เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วชิ า การเกษตรผสมผสาน หลักสตู รประกาศนียบตั รวชิ าชพี 2556 รหัสวชิ า 2501-2008
สารบญั เร่อื ง หนา้ บทที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการเกษตรผสมผสาน 1 1 ความหมายและความสำคญั ของการเกษตรผสมผสาน 3 การทำการเกษตรแบบผสมผสานลักษณะต่าง ๆ 4 รปู แบบของการทำเกษตรย่งั ยืน 6 บทที่ 2 หลกั การและรูปแบบของการเกษตรผสมผสาน 6 หลักการของการเกษตรแบบผสมผสาน 6 ปัจจยั สำคัญของการทำการเกษตรแบบผสมผสาน 7 รปู แบบของการเกษตรแบบผสมผสาน 10 บทที่ 3 การสำรวจ วิเคราะห์พืน้ ที่ และความต้องการผลิตผลการเกษตร 10 การสำรวจพื้นท่กี ารทำเกษตรแบบผสมผสาน 16 การสำรวจความตอ้ งการผลผลติ ทางการเกษตร 17 การวเิ คราะห์พื้นท่ี และกจิ กรรมการผลิตในระบบเกษตรผสมผสานโดยใช้ SWOT analysis 21 บทท่ี 4 การวางแผน และการเตรยี มการทำการเกษตรแบบผสมผสาน 21 การวางแผนการทำการเกษตรแบบผสมผสาน 22 การวางแผนการผลิตในแต่ละกจิ กรรมการผลติ ในระบบการเกษตรแบบผสมผสาน 24 การเตรยี มการผลิตในแต่ละกิจกรรมการผลิตในระบบการเกษตรแบบผสมผสาน 26 บทท่ี 5 การจัดการฟารม์ เกษตรแบบผสมผสาน 26 ความรู้เก่ยี วกบั การจัดการฟารม์ เกษตรแบบผสมผสาน 27 การจัดการกจิ กรรมการเกษตร 33 การผสมผสานกจิ กรรมการผลติ ในระบบการเกษตรแบบผสมผสาน บทท่ี 6 เรื่อง การประยุกตใ์ ช้หลักการเกษตรทฤษฎใี หม่ และหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการ 35 ทำการเกษตรผสมผสาน 35 เกษตรทฤษฎใี หม่ 36 เศรษฐกจิ พอเพยี ง การทำการเกษตรโดยประยุกตใ์ ชห้ ลกั การเกษตรทฤษฎใี หม่ และหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจ 38 พอเพยี ง 40 บทที่ 7 ปัญหาอปุ สรรคการทำการเกษตรแบบผสมผสาน และแนวทางการแก้ไข 40 ปญั หาเกี่ยวกบั ดิน และแนวทางการแก้ไข 45 ปัญหาเกี่ยวกับนำ้ และแนวทางการแก้ไข 47 ปญั หาเกย่ี วกบั ศัตรพู ชื และแนวทางการแกไ้ ข 50 ปัญหาเกีย่ วกบั โรค-ศตั รูของสัตว์เล้ยี ง และแนวทางการแก้ไข 51 ปัญหาเกี่ยวกบั ปจั จยั การผลิต และแนวทางการแก้ไข 52 ปัญหาเกีย่ วกับการตลาด และแนวทางการแกไ้ ข 53 อา้ งอิง
1 บทท่ี 1 เรือ่ ง ความรู้เบอ้ื งต้นเกยี่ วกับการเกษตรผสมผสาน 1. ความหมายและความสำคัญของการเกษตรผสมผสาน 1.1 ความหมายของการเกษตรแบบผสมผสาน เกษตรผสมผสาน (Integrated Farming System) เป็นระบบเกษตรท่ีมีการเพาะปลูกพืชหรือเล้ียง สัตว์ต่าง ๆ หลายชนดิ อยู่ในพ้ืนที่เดียวกัน ภายใต้การเกื้อกูลประโยชน์ต่อกันและกันอย่างมีประสิทธภิ าพสูงสุด โดยอาศัยหลักการอยู่ร่วมกันระหว่างพืช สัตว์ และส่ิงแวดล้อม และต้องมีการวางรูปแบบดาเนินการให้ ความสำคัญต่อกิจกรรมแต่ละชนิดอย่างเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ สังคม มีการใช้แรงงาน เงนิ ทนุ ทด่ี นิ ปจั จยั การผลติ และทรพั ยากรธรรมชาติอย่างมปี ระสิทธภิ าพและเกิดประโยชนส์ งู สุด เกษตรผสมผสาน จัดเป็นเกษตรทางเลือกท่ีเป็นรูปแบบทางการเกษตรท่ีมีกิจกรรมต้ังแต่สองชนิดข้ึน ไปในช่วงเวลา และพน้ื ที่เดยี วกัน เช่น การปลูกพืชและมีการเลี้ยงสัตว์หลายชนิดในพ้ืนท่ีเดียวกัน มีการเกื้อกูล กันอย่างต่อเนื่องระหว่างกิจกรรม เช่น ระหว่างพืชกับพืช พืชกับปลา สัตว์กับปลา พืชกับสัตว์ สัตว์กับสัตว์ ลักษณะการเกื้อกูลกันของระบบเกษตรผสมผสานจึงทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงและลดการพ่ึงพิงปัจจัย ภายนอกซง่ึ เป็นการเพิ่มประสทิ ธิภาพการใชท้ ี่ดินและทรัพยากรที่มอี ย่ใู นพื้นทอี่ ย่างเหมาะสมและเกดิ ประโยชน์ สูงสดุ การทำการเกษตรผสมผสานต้องมีกิจกรรมการเกษตรตั้งแต่ 2 กิจกรรมข้ึนไป จึงจะถือว่าเป็นการ ผสมผสานที่ดี โดยการทำการเกษตรทั้งสองกิจกรรมน้ัน ต้องทำในพื้นท่ีและระยะเวลาเดียวกัน กิจกรรม การเกษตรควรประกอบไปด้วยการปลูกพืชและการเล้ียงสตั ว์ อย่างไรก็ตามอาจสามารถผสมผสานระหว่างการ ปลูกพืชต่างชนิด หรือการเลี้ยงสัตว์ต่างชนิดกันก็ได้ ในการจัดการกิจกรรมการผลิตทางการเกษตร ให้มีการ ผสมผสานเก้ือกูลกัน อย่างได้ประโยชน์สูงสุดน้ันควรจะมีกิจกรรมหลาย ๆ อย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรจะมี การปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ร่วมกันไปด้วย เนื่องจากพืชและสัตว์ มีการใช้ทรัพยากรท่ีแตกต่างกัน และมีห่วงโซ่ ความสมั พันธท์ ี่ตอ่ เนอ่ื งกันอยู่ พืชโดยท่วั ไปมีหน้าที่และบทบาทในการดงึ เอาแรธ่ าตุในดิน อากาศ และพลังงาน จากแสงแดดมาสังเคราะห์ให้อยู่ในรูปของอาหารพวกแป้ง น้ำตาล โปรตีน และแรธ่ าตตุ ่าง ๆ ท่ีสัตว์สามารถใช้ ประโยชน์ได้ สำหรับสัตว์นั้น สัตว์ไม่สามารถบริโภคอากาศและแร่ธาตุท่ีจำเป็นโดยตรง แต่จะต้องบริโภค อาหารจากพืชอีกต่อหนึ่ง เมื่อสัตว์น้ันขับถ่ายของเสีย หรือตายลงก็จะเน่าเป่ือยย่อยสลายกลายเป็นแรธ่ าตุต่าง ๆ ท่ีจะเป็นประโยชน์กับพืช วงจรความสัมพันธ์เช่นน้ี จะหมุนเวียนไปรอบแล้วรอบเล่า จนกลายเป็นห่างโซ่ ความสัมพันธ์ของสัตว์ ที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ระบบกิจกรรมปัจจุบันท่ีเล้ยี งสัตว์ หรอื ปลกู พืชอย่างใด อย่างหนึ่ง แต่เพียงอย่างเดียวในพ้ืนที่กวา้ งขวาง จงึ สร้างผลกระทบต่อสมดุลระหว่างพืชกับสัตว์ และก่อให้เกิด ปัญหาตอ่ ระบบนิเวศในทส่ี ุด โดยมหี ลกั การสำคัญ 3 ประการคอื 1) ตอ้ งมีกิจกรรมการผลติ ตั้งแต่ 2 ชนิดข้ึนไป 2) กจิ กรรมการผลติ หน่ึงต้องเก้ือกูลต่ออกี กจิ กรรมการผลิตหน่ึงอย่างเป็นวงจร ซ่ึงการเกือ้ กูล ดงั กล่าวอาจเก่ียวข้องกบั อาหาร แร่ธาตุ อากาศ และพลังงาน 3) ก่อให้เกิดประโยชน์และประสิทธิภาพสูงสุดต่อระบบฟาร์มรูปแบบการเกษตรแบบ ผสมผสาน 1.2 ความสำคัญของการเกษตรแบบผสมผสาน มดี ังน้ี 1) เกษตรกรพ่ึงพาตนเองได้โดยไม่จำเป็นต้องกู้ยืมเงินมาลงทุน เมื่อสภาวะ ราคาพืชผลผันแปร เกิดหน้ีสิน เกษตรกรสามารถนำเอาปัจจัยการผลิตที่มีอยู่ในท้องถ่ินมาใช้ให้เกิด ประโยชน์สูงสุดโดยไม่เสียเงิน
2 ทองซ้ือมา เม่ือลดรายจ่าย เพ่ิมรายได้ เกษตรกรก็สามารถอยู่ได้ ยืนอยู่บนขาของตัวเองโดยมีปัจจัยพื้นฐาน สำหรบั ดำรงชพี ทีผ่ ลิตได้เอง ก็สามารถมีความสขุ ไดอ้ ย่าง ยงั่ ยนื 2) เพ่ือเพิ่มผลผลิตต่อพื้นที่โดยมีการจัดการเรื่องทุน ท่ีดิน และแรงงานอย่าง มีประสิทธิภาพ กอ่ ให้เกดิ ผลผลติ ต่อหน่วยการผลติ สงู เช่น การเลี้ยงปลาในนาขา้ ว ทำให้ได้ทัง้ พชื ผลผลติ ข้าวและปลา ในพื้นที่ เดียวกนั 3) สร้างเสถียรภาพและความยั่งยืน ท้ังทางเศรษฐกิจ และสภาพแวดล้อมให้ เกิดข้ึนในไร่นา และ ครอบครัวการเกษตร 4) เกษตรแบบผสมผสานลดความเส่ียงในการผลิต ในด้านการผลิตท่ีอาจ เสียหาย หรือความไม่ แน่นอนและเสียเปรียบเรือ่ งราคา ตลอดจนไมแ่ นน่ อนของดนิ ฟ้าอากาศ 5) ปรับปรุงสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรมให้กลับคืนสู่สภาพท่ีอุดมสมบูรณ์ได้ เพราะการปลูกไม้ยืน ตน้ ไม่วา่ จะเป็นไม้ผลหรอื ไมใ้ ช้สอยในระบบเกษตรแบบผสมผสานจะชว่ ยให้เกิด ความรม่ เยน็ มูลสัตว์จะเป็นปุ๋ย แก่พืช เศษพืชเป็นอาหารสตั วแ์ ละทำปุ๋ยอินทรยี ์ 6) เกษตรกรมีงานทำตลอดปี จะช่วยแก้ปัญหาการอพยพแรงงานจากชนบท เข้าสเู่ มือง ตัดปัญหา การขายแรงงาน การก่ออาชญากรรม การคา้ มนุษย์ เปน็ ตน้ 7) ลดการใช้พลังงานในการเกษตรลง เพราะปัจจัยการใช้พลังงานสามารถ จัดหาได้จากผลพลอย ได้จากผลผลิตในไร่นา เช่น ก๊าซชีวภาพ ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยหมักและไม้ใช้สอยที่ เกิดจากไม้โตเร็วต่าง ๆ แรงงาน จากสตั วเ์ ลี้ยง เช่น วัว ควาย 8) รักษาสภาพทางนิเวศวิทยา การทำเกษตรแบบผสมผสานเป็นการเพิ่มพูน ความอุดมสมบูรณ์ ให้กับคน รักษาความสมดุลให้กับสภาพแวดล้อมซ่ึงความสมดุลยจะเกิดขึ้นเอง ตามธรรมชาติ เช่น ก๊าซ ไนโตรเจนในธรรมชาติจะถูกเปลยี่ นเป็นอินทรียวัตถุโดยจุลินทรยี ์ ทอี่ าศัยอยู่ ในรากพืชตระกูลถวั่ และสาหร่าย สีเขียวแกมน้ำเงิน จนทำให้ไนโตรเจนท่ีอยู่ในรูปที่พืชจะสามารถ นำไปใช้ประโยชน์ได้ ส่วนธาตุอาหารอ่ืน ๆ พืชสามารถสะสมพลังงานแสงแดดในรูปของเนื้อไม้ อาหาร และโปรตีน เศษซากพืชท่ีร่วงหล่นบนพื้นดนิ จะเน่า กลายเปน็ อาหารพชื 1.3 ประโยชน์ท่ีไดร้ บั จากการเกษตรแบบผสมผสาน การเกษตรแบบผสมผสานเป็นรปู แบบหนง่ึ ของระบบเกษตรกรรมทีม่ กี จิ กรรมตัง้ แต่ 2กิจกรรมขึน้ ไปใน พ้ืนท่ีเดียวกัน และกิจกรรมเหลาน้ีจะมีการเก้ือกูลประโยชนซ่ึงกันและกันไม่ทางใดก็ทางหน่ึง ดังน้ัน จึงเป็น ระบบท่ีนำไปสู่การเกษตรแบบย่ังยืน (Sustainable Agriculture) จึงก่อให้เกิดผลดี และประโยชนในดานต่าง ๆ ดังตอไปน้ี 1) เพ่ือเพ่ิมรายได้ภาคเกษตรจากกิจกรรมการเกษตรหลายๆชนิด ท้ังกิจกรรมพืช สัตว์ ประมง และกิจกรรมการเกษตรอ่ืน ๆ เป็นการลดความเสี่ยงจากกิจกรรมการผลิตเพียง 1-2 ชนิด อีกทั้งเป็นการเพ่ิม รายได้จากกจิ กรรมหลายชนดิ 2) ลดตน้ ทุนการผลิต โดยการใชท้ รัพยากรในฟาร์มและปัจจัยการผลิตรว่ มกันในการผลิตกจิ กรรม การเกษตร 3) เป็นการกระจายการใช้ท่ีดิน ทุน และแรงงานของครัวเรือนเกษตรกรได้อย่างต่อเน่ืองตลอดปี 18 4) เปน็ การช่วยรักษาและอนุรักษส์ ภาพแวดล้อม สภาพธรรมชาติ ใหม้ ีสภาพสมดลุ 5) ลดความเสยี่ งจากความแปรปรวนของสภาพลม ฟา้ อากาศ 6) ลดความเสี่ยงจากความผนั แปรของราคาผลผลิต
3 7) ลดความเส่ียงจากการระบาดของศตั รูพืช 8) ชว่ ยเพ่มิ รายได้และกระจายรายไดต้ ลอดปี 9) อาหารเพยี งพอบรโิ ภคในครวั เรอื น 10) ช่วยส่งเสรมิ คุณภาพชีวติ ท่ดี ีในกลุ่มเกษตรกร 1.4 ขอ้ ไดเ้ ปรียบของการทำระบบเกษตรผสมผสาน มดี ังนี้ 1) ลดความเส่ียงเนื่องจากความแปรปรวนของสภาพลมฟ้าอากาศ ราคาผลผลิตที่ไม่แน่นอนและ การระบาดของศตั รู พชื 2) ลดต้นทุนการผลิต เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรภายในฟาร์ม ได้แก่ ท่ีดิน แรงงานและ เงินทนุ 3) มอี าหารเพยี งพอแก่การบรโิ ภคภายในครัวเรอื น และมีรายได้อย่างต่อเนอื งตลอดปี 4) การใช้แรงงานสม่ำเสมอตลอดปี จึงทำให้ลดปัญหาการเคลื่อนย้ายแรงงานจากภาคการเกษตร ไปสภู่ าคอน่ื ๆ 5) เกษตรกรจะมเี ศรษฐกจิ ทีพ่ อเพียง จงึ เป็นผลใหม้ สี ภาพความเปน็ อยแู่ ละมีคณุ ภาพชวี ติ ที่ดีขึ้น 6) เปน็ ระบบการเกษตรทีเ่ หมาะสมกับเกษตรกรรายย่อย 1.5 ขอ้ จำกัดของการทำระบบเกษตรผสมผสาน มดี ังน้ี 1). เกษตรกรจะตอ้ งมที ี่ดนิ ทุน แรงงาน ทเี่ หมาะสม 2) เกษตรกรจะตอ้ งมีความมานะ อดทน และขยันขันแขง็ 3) ระบบการตลาดในทอ้ งถิน่ และในระดับภูมิภาค 4) มกี ารวางแผนจัดการทรัพยากรทเี่ หมาะสม 2. การทำการเกษตรแบบผสมผสานลกั ษณะตา่ ง ๆ 2.1 การทำการเกษตรแบบผสมผสานในทอ้ งถน่ิ การทำการเกษตรในระดบั ท้องถ่ิน ซง่ึ เป็นการหมุนเวยี นการผลติ และการบรโิ ภคภายในท้องถน่ิ เอง สามารถทำไดท้ สี่ วนหลงั บ้าน หรือแปลงเกษตรของชุมชน เกิดประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจต่อชุมชน ชมุ ชนทนี่ า่ อย่อู าศยั และเป็นมิตรตอ่ สภาพแวดล้อม ควรส่งเสริมการทำเกษตรชุมชน ซ่งึ มีหลักการปฏบิ ัติ ดังต่อไปน้ี 1) จัดให้มีพื้นท่ีการทำเกษตรชุมชนภายในชุมชนการทำการเกษตรชุมชน ควรปฏิบัติโดย ประชากรภายในชุมชนเอง ซ่ึงจะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ท่ีดีของคนในชุมชน ทางเลือกอีกประการหน่ึง คือ การท่ีชุมชนทำการว่าจ้างเกษตรกรมาทำการเกษตรภายในพ้ืนที่ ผลผลิตที่ได้จะกลับคืนสู่ชุชมชนเอง หรือนำ ออกขายในตลาดภายนอกชุมชน เพอื่ เปน็ รายได้กลบั คนื สู่ชุมชน 2) อนุญาตให้มีการทำการเกษตรในย่านท่ีพักอาศัยในบางชุมชนมีกฎห้ามทำการเกษตรในย่านที่ พกั อาศยั ซ่ึงเป็นการจำกัดขอบเขตในการสง่ เสรมิ การทำเกษตรชมุ ชน 2.2 การทำการเกษตรแบบผสมผสานในประเทศ ในระดับประเทศผู้บริหารประเทศจำเป็นต้องคำนึงถึงปริมาณอาหารท่ีเพียงพอใน การเลี้ยงประชากร ของประเทศ (Self-sufficiency) การทำเกษตรกรรายหน่ึง ๆ อยู่รอดได้อาจน้ันต้องคำนึงถึงการอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อม และทรัพยากร ตลอดจนการควบคุมมลภาวะ ฯลฯ ในระดับประเทศน้ันอาจคำนึงถึงการส่งเป็น สินค้าออก เพ่ือให้ได้เงินตราต่างประเทศสำหรับซ้ือสินค้าอย่างอื่นท่ีจำเป็นแก่ส่วนรวมมาใช้อีกด้วย (Self- reliance)
4 2.3 การทำการเกษตรแบบผสมผสานในต่างประเทศ ในระดับนานาชาตินั้น มองกว้างออกไปอีกถึงเร่ืองสภาวะสิ่งแวดล้อม การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ มลภาวะ สวัสดิภาพของมนษุ ยโลก ตลอดจนการพฒั นา นานาชาติ เป็นต้น ตวั อยา่ งการทำเกษตรผสมผสานในตา่ งประเทศ การเลย้ี งปลาในนาข้าวในประเทศญปี่ นุ่ ในประเทศจนี น้ันมีการพฒั นารปู แบบเกษตรผสมผสานด้วย การเลยี้ งสกุ ร ปลา และปลูกพืชผกั รว่ มกัน 3. รูปแบบของการทำเกษตรยงั่ ยืน มีหลายระบบดงั น้ี 1. การเกษตรกรรมอินทรีย์ (Organic Farming) “เกษตรกรรมอินทรีย์” ในคำจำกัดความของ สมาพันธ์เกษตรอินทรีย์นานาชาติ หรือ IFOAM (International Federation of Organic Agriculture Movements) คือ ระบบการเกษตรท่ีผลิตอาหารและเส้นใย ด้วยความย่ังยืนทางส่ิงแวดล้อม สังคม และ เศรษฐกิจ โดยเน้นที่หลักการปรับปรุง บำรุงดิน การเคารพต่อศักยภาพทางธรรมชาติของพืช สัตว์ และนิเวศ การเกษตร เกษตรอินทรีย์จงึ ลด การใชป้ ัจจยั การผลิตจากภายนอก และหลกี เลี่ยงการใช้สารเคมีสังเคราะห์ 2. เกษตรกรรมธรรมชาติ (Natural Farming) เกษตรกรรมธรรมชาติเป็นคำเรียกที่ใช้แทนระบบการ เกษตรกรรมตามแนวของ มาซาโนบุ ฟกู ูโอก 1) ไมม่ ีการไถพรวนดิน เนือ่ งจากในธรรมชาตินัน้ พื้นดินมกี ารไถพรวนโดยตวั ของมนั เองอยแู่ ล้ว 2) งดเว้นการใส่ปุ๋ย เนื่องจากการใส่ปุ๋ยเป็นการเร่งการเจริญเติบโตของพืชแบบชั่วคราวพืชที่ใส่ปุ๋ย จึงมักอ่อนแอ ส่งผลให้เกิดโรคและแมลงได้ง่ายข้ึน ดินที่ใส่ปุ๋ยเคมีติดต่อกันนานจะมีสภาพเป็นกรดและเนื้อดิน เหนยี วไม่รว่ นซุย
5 3) ไม่กำจัดวัชพืช เน่ืองจากการกำจัดวัชพืชเป็นงานหนักและไม่สามารถทำให้วัชพืชหมดส้ินไปได้ ดังนั้นเกษตรกรรมธรรมชาติจงึ ตอ้ งคดิ คน้ กฎเกณฑ์ทว่ี ชั พืชจะควบคุมกันเอง 4) ไมใ่ ชส้ ารเคมกี ำจัดศัตรพู ชื 3. เกษตรชีวพลวัตร (Biodynamic Agriculture) การเกษตรท่ีสร้างความสมดุลของระบบนิเวศน์โดย ไม่ต้องพึ่งพาปัจจัยภายนอก และไม่พยายามแทรกแซงธรรมชาติ อาทิ การให้ความสำคัญต่อดิน โดยการปลูก พืชและเลี้ยงสัตว์แบบหมุนเวียนในช่วงจังหวะเวลาที่ถูกต้อง ถือเป็นวิธีปฏิบัติทางการเกษตรแบบองค์รวมซึ่ง เช่อื มโยงทุกส่วนของทัง้ โลก คือ ผนื ดิน พืช สตั ว์ มนุษย์เขา้ ไว้ด้วยกนั ใบความรู้ท่ี 2
6 บทที่ 2 เร่ือง หลักการและรปู แบบของการเกษตรผสมผสาน 1. หลกั การของการเกษตรแบบผสมผสาน 1.1 หลักการสำคญั ของการเกษตรแบบผสมผสาน หลักการพืน้ ฐานของระบบเกษตรกรรมแบบผสมผสานมีอยู่อย่างนอ้ ย 2 ประการสำคัญ ๆ คือ 1) ตอ้ งมีกิจกรรมการเกษตรตัง้ แต่ 2 กิจกรรมเปน็ ตน้ ไป โดยการทำการเกษตรทัง้ สองกิจกรรมนั้น ต้องทำในพื้นที่และระยะเวลาเดียวกัน ซึ่งกิจกรรมเหล่านั้นควรประกอบไปด้วยการปลูกพืชและการเล้ียงสัตว์ และสามารถผสมผสานระหวา่ งการปลกู พืชต่างชนดิ หรือการเลีย้ งสตั ว์ต่างชนดิ กนั ได้ 2) การเก้ือกูลประโยชน์ระหว่างกิจกรรมเกษตรต่าง ๆ และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรใน ระบบเกษตรแบบผสมผสานนั้น เกิดขึ้นทั้งจากวงจรการใช้แร่ธาตุอาหารรวมท้ังอากาศ และพลงั งาน เช่น การ หมุนเวียนใช้ประโยชน์จากมูลสัตวใ์ หเ้ ปน็ ประโยชน์กับพชื และใหเ้ ศษพืชเป็นอาหารสัตว์ โดยท่ีกระบวนการใช้ ประโยชน์จะเปน็ ไปท้งั โดยตรงหรือโดยอ้อม เช่น ผา่ นการหมักของจลุ นิ ทรียเ์ สียกอ่ น 2 ปัจจัยสำคญั ของการทำการเกษตรแบบผสมผสาน ปัจจัยสำคญั ในการทำเกษตรผสมผสานประกอบดว้ ย 3 ปัจจัยหลัก คือ 2.1 ปัจจยั ทางกายภาพ 1) ท่ีดิน ดินเป็นปัจจัยพ้ืนฐานสำคัญของการทำการเกษตร เพราะเป็นแหล่งอาหารของพืชที่ ยึดเกาะของรากพืชเป็นท่ีเก็บน้ำเพ่ือการเจริญเติบโตของพืช ให้อาหารแก่รากพืชเป็นอาหารข้ันต้นในระบบ นิเวศน์ ผลผลิตจะสูง หรือต่ำข้ึนอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน และลักษณะของท่ีดินของเกษตรกรนั้นมี ลกั ษณะของพ้ืนที่ท่ีต่างกัน 2) แหล่งน้ำ น้ำเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของท้ังพืชและสัตว์ น้ำช่วยละลายธาตุอาหารในดิน น้ำมีส่วนช่วยลำเลียงธาตุอาหารจากรากไปยังส่วนต่าง ๆ ของต้นพืช แหล่งน้ำที่นำมาใช้ในการเกษตรน้ัน มี น้ำฝน นา้ ในหว้ ย หนอง อา่ งเกบ็ นำ้ การชลประทาน บาดาล เป็นต้น 3) สภาพลมฟ้าอากาศ สภาพลมฟ้าอากาศ ได้แก่ อุณหภูมิ ปริมาณน้ำฝน และแสงแดด ส่ิง เหล่านี้ลว้ นมีผลตอ่ การเจริญเติบโตของพืชและสตั ว์ กล่าวคอื พืชและสัตว์ต่างชนิดกันย่อมต้องการน้ำแสงแดด อุณหภมู ิที่ต่างกัน เช่น พชื เมอื งหนาวควรปลูกทางภาคเหนือ พืชที่ต้องการความชื้นสูงกค็ วรปลูกทางใต้ 2.2 ปัจจัยทางชวี ภาพ 1) ชนิดพันธ์ุพชื ชนิดพันธุ์พชื เปน็ ผลมาจากสภาพแวดล้อมทางกายภาพ เช่น ในภาคใตท้ ี่มฝี น ตกชุกเกือบทั้งปี และดินค่อนข้างดีเกษตรกรจึงควรปลูกยางพาราเป็นพืชหลัก ขณะที่ยางต้นยังเล็กเกษตรกร ควรปลูกพชื อายสุ ้ันแซมระหว่างตน้ ยางเปน็ การเสรมิ รายได้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีการขยายตัวของฝนไม่แน่นอนแม้จะมีปริมาณของฝนไม่แตกต่าง จากภาคอ่ืน ๆ สภาพดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำบางแห่งเป็นดินเค็ม การทำการเกษตรต้องปลูกพืชทนแล้งได้ เช่น มันสาปะหลัง ปอแก้ว มะม่วงหิมพานต์ ท่ีลุ่มปลูกข้าว และนอกจากนี้ยังเหมาะกับการทำปศุสัตว์ และ ปลกู ไมผ้ ลได้บา้ ง ในภาคเหนือมีอากาศหนาวเย็น เกษตรกรมีการปลูกผัก ไม้ดอก และผลไม้เมืองหนาว ได้แก่ สตอเบอรร์ ี่ ผกั สลดั เปน็ ตน้
