บทท่ี 1 หลกั การพ้นื ฐานของกฎหมายปกครอง 1. ความหมายของกฎหมายปกครอง กฎหมายปกครอง หมายถงึ กฎหมายมหาชนทง้ั ท่เี ปน็ ลายลักษณอ์ กั ษรและไมเ่ ปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษร ซ่งึ ว่าด้วยการจัดองค์การของฝ่ายปกครอง การดําเนินกิจกรรมทางปกครอง ตลอดจนการควบคุมการ ดําเนนิ กจิ กรรมทางปกครอง” โดยกฎหมายปกครองที่เป็นลายลักษณ์อักษรนั้นส่วนใหญ่มักปรากฏอยู่ในกฎหมายท่ีมีค่า บังคับตํ่ากว่ารัฐธรรมนูญแต่สูงกว่ากฎหมายลําดับรอง อันได้แก่ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกําหนด สําหรับกฎหมายรัฐธรรมนูญโดยหลักแล้วมิใช่กฎหมายปกครอง แต่ กฎหมายปกครอง เป็นส่วนหน่ึงของกฎหมายรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ดี บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญใน ส่วนท่ีเก่ียวกับการจัดองค์การของฝ่ายปกครอง การดําเนินกิจกรรมทางปกครอง และการควบคุมการ ดําเนินกิจกรรมทางปกครอง ย่อมถือเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายปกครองเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นบทบัญญัติ เก่ียวกับหลักนิติรัฐ หลักความเสมอภาค หลักความได้สัดส่วน ศาลปกครองหรือการปกครองส่วน ท้องถิน่ สว่ นกฎหมายลําดับรองนั้นนอกจากจะเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายปกครองแล้วกฎหมายลําดับรอง ยังเปน็ การกระทาํ ทางปกครองอีกรูปแบบหน่งึ ดว้ ย กฎหมายปกครองเปน็ กฎหมายท่ใี หอ้ ํานาจปกครองแก่ฝ่ายปกครองเพื่อให้การดําเนินกิจกรรม ทางปกครองสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อํานาจปกครองน้ีเองท่ีทําให้ ฝา่ ยปกครองสามารถบังคับเอกชนใหป้ ฏบิ ัติตามกฎหมายหรือคาํ สั่งทางปกครองได้เองฝา่ ยเดยี วโดยไม่ต้อง ได้รับความยินยอมจากเอกชนผู้น้ัน อาจกล่าวได้ว่าอํานาจปกครองเป็นลักษณะพิเศษที่ทําให้กฎหมาย ปกครองแตกต่างไปจากกฎหมายเอกชน 2. ฝ่ายปกครอง 2.1 การจดั องคก์ ารของฝ่ายปกครอง เรียกว่า “การจัดระบบราชการบริหาร” เป็นการจัดตั้งองค์กรของรัฐฝ่ายปกครองเพื่อจัดทํา บริการสาธารณะอันเป็นภารกิจทางปกครอง โดยทั่วไปการจัดระเบียบบริหารราชการมี 2 รูปแบบ หลัก คอื หลกั การรวมอํานาจทางปกครองและหลกั การกระจายอาํ นาจทางปกครอง 1) หลักการรวมอํานาจทางปกครอง (Centralization) เป็นหลักการจัดระเบียบ ราชการบริหารที่อํานาจตัดสินใจในการจัดทําบริการสาธารณะอยู่ที่ส่วนกลาง โดยไม่มีการมอบอํานาจ ตัดสนิ ใจบางเร่อื งใหแ้ ก่เจ้าหนา้ ท่ีของราชการส่วนกลางทถี่ กู ส่งออกไปประจําในสว่ นภมู ภิ าค
ความสัมพนั ธ์ จะเปน็ ในรปู สายบงั คับบัญชาลงไป กล่าวคือ บรรดาเจ้าหน้าทีท่ ่ีประจาํ อยู่ ในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคจะตกอยู่ภายใต้อํานาจบังคับบัญชาของรัฐบาล ซ่ึงเจ้าหน้าที่เหล่านั้น มีหน้าที่เพียงรวบรวมปัญหาเสนอไปยังรัฐบาลเพ่ือพิจารณาวินิจฉัยสั่งการและนําคําวินิจฉัยสั่งการ ของรฐั บาลไปปฏบิ ัติ ทั้งนี้ หน่วยงานทางปกครองตามหลักการรวมอํานาจทางปกครอง ได้แก่ รัฐบาล กระทรวง ทบวง กรม ตามหลักการนี้ ราชการส่วนกลางในฐานะผู้บังคับบัญชาสามารถควบคุม ผู้ใต้บังคับบัญชาได้ทุกเร่ือง กล่าวคือ ผู้บังคับบัญชาสามารถควบคุมผู้ใต้บังคับบัญชาได้ทั้งความชอบ ด้วยกฎหมายและความเหมาะสมของการกระทํานั้นๆ ข้อดีของหลักการรวมอํานาจ ได้แก่ การจัดทําบริการสาธารณะมีความเป็นเอกภาพ และเหมือนกนั ทั่วไประเทศ ทําให้ราษฎรในภูมิภาคต่างๆ ได้รับประโยชน์อย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน ทําให้อาํ นาจของรัฐบาลม่ันคง เปน็ วิธีการบรหิ ารราชการท่ปี ระหยัดงบประมาณ ข้อเสียของหลักการรวมอํานาจ ได้แก่ การจัดทําบริการสาธารณะไม่ทั่วถึง เกิดความ ล่าช้าในการวินิจฉัยสั่งการและไม่สามารถตอบสนองความต้องการของราษฎร์ในภูมิภาคต่างๆ ได้ เพราะส่วนกลางไม่อาจทราบข้อเท็จจริงและความต้องการของราษฎร์ในภูมิภาคต่างๆ ได้ และเป็นหลักการ ทไี่ ม่สอดคล้องกับระบอบประชาธปิ ไตย เพราะการรวมอํานาจไมเปิดโอกาสให้ราษฎรในแต่ละท้องถ่ิน ไดม้ ีส่วนร่วมในการปกครอง หลักการรวมอํานาจทางปกครองกอ่ ใหเ้ กิดความล่าช้าในการแก้ปัญหาและไม่สามารถ ตอบสนองความต้องการของราษฎรได้ ทําให้การจัดทําบริการสาธารณะขาดประสิทธิภาพเพ่ือแก้ ข้อบกพร่องดังกล่าว จึงได้สร้างมาตรการภายในการกระจายอํานาจทางปกครอง เรียกว่า หลักการแบ่ง อํานาจทางปกครอง (Deconcentration) ข้ึน ซึ่งเป็นหลักการท่ีราชการส่วนกลางมอบอํานาจวินิจฉัย ส่งั การบางสว่ น ใหก้ ับเจา้ หน้าที่ซ่งึ เป็นผู้ใต้บังคบั บัญชาของตนที่ถูกแตง่ ตั้งจากราชการสว่ นกลางให้ไป ประจาํ ตามส่วนภูมภิ าคทัว่ ไประเทศ เจ้าหน้าที่เหลา่ นีจ้ ึงต้องตกอยภู่ ายใต้อํานาจบังคับชาของราชการ ส่วนกลาง และราชการส่วนกลางยังมีอํานาจควบคุมการวินิจฉัยส่ังการของเจ้าหน้าท่ีเหล่านั้นได้อยู่ ทําให้การตัดสินใจในขั้นสุดท้ายยังคงอยู่ราชการส่วนกลางเช่นเดิม หลักการแบ่งอํานาจทางปกครอง จึงเป็นส่วนหน่ึงของหลักการรวมอํานาจทางปกครองเท่านั้น มิใช่การกระจายอํานาจทางปกครอง แต่อย่างใด ทั้งน้ี หน่วยงานทางปกครองตามหลักการแบ่งอํานาจทางปกครอง ได้แก่ จังหวดั อําเภอ ตําบลและหมู่บา้ น
ข้อดีของหลักการแบ่งอํานาจ ได้แก่ ทําให้ภารกิจในการวินิจฉัยสั่งการของส่วนกลาง มีน้อยลงส่งผลให้การปฏิบัติราชการเป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งข้ึน สามารถตอบสนองความต้องการ ของราษฎรในภูมิภาคต่างๆ ได้ดีกว่าเดิม เพราะเจ้าหน้าที่ประจําตามส่วนภูมิภาคซ่ึงเป็นผู้ใช้อํานาจ ตัดสินใจมีความใกล้ชิดกับราษฎรมากกว่าส่วนกลาง นอกจากน้ี ยังเป็นรูปแบบที่มีประโยชน์สําหรับ ประเทศทปี่ ระชาชนยงั ขาดความสํานึกในการปกครองตนเอง ข้อเสียของหลกั การแบง่ อาํ นาจ ได้แก่ ทาํ ให้การจัดทาํ บรกิ ารสาธารณะขาดความเป็นเอกภาพ และส่งผลให้ราษฎรในภูมิภาคต่างๆ ได้รับประโยชน์ไม่เสมอภาคเท่าเทียมกัน เพราะมีผู้ใช้อํานาจ ตัดสินใจหลากหลาย เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาระบบประชาธิปไตย เน่ืองจากการท่ีส่วนกลาง ส่งเจ้าหน้าที่ไปปฏิบัติงานในแต่ละท้องที่แสดงให้เห็นว่าส่วนกลางยังไม่เช่ือว่าท้องถ่ินจะปกครอง ตนเองได้ ทําใหร้ าษฎรในทอ้ งถนิ่ คิดว่าการปกครองไมเ่ กยี่ วกับตน 2.1.2 หลกั การกระจายอาํ นาจทางปกครอง (Decentralization) เปน็ หลักทีจ่ ดั ระเบียบราชการบริหารที่รัฐส่วนกลาง (ราชการส่วนกลาง) มอบอํานาจปกครอง บางส่วนให้องค์กรอน่ื นอกจากราชการส่วนกลางเพ่ือจัดทําบริการสาธารณะบางอย่าง โดยองค์กรน้ัน มีความอิสระ และไมต่ อ้ งตกอยู่ภายใตอ้ าํ นาจบังคับบัญชาของราชการส่วนกลาง แต่ยังคงตกอยู่ภายใต้ อํานาจกํากับดูแลของส่วนกลางเท่านั้น กล่าวคือ ราชการส่วนกลางสามารถควบคุมได้เฉพาะความชอบ ด้วยกฎหมายเทา่ น้ัน โดยไมอ่ าจควบคุมความเหมาะสมได้ซึง่ ต่างจากหลกั การรวมอํานาจทางปกครอง ลักษณะสําคญั ของหลักการกระจายอาํ นาจทางปกครอง ไดแ้ ก่ 1. มีการแยกหน่วยงานไปเปน็ อิสระต่างหากจากราชการส่วนกลางโดยหน่วยงานนั้นต้องมีฐานะ เปน็ นติ บิ ุคคล 2. มีการเลอื กต้ังผ้บู ริหารโดยเฉพาะอยา่ งย่ิงการกระจายอาํ นาจทางพ้นื ท่ี 3. มงี บประมาณและรายได้เป็นของตนเอง 4. มีบุคลากรเป็นของตนเอง 5. มงี านเป็นของตนเอง โดยหลักการกระจายอํานาจทางปกครองอาจแบ่งไดเ้ ปน็ 2 รปู แบบ ดังนี้ 2.1.2.1 การกระจายอํานาจทางพื้นที่ หมายถึง การท่ีรัฐส่วนกลางโอนอํานาจในการจัดทําบริการสาธารณะให้องค์กรปกครองทาง ดินแดน เรียกว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน เป็นผู้จัดทําโดยอิสระ แต่การจัดบริการสาธารณะที่ได้รับ โอนมานั้นจะถูกจํากัด โดยเขตพ้ืนที่หรืออาณาเขตขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดังกล่าว
เพ่ือตอบสนองความต้องการของประชาชนในทิ้งถ่ินน้ัน ทั้งนี้ องค์กรกระจายอํานาจทางพ้ืนที่ ได้แก่ เทศบาล องคก์ ารบริหารสว่ นตําบล องคก์ ารบรหิ ารส่วนจังหวดั กรงุ เทพมหานคร และเมอื งพัทยา 2.1.2.2 การกระจายอํานาจทางกิจการ การท่ีรัฐส่วนกลางโอนอํานาจในการจัดทําบริการสาธารณะบางเร่ืองให้แก่องค์กรของรัฐ ท่ีจัดต้ังข้ึนโดยเฉพาะเป็นผู้จัดทําโดยอิสระ เนื่องจากลักษณะโดยธรรมชาติของงานน้ัน ไม่ควรอยู่ ภายใต้สายบังคับบัญชาของราชการส่วนกลางเพราะจะทําให้การบริหางานเป็นไปอย่างล่าช้าและ ขาดความคลอ่ งตัว ทงั้ น้ี องคก์ รกระจายอํานาจทางกจิ การมีอยู่ด้วยกนั 2 ประการ คือ 1. รัฐวิสาหกิจ ซ่ึงเป็นองค์กรท่ีดําเนินกิจกรรมในทางพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม โดยมงุ่ แสวงหากําไร 2. องค์การมหาชน ซึ่งเป็นองค์กรที่ดําเนินกิจกรรมในทางสังคมและวัฒนธรรม โดยไม่มุ่งแสวงหากาํ ไร ความแตกต่างระหว่างองค์กรกระจายอาํ นาจทางพื้นท่ีกับองค์กรกระจายอํานาจทางกิจการ ไดแ้ ก่ องคก์ รกระจายอํานาจทางพน้ื ที่ 1. ผ้บู ริหารขององคก์ รกระจายอํานาจทางดินแดนตอ้ งมาจากการเลือกต้ัง 2. มอี าํ นาจเฉพาะภายในเขตท้องถ่นิ ของตนเท่าน้นั องค์กรกระจายอํานาจทางกิจการ 1. ผู้บริหารไม่ได้มาจากการเลอื กตงั้ 2. ไม่ถือเอาอาณาเขตเป็นข้อจํากัดในการใช้อํานาจ แต่ถูกจํากัดในด้านเนื้อหาของบริการ สาธารณะท่รี ับผิดชอบ ข้อดีของการกระจายอํานาจทั้ง 2 รูปแบบ มีความรวดเร็วในการแก้ปัญหาทําให้การจัดทํา บริการสาธารณะมีประสิทธิภาพ และแบ่งเบาภาระของส่วนกลางในกิจการอันเกี่ยวกับท้องถิ่นหรือ ความเชียวชาญโดยเฉพาะ ข้อดีของหลักการกระจายอํานาจทางพื้นท่ี ผู้บริหารท้องถ่ินมีความกระตือรือร้นในการ แก้ปัญหา สามารถสนองความต้องการของราษฎรในท้องถ่ินนั้นๆ ได้ดี เพราะรู้ปัญหาและ ความต้องการของราษฎร และเปิดโอกาส ให้ราษฎรเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองอันเป็นการส่งเสริม ระบบประชาธปิ ไตยอย่างหน่ึง
ข้อดีของหลักการกระจายอํานาจทางกิจการ การบริหารสาธารณะเป็นไปอย่างเหมาะสม เพราะผู้บริหารโดยผู้เชียวชาญและการบริการสาธารณะมีความคล่องตัวเพราะไม่อยู่ใต้กฎระเบียบ ทเี่ คร่งครัดของระบบราชการ ข้อเสียของหลักการกระจายอํานาจ ส่วนใหญ่เป็นข้อเสียของหลักการกระจายอํานาจ ทางพ้ืนท่ี ได้แก่ เป็นอันตรายต่อเอกภาพและความมั่นคงในการปกครองประเทศ ทําให้ราษฎรเห็น ประโยชน์ของท้องถิ่นสําคัญกว่าประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ ทําให้ส้ินเปลืองงบประมาณและ การเลือกตั้งอาจทําให้ไม่ได้ผู้บริหารท่ีมืออาชีพมาบริหารท้องถ่ิน และทําให้เกิดกลุ่มอํานาจในท้องถิ่น อันนาํ มาซง่ึ การแบ่งพรรคแบ่งพวกและความแตกแยกในท้องถิ่น ความแตกตา่ งระหวา่ งการรวมอํานาจทางปกครองกับหลักการกระจายอาํ นาจทางปกครอง ข้อเปรยี บเทียบ/หลกั หลกั การรวมอาํ นาจ หลักการกระจายอํานาจ สว่ นกลางมอบอาํ นาจให้ อาํ นาจตดั สนิ ใจ ท้ังหมดอยูท่ ส่ี ่วนกลาง องค์กรอ่ืนจัดทาํ บรกิ าร สาธารณะบางเรอื่ ง ความสมั พนั ธ์ระหว่าง บงั คับบญั ชา กาํ กับดแู ล องค์กร ขอบเขตการควบคุม ความชอบด้วยกฎหมายและความ ความชอบดว้ ยกฎหมาย เหมาะสม ขอ้ ดี เอกภาพ เสมอภาค ม่นั คง ประหยัด รวดเร็ว ตรงกับความต้องการ ส่งเสรมิ ประชาธปิ ไตย ขอ้ เสีย ล่าช้า ไม่ตรงกับความต้องการ ไม่ ไม่มเี อกภาพ ไมเ่ สมอภาค สอดคล้องกับหลกั ประชาธปิ ไตย เ ป็ น ภั ย ต่ อ ค ว า ม มั่ น ค ง สน้ิ เปลือง 2.2 ความหมายของฝ่ายปกครอง โดยท่ัวไปฝ่ายปกครอง หมายถึง องค์กรและเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายบริหารท่ีใช้อํานาจมหาชน จากกฎหมายระดับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมหรือพระราชบัญญัติเพ่ือจัดทําบริการสาธารณะ ให้บรรลุผลเป็นรูปธรรม โดยต้องคํานึงถึงประโยชน์สาธารณะ และเพ่ือสนองความต้องการ ของส่วนรวมในรูปแบบของงานประจํา ซ่ึงฝ่ายปกครองจะมีเอกสิทธิบางประการและสามารถริเร่ิม ดาํ เนนิ งานได้เองโดยไมต่ ้องมีผูร้ ้องขอ แต่การดําเนินงานน้ันจะตอ้ งผู้พันอยู่กับกฎหมายท่ใี ห้อาํ นาจ อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่องค์กรเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารน้ันจะกระทําการในฐานฝ่ายปกครอง ก็ต่อเม่ือองค์กรดังกล่าว ได้ใช้อํานาจตามกฎหมายในระดับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือ
พระราชบญั ญตั เิ ท่าน้นั หากองค์กรเชน่ วา่ นน้ั ใชอ้ ํานาจตามกฎหมายระดับรัฐธรรมนูญแล้ว ย่อมไม่อาจ ถือไดว้ ่าองค์กรน้นั กระทําการในฐานะฝา่ ยปกครองแตก่ ระทาํ ในฐานฝา่ ยรฐั บาล ดังนั้น การพิจารณาว่าองค์กรเจ้าหน้าท่ีฝ่ายบริหารองค์กรใดกระทําการในฐานฝ่ายปกครอง หรอื ไม่ จาํ เป็นตอ้ งใช้เกณฑ์เรอื่ ง “แหลง่ ท่ีมาของอํานาจกระทําการ” มาพิจารณา 2.3 ประเภทของฝา่ ยปกครอง มี 2 ประเภท 2.3.1 ฝ่ายปกครองทไ่ี มไ่ ดอ้ ยใู่ นบังคบั บญั ชาหรือกํากับดูแลของรฐั บาล 1. พระมหากษตั รยิ ์ 2. คณะรัฐมนตรี 3. นายกรัฐมนตรแี ละรัฐมนตรี 4. องคก์ รอสิ ระ 5. หน่วยงานอสิ ระ 2.3.2 ฝา่ ยปกครองที่อยใู่ นบังคบั บัญชาหรือกาํ กบั ดแู ลของรัฐบาล 1. ราชการสว่ นกลาง 2. ราชการส่วนภมู ภิ าค 3. ราชการสว่ นทอ้ งถนิ่ 4. รฐั วสิ าหกิจ 4.1 รัฐวิสาหกิจทต่ี ั้งขึ้นโดยพระราชบญั ญัติ 4.2 รัฐวิสาหกิจที่ตงั้ ข้นึ โดยพระราชกฤษฎีกา 4.3 รฐั วิสาหกจิ ท่ตี งั้ ข้นึ โดยมตคิ ณะรัฐมนตรี 4.4 รัฐวิสาหกจิ ท่ตี ง้ั ขึ้นโดยกฎหมายเอกชน 5. องคก์ รมหาชน 5.1 องคก์ ารมหาชนท่ีจัดตง้ั ขึ้นโดยพระราชบัญญัติ 5.2 องคก์ ารมหาชนทจี่ ดั ต้ังขน้ึ โดยพระราชกฤษฎกี า 6. หน่วยงานทีไ่ ด้รบั มอบหมายให้ใชอ้ ํานาจปกครอง สรุป ฝ่ายปกครอง หมายถึง บรรดาองค์การของรัฐหรือเจ้าหน้าท่ีของรัฐที่อยู่ในบังคับบัญชา หรือกํากับดูแลของคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีคนใดคนหน่ึง และหมายความรวมถึง พระมหากษตั รยิ โ์ ดยคําแนะนําของคณะรัฐมนตรี คณะรฐั มนตรี นายกรัฐมนตรี รฐั มนตรี องค์กรอิสระ
หน่วยงานอิสระของรัฐ และองค์กรมหาชน ในกรณีที่ใช้อํานาจปกครองตามกฎหมายระดับ พระราชบัญญตั ปิ ระกอบรัฐธรรมนญู หรอื พระราชบญั ญตั ิ 3. การกระทําทางปกครอง 3.1 ความหมายของการกระทําทางปกครอง (Administrative Act;Acte asministratif) เป็น การกระทําทางบริหารประเภทหนึ่ง ท่ีใช้อํานาจปกครองตามกฎหมายระดับพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญหรือพระราชบัญญัติในการจัดทําบริหารสาธารณะเพื่อสนองความต้องการของส่วนรวม อนั มีลักษณะเปน็ งานประจํา โดยตกอยู่ภายใต้การควบคุมตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมาย 3.2 ความแตกต่างระหวา่ งการกระทําทางปกครองกบั การกระทําทางรฐั บาล การกระทําทางรัฐบาล (Act of State;Acte de gouvermement) เป็นการกระทําทางบริหาร ประเภทหน่ึงเช่นเดียวกับการกระทําทางปกครองท่ีใช้อํานาจทางการเมืองตามกฎหมายระดับ รัฐธรรมนูญอันเก่ียวกับความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติหรือความสัมพันธ์ระหว่าง ประเทศ โดยท่ัวไปแล้วการกระทําทางรัฐบาลไม่อยู่ภายใต้การควบคุมตรวจสอบความชอบ ด้วยกฎหมายโดยองค์กรตุลาการ แต่หากระบบกฎหมายใดต้องการให้มีการควบคุมตรวจสอบ การกระทําดังกล่าวในทางกฎหมาย ก็จะบัญญัติไว้อย่างชัดเจนเป็นเรื่องๆ ในรัฐธรรมนูญ และมอบหมายให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอํานาจวินิจฉัยช้ีขาดภายใต้เงื่อนไขท่ีรัฐธรรมนูญกําหนด กรณีใดท่ีไม่ได้ บัญญัติไว้ย่อมไม่สามารถฟ้องการกระทางรัฐบาลได้ แต่ต้องควบคุมตรวจสอบกันในทางการเมือง เทา่ น้นั ซง่ึ อาจกระทําโดยรฐั สภา สื่อมวลชน หรอื ประชาชน ความแตกตา่ งในสาระสาํ คญั ดังน้ี 1. ลกั ษณะของการกระทาํ 2. แหล่งที่มาของอํานาจ 3. ขอบเขตการตรวจสอบความชอบดว้ ยรฐั ธรรมนญู ของกฎหมาย 3.3 ประเภทของการกระทาํ ทางปกครอง มี 2 ประเภท 3.3.1 การกระทําในทางข้อเท็จจริง เป็นการกระทําที่ฝ่ายปกครองไม่ได้มีการแสดงเจตนา เพ่ือให้เกิดนิติสัมพันธ์ตามกฎหมาย กล่าวคือ เป็นการกระทําที่ฝ่ายปกครองไม่ต้องการให้เกิดความ เคล่ือนไหวในสิทธิตามกฎหมาย แต่มีลักษณะเป็นการปฏิบัติเพื่อให้ภารกิจทางปกครองบรรลุผลได้ ในทางข้อเท็จจริง ซ่ึงมีกรณีเดียวคือ “ปฏิบัติการทางปกครอง” ดังนั้น การกระทําที่เป็นปฏิบัติการ ทางปกครองจึงไม่มีปัญหาเรื่องความสมบูรณ์ของการกระทํา เพียงแต่หากการกระทําน้ันไม่ชอบด้วย
