เรียงความแก้กระทู้ธรรม นกั ธรรม ชัน้ ตรี (วธิ ีการเรียนรู้แบบร้อื สรา้ ง Deconstruction Method) พระมหาธีรพสิ ษิ ฐ์ จนทฺ สาโร ครสู อนพระปริยัติธรรม แผนกธรรม
คำนำ ในหลายปีการศึกษาที่ผ่านมา ข้าพเจ้า ได้จัดการเรียนรู้พระปริยัติธรรม แผนกธรรม วิชาเรียงความ แก้กระทู้ธรรม ระดับนักธรรมชั้นตรี ด้วยวิธีดั้งเดิมที่สืบ ๆ กันมา แต่ผลสัมฤทธิ์กลับไม่ได้สูงขึ้น ยังมี นักเรียนที่ไม่เข้าใจในการเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรมอยู่มาก ส่งผลให้มีนักเรียนที่ไม่สามารถทำข้อสอบ วิชานี้ได้เท่าที่ควร หรือบางส่วนสามารถทำได้ และสอบผ่านไปศึกษาในระดับนักธรรมชั้นโท แต่กลับไม่ สามารถเขียนเรียงความแกก้ ระทูธ้ รรมทีม่ คี วามยากขึ้นได้ ต่อมา ในปีการศึกษา ๒๕๖๒ ข้าพเจ้า ได้ทดลองการจัดการเรียนรู้ในวิชานี้ใหม่ โดยแบ่งเป็นสอง กลุ่ม กลุ่มหนึ่ง จัดการเรียนรู้แบบดั้งเดิม คือ ให้ดูตัวอย่าง อธิบายรูปแบบ วิธีการเขียน แล้วให้ทดลอง เขียน อีกกลุ่มหนึ่ง ใช้วิธีการเรียนรู้แบบรื้อสร้าง (Deconstruction Method) โดยให้ศึกษาไปทีละส่วน ตั้งแต่การทำความเข้าใจเกี่ยวกับพุทธศาสนสุภาษิต การหาคำสำคัญ ฝคกการวางแนวทางการเขียน ฝึกเขียนอธิบาย ฝึกการเชื่อมความ การสรุปความ แล้วจึงให้เขียนเรียงความตามรูปแบบ ผลปรากฏว่า กลุ่มทสี่ องนี้เขยี นเรียงความได้ดกี ว่ากล่มุ แรก ส่งผลให้นกั เรียนในปนี นั้ ท่ไี ดศ้ ึกษาแบบใหม่ ผา่ นทง้ั หมด ดังนั้น เนื้อหาในวิชาเรียงความแก้กระทู้ธรรมฉบับนี้ จึงถือว่าเป็นอุปการะแก่นักเรียนมาก โดยใช้ กระบวนการสั่งสมประสบการณ์ เรียนรู้ในส่วนประกอบย่อยก่อน แล้วใช้ประสบการณ์นั้น มาเรียงร้อยให้ เป็นประสบการณ์ใหม่ และข้าพเจ้าก็คาดหวังความรู้ ความเข้าใจให้เกิดแก่พระภิกษุ สามเณร เพื่อจะได้มี หลัก หรือแนวทางในการศึกษาวิชานี้ให้สัมฤทธิ์ผล จนถึงที่สุด คือสามารถสอบผ่านในการสอบธรรม สนามหลวง และมภี มู ิรทู้ น่ี ำไปศกึ ษาในขั้นสูงสบื ไป ประโยชน์ใด อันเกิดแต่หนงั สือนี้ ข้าพเจา้ ขอบูชาพระคุณ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส และทา่ นบรู พาจารย์ทัง้ หลาย ผูป้ ระสทิ ธ์ิประสาทความรูแ้ กข่ า้ พเจ้า จนสามารถทำหนงั สอื เล่มนี้ สำเร็จสมประสงค์ ขอความดำรงคงอยู่สถาพรแห่งพระศาสนาขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า จงสถิตเปน็ มั่นคงสบื ไปตราบนานเทา่ นาน พระมหาธีรพสิ ิษฐ์ จนฺทสาโร ครสู อนพระปริยัติธรรม แผนกธรรม วัดเขาเชิงเทยี นเทพาราม พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๔
สารบญั หนา้ ก คำอธบิ ายวิชา และผลการเรยี นรู้ ๑ ความเบอื้ งตน้ วิชาเรียงความแก้กระทธู้ รรม ๕ พทุ ธศาสนสุภาษิตและคำสำคญั ๑๑ กระทู้ธรรม และการวางแผนการเขยี น ๑๗ วิธีการแต่ง และสำนวนโวหาร ๒๖ การเชอ่ื มความและสรปุ ความ ๓๖ คัมภรี ์ ๓๙ รปู แบบและการเขยี นเรยี งความแกก้ ระทู้ธรรม ๔๓ หลักปฏบิ ตั ิ และระเบยี บการตรวจ ๔๗ พทุ ธศาสนสุภาษิตท่คี วรจำ ๕๕ บรรณานุกรม
คาํ อธิบายวิชา และผลการเรียนรู้ วิชา เรียงความแก้กระทู้ธรรม การศึกษาพระปริยตั ิธรรม แผนกธรรม ระดบั นักธรรมชนั ตรี คาํ อธิบายวิชา ศึกษาความหมาย ประโยชน์ หลักการ องค์ประกอบ และโครงสร้างของ การเขยี นเรยี งความแกก้ ระทูธ้ รรม ลาํ ดบั ขนั ตอนของการเขยี น สาํ นวนโวหาร ธรรม ภาษติ และคมั ภรี ท์ มี าของธรรมภาษติ รปู แบบการเขยี น ระเบยี บการตรวจใหค้ ะแนน ของสนามหลวงแผนกธรรม ค้นหา ฝึกเขยี น อธิบายคําสําคัญ (Key Word) อธิบายความแก้ของธรรม ภาษิต การเชอื มความ การสรุปความ สํานวนโวหาร โดยใช้การบูรณาการในวชิ า ต่าง ๆ ของนักธรรม ชนั ตรี ตามรูปแบบทสี นามหลวงแผนกธรรมกําหนด ไดอ้ ย่าง สมเหตสุ มผล ตระหนักและเหน็ ความสาํ คญั ในการเขยี นเรยี งความแกก้ ระทธู้ รรม และนําไป พฒั นาเป็นพนื ฐานในการแสดง บรรยาย ปาฐกถาธรรมตอ่ ไป ผลการเรยี นรู้ ๑. รแู้ ละเขา้ ใจความหมาย และประโยชน์ของการเรยี งความแกก้ ระทธู้ รรมได้ ๒. รแู้ ละเขา้ ใจหลกั การ องคป์ ระกอบ และโครงสรา้ งของการเรยี งความแกก้ ระทู้ ธรรมได้ ๓. เขยี นอธบิ ายธรรมภาษติ เชอื มความ สรุปความ โดยใชส้ าํ นวนโวหาร และภาษา ทสี ละสวยได้ ๔. เขยี นเรยี งความแกก้ ระทธู้ รรม ตามรปู แบบของสนามหลวงแผนกธรรมไดอ้ ยา่ ง สมเหตุสมผล โดยสามารถอา้ งสภุ าษติ ๑ ภาษติ และบอกชอื คมั ภรี ไ์ ดถ้ กู ตอ้ ง สมภมู ิ ก
ความเบอื งต้น วิชาเรียงความแก้กระทู้ธรรม วชิ าเรยี งความแก้กระทู้ธรรม เป็นวชิ าแรกของการสอบธรรมสนามหลวง เพราะ เป็นวชิ าทแี สดงออกซึงความรูค้ วามเขา้ ใจเชงิ บูรณาการขององค์ความรู้นักธรรมในทุก วชิ า ทงั วชิ าธรรม พุทธ และวนิ ยั การจะเขยี นเรยี งความแกก้ ระทธู้ รรมไดด้ ี จําตอ้ งมภี ูมริ ู้ ในวชิ าการต่าง ๆ ทถี ูกต้องตามหลกั สูตรกําหนด ทงั ลึกและกว้างสมภูมแิ ห่งนักธรรม ชนั นัน ๆ พร้อมนํามาพลิกแพลง แต่งเติมอรรถาธิบายหวั ขอ้ กระทู้ธรรมอย่างแยบยล โดยเฉพาะอยา่ งยงิ วชิ าธรรม อนั เป็นวชิ าหลกั ทนี กั เรยี นจาํ เป็นตอ้ งนํามาใชเ้ ป็นพนื ฐานใน การเขยี นเรยี งความ เพอื อธบิ ายสงิ ทยี ากใหเ้ ขา้ ใจไดง้ ่ายดว้ ยภาษาของตนทสี ละสลวย เหมาะสม ประกอบพรอ้ มไปดว้ ยสาํ นวนโวหาร ยกตวั อย่างใหเ้ ขา้ ใจแจ่มแจง้ ยงิ ขนึ และ ทีสุดแห่งวิชานี คือย่อมทําให้นักเรียนนัน มีความรู้ความสามารถในการแสดงธรรม บรรยายธรรม ปาฐกถาธรรม หรอื กล่าวสอนธรรมไดอ้ ย่างมหี ลกั มแี บบแผน อนั จะเป็น การยกระดบั การเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้กวา้ งและมปี ระสทิ ธภิ าพบงั เกดิ ประสทิ ธผิ ล ตอ่ ไป ความสาํ คญั ของการศึกษาวิชาเรยี งความแก้กระทู้ธรรม วชิ าเรยี งความแกก้ ระทธู้ รรม เป็นวชิ าสาํ คญั ของการศกึ ษาพระปรยิ ตั ธิ รรม แผนก ธรรมทุกระดบั ถอื เป็นการนําเอาภูมริ ูท้ ไี ดส้ งั สมไปใชป้ ระโยชน์ อนั มกี ารวางแผน การคดิ การเขยี นอยา่ งเป็นระบบแยบคายตามองคค์ วามรนู้ กั ธรรมในแต่ละชนั ฉะนนั ความสาํ คญั ของวชิ าเรยี งความแกก้ ระทธู้ รรมทนี กั เรยี นตอ้ งรแู้ ละเขา้ ใจเป็น อรรถเบอื งตน้ นอกเหนอื จากทกี ล่าวมาแลว้ ขา้ งตน้ มอี ยู่ ๔ ประการ ไดแ้ ก่ ๑. ทาํ ใหน้ กั เรยี นเกดิ ความซาบซงึ ในคุณคา่ ของธรรม ๒. ทําให้นักเรยี นได้เข้าใจถึงผลดีผลเสยี กล่าวคอื รู้เท่าทนั ในคุณและโทษของ การปฏบิ ตั ติ ามและไมป่ ฏบิ ตั ติ ามธรรม ๓. ใหเ้ ขา้ ใจในชวี ติ และรจู้ กั แสวงหาความสขุ โดยมธี รรมะเป็นเครอื งชแี นวทาง ๔. ช่วยพฒั นา และยกระดบั ดา้ นจติ ใจของมนุษย์ใหร้ ูจ้ กั ผดิ ชอบชวั ดี ละความชวั ประกอบความดี โดยพยายามงดเวน้ ความชวั โดยเดด็ ขาด ๑
ความหมายของคาํ ว่า “เรียงความแก้กระทู้ธรรม” คาํ ว่า “เรยี งความแกก้ ระทธู้ รรม” เป็นกล่มุ คาํ ทปี ระกอบดว้ ยคาํ หลกั ๆ ๔ คาํ ไดแ้ ก่ ๑. เรียงความ หมายถึง การเอาถ้อยคํา สํานวน มาประกอบร้อยเรยี งให้เป็น เรอื งราว หรือการนําคํา กลุ่มคํา หรอื วลี สํานวน ข้อความ มาเรยี งร้อยให้เรยี บร้อย ถูกต้องตามหลกั ภาษา อ่านแล้วได้ใจความดี มคี วามสละสลวยสวยงามตามวฒั นธรรม ทางภาษา ๒. แก้ หมายถงึ ทาํ ใหค้ ลายออกจากลกั ษณะทแี น่น ทตี ดิ กนั อยู่ หรอื ทเี ป็นปมเป็น เงอื นผกู กนั อยู่ ๓. กระทู้ หมายถงึ หวั ขอ้ หรอื ขอ้ ความทตี งั ใหอ้ ธบิ ายความ หรอื ขยายความ ใน ทนี ี หมายเอา กระทธู้ รรม ไดแ้ ก่ หวั ขอ้ แห่งธรรม ๔. ธรรม หมายถงึ คุณความดี คาํ สงั สอน หลกั ปฏบิ ตั ใิ นศาสนา ในทนี ี หมายเอา พระธรรมคาํ สงั สอนของพระสมั มาสมั พุทธเจา้ ทที รงภาษติ คอื ตรสั ไวด้ แี ลว้ ดงั นัน เรียงความแก้กระทู้ธรรม จึงหมายถึง การแต่งอธบิ ายขยายเนือความ หวั ข้อแห่งธรรมภาษิตให้กระจ่างชดั แจ่มแจ้ง ด้วยภาษาทีเข้าใจง่าย และมีความสละสลวย สวยงาม ตามวฒั นธรรมของหลกั การใชภ้ าษา ประโยชน์ของการศึกษาวิชาเรยี งความแก้กระทู้ธรรม ๑. สง่ เสรมิ ความเจรญิ ทางดา้ นจนิ ตนาการ ความคดิ รเิ รมิ สรา้ งสรรคข์ องนกั เรยี น ๒. ทําให้นักเรยี นรู้จกั ลําดบั ความคดิ สามารถถ่ายทอดความรู้สกึ นึกคดิ ของตน ออกมาใหผ้ อู้ นื เขา้ ใจตามตอ้ งการได้ ๓. รู้จกั เลือกถ้อยคําสํานวนโวหารได้ถูกต้องตามหลกั ภาษา ใช้ภาษาทีง่ายต่อ การเขา้ ใจ แต่ไมล่ ะเลยความสวยงามทางภาษา ๔. สง่ เสรมิ ใหน้ กั เรยี นเขยี นไดถ้ ูกตอ้ งตามแบบทนี ิยม ๒
ข้อบกพรอ่ งทีพบบ่อยในวิชาเรยี งความแก้กระทู้ธรรม ในการสอบวชิ าเรยี งความแกก้ ระทธู้ รรม ยอ่ มเป็นทที ราบกนั ดอี ยแู่ ลว้ ว่า เป็นวชิ าที ใชท้ กั ษะการเขยี น ซงึ ถอื เป็นทกั ษะทยี ากสาํ หรบั นักเรยี นในทุกยุค ส่งผลใหน้ ักเรยี นได้ คะแนนน้อย หรอื ไม่สามารถสอบผ่านในวชิ านี โดยส่วนมากจะมขี อ้ บกพร่องต่าง ๆ ใน การเขยี นหลายประการ ทพี บเหน็ ไดเ้ สมอ มดี งั ต่อไปนี ๑. เขยี นอธิบายความไม่ตรงกับกระทู้ตงั และกระทู้ทีนํามาเชือม บางครงั เป็น การแตง่ นิทาน หรอื เขยี นเพลงมาอธบิ ายกระทแู้ ทน ๒. วเิ คราะห์กระทู้ตงั ไม่ได้ หรอื ตโี จทย์ไม่แตก ไม่ทราบว่า กระทูธ้ รรมนัน เป็น เรอื งอะไร จะตอ้ งขยายความไปในแนวทางใด ไม่มกี ารวางแผนการเขยี น ทําใหอ้ ธบิ าย ความไมส่ มเหตสุ มผลกบั กระททู้ ตี งั ไว้ ๓. เขียนข้อความโดยไม่มีการเว้นระยะวรรคตอน หรือเว้นระยะวรรคตอนไม่ ถกู ตอ้ ง ๔. เขยี นขอ้ ความโดยไมม่ กี ารยอ่ หน้าหรอื ยอ่ หน้าเอาตามความพอใจ โดยยงั ไมท่ นั สนิ กระแสความ ๕. นํากระทูธ้ รรมมาเชอื ม โดยไม่อา้ งถงึ ขอ้ ความของกระทธู้ รรมนนั ก่อน หรอื ไมม่ ี เกรนิ นําถงึ กระทธู้ รรมทนี ํามาเชอื ม เพอื ใหเ้ หน็ ถงึ ความสมั พนั ธก์ นั ของความทจี ะอธบิ าย ๖. ไมบ่ อกชอื คมั ภรี ท์ มี าของกระทธู้ รรมทนี ํามารบั หรอื บอกชอื คมั ภรี ผ์ ดิ พลาด ๗. เขยี นคาํ บาลแี ละคาํ แปลภาษาไทยไมถ่ ูกตอ้ ง หรอื ขาดตกบกพรอ่ ง ๘. เขยี นตัวสะกด การนั ต์ ผิดพลาดมาก รวมไปถึงการเขยี นฉีกคํา เช่นคําว่า “ความสําคญั ” นักเรยี นเขยี นคําว่า “ความ” ไว้บรรทดั หนึง เขยี นคําว่า “สําคญั ” ไว้อีก บรรทดั หนึง หรอื คําว่า “กระจ่าง” เขยี นคําว่า “กระ” ไวบ้ รรทดั หนึง แลว้ ขนึ บรรทดั ใหม่ เขยี นคาํ ว่า “จา่ ง” เป็นตน้ ๙. เขยี นหนงั สอื สกปรก โดยมกี ารขดี ฆา่ ขดู ลบ ปรากฏอยทู่ วั ไป ๑๐. เขยี นไมค่ รบบรรทดั เช่นเขยี นไปไดส้ กั คอ่ นบรรทดั แลว้ ขนึ บรรทดั ใหม่ โดยที ทเี หลอื ยงั สามารถเขยี นต่อไปได้ รวมไปถงึ เขยี นตวั อกั ษรใหญ่ หรอื กวา้ งเกนิ กว่าปกติ ๑๑. แต่งไม่ไดต้ ามกําหนด โดยที นักธรรมชนั ตรี และธรรมศกึ ษาชนั ตรี ตอ้ งเขยี น ใหไ้ ดต้ งั แต่ ๒ หน้ากระดาษขนึ ไป เป็นตน้ ๓
