การพฒั นาผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น เรือ่ ง การจำแนกประเภทวงดนตรสี ากล โดยใชส้ อ่ื การสอน Prezi ของนกั เรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 โรงเรยี นสามพรานวทิ ยา อมั รนิ ทร์ เถอ่ื นถ้ำแกว้ รหสั นกั ศกึ ษา 604104038 หมเู่ รียน 60/25 วิจยั น้ีเป็นส่วนหนึ่งของการฝกึ ประสบการณว์ ิชาชพี ครู หลกั สูตรครศุ าสตรบัณฑิต สาขาวิชาดนตรศี ึกษา คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั นครปฐม 2564
การพัฒนาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน เรือ่ ง การจำแนกประเภทวงดนตรีสากล โดยใชส้ อื่ การเรยี นรู้ Prezi ของนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนสามพรานวทิ ยา อัมรินทร์ เถ่อื นถำ้ แก้ว รหสั นกั ศึกษา 604104038 หมเู่ รยี น 60/25 วิจัยน้ีเป็นส่วนหนึ่งของการฝกึ ประสบการณว์ ิชาชีพครู หลกั สตู รครุศาสตรบัณฑิต สาขาวชิ าดนตรีศึกษา คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม 2564
ก ชอื่ เรอ่ื ง : การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การจำแนกประเภทวงดนตรีสากล โดยใชส้ ื่อการเรียนรู้ Prezi ของนกั เรยี นช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 4 ผู้ศกึ ษาค้นควา้ : นายอัมรินทร์ เถื่อนถ้ำแก้ว หลักสูตร : ครศุ าสตร์บัณฑติ สาขา : ดนตรศี กึ ษา สถาบัน : มหาวิทยาลัยราชภฏั นครปฐม บทคดั ย่อ จากการเรยี นการสอนของโรงเรยี นสามพรานวทิ ยา ในสว่ นของนกั เรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4 ได้มีการศึกษาจากส่อื การเรยี นรู้ Prezi เรอ่ื ง การจำแนกประเภทวงดนตรีสากล และทำแบบฝึกหัดส่ง โดยก่อนการเรียนการสอนในรายวิชาดังกล่าว อาจารย์ประจำวิชาได้มีการแจ้งคะแนนระหว่าง การเรียนให้กับนักเรยี นทราบ ซึ่งจะมคี ะแนนสอบ คะแนนแบบฝึกหัด โดยเฉพาะคะแนนแบบฝึกหดั ซ่ึงเปน็ คะแนนชว่ ยใหน้ ักเรยี นทเ่ี รียนอ่อนได้มคี ะแนนสะสมและเพม่ิ ทกั ษะใหก้ ับนักเรยี น ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างสื่อการเรียนรู้ Prezi และหาประสิทธิภาพ ของสื่อการเรียนรู้ Prezi เรื่อง การจำแนกประเภทวงดนตรสี ากล ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ 80/80 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การจำแนกประเภทวงดนตรีสากล ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสามพรานวิทยา จำนวน 20 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ดว้ ยวธิ ีการประเมินท่ีเนน้ ผู้เรียนเป็นสำคญั ระยะเวลาท่ีใช้ในการวจิ ัยทง้ั สิ้น โดยเริ่มทำการวิจัย ตัง้ แต่เดอื นพฤศจกิ ายน พ.ศ. 2564 - เดอื นกมุ ภาพันธ์ พ.ศ. 2565 ผลการวิจัยพบว่าพบว่า สื่อการเรียนรู้ Prezi เรื่อง การจำแนกประเภทวงดนตรีสากล ที่สร้างขึ้นมีความสอดคล้องกับการเรียน เหมาะสมอยู่ในระดับคุณภาพ ดีมาก และมีประสิทธิภาพ เท่ากับ 77.75/96.75 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ 80/80 แสดงว่า สื่อการเรียนรู้ Prezi เรื่อง การจำแนกประเภทวงดนตรีสากล มีประสิทธิภาพเป็นไปตามเกณฑ์ ที่กำหนดไว้ ทั้งนี้อาจเป็น เพราะว่า สื่อการเรียนรู้ Prezi เรื่อง การจำแนกประเภทวงดนตรีสากล มีการจัดเรียงลำดับเนื้อหา จากง่ายไปหายากเนื้อหามีความหลากหลายทำให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาได้อย่างชัดเจน จึงเหมาะสม ทจ่ี ะนำไปใช้ในการจดั กิจกรรมการเรียนร้ใู หก้ บั นกั เรยี น
ข กติ ตกิ รรมประกาศ การศึกษาวิจัยการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การจำแนกประเภทวงดนตรีสากล โดยใช้ส่ือการเรียนรู้ Prezi ของนกั เรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4 โรงเรยี นสามพรานวทิ ยา ขอกราบขอบพระคุณ อาจารย์ ดร.สรายุทธ์ โชติรัตน์ ที่ได้กรุณาให้คำแนะนำ ปรึกษา ตรวจสอบแกไ้ ขตลอดจน ดแู ลเอาใจใสเ่ ปน็ อย่างดี ผ้จู ัดทำขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้ ขอกราบขอบพระคุณ คุณครูวิฑูร ดอกเทียน ครูประจำกลุ่มสาระวิชาดนตรีและนาฏศิลป์ โรงเรียนสามพรานวิทยา ที่ได้กรุณาให้คำแนะนำตลอดจนตรวจสอบแนวทางการใช้เครื่องมือ การทดลองและเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ขอขอบพระคุณคณะผู้บริหาร นายสมเกียรติ ปทุมสูติ ตลอดจน คณะครู ในโรงเรียน สามพรานวิทยา อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ที่คอยเป็นกำลังใจให้การสนับสนุนเสนอแนะ และอำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ ผู้จัดทำรายงวานการวิจัย ขอขอบพระคุณทุกท่านอย่างสูงที่ให้ การสนับสนุน เอื้อเฟ้ือ และให้ความอนุเคราะห์ช่วยเหลือจนกระทั่งรายงานการวิจัยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาดนตรี เรื่อง การจำแนกประเภทวงดนตรีสากล ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้สื่อการเรียนรู้ Prezi สำเรจ็ บรรลุไปไดด้ ว้ ยดี อัมรนิ ทร์ เถ่ือนถ้ำแกว้ ผ้วู จิ ัย
สารบัญ หนา้ บทคดั ยอ่ …………………………………………………………………………………………………………………... ก กิตติกรรมประกาศ……………………………………………………………………………………………………… ข สารบญั …………………………………………………………………………………………………………………..... ค สารบัญตาราง…………………………………………………………………………………………………….……... จ สารบัญรปู ภาพ........................................................................................................................ฉ บทท่ี 1 บทนำ………………………………………………………………………………………………………....... 1 ความเป็นมาและความสำคญั ของปัญหา…………………………………………………………...……. 1 จุดมงุ่ หมายของการวิจยั ………..………………………………………………………………………….….. 2 ความสำคัญของการวจิ ยั ……………………………………………………………………………..……..… 3 ขอบเขตการวจิ ัย…………………………………………………………………………………………..…..... 3 นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ……………………………………………………………….………………………….….... 3 ประโยชนท์ ่ไี ดร้ บั จากการวจิ ัย…………………………………………………………………………..…... 3 บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยท่เี กยี่ วข้อง..............................................................................… 4 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน………….………………………………………………………………..…………. 5 ความหมายของผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น............................................................ 5 องคป์ ระกอบและการวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น.............................................. 6 เครือ่ งมือท่ีใช้วัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น........................................................... 6 แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น............................................................. 9 การสรา้ งแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น............................................... 10 การสร้างสอ่ื การสอน Prezi…....……………………………………………………………………………. 12 ความหมายของสอ่ื การสอน Prezi……................................................................. 12 รูปแบบการนำเสนอสื่อ Prezi……........................................................................12 ฟงั ก์ช่ันการทำงานของ Prezi……………….............................................................13 ขอ้ จำกัดของ Prezi…………………………................................................................ 13 ขนั้ ตอนการสรา้ งสอ่ื การสอนด้วยโปรแกรม Prezi...............................................14 ประโยชนข์ องโปรแกรม Prezi………................................................................... 18 แบบฝึกทักษะ……………………………………………………………………………………………..……… 19 ความหมายของแบบฝึกทักษะ………………………………………………………….…….... 19
ง สารบญั (ต่อ) หนา้ ลักษณะแบบฝึกทักษะที่ดี……………………………………………................................. 20 หลักการสรา้ งแบบฝกึ ทกั ษะ…………………………………………………….……….……... 21 ประโยชน์ของแบบฝกึ ทกั ษะ…………………………………………………………….…..… 22 ประสทิ ธภิ าพของแบบฝึกทกั ษะ……………………………….………………………….…. 23 ประเภทของวงดนตรีสากล……………………………………………………………………………….… 26 องคป์ ระกอบทางดนตรี.................................................................................................. 33 งานวจิ ัยทเ่ี กย่ี วขอ้ ง……………………………………………………………………………………….…... 35 บทท่ี 3 วิธดี ำเนินการศึกษา…………………………………………………………………………………….… 38 ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง…………………………………………………………………………………. 38 เคร่อื งมือทใ่ี ช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ……………………………………………………………….... 38 การสร้างและหาคณุ ภาพของเคร่ืองมอื ……………………………………………………………..….. 39 การดำเนินการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูล…………………………………………………..…… 40 การวิเคราะห์ขอ้ มูลและสถติ ทิ ่ีใช้ในการวเิ คราะห์ข้อมูล……………………………………..……. 41 บทที่ 4 ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล……………………………………………………………………………………...44 สญั ลกั ษณท์ ่ีใช้ในการวเิ คราะห์ข้อมูล………………………..………………………………………………44 ตอนท่ี 1 วเิ คราะหป์ ระสทิ ธภิ าพของสือ่ การเรียนรู้ เร่อื ง การจำแนกประเภท วงดนตรีสากล ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 ตามเกณฑ์ 80/80.…..………………….….….. 44 ตอนท่ี 2 การวิเคราะหด์ ชั นปี ระสทิ ธิผลของสือ่ การเรียนรู้ เรอ่ื ง การจำแนก ประเภทวงดนตรสี ากล ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 4....………………………………..……..… 47 บทที่ 5 สรุป อภปิ รายผลและขอ้ เสนอแนะ…………………………………………………………..………...48 สรปุ ผลการศกึ ษา ………………………………………………………………………………...………………. 48 อภปิ รายผล……………………………………………………………………………………………................ 48 ขอ้ เสนอแนะ…………………………………………………………………………….…………………………. 49 บรรณานกุ รม………………………………………………………………………………………………………..…… 51 ภาคผนวก…………………………………………………………………………….………………………………….. 54 ภาคผนวก ก ส่อื การเรียนรู้ เรื่อง การจำแนกประเภทวงดนตรีสากล............................... 55 ภาคผนวก ข แบบทดสอบผลสมั ฤทธิ์………………………………………………..…………………... 60 ประวตั ิผู้วจิ ยั .................................................................................................................................. 68
จ สารบัญตาราง หนา้ ตารางที่ 2.1 แสดงอัตราจังหวะ…….………….….……………………………………………………………………… 34 ตารางที่ 4.1 แสดงคะแนนเฉลีย่ และร้อยละของคะแนนชุดแบบฝกึ ทกั ษะ เร่อื ง การจำแนกประเภทของวงดนตรีสากล ท้งั 2 ชุด (E1)………………..……………… 45 ตารางท่ี 4.2 ประสิทธิภาพของแบบฝึกทกั ษะ เร่ือง การจำแนกประเภทของวงดนตรีสากล ของนกั เรียนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 4…………………………………………………………..………… 46 ตารางที่ 4.3 ดัชนีประสทิ ธิผลของชดุ แบบฝกึ ทกั ษะ เรื่อง การจำแนกประเภทของวงดนตรีสากล ของนกั เรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4………………………………….………….…………………..…. 47
