอน้ำ พนื้ ที่น้ีเรียกวาโดมไอ (vapor dome) พ้นื ที่เหนือโดมไอเปนบรเิ วณท่ีน้ำอยูในสถานะท่ีไมใชของเหลวหรือไออยา งชัดเจน ในการเปลี่ยนสถานะของน้ำจากของเหลวเปน ที่ไมผา นเขาไปในโดมไอตามเสน โคง บนสดุ ของรูปท่ี 5.2 จะพบวามีการเปลี่ยนสถานะจากของเหลวเปนไออยา งคอยเปนคอยไป รูปท่ี 5.2: โดมไอ ในการวเิ คราะหว ัฏจักรไอนำ้ มคี วามจำเปนทจ่ี ะตองทราบสมบตั เิ ชิงปริมาณของนำ้ และไอนำ้ สมบตั ิที่สำคญั ไดแก อุณหภมู ิ (T) ความดัน (p) ปริมาตรจำเพาะ (v) เอนทัลป (h) และเอนโทรป (s) ในบรรดาสมบตั ิเหลาน้ี ตวั แปรอสิ ระมักจะเปนอณุ หภมู ิและความดันเน่อื งจากทัง้ สองตัวแปรสะดวกตอ การวดั ในขณะท่ีปริมาตรจำเพาะ เอนทัลปและเอนโทรปจะหาจากอณุ หภูมิและความดนั โดยใช สูตร โปรแกรมคอมพิวเตอร ตารางไอน้ำ (steam table) หรอื แผนภมู ไิ อนำ้ (steam chart) รูปที่ 5.3 แสดงแผนภมู ิ h-p ของไอนำ้ แผนภูมิน้ีแสดงใหเหน็ เสนน้ำอม่ิ ตวั เสน ไอน้ำอิ่มตวั เสนเอนโทรปคงที่ เสนอุณหภมู ิคงที่ และเสันคณุ ภาพไอน้ำ (steam quality) คงท่ีภายในโดมไอ อยางไรกต็ ามแผนภูมิน้ีไมไดแสดงเสน ปรมิ าตรจำเพาะคงท่ีเนอื่ งจากจะทำใหมีจำนวนเสนมากเกนิ ไปและการคำนวณในบทน้ีไมจำเปน ตอ งทราบปริมาตรจำเพาะของไอนำ้ ในพ้ืนท่ีดา นขวาของโดมไอเปน พื้นท่ีของไอนำ้ ยวดยงิ่ การหาสมบตั ิของไอน้ำยวดยิ่งกระทำไดถาทราบสมบตั ิของไอน้ำสองตัว เชน ถา ทราบความดนั และอุณหภมู ิ ก็จะหาเอนทัลปและเอนโทรปได หรือถา ทราบอณุ หภมู ิและเอนโทรป ก็จะหาความดัน และเอนทัลปได แตภายในโดมไอ อณุ หภูมิและความดันไมเปนอิสระตอ กัน อุณหภูมิหรือความดันจึงนบั เปน หนึ่งตวั แปร การหาสมบตั ิไอนำ้ ภายในโดมไอจึงตอ งการสมบตั ิอีกหนง่ึ ประการนอกเหนอื จากอุณหภูมิหรอื ความดนั สมบัติหนงึ่ ซ่ึงนิยมใชคือ คุณภาพไอน้ำซงึ่ หมายถึงอัตราสวนโดยมวลของไอนำ้ ในของผสมระหวา งน้ำกบั ไอนำ้ สัญลกั ษณของคณุ ภาพไอคือ
5.1. สมบตั ขิ องไอน้ำ 69 รูปที่ 5.3: แผนภูมิ h-p ของไอนำ้x ดงั น้นั x = 1 จงึ หมายถึงไอนำ้ อิม่ ตวั และ x = 0 จงึ หมายถึงของเหลวอิม่ ตวั ในพื้นท่ีดานซายของโดมไอซ่ึงเปน พื้นที่ของของเหลวอัดตวั การหาสมบัติของของเหลวใชวิธีการเดียวกับพ้นื ท่ีดา นขวาของโดมไอ อยางไรกต็ ามการใชแผนภมู ิหาคา สมบัติในบริเวณน้ีอาจไมสะดวกเพราะรูปท่ี 5.3 ไมไดใหขอ มูลเพียงพอ อยางไรกต็ ามสมบตั ิของของเหลวอดั ตวั ข้นึ กับอณุ หภูมิมากกวา
70 บทท่ี 5. เทอรโมไดนามกิ สข องโรงไฟฟาพลงั ความรอน รปู ที่ 5.4: วัฏจักรคารโนตความดนั วิธีที่นิยมใชหาสมบตั ิของของเหลวอัดตัวคอื สมมุติวาของเหลวอดั ตวั คอื ของเหลวอิ่มตวั ที่มีอุณหภมู ิเทา กันและใชตารางไอน้ำหาคาสมบัติของน้ำอม่ิ ตวั วธิ ีนี้ใหคาคลาดเคลื่อนเพียงเลก็ นอ ยในการวิเคราะหว ัฏจักรไอน้ำเพราะเอนทัลปข องของเหลวมคี านอ ยมากเมื่อทยี บกบั เอนทัลปข องไอนำ้5.2 วฏั จักรแรงคิน เปนท่ีทราบกันดีวาถา กำหนดอุณหภูมิสงู สดุ และต่ำสุดมาให วฏั จักรที่มีประสทิ ธิภาพสงู สุดคอืวัฏจกั รคารโนต (Carnot cycle) ซง่ึ มีน้ำเปนสารทำงานและมีแผนภาพตามรูปท่ี 5.4 กระบวนการของวฏั จกั รนี้ประกอบดวย • กระบวนการ 1-2 ความรอ นเขาสูหมอ ไอนำ้ (boiler) โดยความดันมีคา คงที่ • กระบวนการ 2-3 ไอนำ้ ขยายตวั ในเคร่อื งกงั หัน (turbine) โดยเอนโทรปมีคา คงที่ • กระบวนการ 3-4 ความรอ นออกจากเคร่อื งควบแนน (condenser) โดยความดันมคี าคงที่ • กระบวนการ 4-1 นำ้ อดั ตวั ในเครอ่ื งอดั กา ซ (compressor) โดยเอนโทรปม ีคาคงที่เปน ท่ีนา สงั เกตวา กระบวนการ 1-2 และกระบวนการ 3-4 มีอณุ หภมู ิคงท่ี การวเิ คราะหวฏั จกั รคารโนตสแดงใหเห็นวาประสิทธภิ าพของวัฏจักรคารโนตขึ้นกับอณุ หภูมิสูงสดุ ของวฏั จักรในกระบวนการ 1-2และอุณหภูมติ ำ่ สดุ ในกระบวนการ 3-4 ดงั น้ี η = 1 − T4 (5.1) T1 ถา หากโรงไฟฟา ถูกออกแบบใหทำงานตามวฏั จกั รคารโนตไดก็จะทำใหโรงไฟฟามีประสทิ ธิภาพสงูเชนกนั แตปญ หาในทางปฏิบตั ิท่ีสำคญั ของวัฏจกั รคารโนตคอื เครอ่ื งอดั ไอจะตอ งทำหนา ที่เพมิ่ ความดนั ใหของผสมระหวา งของเหลวกับไอนำ้ ของวัฏจกั รแรงคินทำใหไอนำ้ กลายเปน น้ำอม่ิ ตวั แทนที่จะเปน
5.2. วัฏจักรแรงคิน 71สว นผสมของไอนำ้ กับน้ำ โดยท่วั ไปเครื่องอดั ไอไดรบั การออกแบบใหอดั กา ซอยางมีประสิทธภิ าพ ถามีของเหลวปะปนไปกบั กาซก็จะทำใหประสิทธิภาพของเครือ่ งลดลง นอกจากนี้เครอ่ื งอดั ไออาจไดรบัความเสียหาย การดัดแปลงวฏั จักรคารโนตเพ่ือแกไ ขปญ หาท้งั สองประการทำใหไดวฏั จกั รแรงคิน (Rankine cy-cle) รปู ที่ 5.5 แสดงแผนภาพของวฏั จักรแรงคนิ ซ่งึ ประกอบดวยกระบวนการตอ ไปน้ี รูปท่ี 5.5: วฏั จักรแรงคิน• กระบวนการ 1-2 ความรอ นเขาสูเครื่องกำเนดิ ไอน้ำท่คี วามดันคงที่• กระบวนการ 2-3 ไอนำ้ ขยายตวั ในเคร่ืองกังหันทีเ่ อนโทรปคงที่• กระบวนการ 3-4 ความรอ นออกจากเคร่ืองควบแนน ท่ีความดันคงท่ี• กระบวนการ 4-1 นำ้ อัดตวั ในเครอื่ งสูบที่เอนโทรปคงที่จากการเปรียบเทยี บแผนภาพ T-s ในรูปที่ 5.4 และ 5.5 พบวาวัฏจกั รแรงคนิ แตกตา งกบั วัฏจักรคารโนตตรงท่ีกระบวนการ 4-1 ของวฏั จักรแรงคินเกดิ ข้ึนนอกโดมไอและกลายเปนการอัดของเหลวแทนท่ีการอัดของผสมระหวา งของเหลวกับไอนำ้ เหมือนในวฏั จักรคารโนต ดังนั้นจงึ ทำใหตองเปลีย่ นอปุ กรณจากเครอื่ งอัดไอเปนเครอื่ งสบู ขอไดเปรียบของเครื่องสบู เทยี บกบั เคร่ืองอดั ไอคือ เครอื่ งสบูตอ งการงานนอยกวา เคร่อื งอัดไอมากในการทำใหของไหลมีความดนั เพ่มิ เทากัน อยางไรกต็ ามเน่อื งจากกระบวนการที่ความรอ นเขาสูวัฏจักรแรงคินเกดิ ขนึ้ ท่ีอุณหภูมิไมคงที่ วฏั จักรแรงคินจงึ มีประสิทธิภาพดอยกวาวัฏจักรคารโนตที่มีอุณหภมู ิสูงสุดและต่ำสดุ เทา กบั ของวฏั จักรแรงคิน ประสทิ ธิภาพของวฏั จักรแรงคนิ สามารถคำนวณไดจ าก η = wnet (5.2) qin (5.3) wnet = (h2 − h3) − (h1 − h4) (5.4) qin = h2 − h1