7 ส่วนบริเวณท่ีลุ่มภาคกลาง เป็นพื้นท่ีที่มีการชลประทานมากและค่อนข้างอุดมสมบูรณ์จึงเป็น แหลง่ ผลิตขา้ วที่สำคญั ของประเทศ มีการปลูกขา้ วตอ่ เน่ืองตลอดทงั้ ปี 2) ชนิดพันธุ์สัตว์ มีการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกับพืช และพืชท่ีปลูกยังมีอิทธิพลต่อการ เปล่ียนแปลงพันธ์สุ ัตวด์ ้วย นอกจากนส้ี ภาพท่ีตัง้ ของพน้ื ที่ เช่น เขตชายทะเล เกษตรกรสามารถเลี้ยงก้งุ ทะเลได้ 2.3 ปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคม 1) แรงงาน หมายถึง การใช้กำลงั กายเพื่อแลกกับเงินหรอื ส่วนสินค้าอยา่ งอ่ืน แลว้ แต่จะตกลง กัน ระหว่างผู้จ้างและผู้ถูกจ้างแรงงานในระบบการเกษตรมีหลายประเภท คือ แรงงานที่ไม่ได้จ่ายเป็นตัวเงิน เช่น แรงงานในครัวเรือน แรงงานจา้ งยงั จา้ งได้ท้งั ปี หรือตามฤดูกาล 2) ทนุ ที่ใชใ้ นการผลิต ทุนมีท้ังปจั จัยท่ีเปน็ ทง้ั เงินและไม่ใช่เงนิ มี 2 ประเภท คอื 1) ทุนประเภทคงทนถาวร เชน่ อาคาร โรงเรอื น เครอ่ื งจกั รกลต่าง ๆ เปน็ ต้น 2) ทุนประเภทหมนุ เวียน เชน่ พนั ธ์ุพชื พนั ธสุ์ ตั ว์ ยาฆา่ แมลง เป็นต้น ในการทำการเกษตรเกษตรกรควรหลีกเลี่ยงการกู้ยืมเงินมาลงทุน หากเป็นไปได้ควรใช้ เครื่องจักรที่จำเปน็ เท่านั้น ลดตน้ ทุนการผลติ ในสว่ นของแรงงานโดยใช้แรงงานท่ีมีในครวั เรอื น ลดการใช้ปยุ๋ ยา ด้วยการใช้หลักการเกือ้ กูลกันของระบบ 3) ด้านศาสนาและวัฒนธรรม เกษตรกรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ และบางส่วนนับถือ ศาสนาอ่ืน กรณี 4 จงั หวัดชายแดนภาคใต้ จะไปสง่ เสริมการเลยี้ งหมบู นบ่อปลาคงเปน็ ไปไม่ได้ 4) การหาตลาด การผลิตพืชในระบบเกษตรผสมผสาน เกษตรกรจะผลิตพืชหลายชนิด บาง ชนดิ ผลิตออกมาจนเหลอื จำเป็นท่เี กษตรกรจะตอ้ งหาตลาดในท้องถ่ินจำหนา่ ยอย่างเหมาะสม หากไม่ มีตลาดเกษตรกรจะไม่มีรายได้ 5) สิ่งอานวยความสะดวกของรัฐบาล ถนน ไฟฟ้า ไร่นาท่ีมีถนนมีไฟฟ้าผ่าน เกษตรกรจะ ได้รบั ความสะดวกสบายในการขนสง่ จดั จำหนา่ ยผลติ 3. รูปแบบของการเกษตรแบบผสมผสาน ระบบการเกษตรแบบผสมผสานนั้น ถึงแม้ว่าเกษตรจะมีการดำเนินการกันมาช้านานแล้วก็ตามแต่ ลักษณะของการดำเนินการ ยังมีความแตกต่างกันไป แล้วแต่การจะนำองค์ประกอบต่าง ๆ มาผสมผสานกัน มากน้อยแค่ไหน และผสมผสานในรปู แบบใด อย่างไรกต็ ามยังมคี วามหมายหลากหลาย การศึกษารายละเอียด เชิงวิชาการในด้านน้ีก็ยังมีไม่มาก เมื่อเปรียบเทียบกับการศึกษาในด้านกิจกรรมเด่ียว ๆ ไม่ว่าจะเป็นพืช สัตว์ หรือประมงก็ตาม ฉะน้ันการกำหนดรูปแบบดำเนินการเกษตรผสมผสานก็จะมีหลายแบบเช่นกัน ทั้งนี้อาจจะ ยึดการแบ่งตามวธิ ีการดำเนินการ ลกั ษณะพ้ืนท่ี กิจกรรมทีด่ ำเนิน ทรพั ยากร เป็นต้น ซึง่ พอที่จะกล่าวได้ดังนี้ การเกษตรแบบผสมผสานรปู แบบตา่ ง ๆ 1. การเกษตรแบบผสมผสานแบ่งตามกจิ กรรมทด่ี ำเนนิ การอยู่เป็นหลัก 1) ระบบเกษตรผสมผสานที่ยึดกิจกรรมพืชเป็นหลัก ซ่ึงกิจกรรมท่ีดำเนินการนี้จะมีพืชเป็น รายไดห้ ลกั 2) ระบบเกษตรผสมผสานที่ยดึ กจิ กรรมเล้ียงสัตวเ์ ป็นหลัก ซึ่งการดำเนนิ การเลี้ยงสัตว์จะเป็น รายได้หลกั 3) ระบบเกษตรผสมผสานที่ยึดกิจกรรมประมงเป็นหลัก ซึ่งจะมีกิจกรรมเล้ียงสัตว์น้ำเป็น รายไดห้ ลัก
8 4) ระบบเกษตรผสมผสานแบบไร่นาป่าผสมหรอื วนเกษตรเปน็ ระบบที่มีการจัดการป่าไม้ เป็น หลักร่วมกับการเกษตร ทุกแขนง อาจประกอบด้วยการปลูกพืชเกษตรในสวนป่า การปลูกพืชเกษตรร่วมกับ การเลี้ยงสัตว์ในสวนป่าระบบนี้มุ่ง หวังท่ีจะให้เป็นตัวกลางเพ่ือผ่อนคลายความต้องการที่ดินเพื่อการ เกษตรกรรม กบั ความต้องการป่าไม้ 2. การเกษตรแบบผสมผสานแบ่งตามวธิ กี ารดำเนนิ การ 1) ระบบเกษตรผสมผสานท่ีมีการใชส้ ารเคมี ในระบบการผลิตจะมีการใช้สารเคมีในกิจกรรม ตา่ ง ๆ เพือ่ จดุ ประสงค์ ให้ได้ผลผลิตและรายได้สงู สดุ 2) ระบบการเกษตรอินทรีย์หลีกเล่ียงการใช้สารเคมีทุกชนิด เช่น ปุ๋ยเคมี ยาปราบศัตรูพืช ฮอร์โมน สารเคมีในอาหาร สัตว์ คำนึงถึงการสงวนรักษาอินทรียวตั ถุในดินด้วยการปลูกพืชหมุนเวียนการปลูก พืช คลุมดนิ ใช้ปุ๋ยคอกปุ๋ยหมัก ใช้ เศษอินทรียวัตถจุ ากไร่นา มุ่งสร้างความแข็งแกร่งให้แก่พืชด้วยการบำรุงดิน ให้อุดมสมบูรณ์ ผลผลิตท่ีไดก้ จ็ ะอยู่ในรปู ปลอดสารพิษ 3) ระบบการเกษตรธรรมชาติ เป็นระบบการเกษตรที่ใช้หลักการจัดระบบการปลูกพืชและ เลี้ยงสัตว์ท่ีประสาน ความ ร่วมมือกับธรรมชาติอย่างสอดคล้องและเก้ือกูลซ่ึงกันและกัน งดเว้นกิจกรรมที่ไม่ จำเป็นหลักใหญ่ ๆ ได้แก่ ไม่มีการ พรวนดิน ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ไม่กำจัดวัชพืช ไม่ใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช ทั้งนี้จะมี การปลูกพืชตระกูลถ่ัวคลุมดิน ใช้วัสดุเศษ พืชคลุมดิน อาศัยการควบคุมโรคแมลงศัตรูด้วยกลไกการควบคุม กันเองของสง่ิ มีชีวิตตาม ธรรมชาติ การปลกู พชื ใน ในสภาพแวดล้อมที่มีความสมดุลยทางนเิ วศวทิ ยา 3. การเกษตรแบบผสมผสานแบง่ ตามประเภทของพืชสำคัญเป็นหลัก 1) ระบบเกษตรผสมผสานท่ีมีขา้ วเป็นพชื หลัก พ้ืนที่ส่วนใหญ่จะเป็นท่นี าทำการปลูกข้าวนาปี เป็นพืชหลักการผสม ผสานกิจกรรมเข้าไปให้เกื้อกูลอาจทำได้ท้ังในรูปแบบของพืช-พืช สวนปลูกไม้ผลเลี้ยง ปลาในร่องสวน เล้ียงสัตว์ปกี โค โดยใช้เศษอาหารจากพชื ต่าง ๆ ในฟารม์ ใหเ้ ป็นอาหารสัตว์ไดด้ ว้ ย 2) ระบบเกษตรผสมผสานทมี่ ีพืชไรเ่ ป็นพืชหลกั การผสมผสานกจิ กรรม พืช-พชื เชน่ ลักษณะ การปลูกพืชตระกูลถัว่ แซมในแถวพชื หลกั 3) ระบบเกษตรผสมผสานทม่ี ีไม้ผล ไม้ยนื ตน้ เป็นพืชหลกั การผสมผสานกิจกรรม พชื -พชื 4. การเกษตรแบบผสมผสานแบ่งตามลกั ษณะของสภาพพ้นื ทเี่ ปน็ ตัวกำหนด 1) ระบบเกษตรผสมผสานในพื้นที่สูง ลักษณะของพื้นท่ีจะอยู่ในท่ีของภูเขาซ่ึงเดิมเป็นพ้ืนที่ ป่าแต่ได้ถูกหักล้างถางพง มาทำพืชเศรษฐกิจและพืชยังชพี ต่าง ๆ ส่วนใหญ่พ้ืนทม่ี ีความลาดชันระหวา่ ง 10-50 เปอร์เซ็นต์ ดง้ั เดิมเกษตรกรจะปลูกพืชใน ลักษณะเชิงเดี่ยวอายุสนั้ เช่น ข้าว ขา้ วโพด พืชตระกูลถั่ว ผักต่าง ๆ ซ่ึงมักจะเกิดปัญหาของการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ และส่ิงแวดล้อม มีการชะล้างหน้าดินสูง ความอุดม สมบูรณ์ของดินลดลงรวดเร็ว มีผลกระทบต่อผลผลิตพืชในระยะยาว ฉะน้ัน รูปแบบของการทำการเกษตร ผสมผสานจะชว่ ยรกั ษาหรือชะลอความสญู เสียลงได้ระดับหนึง่ 2) ระบบเกษตรผสมผสานในพื้นท่ีราบเชิงเขา พื้นท่ีส่วนใหญ่จะเป็นที่ดอนอาศัยน้ำฝน มีการ ปลูกพืชไร่ชนิดต่าง ๆ เป็นหลัก รองลงมาจะเป็นไม้ผลยืนต้น ข้าวไร่ การจัดการในรูปผสมผสาน ได้แก่ การ ปลูกไม้ผลไม้ยืนต้น ตลอดจนไม้ ใช้สอยร่วมกัน เพ่ือให้เกิดประโยชน์ท้ังในด้านผลผลิต รายได้ ตลอดจน สภาพแวดลอ้ มทางธรรมชาติดขี ้ึนได้ 3) ระบบเกษตรผสมผสานในพื้นที่ดอน โดยทั่วไปในพ้ืนท่ีดอน ส่วนใหญ่อาศัยน้ำฝน เกษตรกรจะปลูก ขา้ วโพดขา้ วฟ่าง ถั่วเขียว มันสำปะหลัง ปอ และข้าวไร่ ส่วนบริเวณที่สามารถเก็บกักน้ำได้จะ ใช้ทำนา ในแหลง่ ท่ีมีปริมาณฝนน้อย ซึ่งเป็นไม้ผลทที่ นต่อสภาพแห้งแล้งได้ดี จะมีการปลูกพืชไร่เศรษฐกิจต่าง ๆ
9 4) ระบบเกษตรผสมผสานในพ้ืนท่ีราบลุ่ม พ้ืนที่ส่วนใหญ่จะเป็นนาข้าวแบบแผนการปลูกพืช สว่ นใหญ่จะเป็นข้าว อย่างเดียว ข้าว-ข้าว ข้าว-พืชไร่เศรษฐกจิ ข้าว-พืชผักเศรษฐกิจ พืชผัก-ข้าว-พืชไร่ พืชไร่- ข้าว-พืชไร่ เป็นต้นการปลูกพชื ได้มากครั้งในรอบปขี ึ้นอยกู่ บั ระบบการชลประทานเป็นหลัก
10 บทท่ี 3 เร่อื ง การสำรวจ วเิ คราะหพ์ ้นื ท่ี และความตอ้ งการผลิตผลการเกษตร 1. การสำรวจพนื้ ที่การทำเกษตรแบบผสมผสาน สภาพดิน การสำรวจสภาพดินทำให้ทราบสภาพความเป็นกรดเป็นด่างของดิน ทราบคุณสมบัติทาง กายภาพของดินว่าเหนียวหรอื ดินร่วน หรือดินทราย เพื่อจะได้หาหนทางปรับปรุงแก้ไขสภาพดินให้พร้อมที่จะ ปลกู พันธไ์ุ มไ้ ดอ้ ย่างถกู ต้อง ลักษณะพ้ืนที่ การสำรวจลักษณะพื้นที่ทำให้ทราบสภาพความสูงต่ำของพ้ืนที่ ทราบความลาดเอียง ของพ้ืนท่ี ทราบความจำเป็นในการถมดินเพิ่ม หรือขุดดินบริเวณหนึ่งบริเวณใดออกทราบความจำเป็นในการ แกไ้ ขระบบระบายนำ้ เป็นตน้ 1.1 การสำรวจสภาพภมู ปิ ระเทศของพ้ืนท่ี (ความสงู -ตำ่ ความลาดเท แหล่งน้ำเพ่อื การเกษตร) ภูมิประเทศ นับว่าเป็นส่วนหนึ่งของทรัพยากรท่ีดินที่มีความสำคัญ และจำเป็นในการท่ีจะ ทำการศึกษา การศึกษาสภาพภูมิประเทศหลักใหญ่ ๆ ประกอบด้วย ที่ราบ (plain) ที่ราบสูง (plateau) เนิน เขา (hill) และภูเขา (mountain) ซ่ึงลักษณะภูมิประเทศหลกั เหล่าน้ีต่างก็มีลกั ษณะแตกต่างกนั และมีการแบ่ง ออกเป็นลักษณะต่าง ๆ มากมาย วิธีการสำรวจ และศึกษาลักษณะภูมิประเทศต่าง ๆ ก็สามารถกระทำได้โดย ใช้ภาพถ่ายทางอากาศ ภาพถ่ายดาวเทียม และการสำรวจในภาคสนาม เพื่อตรวจวัดองค์ประกอบภูมิประเทศ ต่าง ๆ การสำรวจโดยใช้ภาพถ่ายทางอากาศ และภาพถ่ายดาวเทียมนับว่ากระทำได้รวดเร็ว ประหยัด และมี ความถูกต้องแม่นยำ แผนที่ท่ีแสดงลักษณะภูมิประเทศต่าง ๆ นับว่ามีประโยชน์อย่างมาก และใช้เป็นแผนที่ พื้นฐานในการสำรวจทรพั ยากรทดี่ ินอื่น ๆ เชน่ การสำรวจดนิ ธรณวี ิทยา อุทกวทิ ยา และอน่ื ๆ ได้เป็นอยา่ งดี 1. การสำรวจความสงู – ต่ำของพ้นื ที่ การสำรวจความสูง-ต่ำของพื้นที่โดยใช้เลเซอรใ์ นการ ปรับระดับดินเป็นเทคโนโลยีที่คล้ายกับการลากเสน้ อ้างอิงโดยใช้เลเซอร์ ทำให้การปรับระดับพ้ืนที่ดินในแปลง นาเป็นเร่ืองที่ทำได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยผู้ใช้งานสามารถปรบั ต้ังค่าการทำงาน ได้หลากหลายตามความเหมาะสมของพื้นที่ เช่น การต้ังค่าสำหรับเตรียมพ้ืนท่ีให้เรียบเสมอทั้งแปลงหรือลาด เอียงไปทางที่มีคูระบายน้ำเพื่อสะดวกในการระบายน้ำโดยการนำเทคโนโลยีการใช้แสงเลเซอร์ในการปรับ ระดบั ดนิ ในแปลงนานี้ประกอบด้วย 1) ตัวเคร่ืองควบคุมการทำงาน (จะติดต้ังอยู่กับตัวรถ) สำหรับป้อนคำสั่งงานแล้วตั้งค่า เลเซอร์ในการปรบั ระดับพนื้ แปลงนาเพื่อควบคมุ การทำงานของใบมดี 2) ตัวเครื่องส่งสัญญาณเลเซอร์ (ติดต้ังอยู่ในแปลงนา) โดยส่งสัญญาณเป็นแนวระนาบคือ คล้าย ๆ กับการลากเสน้ อา้ งองิ โดยตัวเครอ่ื งนจี้ ะสามารถส่งสญั ญาณครอบคลมุ พืน้ ท่ีในรัศมี 1 กิโลเมตร 3) ตัวเครื่องรับสัญญาณเลเซอร์ (ติดต้ังอยู่กับใบมีดรถเกรดดิน) โดยท่ีตัวเครื่องจะส่ง สญั ญาณจากเครื่องส่งสัญญาณ จากนั้นก็จะสง่ ข้อมูลไปยังเครื่องควบคุมการทำงานเพ่ือควบคมุ การทำงานของ ใบมีด เนื่องจากรถแทรกเตอร์จะติดตั้งใบมีดปรับระดับดิน ถ้าของต่างประเทศจะติดต้ังใบมีดปรับระดับดินไว้ ดา้ นหลงั ถา้ รถแทรกเตอร์ของประเทศไทยจะติดต้งั ใบมีดปรับระดบั ดนิ ไวบ้ รเิ วณด้านหน้าของตวั รถ
11 ภาพที่ 3.1 การสำรวจความสงู -ต่ำของพ้นื ทโี่ ดยใช้เลเซอร์ในการปรบั ระดบั ดนิ
12 2. การสำรวจความลาดเท ของพ้นื ท่ี ความลาดเทของพ้ืนท่ีส่งผลให้เกดิ การพังทลายของดิน ของดินมากหรือน้อย สมบัติต่าง ๆ ที่มีผลต่อการพังทลายของดนิ อันเนอื่ งมาจากสภาพภูมิประเทศ ไดแ้ ก่ 1) ความมากน้อยของความลาดเท เมื่อความลาดเทมีมากข้ึนอัตราของน้ำท่ีไหลบ่า ก็ เพม่ิ ขึน้ ความเร็วของน้ำไหลบ่าบนผิวดินจะเพ่ิมข้นึ เน่อื งมาจากความลาดเทเพิ่มขึ้น จากการทดลอง พบวา่ การ พงั ทลายของดนิ เพิม่ ขึน้ เปน็ 2.5 เทา่ ถา้ ความลาดเทเพิม่ ข้นึ เปน็ 2 เทา่ ดังแสดงใน ตารางท่ี 1 ตารางท่ี 3.1 การสูญเสยี ดนิ จากแปลงที่มคี วามลาดเท และการจดั การดินต่างกัน ( ตันต่อเฮคตาร์ ) 2) ความยาวของความลาดเท คำว่า effective length ของความลาดเทน้ัน หมายถึง ระยะทางจากจุดที่น้ำบนผิวดินเริ่มไหลไปยังจุดที่น้ำไหลเป็นร่องอย่างชัดเจน หรือเป็นจุดที่มีความ ลาดเทน้อย ท่สี ดุ น่ันคือ มกี ารทับถมเกดิ ข้ึน จากการทดลองพบวา่ การสูญเสียดินจะเพ่ิมเป็น 1.5 เท่า หากว่าความยาวของ ความลาดเทเพ่ิมข้นึ เปน็ 2 เท่า 3) รูปร่างของพื้นท่ีลาดเท อาจแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะใหญ่ ๆ คือ 1 ท่ีลาดเทนูน (convex slope) 2 ท่ลี าดเทเวา้ (concave slope) 4) ความสม่ำเสมอของความลาดเท โดยท่ัวไปจะไม่มีความสม่ำเสมอกันจากยอดเนิน ถึง ปลายเนิน การเปล่ียนแปลงความมากน้อยของความลาดเทมักจะมีการเปล่ียนแปลงลกั ษณะต่าง ๆ ของดนิ ทำ ให้ความสามารถในการซึมน้ำของดินเปล่ียนแปลงได้ พ้ืนท่ีที่มีความลาดเทถ้ามีความแปรปรวนมากจะเกิดการ พังทลายของดินนอ้ ยกวา่ พน้ื ที่ทีม่ คี วามลาดเทสม่ำเสมอ 5) ทิศทางของความลาดเท พบว่า ในซีกโลกเหนือความลาดเทหันไปสู่ทิศใต้และตะวันตก จะเกิดการพังทลายของดินมากกว่าความลาดเทท่หี ันไปสู่ทิศเหนอื และตะวันออก ทั้งน้เี พราะว่าความลาดเทที่ หนั ไปทางทศิ ใตจ้ ะมีความแปรปรวนของอุณหภูมิ และความชื้นมากกว่าความลาดเทในทิศทางอื่น 6) ความไม่สม่ำเสมอของผิวดิน (micro topography) ความไม่สม่ำเสมอของผิวดิน อาจจะทำให้เกดิ แอ่งเล็ก ๆ ขึ้นมากมาย ทำใหเ้ ปน็ ทีข่ งั น้ำ และเป็นผลทำใหด้ ินซึมน้ำได้ดีย่ิงข้นึ 3. การสำรวจแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร 1) ประเภทของแหลง่ น้ำเกษตรเพ่ือการเกษตร 1. ปรมิ าณน้ำฝน 2. แหลง่ น้ำทางธรรมชาติ 3. แหลง่ นำ้ ทมี่ นษุ ยส์ ร้างขึน้ 2) ความพอเพยี งของปรมิ าณนำ้
13 การศึกษาน้ำผิวดิน น้ำผิวดินเป็นน้ำท่ีเก็บกักไว้บนพ้ืนท่ีผิวดินตามแม่น้ำ ลำธาร ห้วยหนอง คลองบึง และทะเลสาบต่าง ๆ การศึกษาแหล่งน้ำเหล่าน้ีเพ่ือให้ทราบถึงการเกิด การผันแปร การเคล่ือนที่ หมุนเวียน และการแผ่กระจายของแหล่งน้ำต่าง ๆ และทำให้ทราบถึงศักยภาพในการที่จะพัฒนานำไปใช้เป็น ประโยชนใ์ นดา้ นตา่ ง ๆ ในแง่ของทรัพยากรท่ีดนิ จะพิจารณาถงึ ลุ่มน้ำหนึ่ง ๆ ซ่งึ เป็นพื้นที่ท่ลี อ้ มรอบด้วยสันปัน น้ำ (divides) อาจจะมีขนาดใหญ่หรือเล็กข้ึนอยู่กับขนาดของแม่น้ำลำธารที่ต้องการศึกษาในลุ่มน้ำน้ัน ๆ และ ศึกษาแหล่งน้ำว่ามีพอสำหรับการทำการเกษตรในฤดูต่าง ๆ เพ่ือจะได้มีการวางแผ่นการใช้น้ำในการทำ การเกษตร 1.2 การสำรวจลักษณะดินในพื้นท่ี (เน้ือดิน หน้าดิน ความเป็นกรด-ด่าง ความอุดมสมบูรณ์ของ ดนิ ) การสำรวจดิน (Soil Survey) เปน็ การสำรวจเก็บตัวอย่างชนิดของดิน เพอ่ื การเกษตร เพ่ือใช้วางแผน ปรับปรุงบำรุงดิน ในการเก็บตัวอย่างก็จะต้องหาพิกัดมาด้วย ซ่ึงอาศัยเครื่อง GPS receiver ปัจจุบันสามารถ ใช้ดาวเทียมถ่ายภาพเพ่ือหาชนิดของดินได้ หรือการใช้วิธีการศึกษาทางสนาม และข้อสนเทศจากแหล่งต่าง ๆ เพ่ือจำแนกชนิดต่าง ๆ ของดิน และการสำรวจดินท่ีสมบูรณ์จะต้องประกอบด้วยแผนที่ดิน และรายงานการ สำรวจดินท่ีมีรายละเอียดเก่ียวกับชนิด ลักษณะของดิน และการแปลความหมายหน่วยพื้นที่ต่าง ๆ ท่ีปรากฏ อยู่บนแผนท่ีดิน 1. เน้ือดิน แบ่งออกเป็น ดินเหนียว ดินร่วน ดินทราย และดินตะกอน ในบริเวณท่ีเป็นดิน ตะกอนมักเป็นดินที่อุดมสมบูรณ์ ดินร่วนนอกจากมีความอุดมสมบูรณ์สูงแล้วยังสามารถระบายน้ำได้ดีกว่าดิน เหนียวอีกด้วย ดินทรายเป็นดินเน้ือหยาบ มีธาตุอาหารต่ำ และถูกชะล้างได้ง่ายจึงไม่เหมาะสำหรับการ เพาะปลูก ดินกรด หรือดินที่ชาวบ้านเรียกว่าดินเปร้ียว มีสมบัติทางเคมีไม่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของพืช เนื่องจากพิษของธาตุเหล็ก และอลูมิน่ัม ดินกรดชาวบ้านใช้วิธีทดสอบด้วยการบ้วนน้ำหมากลงในน้ำดินท่ีเป็น กรดน้ำหมากจะเปลย่ี นจากสีแดงเปน็ สดี ำคล้ำทันที วิธีแก้ความเป็นกรดทำไดด้ ้วยวิธีการใสป่ ูนขาว หินปูน หรือ ปูนมาร์ล เพ่ือลดความเป็นพิษของเหล็ก และอลูมินั่มลง นอกจากนยี้ ังช่วยใหฟ้ อสฟอรัสในดินเปน็ ประโยชน์ต่อ พชื มากข้ึน ดินเค็ม เป็นดินที่มีเกลืออยู่ปริมาณมากจนเป็นอันตรายต่อพืชวิธีแก้ไขทำไดโ้ ดยไม่ปล่อยให้หน้าดิน แห้ง เพราะจะทำให้น้ำใต้ดินน้ำเกลอื ขนึ้ มาสะสมบนหนา้ ดินหากดนิ ยังมคี วามเค็มอยู่ให้เลือกปลกู ข้าวพนั ธุ์ ขาว ดอกมะลิ 105 ละมดุ พทุ รา มะขาม มะพร้าว และมะม่วงหมิ พานตเ์ นอ่ื งจากสามารถทนต่อความเคม็ ได้ดี 2. หน้าดิน การเพาะปลูกพืชจะได้ผลดีต้องมีหน้าดินลึก 100 เซนติเมตรเป็นอย่างน้อย เพอื่ ใหร้ ากพชื สามารถหยั่งลงได้ลกึ และหาอาหารไดด้ ีข้นึ 3. ความเป็นกรด-ด่าง ดินท่ีมีค่า pH ใกล้เคียงกับความเป็นกลางหรือประมาณ 6.5 จะ สามารถปลกู ต้นไมไ้ ด้ดีทีส่ ดุ แต่พชื บางชนิดก็สามารถเจริญเตบิ โตไดด้ ใี นดินทีม่ ีค่า pH ระหว่าง 4.5-5.5 ซงึ่ มีค่า ของความเป็นกรด เช่นพืชจำพวก บลูเบอร์ร่ี ชวนชม พุด เป็นต้น ดังน้ันจึงควรมีการศึกษาค่า pH ของดิน กอ่ นท่จี ะลงมอื ปลูกพืช เพอื่ ใหพ้ ืชสามารถเจรญิ เตบิ โตไดด้ ี และมีคุณภาพ 4. ความอุดมสมบูรณ์ของดิน ในดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ เนื่องจากใช้เพาะปลูกพืชมา นานจำเป็นต้อง ปรับปรุงดนิ ให้มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะในการเพาะปลูกพืช หรืออย่างน้อยควร รักษาระดับ ความอุดมสมบูรณ์ของดนิ ไม่ให้เสื่อมลง วธิ ีการปรับปรุงบำรุงดินทำได้ หลายวิธี การใช้ปุ๋ย เปน็ วธิ ีหนึ่งที่จะชว่ ย ยกระดับผลผลิตให้สูงข้ึน ปุ๋ยท่ีใช้มี 2 ชนิด ชนิดแรกคือ ปุ๋ยเคมี ที่มีส่วนประกอบสำคัญ ของธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และ โพแทสเซียม หรืออาจมีธาตุรองอ่ืน ๆ รวมอยู่ด้วยก็ได้ความต้องการปุ๋ยนั้นขึ้นอยู่กับ ชนิด และระยะการเจรญิ เติบโตของพืช ปุ๋ยเคมีเป็นธาตุอาหารที่พืชนำไปใช้ประโยชน์ได้ อย่างรวดเรว็ และเกษตรกร ใช้ได้สะดวก ปุ๋ยชนิดท่ี 2 คือ ปุ๋ยอินทรีย์ ได้จากปุ๋ย หมัก ปุ๋ยคอก และปุ๋ยพืชสด ปุ๋ยชนิดดังกล่าวนอกจากจะ