ฉะนนั จากขอ้ บกพรอ่ งขา้ งตน้ พอจะสรปุ ได้ ดงั นี ๑) ตโี จทยก์ ระทตู้ งั ไมแ่ ตก ๒) เขยี นอธบิ ายไมไ่ ด้ ไมร่ วู้ า่ จะเขยี นอธบิ ายอยา่ งไร ๓) เชอื ความไมไ่ ด้ ไมเ่ ป็น ๔) เขยี นสุภาษิต ชอื คมั ภรี ์ไม่ถูกต้อง และสะกดคําไม่ถูก เขยี นฉีกคํา จน เสยี ความ ๕) ไมเ่ ขยี นสรุปความ สรปุ ไมไ่ ด้ ๖) จาํ และเขยี นเรยี งความตามรปู แบบไมไ่ ด้ ๗) แตง่ ไมไ่ ดต้ ามกําหนด ดงั นัน สงิ สําคญั ของการเรยี นวชิ าเรยี งความแก้กระทู้ธรรม นักเรยี นต้องศกึ ษา โครงสร้างการเขยี นโดยภาพรวม แล้วนําโครงสร้างนัน มาแยกศกึ ษาในแต่ละส่วนให้ เขา้ ใจ เมอื ศกึ ษาครบแลว้ จงึ นํามาประกอบเขา้ รปู ร่างตามโครงสรา้ งเดมิ เพอื แกป้ ัญหาที เกดิ ขนึ ซํา ๆ เดมิ ๆ โดยทเี ราอาจจะเรยี กวธิ กี ารเรยี นแบบนีว่า “วธิ กี ารเรยี นรู้แบบรอื สร้าง (Deconstruction Method)” ทังนี การเรียนด้วยวิธีดังกล่าว อาจจะใช้เวลาใน การเรยี นมากกว่าปกติ แต่จะทําให้นักเรยี นเข้าใจมากกว่ารูปแบบการเรยี นแบบเดมิ ทีมเี พยี งนํารูปแบบการเขยี น และตวั อย่างการเขยี นมาดู หรอื เทยี บเคยี งเท่านัน ซึงมี หวั ขอ้ ทนี กั เรยี นตอ้ งศกึ ษา ดงั ต่อไปนี ๑. พทุ ธศาสนสุภาษติ และคาํ สาํ คญั ๒. กระทธู้ รรม และการวางแผนการเขยี น ๓. วธิ กี ารแต่ง และสาํ นวนโวหาร ๔. การเชอื มความและสรปุ ความ ๕. คมั ภรี ์ ๖. รปู แบบและการเขยี นเรยี งความแกก้ ระทธู้ รรม ๗. หลกั ปฏบิ ตั ิ และระเบยี บการตรวจ ๘. พทุ ธศาสนสุภาษติ ทคี วรจาํ ๔
พทุ ธศาสนสภุ าษิตและคาํ สาํ คญั พทุ ธศาสนสภุ าษิต กอ่ นการเขยี นเรยี งความแกก้ ระทธู้ รรม สงิ แรกทนี กั เรยี นตอ้ งรแู้ ละเขา้ ใจ คอื คาํ ว่า “พุทธศาสนสุภาษติ ” เพราะถอื เป็นหวั ใจหลกั ทเี ราจะตอ้ งนํามาอธบิ ายขยายความ ดงั จะ อธบิ ายตอ่ ไปนี คาํ วา่ “ภาษิต” ไดแ้ ก่ ถอ้ ยคาํ หรอื ขอ้ ความทกี ล่าวสบื ตอ่ กนั มานาน มคี วามหมาย ในเชงิ สงั สอน ใหค้ ติ เตอื นใจ คําว่า “สุภาษิต” แปลว่า ถ้อยคําทกี ล่าวไวด้ ี (สุ แปลว่า ดี งาม หรอื ง่าย, ภาษติ แปลวา่ กล่าว) สามารถนํามาเป็นคติ ยดึ ถอื เป็นหลกั ใจได้ คําว่า “พุทธศาสนสุภาษิต” หมายถงึ คําสอน หรอื ถ้อยคําอนั ท่านกล่าวดแี ล้ว ในทางพระพทุ ธศาสนา อนั เปรยี บเหมอื นขอ้ คดิ ขอ้ เตอื นใจ ใหพ้ ุทธศาสนิกชนปฏบิ ตั ติ าม แต่ในทนี ี มไิ ดห้ มายความเฉพาะคาํ ทพี ระพทุ ธองคต์ รสั ไวเ้ ทา่ นนั แต่ยอ่ มหมายเอาภาษติ โดยทวั ไป ทงั ทเี ป็นพุทธภาษติ หรอื เถรภาษติ คําสอนในพระพุทธศาสนา มอี งค์ ๙ ประการ เรยี กว่า “นวงั คสตั ถุศาสน์” ได้แก่ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อติ วิ ุตตกะ ชาดก อพั ภูตธรรม และเวทลั ละ ซงึ พุทธศาสนสุภาษติ นนั ไดม้ าจากเนือหาทปี รากฏอยใู่ นคาํ สอนดงั กล่าว ทมี อี ยเู่ ป็นจาํ นวน มาก เป็นเนือความสนั ๆ ทที รงคุณคา่ ใหข้ อ้ คดิ ขอ้ เตอื นใจ ใหผ้ ทู้ ไี ดศ้ กึ ษาแลว้ มคี วามรู้ ความเขา้ ใจ และยดึ ถอื เป็นหลกั ธรรมประจําใจ เพอื นําไปประพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ นแนวทางทถี กู ทีควร ตรงทาง อันจะนําไปสู่ความสุขความเจริญงอกงามในชีวิตของตน ทงั ยงั เป็น การเสรมิ สรา้ งสนั ตสิ ขุ ในสงั คมโลกอกี ประการ ตวั อย่างพทุ ธศาสนสภุ าษิต ชนะตนนนั แหละ เป็นดี คนไมถ่ กู นนิ ทาไมม่ ใี นโลก อตฺตา หเว ชติ ํ เสยฺโย คนล่วงทุกขไ์ ดเ้ พราะความเพยี ร นตฺถิ โลเก อนนิ ฺทโิ ต พงึ ชนะคนไมด่ ดี ว้ ยความดี วริ เิ ยน ทุกฺขมจฺเจติ เมตตาเป็นเครอื งคาํ จนุ โลก อสาธุ สาธนุ า ชเิ น โลโกปตฺถมฺภกิ า เมตฺตา ๕
พทุ ธศาสนสภุ าษิต ธรรมภาษิต และกระท้ธู รรม ดงั ทกี ล่าวไวใ้ นเบอื งตน้ ว่า พทุ ธศาสนสภุ าษติ เป็นถอ้ ยคาํ ทที ่านกล่าวไวด้ แี ลว้ อนั เสมอื นข้อคดิ ข้อเตือนใจ หรอื เป็นคําสงั สอนทางพระพุทธศาสนานัน ยงั มอี ีก ๒ คํา ทนี ่าสนใจ ซงึ อาจพบเจอไดใ้ นทตี ่าง ๆ ไดแ้ ก่ “ธรรมภาษติ ” และ “กระทธู้ รรม” คาํ ว่า “ธรรมภาษิต” หมายถงึ การกล่าวธรรม หรอื ถอ้ ยคาํ ทแี สดงธรรม สว่ นคาํ ว่า “กระท้ธู รรม” หมายถงึ หวั ขอ้ แห่งธรรม หรอื หลกั แห่งธรรม จากความหมายของทงั สองคํา กบ็ ่งชไี ดว้ ่า หมายเอาคําสอนทางพระพุทธศาสนา โดยรวม มไิ ด้เจาะจงว่าเป็นคําสอนของผู้ใด เป็นการกล่าวโดยรวม ซึงก็มนี ัยเป็นแนว เดยี วกบั คาํ วา่ “พทุ ธศาสนสภุ าษติ ” นนั เอง หากประสงค์จะทราบว่าเป็นภาษติ ของท่านใดในพระศาสนานี มกั จะพบเจอคาํ บ่ง บอกทชี ดั เจน เขา้ ใจไดท้ นั ที เป็นตน้ ว่า พุทธภาษติ พุทธพจน์ พุทธวจนะ คําเหล่านีลว้ น บ่งบอกว่าเป็นพระดํารสั ของสมเดจ็ พระชนิ สหี ์บรมศาสดาสมั มาสมั พุทธเจ้า หรอื คําว่า เถรภาษิต หรอื สาวกภาษิต หมายเอาภาษิตทพี ระเถระ พระสาวกของพระบรมศาสดา เป็นผู้กล่าว แม้นว่าเป็นภาษิตของพระโพธสิ ตั ว์ ก็จกั เรยี กว่า โพธสิ ตั ว์ภาษิต รวมถึง ภาษติ ของเหล่าเทวดา มกั จะใชว้ ่า เทวภาษติ หรอื ระบชุ อื กม็ ี เชน่ สกั กภาษติ เป็นตน้ ดงั นนั เมอื จะพจิ ารณาภาษติ นนั ๆ พงึ พจิ ารณาใหด้ ี ว่าเป็นภาษติ ของผใู้ ด และใช้ คาํ ใหถ้ กู กบั บุคคล ซงึ เรอื งนี ในวชิ าเรยี งความแกก้ ระทธู้ รรม เป็นเรอื งสาํ คญั มาก บ่งบอก ถงึ ภมู ริ ขู้ องแตล่ ะบคุ คล โดยเฉพาะในระดบั นกั ธรรมชนั โท และชนั เอก หากว่าไมท่ ราบว่า เป็นภาษติ ของผใู้ ด กใ็ หใ้ ชค้ าํ กลาง ๆ คอื “ธรรมภาษติ ” เทา่ นนั คาํ สาํ คญั (Keyword) และการค้นหา คาํ สาํ คญั ในภาษาองั กฤษตรงกบั คําว่า Keyword ซึงเป็นคําแสดงเนือหาสําคญั หรอื หวั ขอ้ หลกั ใหญใ่ นความนนั ๆ ทมี ขี อ้ ความแวดลอ้ มสนบั สนุนอยู่ คาํ สาํ คญั ในกระทู้ธรรม เป็นคําหลกั ทแี สดงหวั ขอ้ ธรรมทพี ระสมั มาสมั พุทธเจา้ พระปัจเจกพุทธเจา้ พระโพธสิ ตั ว์ พระเถรเจา้ หรอื เทวดา ใชเ้ ป็นคาํ หลกั ในการตรสั หรอื กลา่ วภาษติ ทอี มความไว้ ซงึ นกั เรยี นจะตอ้ งนํามาอธบิ ายขยายความใหก้ ระจา่ งชดั เจนได้ นอกจากนี คําสําคญั ในแต่ละภาษิตนัน อาจไม่ได้มเี พยี งคําเดียว สามารถมีได้ หลายคาํ ขนึ อยู่กบั ความสาํ คญั อนั เรยี งไล่ลาํ ดบั กนั ลงมา เมอื นกั เรยี นรจู้ กั คน้ หาคาํ สาํ คญั ๖
ในแต่ละธรรมภาษิต จะเป็นอุปการะในการเขยี นเรียงความมาก ซึงจะสามารถนําคํา เหล่านีมาอธบิ ายขยายไปเรอื ย ๆ จนครบความ ของธรรมภาษติ นันได้ นบั เป็นวธิ หี นึงใน การช่วยวางโครงสร้างการเขยี นเรยี งความได้ดี เมือเปรียบเทยี บกบั การฝึกหดั เขยี น เรยี งความแบบดงั เดมิ นัน ทใี หน้ ักเรยี นทดลองเขยี นเอง เสมอื นงมเขม็ ในมหาสมุทร ทํา ให้นักเรยี นไม่เขา้ ใจ เขยี นไม่ได้ ใจความวกวนดุจคนไม่มกี ารวางแผนทีดี แต่หากให้ นกั เรยี นไดเ้ รมิ จากการหาคาํ สาํ คญั นแี ลว้ ยอ่ มเขยี นไดผ้ ลดกี ว่าแบบดงั เดมิ การคน้ หาคาํ สาํ คญั ในแต่ละกระทู้ นกั เรยี นจาํ ตอ้ งอ่านพุทธศาสนสุภาษติ ทงั ภาษา บาลี และคําแปลใหเ้ ขา้ ใจก่อนว่า พุทธศาสนสุภาษติ นนั เกยี วกบั เรอื งอะไร มจี ุดมุง่ หมาย อย่างไร มคี ําอะไรบา้ งทนี ่าสนใจเป็นดบั แรก อนั ดบั ที ๒ หรอื ที ๓ ตามลําดบั แล้วนําคํา เหล่านนั มาเขยี นอธบิ ายเป็นลาํ ดบั ไป ตวั อยา่ งเชน่ อตฺตา หเว ชติ ํ เสยฺโย ๑. อ่านแลว้ มกี คี าํ ทนี ่าสนใจ ชนะตนนนั แหละ เป็นดี ๒ คาํ ๒. มคี าํ ว่าอะไรบา้ ง ตน, ชนะ ๓. คาํ ใดสาํ คญั เป็นคาํ หลกั “ตน” วริ เิ ยน ทกุ ฺขมจฺเจติ ๑. อา่ นแลว้ มกี คี าํ ทนี ่าสนใจ คนล่วงทุกขไ์ ดเ้ พราะความเพยี ร ๒ คาํ ๒. มคี าํ ว่าอะไรบา้ ง ทุกข,์ ความเพยี ร ๓. คาํ ใดสาํ คญั เป็นคาํ หลกั ลาํ ดบั ที ๑ ทุกข์ ลาํ ดบั ที ๒ ความเพยี ร นักเรียนจะสงั เกตได้ว่า คาํ สาํ คญั นัน จะเป็นคาํ นามทงั สิน ซึงจะเป็นกลุ่มคาํ หรอื วลี กไ็ ด้ แต่นักเรียนต้องพิจารณา และช่างนําหนักว่า คาํ นามใด มีความสาํ คญั สาํ คญั กว่ากนั แต่อยา่ งไรกต็ าม นักเรียนกต็ ้องนําคาํ เหลา่ นันมาอธิบายทงั สิน ๗
การเขียนอธิบายคาํ สาํ คญั ของกระทู้ธรรม คําว่า “อธิบาย” พจนานุกรม ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ (๒๕๔๖ : ๑๓๒๔) ไดใ้ หค้ วามหมายไวว้ า่ ก. ไขความ , ขยายความ , ชแี จง ฉะนัน สรุปไดว้ ่า การเขยี นอธบิ าย คอื การเขยี นไขความ การเขยี นขยายความ หรอื การเขยี นชแี จง ซงึ เป็นการเขยี นทมี ุ่งใหผ้ ูอ้ ่านเขา้ ใจเรอื งราวใดเรอื งราวหนึงอย่าง ถูกตอ้ งชดั เจน โดยมงุ่ ทจี ะบอกวา่ สงิ นนั ๆ มลี กั ษณะ มสี ภาพ หรอื ขอ้ เทจ็ จรงิ เป็นอยา่ งไร ซงึ ผเู้ ขยี นใหร้ ายละเอยี ด เหตุผล ทชี ดั เจน น่าเชอื ถอื และทสี าํ คญั อยา่ งยงิ ผเู้ ขยี นตอ้ งมี ประสบการณ์ หรอื ภูมริ ทู้ สี งั สมมาดอี กี ประการหนึงดว้ ย เช่น อตฺตา หเว ชติ ํ เสยฺโย คาํ สาํ คญั “ตน” ชนะตนนนั แหละ เป็นดี ตน หมายถงึ ตวั คน ในทนี ีหคอื ตวั เรา ซงึ ประชมุ ดว้ ยขนั ธ์ ๕ ไดแ้ ก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วญิ ญาณ ประกอบขนึ มาจากธาตุ ๔ คือ ธาตุดิน ธาตุนํา ธาตุไฟ และ ธาตลุ ม มอี วยั วะสมบรู ณ์ทงั ๓๒ วริ เิ ยน ทุกฺขมจฺเจติ คาํ สาํ คญั “ทุกข,์ ความเพยี ร” คนลว่ งทกุ ขไ์ ดเ้ พราะความเพยี ร ทุกข์ คือ ความยากลําบาก ความไม่สบายกายไม่สบายใจ เป็นสภาพทีทนได้ยาก บีบคนั ทงั ร่างกายและจติ ใจ ทําให้เกดิ ความเศรา้ หมอง ความเพยี ร ไดแ้ ก่ ความบากบนั ความพยายาม อุตสาหะ ไม่ทอดทงิ ธุระ ทรงไว้ซึงความหมัน มี ๒ ประการ คือ ความเพียรทางกาย และความเพยี รทางจติ ๘