72 บทท่ี 5. เทอรโมไดนามกิ สข องโรงไฟฟา พลังความรอ น5.3 การปรบั ปรุงประสิทธิภาพของวฏั จกั รแรงคนิ วัฏจักรแรงคินเปนวัฏจกั รผลติ ไฟฟา ในในโรงไฟฟาพลงั ความรอ น แตวฏั จกั รแรงคินในรปู ที่ 5.5 มีประสทิ ธภิ าพต่ำเกนิ ไป แนวคดิ การเพิ่มประสิทธิภาพของวฏั จกั รแรงคินคลา ยกบั การเพิม่ ประสิทธิภาพของวัฏจักรคารโนตในสมการ (5.1) กลา วคือ ประสทิ ธภิ าพของวัฏจักรแรงคินเพม่ิ ขึน้ ถาอุณหภมู ิเฉลย่ีในการถา ยเทความรอนออกจากวัฏจักรลดลงและอุณหภูมิเฉล่ยี ของกระบวนการใหความรอ นแกวฏั จกั รเพิ่มขนึ้ แนวคดิ นี้นำไปสวู ธิ กี ารปรับปรงุ ประสทิ ธิภาพของวฏั จักรแรงคินทใ่ี ชใ นโรงไฟฟา 5 วธิ คี อื (1) การลดความดนั ในเคร่อื งควบแนน (2) การผลติ ไอรอ นยวดย่ิงกอนเขา เครอ่ื งกงั หัน (3) การเพิม่ ความดนั ในเคร่ืองกำเนดิ ไอนำ้ (4) การใหค วามรอนซำ้ และ (5) รเี จนเนอเรชัน5.3.1 การลดความดนั ในเครื่องควบแนน การลดความดนั การควบแนน ทำใหอณุ หภมู ิของการควบแนน ลดลงตามไปดว ย รูปท่ี 5.6 แสดงแผนภาพ T-s ท่ีเปลี่ยนแปลงจากการลดความดันการควบแนน ผลที่ไดคือ งานสทุ ธิท่ีไดจากวฏั จักรเพม่ิขึน้ (พืน้ ที่แรเงาในรูปที่ 5.6) โดยไมเปล่ียนความรอนท่ีตองใหมากนกั แตการลดอุณหภมู ิการควบแนนทำใหตองอาศัยแหลง รับความรอน (heat sink) หรือแหลง นำ้ ใกลโรงไฟฟามีอณุ หภมู ิตำ่ ซึง่ เปนขอ จำกดัของวิธีน้ี ผลเสียของการลดความดนั ควบแนนคอื ไอน้ำที่ออกมาจากเครอ่ื งกงั หนั มีความชน้ื สงู ละอองนำ้ ในเคร่อื งกังหันเปน อันตรายตอใบพัดของเครือ่ งกงั หนั และทำใหประสิทธภิ าพของเครอื่ งกังหนั ลดลงโดยทัว่ ไปเคร่อื งกังหนั ถูกออกแบบใหท ำงานในสภาวะทีไ่ อน้ำมคี วามชี้นไมเกนิ 15% รูปท่ี 5.6: การลดอณุ หภูมเิ ครื่องควบแนน ในวฏั จักรแรงคิน5.3.2 การผลิตไอรอ นยวดยงิ่ กอ นเขาเครอื่ งกงั หนั ไอน้ำท่ีผา นกระบวนการ 1-2 ในรปู ท่ี 5.5 เปนไอน้ำอิม่ ตวั เครื่องทำไอรอนยวดยง่ิ (superheater)ทำหนา ที่เปล่ียนสภาพไอนำ้ อ่ิมตวั เปนไอน้ำรอนยวดย่ิง (superheated steam) รูปท่ี 5.7 แสดงใหเห็นวา การผลติ ไอนำ้ รอ นยวดยง่ิ กอนเขา เครือ่ งกังหนั ซึง่ ทำใหไอนำ้ จะเพม่ิ ทั้งงานท่ีไดจากเครื่องกงั หนั และ
5.3. การปรบั ปรุงประสทิ ธิภาพของวัฏจักรแรงคนิ 73ความรอ นที่ใหกบั เครื่องกำเนดิ ไอนำ้ อยางไรกต็ ามเมอ่ื เปรยี บเทยี บกบั วัฏจกั รแรงคินแบบธรรมดาในรปูท่ี 5.5 งานที่เพม่ิ ขึ้นจากการเพิม่ อณุ หภมู ไิ อน้ำกอนเขาเครอ่ื งกงั หนั มีคามากกวาความรอนที่ตอ งใหเคร่อื งกำเนิดไอน้ำเพม่ิ ผลลพั ทสุทธิจงึ เปน ประสทิ ธิภาพของวฏั จกั รท่ีสงู ขึ้น การเพม่ิ ขน้ึ ของประสทิ ธิภาพอาจมองไดวา เปนผลมาจากอุณหภมู ิเฉลยี่ ของการใหความรอนแกวฏั จักรที่สูงข้นึ นอกจากน้ีผลดีอกี ประการคือการลดลงของปริมาณความชื้นในของไหลที่ออกจากเครื่องกังหัน แตในทางปฏิบตั ิอณุ หภมู ิของไอน้ำถกู จำกัดใหไมเกนิ 650◦C โดยประมาณเนอ่ื งจากอณุ หภมู ิที่สูงกวาน้ีจะสง ผลเสยี ตอ ใบพัดของเครอื่ งกังหนั ซึง่ ทำดวยโลหะ รปู ที่ 5.7: การเพ่มิ อณุ หภมู ิไอน้ำทีเ่ ขาเคร่อื งกงั หัน5.3.3 การเพ่ิมความดนั ในเครอ่ื งกำเนิดไอน้ำ ถา ตองการจำกดั อุณหภูมิสูงสดุ ของของไอนำ้ แตตองการเพ่มิ อณุ หภมู ิเฉลี่ยของการใหความรอนแกวฏั จกั รก็ตองใชวิธีเพ่ิมความดนั ในเครือ่ งกำเนิดไอน้ำ รูปที่ 5.8 เปรยี บเทียบแผนภาพ T-s ของวิธีน้ีกับวิธีการผลติ ไอน้ำรอนยวดยงิ่ กอ นเขา เคร่ืองกังหันในหวั ขอที่แลว จะเหน็ วาวิธีน้ีทำใหอุณหภูมิเฉล่ียของการใหความรอนแกวัฏจกั รสงู ขนึ้ ไดซึง่ ทำใหประสิทธภิ าพของวฏั จกั รสงู ข้นึ เน่อื งจากงานที่ไดจากเครอื่ งกงั หนั ไมเปล่ยี นแปลงมากนัก (พิ้นที่แรเงาสองพ้นื ที่มีขนาดใกลเคีบงกนั ) ในขณะที่ความรอ นท่ีใหกับเครือ่ งกำเนดิ ไอนำ้ จะลดลงอยา งเหน็ ไดชดั แตการกระทำเชน นี้หมายถงึ การออกแบบเคร่ืองกำเนดิ ไอน้ำท่ีซับซอนขน้ึ และตน ทนุ การผลิตไฟฟาท่ีสงู ขน้ึ นอกจากนี้ยงั มีขอจำกดั ในเรื่องปริมาณความชน้ื ในของไหลท่อี อกจากเคร่อื งกงั หนั ที่จะเพ่มิ ขึ้นตามความดนั ของเคร่ืองกำเนิดไอนำ้ ถา ความดนั ในเครอื่ งกำเนิดไอน้ำเพิ่มขึน้ จนเกนิ ความดันวกิ ฤต (22.1 MPa) และอณุ หภูมิสงู สุดชองวัฏจักรมีคา มากพอ กระบวนการใหความรอ นวัฏจักรจะไมผา นโดมไอ วัฏจกั รจะกลายเปน รูปท่ี 5.9 ซึง่มีช่ือเรยี กใหมวา วัฏจกั รแรงคนิ เหนอื วกิ ฤต (supercritical Rankine cycle) วัฏจกั รน้ีมีประสิทธภิ าพสงู กวาวฏั จกั รแรงคินแบบธรรมดาแตก็มีตน ทุนสงู กวาเชนกัน หมอไอนำ้ ที่ทำงานในวัฏจกั รนี้ไดตอ งออกแบบเปน พิเศษเพื่อใหทำงานท่ีความดนั สูง นอกจากน้ีนำ้ ปอนที่ไหลเขาหมอไอนำ้ จะตอ งมีความบริสุทธ์ิซง่ึ จะเพม่ิ คา ใชจ า ยในปรับสภาพนำ้