กฎหมายอันเป็นการละเมิดย่อมก่อให้เกิดนิติสัมพันธ์ทางกฎหมายท่ีผู้เสียหายจะเรียกร้องให้ ฝา่ ยปกครองชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ 3.3.2 การกระทาํ ทีม่ ่งุ ตอ่ ผลในทางกฎหมาย แบง่ ไดเ้ ปน็ 2 ประเภท คอื 1. การกระทาํ ฝา่ ยเดียวซง่ึ ได้แก่ กฎ และคําสง่ั ทางปกครอง 2. การกระทําสองฝ่าย ไดแ้ ก่ สญั ญาทางปกครอง 3.3.2.1 กฎ หมายถึง กฎหมายลําดับรองท่ีฝ่ายปกครองตราขึ้นโดยอาศัยอํานาจ ตามพระราชบัญญตั ิประกอบรฐั ธรรมนูญ พระราชบัญญัติ หรือพระราชกําหนดฉบับใดฉบับหน่ึงซึ่งเป็น กฎหมายแม่บท เพื่อกําหนดรายละเอียดให้เป็นไปตามกฎหมายแม่บท โดยมีผลบังคับเป็นการท่ัวไป โดยไม่มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่กรณีใดหรือบุคคลใดเป็นการเฉพาะ ดังนั้น กฎจึงมีลักษณะสําคัญ 2 ประการ ดังนี้ 1. บุคคลที่ถูกบังคับให้กระทําการ ถูกห้ามมิให้กระทําการ หรือได้รับอนุญาต ให้กระทําการ ต้องเป็นบุคคลที่ถูกนิยามไว้เป็นประเภท เช่น ผู้ใด ข้าราชการ คนต่างด้าว ฯลฯ ดังน้ัน เราจึงไมอ่ าจทราบจํานวน ทีแ่ น่นอนของบคุ คลทอ่ี ยูภ่ ายใต้บงั คับของกฎ 2. บุคคลซึ่งถูกนิยามไว้เป็นประเภทจะถูกบังคับให้กระทําการ ถูกห้ามมิให้ กระทําการหรือได้รับอนุญาตให้กระทําการต้องเป็นกรณีท่ีถูกกําหนดไว้เป็นนามธรรม กล่าวคือ ทุกครั้งท่ีมีกรณีดังท่ีกําหนดเกิดข้ึน บุคคลประเภทน้ันมีหน้าที่ต้องกระทําการ งดเว้นการกระทําหรือ มีสิทธิกระทําซํ้าๆ ตอ่ ไปเร่อื ยๆ 3.3.2.2 คําส่งั ทางปกครอง หมายถึง การใชอ้ าํ นาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าท่ีท่ีมีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ ขึ้นระหวา่ งฝ่ายปกครองกับผรู้ ับคําสั่งในอันท่ีจะก่อ เปลยี่ นแปลง โอน สงวน ระงับ หรอื มีผลกระทบ ต่อสถานภาพของสิทธหิ รือหน้าทขี่ องบคุ คล ไมว่ า่ จะเปน็ การถาวรหรือชั่วคราวในลักษณะที่มีผลบังคับ เฉพาะกรณโี ดยมุง่ หมายให้ใช้บงั คับแก่กรณใี ดกรณีหนึง่ หรอื บคุ คลใดบุคคลหน่ึงเป็นการเฉพาะเจาะจง ซึ่งอาจเป็นการสง่ั การ การอนุญาต การอนุมตั ิ การวินจิ ฉัยอทุ ธรณ์ การรับรอง หรือการรบั จดทะเบียนก็ได้ 3.3.2.3 สญั ญาทางปกครอง หมายถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง หรือเป็นบุคคลที่กระทําการแทนรัฐและมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาท่ีให้จัดบริการ สาธารณะ สัญญาจดั ให้มสี ิ่งสาธารณปู โภค สญั ญาท่ีแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สัญญา ท่ีหน่วยงานทางปกครองหรือบุคคลซ่ึงกระทําการแทนรัฐตกลงให้คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งเข้าดําเนินการ
หรือเข้าร่วมดําเนินการจัดทําบริการสาธารณะโดยตรง หรือสัญญาท่ีมีข้อกําหนดซ่ึงมีลักษณะพิเศษ ท่ีแสดงถึงเอกสทิ ธิ์ของรฐั เพื่อให้บรกิ ารสาธารณะบรรลผุ ล อย่างไรก็ตาม หากสัญญาน้ันไม่ได้มีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้ จัดบริการสาธารณะ สัญญาจัดให้มีส่ิงสาธารณูปโภค สัญญาท่ีแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ หรือสัญญาที่หน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลที่กระทําการแทนรัฐ ตกลงให้คู่สญั ญาอีกฝ่ายหน่ึง เข้าดําเนินการหรือเข้าร่วมดําเนินการบริการสาธารณะโดยตรง หรือสัญญาท่ีมีข้อกําหนดในสัญญา ซึ่งไม่มีลักษณะพิเศษที่แสดงถึงเอกสารสิทธ์ิของรัฐ สัญญาน้ันย่อมไม่ใช่สัญญาทางปกครอง แต่เป็น สัญญาตามกฎหมายเอกชนท่ีเรียกว่า “สัญญาทางแพง่ ” 4. หลกั ความชอบด้วยกฎหมายของการกระทาํ ทางปกครอง 4.1 สาระสําคัญของหลักความชอบด้วยกฎหมายของการกระทําทางปกครอง ประกอบด้วย หลักการย่อย 2 ประการ คอื 1. หลักการกระทาํ ทางปกครองตอ้ งไม่ขดั ต่อกฎหมาย 2. หลกั ไม่มกี ฎหมายไมม่ อี ํานาจ 4.1.1 หลักการะทาํ ทางปกครองตอ้ งไมข่ ดั ตอ่ กฎหมาย เปน็ หลกั ท่ที าํ ให้ฝ่ายปกครองต้องผกู พนั ต่อกฎหมายที่ใช้บงั คับอยู่จริงในบ้านเมืองตามหลักความเป็นเอกภาพของอํานาจรัฐและความเป็น เอกภาพในระบบกฎหมาย ดังนน้ั ฝ่ายปกครองจงึ ไม่อาจดาํ เนนิ การใดๆ ให้ขัดต่อกฎหมายที่ให้อํานาจ และกฎหมายที่มีลําดับศักดิ์สูงกว่ากฎหมายท่ีให้อํานาจดําเนินการทางปกครองน้ัน อันเป็นไปตาม คาํ กล่าวทวี่ า่ “กฎหมายเป็นท้งั ทม่ี าของอาํ นาจและขอ้ จํากดั ของอาํ นาจฝ่ายปกครอง ซ่งึ มีรายละเอยี ดดังนี้ 4.1.1.1 กฎหมายที่เปน็ “แหล่งท่มี า” ของอาํ นาจกระทําการของฝา่ ยปกครอง กฎหมายที่ให้อํานาจฝ่ายปกครองกระทําการต่างๆ ที่อาจมีผลกระทบกระเทือน ต่อสิทธิและเสรีภาพของปัจเจกชน ได้แก่ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ และ กฎหมายอ่ืนที่มีค่าบังคับเทียบเท่ากับพระราชบัญญัติ เช่น พระราชกําหนด ประกาศคณะปฏิบัติบางฉบบั ส่วนกฎหมายลําดับรองน้ัน แม้จะมีลักษณะให้อํานาจฝ่ายปกครองกระทําการที่มีผลกระทบต่อสิทธิ และเสรีภาพของปัจเจกชนได้เช่นกันก็ตาม แต่แท้จริงแล้วกฎหมายลําดับรอง เป็นการกระทําทาง ปกครองประเภทหนึ่งท่ีจะออกมาใช้บังคับได้ก็แต่โดยอาศัยอํานาจตามพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ และกฎหมายอื่นท่ีมีค่าบังคบั เทียบเท่ากับพระราชบัญญัติ จึงกล่าวได้ว่า กฎหมายท่ีเป็นแหล่งท่ีมาของอํานาจกระทําการของฝ่ายปกครองน้ัน เป็นผลผลิตมาจากการกระทํา
ในทางนิติบัญญัติเท่านั้น ซึ่งสอดคล้องกับหลักการแบ่งแยกอํานาจ และหลักประชาธิปไตย ทางผแู้ ทน อันเปน็ หลกั การพนื้ ฐานของรฐั ธรรมนูญในรัฐเสรีประชาธิปไตย 4.1.1.2 กฎหมายเปน็ “ขอ้ จํากดั ” ของอํานาจกระทาํ การของฝ่ายปกครอง 1. รัฐธรรมนูญ ได้แก่ บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ตลอดจนหลักรัฐธรรมนูญ ท่ัวไปที่มิได้บัญญัติข้ึนเป็นลายลักษณ์อักษรด้วย เช่น หลักนิติรัฐ หลักความได้ส่วนสัด (หลักความ พอสมควรแกเ่ หต)ุ หลักความเสมอภาค เปน็ ตน้ 2. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ และกฎหมายอื่นที่มี ค่าบังคับเทียบเท่ากับพระราชบัญญัติ ฉบับที่เป็นและไม่ได้เป็นแหล่งที่มาของอํานาจกระทําการ ของฝ่ายปกครอง 3. กฎหมายจารีตประเพณี ได้แก่ แนวปฏิบัติในเรื่องใดเรื่องหน่ึงท่ีได้รับ การประพฤติปฏิบตั ิอย่างสม่ําเสมอติดต่อกันมาช้านานจนเกิดความรู้สึกร่วมกันของคนในสังคมว่าเป็น สง่ิ ท่ีถูกตอ้ งและจาํ เป็นตอ้ งปฏิบตั ิตาม 4. หลักกฎหมายทัว่ ไป ได้แก่ บรรดาหลกั การทีเ่ ปน็ รากฐานของระบบกฎหมาย ของประเทศทั้งระบบ เช่น หลักความเป็นกลาง หลักฟังความทุกฝ่าย หลักความไม่มีผลใช้บังคับ ย้อนหลังของการกระทําทางปกครอง หลักการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ หลักการคุ้มครองความ เช่ือถือและไวว้ างใจ เป็นตน้ 4.1.2 หลกั ไมม่ ีกฎหมายไมม่ ีอาํ นาจ แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดแจ้งระหว่างการกระทําในแดนของกฎหมายเอกชน และการกระทําในแดนของกฎหมายมหาชน กล่าวคือ ในแดนของกฎหมายเอกชน เอกชนสามารถ กระทําการใดๆ ก็ได้ตราบเท่าท่ีไม่มีกฎหมายห้ามในขณะท่ีในแดนของกฎหมายมหาชนนั้น ฝ่ายปกครองจะกระทาํ การใดไดก้ ็ตอ่ เมอื่ มกี ฎหมายให้อํานาจไวอ้ ย่างชัดแจ้งแลว้ เท่านัน้ สําหรับกฎหมายที่ให้อํานาจฝ่ายปกครองกระทําการต่างๆ ท่ีอาจมีผลกระทบกระเทือน ต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชนได้จะต้องเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรเท่านั้น และกฎหมาย ลายลักษณ์อักษรน้ันต้องเป็นกฎหมายท่ีตราข้ึนโดยฝ่ายนิติบัญญัติซ่ึงเป็นตัวแทนของประชาชน อันได้แก่ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ รวมถึงกฎหมายอื่นท่ีมีค่าบังคับ เช่น พระราชบัญญตั ิ อันได้แก่ พระราชกําหนด และประกาศคณะปฏิวตั ิบางฉบับ ด้วยเหตุนี้ ฝ่ายปกครอง จึงอา้ งกฎหมายลาํ ดบั รอง กฎหมายจารตี ประเพณแี ละหลักกฎหมายทั่วไปมาเป็นฐานในการใชอ้ ํานาจ ปกครองของตนไมไดเ้ ลย
4.2 การตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการกระทําทางปกครอง โดยศาลปกครอง 5. การควบคุมฝา่ ยปกครอง จาํ แนกไดเ้ ปน็ 2 ลักษณะตามองค์กรผู้ควบคุม 5.1 การควบคุมโดยองคก์ รภายในฝา่ ยปกครอง 5.1.1 การควบคุมโดยผู้มีอํานาจเหนือขึ้นไป ในกรณีท่ีที่เป็นความสัมพันธ์ภายในองค์กร ฝ่ายปกครองเดียวกันย่อมถูกควบคุมโดยผู้บังคับบัญชา โดยสามารถควบคุมได้ทั้งความชอบด้วย กฎหมายและความเหมาะสมของการกระทํานั้น และโดยเหตุที่อํานาจบังคับบัญชาเป็นอํานาจทั่วไป ทีเ่ กิดจากการจัดระเบียบภายในองค์กรฝา่ ยปกครอง ผูบ้ งั คับบัญชาจงึ สามารถควบคุมผู้ใต้บังคับบัญชาได้ โดยไม่จําเป็นต้องมีกฎหมายให้อํานาจไว้ แต่ในกรณีท่ีเป็นความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรฝ่ายปกครอง ตง้ั แต่ สององคก์ รขนึ้ ไป ย่อมถูกควบคุมโดยผู้กํากับดูและซ่ึงผู้กํากับดูแลมีอําจานควบคุมเท่าที่กฎหมาย ใหอ้ าํ นาจได้ โดยสามารถควบคุมไดเ้ ฉพาะความชอบด้วยกฎหมายเท่านน้ั 5.1.2 การควบคุมโดยการอทุ ธรณภ์ ายในฝ่ายปกครอง จาํ แนกได้เป็น 2 ระบบ 1. ระบบอุทธรณ์แบบไม่บังคับ หมายถึง ระบบท่ีกฎหมายในลักษณะที่เป็นทางเลือก ใหค้ ู่กรณมี ีสิทธิท่ีจะเลือกใช้สิทธิอุทธรณ์ภายในฝ่ายปกครองก่อนฟ้องคดีหรือไม่ก็ได้ โดยท่ัวไปแล้ว คดปี กครองทอี่ ยู่ในเขตอํานาจของศาลยุตธิ รรมจะใช้ระบบอุทธรณแ์ บบไม่บังคบั 2. ระบบอุทธรณ์แบบบังคับ หมายถึงระบบกฎหมายบังคับให้คู่กรณีต้องดําเนินการ อุทธรณ์ภายในฝ่ายปกครองก่อนเสมอจึงจะมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาล การอุทธรณ์ในระบบบังคับ จงึ กลายเปน็ เงอื่ นไขการฟ้องคดที ่ีหากคู่กรณไี ม่ดําเนินการภายในฝ่ายปกครองก่อนแล้ว ศาลย่อมไม่มี อาํ นาจรบั คดีดังกล่าวไวพ้ จิ ารณาพิพากษาได้ 5.2 การควบคมุ โดยองคก์ รภายนอกฝ่ายปกครอง จําแนกตามระบบศาลได้ 2 ระบบ 1. ระบบศาลเดียว เป็นระบบศาลท่ีได้รับอิทธิพลมาจากระบบกฎหมาย Common Law เป็นระบบศาลท่ใี ห้ศาลยุติธรรมมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดที กุ ประเภท 2. ระบบศาลคู่ เป็นระบบศาลที่ได้รบั อิทธิพลมาจากระบบกฎหมาย Civil Law เป็นระบบ ศาลที่ให้ศาลยุติธรรมมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งและคดีอาญาเท่านั้น โดยคดีประเภทอ่ืนๆ จะอยใู่ นอาํ นาจพจิ ารณาพิพากษาของศาลพิเศษท่ีจดั ตั้งข้นึ แยกออกเป็นเอกเทศจากศาลยุตธิ รรม
บทท่ี 2 กฎหมายวา่ ด้วยวธิ ปี ฏบิ ัติราชการทางปกครอง 1. ความหมายของกฎหมายว่าดว้ ยวิธปี ฏบิ ตั ริ าชการทางปกครอง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง เป็นกฎหมายหลักของเจ้าหน้าท่ีในการออกคําสั่ง ทางปกครองและขั้นตอนปฏิบัติภายหลังออกคําสั่งทางปกครอง ทําให้การปฏิบัติราชการ ของเจ้าหน้าท่ีมีมาตรฐานเดียวกันและเป็นไปตามมาตรฐานขั้นต่ําที่เจ้าหน้าที่พึงปฏิบัติต่อเอกชน ท้ังยังส่งผลให้การบังคับใช้กฎหมายปกครองเฉพาะเร่ืองเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในขณะเดียวกัน พ.ร.บ วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองยังได้กําหนดหลักเกณฑ์ที่ประกันความเป็นธรรม แก่เอกชนผู้เป็นคู่กรณีในการพิจารณาทางปกครองด้วยการรับรองและคุ้มครองสิทธิของเอกชนไว้ โดยชัดแจ้งและเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามามีบทบาทในการพิจารณาทางปกครอง อันเป็นการ ยอมรับสถานะของเอกชนว่าเป็น “ผู้ทรงสิทธิ” มิใช้เป็น “ผู้ถูกกระทํา” ดังที่เคยเป็นมาก่อนแต่เดิม ตามกฎหมายปกครองเฉพาะเรื่อง ด้วยเหตุนี้หลักเกณฑ์ข้ันตํ่าท่ีกําหนดไว้ในพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติ ราชการทางปกครอง จึงเป็นมาตรการสาํ คัญในการป้องกนั มิให้เจ้าหนา้ ทีใ่ ช้อํานาจตามอําเภอใจควบคู่ ไปกบั การประกนั สทิ ธขิ องเอกชนเพอ่ื ธํารงรกั ษาไวซ้ ่ึงหลักนติ ิรัฐ 2. ขอบเขตการบังคบั ใช้กฎหมายวา่ ดว้ ยวธิ ปี ฏบิ ัตริ าชการทางปกครอง เป็นกฎหมายกลาง หรอื กฎหมายท่ัวไป สาํ หรบั การใช้อํานาจของเจา้ หนา้ ทใ่ี นการออกคําส่ัง ทางปกครองและการปฏบิ ตั ภิ ายหลงั ออกคาํ ส่ังทางปกครอง โดยมขี อบเขตการบงั คับใชด้ ังนี้ 2.1 การบงั คบั ใชก้ บั คาํ สง่ั ทางปกครอง แม้ พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง มาตรา 5 จะได้ให้ความหมายของคําว่า “วิธี ปฏิบัติราชการทางปกครอง” หมายถึง การเตรียมการและการดําเนินการของเจ้าหน้าท่ีเพ่ือจัดให้มี คําสั่งทางปกครองหรือกฎ และรวมถึงการดําเนินการใดๆ ในทางปกครองตาม พ.ร.บ. นี้ แต่หาก พิเคราะห์ ท้ังฉบับแล้วจะพบว่าไม่มีมาตราใดหรือส่วนใดกําหนดเก่ียวกับกระบวนการหรือขั้นตอนใน การออก กฎ ไว้เลย ด้วยเหตุน้ี พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง จึงใช้บังคับกับการออก “คาํ สง่ั ทางปกครอง” เท่านนั้ เพราะฉะนั้น หากเป็นกรณีท่ีเจ้าหน้าที่ดําเนินการออกกฎ ออกระเบียบภายใน ฝา่ ยปกครอง ออกคําสงั่ ภายในฝ่ายปกครอง ทําสัญญาทางปกครอง หรือดําเนินการปฏิบัติราชการ
ทางปกครอง เจ้าหน้าท่ีก็ไม่จําเป็นต้องดําเนินการตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติ ราชการทางปกครองแต่ประการใด แม้การกระทําดังกล่าวจะมีลักษณะเป็นการใช้อํานาจ ทางปกครองก็ตาม ทั้งน้ี เพราะมิใช่เปน็ การออกคําสั่งทางปกครอง 2.2 การบงั คบั ใชใ้ นฐานเปน็ กฎหมายกลาง สถานความเป็น “กฎหมายกลาง” กาํ หนดไวใ้ นมาตรา 3 วรรคหน่ึง “ มาตรา 3 วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองตามกฎหมายต่าง ๆ ให้เป็นไปตามที่กําหนด ในพระราชบัญญัติน้ี เว้นแต่ในกรณีท่ีกฎหมายใดกําหนดวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองเร่ืองใด ไว้โดยเฉพาะและมหี ลักเกณฑท์ ่ีประกันความเป็นธรรมหรือมมี าตรฐานในการปฏิบัติราชการไม่ต่ํากว่า หลักเกณฑท์ ี่กาํ หนดในพระราชบญั ญตั นิ ี้” บทบัญญัติดังกล่าวได้แสดงเจตนารมณ์ไว้อย่างชัดเจนว่าประสงคจ์ ะให้หลักเกณฑ์เก่ียวกับ การออกคาํ สัง่ ทางปกครอง ตาม พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง เป็นมาตรฐานกลางที่ใช้บังคับ กับการออกคําส่ังทางปกครองเฉพาะทุกฉบับ โดยสถานะความเป็น “กฎหมายกลาง” ยอ่ มหมายความว่า ในกรณที ่กี ฎหมายเฉพาะได้กําหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการออกคําส่ังทางปกครอง ไว้อย่างไร เจ้าหน้าที่จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดไว้ในกฎหมายเฉพาะนั้น เว้นแต่ ในกฎหมายเฉพาะนั้นไม่ได้กําหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการออกคําสั่งทางปกครอง หรือกําหนดไว้ แต่หลักเกณฑ์ดังกล่าวมีหลักประกันความเป็นธรรมหรือมีมาตรฐานในการปฏิบัติราชการตํ่ากว่า หลักเกณฑ์ที่กําหนไว้ใน พ.ร.บ. น้ี เจ้าหน้าที่จะใช้หลักเกณฑ์ท่ีกําหนดไว้ในกฎหมายเฉพาะฉบับได้ ไม่ได้ แต่จะต้องใชห้ ลักเกณฑ์ทก่ี าํ หนดไวใ้ น พ.ร.บ. นี้ บงั คับแกก่ รณีแทน คําวา่ “หลกั เกณฑท์ ี่ประกันความเปน็ ธรรม” หมายถึง หลักเกณฑ์ท่ีทําให้บุคคลซ่ึงจะอยู่ ในบังคับของคําส่ังทางปกครองมีโอกาสต่อสู้ป้องกันสิทธิของตนหรือเรียกร้องให้มีการบังคับ ตามสิทธิของตนได้ในฐานะที่ตนเป็นผู้ทรงสิทธิ โดยท่ัวไปหลักเกณฑ์ดังกล่าวอาจแยกออกได้เป็น 2 ส่วนได้แก่ “ส่วนที่เกี่ยวกับวิธีพิจารณา” ที่ต้องให้คู่กรณีมีสิทธิหรือโอกาสในการปกป้อง ผลประโยชน์ของตน เช่น “สว่ นท่ีเกีย่ วกบั วธิ พี จิ ารณา” มาตรา 23 การให้คู่กรณีมีสิทธินําทนายความหรือท่ีปรึกษาของตนเข้ามาในการ พจิ ารณาทางปกครองได้ มาตรา 30 การให้คู่กรณีมีโอกาสท่ีจะได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอและมีโอกาส ได้โต้แยง้ และแสดงพยานหลักฐานของตน
มาตรา 31 การให้คู่กรณีมีสิทธิขอตรวจดูเอกสารท่ีจําเป็นต้องรู้เพื่อการโต้แย้งหรือ ชแ้ี จงหรอื ป้องกันสิทธิของตนได้ “สว่ นที่เกี่ยวกบั คณุ ลกั ษณะของเจ้าหน้าท่ีผทู้ าํ คาํ สั่งทางปกครอง” มาตรา 12 คําส่งั ทางปกครองจะตอ้ งกระทาํ โดยเจา้ หน้าท่ีซ่ึงมีอํานาจหน้าทใ่ี นเร่อื งน้ัน มาตรา 13 และ 16 ตอ้ งกระทาํ โดยเจา้ หนา้ ท่ที ม่ี คี วามเปน็ กลาง “มาตรฐานในการปฏิบัติราชการ” หมายถึง หลักเกณฑ์ที่ทําให้การปฏิบัติราชการ ของเจ้าหน้าที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพสูงกว่าที่เป็นอยู่โดยท่ัวไป เช่น การให้เหตุผลในคําส่ัง ทางปกครองท่ที ําเป็นหนังสือหรอื การยืนยันคําสงั่ ทางปกครองเปน็ หนังสือตามมาตรา 37 3. ขอ้ ยกเวน้ การบังคับใชก้ ฎหมายว่าดว้ ยวธิ ปี ฏบิ ัตริ าชการทางปกครอง 3.1 ข้อยกเว้นเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ที่ประกันความเป็นธรรมและมาตรฐานในการปฏิบัติ ราชการ กรณีที่กฎหมายเฉพาะกําหนดหลักเกณฑ์ท่ีเก่ียวกับการปฏิบัติราชการของเจ้าหน้าที่ ในการออกคําสั่งทางปกครองไว้โดยเฉพาะและหลักเกณฑ์ดังกล่าวมีหลักประกันความเป็นธรรม หรือมีมาตรฐานในการปฏิบัติราชการไมต่ ่าํ กว่าหลกั เกณฑท์ ่กี าํ หนดไว้ใน พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการ ทางปกครอง เจ้าหน้าที่ก็จะต้องปฏิบัติราชการไปตามหลักเกณฑ์ท่ีกําหนดไว้ในกฎหมายเฉพาะน้ัน โดยไม่ต้องนําหลกั เกณฑ์ที่กาํ หนดไวใ้ น พ.ร.บ. วธิ ีปฏบิ ัติราชการทางปกครองมาใชบ้ ังคับตามมาตรา 3 วรรคหน่งึ แหง่ พ.ร.บ วิธปี ฏบิ ัตฯิ 3.2 ขอ้ ยกเวน้ เกีย่ วขั้นตอนและระยะเวลาอุทธรณ์โตแ้ ย้ง กรณีที่กฎหมายเฉพาะกําหนด “ขั้นตอนและระยะเวลาอุทธรณ์หรือโต้แย้ง” ไวโ้ ดยเฉพาะแล้ว เจา้ หนา้ ท่ีจะต้องนําหลกั เกณฑเ์ กีย่ วกับขั้นตอนและระยะเวลาอุทธรณห์ รือโตแ้ ย้ง ที่กําหนดไว้ในกฎหมายเฉพาะมาใช้บังคับเสมอตามมาตร 3 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติฯ โดยไม่จําต้อง พิจารณาว่าขั้นตอนและระยะเวลาอุทธรณ์หรือโต้แย้งนั้นจะมีหลักประกันความเป็นธรรมหรือ มีมาตรฐานในการปฏบิ ัติราชการตํา่ กวา่ หลกั เกณฑ์ใน พ.ร.บ. วิธปี ฏิบตั ฯิ หรอื ไม่ ท้ังนี้ เพราะเจตนารมณ์ของผู้ร่างกฎหมายเฉพาะแต่ละฉบับในเรื่องการเยียวยาความเสียหาย โดยกระบวนการอุทธรณใ์ นข้ันตอนต่างๆ และการกําหนดระยะเวลาสําหรับการโต้แย้งน้ันอาจจะมีอยู่ แตกต่างกันไป อีกท้ังสาระในแต่ละกฎหมายอาจไม่เหมือนกัน จึงเป็นการยากท่ีจะให้ปฏิบัติตาม พ.ร.บ. วิธีปฏิบตั ิฯ ท้ังหมด