ฉ สารบญั ภาพ หนา้ ภาพที่ 2.1 โปรแกรม Prezi……………………………………………………………………………………………….. 14 ภาพท่ี 2.2 โปรแกรม Prezi……………………………………………………………………………………………….. 14 ภาพที่ 2.3 การเลือก Template.................................................................................................... 15 ภาพที่ 2.4 การปรบั แตง่ ใหเ้ ขา้ กบั เนอื้ หา.........................................................................................15 ภาพท่ี 2.5 การปรบั แตง่ ให้เขา้ กับเน้ือหา.........................................................................................16 ภาพที่ 2.6 การใช้ขอ้ ความใหเ้ ข้ากับ Template............................................................................ 16 ภาพท่ี 2.7 การใสส่ ตกิ เกอร์ สญั ลักษณ์ แผนภาพ และวดิ โิ อ...........................................................17 ภาพที่ 2.8 การใสว่ ตั ถุภาพ สญั ลกั ษณ์ แผนภาพ............................................................................ 17 ภาพที่ 2.9 การบนั ทกึ ..................................................................................................................... 17 ภาพที่ 2.10 การนำเสนอ................................................................................................................ 18 ภาพที่ 2.11 วงออรเ์ คสตรา.............................................................................................................26 ภาพที่ 2.12 วงดเู อต........................................................................................................................26 ภาพที่ 2.13 วงทรีโอ………...............................................................................................................27 ภาพที่ 2.14 วงควอเต็ต...................................................................................................................28 ภาพท่ี 2.15 วงควนิ เต็ต...................................................................................................................28 ภาพที่ 2.16 วงเซก็ เต็ต ………..........................................................................................................28 ภาพที่ 2.17 วงเซป็ เต็ต....................................................................................................................29 ภาพที่ 2.18 วงอ๊อกเต็ต...................................................................................................................29 ภาพท่ี 2.19 วงโนเนต็ ………............................................................................................................29 ภาพที่ 2.20 วงโยธวาทิต..................................................................................................................30 ภาพท่ี 2.21 วงแจ๊ส........................................................................................................................ 30 ภาพที่ 2.22 วงสตรงิ คอมโบ ………….............................................................................................. 31 ภาพท่ี 2.23 วงคอมโบ.................................................................................................................... 31 ภาพที่ 2.24 วงแตรวง......................................................................................................................32
1 บทที่ 1 บทนำ 1.1 ความเปน็ มาและความสำคัญของปญั หา กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะเป็นกลุ่มสาระที่ช่วยพัฒนาให้ผู้เรียนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีจินตนาการทางศิลปะ ชื่นชมความงาม มีสุนทรียภาพ ความมีคุณค่า ซึ่งมีผลต่อคุณภาพชีวิตมนุษย์ กิจกรรมทางศิลปะช่วยพัฒนาผู้เรียนทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม ตลอดจน การนำไปสู่การพัฒนาสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความเชื่อมั่นในตนเอง อันเป็นพื้นฐาน ในการศึกษาตอ่ หรือประกอบอาชีพได้ โดยสาระการเรยี นรู้ดนตรี ชว่ ยใหน้ กั เรยี นมีความรู้ความเข้าใจ องค์ประกอบดนตรีแสดงออกทางดนตรีอย่างสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์คุณค่าดนตรี ถา่ ยทอดความรสู้ กึ ทางดนตรอี ยา่ งอสิ ระ ชน่ื ชมและประยกุ ตใ์ ชใ้ นชวี ิตประจำวนั เขา้ ใจความสัมพันธ์ ระหวา่ งดนตรี ประวตั ิศาสตร์ และวัฒนธรรม เหน็ คุณค่าดนตรี ที่เปน็ มรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญา ไทยและสากล ภูมิปัญญาท้องถิ่น ร้องเพลง และเล่นดนตรีในรูปแบบต่าง ๆ แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับเสียงดนตรี แสดงความรู้สึกที่มีต่อดนตรีในเชิงสุนทรียะ เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างดนตรี ประเพณวี ฒั นธรรม และเหตุการณ์ในประวัตศิ าสตร์ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551, หน้า 182) ดนตรีสากลเป็นดนตรีที่ชาวตะวันตกได้นำมาเผยแพร่จนเป็นที่รู้จักกัน แพร่หลายทั่วโลก จึงทำให้หลายชนชาติหลายภาษาสามารถเล่นเครื่องดนตรีสากลได้ เครื่องดนตรีสากลที่ใช้กัน ในชนชาตติ ่าง ๆ ส่วนใหญ่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ชนิดเดียวกนั (สุดใจ ทศพร, 2518, หน้า 17) ดนตรีเป็นสิ่งที่ทำให้จิตใจเบิกบานร่าเริงแจ่มใสและดนตรีเป็นสิ่งที่ธรรมชาติให้มาพร้อม ๆ กับชีวติ มนุษยโ์ ดยที่มนษุ ยเ์ องไม่รูต้ วั ดนตรีเปน็ ท้งั ศาสตร์และศิลป์อยา่ งหน่งึ ที่ชว่ ยให้มนุษย์มีความสุข สนุกสนานรื่นเริง ช่วยผ่อนคลายความเครียดทั้งทางตรงและทางอ้อม ดนตรีเป็นเครื่องกล่อมเกลา จิตใจ ของมนุษย์ให้มีความเบิกบานหรรษาให้เกิดความสงบและพักผ่อน กล่าวคือในการดำรงชีพ ของมนุษย์ ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย ดนตรีมีความเกี่ยวข้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อาจสืบเนื่องมาจาก ความบันเทิงใน รปู แบบตา่ ง ๆ โดยตรงหรอื อาจเกิดจากขนบธรรมเนยี มประเพณี วฒั นธรรมความเชื่อ ทางศาสนา เช่น เพลงกลอ่ มเด็ก เพลงปลุกใจ เพลงประกอบในการทำงาน เพลงท่เี กี่ยวขอ้ งในพธิ กี รรม สวดถึงพระผู้เป็นเจ้า เป็นต้น ณ ที่ใดมีเสียงดนตรี ที่นั้นเตม็ ไปด้วยไมตรีจิตมิตรภาพ ปราศจากความ สับสนวุ่นวาย มนุษย์เรามีความเฉลียวฉลาดลึกล้ำอยูม่ ากล้น สามารถประดิษฐ์เสียงต่าง ๆ ให้เกิดขน้ึ ได้แก่ เสียงสูงเสียงต่ำที่เกิดจากธรรมชาติ ทั้งหลายให้เป็นเสียงดนตรี โดยนำมาเรียบเรียงด้วยความ ประณีตบรรจง เกิดเปน็ เสยี งเพลงอนั ไพเราะ มีอิทธิพลต่ออารมณข์ องมนุษยเ์ ราเปน็ อย่างมาก (พูนพิศ อมาตยกลุ , 2529, หน้า 2)
2 วงดนตรสี ากล คือ การนำเครื่องดนตรีสากลต่าง ๆ มาเล่นประกอบเขา้ ร่วมกันให้เขา้ จังหวะ ตามทำนองที่ผู้ประพันธ์สร้างสรรค์ขึ้น โดยสามารถนำเครื่องดนตรีตั้งแต่ 2 ประเภทขึ้นไป มาร่วมเล่นดว้ ยกันเพื่อบรรเลงเพลง ซึ่งเครื่องดนตรีนั้นก็สามารถแบ่งประเภทออกไปตามแต่ละชนดิ การใหก้ ำเนดิ เสียงได้ 4 ชนดิ ได้แก่ เครอ่ื งสาย เครื่องลม เครอ่ื งลมิ่ นวิ้ เครอื่ งกระทบ การจัดการเรียนการสอนวิชาดนตรี เรื่อง การจำแนกประเภทวงดนตรีสากล สังเกตได้จาก การปฏิบัติจริงของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 นักเรียนบางส่วนเกิดความไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ ในการจำแนกประเภทของวงดนตรีสากล ทำให้มีผลตอ่ เน่ืองในการเรยี นการสอน เรอื่ ง วงดนตรีสากล สาเหตุที่สำคัญมีสองประการ คือ การขาดความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับการจำแนกประเภทของ วงดนตรีสากล และเรียนรู้ได้ช้า ซึ่งเป็นส่ิงจำเป็นต่อการศึกษารายวิชาด้านดนตรตี ่อไปในระดับสงู ข้ึน แม้ดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่มีความสำคัญอย่างยิ่งในเรื่อง การจำแนกประเภทของวงดนตรีสากล นักเรียนที่ไม่เข้าใจวงดนตรีสากลเป็นอย่างไร ทำให้รู้สึกไม่สนุกในการเรียนและทำให้ไม่อยากเรียน เรอ่ื ง การจำแนกประเภทวงดนตรีสากลต่อไป จงึ จำเป็นอยา่ งย่งิ ท่ีครูผู้สอนจะต้องหาทางแก้ไขปัญหา ให้ไดใ้ นการเรยี นการสอน เร่อื ง การจำแนกประเภทวงดนตรีสากล ดังนั้นผู้ที่ทำการวิจัย จึงมีความสนใจที่จะจัดการทำวิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนโดยใช้สื่อการเรียนรู้ Prezi เรื่อง การจำแนกประเภทวงดนตรีสากล ของนักเรียนชั้น มัธยมศกึ ษาปีที่ 4 ทไี่ ดร้ ับการสอนโดยใช้สอื่ การเรยี นรู้ Prezi เพอ่ื จะนำผลการวิจยั มาใช้เป็นแนวทาง การพัฒนาการจดั การเรยี นรู้ตอ่ ไป 1.2 จุดมงุ่ หมายของการวจิ ยั 1.2.1 เพื่อพัฒนาสื่อการเรียนรู้ Prezi เรื่อง ประเภทของวงดนตรีสากล สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 4 โรงเรียนสามพรานวทิ ยา ให้มปี ระสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 1.2.2 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จดั การเรียนรูโ้ ดยใช้ส่อื การเรียนรู้ Prezi เรอ่ื ง การจำแนกประเภทวงดนตรีสากล 1.3 ความสำคัญของการวิจยั 1.3.1 ทำให้ทราบวา่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรยี นสามพรานวิทยา มคี วามรู้เกีย่ วกับ วงดนตรสี ากลมากนอ้ ยเพยี งใด 1.3.2 ผลการวิจัย ใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุง และพัฒนาการสอน เรื่อง การจำแนก ประเภทของวงดนตรสี ากลได้
3 1.4 ขอบเขตของการวิจยั 1.4.1 ขอบเขตของกลุ่มเปา้ หมาย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียน สามพรานวทิ ยา จังหวดั นครปฐม ปีการศึกษา 2564 จำนวน 20 คน 1.4.2 ขอบเขตด้านระยะเวลาในการดำเนินงาน ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัยตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2564 - เดือนกุมพาพันธ์ พ.ศ. 2564 1.4.3 การทดสอบแบ่งออกเป็น 2 ชว่ ง 1.4.3.1 ช่วงท่ี 1 ทดสอบความรูก้ ่อนเรยี นแบบฝึกทกั ษะ เรอื่ ง วงดนตรสี ากล 1.4.3.2 ช่วงที่ 2 ทดสอบความรู้หลังจากการจัดการเรียนการสอนโดยชุดกิจกรรม การเรยี นรู้ เรอ่ื ง การจำแนกประเภทวงดนตรีสากล เป็นเวลา 2 สปั ดาห์ 1.5 นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ วงดนตรีสากล หมายถงึ วงท่มี ีรปู แบบการบรรเลง มคี วามเปน็ ระเบยี บแบบแผน มีมาตรฐาน ถูกต้องตามหลักการประสมวง มีการพัฒนารูปแบบการบรรเลงเป็นระยะซึ่งแบ่งได้เป็น 7 ประเภท คือ วงแจ๊ส วงออร์เคสตรา วงเชมเบอรม์ ิวสิค วงโยธวาทิต วงแตรวง วงสตรงิ คอมโบ และวงคอมโบ แบบฝึกทักษะ หมายถึง ชุดหรือเครื่องมือแบบฝึกหัด เรื่อง วงดนตรีสากล ซึ่งผู้วิจยั สร้างขึ้น อยใู่ นรูปแบบฝึกหัดที่เน้นองค์ประกอบในการฝกึ ทักษะความจำและแยกประเภทของวงดนตรสี ากล แบบทดสอบ หมายถึง ชุดของคำถามที่สร้างขน้ึ เพ่ือใหผ้ ถู้ ูกทดสอบแสดงพฤติกรรมอย่างใด อย่างหนึ่งออกมาให้ผู้สอบสังเกตได้และวัดได้ แบบทดสอบเป็นเครื่องมอื วัดพฤติกรรมด้านพุทธพิ สิ ัย ซึ่งถือว่าเป็นสติปัญญาของมนุษย์ซึ่งจะทำให้ทราบผลว่ามีความรู้หรือไม่ที่ซ่อนแฝงอยู่ในตัวบุคคล ท้งั ในดา้ นพฤตกิ รรมความรู้ ความจำ ความเขา้ ใจ การนำไปใช้ และอืน่ ๆ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลคะแนนที่นักเรียนสามารถทำได้โดยใช้แบบทดสอบ ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นท่ผี ู้วิจัยสรา้ งขน้ึ 1.6 ประโยชน์ท่ีคาดว่าจะได้รับ 1.6.1 นักเรียนที่เรียนโดยใช้สื่อการเรียนรู้ Prezi เรื่อง การจำแนกประเภทวงดนตรีสากล มีความสามารถในการจดจำและแยกหลงั การเรียนสูงกวา่ ก่อนการเรยี น 1.6.2 ใชเ้ ปน็ แนวทางในการพัฒนาการจดั การเรยี นการสอน สาระการเรียนรู้ศิลปะในรายวชิ า ดนตรีใหก้ บั นกั เรียนช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 4 โรงเรียนสามพรานวิทยา
04 บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ยั ทเี่ กี่ยวข้อง การพฒั นาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน เร่อื ง การจำแนกประเภทวงดนตรีสากล โดยใชส้ ื่อการสอน Prezi ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสามพรานวิทยา ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารงานวิจัย ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งในประเด็นต่อไปน้ี 2.1 ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน 2.1.1 ความหมายของผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น 2.1.2 องคป์ ระกอบและการวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น 2.1.3 เครือ่ งมือทีใ่ ชว้ ัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน 2.1.4 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น 2.1.5 การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน 2.2 การสร้างส่ือการสอน Prezi 2.2.1 ความหมายของสอื่ การสอน Prezi 2.2.2 รปู แบบการนำเสนอสื่อการสอน Prezi 2.2.3 มฟี ังกช์ ั่นการทำงาน Prezi 2.2.4 ข้อจำกัดของ Prezi 2.2.5 ขนั้ ตอนการสร้างสื่อการสอนดว้ ยโปรแกรม Prezi 2.2.6 ประโยชนข์ องโปรแกรม Prezi 2.3 แบบฝกึ ทกั ษะ 2.3.1 ความหมายของแบบฝกึ ทักษะ 2.3.2 ลกั ษณะของแบบฝึกทีด่ ี 2.3.3 หลักการสรา้ งแบบฝกึ ทกั ษะ 2.3.4 ประโยชน์ของแบบฝึกทักษะ 2.3.5 ประสทิ ธิภาพของแบบฝกึ ทักษะ. 2.4 ประเภทวงดนตรสี ากล 2.5 องคป์ ระกอบทางดนตรี 2.5.1 เสียง (Tone) 2.5.2 จงั หวะ (Rhythm) 2.5.3 รูปแบบจังหวะ (Rhythm Pattern) 2.5.4 ทำนอง (Melody)