14 เพิ่มธาตุอาหารในดินแล้ว ยังช่วยปรับปรุงดินให้ร่วนซุย ไถพรวนง่ายดูดซับน้ำ ได้ดีทั้งน้ีเกษตรกรสามารถใช้ วัสดุเหลือใช้ในไร่นามาใช้ประโยชน์ได้การปลูกพืชหมุนเวียนนิยมปลูกพืชตระกูลถ่ัว ร่วมอยู่ด้วย เน่ืองจากพืช ตระกูลถั่วมีแบคทีเรยี อาศัยอยู่ทีป่ มรากสามารถตรึง ไนโตรเจนให้เป็นประโยชน์ต่อพืชได้ และการปลูกพืชคลุม ดินจะชว่ ยไม่ใหห้ น้าดินถูก ชะลา้ งได้ง่ายโดยเฉพาะในพ้นื ท่ลี าดชัน 1.3 การสำรวจสภาพภูมอิ ากาศของพ้นื ท่ี (อณุ หภมู ิ ความชืน้ ปรมิ าณน้ำฝน) สภาพภูมิอากาศนับว่าเป็นส่วนหนึ่งของทรัพยากรท่ีดินท่ีจำเป็นต้องมีการสำรวจหรือศึกษา เพื่อ นำไปใช้เป็นประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น การใช้ท่ีดินเพ่ือการเกษตร วิศวกรรม การชลประทาน และอ่ืน ๆ การศึกษาสภาพภูมิอากาศกระทำได้โดยอาศัยสถานีตรวจวัดอากาศของกรมอุตุนิยมวิทยา หรือจากสถานี ทดลองที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงบริเวณนั้น เพ่ือนำข้อมูลภูมิอากาศมาวิเคราะห์สำหรับใช้ประโยชน์และเป็น ตัวแทนของพื้นที่ที่ทำการสำรวจ ผลของการศึกษาหรือสำรวจสภาพภูมิอากาศอาจจะออกมาในรูปของข้อมูล และแผนที่ภูมิอากาศ (climatological map) หรืออื่น ๆ ก็ได้ ข้อมูลภูมิอากาศควรจะอยู่ในรูปที่นำไปใช้เป็น ประโยชน์ในการวางแผนการใช้ทด่ี ินดา้ นตา่ ง ๆ ได้เปน็ อย่างดี ทิศทางลม การสำรวจทิศทางลม จะทำให้ทราบถึงทิศทางและความรุนแรงของลมท่ีพัดผ่านพ้ืนที่ เพื่อที่จะได้ป้องกัน และหาทางแก้ไขมิให้เกิดความกระทบกระเทือนแก่พืชได้ เช่น การปลูกไม้ใหญ่บังลม เป็น ตน้ ปริมาณแสงสว่าง พันธ์ุไม้แต่ละชนิดต้องการแสงสว่างไม่เท่าเทียมกัน บางชนิดต้องปลูกอยู่กลางแจ้ง บางชนิดต้องข้ึนในทร่ี ม่ เงา การสำรวจจะทำให้ทราบบริเวณร่มเงา บริเวณกลางแจ้ง ตำแหน่งที่ถูกแสงแดดช่วง เชา้ ชว่ งบ่าย ซงึ่ สิง่ เหลา่ นี้จะเปน็ ตัวกำหนดในการเลอื กใชต้ น้ ไม้ใหเ้ หมาะสม ปริมาณฝน ปริมาณฝนเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่ง ในการเลือกใช้พันธ์ุเช่นกัน ถ้าสภาพพื้นที่น้ัน ค่อนข้างแห้งแล้ง ก็ต้องเลือกใช้พันธ์ุไม้ท่ีขึ้นได้ดีในที่แห้งแล้ง หรือถ้าสภาพพื้นท่ีนั้นมีฝนตกชุกก็ต้องคำนึงถึง เรอ่ื งพันธไุ์ ม้การใช้ไม้คลมุ ดนิ ควบคไู่ ปกับการระบายน้ำออกจากพ้ืนท่ี อุณหภูมิ เป็นปัจจัยอีกอย่างหน่ึงในการเลือกใช้พันธุ์ไม้ พ้ืนที่ที่มีอุณหภูมิหนาวเย็นก็ต้องเลือกใช้พันธุ์ ไม้อยา่ งหนงึ่ พ้ืนท่ที ี่มอี ณุ หภูมิสูงหรือร้อนก็ตอ้ งใชพ้ ันธุไ์ มอ้ ีกอย่างหนึง่ เป็นตน้ 1. อุณหภูมิ อุณหภูมิอากาศ (Air temperature) เป็นปัจจัยพ้ืนฐานในการศึกษาสภาพ อากาศ (weather) อุณหภูมิอากาศแปรเปล่ียนไปในแต่ละช่วงเวลา เช่น ปี ฤดูกาล เดือน วัน และแม้กระท่ัง รายช่ัวโมง ดังนน้ั 1) ค่าอุณหภูมเิ ฉลย่ี ในแตล่ ะวนั (Daily mean temperature) จึงใชค้ ่าอุณหภูมิสูงสดุ และ อุณหภูมติ ่ำสดุ รวมกันแล้วหารสอง 2) ค่าอุณหภูมิเฉลี่ยของเดือน (Monthly mean temperature) ใช้ค่าเฉล่ียอุณหภูมิของ แต่ละวันรวมกัน แล้วหารดว้ ยจำนวนวัน 3) ค่าอุณหภูมิเฉล่ียของปี (Yearly mean temperature) ใช้ค่าเฉล่ียอุณหภูมิของแต่ละ เดอื นรวมกนั แล้วหารดว้ ยสิบสอง 2. ความช้ืนในอากาศ (air humidity) โดยทั่วไปแล้ว ความช้ืนในอากาศ ที่เราเรียกกันส้ัน ๆ ว่า ความช้ืน ซึ่งมาจากคำเต็ม ๆ ว่า ความช้ืนสัมพัทธ์ (relative humidity หรือ RH) หมายถึง อัตราส่วน ระหว่าง ปริมาณความช้ืน (ไอน้ำ) ที่มีอยู่จริงในอากาศ กับปริมาณความชื้น (ไอน้ำ) ท่ีอากาศขณะนั้น จะ รองรับได้เต็มที่ ณ อุณหภูมิเดียวกัน (Matthes and Rushing, 1972) หากปริมาณความช้ืน มีมากกว่าก็จะ กล่นั ตวั เปน็ หยดน้ำหนว่ ยของความช้ืนสมั พทั ธ์ จึงออกมาเป็นเปอร์เซน็ (%)
15 ความช้ืนสัมพัทธ = (ปริมาณไอน้ําท่ีอยูในอากาศ / ปริมาณไอน้ำท่ีทำใหอากาศอ่ิมตวั ) x 100% หรือ ความช้ืนสัมพัทธ = (ความดันไอน้ำที่มีอยูในอากาศ / ความดันไอน้ำของ อากาศอ่ิมตัว) x 100% ในการวัด ความชื้นสัมพทั ธเราใช้เครื่องมอื ซึง่ เรยี กวา “ไฮโกรมิเตอร” (Hygrometer) การวัดความชื้นในบรรยากาศ วดั ได้หลายวิธีดงั น้ี 1. การวัดความช้ืนสัมพัทธ์ (relative humidity) คือ การวัดอัตราส่วน (เป็นร้อยละ) ของ จำนวนไอน้ำที่มีอยู่ในอากาศในขณะนั้น ต่อ จำนวนไอน้ำท่ีอาจจะมีอยู่ได้ เม่ืออากาศน้ันอิ่มตัวด้วยไอน้ำท่ี อณุ หภมู เิ ดยี วกนั 2. การวัดความช้ืนสัมบูรณ์ (absolute humidity) คือ การวัดปริมาณของไอน้ำในอากาศ เปน็ กรมั ตอ่ อากาศชนื้ หนัก 1 กิโลกรัม 3. การวัดอัตราส่วนผสม (mixing ratio) คือ การวัดปริมาณของไอน้ำในอากาศเป็นกรัมต่อ อากาศแห้งหนกั 1 กิโลกรมั โดยท่ีปริมาณไอน้ำในอากาศมีจำนวนน้อย เม่ือเทยี บกับนำ้ หนักของอากาศ ดงั นั้น จะเห็นวา่ ความชื้นสัมบูรณ์ และอตั ราสว่ นผสม เป็นตัวเลขใกล้เคยี งกนั และบางครัง้ อาจใชแ้ ทนกนั ได้ 4. การวัดจุดน้ำค้าง (dew point) คือ การวัดอุณหภูมิของอากาศเม่ืออากาศน้ันเย็นลงจนถึง จุดอิ่มตัวโดยความกดอากาศและปริมาณไอน้ำไม่เปล่ียนแปลง น้ำค้าง (dew) คือ ไอน้ำซ่ึงกล่ันตัวบนต้นไม้ หญ้าหรอื วัตถุซ่งึ อยตู่ ามพ้นื ดิน และจะเกิดขึ้นเม่ืออากาศมีอุณหภมู ิเย็นลงต่ำกว่าจดุ นำ้ ค้าง เครื่องมือสำหรบั วดั ความช้นื ในบรรยากาศ มีอยูห่ ลายชนดิ เชน่ 1. ไซโครมเิ ตอร์ (Pshychrometer) มลี กั ษณะ ประกอบไปดว้ ยเทอรม์ อมิเตอร์ 2 อนั คู่ มี อันหนง่ึ ใช้สำหรับวัดอณุ หภมู ิ เป็นกระเปาะแห้ง สว่ นอีกอนั ใช้วัดความชนื้ วิธีใชจ้ ะนำผ้ามามัดดว้ ยจมุ่ น้ำในแก้ว แล้วน้ำจะระเหยออกมาจะกระทงั่ อณุ หภมู ลิ ดตำ่ สดุ ท่เี รยี กว่ากระเปาะเปียก แล้วเปรียบเทยี บระหว่างกันใน ตารางคา่ ความช้นื อกี ที 2. ไฮโกรมเิ ตอร์ โดยจะใช้อากาศน้ันผา่ นเขา้ ไปในตวั วดั รอใหก้ ระเปาะเย็นสุดเสียก่อนแล้วจงึ อา่ นค่า 3. ไฮโกรมิเตอร์แบบเส้นผม (Hair hygrometer) คือเครื่องวัดโดยนำเส้นผมของมนุษย์ หรือ ขนสัตว์ โดยต้องไมม่ ีไขมันสำหรบั การวดั นัน้ ใช้ความยืดหยุน่ หรือว่าหดตัวของเส้นผมที่เปล่ียนแปลงไปเพราะว่า ความช้ืนจะมีสว่ นสมั พนั ธก์ บั เส้นผมนนั้ เอง 4. ไฮโกรกราฟ (Hygrograph) เป็น ไฮโกรมิเตอร์แบบเส้นผม ที่แสดงออกมาเป็นรูปกราฟได้ 24 ช่ัวโมง คา่ ความชื้นท่คี วรรู้ ความชนื้ ที่เหมาะสมกบั การดำรงชีวติ มคี ่า 60 % จะทำให้เราสบาย ความช้นื ท่มี คี วามเหมาะสมทำใหเ้ กิดฝนน้ัน จะมีความชน้ื ทีม่ ากกว่า 100 % ข้นึ ไป หากความชื้นสัมพัทธ์มีค่าน้อยกว่า 60 % จะรู้สึกว่าอากาศแห้งผิวแห้งหรือว่าแตกไปเลยก็ เลยมกั จะเกิดขึ้นในฤดูหนาว ความชื้นสมั พทั ธ์มคี า่ มากกว่า 60% จะทำใหอ้ ากาศร้อนและมีเหง่ือ เหนยี วตวั อึดอัด ความชืน้ สมั พัทธ (Relativety humidity) หมายถงึ “อตั ราสวนของปริมาณไอน้ำท่มี ี อยูจรงิ ในอากาศ ตอ ปริมาณไอน้ำที่จะทําใหอากาศอ่ิมตัว ณ อุณหภูมิเดียวกัน” หรือ “อัตราสวนของความดันไอน้ำท่ีมีอยูจริง ตอ ความดันไอน้ำอิม่ ตัว”
16 3. ปริมาณน้ำฝน หยาดน้ำฟ้า (precipitation) โดยเฉพาะปริมาณน้ำฝนเป็นข้อมูลที่สำคัญ มาก ปริมาณน้ำฝนเป็นส่ิงสำคัญย่ิงส่ิงหนึ่งในอุตุนิยมวิทยา เพราะน้ำฝนเป็นปัจจัยสำคัญท่ีเก่ียวข้องกับการ กสิกรรมและอื่น ๆ พื้นท่ีใดจะอุดมสมบูรณ์และสามารถทำการเพาะปลูกได้หรือจะเป็นทะเลทรายก็ข้ึนอยู่กับ ปรมิ าณน้ำฝนทตี่ กลงมาในบรเิ วณนนั้ 1. เครอ่ื งวดั นำ้ ฝนมอี ยู่หลายชนดิ 1) เคร่ืองวัดน้ำฝนแบบธรรมดาหรือแบบแก้วตวง (ordinary rain gauge measuring glass type) ตัวเครื่องทำด้วยเหล็กเคลือบหรือทองแดงที่ไม่เป็นสนิม เม่ือวางต้ังท้ิงตากแดดและ ฝนรปู ร่างทรงกระบอก หน้าตดั ปากถังกลม ขอบปากถังตัดเอียงทำมุม 45 องศา ให้บางและคม โดยท่ัวไปนิยม สร้างให้มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางปากถึง 20 เซนติเมตร ใต้ปากถังภายในมีกรวยรับน้ำฝนเพ่ือให้ไหลลงไปกระ บออกรองรับน้ำฝนภายในทีม่ ีขนาดเล็ก หรอื บางทที ำเป็นขวดวางไว้รองรับนำ้ ฝนภายในกระบอกอนั ใหญ่ การที่ ทำเป็นกรวยน้ีก็เพ่ือป้องกันมใิ ห้น้ำฝนทต่ี กลงสทู่ ร่ี องรบั นนั้ ระเหยไปได้ ภายหลังฝนตกหากมีอากาศรอ้ น 2) เคร่ืองวัดน้ำฝนแบบใช้ไม้บรรทัดหยั่ง (ordinary rain gauge measuring stick type) ตัวเครื่องเป็นกระบอกโลหะคล้ายกันกับแบบแก้วตวงทุกอย่าง แต่เครื่องวัดฝนแบบนี้ได้คำนวณ พื้นที่ปากถึงหน้าตัดเอาไว้ให้มีสัดส่วนที่สัมพันธ์กับกระบอกภายในและไม้บรรทัดหย่ัง (แบบแก้วตวงไม่ต้องให้ สมั พันธก์ บั กระบอกภายใน คงมีความสัมพนั ธเ์ ฉพาะแก้วตวง) 3) เครื่องวัดน้ำฝนแบบบันทึก (recording rain gauge) เป็นชนิดที่มีปากกา เขียนด้วยหมึก สำหรับบันทึกปริมาณน้ำฝนไว้เป็นเวลา 24 ช่ัวโมงหรือตลอดสัปดาห์หรือนานกว่านี้ ซ่ึงมีทั้ง แบบช่ัง (weighing rain gauge) และแบบกาลักนำ้ (siphon rain gauge) 4) เคร่ืองวัดน้ำฝนอัตโนมัติแบบคันช่ัง (recording rain gauge tilting bucket type) เป็นเครื่องวัดฝนแบบจดรายงานอัตโนมัติเหมือนเคร่ือง Natural siphon type แต่ต่างกันตรงท่ีไม่มี เคร่ือง Siphon รับน้ำฝนจากปากถัง แต่จะมีคันชั่งท่ีแขนทั้งสองข้างมีกระเปาะสำหรับยกข้ึนรับน้ำฝน เม่ือ นำ้ ฝนเต็มกระเปาะท่ียกก็จะตกลงให้กระเปลา่ อีกข้างหนึ่งข้ันไปรบั แทน และนำ้ ฝนจากกระเปาะท่ตี กลงก็จะเท น้ำออกหมด อาการจะข้ันลงสลับกัน ขณะท่ีแขนคันชั่งตกลงก็จะหมุนเฟืองท่ีต่อไปยังเข็ม หรือปากกาที่ขีดลง บนกระดาษกราฟ 2. การสำรวจความตอ้ งการผลผลิตทางการเกษตร การสำรวจชนิด และปรมิ าณผลผลิตทางการเกษตรท่ีตลาด สำรวจสภาวะความต้องการของตลาดในท้องถน่ิ ปฏิบัติได้โดยการออกสำรวจหาข้อมูล ความต้องการ ของตลาดในท้องถิ่นเก่ียวกับการผลิตพืช ว่าช่วงไหนต้องการพืชชนิดใด พืชชนิดใดมีช่วงราคาสูงในเดือนอะไร ตลาดต้องการพืชชนิดใดประมาณวันละก่ีกิโลกรัม ในตลาดมีผู้ผลิตรายอ่ืนอยู่หรือไม่ มีผู้ผลิตพืชชนิดน้ีใน ท้องถ่ินจำนวนกี่ราย สภาพปญั หาของผผู้ ลิตรายอนื่ ๆ มอี ย่างไร เป็นต้น นอกจากสำรวจสภาวะการทางตลาดแล้ว ผู้เริ่มลงมือผลิตรายใหม่ควรสำรวจและสังเกตสภาพ สิ่งแวดล้อมที่เป็นปัจจัย และผลกระทบต่อการปลูกพืชชนิดน้ัน ๆ ด้วย เช่น สภาพดิน อุณหภูมิ แสงสว่าง แหล่งน้ำที่ใช้ปลูกพืช เมื่อสำรวจได้ข้อมูลมาแล้วจึงวางแผนการผลิตพืชให้เหมาะสมกับปัจจัยต่าง ๆ ที่มีอยู่ ต่อไป
17 3. การวิเคราะห์พืน้ ที่ และกิจกรรมการผลติ ในระบบเกษตรผสมผสานโดยใช้ SWOT analysis SWOT ก็คือการวิเคราะห์โดยการสำรวจจากสภาพการณ์ 2 ด้าน คือ สภาพการณ์ภายในและ สภาพการณ์ภายนอก ดังนั้นการวิเคราะห์ SWOT จึงเรียกได้ว่าเป็นการวิเคราะห์สภาพการณ์ (situation analysis) ซึ่งเป็นการวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน เพ่ือให้รู้ตนเอง (รู้เรา) รจู้ ักสภาพแวดล้อม (รู้เขา) ชัดเจน และ วเิ คราะห์โอกาส-อุปสรรค การวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ ทั้งภายนอกและภายในองค์กร ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริหารของ องค์กรทราบถึงการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึนภายนอกองค์กร ทั้งสิ่งท่ีได้เกิดข้ึนแล้วและแนวโน้มการ เปล่ียนแปลงในอนาคต รวมทั้งผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ท่ีมีต่อองค์กรธุรกิจ และจุดแข็ง จุดอ่อน และความสามารถด้านต่าง ๆ ที่องค์กรมีอยู่ ซ่ึงขอ้ มลู เหล่านี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการกำหนดวิสัยทัศน์ การกำหนดกลยุทธแ์ ละการดำเนินตามกลยุทธ์ขององค์กรระดบั องคก์ รท่เี หมาะสมตอ่ ไป 3.1 ความหมายของ SWOT analysis คำว่า \"สวอต\" หรือ \"SWOT\" น้นั มาจากตวั ยอ่ ภาษาองั กฤษ 4 ตัว ได้แก่ ปจั จยั ภายใน S มาจาก Strengths หมายถึง จุดแข็ง ความสามารถและสถานการณ์ภายในองค์กรท่ีเป็นบวก ซ่ึงองค์กรนำมาใช้เป็นประโยชน์ในการทำงานเพ่ือบรรลุวัตถุประสงค์ หรือหมายถึง การดำเนินงานภายในท่ี องคก์ รทำได้ดี W มาจาก Weaknesses หมายถึง จุดอ่อน สถานการณ์ภายในองค์กรท่ีเป็นลบและด้อย ความสามารถ ซึ่งองค์กรไม่สามารถนำมาใช้เป็นประโยชน์ในการทำงานเพ่ือบรรลุวัตถุประสงค์ หรือหมายถึง การดำเนนิ งานภายในท่ีองค์กรทำไดไ้ ม่ดี ปัจจยั ภายนอก O มาจาก Opportunities หมายถึง โอกาส ปัจจัยและสถานการณ์ภายนอกที่เอื้ออำนวยให้การ ทำงานขององค์กรบรรลุวัตถุประสงค์ หรือหมายถึง สภาพแวดล้อมภายนอกท่ีเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินการ ขององคก์ ร T มาจาก Threats หมายถึง อุปสรรค ปัจจัยและสถานการณ์ภายนอกที่ขดั ขวางการทำงานของ องค์กรไมใ่ ห้บรรลุวตั ถุประสงค์ หรือหมายถงึ สภาพแวดล้อมภายนอกทเี่ ปน็ ปญั หาต่อองค์กร 3.2 วิธีการทำ SWOT analysis การวเิ คราะห์ SWOT จะครอบคลมุ ขอบเขตของปจั จัยที่กวา้ งด้วยการระบุจดุ แข็ง จุดอ่อน โอกาสและ อุปสรรคขององคก์ ร ทำให้มีข้อมูล ในการกำหนดทิศทางหรือเปา้ หมายท่ีจะถูกสรา้ งขึ้นมาบนจดุ แขง็ ขององคก์ ร และแสวงหาประโยชน์จากโอกาสทางสภาพแวดล้อม และสามารถ กำหนดกลยุทธ์ที่มุ่งเอาชนะอุปสรรคทาง สภาพแวดล้อมหรือลดจุดออ่ นขององค์กรให้มีน้อยท่ีสุดได้ ภายใต้การวิเคราะห์ SWOT น้นั จะต้องวิเคราะหท์ ั้ง สภาพแวดลอ้ มภายใน และภายนอก องคก์ ร โดยมขี ัน้ ตอนดงั นี้ 1) การประเมินสภาพแวดลอ้ มภายในองค์กร การประเมินสภาพแวดล้อมภายในองค์กร จะเก่ียวกับการวิเคราะห์และพิจารณาทรัพยากร และความสามารถภายในองค์กร ทุก ๆ ด้าน เพื่อท่ีจะระบุจุดแข็งและจุดอ่อนขององค์กรแหล่งที่มาเบ้ืองต้น ของข้อมูลเพ่ือการประเมินสภาพแวดล้อมภายใน คือระบบข้อมูลเพ่ือ การบริหารที่ครอบคลุมทุกด้าน ทั้งใน ด้านโครงสร้าง ระบบ ระเบียบ วิธีปฏิบัติงาน บรรยากาศในการทำงานและทรัพยากรในการบริหาร (คน เงิน วัสดุ การจัดการ) รวมถึงการพจิ ารณาผลการดำเนนิ งานที่ผ่านมาขององคก์ รเพ่ือที่จะเข้าใจสถานการณ์ และผล กลยทุ ธ์ก่อนหนา้ นด้ี ้วย
18 - จุดแข็งขององค์กร (S-Strengths) เป็นการวิเคราะห์ปัจจัยภายในจากมุมมองของผู้ท่ีอยู่ภายใน องค์กรนั้นเองว่า ปัจจัยใดภายในองค์กรที่เป็นข้อได้เปรียบหรือจุดเด่นขององค์กรท่ีองค์กรควรนำมาใช้ในการ พฒั นาองคก์ รได้ และควรดำรงไวเ้ พื่อการ เสรมิ สรา้ งความเขม็ แข็งขององค์กร - จุดอ่อนขององค์กร (W-Weaknesses) เป็นการวิเคราะห์ ปัจจัยภายในจากมุมมองของผู้ที่อยู่ ภายในจากมุมมอง ของผู้ท่ีอยู่ภายในองค์กรน้ัน ๆ เองว่าปัจจัยภายในองค์กรท่ีเป็นจุดด้อย ข้อเสียเปรียบของ องค์กรที่ควรปรับปรุงให้ดีขนึ้ หรือขจดั ให้หมดไป อนั จะเปน็ ประโยชน์ต่อองคก์ ร 2) การประเมินสภาพแวดล้อมภายนอก ภายใต้การประเมินสภาพแวดลอ้ มภายนอกองคก์ รน้ัน สามารถค้นหาโอกาสและอปุ สรรคทางการ ดำเนินงานขององค์กรที่ได้รบั ผลกระทบจากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจทั้งในและระหว่างประเทศที่เกี่ยวกับ การดำเนินงานขององค์กร เช่น อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ นโยบาย การเงิน การงบประมาณ สภาพแวดล้อมทางสงั คม เช่น ระดับการศึกษาและอตั รารหู้ นังสือของประชาชน การตง้ั ถน่ิ ฐาน และการอพยพ ของประชาชน ลักษณะชุมชน ขนบธรรมเนียมประเพณี ค่านิยม ความเชื่อและวัฒนธรรม สภาพแวดล้อมทาง การเมือง เช่น พระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา มติคณะรัฐมนตรี และสภาพแวดล้อมทางเทคโนโลยี หมายถึงกรรมวิธีใหม่ ๆ และพัฒนาการทางด้านเคร่ืองมือ อุปกรณ์ที่จะชว่ ยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และ ใหบ้ รกิ าร - โอกาสทางสภาพแวดล้อม (O-Opportunities) เป็นการวิเคราะห์ว่าปัจจัยภายนอกองค์กร ปัจจัยใดท่ีสามารถส่งผลกระทบประโยชน์ ท้ังทางตรงและทางอ้อมต่อการดำเนินการขององค์กรในระดับมหา ภาค และองค์กรสามารถฉกฉวยขอ้ ดีเหล่านมี้ าเสรมิ สรา้ งให้ หน่วยงานเขม็ แข็งขึน้ ได้ - อปุ สรรคทางสภาพแวดล้อม (T-Threats) เปน็ การวิเคราะห์ว่าปัจจัยภายนอกองค์กรปัจจัยใดท่ี สามารถส่งผลกระทบในระดับมหภาคในทางท่ีจะก่อให้เกิดความเสียหายทั้งทางตรง และทางอ้อม ซ่ึงองค์กร จำต้องหลีกเลี่ยง หรือปรับสภาพองค์กรใหม้ ี ความแข็งแกรง่ พร้อมทีจ่ ะเผชิญแรงกระทบดังกลา่ วได้ 3) ระบุสถานการณ์จากการประเมนิ สภาพแวดล้อม เมื่อได้ข้อมูลเกี่ยวกับ จุดแข็ง-จุดอ่อน โอกาส-อุปสรรค จากการวิเคราะห์ปัจจัยภายในและปัจจัย ภายนอกด้วยการประเมินสภาพ แวดล้อมภายใน และสภาพแวดล้อมภายนอกแล้ว ให้นำจุดแข็ง-จุดอ่อน ภายในมาเปรียบเทียบกับ โอกาส-อุปสรรค จากภายนอกเพื่อดูว่าองค์กร กำลังเผชิญสถานการณ์เช่นใด และ ภายใต้สถานการณ์ เชน่ นั้น องค์กรควรจะทำอย่างไร โดยทั่วไป ในการวิเคราะห์ SWOT ดังกล่าวน้ี องคก์ ร จะ อยูใ่ นสถานการณ์ 4 รปู แบบดงั นี้ 1. สถานการณ์ที่ 1 (จุดแข็ง-โอกาส) สถานการณ์นี้เป็นสถานการณ์ท่ีพ่ึงปรารถนา ท่ีสุด เน่ืองจากองค์กรค่อนข้างจะมีหลายอย่าง ดังน้ัน ผู้บริหารขององค์กรควรกำหนดกลยุทธ์ในเชิงรุก (aggressive - strategy) เพ่ือดึงเอาจุดแข็งที่มีอยู่มาเสริมสร้าง และปรับใช้และฉกฉวยโอกาสต่าง ๆ ที่เปิดมา หาประโยชนอ์ ยา่ งเตม็ ที่ 2. สถานการณ์ที่ 2 (จุดอ่อน-ภัยอุปสรรค) สถานการณ์น้ีเป็นสถานการณ์ที่เลวร้าย ท่สี ุด เนอ่ื งจากองค์กรกำลงั เผชิญอย่กู ับอุปสรรคจากภายนอก และมปี ัญหาจุดออ่ นภายในหลายประการ ดงั นั้น ทางเลือกท่ีดีที่สุดคือกลยุทธ์ การต้ังรับหรือป้องกันตัว (defensive strategy) เพ่ือพยายามลดหรือหลบหลีก ภยั อุปสรรค ตา่ ง ๆ ทค่ี าดวา่ จะเกดิ ขึน้ ตลอดจนหามาตรการที่จะทำให้องคก์ รเกิดความสูญเสยี ที่นอ้ ยทส่ี ุด 3 สถานการณ์ที่ 3 (จุดอ่อน-โอกาส) สถานการณ์องค์กรมีโอกาสเป็นข้อได้เปรียบ ด้านการแข่งขันอยู่หลายประการ แต่ติดขัดอยู่ตรงที่มีปัญหาอุปสรรคที่เป็นจุดอ่อนอยู่ หลายอย่างเช่นกั น