ข้อสังเกต “ระยะเวลาอุทธรณ์หรือโต้แย้ง” ตามมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติฯ หมายถึงจํานวนวันหรือระยะเวลาท่ีคู่กรณีมีสิทธิอุทธรณ์หรือโต้แย้งเท่าน้ัน ระยะเวลาอุทธรณ์หรือ โตแ้ ย้งจึงไมร่ วมถึงการเรม่ิ นบั ระยะเวลาในการใช้สิทธิอุทธรณ์คําสั่งทางปกครอง ดังน้ัน หลักเกณฑ์ เกี่ยวกับการเร่ิมนับระยะเวลาในการใช้สิทธิอุทธรณ์คําสั่งทางปกครองจึงตกอยู่ภายใต้บังคับ ของมาตรา 3 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติฯ เจ้าหน้าที่จึงต้องพิจารณาว่าการเริม่ นับระยะเวลา ในการใชส้ ทิ ธิอุทธรณ์คาํ สงั่ ทางปกครองนั้นมีหลักประกันความเป็นธรรมหรือมีมาตรฐานในการปฏิบัติ ราชการต่ํากว่าหลักเกณฑใ์ น พ.ร.บ. วิธปี ฏิบตั ฯิ หรือไม่ 3.3 ข้อยกเวน้ เกี่ยวกับมาตรการบังคับทางปกครอง กรณีกฎหมายกําหนด “มาตาฐานการบังคับทางปกครอง” ไว้โดยเฉพาะตัวแล้ว เจ้าหน้าที่จะต้องใช้มาตรการบังคับทางปกครองตามกฎหมายเฉพาะด้านนั้น ๆ ก่อน แม้ว่า หลักเกณฑ์เกี่ยวกับมาตรการบังคับทางปกครองที่กําหนดในกฎหมายเฉพาะจะมีหลักเกณฑ์ที่ประกัน ความเปน็ ธรรมหรอื มีมาตรฐานในการปฏบิ ตั ริ าชการต่าํ กวา่ หลกั เกณฑ์ท่กี ําหนดใน พ.ร.บ. วธิ ปี ฏบิ ตั ิฯ ก็ตาม แต่อย่างไรก็ดมี าตรา 63/3 แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติฯ ก็ให้ดุลพินิจแก่เจ้าหน้าท่ีที่จะไม่ปฏิบัติ ตามหลักเกณฑ์ในกฎหมายเฉพาะ โดยเลือกมาใช้มาตรการบังคับทางปกครอง ตาม พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติฯ ก็ได้ หากเห็นว่ามาตรการบังคับทางปกครองตามกฎหมายเฉพาะจะเกิดผลน้อยกว่า มาตรการบังคับทางปกครอง ตาม พ.ร.บ. วิธีปฏิบตั ิฯ 3.4 ขอ้ ยกเวน้ เกยี่ วกับองค์กรหรือการปฏบิ ตั งิ าน ตามมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติฯ ที่บัญญัติให้มิให้นํา พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติฯ ไปใช้บังคับ กบั “องคก์ ร” และ “การปฏิบัตงิ าน” บางประเภท 3.4.1 ข้อยกเวน้ ในแง่องคก์ ร 1. รัฐสภา เป็นองค์กรท่ีใช้อํานาจนิติบัญญัติและอํานาจทางการเมือง ตามรฐั ธรรมนูญ มิใชก่ ารใช้อํานาจปกครอง 2. คณะรัฐมนตรี สามารถกระทําได้ 2 ฐานะ กล่าวคือ ในฐานะหนึ่ง คณะรัฐมนตรีเป็นองค์กรท่ีใช้อํานาจทางการเมือง ซ่ึงลักษณะของการกระทําจะเป็นการกระทําทาง รัฐบาลอันไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับของ พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติฯ แต่ในอีกฐานหน่ึงคณะรัฐมนตรีเป็นองค์กร ที่ใช้อํานาจปกครองซ่ึงกระทําบางอย่างออกมาตามกฎหมายระดับพระราชบัญญัติออกคําสั่ง ทางปกครอง ก็ไม่ตกอยภู่ ายใตบ้ ังคบั ของ พ.ร.บ. วิธปี ฏบิ ัตฯิ
พึงสังเกต บทบัญญัตติ ามมาตรา 4 วรรคหน่ึง (1) ยกเว้นมิให้นํา พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติฯ มาใช้บังคบั กบั การออกคาํ ส่ังทางปกครองของคณะรัฐมนตรีในฐานที่เป็นองค์กรกล่มุ เท่าน้ัน ดังน้ัน ในกรณที น่ี ายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีแต่ละคนใช้อํานาจตามกฎหมายระดับพระราชบัญญัติออกคําสัง่ ทางปกครอง ก็ต้องปฏบิ ัติตามหลกั เกณฑ์ใน พ.ร.บ. วิธปี ฏิบตั ฯิ ด้วย 3.4.2 ขอ้ ยกเว้นในแงก่ ารปฏิบัตงิ าน 3.4.2.1 การปฏบิ ตั งิ านทีม่ ใิ ช่การกระทาํ ทางปกครอง 1. การพิจารณาของนายกรัฐมนตรหี รือรัฐมนตรีในงานทางนโยบายโดยตรง 2. การดําเนินงานเก่ียวกบั นโยบายการตา่ งประเทศ 3. องค์กรที่ใชอ้ ํานาจตามรัฐธรรมนญู โดยเฉพาะ 4. การพจิ ารณาพิพากษาคดีของศาล 3.4.2.2 การปฏบิ ตั งิ านท่ีเป็นการกระทําทางปกครองแต่มีลักษณะพเิ ศษ 1. การดําเนินงานของเจ้าหน้าท่ีในกระบวนการพิจารณาคดี การบังคับ คดีและการวางทรัพย์ 2. การดําเนินงานตามกระบวนการยุตธิ รรมทางอาญา 3. การดําเนินงานเก่ียวกับราชการทหารหรือเจ้าหน้าท่ีซ่ึงปฏิบัติหน้าท่ี ทางยุทธการร่วมกับทหารในการป้องกันและรักษาความมั่นคงของราชอาณาจักรจากภัยคุกคาม ท้งั ภายนอกและภายในประเทศ 4. การดําเนินกิจการขององคก์ ารทางศาสนา 3.5 ขอ้ ยกเวน้ ตามกฎหมายเฉพาะ “บัญญตั ิให้ไม่อย่ใู นบงั คบั ของกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติ ราชการทางปกครอง” 4. ความหมายและองคป์ ระกอบของคาํ สง่ั ทางปกครอง 4.1 ความหมายของคาํ สงั่ ทางปกครอง พ.ร.บ. วธิ ปี ฏิบตั ิฯ มาตรา 5 ได้กาํ หนดบทนยิ ามของคําว่า “คาํ ส่งั ทางปกครอง” ไว้เป็นการโดยเฉพาะ คําสง่ั ทางปกครอง หมายความว่า (1) การใช้อํานาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าท่ีที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ข้ึน ระหว่างบุคคลในอันท่ีจะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิ
หรือหน้าท่ีของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือช่ัวคราว เช่น การส่ังการ การอนุญาต การอนุมัติ การวินิจฉัยอุทธรณ์ การรับรอง และการรบั จดทะเบยี น แต่ไม่หมายความรวมถงึ การออกกฎ (2) การอนื่ ทกี่ ําหนดในกฎกระทรวง แสดงให้เห็นว่า คําส่ังทางปกครองมี 2 ความหมาย คือความหมายโดยแท้ตาม (1) กับความหมายโดยผลของกฎหมาย ตาม (2) ซ่ึงปัจจุบันนายกรัฐมนตรีได้ออกกฎกระทรวง ฉบับที่ 12 พ.ศ. 2543 เพ่ือกําหนดให้การดําเนินการใดหรือคําส่ังลักษณะใดเป็นคําส่ังทางปกครอง โดยกาํ หนดว่า ใหก้ ารดําเนนิ การของเจ้าหนา้ ท่ีดังตอ่ ไปนี้ เป็นคําส่ังทางปกครอง 1. การดาํ เนนิ การเกย่ี วกบั การจดั หาหรอื ใหส้ ทิ ธิประโยชน์ในกรณีดงั ตอ่ ไปน้ี (1) การสง่ั รับหรือไม่รับคําเสนอขาย รับจ้าง แลกเปล่ียน ให้เช่า ซื้อ เช่า หรือให้สิทธิ ประโยชน์ (2) การอนมุ ัตสิ ง่ั ซอ้ื จ้าง แลกเปลย่ี น เช่า ขาย ใหเ้ ชา่ หรอื ให้สทิ ธิประโยชน์ (3) การส่ังยกเลิกกระบวนการพิจารณาคําเสนอหรือการดําเนินการอื่นใดในลักษณะ เดียวกัน (4) การสง่ั ใหเ้ ป็นผู้ทิ้งงาน 2. การใหห้ รือไมใ่ ห้ทนุ การศึกษา 4.2 องค์ประกอบของคําสัง่ ทางปกครอง มี 5 ประการ ดังน้ี 4.2.1 คําสัง่ นนั้ ต้องเปน็ การกระทําโดยเจา้ หน้าที่ มาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ. วิธปี ฏิบตั ิฯ มาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติฯ กําหนดว่า เจ้าหน้าที่อาจเป็นบุคคล คณะบุคคล หรือนิติบุคคล ซ่ึงใช้อํานาจหรือได้รับมอบให้ใช้อํานาจทางปกครองของรัฐในการดําเนินการอย่าง หน่ึงอย่างใดตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการจัดต้ังขึ้นในระบบราชการ รัฐวิสาหกิจหรือกิจการอื่น ของรฐั หรือไมก่ ต็ าม โดยหลักแล้วเอกชนไม่ใช่เจ้าหน้าที่ เว้นแต่ เอกชนน้ันได้รับมอบอํานาจปกครอง ให้กระทําการบางอยา่ งแทนรฐั 4.2.2 คําสั่งน้นั ต้องเป็นการใช้อํานาจทางปกครองตามกฎหมายฝ่ายเดียว การกระทําโดยเจ้าหน้าที่อันจะถือว่าเป็นคําส่ังทางปกครองน้ัน จะต้องเกิดจากการ ใช้อํานาจปกครองตามกฎหมายเพียงฝ่ายเดียวบังคับแก่เอกชน โดยเอกชนผู้นั้นไม่จําเป็น ต้องยนิ ยอมด้วย และตอ้ งเป็นการใช้อาํ นาจตามกฎหมายปกครองเท่านนั้ 4.2.3 คาํ สง่ั น้ันตอ้ งเปน็ การสร้างนิตสิ มั พันธ์ข้ึนระหวา่ งบุคคล คําส่ังทางปกครองเป็นการกระทําท่มี ุ่งผลในทางกฎหมายที่มีลักษณะเป็นการสร้างนิติ สัมพันธข์ นึ้ ระหว่างบุคคลในอันทจี่ ะกอ่ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพ
ของสิทธิหรือหน้าท่ีของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือช่ัวคราว ด้วยเหตุนี้ คําส่ังทางปกครอง จึงแตกต่างจาก “ปฏิบัติการทางปกครอง” เพราปฏิบัติการทางปกครองเป็นการกระทําที่ไมได้ มุง่ หมายผลในทางกฎหมายแต่อย่างใด แต่เป็นการกระทาํ เพอ่ื ให้บรรลุผลทางข้อเทจ็ จรงิ บางประการ . 4.2.4 คาํ สั่งนัน้ ตอ้ งมผี ลเฉพาะกรณี คําสั่งทางปกครองต้องมีผลบังคับแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือกรณีใดกรณีหนึ่ง โดยเฉพาะเจาะจง ดว้ ยเหตนุ ค้ี าํ ส่งั ทางปกครองจงึ แตกต่างจาก “กฎ” เพราะกฎเป็นกรรีที่เจ้าหน้าท่ี ใช้อาํ นาจปกครองกาํ หนดกฎเกณฑห์ รอื สร้างนิติสมั พันธใ์ นลกั ษณะทม่ี ผี ลบังคบั เป็นการทัว่ ไปโดยไม่มงุ่ หมายให้ใช้บังคับแก่บคุ คลใดบุคคลหนงึ่ หรอื กรณใี ดกรณีหนงึ่ โดยเฉพาะเจาะจง 4.2.5 คาํ ส่ังนน้ั ต้องมีผลโดยตรงออกไปภายนอกฝ่ายปกครอง คาํ สัง่ ทางปกครองเปน็ กฎเกณฑ์ทม่ี ีผลโดยตรงออกไปภายนอกฝา่ ยปกครอง ฉะนั้น คําสงั่ ทางปกครองจึงมีผลเป็นการก่อ เปล่ียนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพ ของสิทธิหรือหน้าท่ีของบุคคลที่มีสถานะเป็นประชาชนทั่วไปซ่ึงอยู่ภายนอกองค์กรฝ่ายปกครอง ด้วยเหตุน้ี คําส่ังทางปกครองจึงแตกต่างจาก “คําสั่งภายในฝ่ายปกครอง” หรือ “มาตรการภายใน ฝ่ายปกครอง” เพราะคําส่ังภายในฝ่ายปกครองเป็นคาํ สั่งที่มีผลต่อเจ้าหน้าที่ซ่ึงเป็นบุคลากรภายใน ฝ่ายปกครองเทา่ นน้ั ประชาชนทว่ั ไปไมต่ ้องปฏบิ ัติตามคําสงั่ ภายในฝา่ ยปกครองดังกล่าว ในบางกรณีแม้ผู้รับคําส่ังจะเป็นเจ้าหน้าท่ีซ่ึงเป็นบุคลากรภายในฝ่ายปกครองแต่คําส่ัง ดังกล่าว อาจเป็นคําส่ังทางปกครองก็ได้ ถ้าคําสั่งนั้นมีผลกระทบโดยตรงต่อสถานะส่วนตัว ของเจ้าหน้าท่ีดุจดังเป็นประชาชนทั่วไป ซึ่งก็ถือได้ว่าคําสั่งน้ันมีผลออกไปภายนอกฝ่ายปกครองแล้ว เช่น คําสั่งบรรจุแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการ คําสั่งลงโทษทางวินัยข้าราชการ คําส่ังโยกย้าย ข้าราชการ (ที่มผี ลเปน็ การเปลีย่ นแปลงลกั ษณะงานอยา่ งสนิ้ เชิง) เปน็ ตน้ 5. ตวั การในการพจิ ารณาทางปกครอง 5.1 เจ้าหน้าทผี่ มู้ อี ํานาจพิจารณาทางปกครอง 5.1.1 ความหมายของเจา้ หน้าที่ มาตรา 5 ให้ความหมายว่า บุคคล คณะบุคคล หรือนิติบุคคลซ่ึงใช้อํานาจหรือได้รับ มอบให้ใช้อํานาจทางปกครองของรัฐในการดําเนินการอย่างหนงึ่ อย่างใดตามกฎหมาย ไม่ว่าจะจัดต้ัง ขึ้นในระบบราชการ รัฐวิสาหกิจหรือไม่กิจการอ่ืนของรัฐหรือไม่ก็ตาม ดังน้ันเอกชนจึงไม่ใช่เจ้าหน้าท่ี
ของรัฐตามความหมายดังกล่าว เว้นแต่เอกชนผู้น้ันได้รับมอบให้ใช้อํานาจทางปกครองกระทําการ บางอย่างแทนรัฐ 5.1.2 เจ้าหน้าท่ีต้องมีอํานาจออกคําสั่งทางปกครอง ตามมาตรา 12 คําสั่ง ทางปกครองจะตอ้ งกระทาํ โดยเจ้าหนา้ ทีซ่ ่ึงมีอาํ นาจหนา้ ที่ในเร่อื งน้ัน 5.1.2.1 พิจารณาในแง่เรื่องที่มีอํานาจ ต้องพิจารณาว่าเร่ืองที่จะออกคําส่ัง ทางปกครองเปน็ อาํ นาจหน้าท่ขี องฝา่ ยปกครององค์กรใด และเป็นอํานาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตําแหน่งใด ในฝ่ายปกครององค์กรน้นั 5.1.2.2 พิจารณาในแง่พื้นทีม่ ีอํานาจ เจา้ หนา้ ทจี่ ะต้องออกคําส่ังน้ันภายในพื้นท่ีตน มีอํานาจ 5.1.2.3 พิจารณาในแง่เวลาที่มีอํานาจ เจ้าหน้าที่คนใดเป็นผู้ได้รับการแต่งต้ัง ใหเ้ ขา้ สวมตําแหนง่ ทมี่ อี ํานาจออกคําสง่ั ทางปกครองนัน้ 5.1.3 เจา้ หนา้ ท่ีตอ้ งมีความดาํ รงอย่ใู นทางกฎหมาย หลักเกณฑ์พิจารณาดงั นี้ 5.1.3.1 เจา้ หน้าที่ตอ้ งไดร้ ับการแตง่ ตั้งโดยชอบ ได้รับการแต่งต้ังให้ดํารงตําแหน่งท่ีมีอํานาจพิจารณาทางปกครองในเร่ืองนั้น แต่หากแต่งตั้งโดย ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ว่าด้วยเหตุขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้าม หรือ เหตุอื่นใดก็ตาม และได้ปรากฏเหตุดังกล่าวในภายหลังอันทําให้เจ้าหน้าท่ีผู้น้ันต้องพ้นจากตําแหน่ง มาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติฯ ได้กําหนดให้ผลทางกฎหมายของกรณีน้ีไว้ว่า การพ้นจาก ตาํ แหนง่ เชน่ ว่านไ้ี มก่ ระทบกระเทือนถึงความสมบูรณ์ ของคําส่ังทางปกครองที่เจ้าหน้าผู้นั้นได้กระทํา ไปตามอํานาจหน้าท่ีในระหว่างท่ีตนดํารงตําแหน่งดังกล่าวอยู่ ไม่ว่าจะได้กระทําไปในฐานเจ้าหน้าท่ี ผดู้ าํ รงตําแหน่งในองคก์ รเดียวหรือกรรมการในองค์กรกลุ่มกต็ าม 5.1.3.2 เจา้ หนา้ ท่ีต้องดาํ เนินการประชุมโดยชอบ การนัดประชุมต้องทําเป็นหนังสือและแจ้งให้กรรมการทุกคนทราบล่วงหน้า ไม่น้อยกว่า 3 วัน ตามมาตรา 80 แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติ การประชุมต้องมีองค์ประชุมครบจํานวน ท่ีกฎหมายกําหนดไว้ ในกรณีท่ีกฎหมายเฉพาะไม่ได้กําหนดไว้เป็นอย่างอื่น ให้การประชุม ของคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมอย่างน้อยกึ่งหน่ึงขององค์ประกอบจึงจะเป็นองค์ประชุม ตามมาตรา 49 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติ และการลงมติของที่ประชุมต้องมีองคม์ ติครบจํานวน ที่กฎหมายกําหนดไว้ ในกรณีท่ีกฎหมายเฉพาะไมได้กําหนดไว้เป็นอย่างอื่น การลงมติของท่ีประชุม ใหถ้ อื เสยี งขา้ งมากตามมาตรา 82 วรรคหนึ่ง แหง่ พ.ร.บ.วิธีปฏบิ ตั ิ
ข้อสังเกตเร่ือง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ น้ันจะต้องเข้าร่วมประชุมแสดงความ คิดเห็นและลงมติด้วยตนเอง จะต้ังตัวแทนไปประชุมแทนไม่ได้ เพราะเป็นกิจการท่ีต้องทําเองเป็น การเฉพาะตวั 5.1.3.3 เจ้าหน้าทต่ี อ้ งมีความเปน็ กลาง หลักความเป็นกลางของเจ้าหน้าท่ี (Impartiality) ท้ังนี้ หลักความเป็นกลาง ของเจ้าหน้าที่ได้รับการรับรองไว้ใน พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติมาตรา 13 ถึงมาตรา 18 โดยมีสาระสําคัญ ดงั ต่อไปนี้ 1) เหตคุ วามไมเ่ ปน็ กลาง (1) ความไม่เป็นกลางจากสภาพภายนอก หมายถึง อันมีเหตุมาจากฐานะ ของเจ้าหน้าที่และความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าท่ีกับคู่กรณี โดยมีเหตุมาจากพฤติการณ์หรือสภาพ จติ ใจ ซงึ่ ความไมเ่ ป็นกลางจากสภาพภายนอกเปน็ ไปตามมาตรา 13 ทก่ี าํ หนดวา่ เจ้าหน้าท่ีดังต่อไปนี้ จะทําการพจิ ารณาทางปกครองไม่ได้ (1) เปน็ คกู่ รณีเอง (2) เปน็ ค่หู มน้ั หรอื คสู่ มรสของคู่กรณี (3) เป็นญาติของคู่กรณี คือ เป็นบุพการีหรือผู้สืบสันดานไม่ว่าชั้นใด ๆ หรือเป็นพี่น้องหรือลูกพี่ลูกน้องนับได้เพียงภายในสามชั้น หรือเป็นญาติเก่ียวพันทางแต่งงานนับได้ เพียงสองชัน้ (4) เป็นหรือเคยเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้พิทักษ์หรือผู้แทนหรือตัวแทน ของคกู่ รณี (5) เป็นเจ้าหนหี้ รอื ลกู หนี้ หรอื เป็นนายจา้ งของคู่กรณี (6) กรณอี นื่ ตามที่กําหนดในกฎกระทรวง (2) ความไม่เป็นกลางจากสภาพภายใน หมายถึง อันมีเหตุจากสภาพจิตใจ ทัศนคติ ความเช่ือส่วนบุคคล ตลอดจนพฤติการณ์อันเกิดจากการกระทําของเจ้าหน้าท่ีผู้นั้น แต่ท้ังน้ี ต้องเป็นเหตุท่ีมี่สภาพร้ายแรงเพียงพอที่จะทําให้การพิจาณาทางปกครองไม่เป็นกลางได้ โดยต้อง พิจารณาจากขอ้ เท็จจริงเปน็ กรณๆี ไป 2) การคัดคา้ นความไมเ่ ป็นกลาง หากเจ้าหนา้ ท่ีเปน็ บุคคลคนเดยี ว ให้เจา้ หนา้ ทผี่ นู้ ั้นหยุดการพิจารณาเร่ืองนั้นไว้ ก่อน และแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาเหนือตนขึ้นไปชั้นหนึ่งทราบ เพ่ือท่ีผู้บังคับบัญชาดังกล่าวจะได้มีคําส่ัง ต่อไปตามมาตรา 14 วรรคหน่ึง
หากเจ้าหน้าที่เป็นคณะกรรมการ ให้ประธานกรรมการ เรียกประชุม คณะกรรมการเพื่อพิจารณาเหตุคัดค้านนั้น โดยกรรมผู้ถูกคัดค้าต้องออกจากท่ีประชุมเมื่อได้ขี้แจ้ง ข้อเท็จจริงและตอบข้อซักถามแล้วตามมาตรา 15 วรรคหน่ึง ในระหว่างท่ีกรรมการผู้ถูกคัดค้านต้อง ออกจากท่ีประชุม ให้ถือว่าคณะกรรมการประกอบด้วยกรรมการทุกคนที่ไม่ถูกคัดค้านตามมาตรา 15 วรรคสอง ถ้าที่ประชมุ มมี ตใิ ห้กรรมการผูถ้ กู คัดค้านปฏบิ ตั หิ นา้ ที่ตอ่ ไปด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของกรรมการท่ีไม่ถูกคัดค้าน ก็ให้กรรมการผู้น้ันปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ มติดังกล่าวให้กระทํา โดยวธิ ลี งคะแนนลบั และให้เปน็ ที่สุดตามมาตรา 15 วรรคสาม ส่วนในกรณีท่ีเจ้าหน้าท่ีเห็นว่าตนไม่เป็นกลางตามมาตรา 16 วรรคหน่ึง ให้เจ้าหน้าท่ีผู้น้ันหยุดการพิจารณาเร่ืองไว้ก่อนและแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาเหนือตนข้ึนไปชั้นหนึ่งหรือ ประธานกรรมการทราบ แล้วแต่กรณี ตามมาตรา 16 วรรคสอง (1) แต่ในกรณีท่ีคู่กรณีคัดค้านว่า เจ้าหน้าท่ีผู้ใดไม่เป็นกลางตามมาตรา 16 วรรคหนึ่ง หากเจ้าหน้าท่ีผู้น้ันเห็นว่าตนไม่มีเหตุตาม ทคี่ ัดคา้ น เจา้ หนา้ ทผ่ี ู้นนั้ จะทําการพจิ ารณาเรือ่ งต่อไปก็ได้ แตต่ ้องแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาเหนือตนขึ้นไป ชัน้ หนงึ่ หรือประธานกรรมการทราบ แล้วแต่กรณตี ามมาตรา 16 วรรคสอง (2) ทั้งในกรณีที่เจ้าหน้าที่เห็นเองและในกรณีที่คู่กรณีคัดค้าน ให้ผู้บังคับบัญชา ของเจ้าหน้าที่ผู้นั้นหรือคณะกรรมการซ่ึงเจ้าหน้าที่ผู้นั้นเป็นกรรมการอยู่มีคําส่ังหรือมมี ติโดยไม่ชักช้า แล้วแต่กรณี ว่าเจ้าหน้าที่ผู้นั้นมีอํานาจในการพิจารณาทางปกครองในเร่ืองนั้นหรือไม่ตามมาตรา 16 วรรคสอง (3) สําหรับกรณีเจ้าหน้าท่ีเป็นคณะกรรมการ ในระหว่างที่กรรมการผู้ถูกคัดค้าน ตอ้ งออกจากทป่ี ระชุม ใหถ้ ือว่าคณะกรรมการประกอบด้วยกรรมการทุกคนที่ไม่ถูกคัดค้านตามมาตรา 16 วรรคสาม ประกอบมาตรา 15 วรรคสอง ถ้าท่ีประชุมมีมติให้กรรมการผู้ถูกคัดค้านปฏิบัติหน้าท่ี ต่อไปด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของกรรมการที่ไม่ถูกคัดค้าน ก็ให้กรรมการผู้น้ันปฏิบัติ หน้าท่ีต่อไปได้ มติดังกล่าวให้กระทําโดยวิธีลงคะแนนลับและให้เป็นท่ีสุดตามมาตรา 16 วรรคสาม ประกอบ 15 วรรคสาม การกระทําใด ๆ ของเจ้าหน้าท่ีหรือกรรมการในคณะกรรมการที่มีอํานาจ พิจารณาทางปกครองท่ีได้กระทําไปก่อนหยุดการพิจารณาตามมาตรา 14 และมาตรา 16 ย่อมไม่เสียไป เวน้ แต่เจ้าหนา้ ทีผ่ เู้ ข้าปฏิบตั หิ น้าท่ีแทนผถู้ ูกคัดค้าหรือคณะกรรมการท่ีมีอํานาจพิจารณาทางปกครอง แลว้ แตก่ รณี จะเหน็ สมควรให้ดาํ เนินการส่วนหน่ึงสวนใดเสียใหม่กไ็ ด้ตามมาตรา 17 3) ขอ้ ยกเว้นความไม่เปน็ กลาง ในกรณที ี่มีความจําเป็นเร่งด่วน หากปล่อยให้ล่าช้าไปจะเสียหายต่อประโยชน์ สาธารณะหรือสิทธิของบุคคลจะเสียหายโดยไม่มีทางแก้ไขได้ หรือไม่มีเจ้าหน้าท่ีอ่ืนปฏิบัติหน้าท่ี แทนผ้นู ัน้ ได้ กค็ วรใหเ้ จ้าหน้าท่ที ่ไี ม่เปน็ กลางสามารถทําการพิจารณาทางปกครองต่อไปได้ ดว้ ยเหตุนี้ มาตรา 18 จึงกําหนดข้อยกเว้นไว้ว่า บทบัญญัติมาตรา 13 ถึงมาตรา 16 ไม่ให้นํามาใช้บังคับกับกรณี