แบบฝึ ก คาํ ชีแจง ใหน้ กั เรยี น อา่ นพทุ ธศาสนสุภาษติ ตอ่ ไปนี ใหล้ ะเอยี ด และ ๑) คน้ หา และเขยี นคาํ สาํ คญั ในพุทธศาสนสภุ าษติ นนั ๆ ๒) เขยี นอธบิ ายความหมาย หรอื คาํ จาํ กดั ความของคาํ สาํ คญั นนั ดว้ ย ๑) ททมาโน ปโิ ย โหติ ผใู้ ห้ ยอ่ มเป็นทรี กั ๒) ปุญญฺ ํ สขุ ํ ชวี ติ สงขฺ ยมหฺ ิ บญุ นําสขุ มาใหใ้ นเวลาสนิ ชวี ติ ๓) สลี ํ โลเก อนุตฺตรํ ศลี เป็นเยยี มในโลก ๔) อตฺตานํ ทมยนฺติ ปณฺฑติ า บณั ฑติ ยอ่ มฝึกตน ๕) จติ ฺตํ คตุ ฺตํ สุขาวหํ จติ ทคี ุม้ ครองแลว้ นําสุขมาให้ ๖) ทนฺโต เสฎฺโฐ มนุสฺเสสุ ในหมมู่ นุษย์ ผฝู้ ึกตนแลว้ เป็นผปู้ ระเสรฐิ สดุ ๗) นยํ นยติ เมธาวี คนมปี ัญญา ยอ่ มแนะนําทางทคี วรแนะนํา ๘) สกุ รํ สาธุนา สาธุ ความดี อนั คนดที าํ งา่ ย ๙) ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารี ธรรมยอ่ มรกั ษาผปู้ ระพฤตธิ รรม ๑๐) อปปฺ มตฺตา น มยี นฺติ ผไู้ มป่ ระมาท ยอ่ มไมต่ าย ๑๑) ขนฺตี ปรมํ ตโป ตตี กิ ฺขา ขนั ตคิ อื ความอดทน เป็นตบะอยา่ งยงิ ๑๒) กาลาคตญจฺ น หาเปติ อตฺถํ คนขยนั ยอ่ มไมพ่ รา่ ประโยชน์ชวั ตามกาล ๙
๑๓) ปุญญฺ ํ โจเรหิ ทหู รํ บุญอนั โจรนําไปไมไ่ ด้ ๑๔) อพฺยาปชฺฌํ สขุ ํ โลเก ความไมเ่ บยี ดเบยี นเป็นสขุ ในโลก ๑๕) สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชนิ าติ การใหธ้ รรมยอ่ มชนะการใหท้ งั ปวง ๑๖) อกฺโกเธน ชเิ น โกธํ พงึ ชนะความโกรธดว้ ยความไมโ่ กรธ ๑๗) สงฺขารา ปรมา ทุกฺขา สงั ขาร เป็นทกุ ขอ์ ยา่ งยงิ ๑๘) มุตฺวา ตปปฺ ติ ปาปิกํ คนเปล่งวาจาชวั ยอ่ มเดอื ดรอ้ น ๑๙) มาตา มติ ฺตํ สเก ฆเร มารดาเป็นมติ รในเรอื นของตน ๒๐) ทกุ ฺโข พาเลหิ สงฺคโม สมาคมกบั คนพาลนําทกุ ขม์ าให้ ๒๑) กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ ทาํ ดไี ดด้ ี ทาํ ชวั ไดช้ วั ๒๒) อเวเรน จ สมฺมนฺติ เวรยอ่ มระงบั ดว้ ยไมม่ เี วร ๒๓) กจิ ฺโฉ มนุสฺสปฏลิ าโภ ความไดเ้ ป็นมนุษยเ์ ป็นการยาก ๒๔) กจิ ฺโฉ พทุ ฺธานมปุ ปฺ าโท ความเกดิ ขนึ ของพระพทุ ธเจา้ เป็นการยาก ๒๕) อภูตวาที นิรยํ อเุ ปติ คนพดู ไมจ่ รงิ ยอ่ มเขา้ ถงึ นรก ๑๐
กระทู้ธรรม และการวางแผนการเขียน กระทู้ธรรม กระทู้ธรรม หรอื ธรรมภาษิต ตามหนังสอื พุทธศาสนสุภาษิต เล่ม ๑ - ๒ - ๓ นัน (ในทนี ีหมายเอาเฉพาะของนักธรรม ชนั ตร)ี มรี ูปแบบเฉพาะ ทงั การอ่านและการเขยี น จงึ จาํ ตอ้ งสาํ เหนยี กใหร้ แู้ ละเขา้ ใจเป็นพนื ฐานในการศกึ ษาขนั สงู ตอ่ ไป ๑. กระทู้ธรรม อตตฺ า หเว ชิตํ เสยโฺ ย. ๒. บาลี บทตงั ชนะตนนันแหละ เป็นดี. ๓. คาํ แปล บทตงั ๔. อกั ษรย่อคมั ภีร์ ข.ุ ธ. ๒๕/๒๙ ๑. กระทู้ธรรม เป็นบทบาลที แี สดงหวั ขอ้ ธรรม ในวชิ าเรยี งความแก้กระทู้ธรรม ของนกั ธรรมชนั ตรนี ี แบง่ เป็น กระทตู้ งั ๑ กระทเู้ ชอื ม ๑ ๒. บาลี บทตงั เป็นธรรมภาษติ ทเี ขยี นในรูปของภาษาบาลเี ท่านนั หา้ มเขยี นเป็น ภาษาบาลแี บบไทย ๓. คาํ แปล บทตงั เป็นบทแปล ความหมายของบาลี บทตงั เราจะนําคําแปลนีมา หาคาํ สาํ คญั และเขยี นอธบิ ายขยายความจากคาํ แปลนี ๔. อกั ษรย่อคมั ภีร์ เป็นอกั ษรย่อทแี สดงทมี าของธรรมภาษติ นันว่ามาจากคมั ภรี ์ ใด และยงั มตี วั เลข ซงึ ตวั เลขหน้า / บอกเลม่ ที และตวั เลขหลงั / บอกเลขทหี น้า การวางแผนการเขียนอธิบายขยายความกระทู้ธรรม การเขยี นอธบิ ายขยายความกระทู้ธรรม มหี ลกั สําคญั ในการเขยี นทนี ักเรยี นตอ้ ง เขา้ ใจในชนั ตน้ ๓ ประการ ดงั นี ๑. ตคี วามหมาย ๒. ขยายความใหช้ ดั เจน ๓. ตงั เกณฑอ์ ธบิ าย ๑๑
๑. ตีความหมาย ไดแ้ ก่ การคน้ หาคาํ สาํ คญั (Keyword) และการใหค้ ําจํากดั ความ หรอื ใหค้ วามหมายของคาํ สาํ คญั และใหค้ าํ อธบิ ายขอ้ ธรรมในบรบิ ทแวดลอ้ มนนั ๆ ว่า ขอ้ ธรรมนนั มคี าํ สาํ คญั วา่ อะไร มคี วามหมายอยา่ งไร บรบิ ทแวดลอ้ มกลา่ วถงึ สงิ ใด เช่น นตฺถิ ปญญฺ าสมา อาภา แสงสว่างเสมอดว้ ยปัญญา ไมม่ ี กระทธู้ รรมนี ตคี วามหมายไดว้ ่า ๑) คาํ สาํ คญั ทจี าํ เป็นตอ้ งเลอื กมาอธบิ ายก่อน ไดแ้ ก่ คาํ วา่ “ปัญญา” ๒) บรบิ ททแี วดลอ้ ม คอื “ไมม่ แี สงสวา่ งใดเสมอเหมอื น” ๒. ขยายความให้ชดั เจน ไดแ้ ก่ การขยายเนอื ความของคาํ ซงึ ไดใ้ หค้ วามหมายไว้ แลว้ กลา่ วคอื ๑) ตอ้ งขยายความต่อไปว่า “ปัญญา มเี ทา่ ไร อะไรบา้ ง” ๒) เหตใุ ดจงึ ไมม่ แี สงสว่างอนื ๆ เสมอดว้ ยแสงสวา่ งแห่งปัญญา เป็นตน้ ๓. ตงั เกณฑอ์ ธิบาย ไดแ้ ก่ การวางโครงร่างทจี ะอธบิ ายเนอื ความของเนอื หาวา่ มี อะไรบา้ ง มผี ลดแี ละผลเสยี อย่างไร มขี อ้ เปรยี บเทยี บ หรอื มตี วั อย่างมาประกอบใหเ้ หน็ เด่นชดั ไดห้ รอื ไม่ และควรจะนับถงึ ผลกรรมนัน ๆ อย่างไร จงึ จะทําให้ผู้อ่านผูฟ้ ังคลอ้ ย ตาม โดยเรยี งเป็นลําดบั ขนั ตอนก่อนหลงั ไม่สบั สนวกไปวนมา เฉกเช่นเดยี วกบั อธบิ าย สงิ ยากใหง้ ่าย อธบิ ายใหร้ อบดา้ น ดว้ ยภาษาทเี ขา้ ใจไดง้ า่ ย อธบิ ายแบบค่อยเป็นค่อยไป จนหมดความ ตวั อยา่ งเชน่ ๑) เมอื อธบิ ายขอ้ มลู หลกั ๆ หมดแล้ว จงึ ตงั เกณฑอ์ ธบิ ายต่อว่า “ถา้ เราไม่ สรา้ งปัญญาใหเ้ กดิ ขนึ แก่ตน จะเป็นเช่นไร” ๒) หรอื อธบิ าย ยกตวั อย่างของคนมปี ัญญา และคนไม่มปี ัญญา จะบงั เกดิ ผลอยา่ งไรแกช่ วี ติ บา้ ง หรอื ความมดื มนของผไู้ รป้ ัญญาสง่ ผลอยา่ งไร เป็นตน้ การพิจารณาการเขียนอธิบายกระท้ธู รรม การพจิ ารณาการเขยี นอธบิ ายกระทธู้ รรม ใหน้ กั เรยี นสงั เกตดจู ากความหมายของ บาลีแห่งกระทู้ธรรม ว่าเรอื งนัน มุ่งเน้นสงิ ใดเป็นหลกั ใหญ่ แล้วถอดคําไล่เรยี งลําดบั ความสาํ คญั จากมากไปหาน้อย และใหส้ งั เกตบรบิ ทแวดลอ้ มวา่ อุม้ ความ หรอื มงุ่ ขยายคาํ ใดเป็นหลกั คาํ นนั จกั ถอื เป็นคาํ สาํ คญั แห่งกระทนู้ นั ๑๒
เมอื พจิ ารณาคําสาํ คญั แลว้ จงึ มาดบู รบิ ทแวดลอ้ มทอี มความนนั ไว้ แลว้ ตงั เกณฑท์ ี ตนตอ้ งอธบิ ายใหด้ าํ เนินความไปถงึ ตามคาํ แปลบาลนี นั พรอ้ มยกตวั อยา่ ง ใหผ้ ลดี ผลเสยี อยา่ งชดั เจน ใหน้ กั เรยี นพจิ ารณาตวั อยา่ งต่อไปนี ตวั อย่างการพิจารณากระท้ธู รรม กมมฺ นุ า วตตฺ ตี โลโก. สตั วโ์ ลกย่อมเป็นไปตามกรรม. พิจารณา ก. คาํ สาํ คญั ๑) สตั วโ์ ลก ข. แนวอธิบาย ๒) กรรม ๑) สตั วโ์ ลก คอื อะไร มกี ปี ระเภท อะไรบา้ ง ๒) กรรม คอื อะไร มเี ทา่ ไร อะไรบา้ ง ๓) สตั วโ์ ลกเป็นไปตามกรรมอยา่ งไร ๔) ตวั อยา่ ง นิทานประกอบเรอื งผลของกรรม ตวั อย่างการเขียนอธิบาย “สตั ว์โลก หมายถึง หมู่สตั ว์ทมี ชี วี ติ ดํารงชพี อยู่บนโลก ซึงหมายเอาบุคคล เช่น ตวั เรา เป็นตน้ มใิ ช่สตั วเ์ ดยี รจั ฉานทวั ไป ส่วนคาํ ว่า กรรม แปลว่า การกระทาํ ซงึ เป็นคาํ กลาง ๆ ไม่บ่งชชี ดั ว่าเป็นส่วนดี หรอื สว่ นชวั กรรม โดยทวั ไปมี ๒ ประเภท ไดแ้ ก่ กรรม ดี ๑ กรรมชวั ๑ กรรมดี เป็นการกระทาํ ในดา้ นดี ทาํ แลว้ มคี วามสขุ ใจ อมิ เอบิ ใจ เป็นหลกั ไม่ว่าจะทางกาย มเี มตตากรุณาต่อสตั ว์ ไม่ทําร้ายร่างกาย เป็นต้น ส่วนทางวาจา มี การพดู ดี ไม่โกหก พูดแต่คําสุภาพ เป็นต้น และทางใจ มกี ารคดิ ดี ไม่พยาบาท จองเวร ใคร เป็นตน้ แต่กรรมชวั ย่อมมเี หตุในทางตรงขา้ ม ไมว่ ่าจะทางกาย มฆี า่ สตั ว์ ลกั ทรพั ย์ เป็นต้น ทางวาจา มกี ารพูดโกหก เพอ้ เจ้อ ส่อเสยี ด เป็นต้น ทางใจ มคี วามคดิ อาฆาต พยาบาท เป็นตน้ ทงั สามทางนี เป็นกรรมชวั บุคคลใด หรอื สตั ว์โลกใดทดี ํารงชพี อยู่ใน สงั สารวฏั ฏ์นี ประกอบพร้อมด้วยความดี ทงั ทางกาย วาจา ใจ ก็ย่อมได้ชือว่าเป็นผู้ ประกอบกรรมดี หากแมน้ ว่าบุคคลใด หรอื สตั ว์ใด ประกอบพรอ้ มดว้ ยกรรมชวั ทงั ทาง กาย วาจา ใจ กย็ อ่ มไดช้ อื ว่าเป็นผปู้ ระกอบกรรมชวั ในพระศาสนานี มคี วามเชอื ตามหลกั แหง่ เหตุและผลอยปู่ ระการหนึงว่า หวา่ นพชื เช่นไร ยอ่ มไดผ้ ลเชน่ นนั หมายถงึ ใครกระทํา ๑๓
เช่นไร ก็ย่อมได้ผลเช่นนัน อาทเิ ช่น พระภิกษุ ประพฤติตนอยู่ในพระวนิ ัย ไม่ก้าวล่วง สกิ ขาบทใด ๆ ยอ่ มไมว่ ปิ ปฏสิ ารเดอื ดรอ้ นใจ อย่ใู นผา้ กาสาวพสั ตรไ์ ดอ้ ย่างสงบ ไปแห่ง หนตําบลใดกอ็ าจหาญ รนื เรงิ ในคุณแห่งศลี ของตน หรอื ในนิทานจนี เช่น คนฆ่าสตั วข์ าย เลยี งชพี เป็นอาจณิ เมอื ก่อนจะสนิ วายชวี า กม็ อี าการร้อนรน ดุจสตั ว์ทตี นไดฆ้ ่าฉะนัน เป็นต้น เพราะฉะนัน บุคคลใด หรอื สตั ว์โลกใด ประพฤติปฏบิ ตั ิตนเช่นไร ก็ไม่อาจพ้น อํานาจแหง่ กรรมทตี นไดก้ ระทาํ ไวเ้ ป็นแน่แทท้ เี ดยี ว” ๑๔
แบบฝึ ก คาํ ชีแจง ให้นักเรยี นอ่าน และทําความเขา้ ใจกระทู้ธรรมต่อไปนี แล้วพจิ ารณากระทู้ ธรรม และวางแผนการเขยี น ตามหวั ขอ้ ต่อไปนี ก. คาํ สาํ คญั ข. แนวอธบิ าย ๑) อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ. ตนแล เป็นทพี งึ ของตน. ข.ุ ธ. ๒๕/๓๖, ๖๖ ๒) ทนโฺ ต เสฎโฺ ฐ มนุสฺเสส.ุ ในหมมู่ นุษย์ ผฝู้ ึกตนแลว้ เป็นผปู้ ระเสรฐิ สดุ . ข.ุ ธ. ๒๕/๓๓ ๓) จติ ฺตํ คุตฺตํ สุขาวห.ํ จติ ทคี ุม้ ครองแลว้ นําสุขมาให.้ ข.ุ ธ. ๒๕/๑๓ ๔) สานิ กมฺมานิ นยนฺติ ทคุ ฺคต.ิ กรรมชวั ของตนเอง ยอ่ มนําไปสทู่ ุคคต.ิ ข.ุ ธ. ๒๕/๔๗ ๕) ธมฺโม สจุ ณิ ฺโณ สขุ มาวหาต.ิ ธรรมทปี ระพฤตดิ แี ลว้ นําสขุ มาให.้ ส.ํ ส. ๑๕/๕๘ ๖) อปปฺ มตฺโต หิ ฌายนฺโต ปปโฺ ปติ วปิ ุลํ สขุ .ํ ผไู้ มป่ ระมาทพนิ ิจอยู่ ยอ่ มถงึ สุขอนั ไพบลู ย.์ ข.ุ ธ. ๒๕/๑๘ ๑๕
๗) ขนฺตพิ ลา สมณพฺราหฺมณา. สมณพราหมณ์ มคี วามอดทนเป็นกําลงั . องฺ.อฏฺฐก. ๒๓/๒๒๗ ๘) วริ เิ ยน ทุกฺขมจฺเจต.ิ คนลว่ งทกุ ขไ์ ดเ้ พราะความเพยี ร. ข.ุ สุ. ๒๕/๓๖๑ ๙) ปญฺญํ สขุ ํ ชีวิตสงขฺ ยมหฺ ิ. บุญนําสขุ มาใหใ้ นเวลาสนิ ชวี ติ . ข.ุ ธ. ๒๕/๕๙ ๑๐) นิพฺพานํ ปรมํ สุข.ํ นิพพานเป็นสุขอยา่ งยงิ . ข.ุ ธ. ๒๕/๕๙ ๑๖