19 ดังนั้น ทางออกคือกลยทุ ธ์การพลิกตัว (turnaround-oriented strategy) เพ่อื จดั หรอื แกไ้ ขจุดอ่อนภายในตา่ ง ๆ ให้ พรอ้ มทจ่ี ะฉกฉวยโอกาสตา่ ง ๆ ท่เี ปิดให้ 4. สถานการณ์ ที่ 4 (จุดแข็ง-อุป สรรค) สถานการณ์ นี้ เกิดขึ้นจากการที่ สภาพแวดล้อมไม่เอ้ืออำนวยต่อการดำเนินงาน แต่ตัวองค์กรมีข้อได้เปรียบที่เป็นจุดแข็งหลายประการ ดังนั้น แทนท่ีจะรอจนกระทั่งสภาพแวดล้อมเปล่ียนแปลงไป ก็สามารถที่จะเลือกกลยุทธ์การแตกตัว หรือขยาย ขอบข่ายกิจการ (diversification strategy) เพ่ือใชป้ ระโยชน์จากจุดแข็งท่ีมสี ร้างโอกาสในระยะยาวด้านอ่ืน ๆ แทน 3.3 การวิเคราะห์ข้อมูลพ้ืนท่ี และกิจกรรมการผลิตผลการเกษตรแบบผสมผสานด้วย SWOT analysis ตารางท่ี 3.2 วิเคราะห์ข้อมูลพื้นท่ี และกิจกรรมการผลิตข้าว ในสำนักงานเกษตรอำเภอบ่อพลอย จงั หวดั กาญจนบรุ ี
20 ตารางท่ี 3.3 วิเคราะห์ข้อมูลพื้นที่ และกิจกรรมการผลิตข้าว ในสำนักงานเกษตรอำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบรุ ี 3.4 การแปลผลวิเคราะห์พ้นื ท่ี และกิจกรรมการผลติ ผลในระบบการเกษตรแบบผสมผสาน 3.4.1. ให้ความรู้ในการป้องกันกำจัดศัตรูพืชโดยวิธีผสมผสาน (IPM) เพ่ือลดต้นทุนการผลิต และ อนุรกั ษส์ ่ิงแวดล้อม 3.4.2. จดั ทำศนู ย์ขา้ วชมุ ชน และโรงเรยี นชาวนา 3.4.3. น้อมนำหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งมาใช้เพ่ือพร้อมรบั กบั การเปล่ยี นแปลง 3.4.4. สง่ เสริมการรวมกลุ่มอาชีพในทอ้ งถน่ิ และการสรา้ งเครือขา่ ยเพือ่ แลกเปลีย่ นเรียนรู้
21 บทที่ 4 เร่ือง การวางแผน และการเตรียมการทำการเกษตรแบบผสมผสาน 1. การวางแผนการทำการเกษตรแบบผสมผสาน การทำการเกษตรไม่ว่าจะเป็นการปลูกพืช หรือการเล้ียงสัตว์จะประสบความสำเร็จได้นั้น ต้องมีการ วางแผนการปฏิบัติงาน หรือทำโครงการก่อนการลงมือปฏิบัติจริง การวางแผนเป็นการกำหนดแนวทางปฏิบัติ งานไปลวงหนาว่าจะปฏิบัติงานอย่างไร ที่ไหน เมื่อไหร มีการกำหนดกิจกรรมเป็นขั้นเป็นตอน จัดเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ไวลวงหนา เพ่ือใหการทำงานได้รับความสำเร็จ และช่วยใหการนำทรัพยากรที่มีอยู่มาใชใหเกิดประโย ชน สูงสุด การวางแผนก่อนการทำงานน้ัน จะช่วยใหปญหาขอ้ ผิดพลาดน้อยลง หรือสามารถแกไขได้ทันทวงที ผู้ปลูกจะต้องศึกษาหาข้อมูลในด้านต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้องให้เข้าใจอย่างแท้จริง เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาวางแผนและ ดำเนินการผลิตพชื ได้อย่างถกู ตอ้ งเหมาะสมกบั สภาพท้องถิ่นของตนเอง 1.1 ความสำคัญของการวางแผนระบบการเกษตรแบบผสมผสาน 1) เลือกชนิดพืชท่ีมีความเหมาะสมกับสภาพพ้ืนที่ เช่น ทนทานต่อโรคแมลงรบกวน ทนทานต่อ ความแห้งแล้ง เติบโตเรว็ ผลผลิตสูง ดูแลรักษาง่าย เปน็ ตน้ 2) เลือกชนิดพืชจากความต้องการของพ่อค้า หรือผู้บริโภค โดยต้องคำนึงว่าพืชผลที่จะปลูกเพ่ือ ขาย ควรมตี ลาดรองรับ ซง่ึ อยใู่ นละแวกใกลเ้ คียงกับแหล่งเพาะปลกู และสามารถปลูกไดใ้ นชว่ งเวลาท่ีผูซ้ ื้อหรือ ผูบ้ ริโภคตอ้ งการ 3) เลือกพืชท่ีจะเพาะปลูกให้เหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศ เช่น ปริมาณน้ำฝน การกระจายน้ำ ของวันฝนตกในรอบปี อุณหภูมิหนาวเย็นแต่ละช่วงเวลา ความช้ืน กระแสลม ตลอดจนความสูงต่ำของภูมิ ประเทศ และต้องคำนึงถึงธรรมชาติและอากาศ เช่น ไม่ควรปลูกพชื เมืองหนาวในเขตรอ้ น หรือปลกู ไม้ผลไมย้ ืน ตน้ ในพืน้ ทร่ี าบลุ่ม เป็นตน้ 4) เลือกพืชที่ปลูกตามความรู้ และประสบการณ์ของตนเอง โดยเร่ิมต้นจากการปลูกน้อย ๆ แล้ว ขยายมากขน้ึ เม่อื ประสบผลสำเร็จ 1.2 หลักการวางแผนระบบการเกษตรแบบผสมผสาน เกษตรกรต้องสามารถวางแผนการผลิต ภายในฟาร์มของตวั เองได้อย่างถูกต้องในทำนองทเี่ รยี กว่าต้อง มีภาย ในฟาร์มของตัวเองได้อย่างถูกต้องในทำนองที่เรียกว่าต้องมีความรู้เขารู้เราจึงจะสามารถทำให้มีการ วางแผนไดอ้ ยา่ ง ถกู ต้อง โดยองคป์ ระกอบความรู้เขา และรูเ้ ราที่สำคัญในการวางแผน ไดแ้ ก่ 1) ต้องมีพ้ืนท่ีถือครองของตนเอง การเช่าที่ดินจากผู้อ่ืนมาดำเนินการ เกษตรกรจะได้กล้าท่ีจะ วางแผนลงทุนอยา่ ง ถาวร เพราะเกรงวา่ เมอื่ ดำเนินการไประยะหนึ่งแล้วอาจจะถกู บอกเลิกเชา่ ได้ 2) ต้องทราบข้อมูลพื้นฐานภายในฟาร์มของตัวเองเป็นอย่างดี ข้อมูลดังกล่าว ได้แก่ ข้อมูล ทางด้านลักษณะพื้นที่ ดิน แหล่งนำ้ ซ่ึงนบั วา่ มีความสำคญั จะสามารถชว่ ยในการวางแผนภายในฟาร์มได้อย่าง ถกู ต้อง 3) ต้องมีความรู้ และประสบการณ์ในดา้ นเทคโนโลยีการผลิตพืชหลายชนดิ เช่น ข้าว พชื ไร่ ไมผ้ ล ไมย้ ืนต้น พืชผัก การเพาะเหด็ เศรษฐกิจ การปศสุ ัตว์ และการประมง ถา้ ขาดความรู้ในกิจกรรมใดกิจกรรมหน่ึง จำเป็นต้องไปขวนขวาย หาความรู้ โดยการไปศึกษาดูงาน รวมทั้งเข้ารบั การฝึกอบรมจากหน่วยงานท่ีสามารถ ใหค้ วามรนู้ ั้นได้ 4) ต้องมีทุนเร่มิ ต้น และทุนหมุนเวียนภายในฟาร์มพอสมควร ซ่ึงการมีทุนสำรองไว้จะสามารถให้ การวางแผนดำเนิน กจิ กรรมที่ผสมผสานกนั เป็นไปอย่างเหมาะสม
22 5) ต้องเป็นผู้มีความมานะอดทน ขยันขันแข็ง และมีแรงงานท่ีพอเพียง เหมาะสมกับกิจกรรม ภายในฟาร์ม ท้ังน้ีเพราะ การทำการเกษตรจะเห็นผลสำเร็จได้ต้องใช้เวลา และประสบการณ์ในการแก้ปัญหา ซึง่ จะมีอยูต่ ลอดเวลา และสามารถปรับเปลี่ยนแผนได้ตลอดเวลา เพอ่ื ใหแ้ ก้ปญั หาได้ทันเหตกุ ารณ์ 2. การวางแผนการผลติ ในแต่ละกิจกรรมการผลติ ในระบบการเกษตรแบบผสมผสาน เกษตรกรผทู้ ด่ี ำเนนิ การระบบเกษตรผสมผสานจะประสบความสำเร็จได้ ควรจะต้องมีการวางแผนการ ผลิตในแตล่ ะกจิ กรรมการผลิตในระบบการเกษตรแบบผสมผสานทเี่ หมาะสมในด้านต่าง ๆ ดังน้ี 2.1 ปัจจัยการผลิตทจี่ ำเป็นแตล่ ะกจิ กรรมการผลติ ของระบบการเกษตรแบบผสมผสาน ปัจจัยการผลิต หมายถึง ปัจจัยที่ผู้ผลิตนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตสินค้าและบริการ สำหรับปจั จยั การผลิตในภาคเกษตรมอี ยู่หลายชนิดได้แก่ ท่ีดิน น้ำ เคร่อื งจกั รกล พันธ์พุ ืช ปุ๋ยและเคมีภัณฑ์ ซึ่ง แตล่ ะชนดิ มลี ักษณะและความสำคัญดังน้ี 1) ที่ดิน ถอื ว่าเป็นปัจจัยการผลิตพ้ืนฐานที่สำคัญ มลี กั ษณะพิเศษเพราะเปน็ ทรัพยากรที่มีปริมาณ จำกัด แต่ละแห่งมีคุณสมบัติหรือคุณภาพต่างกัน ดินท่ีมีความอุดมสมบูรณ์ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์ในการผลิต มากกวา่ ดินที่มีคณุ ภาพด้อยกว่า ประเทศไทยส่วนใหญ่ใช้ที่ดินเพ่ือการทำนามากท่ีสุด รองลงมาเป็นท่ีปลูกพืช ไร่ ไมผ้ ล ไมย้ ืนต้น สวนผกั ไมด้ อก และทุง่ หญ้าเลย้ี งสตั ว์ตามลำดับ 2) น้ำ ความต้องการใช้น้ำเพ่ือการเกษตรมีวัตถุประสงค์หลายประการได้แก่ ความต้องการใช้น้ำ เพื่อการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ เล้ียงปลาและสัตว์น้ำอ่ืน ๆ ในปัจจุบันความต้องการใช้น้ำมิใช่เพ่ือกิจกรรม การเกษตรท่ีเพิ่มขึ้นเท่าน้ัน แต่ยังมีการใช้น้ำเพ่ือการอุตสาหกรรม การขยายการบริการสาธารณูปโภคในเขต เมืองต่าง ๆ มากข้ึนซ่ึงทำให้ปัญหาการจัดสรรน้ำเพ่ือกิจกรรมต่าง ๆ เพ่ิมข้ึน และมีแนวโน้มว่าจะกลายเป็ น ข้อจำกัดทางด้านการเกษตร และในระยะยาวถ้าเกิดปัญหากับแหล่งต้นน้ำลำธาร แนวโน้มของปัญหาขาด แคลนน้ำจะรุนแรงข้ึน การบริการการใชน้ ำ้ ในอนาคตจึงมคี วามสำคญั มาก 3) แรงงาน ในภาคเกษตรจัดเป็นปัจจัยการผลิตท่ีสำคัญ และมีจำนวนมาก เน่ืองจากยังมีการใช้ เคร่ืองจักรทุ่นแรงไม่มากนัก ในด้านแรงงานของภาคเกษตรก็มีทิศทางคล้ายกับประชากรภาคการเกษตรคือ จำนวนแรงงานในภาคเกษตรมีแนวโน้มสูงขึ้น แต่สัดส่วนของแรงงานเมื่อเปรียบเทียบกับแรงงานท้ังหมดมี แนวโน้มลดลงเรือ่ ย ๆ ปัญหาสำคัญด้านแรงงานเกษตรกรคือ อัตราค่าจ้างของแรงงานในภาคเกษตรมีแนวโน้ม เพิ่มข้ึน และจะขาดแคลนในฤดูกาลเพาะปลูกและเก็บเกี่ยว แต่จะมีการว่างงานระหว่างฤดูกาลสูงมากในช่วง นอกฤดูกาลเพาะปลูกและเก็บเกยี่ ว ทำใหม้ ีแรงงานส่วนหนง่ึ อพยพเข้าไปทำงานในเมืองเพ่ิมสงู ข้ึนเร่ือย ๆ 4) เครื่องจักรกลการเกษตร มีบทบาทสำคัญต่อภาคเกษตรของไทยเป็นอย่างมาก เน่ืองจาก เกษตรกรนำมาใช้เพือ่ เพิม่ ประสทิ ธภิ าพในการผลติ ใชแ้ ทนแรงงานทเี่ ร่ิมขาดแคลนในบางฤดกู าล และใช้ในการ เตรยี มดนิ เพอื่ ประหยัดเวลาทนั ตอ่ เหตกุ ารณ์ รักษาคุณภาพ และไม่ใหเ้ กิดการสญู เสียผลผลติ มากเกินไป ซ่ึงจะ มที ้งั ท่นี ำเข้า และผลติ ขึน้ ใชเ้ องในประเทศไทย 5) พันธ์ุพืช และสัตว์ เป็นปัจจัยท่ีสำคัญประเภทหนึ่งถ้ามีการใช้พ่อพันธ์ุและแม่พันธ์ุที่ดีก็จะช่วย ให้ผลผลติ จากการเพาะปลกู หรอื ปศสุ ัตว์เพิม่ ข้ึนคมุ้ กับการลงทนุ 6) ปุ๋ย จำแนกไดเ้ ป็น 2 ประเภทได้แก่ ปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยเคมี เนื่องจากตลาดสินค้าเกษตรหลักมี การขยายตัวอย่างรวดเร็ว เป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรเร่งขยายผลผลิต ปุ๋ยเคมีจึงถูกเลือกใช้มากข้ึนเพ่ือเป็นการ เพม่ิ ประสิทธิภาพในการผลิตแม้ว่าตน้ ทนุ การผลิตจะสูงข้นึ ก็ตาม 7) สารเคมี เป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการป้องกันกำจัด ศัตรูพชื ซึ่งเกษตรกรมีแนวโน้มการใช้สารเคมีมากในการปลูกพืชเศรษฐกิจทีร่ าคาสงู หรอื ใหผ้ ลตอบแทนสงู
23 2.2 การเก้อื กูลกนั ระหว่างกจิ กรรมการผลติ 1. การเกอ้ื กูลกันระหวา่ งกจิ กรรมการผลติ การปลกู พืชกับการปลกู พืช มีดังน้ี กิจกรรมพืช-พืช เกษตรผสมผสานพืชต่อพืชอาศัยการคัดเลือกพืชตามความต้องการแสงของพืช หรือความลึกของราก ความช้ืนท่ีต่างกัน ที่เรียกว่า การปลูกพืชความสูงต่างระดับ (Multistoried cropping system) หลักการ คือ พืชต่างชนิดกันหาอาหารต่างกัน มีการอยู่ร่วมกันได้ จะมีระบบที่สามารถพบเห็นได้ใน ลักษณะตอ่ ไปนี้ 1) ระบบการปลูกพืชไม้ยืนต้น และไม้ผลหลายชนิดในพ้ืนทป่ี ่า ซงึ่ ระบบน้ีนอกจากจะได้ผลใน ดา้ นเศรษฐกจิ แลว้ ยงั สมารถอนรุ ักษป์ ่าไม้ และระบบนเิ วศนไ์ ว้ได้อย่างดี 2) ระบบที่เลียนแบบมาจากระบบแรก คือ เป็นระบบที่ปลูกไม้ต่างระดับร่วมกันระบบน้ีจะมี การปลูกท้ังไม้ยืนต้น ไม้ผล และพืชล้มลุกต่าง ๆ ร่วมกันไป โดยพืชในแต่ละระดับความสูงจะมีความเหมาะสม และเกื้อกลู ประโยชน์ต่อกัน ในดา้ นความตอ้ งการแสงแดด ธาตุอาหาร ความชุ่มชนื้ เป็นตน้ 3) ระบบการปลูกพืชแซมในสวนมะพร้าว ซ่ึงจะพบเห็นได้ในภาคใต้ เช่น โกโก้ไปปลูกแซมใน สวนมะพรา้ ว 4) ระบบการปลูกพืชไร่ตระกลู ถ่ัวแซมในระหว่างพืชไรห่ ลัก 5) พชื ตระกูลถั่วช่วยตรึงธาตุไนโตรเจนให้กับพืชชนดิ อื่น 6) พชื ยนื ต้นให้รม่ เงากบั พืชทต่ี อ้ งการแสงแดดน้อย เช่น กาแฟ โกโก้ ชา สมุนไพร ฯลฯ 7) พืชเป็นอาหารและท่ีอยู่อาศัยให้กับแมลงศัตรูธรรมชาติ เพ่ือช่วยกำจัดศัตรูพืชไม่ให้เกิด ระบาดกับพืชชนิดอื่น ๆ เชน่ การปลูกถั่วลิสงระหวา่ งแถวในแปลงขา้ วโพด จะช่วยให้แมลงศัตรธู รรมชาติได้มา อาศัยอยูใ่ นถัว่ ลิสงมาก และจะช่วยกำจดั แมลงศัตรูของขา้ วโพด 8) พืชที่ปลูกแซมระหว่างแถวพืชหลักจะช่วยป้องกันไม่ให้วัชพืชข้ึนแย่งอาหารกับพืชหลักที่ ปลูก เชน่ การปลกู พชื ตระกลู ถว่ั เศรษฐกจิ ในแถวขา้ วโพด มนั สำปะหลัง ฝ้าย เป็นต้น 9) พืชแซมระหว่างแถวไมย้ ืนตน้ ในระยะเริ่มปลูกจะชว่ ยบงั ลมบังแดด และเก็บความชนื้ ในดิน ใหก้ บั พชื ยืนตน้ เชน่ การปลูกกลว้ ยแซมในแถวไมผ้ ลต่าง ๆ ในแถวยางพารา เปน็ ตน้ 10) พืชช่วยไล่และทำลายแมลงศัตรูพืชไม่ให้เข้ามาทำลายพืชที่ต้องการอารักขา เช่น ตะไคร้ หอม ถวั่ ลสิ ง ดาวเรือง แมงลัก โหระพา หม้อข้าวหม้อแกงลงิ ฯลฯ 2.. การเกือ้ กลู กนั ระหว่างกจิ กรรมการผลิตการปลกู พืชกับการเล้ียงสัตว์ กิจกรรมพืช-สัตว์ การเกษตรผสมผสานแบบน้ีเกษตรกรนิยมทากันมาก เนื่องจากเกษตรกรจะได้ ใช้ปัจจัยการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ การเกษตรผสมผสานรูปแบบน้ี เช่น การปลูกพืชควบคู่กับการเลี้ยงสัตว์ เป็นระบบการเกษตรผสมผสานอีกชนิดหนึ่งท่ีพบเห็นได้ เช่น ระบบการปลูกข้าวโพดฝักอ่อนกับการเล้ียงโค ระบบการเล้ียงสัตว์ โดยเฉพาะโคในพื้นที่สวนป่าพื้นที่สวนมะพร้าว สวนยางพารา ระบบการเล้ียงสัตว์น้ำใน พ้ืนท่ีปา่ ชายเลน 1) เศษเหลือของพืชจากการบรโิ ภคของมนุษยใ์ ชเ้ ป็นอาหารสตั ว์ และปลา 2) พืชยนื ตน้ ช่วยบังลม บงั แดด บงั ฝน ใหก้ บั สัตว์ 3) พชื สมุนไพรเปน็ ยารักษาโรคให้กับสตั ว์ 4) ปลาช่วยกินแมลงศัตรพู ชื วัชพชื ให้กับพืชทปี่ ลกู ในสภาพนำ้ ทว่ มขงั เชน่ ข้าว 5) ปลาช่วยให้อินทรีย์วัตถุกับพืช จากการถ่ายมูลตกตะกอนในบ่อเล้ียงปลา ซ่ึงสามารถ นำมาใช้เปน็ ปุย๋ กบั พชื ได้ 6) หา่ น เป็ด แพะ ววั ควาย ฯลฯ ช่วยกำจดั วัชพืชในสวนไมผ้ ล ไม้ยืนตน้
24 7) มลู สตั ว์ทุกชนดิ ใชเ้ ป็นปยุ๋ กบั พืช 8) ผง้ึ ช่วยผสมเกสรในการตดิ ผลของพืช 9) จุลินทรียช์ ว่ ยย่อยสลายซากพชื และสัตวใ์ หก้ ลบั กลายเป็นปุย๋ 10) แมลงศัตรูธรรมชาติหลายชนิด ช่วยควบคุมประชากรแมลงศัตรูพืชไม่ให้ขยายพันธ์ุมาก จนเกดิ การแพรร่ ะบาด ต่อพืชทปี่ ลกู 3. การเกือ้ กูลกันระหว่างกิจกรรมการผลติ การเล้ียงสัตว์กบั การเลี้ยงสตั ว์ เป็นหลักการผสมผสานเช่นเดียวกับการผสมผสานระหว่างพืช เน่ืองจากสัตว์ชนิดหน่ึงจะมี ความสัมพันธก์ บั สัตวอ์ ีกชนิดหนึ่ง และเก่ยี วข้องกบั ส่ิงมีชวี ติ อ่ืน ๆ เช่น พืชและจลุ นิ ทรีย์ ตวั อย่างของระบบการ ผสมผสานการเล้ียงสัตว์ เช่น การเล้ียงหมูควบคู่กับปลา การเลี้ยงเป็ด หรือไก่ร่วมกับปลา การเลี้ยงปลาแบบ ผสมผสาน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การผสมผสานการเล้ียงสัตว์เพียงอย่างเดียวอาจจะไม่สามารถสร้างระบบที่ สมบรู ณ์ ได้เหมอื นกบั การผสมผสานการปลกู พชื และเล้ยี งสตั ว์ 3. การเตรยี มการผลติ ในแตล่ ะกจิ กรรมการผลิตในระบบการเกษตรแบบผสมผสาน ก่อนอื่นต้องดูสภาพดินก่อน ว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร สภาพดินเหมาะกับการปลูกพืชอะไรได้บ้างการ เล้ียงสัตว์ต่าง ๆ เมื่อรู้แล้วว่าจะปลูกพืชอะไร ก็ดูว่า สัตว์ที่จะเล้ียงน้ัน เอื้อประโยชน์กับพืชท่ีปลูกอย่างไรบ้าง ใช้เปน็ อาหารหรอื ใช้ประโยชน์อะไรจากพืช และสัตว์ มกี ารเอ้ือประโยชนต์ อ่ กันอย่างไร 3.1 การกำหนดชนิด และปริมาณของปัจจัยการผลิตท่ีต้องใช้ในการระบบการเกษตรแบบ ผสมผสาน กำหนดชนิดพืช และแนวทางการใช้ประโยชน์ หลังการทำการสำรวจสภาวะความต้องการของตลาด ในท้องถ่ินและค้นคว้าหาข้อมูลพืชที่จะผลิตแล้ว จึงถึงข้ันตอนการตัดสินใจกำหนดชนิดพืชท่ีจะปลูก ซ่ึงควร คำนึงถึงฤดูกาลและสภาพพื้นที่ว่าเหมาะสมกับลักษณะนิสัยของพืชหรือไม่ มสี ภาพปัจจัยต่าง ๆ เหมาะแก่การ เจริญเติบโต มีปัญหาจากแมลงศัตรูพืชน้อยจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติบำรุงรักษา เพื่อลดต้นทุน การผลิต ส่วนการใช้ประโยชน์ของผลผลิตพืช ผู้ปลูกควรกำหนดวัตถุประสงค์การผลิตก่อน ว่าเมื่อผ ลิตแล้ว นำไปบริโภคในครัวเรือนหรือผลิตเพื่อการจำหน่ายและมีช่องทางการตลาดมากน้อยเพียงใด ผู้ผลิตควรตอบ คำถามเหล่านี้ใหไ้ ด้ เชน่ ผลิตพชื ชนิดนแี้ ล้วจะขายให้ใคร ขายทไี่ หน ขายเมื่อไหร่ ผลติ ที่ขายมจี ำนวนเทา่ ใด ถ้า เรากำหนดแนวทางการใช้ประโยชน์ผลผลิตพืชที่ปลกู ชัดเจนแล้ว ทำให้ผลิตสามารถวางแผนเตรยี มการผลิตไว้ ล่วงหนา้ ลดความเส่ยี งต่อภาวะขาดทุนไดเ้ ปน็ อย่างมาก
25 3.2 รูปแบบการทำแผนผังการผลิตในระบบการเกษตรแบบผสมผสาน ภาพที่ 4.1 แผนผงั รปู แบบแปลงเกษตรผสมผสาน ภาพที่ 4.2 แผนผงั รปู แบบแปลงเกษตรผสมผสาน