5 2.5.5 เสียงประสาน (Harmony) 2.5.6 รูปพรรณหรอื พื้นผวิ (Texture) 2.5.7 รปู แบบ (Form) 2.5.8 สีสันของเสยี ง (Tone color) 2.5.9 ลกั ษณะของเสยี ง (Characteristics of Sound) 2.6 งานวจิ ัยท่เี กยี่ วข้อง 2.1 ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน 2.1.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กระทรวงศึกษาธิการ ได้ระบุผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ในหนังสือประมวลศัพท์ ทางการศึกษาว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสำเร็จหรือความสามารถในการกระทำใด ท่ีจะต้องอาศัยทักษะความสามารถหรือมิฉะนั้นก็ต้องอาศัยความรอบรู้ในวิชาใดวิชาหนึ่งโดยเฉพาะ (กระทรวงศึกษาธกิ าร, 2551, หน้า 4) ประดับ จันทร์สุขศรี ให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเปน็ คุณลักษณะและความสามารถ ของบุคคลที่พฒั นาการดีขึน้ อันเกิดจากการเรียนการสอน การฝกึ อบรมในเวลาเรียน ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถทางสมอง ความรู้ ทักษะ ความรู้สึก และค่านิยมต่าง ๆ (ประดับ จันทร์สุขศรี, 2542, หน้า 11) ไพศาล หวังพานิช ให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Academic Achievement) หมายถึง คณุ ลกั ษณะและความสามารถของบุคคลอันเกิดจากการเรียนการสอน เปน็ การเปล่ยี นแปลง พฤติกรรมและประสบการณก์ ารเรยี นรทู้ เ่ี กิดจากการศกึ ษาอบรม หรอื จากการสอบ การวดั ผลสัมฤทธิ์ จึงเป็นการตรวจสอบความสามารถหรือระดับความสัมฤทธิ์ผล (Level of Accomplishment) ของบุคคลว่าเรียนรู้แล้วเท่าไร มีความสามารถแค่ไหน ซึ่งสามารถวัดได้ 2 แบบ ตามจุดมุ่งหมาย ลกั ษณะวชิ าท่ีสอน คือ การวัดดา้ นปฏิบัติ เป็นการตรวจสอบระดับความสามารถในการปฏิบัติทักษะ ของผู้เรียน โดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนแสดงความสามารถดังกล่าวในรูปการกระทำจริงให้ออกเป็นผลงาน เช่น วิชาศิลปศึกษา ดนตรีศึกษา พลศึกษา การช่าง เป็นต้น ซึ่งการวดั ต้องใช้ “ข้อสอบภาคปฏิบตั ิ” (Performance Test) และการวัดด้านเนอ้ื หา เป็นการตรวจสอบความสามารถเก่ียวกบั เนื้อหาความรู้ (Content) อันเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้เรียนรวมถึงพฤติกรรมความสามารถในด้านต่าง ๆ สามารถวดั ได้โดยใช้ “ขอ้ สอบวดั ผลสัมฤทธิ์” (ไพศาล หวังพานิช, 2546, หน้า 137) จากที่กล่าวมาข้างต้นเกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สรุปได้ว่า ผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน หมายถึง ผลของความสามารถของบุคคลที่ต้องอาศัยทักษะ ความรอบรู้ ทัศนคติที่ได้ จากการเรียนการสอน การฝกึ ฝน อบรมส่งั สอน ทำให้เกดิ ความสำเร็จหรอื ความสามารถในด้านต่าง ๆ
6 2.1.2 องค์ประกอบและการวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน องค์ประกอบต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ว่าตั้งแต่เด็กเกิดมา และเจริญเติบโตในครอบครัวจนกระทั่งเข้าสู่วัยเรียน ได้แก่ คุณลักษณะของนักเรียน คุณภาพ การจดั การเรียนการสอนภายในโรงเรยี น ความสามารถติดตัวมาแต่กำเนิดและภมู ิหลังของครอบครัว (สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาแห่งชาติ, 2542, หนา้ 23) องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนั้นแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ องค์ประกอบด้านคุณลักษณะเดียวกับตัวผู้เรียน ได้แก่ เชาวน์ปัญญาความถนัดความรู้พื้นฐาน หรือความรู้เดิมของนักเรียน และอารมณ์เป็นแรงจูงใจความสนใจ ทัศนคติและนิสัยในการเรียน ความนึกคิดเกี่ยวกับตนเอง ตลอดจนการปรับตัว พัฒนาตนเองและบุคลิกภาพอื่น ๆ องค์ประกอบ ทางสภาพแวดลอ้ มส่งิ แวดล้อมทอ่ี ยภู่ ายในครอบครัว ฐานะ ทอ่ี ยูอ่ าศยั ความคาดหวังของบิดามารดา (สภุ าพรรณ โคตรจรสั , 2528, หนา้ 113) อิทธิพลที่มีผลต่อการเรียนรู้ ได้แก่ พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ตามที่ยอมรับกันว่า สติปัญญาของคนได้รับการถ่ายทอดมาทางพันธุกรรม แต่ยังมีองค์ประกอบอย่างอื่นแทรกเข้ามา เกี่ยวขอ้ งดว้ ย เช่น ประสบการณ์การเรียนรู้ ความสนใจ ตลอดจนสิง่ แวดล้อมที่เป็นบุคคลที่ได้รับจาก การเรยี นรู้ สังคมและเศรษฐกิจ (น้ำเพชร สินทอง, 2541, หนา้ 12) จากแนวดังกล่าว จึงสรุปได้ว่า องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของเด็กจะต้องประกอบด้วย สติปัญญาของเด็ก สิ่งแวดล้อมทางครอบครัวหมายถึงการที่เด็กได้รับ ความรกั เอาใจใสจ่ ากครอบครวั ทางสังคมก็ได้แกส่ งั คมแหง่ การเรยี นรู้ ไม่ใชส่ ังคมที่มีแต่ปัญหาไมว่ ่าจะ เป็นปัญหายาเสพติดหรือปัญหาครอบครัว ซึ่งถ้าหากพ่อแม่และครูดูแลเอาใจใส่ให้เด็กเจริญเติบโต พัฒนาทางร่างกาย จติ ใจและเสรมิ สติปัญญาทถี่ ูกทศิ ถกู ทาง เด็กก็จะเจรญิ เติบโตพร้อมกบั ความสำเร็จ ในด้านการเรียน และในทีส่ ุดก็จะกลายเป็นคนดแี ละรบั ผดิ ชอบในสงั คมตอ่ ไป 2.1.3 เครอื่ งมอื ทใี่ ชว้ ดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น การประเมนิ และตดั สินว่าผู้เรยี นมีความรู้ ทักษะ และคณุ ลกั ษณะท่ตี อ้ งการเน้นมาก นอ้ ยในระดบั ใด ควรตัดสนิ จากขอ้ มูลท่ผี ่านการวัดรวบรวมมาโดยใช้เครอ่ื งมอื และวธิ ีการที่หลากหลาย เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลที่ได้จากการวัดนั้นมีความครอบคลุม และมีความยุติธรรมกับผู้เรียนทุกคน เคร่อื งมือวัดผูเ้ รียนมีหลากหลาย ขน้ึ อยู่กบั สงิ่ ท่ตี ้องการวัดและระดับอายุของผถู้ ูกวัด สิ่งท่ีต้องการวัด สิ่งเดียวอาจใช้เครื่องมือมากกว่า 1 รายการก็ได้ เครื่องมือวัดมีหลายชนิด เช่น แบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น แบบวดั เจตคติ แบบวัดภาคปฏิบัติ แบบสอบถาม แบบสังเกต แบบสัมภาษณ์ แบบสำรวจ แบบประเมินค่า แบบตรวจสอบรายการ แบบบนั ทกึ พฤติกรรม ฯลฯ รายละเอยี ดดงั น้ี
7 2.1.3.1 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Achievement test) เป็น แบบทดสอบที่ใช้วัดทางด้านความรู้ (Cognitive Domain) ได้แก่ ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ วิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินค่า ลักษณะของแบบทดสอบจะมี 2 ประการ คือ แบบปรนัย (ประกอบด้วย ข้อสอบแบบถูกผิด จับคู่ เติมคำหรือแบบตอบสั้น และเลือกตอบ) และอัตนัย ในการออกข้อสอบ ผู้ออกข้อสอบจะสร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตร ซึ่งประกอบด้วยจุดประสงค์ การเรียนรู้หรือเนื้อหากับพฤติกรรมที่จะวัด โดยผู้ออกข้อสอบต้องวิเคราะห์ว่าในแต่ละจุดประสงค์ การเรียนรู้หรือเนื้อหาต่าง ๆ นั้น จะวัดพฤติกรรมใดบ้าง พฤติกรรมละกี่ข้อ เช่น การวิเคราะห์ พฤตกิ รรมของวิชาคณติ ศาสตร์ ทมี่ เี น้ือหา 4 เรื่อง คอื การบวก การลบ การคูณ และการหาร 2.1.3.2 แบบวัดเจตคติ (Attitude test) การวัดเจตคติเป็นการวัดความรู้สึก ตอ่ สง่ิ ใดสง่ิ หน่งึ ซึง่ อาจเป็นการประเมินค่าสถานการณ์คุณลกั ษณะของส่ิงทป่ี ระเมินว่าอยู่ในระดับใด หรือสนใจที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เจตคติสามารถวัดโดยตนเอง ผู้อื่น และกิจกรรมต่าง ๆ เช่น กิจกรรม ที่สร้างขึ้น สถานการณ์ต่าง ๆ เป็นต้น วิธีการวัดเจตคติ ได้แก่ การสังเกตพฤติกรรม การสัมภาษณ์ การใช้แบบวัด การใช้เทคนิคการฉายออก และการพิจารณาจากบันทึก ในที่นี้จะขอนำเสนอการใช้ แบบวัด ทน่ี ิยมใช้วัด มดี ังน้ี 1) แบบวัดแบบลิเคิร์ท (Likert Scales) แบบวัดนี้จะถามความรู้สึก เจตคติ ต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ให้ผู้ตอบเลือกระดับความรู้สึกจากมากไปหาน้อย เช่น เห็นด้วยอย่างยิ่ง เห็นด้วย ไม่แน่ใจ ไม่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง โดยให้คะแนนเป็น 5 4 3 2 และ 1 ถ้าข้อคำถาม เป็นบวก (Positive Statement) เชน่ ขา้ พเจ้าชอบอา่ นหนังสือเรยี นภาษาอังกฤษ และให้คะแนน 1 2 3 4 และ 5 ถา้ ขอ้ คำถามเป็นลบ (Negative Statement) เช่น ภาษาองั กฤษเปน็ วชิ าทีน่ ่าเบือ่ เปน็ ตน้ การแปลผลให้รวมคะแนนทัง้ หมดของแบบวัด ถ้ามคี ะแนนสงู แสดงว่ามเี จตคติต่อส่ิงน้นั ในทางบวก 2) แบบวัดแบบใช้ความหมายของภาษา (Semantic differential Scale) เป็นแบบวัดเจตคตทิ ี่ใช้คำศพั ท์ (Adjective) ที่ตรงกนั ข้าม (Bipolar) เช่น ดี-เลว มิตร-ศัตรู ฉลาด-โง่ เปน็ ตน้ คำคณุ ศพั ทแ์ บง่ ออกได้เป็น 3 มติ ิ (Dimensions) คอื 3) แบบประเมินคา่ (Evaluation) เช่น ดี-เลว มติ ร-ศตั รู ฉลาด-โง่ เปน็ ต้น 4) แบบศกั ยภาพ (Potency) เช่น แขง็ แรง-ออ่ นแอ ใหญ่-เลก็ เป็นต้น 5) แบบกจิ กรรม (Activity) เช่น ร่าเริง-หงอยเหงา เร็ว-ช้า เปน็ ต้น 2.1.3.4 แบบวัดภาคปฏิบัติ (Performance test) การวัดผลแบบภาคปฏิบัติ เป็นการวัดความสามารถในการทำงานของบคุ คลภายใต้สถานการณ์ต่าง ๆ และเงื่อนไขที่สอดคล้อง สภาพความเป็นจริงมากที่สุด โดยจะวัดทั้งวิธีการ และผลงานที่ผู้ทดสอบแสดงการกระทำออกมา ในการวัดภาคปฏิบัติ ครูผู้สอนต้องกำหนดงาน ให้ผู้เรียนกระทำ หรือปฏิบัติและกำหนดเกณฑ์ การประเมนิ ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
8 1) งานที่กำหนดให้ผู้เรียนทำ งานที่กำหนดให้ผู้เรียนทำงาน แบ่งได้เป็น 5 ลักษณะ คือ การปฏิบัติโดยข้อเขียน การระบุชื่อและกระบวนการปฏิบัติ การสร้างสถานการณ์ จำลอง การกำหนดงานใหป้ ฏบิ ัติ และการปฏบิ ตั ิงานจากสถานการณ์จริง 2) เกณฑ์การประเมิน (Rubric) วธิ ีกำหนดเกณฑก์ ารประเมินมี 2 แบบ คอื 2.1) การกำหนดเกณฑ์โดยภาพรวม (Holistic Score) เป็นการให้ ระดับคะแนนเดียวสำหรับงานนั้น เช่น การประเมินการเขียน จะได้ระดับคะแนนออกมาเป็นระดับ คะแนนเดียว แตจ่ ะมีบรรยายคุณภาพของการเขยี นท้งั ฉบับเป็นระดบั คุณภาพ 2.2) การกำหนดเกณฑ์โดยแยกเป็นด้าน ๆ (Analytic Score) เป็นการแบ่งคะแนนเป็นส่วน ๆ จากความสามารถที่จะต้องปฏิบัติงาน หรือผลผลิตนั้น แจกแจง รายละเอียดออกเปน็ ด้าน ๆ และแต่ละด้านมีคณุ ภาพอย่างไร เช่น การประเมินการเขียน แบ่งเกณฑ์ การประเมินเปน็ 3 ดา้ น คือ ดา้ นสำนวนภาษา ความคดิ สรา้ งสรรค์ การเขียนถกู หลกั ไวยากรณเ์ ป็นต้น 3) แนวการกำหนดเกณฑ์ (rubric) ระดบั 1 : ขนั้ ปรบั ปรุง - ผลงานมีขอ้ บกพร่อง หรืองานไมส่ ำเร็จ ระดับ 2 : ขน้ั พอใช้ - ผลงานยังเป็นไปตามแบบ ไม่สมบรู ณ์ ระดับ 3 : ขั้นปานกลาง (ผา่ น) - ผลงานมีมาตรฐานคอ่ นข้างสมบรู ณ์ ระดบั 4 : ขน้ั ดี - ผลงานอยู่ในระดับมาตรฐาน มคี วามสมบรู ณ์ ระดับ 5 : ขน้ั ดีเยย่ี ม - ผลงานอยใู่ นระดับมาตรฐานดีเยยี่ ม มากทส่ี ุด 2.1.3.5 แบบสำรวจรายการ (Checklist) เป็นเครื่องมือที่ใช้ในสิ่งที่กำลัง ดำเนินการ หรือเสร็จสิ้นไปแล้ว ว่าได้กระทำหรือไม่ใช้ประเมินความถี่ในการกระทำ ส่วนใหญ่จะใช้ ประกอบการสัมภาษณ์ หรือการสงั เกต 2.1.3.6 แบบสังเกต (Observation) การสังเกตเป็นวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ทีผ่ วู้ ิจยั เปน็ “ผสู้ งั เกต” พฤติกรรม หรือการกระทำตา่ ง ๆ เพ่อื ศกึ ษาความเป็นไปและการเปลย่ี นแปลง ของสิ่งท่ตี อ้ งการศกึ ษาอย่างใกล้ชิด ซ่ึงจะได้ขอ้ มลู ท่ีตรงสภาพความเป็นจรงิ สงู (high authentic) 2.1.3.7 แบบสัมภาษณ์ (Interview) การสัมภาษณ์ หมายถึง การสนทนาอย่างมี จุดมุ่งหมายในการค้นหาความจริง คือ ผู้สัมภาษณ์ได้เผชิญพูดคุยกัน ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ จะได้ขอ้ มูลท่เี ปน็ ความจรงิ เพียงใดขึน้ อยูก่ บั ความสามารถของผู้สมั ภาษณ์ 2.1.3.8 แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นเครื่องมือที่นิยมใช้ในการวิจัย เป็นชุดคำถามที่สร้างขึ้นเพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับตัวบุคคลในด้านต่าง ๆ ตามวัตถุประสงค์ ของการวิจัย เช่น แบบสอบถามความคิดเห็น ความรู้สึก และข้อมูลความจริง โดยให้ผู้ตอบ แบบสอบถามทำเครื่องหมายในข้อเลือกตอบที่ระบุไว้ หรือเติม หรือเขียนคำตอบ โดยทั่วไปแล้ว
9 แบบสอบถามจะให้ผู้ตอบบอกข้อมูลส่วนตัวของผู้ตอบ เพื่อนำมาเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์ จากนนั้ จะถามเกีย่ วกับเป็นสงิ่ ทีผ่ ้วู จิ ยั ตอ้ งการศกึ ษา รปู แบบของแบบสอบถามทีน่ ิยมใช้กนั ท่ัวไปมี 2 แบบ - แบบสอบถามปลายเปิด (Opened Form) ผ้ตู อบสามารถที่จะตอบได้ อยา่ งอสิ ระเสรตี ามความคิดเห็นท่มี ตี อ่ เรือ่ งตา่ ง ๆ อาจกลา่ วไดว้ ่า เป็นแบบสอบถามท่ีไมจ่ ำกัดคำตอบ เพอื่ คน้ หาความจรงิ - แบบสอบถามปลายปิด (Closed Form) เปน็ แบบสอบถามท่ีมีคำตอบ ให้เลือกหรือให้เติมคำตอบสั้น ๆ หรือให้ผู้ตอบเรียงลำดับความสำคัญตามความคิดเห็นตามลักษณะ แบบสอบถามปลายปิดยังมีผู้แบ่งเป็นประเภทต่าง ๆ ท่านที่ศึกษาค้นคว้าอยู่เสมอคงจะได้พบเห็น เชน่ แบบสำรวจรายการ และมาตราสว่ นประมาณค่า (สุทธิวรรณ พีรศักดิ์โสภณ, 2557 หน้า 2-4) จากที่กล่าวมาเกี่ยวกับเครื่องมือการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ การใช้แบบสอบถาม ที่กล่าวมาแต่ละอย่างย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ก่อนการสร้างแบบสอบถามอื่น อาจใช้ แบบสอบถามแบบปลายเปดิ ก่อน แล้วนำผลมาเขยี นคำถามแบบปลายปดิ 2.1.4 แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบที่ใชว้ ัดความรู้ ทักษะ และความสามารถทางวชิ าการท่นี ักเรยี นได้เรยี นร้มู าแล้ววา่ บรรลผุ ลสำเร็จตามจุดประสงค์ท่กี ำหนดไว้ เพยี งใด (พิชติ ฤทธจิ์ รูญ, 2545, หนา้ 96) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ชุดคำถามที่มุ่งวัดพฤติกรรม การเรียนของนักเรยี นวา่ มีความรู้ ทักษะ และสมรรถภาพดา้ นสมองด้านต่าง ๆ ในเรอื่ งทเ่ี รียนร้ไู ปแล้ว มากนอ้ ยเพียงใด (สิริพร ทิพย์คง, 2545, หนา้ 193) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบหรือชุดของข้อสอบ ที่ใช้วัดความสำเร็จหรือความสามารถในการปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนที่เป็นผล มาจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครูผู้สอนว่าผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ตั้งไว้เพียงใด แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน ประเภทท่ีครสู ร้างมีหลายแบบ แตท่ ี่นิยมใช้มี 6 แบบดังนี้ 1) ข้อสอบอัตนัยหรือความเรียง (Subjective or Essey test) เป็นข้อสอบ ที่มีเฉพาะคำถาม แล้วให้นักเรียนเขียนตอบอย่างเสรี เขียนบรรยายตามความรู้และเขียนข้อคิดเหน็ ของแต่ละคน 2) ข้อสอบแบบกาถูก-ผิด (True-false test) คือ ข้อสอบแบบเลือกตอบ ที่มีตัวเลือก 2 ตัวเลือก แต่ตัวเลือกดังกล่าวเป็นแบบคงที่และมีความหมายตรงกันข้าม เช่น ถูก-ผิด ใช-่ ไม่ใช่ จริง-ไม่จริง เหมอื นกัน-ต่างกัน เปน็ ต้น