74 บทที่ 5. เทอรโมไดนามิกสข องโรงไฟฟาพลงั ความรอน รปู ท่ี 5.8: การเพม่ิ ความดนั ไอนำ้ ทเ่ี ขาเคร่ืองกงั หนั โดยควบคมุ ใหอณุ หภมู สิ งู สดุ คงท่ี รปู ที่ 5.9: วฏั จกั รแรงคินเหนือวกิ ฤต5.3.4 การใหค วามรอนซำ้ โรงไฟฟาพลังความรอ นมกั ใช 3 วิธีขา งตน ในการเพมิ่ ประสทิ ธภิ าพของวฏั จักรแรงคิน นอกจากน้ีวธิ ีเพ่มิ อุณหภมู ิเฉล่ียในกระบวนการใหความรอ นแกวฏั จักรอกี วธิ ีหนึ่งคือ การใหความรอ นซ้ำ (reheat)รปู ท่ี 5.10 แสดงแผนภาพของวฏั จักรแรงคินท่ีมีการใหความรอนซำ้ ไอน้ำจากเครอื่ งกำเนดิ ไอน้ำจะไหลผา นเครอื่ งกงั หันเคร่ืองแรกกอนท่ีจะไหลเขาสูเครื่องใหความรอนซำ้ (reheater) ซ่ึงทำหนาที่เพม่ิอณุ หภูมิของไอนำ้ ใหสงู ขน้ึ เทากบั กอนเขาเครือ่ งกังหันเคร่ืองแรก จากนนั้ ไอนำ้ จะไหลกลบั สูเคร่ืองกงั หันเครอ่ื งที่สองกอนไหลออกไปเขา เครือ่ งควบแนน การใหความรอ นซำ้ อาจกระทำไดมากกวาหน่ึงคร้ัง แตการใหความรอ นซ้ำจงึ มักจะกระทำเพียงคร้ังเดียวเพราะถามากกวานี้ประสทิ ธภิ าพที่สงู ขน้ึ จะไมคมุคาใชจา ยที่เพิม่ ข้ึน ปจ จัยสำคัญท่ีมีผลตอประสทิ ธภิ าพของวัฏจกั รท่ีมีการใหความรอนซ้ำคือความดันในการใหความรอนซ้ำ ถาความดนั สงู เกนิ ไป ประสิทธิภาพจะไมเพิม่ มากนกั แตถาความดนั ตำ่ เกินไปประสิทธภิ าพจะลดลงแทนที่จะเพ่มิ ข้นึ ความดันท่ีเหมาะสมมีคาประมาณ 20% ของความดนั ไอน้ำในเครอ่ื งกำเนดิ ไอนำ้
5.3. การปรบั ปรุงประสิทธิภาพของวัฏจักรแรงคิน 75 รูปท่ี 5.10: วัฏจกั รแรงคนิ ทม่ี กี ารใหความรอนซ้ำ ตวั อยาง วัฏจักรแรงคินหนึ่งมีการใหความรอ นซ้ำโดยอุณหภมู ิและความดันของไอนำ้ กอนเขาเครือ่ งกังหันเทากบั 850 K และ 15 MPa ความดันนำ้ ในเครอื่ งควบแนน เทากับ 0.01 MPa และคุณภาพของไอน้ำท่ีไหลเขา เคร่อื งควบแนน เทากบั 0.9 จงหาความดนั ไอนำ้ ในกระบวนการใหความรอ นซำ้ และประสิทธิภาพของวัฏจักรน้ี ถาไมม กี ารใหค วามรอนซ้ำประสิทธภิ าพของวัฏจกั รจะเปน เทา ไร รูปท่ี 5.11: วฏั จักรแรงคนิ ทมี่ ีการใหความรอนซำ้ ในปญ หาตัวอยาง วธิ ีทำ รปู ท่ี 5.11 แสดงแผนภาพ T-s สำหรับของปญหานี้ โปรดสงั เกตวาโดยท่วั ไปนำ้ ท่ีออกจากเครอื่ งควบแนน ที่จุด 6 อาจสมมตุ ิวา เปนของเหลวอมิ่ ตัว จากตารางสมบตั ิของไอน้ำพบวา h6 = 192 kJ/kg เครื่องสูบใชง านนอ ยมากในการเพิ่มความดันของน้ำจาก p6 เปน p1 ดังนนั้ h1 = h6 ไอนำ้ ในสถานะ 2 ซงึ่ โจทยระบุคาอณุ หภมู ิและความดันมีคา h2 = 3510 kJ/kg.K ไอนำ้ ในสถานะ5 มีความดนั 0.01 MPa และคุณภาพ 0.9 ดงั น้ัน h5 = 2340 kJ/kg.K รปู ท่ี 5.11 แสดงใหเหน็ วา s4 =s5 ซง่ึ มีคาเทา กนั นอกจากน้ีการใหความรอ นซำ้ จะทำให T4 = T2 สมบัติทั้งสองประการ (s4 และ T4)กำหนดสถานะ 4 คา h4 จึงเทากับ 3620 kJ/kg และ p4 = 3.5 MPa ความดนั น้ีคอื ความดนั ไอนำ้ ใน
76 บทท่ี 5. เทอรโ มไดนามิกสของโรงไฟฟาพลังความรอ นกระบวนการใหความรอ นซ้ำซ่งึ โจทยไมไดระบุมาให สถานะ 3 ของไอน้ำถกู กำหนดจากความดนั p3 =p4 และ s3 = s2 ซึ่งทำให h3 = 3090 kJ/kg หลังจากทราบคาเอนทลั ปของทุกสถานะแลวประสิทธภิ าพของวฏั จักรแรงคินที่มีการใหความรอ นซ้ำคำนวณไดด ังน้ี wnet = wt = h2 − h3 + h4 − h5 = 1700 kJ/kg qin = h2 − h1 + h4 − h3 = 3848 kJ/kg 1700 η = = 0.44 3848 ถาไมม ีการใหความรอนซ้ำไอนำ้ จะไหลเขา เครอื่ งควบแนนที่สถานะ 5′ ซึ่งถกู กำหนดจาก s5′ = s2และ p5′ = 0.01 MPa ดังน้ัน h5′ = 2100 kJ/kg ประสทิ ธภิ าพของวฏั จกั รคำนวณไดด งั น้ี wnet = h2 − h5′ = 1410 kJ/kg qin = h2 − h1 = 3318 kJ/kg 1410 η = = 0.42 33185.3.5 รีเจนเนอเรชนั สาเหตุที่ทำใหประสทิ ธภิ าพของวฏั จกั รแรงคินดอ ยกวาวัฏจกั รคารโนตคืออณุ หภมู ิเฉลี่ยของการใหความรอนท่ีตำ่ กวา อุณหภมู ิสูงสุดในวัฏจกั รเพราะความสว นหนึง่ ถกู ใชไปในการอนุ น้ำปอ น (feedwater) ท่ีเขา เคร่อื งกำเนิดไอน้ำ ใหมีอณุ หภมู ิสงู ขึน้ ถา หากความรอนสว นนี้ถกู กำจดั ไป อณุ หภมู ิเฉลยี่ของการใหความรอ นจะเพ่ิมขนึ้ พรอ มกบั ประสิทธภิ าพของวฏั จกั ร รปู ท่ี 5.12 แสดงใหเห็นกรณีอุดมคติซึ่งมีการอนุ น้ำปอ นโดยใหน้ำปอนไหลวนไปหลอเยน็ รอบเครอ่ื งกังหนั นำ้ ปอ นจะรบั ความรอ นจากไอนำ้ ที่กำลงั ขยายตวั ในเครอ่ื งกงั หนั ลกั ษณะการแลกเปลย่ี นความรอ นกนั ภายในวฏั จักรเชน นี้เรยี กวารีเจนเนอเรชนั (regeneration) ถา นำ้ ปอ นและไอน้ำไหลสวนทางกันและแตล ะจดุ ของการถายเทความรอนอุณหภมู ิไอน้ำสงู กวา อณุ หภมู นิ ้ำปอ นนอ ยมากจนเกอื บเทา กัน การถายเทความรอ นจะเปน แบบผวนกลับได ผลท่ีตามมาคือเอนโทรปท่ีเพิม่ ข้นึ ของน้ำปอนจะเทากับเอนโทรปท่ีลดลงของไอน้ำ และวฏั จักรแรงคินท่ีมีรีเจนเนอเรชนั่ ในอุดมคติ (1-2-3-4-5-1) จะมีประสทิ ธิภาพเทา กบั วฏั จักรคารโนต (1-2-3′-4′-1) วฏั จักรในอุดมคติดังกลาวเปนไปไมไดในทางปฏบิ ตั ิเพราะการเพิ่มอุณหภมู ินำ้ ปอ นภายในเครือ่ งกงั หันกระทำไดยากและมีความชนื้ ในของไอนำ้ ที่ไหลผานเคร่อื งกังหันมากเกนิ ไปจนเคร่ืองกงั หันทำงาน