ท่ีมคี วามจาํ เป็นเร่งดว่ น หากปล่อยใหล้ า่ ช้าไปจะเสยี หายต่อประโยชน์สาธารณะหรอื สทิ ธิของบุคคลจะ เสยี หายโดยไมม่ ที างแก้ไขได้ หรอื ไมม่ ีเจ้าหน้าทีอ่ ื่นปฏบิ ัติหน้าทีแ่ ทนผู้นั้นได้ 5.1.3.4 เจ้าหน้าที่ตอ้ งออกคาํ สงั่ ทางปกครองดว้ ยตนเอง เจ้าหน้าที่ผู้ทรงอํานาจในการออกคําสั่งทางปกครอง ซ่ึงอาจมีการมอบอํานาจ ในการออกคาํ สั่งทางปกครอง โดยเจ้าหนา้ ทีผ่ ู้รับมอบอาํ นาจในการออกคําส่ังทางปกครองจะมีอํานาจ ในการออกคําสั่งทางปกครองได้ตามกฎหมายก็ต่อเม่ือตนได้รับมอบอํานาจปกครองมาโดยชอบ ด้วยกฎหมายเท่าน้ัน ซ่ึงโดยทั่วไปการมอบอํานาจทางปกครองท่ีชอบด้วยกฎหมายจะต้อง ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 3 ประการ ดงั น้ี (1) ต้องมีกฎหมายอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ผู้ทรงอํานาจในการออกคําส่ัง ทางปกครองมอบอํานาจใหเ้ จา้ หนา้ ทีอ่ ่ืนออกคําสัง่ ทางปกครองแทนตนได้โดยชัดแจ้ง (2) ต้องมอบอํานาจปกครองให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ดํารงตําแหน่งท่ีกฎหมาย กําหนดไว้เท่าน้ัน โดยเจ้าหน้าท่ีผู้รับมอบอาํ นาจจะปฏิเสธไม่รับมอบอํานาจน้ันไม่ได้ และเจ้าหน้าที่ ผู้รับมอบอํานาจจะมอบอํานาจชว่ งไม่ได้เช่นกัน เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะให้มอบ อํานาจชว่ งได้ (3) ตอ้ งมอบอาํ นาจปกครองตามแบบที่กฎหมายในเร่ืองนัน้ กําหนดไว้ ขอ้ สังเกตเกี่ยวกับการมอบอํานาจปกครอง (1) การมอบอํานาจปกครองตาม พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มิได้เป็นไปตามหลักเกณฑ์การมอบอํานาจปกครองในประการท่ี 2 และประการที่ 2 ข้างต้น กล่าวคือ ตามมาตรา 38 วรรคหนึ่ง ท่ีบัญญัติว่า “ถ้ากฎหมาย กฎ ระเบียบ ประกาศ หรือ คําส่ังน้ัน หรือมติของคณะรัฐมนตรีในเร่ืองนั้นมิได้กําหนดเรื่องการมอบอํานาจไว้เป็นอย่างอ่ืน หรือ มิได้ห้ามเรื่องการมอบอํานาจไว้ ผู้ดํารงตําแหน่งน้ันอาจมอบอํานาจให้ผู้ดํารงตําแหน่งอ่ืนในส่วน ราชการเดียวกันหรือส่วนราชการอ่ืน หรือผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนได้ ทั้งน้ี ตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดในพระราชกฤษฎีกา” จะเห็นได้ว่าบทบัญญัติดังกล่าววางหลักว่าในกรณีท่ี กฎหมาย กฎ หรือคําส่ังในเรื่องน้ันมิได้ห้ามเรื่องการมอบอํานาจไว้โดยเฉพาะ เจ้าหน้าที่ผู้ทรงอํานาจ สามารถมอบอํานาจให้เจ้าหน้าท่ีอื่นได้เสมอ แม้จะไม่มีกฎหมายฉบับใดอนุญาตโดยชัดแจ้ง ใหเ้ จา้ หน้าทผี่ ูน้ น้ั มอบอํานาจให้เจ้าหน้าทีอ่ ่ืนปฏบิ ัติราชการแทนตนเลยก็ตาม และบทบัญญัติดังกล่าว ก็ไม่ได้ระบุตําแหน่งเจ้าหน้าที่ผู้รับมอบอํานาจไว้อยา่ งชัดแจ้ง เพียงแต่กําหนดตําแหน่งเจ้าหน้าที่ผู้รับ มอบอํานาจไวอ้ ย่างกว้างๆ เท่านนั้ (2) เม่ือมีการมอบอํานาจปกครองโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว อํานาจในการ ออกคําสงั่ ทางปกครองย่อมโอนไปยังเจา้ หน้าทผี่ ู้รบั มอบอาํ นาจโดยบริบูรณ์ เจา้ หนา้ ท่ีผู้รบั มอบอํานาจ จึงสามารถออกคําส่ังทางปกครองในนามของตนเอง มิใช่ในฐานะของเจ้าหน้าที่ผู้ทรงอํานาจ ดังน้ัน ตราบใดท่ียังไม่ได้เพิกถอนการมอบอํานาจ เจ้าหน้าที่ผู้ทรงอํานาจย่อมไม่มีอํานาจออกคําสั่ง
ทางปกครองในเร่ืองนั้นได้อีกต่อไป คงมีเพียงอํานาจหน้าท่ีกํากับและติดตามผลการออกคําสั่ง ทางปกครองโดยผู้รับมอบอํานาจเท่านน้ั ดังคํากล่าวท่ีว่า “ในทางกฎหมายมหาชนไม่มีองค์การเจ้าหน้าท่ีผู้มีอํานาจ ออกคาํ ส่งั ทางปกครองในเร่ืองกัน พ้ืนท่เี ดียวกัน และเวลาเดียวกันได้เกินกว่า 1 องค์กร” ซ่ึงแสดง ให้เห็นว่าหลักการมอบอํานาจในทางกฎหมายมหาชนแตกต่างไปจากหลักการมอบอํานาจในทาง กฎหมายเอกชน (ป.พ.พ.ว่าด้วยตัวการตัวแทน) เนื่องจากการมอบอํานาจในทางกฎหมายเอกชน แมต้ ัวการจะไดม้ อบอํานาจให้แกต่ ัวแทนไปแล้ว ตัวการกย็ ังคงมอี่ ํานาจกระทาํ การนน้ั ด้วยตนเองได้เสมอ (3) การมอบอํานาจปกครองโดยท่วั ไป กฎหมายใช้คําว่า “ปฏิบัติราชการแทน” ซ่ึ ง เ ป็ น ก ร ณี ที เ จ้ า ห น้ า ท่ี ผู้ ท ร ง อํ า น า จ ยั ง อ ยู่ ใ น ตํ า แ ห น่ ง แ ล ะ ส า ม า ร ถ ป ฏิ บั ติ ร า ช ก า ร ไ ด้ จึงแตกตา่ งจาก “การรักษาราชการแทน” และการรกั ษาการในตําแหน่ง” เพราะการรักษาราชการ แทนเป็นกรณีที่เจ้าหน้าที่ผู้ทรงอํานาจยังอยู่ในตําแหน่งแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ในขณะที่การ รักษาการในตําแหน่งเป็นกรณีที่ไม่มีผู้ดํารงตําแหน่งเจ้าหน้าที่ผู้ทรงอํานาจหรือตําแหน่งเจ้าหน้าท่ี ผทู้ รงอํานาจวา่ งลงน้นั เอง ซง่ึ อาจจะวา่ งลงเพราะเหตุผ้ดู าํ รงตําแหน่งดงั กล่าวตาย ลาออก เกษียณอายุ ราชการ หรือมีเหตุอ่ืนใดอันทําให้ต้องพ้นจากตําแหน่ง ดังนั้น การรักษาราชการแทนและ การรักษาการในตาํ แหนง่ จงึ ไม่ใชก่ ารมอบอาํ นาจทางปกครองแต่อย่างใด 5.2 คกู่ รณใี นการพิจารณาทางปกครอง 5.2.1 ความหมายของคกู่ รณี หมายถึง ผู้ย่ืนคําหรือผู้คัดค้านคําขอ ผู้อยู่ในบังคับหรือจะอยู่ในบังคับของคําสั่ง ทางปกครอง และผู้ซึง่ ได้เขา้ มาในกระบวนการพิจารณาทางปกครอง เนื่องจากสิทธิของผู้นั้นจะถูก กระทบกระเทือนจากผลของคําสั่งทางปกครองตามมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติฯ แต่ท้ังนี้ บุคคลธรรมดา คณะบุคคลหรือนิติบุคคลอาจเป็นคู่กรณีในการพิจารณาทางปกครองได้ตามขอบเขตท่ีสิทธิของตน ถูกกระทบกระเทือนหรืออาจถูกระทบกระเทือนโดยมิอาจหลีกเล่ียงได้ตามมาตรา 21 แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติฯ เมื่อพิจารณาจากความหมายของคู่กรณีดังกล่าวแล้วจะเห็นได้ว่าคู่กรณีได้แก่บุคคล 4 ประเภท ดงั น้ี 5.2.1.1 ผู้ยื่นคําขอ ได้แก่ บุคคลท่ีร้องขอให้เจ้าหน้าท่ีดําเนินการออกคําส่ัง ทางปกครองทต่ี นประสงคใ์ นกรณีทีก่ ฎหมายกาํ หนดให้คําสงั่ ทางปกครองนัน้ จะออกไดก้ ็ตอ่ เมื่อมผี ยู้ ื่นคําขอ 5.2.1.2 ผู้คัดค้านคําขอ ได้แก่ บุคคลที่ไดร้ ับผลกระทบกระเทือนจากการยื่นคํา ขอของผู้ยื่นคําขอและเข้ามาคัดค้านในกระบวนการพิจารณาทางปกครองเพ่ือมิให้เจ้าหน้าที่ ออกคําสั่งทางปกครองตามทม่ี ีผูย้ ืน่ คําขอไว้ 5.2.1.3 ผู้อยู่ในบังคับหรือจะอยู่ในบังคับของคําสั่งทางปกครอง ได้แก่ บุคคล ที่ได้รับคําส่ังทางปกครองซึ่งมุ่งหมายบังคับเอกับตนให้ต้องกระทําการหรืองดเว้นกระทําการอย่างใด อย่างหนง่ึ
5.2.1.4 ผู้ซึ่งได้เข้ามาในกระบวนการพิจารณาทางปกครองเนื่องจากสิทธิของผู้น้ัน จะถูกกระทํากระเทือนจากผลของคําสั่งทางปกครอง ได้แก่ บุคคลท่ียื่นคําร้องขอเข้ามา ในกระบวนการพิจารณาทางปกครองด้วยตนเองหรือถูกเรียกเข้ามาโดยผู้มีอาํ นาจพิจารณาออกคําส่งั ทางปกครอง เน่ืองจากหากได้มีการออกคําสั่งทางปกครองแล้ว คําสั่งทางปกครองนัน้ จะมีผลกระทบ กระเทอื นตอ่ สิทธขิ องบุคคลดงั กล่าว 5.2.2 ความสามารถของคู่กรณี พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติฯ มาตรา 22 ผู้มีความสามารถกระทําการในกระบวนการพิจารณา ทางปกครองได้ จะต้องเป็น (1) ผซู้ ่ึงบรรลนุ ติ ิภาวะ (2) ผู้ซ่ึงมีบทกฎหมายเฉพาะกําหนดให้มีความสามารถกระทําการในเร่ืองที่กําหนดได้ แม้ผู้น้นั จะยังไม่บรรลุนติ ภิ าวะหรือความสามารถถกู จาํ กดั ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ (3) นติ ิบุคคลหรอื คณะบคุ คลตามมาตรา 21 โดยผแู้ ทนหรอื ตวั แทน แลว้ แตก่ รณี (4) ผู้ซึ่งมีประกาศของนายกรัฐมนตรีหรือผู้ซ่ึงนายกรัฐมนตรีมอบหมายในราชกิจจา นุเบกษากําหนดให้มีความสามารถกระทําการในเร่ืองทีก่ ําหนดได้ แม้ผู้นนั้ จะยังไม่บรรลุนิติภาวะหรือ ความสามารถถูกจํากดั ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ 5.2.3 การกระทําโดยตัวแทน กรณีที่คู่กรณีไม่ประสงค์จะเข้ามาดําเนินกระบวนการพิจารณาทางปกครองด้วยตนเอง ย่อมมีสิทธิแตง่ ต้ังให้บุคคลหน่ึงบุคคลใดซึ่งบรรลุนิติภาวะกระทําการอย่างหน่ึงอย่างใดตามท่ีกําหนด แทนตนในกระบวนการพิจารณาทางปกครองใดๆ ได้ตามมาตรา 24 และมาตรา 25 แห่ง พ.ร.บ. วิธปี ฏิบัติฯ ทเี่ รยี กว่า “สทิ ธิในการแตง่ ตง้ั ผู้ทําการแทน” แบง่ ได้ 2 กรณี คือ (1) คู่กรณคี นเดียวแต่งตง้ั ตวั แทนตามมาตรา 24 มาตรา 24 คู่กรณีอาจมีหนังสือแต่งต้ังให้บุคคลหน่ึงบุคคลใดซ่ึงบรรลุนิติภาวะ กระทาํ การอย่างหน่ึงอย่างใดตามที่กําหนดแทนตนในกระบวนการพิจารณาทางปกครองใด ๆ ได้ ในการน้ี เจา้ หน้าท่ีจะดาํ เนินกระบวนพิจารณาทางปกครองกับตัวคู่กรณีได้เฉพาะเม่ือเป็นเร่ืองที่ผู้นั้น มีหน้าท่ีโดยตรงที่จะต้องทําการน้ันด้วยตนเองและต้องแจ้งให้ผู้ได้รับการแต่งต้ังให้กระทําการแทน ทราบด้วย หากปรากฏว่าผู้ได้รับการแต่งต้ังให้กระทําการแทนผู้ใดไม่ทราบข้อเท็จจริงในเรื่องน้ัน เพียงพอหรือมีเหตุไม่ควรไว้วางใจในความสามารถของบุคคลดังกล่าวให้เจ้าหน้าท่ีแจ้งให้คู่กรณีทราบ โดยไม่ชักชา้ การแต่งต้ังให้กระทําการแทนไม่ถือว่าสิ้นสุดลงเพราะความตายของคู่กรณีหรือการท่ี ความสามารถหรือความเปน็ ผู้แทนของคกู่ รณีเปลี่ยนแปลงไป เว้นแต่ผสู้ ืบสทิ ธิตามกฎหมายของคู่กรณี หรอื คูก่ รณจี ะถอนการแต่งตงั้ ดงั กลา่ ว
(2) คู่กรณเี กิน 50 คน แต่งต้งั ตัวแทนร่วมตามมาตรา 25 มาตรา 25 ในกรณีที่มีการยื่นคําขอโดยมีผู้ลงช่ือร่วมกันเกินห้าสิบคนหรือมีคู่กรณี เกินหา้ สิบคนยืน่ คาํ ขอทมี่ ีขอ้ ความอยา่ งเดยี วกนั หรือทํานองเดียวกัน ถ้าในคําขอมีการระบุให้บุคคลใด เปน็ ตวั แทนของบคุ คลดงั กล่าวหรือมีข้อความเป็นปริยายให้เข้าใจไดเ้ ชน่ นนั้ ให้ถอื ว่าผู้ท่ีถูกระบุช่ือดงั กล่าว เปน็ ตวั แทนรว่ มของคู่กรณีเหลา่ นัน้ ในกรณที ีม่ คี ู่กรณีเกินหา้ สบิ คนยน่ื คําขอให้มคี าํ สั่งทางปกครองในเร่ืองเดียวกัน โดยไม่ มีการกําหนดให้บุคคลใดเป็นตัวแทนร่วมของตนตามวรรคหน่ึง ให้เจ้าหน้าที่ในเร่ืองน้ันแต่งตั้งบคุ คล ที่คู่กรณีฝ่ายข้างมากเห็นชอบเป็นตัวแทนร่วมของบุคคลดังกล่าว ในกรณีนี้ให้นํามาตรา 24 วรรคสอง และวรรคสาม มาใช้บงั คบั โดยอนโุ ลม ตวั แทนร่วมตามวรรคหนงึ่ หรอื วรรคสองต้องเป็นบคุ คลธรรมดา คู่กรณีจะบอกเลิกการให้ตัวแทนร่วมดําเนินการแทนตนเมื่อใดก็ได้แต่ต้องมีหนังสือ แจง้ ใหเ้ จ้าหน้าทท่ี ราบและดาํ เนนิ การใด ๆ ในกระบวนการพิจารณาทางปกครองต่อไปด้วยตนเอง ตัวแทนร่วมจะบอกเลิกการเป็นตัวแทนเม่ือใดก็ได้ แต่ต้องมีหนังสือแจ้งให้เจ้าหน้าที่ ทราบกับตอ้ งแจ้งใหค้ กู่ รณีทุกรายทราบด้วย 6. สทิ ธิของคู่กรณใี นการพจิ ารณาทางปกครอง 6.1 สิทธไิ ด้รับแจง้ ขอ้ เทจ็ จรงิ และโอกาสโต้แย้งและแสดงพยานหลกั ฐาน สิทธิประการน้ีมีหลักการเบ้ืองหลังมาจาก “หลักฟังความทุกฝ่าย” (audi alteram partem) โดยมีสาระสําคญั ว่า ในกรณที ี่คําสั่งทางปกครองอาจกระทบถึงสทิ ธขิ องคู่กรณี เจ้าหน้าท่ีต้องให้คู่กรณี มีโอกาสที่จะได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอและมีโอกาสได้โต้แย้งแสดงพยานหลักฐานของตน ตามมาตรา 30 วรรคหน่ึง (ขอ้ เทจ็ จรงิ นน้ั ต้องสําคัญขนาดท่เี จ้าหน้าที่จะใช้เป็นเหตุผลในการตัดสินใจ ออกกคาํ ส่งั ทางปกครองทก่ี ระทบสทิ ธิของคู่กรณีนัน้ ) มาตรา 30 ในกรณีที่คําส่ังทางปกครองอาจกระทบถึงสิทธิของคู่กรณี เจ้าหน้าท่ีต้องให้ คู่กรณมี ีโอกาสท่ีจะได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอและมีโอกาสได้โต้แย้งและแสดงพยานหลักฐาน ของตน ความในวรรคหนึง่ มิให้นํามาใช้บังคับในกรณีดังต่อไปน้ี เว้นแต่เจ้าหน้าท่ีจะเห็นสมควรปฏิบัติ เป็นอยา่ งอ่ืน (1) เม่ือมีความจําเป็นรีบด่วนหากปล่อยให้เนิ่นช้าไปจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่าง รา้ ยแรงแก่ผูห้ น่ึงผใู้ ดหรือจะกระทบต่อประโยชนส์ าธารณะ (2) เม่ือจะมีผลทําให้ระยะเวลาท่ีกฎหมายหรือกฎกําหนดไว้ในการทําคําสั่งทางปกครอง ตอ้ งล่าชา้ ออกไป (3) เม่อื เปน็ ขอ้ เทจ็ จรงิ ท่คี กู่ รณีนนั้ เองได้ให้ไวใ้ นคาํ ขอ คําให้การหรือคาํ แถลง
(4) เม่ือโดยสภาพเห็นไดช้ ัดในตวั ว่าการให้โอกาสดังกลา่ วไมอ่ าจกระทาํ ได้ (5) เมอ่ื เปน็ มาตรการบังคบั ทางปกครอง (6) กรณอี นื่ ตามทกี่ ําหนดในกฎกระทรวง ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ให้โอกาสตามวรรคหน่ึง ถ้าจะก่อให้เกิดผลเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประโยชน์ สาธารณะ กรณีตาม (6) กาํ หนดไวใ้ นกฎกระทรวงฉบับท่ี 2 พ.ศ. 2540 ให้คาํ สั่งทางปกครองในกรณีดงั ต่อไปน้ี เปน็ คําส่งั ทางปกครองตามมาตรา 30 วรรคสอง (6) (1) การบรรจุ การแตง่ ตง้ั การเลื่อนข้ันเงินเดือน การส่ังพักงาน หรือสั่งให้ออกจากงานไว้ก่อน หรือการให้พน้ จากตาํ แหนง่ (2) การแจง้ ผลการสอบหรอื การวัดผลความรู้หรือความสามารถของบคุ คล (3) การไมอ่ อกหนังสอื เดนิ ทางสําหรับการเดินทางไปตา่ งประเทศ (4) การไม่ตรวจลงตราหนังสือเดนิ ทางของคนต่างด้าว (5) การไม่ออกใบอนญุ าตหรือการไมต่ ่ออายใุ บอนญุ าตทํางานของคนตา่ งดา้ ว (6) การส่ังใหเ้ นรเทศ ปัญหาการตีความคําว่า “การใหพ้ น้ จากตําแหน่ง” ตาม (1) ของกฎกระทรวงฉบับที่ 2 พ.ศ. 2540 ออกตามความในมาตรา 30 วรรคสอง (6) แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติฯ ท่ีเจ้าหน้าที่ไม่จําเป็นต้องให้คู่กรณีมีโอกาสท่ีจะได้รับทราบข้อเท็จจริง อยา่ งเพียงพอและมีโอกาสไดโ้ ต้แย้งแสดงพยานหลักฐานของตนก่อนทําคําสั่งทางปกครอง ในประเด็น ปัญหาว่า “การให้พ้นจากตําแหน่ง” ตาม (1) ของกฎกระทรวงดังกล่าว หมายถึงกรณีใดบ้าง มีแนว คําพิพากษาของศาลปกครองสงู สดุ แตกต่างกันออกเป็น 2 แนวทาง ดังนี้ แนวทางท่ี 1 เห็นว่า “การให้พ้นจากตําแหน่งตาม (1) ของกฎกระทรวงดังกล่าว หมายถึง การให้บุคคลผู้ดํารงตําแหน่งเจ้าหน้าท่ีของรัฐออกจากตําแหน่งนั้นไปดํารงตําแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในอีกตําแหน่งหน่ึง ซึ่งไม่ทําให้สถานภาพของผู้ได้รับคําสั่งต้องพ้นจากตําแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐ เปน็ การถาวรและเด็ดขาด แนวทางที่ 2 เห็นว่า “การให้พ้นจากตําแหน่งตาม (1) ของกฎกระทรวงดังกล่าว หมายถึง การให้บุคคลผู้ดํารงตําแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐออกจากตําแหน่งน้ันไป โดยไม่จําต้องคํานึงว่าบุคคล ซ่ึงไดอ้ อกไปจากตําแหน่งนน้ั ไปแลว้ จะเขา้ ดาํ รงตําแหนง่ อ่ืนตอ่ ไปอกี หรือไม่ นอกจากนี้ หากกรณีน้ันเป็นกรณีที่จะก่อให้เกิดผลเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประโยชน์ สาธารณะ มาตรา 30 วรรคสาม ได้กําหนดห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ให้คู่กรณีมีโอกาสท่ีจะได้ทราบ ขอ้ เท็จจรงิ อยา่ งเพียงพอและมีโอกาสไดโ้ ตแ้ ยง้ แสดงพยานหลกั ฐานของตนเลยไม่ว่ากรณีใดๆ