26 บทท่ี 5 เร่ือง การจัดการฟาร์มเกษตรแบบผสมผสาน 1. ความรู้เก่ยี วกบั การจัดการฟาร์มเกษตรแบบผสมผสาน 1.1 ความหมายของการจดั การฟาร์มเกษตรแบบผสมผสาน การจัดการฟาร์ม (Farm Management) หมายถึง การจัดการทรัพยากรของหน่วยธุรกิจฟาร์มท่ีมีอยู่ จำนวนจำกัด (ท่ดี ิน แรงงาน ทุน) ในการผลิตพืช และสัตว์ เพอ่ื ให้ได้มาซึง่ วัตถุประสงค์ท่ีฟาร์มต้องการ ภายใต้ ความเส่ียง และความไมแ่ น่นอน โดยการจัดการอย่างมปี ระสิทธิภาพ เพอ่ื ให้มีรายได้ต่อเนือ่ ง และกำไรสูงสุด 1.2 ความสำคญั ของการจัดการฟารม์ เกษตรแบบผสมผสาน 1) บริหาร และจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด และเป็นแนวทางแก้ปัญหา กิจกรรมภายใน ฟารม์ 2) การใช้ปัจจัยการผลิตในฟาร์มใหเ้ กดิ ประสิทธิภาพสูงสุด 3) การคดั เลือกกิจกรรมการผลิตให้สอดคล้องกับทรัพยากรที่มอี ยู่ ตลอดจน ความรู้ความสามารถ และทักษะของเจ้าของฟาร์ม 4) การจัดการด้านแรงงาน และเงินทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุด เน่ืองจากสภาพ ปัจจุบันแรงงาน ครัวเรือนและแรงงานจ้างค่อนข้างจำกัด ตลอดจนเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาจึงจำเป็นต้องใช้เงินทุนเข้ามาช่วย สนับสนุน ดงั น้นั การจดั การจงึ เน้นการควบคุมดูแลและการกำกับใชป้ จั จัยแรงงานและเงินทนุ 5) พื้นที่การเกษตรเริ่มมีขนาดเล็กลง และทรัพยากรเร่ิมจำกัดไม่ว่าพื้นที่หรือ แรงงาน จึ ง จำเป็นต้องเพิ่มธุรกิจภายในฟาร์มที่มีขนาดเท่าเดิมให้มากข้ึน โดยอาศัยการจัดการฟาร์ม ท่ีถูกต้องและ เหมาะสม 6) การวางแผน และการวิเคราะห์ฟาร์ม เพื่อจะได้กำหนดทิศทางการผลิตให้ สอดคล้องกับ ทรัพยากร และความตอ้ งการของตลาด สงิ่ สำคัญให้เกิดความเสย่ี งนอ้ ยทส่ี ุด 7) เน่ืองจากการตลาดนำหน้าการผลิต ดังนั้นการจัดการฟาร์มนำหน้าการผลิต การจัดการฟาร์ม จึงต้องตระหนกั ถึงระบบการตลาด การซือ้ ขายผลผลิต ชว่ งระยะเวลา และคณุ ภาพของผลผลติ 1.3 หลกั การการจัดการฟารม์ เกษตรแบบผสมผสาน 1) เกษตรกรต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์ ระหว่างรายรบั -รายจ่าย โดยรายรับขึ้นอยูก่ ับการวางแผน จะผลิตอะไร จำนวนเท่าใด ผลิตเม่ือไร เลือกใช้วิธีการผลิตแบบใด และการคาดคะเนผลผลิตท่ีคาดว่าจะได้รับ จากการผลิตแตล่ ะกจิ กรรม ซ่ึงมีมากกวา่ จะตอ้ งใหม้ ีต้นทุนทีต่ ่ำสุด มีความเสีย่ งนอ้ ยท่ีสดุ และมกี ำไรสงู สุด 2) เกษตรกรต้องเตรียมความพร้อมกับสถานการณ์ความเส่ียงท่ีจะเกิดขึ้นในอนาคต ในด้านของ สภาพดินฟ้า อากาศ ปริมาณน้ำฝน ความแห้งแล้ง โรค และแมลง สภาวะการตลาดของผลผลิต มีความสำคัญ และ มีอิทธิพลอย่างมากต่อระบบขั้นตอนการผลิตทางการเกษตร มีการหมุนเวียนนำส่ิงเหลือใช้ภายในฟาร์ม มาใช้ประโยชน์ทกี่ อ่ ใหเ้ กดิ การสนบั สนุนเกือ้ กูลประโยชน์ซ่ึงกันและกนั โดยจะสง่ ผลให้ตน้ ทุนการผลิตลดลง ลด การใช้สารเคมีในการป้องกันกำจัดศัตรูพืช อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ได้ผลิตผลท่ีปลอดภัย จากสารพษิ ซง่ึ จะนำไปสูร่ ะบบการเกษตรท่ีย่ังยืน
27 2. การจัดการกจิ กรรมการเกษตร 2.1 การจดั การกจิ กรรมการปลูกพชื การปลูก และการบำรุงรักษา การผลิตพืชโดยทั่วไป ต้องให้พืชเจริญเติบโตและให้ผลผลิตสูงสุดเท่าท่ี สามารถ ทำได้โดยหลกั การพื้นฐานการเจริญเติบโตและการใหผ้ ลผลติ ของพืช ซง่ึ เกย่ี วขอ้ งกับพันธกุ รรมของพืช และส่ิงแวดล้อม ต่าง ๆ ท่ีพืชได้รับ พันธุกรรมของพืชเป็นปัจจัยภายในพืช ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นกว่าเดิม ได้โดยการปรับปรุง พันธุกรรม ส่วนส่ิงแวดล้อมเป็นปัจจัยภายนอกพืช สามารถจัดการให้เหมาะสมกับความ ต้องการในการเจริญเติบโต และการให้ผลผลิตของพืชได้หลายทาง ความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะการ เจริญเติบโต การให้ผลผลิต และการตอบสนองของ พืชต่อปัจจัยต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้อง ช่วยให้ผู้ผลิตพืชสามารถ เลือกวิธีการจดั การดูแลรักษาได้ดยี ่ิงข้ึน ซึ่งประกอบด้วย ข้อมูล ลักษณะความต้องการของพืช ข้อจำกดั ของพืช หลักการปลกู พืช การบำรุงรกั ษาพชื และการอารักขาพืช การเก็บเกี่ยว และการปฏิบัติการหลังการเก็บเกี่ยว เป็นข้ันตอนที่สำคัญอีกขั้นตอนหน่ึง ซ่ึงต้อง พิจารณา ปัจจยั ต่าง ๆ ได้แก่ ปัจจยั ภายในตัวพชื และส่งิ แวดลอ้ ม หลกั การเก็บเกี่ยวและการปฏิบตั กิ ารหลงั การ เก็บเกี่ยวผลผลิต อาทิการเก็บเก่ียวผลผลิตในช่วงเวลา และวิธีที่เหมาะสม เพื่อให้ผลผลิตมีคุณภาพคงเดิมและ บอบชา้ นอ้ ยทีส่ ุด 1. การปฏิบตั ิดูแลรักษาพชื ทีป่ ลูก การปฏิบัติดูแลรกั ษา หมายถึง การดำเนินงานปฏิบัติดูแล บำรุงรักษาพืชทป่ี ลูกงานสำคัญไดแ้ ก่ การใหน้ ้ำ การพรวนดนิ ใส่ป๋ยุ และการป้องกนั และกำจดั ศัตรพู ืช 1) การให้น้ำ การให้น้ำแก่พืชต้องให้ในปริมาณท่ีเพียงพอต่อการเจริญเติบโตของพืช การให้นำ้ แก่พืชมากเกนิ ไปหรือนอ้ ยเกนิ ไปอาจทำให้พืชตายได้ 2) การพรวนดนิ การพรวนดินใส่ป๋ยุ ช่วยให้พืชเจริญเติบโตได้เร็ว เพราะทำใหด้ นิ รว่ น โปรง่ และพืชดูดปยุ๋ ไปใช้ได้สะดวก 3) วิธใี ส่ป๋ยุ - ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยอินทรีย์เป็นปุ๋ยที่ได้จากปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยน้ำชีวภาพ การใส่ปุ๋ย อินทรีย์ควรใส่ในขณะพรวนดิน แล้วคลุกเคล้าดินกับปุ๋ยอินทรีย์ให้เข้ากัน สำหรับปุ๋ยน้ำชีวภาพใช้อัตราปุ๋ยน้ำ ชวี ภาพประมาณ 30 ซีซี ตอ่ น้ำ 20 ลิตร รดทกุ 5-7 วัน - ปุ๋ยเคมี เป็นปุ๋ยที่ใส่ให้กับพืช แล้วทำให้พืชแตกก่ิงก้านสาขาเร็วกว่าใช้ปุ๋ยอินทรีย์ แต่ปุ๋ยเคมีมีราคาแพง และมีผลกระทบต่อดินปลูกทำให้ดนิ แข็งต้องปรับปรุงดนิ อยู่เสมอ ปุ๋ยเคมีท่ีใช้ส่วนมากใช้ สูตรผสม และให้กับพชื แตล่ ะชนดิ ตามความตอ้ งการของพชื 4) การป้องกันและกำจัดศตั รูพชื - ทำให้พืชแข็งแรงเจริญเติบโตเร็ว โดยการใส่ปุ๋ย ซ่ึงช่วยต้านทานต่อโรค และแมลง ได้ดี - ควรปลูกพชื หมนุ เวยี น โดยการสลับปลกู พืชชนดิ อนื่ บ้างในฤดกู าลตอ่ ไป - ควรปลูกพืชท่ีเจรญิ เติบโตไดด้ ี และเหมาะสมกบั ทอ้ งถ่นิ นั้น ๆ 2. การปลูกพชื ผัก ไมผ้ ล ไม้ยนื ต้น พชื ไร่ และพืชสมนุ ไพร ฯลฯ 1) การปลูกพืชผักสวนครัว ยังเป็นลักษณะไร่นาสวนผสม ตามแนวพระราชดำริ ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั อีกด้วย ร้ัวรอบบ้าน คือ กระถนิ นอกจากนี้ยงั มีชะอม มะนาว มะกรดู แคต้นเต้ีย ดอกดกตลอดปี ใกลบ้ ันไดบ้าน วางกระถางล้างเท้ารปู สี่เหลี่ยม ถัดไปเป็นมะละกอใหญ่ หลังบ้านมีบึงเล็ก เต็ม ไปดว้ ย กอบัวแดง พอสายหน่อยแดดจัด มันซ้อนกลีบกันกลายเป็นดอกตูม สายบัวนี่กินได้แกงอร่อย ต้มกะทิก็ เย่ียม เดินลงไปหน่อยก็เป็นบึง เด็ดยอดผักบุ้ง ผักกระเฉดมาต้มจิ้มน้ำพริกสบายไม่ต้องเสียเงินไปซ้ือผักปลาท่ี
28 ไหน ข้างบ้านก็มีกล้วยหลากหลายพันธ์ขุ ึ้นกันดาษดื่น ปะปนกับกระจับ กระเจ๊ียบ โหระพา กะเพรา ตะใคร้ ท่ี ปลูกใกล้ๆ กับบ่อเลี้ยงปลานิล ช่อน ย่ีสก ปลาดุก อยู่รวมกันได้ทั้งน้ัน เพียงแต่ต้องแบ่งเน้ือท่ีไว้ให้สำหรับ อนุบาลลกู ปลาซักหนอ่ ยไม่ตอ้ งใหญ่มากนัก ผกั บุ้ง กระเฉดชว่ ยเปน็ ทห่ี ลบซ่อนจากปลาใหญ่ไดเ้ ป็นอยา่ งดี 2) การปลูกไม้ผล ลักษณะการปลูก คือ ปลูกในสวนผลไม้ หรือพื้นท่ีที่มีบริเวณกวา้ งขวาง เพราะต้นไม้จะเป็นไม้ยืนต้น อายุการให้ผลยาวนาน วิธีการดูแลรักษาพิเศษกว่าปกติ ต้องใส่ปุ๋ยบำรุงดิน ตกแต่งกง่ิ และตรวจสอบดูหนอน แมลง ศัตรูพืช ไม้ผล เชน่ มะมว่ ง เงาะ ทุเรียน มงั คดุ ลำไย ฯลฯ 3) พืชไร่ หมายถงึ พืชท่ีปลูกโดยใช้เน้ือท่ีมาก มีการเจริญเติบโตเรว็ ไม่ต้องการดูแลรักษา มากเหมือนพืชสวน ส่วนใหญ่เป็นพืชล้มลุก มีอายุต้ังแต่ 2 เดือน ถึง 1 ปี หรือมากกว่า ผลผลิตของพืชไร่มี ความสำคัญทางเศรษฐกิจและชีวิตประจำวันของคนไทย โดยใช้บริโภคเป็นอาหารหลัก และส่งเป็นสินค้าออก จัดเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งสามารถนำรายได้เข้าประเทศเป็นจำนวนมากเช่น ข้าว ข้าวโพด อ้อย ถั่ว ต่าง ๆ ยาสบู ฝ้าย มนั สำปะหลัง เปน็ ต้น 4) การปลูกไม้ยืนต้นชนิดใดชนิดหน่ึงมักมุ่งหวังในด้านใดด้านหนึ่งเฉพาะ แต่ก็มักมี ผลประโยชนพ์ ลอยได้อย่างอ่ืนตามมาด้วย เช่น - ต้นไม้ที่สามารถนำไม้มาแปรรูปเป็นแผ่น และท่อนไม้ เช่น ต้นสัก ต้นพยุง ต้น ชิงชัน ต้นประดู่ ต้นตะเคียน ต้นกระถินเทพา ต้นมะค่า ต้นเต็ง ต้นสะเดา ต้นจามจุรี ต้นจำปาป่า ต้น มะฮอกกานี - ต้นไมท้ น่ี ยิ มนำมาสกัดยาง และนำ้ มนั หอมระเหย เช่น ต้นยางพารา ตน้ กฤษณา - ต้นไม้ท่ีนิยมนำมาไม้มาทำเป็นกระดาษ ได้แก่ ไม้ยูคาลิปตัส ไม้กระถิน ไม้กระถิน เทพา ไมส้ ะเดา เปน็ ตน้ เป็นลักษณะของไม้โตเร็วท่มี ีเนือ้ เย่ือ และแก่นไม่แข็งมากนกั 5) สมุนไพร และเคร่ืองเทศ เป็นกลุ่มของพืชผักท่ีสามารถใช้ท้ังในการประกอบอาหาร เพ่ือให้อาหารมีสี รสชาติ กล่ินตามต้องการ รวมถึงการเพ่ิมสรรพคุณทางยาของอาหาร มักเป็นพืชท่ีให้ กล่ิน แรง มีรสเผ็ดร้อน โดยส่วนมากจะใช้ส่วนผล หัว และรากมาใช้ประโยชน์ และเป็นพืชในท้องถ่ิน เช่น ขิง พริก ไท ดีปลี กระชาย ข่า ตะไคร้ ขม้นิ ฯลฯ 3. การใช้ประโยชน์ และการจดั จำหนา่ ยพืชท่ีปลูก 1) การใชป้ ระโยชนจ์ ากพืชท่ีปลกู ไดแ้ ก่ อาหาร ยารักษาโรค สรา้ งบ้าน เป็นป๋ยุ บำรงุ ดิน ช่วย ป้องกนั หนา้ ดนิ พังทลาย ฯลฯ 2) การส่งจำหน่ายผัก มักส่งจำหน่ายในพ้ืนท่ีตัวเมืองของจังหวัด บางส่วนท่ีเป็นแปลงขนาด ใหญม่ ักมพี ่อค้าคนกลางเขา้ รบั ถงึ พื้นท่ี เพื่อส่งจำหน่ายยงั ตัวเมืองในจงั หวดั ต่าง ๆ รวมถึงกรงุ เทพฯ และภาคใต้ ซ่ึงมีพน้ื ทีน่ อ้ ยในการปลกู ผกั 2.2 การจดั การกจิ กรรมการเลยี้ งสตั ว์ การเล้ียงสัตว์ ห มายถึง การป ฏิ บั ติเกี่ยวกับ การเล้ียงดู การให้ อาห าร การท ำ ความสะอาดท่ีอยู่อาศัย การป้องกันและรักษาโรคของสัตว์ เพื่อให้สัตว์เจริญเติบโต สมบูรณ์แข็งแรง และใหผ้ ลผลติ ตอบแทนสูงสดุ 1. การปฏบิ ัตกิ ารเลย้ี งสัตว์ในระบบการเกษตรแบบผสมผสาน 1) การใหอาหาร ตองใหอาหารแกสตั วเล้ียงอยางถูกตองและเหมาะสม 2) มนี ้ำสะอาดไวใหสัตวดืม่ กนิ อยางเพียงพอตลอดเวลา 3) หมั่นทำความสะอาดคอกสัตว อุปกรณตาง ๆ อยาใหสกปรก รกรุงรังหรือมีกล่ินเหม็น รบกวนสัตวและผูอยูขางเคยี ง
29 4) ทำความสะอาดตัวสัตวตามชนิดของสัตว เชน การอาบน้ำ การตัดขน ตัดเล็บ หรือตัดกีบ สตั ว เปน็ ต้น 5) การปองกนั กำจัดศัตรูตาง ๆ เชน 1 ไมปลอยใหสัตวอ่นื มารบกวนสัตวท่เี ล้ียงไว 2 กำจัดศัตรูภายนอก พวกเหา เห็บไร ไมใหรบกวนสัตวเลยี้ ง 3 การใหวคั ซีนตามชนดิ ของสตั วเล้ียง 4 การใหยารกั ษาโรคตาง ๆ และการรักษาบาดแผล 5 การปองกนั โรคจากท่อี ืน่ เขามาในทีเ่ ลี้ยงสัตว เชน มที ่ีลางเทาหนาคอกสัตวเป็นต้น 6 สตั วทเี่ จ็บปวยใหแยกเลี้ยงตางหาก รีบรักษา หรอื ปรกึ ษาสตั วแพทย 7 สัตวท่ีตายดวยโรคอยานำมาบริโภคเพราะจะทำใหเชอ้ื โรคแพรระบาด และอาจเป นอนั ตรายตอผูบรโิ ภคได 6) การปองกันลมฝน เพราะเปนอนั ตรายตอสัตวเลยี้ งบางชนดิ 7) อยาใหสตั วเล้ยี งอยูอยางเบยี ดเสยี ดมากจะเกิดความเครียด และทำรายกันเอง 8) ปองกนั อยาใหสัตวตกใจ แตกต่ืน จะเปนอนั ตรายหรือใหผลิตผลนอยลง 9) ตรวจตราโรงเรือนและอุปกรณตาง ๆ อยูเสมอ หากชำรุดตองรีบซอมแซม เพ่ือไมใหเกิด อนั ตรายตอสัตวเลยี้ ง 2. การใชป้ ระโยชน์ และการจัดจำหนา่ ยการเลี้ยงสัตวใ์ นระบบการเกษตรแบบผสมผสาน 1) ช่วยให้ผู้เล้ียงมีสุขภาพกาย และสุขภาพจิตท่ีดี เพราะการเลี้ยงสัตว์เป็นการ ฝึกฝนใหผ้ ู้เลย้ี งเป็นผู้ที่มีความเมตตากรุณาต่อสตั ว์ ทำใหผ้ ่อนคลายจากความตึงเครียด และมีสุขภาพจิตที่ดี ใน ขณะเดียวกนั การเลี้ยงสัตว์ยังเป็นการออกกำลังกายในการปฏิบตั ิดูแลรักษาสัตว์เลี้ยงทำให้ผ้เู ลี้ยงมีสุขภาพกาย ท่ีดอี กี ด้วย เชน่ การพาสุนขั เดนิ เลน่ การลา้ งและการจัดแต่งตู้ปลา การทำความสะอาดกรงนก เปน็ ต้น 2) ช่วยให้ผู้เลี้ยงมีอาหารไว้รับประทานภายในครอบครัว ในกรณีท่ีเล้ียงสัตว์เพื่อเป็นอาหาร เชน่ การเล้ียงไกเ่ พือ่ นำเน้อื และไขม่ าเปน็ อาหาร 3) ช่วยให้ผู้เล้ียงมีแรงงานจากสัตว์ไว้ช่วยในการทำงาน เพราะการทำการเกษตรบางอย่างยัง ตอ้ งอาศัยแรงงานจากสัตว์ เช่น การใช้แรงงานจากควายในการไถพรวนดนิ เพ่ือปลูกพืช การใช้แรงงานจากช้าง ในการลากท่อนซุง 4) ช่วยให้มีปุ๋ยที่ได้จากมูลสัตว์มาใช้ในการปลูกพืช เช่น มูลวัว มูลควาย มูลเป็ด-ไก่ มูล ค้างคาว 5) การเลย้ี งสัตว์ทกุ ประเภทผูเ้ ลย้ี งสามารถยดึ เปน็ อาชีพได้ เชน่ การสัตวเ์ พอ่ื จำหนา่ ย 6) การจำหน่ายมีพ่อคา้ คนกลางมารับซอ้ื ถึงฟารม์ จัดจำหน่ายไดใ้ นตลาดในเมือง จัดจำหนา่ ย ในตลาดท้องถิน่ เปน็ ต้น 2.3 การจดั การกจิ กรรมการเลย้ี งสตั ว์นำ้ การเลี้ยงปลาร่วมกับการเล้ียงสัตว์ และปลูกพืชในพื้นท่ีใดพ้ืนท่ีหนึ่งเป็นการใช้ประโยชน์จากพื้นดิน และน้ำที่มีอยู่ให้มากท่ีสุดแลให้กิจกรรมนั้น ๆ สามารถใช้ประโยชน์ซ่ึงกันและกันท้ังทางตรงและทางอ้อมได้ อย่างเต็มท่ี ตามความเหมาะสมของสภาพแวดล้อมของท้องถ่ินนั้น เพ่ือให้ได้ผลผลิตมากข้ึนและพยายามลด ตน้ ทุนในการผลิตให้มากที่สุดเท่าทีจ่ ะทำได้ รวมทั้งไม่กอ่ ใหเ้ กิดผลเสยี ต่อสภาวะ แวดล้อม และคงดำรงผลผลิต อยู่ไดย้ าวนาน
30 การปฏิบัติการเลี้ยงสัตว์น้ำในระบบการเกษตรแบบผสมผสาน บ่อท่ีเลี้ยงปลาที่กินอาหารไม่ เลือก กินพืช และกินแพลงตอน ควรเติมน้ำให้ได้ระดับ 1-2.50 เมตรอยู่เสมอ หากมปี ลาตัวใดท่ีกินอาหารได้ นอ้ ยลงหรือลอยหวั ควรจะถ่ายน้ำ เปล่ียนน้ำอย่างน้อยเดือนละ 1-2 คร้ัง อาจสามารถสังเกตได้จากสีของน้ำ และการลอยหัวของปลา การระบายนำ้ ของบ่อควรระบายสว่ นล่างของก้นบ่อซ่ึงจะเป็นส่วนที่เน่าเสยี มากกว่าบนผิวน้ำ ในกรณี ที่บ่อปลาไม่สามารถระบายน้ำได้เลยจะต้องระมัดระวังในการให้อาหารในปริมาณท่ีพอเหมาะ น้ำจะได้ไม่เน่า เสียเร็ว บางคร้ังเราอาจสามารถใส่เกลือแกงลงไปเพื่อช่วยปรับสภาพของน้ำ ในอัตราส่วนประมาณ200- 300 กก./ไร่ 1 การเลี้ยงปลาแบบผสมผสานรว่ มกบั การเลีย้ งสัตวแ์ ละปลูกพืช 1) การเล้ียงปลาร่วมกับการปลูกพืช เน่ืองจากการเลี้ยงปลาเป็นเวลานาน ๆ บ่อจะเส่ือม โทรมจากโคลนเลน ซ่ึงสะสมอาหารที่เหลือจากปลา โคลนเลนในบ่อจึงเกิดการอุดมสมบูรณ์ทีจ่ ะเป็นประโยชน์ ตอ่ พืชผักต่าง ๆ และสามารถกลับไปเปน็ อาหารของปลาต่อไป ปุ๋ยโคลนเหล่านี้จะชว่ ยเพม่ิ ความหนาของดนิ ใน การปลกู พืช ช่วยปรับโครงสร้างส่วนประกอบของดนิ ที่ดูดซับ NPK และยงั ทำใหด้ นิ อุ้มนำ้ ไดด้ ขี นึ้ 2) การเลี้ยงปลารว่ มกับการเลี้ยงเป็ด มูลเป็ดเป็นปุ๋ยซึ่งจะช่วยให้เพิ่มผลผลิตทางชีววิทยา และช่วยเพ่ิมอาหารธรรมชาติใหก้ บั ปลาหรือเป็นอาหารโดยตรง กล่าวคือ มูลเปด็ ก่อใหเ้ กิดแพลงค์ตอนพชื และ แพลงค์ตอนสัตว์ตลอดจนสัตว์หน้าดิน การว่ายน้ำและการใช้อาหารของเป็ด ช่วยเพ่ิมอกซิเจนในน้ำ และช่วย ให้ธาตุอาหารในดินกระจาย ละลายน้ำเป็นประโยชน์ในการผลิตอาหารธรรมชาติ อาหาร และเศษอาหารที่ใช้ เลย้ี งเป็ด ยงั เป็นอาหารปลาหรอื บางสว่ นจะกลายเป็นปยุ๋ พันธป์ุ ลาทเี่ หมาะสมในการเลยี้ งรว่ มกับเป็ด ควรเป็นพันธ์ุท่ีกินอาหารไม่เลือก หรือกินแพลงค์ตอน เช่น ปลานิล นวลจันทร์เทศ และ ปลาซ่ง โดยใช้ปลานิลเป็นหลัก ลูกปลาควรมีขนาด 5-7 ซ.ม. อัตรา 3,000 ตัว/ไร่/เป็ดไข่ 240 ตัว การเล้ียง เป็ดกับปลาสวายน้ันควรปล่อยเป็ดลงในบ่อ หลังจากเล้ียงปลาสวาย 2 เดือน ปลาจะมีขนาดพอท่ีเป็นไม่ สามารถกินเปน็ อาหารไดอ้ าหารที่ใช้เลย้ี งเป็นมีสว่ นผสมคือ ปลายข้าว 50% รำละเอยี ด 30% หวั อาหาร 20% 3) การเล้ียงปลาร่วมกับการเลี้ยงไก่ จุดประสงค์ของการเลี้ยงคล้ายคลึงกับการเลี้ยงปลา รว่ มกับเป็ด คือใช้มูลเพื่อเป็นอาหารปลาและเป็นปุ๋ยช่วยก่อให้เกิดอาหารธรรมชาติ ที่จะใช้เป็นอาหารปลาอีก ทอดหนึ่ง มูลไก่ท่ีขับถ่ายต่อวันจะมีประมาณ 24-106 กิโลกรัม/ไก่ 1,000 ตัว บ่อที่ใช้เลี้ยงปลาร่วมกับไก่ ควร เปน็ บอ่ ดนิ ท่ีสามารถเก็บกักนำ้ ได้โดยเฉล่ีย 1-1.50 เมตร ในชว่ งของการเล้ียงร่วมกบั ไก่ เลา้ ไกค่ วรสรา้ งครอ่ ม บ่อปลา เพ่ือประโยชน์ในการใช้พ้ืนท่ี และการใช้มูลไกห่ รือเศษอาหารในการเล้ียงปลาโดยตรง การนำลูกไก่มา เลีย้ งควรเร่ิมหลังจากการเตรียมบ่อปลาและน้ำมีสีเขยี วดีแล้ว ทั้งน้เี พื่อให้มูลไก่ตกลงสบู่ ่อปลา ลูกปลาจะได้กิน อาหารอยา่ งต่อเน่ือง ควรเลอื กลูกปลาท่ีมีลักษณะแข็งแรงขนาดไลเ่ ล่ียกนั ขนาดลูกปลากินพืช และกนิ ไม่เลือก ควรเปน็ 2 น้วิ และลกู ปลาดกุ ควรมีขนาด 1 น้วิ ตารางที่ 5.3 พนั ธ์ุปลา และอัตราสว่ นในการเล้ยี งปลาร่วมกับไก่ ชนิดไก่ จำนวน(ตัว/บ่อ 1 ไร)่ ชนิดของปลา ขนาด (ซ.ม.) จำนวน (ตวั /ไร)่ ไกพ่ ันธุเ์ นอื้ 1,000 นลิ 3-5 3,000 ไก่พนั ธ์ไุ ข่ 200 นลิ ,สวาย 3-5 1,500+1,500
31 ชนดิ ไก่ จำนวน(ตัว/บ่อ 1 ไร)่ ชนิดของปลา ขนาด (ซ.ม.) จำนวน (ตวั /ไร)่ นิล+สวาย+ตะเพยี น+ 3-5 3,000 ยีส่ ก+นวลจันทร์+จีน ดกุ บิก้ อุย 3-5 40,000 หลังจากการเริม่ การเลย้ี งแล้ว ควรมีการควบคมุ ปริมาณมูลไก่ท่ปี ล่อยลงบอ่ ปลาเพื่อลดการเน่าเสียของ น้ำ การดูดน้ำและเลนก้นบ่อออกหลังการเล้ียงผ่านไประยะหน่ึง แล้วเพิ่มน้ำในระดับเดิม จะช่วยให้สภาพน้ำ ในบอ่ เหมาะแกก่ ารเจรญิ เตบิ โตของปลาย่งิ ขึน้ 4) การเลย้ี งปลารว่ มกบั การเลยี้ งสกุ ร ประโยชนข์ องการใชม้ ูลสกุ รในบ่อปลา มูลของสุกร จะเป็นอาหารของปลาสวายโดยตรง ลดต้นทุนการผลิตปลาสวายอย่างมากช่วยให้เพ่ิมอาหารธรรมชาติให้แก่ ปลา ช่วยลดมลู สกุ รที่ตกค้างอนั จะก่อให้เกดิ การแพร่กระจายของเชื้อโรคและพยาธิ สูค่ นและสกุ รท่ีเลย้ี ง การเลี้ยงสุกร จำนวน 8-16 ตัว จะพอเหมาะกับการเลี้ยงปลาในบ่อขนาด 1 ไร่ ท้ังนี้ข้ึนอยู่ กับชนิดของปลา และขนาดของสุกรที่เล้ียงโดยท่ัวไป เม่ือสุกรยังมีขนาดเล็กบ่อเลี้ยงปลาขนาด 1 ไร่ จะปล่อย ปลาขนาด 3-5 ซ.ม.จำนวน 3,200 ตัว การเลี้ยงสุกรขนาดเล็กก็สามารถเพ่ิมจำนวนให้มากขึ้นได้ เม่ือสุกร น้ำหนักเฉล่ีย 50 ก.ก. อัตราส่วนสุกร 16 ตัว จึงเหมาะสมกับบ่อเลี้ยงขนาด 1 ไร่ พันธ์ุปลาท่ีเหมาะสมแก่การ เลี้ยงเป็นปลานิล และปลาสวายเพราะเป็นปลาที่ทนต่อสภาพแวดล้อม และคุณสมบัติของน้ำท่ีมีการ เปลี่ยนแปลงของออกซิจนในชว่ งกลางวันและกลางคืน ตารางท่ี 5.4 พนั ธ์ปุ ลาและอัตราส่วนในการเล้ยี งร่วมกบั สกุ ร จำนวนสกุ ร ชนดิ ปลา ขนาด (ซ.ม.) จำนวน (ตวั /ไร)่ หมายเหตุ 3-5 3,200 เลี้ยงชนดิ เดียว 8-16 ตวั นิล 3-5 3,200 เลย้ี งชนดิ เดยี ว สวาย 5) การเล้ียงปลาร่วมกับการเลี้ยงวัว มูลวัวจะมีความอุดมสมบูรณ์ของแร่ธาตุต่าง ๆ คุณค่าสารอาหารจะต่ำกว่ามูลหมูเล็กน้อย ค่าเฉล่ียของจำนวนพืชน้ำ และไรน้ำที่เป็นอาหารธรรมชาติของ ปลา ในบ่อท่ีมีการใส่มูลวัวจะมีค่าสูงกว่าที่บ่อไม่ได้ใส่ปุ๋ย ทำให้ปลาที่กินอาหารทุกอย่างและปลาที่กินแพลงค์ ตอนเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ซง่ึ จะช่วยลดต้นทุนค่าซ้ือปุย๋ และอาหารปลารวมทงั้ เป็นการประหยัดพลังงาน และรกั ษาส่งิ แวดล้อม พันธุ์ปลาท่ีเลี้ยงในบ่อที่ใช้มูลวัวควรแยกเป็น ปลากินพืช เช่น ปลาเฉา ปลาตะเพียน ฯลฯ 10% เล้ียงรวมกับปลากินแพลงค์ตอน เช่น ปลาถ่ิน,ปลาซ่ง และปลาที่กินได้หลายอย่าง เช่น ปลา ไน 90% โดยอัตราการใช้มูลววั ไม่เกิน 300-450 กิโลกรมั /ไร/่ เดอื น