5.3. การปรบั ปรงุ ประสิทธิภาพของวัฏจักรแรงคนิ 77 รปู ที่ 5.12: วัฏจกั รรีเจนเนอเรชันในอุดมคติไมได อยางไรก็ตามแนวความคิดของการใชความรอ นจากเคร่ืองกังหนั เพิม่ อณุ หภมู ิน้ำปอ นก็สามารถนำมาดัดแปลงใหการทำรีเจนเนอเรชนั เปน ไปได การดัดแปลงท่ีวา นี้คือ การเพิ่มอุณหภมู ิน้ำปอ นภายนอกเครอื่ งกังหันดวยการดึงเอาไอนำ้ บางสวนออกจากเครอ่ื งกังหันมาอนุ นำ้ ปอนแทนที่จะใหน้ำปอนไหลเขาไปรบั ความรอ นในเครอ่ื งกงั หัน รีเจนเนอเรชันลักษณะนี้ตอ งใชเครื่องอุนน้ำปอน (feed waterheater) เสรมิ เขา ไปในวฏั จกั ร เครื่องอุน นำ้ ปอ นเปนอปุ กรณถา ยเทความรอ นที่ใชไอน้ำบางสว นจากเคร่ืองกังหันอุนน้ำปอ น เคร่ืองอนุ นำ้ ปอ นแบงออกเปน 2 แบบคอื (1) แบบเปด (open feed waterheater) (2) แบบปด (closed feed water heater ) รูปท่ี 5.13 แสดงแผนภาพของเครื่องอนุ นำ้ ปอนแบบเปดซงึ่ ทำหนาที่ผสมไอนำ้ ที่ดงึ มาจากเครอ่ื งกังหนั กบั นำ้ ปอ นจากเครื่องควบแนน ผลที่ไดเปน นำ้ อิ่มตวั ซ่ึงมีอัตราการไหลเทากบั ผลรวมของอัตราการไหลของไอน้ำและน้ำปอน ไอน้ำและนำ้ ปอนจะมีความดนั เทากัน ดงั นน้ั น้ำปอนจงึ ตอ งไหลผา นเครอ่ื งสูบกอ นไหลเขาเคร่อื งอุน น้ำปอนแบบเปด รปู ที่ 5.14 แสดงแผนภาพอุปกรณและแผนภาพ T-s ของวฏั จักรทมี่ ีเครอ่ื งอนุ นำ้ ปอ นแบบเปด รปู ท่ี 5.13: เครอ่ื งอนุ นำ้ ปอนแบบเปด ในการหาประสิทธภิ าพของวัฏจกั รแรงคินท่ีมีเครื่องอุน น้ำปอ นแบบเปด สมการ (5.2) ไมสามารถใชไ ดเนอ่ื งจากสมการน้ันมีเงอ่ื นไขวาอัตราการไหลในทุกกระบวนการของวฏั จักรตองเทา กัน รปู ท่ี 5.14แสดงใหเห็นวา อตั ราการไหลในวฏั จกั รแรงคินท่ีมีเครอ่ื งอุน น้ำปอ นแบบเปด ไมเทา กันในทุกกระบวนการ
78 บทที่ 5. เทอรโ มไดนามกิ สของโรงไฟฟา พลังความรอนรปู ที่ 5.14: วัฏจักรแรงคินที่มเี ครอ่ื งอนุ นำ้ ปอนแบบเปดดงั นน้ั การหาประสทิ ธภิ าพจึงตองใชสมการตอไปนี้ (5.5) η = w˙ net (5.6) q˙in (5.7)w˙net คือ อัตราการผลติ งานสุทธแิ ละ q˙in คอื อัตราการไหลเขา ของความรอน w˙ net = h1 − h2 + (1 − m)(h2 − h3) − (1 − m)(h5 − h4) − (h7 − h6) q˙in = h1 − h7โดยที่ m คอื อตั ราการไหลของไอนำ้ ผานเคร่อื งอนุ นำ้ ปอ นถา อัตราการไหลของไอน้ำเขา เคร่ืองกังหนัเทา กบั 1 kg/s ถา สมมตุ ิวาไมมีการสูญเสียพลงั งานในเครอ่ื งอุนน้ำปอ นการหาคา m จากการวเิ คราะหการอนรุ ักษพลงั งานในเคร่อื งอุนนำ้ ปอนซงึ่ ใหผลลพั ธด ังน้ีm = h6 − h1 (5.8) h2 − h5 เคร่อื งอุนนำ้ ปอนแบบปดเปนอปุ กรณแลกเปลย่ี นความรอนชนิดเปลือกและทอ (shell-and-tubeheat exchanger) ไอน้ำจากเคร่ืองกงั หันจะไหลนอกทอ และน้ำปอ นจากเครอ่ื งควบแนน จะไหลในทอไอน้ำกบั นำ้ ปอ นจงึ อาจมีความดันตางกนั ไดเนอ่ื งจากไมม ีการผสมกัน รูปท่ี 5.15 แสดงแผนภาพของอปุ กรณนี้ จะเหน็ วาไอน้ำทีไ่ หลเขา เครอ่ื งอุนน้ำปอนแบบปดจะกลายเปนนำ้ ระบาย (drain) เมอ่ื ไหลออกในขณะท่ีน้ำปอนที่ไหลเขา จะมีอุณหภมู ิเพิม่ ข้ึนโดยมีอณุ หภูมิสงู สุดเม่ือไหลออก อณุ หภูมิสูงสดุ นี้จะตอ งนอ ยกวา อณุ หภมู ไิ อน้ำทไี่ หลเขาและจะข้นึ กบั การออกแบบเครอ่ื งอุนน้ำปอน ในทางปฏบิ ัติพารามิเตอรท่ีกำหนดอุณหภมู ิน้ำปอนท่ีไหลออกจากเครอื่ งคอื TTD (terminal temperature difference) ซ่งึ หมายถงึ ผลตางระหวางอณุ หภมู ิไอนำ้ ควบแนนกับอณุ หภมู นิ ำ้ ปอ นที่ไหลออก น้ำระบายท่ไี ดจะไมถูกปลอยทิง้ เพราะสามารถนำไปใชได รูปที่ 5.16 แสดงใหเ ห็นวาวิธนี ำนำ้ ระบายไปใชมีสองวิธีคอื (ก) ลดความดันของมนั ใหเทา กบั ความดนั ของน้ำปอ นที่เขาเคร่อื งอนุ น้ำปอ นโดยการ
5.3. การปรับปรงุ ประสิทธภิ าพของวฏั จักรแรงคนิ 79 รูปที่ 5.15: เครอ่ื งอนุ นำ้ ปอนแบบปดสง มันผา นวาลว ปก ผเี สือ้ (throttle valve) กอ นท่ีจะผสมมนั กับนำ้ ปอนท่ีความดนั ตำ่ กวา หรือสง มนั เขาเครอ่ื งควบแนนและ (ข) เพม่ิ ความดนั ของมนั โดยใชเครอ่ื งสบู กอนท่ีจะผสมมันกับนำ้ ปอนท่ีความดันสงูกวารปู ที่ 5.16: วิธีจัดการกับน้ำควบแนน สองวิธีในเครือ่ งอุนนำ้ ปอ นแบบปด (ก) สงไปผสมกบั นำ้ ปอนท่ีความดนั ตำ่ กวา (ข) สงไปผสมกบั นำ้ ปอนที่ความดันสูงกวา รูปที่ 5.17 แสดงแผนภาพอปุ กรณและแผนภาพ T-s ของวฏั จักรท่ีมีเครอ่ื งอนุ นำ้ ปอนแบบปด ที่จดั การกบั นำ้ ควบแนน ดวยวธิ ีแรก จะเห็นวา วฏั จักรนี้ใชเครื่องสูบนอ ยกวา วัฏจักรท่ีมีเคร่อื งอนุ น้ำปอ นแบบเปด สมการ (5.5) ใชหาประสทิ ธภิ าพของวัฏจกั รนีไ้ ดแต ,w˙net q˙in และ m คำนวณจากw˙ net = h1 − h2 + (1 − m)(h2 − h3) − (h7 − h4) (5.9) (5.10)q˙in = h1 − h8 (5.11)m = h8 − h7 h2 − h5การวิเคราะหวัฏจกั รจำเปนตอ งทราบคา TTD (terminal temperature difference) ซึ่งเทา กบั ผลตางระหวางอุณหภมู ิไอน้ำทมี่ ีความดนั เทากบั ความดนั ไอนำ้ ทไ่ี ดจ ากเคร่อื งกงั หนั ไอนำ้ (Tsat) กบั อณุ หภมู ิน้ำ
80 บทที่ 5. เทอรโ มไดนามิกสของโรงไฟฟา พลงั ความรอ นปอ นทไี่ หลออกจากเคร่ืองอนุ น้ำปอ น คา TTD กำหนดอณุ หภูมิ T8 ไดด งั น้ี (5.12) T8 = Tsat − TTDโดย Tsat คอื อณุ หภมู ิของไอน้ำอมิ่ ตวั ท่มี คี วามดนั p2รูปที่ 5.17: วัฏจกั รแรงคินทีม่ ีเคร่อื งอุนนำ้ ปอ นแบบปดแบบแรก รปู ที่ 5.18 แสดงแผนภาพอุปกรณและแผนภาพ T-s ของวัฏจักรท่ีมีเคร่อื งอุน นำ้ ปอนแบบปด ที่จัดการกบั น้ำควบแนน ดวยวิธีที่สอง วัฏจักรน้ีมีจำนวนเครือ่ งสูบเทากบั วัฏจักรท่ีมีเครือ่ งอุน น้ำปอนแบบเปดในรปู ที่ 5.14 อยา งไรก็ตามถา เปรยี บเทียบกับวัฏจกั รที่มีเคร่ืองอุน นำ้ ปอ นแบบเปด ในรูปที่ 5.14 จะพบวา เคร่ืองสูบนำ้ ปอน (feed water pump) ในรูปที่ 5.16 มีอัตราการไหลของน้ำต่ำกวาและมีขนาดเล็กกวา เครอ่ื งสูบน้ำปอ นในรูปท่ี 5.14 สมการ (5.5) ใชหาประสทิ ธภิ าพของวัฏจกั รน้ีไดแต w˙net และq˙in คำนวณจากw˙ net = h1 − h2 + (1 − m)(h2 − h3) − (1 − m)(h5 − h4) − m(h8 − h6) (5.13) q˙in = h1 − h9 (5.14)คา m และ h9 ในสมการ (5.13) และ (5.14) ไดจากการวเิ คราะหการอนรุ ักษพลงั งานท่ีเครอื่ งอนุ นำ้ ปอ นและถงั ผสม (mixing chamber) ซ่งึ ใหผลดงั น้ี m= h7 − h5 (5.15) (5.16) h2 − h6 + h7 − h5 h9 = (1 − m)h7 + mh8คา TTD ใชกำหนดอณุ หภูมิ T7 ดังนี้ T7 = Tsat − TTD (5.17)โดย Tsat คืออุณหภมู ขิ องไอนำ้ อม่ิ ตวั ที่มคี วามดัน p2