โดยสรปุ ในกรณีทีก่ ารออกคําสั่งทางปกครองนั้นไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 30 วรรคสองและ วรรคสาม เจา้ หนา้ ที่ตอ้ งให้ค่กู รณีมีโอกาสที่จะได้ทราบข้อเท็จจรงิ อย่างเพียงพอและมีโอกาสได้โต้แย้ง และแสดงพยานหลักฐานของตนตามมาตรา 30 วรรคหนึ่ง หากเจ้าหน้าที่ออกคําสั่งทางปกครอง โ ด ย ไ ม่ ไ ด้ ใ ห้ คู่ ก ร ณี มี โ อ ก า ส ท ร า บ ข้ อ เ ท็ จ จ ริ ง อ ย่ า ง เ พี ย ง พ อ ห รื อ ไ ม่ ไ ด้ ใ ห้ โ อ ก า ส โ ต้ แ ย้ ง แ ล ะ แสดงพยานหลักฐานของตน คําสั่งทางปกครองดังกล่าวย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากเป็นการ กระทําที่ไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสําคัญท่ีกําหนดไว้ตามมาตรา 9 วรรคหนง่ึ (1) แห่ง พ.ร.บ.จดั ตงั้ ศาลปกครองฯ 6.2 สทิ ธนิ าํ ทนายความหรือทป่ี รกึ ษาเขา้ มาในการพจิ ารณาทางปกครอง ตามมาตรา 23 วรรคหน่ึง นําทนายความหรือที่ปรึกษาของตนเข้ามาในการพิจารณา ทางปกครองจํากัดเฉพาะกรณีท่ีคู่กรณีต้องมาปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าหน้าท่ีเท่านั้น ในกรณีท่ีคู่กรณี ไมไ่ ดม้ าปรากฏตวั ตอ่ หนา้ เจา้ หนา้ ท่ี ทนายความหรอื ทีป่ รึกษาจะเขา้ มาตดิ ตอ่ กับเจ้าหน้าทแ่ี ทนคู่กรณไี มไ่ ด้ เวน้ แต่จะได้รบั มอบหมายอํานาจจากคู่กรณี 6.3 สทิ ธิตรวจดเู อกสารของเจ้าหนา้ ที่ คู่กรณมี สี ิทธิขอตรวจดูเอกสารหรือพยานหลักฐานท่ีจําเป็นต้องรู้เพ่ือการโต้แย้งหรือชี้แจง หรือป้องกันสิทธิของตนได้ แต่จะขอตรวจดูเอกสารหรือพยานหลักฐานเพื่อวัตถุประสงค์อย่างอ่ืนไม่ได้ หากยงั ไมไ่ ด้ทําคาํ ส่งั ทางปกครองในเร่ืองนั้น คู่กรณีไม่มีสิทธิขอตรวจดูเอกสารที่เป็นต้นร่างคําวินิจฉัย คงมีสิทธิขอดูได้เฉพาะเอกสารท่ีปรากฏในกระบวนพิจารณาเพ่ือทําคําสั่งทางปกครองเท่านั้น ตามมาตรา 31 วรรคหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามถ้าเอกสารหรือพยานหลักฐานท่ีคู่กรณีขอตรวจดูน้ัน เปน็ เอกสารหรือพยานหลกั ฐานทีต่ ้องเก็บรกั ษาไว้เปน็ ความลับ เจ้าหน้าท่ีย่อมมีสิทธิปฏิเสธไมอ่ นุญาต ให้คู่กรณีตรวจดูเอกสารตามที่ขอได้เช่นกันตามมาตรา 32 ส่วนกรณีใดจะเป็นกรณีที่เจ้าหน้าท่ี ต้องรักษาไว้เป็นความน้ันจะต้องพิจารณาตามมาตรา 14 และมาตรา 15 แห่ง พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสาร ของราชการ พ.ศ. 2540 6.4 สทิ ธิได้รับการแจง้ สิทธแิ ละได้รบั คําแนะนําจากเจา้ หนา้ ที่ มาตรา 27 กําหนดให้เจ้าหน้าท่ีต้องแจ้งสิทธิและหน้าที่ในกระบวนการพิจารณา ทางปกครองให้คู่กรณีทราบตามความจําเป็นแก่กรณี เมื่อมีผู้ยื่นคําขอเพ่ือให้เจ้าหน้าท่ีมีคําสั่ง ทางปกครอง ให้เป็นหน้าท่ีของเจ้าหน้าท่ีผู้รับคําขอท่ีจะต้องดําเนินการตรวจสอบความถูกต้อง ของคําขอและความครบถ้วนของเอกสาร บรรดาที่มกี ฎหมายหรือกฎกาํ หนดให้ต้องย่ืนมาพร้อมกับคําขอ หากคําขอไม่ถูกต้อง ให้เจา้ หน้าท่ีดังกล่าวแนะนําให้ผู้ย่ืนคําขอดําเนินการแก้ไขเพมิ่ เติมเสียให้ถูกต้อง
และหากมีเอกสารใดไม่ครบถ้วนให้แจ้งให้ผู้ยืนคําขอทราบทันหรือภายในไม่เกิน 7 วันนับแต่วันท่ีได้ รับคําขอ ในการแจ้งดังกล่าวให้เจ้าหน้าที่ทําเป็นหนังสือลงลายมือช่ือของผู้รับคําขอและระบุรายการ เอกสารท่ีไม่ถูกต้องหรือยังไม่ครบถ้วนให้ผู้ยืนคําขอทราบพร้อมทั้งบันทึกการแจ้งกดังกล่าวไว้ ในกระบวนการพจิ ารณาจดั ทาํ คาํ สง่ั ทางปกครองน้นั ดว้ ย เม่ือผู้ยื่นคําขอแก้ไขคําขอหรือจัดส่งเอกสารตามท่ีระบุในการแจ้งครบถ้วนแล้ว เจ้าหน้าที่จะ ปฏิเสธไม่ดําเนินการตามคําขอเพราะเหตุยังขาดเอกสารอีกมิได้ เว้นแต่มีความจําเป็นเพ่ือให้ปฏิบัติ ให้ถูกต้องตามกฎหมายหรือกฎและได้รับความเห็นชอบจากผู้บังคับบัญชาเหนือตนข้ึนไปชั้นหนึ่ง ตามมาตรา 20 ในกรณีเช่นน้ันให้ผู้บังคับบญั ชาดําเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยพลัน หากเห็นว่า เปน็ ความบกพร่องของเจ้าหนา้ ทใ่ี หด้ ําเนินการทางวินยั ตอ่ ไป ทั้งนี้ ผู้ย่ืนคําขอต้องดําเนินการแกไ้ ขหรือ ส่งเอกสารเพ่ิมเติมต่อเจ้าหน้าท่ีภายในเวลาที่เจ้าหน้าท่ีกําหนดหรือภายในเวลาท่ีเจ้าหน้าที่อนุญาต ให้ขยายออกไป เม่ือพ้นกําหนดเวลาดังกล่าวแล้ว หากผู้ยื่นคําขอไม่แก้ไขหรือส่งเอกสารเพ่ิมเติม ใหค้ รบถว้ น ให้ถอื วา่ ผยู้ ื่นคาํ ขอไม่ประสงคท์ ่จี ะใหเ้ จ้าหน้าทด่ี ําเนินการตามคําขอต่อไป ในกรณีเช่นน้ัน ให้เจ้าหน้าทส่ี ง่ เอกสารคนื ใหผ้ ้ยู ืนคําขอพร้อมทั้งแจง้ สิทธิในการอทุ ธรณ์ให้ผยู้ ื่นคาํ ขอทราบ และบันทึก การดําเนนิ การดงั กล่าวไว้ หน้าที่ในการแจ้งสิทธิและหน้าที่ในกระบวนการพิจารณาทางปกครองให้คู่กรณีทราบ พึงกระทําเท่าท่ีจําเป็น ซ่ึงสิทธิและหน้าที่ที่เจ้าหน้าท่ีจะต้องแจ้งให้คู่กรณีทราบ เช่น สิทธิได้รับแจ้ง ข้อเท็จจริงและโอกาสในการโต้แย้งและแสดงพยานหลักฐาน สิทธิตรวจดูเอกสารของเจ้าหน้าที่ สทิ ธนิ ําทนายความหรอื ทปี่ รกึ ษาของตนเขา้ มาในการพิจารณาทางปกครอง เปน็ ตน้ 6.5 สทิ ธิไดท้ ราบเหตผุ ลในการออกคําสง่ั ทางปกครอง กรณที ค่ี าํ สง่ั ทางปกครองทําเป็นหนังสอื และการยนื ยันคาํ สง่ั ทางปกครองเป็นหนังสือ เจ้าหน้าที่จะต้องจัดให้มีเหตุผลไว้ด้วย โดยเหตุผลตามมาตรา 37 วรรคหน่ึงน้ันอย่างน้อย ต้องประกอบด้วย (1) ขอ้ เทจ็ จรงิ อนั เปน็ สาระสาํ คญั (2) ขอ้ กฎหมายทอ่ี ้างองิ (3) ขอ้ พจิ ารณาและข้อสนบั สนนุ ในการใช้ดลุ พนิ จิ ทัง้ นี้ เพื่อให้ผรู้ ับคําสงั่ ทราบว่าเจา้ หน้าทีอ่ าศัยข้อเทจ็ จริงและขอ้ กฎหมายใดเป็นฐานในการ พิจารณาออกคําส่ังทางปกครองและการออกคําส่ังทางปกครองดังกล่าวชอบด้วยเหตุผลหรือไม่ อนั จะทําให้ผู้รบั คาํ สงั่ สามารถตอ่ สปู้ ้องกันสิทธิของตนได้อย่างถูกตอ้ ง
พึงสังเกตวา่ บทบญั ญัติมาตรา 37 ไม่ได้ระบุวา่ การจดั ใหม้ ีเหตุผลดังกล่าวน้ันจะต้องจัดไว้ที่ใด การจัดให้มีเหตุผลดังกล่าวจึงไม่จําต้องระบุเหตุผลไว้ในคําส่ังทางปกครองเสมอไป เว้นแต่จะเป็น กรณีตามวรรคสองที่นายกรัฐมนตรีหรือผู้ซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมายอาจประกาศในราชกิจจา นุเบกษากําหนดให้คาํ สัง่ ทางปกครองกรณีหนึ่งกรณใี ดตอ้ งระบุเหตผุ ลไว้ในคาํ ส่งั น้ันเองหรอื ในเอกสาร ทา้ ยคําส่ังนน้ั กไ็ ด้ ประกาศสาํ นักนายกรฐั มนตรี เร่ือง คําสั่งทางปกครองที่ต้องระบุเหตุผลไว้ในคําสั่งหรือ ในเอกสารแนบทา้ ยคาํ สง่ั ให้คําส่ังทางปกครองท่ีทําเป็นหนังสือและการยืนยันคําส่ังทางปกครองเป็นหนังสือ ในกรณีดังต่อไปน้ี เป็นคําสั่งทางปกครองท่ีต้องระบุเหตุผลไว้ในคําสั่งหรือเอกสารแนบท้ายคําสั่ง ตามมาตรา 37 วรรคสอง (1) คําสั่งทางปกครองท่ีเป็นการปฏิเสธการก่อต้ังสิทธิของคู่กรณี เช่น การไม่รับคําขอ ไมอ่ นญุ าต ไมอ่ นุมตั ิ ไม่รบั รอง ไม่รับอุทธรณ์ หรอื ไมร่ บั จดทะเบียน (2) คําส่ังทางปกครองท่ีเป็นการเพิกถอนสิทธิ เช่น การเพิกถอนใบอนุญาต เพิกถอน การอนุมัติ เพิกถอนการรบั รอง หรอื เพกิ ถอนการรับจดทะเบยี น (3) คําสงั่ ทางปกครองท่ีกําหนดให้กระทําการหรือละเวน้ กระทําการ (4) คาํ ส่งั ทางปกครองทเี่ ปน็ คําวินจิ ฉยั อุทธรณ์ (5) คําสั่งยกเลิกการสอบราคา การประกวดราคา หรือการประมูลราคาที่มีผู้ได้รับ คดั เลอื กจากคณะกรรมการท่ีมอี าํ นาจหนา้ ทใี่ นการพิจารณาผลการดาํ เนินการดงั กลา่ วแลว้ ความในวรรคหนงึ่ มิให้นาํ มาใชใ้ นกรณที ี่ไมอ่ าจเปดิ เผยไดต้ ามทกี่ ําหนดในมาตรา 32 อย่างไรกด็ ี เจา้ หนา้ ทไี่ ม่ต้องให้เหตุผลประกอบคําส่ังทางปกครองที่ทําเป็นหนังสือหรือ การยนื ยนั คาํ สงั่ ทางปกครองเปน็ หนงั สอื หากกรณตี อ้ งด้วยเงือ่ นไขอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ตามทกี่ าํ หนดไว้ ในมาตรา 37 วรรคสาม ซ่ึงมอี ยู่ 4 ประการ ดงั นี้ (1) เป็นกรณีที่มีผลตรงตามคําขอและไมก่ ระทบสทิ ธิและหนา้ ทีข่ องบุคคลอืน่ (2) เหตุผลน้นั เปน็ ทร่ี ู้กนั อย่แู ล้วโดยไม่จําต้องระบอุ ีก (3) เป็นกรณที ีต่ อ้ งรกั ษาไว้เปน็ ความลับตามมาตรา 32 (4) เป็นการออกคําส่ังทางปกครองด้วยวาจาหรือเป็นกรณีเร่งด่วน แต่ต้องให้เหตุผล เป็นลายลักษณอ์ กั ษรในเวลาอนั ควรหากผอู้ ยใู่ นบงั คบั ของคาํ ส่งั น้ันร้องขอ 6.6 สทิ ธิไดร้ บั แจ้งวธิ ีการอทุ ธรณโ์ ต้แย้งคาํ สั่งทางปกครอง คําส่ังทางปกครองใดเป็นคําส่ังทางปกครองที่อาจอุทธรณ์โต้แย้งต่อไปได้ไม่ว่าจะเป็นการอุทธรณ์ โต้แยง้ ตามกฎหมายเฉพาะหรอื เปน็ การอุทธรณโ์ ตแ้ ยง้ ตาม พ.ร.บ. วิธีปฏบิ ัติฯ กต็ าม เจา้ หน้าที่
ผู้อุทธรณ์คําสั่งทางปกครองจะต้องแจ้งสิทธิโต้แย้งคําส่ังไว้ด้วย ในกรณีที่กฎหมายเฉพาะกําหนด หลักเกณฑ์การอุทธรณ์หรือโต้แย้งไว้อย่างไร เจ้าหน้าท่ีผู้ออกคําสั่งทางปกครองจะต้องแจ้งสิทธิ อทุ ธรณห์ รือโต้แยง้ คําสั่งตามหลกั เกณฑ์ ท่ีบญั ญัติไว้ในกฎหมายเฉพาะให้ผู้รับคาํ สั่งทางปกครองทราบ ด้วย แต่ในกรณีที่กฎหมายเฉพาะไม่ได้กําหนดหลักเกณฑ์ดังกล่าวไว้เจ้าหน้าที่ผู้ออกคําส่ัง ทางปกครองจะต้องแจ้งสิทธิอุทธรณ์หรือโต้แย้งคําส่ังตามหลักเกณฑ์ท่ีบัญญัติไว้ใน พ.ร.บ. วิธปี ฏิบตั ิฯ ใหผ้ ู้รับคาํ ส่ังทางปกครองทราบด้วยตามมาตรา 40 วรรคหนึ่ง อย่างไรก็ดี การที่เจ้าหน้าท่ีผู้ออกคําส่ังทางปกครองละเลยไม่แจ้งสิทธิอุทธรณ์หรือโต้แย้ง คําส่ัง หรือแจ้งสทิ ธิอุทธรณ์หรือโต้แย้งคําส่ังโดยไม่ถูกต้อง กรณีย่อมไม่ส่งผลให้คําสั่งทางปกครอง ดงั กลา่ วเปน็ คาํ สั่งทางปกครองที่ไมช่ อบด้วยกฎหมาย คําสัง่ ทางปกครองท่ีไม่ได้มีการแจ้งสิทธิอุทธรณ์ หรือโต้แยง้ ไว้ยงั คงเปน็ คําสงั่ ทางปกครองทช่ี อบด้วยกฎหมายอยู่ เพียงแต่มีผลทําให้ระยะเวลาในการ อุทธรณห์ รือโต้แย้งคําส่ังดงั กล่าวจะเริ่มนับก็ต่อเม่ือเจ้าหน้าที่ผู้ออกคําสั่งทางปกครองได้แจ้งสิทธิ หรือโตแ้ ยง้ คาํ สง่ั นนั้ ไปยงั ผู้รับคาํ สงั่ ทางปกครองในภายหลัง ถ้าไม่มีการแจ้งสิทธิอุทธรณ์หรือโต้แย้งคําสั่งภายในและระยะเวลาอุทธรณ์หรือโต้แย้ง คําส่ังน้ันส้ันกว่า 1 ปี ก็ให้ขยายเป็นระยะเวลาอุทธรณ์หรือโต้แย้งคําส่ังทางปกครองเป็น 1 ปี นบั แตว่ นั ทไี่ ดร้ บั คําสง่ั ทางปกครองตามมาตรา 40 วรรคสอง พึงสังเกตว่า แม้คําสั่งทางปกครองท่ีออกโดยรัฐมนตรีหรือคณะกรรมการจะเป็นที่สุดในฝ่าย ปกครองนั้น ย่อมเป็นคําส่ังทางปกครองที่ไม่อาจอุทธรณ์หรือโต้แย้งต่อไปได้ในฝ่ายปกครอง จึงส่งผลให้รัฐมนตรีหรือคณะกรรมการผู้ออกคําสั่งทางปกครองไม่ต้องจดแจ้งสิทธิอทุ ธรณ์หรือโต้แย้ง ไว้ในคําส่ังดังกล่าวก็ตาม แต่คําส่ังดังกล่าวยังเป็นคําสั่งทางปกครองที่อาจฟ้องต่อศาลปกครองได้ ดังน้ัน รัฐมนตรีหรอคณะกรรมการผู้ออกคําสั่งจึงต้องระบุวิธีการและระยะเวลาในการยื่นคําฟ้อง ไว้ในคําสั่งดังกล่าวด้วยตามมาตรา 50 แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ มิฉะนั้นย่อมส่งผลให้ ระยะเวลาการย่ืนฟ้องคดีขยายออกไปเช่นเดียวกับการไม่จดแจ้งสิทธิอุทธรณ์หรือโต้แย้งคําสั่ง ทางปกครอง 7. รูปแบบและผลของคําสัง่ ทางปกครอง 7.1 รูปแบบคาํ สัง่ ทางปกครอง ตามมาตรา 34 คําส่ังทางปกครองอาจทําเป็นหนังสือหรือ วาจาหรือโดยการสื่อความหมายในรูปแบบอื่นก็ได้ แต่ต้องมีข้อความหรือความหมายที่ชัดเจน เพยี งพอท่ีจะเขา้ ใจได้ 7.1.1 คาํ สัง่ ทางปกครองทท่ี าํ เป็นหนงั สอื เจ้าหน้าที่ต้องทําตาม “แบบ” ที่กฎหมายกําหนด กล่าวคือ อย่างน้อยต้องระบุวัน เดือนและปีท่ีออกคําส่ัง ช่ือและตําแหน่งของเจ้าหน้าท่ีผู้ทําคําส่ัง พร้อมท้ังลายมือชื่อ
ของเจ้าหน้าทผ่ี ู้ทําคําสั่งนั้นด้วยตามมาตรา 36 มิฉะนั้นคําส่ังทางปกครองดังกล่าวอาจไม่สมบูรณ์ได้ นอกจากนี้ คําสงั่ ทางปกครองท่ีทาํ เปน็ หนงั สอื จะตอ้ งจดั ให้มเี หตุผลไว้ดว้ ยตามมาตรา 37 การออกคําส่ังทางปกครองเป็นหนังสือเรื่องใด หากมิได้มีกฎหมายหรือกฎกําหนด ระยะเวลาในการออกคําสั่งทางปกครองในเรื่องน้ันไว้เป็นประการอ่ืน ให้เจ้าหน้าท่ีออกคําส่ัง ทางปกครองน้ันให้แล้วเสร็จภายใน 30 วันนับแต่วันที่เจ้าหน้าท่ีได้รับคําขอและเอกสารถูกต้อง ครบถ้วน โดยให้ผู้บังคับบัญชาช้ันเหนือข้ึนไปกํากับดูแลให้เจ้าหน้าท่ีดําเนินการให้เป็นไป ตามบทบัญญัติดังกลา่ วตามมาตรา 39 7.1.2 คําสั่งทางปกครองทีท่ าํ ด้วยวาจา กรณีท่ีผู้รับคําสั่งร้องขอโดยมีเหตุผลอันสมควรภายใน 7 วันนับแต่วันที่มีคําส่ัง ดังกล่าว เจ้าหน้าที่ผู้ออกคําส่ังต้องยืนยันคําส่ังน้ันเป็นหนังสือตามมาตรา 35 และการยืนยันคําสั่ง ทางปกครองเป็นหนงั สอื นจ้ี ะตอ้ งจัดให้มเี หตุผลไว้ดว้ ยตามมาตรา 37 อยา่ งไรก็ดี ขอ้ สงั เกต คําสงั่ ทางปกครองน้ันมีผลต้ังแต่ผู้รับคําสั่งได้รับแจ้งด้วยวาจาแล้ว ไม่ใช่เพ่ิงมี ผลเมื่อผ้นู น้ั ได้รบั หนงั สอื ยนื ยันจากเจา้ หน้าที่ 7.1.3 คําสั่งทางปกครองท่ีทําโดยสื่อความหมายในรูปแบบอื่นอาจเป็นการ ใหส้ ญั ญาณหรอื การแสดงกิรยิ า 7.2 ขอ้ กําหนดประกอบในคําสั่งทางปกครอง มาตรา 39 ให้เครื่องมือท่ีสําคัญแก่ฝ่ายปกครองเพ่ือใช้เสริมคําสั่งทางปกครองให้มีความ ยดึ หยุ่นและเหมาะสมกับสภาพการณข์ องขอ้ เท็จจริงแต่ละเรื่องมาขึ้นเรียกว่า “ข้อกําหนดประกอบ ในคําส่ังทางปกครอง” ซึง่ มี 5 ประเภท ดังต่อไปน้ี 7.2.1 เงอื่ นเวลาในคําสง่ั ทางปกครอง ฝ่ายปกครองอาจกําหนดให้คําสั่งทางปกครองจะมีผลหรือส้ินลง ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง ท่ีชัดเจนแน่นอนในอนาคตก็ได้ ตามมาตรา 39 วรรคสอง (1) เง่ือนเวลาในคําส่ังทางปกครอง มี 2 ประเภท ดังนี้ (1) เงื่อนเวลาเร่ิมตน้ ในคําส่ังทางปกครอง (2) เงื่อนเวลาสน้ิ สดุ ในคาํ ส่ังทางปกครอง 7.2.2 เงอ่ื นไขในคาํ สงั่ ทางปกครอง การจะมีผลหรือสิ้นผลของคําสั่งทางปกครองย่อมข้ึนอยู่กับเหตุการณ์ในอนาคต ท่ีไมแ่ น่นอน เงอื่ นไขคาํ ส่งั ทางปกครองสามารถแบง่ ได้ 2 ประเภท ตามมาตรา 39 วรรคสอง (2) ดังนี้ (1) เง่ือนไขบังคับก่อนในคําสั่งทางปกครอง คําสั่งนั้นย่อมจะมีผลเม่ือเหตุการณ์ ในอนาคตท่ีไม่แนน่ อนซ่งึ ระบไุ วใ้ นคําสัง่ ทางปกครองนน้ั ได้เกิดขึ้น (2) เงื่อนไขบังคับหลังในคําสั่งทางปกครอง คําสั่งน้ันย่อมจะส้ินผลเม่ือเหตุการณ์ ในอนาคตที่ไม่แน่นอนซึ่งระบไุ ว้ในคําสง่ั ทางปกครองน้ันไดเ้ กิดข้ึน
7.2.3 ขอ้ สงวนสิทธทิ ี่จะยกเลกิ คําสัง่ ทางปกครอง กรณีท่ีฝ่ายปกครองท่ีออกคําสั่งสงวนไว้ซึ่งสิทธิท่ีจะยกเลิกคําสั่งทางปกครองนั้น ในภายหลังตามมาตรา 39 วรรคสอง (3) 7.2.4 ข้อเรียกร้องในคําส่งั ทางปกครอง ในการออกคําส่ังทางปกครองท่ีเป็นคุณแก่ผู้รับน้ัน ฝ่ายปกครองอาจกําหนดหน้าที่ให้ บุคคลผูร้ ับคําส่ังต้องกระทําการหรอื งดเวน้ กระทาํ การอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ไดต้ ามมาตรา 39 วรรคสอง (4) 7.2.5 ข้อสงวนสิทธิในการจัดใหม้ ขี อ้ เรยี กร้องในคําสั่งทางปกครอง ในการออกคาํ ส่งั ทางปกครองนั้นมีความเป็นไปได้ท่ีข้อเท็จจริงเฉพาะกรณีที่เกิดข้ึนยังไม่ ชัดเจนเพียงพอท่ีจะทําให้ฝ่ายปกครองต้องกําหนดข้อเรียกร้องเอาไว้ในคําสั่งทางปกครองเพ่ือให้ผู้รับ คําสั่งต้องปฏิบัติ เรียกว่า”ข้อสงวนสิทธิในการจัดให้มีข้อเรียกร้อง” ตามมาตรา 39 วรรคสอง (4) วรรคท้าย 7.3 ผลของคําสง่ั ทางปกครอง 7.3.1 การมผี ลของคําสัง่ ทางปกครอง คําสั่งทางปกครองไม่ว่ารูปแบบใด มีผลในทางกฎหมายใช้ยันบุคคลผู้รับคําสั่งตั้งแต่ ขณะทผ่ี นู้ ัน้ ไดร้ บั แจง้ เปน็ ต้นไปตามมาตรา 42 วรรคหนึ่ง 7.3.2 การสน้ิ ผลของคําสัง่ ทางปกครอง คําสั่งทางปกครองย่อมมีผลต่อไปตราบเท่าที่ยังไม่มีการเพิกถอนหรือยกเลิกคําสั่ง ทางปกครอง หรอื สน้ิ ผลลงโดยเง่ือนไข หรือโดยสภาพของเรื่องเนื่องจากการได้มีการปฏิบัติตามคําสง่ั ทางปกครองนัน้ แลว้ ตามมาตรา 42 วรรคสอง 7.4 การแก้ไขเยียวยาความบกพรอ่ งของคําส่งั ทางปกครอง เจ้าหน้าท่ีสามารถแก้ไขเยียวยาความบกพร่องของคําส่ังทางปกครองให้กลับมาชอบด้วย กฎหมายได้ตามมาตรา 41 ได้เปดิ ช่องไวใ้ น 4 กรณี ดังตอ่ ไปนี้ มาตรา 41 คําส่งั ทางปกครองทอี่ อกโดยการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏบิ ัติตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปน้ี ไม่เปน็ เหตใุ ห้คําสั่งทางปกครองน้นั ไม่สมบรู ณ์ (1) การออกคําสั่งทางปกครองโดยยังไม่มีผู้ยื่นคําขอในกรณีท่ีเจ้าหน้าที่จะดําเนินการ เองไม่ได้นอกจากจะมผี ้ยู นื่ คาํ ขอ ถา้ ต่อมาในภายหลังไดม้ ีการยน่ื คําขอเช่นนั้นแล้ว (2) คําสั่งทางปกครองท่ีต้องจัดให้มีเหตผุ ลตามมาตรา 37 วรรคหนึ่ง ถ้าได้มีการจัดให้มี เหตผุ ลดังกล่าวในภายหลงั (3) การรับฟังคู่กรณีที่จาํ เป็นต้องกระทําได้ดําเนินการมาโดยไม่สมบูรณ์ ถ้าได้มีการรับ ฟังใหส้ มบูรณ์ในภายหลงั (4) คําสั่งทางปกครองที่ต้องให้เจ้าหน้าท่ีอ่ืนให้ความเห็นชอบก่อน ถ้าเจ้าหน้าที่นั้นได้ ใหค้ วามเห็นชอบในภายหลงั
เม่ือมีการดาํ เนินการตามวรรคหน่ึง (1) (2) (3) หรือ (4) แล้ว และเจ้าหน้าที่ผู้มีคําส่ังทาง ปกครองประสงค์ให้ผลเป็นไปตามคําส่ังเดิมให้เจ้าหน้าที่ผู้น้ันบันทกึ ข้อเท็จจริงและความประสงคข์ อง ตนไว้ในหรือแนบไว้กับคาํ สงั่ เดิมและตอ้ งมหี นังสือแจง้ ความประสงคข์ องตนใหค้ ู่กรณที ราบด้วย กรณีตาม (2) (3) และ (4) จะต้องกระทําก่อนสิ้นสุดกระบวนการพิจารณาอทุ ธรณ์ตาม ส่วนท่ี 5 ของหมวดน้ี หรือตามกฎหมายเฉพาะว่าด้วยการนั้น หรือถ้าเป็นกรณีท่ีไม่ต้องมีการอุทธรณ์ ดังกล่าวก็ต้องก่อนมีการนําคําสั่งทางปกครองไปสู่การพิจารณาของผู้มีอํานาจพิจารณาวินิจฉัยความ ถกู ต้องของคาํ ส่งั ทางปกครองน้นั 8. การอุทธรณค์ ําสง่ั ทางปกครอง 8.1 ขอ้ พิจารณาเบือ้ งตน้ การอุทธรณ์คําส่ังทางปกครองเป็นการทบทวนคําสั่งทางปกครองซึ่งเป็นการควบคุม ภายในฝา่ ยปกครองแบบแกไ้ ขวธิ หี นึง่ เพ่อื ให้เจา้ หน้าที่ผู้ทาํ คําสงั่ ทางปกครองและผู้มีอํานาจพิจารณา อุทธรณไ์ ด้พิจารณาแกไ้ ขเปลีย่ นแปลงคาํ ส่ังทางปกครองใหถ้ กู ต้องและเพ่ือแก้ไขเยียยาความเดือดร้อน เสียหายของคู่กรณีซึ่งถูกกระทบกระเทือนจากผลของคําส่ังทางปกครองก่อนท่ีจะนําคดีข้ึนวินิจฉัย ยังองค์กรตุลาการ อีกท้ัง การอุทธรณ์คําสั่งทางปกครองยังเป็นเง่ือนไขการฟ้องคดีต่อศาลปกครอง อกี ด้วย ซึง่ หากคาํ ส่ังทางปกครองดงั กลา่ วเปน็ คาํ สั่งทอี่ าจอุทธรณ์ภายในฝ่ายปกครองได้ แต่ผู้น้ันไม่ได้ อุทธรณ์หรืออุทธรณ์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้น้ันย่อไม่มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองตามมาตรา 42 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ. จัดตงั ศาลปกครองฯ ในกรณีที่มีกฎหมายเฉพาะกําหนดข้ันตอนและระยะเวลาอุทธรณ์คําส่ังทางปกครองไว้ เช่นใดแล้ว เจ้าหน้าที่จะต้องนําหลักเกณฑ์เก่ียวกับข้ันตอนและระยะเวลาอุทธรณ์ที่กําหนด ในกฎหมายเฉพาะมาใช้บังคับเสมอตามมาตรา 3 วรรคสอง แม้ขั้นตอนและระยะเวลาอุทธรณ์ ท่ีกําหนดในกฎหมายเฉพาะจะมีหลักเกณฑ์ที่ประกันความเป็นธรรมหรือมีมาตรฐานในการปฏิบัติ ราชการต่ํากว่าหลักเกณฑ์ที่กําหนดใน พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติฯ ก็ตาม แต่ในกรณีที่กฎหมายเฉพาะมิได้ กําหนดข้ึนตอนและระยะเวลาอุทธรณ์ไว้เลย เจ้าหน้าท่ีจะต้องนําหลักเกณฑ์เกี่ยวกับขั้นตอนและ ระยะเวลาอุทธรณ์ทีก่ ําหนดใน พ.ร.บ.วธิ ปี ฏิบัตฯิ มาใช้บงั คบั แก่กรณตี ามมาตรา 3 วรรคหน่ึง 8.2 วัตถุประสงค์การอุทธรณ์ พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติฯ ใช้บงั คับกับ “คําสั่งทางปกครอง” วัตถุแห่งการอุทธรณ์ตามมาตรา 44 จึงต้องเป็น “คาํ สั่งทางปกครอง” เท่านั้น แต่อย่างไรก็ดี มีคําส่ังทางปกครองบางประเภทท่ีไมได้จําต้องอุทธรณ์ภายในฝ่ายปกครอง ทํานองเดียวกบั กฎ อนั ได้แก่ คําสั่งทางปกครอง ดังต่อไปนี้ (1) คาํ ส่งั ทางปกครองที่ออกโดยรัฐมนตรี ตามมาตรา 44 วรรคหนึง่ (2) คําสั่งทางปกครองท่ีออกโดยคณะกรรมการตามมาตรา 48 ประกอบมาตรา 87