วิธีการแต่ง และสาํ นวนโวหาร วิธีการแต่งกระทู้ธรรม การแต่งกระทธู้ รรม ตามหลกั การมอี ยู่ ๒ แบบ คอื ๑. แบบตงั วง คอื อธบิ ายความหมายของธรรมขอ้ นัน ๆ เสยี ก่อนแล้วจงึ ขยายความออกไป ๒. แบบตีวง คอื บรรยายเนือความไปก่อนแล้ว จึงวกเข้าหาความหมาย ของกระทธู้ รรมนนั ในการแต่งกระทูธ้ รรม ส่วนมากผแู้ ต่งจะนิยมแต่งแบบที ๑ คอื แบบตงั วง อธบิ าย ความหมายภาษติ นันก่อน แล้วจงึ ขยายความใหช้ ดั เจนต่อไป ซงึ ถอื เป็นวธิ กี ารทสี ะดวก และงา่ ยต่อการเขา้ ใจ เพยี งไล่อธบิ ายไปทลี ะขนั ตอน ภาษาในการใช้ การแต่งกระทูธ้ รรม ใหใ้ ช้ภาษาเขยี นกงึ ทางการทเี ขา้ ใจง่าย มคี วามถูกต้องตาม หลกั ภาษา และความนิยม ไมใ่ ชค้ ําทโี ลดโผนเกนิ งาม และเป็นภาษาทเี ขา้ ถงึ ไดท้ ุกระดบั ดงั นี ๑. ใชภ้ าษาเขยี นทถี กู ตอ้ ง เป็นประโยคทสี มบรู ณ์ มปี ระธาน กรยิ า กรรม ๒. ไมใ่ ชภ้ าษาตลาด ภาษาแสลง หรอื ศพั ทท์ เี ขา้ ใจเฉพาะกลมุ่ ๓. ไมใ่ ชภ้ าษาพนื เมอื ง หรอื ภาษาทอ้ งถนิ ๔. ไมใ่ ชภ้ าษาตา่ งประเทศ เช่น ภาษาองั กฤษ เป็นตน้ สาํ นวนโวหาร โวหาร หมายถงึ ถอ้ ยคําทใี ชใ้ นการสอื สารทเี รยี บเรยี งเป็นอย่างดี มวี ธิ กี าร มชี นั เชงิ และมศี ลิ ปะ เพอื สอื ให้ผู้รบั สารรบั สารไดอ้ ย่างแจ่มแจ้ง ชดั เจนและลกึ ซงึ รบั สารได้ ตามวตั ถปุ ระสงคข์ องผสู้ ง่ สาร ๑๗
ประเภทของโวหาร ในการเขยี นเรอื งตา่ ง ๆ อาจใชโ้ วหารทเี หมาะแกข่ อ้ ความของเรอื งนนั ๆ ซงึ โวหาร แบง่ ได้ ๕ ประเภท ดงั นี ๑. บรรยายโวหาร คือ โวหารทีใช้บอกกล่าว เล่าเรือง อธิบาย หรือบรรยาย เรอื งราว เหตุการณ์ ตลอดจนความรูต้ ่าง ๆ อย่างละเอยี ด เป็นการกล่างถงึ เหตุการณ์ที ต่อเนืองกัน โดยชีให้เห็นถึงสถานทีทีเกิดเหตุการณ์ สาเหตุทีก่อให้เกิดเหตุการณ์ สภาพแวดล้อม บุคคลทเี กยี วขอ้ ง ตลอดจนผลทเี กดิ จากเหตุการณ์นัน เพอื ให้ผูร้ บั สาร เขา้ ใจเนือหา สาระอยา่ งแจ่มแจง้ ชดั เจน เนือหา ทบี รรยายอาจเป็นเรอื งทสี มมุตหิ รอื เรอื ง จรงิ ก็ได้ เรืองทีใช้บรรยายโวหาร ได้แก่ การเขยี นตํารา รายงาน บทความ เรอื งเล่า จดหมาย บนั ทกึ ชวี ประวตั ิ ตํานาน เหตุการณ์ บรรยายภาพ บรรยายธรรมชาติ บรรยาย บุคลกิ ลกั ษณะบุคคล สถานที รายงานหรอื จดหมายเหตุ การรายงานข่าว การอธบิ าย ความหมายของคาํ การอธบิ ายกระบวนการ การแนะนํา วธิ ปี ฏบิ ตั ใิ นเรอื งต่าง ๆ เป็นตน้ หลกั การเขียนบรรยายโวหาร ๑) เรอื งทเี ขยี นตอ้ งเป็นเรอื งจรงิ ผเู้ ขยี นควรมคี วามรูเ้ กยี วกบั เรอื งทจี ะเขยี นเป็น อยา่ งดี โดยอาจรมู้ าจากประสบการณ์ หรอื การคน้ ควา้ กไ็ ด้ ๒) เลอื กเขยี นเฉพาะสาระสําคญั ไม่เน้นรายละเอยี ด แต่เขยี นแบบตรงไปตรงมา ไมอ่ อ้ มคอ้ ม ๓) ใชภ้ าษาใหเ้ ขา้ ใจงา่ ย หากตอ้ งการจะกล่าวใหช้ ดั อาจใชอ้ ุปมาโวหารและสาธก โวหารเขา้ ชว่ ยไดบ้ า้ ง แต่ตอ้ งไมม่ ากจนสว่ นทเี ป็นสาระสาํ คญั กลายเป็นสว่ นดอ้ ยไป ๔) เรยี บเรยี งความคดิ ใหต้ ่อเนือง และสมั พนั ธก์ นั ตวั อยา่ งบรรยายโวหาร ภูเขาไฟฟูจเิ ป็นภูเขาศกั ดสิ ทิ ธทิ สี ุดในประเทศญปี ุ่นมาหลายศตวรรษแลว้ แต่แรก ภูเขานีเป็นทเี คารพบูชาของชนพนื เมอื งเผา่ ไอนุ ซงึ ปัจจุบนั ยงั อย่ตู ามหมเู่ กาะฮอกไกโด ซึงเป็นเกาะใหญ่ทอี ยู่เหนือสุดชาวไอนุขนานนาม ภูเขานีตามชอื เทพธดิ า “ฟูช”ิ (fuchi) ผูเ้ ป็นเทพธดิ าแห่งอคั คี ชาวญปี ุ่นยงั คงนับถอื ภูเขาไฟฟูจติ ่อมา และเรยี กชอื ตามทพี วก ไอนุตงั ไว้ บรรดาผูน้ ับถอื ศาสนาชนิ โตเชอื ว่า ในธรรมชาตทิ ุกรูปแบบจะมเี ทพ หรอื กามิ (kami) สถติ อยู่ แต่เทพทสี ถติ ในภูเขาจะศกั ดสิ ทิ ธเิ ป็นพเิ ศษ ภูเขาฟูจซิ งึ สงู ทสี ุดและงาม ๑๘
ทสี ุดในประเทศ จงึ ไดร้ บั ความเคารพเป็นพเิ ศษ เพราะถอื ว่าเป็นสถานทสี ถิตของทวย เทพ เป็นจุดเชอื มโยงระหว่างความลกึ ลบั ของสวรรค์ และความเป็นจรงิ ของโลกมนุษย์ (เกศกานดา จตุรงคโชค (บรรณาธกิ าร): โลกพสิ ดาร แดนพศิ วง) ๒. พรรณนาโวหาร คอื โวหารทใี ชก้ ล่าวถงึ เรอื งราว สถานที บุคคล สงิ ของ หรอื อารมณ์อย่างละเอยี ด สอดแทรกอารมณ์ความรูส้ กึ ลงไป เพอื โน้มน้าวใจใหผ้ ูร้ บั สารเกดิ ภาพพจน์ เกดิ อารมณ์คลอ้ ยตามไปดว้ ย ใชใ้ นการพดู โน้มน้าวอารมณ์ของผฟู้ ัง หรอื เขยี น สดุดี ชมเมอื ง ชมความงามของบคุ คล สถานทแี ละแสดงอารมณ์ความรสู้ กึ ตา่ ง ๆ เป็นตน้ การใชพ้ รรณนาโวหาร ควรมคี วามประณีตในการเลอื กใชถ้ อ้ ยคาํ สาํ นวนทไี พเราะ เพราะพรงิ เล่นคํา เล่นอกั ษร ใช้ถ้อยคําทงั เสยี งและความหมายให้ตรงกบั ความรู้สกึ ที ตอ้ งการพรรณนา รจู้ กั ปรงุ แต่งถอ้ ยคาํ ใหผ้ รู้ บั สารเกดิ ภาพพจน์ ใชโ้ วหารเปรยี บเทยี บให้ เหน็ ภาพชดั เจน รจู้ กั เลอื กเฟ้นเนือหาว่าสว่ นใดควรนํามาพรรณนา ตอ้ งเขา้ ใจเนือหาทจี ะ พรรณนาเป็นอย่างดี และพรรณนาให้เป็นไปตามอารมณ์ความรูส้ กึ โดยไม่เสแสรง้ บาง กรณีอาจตอ้ งใชอ้ ุปมาโวหารหรอื สาธกโวหารประกอบดว้ ย หลกั การเขียนพรรณนาโวหาร ๑) ตอ้ งใชค้ ําดี หมายถงึ การเลอื กสรรถ้อยคํา เพอื ใหส้ อื ความหมาย สอื ภาพ สอื อารมณ์เหมาะสมกบั เนอื เรอื งทตี อ้ งการบรรยาย ควรเลอื กคํา ทใี หค้ วามหมายชดั เจน ทงั อาจตอ้ งเลอื กใหเ้ สยี งคาํ สมั ผสั กนั เพอื เกดิ เสยี งเสนาะอยา่ งสมั ผสั สระ สมั ผสั อกั ษร ในงาน รอ้ ยกรอง ๒) ต้องมใี จความดี แม้จะพรรณนายดื ยาว แต่ใจความต้องมุ่งให้เกดิ ภาพ และ อารมณ์ความรสู้ กึ สอดคลอ้ งกบั เนือหาทกี ําลงั พรรณนา ๓) อาจต้องใชอ้ ุปมาโวหาร คอื การเปรยี บเทยี บเพอื ใหไ้ ดภ้ าพชดั เจน และมกั ใช้ ศลิ ปะการใช้คําทเี รยี กว่า ภาพพจน์ประเภทต่าง ๆ ทงั นีเป็นวธิ กี ารทจี ะทําให้พรรณนา โวหารเดน่ ทงั การใชค้ าํ และการใชภ้ าพทแี จม่ แจง้ อ่านแลว้ เกดิ จนิ ตนาการและความรสู้ กึ คลอ้ ยตาม ๔) ในบางกรณีอาจตอ้ งใชส้ าธกโวหารประกอบดว้ ย คอื การยกตวั อยา่ งเพอื ใหเ้ กดิ ความแจ่มแจ้ง โดยยกตัวอย่างสงิ ทีละม้ายคล้ายคลึงกัน เพือให้เกิดภาพและอารมณ์ เด่นชดั พรรณนาโวหารมกั ใชก้ บั การชมความงามอนื ๆ เช่น ชมสถานที สรรเสรญิ บุคคล หรอื ใชพ้ รรณนาอารมณ์ ความรสู้ กึ เช่น รกั เกลยี ด โกธร แคน้ เศรา้ สลด เป็นตน้ ๑๙
ตวั อยา่ งพรรณนาโวหาร เขาใชแ้ ขนยนั พนื ดนิ อาการเหนือยอ่อน กลนิ นําฝนบนใบหญ้าและกลนิ ไอดนิ โซน เขา้ จมูกวาบหววิ อยากให้มใี ครซกั คนผ่านมาพบ เพอื พาเขากลบั ไปหาหมอในหมู่บ้าน มดหลายตวั เดนิ สวนขบวนผ่านไปมา มนั ไม่มที ที ่าจะสนใจเขาเลยแมแ้ ต่น้อย เขามองดู มนั อย่างเลอื นลอยทําไมมนั จงึ เฉยเมยกบั ฉัน มนั คงรูแ้ น่ ฉันอยากให้มนั เป็นคนจรงิ ๆ ฉนั จะตอ้ งกลบั บา้ นใหไ้ ด้ เขาคดิ พลางเหมง่ มองดยู อดสนของหมบู่ า้ น หาดเสยี วเหน็ อยไู่ ม่ ไกล ดวงอาทติ ยส์ แี ดงเขม้ กาํ ลงั คลอ้ ยลงเหนอื ยอดไมท้ างทศิ ตะวนั ตก (นคิ ม รายวา: คนบนตน้ ไม)้ ๓. อปุ มาโวหาร คอื โวหารทกี ล่าวเปรยี บเทยี บ เพอื ใหผ้ รู้ บั สารเขา้ ใจความหมาย อารมณ์ความรู้สกึ หรือเห็นภาพชดั เจนยิงขนึ มกั ใช้ประกอบโวหารประเภทอืน เช่น เทศนาโวหาร บรรยายโวหาร โดยเฉพาะพรรณนาโวหาร เพราะจะช่วยใหร้ สของถอ้ ยคํา และรสของเนือความมคี วามไพเราะสละสลวยยงิ ขนึ ทงั สารทเี ป็นรูปธรรมและนามธรรม การเปรยี บเทยี บอาจเปรยี บความเหมอื นกนั หรอื คลา้ ยคลงึ กนั เปรยี บเทยี บความขดั แยง้ หรือลักษณะตรงกันข้าม หรือเปรียบเทียบโดยให้ผู้รบั สารโยงความคิดหนึงไปสู่อีก ความคิดหนึง โดยอาจกล่าวลอย ๆ หรืออาจใช้คําแสดงการเปรียบเทียบ ซึงมีอยู่ หลากหลาย เช่น เหมอื น เสมอื น คลา้ ย ดุจ ดงั ดงั ดุจดงั ราว ดูราว ปาน เพยี ง ประหนึง เชน่ เฉก ฯลฯ การใช้อุปมาโวหาร ควรเลอื กใชถ้ ้อยคําทเี ขา้ ใจง่าย และมคี วามสละสลวย แสดง การเปรยี บเทยี บไดถ้ กู ตอ้ ง เหมาะสมกบั เนือหา และจงั หวะลลี า ซงึ อาจกลา่ วลอย ๆ กไ็ ด้ เนือหาทจี ะเปรยี บเทยี บควรเป็นเนือหาทอี ธบิ ายให้เขา้ ใจได้ยาก เปรยี บเทยี บกบั สงิ ที เขา้ ใจไดง้ ่าย หรอื สงิ ทผี รู้ บั สารรูด้ อี ยู่แล้ว และขอ้ ความทจี ะยกมาเปรยี บเทยี บ (อุปไมย) กบั ขอ้ ความทนี ํามาเปรยี บเทยี บ (อุปมา) จะตอ้ งเหมาะสมกนั อุปมาโวหารใชเ้ ป็นโวหาร เสรมิ บรรยายโวหาร พรรณนาโวหาร และเทศนาโวหาร เพอื ใหช้ ดั เจนและน่าอ่านยงิ ขนึ ตวั อย่างอปุ มาโวหาร …ดงั นี เจ้าจะเห็นได้ว่าเมยี ทพี ่อจดั หาให้มีตระกูล สมชาติ สมเชือกนั ดี เพราะ ตระกูลของเรากม็ งั มี มคี นนับหน้าถอื ตา ญาตพิ นี ้องทงั ฝ่ายบดิ ามารดาของนางกบ็ รบิ รู ณ์ รปู รา่ งงามหาตาํ หนมิ ไิ ด้ ผมดาํ ราวกบั แมลงผงึ หน้าเปลง่ ปลงั ดงั ดวงจนั ทร์ เนตรประหนึง ตากวาง จมูกแมน้ ดอกงา ฟันเทยี บไขม่ ุก รมิ ฝีปากเพยี งผลตําลงึ สุก เสยี งหวานปานนก ๒๐