5.3. การปรบั ปรุงประสิทธิภาพของวัฏจักรแรงคนิ 81 รปู ที่ 5.18: วฏั จกั รแรงคินท่ีมเี คร่อื งอนุ น้ำปอนแบบปดแบบที่สอง ตัวอยา ง วัฏจักรแรงคนิ หนึ่งมีเครือ่ งอุนนำ้ ปอนแบบปด โดยท่ีนำ้ ระบายถกู สบู สงไปผสมกบั น้ำปอ นความดันและอณุ หภมู ขิ องไอนำ้ ที่เขาเครอ่ื งกงั หันเทากบั 70 bar และ 540◦C ไอน้ำทีด่ งึ จากเครือ่ งกงั หนัมคี วามดนั 7 bar ความดนั ในเครือ่ งควบแนน เทา กบั 0.07 bar และ TTD = 3◦C สมมุติวางานท่ีใหเครอ่ื งสบู นอยมาก จงหาประสิทธภิ าพของวัฏจกั ร วธิ ที ำ รปู ท่ี 5.18 แสดงแผนภาพของวฏั จกั รนี้ ขอ มูลสมบัติของน้ำและไอนำ้ เปน ดังนี้ h1 = 3500 kJ/kg h2 = 2860 kJ/kg h3 = 2150 kJ/kg h4 = 163 kJ/kg h5 = h4 h6 = 697 kJ/kg h8 = h6 สถานะ 7 สำหรบั การหา h7 ถกู กำหนดโดย p7 และ T7 รูปที่ 5.18 แสดงใหเห็นวา p7 = p1 = 70bar สวน T7 หาไดจ ากสมการ (5.17) ท่ีความดัน 7 bar Tsat = 165◦C ดงั นั้น T7 = 162◦Ch7 มคี า โดยประมาณเทากบั เอนทลั ปข องนำ้ อมิ่ ตัวท่ีอุณหภูมิ 162◦C h7 = 684 kJ/kg
82 บทท่ี 5. เทอรโ มไดนามกิ สข องโรงไฟฟา พลังความรอน หลงั จากทราบคาเอนทลั ปทีส่ ถานะตา ง ๆ แลว คา m หาไดจ ากสมการ (5.15) 684 − 163 m = 2860 − 697 + 684 − 163 = 0.194 kgและ h9 หาไดจ ากสมการ (5.16) จากสมดลุ พลงั งานในถงั ผสม (mixing chamber) h9 = (1 − 0.194) × 684 + 0.194 × 697 = 689 kJ/kg สมมุติวา อตั ราการไหลเขา เครอ่ื งกังหนั ของไอน้ำเทากับ 1 kg/s สมการ (5.13), (5.14) และ (5.5) ใชหา ,w˙net q˙in และ η ไดต ามลำดับ w˙ net = (h1 − h2) + (1 − m)(h2 − h3) = 1212 kg/s q˙in = 3500 − 689 = 2811 kg/s =⇒ η = 0.435.4 ผลกระทบของความผวนกลับไมไดใ นวฏั จกั ร การวเิ คราะหวฏั จกั รแรงคินท่ีผานมาอยูภายใตสมมุติฐานวากระบวนการตา ง ๆ ในวฏั จักรผวนกลบัได แตกระบวนการที่เกิดขนึ้ จรงิ ผวนกลับไมไดซงึ่ จะสง ผลใหเอนโทรปของน้ำเพิม่ ในกระบวนการไหลผา นเครือ่ งสูบและเคร่ืองกังหันและทำใหความดันของไอนำ้ ลดลงในกระบวนการไหลผานเคร่ืองกำเนิดไอนำ้ และเครือ่ งควบแนน ผลกระทบที่สำคัญของการผวนกลบั ไมไดมาจากเคร่อื งสูบและเครอ่ื งกงั หนัประสิทธิภาพของเครื่องสูบ (pump efficiency, ηp) และประสทิ ธิภาพของเครือ่ งกังหัน (turbine effi-ciency, ηt) มสี ตู รดงั น้ีηp = ∆wps ∆wpηt = ∆wt ∆wtsโดยท่ี wps และ wp เปนงานที่ใหเครือ่ งสบู เพ่อื เพม่ิ ความดนั ของนำ้ เหมือนกนั ตา งกันตรงที่ wpsเปนงานท่ีใหเครื่องสบู ในกระบวนการไอเซนโทรปก (isentropic process) ซง่ึ หมายถงึ กระบวนการที่เอนโทรปไ มเ ปลย่ี นแปลง สว น wp เปนงานท่ใี หเครอื่ งสบู จริง ในทำนองเดียวกัน wt และ wts เปน งานท่ีไดจากเครื่องกงั หนั จรงิ และเครอ่ื งกงั หนั ในกระบวนการไอเซนโทรปก โดยตางก็ทำงานที่อัตราสวนความ
5.5. ประสทิ ธิภาพของโรงไฟฟา พลังความรอน 83รูป ที่ 5.19: กระบวนการ ท่ี เกดิ ขึ้น จรงิ ใน เคร่อื ง สูบ และ เคร่อื ง กงั หัน (4-1, 2-3) เปรยี บ เทยี บ กบักระบวนการไอเซนโทรปก (4-1s, 2-3s)ดันท่ีเทา กนั รูปท่ี 5.19 เปรยี บเทียบแผนภาพ T-s ของกระบวนการไอเซนโทรปก กับกระบวนการจริงในเครื่องสบู และเครื่องกงั หัน ในกรณีของเครื่องสบู และเครอื่ งกงั หันดงั แสดงในรูปขางบนสูตรคำนวณประสิทธภิ าพคือηp = h1s − h4 h1 − h4ηt = h2 − h3 h2 − h3s5.5 ประสทิ ธิภาพของโรงไฟฟา พลงั ความรอ น รูปท่ี 5.20 แสดงแผนภาพอยางงา ยของโรงไฟฟา พลงั ความรอน สว นประกอบทส่ี ำคญั ไดแ ก วัฏจักรกำลังงาน เตาเผา ระบบหลอ เยน็ และเครือ่ งกำเนดิ ไฟฟา เตาเผาทำหนา ที่แปลงพลังงานเคมีในเช้ือเพลิงเปน พลงั งานความรอนที่ขบั เคลอ่ื นวฏั จกั รกำลงั งานซึง่ จะผลิตพลังงานกล ระบบหลอเย็นทำหนา ท่ีระบายความรอ นจากวัฏจกั รแรงคนิ และเคร่อื งกำเนิดไฟฟาทำหนา ท่ีแปลงพลงั งานกลที่ไดจากวฏั จักรกำลังงานเปนพลงั งานไฟฟา ถามองโดยภาพรวมจะเห็นวาสวนเขาของโรงไฟฟา คือ พลังงานเคมีของเชอื้เพลิงและสว นออกคือ พลังงานไฟฟา ประสิทธิภาพของโรงไฟฟา (ηo) จึงเทากบั อัตราสวนของพลงั งานไฟฟา ตอ พลงั งานเคมีของเช้อื เพลงิηo = Pe (5.18) m˙ f .HVโดยที่ Pe คอื พลังไฟฟา , m˙ f คอื อัตราการใชเชอื้ เพลิงผลติ ไฟฟา และ HV (heating value) คอื คาความรอนของเชื้อเพลิง HV อาจเปน คาความรอนสงู (HHV ) หรอื คา ความรอ นตำ่ (LHV ) ก็ได ถาHV เปน คา ความรอ นสงู ประสทิ ธภิ าพของโรงไฟฟา จะมีคาต่ำกวาถา HV เปน คา ความรอนตำ่ การคำนวณประสิทธภิ าพของโรงไฟฟา ควรระบใุ หชดั เจนวา จะใชคาความรอนใด ηo สามารถเขยี นเปน ผลคณู ของประสิทธิภาพสามคาดงั นี้ηo = ηb.η.ηg (5.19)