(3) คําสัง่ ทางปกครองที่มลี ักษณะเป็นคาํ ส่ังทางปกครองท่ัวไป (4) คาํ สงั่ ทางปกครองที่มีกฎหมายเฉพาะกาํ หนดให้เปน็ ทส่ี ุด (5) คําสง่ั ทางปกครองที่มกี ฎหมายเฉพาะกําหนดให้ฟ้องศาลได้ทนั ที ด้วยเหตุคําส่ังทางปกครองทั้ง 5 ประเภทข้างต้น จึงเป็นคําส่ังทางปกครองที่สามารถ ฟ้องเพิกถอนต่อศาลปกครองได้ทันท่ีโดยไม่ต้องอุทธรณ์คําสั่งทางปกครองดังกล่าว เพราะถือได้ว่า เป็นกรณีท่ีไม่มีกฎหมายกําหนดข้ันตอนหรือวิธีการสําหรับการแก้ไขความเดือดร้อนหรือเสียหาย ในเรอื่ งนไ้ี วโ้ ดยเฉพาะตามมาตรา 42 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ. จดั ตงั้ ศาลปกครองฯ 8.3 ผู้มสี ิทธอิ ุทธรณค์ าํ สง่ั ทางปกครอง ตามมาตรา 44 วรรคหนึ่ง คอื “คู่กรณี” 8.4 ผรู้ ับอทุ ธรณ์คาํ สัง่ ทางปกครอง คู่กรณตี อ้ งยื่นอทุ ธรณค์ ําสง่ั ทางปกครองต่อ “เจา้ หน้าทผี่ ู้ทําคําสั่งทางปกครอง” ท่ีระบุชื่อ และตําแหนง่ ในคําสั่งทางปกครองนน้ั ตามมาตรา 44 วรรคหนงึ่ ข้อสังเกต การยื่นอุทธรณ์คําส่ังต่อผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าท่ีผู้ทําคําสั่งทางปกครอง หรอื ตอ่ บุคคลอ่ืนโดยสจุ ริตก็ถอื ว่าเปน็ การยืน่ อทุ ธรณท์ ีช่ อบแลว้ เช่นกัน 8.5 ระยะเวลาอุทธรณ์คาํ สั่งทางปกครอง คู่กรณีต้องย่ืนอุทธรณ์คําส่ังทางปกครองต่อเจ้าหน้าที่ผู้ทําคําส่ังทางปกครองภายใน 15 วัน นับแต่วันทไี่ ด้รับแจ้งคําสงั่ ดงั กลา่ วตามมาตรา 44 วรรคหนึ่ง แต่ถ้าเจ้าหนา้ ที่แจ้งสิทธิอุทธรณ์คําส่ัง เป็นจํานวนวันท่ีมากกว่าที่มาตรา 44 กําหนดไว้ คู่กรณีย่อมมีสิทธิย่ืนอุทธรณ์คําส่ังภายในระยะเวลา ตามทไ่ี ด้รับแจ้งได้ 8.6 รปู แบบของคําอุทธรณ์ ต้องทําเป็นหนังสือ โดยระบุข้อความโต้แย้งและข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่อ้างอิง ประกอบดว้ ยตามมาตรา 44 วรรคสอง 8.7 การพจิ ารณาอทุ ธรณ์คําสั่งทางปกครอง การพิจารณาอุทธรณ์คําสั่งทางปกครองเป็นไปตามหลักเกณฑ์ท่ีกําหนดไว้ในมาตรา 45 ถึงมาตรา 46 แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติฯ และมาตรา 50 แห่ง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ ซึ่งมี รายละเอียดดงั นี้ 8.7.1 ขน้ึ ตอนและระยะเวลาการพจิ ารณาอทุ ธรณ์ การพิจารณาอุทธรณ์คําสั่งทางปกครองตามมาตรา 45 เป็นระบบการพจิ ารณาสองชัน้
1) การพิจารณาอุทธรณ์ชั้นแรก ให้เจ้าหน้าที่รับคําอุทธรณ์ตามมาตรา 44 วรรคหนึง่ ซ่ึงก็คือ “เจ้าหน้าที่ผู้ทําคําสั่งทางปกครอง” พิจารณาคําอุทธรณ์และแจ้งผู้อุทธรณ์โดยไม่ชักช้า แต่ต้องไม่เกิน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับอุทธรณ์ ในกรณีที่เห็นด้วยกับคําอุทธรณ์ไม่ว่าทั้งหมดหรือ บางส่วนก็ให้ดําเนินการเปลี่ยนแปลงคําส่ังทางปกครองตามความเห็นของตนภายในกําหนดเวลา ดังกล่าวตามมาตรา 45 วรรคหน่งึ 2) การพิจารณาอุทธรณ์ชั้นที่สอง ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ผู้ทําคาํ ส่ังทางปกครองไม่เห็น ด้วยกับคําอุทธรณ์ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ก็ให้เร่งรายงานความเห็นพร้อมเหตุผลไปยัง “ผมู้ อี าํ นาจพิจารณาอุทธรณ์” ภายใน 30 วันนบั แตไ่ ดร้ บั รายงาน ถา้ มีเหตุจําเป็นไม่อาจพิจารณาได้ แล้วเสร็จภายในระยะเวลาดังกล่าว ให้ผู้มีอํานาจพิจารณาอุทธรณ์มีหนังสือแจ้งให้ผู้อุทธรณ์ทราบ ก่อนครบกําหนดเวลาดังกล่าว ในการน้ีให้ขยายเวลาพิจารณาอุทธรณ์ออกไปได้ไมเกิน 30 วัน นบั แตว่ นั ทค่ี รบกําหนดเวลาดังกล่าวตามมาตรา 45 วรรคสอง ทง้ั นี้ เจ้าหน้าทผ่ี ใู้ ดจะเป็น “ผู้มีอํานาจพิจารณาอุทธรณ์” ย่อมเป็นไปตามที่กาํ หนด ในกฎกระทรวง ฉบบั ท่ี 4 พ.ศ. 2540 ข้อ 2 การพิจารณาอุทธรณ์คําสั่งทางปกครองในกรณีที่เจ้าหน้าที่ผู้ทําคําส่ังไม่เห็นด้วย กับคาํ อทุ ธรณ์ ใหเ้ ป็นอํานาจของเจ้าหนา้ ท่ี ดังต่อไปนี้ (1) หัวหน้าส่วนราชการประจําจังหวัด ในกรณีที่ผู้ทําคําส่ังทางปกครองเป็นเจ้าหน้าท่ี ในสังกัดของส่วนราชการประจําจังหวัดหรือส่วนราชการประจําอําเภอของ กระทรวง ทบวง กรม เดียวกัน (2) เลขานุการรัฐมนตรี เลขานุการกรม หัวหน้าส่วนราชการระดับกองหรือเทียบเท่า หัวหน้าส่วนราชการตามมาตรา 31 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 หรือหัวหน้าส่วนราชการประจําเขต แล้วแต่กรณี ในกรณีที่ผู้ทําคําสั่งทางปกครอง เป็นเจา้ หนา้ ทใี่ นสังกดั ของสว่ นราชการนัน้ (3) อธิบดีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่มฐี านะเป็นกรม แล้วแต่กรณี ในกรณีที่ผู้ทําคําส่ัง ทางปกครองเป็นเลขานุการกรม หัวหน้าส่วนราชการระดับกองหรือส่วนราชการตามมาตรา 31 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบยี บบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 หรือหัวหน้าส่วนราชการประจําเขต หรอื ผู้อยใู่ ตบ้ งั คบั บัญชาของอธบิ ดหี รอื หัวหน้าส่วนราชการท่ีมฐี านะเป็นกรมซ่ึงดาํ รงตําแหนง่ สงู กวา่ นัน้ (4) ปลัดกระทรวงหรือปลัดทบวง แล้วแต่กรณี ในกรณีที่ผู้ทําคําส่ังทางปกครองเป็น ผูด้ าํ รงตาํ แหน่งอธบิ ดีหรือเทียบเทา่ (5) นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี แล้วแต่กรณี ในกรณีท่ีผู้ทําคําสั่งทางปกครอง เป็นหัวหน้าส่วนราชการที่ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี หรือเป็นผู้ดํารงตําแหน่ง
ปลัดกระทรวงหรอื ปลัดทบวง (6) ประธานวุฒิสภา ในกรณีที่ผู้ทําคําสั่งทางปกครองเป็นผู้ดํารงตําแหน่งเลขาธิการ วฒุ สิ ภา (7) ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในกรณีที่ผู้ทําคําส่ังทางปกครองเป็นผู้ดํารงตําแหน่ง เลขาธิการสภาผแู้ ทนราษฎร (8) ผวู้ ่าราชการจังหวดั ในกรณีทผี่ ้ทู าํ คาํ สงั่ ทางปกครองเป็นหวั หน้าสว่ นราชการประจํา จังหวัด นายอําเภอ เจ้าหน้าที่ของส่วนราชการของจังหวัด เจ้าหน้าท่ีของส่วนราชการของอําเภอ หรอื เจ้าหนา้ ที่ของสภาตําบล เวน้ แตก่ รณที ี่กาํ หนดไวแ้ ลว้ ใน (1) หรือ (3) (9) ผู้บริหารท้องถ่ินหรือคณะผู้บริหารท้องถิ่น แล้วแต่กรณี ในกรณีที่ผู้ทําคําส่ัง ทางปกครองเปน็ เจ้าหน้าที่ขององคก์ ารบรหิ ารส่วนท้องถนิ่ (10) ผู้ว่าราชการจังหวัด ในกรณีท่ีผู้ทําคําสั่งทางปกครองเป็นผู้บริหารท้องถิ่น หรือ คณะผู้บรหิ ารทอ้ งถ่ิน (11) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในกรณีท่ีผู้ทําคําส่ังทางปกครองเป็น ผู้วา่ ราชการกรุงเทพมหานคร หรอื ผ้วู ่าราชการจังหวดั ในฐานะผู้บริหารองคก์ ารบรหิ ารส่วนจังหวัดหรือ ในฐานะราชการในสว่ นภูมภิ าค (12) ผู้แทนของรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานอื่นของรัฐ แล้วแต่กรณี ในกรณีที่ผู้ทําคําสั่ง ทางปกครองเปน็ เจ้าหน้าทข่ี องรฐั วิสาหกิจหรือหนว่ ยงานอนื่ ของรัฐ (13) เจ้าหน้าที่ผูม้ อี ํานาจสัง่ การหรอื มอบหมายใหเ้ อกชนปฏิบตั ิหน้าท่ีตามท่ีกฎหมาย กําหนด ในกรณีที่ผู้ทําคําส่ังทางปกครองเป็นเอกชนซ่ึงได้รบั คําสั่งหรือไดร้ ับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่ ดงั กล่าว (14) ผู้บังคับบัญชา ผู้กํากับดูแล หรือผู้ควบคุมช้ันเหนือขึ้นไปช้ันหนึ่ง แล้วแต่กรณี ในกรณีทีผ่ ู้ทําคําสั่งทางปกครองเป็นเจา้ หน้าทอี่ นื่ นอกจากท่ีกาํ หนดไว้ข้างต้น (15) เจา้ หน้าทีผ่ ู้ทาํ คําสงั่ ทางปกครองน้ันเอง ในกรณีท่ีผู้ทําคําส่ังทางปกครองเป็นผู้ซงึ่ ไม่มีผู้บงั คบั บัญชา ผู้กํากับดูแล หรอื ผูค้ วบคุม ขอ้ สงั เกต การพิจารณาอุทธรณ์ทุกข้ันตอนจะต้องกระทําให้แล้วเสร็จอยา่ งช้าท่ีสุดภายใน 90 วัน นับแต่วันท่ีได้รับอุทธรณ์ กล่าวคือ การพิจารณาอุทธรณ์ในชั้นแรกโดยเจ้าหน้าท่ีผู้ทําคําส่ังทาง ปกครองต้องกระทําภายในระยะเวลา 30 วันนับแต่วันที่ได้รับอุทธรณ์ ส่วนการพิจารณาอุทธรณ์ใน ช้ันท่ีสองโดยเจ้าหน้าท่ีผู้มีอํานาจพิจารณาอุทธรณ์ต้องกระทําภายในระยะเวลา 60 วันนับแต่วันที่ ไดร้ บั อทุ ธรณ์ 8.7.2 ขอบเขตของการทบทวนคําส่ังทางปกครอง เจ้าหน้าท่ีผู้ทําคําส่ังทางปกครองและผู้มีอํานาจพิจารณาอุทธรณ์สามารถพิจารณา
ทบทวนคําสั่งทางปกครองได้ทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย หรือความ เหมาะสมของการทําคําสั่งทางปกครอง และอาจมีคําส่ังเพิกถอนคําส่ังทางปกครองเดิมหรือ เปลี่ยนแปลงคําสั่งนั้นไปในทางใด ท้ังน้ีไม่ว่าจะเป็นการเพ่ิมภาระหรือลดภาระหรือใชด้ ุลพินิจแทนใน เรอื่ งความเหมาะสมของการทาํ คําส่ังทางปกครองหรอื มขี อ้ กําหนดเปน็ เงอ่ื นไขอย่างไรก็ไดต้ ามมาตรา 46 8.7.3 การแจง้ ผลการพจิ ารณาอทุ ธรณ์ เจา้ หนา้ ที่ผทู้ ําคาํ สง่ั ทางปกครองและผู้มีอํานาจพิจารณาอุทธรณร์ ะบุวิธีการย่ืนคําฟ้อง และระยะเวลาสําหรับยื่นคําฟ้องไว้ในคําส่ังพิจารณาอุทธรณ์ด้วยตามมาตรา 50 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ. จดั ต้งั ศาลปกครองฯ หากเจ้าหนา้ ท่ลี ะเลยไม่แจ้งสิทธิฟ้องคดีปกครองให้คู่กรณีผู้อุทธรณ์ทราบ ตามมาตรา 50 วรรคหน่ึง ก็ให้ระยะเวลาสําหรับย่ืนคําฟ้องเร่ิมนับใหม่นับแต่วันท่ีผู้อุทธรณ์ได้รับแจ้ง สิทธิฟ้องคดีปกครองจากเจ้าหน้าท่ีตามมาตรา 50 วรรคสอง แต่หากไม่มีการแจ้งใหม่และระยะเวลา สําหรับยื่นคําฟ้องมีกําหนดน้อยกว่า 1 ปีก็ให้ขยายเวลาสําหรับยื่นคําฟ้องเป็น 1 ปี นับแต่วันท่ีได้รับ คาํ สง่ั พจิ ารณาอุทธรณ์ตามมาตรา 50 วรรคสาม ข้อสังเกต วัตถุประสงค์ของมาตรา 50 ย่อมหมายถึงการระบุรายละเอียดให้ชัดเจนเก่ียวกับ วิธีการย่ืนคําฟ้องและระยะเวลาสําหรับย่ืนคําฟ้อง มิใช่เป็นการแจ้งเพียงตัวเลขบทมาตราของ กฎหมาย 8.8 ผลของการอุทธรณ์คําสง่ั ทางปกครอง มาตรา 44 วรรคสาม กําหนดให้ผลของการอุทธรณ์คําสั่งทางปกครองไว้ว่า การอุทธรณ์คําส่ังทางปกครองไม่เป็นเหตุให้ทุเลาการบงั คับตามคําสั่งทางปกครอง เวน้ แต่จะมีการส่ัง ให้ลุเทาการบังคับตามมาตรา 63/2 วรรคหน่ึง ดังน้ัน เจ้าหน้าที่ผู้ทําคําสั่งทางปกครองจึงยังคงบังคับ การให้เปน็ ไปตามคําสั่งทางปกครองน้นั ได้ 9. การเพกิ ถอนและยกเลิกคาํ สัง่ ทางปกครอง 9.1 ข้อพิจารณาเบือ้ งตน้ การเพิกถอนและยกเลิกคําสั่งทางปกครองเป็นการทบทวนคําส่ังทางปกครองซึ่งเป็นการ ควบคุมภายในฝ่ายปกครองแบบแก้ไขวิธีหน่ึง เช่นเดียวกับการอุทธรณ์คําส่ังทางปกครอง ขณะเดียวกันการเพิกถอนและยกเลิกคําส่ังทางปกครองนับเป็นเหตุหนงึ่ ที่ทําให้คําส่ังทางปกครองสิ้น ผลลงตามมาตรา 42 วรรคสอง ท้งั นี้ เจา้ หนา้ ที่ผ้ทู ําคาํ ส่ังทางปกครองหรอื ผู้บังคบั บัญชาของเจ้าหน้าที่ ผู้น้ันอาจเพิกถอนคําส่ังทางปกครองท่ีไม่ชอบด้วยกฎหมายและยกเลิกคําสั่งทางปกครองท่ีชอบด้วย กฎหมายได้ตามหลักเกณฑ์ใน พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติฯ ไม่ว่าจะพ้นขั้นตอนการอุทธรณ์โต้แย้งคําส่ัง ทางปกครองมาแล้วหรือไม่กต็ าม โดยเจา้ หน้าทีผ่ ูท้ าํ คาํ สัง่ ทางปกครองหรอื ผบู้ งั คบั บญั ชามอี าํ นาจรเิ รม่ิ ดําเนินการเพกิ ถอนคาํ ส่งั ทางปกครองท่ไี ม่ชอบดว้ ยกฎหมายและยกเลิกคําส่ังทางปกครองท่ีชอบด้วย
กฎหมายไดเ้ องโดยไมจ่ าํ เปน็ ต้องมคี กู่ รณียืน่ คําขอตามมาตรา 49 วรรคหนง่ึ การเพิกถอนและยกเลิก คําสั่งทางปกครองจึงแตกต่างจากการอุทธรณ์คําสั่งทางปกครองและการขอให้พิจารณาใหม่ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะดําเนินการได้ก็ต้องเม่ือมีคู่กรณีย่ืนคําขอแล้วเท่าน้ัน แต่ท้ังนี้การเพิกถอนคําสั่ง ทางปกครองท่ีไม่ชอบด้วยกฎหมายและการยกเลิกคําส่ังทางปกครองท่ีชอบด้วยกฎหมายย่อมเป็น ดุลพนิ จิ ของเจ้าหน้าท่ีผทู้ าํ คาํ สง่ั ทางปกครองหรือผูบ้ ังคบั บัญชา 9.2 การเพิกถอนคําส่ังทางปกครองท่ีไม่ชอบด้วยกฎหมาย คําส่ังทางปกครองท่ีไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่คําสั่งทางปกครองนั้นย่อมมีผลในทางกฎหมาย เว้นแต่จะเป็นคําส่ังทางปกครองท่ีตกเป็นโมฆะ ด้วยเหตุน้ีคําสั่งทางปกครองท่ีไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ไม่ถึงขนาดตกเป็นโมฆะจึงมีผลผูกพันผู้รับคําสั่งให้ต้องปฏิบัติตามจนกว่าคําส่ังทางปกครองน้ัน จะสนิ้ ผลลง หลกั เกณฑ์กําหนดไว้ในมาตรา 49 ถงึ มาตรา 52 ดังนี้ 9.2.1 คาํ สงั่ ทางปกครองทเี่ ป็นการสรา้ งภาระ เจ้าหน้าที่อาจเพิกถอนท้ังหมดหรือแต่บางส่วนได้ โดยจะกําหนดให้มีผลย้อนหลัง หรือไม่ย้อนหลังหรือมีผลในอนาคตไปถึงขณะใดขณะหนึ่งก็ได้ตามมาตรา 50 ตอนต้น เจ้าหน้าท่ี สามารถเพิกถอนคาํ สัง่ ทางปกครองที่ไมชอบด้วยกฎหมายซงึ่ เป็นการสร้างภาระได้ตลอดเวลา โดยไม่ อยู่ในบังคับท่ีจะต้องเพิกถอนภายใน 90 วันนับแต่วันท่ีได้รู้ถึงเหตุท่ีจะให้เพิกถอนคําส่ังทางปกครอง นน้ั ตามมาตรา 49 วรรคสอง 9.2.2 คําส่งั ทางปกครองท่เี ปน็ การใหป้ ระโยชน์ จะตอ้ งปฏบิ ตั ิตามหลักเกณฑท์ ก่ี าํ หนดไว้ในมาตรา 51 และมาตรา 52 อยา่ งเครง่ ครัด 9.2.2.1 คําสั่งทางปกครองที่เป็นการให้เงินหรือทรัพย์สิน หรือประโยชน์ที่อาจ แบ่งแยกได้ ให้คํานึงถึงความเช่ือโดยสุจริตของผู้รับประโยชน์ในความคงอยู่ของคําส่ังทาง ปกครองนั้นกบั ประโยชน์สาธารณะประกอบกันตามมาตรา 51 วรรคหนึง่ โดยเจ้าหน้าท่ีต้องกระทํา ภายใน 90 วันนบั แตว่ นั ทไ่ี ด้รถู้ ึงเหตุทจ่ี ะใหเ้ พกิ ถอนคําสงั่ ทางปกครองนน้ั เว้นแต่คําส่ังทางปกครอง ดังกล่าวจะได้ทําข้ึนเพราะการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซ่ึงควรบอกให้แจ้ง หรือโดยการข่มขู่ หรือการชักจูงใจโดยการให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อ่ืนใดที่มิชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 49 วรรคสอง แต่ถ้าปรากฏว่าผู้รับคําสั่งทางปกครองสามารถอ้างความเช่ือโดยสุจริต ในความคงอยู่ของคําสั่งทางปกครองได้และความเชื่อโดยสุจริตน้ันสมควรได้รับความคุ้มครอง ตามมาตรา 51 วรรคสอง เจ้าหน้าท่ีย่อมไม่อาจเพิกถอนคําส่ังทางปกครองท่ีไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซงึ่ เปน็ การให้ประโยชนใ์ นลักษณะดงั กล่าวได้ ความเช่ือโดยสุจริตในความคงอยู่ของคําส่ังทางปกครอง จะได้รับความคุ้มครอง ก็ต่อเมอื่ ผู้รับคําสัง่ ดงั กล่าวไดใ้ ชป้ ระโยชน์อนั เกิดจากคําสั่งทางปกครองหรือได้ดําเนินการเก่ียวกับ
ทรัพย์สินไปแล้วโดยไม่อาจแก้ไขเปล่ียนแปลงได้หรือการเปล่ียนแปลงจะทําให้ผู้น้ันต้องเสียหาย เกินควรแกก่ รณีตามมาตรา 51 วรรคสอง และผู้รับคําส่งั จะอ้างความเชื่อโดยสุจริตในความคงอยู่ของ คาํ ส่ังทางปกครองไม่ได้ ถ้าปรากฏข้อเทจ็ จริงอย่างใดอยา่ งหนง่ึ ตามมาตรา 51 วรรคสาม ดงั ต่อไปน้ี ในกรณดี งั ต่อไปนี้ ผู้รับคําสั่งทางปกครองจะอา้ งความเชอ่ื โดยสุจรติ ไมไ่ ด้ (1) ผ้นู ้ันได้แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงซ่ึงควรบอกให้แจ้ง หรือ ขม่ ขู่ หรอื ชกั จงู ใจโดยการให้ทรัพยส์ นิ หรอื ให้ประโยชนอ์ ่นื ใดทมี่ ชิ อบดว้ ยกฎหมาย (2) ผ้นู ้ันไดใ้ หข้ ้อความซง่ึ ไมถ่ กู ต้องหรือไม่ครบถ้วนในสาระสําคัญ (3) ผู้นั้นได้รู้ถึงความไม่ชอบด้วยกฎหมายของคําสั่งทางปกครองในขณะได้รับ คาํ สง่ั ทางปกครองหรือการไม่รู้นัน้ เป็นไปโดยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ในกรณีท่ีเพิกถอนโดยให้มีผลย้อนหลัง การคืนเงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์ที่ผู้รับ คําสง่ั ทางปกครองไดไ้ ป ให้นาํ บทบัญญัติว่าด้วยลาภมิควรได้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาใชบ้ งั คบั โดยอนโุ ลม 9.2.2.2 คําสง่ั ทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายซ่ึงเป็นการให้ประโยชน์อย่างอื่น ท่ีมใิ ช่เงิน ทรัพยส์ ิน หรือประโยชนท์ ่อี าจแบง่ แยกได้ จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ท่ีกําหนดไว้ในมาตรา 52 ซึ่งให้นําหลักเกณฑ์ ในมาตรา 51 วรรคหนึ่ง ถึงวรรคสาม มาใช้บังคับโดยอนุโลมด้วย ดังน้ีการเพิกถอนคําสั่ง ทางปกครองท่ีไม่ชอบด้วยกฎหมายที่ซึ่งเป็นการให้ประโยชน์อย่างอื่นท่ีมิใช่เงิน ทรัพย์สิน หรือ ประโยชน์ที่ไม่อาจแบ่งแยกได้ จึงต้องคํานึงถึงความเช่ือโดยสจุ ริตของผู้รับประโยชน์ในความคงอยู่ ของคําสั่งทางปกครองนั้นกับประโยชน์สาธารณะประกอบกันตามมาตรา 52 วรรคหน่ึงประกอบ มาตรา 51 วรรคหนงึ่ ความเช่อื โดยสจุ รติ ของผรู้ บั คาํ สงั่ ในความคงอยู่ของคาํ สงั่ ทางปกครองจะไดร้ บั ความ คุ้มครองก็ต่อเม่ือผู้รับคําสั่งดังกล่าวได้ใช้ประโยชน์อันเกิดจากคําสั่งทางปกครองหรือได้ดําเนินการใด ๆ เก่ียวกับประโยชน์นั้นไปแล้วโดยไม่อาจแก้ไขเปล่ียนแปลงได้หรือการเปล่ียนแปลงจะทําให้ผู้นั้น ตอ้ งเสยี หายเกนิ ควรแก่กรณี ตามมาตรา 52 วรรคหน่ึง ประกอบมาตรา 51 วรรคสอง และผู้รับคําสั่ง จะอ้างความเชื่อโดยสุจริตในความคงอยู่ของคําสั่งทางปกครองไมได้ ถ้าปรากฏข้อเท็จจริงอย่างใด อยา่ งหนึ่งตามมาตรา 52 วรรคหน่งึ ประกอบมาตรา 51 วรรคสาม ดงั ต่อไปน้ี (1) ผู้น้ันได้แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง หรอื ขม่ ขู่ หรอื ชักจูงใจโดยการใหท้ รัพยส์ นิ หรอื ใหป้ ระโยชน์อนื่ ใดทมี่ ชิ อบดว้ ยกฎหมาย (2) ผูน้ ัน้ ไดใ้ ห้ขอ้ ความซ่งึ ไม่ถกู ต้องหรือไม่ครบถว้ นในสาระสาํ คัญ (3) ผนู้ ้ันได้รู้ถึงความไม่ชอบด้วยกฎหมายของคําสั่งทางปกครองในขณะได้รับคําส่ัง ทางปกครองหรอื การไมร่ ู้น้ันเป็นไปโดยความประมาทเลนิ เล่ออยา่ งร้ายแรง