10 3) ข้อสอบแบบเติมคำ (Completion test) เป็นข้อสอบที่ประกอบด้วย ประโยค หรือข้อความที่ยังไม่สมบูรณ์แล้วให้ตอบเติมคำหรือประโยค หรือข้อความลงในช่องว่าง ท่เี วน้ ไว้นั้นเพอ่ื ให้มใี จความสมบรู ณแ์ ละถูกต้อง 4) ข้อสอบแบบตอบสั้น ๆ (Short answer test) เป็นข้อสอบที่คล้ายกับ ข้อสอบแบบ เติมคำ แต่แตกต่างกันที่ข้อสอบแบบตอบสั้น ๆ เขียนเป็นประโยคคำถามสมบูรณ์ (ข้อสอบเติมคำเป็นประโยคหรือข้อความที่ยงั ไม่สมบูรณ์) แล้วให้ผู้ตอบเขียนตอบ คำตอบที่ต้องการ จะสั้นและกะทดั รดั ได้ใจความสมบรู ณ์ไมใ่ ช่เปน็ การบรรยายแบบขอ้ สอบอตั นยั หรือความเรยี ง 5) ข้อสอบแบบจับคู่ (Matching test) เป็นข้อสอบแบบเลือกตอบชนิดหนึ่ง โดยข้อความแยกออกจากกันเป็น 2 แล้วให้ผู้ตอบเลือกจับคู่ว่าแต่ละข้อความในชุดหนึ่งคู่กับคำ หรือขอ้ ความใดในอีกชดุ หนึง่ ซึ่งมีความสมั พันธก์ ันอยา่ งใดอย่างหน่งึ ตามทผ่ี ูอ้ อกข้อสอบกำหนด 6) ข้อสอบแบบเลือกตอบ (Multiple choice test) คำถามแบบเลือกตอบ โดยท่วั ไปประกอบดว้ ย 2 ตอน คอื ตอนนำหรอื คำถาม (Stem) กบั ตอนเลอื ก (Choice) ในตอนเลือก นั้นจะประกอบด้วยตัวเลือกที่เป็นคำตอบถูกและตัวเลือกลวง ปกติจะมีคำถามที่กำหนดให้พิจารณา แล้วหาตัวเลือกท่ีถูกตอ้ งมากท่ีสุดเพียงตัวเลือกเดียวจากตัวเลอื กอื่นๆ และคำถามแบบเลือกตอบที่ดี นิยมใช้ตัวเลือกทใ่ี กล้เคยี งกัน (สมพร เช้ือพนั ธ์, 2547, หน้า 59) 2.1.5 การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นเครื่องมือวัดผลชนิดหนึ่ง ที่มีความสำคัญอันจะทำให้ครูได้ทราบถึงพฤติกรรมการเรียนของผู้เรียน ทราบถึงประสิทธิภาพ ในการจัดการเรียนการสอน การสร้างแบบทดสอบทีด่ ีมคี ุณภาพ และมีประสิทธภิ าพจึงไมใ่ ช่ของง่าย สำหรบั ครูผูอ้ อกข้อสอบ ดงั นัน้ จึงควรมีขน้ั ตอนการสร้างแบบทดสอบ ดังนี้ 2.1.5.1 กำหนดจุดมุ่งหมายของการสอบให้แน่ชัดว่าจะสอบเพื่ออะไร สอบกับใคร ในระดับใด ช้ันใด 2.1.5.2 กำหนดลักษณะของสิ่งที่จะวัด ในการสร้างเครื่องมือวัดผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนตอ้ งรู้วา่ สิง่ ที่ต้องการวัดผลสมั ฤทธ์ินั้นคืออะไร เช่น ต้องการวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์ ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วัดจะต้องรู้ว่าในสาระของกลุ่มวิชาคณิตศาสตร์ มีจุดมุ่งหมายการเรียนการสอนอย่างไร ประกอบด้วยเนื้อหาใด ต้องการให้ผู้เรียนบรรลพุ ฤติกรรมใด พฤติกรรมเหลา่ นั้นเปน็ อย่างไร ตอ้ งกำหนดใหช้ ัดเจน ซง่ึ อาจศึกษาค้นคว้าจากเอกสาร ตำรา หนังสือ ทฤษฎีตา่ ง ๆ ไดใ้ นข้ันตอนนเี้ ราอาจพิจารณาจากตารางวิเคราะห์หลกั สูตรท่ีไดท้ ำไวแ้ ลว้ 2.1.5.3 กำหนดชนิดของเครื่องมือที่ใช้ในการวัด ในการกำหนดชนิดของเครื่องมือ ที่ใช้ในการวัดนั้นพิจารณาจากคุณลักษณะของสิ่งที่เราจะวัดว่าคืออะไร ซึ่งดูได้จากตารางวิเคราะห์ หลักสูตร และต้องดูดว้ ยวา่ วัดพฤตกิ รรมใดบ้าง วดั กบั ใคร ทไี่ หน เมอื่ ไร อยา่ งไรดว้ ย เพราะเคร่ืองมือ
11 ที่ใช้วัดมีหลายชนิด แต่ละชนิดก็เหมาะกับคุณลักษณะที่จะวัดต่างกัน ดังนั้นผู้สร้างต้องรู้ลักษณะ ของเครื่องมอื แตล่ ะชนดิ ด้วย 2.1.5.4 เขียนข้อสอบเมื่อกำหนดได้แล้วถึงชนิดของเครื่องมือที่ใช้วัดผลสัมฤทธ์ิ เรมิ่ ลงมอื เขียนข้อสอบโดยเขียนให้สอดคล้องกับคุณลกั ษณะ พฤตกิ รรมทตี่ ้องการจะวัด และใหถ้ กู ตอ้ ง ตามหลกั วิชาของการเขียนขอ้ สอบแต่ละชนดิ ด้วย 2.1.5.5 ใหผ้ ู้เช่ยี วชาญพิจารณาตรวจสอบแกไ้ ขเมอื่ เขยี นขอ้ สอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว ควรใหผ้ ้เู ช่ียวชาญตรวจสอบเครอ่ื งมือ ซึ่งผเู้ ชี่ยวชาญควรประกอบดว้ ยบุคคล 2 ฝ่าย คือ ผู้เช่ียวชาญ ในเนื้อหาสาระวิชาและผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ทางด้านวัดผลเป็นผู้พิจารณาค ำถามและคำตอบว่า ถูกต้องตามหลักวิชาหรือไม่ ข้อสอบวัดได้ตรงตามจุดประสงค์หรือไม่ อีกทั้งภาษาที่ใช้ในการเขียน ขอ้ สอบถกู ต้องตามหลักวชิ าหรือไม่ 2.1.5.6 การทดลองใชข้ อ้ สอบหลังจากที่ให้ผู้เชยี่ วชาญพิจารณาตรวจสอบแก้ไขแล้ว นำแบบทดสอบไปทดลองใช้ แล้วนำผลที่ได้จากการทดลองมาวิเคราะห์เพื่อหาคุณภาพ และพัฒนา แบบทดสอบต่อไป ในการทดลองแบบทดสอบอาจต้องทำหลาย ๆ คร้งั จนสามารถพัฒนาแบบทดสอบ ได้มคี ุณภาพเป็นทีพ่ อใจจงึ นำไปใช้จริงในการสอบต่อไป 2.1.5.7 สร้างเกณฑ์ในการแปลความหมายคะแนนการสร้างเกณฑ์ในการแปล ความหมายคะแนนก็เพื่อต้องการบอกให้ทราบว่า ถ้าบุคคลใดสอบได้คะแนนเท่าไร เขาจะเป็นผู้ที่ มคี วามสามารถหรอื มลี ักษณะพฤติกรรมอยา่ งไร 2.1.5.8 การเขียนรายงานหรือคู่มือการใช้การเขียนรายงาน จะทำให้ผู้ที่นำไปใช้ ได้ร้ถู งึ ขั้นตอนในการสรา้ งแบบทดสอบนั้น และรายละเอยี ดเกีย่ วกบั การดำเนนิ การสอบวา่ จะสามารถ นำปฏบิ ตั อิ ย่างไร คะแนนท่ีแตล่ ะคนสอบได้จะแปลความหมายอย่างไร ซงึ่ จะเป็นข้อมูลใหผ้ ูใ้ ช้เลือกใช้ แบบทดสอบได้เหมาะสมกับจุดม่งุ หมายในการสอบด้วย (สุทธวิ รรณ พรี ศกั ดโ์ิ สภณ, 2557, หนา้ 2) จากที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ครูได้ทราบถึงพฤติกรรมการเรียนของผู้เรียน และทราบถึงประสิทธิภาพ ในการจัดการเรียนการสอน แบบทดสอบที่ดีมีคุณภาพจึงไม่ใช่ของง่ายนักสำหรับครูผู้ออกข้อสอบ ต้องกำหนดจุดประสงค์ กำหนดชนิดเครื่องมือที่ใช้ในการวัด สร้างเกณฑ์ และเขียนรายงานรวมถึง คมู่ ือการใชง้ าน สง่ ผลให้ผู้ทน่ี ำไปใช้ตอ่ ไดร้ ู้ถึงขน้ั ตอนการสร้างแบบทดสอบนน้ั
12 2.2 การสร้างสอ่ื การสอน Prezi 2.2.1 ความหมายของสื่อการสอน Prezi Prezi เป็นโปรแกรมสร้าง Presentation ระบบออนไลน์ ที่มีเอกลักษณ์เด่นสุด คือ การซูมเข้า ซูมออกได้นอกจากนี้ ยังมีลักษณะพิเศษอื่น ๆ ดังเช่น Prezi เป็น Non-linear presentation นั้นคือการเดินทางของงานนำเสนอไม่ได้เป็นเส้นตรงที่มุ่งไปข้างหน้า หรือถอยหลัง ทีละสไลด์ต่อไป Prezi จะซูมเข้า ซูมออก กระโดดไปหาข้อความที่ต้องการแล้วแต่จะออกแบบ Prezi สามารถใส่รูปภาพ เสียง วิดีโอ และไฟล์ PDF PPT เป็นต้น Prezi สามารถสร้าง และแก้ไขได้ โดยวิธีออนไลน์ (ฟรี) บนเว็บ http://prezi.com ขณะเดียวกันก็สามารถนำเสนอแบบ online ได้ หรือสามารถดาวน์โหลดลงมาเพื่อนำเสนอแบบ offline และไฟล์ที่ได้จะมีนามสกุล .exe ซึ่งเปิดได้ ทกุ เคร่ือง (ราภัสยา ศรีสทุ ธ,ิ 2557, ออนไลน์) จากความหมายของสื่อการสอน Prezi สรุปได้ว่า Prezi คือ โปรแกรมที่ใช้สร้าง Presentation ในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งมีเอกลักษณ์ที่เห็นได้ คือ การซูมเข้า ซูมออก การกระโดด ย้ายเข้าหาเนื้อหาตามที่เรากำหนดได้ สามารถสร้างและแก้ไขได้โดยวิธีออนไลน์ (ฟรี) บนเว็บ http://prezi.com ขณะเดียวกันกส็ ามารถนำเสนอแบบ online ได้ เช่นกนั 2.2.2 รปู แบบการนำเสนอส่ือ Prezi 2.2.2.1 ความแตกต่างระหวา่ ง Prezi กับ PowerPoint 1) PowerPoint นำเสนอแบบ linear คือหน้าทห่ี นง่ึ หนา้ ทสี่ องไปเรื่อย ๆ 2) Prezi นำเสนอแบบ Zoom คือไม่ไดไ้ ปหนา้ หนึง่ หน้าทส่ี อง ตามลำดับ แต่สามารถกระโดดไปยังขอ้ มูลที่เราต้องการจะนำเสนอไดท้ นั ที 3) PowerPoint เป็นโปรแกรมที่ฟรีอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ Prezi เปน็ โปรแกรมทีฟ่ รีและก็แบบทีต่ อ้ งการจา่ ยเงนิ ซ้อื สำหรับการสมัครสมาชกิ ใช้บริการ เพือ่ ใช้ประโยชน์ ในการสร้าง Presentation ได้มากข้นึ 4) Prezi สามารถสร้างงานนำเสนอออนไลน์ได้เลย หรือถ้าไม่สะดวก สามารถดาวนโ์ หลดมาใช้ทคี่ อมตวั เองได้ แต่ต้องสมคั รเป็นสมาชิกเพื่อทำการดาวน์โหลด 2.2.2.2 โปรแกรม Prezi มีฟงั ก์ชน่ั การทำงลกั ษณะพเิ ศษ ดงั น้ี 1) Prezi เป็น Non-linear presentation เป็นฟังก์ชั่นการเดินทางของ งานนำเสนอไมไ่ ดเ้ ป็นเสน้ ตรงท่มี ุ่งไปข้างหน้า หรือถอยหลงั ทีละสไลตต์ อ่ ไป 2) Prezi ซมู เข้า ซูมออก กระโดดเข้าหาข้อความแลว้ แต่ออกแบบ 3) Prezi สามารถใส่รปู ภาพ เสยี ง วิดีโอและไฟล์ PDF PPT เป็นต้น 4) Prezi สามารถแก้ไขไดโ้ ดยวิธีออนไลน์ (ฟรี) บนเวบ็ http://prezi.com ขณะเดียวกันก็สามารถจัดการนำเสนอแบบ online ได้ด้วย หรือสามารถดาวน์โหลดลงมา
13 เพื่อนำเสนอแบบ offline และไฟล์ทีไ่ ด้จะมีนามสกุล .exe ซึ่งเปิดได้กับทุกเคร่ือง (ราภสั ยา ศรีสุทธ,ิ 2557, หนา้ 5) จากรูปแบบสื่อการสอน Prezi สรุปได้ว่า การใช้โปรแกรม Prezi จะมีส่วนคล้ายกับ โปรแกรม PowerPoint แต่จะมขี อ้ แตกต่างอยูเ่ ลก็ นอ้ ยเกี่ยวกับฟงั ก์ชน่ั การใช้งานรวมถึงการนำเสนอ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะโปรแกรม Prezi นอกจากนั้นยังมีฟังก์ชั่นที่มีลักษณะพิเศษเพิ่ม เพื่อช่วยให้ งานที่จัดทำเพือ่ การนำเสนอมีรปู แบบท่ดี ูเพมาะสมกบั การเปลย่ี นแปลงให้เกิดความนา่ สนใจมากยิ่งข้ึน 2.2.3 ฟังก์ชั่นการทำงานของ Prezi โปรแกรม Prezi เป็นโปรแกรมเน้นการ Zoom in, Zoom out, และ Rotate ซึ่งการนำเสนอในรูปแบบนี้ย่อมดีกว่าการนำเสนอด้วยภาพนิ่งบนหน้าจอ เพียงอยา่ งเดียว และการนำเสนอน้ันสามารถนำเสนอไดด้ ังน้ี 2.2.3.1 นำเสนอบนคอมพิวเตอร์ 2.2.3.2 ฝัง (Embed) อยู่บนเวบ็ เพจ 2.2.3.3 เผยแพร่บน Social Media site 2.2.3.4 แบง่ ปนั ไว้บน blog 2.2.3.5 วางไว้ใน Prezi explore tab โปรแกรม Prezi มฟี งั กช์ นั่ การทำงาน ดงั น้ี 1) Pan และ Zoom ตามแนวคดิ ที่วางแผนไว้ 2) Import media เชน่ ภาพ, วิดโิ อ, YouTube, videos, PDF หรืออื่น ๆ 3) Full Toolkit สามารถเลือก Template หรือ Theme ในการจัดทำ งานนำเสนอ หรอื ออกแบบตามความต้องการของผู้จัดทำ 4) Present online และ offline สามารถนำเสนอสือ่ ได้ท้งั แบบออนไลน์ และนำเสนอในแบบออฟไลน์ (ราภัสยา ศรีสุทธิ, 2557 หนา้ 5) สรปุ ไดว้ า่ โปรแกรม Prezi สามารถนำเสนอได้บนคอมพวิ เตอร์และระบบออนไลน์ แตร่ ูปแบบการนำเสนอในรูปแบบนย้ี ่อมดกี ว่าการใชภ้ าพนิ่งในจอเดียว เผยแพร่ไดห้ ลากหลาย มรี ะบบ ฟงั กช์ ั่นการ Pan และ Zoom เขา้ ดูเนอ้ื หาของการเรยี นได้อยา่ งชดั เจน 2.2.4 ข้อจำกัดของ Prezi 2.2.4.1 งานทุกชน้ิ ท่ที ำจะถูกแสดงอยู่บนโลกออนไลนไ์ มห่ มาะสมกบั งานทส่ี ำคัญ 2.2.4.2 โปรแกรมมีจำกดั ระยะเวลา 2.2.4.3 สามารถดาวโหลดมาทำงานแบบออฟไลน์ได้ แต่จำกดั เวลา 30 วนั หลงั จาก น้นั ต้องใช้บริการ เพอ่ื จะใช้ประโยชน์ไดเ้ ตม็ ประสทิ ธภิ าพ (ราภสั ยา ศรสี ุทธ,ิ 2557, ออนไลน์)
14 จากข้อความข้างต้น ในโปรแกรมที่เราเลือกใช้ จะมีข้อจำกัดในตัวของมันเอง รวมถงึ Prezi กเ็ ช่นกัน มขี ้อจำกดั ในการใช้งานอยู่ในกรณีต่าง ๆ ควรต้องศกึ ษาและลองลงมือปฏิบัติ จงึ จะทำให้เข้าใจขอ้ จำกัดสว่ นนี้มากขึ้น 2.2.5 ขั้นตอนการสร้างสอ่ื การสอนดว้ ยโปรแกรม Perzi 2.2.5.1 เขา้ สหู่ นา้ แรกของ Prezi เลอื กท่ี New Prezi เพ่อื เริม่ สรา้ งงานนำเสนอใหม่ 2.2.5.2 ต้องเริ่มการใช้งานด้วยการพิมพ์ค้นหาเข้าไปท่ี www.Prezi.com จากน้ัน ดำเนนิ การสมคั รสมาชิก หรอื จะลงทะเบยี นผ่าน FACEBOOK กไ็ ด้เชน่ กนั ภาพท่ี 2.1 โปรแกรม Prezi ทม่ี า: ราภสั ยา ศรีสทุ ธิ, 2557 2.2.5.3 เม่ือล็อกอินเข้ามาแลว้ ใหค้ ลกิ ไปท่ี + New Prezi เพือ่ เรมิ่ สรา้ งงานนำเสนอ ภาพท่ี 2.2 โปรแกรม Prezi ทีม่ า: ราภัสยา ศรีสุทธิ, 2557
15 2.2.5.4 จากน้นั รอสกั ครู่ จะเขา้ สู่หน้าของ Template ใหเ้ ลอื กรูปแบบการนำเสนอ ซึ่งในส่วนของ Template นี้เป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ ในการใช้งาน Prezi เพราะรูปแบบการนำเสนอ จะแตกต่างกันระหว่าง Template ลองเลือกหัวข้อ Template ที่ตรงกับเนื้อหาของคุณ เช่น จะลองใช้งาน Template ที่ชื่อ From Roots to Results ที่ว่าด้วยเรื่องของการวางรากฐาน ที่ส่งผลไปยังผลลัพธ์ ซึ่ง Template นี้ก็จะมีการแสดงผลออกมาในการนำเสนอในรูปแบบนั้น ๆ เลอื กรูป Template ที่ตอ้ งการแลว้ กด Choose ภาพที่ 2.3 การเลือก Template ท่ีมา: ราภัสยา ศรีสทุ ธ,ิ 2557 2.2.5.5 สามารถนำมาปรับแต่งให้เข้ากับเนื้อหาที่ต้องการนำเสนอ ลองทดลอง หลายรูปแบบ หรือจะสร้างใหม่จาก Template เปล่า ซึ่งสิ่งสำคัญคือการทำงานของ Prezi น้ัน เป็นการซมู เข้าไปดูรายละเอยี ดของภาพนั้น ๆ ดังนั้นจะสามารถใส่ข้อความ แทรกรูปภาพ สติกเกอร์ โลโก้ รวมไปถงึ วิดโิ อตา่ ง ๆ แล้วจัดลำดบั ของการนำเสนอไดด้ ว้ ยตัวเอง ภาพที่ 2.4 การปรับแต่งให้เข้ากบั เนื้อหา ที่มา: ราภสั ยา ศรีสุทธ,ิ 2557
