สรุปได้ว่า กระบวนการปฏิบัติงานวิจัยอย่างง่าย หรือการลงมือทาวิจัยอย่างง่ายและการเก็บข้อมูลน้ี ข้ึนอยู่กับเคร่ืองมือท่ีครูผู้วิจัยเลือกใช้ ส่วนระยะเวลาเก็บข้อมูลสาหรับการวิจัยอย่างง่าย ไม่ควรจะมีระยะ เวลานาน และเน้นย้าว่าให้สามารถบูรณาการร่วมกับการจัดการเรียนรู้ได้ด้วย จากตัวอย่างแผน/ปฏิทิน การวิจยั อยา่ งง่ายขา้ งตน้ สามารถอธบิ ายขัน้ ตอนการเก็บขอ้ มลู ได้ ดงั น้ี 1. วิธีการเก็บข้อมูลพื้นฐานผู้เรียน จากตัวอย่างใช้เครื่องมือเก็บข้อมูลอยู่ 2 ประเภท คือ แบบสอบถามและการสัมภาษณ์ และแหล่งข้อมูล คือ ผู้เรียนและ ผู้ปกครอง ดังนั้น วิธีการเก็บข้อมูลอาจให้ท้ังผู้เรียนและผู้ปกครองกรอก แบบสอบถามเอง แต่ครูผู้วิจัยต้องชี้แจงหรืออธิบายให้ผู้เรียนและผู้ปกครองเข้าใจ และสามารถตอบแบบสอบถามตามความเป็นจริง และถูกต้องตามวัตถุประสงค์ได้ ซึ่งแบบสอบถามนี้ อาจเป็นแบบเลือกตอบ โดยมีช่องให้ทาเครื่องหมาย หรือเป็น แบบให้ตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ หรืออาจเป็นแบบสอบถามแบบให้กรอกข้อความ ท้ังนี้ ขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ครูผู้วิจัยต้องการ นอกจากน้ี ครูผู้วิจัยยังสามารถอธิบายคาถาม ในแบบสอบถามเป็นข้อ ๆ ได้เช่นกัน ส่วนการสัมภาษณ์ ครูผู้วิจัยต้องสัมภาษณ์เอง แต่จะใช้แบบสัมภาษณ์ชนิดมีโครงสร้าง หรือไม่มีโครงสร้างนั้น ก็ข้ึนอยู่กับ การพิจารณาของครูผู้วิจัย ขณะสัมภาษณ์ครูผู้วิจัยอาจใช้เคร่ืองมืออื่น ๆ อีกก็ได้ เช่น เครื่องบันทึกเสียง รวมถึงแบบบันทึกภาคสนาม เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว ในการเกบ็ ข้อมูล 2. การทดสอบความรู้ภาษาไทย ใชเ้ ครอ่ื งมือ คือ แบบทดสอบ ซ่ึงสามารถบรู ณาการเข้ากับแผนการจัดการเรียนรู้และกระบวนการจดั การเรยี นรูไ้ ด้ดว้ ย จากน้ันจงึ บันทึกผลท่ีได้ คมู่ ือการทาวจิ ยั อย่างงา่ ยของครู กศน. 37
3. การทดสอบการอ่านออกเสียง ใช้เคร่ืองมือ คือ แบบทดสอบการอ่านและการสังเกต วิธีการอาจเร่ิมต้น ด้วยการให้ผู้เรียนอ่านแบบทดสอบการอ่านตามท่ีครูผู้วิจัย สร้างข้ึน จากน้ันครูผู้วิจัยใช้วิธีการสังเกต และบันทึกผล การสังเกตจากการอ่านของผู้เรียน เช่น ผู้เรียนอ่านออกเสียง อย่างไร ทาปากแบบไหน เป็นต้น ในขณะเดียวกันครูผู้วิจัย ต้องบันทึกผลท่ีได้จากการสังเกต และครูผู้วิจัยยังสามารถ แก้ไข หรืออธิบายให้ผู้เรียนเข้าใจหลักการออกเสียง อย่างถูกวิธีได้ด้วย จากน้ัน ให้บันทึกความเปล่ียนแปลง ท่ีเกดิ ขนึ้ หลังจากรวบรวมข้อมูลตามแผน/ปฏิทินการวิจัยอย่างง่ายที่กาหนดเสร็จแล้ว ก็จะเข้าสู่ข้ันตอน การวิเคราะห์และการแปลผลข้อมูลท้ังหมดที่เก็บมาได้ ต่อจากน้ันจึงเขียนผลการวิจัยอย่างง่าย ซ่ึงจะกล่าวไว้ ในลาดับตอ่ ไป คูม่ ือการทาวิจัยอย่างง่ายของครู กศน. 38