กรณีท่ีเจ้าหน้าท่ีตัดสินใจเพิกถอนคําสั่งทางปกครองน้ี เจ้าหน้าท่ีต้องกระทํา ภายใน 90 วันนับแต่วันที่ได้รู้ถึงเหตุที่จะให้เพิกถอนคําส่ังทางปกครองน้ัน เว้นแต่คําส่ัง ทางปกครองดังกล่าวจะได้ทําข้ึนเพราะการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซ่ึงควร บอกให้แจ้ง หรือโดยการข่มขู่ หรือการชักจูงใจโดยการให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดท่ีมิชอบด้วย กฎหมาย ตามมาตรา 49 วรรคสอง ทั้งนี้ ผู้ได้รับผลกระทบจากการเพิกถอนคําส่ังทางปกครอง ดังกล่าวมีสิทธิได้รับค่าทดแทนความเสียหายเน่ืองจากความเชื่อโดยสุจริตในความคงอยู่ของคําส่ัง ทางปกครองได้ แต่ตอ้ งร้องขอคา่ ทดแทนภายใน 180 วนั นับแต่วนั ที่ได้รับแจ้งให้ทราบถึงการเพิกถอน น้ันตามมาตรา52 วรรคหน่ึง ซึ่งค่าทดแทนความเสยี หายดังกลา่ วจะต้องไม่สูงกว่าประโยชน์ที่ผู้น้ันอาจ ได้รับ หากคําสั่งทางปกครองดังกลา่ วไม่ถูกเพิกถอนตามมาตรา 52 วรรคสอง 9.3 การยกเลกิ คําส่ังทางปกครองทีช่ อบด้วยกฎหมาย มาตรา 53 เจ้าหน้าท่ีผู้ทําคําส่ังทางปกครองหรือผู้บังคับบัญชาสามารถยกเลิกคําสั่ง ทางปกครองที่ชอบด้วยกฎหมายให้สิ้นผลลงได้ตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดไว้ในมาตรา 53 ไม่ว่าคําสั่ง ทางปกครองน้ันจะเป็นคําสั่งท่ีให้ประโยชน์หรือสร้างภาระแก่ผู้รับคําส่ังก็ตามโดยมีหลักเกณฑ์ ดงั ต่อไปนี้ 9.3.1 ยกเลกิ คําส่งั ทางปกครองทีช่ อบด้วยกฎหมายซึง่ เปน็ การสรา้ งภาระ เจ้าหน้าท่ีอาจยกเลกิ ใหม้ ผี ลในปจั จบุ ันหรอื มผี ลในอนาคตไปถึงขณะใดขณะหน่ึงตามที่ กําหนดก็ได้ตามมาตรา 53 วรรคหน่ึง แต่จะยกเลิกให้มีผลย้อนหลังไปในอดีตดังเช่นการเพิกถอน คําส่ังทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ได้ ทั้งนี้ ในกรณีที่เจ้าหน้าที่เห็นว่าสภาพการณ์ ทางข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายเปล่ียนแปลงไป ภายหลังจากท่ีตนได้ออกคําสั่งทางปกครองที่ชอบ ดว้ ยกฎหมายซ่งึ เปน็ การสรา้ งภาระไปแล้ว เจ้าหน้าที่อาจยกเลิกคําสงั่ ทางปกครองนั้นได้ตลอดเวลา โดยไมอ่ ยใู่ นบังคับท่จี ะต้องยกเลกิ ภายใน 90 วันนับแต่วันที่ได้รู้ถึงเหตุท่ีจะยกเลิกคําสั่งนั้นตามมาตรา 49 วรรคสอง แต่ใหค้ ํานงึ ถงึ ประโยชน์ของบคุ คลภายนอกประกอบดว้ ย 9.3.2 ยกเลิกคําส่ังทางปกครองทีช่ อบดว้ ยกฎหมายซึ่งเป็นการใหป้ ระโยชน์ การยกเลิกต้องกระทําภายใน 90 วันนับแต่วันท่ีได้รู้ถึงเหตุท่ีจะยกเลิกคําส่ังน้ัน ตามมาตรา 49 วรรคสองและต้องตกอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ท่ีเคร่งครัดตามท่ีกําหนดไว้ในมาตรา 53 วรรคสอง ถึงวรรคห้า โดยแบง่ ออกเป็น 2 กรณีดงั นี้ 9.3.2.1 การยกเลิกให้มีผลในปจั จบุ ันหรอื อนาคต มาตรา 53 วรรคสอง คําสั่งทางปกครองที่ชอบด้วยกฎหมายซ่ึงเป็นการ ให้ประโยชนแ์ ก่ผู้รับคําสั่งทางปกครองอาจถกู ยกเลิกท้งั หมดหรอื บางส่วนโดยให้มีผลต้ังแต่ขณะท่ียกเลิก หรอื มีผลในอนาคตไปถึงขณะใดขณะหนึง่ ตามท่กี าํ หนดได้ เฉพาะเมอ่ื มกี รณีดังต่อไปน้ี (1) มีกฎหมายกําหนดให้เพิกถอนได้หรือมีข้อสงวนสิทธิให้เพิกถอนได้ ในคําสั่งทางปกครองน้นั เอง
(2) คําสงั่ ทางปกครองนั้นมีข้อกําหนดให้ผู้รับประโยชน์ต้องปฏิบัติ แต่ไม่มีการ ปฏบิ ัติภายในเวลาทีก่ าํ หนด (3) ข้อเท็จจริงและพฤติการณ์เปล่ียนแปลงไป ซ่ึงหากมีข้อเท็จจริงและ พฤติการณ์เช่นน้ีในขณะทําคําส่ังทางปกครองแล้วเจ้าหน้าที่คงจะไม่ทําคําส่ังทางปกครองน้ัน และ หากไม่เพิกถอนจะก่อใหเ้ กิดความเสยี หายตอ่ ประโยชนส์ าธารณะได้ (4) บทกฎหมายเปล่ียนแปลงไป ซ่ึงหากมีบทกฎหมายเช่นนี้ในขณะทําคําสั่ง ทางปกครองแล้วเจ้าหน้าที่คงจะไม่ทําคําสั่งทางปกครองนั้น แต่การเพิกถอนในกรณีน้ีให้กระทําได้ เทา่ ท่ผี รู้ บั ประโยชน์ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ หรอื ยงั ไม่ไดร้ บั ประโยชน์ตามคําส่ังทางปกครองดังกล่าว และ หากไม่เพกิ ถอนจะกอ่ ใหเ้ กดิ ความเสยี หายต่อประโยชนส์ าธารณะได้ (5) อาจเกิดความเสียหายอย่างรา้ ยแรงต่อประโยชน์สาธารณะหรือ ต่อประชาชนอันจาํ เปน็ ต้องปอ้ งกันหรอื ขจัดเหตดุ ังกล่าว ในกรณีท่ีมีการยกเลิกคําส่ังทางปกครองท่ีชอบด้วยกฎหมายซึ่งเป็นการ ให้ประโยชน์ด้วยเหตุตามมาตรา 53 วรรคสอง (3) (4) และ (5) ผู้ได้รับประโยชน์มีสิทธิได้รับ ค่าทดแทนความเสียหายอันเกิดจากความเชื่อโดยสุจริตในความคงอยู่ของคําส่ังทางปกครองได้ ตามมาตรา 53 วรรคสาม แต่ต้องร้องขอค่าทดแทนภายใน 180 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งให้ทราบ ถงึ การยกเลิกนั้น โดยค่าทดแทนความเสียหายดังกล่าวจะต้องไม่สูงกว่าประโยชน์ท่ีผู้น้ันอาจได้รับ หากคําสั่งทางปกครองดงั กล่าวไมถ่ ูกยกเลกิ ตามมาตรา 53 วรรคสามประกอบมาตรา 52 9.3.2.2 การยกเลกิ ให้มีผลย้อนหลงั โดยหลัก เจ้าหน้าทีจ่ ะยกเลกิ ให้มผี ลย้อนหลังไปในอดีตดังเช่นการเพิกถอนคําส่ัง ทางปกครองไม่ได้ แตอ่ ย่างไรก็ดี ในกรณีท่ีคําส่ังทางปกครองท่ีชอบด้วยกฎหมายซึ่งเป็นการให้ประโยชน์ ข้างต้นเป็นคําสั่งทางปกครองที่เป็นการให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์ที่อาจแบ่งแยกได้ เจ้าหน้าท่ี สามารถยกเลิกให้มีผลย้อนหลังไปในอดีตได้ หากเข้าเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่กําหนดไว้ใน มาตรา 53 วรรคสี่ อนั ได้แก่ (1) มิได้ปฏิบัติหรือปฏิบัติล่าช้าในอันที่จะดําเนินการให้เป็นไปตาม วตั ถุประสงคข์ องคําส่ังทางปกครอง (2) ผู้ได้รับประโยชน์มิได้ปฏิบัติหรือปฏิบัติล่าช้าในอันท่ีจะดําเนินการ ใหเ้ ป็นไปตามเงื่อนไขของคาํ สั่งทางปกครอง ในกรณที ่ีเจา้ หนา้ ท่ยี กเลกิ คําสง่ั ทางปกครองดงั กล่าวใหม้ ผี ลย้อนหลัง การคืนเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์ที่ผู้รับคําสั่งทางปกครองได้ไป ให้นําบทบัญญัติว่าด้วยลาภมิควรได้ใน ป.พ.พ. มาใชบ้ งั คบั โดยอนโุ ลมตามมาตรา 53 วรรคหา้ ประกอบมาตรา 51 วรรคส่ี
10. การขอให้พจิ ารณาใหม่ 10.1 ข้อพิจารณาเบ้ืองตน้ การขอให้พิจารณาใหม่จะคล้ายกับการอุทธรณ์คําส่ังทางปกครองตรงที่เจ้าหน้าท่ีจะมี อํานาจทบทวนคําสั่งทางปกครองได้ก็ต่อเม่ือคู่กรณีมีคําขอแล้วเท่านั้น เพียงแต่การขอให้พิจารณา ใหม่จะเกิดขึ้นภายหลังจากล่วงพ้นกําหนดอุทธรณ์ไปแล้วหรือเป็นกรณีที่ไม่อาจอุทธรณ์ต่อไปได้ โดยเป็นช่องทางหน่ึงที่คู่กรณีอาจร้องขอให้เจ้าหน้าที่พิจารณาทบทวนคําส่ังทางปกครองนั้นใหม่อีก คร้ังหนง่ึ ในประเดน็ ทีไ่ ด้เคยวินจิ ฉยั ไวแ้ ล้วเพอ่ื ใหเ้ กดิ ความมนั่ คงแนน่ อนแหง่ สิทธิ 10.2 หลกั เกณฑ์ในการขอใหพ้ จิ ารณาใหม่ การทบทวนคําส่ังทางปกครองภายหลังจากล่วงพ้นกําหนดอุทธรณ์ไปแล้ว จําเป็นต้องมี หลักเกณฑ์ท่ีเคร่งครัดกว่าการอุทธรณ์คําส่ังทางปกครอง เฉพาะในกรณีดังต่อไปนี้ ตามมาตรา 54 วรรคหน่งึ แหง่ พ.ร.บ.วธิ ีปฏิบัติฯ (1) มีพยานหลักฐานใหม่ อันอาจทําให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วน้ันเปล่ียนแปลงไป ในสาระสําคัญ (2) คู่กรณีที่แท้จริงมิได้เข้ามาในกระบวนการพิจารณาทางปกครองหรือได้เข้ามา ในกระบวนการพิจารณาครง้ั ก่อนแลว้ แต่ถูกตดั โอกาสโดยไม่เปน็ ธรรมในการมีส่วนร่วมในกระบวนการ พจิ ารณาทางปกครอง (3) เจ้าหนา้ ที่ไม่มีอาํ นาจทจ่ี ะทาํ คําสั่งทางปกครองในเรอื่ งน้ัน (4) ถ้าคําสั่งทางปกครองได้ออกโดยอาศัยข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายใดและต่อมา ขอ้ เทจ็ จรงิ หรือข้อกฎหมายนน้ั เปลย่ี นแปลงไปในสาระสําคัญในทางท่จี ะเป็นประโยชน์แกค่ ู่กรณี แต่ทั้งน้ี การย่ืนคาํ ขอให้พิจารณาใหม่เพราะเหตุตาม (1) (2) หรอื (3) ให้กระทําได้เฉพาะ เม่ือคู่กรณีไม่อาจทราบถงึ เหตุนั้นในการพิจารณาครั้งที่แล้วมาก่อนโดยมิใช่ความผิดของตนตาม มาตรา 54 วรรคสอง นอกจากนี้ การย่ืนคําขอให้พิจารณาใหม่ต้องกระทําภายใน 90 วันนับแต่วันท่ี คู่กรณีได้รู้ถงึ เหตซุ งึ่ อาจขอใหพ้ ิจารณาใหม่ไดต้ ามมาตรา 54 วรรคสาม โดยต้องยื่นคําขอต่อเจ้าหน้าท่ี ผทู้ ําคาํ สัง่ ทางปกครอง 11. การบังคบั ทางปกครอง 11.1 ขอ้ พจิ ารณาเบอ้ื งตน้ โดยท่ัวไปการบังคับทางปกครองเป็นข้ันตอนสุดท้ายในกระบวนการพิจารณา ทางปกครองที่ใช้บังคับแก่ผู้อยู่ในบังคับของคําส่ังทางปกครองซ่ึงฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคําสั่ง ทางปกครอง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง (ฉบับท่ี 3) พ.ศ. 2562 เพิ่มเรื่องการบังคับ ทางปกครอง หมวด 2/1 มาตรา 63/1 ถึงมาตรา 63/25 การบงั คบั ทางปกครองตามทแ่ี ก้ไขเพ่ิมเติม ยังคงหลักเกณฑ์การบังคับทางปกครองเดิมหลายประการ เพียงแต่มีรายละเอียดวิธีปฏิบัติและ
ระยะเวลาในการบังคับทางปกครองที่ชัดเจนและให้อํานาจแก่เจ้าหน้าท่ีเพิ่มข้ึน เพื่อให้การบังคับ ทางปกครองเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ท้ังนี้ เจ้าหนา้ ที่จะต้องใช้มาตรการบังคับทางปกครองเพียง เท่าที่จําเป็นเพ่ือให้บรรลุวัตถุประสงค์ของคําส่ังทางปกครอง โดยให้มีผลกระทบต่อผู้อยู่ในบังคับ ของคําสั่งทางปกครองน้อยท่ีสุด ตามมาตรา 63/2 วรรคสาม และโดยเหตุท่ีการบังคับทางปกครอง เป็นการกระทําที่มีผลกระทบถึงสิทธิและเสรีภาพของผู้อยู่ในบังคับของคําส่ังทางปกครอง ฉะน้ัน เจ้าหนา้ ทจ่ี งึ ใช้มาตรการบังคับทางปกครองได้ต่อเมือมีกฎหมายให้อํานาจไว้อย่างชัดเจน ถ้ากฎหมาย ใดกําหนดมาตรการบังคับทางปกครองไวโ้ ดยเฉพาะแล้ว ให้เจ้าหน้าที่ ใช้มาตรการบังคับทางปกครอง ตามกฎหมายเฉพาะน้นั แตห่ ากเจ้าหนา้ ทเี่ ห็นว่ามาตรการบังคับน้ันจะเกิดผลน้อยกว่ามาตรการที่กําหนด ใน พ.ร.บ.วธิ ปี ฏบิ ตั ิฯ เจ้าหน้าที่จะใช้มาตรราการบังคับทางปกครองที่กําหนดไว้ใน พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติฯ แทนก็ได้ตามมาตร 63/3 อันแสดงให้เห็นว่าการบังคับทางปกครองตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติฯ มีลักษณะ เป็นมาตรฐานกลางของการบังคับทางปกครองในลักษณะเดียวกับที่ พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติฯ มีสถานะ เปน็ กฎหมายกลางเกี่ยวกบั คําสง่ั ทางปกครอง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติฯ ฉบับท่ี 3 ประกาศใช้เม่ือวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 มีข้อสังเกตการณ์ ใชบ้ งั คบั ดังน้ี 1) การบังคับทางปกครองตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติฯ ฉบับท่ี 3 มีผลใช้บังคับตั้งแต่ วันท่ี 28 พฤษภาคม 2562 เป็นต้นไป เว้นแต่การบังคับโดยเจ้าพนักงานบังคับคดีตามมาตรา 63/15 ถงึ มาตรา 63/19 ให้มผี ลใชบ้ งั คบั ต้ังแตว่ นั ที่ 23 พฤศจกิ ายน 2562 เปน็ ต้นไป 2) การบงั คับตาม พ.ร.บ.วธิ ีปฏิบตั ฯิ ฉบบั ท่ี 3 มใิ หใ้ ช้บงั คับกบั กรณีที่ศาลได้มีคําพิพากษา หรือรับฟ้องคดีไว้แล้ว กล่าวคือ มิให้ใช้บังคับกับการบังคับตามคําสั่งทางปกครองท่ีกําหนดให้ชําระ เงินหรือให้กระทําการหรือละเว้นการะทําในกรณีท่ีหน่วยงานของรัฐได้ฟ้องคดีต่อศาลและศาลได้มี คําพิพากษาให้ชําระเงินหรือให้กระทําหรือละเว้นกระทําแล้วตามมาตรา 63/6 วรรคหนึ่ง ส่วนการ บังคับตามคําส่ังทางปกครองท่ีกําหนดให้ชําระเงินหรือให้กระทําการหรือละเว้นกระทําในกรณี ท่ีหน่วยงานของรัฐได้ฟ้องคดีต่อศาลและศาลได้รับฟ้องไว้แล้ว ห้ามมิให้เจ้าหน้าท่ีดําเนินการ ตามมาตรา 63/7 ถึงมาตรา 63/25 เวน้ แตจ่ ะได้มกี ารถอนฟอ้ งหรือศาลมีคําสั่งจําหน่ายคดีจากสา รบบความเพราะเหตุอื่น ท้ังน้ีไม่กระทบต่อการดําเนินการตามมาตรการบังคับทางปกครอง ท่ีเจ้าหน้าท่ีได้ดําเนินการไปก่อนท่ีศาลได้รับฟ้องและให้เจ้าหน้าที่ดําเนินการตามมาตราบังคับ ทางปกครองในสว่ นนน้ั ต่อไปจนแล้วเสร็จตามมาตรา 63/6 วรรคสอง 3) ในกรณีที่คําสั่งทางปกครองที่กําหนดให้ชําระเงินใดเป็นที่สุดแล้วเป็นเวลาเกิน 1 ปี ในวันท่ี พ.ร.บ.วิธีปฏิบตั ิฯ ฉบบั ท่ี 3 ใชบ้ งั คับ ให้หน่วยงานของรัฐที่ออกคําสั่งน้ันดําเนินการบงั คับ ทางปกครองตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติฯ ซ่ึงแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติฯ ฉบับท่ี 3 ต่อไป โดยจะ ดําเนนิ การตามมาตรา 63/15 ไดต้ อ่ เมื่อเป็นคําสงั่ ทางปกครองท่ีกาํ หนดให้ชําระเงนิ ซ่ึงมีลกั ษณะตามที่ กําหนดในกฎกระทรวงตาม พ.ร.บ.วิธีปฏบิ ัตฯิ ฉบับท่ี 3 มาตรา 6 ดงั นนั้
1) คําส่ังทางปกครองท่ีกําหนดให้ชําระเงินซึ่งถึงที่สุดภายในวันท่ี 28 พฤษภาคม 2561 หน่วยงานของรัฐท่ีออกคําสั่งนั้นต้องดําเนินการบังคับทางปกครองเองต่อไปตามบทบัญญัติที่แก้ไข เพ่ิมเติม โดย พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติฯ ฉบับที่ 3 เฉพาะส่วนท่ีเป็นบทท่ัวไปและการบังคับทางปกครอง ทก่ี ําหนดใหช้ าํ ระเงิน โดยเจ้าหนา้ ท่ีหน่วยงานของรฐั ตามมาตร 63/1 ถงึ มาตรา 63/14 2) หากเป็นคําสั่งทางปกครองที่กําหนดให้ชําระเงินซ่ึงมีลักษณะตามที่กําหนด ในกฎกระทรวงซึ่งถึงที่สุดภายในวันที่ 28 พฤษภาคม 2561 หรือคําสั่งทางปกครองที่กําหนดให้ ชําระเงนิ ซงึ่ ถึงที่สุดหลงั วันที่ 28 พฤษภาคม 2561 หน่วยงานของรัฐที่ออกคําส่ังน้ันจะขอให้ทําการ บังคับโดยเจ้าพนักงานบังคับคดีตามมาตรา 63/15 ก็ได้ โดยสามารถดําเนินการได้ตั้งแต่วันท่ี 23 พฤศจิกายน 2562 เป็นต้นไป เนื่องจากการบังคับโดยเจ้าพนักงานบังคับคดีตามมาตรา 63/15 ถึงมาตรา 63/19 มีผลใช้บังคับต้ังแต่วันที่ 23 พฤศจิกายน 2562 ตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติฯ ฉบับท่ี 3 มาตรา 2 3) บรรดาคดีเก่ียวกับการโต้แย้งการใช้มาตรการบังคับทางปกครองซึ่งค้างพิจารณา อยู่ในศาลใดในวันที่ 28 พฤษภาคม 2562 ให้ศาลน้ันดําเนินกระบวนพิจารณาและมีคําพิพากษา ตอ่ ไปจนคดนี ัน้ ถึงที่สุดตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบตั ิฯ ฉบบั ท่ี 3 มาตรา 7 4) บรรดากฎหรือคาํ สั่งใด ๆ ที่ได้ออกโดยอาศยั อํานาจตามความใน พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติ ฯ ที่ใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่ 28 พฤษภาคม 2562 ให้ยังคงใช้บังคับต่อไปได้เพียงเท่าท่ีไม่ขัด หรือแย้งกับ พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติฯ ซึ่งแก้ไขเพ่ิมเติมโดย พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติฯ ฉบับท่ี 3 จนกว่าจะมีกฎหรือ คําสั่งใด ๆ ท่ีออกตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติฯ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติฯ ฉบับท่ี 3 ใช้บังคับ ตาม พ.ร.บ.วธิ ปี ฏบิ ัติฯ ฉบบั ที่ 3 มาตรา 9 11.2 หลักเกณฑ์ทัว่ ไปของการบงั คับทางปกครอง 11.2.1 การบังคับทางปกครองใช้กับคําสั่งทางปกครอง (ไม่อาจนําไปใช้กับสัญญา ทางปกครองได)้ 11.2.2 เจา้ หนา้ ท่สี ามารถใช้มาตรการบงั คบั ทางปกครองได้เอง เจ้าหน้าท่ีผู้ทําคําส่ังทางปกครองมีอํานาจใช้มาตรการบังคับทางปกครองเพื่อ ให้เป็นไปตามคําส่ังของตนได้เองโดยไม่ต้องฟ้องคดีต่อศาล เว้นแต่จะมีการส่ังให้ทุเลาการบังคับ ไวก้ ่อน โดยเจ้าหนา้ ทผ่ี ู้ทําคําสง่ั นน้ั เอง ผมู้ ีอาํ นาจพิจารณาคําอุทธรณ์ หรือผู้มีอํานาจพิจารณาวินิจฉัย ความถูกต้องของคาํ สัง่ ทางปกครองดงั กลา่ วตามมาตรา 63/2 วรรคหนง่ึ หลักการน้ีนับเปน็ “เอกสิทธ์ิ ของฝ่ายปกครอง” ประการหน่ึง อันมีผลให้การใช้อํานาจของเจ้าหน้าท่ีแตกต่างจากเอกชนทั่วไป เพราะเอกชนไม่อาจบังคับการตามสิทธิได้ด้วยตนเอง แต่ต้องฟ้องคดีต่อศาลเพ่ือบังคับการให้ตน เม่ือเจ้าหน้าท่ีผู้ทําคําส่ังทางปกครองสามารถใช้มาตรการบังคับทางปกครองเพื่อให้เป็นไปตามคําสั่ง ของตนเองได้เองแล้ว หากเจ้าหน้าท่ีผู้นั้นไม่ยอมใช้มาตรการบังคับทางปกครองดังกล่าวแต่กลับ นําคําสั่งทางปกครองมาฟ้องคดีต่อศาลเพื่อบังคับการให้เป็นไปตามคําสั่งนั้น เช่นนี้ศาลจะมีคําสั่ง