โกกลิ า ขาคอื ลาํ กลว้ ย เอวเหมาะเจาะไมอ่ ว้ นเกนิ เวลายา่ งเดนิ แคลว่ คลอ่ งมสี งา่ เสมอชา้ ง ทรง เพราะฉะนนั เจา้ จะหาทางตําหนขิ ดั ขอ้ งมไิ ดเ้ ลย... (เสฐยี รโกเศศ: กามนิต) ๔. สาธกโวหาร คอื โวหารทมี ุ่งใหค้ วามชดั เจนโดยการยกตวั อย่าง หรอื เรอื งราว ประกอบการอธิบายเนือหาสาระ เพือสนับสนุนข้อคิดเห็นต่าง ๆ ให้หนักแน่น สมเหตสุ มผล ทาํ ใหผ้ รู้ บั สารเขา้ ใจเนือหาสาระในสงิ ทพี ดู หรอื เขยี นอยา่ งแจ่มแจง้ ชดั เจน ดสู มจรงิ หรอื น่าเชอื ถอื ยงิ ขนึ ตวั อย่างหรอื เรอื งราว ทยี กขนึ ประกอบอาจเป็นเรอื งสนั ๆ หรอื เรอื งราวยาว ๆ กไ็ ดต้ ามความเหมาะสม เช่น ประสบการณ์ตรงของผสู้ ง่ สาร เรอื งราว ของบุคคล เหตุการณ์ นิทาน ตํานาน วรรณคดี เป็นตน้ สาธกโวหารมกั ใชเ้ ป็นอุทาหรณ์ ประกอบอยใู่ นเทศนาโวหาร หรอื อธบิ ายโวหาร การใชส้ าธกโวหาร ควรใชถ้ อ้ ยคาํ ภาษาทเี ขา้ ใจงา่ ย รจู้ กั เลอื กว่าเนือหาตอนใดควร ใชต้ วั อยา่ ง หรอื เรอื งราวประกอบ และตวั อยา่ งทยี กมาประกอบตอ้ งสอดคลอ้ งกบั เนือหา และเป็นเรืองทีน่าสนใจ สมเหตุสมผล สาธกโวหารมกั แทรกอยู่ในโวหารอืน ๆ เช่น บรรยายโวหาร หรอื เทศนาโวหาร ตวั อย่างสาธกโวหาร ไม่มอี ะไรทนี ่าเอา...แต่คนทวั ไปกย็ งั อยากจะเอาอยู่ เงนิ ทองกอ็ ยากได้ ชอื เสยี งก็ อยากได้ อุง้ ตนี หมกี อ็ ยากจะกนิ อํานาจยงิ อยากไดม้ ากขนึ ทุกคนอยากเป็นใหญ่เป็นโต เป็นเจ้าแห่งรุสเซีย ซึงใหญ่มหึมาแล้วยังไม่พอ เป็นเจ้าแห่งอเมริกาแล้วก็ยงั ไม่พอ ทะเยอทะยานอยากจะเป็นเจา้ โลก อยากเป็นพระเจา้ อเลก็ ซานเดอร์มหาราช ซงึ โลกทงั โลกตอ้ งมาสยบอยู่แทบฝ่าพระบาท แต่กย็ งั อุตสา่ หม์ ตี าแก่คนหนึงซงึ นอนอย่ขู า้ งถนน มี หลงั คา สบั ปะรงั เคคลุมหวั อยพู่ อหลบฝนได้ พระเจา้ อเลก็ ซานเดอรเ์ หน็ สภาพ สุดอนาถา เช่นนันกส็ งสาร ตรสั ถามว่า “เจา้ อยากได้อะไร จงขอมา...ขา้ จะใหเ้ อง็ ” “ขออย่างเดยี ว เท่านัน ขออย่าไดม้ ายนื บงั แสงอาทติ ยเ์ กลา้ กระผมชอบ แสงแดดอ่อนๆ ยามเชา้ ” นีคอื คาํ ตอบของตาแก่ผมยาว ร่างกายแสนจะสกปรกทที าํ ใหจ้ อมราชนั ผพู้ ชิ ติ ถงึ กบั ตะลงึ (วลิ าศ มณีวตั ) ๕. เทศนาโวหาร คอื โวหารทมี ุ่งเน้นโน้มน้าวใจใหเ้ กดิ ความรูส้ กึ คลอ้ ยตาม เป็น การกล่าวในเชงิ อบรม แนะนําสงั สอน เสนอทศั นะ ชแี นะ หรอื โน้มน้าวชกั จูงใจโดยยก ๒๑
เหตุผล ตวั อย่าง หลกั ฐาน ขอ้ มูล ขอ้ เทจ็ จรงิ สุภาษิต คตธิ รรม และสจั ธรรมต่าง ๆ มา แสดงเพอื ใหผ้ อู้ ่านเกดิ ความเขา้ ใจทกี ระจ่างจนยอมรบั เชอื ถอื มคี วามเหน็ คลอ้ ยตาม และ ปฏบิ ตั ติ าม โวหารประเภทนี มกั ใชใ้ นการใหโ้ อวาท อบรมสงั สอน อธบิ ายหลกั ธรรม และ คาํ ชแี จงเหตผุ ล ในเรอื งใดเรอื งหนึง การเสนอทศั นะ เป็นตน้ หลกั การเขียนเทศนาโวหาร การเขยี นเทศนาโวหารต้องใช้โวหารประเภทต่าง ๆ มาประกอบ กล่าวคอื ทงั ใช้ บรรยายโวหาร พรรณนาโวหาร รวมทงั อุปมาโวหาร และสาธกโวหารด้วย ทงั นีเพอื ให้ ใจความชดั เจน แจ่มแจง้ มที งั ความหลกั และความรองเป็นทเี ขา้ ใจจนเกดิ ความรสู้ กึ นึกคดิ คล้อยตามผู้เขียน ไปได้หากเป็ นการแสดงความคิดเห็นควรอธิบายทังด้านทีเป็น ประโยชน์และโทษ หรอื แสดงเหตแุ ละผล การเขียนเทศนาโวหาร ผู้เขียนต้องมีความรู้เกียวกับเรืองทีเขยี นเป็นอย่างดี สามารถอธบิ ายอย่างชดั เจน ทงั ควรพรรณนาใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจอย่างลกึ ซงึ ตอ้ งรูจ้ กั ใช้ เหตผุ ล และหลกั ฐานสนบั สนุนความคดิ เหน็ ทตี นเสนอดว้ ย การลาํ ดบั ความใหส้ มั พนั ธก์ นั อย่างมเี หตุผล จงึ เป็นหลกั สําคญั อกี ประการหนึง ในการเขยี นเทศนาโวหารโดยทวั ไป มกั เขา้ ใจกนั ว่า เทศนาโวหาร แปลว่า โวหารทมี ุ่งสงั สอน โดยตีความคําว่า เทศนา ว่า สงั สอน ความจรงิ เทศนาในทนี ี หมายถงึ แสดง กล่าวคอื แสดงอย่างแจ่มแจง้ เพอื ใหเ้ หน็ คลอ้ ยตาม รูปแบบงานเขยี นทคี วรใชเ้ ทศนาโวหาร คอื งานเขยี นประเภทบทความชกั จูง ใจ หรอื บทความแสดงความคดิ เหน็ ความเรยี ง เป็นตน้ ตวั อยา่ งเทศนาโวหาร “…เราโชคดที ีมภี าษาของตนเองแต่โบราณกาล จงึ สมควรอย่างยงิ ทจี ะรกั ษาไว้ ปัญหาเฉพาะในดา้ นการรกั ษาภาษานีกม็ หี ลายประการ อยา่ งหนึงตอ้ งรกั ษาใหบ้ รสิ ุทธใิ น ทางการออกเสยี ง คอื ใหอ้ อกเสยี งใหถ้ กู ตอ้ งชดั เจน อกี อยา่ งหนึงตอ้ งรกั ษาใหบ้ รสิ ทุ ธใิ น วธิ กี ารใช้ หมายความวา่ วธิ ใี ชค้ าํ มาประกอบเป็นประโยคนบั เป็นปัญหาทสี าํ คญั ปัญหา ทีสาม คอื ความรํารวยในคําของภาษาไทย ซึงพวกเรานึกว่าไม่รํารวยพอ จึงต้องมี การบญั ญตั ศิ พั ทใ์ หมม่ าใช.้ ..” “...ในปัจจุบนั นีปรากฏว่า ไดม้ กี ารใชถ้ อ้ ยคําออกจะฟุ่มเฟือยและไม่ตรงกบั ความ อนั แท้จรงิ อยู่เนือง ๆ ทงั การออกเสยี งก็ไม่ถูกต้องตามอักขรวธิ ี ถ้าปล่อยให้เป็นดงั นี ๒๒
ภาษาของเรากม็ แี ต่จะทรดุ โทรม ชาตไิ ทยเรามภี าษาของเราใชเ้ องเป็นสงิ ประเสรฐิ อยู่แลว้ เป็นมรดกอนั มคี ่าตกทอดมาถงึ เราทุกคนมหี น้าทจี ะตอ้ งรกั ษาไว.้ ..” (พระราชดาํ รสั พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ) สาํ นวนการเขยี นเรยี งความแกก้ ระทธู้ รรมทดี ี ส่วนใหญ่จะใชโ้ วหารทงั ๕ ประเภท ขา้ งตน้ เป็นพนื แตท่ สี าํ คญั ขาดมไิ ด้ และใชเ้ ป็นหลกั ในการเขยี น คอื ใชส้ าํ นวนแบบเทศนา โวหาร โดยมหี ลกั การเขยี นสงั เขป ดงั นี ๑. ขอ้ ความทเี ขยี นนนั จะตอ้ งมเี หตุผลใชเ้ ป็นหลกั ฐานอา้ งองิ ได้ ๒. มอี ุทาหรณ์และหลกั คตธิ รรม ๓. ผเู้ ขยี นจะตอ้ งแสดงใหเ้ หน็ วา่ ตนมลี กั ษณะและคณุ สมบตั พิ อเป็นทเี ชอื ถอื ได้ หลกั ยอ่ ๆ ทีควรจาํ เป็นเกณฑอ์ ธิบายในการแต่งกระทู้ ๑. วเิ คราะหศ์ พั ท์ คอื การแสดงความหมายของกระทตู้ งั แลว้ วางเคา้ โครงทจี ะ แตง่ ต่อไป ๒. ขยายความ คอื การอธบิ ายใหก้ วา้ งออกไปตามแนวกระทตู้ ามเหตแุ ละผล ๓. เปรยี บเทยี บ คอื ยกขอ้ ความทตี รงขา้ มกนั มาเปรยี บเทยี บเพอื ใหเ้ หน็ ไดช้ ดั ในสงิ ทพี ดู ไป ๔. ยกสภุ าษติ รบั คอื การนํากระทสู้ ุภาษติ มารบั มาอา้ ง ๕. ยกตวั อยา่ ง คอื ยกตวั อยา่ งธรรมะ หรอื บุคคล สถานทมี าเป็นตวั อยา่ ง ๖. สรปุ ความ คอื ยอ่ ความทกี ลา่ วมาแลว้ นนั ใหเ้ ขา้ ใจงา่ ย กอ่ นทจี ะจบกระทู้ ๒๓
แบบฝึ ก คาํ ชีแจง ใหน้ ักเรยี นอ่าน และทําความเขา้ ใจกระทูธ้ รรมต่อไปนี แลว้ เขยี นอธบิ ายกระทู้ ธรรมนนั โดย :- ๑) วางแผนการเขยี น ตามทไี ดศ้ กึ ษาในบทก่อน ๒) ฝึกเขยี นอธบิ ายกระทธู้ รรม ดว้ ยสาํ นวนโวหารตา่ ง ๆ ทไี ดศ้ กึ ษามา ๑) อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ. ตนแล เป็นทพี งึ ของตน. ข.ุ ธ. ๒๕/๓๖, ๖๖ ๒) ทนโฺ ต เสฎโฺ ฐ มนสุ ฺเสส.ุ ในหมมู่ นุษย์ ผฝู้ ึกตนแลว้ เป็นผปู้ ระเสรฐิ สดุ . ข.ุ ธ. ๒๕/๓๓ ๓) จติ ฺตํ คุตฺตํ สุขาวห.ํ จติ ทคี ุม้ ครองแลว้ นําสขุ มาให.้ ข.ุ ธ. ๒๕/๑๓ ๔) สานิ กมฺมานิ นยนฺติ ทคุ ฺคต.ิ กรรมชวั ของตนเอง ยอ่ มนําไปสทู่ ุคคต.ิ ข.ุ ธ. ๒๕/๔๗ ๕) ธมฺโม สุจณิ ฺโณ สุขมาวหาต.ิ ธรรมทปี ระพฤตดิ แี ลว้ นําสขุ มาให.้ ส.ํ ส. ๑๕/๕๘ ๖) อปปฺ มตฺโต หิ ฌายนฺโต ปปโฺ ปติ วปิ ุลํ สขุ .ํ ผไู้ มป่ ระมาทพนิ ิจอยู่ ยอ่ มถงึ สขุ อนั ไพบลู ย.์ ข.ุ ธ. ๒๕/๑๘ ๒๔
๗) ขนฺตพิ ลา สมณพฺราหฺมณา. สมณพราหมณ์ มคี วามอดทนเป็นกําลงั . องฺ.อฏฺฐก. ๒๓/๒๒๗ ๘) วริ เิ ยน ทุกฺขมจฺเจต.ิ คนลว่ งทกุ ขไ์ ดเ้ พราะความเพยี ร. ข.ุ สุ. ๒๕/๓๖๑ ๙) ปญฺญํ สขุ ํ ชีวิตสงขฺ ยมหฺ ิ. บุญนําสขุ มาใหใ้ นเวลาสนิ ชวี ติ . ข.ุ ธ. ๒๕/๕๙ ๑๐) นิพฺพานํ ปรมํ สุข.ํ นิพพานเป็นสุขอยา่ งยงิ . ข.ุ ธ. ๒๕/๕๙ ๒๕
การเชือมความและสรปุ ความ การเชือมความ การเขยี นเรยี งความแก้กระทู้ธรรม ในระดบั ชนั นักธรรมชนั ตรนี ัน สนามหลวง แผนกธรรมกําหนดให้ นักเรยี นเขยี นอธบิ ายกระทูธ้ รรมบทตงั และนํากระทูธ้ รรมอกี บท หนึง มาเขยี นเป็นบทรบั โดยเขยี นอธบิ ายเนือความใหม้ คี วามสอดคล้อง มเี หตุผล และ สมความ เรยี กว่า การเชอีื มความ โดยเฉพาะอย่างยงิ ในการเขยี นเชือมความระหว่างทงั ๒ กระทู้นัน นักเรียน จาํ ตอ้ งเขยี นเกรนิ นํา กล่าวถงึ หรอื อธบิ ายถงึ กระทธู้ รรมบทรบั ทนี ํามารบั กระทูธ้ รรมบท ตงั พอไดใ้ จความสนั ๆ แลว้ จงึ มาอธบิ ายใจความทงั หมดของกระทูธ้ รรมบทรบั อกี ครงั ใน สว่ นตอ่ ไป เพราะฉะนัน นักเรยี นจกั เขยี นอย่างไรให้ไดค้ วามสนิทดี นับเป็นเรอื งทนี ักเรยี น จาํ ตอ้ งฝึกฝนในการกําหนด จด จาํ และฝึกเขยี นอยเู่ สมอ การสรปุ ความ การสรุปความ เป็นการนําเอาเรอื งราวต่าง ๆ ทตี นเองไดเ้ ขยี นอรรถาธบิ ายกระทู้ ธรรมทงั ๒ บทนัน มาเขยี นใหม่ ดว้ ยสํานวนภาษาของตน ซึงเมอื เขยี นแล้ว เนือความ เดมิ จะสนั ลง แต่มใี จความสําคญั หรอื ความคดิ รวบยอดทเี ป็นหลกั ปฏบิ ตั ิ ความจําเป็น หรอื ขอ้ เทจ็ จรงิ ทเี หมาะแกก่ ารประพฤตปิ ฏบิ ตั อิ ยา่ งครบถว้ นสมบรู ณ์ ตวั อยา่ งการเขียนเชือมความ ๑) วริ เิ ยน ทกุ ฺขมจฺเจต.ิ คนจะล่วงทกุ ขไ์ ด้ เพราะความเพยี ร. คําว่า ทุกข์ คอื สภาพทบี บี คนั เบยี ดเบยี น มคี วามลาํ บาก ไมส่ บายกาย ไม่สบาย ใจ มีความคับแคบใจ อันมีเหตุมาจากความไม่สมปรารถนา ไม่ได้ดังใจ ได้สิงของ บางอย่างมาแลว้ ไม่ถูกใจ ตลอดถงึ การพลดั พรากจากของรกั ของชอบใจ เป็นเหตุแห่ง ๒๖
ความทุกขเ์ ป็นความลาํ บาก กล่าวโดยทสี ุด พระพุทธเจา้ ตรสั ว่า สงั ขารร่างกายนีกเ็ ป็น ทุกข์ ฉะนนั พระพุทธเจา้ จงึ ตรสั ว่า ความทุกขเ์ ป็นความจรงิ เป็นทุกขอ์ รยิ สจั ความทุกข์ นี มมี าประจาํ กบั ตวั เราแลว้ ตงั แต่เกดิ มคี วามลาํ บากในการทจี ะหาเลยี งชพี ทงั ตวั เองและ คนอนื แมก้ ารศกึ ษาเล่าเรยี นของเรานี กเ็ หมอื นกนั เป็นความทุกข์ เป็นความลําบาก แต่ พระพุทธเจา้ ไดท้ รงเทศนาสงั สอนใหพ้ วกเรามองใหเ้ หน็ ความทกุ ข์ และกใ็ หย้ อมรบั ว่ามนั มีอยู่จริง ไม่ให้จมปรักอยู่กับมัน ไม่ให้เศร้าโศกและเสียใจกับสิงทีทําให้เกิดทุกข์ พระพุทธองค์ทรงสอนให้หาทางหนีจากความทุกข์ หาทางแก้ทุกข์ เพือทีจะให้มี ความทุกข์น้อยลง ให้มีความสุขตามปกติทีใจมุ่งหวงั ในการทีจะหนีจากความทุกข์ หาทางแก้ทุกขน์ ัน พระองค์ก็ทรงสอนใหม้ คี วามเพยี ร คอื ประการแรก เพยี รพยายาม ไมใ่ หส้ งิ ทไี มด่ เี กดิ ขนึ แก่เรา ประการทสี อง เพยี รละสงิ ทเี ป็นอุปสรรคแก่ความสุขของเรา ประการทีสาม เพียรพยายามทําสิงทีดีเป็นประโยชน์แก่เรา และประการทีสี เพียร พยายามความดสี งิ ทดี ที มี อี ยู่ในตวั ของเราแลว้ ใหค้ งอยตู่ ่อไป นีคอื ทางทจี ะแกค้ วามทกุ ข์ ทางทจี ะพน้ จากความทุกข์ ความเพยี รสปี ระการนี เป็นสงิ ทคี นเรามนุษยส์ ามารถทจี ะทาํ ได้ เพราะว่ามนุษยเ์ ป็นผมู้ คี วามคดิ มสี ตปิ ัญญาเฉลยี วฉลาดกว่าสตั วเ์ หล่าอนื ซงึ สามารถ ฝึกฝน ทําตนให้พ้นจากทุกข์เหล่านันได้ สมดงั พระพุทธภาษิตทีมาใน ขุทฺทกนิกาย ธมฺมปทคาถา ว่า ทนโฺ ต เสฏฺโฐ มนสุ เฺ สสุ. ในหมมู่ นุษย์ ผฝู้ ึกตนไดแ้ ลว้ เป็นผปู้ ระเสรฐิ . แสดงว่า มนุษยน์ ี สามารถฝึกฝนตนเองได้ ดว้ ยความเพยี รพยายามของตวั เอง ใน การศกึ ษาเล่าเรยี นของเราก็เช่นกนั กว่าทเี ราจะจบมาไดแ้ ต่ละชนั กม็ คี วามยากลําบาก และยงิ ในการทเี ราจบมเี กรดทดี แี ลว้ ไม่ใช่เรอื งง่าย เราต้องใชค้ วามเพยี รพยายามฝึกฝน ตนเอง หมนั ศกึ ษาคน้ ควา้ ละสงิ ทเี ป็นอุปสรรคต่อการศกึ ษา เอาใจใสใ่ นงานทคี รูอาจารย์ มอบหมายให้ ไม่เกยี จคร้าน เมอื เราหมนั ขยนั อดทนฝึกฝนอยู่อย่างนี ก็จะเหน็ ได้ว่า ความยากลําบากเหล่านัน ไม่ใช่เรืองยาก เราก็จะได้รบั ผลสําเร็จในการศึกษา และ ภาคภูมใิ จในตวั ของเรา ไมเ่ ฉพาะตวั เรา แมค้ นอนื กจ็ ะยกย่องสรรเสรญิ ว่าเป็นเดก็ ดี หรอื เป็นผปู้ ระเสรฐิ ถา้ หากขาดการฝึกฝนแลว้ ไซร้ จะกล่าวไดว้ ่าเป็นบุคคลผปู้ ระเสรฐิ กห็ าไม่ จะเป็นคนดไี ดอ้ ยา่ งไร สรุปความว่า ความทุกข์ ความลําบากของมนุษย์นัน เป็นสงิ ทมี นุษย์สามารถจะ เอาชนะได้ สามารถบรรลุความสุข ผา่ นความทุกขน์ นั ได้ กเ็ พราะความเพยี ร ดงั ทกี ล่าว ๒๗