84 บทที่ 5. เทอรโ มไดนามกิ สของโรงไฟฟาพลังความรอ นรปู ที่ 5.20: โรงไฟฟา พลงั ความรอ นโดยท่ี ηb คอื ประสิทธภิ าพของหมอไอนำ้ (boiler efficiency) ซงึ่ เทากบั อตั ราสว นของเอนทัลปที่เพ่มิ ข้นึเมอ่ื นำ้ กลายเปน ไอนำ้ จากการไหลผา นหมอไอนำ้ ตอพลงั งานเคมีของเชอื้ เพลงิηb = m˙ s(hout − hin) (5.20) m˙ f .HVโดยท่ี m˙ s คอื อัตราการผลติ ไอน้ำของหมอ ไอน้ำ, hin คอื เอนทัลปของนำ้ ปอ นท่ีไหลเขา หมอไอนำ้ และhout คือ เอนทลั ปของไอนำ้ ท่ีไหลออกจากหมอ ไอนำ้ η คือ ประสิทธิภาพของวฏั จกั รกำลงั งานซึ่งเทา กับอัตราสว นของกำลงั งานสุทธิที่ไดจากวัฏจกั ร(Pnet) ตอ กำลังงานความรอนทเี่ ขา หมอ ไอน้ำ (Qin) η = Pnet (5.21) Qinโดยท่ี Qin มคี า เทากับอตั ราการเพมิ่ ข้นึ ของเอนทลั ปเม่อื นำ้ กลายเปนไอน้ำในสมการ (5.20) ηg คอื อตั ราสวนของพลังไฟฟา (Pe) ท่ีไดจากเครื่องกำเนดิ ไฟฟา ตอ กำลงั งานกลท่ีเขา เคร่ืองกำเนดิไฟฟา ηg = Pe (5.22) Pnetในทางปฏิบตั ิวศิ วกรโรงไฟฟาสนใจอยากทราบวาการผลิตพลังงานไฟฟา 1 kW.h ตอ งใชพลงั งานความรอนเทา ไร ตวั เลขนคี้ อื อตั ราความรอ น (heat rate) HR = mf .HV (5.23) Pe∆t
5.6. ประสิทธภิ าพของหมอไอนำ้ 85โดยที่ ∆t คอื ชว งเวลาท่ีผลติ ไฟฟาและ mf คอื มวลเชื้อเพลงิ ท่ีใชผลติ ไฟฟาในชวงเวลาดงั กลาว หนว ยของ HR คอื kJ/kW.h HR สามารถคำนวณไดจ าก ηo ดงั นี้ 3600 (5.24) HR = ηo5.6 ประสทิ ธิภาพของหมอ ไอนำ้ รูปที่ 5.21 แสดงแบบจำลองของหมอไอนำ้ หมอไอนำ้ ทำหนา ที่เแปลงพลงั งานเคมีในเชื้อเพลิงเปนพลังงานความรอนในไอนำ้ ดังนน้ั ประสทิ ธิภาพของหมอ ไอน้ำมีคา ตามสมการ (5.20) ซง่ึ หมายความวาประสิทธภิ าพของหมอไอน้ำที่คำนวณโดยใชคาความรอ นสงู จะมีคา ตำ่ กวาประสทิ ธภิ าพของหมอไอนำ้ ท่ีคำนวณโดยใชคาความรอนตำ่ การคำนวณประสทิ ธภิ าพของหมอ ไอน้ำจึงควรระบุใหชดั เจนวาจะใชคาความรอนใด การคำนวณประสทิ ธภิ าพของหมอ ไอนำ้ มสี องวิธีคอื วิธคี วามรอ นเขา ออก (input-output method)และวิธีความรอนสญู เสีย (heat-loss method) วิธีความรอ นเขา ออกใชสมการ (5.20) ขอมูลที่ตอ งใชในการคำนวณไดแก อัตราการไหลของไอนำ้ เอนทลั ปของน้ำปอน เอนทัลปของไอน้ำ อัตราการไหลของเชือ้ เพลิงและคา ความรอ นของเชือ้ เพลงิ วธิ ีนี้จงึ ตองการขอมลู ไมมาก อยางไรก็ตามการวัดอัตราการไหลของเชือ้ เพลงิ แข็งอาจไมสะดวก นอกจากน้ีวิธีนี้มีขอ เสียเปรยี บคือ ไมไดใหขอมูลเก่ยี วกับการเพ่ิมประสิทธภิ าพของหมอไอนำ้ วิธีความรอ นสูญเสียคำนวณการสูญเสยี ความรอ นดว ยสาเหตุตา ง ๆ (Q˙ l)แลวจึงหาคาประสิทธิภาพของหมอไอน้ำดังนี้ ηb = 1 − Q˙ l (5.25) m˙ f .HVรูปท่ี 5.21 แสดงใหเห็นวา มีการสญู เสียพลงั งานความรอนไปกบั กาซเสียและขี้เถาที่ไหลออกจากหมอไอน้ำ นอกจากนี้ยังมีการสญู เสียความรอนโดยการพาความรอ นและการแผรงั สีความรอ นจากผิวของหมอ ไอนำ้ สูอากาศแวดลอมอีกดว ย ดังนน้ั ประสทิ ธิภาพของหมอ ไอนำ้ จงึ ลดลงจากการสูญเสียความรอ นดว ยสาเหตุตาง ๆ ดงั น้ี การคำนวณหาประสทิ ธภิ าพของหมอ ไอนำ้ ดวยวธิ ีความรอนสญู เสยี ตอ งใชขอ มูลจำนวนมากกวา วิธีความรอ นเขาออก แตมีขอ ไดเปรียบคือ สามารถชี้ใหเหน็ แนวทางการเพ่มิประสทิ ธิภาพของหมอไอนำ้ ได ในการคำนวณประสิทธภิ าพของหมอ ไอนำ้ โดยใชคา ความรอนสูง สาเหตุของการสูญเสียความรอ นมี6 ประการ ถากำหนดให Li = Q˙ l,i (5.26) m˙ f .HVคือ อัตราสวนระหวา งของคา ความรอนสญู เสียตอ คาความรอนของเชอ้ื เพลงิ หน่ึงกโิ ลกรัม ประสทิ ธิภาพของหมอ ไอนำ้ จะเทา กับηb = 1 − (L1 + L2 + L3 + L4 + L5 + L6) (5.27)การสญู เสียความรอ นทง้ั 6 ประการมีรายละเอยี ดนี้
86 บทที่ 5. เทอรโ มไดนามกิ สข องโรงไฟฟา พลงั ความรอ น รูปท่ี 5.21: แบบจำลองของหมอ ไอนำ้1. การสญู เสยี ความรอนไปกับกาซเสียแหง โดยความรอนสว นน้ีจะทำใหกา ซเสยี แหง มีอุณหภูมิเพมิ่ จาก Ta เปน Tg ถา สมมตุ ิวากา ซเสยี แหงเปนกา ซในอดุ มคติ สมการของการสญู เสียความรอน จากสาเหตุนคี้ ือ L1 = xdg.cpg(Tg − Ta) (5.28) HHVโดยที่xdg คืออัตราสวนของมวลกา ซเสยี แหง ตอมวลเชือ้ เพลงิcpg คอื ความจุความรอ นจำเพาะเฉล่ียของกาซเสยี แหง (ประมาณ 1.0 kJ/kg.◦C)Tg คอื อุณหภมู ขิ องกาซเสียแหงทอี่ อกจากหมอไอนำ้Ta คอื อุณหภูมขิ องสง่ิ แวดลอมสมมตุ ิวา กำมะถนั ในเชื้อเพลิงมีปริมาณนอ ยมาก กาซเสยี แหง จะประกอบดวย CO2, CO, O2และ N2 โดยจำนวนโมลของกา ซเหลา นีค้ ือ ,NCO2 NC O , NO2 และ NN2 ตามลำดบั มวลของกาซเสยี แหงจะมคี าเทา กับ mdg = 44NCO2 + 28NCO + 32NO2 + 28NN2 (5.29)สมการ (4.30) เขยี นใหมไ ดด ังนี้ mf = 12(yCO + yCO2 )Ndg (5.30) xcbโดยท่ี Ndg เปนจำนวนโมลของกา ซเสยี แหง สมการ (5.29) หารดว ยสมการ (5.30) ใหคา xdg xdg = (11yCO2 + 7yCO + 8yO2 + 7yN2 )xcb (5.31) 3(yCO + yCO2 )