16 2.2.5.6 เมื่อเลือก Template แล้วก็จะเป็นการใส่ข้อความไปยังบริเวณต่าง ๆ ของภาพโดยสามารถดูลำดับของการนำเสนอ (หรือลำดับสไลด์) ไดท้ ี่แผงควบคมุ ด้านซ้ายมอื ภาพที่ 2.5 การปรบั แตง่ ใหเ้ ข้ากบั เน้ือหา ท่มี า: ราภสั ยา ศรีสทุ ธิ, 2557 2.2.5.7 ใส่ขอ้ ความตา่ ง ๆ ให้เข้ากับ Template เพ่ือใหก้ ารนำเสนอท่ีจัดทำตรงกับ ความต้องการของคุณ โดยสามารถใส่รายละเอยี ดอืน่ ๆ ได้ผา่ นแผงด้านบนที่มีให้เลอื กใส่ ลำดับภาพ พร้อมลกู ศรทีห่ วั ข้อ Frames & Arrows ภาพที่ 2.6 การใสข่ อ้ ความให้กบั Template ท่ีมา: ราภัสยา ศรีสุทธ,ิ 2557
17 2.2.5.8 ใส่วัตถุอื่น ๆ อย่างเช่นภาพประกอบงานนำเสนอ สติกเกอร์ สัญลักษณ์ แผนภาพ แผนภมู ิ วิดโี อจาก YouTube เสยี งประกอบ หรอื แมก้ ระท้งั ไฟล์ PDF และ PowerPoint ภาพที่ 2.7 การใส่สติกเกอร์ สญั ลกั ษณ์ แผนภาพ และวิดิโอ ที่มา: ราภสั ยา ศรีสุทธิ, 2557 ภาพท่ี 2.8 การใส่วัตถภุ าพ สัญลักษณ์ แผนภาพ ที่มา: ราภัสยา ศรีสุทธิ, 2557 2.2.5.9 ทำการเซฟไฟล์เมื่อการปรับแต่งของคุณเสร็จสิ้น พร้อมนำเสนอได้ทันที ที่หวั ข้อ Present หรอื สามารถแชรใ์ ห้ผูอ้ ่ืนได้ชมผลงาน ภาพที่ 2.9 การบันทึก ที่มา: ราภสั ยา ศรีสุทธิ, 2557
18 2.2.5.10 นอกจากนั้นในหัวขอ้ Share คุณยังสามารถทำการนำเสนองานออนไลน์ได้ (Start Online Presentation) หรือจะชวนให้เพื่อน ๆ เข้ามาปรับแต่ง (Invite to Edit) มีส่วนร่วม ไปจนถงึ การแชรไ์ ฟล์นัน้ ไปที่ Facebook (ราภสั ยา ศรสี ุทธ,ิ 2557, ออนไลน์) ภาพท่ี 2.10 การนำเสนองาน ทีม่ า: ราภสั ยา ศรีสทุ ธ,ิ 2557 จากการที่มีได้ศึกษาเกี่ยวกับวิธกี ารสรา้ งส่ือจาก Prezi สรุปได้ว่า ขั้นตอนการทำงาน หากจะใช้ระบบที่ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย ก็สามารถใช้งานได้ผ่านระบบออนไลน์ รูปแบบการจัดการ ท่เี ข้าใจได้ง่าย ไมซ่ ับซ่อนจนเกินไป มีฟงั กช์ น่ั ท่ีดีต่อการทำสื่อการสอน เพมาะสำหรับการปรับเปล่ียน เพื่อให้เหมาะสมกับการเรียนในปัจจุบัน ทั้งหมดนั้นเป็นการทำงานของเว็บไซด์ www.Prezi.com เป็นบริการการสร้างและนำเสนอแบบออนไลน์ เหมาะสำหรับการเรียนในยุคปัจจุบันที่ระบบ การศึกษาผ่านระบบออนไลน์มบี ทบาทในปจั จุบันเปน็ อยา่ งมาก 2.2.6 ประโยชนข์ องโปรแกรม Prezi การนำเสนอผลงาน Presentation ของหน่วยงานในลักษณะ Multimedia Presentation สามารถสรา้ งความสนใจให้แก่ผเู้ รียนในการเรียนการสอน และช่วยให้เกิดความเข้าใจ ในเนอ้ื หาท่ีต้องการส่ือสาร ถ่ายทอดความรู้ไดอ้ ย่างมีประสทิ ธิภาพ ซ่ึงโปรแกรม Prezi เป็นโปรแกรม ที่สามารถสร้างงานดา้ นการนำเสนอในรูปแบบทันสมัย และสามารถผสมผสานกับโปรแกรมทางด้าน การจัดการภาพและเสียงได้หลายประเภทสร้างเป็นผลงานที่นำไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย อาทิ การนำเสนอข้อมูลหน่วยงาน ผลการดำเนินงานงาน และสื่อการเรียนการสอน ความสำคัญของ การถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านเทคนิคการผลิตสื่อ Multimedia Presentation และโปรแกรม Prezi มปี ระโยชน์ ดงั นี้ 2.2.6.1 สามารถ Zoom เข้าออกได้อสิ ระ เปน็ เอกลักษณข์ อง Prezi 2.2.6.2 การเล่าเรื่องแบบไม่เป็นเส้นตรง ผู้ใช้สามารถเลือกสื่อท่ีเกี่ยวข้องกับ การนำเสนอได้วา่ จะนำเสนอตรงไหนก่อนสามารถขา้ มไอเดยี หนง่ึ ไปอกี ไอเดียหนง่ึ ได้
19 2.2.6.3 แชร์ข้อมูลได้ง่ายสะดวก สามารถแชร์ Presentation ให้คนสามารถร่วมดู ไดม้ ากถงึ 10 คน เพ่อื เป้นการรว่ มดไู ปเดยี ได้ดขี ้นึ 2.2.6.3 สะดวกขึ้นและสามารถสร้างแบบเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา 2.2.6.4 ไม่เป็นการนำเทคโนโลยีมาแทนครูแต่จะเป็นส่วนช่วยในการจัดทำสื่อ การเรียนการสอนของครู (ราภัสยา ศรสี ทุ ธ,ิ 2557, ออนไลน์) สรุปได้ว่าคุณค่าและประโยชน์ของ Prezi นอกจากจะใช้เป็นส่วนช่วยในการสอน ได้ตรงตามเน้อื หาวชิ า และจดุ ประสงค์ของหลักสูตรแล้วยงั จะสามารถชว่ ยพฒั นาความรคู้ วามสามารถ ของคุณครูและนักเรียนทำให้เกดิ การเรียนรู้อย่างรวดเร็ว และยังช่วยแก้ปัญหาในการเรียนการสอน อันเนื่องมาจากครูผู้สอนและความสามารถของนักเรียนแต่ละคน และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ การเรียนการสอนให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน สำหรับสื่อการสอน Prezi ที่ผู้รายงานได้จำทำขึ้นมา เปน็ การนำหลักการของการสร้างสื่อการสอน Prezi มาใช้สร้างสือ่ การเรยี นรู้ Prezi เรอ่ื ง การจำแนก ประเภทวงดนตรีสากล เพ่ือให้นักเรยี นเรียนรอู้ ยา่ งมีประสทิ ธภิ าพตามเปา้ หมายทีไ่ ดก้ ำหนดไว้ 2.3 แบบฝกึ ทกั ษะ 2.3.1 ความหมายของแบบฝกึ ทักษะ จากการศึกษาความหมายของแบบฝึกทกั ษะ ไดม้ ผี ใู้ ห้ความหมายไวต้ า่ ง ๆ กนั ดงั นี้ แบบฝึกทักษะเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาเฉพาะทักษะ ช่วยพัฒนาผู้เรียน ให้เกิดความชำนาญและเสริมสร้างความเข้าใจในเนื้อหาที่เรียน มีลักษณะคล้ายแบบทดสอบย่อย แต่มีลักษณะที่เฉพาะเจาะจงมากกว่า ลักษณะปัญหาในแบบฝึกทักษะจะเรียงลำดับจากง่ายไปยาก และตอ้ งเป็นปญั หาท่เี สริมทกั ษะพ้ืนฐาน (ฉวีวรรณ กีรติกร, 2538, หนา้ 7) แบบฝึกทักษะ เป็นงานที่ครูมอบหมายให้นักเรยี นทาเพื่อทบทวนความรู้ที่เรยี นไป โดยมีจดุ ประสงค์เพ่ือใหน้ ักเรยี นสามารถนาความรไู้ ปใชใ้ นการแก้ปญั หาและพฒั นาทกั ษะของนกั เรียน (ศฤงคาร แปง้ กลาง, 2538, หน้า 23) แบบฝึก หมายถึง แบบฝึกหัดหรือชุดการสอนที่เป็นแบบฝึกหัดที่ใช้เป็นตัวอย่าง ปญั หาหรือคำสง่ั ทีต่ ง้ั ข้นึ ใหน้ ักเรยี นตอบ (ราชบัณฑติ ยสถาน, 2538, หน้า 483) แบบฝึกหรอื แบบฝกึ หัด คือ ส่ือการเรยี นการสอนชนดิ หนงึ่ ทใี่ ช้ฝึกทักษะกับผู้เรียน หลังจากเรียนจบเนื้อหาในช่วงหนึ่ง ๆ เพื่อฝึกฝนให้เกิดความรู้ความเข้าใจ รวมทั้งเกิดความชำนาญ ในเร่ืองน้ัน ๆ อยา่ งกว้างขวางมากข้ึน (สนุ นั ทา สุนทรประเสริฐ, 2544, หน้า 2) ดังน้ัน สรปุ ไดว้ า่ แบบฝึกทักษะจึงเป็นเคร่ืองมือทีช่ ่วยพฒั นาทักษะในเรื่องท่ีเรียนรู้ ให้มากขึ้น โดยอาศัยการฝึกฝนหรือปฏิบัติด้วยตนเองของผู้เรียน ลักษณะปัญหาในแบบฝึกทักษะ จะเป็นปัญหาที่เสริมทักษะพื้นฐานโดยกำหนดขึ้นให้กับผู้เรียนตอบเรียงลำดับจากง่ายไปหายาก
20 ปริมาณของปัญหาต้องเพียงพอสำหรับการตรวจสอบและพัฒนาทักษะ กระบวนการคิด การแก้ไข และกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรยี นท่ีผา่ นการเรยี นไปเป็นที่เรียบรอ้ ยแลว้ เพอ่ื นำไปใช้ในการแก้ปัญหา รวมทั้งในแบบฝึกทักษะจะทำให้ผู้เรียนสามารถตรวจสอบความเข้าใจในบทเรียนด้วยตนเองได้ เพื่อให้เกิดทักษะเกิดความรู้ ความเข้าใจ ความชำนาญในเนื้อหาที่ผู้เรียนได้เรียนไปในเรื่องนั้น ๆ อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ 2.3.2 ลักษณะของแบบฝึกทักษะที่ดี กุสยา แสงเดช กล่าวว่า ในการสร้างแบบฝึกทักษะสำหรับนกั เรียน มีองค์ประกอบ หลายประการ ซ่ึงไดม้ ีนักการศึกษาหลายท่านใหข้ อ้ เสนอแนะเกย่ี วกบั ลกั ษณะของแบบฝึกทด่ี ี ไวด้ ังนี้ 1) แบบฝึกที่ดีควรความชัดเจนทั้งคำสั่งและวิธีทำ คำสั่งหรือตัวอย่าง แสดงวิธีทำที่ใช้ไม่ควรยากเกินไป เพราะจะทำความเข้าใจยาก ควรปรับให้ง่ายและเหมาะสมกับผ้ใู ช้ เพอ่ื นกั เรียนสามารถเรยี นด้วยตนเองได้ 2) แบบฝกึ ท่ดี ีควรมคี วามหมายตอ่ ผ้เู รยี นและตรงตามจดุ หมายของการฝึก ลงทนุ น้อย ใช้ไดน้ าน ทันสมยั 3) ภาษา และภาพที่ใช้ในการทำแบบฝึกทักษะควรเหมาะสมกับวัย เหมาะสมกบั พ้นื ฐานความรขู้ องผู้เรียน 4) แบบฝึกที่ดีควรแยกฝึกเป็นเรื่อง ๆ แต่ละเรื่องไม่ควรยาวเกินไป ควรมีกิจกรรมหลายแบบเพื่อเรา้ ความสนใจผูเ้ รียน ไม่ให้เกิดความนา่ เบือ่ ต่อการทำแบบฝกึ ทักษะใด ทักษะหนึง่ 5) แบบฝึกที่ดีควรมีทั้งแบบกำหนดคำตอบในแบบและให้ตอบโดยเสรี การเลือกใช้คำข้อความ รูปภาพในแบบฝึก ควรเป็นสิ่งที่นักเรียนคุ้นเคยและตรงกับความสนใจ ของนักเรียน ก่อให้เกิดความเพลิดเพลินและพอใจแก่ผู้ใช้แบบฝึก ซึ่งตรงกับหลักการเรียนรู้ว่า นักเรียนสามารถเรยี นได้เรว็ ในการกระทำท่ีทำให้เกิดความพงึ พอใจ 6) แบบฝกึ ทด่ี ีควรเปดิ โอกาสให้ผ้เู รียนได้ศึกษาด้วยตนเอง ให้รู้จักค้นคว้า รวบรวมสิ่งที่พบเห็นบ่อย ๆ หรือที่ตัวเองเคยใช้ จะช่วยทำให้ผู้เรียนเข้าใจเรื่องนั้น ๆ มากยิ่งขึ้น รู้จักนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้อง มีหลักเกณฑ์และมองเห็นว่าสิ่งที่ได้ฝึกน้ัน มีความหมายต่อเขาตลอดไป 7) แบบฝกึ ทีด่ ีควรตอบสนองความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคล ผู้เรียนแต่ละคน มีความแตกต่างกันในหลาย ๆ ด้าน เช่น ความต้องการ ความสนใจ ความพร้อม ระดับสติปัญญา และประสบการณ์ เป็นต้น ฉะนั้น การทำแบบฝึกแต่ละเรื่องควรจัดทำให้มากพอและมีทุกระดับ ตั้งแต่ง่ายปานกลาง จนถึงระดับคอ่ นขา้ งยาก เพื่อวัดว่านกั เรียนเก่ง ปานกลาง และอ่อน ได้เลือกทำ ตามความสามารถ ทง้ั นีเ้ พ่อื ใหน้ ักเรยี นทกุ คนไดป้ ระสบความสำเร็จในการทำแบบฝึก
21 8) แบบฝึกที่จัดทำเป็นรูปเล่ม นักเรียนสามารถเก็บรักษาไว้เป็นแนวทาง ทบทวนด้วยตนเองตอ่ ไป 9) การทน่ี ักเรียนไดท้ ำแบบฝึก ช่วยใหค้ รูมองเห็นจุดเด่นหรือปัญหาต่าง ๆ ของนกั เรียนไดช้ ดั เจน ซ่ึงจะช่วยใหค้ รูดำเนนิ การปรบั ปรงุ แก้ไขปัญหานน้ั ๆ ได้ทนั ท่วงที 10) แบบฝึกที่จัดขึ้น นอกจากมีในหนังสือเรียนแล้ว จะช่วยให้นักเรียน ได้ฝึกฝนได้อยา่ งเตม็ ที และไดค้ วามรู้ 11) แบบฝึกที่จัดพิมพ์ไว้เรียบร้อยแล้ว จะช่วยให้ครูประหยัดแรงงาน และเวลาในการที่จะต้องเตรียมแบบฝึกอยู่เสมอ ในด้านผู้เรียนไม่ต้องเสียเวลาในการลอกแบบฝึก จากตำราเรียนหรอื กระดานดำ ทำใหม้ ีเวลาและโอกาสไดฝ้ กึ ฝนทกั ษะตา่ ง ๆ ไดม้ ากขึน้ 12) แบบฝึกช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายเพราะการพิมพ์เป็นรูปเล่มที่แน่นอน ลงทุนคุ้มค่าแทนที่จะใช้พิมพ์ลงกระดาษทุกคร้ัง นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ในการที่ผู้เรียนสามารถ บนั ทึกและเก็บรวบรวมความรู้ไดอ้ ยา่ งมรี ะบบและมีระเบยี บ (กุศยา แสงเดช, 2545, หน้า 6) หลกั เกณฑก์ ารฝึกทกั ษะสรุปไดค้ อื แบบฝกึ ทกั ษะควรกำหนดนยิ ามของแต่ละขั้นตอน ให้ชัดเจน สามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างเหมาะสม แจกแจงทักษะใหญ่ให้ออกเป็นทักษะย่อย นักเรียนจะต้องฝึกทักษะในขั้นย่อย ๆ เหล่านั้นทีละขั้นจนเกิดทักษะแล้ว จึงฝึกทักษะที่ยากขึ้น ให้นักเรียนฝึกทักษะที่แจกแจงเป็นทักษะย่อยแล้วหลายครั้ง จนมีความชำนาญ เน้นการฝึกซ้ำ ๆ มีการวัดและประเมินผล หรือค่อยสังเกตพฤติกรรมของเด็ก ๆ อย่างสม่ำเสมอเพื่อจะได้ประเมินว่า ผเู้ รยี นมีทักษะปฏบิ ัติเกิดขึน้ แล้ว (จริยภรณ์ รุจโิ มระ, 2548, หน้า 148) สรุปไดว้ า่ ลักษณะของแบบฝึกที่ดี คอื แบบฝึกหดั ทม่ี จี ดุ ประสงค์ มีจดุ มุ่งหมายชดั เจน เหมาะสมต่อวัยของผู้เรียน มีรปู แบบทีท่ นั สมัย มีความนา่ สนใจ มสี ่งิ เรา้ กระตุ้น เพือ่ ดึงดูดความสนใจ ของผู้เรียนให้เกิดความต้องการที่จะฝึกปฏิบัติเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้า ใจอย่างมีประสิทธิภาพ บรรลจุ ุกประสงคท์ ต่ี ง้ั ไว้ 2.3.3 หลกั การสร้างแบบฝึกทักษะ ส่วนประกอบของแบบฝึกทักษะไว้ว่า ต้องมีจุดประสงค์ท่ีชัดเจนและสอดคล้อง กับการพัฒนาทักษะตามสาระการเรียนรู้และกระบวนการเรียนรู้ของกลุ่มสาระการเรียนรู้นั้น ๆ ในส่วนของเนื้อหาต้องถูกต้องตามหลักวิชา ภาษาเหมาะสม มีคำอธิบายและคำสั่งที่ชัดเจน ง่ายต่อการปฏิบัติตาม สามารถพัฒนาทักษะการเรียนรู้ นำให้ผู้เรียนสู่การสรุปความคิดรวบยอด และหลักการสำคัญกลุ่มสาระการเรียนรู้ เป็นไปตามลำดับขั้นตอนการเรียนรู้ สอดคล้องกับ วธิ ีการเรยี นรู้ ความแตกต่างระหว่างบคุ คล มีคำถามและกจิ กรรมท่ีทา้ ทายสง่ เสริมทกั ษะกระบวนการ เรยี นรู้ของธรรมชาติวชิ า มีกลยทุ ธก์ ารนำเสนอ การตั้งคำถามทช่ี ดั เจนมีความน่าสนใจ ลงมือปฏิบัติได้