มาว่า ประการแรกเพยี รสงั วรระวงั ไม่ใหส้ งิ ทไี มด่ เี กดิ ขนึ แก่ตวั เรา ประการทสี องเพยี รละ สิงทีไม่ดีนัน ประการทีสามเพียรสงั สมความดีหรอื สิงทีเป็นประโยชน์แก่ตัวเรา และ ประการทสี เี พยี รรกั ษาความดนี นั ไวใ้ หอ้ ยู่กบั ตวั เรานาน ๆ เมอื ฝึกตนเองไดแ้ ลว้ กจ็ ะเป็น คนทมี แี ตส่ วสั ดภี าพ เป็นผปู้ ระเสรฐิ โดยแทจ้ รงิ ๒) สลี ํ โลเก อนุตฺตรํ ศลี เป็นเยยี มในโลก คาํ ว่า ศลี คอื การรกั ษากาย วาจาใหเ้ รยี บรอ้ ย เป็นคณุ สมบตั ขิ นั พนื ฐานของมนุษย์ ผู้ทีได้ชือว่าเป็ นมนุษย์นัน อย่างน้อยต้องมีศีล ๕ มีการไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดปด และไม่ดืมสุราเสพยาเสพติด ด้วยว่าศีลเป็นเครือง ปกป้องโลกใหอ้ ยู่ร่มเยน็ เป็นสุข ศลี เป็นเครอื งขจดั ความเบยี ดเบยี นระหวา่ งตนกบั ผอู้ นื ให้ หมดไป ก่อให้เกดิ ความรกั ความเมตตาใหเ้ กดิ ขนึ ในโลก ศลี เป็นเครอื งชําระกเิ ลสอย่าง หยาบใหห้ มดไป เป็นขนั พนื ฐานเป็นเบอื งตน้ ของการทาํ ดี ผปู้ ระพฤตใิ หบ้ รสิ ุทธอิ ยู่เสมอ ย่อมจะประสบแต่ความสุข ศลี เป็นความดี มผี ลเป็นความสุข เหตุนัน ศลี ชอื ว่าเป็นเยยี ม ในโลก ผู้รกั ษาศลี ย่อมไดผ้ ลคอื ความสุข ตราบเท่าทเี ขารกั ษาศลี อยู่ สมดงั พุทธภาษิต ทมี าใน ขทุ ฺทกนิกาย ธมฺมปทกถา ว่า สุขํ ยาว ชรา สลี ํ ศลี นําสขุ มาใหต้ ราบเท่าชรา ผู้ทีปรารถนาความสุข ไม่พงึ ละทิงการรกั ษาศีล เพราะศีลเป็นบ่อเกิด เป็นบท เรมิ ต้นของการสรา้ งความดคี วามงามใหเ้ กดิ มขี นึ ในจติ ใจ ดว้ ยการฝึกควบคุมพฤตกิ รรม ทางดา้ นกาย วาจาให้เรยี บร้อยอยู่เสมอ นอกจากนี ศลี ยงั เป็นเหตุนําสุขมาให้ เหมอื น ดงั เช่น องคพ์ ระสมั มาสมั พุทธเจา้ พระองคเ์ ป็นผทู้ รงไวซ้ งึ ศลี อนั บรสิ ุทธิ ตลอดพระชนม์ ชีพของพระองค์ จึงมีแต่ความสุขเกษมสําราญ เพราะฉะนัน เราทงั หลาย จึงไม่ควร มองขา้ ม แตค่ วรหนั มารกั ษาศลี กนั เถดิ เพอื ประโยชน์สขุ แก่ตนและโลกสบื ไป สรุปความว่า ศลี คอื การรกั ษากาย วาจาใหเ้ รยี บรอ้ ย เป็นการควบคุมพฤตกิ รรม ของคนใหอ้ ย่รู ะเบยี บแบบแผนทดี งี ามของสงั คม เป็นคุณธรรมเบอื งตน้ ทจี ะทําใหค้ นเป็น มนุษย์ คอื ผปู้ ระเสรฐิ ผรู้ กั ษาศลี ย่อมปราศจากศตั รูทคี อยเบยี ดเบยี น อย่สู งบร่มเยน็ เป็น สขุ ดงั นนั ศลี จงึ เป็นความดที ยี อดเยยี มในโลก ๒๘
แบบฝึ ก คาํ ชีแจง ใหน้ ักเรยี นอ่าน และทาํ ความเขา้ ใจกระทธู้ รรมต่อไปนี แลว้ เขยี นอธบิ ายกระทู้ ธรรมทงั ๒ บทนนั โดยตอ้ งเชอื มความของกระทธู้ รรมใหส้ มความกนั ๑) อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ทนฺโต เสฎโฺ ฐ มนุสเฺ สสุ ตนแล เป็นทพี งึ ของตน ในหมมู่ นุษย์ ผฝู้ ึกตน เป็นผปู้ ระเสรฐิ สดุ ข.ุ ธ. ๒๕/๓๖, ๖๖ ข.ุ ธ. ๒๕/๓๓ ๒) จติ ฺตํ คตุ ฺตํ สุขาวหํ สานิ กมฺมานิ นยนฺติ ทคุ ฺคติ จติ ทคี ุม้ ครองแลว้ นําสขุ มาให้ กรรมชวั ของตนเอง ยอ่ มนําไปสทู่ คุ คติ ข.ุ ธ. ๒๕/๑๓ ข.ุ ธ. ๒๕/๔๗ ๓) ธมฺโม สจุ ณิ ฺโณ สุขมาวหาติ อปปฺ มตฺโต หิ ฌายนฺโต ปปโฺ ปติ วปิ ลุ ํ สขุ ํ ธรรมทปี ระพฤตดิ แี ลว้ นําสุขมาให้ ผไู้ มป่ ระมาทพนิ ิจอยู่ ยอ่ มถงึ สขุ อนั ไพบลู ย์ ส.ํ ส. ๑๕/๕๘ ข.ุ ธ. ๒๕/๑๘ คาํ ชีแจง ให้นักเรยี นอ่าน และทําความเขา้ ใจขอ้ ความต่อไปนี แล้วฝึกเขยี นสรุปความ จากขอ้ ความทกี าํ หนดใหน้ นั ๑) ก. ...ศลี แปลว่า ปกต,ิ สาํ รวม ผูม้ ศี ลี จงึ เรยี กไดว้ ่าผสู้ าํ รวม, ผเู้ ป็นปกติ ศลี นัน มหี ลายระดบั สําหรบั บุคคลทีมีสถานะและภูมธิ รรมต่างกนั ไป ศีล ๕ เป็นศีลเบืองต้น สําหรับคนทัวไป ศีล ๘ หรืออุโบสถศีล เป็นศีลสําหรับอุบาสก, อุบาสิกาทีสมาทาน เพอื รกั ษาศลี ในวนั อุโบสถหรอื วนั พระ ศลี ๑๐ เป็นศลี สาํ หรบั สามเณร หรอื ผถู้ อื บวชบาง กลุ่ม ศีล ๒๒๗ เป็นศีลสําหรบั พระภิกษุ ศีล ๓๑๑ เป็นศีลสําหรบั ภิกษุณี ศีลนันเป็น พนื ฐานหรอื เป็นรากฐานของการสรา้ งกุศลทงั ปวง เช่น ในศลี ๕ อนั ประกอบดว้ ย การงด เวน้ จากการฆ่าสตั ว์, การงดเวน้ จากการถอื เอาสงิ ของทเี จา้ ของไม่ไดใ้ ห,้ การงดเวน้ จาก การประพฤตผิ ดิ ในกาม, การงดเวน้ จากการพดู ปด, การงดเวน้ จากการดมื นําเมา โดยศลี ๒๙
๕ นี เรยี กอกี อยา่ งว่า นิจศลี เพราะเป็นศลี ทเี ราควรรกั ษาใหบ้ รสิ ุทธเิ ป็นนติ ย์ จะเหน็ ไดว้ ่า ศลี ทงั ๕ นีจะตรงกบั หลกั ธรรมอนื ๆ หลายหมวด เช่น ในกายสุจรติ ๓ วจสี ุจรติ ๔ และ ในมรรคมอี งค์ ๘ กม็ หี วั ขอ้ ธรรมทเี กยี วเนืองกบั ศลี หลายประการ ในการทจี ะรกั ษาศลี ให้ บรสิ ุทธนิ นั อาศยั สตคิ อยเตอื นไมใ่ หล้ ่วงศลี ... ข. ...สติ คอื ความระลกึ ได้ ขอ้ ทวี ่าเป็นเครอื งตนื ในโลกนนั หมายความวา่ บคุ คล ผมู้ สี ติ จะเป็นผทู้ รี ูต้ วั อยเู่ สมอว่ากําลงั ทําสงิ ใดอยู่ ทําการงานสงิ ใดกไ็ มผ่ ดิ พลาด ส่วนอกี ความหมายหนึงยงั หมายถงึ การมใี จจดจ่ออยใู่ นงานหรอื สงิ ทกี ําลงั ทาํ อยู่ เหตุเพราะว่าจติ ของเรานันจะไม่หยุดนิงอย่กู บั สงิ หนงึ สงิ ใดนานนกั ดงั นนั หากเรามสี ตคิ อยกํากบั การงาน หรอื กจิ กรรมนนั กจ็ ะไมเ่ กดิ ความผดิ พลาด ดงั ไดก้ ลา่ วแลว้ ขา้ งตน้ เมอื เรามสี ตคิ อยกาํ กบั ก็ จะช่วยไมใ่ หเ้ รากระทาํ การสงิ ใดทลี ่วงศลี ดงั นแี ลว้ ศลี กจ็ ะบรสิ ุทธอิ ยไู่ ด.้ .. ๒) ก. ...ความอดทน คอื อาการทีไม่หวนั ไหวทงั ทางกายและทางจติ ใจ ในเมอื ประสบกบั สภาพทไี มน่ ่าชอบใจ มี ๔ ประเภท คอื ๑. ธรรมชาติ มหี นาว รอ้ น ฝนตก แดด ออก เป็นต้น ๒. อดทนต่อความเหนือยยากตรากตรําในการทํางาน ๓. อดทนต่อ ทกุ ขเวทนา อนั เกดิ จากความเจบ็ ปวดและโรคภยั ๔. อดทนตอ่ ความเจบ็ ใจ ความอดทนนี ย่อมอํานวยผลใหผ้ ูป้ ระกอบไดพ้ บกบั ความสุข ความเจรญิ และความสําเรจ็ ทงั ทางคดี โลกและคดธี รรม... ข. ...ความไมป่ ระมาท คอื ความหลงมวั เมาในลาภ ยศ สรรเสรญิ สุข เมาในวยั และชวี ติ บุคคลทมี วั เมาเหลา่ นี กม็ ชี อื อยสู่ กั แต่วา่ หายใจเขา้ ออกเท่านนั หาทาํ ประโยชน์ สงิ ใดไม่ บุคคลทพี งึ ยงั ความไม่ประมาทใหถ้ งึ พรอ้ มคอื เมอื จะทํา พูด คดิ ต้องทําด้วย ความระมดั ระวงั มสี ตอิ ยู่เสมอ ความไม่ประมาทนัน ย่อมเป็นหนทางใหป้ ระสบความสุข ความเจรญิ และความไมเ่ สอื มเสยี ... ๓) ก. ...คาํ วา่ บาป หมายถงึ ความไมด่ ที ุกอยา่ ง เช่น อกศุ ล โทษ ความผดิ ทุจรติ เวร ธรรมดํา ทุกขย์ าก ลําบาก เหน็ดเหนือย เจบ็ ปวดความชวั เป็นตน้ ดงั นัน จงึ มกั พดู ศพั ท์เดมิ ว่า บาป หรอื ถ้าจะแปลกม็ กั จะแปลว่า ความชวั อนั หมายถึงความไม่ดนี ันเอง ส่วนท่านผรู้ ูค้ มั ภรี ศ์ พั ทศาสตรใ์ หค้ วามหมายของคาํ ว่า บาป ไวห้ ลายนัย เช่น สงิ ทคี นดี ทงั หลายพงึ ป้องกนั ตวั เอาไวใ้ หห้ ่างไกล หรอื สงิ ทเี ป็นเหตุใหค้ นถงึ อบาย คอื กลายสภาพ เป็นดริ จั ฉาน เปรต สตั วน์ รก และอสุรกาย เป็นตน้ ๓๐
สงิ ทจี ดั ว่าเป็นบาปนัน พระพุทธศาสนาจดั สงิ ทเี ป็นบาปไวต้ ามโทษหนักเบา ดงั นี บาปทมี โี ทษหนักทสี ุด คอื นิยตมจิ ฉาทฏิ ฐิ แปลว่า ความเหน็ ทีแน่นอนดิงลงไป แก้ไขไม่ได้ ๓ อย่าง คอื อกริ ยิ ทฏิ ฐิ เหน็ ว่า ทําบาปหรอื ทําบุญ กเ็ ป็นเพยี งแต่กริ ยิ าทที ํา เท่านัน ไม่ได้เป็นบาปหรอื เป็นบุญ ดงั ทศี าสนาทงั หลายสอนเลย อเหตุกทฏิ ฐิ เห็นว่า ความสุขหรอื ความทุกข์ของมนุษย์ล้วนเกิดขนึ เอง ไม่ได้เกิดมาจากเหตุใด ๆ ทงั สนิ นตั ตกิ ทฏิ ฐิ เหน็ ว่าไมม่ อี ะไร คอื บาปกส็ ญู บญุ กส็ ญู คนตายแลว้ กส็ ญู บาปทมี โี ทษหนักรองจากนันไดแ้ ก่ อนนั ตรยิ กรรม ๕ อยา่ ง คอื มาตุฆาต ฆ่า มารดา ๑ ปิตุฆาต ฆ่าบิดา ๑ อรหันตฆาต ฆ่าพระอรหันต์ ๑ โลหิตุปบาท ทําร้าย พระศาสดาจนถงึ พระโลหติ หอ้ ขนึ ๑ สงั ฆเภท ทาํ ลายสงฆใ์ หแ้ ตกกนั ๑ ทงั ๕ ประเภทนี ใครทาํ หลงั จากตายไปตอ้ งตกนรกทนั ที บาปทมี โี ทษถงึ นําไปสอู่ บายกไ็ ด้ ทที าํ ใหไ้ ดร้ บั ความทุกขค์ วามเดอื ดรอ้ น เช่น ทาํ ใหอ้ ายุสนั มโี รคมาก ยากจนเขญ็ ใจ เป็นตน้ กไ็ ด้ มี ๑๐ อยา่ ง เป็นการกระทําทางกาย ๓ อย่าง คอื ฆ่าสตั ว์ ๑ ลกั ทรพั ย์ ๑ ประพฤตผิ ดิ ในกาม ๑ เป็นการพูดทางวาจา ๔ อยา่ ง คอื พดู เทจ็ ๑ พดู สอ่ เสยี ดทาํ ใหค้ นแตกสามคั คกี นั ๑ พดู คาํ หยาบ ๑ พดู เพอ้ เจอ้ ทําใหผ้ อู้ นื เชอื ถอื เองไรส้ าระ ๑ เป็นความคดิ ชวั ทางใจ ๓ อยา่ ง คอื โลภอยากไดข้ องคน อืนอย่างผิดศีลธรรม ๑ คิดร้ายทําลายผู้อืน ๑ มีความเห็นผิดไม่เชือเรืองบาปบุญ คณุ โทษ ๑ การทําบาป หมายถงึ การทํา การพดู และการคดิ สงิ ทจี ดั ว่าเป็นบาปเหล่านี เอง คอื ถอื มนั มจิ ฉาทฏิ ฐทิ งั ๓ อยา่ ง หรอื อย่างใดอยา่ งหนึง กระทาํ อนนั ตรยิ กรรมมกี าร ฆ่ามารดาบดิ าเป็นตน้ หรอื ทาํ กายทุจรติ ๓ พดู วจที ุจรติ ๔ และมใี จประกอบดว้ ยมโน ทุจรติ ๓ ดงั กลา่ วแลว้ การทาํ บาปต่าง ๆ ดงั กล่าวมานี ลว้ นแต่ก่อใหเ้ กดิ ความทุกข์ ความเดอื ดรอ้ น ทังแก่ผู้ทําและบุคคลอืนผู้เกียวข้องทงั สิน แต่ก็ยงั มีคนอีกเป็นจํานวนมากทีชอบทํา ทเี ป็นเช่นนี กเ็ พราะคนสว่ นมากยงั มบี าปอย่ใู นใจ คนทมี เี ชอื บาปอยใู่ นใจย่อมทาํ ความ ชวั ไดง้ า่ ย... ข. ...บาปทที ํานัน อย่างหนักทําให้ตกโลกนั ตรกิ นรก รองลงมาทําให้ตกนรก อเวจี รองลงมาจากนัน ทําใหก้ ลายสภาพเป็นดริ จั ฉาน เป็นเปรต เป็นอสุรกาย หรอื เบา กว่านนั ถา้ เกดิ มาเป็นมนุษย์ กจ็ ะทาํ ใหม้ อี ายสุ นั มโี รคเบยี ดเบยี น ทาํ กนิ ไมข่ นึ มอี ุปสรรค ประสบภยั อนั ตรายตา่ ง ๆ เป็นตน้ ๓๑