32 ตารางท่ี 5.5 การปล่อยปลาในอตั ราการปล่อยท่เี หมาะสมต่อสัตวเ์ ล้ียง ชนิดสัตว์ ขนาด (น้ิว) จำนวน (ตัว/ไร่) ปลานลิ 1 น้ิว – 2 น้ิว 3,000 ปลาตะเพยี น 1 นว้ิ – 2 น้ิว 3,000 ปลาสวาย 1 นิ้ว – 2 นิ้ว 3,000 เป็ด 300-500 ไกไ่ ข่ 200-300 ไกพ่ ันธเุ์ น้อื 1,000 สกุ ร 8-16 ตารางท่ี 5.6 อัตราส่วนและจำนวนการปลอ่ ยปลาแบบรวม แบบ ชนดิ ปลา อัตราสว่ น จำนวนทป่ี ล่อย (ตัว/ม2) หมายเหตุ มีหญา้ สดมาก 1 ปลากินหญ้า:ปลาเกลด็ แขง็ 7:2:2:1 1/4 ปลาหวั โต: ปลาไน 2:1:1:1 มีหญา้ สด น้อย นิล:สวาย:ตะเพียน: 3:3:3:1 1/4 2 (เฉ า ,ลิ้ น ,ซ่ ง ,ไน ,ย่ี ส ก เท ศ ,นวลจันทร์) 3 นิล:ช่อนหรือปลาบู่ 9:1 10/2 สวาย:ตะเพียนขาว 3:3:3:1 10/2 4 (จีน,ย่ีสก,นวลจันทร์) (ช่อน หรอื บ)ู่ 5 นลิ (อายตุ า่ งกัน 3-4 กลมุ่ ) 10/2 2 การใชป้ ระโยชน์ และการจัดจำหนา่ ยการเลยี้ งสัตวน์ ้ำในระบบการเกษตรแบบผสมผสาน 1) สามารถใช้ประโยชน์ของดินได้เต็มที่ ดินรอบ ๆ บ่อใช้ปลูกพืชผัก และใช้เป็นที่สร้างคอก สตั ว์ สว่ นน้ำในบอ่ นอกจากใชเ้ ลีย้ งปลาแล้วยังปลกู พืชอืน่ ๆ ไดอ้ ีก เชน่ ผักบงุ้ ฯ 2) เศษเหลือของพชื และสัตว์สามารถนำกลับมาใชไ้ ด้อกี เช่น มูลสัตว์ เศษอาหารสัตว์ เศษผัก หญ้าต่าง ๆ ซึ่งถ้าตกลงไปในบ่อก็จะกลายเป็นอาหารปลาและเป็นปุ๋ยสำหรับเติมบ่อปลา ขณะเดียวกันโคลน เลนก้นบ่อก็สามารถนำมาปลูกพืชต่าง ๆ ได้ดี การนำของเศษเหลอื ของเสยี ต่าง ๆ กลับมาใชอ้ ีกน้ีเป็นการกำจัด ของเสยี และชว่ ยลดค่าใชจ้ า่ ยตา่ ง ๆ เชน่ คา่ อาหารปลา ค่าอาหารสตั ว์ คา่ ปุย๋ 3) เป็นการเพิ่มผลผลิตและเพ่ิมรายได้ สามารถใช้บริโภคภายในครอบครัว ถ้าเหลือก็สมารถ นำออกขายเกิดเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินการต่อไป และเป็นการใช้แรงงานภายในครอบครัวให้เป็น ประโยชน์ 4) ลดอัตราการเสี่ยงต่อการขาดทุนได้ดีกว่าการเล้ียงปลา เล้ียงสัตว์ หรือปลูกพืชอย่างเดียว และเปน็ การลดตน้ ทนุ เพราะกจิ กรรมแตล่ ะอยา่ งตอ้ งพง่ึ พากัน
33 5) กอ่ ให้เกดิ รายไดห้ มุนเวยี นจากการจำหนา่ ยผลผลตจิ ากฟารม์ ตลอดปี 6) ไม่มีผลกระทบด้านลบต่อระบบนิเวศน์ วิทยา และระบบการผลิต การบริโภค-การใช้ ทรัพยากรในท้องถ่ินมีความสมดุลทำให้ระบบการทำฟาร์มดำเนินต่อเนื่องได้นานที่สุดโดยไม่เกิดปัญหา จึงอา จะเรยี กอกี อยา่ งหนึ่งว่า ระบบเกษตรกรรมที่ยงั่ ยืน 7) การจำหน่ายได้ในตลาดในเมือง ตามภัตตาคาร ส่วนสัตว์น้ำขนาดเล็กคุณภาพต่ำจัด จำหนา่ ยในตลาดท้องถิน่ และมีพ่อค้ามาซอื้ ถึงทีฟ่ าร์ม เป็นต้น 3. การผสมผสานกิจกรรมการผลิตในระบบการเกษตรแบบผสมผสาน 3.1 ปฏสิ ัมพนั ธ์กจิ กรรมการผลิตในระบบการเกษตรแบบผสมผสาน 1. การเกษตรผสมผสานท่มี ปี ฏสิ ัมพันธ์เชงิ เก้ือกลู 1. เก้อื กลู กันระหว่างพืชกับพืช 1) พชื ตระกลู ถ่ัวชว่ ยตรงึ ธาตไุ นโตรเจนให้กบั พชื ชนิดอน่ื 2) พชื ยืนตน้ ให้ร่มเงากบั พืชที่ตอ้ งการแสงแดดน้อย เช่น กาแฟ โกโก้ ชา สมุนไพร ฯลฯ 3) พืชเป็นอาหารและที่อยู่อาศัยให้กับแมลงศัตรูธรรมชาติ เพื่อช่วยกำจัดศัตรูพืชไม่ให้ เกิดระบาดกับพืชชนิดอื่น ๆ เช่น การปลูกถ่ัวลิสงระหว่างแถวในแปลงข้าวโพดจะช่วยให้แมลงศัตรูธรรมชาติ ได้มาอาศยั อยู่ในถว่ั ลสิ งมาก และจะชว่ ยกำจัดแมลงศตั รขู องข้าวโพด 4) พืชยืนต้นเป็นที่อยู่อาศัยและอาหารแก่พืชประเภทเถา และกาฝาก เช่น พรกิ ไทย พลู ดีปลี กลว้ ยไม้ ฯลฯ 5) พืชที่ปลูกแซมระหว่างแถวพืชหลัก จะช่วยป้องกันไม่ให้วัชพืชขึ้นแย่งอาหารกับพืช หลักทีป่ ลกู เช่น การปลกู พืช ตระกลู ถ่วั เศรษฐกจิ ในแถวขา้ วโพด มนั สำปะหลงั ฝ้าย เป็นตน้ 6) พืชแซมระหว่างแถวไม้ยืนต้นในระยะเร่ิมปลูกจะช่วยบังลมบังแดด และเก็บความชื้น ในดนิ ใหก้ บั พืชยนื ต้น เช่น การปลูกกล้วยแซมในแถวไม้ผลต่าง ๆ ในแถวยางพารา เปน็ ต้น 7) พืชช่วยไล่และทำลายแมลงศัตรูพืชไม่ให้เข้ามาทำลายพืชท่ีต้องการอารักขา เช่น ตะไครห้ อม ถว่ั ลิสง ดาวเรอื ง แมงลกั โหระพา หมอ้ ขา้ วหมอ้ แกงลงิ ฯลฯ 2. เกอ้ื กลู กนั ระหวา่ งพืช สตั ว์ ประมง 1) เศษเหลอื ของพืชจากการบริโภคของมนุษย์ใชเ้ ปน็ อาหารสตั ว์และปลา 2) พชื ยืนตน้ ช่วยบังลม บังแดด บังฝน ใหก้ ับสตั ว์ 3) พชื สมุนไพรเปน็ ยารักษาโรคให้กบั สตั ว์ 4) ปลาชว่ ยกนิ แมลงศัตรพู ชื วชั พืช ให้กับพืชท่ีปลูกในสภาพนำ้ ทว่ มขัง เชน่ ขา้ ว 5) ปลาช่วยให้อินทรียวัตถุกับพืช จากการถ่ายมูลตกตะกอนในบ่อเล้ียงปลา ซึ่งสามารถ นำมาใช้เป็นปุ๋ยกบั พืชได้ 6) หา่ น เป็ด แพะ ววั ควาย ฯลฯ ช่วยกำจัดวชั พืชในสวนไม้ผล ไม้ยืนตน้ 7) มลู สัตว์ทุกชนดิ ใช้เปน็ ปุ๋ยกบั พืช 8) ผ้ึงช่วยผสมเกสรในการติดผลของพืช 9) แมลงทเี่ ปน็ ประโยชนห์ ลายชนดิ ได้อาศัยพืชเปน็ อาหารและทอ่ี ยู่อาศยั 10) จุลนิ ทรยี ์ชว่ ยยอ่ ยสลายซากพืชและสัตวใ์ หก้ ลบั กลายเป็นป๋ยุ 11) แมลงศัตรูธรรมชาติหลายชนิด ช่วยควบคุมประชากรแมลงศัตรูพืชไม่ให้ขยายพันธุ์ มากจนเกดิ การแพร่ระบาด ต่อพืชที่ปลกู
34 2. การเกษตรผสมผสานที่มปี ฏิสมั พันธเ์ ชิงแขง่ ขันทำลาย 1. แขง่ ขันทำลายระหวา่ งพืชกับพชื 1) พืชแย่งอาหาร น้ำและแสงแดด กับพืชอื่น เช่น การปลูกยูคาลิปตัสร่วมกับพืชไร่และ ข้าว ซึ่งมีการศึกษาพบว่า ยูคาลิปตัสแย่งน้ำธาตุอาหารจากต้นปอและข้าว เป็นต้น มีผลทำให้พืชเหล่าน้ันได้ ผลผลติ ลดลง 2) พืชเป็นอาหารและท่อี ยู่อาศัยอย่างต่อเน่ืองของศัตรูพืชและพืชในนิเวศน์เดียวกัน เช่น ข้าวโพดเปน็ พืชอาศยั ของ หนอนเจาะสมออเมรกิ นั และเพลี้ยอ่อนของฝ้าย 2 แขง่ ขนั ทำลายระหว่างพชื สัตว์ ประมง 1) การเล้ียงสัตว์จำนวนมากเกินไป จะให้ปริมาณพืชทั้งในสภาพที่ปลูกไว้และในสภาพ ธรรมชาติไม่เพียงพอ เกิดความไมส่ มดุล ซึง่ จะมผี ลตอ่ สภาพแวดลอ้ มเสอื่ มลงได้ 2) มูลสัตว์จากการเล้ียงสัตว์มีจำนวนมากเกินไป เช่น การเลี้ยงหมูมากเกินไปมีการ จัดการไม่ดีพอ จะเกิดมลพิษต่อ ทรัพยากรธรรมชาติรอบด้านทั้งในเร่ืองของน้ำเสีย อากาศเป็นพิษหรือการ เล้ยี งกงุ้ กลุ าดำในหลายท้องท่กี ็ประสบ ปญั หาเกิดภาวะนำ้ เนา่ เสีย เปน็ ต้น 3) การใช้สารเคมีกำจัดศัตรพู ืชจะเกิดพิษตกค้างในน้ำ และผลิตผลท่ีเป็นพิษต่อสตั ว์ และ ปลา 4) การปลูกพืชเพื่อให้ผลผลิตอย่างใดอย่างหน่ึงสูงสุด กำไรสูงสุด โดยมีการใช้ปัจจัยการ ผลิตหลายดา้ นรวมทั้ง สารเคมีตา่ ง ๆ จะมีผลทำใหส้ ภาพแวดลอ้ มของสตั วท์ เ่ี ป็น ประโยชน์ เช่น แมลงศัตรูธรรมชาติลดจำนวนลง เปิด โอกาสให้ศัตรูพืชเพิ่มปริมาณขึ้น และจะทำความเสียหายใหแ้ กพ่ ืชปลกู
35 บทที่ 6 เรื่อง การประยกุ ตใ์ ชห้ ลักการเกษตรทฤษฎีใหม่ และหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ในการทำการเกษตรผสมผสาน 1. เกษตรทฤษฎใี หม่ 1.1 หลักการของเกษตรทฤษฎีใหม่ 1. เป็นระบบการผลิตแบบเศรษฐกิจพอเพียงท่ีเกษตรกรสามารถเล้ียงตัวเองได้ในระดับ ที ประหยัดก่อน ทั้งนี้ ชุมชนต้องมีความสามัคคี ร่วมมือร่วมใจในการช่วยเหลือซึ่งกันและกันทำนองเดียวกับการ “ลงแขก” แบบดงั้ เดมิ เพอื่ ลดค่าใช้จ่ายในการจา้ งแรงงานดว้ ย 2. เน่ืองจากข้าวเป็นปัจจัยหลักที่ทุกครัวเรือนจะต้องบริโภค ดังน้ัน จึงประมาณว่าครอบครัวหน่ึง ทำนาประมาณ 5 ไร่ จะทำให้มีข้าวพอกินตลอดปี โดยไม่ต้องซ้ือหาในราคาแพง เพื่อยึดหลักพ่ึงตนเองได้อย่าง มีอิสรภาพ 3. ต้องมีน้ำเพ่ือการเพาะปลูกสำรองไว้ใช้ในฤดูแล้ง หรือระยะฝนท้ิงช่วงได้อย่างพอเพียง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องกันที่ดินส่วนหน่ึงไว้ขุดสระน้ำ โดยมีหลักว่าต้องมีน้ำเพียงพอที่จะเพาะปลูกได้ตลอดปี ท้ังนี้ ได้ พระราชทานพระราชดำริเป็นแนวทางว่า ต้องมีน้ำ 1000 ลูกบาศก์เมตร ต่อการเพาะปลูก 1 ไร่ โดยประมาณ ฉะนัน้ เมอ่ื ทำนา 5 ไร่ ทำพชื ไร่ หรือไมผ้ ลอกี 5 ไร่ (รวมเปน็ 10 ไร)่ จะตอ้ งมีนำ้ 10,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปี ดังน้ัน หากตั้งสมมติฐานว่า มีพ้ืนท่ี 5 ไร่ ก็จะสามารถกำหนดสูตรคร่าว ๆ ว่า แต่ละแปลง ประกอบดว้ ย 1) นาขา้ ว 5 ไร่ 2) พืชไร่ พืชสวน 5 ไร่ 3) สระน้ำ 3 ไร่ ขุดลึก 4 เมตร จุน้ำได้ประมาณ 19,000 ลูกบาศก์เมตร ซ่ึงเป็นปริมาณน้ำที่ เพียงพอที่จะสำรองไว้ใช้ยามฤดแู ลง้ 4) ท่ีอยู่อาศัยและอื่น ๆ 2 ไร่ รวมทั้งหมด 15 ไร่ แต่ทั้งน้ี ขนาดของสระเก็บน้ำข้ึนอยู่กับ สภาพภูมิประเทศและสภาพแวดลอ้ ม ดังนี้ 5) ถ้าเป็นพื้นท่ีทำการเกษตรอาศัยน้ำฝน สระน้ำควรมีลกั ษณะลกึ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำระเหย ได้มากเกินไป ซง่ึ จะทำใหม้ นี ำ้ ใชต้ ลอดท้งั ปี 6) ถ้าเป็นพื้นท่ีทำการเกษตรในเขตชลประทาน สระน้ำอาจมีลักษณะลึก หรือต้ืน และแคบ หรือกว้างก็ได้ โดยพจิ ารณาตามความเหมาะสม เพราะสามารถมนี ้ำมาเตมิ อยู่เรอ่ื ย ๆ การมีสระเก็บน้ำก็เพ่อื ให้ เกษตรกรมีน้ำใชอ้ ยา่ งสม่ำเสมอทั้งปี (ทรงเรยี กว่า Regulator หมายถึงการควบคุมให้ดี มีระบบนำ้ หมนุ เวยี นใช้ เพื่อการเกษตรได้โดยตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน้าแล้งและระยะฝนท้ิงช่วง แต่มิได้ หมายความว่า เกษตรกรจะสามารถปลูกข้าวนาปรังได้ เพราะหากน้ำในสระเก็บน้ำไม่พอ ในกรณีมีเข่ือนอยู่ บริเวณใกล้เคียงก็อาจจะต้องสูบน้ำมาจากเข่ือน ซึ่งจะทำให้น้ำในเขื่อนหมดได้ แต่เกษตรกรควรทำนาในหน้า ฝน และเมอื่ ถึงฤดูแล้ง หรือฝนทิง้ ช่วงใหเ้ กษตรกรใชน้ ้ำทเ่ี ก็บตนุ นั้น ใหเ้ กดิ ประโยชน์ทางการเกษตรอยา่ งสงู สุด โดยพิจารณาปลกู พืชให้เหมาะสมกับฤดูกาล เพอ่ื จะได้มผี ลผลิตอื่น ๆ ไวบ้ ริโภคและสามารถนำไปขายได้ตลอด ทงั้ ปี
36 4. การจัดแบ่งแปลงที่ดินเพ่ือให้เกิดประโยชน์สูงสุดนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงคำนวณ และคำนึงจากอัตราการถือครองที่ดินถัว เฉลี่ยครวั เรอื นละ 15 ไร่ อย่างไรกต็ าม หากเกษตรกรมพี ้ืนที่ถือครอง นอ้ ยกวา่ นี้ หรอื มากกวา่ น้ี กส็ ามารถใช้อตั ราส่วน 30:30:30:10 เปน็ เกณฑป์ รบั ใช้ได้ กล่าวคือ รอ้ ยละ 30 ส่วนแรก ขุดสระน้ำ (สามารถเลี้ยงปลา ปลูกพืชน้ำ เช่น ผักบุ้ง ผักกะเฉด ฯลฯ ได้ ดว้ ย) บนสระอาจสรา้ งเลา้ ไกแ่ ละบนขอบสระน้ำอาจปลกู ไม้ยนื ต้นทีไ่ ม่ใช้น้ำมากโดยรอบ ได้ รอ้ ยละ 30 ส่วนท่ีสอง ทำนา ร้อยละ 30 ส่วนที่สาม ปลูกพืชไร่ พืชสวน (ไม้ผล ไม้ยืนต้น ไม้ใช้สอย ไม้เพ่ือเป็นเชื้อฟืน ไม้ สร้างบ้าน พชื ไร่ พชื ผกั สมุนไพร เปน็ ต้น) รอ้ ยละ 10 สดุ ท้าย เป็นท่ีอยู่อาศัยและอื่น ๆ (ทางเดิน คันดิน กองฟาง ลานตาก กองปุ๋ยหมัก โรงเรอื น โรงเพาะเห็ด คอกสัตว์ ไมด้ อกไม้ประดบั พืชสวนครัวหลงั บ้าน เปน็ ต้น) อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนดังกล่าวเป็นสูตร หรือหลักการโดยประมาณเท่าน้ัน สามารถปรับปรุง เปล่ียนแปลงได้ตามความเหมาะสม โดยขึ้นอยู่กับสภาพของพื้นท่ีดิน ปริมาณน้ำฝน และสภาพแวดล้อม เช่น ในกรณีภาคใต้ท่ีมีฝนตกชกุ หรอื พืน้ ท่ีท่มี ีแหล่งนำ้ มาเติมสระได้ต่อเนอื่ ง กอ็ าจลดขนาดของบ่อ หรือสระเก็บน้ำ ให้เลก็ ลง เพอ่ื เกบ็ พ้ืนทไ่ี ว้ใช้ประโชน์อ่นื ตอ่ ไปได้ 1.2 ประโยชนข์ องการเกษตรทฤษฎีใหม่ จากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ได้พระราชทานในโอกาสต่าง ๆ น้ันพอจะ สรปุ ถึงประโยชนข์ องทฤษฎีใหมไ่ ด้ ดงั นี้ 1. ให้ประชาชนพออยู่พอกินสมควรแกอ่ ัตภาพในระดับที่ประหยัด ไมอ่ ดอยาก และเลย้ี งตนเองได้ ตามหลกั ปรัชญาของ “เศรษฐกิจพอเพยี ง” 2. ในหน้าแล้งมีน้ำน้อย ก็สามารถเอาน้ำท่ีเก็บไว้ในสระมาปลูกพืชผักต่าง ๆ ท่ีใช้น้ำน้อยได้ โดย ไม่ต้องเบียดเบียนชลประทาน 3. ในปที ่ฝี นตกตามฤดกู าลโดยมนี ้ำดีตลอดปี ทฤษฎใี หมน่ ้ีก็สามารถสรา้ งรายได้ให้ร่ำรวยขึ้นได้ 4. ในกรณีท่ีเกิดอุทกภัยก็สามารถที่จะฟ้ืนตัวและช่วยตัวเองได้ในระดับหนึ่งโดยทางราชการไม่ ตอ้ งช่วยเหลือมากเกินไป อนั เป็นการประหยัดงบประมาณดว้ ย 2. เศรษฐกจิ พอเพยี ง เศรษฐกิจที่สามารถอุ้มชูตัวเองได้ให้มีความพอเพียงกับตัวเองอยู่ได้โดยไม่ต้องเดือดร้อน โดยสร้าง พื้นฐานเศรษฐกิจของตนให้ดีเสียก่อนคือ ตั้งตัวให้ความพอกินพอใช้ เพ่ือที่จะสร้างความเจริญก้าวหน้า เพ่อื ทจ่ี ะสร้างความเจริญกา้ วหน้า และฐานะทางเศรษฐกจิ สงู ขน้ึ ไปตามลำดับได้ 2.1 ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับต้ังแต่ ระดับครอบครัวระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบรหิ ารประเทศให้ดำเนินไปใน ทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกจิ เพ่ือใหก้ ้าวทนั ตอ่ โลกยุคโลกาภิวัตน์ ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร ต่อการมีผลกระทบใด ๆ อัน เกิดจากการเปล่ียนแปลงท้ังภายนอกและภายใน ทั้งน้ี จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความ ระมัดระวังอย่างยิ่งในการนำวิชาการต่าง ๆ มาใช้ในการวางแผนและการดำเนินการทุกขั้นตอน และ ขณะเดียวกนั จะต้องเสรมิ สร้างพ้ืนฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจา้ หน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎีและนักธุรกิจ ในทกุ ระดับใหม้ สี ำนึกในคุณธรรม
37 ความซ่ือสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปญั ญา และความรอบคอบ เพ่ือให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปล่ยี นแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ทง้ั ดา้ นวตั ถุ สังคม ส่งิ แวดลอ้ ม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เปน็ อยา่ งดี 2.2 หลกั พจิ ารณาปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาช้ีถึงแนวการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ต้ังแต่ ระดับครอบครัว ระดบั ชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนนิ ไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพฒั นาเศรษฐกิจ เพื่อให้ก้าวทนั ต่อโลกยคุ โลกาภวิ ตั น์ โดยมหี ลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง มี หลกั พจิ ารณาอยู่ 5 สว่ น ดงั นี้ ภาพที่ 6.1 ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ส่วนที่ 1 กรอบแนวความคดิ เป็นปรัชญาท่ีชี้แนะแนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตนในทางที่ควรจะเป็น โดยมีพื้นฐานมาจาก วิถีชีวิตด้ังเดิมของสังคมไทย สมารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ตลอดเวลา และเป็นการมองโลกเชิงระบบท่ีมีการ เปล่ียนแปลงอยู่ตลอดเวลา มุ่งเน้นการรอดพ้นจากภัย และวิกฤต เพ่ือความม่ันคง และความย่ังยืน ของการ พัฒนา สว่ นท่ี 2 คุณลกั ษณะ เศรษฐกจิ พอเพียงสามารถนำมาประยุกตใ์ ช้กบั การปฏิบตั ิตนได้ในทุกระดบั โดยเน้นการปฏิบัติบน ทางสายกลาง และการพฒั นาอย่างเป็นขั้นตอน ส่วนที่ 3 คำนิยาม ความพอเพียงจะต้องประกอบด้วย 3 คณุ ลักษณะ พร้อม ๆ กัน ดังน้ี ความพอประมาณ: หมายถึง ความพอดีท่ีไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไปโดยไม่เบียดเบียน ตนเองและผอู้ ืน่ เชน่ การผลติ และการบรโิ ภคท่ีอยใู่ นระดบั พอประมาณ ความมีเหตุผล: หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงน้ัน จะต้องเป็นไปอย่างมี เหตุผลโดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เก่ียวข้องตลอดจนคำนึงถึงผลท่ีคาดว่าจะเกิดข้ึนจากการกระทำน้ัน ๆ อยา่ งรอบคอบ การมีภมู คิ ุ้มกันทีด่ ใี นตวั : หมายถึง การเตรียมตัวใหพ้ ร้อมรบั ผลกระทบและการเปลย่ี นแปลงด้าน ตา่ ง ๆ ที่จะเกิดขึน้ โดยคำนึงถงึ ความเป็นไปได้ของสถานการณ์ ต่าง ๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตท้ังใกล้และ ไกล