5.6. ประสิทธิภาพของหมอ ไอน้ำ 872. การสญู เสียความรอ นไปกบั ความช้นื ในกาซเสีย โดยความรอนสว นนี้จะทำใหความชนื้ กลายเปน ไอน้ำอณุ หภูมิสงู ออกไปกบั กา ซเสีย ความช้ืนกา ซเสยี บางสว นมาจากความช้ืนในเชอ้ื เพลงิ และ H ในเชือ้ เพลงิ ซึ่งทำปฏกิ ริ ิยากับ O เปน นำ้ ท้งั หมดนีท้ ำใหเ กดิ การสญู เสยี ความรอ นL2 = (xM + 9xH,ar)[2442 + cpv (Tg − Ta)] (5.32) HHVโดยท่ี cpv คอื ความจุความรอ นจำเพาะเฉล่ยี ของไอน้ำ (ประมาณ 1.9 kJ/kg.◦C) และ 2442 kJ/kg คือ คาความรอ นแฝงในการกลายเปนไอของนำ้ ที่อณุ หภมู ิ 25◦C โปรดสงั เกตวา สัดสวนโดยมวลของ H ในท่ีน้ีคอื สัดสวนโดยมวลตามฐานเชือ้ เพลิงในสภาพเดิมเนอื่ งจากเชื้อเพลิงที่เปนฐานการคำนวณหาประสทิ ธภิ าพมีทั้งความชน้ื และเถา3. การสญู เสยี ความรอ นไปกบั ความชน้ื ในอากาศ L3 = ω.AF RA.cpv(Tg − Ta) (5.33) HHVโดยท่ี ω คือความชืน้ สัมบรู ณใ นอากาศ เปน ท่ีนา สงั เกตวา สตู รของ L3 ไมไ ดร วมคาความรอนแฝงในการกลายไอนำ้ เหมอื นสูตรของ L2 ทั้งน้ีเนอ่ื งจากความชน้ื ในเชือ้ เพลิงอยูในสถานะของเหลวในขณะที่ความชน้ื ในอากาศอยูในสถานะกาซ โดยทวั่ ไป L3 มีคานอ ยมาก การคำนวณประสทิ ธ-ิภาพของหมอไอน้ำจึงอาจสมมุติวา L3 = 04. การสญู เสยี ความรอนไปกับคารบ อนที่ไมเผาไหม การเผาไหมท่ีไมสมบูรณอาจจะทำใหไดข้ีเถา (refuse) ท่ีประกอบดว ยเถาและคารบ อนท่ีไมเผาไหม โดยท่วั ไปข้ีเถา จะถูกนำไปทง้ิ ดงั นั้นการมี คารบอนในขี้เถาจงึ นับเปน การสูญเสียความรอ นโดยเปลา ประโยชน สมการของการสญู เสียความ รอ นจากสาเหตนุ ้คี ือ L4 = xuc .H H VC (5.34) HHVโดยที่ xuc คืออัตราสว นของมวลคารบอนที่เหลือจากการเผาไหมตอ มวลเชอื้ เพลิงและ HHVCคอื คาความรอนของคารบอน (32800 kJ/kg)5. การสูญเสียความรอ นไปกบั คารบอนมอนอกไซดในกา ซเสยี กาซเสียที่มี CO สามารถนำไปเผา ไหมเพื่อใหความรอ นได แตในทางปฏิบตั ิ กา ซเสยี จะถูกระบายออกสูบรรยากาศ สมการการสญู เสยี ความรอนสามารถคำนวณไดด งั น้ี มวลของ CO คาความรอนของ COL5 =มวลของเชื้อเพลงิ × คาความรอ นของเชอ้ื เพลงิ มวลของ CO มวลของ C ในเชือ้ เพลงิ ท่ีเผาไหม=มวลของ C ในเชื้อเพลงิ ทเ่ี ผาไหม × มวลของเช้อื เพลิง
88 บทที่ 5. เทอรโมไดนามกิ สของโรงไฟฟาพลังความรอ น คา ความรอ นของ CO (5.35) × คาความรอ นของเชื้อเพลงิ= MCOyCOxcbHHVCO MC (yCO + yCO2 )HHVโดยท่ี xcb คอื สัดสว นของมวลคารบ อนท่ีเผาไหมตอ มวลเชือ้ เพลิง น้ำหนกั โมเลกุลของ CO(MCO) เทากบั 28 นำ้ หนักโมเลกุลของ C (MC) เทากับ 12 และคาความรอ นของ CO (HHVCO)เทากับ 10100 kJ/kg6. การสูญเสียความรอ นไปกับการถายเทความรอนระหวา งหมอ ไอน้ำกับสงิ่ แวดลอมโดยการพา ความรอ นและการแผรงั สีความรอ น การสญู เสียพลังงานดวยสาเหตุน้ีขน้ึ กับอณุ หภูมิผิวและพ้นื ท่ี ผวิ ของหมอ ไอน้ำ อณุ หภมู ิผวิ มีคา คอนขา งคงที่แมวา อตั ราการผลติ ไอน้ำจะลดลง ดังน้ันการ สูญเสยี พลงั งานดวยการพาความรอนและการแผร งั สีความรอนมีสัดสวนที่ผกผันกบั อตั ราการ ผลิตไอนำ้ เชน สดั สว นการสูญเสียพลงั งานจะเพมิ่ ข้ึนเทาตวั ถา อตั ราการผลติ ไอนำ้ ลดลงครงึ่ หน่ึง นอกจากน้ีสัดสวนการสูญเสียพลังงานดวยสาเหตุน้ีจะลดลงถา หมอไอน้ำที่มีกำลังการผลิตสูงเพ่ิม ขน้ึ คาความรอ นสูญเสยี จากการถา ยเทความรอ นนี้มีคานอยมากไมเกิน 1% ในหมอ ไอนำ้ สมยั ใหมที่ไดร บั การออกแบบอยา งดี ในการคำนวณประสทิ ธิภาพของหมอไอนำ้ จะสมมตุ ิวา ทราบคา L6 ตัวอยาง หมอ ไอนำ้ ใบหนงึ่ มีกำลงั การผลิตไอนำ้ 180 ton/h แตผลิตไอน้ำเพียง 170 ton/hที่ความดัน 4 MPa และอณุ หภมู ิ 405◦C โดยนำ้ ปอ นเขาหมอไอน้ำมีอุณหภูมิ 124◦C และถา นหินท่ีประกอบดวย C 73%, H 5%, O 8%, N 2%, ความชนื้ 6% และเถา 6% อัตราการเผาไหมถานหินเทากบั 17600 kg/h และถานหนิ น้ีเผาไหมกับอากาศสว นเกิน 30% ท่ีมีอุณหภูมิ 27◦C ถา นหนิ โดยไดขี้เถาในอตั รา 1232 kg/h ในขี้เถา มีคารบ อน 14.3% โดยมวลและกาซเสียท่ีมีอุณหภมู ิ 167◦C จากการวิเคราะกา ซเสียแหง พบวามี CO2 13.65%, CO 0.47% และ O2 5.18% โดยปรมิ าตร ที่เหลือเปน N2สมมตุ ิวาไมม ีความชืน้ ในอากาศ จงคำนวณหาประสิทธิภาพของหมอไอน้ำดวยวธิ ีความรอนเขา ออกและวธิ คี วามรอ นสญู เสยี โดยใชคา ความรอนสงู ของเชอ้ื เพลิง สมมุตวิ า L6 = 0.5% วธิ ที ำ วิธีความรอ นเขา ออก hout คอื เอนทัลปของไอน้ำที่ความดัน 4 MPa และอณุ หภูมิ 405◦C สวน hin คือเอนทัลปของนำ้ ปอนท่ีอณุ หภมู ิ 124◦C เนือ่ งจากเอนทลั ปของนำ้ ไมเปลย่ี นแปลงมากนักตามความดนั hin จึงมีคาโดยประมาณเทากบั เอนทลั ปของน้ำอิ่มตวั ที่อุณหภมู ิ 124◦C จากตารางไอน้ำพบวา hout = 3225.3kJ/kg และ hin = 520.0 kJ/kg คาความรอ นสงู ที่คำนวณจากสมการ (4.22) คอื 30369 kJ/kg ดังน้ันประสทิ ธิภาพของหมอไอนำ้ ตามสมการ (5.20) โดย HV = HHV มคี าดงั นี้ηb = 170 × 103(3225.3 − 520.0) 17600(30369)= 0.860
5.6. ประสิทธภิ าพของหมอ ไอน้ำ 89 วิธคี วามรอ นสญู เสยี ในข้เี ถา 1232 kg/h มีคารบอนที่ไมเผาไหม 0.143 × 1232 = 176 kg/h ดังนัน้ สดั สว นของคารบ อนทีไ่ มเ ผาไหม (xuc) จงึ เทา กับ 0.01 และสัดสวนของคารบอนที่เผาไหม (xcb) เทากับ 0.72 สดั สว นของ N2 ในกา ซเสยี แหงคือ 1 - 0.1365 - 0.0047 - 0.0518 = 0.807 สัดสว นของกา ซเสียแหง คำนวณจากสมการ (5.31)xdg = [11(0.1365) + 7(0.0047) + 8(0.0518) + 7(0.807)] × 0.72 3(0.0047 + 0.1365)= 12.9การสญู เสียความรอนใหก าซเสียแหงคำนวณจากสมการ (5.28) L1 = 12.9 × 1.0 × (167 − 27) 30369 = 0.0595การสญู เสยี ความรอ นสญู เสียใหค วามชน้ื ในกาซเสยี คำนวณจากสมการ (5.32) L2 = (0.06 + 9 × 0.05)[2442 + 1.9(167 − 27)] 30369 = 0.0455 L3 = 0 เนอ่ื งจากไมมคี วามชนี้ ในอากาศ สัดสวนของคารบอนท่ีไมเผาไหมคอื 0.01 การสูญเสียความรอ นจากคารบอนที่ไมเผาไหมคำนวณจากสมการ (5.34) 0.01 × 32800 L4 = 30369 = 0.0108 การสูญเสยี ความรอ นจาก CO ในกาซเสียคำนวณจากสมการ (5.35) 28 × 0.47 × 0.72 × 10100 L5 = 12(0.47 + 13.65) × 30369 = 0.0186แทนคา L1 − L5 ท่ีคำนวณได และ L6 ทโ่ี จทยก ำหนดมาให ในสมการ (5.27)ηb = 1 − 0.0595 − 0.0455 − 0 − 0.0108 − 0.0186 − 0.0050 = 0.861 ตัวอยางขางตนแสดงใหเหน็ วา ความชืน้ ในกา ซเสียกอใหเกดิ ความรอ นสูญเสียในสัดสวนท่ีสูง โรงไฟฟา ท่วั ไปมกั ปลอ ยใหความชื้นน้ีระบายออกสูบรรยากาศโดยไมม ีมาตรการนำความรอนสวนนี้มาใช