เรอื่ งที่ 4 การวิเคราะหแ์ ละแปลผลขอ้ มูล การวิเคราะห์ข้อมูลเป็นข้ันตอนสาคัญ ซึ่งต้องดาเนินการต่อจากข้ันตอนท่ีครูผู้วิจัยเก็บรวบรวม ข้อมูลมาจากผู้เรียนแล้ว บรรดาข้อมูลท้ังหลายท่ีได้มาน้ันมักกระจัดกระจาย ทาความเข้าใจได้ยาก ต้องนามา วิเคราะห์และแปลความหมายก่อน การวิเคราะห์ข้อมูลนั้นเป็นการจัดระเบียบ แยกแยะส่วนต่าง ๆ ของข้อมูล ออกเป็นหมวดหมู่ และสรุปให้ส่ือความหมายได้ เพื่อตอบวัตถุประสงค์ของงานวิจัยท่ีกาหนดไว้ แต่เนื่องจาก ข้อมูลการวิจัยย่างง่ายอาจมีท้ังข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ซ่ึงมีวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลต่างกัน ถ้าเป็น ข้อมูลเชิงปริมาณต้องวิเคราะห์โดยการคิดคานวณหาค่าท่ีไม่ซับซ้อนนัก ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน แล้วนาเสนอเป็นตาราง กราฟ แผนภูมิ เป็นต้น ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพ วิเคราะห์โดย การจาแนกข้อมูลตามประเด็นหรือคาสาคญั แลว้ หาความสัมพันธ์และนาเสนอผลการวเิ คราะหด์ ้วยการบรรยาย สาหรับการแปลผลการวิจัยอย่างง่าย มีจุดเน้นว่าจะต้องสอดคล้องกับวิธีวิเคราะห์ข้อมูล ไม่แปลความหมาย ของข้อมลู เกินความหมายของสถติ ิทใี่ ชห้ รือเหตุการณ์ทีบ่ นั ทกึ การวิเคราะห์และแปลความหมายอาจทาได้หลายวิธี เช่น วิธีพรรณนาวิเคราะห์ วิธีการทางสถิติ หรือวิธีการเปรียบเทียบ เป็นต้น ท้ังนี้วิธีการเปรียบเทียบสามารถทาได้ในลักษณะ เช่น เปรียบเทียบกับคะแนนเต็ม หรือเปรียบเทียบกบั คะแนนเกณฑ์ ซง่ึ บญุ ชม ศรสี ะอาด (2546 : 137) ได้กลา่ วไว้ ดงั นี้ 1. การเปรียบเทียบกับคะแนนเต็ม ในการจัดการเรียนการสอนท่ัวไป มุ่งให้ผู้เรียนบรรลุการเรียนรู้ ระดับสูงทุกคนหรือส่วนใหญ่ ถ้าผู้เรียนทุกคนสอบได้คะแนนเต็มก็ถือว่าจัดการเรียนรู้บรรลุอุดมการณ์ เป็นสิ่งท่ีดีเลิศ จากกรณีตัวอย่างท่ี 1 หน้า 26 ปัญหาผู้เรียนมักจะเขียนสะกดคาผิด ครูผู้วิจัยควรใช้แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธ์ิ (Achievement Test) ทค่ี รผู ูส้ อนกาหนดเกณฑก์ ารประเมนิ ขนึ้ มาเอง เช่น ผู้เรยี นจะสอบผา่ นได้ ตอ้ งเขียนสะกดคาหลังเรยี นได้ถูกต้องร้อยละ 100 หมายถึง ผูเ้ รยี นแต่ละคนต้องเขียนคาสะกดไดถ้ ูกตอ้ งทุกคา จนไมม่ ผี ู้เรยี นคนใดเขียนสะกดคาผิด 2. การเปรียบเทียบกับคะแนนเกณฑ์ ในการจัดการเรียนรู้ ครูผู้วิจัยควรตั้งเกณฑ์การแปล ความหมาย เชน่ เกณฑ์สอบผา่ นใช้คา่ ร้อยละ 80 หรือเกณฑ์ทีใ่ ชพ้ จิ ารณาผู้เรียนทจี่ ะไดร้ ะดบั ผลการเรียน ดังน้ี ระดับดีมาก คือ ร้อยละ 80 - 100 ระดับดี คอื รอ้ ยละ 65 - 79 ระดบั ปานกลาง คือ รอ้ ยละ 50 - 64 เป็นตน้ คมู่ ือการทาวจิ ยั อยา่ งง่ายของครู กศน. 39
ตวั อยา่ ง การวเิ คราะห์หาประสทิ ธผิ ลของสื่อ วธิ สี อนหรือนวตั กรรม กรณีการวิจัยตัวอย่างที่ 1 หน้า 26 ครูผู้วิจัยพบว่า มีผู้เรียนที่เขียนสะกดคาผิด จานวน 5 คน จานวนคาท่ีเขียนผิด 40 คา กาหนดให้คะแนน คาละ 1 คะแนน เมื่อครูผู้วิจัยใช้แบบฝึกหัดเสริมทักษะและ กระบวนการจัดการเรียนรู้แล้ว จึงวิเคราะห์หาประสิทธิผล (Effectiveness) ของส่ือ เพื่อจะได้รู้ว่าส่ือการเรียนรู้ หรอื วิธีจดั การเรยี นรู้หรือนวัตกรรม ที่ครูผู้วจิ ยั พัฒนาขึ้นมามีประสทิ ธิผลตอ่ การเรียนรู้ของผูเ้ รียนเพียงใด (ครูผู้วิจัยควรเขียนพรรณนาบรรยากาศการจัดการเรียนรู้ ว่าตนเองใช้วิธีการอย่างไร ก่อนนา เข้าสู่บทเรียน มีการทดสอบความรู้ผู้เรียนก่อนหรือไม่ หากไม่มีการทดสอบก่อนเรียน ให้ครูผู้วิจัยนาช้ินงาน ของผู้เรียนท่ีเขียนผิดมาอธิบายไว้ในวิธีการวิจัยว่า การจัดการเรียนรู้เสริมทักษะการเขียนสะกดคาครั้งน้ี ครู ผู้วิจัยได้นาข้อมูลจากช้ินงานของผู้เรียนมาจัดทาเป็นแบบฝึกหัดหรือใบงาน จึงถือว่ามีการทดสอบความรู้ก่อน เรียนของผู้เรียนมาแล้ว จากน้ันจึงนาเข้าสู่บทเรียน มีคาอธิบาย แนะนาการใช้แบบฝึกหรือใบงานเพิ่มเติมอย่างไร นอกจากแบบฝึก หรือใบงานแล้ว ครูผู้วิจัยใช้สื่ออย่างอ่ืนประกอบการจัดการเรียนรู้อีกหรือไม่ เช่น การอธิบาย คาสะกดบนกระดานดา ระยะเวลาในการจดั การเรยี นรู้ ใช้จานวนก่ีชั่วโมง จากนั้นจึงทดสอบความรู้ของผู้เรียน หลังเรียน โดยระบุวิธีการทดสอบความรู้ของผู้เรียนว่าทาอย่างไร เช่น ใช้แบบทดสอบ ใช้วิธีให้ผู้เรียนอ่านคา แล้วเขยี นลงในกระดาษคาตอบ เป็นต้น) เมื่อกระบวนการจัดการเรียนรู้สิ้นสุดลง ครูผู้วิจัยต้องนาผลจากการทดสอบมาวิเคราะห์ หาประสิทธิผล จากการพิจารณาผลการพัฒนา โดยการเปรียบเทียบจากจุดเร่ิมต้นกับจุดสุดท้าย เช่น ก่อนเรียน กับหลังเรียน เพื่อเห็นพัฒนาการของผู้เรียน โดยใช้แบบทดสอบท่ีครูผู้วิจัยสร้างข้ึนไว้ล่วงหน้า เรียกว่า การทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) และหลังจากเรียนเร่ืองนั้นจบ ก็นาแบบทดสอบชุดเดิมมาทดสอบกับผู้เรียน กลุ่มเดิม เป็นการทดสอบหลังเรียน (Post-test) จากน้ัน นาผลการสอบท้ังสองครั้งมาเปรียบเทียบกัน ผลการทดสอบหลังเรยี นและก่อนเรียนของผเู้ รียน โดยใชแ้ บบฝกึ หัดเสริมทักษะ ปรากฏคะแนน ดงั น้ี ชอ่ื - สกลุ ผู้เรยี น คะแนนก่อนเรียน คะแนนหลังเรยี น (40 คะแนน) (40 คะแนน) 1. นาย ก 2. นาย ข 10 30 3. นาย ค 14 36 4. นาย ง 16 40 5. นาย จ 12 32 8 22 รวม 60 160 คมู่ อื การทาวิจัยอยา่ งง่ายของครู กศน. 40