22 และสามารถให้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อปรับปรุงการเรียนรู้ของผู้เรียนได้อย่างต่อเนื่อง (ถวัลย์ มาศจรัส, 2546, หนา้ 148) หลักการให้นักเรียนทำแบบฝึกหัดไว้ดังนี้ แบบฝึกหัดและกิจกรรมควรเรียง จากงา่ ยไปยากหาคำตอบของแบบฝกึ หัดบางข้อเพื่อให้นักเรียนตรวจสอบผลงาน และควรมีขอ้ แนะนำ อธิบายสำหรับข้อที่ยาก ควรให้นักเรียนได้ทำแบบฝึกหัดในชั่วโมงเรียน จะได้จำแนกข้อยาก และมีโอกาสซักถาม หลีกเลี่ยงการให้แบบฝกึ หัดท่ีซ้ำซากและกิจกรรมที่เป็นกิจวตั รเพือ่ ไม่ใหน้ ่าเบอ่ื ควรสอดแทรก เกม ปรศิ นา และกิจกรรมทดลองที่น่าสนใจ ควรมแี บบฝกึ หดั แบบปลายเปิดทน่ี ักเรียน เลือกปัญหาด้วยตนเอง ควรอนุญาตให้นกั เรียนทำงานเป็นคูห่ รอื กลุ่มในบางโอกาส พยายามส่งเสริม การทำงานเป็นกลุ่มลดการลอกงานกนั (สมวงษ์ แปลงประสพโชค, 2538, หนา้ 26) โดยสรุปได้ดังนี้ หลักการสร้างแบบฝึกทักษะที่ดีควรสร้างในรูปแบบเรียงลำดับ จากงา่ ยไปยาก ภาษาที่ใช้ควรเปน็ ภาษาท่ีเหมาะสมกับวัย ความสามารถในการอ่าน และความเข้าใจ ของนักเรียน เนื้อหาที่จัดให้เป็นไปตามขั้นตอนการเรียนรู้เพื่อนักเรียนจะได้มีความรู้และพัฒนาการ ตรงตามเนื้อหาการเรียน หลีกเลี่ยงการให้แบบฝึกหัดที่ซ้ำซากและกิจกรรมที่เป็นกิจวัตร ควรสอดแทรก เกม ปริศนา และกิจกรรมทดลองที่น่าสนใจ เพื่อช่วยให้นักเรียนมีความสนใจในการ เรียนมากย่ิงขึน้ 2.3.4 ประโยชนข์ องแบบฝึกทักษะ ประโยชน์ของแบบฝึกที่เกี่ยวกับทักษะคณิตศาสตร์ไว้ สรุปคือ เป็นส่วนเพิ่มเสริม หนงั สือเรยี นในการเรยี นทักษะเปน็ อปุ กรณ์การสอนท่ชี ่วยลดภาระของครูได้มาก เพราะแบบฝึกทักษะ เป็นสิ่งที่จดั ข้ึนอย่างเป็นระบบระเบียบ ช่วยในเร่ืองของความแตกต่างระหว่างบคุ คล การให้นักเรียน ทำแบบฝึกทักษะเหมาะสมกับความสามารถของนักเรียน จะช่วยให้เด็กประสบความสำเร็จ ในด้านจิตใจมากขึ้น ช่วยเสริมให้ทักษะคงทนโดยการฝึกทันทีหลังจากเด็กได้เรียนรู้ ฝึกทำซ้ำ ๆ เน้นเฉพาะเรื่องที่ต้องการ ใช้เป็นเครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์การเรียนหลังจากจบบทเรียนในแต่ละคร้ัง เมื่อนักเรียนทำแบบฝึกทักษะจะช่วยให้ครูมองเห็นจุดเด่นหรือปัญหาต่าง ๆ ของเด็กได้ชัดเจน ซึ่งจะช่วยให้ครูดำเนินการปรับปรุงแก้ไขปัญหานั้นได้ทันท่วงที ส่วนการจัดแบบฝึกเป็นรูปเล่ม จะทำให้เด็กสามารถเก็บรักษาไว้ใช้เป็นแนวทางเพื่อทบทวนด้วยตนเองได้ต่อ รวมทั้งช่วยให้เด็ก ได้ฝึกฝนตนเองได้อย่างเต็มที่ ช่วยให้ครูประหยัดทั้งแรงงานและเวลาในการที่จะต้องเตรียมแบบฝึก อยู่เสมอในดา้ นผู้เรยี นก็ไม่ต้องเสยี เวลาลอกแบบฝกึ จากตาราเรยี น ทำให้มีโอกาสฝึกฝนทักษะต่าง ๆ แบบฝกึ ทักษะเป็นส่ือการเรียนการสอนทม่ี ีประโยชน์อย่างยิ่งต่อผเู้ รียนท่ีจะชว่ ยให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะ ทห่ี ลากหลาย ใหม้ คี วามรมู้ ากขึ้นได้ฝึกดว้ ยตนเองเกดิ ความมั่นใจที่จะเรยี นรู้ (สำนักงานคณะกรรมการ การประถมศกึ ษาแห่งชาติ, 2541, หน้า 173)
23 แบบฝึกทักษะเป็นอุปกรณ์ช่วยลดภาระของครู ช่วยให้ครูมองเห็นปัญหาต่าง ๆ ของนักเรียนได้ชัดเจน ช่วยให้นักเรียนได้ฝึกทกั ษะในการใช้ภาษาให้ดีขึ้น ช่วยในเรื่องความแตกตา่ ง ระหว่างบุคคล ทำใหน้ ักเรียนประสบผลสำเร็จในทางจติ ใจมากขึน้ ช่วยเสริมทักษะทางภาษาให้คงทน เปน็ เครือ่ งมอื วดั ผลการเรยี นหลังจากเรยี นบทเรียนแล้ว ช่วยใหน้ กั เรียนสามารถทบทวนไดด้ ้วยตนเอง ช่วยให้นักเรยี นฝึกฝนไดเ้ ตม็ ที่ นอกเหนอื จากทเ่ี รียนในเวลาเรยี นและช่วยใหผ้ ู้เรียนเหน็ ความก้าวหน้า ของตนเองด้วย (ประทีป แสงเป่ียมสขุ , 2538, หน้า 34) การส่งเสริมและพัฒนาทักษะโดยใช้ แบบฝึกทักษะจะส่งผลถึงพฤติกรรมการเรียน ของผู้เรียนคือ ช่วยในการปรับพฤติกรรมการเรียน ส่งเสริมความเข้าใจความชำนาญ การคิดในใจ และแกป้ ญั หาด้วยตนเองไดเ้ ร็ว ถูกตอ้ งและแม่นยำ (ฉวีวรรณ กรี ติกร, 2538, หน้า 10) โดยสรุป แบบฝึกที่ดีและมีประสิทธิภาพ จะช่วยทำให้นักเรียนประสบผลสำเร็จ ในการฝกึ ทกั ษะได้เปน็ อย่างดี แบบฝกึ ที่ดเี ปรยี บเสมือนผู้ชว่ ยท่ีดขี องครู ทำให้ครูลดภาระการสอนลง ทำให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างเต็มที่ มีประสิทธิภาพ และเพิ่มความมั่นใจในการเรียน ไดเ้ ป็นอย่างดี อีกทง้ั แบบฝกึ จะช่วยในเร่อื งของความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยเฉพาะเด็กท่ีมีปัญหา ในการเรียนรู้นั้น จำเป็นต้องมีการสอนต่างจากกลุ่มเด็กปกติทั่วไป หรือเสริมเพิ่มเติมให้เป็นพิเศษ ฉะนนั้ แบบฝกึ ทักษะจึงมีประโยชน์มากสำหรับเด็กทีม่ ีปัญหาในการเรียนรทู้ ี่จะช่วยให้เด็กได้ฝึกปฏิบัติ เพ่อื ให้เกิดทกั ษะทางภาษาได้มากขึ้น 2.3.5 ประสิทธภิ าพของแบบฝกึ ทักษะ ความจำเป็นที่จะต้องทดสอบประสิทธิภาพของชุดการสอนหรือแบบฝึก ทักษะ อยู่หลายประการ คือ 1) สำหรับหน่วยงานผลิตแบบฝึก เป็นการประกันคุณภาพของแบบฝึกว่า อยู่ในขั้นสูงเหมาะสมที่จะผลิตออกมาจำนวนมาก หากไม่มีการทดสอบประสิทธิภาพเสียก่อนแล้ว ผลติ ออกมาใช้ประโยชนไ์ ม่ไดด้ ี ก็จะตอ้ งทำใหม่ เป็นการสน้ิ เปลืองเวลาและเงนิ ทอง 2) สำหรับผู้ใช้แบบฝึก แบบฝึกจะทำหน้าที่สอน โดยที่ช่วยสร้างสภาพ การเรียนรู้ให้ผู้เรียนเปลี่ยนพฤติกรรมตามที่มุ่งหมาย ดังนั้นก่อนนำแบบฝึกมาใช้จึงควรมั่นใจว่า แบบฝึกทกั ษะนัน้ มปี ระสทิ ธิภาพในการช่วยใหน้ ักเรียนเกิดการเรียนรู้จรงิ การทดสอบประสิทธิภาพ ตามลำดับขนั้ จะชว่ ยใหม้ คี ุณคา่ ทางการสอนจริงตามเกณฑ์ท่ีกำหนดไว้ 3) สำหรับผู้ผลิตแบบฝกึ การทดสอบประสิทธิภาพจะทำให้ผู้ผลิตมัน่ ใจได้ว่า เนื้อหา และสาระที่บรรจุลงในชุดแบบฝึกง่ายต่อการเข้าใจ อันจะช่วยให้ผู้ผลิตมีความชำนาญสูงขึน้ (อญั ชลี แจม่ เจรญิ , 2526, หน้า 24)
24 การกำหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพสามารถทำได้โดยการประเมินพฤติกรรมต่อเนื่อง (กระบวนการ) และพฤตกิ รรมขนั้ สดุ ท้าย (ผลลพั ธ์) โดยกำหนดค่าประสทิ ธภิ าพ E1 เปน็ ประสิทธิภาพ ของกระบวนการและ E2 เป็นประสิทธิภาพของผลลัพธ์ กำหนดเป็นเกณฑ์ที่ผู้สอนคาดหมายว่า ผู้เรียนจะเปลี่ยนพฤติกรรมที่พึงพอใจ โดยกำหนดให้เป็นเปอร์เซ็นต์ของผลการทดสอบหลังเรียน ของผู้เรียนทั้งหมด นั่นคือการใช้เกณฑ์ในเนื้อหาเป็นทักษะไว้ 80/80 (ชัยยงค์ พรหมวงศ์, 2532, หน้า 495) เสนอวิธคี ำนวณหาประสิทธภิ าพ โดยใช้วธิ ี การคำนวณดงั น้ี E1 ได้จากการนำคะแนนงานทุกชิ้นของนักเรียนแต่ละคนรวมกันแล้วหาค่าเฉลี่ย เทยี บเป็นร้อยละ E2 ได้จากการนำคะแนนผลการสอบหลังการทดลองของนักเรียนทั้งหมดรวมกัน แล้วหาค่าเฉลย่ี เทียบเป็นร้อยละ การคำนวณประสิทธิภาพของแบบฝกึ กระทำโดยใชส้ ูตรต่อไปนี้ ∑ ������ E1 N= X 100 A ∑ ������ E2 = N X 100 A E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการคิดเป็นร้อยละจากการตอบ สสสสสสแบบฝกึ หัดของชดุ การฝกึ ไดถ้ กู ตอ้ ง E2 แทน ประสทิ ธิภาพของผลลัพธค์ ิดเปน็ รอ้ ยละจากการทำแบบทดสอบ หลงั การฝึกแตล่ ะชดุ ได้ถกู ต้อง ∑ ������ แทน คะแนนรวมของผเู้ รยี นจากแบบฝึกหดั ∑ ������ แทน คะแนนรวมของการทดสอบหลงั จากฝกึ N แทน จำนวนของผูเ้ รยี น A แทน คะแนนเตม็ ของแบบฝึก B แทน คะแนนเตม็ ของแบบทดสอบหลังการฝึก
25 การกำหนดเกณฑ์ E1/E2 ให้มีค่าเท่าใดนั้นควรพิจารณาตามความเหมาะสม โดยปกตเิ นื้อหาท่ีเป็นความรคู้ วามจำ มกั จะตั้งไว้ 80/80, 85/85 หรือ 90/90 สว่ นเนอ้ื หาทเี่ ปน็ ทักษะ อาจตั้งไว้ต่ำกว่านี้ เช่น 75/75 เป็นต้น เมื่อกำหนดเกณฑ์ได้แล้วนำไปทดลองใช้จริง อาจได้ผลท่ี ไม่ตรงตามเกณฑ์ แต่ไม่ควรตำ่ กวา่ เกณฑท์ ีก่ ำหนดไว้ ร้อยละ 5 เช่น ถ้ากำหนดไว้ 90/90 ก็ควรได้ไม่ ต่ำกวา่ 85.5/85.5 ขั้นตอนการทดสอบประสิทธิภาพ เมื่อผลิตแบบฝึกเพื่อเป็นต้นแบบแล้ว ต้องนำแบบฝึกไปทดสอบประสิทธภิ าพตามขน้ั ตอนตอ่ ไปนี้ 1) ขั้นหาประสิทธิภาพ 1:1 หรือแบบเดี่ยว (Individual Tryout 1:1) เป็นการทดลองกับผู้เรยี นกลุ่มละ 1 คน โดยใช้เด็กเก่ง ปานกลาง อ่อน เพื่อค้นหาข้อบกพรอ่ งตา่ ง ๆ เช่น ลักษณะของแบบฝึก จำนวนแบบฝึก ความสนใจของนักเรียนและ ความเหมาะสมในด้านเวลา เสรจ็ แล้วปรับปรุงใหด้ ีข้ึน 2) ขั้นหาประสิทธิภาพ 1:10 หรือแบบกลุ่ม (Small group Tryout 1:10) เป็นการทดลองกับผู้เรียนกลุ่มละ 6-10 คน (คละผู้เรียนเก่งกับอ่อน) เก็บรวบรวมข้อมูล โดยการสังเกต ตรวจผลงาน สัมภาษณ์ เพื่อค้นหาข้อบกพร่องแล้วนำไปปรบั ปรุงแก้ไขให้ผู้เชี่ยวชาญ ตรวจปรับปรงุ จนได้ตามเกณฑ์ 3) ขั้นหาประสิทธิภาพ 1:100 หรือแบบสนาม (Field Tryout 1:100) เป็นการทดลองกับผู้เรียนกลุ่ม 40-100 คน ให้นักเรียนคละกันทั้งเก่งและอ่อน คำนวณหา ประสิทธิภาพของแบบฝึก ผลลัพธ์ที่ได้ควรใกล้เคียงกับการที่ได้ตั้งจากเกณฑ์ เพื่อพิจารณา ประสิทธิภาพดงั กล่าวให้ดยี ่งิ ขึ้น และพฒั นาตอ่ ไป จากหลักและวิธีการให้ทำแบบฝึกทักษะข้างต้น ผู้วิจัยขอสรุปได้ดังนี้ วิธีการจัดทำ แบบฝึกทักษะที่ผู้ศึกษาสร้างไว้ดังนี้ คือ ต้องกระตุ้นให้นักเรียนเห็นความสำคัญของการฝึกทักษะ โดยใช้แบบฝึกทักษะให้ผู้เรียนทำแบบฝึกด้วยความตั้งใจที่จะพัฒนาตนเอง ทำด้วยความเข้าใจ ตามระดับความสามารถของตน กำหนดระยะเวลาสั้น ๆ ในการฝึก แต่บ่อยครั้งไม่ฝึกติดต่อกัน เป็นเวลานานเพราะผู้เรียนอาจเกิดความเบื่อหน่ายได้ มีการอธิบายสำหรับข้อที่ยาก รวมทั้งการ ให้ฝึกปฏิบัติควรจะมาหลังการสอน เมื่อนักเรียนเข้าใจดีแล้ว โดยฝึกทำจากสิ่งที่ง่ายไปหาสิ่งที่ยาก อีกทั้งครูต้องแนะนำอย่างใกล้ชิด เพราะถ้าพบข้อผิดพลาดแล้วครูจะได้แก้ไขก่อนที่จะติดเป็นนิสัย และแจ้งให้นักเรียนทราบว่าแบบฝึกทักษะจะเป็นการแสดงถึงความก้าวหน้าของนักเรียน เพอ่ื ครจู ะใชเ้ ป็นแนวทางในการชว่ ยเหลือไดอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพต่อไป การประกันคุณภาพแบบฝึกว่า อยู่ในขั้นสูงหรือไม่เหมาะสมที่จะผลิตออกมาจำนวนมาก หากไม่ได้มีการทดสอบประสิทธิภาพ เมื่อผลิตออกมาใช้ประโยชน์ไม่ได้ดี ก็จะต้องทำขึ้นมาใหม่ ทำให้สิ้นเปลืองเวลาและเงินทอง ดังนนั้ กอ่ นนำมาใช้ควรมั่นใจว่าแบบฝึกทกั ษะน้ีประสทิ ธิภาพในการช่วยให้นกั เรยี นเกดิ การเรยี นรูจ้ รงิ
26 2.4 ประเภทวงดนตรีสากล 2.4.1 วงดนตรีสากล วงดนตรีสากลมักเล่นเป็นวงดนตรีมีการแบ่งตามประเภทของการบรรเลงท่ี เปน็ ระเบียบมาแต่โบราณกาลจนถึงปจั จบุ นั เป็น 7 ประเภท คอื 2.4.1.1 วงออร์เคสตรา หรือวงดุริยางค์สากล ประกอบด้วยเครื่องดนตรีประเภท เครื่องสาย รวมกับเครื่องลมไม้ เครื่องลมทองเหลือง และเครื่องตีกระทบ ซึ่งมีประวัติความเป็นมา ที่ยาวนานตั้งแต่สมัยยุคบาโรค (ศตวรรษที่ 16) มีการเปลี่ยนแปลงของวงออร์เคสตรา เกิดขึ้นทั้ง ในด้านขนาดของการประสมวง และลักษณะบทเพลงท่ีใชบ้ รรเลง การประสมวงออรเ์ คสตราในยคุ แรก ประมาณกลางศตวรรษที่ 17 มีเครื่องสายในตระกูลไวโอลิน ต้นศตวรรษที่ 18 เครื่องเป่าชนดิ ต่าง ๆ เช่น ทรมั เป็ตและกลองทมิ ปานปี ระสมวงดว้ ย กลางศตวรรษท่ี 18 การประสมวงออร์เคสตรามีรปู แบบ ที่เป็นมาตรฐาน เครื่องดนตรีประเภทเครื่องลมไม้ถูกนำมาประสมวงและมีบทบาทในเพลงมากขึ้น ช่วงต้นศตวรรษท่ี 24 เครื่องลมไม้และเครื่องลมทองเหลือง ถูกพัฒนาเทคนิคการบรรเลงเพิ่มมากขึ้น วงออรเ์ คสตราในยุคนีถ้ ูกพฒั นาไปท้งั 2 ด้าน คือ ด้านขนาดของวงและเทคนคิ การบรรเลงใหม่ ๆ 1) วงซมิ โฟนีออร์เคสตรา หรอื วงดุรยิ างคส์ ากล ขนาดของวงไดก้ ำหนดโดยผู้บรรเลงในกลุ่มเครือ่ งสายดังน้ี 1.1) วงขนาดเล็ก (Small Orchestra) มผี ู้บรรเลงประมาณ 40-60 คน 1.2) วงขนาดกลาง (Medium Orchestra) มผี ้บู รรเลงประมาณ 60-80 คน 1.3) วงขนาดใหญ่ (Full Orchestra) มผี ู้บรรเลงประมาณ 80 คนข้นึ ไป วงออร์เคสตรา ประกอบด้วยเครื่องดนตรีสำคัญ เช่น ไวโอลิน วิโอลา เชลโล ดับเบิลเบส ปิคโกโล ฟลุต โอโบ อิงลิชฮอร์น คลาริเน็ต บาสซูน ทรัมเป็ต ทรอมโบน เฟรนช์ฮอร์น ทูบากลองใหญ่ ฉาบ ไทรแองเกิล กรับสเปน รามะนา เบล ก๊อง กลองทิมพะนี และไซโลโฟน ภาพท่ี 2.11 วงออร์เคสตรา ที่มา: สุดใจ ทศพร, 2516, หนา้ 90
27 2.4.1.2 วงเชมเบอร์มิวสิค คือ วงดนตรีขนาดเล็กท่ีสามารถบรรเลงโดยนักดนตรี ตั้งแต่ 2-9 คน เหมาะที่จะแสดงในสถานที่เล็ก ๆ ไม่กว้างขวางนักจัดเป็นการผสมวงดนตรี ของตะวันตกอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งมีความเป็นมายาวนาน นับตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 14 หรือยุคกลาง (Middle Age) เป็นต้นมาได้มีการผสมวงดนตรีซึ่งพบในบทเพลงโมเต็ท (Motet) และแมดริกัล (Madrigal) สถานท่เี หมาะกับการบรรเลงและการฟังจงึ ควรเปน็ หอ้ งโถงตามบ้าน วงเชมเบอร์มิวสิค ประกอบด้วยเครื่องดนตรีสำคัญ เช่น วิโอล่า ฟลุต โอโบ คลารเิ นต็ บาสซนู ฮอร์น เชลโล เปยี โน ดับเบลิ เบส ทรมั เป็ต ทรอมโบน และยโู ฟนเนยี ม วงเชมเบอร์มวิ สิคมีเช่ือเรียนเฉพาะตามจำนวนของผู้บรรเลง ดงั น้ี 1) กลมุ่ ละ 2 คน เรยี กว่า ดเู อต (Duet) หรอื ดูโอ (Duo) มีผูแ้ สดง จำนวน 2 คน เช่น ผู้เลน่ ไวโอลนิ 1 คน และผเู้ ลน่ เปยี โน 1 คน ภาพที่ 2.12 วงเชมเบอรม์ ิวสกิ ดูเอต ที่มา: สุดใจ ทศพร, 2516, หนา้ 91 2) กลุ่มละ 3 คน เรียกว่า ทรีโอ (trio) มีผู้แสดงจำนวน 3 คน เชน่ ผูเ้ ล่นไวโอลิน 1 คน ฟลูต 1 คน และฮาร์พ 1 คน ภาพที่ 2.13 วงเชมเบอรม์ ิวสกิ ทรีโอ ที่มา สุดใจ ทศพร, 2516, หนา้ 91
28 3) กลุ่มละ 4 คน เรียกว่า ควอเต็ต (quartet) มีผู้แสดงจำนวน 4 คน เช่น เครอื่ งสาย 4 ชิน้ คือผ้เู ลน่ ไวโอลนิ 2 คน วิโอลา 1 คน และเชลโล 1 คน ภาพที่ 2.14 วงเชมเบอร์มวิ สกิ ควอเต็ต ทม่ี า: สุดใจ ทศพร, 2516, หนา้ 92 4) กลุ่มละ 5 คน เรียกว่า ควินเต็ต (quintet) จำนวน 5 คน เช่น วงเครื่องเป่าทองเหลือง 5 ชิ้น คือ ผู้เล่นทรัมเป็ต 2 คน ฮอร์น 1 คน ทรอมโบน 1 คน และ ทบู า 1 คน ภาพท่ี 2.15 วงเชมเบอรม์ ิวสิก ควินเต็ต ทม่ี า: สุดใจ ทศพร, 2516, หนา้ 92 5) กลุ่มละ 6 คน เรยี กวา่ เซ็กเต็ต (sextet) มผี แู้ สดงจำนวน 6 คน เชน่ ผเู้ ลน่ ไวโอลิน 2 คน วโิ อลา่ 1 คน ฟรตุ 1 คน คลาริเนต็ 1 คน และเชลโล 1 คน ภาพท่ี 2.16 วงเชมเบอรม์ วิ สิก เซ็กเตต็ ที่มา: สุดใจ ทศพร, 2516, หน้า 94