90 บทท่ี 5. เทอรโมไดนามิกสข องโรงไฟฟาพลังความรอนประโยชนเน่ืองจากการกูความรอนจะตอ งทำใหความชืน้ ควบแนนซ่ึงอาจทำใหเกดิ กรดซลั ฟูรกิ ถา มีกา ซซัลเฟอรไ ดออกไซดใ นกา ซเสีย ดังนน้ั คาความรอนของเชอื้ เพลงิ ทนี่ ำมาใชป ระโยชนไ ดจรงิ จึงเปนคาความรอนต่ำตามสมการ (4.23) ในการคำนวณประสทิ ธิภาพของหมอไอน้ำโดยใชคา ความรอ นตำ่ คา HV ในสมการ (5.20) และ (5.25) คือ LHV การคำนวณดวยวธิ ีความรอนที่สญู เสียไปกบั ความชื้นในกา ซเสีย(L2) ซง่ึ ทำใหประสทิ ธิภาพของหมอ ไอนำ้ คำนวณจากηb = 1 − (L1 + L3 + L4 + L5 + HHV (5.36) L6) LHV ตัวอยาง จงคำนวณประสทิ ธิภาพของหมอไอนำ้ ในตวั อยา งที่แลวโดยใชคาความรอ นต่ำของเชื้อเพลิง วิธีทำ คาความรอ นตำ่ ทค่ี ำนวณจากสมการ (4.23) คอื ηb = 30369 − 2442(9(0.05) + 0.06) = 29124ประสิทธภิ าพของหมอ ไอน้ำโดยใชค าความรอ นตำ่ มคี าเทากับ 0.861 × 30369 ηb = 29124 = 0.8985.7 ระบบผลติ พลังงานรวม ระบบผลิตพลังงานรวม (cogeneration) หมายถงึ ระบบผลิตพลงั งานไฟฟา รวมกบั พลงั งานความรอน ระบบนี้แตกตา งจากวฏั จกั รกำลังงานทัว่ ไปซ่งึ ผลติ พลงั งานไฟฟา โดยปลอ ยความรอนสูแหลง รบัความรอนโดยเปลา ประโยชน ระบบผลิตพลังงานรวมจึงเปน ระบบที่ใชประโยชนจากเชือ้ เพลิงอยา งมีประสทิ ธิภาพมากกวา วัฏจักรกำลังงาน ระบบผลิตพลงั งานรว มแบง เปนระบบผลติ ไฟฟา ตามหลงั (bot-toming system) และระบบผลิตไฟฟา นำหนา (topping system) รูปท่ี 5.22 แสดงแผนภาพของทง้ัสองระบบ ระบบผลติ ไฟฟา ตามหลงั ใชในกรณีที่ความรอนท่ีตองการเปนความรอ นท่ีมีอณุ หภูมิสูงเพ่ือใชในอุตสาหกรรมเหลก็ คอนกรตี เซรามกิ และอตุ สาหกรรมปโตรเคมีบางประเภท อุตสาหกรรมเหลา น้ีจะใชความรอ นท่ีไดจากการเผาไหมเชอื้ เพลงิ ที่อุณหภูมิสูงไปใชในกระบวนการผลติ ความรอ นที่เหลือจะนำไปใชผลิตไฟฟาในวัฏจักรกำลังงาน ระบบผลิตไฟฟา นำหนา ใชวฏั จกั รกำลังงานผลติ ไฟฟา และนำความรอนท่ไี ดไปใชป ระโยชนในกระบวนการผลติ ของอตุ สาหกรรมท่ไี มตองการอุณหภูมิทสี่ ูงมากเชน การกลั่นการอบแหง การฆาเช้ือโรค เปน ตน นอกจากน้ีความรอ นที่ไดจากระบบผลิตไฟฟา นำหนายังนำไปเดินเครอื่ งปรับอากาศแบบดดู กลนื (absorption chiller) ไดอีกดวย ในปจจุบันการใชเ ชอื้ เพลงิ ผลติ พลงั งานไฟฟา พลังงานความรอน และความเยน็ จากเรียกวา การผลิตพลังงานสามรปู (trigeneration)
5.7. ระบบผลิตพลังงานรวม 91 รปู ที่ 5.22: (ก) ระบบผลิตไฟฟา ตามหลงั และ (ข) ระบบผลติ ไฟฟา นำหนา ระบบผลิตพลังงานรวมในประเทศไทยสว นใหญเปน ระบบผลิตไฟฟา นำหนา พบไดในโรงงานอตุ สาหรรมและอาคารธรุ กิจขนาดใหญ ระบบผลติ พลังงานรว มมีกำลังการผลิตไฟฟา นอยกวา โรงไฟฟามากเน่อื งจากระบบถูกออกแบบใหผลิตไฟฟาเพยี งพอกบั การใชงานในโรงงานอตุ สาหรรมและอาคารธรุ กจิขนาดใหญ อยางไรกต็ ามโรงงานบางประเภทมีเชื้อเพลงิ ซ่งึ เปน วัสดุทางการเกษตรที่เหลือทิ้งปริมาณมากและสามารถใชเช้อื เพลิงดงั กลาวผลิตไฟฟามากเกินความตองการของโรงงาน ในกรณีนี้โรงงานสามารถขายไฟฟา ใหการไฟฟาฝายผลติ ไดเ นื่องจากรฐั บาลมีนโยบายสงเสรมิ การผลติ พลังงานรว ม รูปที่ 5.23: ระบบผลิตพลงั งานรวมทใ่ี ชเครือ่ งกงั หันไอนำ้ แบบแรงดนั ยอนกลับ ระบบผลิตพลงั งานรวมมหี ลายแบบขนึ้ กบั วัฏจกั รกำลังงานที่ใช รปู ท่ี 5.23 แสดงระบบผลิตพลังงานรวมท่ีใชวฏั จกั รแรงคิน เคร่อื งกังหันไอน้ำถกู ออกแบบใหปลอยไอนำ้ ออกท่ีความดนั สูงกวา ความดนับรรยากาศเพื่อนำไปใชในกระบวนการผลติ เครอ่ื งกังหันแบบนี้เรยี กวา เครือ่ งกงั หันแบบแรงดนั ยอน
92 บทท่ี 5. เทอรโมไดนามิกสข องโรงไฟฟา พลังความรอ นกลบั (back-pressure turbine) ระบบน้ีมีขอ ดีคือ ไมม ีเครื่องควบแนน มีราคาถูกและงายในการเดินเคร่อื ง แตขอ เสยี คอื มีประสทิ ธภิ าพต่ำ และขาดความยืดหยุนเพราะไมสามารถตอบสนองความตอ งการไฟฟา และความรอนท่อี าจเปล่ียนแปลงได รปู ท่ี 5.24 แสดงระบบท่มี ีประสทิ ธภิ าพดขี นึ้ ซ่งึ ใชเครือ่ งกังหนัแบบควบแนนแยก (extraction turbine) ซ่งึ ปลอ ยไอน้ำสูเครอ่ื งควบแนนท่ีมีความดันตำ่ กวา บรรรยากาศ ไอนำ้ บางสว นถูกดงึ ออกจากเครือ่ งกังหนั เพือ่ ใชในกระบวนการผลติ โดยปริมาณไอน้ำน้ีสามารถเปลี่ยนแปลงไดตามความตองการของกระบวนการผลติ ในกรณีท่ีความตอ งการสงู กวา ที่จะไดจากการดงึ ไอน้ำก็อาจควบคุมใหไอนำ้ ไหลออมเคร่ืองกงั หันมายงั กระบวนการผลิตโดยตรงได ระบบนี้จงึ มีความยดื หยนุ สูงแตก ม็ ีคาใชจ ายสงู กวา ระบบท่ใี ชเ ครอ่ื งกังหนั แบบแรงดนั ยอ นกลบั รูปท่ี 5.24: ระบบผลติ พลังงานรว มท่ีใชเ ครอื่ งกงั หนั ไอนำ้ แบบควบแนนแยก
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293