38 ส่วนที่ 4 เง่อื นไข การตัดสินใจและการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียงนั้นต้องอาศัยท้ังความรู้ และ คณุ ธรรมเปน็ พ้นื ฐาน กลา่ วคือ เงื่อนไขความรู้: ประกอบด้วย ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้องอย่างรอบด้าน ความรอบคอบที่จะนำความรู้เหล่าน้ันมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพ่ือประกอบการวางแผน และความ ระมดั ระวังในขนั้ ปฏิบัติ เง่ือนไขคุณธรรม: ท่ีจะต้องเสริมสร้างประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มีความซ่ือสัตย์ สุจรติ และมคี วามอดทน มีความเพียร ใชส้ ตปิ ญั ญาในการดำเนินชวี ติ ส่วนที่ 5 แนวทางปฏิบัต/ิ ผลทีค่ าดว่าจะไดร้ ับ ผลจากการนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ คือ การพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน พร้อมรับตอ่ การเปล่ียนแปลงในทุกดา้ น ทงั้ ด้านเศรษฐกจิ สงั คม สงิ่ แวดล้อม ความรแู้ ละเทคโนโลยี 2.3 ประโยชน์ของการทำการเกษตรตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง 1) ให้ประชาชนพออยู่พอกินสมควรแก่อัตภาพในระดับท่ีประหยัด ไม่อดอยาก และเล้ียงตนเอง ไดต้ ามหลกั ปรัชญา เศรษฐกจิ พอเพียง 2) ในหน้าแล้งมีน้ำน้อย ก็สามารถเอาน้ำที่เก็บไว้ในสระมาปลูกพืชผักต่าง ๆ ที่ใช้น้ำน้อยได้ โดย ไมต่ ้องเบียดเบียนชลประทาน 3) ในปีท่ีฝนตกตามฤดูกาลโดยมีน้ำดีตลอดปี ทฤษฎใี หม่นี้สามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรได้ โดยไม่เดือดรอ้ นในเรื่องค่าใชจ้ า่ ยต่าง ๆ 4) ในกรณีที่เกิดอุทกภัย เกษตรกรสามารถที่จะฟ้ืนตัวและช่วยตัวเองได้ในระดับหน่ึง โดยทาง ราชการไมต่ อ้ งชว่ ยเหลอื มากนัก ซง่ึ เปน็ การประหยัดงบประมาณด้วยทฤษฎใี หมท่ ่ีสมบูรณ์ 3. การทำการเกษตรโดยประยุกตใ์ ช้หลักการเกษตรทฤษฎใี หม่ และหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง เศรษฐกิจพอเพียง และแนวทางปฏิบัติของทฤษฎีใหม่ เป็นแนวทางในการพัฒนาที่นำไปสู่ ความสามารถในการพึ่งตนเอง ในระดับต่าง ๆ อย่างเป็นขั้นตอน โดยลดความเสี่ยงเก่ียวกับความผันแปรของ ธรรมชาติ หรือการเปล่ียนแปลงจากปัจจัยต่าง ๆ โดยอาศัยความพอประมาณ และความมีเหตุผล การสร้าง ภูมิคุ้มกันท่ีดี มีความรู้ ความเพียร และความอดทน สติและปัญญา การช่วยเหลือซ่ึงกันและกัน และความ สามัคคี 3.1 การแบ่งพนื้ ทฟี่ าร์มเกษตรผสมผสานตามหลักการเกษตรทฤษฎีใหม่ 30:30:30:10 ภาพที่ 6.2 การแบง่ พ้ืนท่ีฟาร์มเกษตรผสมผสานตามหลักการเกษตรทฤษฎีใหม่ 30:30:30:10
39 การจดั สรรพืน้ ท่ีอย่อู าศยั และทที่ ำกินให้แบ่งพน้ื ทอี่ อกเป็น 4 ส่วน ตามอตั ราส่วน 30:30:30:10 : ดงั นี้ พื้นที่ส่วนที่หน่ึง ประมาณ 30% ให้ขุดสระเก็บกักน้ำเพื่อใช้เก็บกักน้ำฝนในฤดูฝน และใช้เสริมการ ปลูกพืชในฤดูแลง้ ตลอดจนการเล้ียงสตั วน์ ้ำและพืชต่าง ๆ พื้นที่ส่วนท่ีสอง ประมาณ 30% ให้ปลูกข้าวในฤดูฝน เพ่ือใช้เป็นอาหารประจำวันสำหรับครอบครัว ให้เพยี งพอตลอดปี เพอื่ ตดั คา่ ใชจ้ ่ายและสามารถพึ่งตนเองได้ พ้ืนที่ส่วนที่สาม ประมาณ 30% ให้ปลูกผลไม้ ไม้ยืนต้น พืชผัก พืชไร่ พืชสมุนไพร ฯลฯ เพ่ือใช้เป็น อาหารประจำวนั หากเหลอื บรโิ ภคกน็ ำไปจำหน่าย พ้ืนทส่ี ่วนทสี่ ี่ ประมาณ 10% เป็นท่อี ยู่อาศัย เลย้ี งสัตว์ ถนนหนทาง และโรงเรือนอืน่ ๆ 3.2 การดำเนนิ การผลติ ในฟาร์มเกษตรแบบผสมผสานตามหลกั ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง 1). กิจกรรมด้านแหล่งน้ำ ได้แก่ การใช้น้ำเพ่ือการเกษตร อุปโภคและบริโภคในครัวเรือน ตลอดจนเลีย้ งปลาและสตั วน์ ้ำอื่น ๆ ควรมีแหล่งนำ้ ขนาดใหญ่ไว้รองรับในฤดูแล้ง 2) กิจกรรมด้านอาหาร ได้แก่ การมีผลผลิตเพ่ือใช้เป็นอาหารของเกษตรกรและสัตว์เล้ียง เช่น ขา้ ว พืชไร่ พชื ผักสวนครวั สัตวน์ ำ้ 3) กิจกรรมด้านรายได้ ได้แก่ กิจกรรมในมิติด้านเศรษฐกิจท่ีพิจารณารายได้ท่ีเกิดขึ้นจากระบบ เกษตรทฤษฎีใหม่ เช่น รายได้รายวัน รายได้รายสัปดาห์ รายได้รายเดือน รายไดร้ ายปี 4) กิจกรรมพื้นท่ีบริเวณบ้าน ได้แก่ กิจกรรมในพ้ืนที่บ้าน มีท้ังการปลูกพืชผักสวนครัว พืช สมุนไพร ไม้ผลไม้ยืนตน้ การเลยี้ งสัตวแ์ ละการเพาะเห็ด เป็นต้น
40 บทท่ี 7 เรอื่ ง ปัญหาอปุ สรรคการทำการเกษตรแบบผสมผสาน และแนวทางการแกไ้ ข 1. ปญั หาเกย่ี วกบั ดนิ และแนวทางการแกไ้ ข ปญั หาเก่ียวกับดิน มสี าเหตุทัง้ ท่ีเกดิ จากธรรมชาตแิ ละเกิดจากการใช้ที่ดินท่ีไม่ถูกตอ้ งตามหลกั วิชาการ ตวั อย่างของปัญหา เช่น การชะล้างพังทลายของดิน ดินขาดอินทรีย์ และปัญหาที่เกิดจากสภาพธรรมชาติของ ดินร่วมกับการกระทำของมนุษย์ เช่น ดินเค็ม ดินเปร้ียว ดินอินทรีย์ (พรุ) ดินทรายจัด และดินตน้ื พ้ืนท่ีดินที่มี ปัญหาต่อการใช้ประโยชน์ทางด้านเกษตรกรรมของประเทศไทย ได้แก่ การชะล้างพังทลายของดิน 108.87 ล้านไร่ พ้ืนท่ีที่มีปัญหาการชะล้างพังทลายของดินมากที่สุดคือ ภาคเหนือ ดินขาดอินทรียวัตถุ 98.70 ล้านไร่ ปัญหาดินขาดอินทรียวัตถุประมาณร้อยละ 77 อยู่ในพื้นท่ีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดินที่มีปัญหาต่อการใช้ ประโยชน์ทางด้านเกษตรกรรม 209.84 ลา้ นไร่ ซึง่ ส่วนใหญ่อยู่ในภาคเหนือและภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ สว่ น ดินเค็ม ดินกรดและดินค่อนข้างเป็นทราย อยู่ในพ้ืนท่ีภาคตะวันออกเฉียงเหนอื สำหรับการใช้ประโยชน์ทด่ี ินไม่ ถูกตอ้ งตามศักยภาพ คิดเป็นพนื้ ท่ี 35.60 ลา้ นไร่ 1 ปญั หาโครงสร้างของดินไมเ่ หมาะสมกบั การเพาะปลูก โครงสร้างดนิ อยใู่ นภาวะท่ีดีทส่ี ุดเม่ือดินอยู่ในภาวะธรรมชาติแต่เมือ่ พน้ื ท่ถี ูกใช้ในการเกษตรโครงสร้าง ดินจะเริม่ เสอ่ื มลงด้วยสาเหตหุ ลายประการมีลักษณะสำคัญ 2 ประการของดนิ ที่มีโครงสร้างไม่ดี คอื การมี 1. ดินผิว มีลักษณะเป็นช้ันแน่นทึบหนาเพียงไม่กี่มิลลิเมตรเกิดขึ้นเม่ือดินที่ถูกไถพรวนไว้ อย่างดีถูกฝน หรือน้ำชลประทานเพียงครั้งสองครั้งดินผิวทำให้การแทรกซึมของน้ำลดลง ทำให้เกิดความ เสียหายได้ง่ายพืชมีโอกาสเสียหายจากภาวะฝนแล้งได้มากขึ้น และยังเป็นอุปสรรคตอ่ การงอกของเมล็ดพืชท่ีมี ขนาดเล็ก 2. ดินในดินล่าง คือชั้นแน่นทึบที่อยู่ใต้ช้ันไถพรวนเกิดจากการสะสมดินเหนียว และการอัด แน่นจากการเหยียบย่ำ ดินในดินล่างขัดขวางการแพร่กระจายของรากพืช และการซึมของน้ำทำให้เกิดน้ำท่วม ขังหรือน้ำไหลบ่ามากขึ้น ขณะเดียวกันก็ทำให้พืชขาดแคลนน้ำเมื่อภาวะฝนแล้งการควบคุมการใช้เคร่ืองกล การเกษตรที่มขี นาดใหญ่ การเหยียบย่ำของสตั ว์ การไถตัดหนา้ ดนิ การควบคุมความชนื้ ของดนิ แนวทางการแกไ้ ข 1. การคลุมดิน การรักษาระดับความชื้นดินใหเ้ หมาะสมการรกั ษาระดับอนิ ทรียวัตถุในดนิ ให้ สูงการไถพรวนตามความจำเป็นหรือน้อยคร้ังที่สุดตลอดจนการให้น้ำชลประทานอย่างถูกวิธีและการเลือกทำ รปู ร่างของแปลงปลกู ให้เหมาะสมชว่ ยลดปญั หาจากดินผิวได้ 2. การปลูกพืชที่มีระบบรากแขง็ แรงเปน็ วิธีการแก้และลดปญั หาจากดินในดนิ ล่าง 2. ปญั หาดินขาดความอดุ มสมบูรณ์ 1. การเพาะปลูกพืชแบบซ้ำซาก การปลูกพืชติดต่อกันเป็นเวลานานโดยไม่บำรุงดิน จะทำให้ ธาตุอาหารตามระดับความลึกของรากพืชถูกนำไปใช้มากจนดินเสื่อมความสมบูรณ์ 2. การปลูกพืชท่ีทำลายดิน พืชบางชนิดเติบโตเร็วใช้ธาตุอาหารพืชจำนวนมากเพื่อสร้าง ผลผลติ ทำให้ดนิ สูญเสยี ความสมบูรณ์ไดง้ ่าย เช่น ยูคาลปิ ตสั และมนั สำปะหลัง 3. ธาตุอาหารพืชถูกทำลาย หรืออยู่ในสภาพท่ีพืชใช้ประโยชน์น้อย เช่น เมื่อเกิดไฟไหม้ป่า ฮิวมัสจะถูกความร้อนทำลายได้ง่ายเกิดการพังทลายของดินทำให้ดินเสื่อมโทรมรุนแรงท่ีสุด และเป็นปัญหาท่ี สำคัญท่จี ะตอ้ งแก้ไขเพ่อื รักษาคณุ ภาพของดนิ ใหเ้ หมาะสม และให้ใช้ประโยชน์ได้เป็นเวลานาน ๆ
41 4. การชะล้างพังทลายของดินเกิดจากการตกกระทบของฝนการกัดเซาะของน้ำไหลบ่า การ กัดเซาะของคลื่น การพัดพาของลม ภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด หรือพฤติกรรมการใช้ ทรพั ยากรของมนุษย์ เช่น การตดั ไมท้ ำลายปา่ การเพาะปลกู ไมถ่ กู วิธี การปรบั ดนิ เพอ่ื ปรับระดับดิน เป็นตน้ แนวทางการแกไ้ ข ปรับปรุงบำรุงดินดินและเพ่ิมความอุดมสมบูรณ์ของดิน โดยการใช้ปุ๋ยเคมี และปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก หรือปลูกพืชปุ๋ยสดแล้วไถกลบ เพ่ือเพ่ิมความสามารถในการอุ้มน้ำของดิน และปริมาณ ธาตุอาหารให้เพยี งพอแกค่ วามต้องการของพืช และควรจะตอ้ งมีระบบการอนุรกั ษด์ ินและนำ้ อย่างเหมาะสม 3 ปญั หาดนิ เปน็ กรด-ดา่ ง ปญั หาดินกรด 1. ปัญหาดนิ เปน็ กรด หรือดินเปร้ยี ว ดนิ กรดเป็นดินที่ปัญหาทางการเกษตรเนื่องจากสมบัติที่ เป็นกรดซงึ่ มีผลตอ่ กระบวนการเจริญเติบโตของพืชแล้วส่งผลตอ่ ปรมิ าณผลติ ผลทางการเกษตร ดนิ กรด หมายถึง ดินทม่ี ีค่าความเป็นกรดเป็นด่าง หรือเรียดวา่ พีเอช (pH) ของดินต่ำกว่า 7.0 แต่ดินกรดที่เป็นปัญหาทางด้านการเกษตร คือดินกรดที่มีค่าพีเอชของดินต่ำกว่า 5.5 ความเป็นกรดของดินแต่ ละชว่ งจะมีผลตอ่ การปลดปลอ่ ยธาตอุ าหารในดินให้เปน็ ประโยชน์ 2. สังเกตดินกรด การสังเกตอาการผิดปกติของพืช เช่น รากส้ัน บวม หรือปลายรากถูก ทำลายจากความเป็นพิษของอะลูมินัม อาการผิดปกติจากการขาดธาตุอาหาร ฟอสฟอรัส แคลเซียม โพแทสเซียม มีการระบาดของเชื้อราโรคพืชทางดิน เช่น โรครากเน่า โคนเน่า และพืชแสดงอาการเห่ียวจาก การขาดนำ้ ได้ง่าย แนวทางการแก้ไข 1. วิธีการควบคุมระดับน้ำใต้ดิน ป้องการเกิดกรดกำมะถันโดยการควบคุมน้ำใต้ดินให้อยู่ เหนือชั้นดินเลนท่ีมีสารประกอบไพไรท์อยู่ เพ่ือป้องกันไม่ให้สารประกอบไพไรท์ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนใน อากาศหรอื ถูกออกซิไดซ์ โดยมขี ั้นตอนดงั น้ี 1) วางระบบการระบายน้ำท่วั ทัง้ พ้นื ท่ี 2) ระบายน้ำเฉพาะสว่ นบนออกเพื่อชะล้างกรด 3) รกั ษาระดบั น้ำในคูระบายนำ้ ใหอ้ ยใู่ นระดับไม่ต่ำกว่า 1 เมตรจากผิวดนิ ตลอดทง้ั ปี 2. วิธีการ \" แกล้งดิน \" ตามพระราชดำริ วิธีการปรับปรุงดินอันเนื่องมาจากพระราชดำริ \"แกล้งดิน\" สามารถเลือกใชไ้ ด้ 3 วิธกี ารตามแต่สภาพของดินและความเหมาะสม คอื 1) การใช้น้ำชะล้างความเป็นกรด : เป็นการใช้น้ำชะล้างดินเพื่อล้างกรดทำให้ค่า pH เพ่ิมข้ึนโดยวิธีการปล่อยน้ำให้ท่วมขังแปลง แล้วระบายออกประมาณ 2-3 คร้ัง โดยทิ้งช่วงการระบายน้ำ ประมาณ 1-2 สปั ดาห์ต่อครั้ง ดินจะเปรี้ยวจดั ในช่วงดินแห้งหรือฤดูแล้ง ดงั นั้นการชะล้างควรเริ่มในฤดูฝนเพื่อ ลดปริมาณการใชน้ ้ำในชลประทาน การใช้น้ำชะล้างความเป็นกรดต้องกระทำต่อเน่ืองและต้องหวังผลในระยะ ยาวมใิ ช่กระทำเพียง 1-2 ครง้ั เท่าน้ัน วิธกี ารน้ีเป็นวิธีการที่ง่ายท่ีสุดแต่จำเปน็ ตอ้ งมีนำ้ มากพอท่ีจะใช้ชะลา้ งดิน ควบคู่ไปกับการควบคุมระดับน้ำใต้ดินให้อยู่เหนือดินเลนท่ีมีไพไรท์มากเม่ือล้างดินเปร้ียวให้คลายลงแลว้ ดินจะ มคี ่า pH เพิ่มขนึ้ อกี ท้ังสารละลายเหลก็ และอลูมเิ นยี มท่ีเปน็ พิษเจือจางลงจนทำให้พชื สามารถเจริญเติบโตได้ดี 2) การแก้ไขดินเปรย้ี วด้วยการใช้ปนู ผสมคลุกเคล้ากับหน้าดิน ซ่ึงมีวิธีการดงั ข้นั ตอน ต่อไปนค้ี ือ ใช้วัสดุปูนทหี่ าได้ง่ายในทอ้ งที่ เช่น ใชป้ ูนมาร์ล ปนู โดโลไมต์ ซง่ึ มที ้ังแคลเซียม และแมกนีเซยี มเป็น องคป์ ระกอบอตั ราปูนทใ่ี ช้ขึ้นกับความรนุ แรงของกรดในดนิ โดยทวั่ ไปจะใช้อตั ราปนู 300-500 กิโลกรัมตอ่ ไร่
42 3) การใช้ปูนควบคู่ไปกับการใช้น้ำชะล้าง และควบคุมระดับน้ำใต้ดิน เป็นวิธีการที่ สมบูรณท์ ส่ี ุด และใชไ้ ดผ้ ลมากในพ้ืนทซี่ ่ึงเปน็ ดินกรดจดั รุนแรงและถูกปล่อยท้ิงใหร้ กรา้ งวา่ งเปลา่ เป็นเวลานาน 4). การใส่อินทรียวัตถุ ได้แก่ ปุ๋ยหมกั ปุ๋ยคอก ปุ๋ยพืชสด ช่วยเพ่ิมการดูดซับธาตุอาหารพืชใน ดนิ 5) เลือกชนิดพืชและพันธ์ุพืชที่ชอบดินกรดมาปลูก ดินกรดที่ได้รับการปรับปรุงแก้ไขแล้ว สามารถปลูกพชื ได้เกอื บทุกชนิด แต่ต้องมีการจัดการน้ำ และธาตุอาหารพืชท่ีเหมาะสม พืชหลายชนิดสามารถ ทนทาน และเจริญเติบโตได้ดีในดินกรด เช่น ข้าว แตงโม ข้าวโพด ข้าวฟ่าง อ้อย มันสำปะหลัง ถ่ัว ยางพารา ปาล์มนำ้ มัน กาแฟ กล้วย มะม่วง มะมว่ งหิมพานต์ ยาสบู และสบั ปะรด เป็นต้น 6) เลือกใช้ระบบการปลูกพืชที่มีระบบรากลึกสลับกับรากต้ืน เพ่ือเป็นการนำเอาอาหารที่ถูก ละลายลงดนิ ลา่ งมาใช้ ปลูกพืชหมุนเวียนชนิดต่าง ๆ สลับกบั พืชตระกูลถัว่ ปัญหาดนิ เป็นด่าง ดินด่าง คือดินที่มีค่า pH สูงกว่า 7 เกิดจากวัตถุต้นกำเนิดดินท่ีเป็นด่าง เช่น หินปูน ดินประเภท นี้จะมีเบสิกแคตไอออนแลกเปลี่ยนได้สูง นอกจากนี้ยังอาจจะมีอนุภาคของแคลเซียมคาร์บอเนต หรือ แมกนีเซียมคาร์บอเนตปะปนอยู่ในดินด้วย หากดินมีอนุภาคปูนเทียบเท่ากับ CaCO3 10-200 กรัมต่อดิน 1 กิโลกรัม เมื่อหยดกรดเจือจาง (0.1 โมลาร์) ลงไปจะปรากฏฟองให้เห็น ดังน้ันเรียกว่าดินเนื้อปูนหรือดินแคล คาเรยี ส 1. สาเหตกุ ารเกิดดนิ ด่าง 1) เกดิ จากสภาวะแหง้ แล้ง ในบริเวณน้จี ะมปี รมิ าณฝนนอ้ ย ไม่พอท่ีจะชะล้าง ละลายเอา เกลอื ต่าง ๆ รวมทั้งแคลเซยี ม และแมกนีเซียมคาร์บอเนตทำใหม้ กี ารสะสมของหินปนู ในดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดินมวี ตั ถตุ น้ กำเนิดเป็นพวกแคลเซียม และแมกนเี ซียมคาร์บอเนต 2) เกิดจากระดับน้ำใต้ดินสูง เม่ือน้ำใต้ดินมีแคลเซียมไบคาร์บอเนตละลายอยู่ก็จะถูก เคลื่อนยา้ ยมาสะสมอยู่บนดิน โดยมากับน้ำท่ีระเหยขึ้นมายังผิวดิน และจะตกตะกอนเป็นแคลเซียมคาร์บอเนต ในดินบนหน้าดินจะสะสมเกลือแคลเซียม แมกนีเซียม หรือโซเดียมไบคาร์บอเนตในดิน ทำให้ดินมี pH สูงข้ึน การทด่ี ินดา่ งมี pH สงู กเ็ นอื่ งจากปฏิกริ ิยาไฮดรอไลซีสของแคดไอออนแลกเปล่ยี นได้ 2. ผลกระทบต่อพชื ทป่ี ลกู 1) ปญั หาการขาดธาตอุ าหารบางธาตุ เชน่ ฟอสฟอรสั เหลก็ และแมงกานีส 2) มกี ารแตกระแหงของดนิ เม่อื ดนิ แห้ง 3) การระบายนำ้ ไม่ดี เพราะดินมลี กั ษณะทเ่ี หนียวมาก แนวทางการแก้ไข 1. เลือกปลกู พืชท่ีเหมาะสมซ่ึงพืชทชี่ อบสถาพดินเนือ้ ปูน เช่น ขา้ วโพดและถั่งลิสง สำหรับไม้ ผลทปี่ ลูกไดผ้ ลดี เชน่ ขนุน นอ้ ยหน่า และมะพร้าว ในบรเิ วณลมุ่ ใชท้ ำนาปลกู ขา้ วได้เช่นกนั 2. การใส่ปุ๋ยหากพชื ที่ปลูกแสดงอาการขาดธาตุเหล็ก หรอื สงั กะสี อาจให้ปุย๋ ในรปู สารละลาย เกลอื ของธาตุดังกลา่ ว หรอื ใหป้ ุ๋ยทางใบ ซง่ึ ธาตุอาหารจะอยู่ในรูปสาร (คีเลต) จะช่วยแกป้ ญั หาการขาดจลุ ธาตุ ได้ทนั ท่วงที 3. ใส่ปยุ๋ พวกทมี่ ฤี ทธิต์ กค้างเปน็ กรด เชน่ แอมโมเนียซัลเฟต 4. ใส่สารเคมีบางชนิด เช่น ธาตุกำมะถันในขณะที่ดินช้ืน เพราะธาตุกำมะถันจะเปลี่ยนเป็น กรดซลั ฟูรกิ มฤี ทธเ์ิ ป็นกรด จึงสามารถลดการเปน็ ด่างของดนิ ลดลงได้
43 5. ควรมีการไถกลบต่อชังสม่ำเสมอ หรือเพิ่มอินทรียวัตถุลงในดินด้วย ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ย พืชสด เพอื่ รกั ษาปริมาณอินทรียวตั ถใุ นดนิ 6. การทดน้ำเขา้ ในพื้นทแ่ี ล้วระบายน้ำทิ้ง เพ่อื ชะลา้ งเกลือ หรือถ้าในพ้ืนทีท่ มี่ กี ารระบายน้ำดี เราก็ทำได้โดยการนำน้ำเขา้ ขังในแปลงไว้นาน ๆ น้ำจะชว่ ยละลายเกลอื แล้วซมึ ลงขา้ งล่าง ลกึ เกนิ ระดับรากพืช 7. ใช้ป๋ยุ ชวี ภาพ พด.9 หรือ พด.12 เพือ่ เพ่ิมการปลดปลอ่ ยฟอสฟอรัสให้แก่พืช 8. ควรมีการคลมุ ดิน เพ่อื ลดความเส่ียงต่อการขาดน้ำของพืช และชว่ ยดนิ อมุ้ น้ำไดด้ ขี ้นึ 4. ปัญหาดนิ เคม็ ดินเค็ม (saline soil) หมายถึงดินที่มีปริมาณเกลือที่ละลายอยู่ในสารละลายดินมากเกินไปจนมีผล กระทบต่อการเจริญเติบโต และผลิตผลของพืช เน่ืองจากทำให้พืชเกิดอาการขาดน้ำ และมีการสะสมไอออนที่ เปน็ พิษในพืชมากเกินไปนอกจากนี้ยังทำใหเ้ กดิ ความไมส่ มดุลของธาตุอาหารพืชด้วย 1. ลักษณะการเกดิ และการแพรก่ ระจายดนิ เค็ม ดินเค็มในประเทศไทยแบ่งเปน็ 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ดินเคม็ บก และดินเค็มชายทะเล ดนิ เค็มบก มีท้ังดินเค็มภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และดินเค็มภาคกลาง ดินเค็มแต่ละประเภทมีสาเหตุการเกิด ชนิดของ เกลอื การแพรก่ ระจาย ตามลักษณะสภาพพน้ื ที่ และตามลักษณะภมู ปิ ระเทศดว้ ย ดังนี้ 1). ดินเค็มภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ แหล่งเกลือมาจากหินเกลือใต้ดิน น้ำใต้ดินเค็มหรือหินทราย หินดินดานที่อมเกลืออยู่ ลักษณะอีกประการหนึ่งคือ ความเค็มจะไม่มีความสม่ำเสมอในพื้นที่เดียวกันและความเค็มจะแตกต่างกัน ระหว่างชั้นความลึกของดินซ่ึงมีการเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล ลักษณะของดินเค็มท่ีสังเกตได้คือ จะเห็นขุย เกลอื ขึ้นตามผวิ ดิน และมกั เป็นที่ว่างเปล่าไม่ได้ทำการเกษตร หรือมีวชั พืชทนเคม็ เชน่ หนามแดง หนามปี เป็น ตน้ 2) ดินเค็มภาคกลาง แหล่งเกลอื เกิดจากตะกอนนำ้ กร่อย หรือเค็มท่ีทับถมมานานหรือเกิดจากน้ำใตด้ ินเค็มทั้งที่อยู่ ลึกและอยู่ต้ืน เมื่อน้ำใต้ดินไหลผ่านแหล่งเกลือแล้วไปโผล่ที่ดินไม่เค็มท่ีอยู่ต่ำกว่าทำให้ดินบริเวณท่ีต่ำกว่าน้ัน กลายเป็นดินเค็มท้ังน้ีข้ึนกับภูมิประเทศแต่ละแห่งสาเหตุการเกิดแพร่กระจายออกมามาก ส่วนใหญ่เกิดจาก มนุษย์โดยการสูบน้ำไปใช้มากเกินไป เกิดการทะลักของน้ำเค็มเข้าไปแทนท่ี การชลประทาน การทำคลอง ชลประทานรวมทัง้ การสร้างอา่ งเก็บนำ้ เพอ่ื ใช้ในไร่นาบนพ้ืนทท่ี ่ีมีการทับถมของตะกอนน้ำเคม็ หรือจากการขุด หน้าดินไปขายทำให้ตะกอนน้ำเค็มถึงจะอยลู่ ึกน้นั กลายเปน็ แหล่งแพรก่ ระจายเกลือได้ 3) ดินเค็มชายทะเล สาเหตุการเกิดดินเค็มชายทะเลเนื่องมาจากการได้รับอิทธิพลจากการข้ึนลงของน้ำทะเล โดยตรง องค์ประกอบของเกลือในดินเค็มเกิดจากการรวมตัวของธาตุท่ีมีประจุบวกพวกโซเดียม แมกนีเซียม แคลเซียม รวมกับธาตุที่ประจุลบ เช่น คลอไรด์ ซัลเฟต ไบคาร์บอเนต และคาร์บอเนต ดินเค็มที่เกิดในภาค ตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ในรูปของเกลือโซเดียมคลอไรด์ (NaCl) คล้ายคลึงกับดินเค็มชายทะเล แต่ดินเค็ม ชายทะเล มีแมกนีเชียมอยู่ในรปู คลอไรด์ และซลั เฟตมากกวา่ ส่วนชนดิ ของเกลือในดินเคม็ ภาคกลางมีหลายรูป มีหลายแห่งท่ีไม่ใชเ่ กลือ NaCl แต่มักจะพบอยู่ในรูปของเกลอื ซัลเฟต คลอไรด์ ไบคาร์บอเนต หรือ คาร์บอเนต ของแมกนเี ซียม แคลเซียม และโซเดยี ม 2. สาเหตกุ ารแพร่กระจายดนิ เค็ม เกลือเกิดข้ึนเป็นเกลือท่ีละลายน้ำได้ดี น้ำจึงเป็นตัวการหรือพาหนะในการพาเกลือไปสะสมในที่ ต่าง ๆ ท่นี ำ้ ไหลผา่ น ซึง่ เป็นสาเหตุของการเกิดการแพร่กระจายดนิ เค็ม