ส่วนการไม่ทําบาป คือ เป็ นคนทีมีสัมมาทิฏฐิ มีความคิดเห็นทีส่งเสริม ศลี ธรรม งดเวน้ เด็ดขาดจากอนันตรยิ กรรม และเว้นขาดจากการฆ่าสตั ว์ การลกั ทรพั ย์ การประพฤติผดิ ในกาม การพูดเท็จ การพูดส่อเสยี ด การพูดคําหยาบ การพูดเพ้อเจอ้ การโลภอยากไดอ้ ย่างผดิ ศลี ธรรม ความคดิ รา้ ยทําลายผอู้ นื ยอ่ มนําความสุขมาใหท้ งั แก่ ตนเอง ครอบครวั และสงั คม... ๔) ก. ...บุญ หมายถงึ กุศล สุจรติ กรรมดี ความดี ธรรม และธรรมฝ่ายขาว หรอื กล่าวโดยรวมว่า บุญ เป็นชอื ของความดที ุกอยา่ ง อนั ตรงกนั ขา้ มกบั บาปทเี ป็นชอื ของความไมด่ ที ุกอยา่ ง ทา่ นผรู้ คู้ มั ภรี ศ์ พั ทศาสตรใ์ หค้ วามหมายวา่ บญุ แปลว่า เครอื งชาํ ระลา้ งจติ ใจ ใหส้ ะอาด หรอื แปลวา่ สภาพทกี ่อใหเ้ กดิ ความน่าบชู า อธบิ ายว่า บุญคอื การบรจิ าคทาน การรกั ษาศลี และการเจรญิ ภาวนา เป็นตน้ ใครกระทาํ โดยตดิ ตอ่ ไมข่ าดสาย ยอ่ มทาํ ให้ จติ ใจของเขาปราศจากความโลภ ความโกรธ ความหลง หรอื ยงิ ทําไปนาน ๆ จนเป็น บารมเี หมอื นองคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พุทธเจา้ หรอื พระอรหนั ตสาวกกจ็ ะกําจดั กเิ ลสได้ เดด็ ขาด เป็นพระอรหนั ต์ เป็นผมู้ จี ติ ใจบรสิ ุทธอิ ย่างแทจ้ รงิ และผทู้ ไี ม่มกี เิ ลสคอื ความ โลภ ความโกรธ ความหลงนัน ย่อมจดั เป็นปูชนียบุคคล คอื บุคคลทนี ่าบูชา ทงั ของ เทวดาและมนุษย์ เมอื บุญ คอื ความดจี งึ เป็นสงิ ทที ุกคนตอ้ งทําการทาํ บุญนัน กเ็ หมอื นกบั การ ทํางานทวั ไป คอื ต้องมอี ุปกรณ์ไดแ้ ก่เครอื งมอื เหมอื นนักเรยี นมาเรยี นหนังสอื ต้องมี เครอื งมอื เช่น หนังสอื สมุด ปากกา เป็นตน้ อุปกรณ์สําหรบั ใชท้ ําบุญใหญ่ ๆ มี ๔ อย่าง คอื ๑. ทานวตั ถุ ของสําหรบั ใช้บรจิ าคทาน พระพุทธองค์ทรงกําหนดไว้ ๑๐ อย่าง คอื ข้าว นํา ผ้า ยานพาหนะ ดอกไม้ของหอม ของลูบไล้ ทีนอน ทพี กั ประทปี ๒. กาย คอื รา่ งกายทกุ สว่ น ๓. วาจา คอื ปาก ๔. ใจ คอื ความคดิ เมอื พูดถึงเรอื งทําบุญ พุทธศาสนิกชนไทยโดยมากมกั รูจ้ กั เพยี งอย่างเดยี ว คอื การบรจิ าคทาน จงึ เป็นเหตุให้บางคนรู้สกึ กลวั บุญ เพราะทําบุญทีไรจะต้องเสีย ทรพั ยท์ ุกครงั บางคนรสู้ กึ ว่า ตนเองไมม่ โี อกาสจะไดท้ าํ บุญกบั เขา เพราะไมม่ ที รพั ยส์ นิ เงนิ ทอง แต่ความจรงิ แล้ว ทรพั ย์สนิ เงนิ ทองไม่ใช่อุปกรณ์สําหรบั ทําบุญทสี ําคญั เลย อปุ กรณ์สาํ หรบั ทาํ บญุ ทสี าํ คญั คอื กาย วาจา ใจ ของแตล่ ะบคุ คลนนั เอง ๓๒
กายของนักเรียนทีเว้นจากการฆ่าสัตว์ การทําร้ายกัน การลักขโมย การประพฤตผิ ดิ ในกาม หรอื ทใี ชท้ ําสงิ อนั เป็นประโยชน์ เช่น ขยนั ไปโรงเรยี น ขยนั เรียนหนังสือ ขยันทําการบ้าน ขยันช่วยพ่อแม่ทํางาน ไม่ยุ่งเกียวกับยาเสพติด ช่วยเหลอื สงั คม ช่วยรกั ษาความสะอาดบรเิ วณโรงเรยี น เป็นตน้ วาจาหรอื ปาก ใชพ้ ดู แต่คําสตั ย์จรงิ พูดให้คนเกดิ ความสามคั คกี ลมเกลยี วกนั พูดคําสุภาพเรยี บร้อย พูด เรอื งทเี ป็นประโยชน์แก่ผูฟ้ ัง ใจมคี วามปรารถนาดตี ่อผู้อนื ไม่คดิ โลภอยากไดข้ องใคร ไม่คดิ ร้ายทําลายใคร ไม่อจิ ฉารษิ ยาใคร เชอื ฟังพ่อแม่ครูอาจารย์ เพยี งเท่านี กาย วาจา และใจ ของนกั เรยี นกส็ ามารถสรา้ งมนุษยส์ มบตั ิ สวรรคส์ มบตั ิ ใหแ้ กน่ กั เรยี นเอง แก่บิดามารดาและครูอาจารย์ได้แล้ว โดยทีไม่ต้องใช้ทรัพย์สินเงินทองเลย และ พระพทุ ธศาสนาจดั วา่ เป็นบุญทยี งิ ใหญก่ ว่าการบรจิ าคทานอกี ดว้ ย เพราะบุญหมายถงึ ความดที กุ อย่าง บุญจงึ มคี วามสาํ คญั ตอ่ ชวี ติ มนุษยท์ ุกคน เพราะ ๑. เป็นเหตุใหไ้ ดเ้ กดิ ในคตภิ พทดี ี ๒. ช่วยคุม้ ครองรกั ษาชวี ติ ใหร้ อดพน้ จากภยั อนั ตรายต่าง ๆ ๓. ช่วยนําพาวถิ ีชวี ติ ไปสู่ความสําเรจ็ และเจรญิ ก้าวหน้าในสงิ ทตี น ปรารถนา ๔. เป็นเหตุใหจ้ ติ ใจเกดิ ความรม่ เยน็ เป็นสขุ องคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ จงึ ทรงสอนให้พุทธศาสนิกชนได้หมนั ทําบุญเอาไวเ้ สมอเมอื มโี อกาส แมว้ ่าจะเป็นบุญ เพยี งเลก็ น้อยก็ตาม ดงั พระพุทธพจน์ว่า “อย่าดูหมนิ บุญว่ามปี ระมาณน้อย เมอื ไรจะ มาถงึ เรา หยดนําทหี ยดลงทลี ะหยด ยงั ทําภาชนะมตี ุ่มเป็นต้นใหเ้ ต็มได้ ฉันใด คนผู้ ฉลาดทาํ บญุ อยเู่ สมอ กย็ อ่ มเตม็ ดว้ ยบุญ ฉนั นนั ” อนึง พระพุทธองค์ ตรสั ผลดที เี กดิ จากอานุภาพบุญไวใ้ นจูฬกมั มวภิ งั คสูตร กลา่ วโดยสรุป เพอื จาํ งา่ ยดงั นี อายยุ นื เพราะเวน้ การเขน่ ฆา่ ไรโ้ รคาเพราะไมท่ าํ รา้ ยสตั ว์ มผี วิ พรรณงามเลศิ เจดิ จาํ รสั เพราะกําจดั ความโกรธรอู้ ดใจ ยศศกั ดสิ งู เพราะใจไมร่ ษิ ยา มโี ภคาเพราะทานคอื การให้ สกลุ สงู เพราะเจยี มเสงยี มใจ ปัญญาไวเพราะคบหาปัญญาชน บุญเป็นเหตุใหเ้ กดิ ความสุขความเจรญิ และความอยู่รอดปลอดภยั แห่งชวี ติ ดงั กลา่ วมานี บุญจงึ เป็นสงิ ทคี วรทาํ ... ข. ...บุญนันเป็นเรอื งเฉพาะตวั ใครทําใครได้ ดงั พระพุทธพจน์ว่า ความหมด จด (ความด)ี หรอื ความเศรา้ หมอง (ความชวั ) เป็นเรอื งเฉพาะตน คนอนื ทาํ คนอนื ใหห้ มด จดหรอื ใหเ้ ศรา้ หมองไมไ่ ด้ ตวั อยา่ งงา่ ย ๆ สมมตวิ ่า นกั เรยี น ๒ คน เป็นเพอื นรกั กนั ๓๓
คนหนึงเรยี นเก่ง คนหนึงเรยี นไมเ่ ก่ง คนเรยี นเก่งสงสารเพอื นอย่างไร กไ็ มส่ ามารถจะ แบ่งเอาความเก่งของตนไปใหเ้ พอื นได้ หรอื เพอื นทเี รยี นไมเ่ ก่งจะคดิ แย่งชงิ โดยการลกั ขโมย ปลน้ จเี อาความเก่งไปจากเพอื นกไ็ ม่ไดเ้ หมอื นกนั มอี ยู่ทางเดยี วเท่านนั คอื ถา้ อยากเก่งต้องขยนั หมนั เพยี ร ฝึกฝนด้วยตนเอง จะไปขอหรอื แย่งชิงเอาจากคนอนื เหมอื นกบั สงิ ของไมไ่ ด.้ .. ๕) ก. ...สลี ทา่ นผรู้ อู้ ธบิ ายความหมายไวห้ ลายนยั ดงั นี ๑. สเี ลนะ แปลว่า ความปกติ หมายความว่า ควบคุมความประพฤติ ทางกาย วาจา ใหอ้ ยูใ่ นสภาพทเี รยี บรอ้ ยดงี าม พน้ จากการเบยี ดเบยี นกนั และกนั และ หมายความว่าสามารถรองรบั ความดีชนั สูงทุกอย่าง เหมอื นแผ่นดนิ รองรบั ของหนัก มมี หาสมุทรและภเู ขา เป็นตน้ เอาไวไ้ ดโ้ ดยไมม่ คี วามผดิ ปกตอิ ะไร ๒. สริ ะ แปลว่า ศรี ษะ หมายความว่า เป็นยอดของความดี เหมอื น ศรี ษะเป็นอวยั วะทอี ยสู่ งู ทสี ุดของรา่ งกาย ๓. สสี ะ แปลวา่ ยงิ ใหญ่ คอื มคี วามสาํ คญั หมายความว่า ถา้ ขาดศลี เสยี แลว้ คุณธรรมหรอื ความเจรญิ อยา่ งอนื กเ็ กดิ ไมไ่ ด้ ๔. สตี ละ แปลว่า มคี วามเยน็ หมายความว่า ศลี สรา้ งความเยน็ ใหแ้ ก่ จติ ใจผรู้ กั ษา และสรา้ งความร่มเยน็ ใหแ้ กส่ งั คม ๕. สวิ ะ แปลว่า ปลอดภยั หมายความว่า ศลี สรา้ งความไม่มภี ยั ความไมม่ เี วร และ ความไมเ่ บยี ดเบยี นใหแ้ ก่สงั คมมนุษย์ ศลี นันเมอื ใครรกั ษาไดจ้ ะทําลายวติ กิ กมกเิ ลส คอื กเิ ลสทลี ่วงละเมดิ มา ทางกาย และวาจา ทางกาย เชน่ การฆา่ สตั ว์ ทางวาจา เชน่ การพดู เทจ็ พรอ้ มกนั นันก็ทําใหก้ าย วาจา และใจของผูน้ ันมี ความสะอาดพ้นจากการกระทําการพูดและ ความคดิ ทที าํ ใหต้ นเองและผอู้ นื ไดร้ บั ความทุกขค์ วามเดอื ดรอ้ น เพราะศลี มคี วามดอี ยา่ ง นี องคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ จงึ ทรงแนะนําชาวโลกใหร้ กั ษาศลี ... ข. ...อนึง ศลี จะเกดิ ขนึ ไดเ้ พราะอาศยั ธรรม ๒ ประการ คอื หริ ิ ความละอายแก่ ใจในการทาํ บาปทุจรติ และโอตตปั ปะ ความสะดงุ้ กลวั ต่อผลรา้ ยอนั จะเกดิ จากการทาํ บาป ทุจรติ นนั ๓๔
ศลี นัน ย่อมขาดเพราะเหตุ ๕ ประการ คอื ๑. ลาภ ๒. ยศ ๓. ญาติ ๔. อวยั วะ ๕. ชวี ติ หมายความว่า คนทที าํ ผดิ ศลี กเ็ พราะปรารถนา ๕ อย่างนี อย่าง ใดอยา่ งหนึง เช่น อยากไดเ้ งนิ จงึ ลกั ขโมย คดโกง หรอื ฆา่ เจา้ ของทรพั ย์ เป็นตน้ บุคคลย่อมรกั ษาศลี ไว้ได้เพราะยดึ มนั สมั ปุรสิ านุสติ ว่า บุคคลพงึ สละ ทรพั ย์ เพอื รกั ษาอวยั วะ พงึ สละอวยั วะเพอื รกั ษาชวี ติ พงึ สละทงั ทรพั ย์ อวยั วะและชวี ติ เพอื รกั ษาธรรม ผู้รกั ษาศลี ได้บรสิ ุทธิ โดยไม่ให้ขาด ไม่ให้ทําลาย ไม่ให้ด่างพร้อย องค์ สมเดจ็ พระสมั มาสมั พุทธเจา้ ตรสั ว่า จะไดร้ บั อานิสงส์ คอื ผลดแี กต่ น ๕ ประการ คอื ทาํ ให้เกดิ ทรพั ย์ เกยี รติศพั ทข์ จรไกล เขา้ ทไี หนอาจหาญ สติมนั ไม่ลมื หลง มุ่งตรงทาง สวรรค.์ .. ๓๕
คมั ภีร์ คมั ภีร์ คมั ภรี ์ หมายถงึ ตาํ ราทยี กยอ่ ง หรอื นบั ถอื ว่า “สาํ คญั ” ทางศาสนาหรอื โหราศาสตร์ เป็นตน้ รวมไปถงึ ปกรณ์ต่าง ๆ อนั เป็นขอ้ ความคําสงั สอนของพระศาสดา และหรอื ของ พระสาวกสําคญั หรอื ขอ้ ความบนั ทกึ เหตุการณ์เกยี วกบั ศาสนาทที ่องจํากนั ไว้ แล้วจด จารกึ เป็นลายลกั ษณ์อกั ษร ซงึ คมั ภรี ห์ ลกั ของพระพุทธศาสนา คอื พระไตรปิฎก นนั เอง พระไตรปิ ฎก พระไตรปิฎก เป็นคมั ภีร์ทีบนั ทึกคําสอนของพระบรมศาสดาสมั มาสมั พุทธเจ้า ไตรปิฎก แปลว่า ตะกรา้ ๓ ใบ เพราะเนือหานนั แบง่ เป็น ๓ หมวดใหญ่ ๆ คอื ๑) พระวินัยปิ ฎก วา่ ดว้ ยพระวนิ ยั สกิ ขาบทตา่ ง ๆ ของภกิ ษุและภกิ ษุณี ๒) พระสุตตนั ตปิ ฎก ว่าด้วยพระสูตรซงึ เป็นพระธรรมเทศนาของสมเดจ็ พระสมั มาสมั พุทธเจา้ และพระอรหนั ตสาวก ทแี สดงแก่บุคคลต่างชนั วรรณะและ การศกึ ษา ตา่ งกรรมต่างวาระกนั มที งั ทเี ป็นรอ้ ยแกว้ และรอ้ ยกรอง ๓) พระอภิธรรมปิ ฎก ว่าดว้ ยพระอภธิ รรมหรอื ปรมตั ถธรรม ซงึ เป็นธรรมะ ขนั สงู อธบิ ายดว้ ยหลกั วชิ าลว้ น ๆ โดยไมอ่ า้ งองิ เหตกุ ารณ์และบคุ คล คําสงั สอนของพระพุทธเจ้าในยุคแรกนัน เรียกว่า พระธรรมวินัย จนกระทงั มี การสงั คายนาครงั ๓ จงึ ไดแ้ บ่งแยกเนือหาทเี กยี วกบั ปรมตั ถธรรมออกมาเป็นอกี หมวด หนึง เรยี กวา่ พระอภธิ รรมปิฎก อกั ษรย่อบอกนามคมั ภีร์ อกั ษรย่อบอกนามคมั ภรี ต์ ่อไปนี จะมปี ระโยชน์เมอื นํามาใชใ้ นการเขยี นเรยี งความ แกก้ ระทธู้ รรม ดงั นนั นกั เรยี น จงึ จาํ เป็นตอ้ งศกึ ษา กาํ หนด จด จาํ ใหด้ ี อยา่ ใหผ้ ดิ พลาด อง.ฺ อฏฐฺ ก. องคฺ ตุ ตฺ รนกิ าย อฏฐฺ กนิปาต องฺ. จตุกกฺ . องฺคตุ ฺตรนิกาย จตกุ ฺกนปิ าต อง.ฺ ฉกกฺ . องฺคุตฺตรนกิ าย ฉกกฺ กนิปาต ๓๖