วธิ หี าประสิทธิผลของส่ือ วิธกี ารจัดการเรยี นรู้/นวัตกรรม วธิ กี ารหาประสิทธิผลทาได้ 2 วธิ ี คือ การหาประสิทธิผลเป็นกลุ่มกับการหาประสิทธิผลรายบุคคล (ครูผู้วิจัยสามารถเลือกใช้ได้อย่างใดอย่างหน่ึงหรือ ทง้ั สองอยา่ ง) 1. การหาประสิทธิผลเป็นกลมุ่ จากตาราง ผลรวมคะแนนก่อนเรียนของผู้เรียน 5 คน เท่ากับ 60 ผลรวมคะแนนหลังเรียน ของผู้เรียน 5 คนเท่ากับ 160 หาค่าคะแนนเต็มของแบบทดสอบ โดยนาจานวนผู้เรียน (5 คน) x คะแนนเต็ม (40 คะแนน) จากน้นั นามาแทนค่าลงในสตู รการหาค่าดัชนีประสิทธิผล ดัชนปี ระสทิ ธผิ ล = ผลรวมคะแนนทดสอบหลงั เรียน - ผลรวมคะแนนทดสอบก่อนเรยี น (จานวนผเู้ รยี น x คะแนนเต็ม) - ผลรวมคะแนนทดสอบกอ่ นเรยี น = = 160 - 60 (5x40) - 60 = 100 140 = 0.7143 แปลผลเปน็ ค่าร้อยละ โดยนา 100 คูณ 0.7143 เท่ากับ 71.43 แสดงวา่ หลังใช้แบบฝกึ หดั เสริมทกั ษะของผู้เรียนท้ังกลุม่ มคี ะแนนเพิ่มขึ้นร้อยละ 71.43 การแปลผลท้ายตาราง ใหเ้ ขียนลกั ษณะน้ี จากตารางการวิเคราะห์หาประสิทธิผลของส่ือ วิธีการจัดการเรียนรู้/นวัตกรรมการแก้ปัญหาผู้เรียน เขียนสะกดคาผิดของ กศน. ตาบล… พบว่า ก่อนการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกหัดเสริมทักษะ ผู้เรียนท้ัง 5 คน มีคะแนนก่อนเรียนรวมกัน 60 คะแนน หลังจากผ่านกระบวนการจัดการเรียนรู้แล้ว พบว่า ผู้เรียนท้ัง 5 คน มีคะแนนรวมกัน จานวน 160 คะแนน เมื่อวิเคราะห์ค่าทางสถิติแล้ว พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน ทง้ั กลมุ่ เพิม่ ขนึ้ รอ้ ยละ 71.43 คู่มือการทาวิจยั อยา่ งงา่ ยของครู กศน. 41
2. การหาประสิทธผิ ลรายบุคคล ผลการทดสอบของผเู้ รยี น จานวน 5 คน หาค่าดชั นีประสิทธผิ ลและร้อยละทเี่ พม่ิ หลงั เรียน จากก่อนเรยี น ตามตาราง ดังน้ี ผูเ้ รยี น กอ่ นเรียน ผลการทดสอบ คะแนนเพม่ิ ดัชนี รอ้ ยละทเี่ พิ่มข้นึ (40 คะแนน) หลังเรยี น ประสทิ ธิผล หลังเรียน (40 คะแนน) จากก่อนเรียน 1. นาย ก 10 30 20 0.6666 66.66 2. นาย ข 14 36 22 0.8462 84.62 3. นาย ค 16 40 24 1 100 4. นาย ง 12 32 20 0.7142 71.42 5. นาย จ 8 22 14 0.4375 43.75 ดชั นปี ระสทิ ธผิ ล = คะแนนทดสอบหลงั เรยี