29 6) กลุ่มละ 7 คน เรียกว่า เซ็ปเต็ต (septet) ผแู้ สดงจำนวน 7 คน เชน่ ผูเ้ ล่นไวโอลนิ 2 คน เฟรนช์ฮอร์น 1 คน คลารเิ น็ต 1 คน บาสซูน 1 คน เชลโล 1 คน และดบั เบิล เบส 1 คน ภาพท่ี 2.17 วงเชมเบอร์มวิ สกิ เซ็บเต็ต ทม่ี า: สุดใจ ทศพร, 2516, หนา้ 94 7) กลุ่มละ 8 คน เรยี กวา่ ออ๊ กเตต็ (octet) มีผูแ้ สดงจำนวน 8 คน เช่น ผู้เลน่ ไวโอลนิ 4 คน วโิ อลา 2 คน และเชลโล 2 คน ภาพที่ 2.18 วงเชมเบอร์มิวสิก อ๊อกเต็ต ท่มี า: สุดใจ ทศพร, 2516, หนา้ 95 8) กลุ่มละ 9 คน เรียกว่า โนเน็ต (nonet) มีผู้แสดงจำนวน 9 คน ประกอบด้วยผู้เล่นไวโอลิน วิโอลา ฟลุท โอโบ คลาริเน็ต บาสซูน ฮอร์น เชลโล และดับเบิลเบส รวมเปน็ 9 คน ภาพที่ 2.19 วงเชมเบอรม์ ิวสกิ โนเน็ต ทีม่ า: สุดใจ ทศพร, 2516, หน้า 95
30 2.4.1.3 วงโยธวาทิต เป็นวงดนตรีที่ประกอบด้วยเครื่องดนตรี 3 ประเภท ได้แก่ ประเภทเคร่อื งเป่าลมไม้ เครื่องเปา่ ลมทองเหลือง และเครือ่ งตี เป็นวงดนตรีท่เี กดิ ข้ึนต้ังแต่สมัยโรมัน ปกติแลว้ ใช้ในการนำขบวนพาเหรด ใชบ้ รรเลงเพลงเดินแถวเพื่อปลกุ ใจทหารในสมยั สงครามครเู สด วงโยธวาทติ ประกอบดว้ ยเครอ่ื งดนตรีสำคญั เชน่ คลารเิ น็ต แซกโซโฟน โซปราโน ฟลุต คอร์เน็ต อัลโตแซกโซโฟน ฉาบ ปิโกโล ทรัมเป็ต ยูโฟเนียม ทรอมโบน กลองใหญ่ และกลองสแนร์ ภาพที่ 2.20 วงโยธวาทิต ทม่ี า: สุดใจ ทศพร, 2516, หนา้ 96 2.4.1.4 วงแจ๊ส เป็นวงดนตรีท่ีเกิดขึ้นจากการผสมกนั ระหว่างดนตรีของชาวยุโรป และอาฟริกาเปน็ วงดนตรีที่กำเนิดขึ้นที่นครนิวออร์ลีนบริเวณสตอรวี ิล (Storyville) มีลักษณะพิเศษ คือ โนต้ บูลส์ จงั หวะสวิง การโต้ตอบทางดนตรี และการเลน่ สด วงแจส๊ ประกอบด้วยเครอ่ื งตีเปน็ สำคญั กีตาร์ ดับเบิลเบส เปียโน ทรมั เป็ต ทรอมโบน คลารเิ น็ต แซกโซโฟน โซปราโน กลอง และอัลโตแซกโซโฟน ภาพท่ี 2.21 วงแจส๊ ท่มี า: สุดใจ ทศพร, 2516, หนา้ 96
31 2.4.1.5 วงสตริงคอมโบ เป็นวงดนตรีเครื่องสายแบบชาวตะวันตกที่มีขนาดเล็ก เกิดใหม่จากการดัดแปลงและรวมวงวงคอมโบเข้ากับวงชาโดว์ บทเพลงที่บรรเลงส่วนใหญ่ยังคง เป็นเพลงในแนวดนตรีรอ็ คเหมือนเดิม กีต้าร์เป็นเครื่องดนตรีที่มีบทบาทท่สำคัญในการบรรเลงมาก ทำหน้าที่บรรเลงทำนองสอดแทรกต่างๆ ทำนองในตอนขึ้นต้นบทเพลง ทำนองล้อรับเสียงขับร้อง โซโล และทำนองท่อนลงจบ กีต้าร์ที่ทำหน้าที่ในวงดนตรีน้ี เหล่านี้เรียกว่า ลีดกีต้าร์ (Guitar Lead) หรือ โซโลกีตา้ ร์ (Guitar Solo) สว่ นกีตา้ ร์ท่ีเหลืออกี 1 เครื่อง จะทำหนา้ ทด่ี ีดคอร์ด ประกอบบทเพลง ดว้ ยลีลาต่าง ๆ เรียกวา่ ริธ่มึ กีต้าร์ (Guitar Rhythm) วงสตริงคอมโบ ประกอบด้วย กตี าร์ กีตาร์เบส เปียโน และกลองชดุ ภาพที่ 2.22 วงสตริงคอมโบ ทีม่ า: สุดใจ ทศพร, 2516: 97 2.4.1.6 วงคอมโบ เป็นวงดนตรีขนาดเล็กมีผู้บรรเลง 3-7 คน ในปัจจุบันวงคอมโบ จะบรรเลงตามห้องอาหาร สถานลีลาสหรือไนต์คลับ หรือบนเวทีแสดงดนตรี โดยเฉพาะตามเมือง ตามสถานที่ต่าง ๆ ทีเ่ ราเรียกกนั วา่ วงดนตรีประเภทลกู ทุง่ ก็ยงั มใี ห้พบเหน็ กนั อยู่ วงคอมโบ ประกอบดว้ ยเครื่องดนตรีสำคัญ เชน่ กตี าร์ กตี าร์เบส เปียโน ทรัมเป็ต ทรอมโบน อัลโตแซกโซโฟน กลองชุด และแซกโซโฟน ภาพที่ 2.23 วงคอมโบ ที่มา: สุดใจ ทศพร, 2516, หน้า 98
32 2.4.1.7 แตรวง เป็นเครื่องดนตรีที่มีอยู่ในวงดนตรีที่ผสมด้วยเครื่องดนตรีประเภท กลุม่ เครอ่ื งทองเหลอื ง กลมุ่ เครื่องกระทบ และชนิดต่าง ๆ เพยี งสองตระกูลเทา่ นั้น วงดนตรีลักษณะนี้ เหมาะสำหรับใชบ้ รรเลงนำในการเดินแถวในทกุ สภาพทอ้ งถ่ิน เพราะแตรเป็นเครื่องดนตรีที่สร้างขนึ้ ด้วยโลหะ ไม่มีสว่ นประกอบท่ีกระจกุ กระจกิ เหมือนเครื่องดนตรีอน่ื ๆ ทนต่อการโยกยา้ ยหรือหอบหิ้ว ไปไดโ้ ดยสะดวก ผู้ริเรมิ่ นำเครอ่ื งเปา่ ลมทองเหลอื งมารวมเป็นวง คอื กลุ่มชาวเหมอื งในเมืองเฮย์ด็อค แอปเปลิ ตนั ประเทศอังกฤษ ใน ค.ศ.1894 โดยใชบ้ รรเลงในพธิ แี ต่งงานนำความคักคกึ มาสู่ครอบครัว และชมุ ชน วงแตรวง ประกอบด้วยเครื่องดนตรีสำคัญ เช่น ทรัมเป็ต คอร์เน็ต บาริโทน ยูโฟเนียม ทรอมโบน ทูบา ฉาบ คลาริเน็ต แซ็กโซโฟน กลองเล็ก กลองใหญ่ (โกวิท ประวาลพฤกษ์, 2547, หนา้ 117-122) ภาพท่ี 2.24 วงแตรวง ทม่ี า: สุดใจ ทศพร, 2516, หน้า 98 จากข้อความข้างต้น สรุปได้ว่า ประเภทของวงดนตรีสากล สามารถจำแนกตามลักษณะ และองค์ประกอบของเครื่องดนตรี แต่ละวงดนตรีจะมีเครื่องดนตรีประกอบเข้าอยู่ในวงดนตรีน้ัน ทำให้การจำแนกประเภทวงดนตรสี ากล มขี อ้ สังเกตทำให้ผจู้ ำแนกแบง่ ประเภทออกได้จากการจำแนก เครื่องดนตรี และอีกส่วนที่จะทำให้การจำแนกประเภทวงดนตรีสากลนั้นง่ายยิ่งขึ้น คือ โอกาสใน การใช้วงดนตรีในงานต่าง ๆ เช่น วงโยธวาทิต เป็นวงดนตรีที่ประกอบด้วยเครื่องดนตรีประเภท เครื่องเป่าลมไม้ เครื่องเป่าลมทองเหลือง และเครื่องตี เป็นวงดนตรีที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยโรมัน ปกติแล้วใช้ในการนำขบวนพาเหรด และอีกวงดนตรี เช่น วงแตรวง เปน็ เคร่อื งดนตรีท่ีอยู่ในวงดนตรี ที่ผสมด้วยเครื่องดนตรี กลุ่มเครื่องทองเหลือง และกลุ่มเครื่องกระทบ เพียงสองตระกูลนี้เท่านั้น วงดนตรีในลักษณะนี้เหมาะสำหรับใช้บรรเลงนำในการเดินแถวในทุกสภาพท้องถิ่น เพราะแตรเป็น เคร่ืองดนตรีที่สร้างขึ้นด้วยโลหะ และไม่มีส่วนประกอบที่กระจุกกระจิกเหมือนเครื่องดนตรีอื่น ทนทายตอ่ การโยกย้ายหรอื หอบห้ิวไปไดโ้ ดยสะดวก
33 2.5 องค์ประกอบของดนตรสี ากล องค์ประกอบของดนตรี คือ ส่วนสำคัญพื้นฐานทางดนตรีซึ่งรวมกันทำให้เกิดดนตรี หรือบทเพลงต่าง ๆ เปน็ รูปรา่ งขน้ึ มาได้ โดยประกอบดัวยองค์ประกอบตา่ ง ๆ ดงั น้ี 2.5.1 เสียง (Tone) ในทางดนตรี หมายถึง เสียงที่เกิดจากการสั่นสะเทือน ของอากาศอย่างสมำ่ เสมอ โดยจะเกิดจากการรอ้ ง การเป่า การดีด และการสี เสียงจะประกอบด้วย คุณสมบัติเสียง 4 อยา่ ง คือ ระดบั เสียง ความยาวของเสียง ความเข้มของเสยี งและคณุ ภาพของเสียง 2.5.1.1 ระดับเสียง (Pitch) คือ ความสูงต่ำของระดับเสียง เกิดจากความถ่ี การส่นั สะเทือน ถา้ ความถ่กี ารสัน่ สะเทือนเรว็ เสียงจะสงู ความถีก่ ารสั่นสะเทอื นชา้ เสยี งจะตำ่ 2.5.1.2 ความยาวของเสียง (Duration) คือ ความยาวสั้นของเสียง เสยี งดนตรี อาจมคี วามยาวเสียง เช่น เสียงสนั้ ๆ เสียงยาวมาก ซ่ึงเปน็ พ้นื ฐานในเรือ่ งของจังหวะ (Rhythm) 2.5.1.3 ความเข้มของเสียง (Intensity) คือ ความแตกต่างของเสียงจากคอ่ ย ไปจนถงึ ดงั ซ่ึงเป็นพื้นฐานเรอ่ื งจงั หวะเนน้ ในทางดนตรี 2.5.1.4 คุณภาพของเสียง (Quality) คือ คุณภาพของเสียงแต่ละชนิด เกิดได้จากการสั่นสะเทือนของวัตถุที่ทำให้เกิดเสียงนั้น ๆ ขึ้นมา ซึ่งเป็นพื้นฐานเรื่องสีสันของเสียง (Tone Color) 2.5.2 จังหวะ (Rhythm) สัญลักษณ์ที่บอกความยาว สั้น (Duration) ของตัวโน้ต และตวั หยดุ โดยไมม่ ีระดับเสยี ง ในบทเพลงจะมอี งคป์ ระกอบจงั หวะ ดังน้ี 2.5.2.1 ความเร็วของจังหวะ (Tempo) เทมโป มาจากภาษาอิตาเลียน หมายถึง เวลา แต่ในเส้นทางดนตรี หมายถึง ความเร็ว ช้า ปานกลาง ซึ่งถูกกำหนดไว้ในบทเพลง โดยมีเครื่องกำหนดความเร็วที่เรียกว่าเมโทรนอม (Metronome) และมีชื่อเรียกกำหนดความเร็ว จงั หวะ ได้แก่ Presto เรว็ มาก Allegro เรว็ Moderato ความเร็วปานกลาง Adagio ชา้ ๆ ไมร่ บี รอ้ น Largo ชา้ มาก 2.5.2.2 อัตราจังหวะ (Time) คือ การจัดเรียงการเคลื่อนอย่างสม่ำเสมอ หรือความเงียบ เปน็ จงั หวะพนื้ ฐานทส่ี มำ่ เสมอเท่ากนั โดนตลอด อาจกำหนดไว้เปน็ ความชา้ เร็วต่างกัน ในทางดนตรีแล้วนั้น การกำหนดความสัน้ ยาว ของเสียง ที่มีส่วนสัมพนั ธก์ บั ระยะเวลาการร้องเพลง หรือเล่นดนตรีจะต้องมีจังหวะเป็นเกณฑ์ ถ้าร้องเพลงหรือเล่นดนตรีที่ไม่ตรงตามจังหวะ ก็จะไม่มี ความไพเราะเท่าที่ควร ทั้งนี้การใช้จังหวะขัด (Syncopation) เป็นเรื่องที่ผู้ประพันธ์ตั้งใจให้เกิดข้ึน
34 ภายในบทเพลง ซ่ึงแตกตา่ งจากการเล่นไม่ตรงจังวะ การจัดกล่มุ จังหวะตบ (Beat) เป็น 2 3,4 จงั หวะ เคาะเน้นจงั หวะหนกั เบา ของจังหวะตบทเี่ กดิ ขน้ึ จงั หวะตบ (Beat) หมายถึง จงั หวะทีด่ ำเนนิ คล้ายการเตน้ ของหวั ใจ ตารางที่ 2.1 ตราแสดงอตั ราจงั หวะ กลุ่มอตั รา 2 จังหวะ (เน้นจังหวะที่ 1) 1 2 1 2 1 2 1 2 กล่มุ อตั รา 3 จังหวะ (เน้นจังหวะท่ี 1) 1 2 3 1 2 3 1 2 3 กลุ่มอตั รา 4 จงั หวะ (เน้นจังหวะท่ี 1) 1 2 3 4 1 2 3 4 2.5.3 รูปแบบจังหวะ (Rhythm Pattern) รูปแบบกระสวนจังหวะของจังหวะ ที่ถูกกำหนดไว้เพื่อเป็นจังหวะในการบรรเลงบทเพลง เช่น จังหวะมาร์ช (March) จังหวะวอลซ์ (Waltz) จังหวะรอ็ ค (Rock) เปน็ ต้น 2.5.4 ทำนอง (Melody) การจัดเรียงลำดับสูง ต่ำ และความยาว สั้น ของเสียง ตามแนวนอน ทำนองเป็นองค์ประกอบดนตรีที่ง่ายต่อการจำเหมือนภาษาพูดที่เป็นประโยค เพือ่ ตอบสนองความคดิ ของผูพ้ ูดดงั นน้ั การเข้าใจดนตรีจึงตอ้ งจำทำนองให้ได้ 2.5.5 เสียงประสาน (Harmony) การผสมผสานเสียงตั้งแต่ 2 เสียงขึ้นไป โดยบรรเลงพร้อมกันการประสานเสียงมีทั้งให้ความกลมกลืนไพเราะ และไม่กลมกลืน การนำเสียง ตง้ั แต่ 2 เสียงมาบรรเลงพร้อมกนั จะเรียกวา่ ขน้ั คเู่ สยี ง (Interval) ถา้ นำเสยี ง 3 เสียงขึ้นไปมาบรรเลง พรอ้ มกนั จะเรียกวา่ คอรด์ (Chord) 2.5.6 รูปพรรณหรือพื้นผิว (Texture) คือ ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหวา่ งทำนอง กับเสยี งประสาน ซงึ่ ทำให้เกิดเป็นภาพรวมของดนตรี รปู พรรณดนตรีมหี ลายแบบ ไดแ้ ก่ 2.5.6.1 แบบโมโนโฟนี (Monophony) คอื ดนตรีทมี่ แี นวทำนองแนวเดียว ไมม่ เี สยี งประสานหรือองค์ประกอบใด 2.5.6.2 แบบโฮโมโฟนี (Homophony) คือ ดนตรีที่มีแนวทำนองหลัก เป็นแนวที่สำคัญที่สดุ ในขณะที่แนวอื่น ๆ เป็นเพียงแนวประสานเสียงด้วยคอร์ดเข้ามาชว่ ยใหท้ ำนอง หลกั ไพเราะขึน้ เช่นเพลงไทยสากล เพลงพนื้ บา้ น (Folk Song) เป็นตน้ 2.5.6.3 แบบโพลิโฟนี (Polyphony) คือ ดนตรีที่ใช้แนวทำนองหลายแนว เพื่อมาประสานกับทำนองหลัก ทำนองหลักจะเป็นแนวที่สำคัญ แต่แนวอื่น ๆ ก็เป็นทำนองรอง และเปน็ แนวประสานเมื่อเล่นจะพบวา่ แตล่ ะแนวเปน็ ทำนองด้วยเชน่ กนั 2.5.7 รูปแบบ (Form) โครงสร้างของบทเพลงที่มีแบบแผน ซึ่งผู้ประพันธ์เพลง มีรูปแบบการแต่งเพลงตามที่ตนเองคิดไว้ เช่น การแบ่งเป็นห้องเพลง เป็นวลี (Phrase) เป็นประโยค (Sentence) และเป็นท่อนเพลง รูปแบบของบทเพลงในปัจจบุ นั
35 2.5.8 สีสันของเสียง (Tone Color) คุณสมบัติของเสียงเครื่องดนตรีแต่ละชนิด รวมเสียงร้องของมนุษย์ซึ่งแตก ต่างกันไปในเรื่องของการดนตรี สีสันของเพลงอาจเกิดจาก การร้องเดี่ยว การบรรเลงเดีย่ วโดยผู้แสดงเพยี งคนเดียว หรือการนำเครื่องดนตรีหลายชนิดเสยี งร้อง มารว่ มบรรเลงดว้ ยกันก็เกดิ เป็นการรวมวงดนตรีแบบตา่ ง ๆ ขึน้ 2.5.9 ลักษณะของเสียง จัดเป็นองค์ประกอบทางดนตรีที่เกี่ยวกับการถ่ายทอด ความรู้สึกหรืออารมณ์เพลง และเรื่องราวเกี่ยวกับความดัง-เบาของเสียง (ณรุทธ์ สุทธจิตต์ิ, 2545, หน้า 18-20) สรุปได้วา่ องค์ประกอบทางดนตรีเนส่วนสำคัญของพื้นฐานทางดนตรี ความช้า-เร็ว ของจังหวะเพลง เสียงที่เกิดขึ้น เสียงประสาน และอีกหลายองค์ประกอบเมื่อนำมาประสานรวมกนั ทำให้เกิดเป็นดนตรี หากผู้บรรเลงสามารถกระทำสอดคล้องประสานกันได้ดี ก็จะให้เกิดเสียง อนั เปน็ เอกลกั ษณข์ ้ึน และเมอื่ ได้ฟังกจ็ ะทราบได้ทนั ทวี า่ เพลงในลักษณธนนั้ เป็นแนวเพลงใด 2.6 งานวิจยั ทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง วิจัยเรื่อง การใช้เอกสารประกอบการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ ศิลปะ (ดนตรี) รหัสวิชา ศ14101 เรื่อง โน้ตดนตรีสากล ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษา ประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรียนสาระการกลุ่ม เรียนรู้ศิลปะ(ดนตรี) รหัสวิชา ศ14101 เรื่อง โน้ตดนตรี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 ก่อนและหลังการใช้เอกสารประกอบการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ (ดนตรี) รหัสวิชา ศ14101 เรื่อง โน้ตดนตรีสากล 3) เพื่อศึกษา ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการเรียนโดยใช้เอกสารประกอบการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ (ดนตรี) รหัสวิชา ศ14101 เรื่อง โน้ตดนตรีสากลกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ปีการศึกษา 2559 โรงเรียนบ้านทุ่งหง อำเภอเมืองจังหวัดระนอง จำนวน 24 คน เคร่อื งมอื ท่ีใช้ในการศกึ ษาประกอบด้วยแผนการจัดการเรียนรู้จำนวน 9 แผนเอกสาร ประกอบการเรียนจำนวน 6 บท และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น 30 ข้อสถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานค่าร้อยละและเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อน และหลังการเรียนโดยใช้ t - test ผลการศึกษาสรุปได้ว่า 3.1) เอกสารประกอบการเรียน มคี วามสอดคลอ้ งเหมาะสมและมปี ระสิทธิภาพเท่ากบั 81.15/82.64 สงู กว่าเกณฑม์ าตรฐานที่กำหนด 80/80 3.2) นักเรยี นทีเ่ รยี นโดยใช้เอกสารประกอบการเรียนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่า กอ่ นเรยี นแตกต่างอยา่ งมีมนี ัยสำคญั ทางสถิติท่รี ะดับ 01 3.นกั เรยี นมคี วามพึงพอใจตอ่ การใช้เอกสาร ประกอบการเรียนโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากโดยมคี ่าเฉล่ีย 4.45 (วรณุ ยพุ า ชจู นั ทร์, 2559, หนา้ ข)