อง.ฺ ติก. องฺคุตตฺ รนิกาย ตกิ นิปาต อง.ฺ ทสก. องคฺ ุตฺตรนกิ าย ทสกนปิ าต อง.ฺ ปญจฺ ก. องฺคตุ ตฺ รนิกาย ปญจฺ กนิปาต อง.ฺ สตฺตก. องฺคุตฺตรนิกาย สตตฺ กนปิ าต ข.ุ อิติ. องคฺ ุตตฺ รนกิ าย อติ วิ ุตตฺ ก ขุ. อ.ุ ขทุ ทฺ กนกิ าย อทุ าน ขุ. จรยิ า ขทุ ฺทกนิกาย จรยิ าปฏิ ก ขุ. จ.ู ขุทฺทกนิกาย จฬู นทิ ฺเทส ขุ. ชา. อฏฺฐก. ขุทฺทกนกิ าย ชาดก อฏฐฺ กนปิ าต ข.ุ ชา. อสตี ิ. ขทุ ฺทกนกิ าย ชาดก อสีตนิ ปิ าต ข.ุ ชา. เอก. ขุททฺ กนกิ าย ชาดก เอกนปิ าต ข.ุ ชา. จตฺตาฬสี . ขุททฺ กนกิ าย ชาดก จตตฺ าฬีสนปิ าต ขุ. ชา. จตุกกฺ . ขุททฺ กนิกาย ชาดก จตุกกฺ นปิ าต ข.ุ ชา. ฉกกฺ . ขทุ ฺทกนิกาย ชาดก ฉกฺกนิปาต ข.ุ ชา. ตสึ . ขุททฺ กนิกาย ชาดก ตสึ นปิ าต ขุ. ชา. ติก. ขทุ ทฺ กนกิ าย ชาดก ติกนปิ าต ขุ. ชา. เตรส ขทุ ทฺ กนิกาย ชาดก เตรสนปิ าต ขุ. ชา. ทวฺ าทส. ขทุ ฺทกนิกาย ชาดก ทวฺ าทสนิปาต ข.ุ ชา. ทสก ขุทฺทกนกิ าย ชาดก ทสกนปิ าต ข.ุ ชา. ทุก. ขุททฺ กนิกาย ชาดก ทุกนปิ าต ข.ุ ชา. นวก. ขทุ ฺทกนกิ าย ชาดก นวกนิปาต ขุ. ชา. ปกณิ ณฺ ก. ขุททฺ กนกิ าย ชาดก ปกณิ ฺณกนิปาต ขุ. ชา. ปญฺจก. ขทุ ฺทกนกิ าย ชาดก ปญฺจกนิปาต ขุ. ชา. ปญญฺ าส. ขุททฺ กนิกาย ชาดก ปญญฺ าสนิปาต ขุ. ชา. มหา. ขุทฺทกนกิ าย ชาดก มหานิปาต ข.ุ ชา. วสี ต.ิ ขุททฺ กนิกาย ชาดก วสี ตนิ ิปาต ข.ุ ชา. สฏฐฺ .ี ขทุ ฺทกนิกาย ชาดก สฏฐฺ นี ปิ าต ขุ. ชา. สตฺตก ขุททฺ กนกิ าย ชาดก สตฺตกนิปาต ข.ุ ชา. สตตฺ ติ. ขทุ ฺทกนกิ าย ชาดก สตตฺ ตนิ ปิ าต ๓๗
ขุ. เถร. ขุทฺทกนกิ าย เถราคาถา ข.ุ เถรี. ขุ. ธ. ขทุ ฺทกนิกาย เถรีคาถา ขุ. ปฏิ. ข.ุ พ.ุ ขุททฺ กนกิ าย ธมฺมปทคาถา ข.ุ มหา. ข.ุ ว.ิ ขทุ ทฺ กนิกาย ปฏิสมฺภิทามคฺค ข.ุ เปต. ข.ุ สุ. ขุทฺทกนกิ าย พทุ ฺธวสํ ท.ี ปาฏ.ิ ท.ี มหา. ขุททฺ กนิกาย มหานทิ เฺ ทส ม. อปุ . ม. ม. ขทุ ฺทกนกิ าย วมิ านวตฺถุ ว.ิ จลุ . วิ. ภิ. ขทุ ฺทกนกิ าย เปตวตถฺ ุ วิ. มหา. วิ. มหาวภิ งคฺ . ขทุ ทฺ กนิกาย สตฺตนิปาต ส.ํ น.ิ ส.ํ มหา. ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วคคฺ ส.ํ ส. ส.ม. ทีฆนิกาย มหาวคฺค ร.ร. ๔ ว.ว. มชฌฺ ิมนกิ าย อปุ รปิ ณณฺ าสก ส.ฉ. ส.ส. มชฺฌมิ นิกาย มชฺฌิมปณฺณาสก --/-- วินยั ปิฏก จลุ ฺลวคคฺ วินยั ปฏิ ก ภิกขฺ ุณีวภิ งฺค วินัยปิฏก มหาวคคฺ วนิ ยั ปฏิ ก มหาวิภงฺค สยํ ุตตฺ นกิ าย นิทานวคฺค สํยตุ ฺตนกิ าย มหาวารวคคฺ สยํ ุตฺตนกิ าย สคาถวคฺค สวดมนตฉ์ บบั หลวง พระราชนพิ นธร์ ชั กาลที ๔ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ (ฉิม) สมเดจ็ พระสงั ฆราช (สา) เลขหน้า / บอกเลม่ , เลขหลงั / บอกหน้า ๓๘
รปู แบบและการเขียนเรยี งความแก้กระทู้ธรรม วิธีการเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรม สว่ นสาํ คญั ในการเขยี นเรยี งความแกก้ ระทธู้ รรม มี ๓ ประการ ดงั นี ๑. คาํ นํา เป็นการอารมั ภบทพจนคาถาทเี ป็นบทตงั (กระทู้ หรอื ทเี รยี กว่า อุเทศ) เพอื เป็นบทนําในการเรยี งความ (คํานําของการเรียงความแก้กระทู้ธรรม ควรเขยี น ประมาณ ๒ - ๓ บรรทดั ) สว่ นใหญ่ใชว้ า่ “ณ บดั นี จกั ไดอ้ ธบิ ายขยายความแห่งกระทูธ้ รรมภาษติ ทไี ดล้ ขิ ติ ไว้ ณ เบอื งตน้ เพอื เป็นแนวทางแหง่ การศกึ ษา และสมั มาปฏบิ ตั เิ ป็นลาํ ดบั ไป” หรอื “ณ บดั นี จกั ไดอ้ ธบิ ายขยายความแห่งกระทูธ้ รรมสุภาษิต ทไี ดต้ งั ไว้ ณ เบอื งต้น เพอื เป็นแนวทางแหง่ การศกึ ษา และปฏบิ ตั สิ บื ต่อไป” หรอื “ณ บดั นี จกั ได้อรรถาธิบายขยายความแห่งกระทู้ธรรมภาษิต ทีได้ลิขติ ไว้ ณ เบอื งตน้ พอเป็นแนวทางแหง่ การศกึ ษา และประพฤตปิ ฏบิ ตั สิ บื ต่อไป” หรอื “ณ บดั นี จกั ได้อรรถาธิบายขยายความแห่งกระทู้ธรรมภาษิต ทีได้ลิขติ ไว้ ณ เบอื งต้น พอเป็นแนวทางแห่งการศกึ ษา และประพฤตปิ ฏบิ ตั สิ าํ หรบั ผสู้ นใจใคร่ในธรรม สบื ต่อไป” ๒. เนือเรอื ง เป็นการขยายเนือความของกระททู้ ตี งั ไว้ เรยี กว่า แก้ หรอื เรยี กวา่ นิเทศ การนิเทศ หรอื ขยายความเนือเรืองนันจะต้องให้รสชาติเนือหาสาระแก่ผู้อ่าน ใหผ้ อู้ ่านเขา้ ใจในสงิ ทเี ราจะอธบิ าย ไมท่ าํ ใหผ้ อู้ ่านสบั สนไขวเ้ ขว (ควรเขยี นอธบิ ายใหไ้ ด้ ประมาณ ๑๐ - ๑๕ บรรทดั ) แลว้ จงึ นําเอาภาษติ มาเชอื ม หรอื อา้ งภาษติ มาเพอื สนบั สนุน เรยี กวา่ กระทรู้ บั โดยนกั ธรรมชนั ตรี มขี อ้ กาํ หนดใหน้ ํา ภาษติ มาเชอื มรบั ไดอ้ ยา่ งน้อย ๑ ภาษติ ภาษิตทนี ํามาอ้างสนบั สนุนหา้ มไม่ใหซ้ ํากนั กบั กระทบู้ ทตงั แต่จะซําทมี าได้ แล้ว อธบิ ายภาษติ ทยี กมาสนับสนุนใหเ้ นือความกลมกลนื กนั (เขยี นอธบิ ายประมาณ ๕ - ๗ บรรทดั กําลงั พอด)ี ๓. คาํ ลงท้าย หรอื บทสรปุ หรอื เรยี กวา่ ปฏนิ เิ ทศ หมายถงึ การรวบรวมใจความ ทีสําคญั ของเนือหาทไี ด้อธิบายมาแล้ว สรุปลงอย่างย่อ ๆ ให้ได้ใจความ ให้ผู้อ่านเกดิ ๓๙
ความซาบซงึ และรูส้ กึ ว่าเรยี งความทอี ่านมคี ุณค่าน่าเชอื ถอื น่าปฏบิ ตั ติ าม เกดิ ศรทั ธาใน ความคดิ ของผเู้ ขยี น (สรุปความ ควรเขยี นประมาณ ๕ -๗ บรรทดั ) เมอื เขยี นสรุปความ จบแลว้ ใหเ้ ขยี นบทจบดว้ ยคําว่า “สมกบั ธรรมภาษิตว่า……….” หรอื “พระพุทธองคจ์ งึ ตรสั ว่า………. (ช่องว่างทเี วน้ ไวห้ มายถงึ กระทูต้ งั พรอ้ มทงั คาํ แปล) ดงั มนี ยั พรรณนามา ดว้ ยประการฉะนี” ๔๐
รปู แบบการเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรม ๑ ........................................................ (ภาษติ ภาษาบาล)ี ........................................................ (คาํ แปลภาษาไทย) ๒ (คํานํา) ณ บดั นี จกั ไดอ้ รรถาธบิ ายขยายความแห่งกระทูธ้ รรมภาษติ ทไี ดล้ ขิ ติ ไว้ ณ เบอื งตน้ พอเป็นแนวทางแหง่ การศกึ ษา และประพฤตปิ ฏบิ ตั สิ บื ต่อไป ๓ (อธบิ ายเนือความ)……………………………………………………………………. ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ......................................สมดว้ ยธรรมสุภาษติ ทมี าใน.................................................... ความวา่ ๔ ..............................................................(ภาษติ ทยี กมาอา้ ง) .............................................................. (คําแปล) ๕ (อธบิ ายเนือความ)…………………………………………………………………..... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ............................................................... (สรุปความ) ........................................................................................................ ....๖................................................................................................................................. ..................................................................................................................................... ....................................................................สมดงั ธรรมภาษติ ทไี ดย้ กมาเป็นนิกเขปบท ณ เบอื งตน้ วา่ ๗ ........................................................ (ภาษติ ภาษาบาล)ี ........................................................ (คาํ แปลภาษาไทย) ดงั มนี ยั พรรณนามาดว้ ยประการฉะนี ฯ ๘ ๔๑
ขนั ตอนการเขียนกระทู้ธรรม การแตง่ กระทธู้ รรม นกั ธรรมชนั ตรี จะมขี นั ตอนหลกั ๆ อยู่ ๘ ขนั ตอนใหญ่ จะเหน็ วา่ มตี วั เลขกาํ กบั อยดู่ า้ นหน้า หมายถงึ ขนั ตอนทตี อ้ งเขยี นดงั นี ขนั ตอนที ๑ เขยี น \"สุภาษิตบทตงั พร้อมคําแปล\" เป็นสุภาษิตทสี นามหลวงกําหนดให้ เป็นโจทย์ ตอ้ งเขยี นไวก้ งึ กลางหน้ากระดาษ ขนั ตอนที ๒ ยอ่ หน้าเขยี น คาํ นําหรอื อารมั ภบท คอื เขยี นคาํ วา่ \"บดั นี จกั ได้ ...สบื ตอ่ ไป\" ขนั ตอนที ๓ ย่อหน้าเขียน อธิบายเนือความสุภาษิตบทตงั ประมาณ ๘-๑๕ บรรทดั จากนันต่อดว้ ยคาํ \"สมดงั สุภาษติ ทมี าใน...ว่า\" เช่น \"สมดงั สุภาษติ ทมี าใน ขุทฺทกนิกาย ธมฺมปทคาถา ว่า\" ตอ้ งปิดดว้ ยคาํ ว่า \"ว่า\" เสมอ เป็นการบอก ทมี าของสุภาษติ เชอื มกอ่ นจะเขยี นในขนั ที ๔ ขนั ตอนที ๔ เขยี น สุภาษติ เชอื มพรอ้ มคําแปล เป็นสุภาษติ ทเี ราจาํ มาเอง ใหอ้ ยกู่ งึ กลาง และตรงกบั สุภาษติ บทตงั ดว้ ย ขนั ตอนที ๕ ยอ่ หน้าเขยี น อธบิ ายเนือความสภุ าษติ เชอื ม ประมาณ ๘-๑๕ บรรทดั ขนั ตอนที ๖ ยอ่ หน้าเขยี น สรปุ ความกระทธู้ รรม ใหไ้ ดใ้ จความสาระสาํ คญั ประมาณ ๕-๖ บรรทดั เมอื สรุปเสร็จแล้ว ต้องเขยี นต่อด้วยคําว่า \"สมดงั ธรรมภาษิตที ยกขนึ เป็นนกิ เขปบทเบอื งตน้ วา่ ขนั ตอนที ๗ ใหย้ กสุภาษติ บทตงั พรอ้ มคําแปล มาเขยี นปิดอกี ครงั หนึง และจะตอ้ งเขยี น ใหอ้ ยกู่ งึ กลางตรงกนั พอกบั สุภาษติ เชอื ม ขนั ตอนที ๘ บรรทดั สุดทา้ ยเขยี นคําว่า \"มนี ัยดงั พรรณนามาดว้ ยประการฉะนี\" เพอื ปิด การเขยี นเรยี งแกก้ ระทธู้ รรมทงั หมด ข้อสาํ คญั : ตงั แต่ขนั ตอนที ๑ จนถึง ๘ “ต้องเขยี นตวั บรรจง ครงึ บรรทดั เวน้ บรรทดั ” ทงั หมด ๔๒
Search