44 1. สาเหตุจากธรรมชาติ หินหรือแร่ท่ีอมเกลืออยู่เม่ือสลายตัวหรือผุพังไป โดยกระบวนการ ทางเคมีและทางกายภาพ ก็จะปลดปล่อยเกลือต่าง ๆ ออกมาเกลือเหล่านี้อาจสะสมอยู่กับท่ีหรือเคล่ือนตัวไป กับน้ำแล้วซึมสู่ชั้นล่างหรือซึมกลับมาบนผิวดินได้โดยการระเหยของน้ำไปโดยพลังแสงแดดหรือถูกพืชนำไปใช้ น้ำใต้ดินเค็มที่อยู่ระดับใกล้ผิวดินเมื่อน้ำนี้ซึมขึ้นบนดิน ก็จะนำเกลือข้ึนมาด้วยภายหลังจากท่ีน้ำระเหยแห้งไป แล้วก็จะทำให้มีเกลือเหลือสะสมอยู่บนผิวดินและที่ลุ่มที่เป็นแหล่งรวมของน้ำ น้ำแหล่งน้ีส่วนมากจะมีเกลือ ละลายอยู่เพียงเล็กน้อยก็ได้นาน ๆ เข้าก็เกิดการสะสมของเกลือโดยการระเหยของน้ำพ้ืนที่แห่งนั้นอาจเป็น หนองนำ้ หรอื ทะเลสาบเกา่ กไ็ ด้ 2. สาเหตุจากการกระทำของมนุษย์ การทำนาเกลือ ทั้งวิธีการสูบน้ำเค็มขึ้นมาตากหรือ วิธีการขูดคราบเกลือจากผิวดินมาต้ม เกลือท่ีอยู่ในน้ำทิ้งจะมีปริมาณมากพอท่ีจะทำให้พ้ืนท่ีบริเวณใกล้เคียง กลายเป็นพื้นท่ีดินเค็มหรือแหล่งน้ำเค็ม การสร้างอ่างเก็บน้ำบนพ้ืนที่ดินเค็มหรือมีน้ำใต้ดินเค็ม ทำให้เกิดการ ยกระดับของน้ำใต้ดินข้ึนมาทำให้พื้นท่ีโดยรอบและบริเวณใกล้เคียงเกิดเป็นพ้ืนท่ีดินเค็มได้ การชลประทานที่ ขาดการวางแผนในเรอ่ื งผลกระทบของดินเค็มมักกอ่ ใหเ้ กิดปัญหาต่อพนื้ ที่ซง่ึ ใชป้ ระโยชน์จากระบบชลประทาน นัน้ ๆ แต่ถ้ามีการคำนึงถึงสภาพพ้ืนท่ีและศึกษาเรื่องปัญหาดินเค็มเขา้ ร่วมด้วย จะเป็นการช่วยแก้ไขปญั หาดิน เค็มได้วิธีหนึ่งและการตัดไม้ทำลายป่า ทำให้สภาพการรับน้ำของพ้ืนที่ไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดปัญหา ตามมาอย่างมากมายจากสภาพทางอุทกธรณขี องน้ำเปล่ียนแปลงไป แทนที่พืชจะใช้ประโยชน์กลับไหลลงไปใน ระบบส่งนำ้ ใต้ดินเคม็ ทำให้เกิดปญั หาดนิ เค็มตามมา แนวทางการแกไ้ ข 1. การป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่กระจายดนิ เค็มเพิ่มมากขึน้ ทั้งนี้ตอ้ งพิจารณาจากสาเหตุการ เกดิ ดำเนินการไดโ้ ดยวธิ กี ารทางวิศวกรรม วธิ ีทางชีววทิ ยา และวธิ ผี สมผสานระหว่างทั้งสองวธิ ี 2. วิธีทางวิศวกรรม จะต้องมีการออกแบบพิจารณาเพ่ือลดหรือตัดกระแสการไหลของน้ำใต้ ดนิ ให้อย่ใู นสมดลุ ของธรรมชาตมิ ากที่สุด ไมใ่ หเ้ พ่มิ ระดบั นำ้ ใตด้ ินเค็มในท่ีลุ่ม 3. วธิ ีทางชีววทิ ยา โดยใช้วิธีการทางพืช เช่น การปลูกป่าเพ่ือป้องกันการแพร่กระจายดินเค็ม มีการกำหนดพื้นท่ีรับน้ำที่จะปลูกป่า ปลูกไม้ยืนต้นหรือไม้โตเร็วมีรากลึก ใช้น้ำมากบนพ้ืนที่รับน้ำท่ีกำหนด เพอื่ ทำให้เกิดสมดลุ การใช้น้ำและน้ำใต้ดินในพ้นื ที่ สามารถแก้ไขลดความเค็มของดนิ ในทล่ี ุม่ ทีเ่ ป็นพ้ืนท่ีให้นำ้ ได้ 4. วิธผี สมผสาน การแก้ไขลดระดบั ความเค็มดินลงใหส้ ามารถปลูกพชื ได้ โดยการใชน้ ้ำชะลา้ ง เกลือจากดิน และการปรับปรุงดิน ดินที่มีเกลืออยู่สามารถกำจัดออกไปได้โดยการชะล้างโดยน้ำ การให้น้ำ สำหรับล้างดนิ มีทั้งแบบต่อเนือ่ งและแบบขงั น้ำเป็นช่วงเวลา แบบตอ่ เนื่องใช้เวลาในการแก้ไขดนิ เค็มได้รวดเร็ว กว่าแตต่ อ้ งใชป้ ริมาณนำ้ มาก ส่วนแบบขงั นำ้ ใช้เวลาในการแกไ้ ขดนิ เค็มช้ากว่า แตป่ ระหยดั นำ้ 5. การใช้พ้ืนที่ดินเค็มให้เกิดประโยชน์ตามสภาพที่เป็นอยู่ ไม่ปล่อยให้พื้นดินว่างเปล่า โดย การคลมุ ดนิ หรอื มกี ารเพิ่มผลผลติ พชื โดยเปล่ียนพืชเป็นพืชเศรษฐกิจทเี่ หมาะสม เช่น พชื ทนเค็ม พืชชอบเกลือ
45 ตารางที่ 7.1 วธิ ีการแกไ้ ขปัญหาดินเค็มตามระดบั ความเค็ม ระดบั เกษตรกรทำได้เอง หนว่ ยงานของรัฐดำเนินการ ความเคม็ การเพ่ิม ปลกู ปลูกพืช ปลกู การขุด การปรับ ทำระบบ ระบาย ผลผลิต พชื ผกั ชอบเค็ม ต้นไมโ้ ต เจาะบอ่ รูปแปลง นำ้ ใตด้ นิ ข้าว ทนเค็ม เรว็ บน บาดาล นา ✓ เนินพื้นที่ บนพนื้ ท่ี รบั นำ้ เนนิ ดินเคม็ ✓ ✓ ✓ นอ้ ย ดินเค็ม ✓ ✓ ✓ ปานกลาง ดินเคม็ จัด ✓ พนื้ ทีร่ ับ ✓✓ นำ้ 2. ปญั หาเกย่ี วกบั น้ำ และแนวทางการแกไ้ ข 2.1 ปญั หาขาดแคลนนำ้ เพ่อื การเกษตร ปัญหาการเกิดภัยแล้งหรือการขาดแคลนน้ัน เกิดจากการไม่มีหรือขาดแคลนน้ำที่มีคุณภาพดี สำหรับ ใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่ การอุปโภค บริโภค การเกษตร การปศุสัตว์ การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ การ อตุ สาหกรรม การคมนาคมทางน้ำ เปน็ ต้น สง่ ผลกระทบทั้งทางตรงและทางออ้ มต่อการดำรงชีพของประชาชน สาเหตทุ ่ัวไปของการเกดิ ภัยแล้ง(ขาดแคลนน้ำ) อาจสรปุ สาเหตุที่ทำให้เกดิ ภัยแล้งได้ดงั นี้ 2.1 การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และส่ิงแวดล้อม โดยในฤดูฝน ฝนไม่ตกตาม ฤดูกาล ตกน้อย ท้ิงช่วง ไม่กระจายสม่ำเสมอ ทำให้มีน้ำเก็บกักในแหล่งน้ำน้อย น้ำและความช้ืนในดินมีน้อย ในฤดูแล้งอากาศที่ร้อนจัดทำให้การสูญเสียน้ำจากการระเหยมีมาก ทำให้น้ำในแหล่งน้ำลดปริมาณลงจนถึง เหือดแหง้ ไป 2.2 ความต้องการใช้น้ำเพ่ิมมากขึ้น จากจำนวนประชากรท่ีเพิ่มมากข้ึน ความต้องการ ปัจจัยพ้ืนฐานในการดำรงชีพและการใช้ทรัพยากรจึงมีมาก ความต้องการน้ำเพ่ือกิจกรรมต่าง ๆ จึงมีมากตาม ไปดว้ ย ในขณะท่แี หล่งเกบ็ กักน้ำมีจำกัดไม่เพมิ่ ขน้ึ สมั พนั ธ์กนั 2.3 แหล่งเก็บกักน้ำตามธรรมชาติ และที่สร้างขึ้น มีน้อยไม่เพียงพอต่อการเก็บกักน้ำไว้ใช้ ประโยชน์ซง่ึ อาจเกิดจาก ขอ้ จำกัดของภูมปิ ระเทศท่ีไมม่ ีลำนำ้ ธรรมชาติ หรอื ไม่เหมาะสมท่จี ะพัฒนาเปน็ แหล่ง นำ้ หรอื แหลง่ น้ำไดร้ ับการพฒั นาทไี่ มเ่ หมาะสม มีขนาดเลก็ เกนิ ไป ใชป้ ระโยชนไ์ ดไ้ มเ่ พยี งพอ 2.4 แหล่งเก็บกักน้ำตามธรรมชาติและที่สร้างข้ึนเสื่อมสภาพ ต้ืนเขิน ชำรุด ทำให้มี ประสิทธิภาพต่ำ เก็บกักน้ำไว้ได้น้อยจนถึงไม่สามารถเก็บกักน้ำไว้ได้ การรองน้ำฝนจากหลังคาบ้านเพื่อเก็บ เอาไว้ใช้อุปโภคบริโภคไม่สามารถทำได้ เพราะแร่ใยหินท่ีใช้ผลิตกระเบื้องมุงหลังคาเป็นสารก่อมะเรง็ อีกท้ังใน เขตเมอื งกจ็ ะมีฝุน่ ควนั จากเครื่องยนตร์ ถมาก 2.5 การทำลายป่าต้นน้ำลำธาร ทำให้ไม่มีต้นไม้ท่ีทำหน้าท่ีดูดซับน้ำฝนลงสู่ใต้ผิวดิน อุ้มน้ำ เอาไว้ และยึดดนิ ใหม้ ีความมัน่ คง ก็จะขาดแคลนน้ำทีจ่ ะถูกปลดปล่อยออกมาสลู่ ำธารและลำนำ้ ในช่วงฤดแู ล้ง
46 2.6 คุณภาพน้ำไม่เหมาะสมท่ีจะนำมาใช้ประโยชน์ได้ เช่น น้ำเค็ม น้ำขุ่น เป็นสนิม สกปรก หรือเนา่ เสีย 2.7 การขาดจิตสำนึกในการใช้น้ำและการอนุรักษ์น้ำ เช่นใช้น้ำไม่ประหยัด ใช้น้ำอย่างไม่ ถูกต้องเหมาะสม การบุกรุกทำลายแหล่งน้ำ ท่ีพบบ่อย ๆ คือ การลงจับปลาในแหล่งน้ำทำให้น้ำขุ่น หรือถ้า หากระบายนำ้ ออกเพอื่ จบั ปลา ก็จะไมม่ นี ้ำเหลอื อย่อู กี ต่อไป 2.8 การวางผังเมืองไม่เหมาะสม โดยแบ่งแยกพืน้ ท่เี พ่ือการทำกิจกรรมไม่เหมาะสมสอดคลอ้ ง กบั แหลง่ น้ำทีจ่ ะนำมาใชป้ ระโยชน์ ขาดการวางแผนพัฒนาแหล่งน้ำทเ่ี หมาะสมไว้ล่วงหนา้ 2.9 การบรหิ ารจัดการน้ำ ถา้ เกดิ ความผิดพลาดในการพร่องน้ำระบายน้ำ ทำใหม้ นี ้ำเหลือเก็บ กักไวน้ อ้ ย แนวทางการแกไ้ ข 1. ตำราฝนหลวง 2. อ่างเกบ็ นำ้ 3. ฝายทดนำ้ 4. ขุดลอกหนอง บงึ 5. ประตรู ะบายนำ้ เป็นวธิ กี ารปดิ กนั้ ล้ำน้ำ ลำคลองทม่ี ขี นาดใหญ่และมีน้ำไหลในฤดูน้ำหลาก เปน็ จำนวนมาก โดยมีวตั ถุประสงคเ์ ก็บกักน้ำในฤดนู ำ้ หลากไว้ใช้ในฤดูแล้ง ขณะเดยี วกนั กม็ บี านระบายเปดิ -ปิด ให้สามารถระบายน้ำสว่ นเกนิ ออกไป เชน่ โครงการพัฒนาล่มุ น้ำก่ำ จังหวัดสกลนครและนครพนม หรือในพื้นท่ี ติดทะเลประตรู ะบายน้ำช่วยป้องกันน้ำเค็มไม่ให้รุกเข้าไปในพื้นท่ีเพาะปลูก และเก็บกักนำ้ จืดไวใ้ ช้เพาะปลูกใน ฤดูแล้ง เช่น โครงการพัฒนาพ้ืนท่ีลุ่มน้ำปากพนังอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดนครศรีธรรมราช และ โครงการพฒั นาพืน้ ที่ล่มุ น้ำบางนราอนั เน่อื งมาจากพรราชดำริ จงั หวัดนราธิวาส 6. สระเก็บนำ้ ตามทฤษฎใี หม่ 7. อุโมงค์ผันน้ำ เป็นการบริหารจัดการน้ำจากพ้ืนที่ที่มีปริมาณน้ำมากไปยังพ้ืนที่ที่ไม่มีน้ำ โดยการผันน้ำส่วนที่เหลือจากการใช้ประโยชน์ในพ้ืนท่ีเป้าหมาย ผันไปสู่พ้ืนท่ีที่ไมม่ ีแหล่งน้ำสำรองสำหรับการ เพาะปลูก โดยใชห้ ลักการแบ่งปันการใช้น้ำให้เกิดประโยชน์ ตัวอย่างเช่น โครงการอุโมงค์ผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำ ห้วยไผ่ อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหารไปยังพ้ืนท่ีการเกษตรในเขตอำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยอ่าง เก็บน้ำห้วยไผ่มีความจุ 10.5 ล้านลูกบาศก์เมตร มีพื้นที่ชลประทาน 1,600 ไร่ ซ่ึงจะใช้น้ำประมาณ 3.2 ล้าน ลูกบาศก์เมตร คงเหลือน้ำส่วนเกินท่ีสามารถผนั ไปชว่ ยเหลือพ้ืนทีก่ ารเกษตรใน เขตอำเภอเขาวงได้| 2.2 ปญั หานำ้ ท่วม เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดข้ึนตามธรรมชาติ เนื่องจากฝนตกในพื้นท่ีลุ่มมีปริมาณมากและตก ติดต่อกันเป็นเวลานาน จนเกิดน้ำไหลบ่ามาตามผิวดินลงสู่ร่องน้ำ ลำธารและแม่น้ำน้ัน หากลำน้ำตอนใดไม่ สามารถรับปริมาณน้ำได้ก็จะบ่าท่วมตล่ิงเข้าไปท่วมพื้นที่ต่าง ๆ หรือชุมชนที่ไม่มีการระบายน้ำที่สมบูรณ์ และ การกระทำของมนุษย์ ดังน้ัน เมื่อเกิดฝนตกหนักเป็นเวลานาน ๆ ในแต่ละครั้ง มักประสบปัญหาทำให้เกิดน้ำ ท่วมขงั บนพืน้ ที่ หรอื ที่เรยี กวา่ “อุทกภัย” ซึ่งทำความเสียหายใหแ้ กพ่ นื้ ทเ่ี พาะปลูกและทรัพยส์ ินต่าง ๆ แนวทางการแกไ้ ข 1. เข่ือนกักเก็บน้ำ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัวทรงพระราชทานพระราชดำริ ให้หน่วยงาน ที่เก่ียวข้อง แก้ไขปัญหาน้ำท่วมพื้นที่เกษตรกรรม และชุมชนต่าง ๆ ด้วยการก่อสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำ หลาย พ้ืนท่ีด้วยกัน เช่น เข่ือนป่าสักชลสิทธิ์ จังหวัดลพบุรี และเข่ือนคลองท่าด่าน จังหวัด นครนายก ซึ่งทำหน้าที่
47 เก็บกักน้ำไว้นี้จะระบายน้ำออกจากแหล่งกักเก็บน้ำทีละน้อย ๆ เพ่ือนำ มาใช้ประโยชน์ได้อีกหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยงิ่ เพ่อื การเพาะปลกู ในช่วงเวลาฝนไม่ตก หรือช่วงฤดแู ล้ง 2. ทางผันน้ำ การกอ่ สร้างทางผันน้ำหรือขดุ คลองสายใหม่เชื่อมตอ่ กบั แมน่ ้ำที่มีปญั หาน้ำท่วม มีหลักการอยู่ว่า จะผันน้ำในส่วนท่ีไหลล้นออกไปจากลำน้ำ โดยตรง ปล่อยน้ำส่วนใหญ่ที่มีระดับไม่ล้นตล่ิงให้ ไหลอยู่ในลำน้ำเดิมตามปกติ วิธีการน้ีจะต้องสร้างอาคารเพื่อควบคุมและบังคับน้ำบริเวณ ปากทางให้เช่ือมกับ ลำน้ำสายใหญ่ และกรณีต้องการผันน้ำท้ังหมดไหลไปตามทางน้ำที่ขุดใหม่ ควรขุดลำน้ำสายใหม่แยกออกจาก ลำน้ำสาย เดิมตรงบริเวณที่ลำน้ำเป็นแนวโค้งและระดับน้ำของคลองขุดใหม่จะต้องเสมอกับท้องลำน้ำเดิมเป็น อยา่ งนอ้ ย หลังจากน้ันกป็ ิดลำน้ำสายเดมิ ตัวอย่างเช่น การผันน้ำจากแมน่ ำ้ เจ้าพระยาโดยทางตะวันตก ผันเข้า แม่นำ้ ท่าจนี แลว้ ผันลงสู่บรเิ วณจังหวัดสุพรรณบรุ ี กอ่ นระบายออกสู่ ทะเล 3. ปรับปรุงสภาพลำน้ำ โดยการขุดลอกลำน้ำในบริเวณที่ต้ืนเขิน ตกแต่งติดตามตลิ่งท่ีถูกกัด เซาะ กำจัดวชั พืชหรือทำลายสงิ่ กดี ขวาง ทางน้ำไหลออกไปจนหมด และกรณีลำน้ำมีแนวโค้งมากเป็นระยะไกล อาจพจิ ารณาขุดคลองลดั เชอื่ มบรเิ วณ ดา้ นเหนอื ค้างกบั ด้านท้ายโคง้ ซึ่งจะทำให้น้ำไหลผ่านไดเ้ รว็ ขนึ้ 4. คันก้ันน้ำ เป็นวิธีป้องกันน้ำมิให้ไหลลงตลิ่งเข้าไปท่วมพ้ืนท่ีให้ได้รบั ความเสียหายด้วยการ เสริมขอบตลิ่งของลำน้ำให้มีระดับสูงมากขึ้นกว่าเดิม เช่น การทำคันดินป้องกันน้ำท่วมบริเวณต่าง ๆ ใน โครงการป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ และปริมณฑลซึ่งสามารถป้องกันน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาและน้ำตามคลอง ไมใ่ ห้ไหลบ่า เข้ามาท่วมกรงุ เทพฯ ชนั้ ในและพนื้ ที่เศรษฐกิจไดเ้ ปน็ อยา่ งดี 5. การระบายน้ำออกจากพืน้ ทล่ี ุ่ม 3. ปัญหาเกยี่ วกบั ศตั รพู ืช และแนวทางการแก้ไข 3.1 ปญั หาแมลง และสตั ว์เล้ียง แมลงศัตรูพชื จะแบง่ ออกเป็น 6 กลุ่มใหญ่ๆ ตามลักษณะการเข้าทำลายพืช คือ .1 แมลงจำพวกปากกัดกินใบ ได้แก่ หนอนผเี สื้อ, ต๊กั แตน, ด้วงปกี แข็ง แมลงจำพวกนี้จะกัด กินใบพืช ทำให้พืชขาดสว่ นที่จะใช้ในการสังเคราะหแ์ สง หรอื ขาดส่วนที่สะสมอาหารเพ่ือใชใ้ นการเจรญิ เติบโต ทำใหพ้ ืชหยุดการเจริญเตบิ โต 2. แมลงจำพวกดูดกินน้ำเล้ียง ได้แก่ เพล้ียชนิดต่าง ๆ โดยแมลงเหล่านี้จะใช้ปากแทงเขา้ ไป ในท่อลำเลย้ี งน้ำและอาหารของพชื เพ่อื ดูดกินน้ำเลีย้ งจากใบ, ยอดอ่อน, ดอก, ผล หรือสว่ นต่าง ๆ ของพืช ทำ ให้พืชท่ีถูกดูดน้ำเล้ียงจะมีรอยไหม้ ใบมีลักษณะม้วนงอ พืชไม่เจริญเติบโต มีขนาดแคระแกรน นอกจากน้ี แมลงจำพวกนี้ยงั เป็นสาเหตุสำคัญต่อการแพรก่ ระจายของโรคเช้ือไวรัสชนดิ ต่าง ๆ ทำให้พืชอ่อนแอและตายได้ 3. แมลงจำพวกหนอนชอนใบ ได้แก่ หนอนผีเสอ้ื กลางคืน, หนองแมลงวนั บางชนิด ตัวอ่อน ของแมลงจำพวกน้ีจะเป็นหนอนที่มีขนาดเล็ก กัดกินเนื้อเยื่อระหว่างผิวใบพืช ทำให้พืชขาดส่วนที่จะใช้ สังเคราะหแ์ สง หรอื ขาดส่วนทสี่ ะสมอาหารเพือ่ ใช้ในการเจรญิ เตบิ โต ทำใหพ้ ืชหยุดการเจรญิ เตบิ โต 4. แมลงจำพวกหนอนเจาะลำต้น ไดแ้ ก่ หนอนดว้ ง, หนอนผเี ส้ือ และปลวก แมลงจำพวกนี้ มักจะไข่ไว้ตามใบหรือเปลือกไม้ เมื่อไข่ฟักเป็นตัวหนอน ก็จะชอนไชเข้าไปอยู่ในกิ่ง, ลำต้น หรอื ผล ของพืชทำ ให้พืชขาดนำ้ และอาหารแลว้ แห้งตาย หรอื ทำใหผ้ ลเนา่ หลน่ เสยี หายได้ 5. แมลงจำพวกกัดกินราก ได้แก่ ด้วงดีด, จิ้งหรีด, แมลงกระชอน, ด้วงดิน, ด้วงงวง ฯลฯ แมลงจำพวกน้ีจะอาศัยและวางไข่ลงบนพ้ืนดิน ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยของแมลงจำพวกนี้จะเข้าทำลายรากพืช ทำให้พชื ยนื ตน้ แห้งตายเนอ่ื งจากขาดน้ำและอาหาร
48 6. แมลงจำพวกท่ีทำให้เกิดปุ่มปม ได้แก่ ต่อ แตนบางชนิด แมลงจำพวกน้ีจะดูดน้ำเลี้ยง และปล่อยสารเคมบี างชนิดที่ทำให้ผวิ ของพชื มลี ักษณะผิดปกติไป เช่นมีลกั ษณะเป็นป่มุ ปม ตามผิวของผลไม้ แนวทางการแก้ไข 1. วิธีทางเขตกรรม เช่น การปลูกพืชหมุนเวียน, การทำความสะอาดแปลงปลูก, กำหนด ระยะเวลาการเพาะปลูก, การตดั แตง่ ต้นพชื 2. วิธีทางกายภาพ เช่น การใช้มุ้งป้องกัน, การใช้กาวดักแมลง, การทำลายแหล่งอาศัยของ แมลง, การใช้ไฟล่อและทำลาย 3. วิธีทางชีวภาพ เช่นการใชต้ ัวหำ้ ตัวเบียน, การใช้เชอ้ื รา, การใชเ้ ชือ้ แบคทีเรีย, การใชเ้ ชื้อ ไวรัส 4. วิธีทางพันธุกรรม โดยการนำแมลงศัตรูพืชมาผ่านการฉายรังสีเพ่ือให้เป็นหมันแล้วปล่อย ไปในธรรมชาตทิ ำให้แมลงน้นั ไม่สามารถขยายพนั ธ์ไุ ด้ 5. วิธีทางเคมี โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มเคมีท่ีได้มาจากการสกัดจากธรรมชาติ เช่น ยาเสน้ , สะเดา, สาบเสือ, ตะไครห้ อม ฯลฯ และกล่มุ เคมีทส่ี ังเคราะห์ข้ึน เช่น กล่มุ ออรก์ าโนคลอไรน์, กลุ่มออร์ กาโนฟอสเฟต, กลุ่มคารบ์ าเมต, กลมุ่ สารสงั เคราะห์ไพรีทอย 3.2 ปญั หาโรคพชื โรคพชื หมายถึง สภาวะที่ต้นพืชมีการทำงานที่ผิดปกติจนมีผลเสียหายต่อพชื เกิดจากสาเหตุ 2 ประการ คือ โรคที่เกิดจากสงิ่ มชี วี ิต และโรคทเี่ กดิ จากสิง่ ไม่มีชีวิต 1. โรคท่ีเกิดจากส่ิงมีชีวิต เรียกว่า โรคติดเชื้อ สามารถแพร่ระบาดติดต่อมาสู่พืชได้ เชื้อโรค พืชมีหลายชนิดคล้ายกับเช้ือโรคของคน และสัตว์เช่น เชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส เช้ือไฟโตพลาสมา และ ไสเ้ ดือนฝอยซง่ึ เป็นตวั พยาธิ เชอื้ โรคพืชเหลา่ นที้ ำให้พชื แสดงอาการโรคหลายแบบ ไดแ้ ก่ รากเน่า ตน้ เหยี่ วตาย ใบเป็นจุด ใบไหม้ ใบดา่ ง ยอดเปน็ พ่มุ ไมก้ วาด หรอื ผลเน่า 2. โรคที่เกิดจากสิ่งไม่มีชีวิต เรียกว่า โรคไม่ ติดเชื้อ ไม่แพร่ระบาดติดต่อ เกิดจาก สภาพแวดลอ้ มท่ีไม่เหมาะสม เชน่ ดินขาดธาตุอาหาร ดินเปน็ กรดหรือด่างมากเกินไป อากาศร้อน แสงแดดจัด แห้งแล้ง น้ำแฉะมีมลพิษในอากาศ ทำให้พืชแสดงอาการต่าง ๆ เช่น ใบเหลืองซีด ใบร่วงใบไหม้ ต้นไม่ เจรญิ เติบโต แคระแกรน็ ผลผลติ ลดลง แนวทางการแกไ้ ข 1. การเตรียมดิน จะต้องมีการขุด หรือไถพลิกดินบ้างเป็นคร้ังคราวเพ่ือตากดิน แสงแดดจะ ชว่ ยทำลายเช้ือโรคในดินได้บ้าง โดยเฉพาะเช้ือราบางชนิด ไข่ของไส้เดือนฝอย เป็นต้น การตากดินคร้ังหน่ึงใช้ เวลาประมาณ 10-15 วันกพ็ อ จะทำใหด้ นิ รว่ นแล การระบายนำ้ ดีขึ้นดว้ ย 2. การปรับปรุงดนิ ดินบางคร้ังเป็นกรดมากเกินไป หรือที่เรียกว่าดินเปร้ยี ว ซ่ึงทำให้ต้นพืชที่ ปลูกลงไปแล้วไม่โต เนื่องจากรากหาอาหารไม่ได้และ รากไม่โตเท่าท่ีควร ฉะน้ันควรทำการตรวจดูความเป็น กรดเปน็ ด่างของดินเป็นคร้ังคราว ถา้ ทำเองไมไ่ ดก้ ็ควรส่งตัวอยา่ งดินมาวิเคราะห์ทีก่ องเกษตรเคมี กรมวิชาการ เกษตร หรือภาควิชาปฐพีวิทยา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เม่ือเราทราบว่าดินเป็นกรด วิธีที่จะ แก้ไขคือการใส่ปูนขาวแล้วคลุกกับดินให้ดีไม่ควรโรยท่ีผิวหน้า เพราะเมื่อปูนขาวถูกจะจับกันเป็นก้อนแข็ง ซ่ึง จะไม่เปน็ ผลดตี ่อการปลูกพืช การใส่ปนู ขาวจะมากหรอื ข้ึนอยกู่ ับว่าดินของเราเป็นกรดมากแคไ่ หนเป็นสำคญั 3. การเลือกเมล็ดพันธุ์ หรือส่วนขยายพนั ธุ์ เปน็ ส่ิงสำคญั อีกอนั หนง่ึ เพราะวา่ ถ้าเราเลอื กหรือ คัดเมล็ดพันธุ์ที่ไม่มีโรคติดมาแล้ว ก็จะช่วยป้องกันโรคในระยะแรกได้ การเลือกเมล็ดพันธุ์หรือส่วนขยายพันธุ์ เช่น กิ่งตอน ถา้ เราสามารถสอบถามถงึ ตน้ ตอได้ว่า ในไร่หรือสวนทเ่ี ราจะนำมาใชข้ ยายพันธ์ุไมเ่ คยมีโรคระบาด
Search