36 วจิ ยั เร่อื ง การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น เร่อื ง การอ่านโนต้ ดนตรีไทยตามอตั ราจังหวะ โดยใช้สื่อมัลติมีเดีย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ ภูเก็ต ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีการวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อพัฒนาการอ่านโน้ตตามอัตราจังหวะของเพลงไทย โดยใช้สื่อมัลติมีเดีย ในการสอนเรื่องอัตราจังหวะของนักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 2 ให้มีประสิทธภิ าพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาดนตรี ในเรื่องการอ่านโน้ตดนตรีไทย ตามอตั ราจังหวะ ระหว่างกอ่ นเรียนและหลงั เรียนกลมุ่ ตวั อย่างที่ใช้ เป็นนกั เรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ ภูเก็ต ในพระราชูปถัม ภ์สมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 38 คน ซึ่งได้มาจาก การสุ่มจำนวนนักเรียน 1 ห้อง จาก 6 ห้องเรยี น เครื่องมือที่ใช้ในการวัดผลสมั ฤทธิ์ คือ อัตราจังหวะ เพลงไทยโดยใช้สื่อมัลติมีเดีย และแบบฝึกการอ่านโน้ตเพลงไทย ในการสอนเรื่องอัตราจังหวะ เพื่อนำไปสู่การอ่านโน้ต แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า t-test การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ซึง่ วธิ กี ารวเิ คราะห์ขอ้ มูลทำไดโ้ ดยการหาค่าเฉลย่ี และค่าความแปรปรวนของผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน วิชาดนตรีของกลุ่มทดลอง กับกลุ่มควบคุม และเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ ก่อนการทดลอง และหลังทดลอง ผลการวิจัย พบว่า อัตราจังหวะของดนตรีไทยโดยใช้สื่อมัลติมีเดีย ในการสอน เรื่อง อัตราจังหวะของนักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 2 มีประสิทธิภาพเทา่ กบั 85.71/85.79 ซึ่งสูงกวา่ เกณฑ์ที่กำหนด 80/80 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยการใช้สื่อมัลติมีเดียในการสอนวิชาดนตรี เรื่อง อัตราจังหวะเพลงไทย ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 2 หลังเรียนสูงกว่ากอ่ นเรียน (ประนัสดา ตันสกุล, 2563, หน้า ข) วิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้สื่อมัลติมีเดีย เรื่อง เทคโนโลยีรน่ารู้ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพ สื่อมัลติมีเดีย เรื่อง เทคโนโลยีน่ารู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ที่กำหนด 80/80 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องเทคโนโลยีน่ารู้ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลังเรียน โดยใช้สื่อมัลติมีเดีย และเพื่อศึกษาเจตคติของนักเรียน ต่อสื่อมัลติมีเดียของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลชลบุรีจำ นวน 35 คน ในปีการศึกษา 2560 ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรยี น ชนิดเลอื กตอบ 3 ตัวเลอื ก จำนวน 20 ข้อ แบบวัดเจตคตเิ ปน็ ข้อคำถามแบบมาตราส่วน ประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ จำนวน 10 ข้อ และ แผนการจัดการเรียนรู้สื่อมัลติมีเดีย เร่ือง เทคโนโลยนี า่ รขู้ องนกั เรยี นชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 3 จำ นวน 4 แผน ทำการสอนคาบละ 50 นาที
37 จำนวน 8 คาบ สถิติที่นำมาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานด้วย t-test แบบ Dependent Samples ผลการวิจัยพบว่า 1) สื่อมัลติมีเดยี เรื่อง เทคโนโลยีน่ารู้ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2560 มีประสิทธิภาพ 92.14/ 85.44 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้สื่อมัลติมีเดีย เรื่อง เทคโนโลยีน่ารู้ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 01 3) เจตคติของนักเรียนต่อสื่อมัลติมีเดียเรื่องเทคโนโลยีน่ารู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยภาพรวมมคี ่าเฉลย่ี อยู่ในระดบั มากทีส่ ุด (สุทธณิ ี ภาพพิมพใ์ จ, 2561, หนา้ ข) จากการศกึ ษาเอกสารและงานวจิ ัยดังกล่าวจะเหน็ ว่าสอื่ การเรยี นรไู้ มว่ า่ จะเป็น สอ่ื การสอน ที่ทำจาก Prezi หรืออาจเป็นมัลติมีเดียอื่น ๆ สามารถนำไปใช้ในการให้ความรู้ความเข้าใจ ทั้งด้านทฤษฎีและการปฏบิ ัติการเรยี นการสอนเกี่ยวกับวิชาดนตรีได้หลากหลาย เรื่องทีเ่ กี่ยวขอ้ งกับ วิชาดนตรีและการใช้เอกสารประกอบการเรียนการสอนวิชาดนตรี หลักการใช้ชุดแบบฝึกทักษะ ที่มีประสิทธิภาพสามารถนำไปใช้ในกิจกรรมการเรียนการสอนสามารถที่จะพัฒนานักเรียน ใหบ้ รรลุผลตามผลการเรียนรู้ท่ีคาดหวงั ได้ นกั เรยี นสามารถเรียนรไู้ ด้รู้ด้วยตนเองและช่วยลดช่องว่าง ระหว่างความสามารถความแตกต่างระหว่าง บุคคลจึงควรสนับสนุนและให้ความสนใจการสอน โดยใช้สื่อการสอนต่าง ๆ สื่อการสอนแบบมัลติมีเดียเป็นสื่อที่ตอบโจทย์ชุอยู่ในยุคสมัยปัจจุบัน ที่มีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง กับการเรียนการสอนในระดับออนไลน์ จัดได้ว่าสือ่ การเรียนรู้ประเภท มลั ติมเี ดยี นมี้ บี ทบาทตอ่ การเรียนการสอนในปจั จุบัน แต่การทจ่ี ะวัดประสทิ ธภิ าพของส่อื การเรยี นรู้ได้ นั้นจะตอ้ งมแี บบฝึกทักษะประกอบการสอนดว้ ย แบบฝกึ ทักษะนนั้ สามารถชว่ ยให้ทราบถึงการเรียนรู้ ของนักเรียนท่ีมีต่อสื่อการเรียนรู้นั้น ๆ ว่ามีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด ทั้งนี้แบบฝึกทักษะ นน้ั กค็ วรมปี ระสิทธิภาพดว้ ยเชน่ กัน
38
38 บทที่ 3 วิธดี ำเนินการวจิ ยั การวจิ ัยเรื่องนี้ เป็นการวจิ ยั เพื่อใช้สอ่ื การเรียนรู้วชิ าดนตรี เรื่อง การจำแนกประเภทวงดนตรี สากล ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 ที่ได้รับการสอนโดยใช้สื่อการเรียนรู้ Prezi กับการสอน แบบบรรยาย โดยมี วิธีดำเนินการวิจยั ดังรายละเอียดต่อไปน้ี 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3.2 เคร่อื งมอื ทีใ่ ช้ในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู 3.3 การสร้างและหาคุณภาพของเคร่ืองมือ 3.4 การดำเนินการทดลองและการเกบ็ รวบรวมข้อมูล 3.5 การวเิ คราะหข์ ้อมูลและสถติ ิทใ่ี ช้ในการวิเคราะหข์ อ้ มลู 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง สสสสส 3.1.1 ประชากร ประชากรในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2564 โรงเรยี นสามพรานวทิ ยา จำนวน 20 คน 3.1.2 กลุม่ ตัวอยา่ ง กลุ่มตัวอย่างในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2564 โรงเรียนสามพรานวทิ ยา จำนวน 20 คน 3.1.3 การทดสอบแบ่งออกเปน็ 2 ชว่ ง ชว่ งที่ 1 ทดสอบความรู้ก่อนการเรยี นแบบฝึกหดั เร่ือง เครือ่ งดนตรสี ากล ช่วงที่ 2 ทดสอบความรู้หลังจากสอนโดยแบบฝึกทักษะ เรื่อง การจำแนกประเภท วงดนตรีสากลเป็นเวลา 2 สัปดาห์ 3.2 เคร่อื งมอื ท่ใี ชใ้ นการเกบ็ รวบรวมข้อมูล เคร่อื งมอื ท่ีใชใ้ นการวิจยั ครั้งนปี้ ระกอบดว้ ย 3.2.1 สื่อการเรียนรู้ Prezi เรื่อง การจำแนกประเภทวงดนตรีสากล ของนักเรียนระดับ ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 3.2.2 แบบฝึกทักษะการเรียนรู้วิชาดนตรี เรื่อง การจำแนกประเภทวงดนตรีสากล ของนักเรยี นระดบั ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4 3.2.3 แบบทดสอบการเรียนรู้ เรื่อง การจำแนกประเภทวงดนตรีสากล ของนักเรียนระดับ ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 4
39 3.3 การสรา้ งและหาคณุ ภาพของเครอ่ื งมือ 3.3.1 การสร้างแบบฝึกทักษะวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบฝึกทักษะ เรื่อง การจำแนก ประเภทวงดนตรสี ากลที่สรา้ งข้ึนเป็นแบบฝกึ ทกั ษะซ่ึงได้ดาเนนิ การสร้างตามลำดับขน้ั ตอน ดงั น้ี 3.3.1.1 ศึกษาทฤษฎีและวิธีการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เอกสารที่เกี่ยวขอ้ งกบั การวดั ผลประเมนิ ผล ศกึ ษาการสรา้ งข้อสอบให้ได้มาตรฐานตามหลักวิชาการ 3..3.1.2 วิเคราะห์หลักสูตร จุดประสงค์การเรียนรู้ และเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับ เรื่องที่สรา้ งตามลำดบั ขั้นตอน ดงั น้ี - สรา้ งตารางวเิ คราะห์หลกั สตู ร - สร้างแบบทดสอบใหม้ ีความเทย่ี งตรงตามเน้ือหา 3..3.1.3 สร้างสื่อการเรียนรู้ Prezi ให้ครอบคลุมและสอดคล้องกับเนื้อหาและ จดุ ประสงคข์ องแบบฝึกทักษะวงดนตรสี ากล 3.3.1.4 นำแบบทดสอบที่สร้างเสร็จแลว้ ตรวจสอบ ความเที่ยงตรงของแบบทดสอบ โดยการใช้ค่าดัชนคี วามสอดคล้อง (IOC) - การหาคา่ ดัชนีความสอดคล้อง (IOC) มเี กณฑใ์ นการประเมินดงั ต่อไปนี้ +1 หมายถงึ แนใ่ จว่าขอ้ สอบวัดจดุ ประสงค์ข้อนน้ั 0 หมายถงึ ไม่แนใ่ จวา่ ขอ้ สอบวดั จุดประสงคข์ ้อนั้น -1 หมายถงึ แน่ใจว่าข้อสอบไมว่ ดั จดุ ประสงค์ขอ้ น้นั โดยมีเกณฑ์ตัดสินว่า ชุดแบบฝึกทักษะที่มีค่าดัชนีความสอดคล้องต้องมีค่าเฉลี่ย ตั้งแต่ 0.5 ขน้ึ ไป ซึ่งผลการวเิ คราะหป์ รากฏวา่ แบบฝึกทกั ษะทกุ ขอ้ มคี า่ เฉลยี่ มากกว่า 0.5 ทกุ ข้อ 3.3.1.5 นำแบบทดสอบที่คำนวณหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ไปทดลองใช้ (Try out) กับนกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 3 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 20 คน ซ่ึงเป็นนักเรียนท่ีไม่ใช่ กลุ่มตัวอย่าง เพื่อนำผลมาวิเคราะห์หาค่าความยากง่าย (P) ค่าอานำจำแนก (r) โดยมีเกณฑ์ใน การวิเคราะหด์ งั นี้ - ค่าความยาก (P) ตอ้ งอยรู่ ะหว่าง 0.20 - 0.80 มีค่าเทา่ กับ 0.63 - ค่าอำนาจจำแนก (r) ต้องมคี า่ จำแนก 0.20 ข้นึ ไป มีค่าเท่ากบั 0.67 ผลการวเิ คราะหค์ ่าความยาก (P) และค่าอำนาจจำแนก (r) ของแบบทดสอบปรากว่า แบบทดสอบทุกข้อมีคา่ ความยาก (P) และค่าอำนาจจำแนก (r) ตามเกณฑ์ท่กี ำหนด 3..3.1.6 หาค่าความเชื่อมั่นของข้อสอบที่ใช้วัดผลสัมฤทธ์ิ โดยใช้สูตร KR - 20 ของ Kuder Richardson ของขอ้ สอบ มีค่าเท่ากบั 0.946 3..3.1.7 ใช้ข้อสอบที่ผ่านการหาประสิทธิภาพ จำนวน 20 ข้อ จัดพิมพ์แบบทดสอบ วดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น เพือ่ นำไปใช้กับนักเรียนกลุ่มตวั อย่าง
40 3.4 การดำเนนิ การทดลองและเก็บรวบรวมขอ้ มูล การดำเนินการศึกษาในครั้งน้ี ผู้วิจัยได้นำสื่อการเรียนรู้ Prezi เรื่อง การจำแนกประเภท วงดนตรีสากล ที่มีการปรับปรุงแก้ไขมาตามลำดับ ทำการสอนให้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนสามพรานวทิ ยา ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2564 จำนวน 20 คน 3.4.1 ขั้นนำเข้าสู่การเรียนโดยใช้สื่อการเรียนรู้ เรื่อง การจำแนกประเภทวงดนตรีสากล เป็นการเตรียมความพร้อม และเป็นการสร้างแรงจูงใจให้นักเรียนมีแรงกระตุ้นให้เกิดความสนใจ มคี วามกระตือรือร้น ตอ้ งการท่ีจะอยากรู้ อยากเหน็ อยากเรียนด้วยวธิ ีการตา่ ง ๆ เชน่ การยกตัวอย่าง การสาธติ ทายภาพ ถามตอบ เป็นต้น 3.4.2 แจ้งจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 3.4.3 นำแบบฝึกทักษะการจำแนกประเภทวงดนตรีสากล มาดำเนินการสอนกับนักเรียน ที่เป็นกลุ่มตัวอย่างตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในกิจกรรมการเรียนการสอนของสื่อการเรียนรู้ Prezi เรื่อง การจำแนกประเภทวงดนตรสี ากล แตล่ ะเร่ืองซึง่ มขี ั้นตอนดังน้ี 3.4.3.1 นกั เรียนศึกษาชดุ แบบฝกึ ทกั ษะการจำแนกประเภทวงดนตรสี ากล 3.4.3.2 ทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทำแบบฝึกทักษะก่อนการเรียนการสอน เร่ือง การจำแนกประเภทวงดนตรสี ากล 3.4.3.3 ข้ันประกอบกิจกรรมการเรยี นการสอน นกั เรียนทำกจิ กรรม และปฏิบัติงาน ศึกษาค้นคว้าความรู้จากสื่อการเรียนรู้ Prezi เรอื่ ง การจำแนกประเภทวงดนตรีสากล เพอ่ื เพ่ิมความรู้ ในการทำกิจกรรมการเรยี นการสอนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรูต้ ามเน้ือหาและวัตถุประสงค์ ท่ีกำหนดไว้ ในสือ่ การเรยี นรู้ Prezi เรอื่ ง การจำแนกประเภทวงดนตรีสากล 3.4.3.4 ขั้นสรุปสื่อการเรียนรู้ Prezi เรื่อง การจำแนกประเภทวงดนตรีสากล เป็นการสรุปความรู้ ความเข้าใจของนักเรียน เกี่ยวกับความคิดรวบยอดในแต่ละเรื่องว่าผู้เรียน เกิดการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ตั้งไวห้ รอื ไม่ 3.4.3.5 แบบฝึกทักษะหลังการเรียน เมื่อดำเนินการจัดการเรียนการสอนตาม แผนการจดั การเรยี นรู้ในแต่ละเร่อื งเสร็จส้นิ เปน็ ท่ีเรยี บร้อยแล้ว ทำการทดสอบหลังเรียนกับนักเรียน ที่เป็นกลุม่ ตวั อยา่ งโดยใช้แบบฝึกทกั ษะปฏิบัตขิ ั้นพัฒนาที่ 1 เป็นแบบฝึกวัดความเข้าใจของนักเรยี น และอนุญาตให้ใช้เอกสารประกอบการเรยี นการสอนได้ 3.4.3.6 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังจากที่นักเรยี นไดเ้ รียนเสร็จส้ิน ใช้แบบฝึกทักษะปฏิบัติที่ 2 ขั้นพัฒนาความรู้ เรื่อง การจำแนกประเภทวงดนตรสี ากล เมื่อนักเรียน ทำครบทุกแบบฝกึ ทกั ษะเรยี บรอ้ ยแลว้ ทำการสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนกับนกั เรียนท่ีเป็นกลุ่ม ตัวอย่าง โดยใช้แบบฝึกทดสอบหลังเรียน เรื่อง การจำแนกประเภทวงดนตรีสากล วัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรยี น
Search