ไม่รับคําฟ้องไว้พิจารณา เพราะเป็นกรณีที่เจ้าหน้าท่ีผู้น้ันสามารถแก้ไขความเดือดร้อนเสียหาย ของตนได้เองโดยไม่ต้องมีคําบังคับของศาล เจ้าหน้าท่ีผู้นั้นจึงไม่มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลแต่อย่างได เวน้ แต่คําสงั่ เรียกให้เจ้าหน้าที่ผู้ทําละเมิดชําระค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ.ความรับ ผิดทางละเมิดฯ ซึ่งศาลปกครองสูงสุดวางหลักว่ามาตรการบังคับทางปกครองตามมาตรา 57 แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติฯ เป็นมาตรการหน่ึงเพ่ือให้ได้รับชําระเงินครบถ้วน หากหน่วยงานของรัฐยังมี ข้อขัดข้องในการบังคับใช้กฎหมายในส่วนท่ีเก่ียวกับการบังคับทางปกครองก็ไม่ตัดสิทธิหน่วยงาน ของรฐั แหง่ น้นั จะใช้สิทธทิ างศาล ข้อสังเกต เจ้าหน้าท่ีผู้ทําคําส่ังทางปกครองมีอํานาจมอบอํานาจให้เจ้าหน้าท่ีซ่ึงอยู่ ใตบ้ ังคับบัญชาหรือเจ้าหน้าท่อี ืน่ เปน็ ผูพ้ จิ ารณาใช้มาตรการบังคับทางปกครองก็ได้ตามหลักเกณฑ์ และวิธกี ารทก่ี าํ หนดในกฎกระทรวงตามมาตรา 63/2 วรรคสอง 11.2.3 การบงั คบั ทางปกครองไมใ่ ช้กบั หนว่ ยงานของรัฐดว้ ยกัน เว้นแต่จะมีกฎหมายกําหนดไว้เป็นอย่างอ่ืน เน่ืองจากความสัมพันธ์ระหว่าง หน่วยงานของรัฐด้วยกันได้มีกฎหมายกําหนดสิทธิและหน้าที่ไว้เป็นการเฉพาะแล้ว ระเบียบสาํ นัก นายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพิจารณาชี้ขาดการยุติข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐและ การดําเนินคดี พ.ศ. 2561 ที่ให้อัยการสูงสุด มีอํานาจวินิจฉัยเก่ียวกับความรับผิดตามข้อเรียกร้อง ในขอ้ พพิ าทระหวา่ งหนว่ ยงานของรฐั หากไมป่ รากฏว่าคู่กรณีทกุ ฝ่ายเห็นพอ้ งกับคําวินิจฉัยของอัยการ สงู สดุ หรอื ค่กู รณฝี า่ ยหนงึ่ ฝ่ายใดไดแ้ สดงเหตุผลโตแ้ ยง้ คําวินิจฉัยของอัยการสูงสุด ให้สํานักงานอัยการ สูงสุดเสนอข้อพิพาทดังกล่าวต่อคณะกรรมการพิจารณาช้ีขาดการยุติข้อพิพาทระหว่างหน่วยงาน ของรฐั และการดําเนินคดี เมื่อคณะกรรมการฯ ได้พิจารณาข้อพิพาทของคู่กรณีและมีคําวินิจฉัยชี้ขาด เป็นประการใดแล้วให้คําวินิจฉัยชี้ขาดเป็นที่สุด หากคู่กรณีฝ่ายที่ต้องรับผิดไม่ปฏิบัติ ตามคําวินิจฉัยช้ีขาดของคณะกรรมการฯ ให้ประธานกรรมการมีหนังสือถึงรัฐมนตรีเจ้าสังกัดหรือ ผู้มีอํานาจกํากับหรือควบคุมดูแลหน่วยงานของรัฐแห่งน้ันเพ่ือแจ้งให้คู่กรณีฝ่ายท่ีต้องรับผิดปฏิบัติ ตามคําวินิจฉัยช้ีขาดดังกล่าว และหากยังคงเพิกเฉยอยู่อีกให้ประธานกรรมการเสนอเร่ืองต่อ นายรฐั มนตรีเพ่ือพิจารณาสั่งการตามที่เห็นสมควรต่อไป การปฏิบัติตามระเบียบฯ ดังกล่าวมีลกั ษณะ เปน็ การใช้อาํ นาจของผบู้ งั คบั บัญชาหรือกาํ กับดูและหน่วยงานของรัฐยอ่ มบรรลุวัตถุประสงค์ของคําสงั่ ทางปกครองโดยไม่จาํ ต้องใชม้ าตรการบงั คบั ทางปกครอง อย่างไรก็ตาม การบังคับทางปกครองไม่ใช่กับหน่วยงานของรัฐด้วยกับเท่านั้น แต่สามารถใช้มาตรการบังคับทางปกครองกับเจ้าหน้าที่ได้ โดยเฉพาะกรณีท่ีเจ้าหน้าที่กระทํา ละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐในการปฏิบัติหน้าท่ีโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อย่างร้ายแรง ทาํ ให้เจา้ หนา้ ทผ่ี ้นู ้นั ต้องรับผิดชอบชดใชค้ า่ สนิ ไหมทดแทนเปน็ การส่วนตัวในฐานเอกชนคนหน่ึง 11.2.4 การบังคับทางปกครองต้องใช้โดยคํานึกถึงสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ภายใตห้ ลักเกณฑด์ งั ต่อไปน้ี
11.2.4.1 การบงั คบั ทางปกครองตอ้ งใช้เทา่ ท่จี ําเป็น เพ่ือให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของคําส่ังทางปกครอง โดยให้ กระทบกระเทอื นตอ่ สิทธแิ ละเสรภี าพของผู้อยู่ในบังคับของคําส่ังทางปกครองน้อยที่สุดตามมาตรา 63/2 วรรคสาม หลักการดังกล่าวบังคับให้เจ้าหน้าที่ใช้มาตรการบังคับทางปกครองให้สอดคล้องกับ หลกั ความไดส้ ดั สว่ น 11.2.4.2 การบังคับทางปกครองตอ้ งมีการเตอื นก่อนเสมอ เจ้าหน้าท่ีต้องมีคําเตือนเป็นหนังสือให้ผู้น้ันปฏิบัติตามคําสั่งทางปกครอง ภายในระยะเวลาที่กําหนดตามหลักเกณฑ์ในมาตรา 63/7 หากเป็นคําสั่งทางปกครองท่ีกําหนด ใหช้ ําระเงิน และมาตรา 63/22 หากเปน็ คําส่ังทางปกครองที่กําหนดให้กระทําการหรอื ละเว้นกระทํา การ ทั้งน้ีเพื่อประกันสิทธิและเสรีภาพของผู้อยู่ในบังคับของคําส่ังทาปกครองท่ีอาจถูกกระทบ จากการใช้มาตรการบังคบั ทางปกครอง เมอ่ื ผ้อู ยู่ในบงั คบั ของคําสั่งทางปกครองไม่ปฏิบัติตามคําเตือน เจ้าหน้าที่จึงจะใชม้ าตรการบงั คับทางปกครองได้ 11.2.4.3 การบงั คับทางปกครองต้องมีความแน่นอนชัดเจน เพ่ือให้ผู้อยู่ในบังคับของคําสั่งทางปกครองสามารถปฏิบัติตามคําเตือน ไดอ้ ย่างถกู ต้อง และไดท้ ราบลว่ งหน้าว่าหาตนไมป่ ฏิบตั ติ ามคําเตอื น เจ้าหน้าท่ีจะใช้มาตรการบงั คับ ทางปกครองในลกั ษณะใดเข้าดาํ เนินการกบั ตน ทัง้ น้ี ในกรณีท่ีเป็นคําสั่งทางปกครองทีกําหนดให้ชําระเงิน เจ้าหน้าที่ต้องระบุจํานวนเงินที่ผู้น้ันต้องชําระไว้ในคําเตือน ถ้าผู้นั้นไม่ปฏิบัติตามคําเตือน เจ้าหน้าท่ี จะต้องใช้มาตรการบังคับทางปกครอง โดยยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้นั้นและขายทอดตลาด เพือ่ ชําระเงินใหค้ รบถว้ นตามมาตรา 63/7 สว่ นในกรณีท่ีเป็นคําสั่งทางปกครองท่ีกําหนดให้กระทําหรือ ละเว้นกระทํา เจ้าหน้าที่ต้องระบุมาตรการบังคับทางปกครองท่ีจะใช้ให้ชัดเจนไว้ในคําเตือน แต่จะ ระบุมากกว่าหน่ึงมาตรการในคราวเดียวกันไม่ได้ และต้องระบุค่าใช้จ่ายและเงินเพ่ิมรายวันหรือ ค่าปรับบังคับการไว้ในคําเตือนด้วยตามมาตรา 63/22 วรรคสอง ถ้าผู้น้ันไม่ปฏิบัติตามคําเตือน เจ้าหน้าที่จะต้องใช้มาตรการบังคับทางปกครองตามที่กําหนดไว้ในคําเตือนเท่านั้น และการ เปล่ียนแปลงมาตรการจะกระทําได้ต่อเมื่อปรากฏว่ามาตรการที่กําหนดไว้ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ ตามมาตรา 63/23 วรรคหน่งึ 11.2.4.4 การบงั คับทางปกครองตอ้ งถูกโต้แย้งได้ ต้องเปิดโอกาสให้ผู้ถกู ดําเนนิ การบงั คับทางปกครองสามารถโตแ้ ย้งความ ไม่ชอบด้วยกฎหมายของการบังคับทางปกครองได้ด้วย ในกรณีท่ีมิได้มีกฎหมายกําหนดไว้เป็นอย่างอ่ืน หากผู้อยู่ในบังคับของมาตรการบังคับทางปกครองไม่เห็นด้วยกับมาตรการบังคับทางปกครองนั้น กม็ สี ิทธอิ ทุ ธรณ์การใช้มาตรการบังคบั ทางปกครองได้ ตามมาตร 63/5 วรรคหนงึ่ 11.2.4.5 สามารถบังคับทางปกครองได้แม้ผู้อยู่ในบังคับของมาตรการ บังคับทางปกครองถงึ แกค่ วามตายหรอื ส้ินสภาพบุคคล
บุคคลนั้นมีทายาทผู้รับมรดกหรือผู้จัดการมรดก ให้ถือว่าทายาทผู้รับ มรดกหรือผู้จัดการมรดกเป็นผู้อยู่ในบังคับของมาตรการบังคับทางปกครองน้ันตามมาตร 63/4 วรรค หน่ึง โดยให้แจ้งมาตรการบังคับทางปกครองไปยังทายาทผู้รับมรดกหรือผู้จัดการมรดก แล้วแต่กรณี อย่างไรก็ตามเพ่ือคุ้มครองสิทธิในการอุทธรณ์การใช้มาตรการบังคับทางปกครองในด้านระยะเวลา อุทธรณ์ บทบัญญัติมาตรา 63/4 วรรคสองจึงกําหนดให้ระยะเวลาอุทธรณ์การใช้มาตรการบังคับ ทางปกครองเร่ิมนับใหม่ต้ังแต่วันท่ีทายาทผู้รับมรดกหรือผู้จัดการมรดกได้รับแจ้งมาตรการ ทางปกครองเมือ่ ปรากฏวา่ (1) ผู้อยู่ในบังคับของมาตรการบังคับทางปกครองตายก่อนสิ้นสุดระยะเวลา อทุ ธรณ์การใชม้ าตรการบังคับทางปกครองและไม่ได้ยน่ื อทุ ธรณก์ ารใชม้ าตรการบังคบั ทางปกครอง หรือ (2) ผู้อยู่ในบงั คับของมาตรการบังคับทางปกครองตายหลังส้ินสุดระยะเวลา อุทธรณ์การ ใชม้ าตรการบังคับทางปกครองและไมไ่ ด้ยนื่ อทุ ธรณ์การใชม้ าตรการบังคบั ทางปกครอง เนือ่ งจากมีพฤติการณ์ทจี่ าํ เป็นอันมไิ ด้เกิดจากความผดิ ของผู้นั้น กรณกี ารใช้มาตรการบงั คับทางปกครองแก่นติ ิบคุ คล หากนิติบคุ คลนั้นส้นิ สภาพ โอนกิจการ หรือควบรวมกจิ การ ใหด้ ําเนนิ การบังคับทางปกครองตอ่ ไปได้ โดยให้แจ้งมาตรการบังคับ ทางปกครองไปยังผู้ชําระบัญชี หรือนิติบุคคลที่รับโอนกิจการหรือเกิดจากการควบรวมกิจการ แล้วแต่กรณี ทั้งน้ี โดยไม่จําต้องออกคําส่ังทางปกครองใหม่ แก่บุคคลหรือนิติบุคคลดังกล่าอีก และ ให้นําหลักเกณฑ์เรื่องระยะเวลาในการอุทธรณ์ตามาตรา 63/4 วรรคสอง มาใช้บังคับโดยอนุโลม ตามมาตรา 63/4 วรรคสาม กลา่ วคือ ใหร้ ะยะเวลาอุทธรณ์การใช้มาตรการบังคับทางปกครองเร่ิมนับ ใหม่ต้ังแต่วันท่ีผู้ชําระบัญชี หรือนิติบุคคลที่รับโอนกิจการหรือเกิดจากการควบรวมกิจการได้รับแจ้ง มาตรการบงั คับทางปกครอง เมื่อปรากฏวา่ (1) นิติบุคคลผู้อยู่ในบังคับของมาตรการบังคับทางปกครองสินสภาพ โอนกิจการ หรือควบรวมกิจการ ก่อนสิ้นสุดระยะเวลาอุทธรณ์การ ใช้มาตรการบังคับทางปกครอง และไม่ไดย้ ื่นอุทธรณ์การใช้มาตรการบังคับทางปกครอง หรือ (2) ผู้นิติบุคคลผู้อยู่ในบังคับของมาตรการบังคับทางปกครองสินสภาพ โอน กิจการ หรือควบรวมกิจการ หลังสิ้นสุดระยะเวลาอุทธรณ์การ ใช้มาตรการบังคับทางปกครองและ ไม่ได้ย่ืนอุทธรณ์การใช้มาตรการบังคับทางปกครอง เนื่องจากมีพฤติการณ์ที่จําเป็นอันมิได้เกิดจาก ความผดิ ของผู้น้นั 11.3 หลกั เกณฑเ์ ฉพาะของการบงั คับทางปกครอง แบง่ ได้ 2 ประเภท 11.3.1 การบังคบั ทางปกครองของคําสงั่ ทางปกครองทก่ี ําหนดให้ชาํ ระเงนิ ถ้าผู้อยู่ในบังคับของคําสั่งทางปกครองฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคําส่ังทางปกครองนั้น เจ้าหน้าท่สี ามารถดาํ เนินการบังคบั ทางปกครองได้ 2 วิธี ดังน้ี
11.3.1.1 การบังคับโดยเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐ มีขั้นตอน ระยะเวลา และอํานาจหนา้ ทข่ี องเจา้ หนา้ ท่ี ดังน้ี 1) คาํ เตอื นก่อนการใชม้ าตรการบงั คับทางปกครอง ให้เจ้าหน้าที่ผู้ทําคําส่ังทางปกครองมีหนังสือเตือนให้ผู้นั้นชําระเงินภายใน ระยะเวลาท่ีกําหนด แต่ต้องไม่น้อยกว่า 7 วัน ถ้าไม่มีการปฏิบัติตามคําเตือน เจ้าหน้าท่ีอาจใช้ มาตรการบังคับทางปกครองโดยการยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้นั้นและขายทอดตลาดเพื่อชําระเงิน ให้ครบถ้วนไดต้ ามมาตรา 63/7 วรรคหน่ึง 2) การใช้มาตรการบังคับทางปกครองโดยวิธีการยึดหรืออายัดทรัพย์สินและ ขายทอดตลาด ให้แต่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับทางปกครองเพ่ือดําเนินการยึดหรืออายัด ทรัพย์สินและขายทอดตลาดตามมาตรา 63/7 วรรคสอง สําหรับข้ันตอนและวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับ การยึด การอายัด และการขายทอดตลาดทรัพย์ให้เป็นไปตามท่ีกําหนดในกฎกระทรวง ในกรณีที่ กฎกระทรวงไม่ไดก้ าํ หนดเรอื่ งใดไวใ้ ห้นาํ บทบญั ญตั ิใน ป.ว.ิ พ.มาใช้บังคบั โดยอนุโลม โดยใหถ้ ือวา่ (1) เจ้าหนา้ ท่ีตามคําพิพากษา หมายถงึ หน่วยงานของรัฐท่ีออกคาํ สัง่ ใหช้ ําระเงนิ (2) ลูกหนต้ี ามคาํ พพิ ากษา หมายถึง ผู้อยู่ในบังคบั ของมาตรการบังคบั ทางปกครอง (3) อํานาจของศาลในส่วนที่เก่ียวกับการบังคับคดี เป็นอํานาจของหัวหน้า หนว่ ยงานของรฐั ท้ังน้ี ตามที่กาํ หนดในกฎกระทรวง (4) เจ้าพนักงานบังคับคดี หมายถึง เจ้าพนักงานบังคับทางปกครอง ตามมาตร 63/2 ข้อสังเกต เจ้าหน้าที่ผู้ออกคําส่ังใช้มาตรการบังคับทางปกครองและการแต่งต้ัง เจ้าพนักงานบังคับทางปกครองให้เป็นไปตามกฎกระทรวงตามมาตรา 63/7 วรรคสาม ท้ังนี้ ตามกฎกระทรวงฉบับท่ี 9 เจ้าหน้าท่ีผุ้มีอํานาจส่ังยึดหรืออายัดและขายทอดตลาดทรัพย์สินสามารถ ดําเนินการยึดหรืออายัดและขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้อยู่ในบังคับของคําส่ังทางปกครองได้เอง โดยไมต่ อ้ งแจ้งให้เจา้ พนักงานบังคับคดีหรือกรมบังคบั คดดี าํ เนนิ การแต่อยา่ งใด 3) ระยะเวลาการบงั คบั ทางปกครอง ก า ร บั ง คั บ ต า ม คํ า ส่ั ง ท า ง ป ก ค ร อ ง ที่ กํ า ห น ด ใ ห้ ชํ า ร ะ เ งิ น โ ด ย เ จ้ า ห น้ า ที่ ของหน่วยงานของรัฐน้ัน หน่วยงานของรัฐท่ีออกคําสั่งให้ชะระเงินต้องดําเนินการยึดหรืออายัด
ทรพั ย์สินภายใน 10 ปนี ับแตว่ นั ทค่ี าํ สัง่ ทางปกครองทก่ี ําหนดให้ชําระเงินเป็นที่สุดตามมาตร 63/8 วรรคหน่งึ โดยคาํ สง่ั ทางปกครองท่ีกาํ หนดใหช้ ําระเงินทสี่ ดุ เมอ่ื (1) ไมม่ กี ารอทุ ธรณค์ าํ ส่งั ตอ่ เจา้ หนา้ ที่ฝ่ายปกครองภายในระยะเวลาอทุ ธรณ์ (2) เจ้าหน้าท่ีผู้มีอํานาจพิจารณาอุทธรณ์มีคําวินิจฉัยยกอุทธรณ์ และไม่มี การฟอ้ งคดตี อ่ ศาลภายในระยะเวลาการฟอ้ งคดี (3) ศาลมีคําสั่งหรือคําพิพากษายกฟ้องหรือเพิกถอนคําสั่งบางส่วน และคดี ถงึ ทีส่ ดุ แลว้ ทง้ั น้ี หากหน่วยงานของรัฐทีอ่ อกคาํ สั่งให้ชาํ ระเงินได้ยึดหรืออายัดทรัพย์สิน แล้วขายทอดตลาดหรือจําหน่วยโดยวิธีอื่น แต่ยังไมได้รับชําระเงินครบถ้วน ถ้ายังอยู่ภายใน กําหนดเวลา 10 ก็สามารถยึดหรืออายัดทรัพย์สินเพ่ิมเติมได้อีก แต่ถ้าล่วงพ้นกําหนดเวลา 10 ปี นับแต่วันที่คําส่ังทางปกครองท่ีกําหนดให้ชําระเงินเป็นท่ีสุด หน่วยงานของรัฐจะยึดหรืออายัด ทรัพย์สินเพิ่มเติมอ่ืนอีกมิได้ ตามมาตรา 63/8 วรรคสาม อย่างไรก็ตาม การขาดทอดตลาดหรือ จาํ หนว่ ยโดยวธิ อี ืน่ ซง่ึ ทรพั ย์สินของผู้อยู่ในบังคับของมาตรการบังคับทางปกครองท่ีถูกยึดหรืออายัดไว้ ภายในกําหนดเวลา 10 ปี นับแต่วันท่ีคําส่ังทางปกครองทีกําหนดให้ชําระเงินเป็นท่ีสุด เพื่อชะระเงิน รวมท้ังค่าธรรมเนียม ค่าตอบแทน หรือค่าใช้จ่ายอ่ืนในการบังคับทางปกครอง สามารถกระทําได้ แมล้ ว่ งพ้นระยะเวลาดงั กลา่ วตามมาตรา 63/8 วรรคสี่ ข้อสังเกต ระยะเวลาการบังคับทางปกครองโดยวิธีการยึดหรืออายัดทรัพย์สิน และขายทอดตลาดตามมาตรา 63/8 มลี กั ษณะทํานองเดียวกับระยะเวลาการบังคับคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 274 วรรคหน่ึง 4) การทุเลาการบังคับทางปกครอง การอุทธรณ์ไม่เป็นเหตุให้ทุเลาการบังคับตามคําส่ังทางปกครอง เว้นแต่จะมี การส่ังให้ทุเลาการบังคับตามมาตร 63/2 วรรคหนึ่ง ตามมาตรา 44 กรณีท่ีมีการอุทธรณ์การใช้ มาตรการบังคับทางปกครองและขอทุเลาการบังคับตามมาตราดังกล่าว เจ้าหน้าที่ผู้ออกคําสั่งใช้ มาตรการบังคับทางปกครองหรือ ผู้มีอํานาจพิจารณาคําอุทธรณ์ อาจส่ังให้มีการทุเลาการบังคับ ทางปกครองไวก้ ่อนก็ได้ โดยมอี าํ นานกําหนดเงื่อนไขให้ผู้อยู่ในบังคับของมาตรการบังคับทางปกครอง ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้ตามมาตรา 63/9 ทั้งนี้ นอกจากเจ้าหน้าท่ีผู้ออกคําสั่งใช้มาตรการบังคับ ทางปกครองและผู้มีอํานาจพิจารณาคําอุทธรณ์แล้ว ผู้มีอํานาจวินิจฉัยความถูกต้องของคําส่ัง ทางปกครองดังกล่าวกม็ ีอํานาจส่ังใหท้ เุ ลาการบังคบั ทางปกครองได้ดว้ ยตามมาตรา 63/2 วรรคหนงึ่
5) อาํ นาจของเจ้าหนา้ ทีใ่ นการสบื ทรพั ย์และขอเฉลย่ี ทรัพย์ การบังคับตามคําส่ังทางปกครองท่ีกําหนดให้ชะระเงินมีวัตถุประสงค์เพื่อยึด หรืออายัดทรัพย์สินของผู้อยู่ในบังคับของมาตรการบังคับทางปกครองเพ่ือขายทอดตลาด ดังน้ี เพื่อประโยชน์ในการบังคับทางปกครอง บทบัญญัติมาตรา 63/10 วรรคหน่ึง จึงกําหนดให้เจ้าหน้าที่ ผู้ออกคําส่ังใช้มาตรการบังคับทางปกครองมีอํานาจสืบหาทรัพย์สินของผู้อยู่ในบังคับของมาตรการ บังคบั ทางปกครองและขอระงับการดําเนินการทางทะเบียนเก่ียวกบั ทรัพยส์ ินไว้ชวั่ คราวได้ โดยการ (1) มีหนังสือสอบถามสถาบันการเงิน สหกรณ์ออมทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์ กรมท่ีดิน กรมการขนส่งทางบก กรมทรัพย์สินทางปัญญาหรือหน่วยงานของรัฐท่ีมีหน้าที่ควบคุม ทรัพยส์ ินที่มที ะเบยี น เกย่ี วกับทรัพยส์ นิ ของผ้อู ยู่ในบงั คับของมาตรการบังคับทางปกครอง ทั้งน้ี การท่ี หน่วยงานใหข้ ้อมูลดังกลา่ วถอื ว่าไมเ่ ปน็ ความผดิ ตามกฎหมายวา่ ด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน กฎหมายว่า ด้วยตลาดหลกั ทรัพย์และตลาดหลกั ทรพั ย์ และกฎหมายอื่น (2) มีหนังสือขอให้นายทะเบียน พนักงานเจ้าหน้าท่ี หรือบุคคลอ่ืนท่ีมอี ํานาจ หนา้ ที่ตามกฎหมายระงบั การจดทะเบียนหรอื แก้ไขเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนเก่ียวกับทรัพยส์ ินของผู้อยู่ใน บังคับของมาตรการบังคับทางปกครองไว้เป็นการช่ัวคราวเท่าท่ีจําเป็นเน่ืองจากมีเหตุขัดข้องที่ทําให้ ไม่อาจยึดหรืออายัดทรัพย์สิน ทั้งนี้ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามหนังสือของเจ้าหน้าท่ีผู้ออกคําสั่งใช้มาตรการ บังคับทางปกครองตาม (1)หรือ (2) โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ผู้น้ันมีความผิดฐานขัดคําสั่ง เจ้าพนักงานตาม ป.อ. ตามมาตรา 63/10 วรรคสาม ในการสบื หาทรพั ย์สินหรือผ้อู ยู่ในบังคบั ของมาตรการทางปกครอง หน่วยงานของรัฐ ท่ีออกคําส่ังให้ชําระเงินอาจร้องขอให้สํานักงานอัยการสูงสุดหรือหน่วยอ่ืนดําเนินการสืบหาทรัพย์สิน แทนได้ โดยให้หน่วยงานดังกล่าวมีอาจตามมาตรา 63/10 ด้วย แต่ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐท่ีออก คําสั่งให้ชําระเงินไม่มีเจ้าหน้าที่ในการดําเนินการสืบหาทรัพย์สินและจํานวนท่ีต้องชําระ ตามมาตรการบังคับทางปกครองน้ันมีมูลค่าต้ังแต่ 2,000,000 บาทขึน้ ไปหรือตามมูลค่าท่ีกําหนด เพ่ิมขึ้นโดยกฎกระทรวง หน่วยงานของรัฐอาจมอบหมายให้เอกชนสืบหาทรัพย์สินแทนได้ โดยให้ เอกชนทสี่ บื พบทรพั ยส์ นิ ได้รบั ค่าตอบแทนไม่เกินร้อยละ 2.5 ของเงินหรือทรัพย์สินที่ได้มาจากการ ยึด อายัด หรือขายทอดตลาดทรัพย์สินที่สืบพบได้ แต่จําเงินเงินตอบแทนสูงสุดของเอกชนต้อง ไมเ่ กิน 1,000,000 บาท ตอ่ จาํ นวนเงินทต่ี ้องชาํ ระตามคําสัง่ ทางปกครองในเรื่องนั้นหรือตามจํานวน ที่กาํ หนดเพมิ่ ข้นึ โดยกฎกระทรวงตามมาตร 63/11
Search