น - คะแนนทดสอบก่อนเรียน คะแนนเต็ม - คะแนนทดสอบกอ่ นเรียน ดัชนีประสิทธผิ ลนาย ก = = 30 - 10 = 40 - 10 20 30 0.6666 คิดเปน็ ร้อยละท่ีเพ่มิ ข้ึน โดยนา 100 x 0.6666 เท่ากบั 66.66 (คนอืน่ ๆ ก็ใชว้ ธิ ีการคานวณและนา ขอ้ มูลมาแปลผลเชน่ เดียวกนั ) วธิ ีการแปลผลคะแนนทา้ ยตาราง ให้เขยี นลกั ษณะน้ี จากตารางวิเคราะห์ประสิทธิผลของส่ือ วิธีการจัดการเรียนรู้/นวัตกรรมการแก้ปัญหาผู้เรียน เขียนสะกดคาผิดของ กศน. ตาบล… พบว่า หลังเรียน นาย ก มีคะแนนเพิ่มขึ้นจากก่อนเรียน 20 คะแนน คดิ เปน็ คะแนนท่เี พิม่ ขึน้ ร้อยละ 66.66 (นาย ข-จ กแ็ ปลผลตามค่าทไ่ี ด้เช่นเดียวกนั ) คมู่ ือการทาวจิ ยั อย่างงา่ ยของครู กศน. 42
เรือ่ งท่ี 5 การเขยี นสรุปผล การอภิปรายผลการวจิ ัยอยา่ งง่ายและขอ้ เสนอแนะ การเขียนสรปุ ผลการวิจัย ผลการวจิ ยั เป็นหวั ใจสาคัญของรายงานการวจิ ยั อย่างงา่ ย เป็นการนาเสนอผลที่ได้จากการวิเคราะห์ ข้อมลู ซง่ึ อาจแบ่งออกเป็นตอน ๆ ตามวตั ถปุ ระสงค์ การนาเสนอสามารถเขียนในลักษณะการบรรยาย ตาราง แผนภูมิ หรืออืน่ ๆ ที่ชัดเจน หากนาเสนอเป็นตาราง แผนภมู ิ ตอ้ งแปลความหมายของสิง่ ท่นี าเสนอดว้ ย การเขียนสรุปผลการวิจัย เป็นการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับผลการวิจัยก่อนเข้าสู่การอภิปรายผล และข้อเสนอแนะ โดยเขียนสรุปสาระหรือประเด็นท่ีเป็นข้อค้นพบสาคัญ อาจระบุสถิติท่ีจาเป็นจากตาราง วเิ คราะห์ข้อมลู มาประกอบด้วยกไ็ ด้ และเขียนอย่างย่อเรียงลาดบั เป็นข้อ ๆ เพอ่ื ตอบวัตถุประสงค์ท่ีต้ังไว้ให้ครบ ทกุ ข้อ การเขียนอภิปรายผลการวจิ ัยอย่างง่ายและขอ้ เสนอแนะ การอภปิ รายผลการวจิ ัย การอภิปรายผลจะเน้นอธิบายสิ่งท่ีพบ มากกว่าอ้างอิงจากทฤษฎีหลัก แต่ท้ังน้ีการนาผลการวิจัย ท่ีมีมาก่อนหน้า หรือแนวคิดมาเป็นส่วนเติมเต็ม หรืออภิปรายเพิ่มเติมจะทาให้การอภิปรายผล มีน้าหนักมากข้ึน (มีความหนักแน่นทางวิชาการ) โดยเฉพาะความรู้หรือแนวคิดที่ผู้วิจัยได้ไปทบทวนมาก่อนที่จะเร่ิมการวิจัย ว่าความรู้เหลา่ นั้นสอดคลอ้ งกบั ปรากฏการณ์ทผี่ ู้วจิ ัยค้นพบหรอื ไม่ การอภิปรายผลการวิจัย ไม่จาเป็นต้องอภิปรายทุกรายการตามสรุปผลการวิจัย อาจยกประเด็น ที่น่าสังเกต หรือโดดเด่น โดยนาข้อสรุปมากล่าวนา แล้วหาเหตุผลมาอภิปราย ซึ่งควรเป็นเหตุผลที่กล่าวถึง ความสาคญั ของวิธกี ารแกป้ ัญหา และที่สาคญั ตอ้ งเขียนให้สอดคล้องกลมกลนื เหน็ ภาพชัดเจนและเข้าใจงา่ ย ตวั อย่าง การอภปิ รายผล (จากการวิเคราะห์และแปลผลหนา้ 40 - 42) การแก้ปัญหาผู้เรียนขาดทักษะการเขียนสะกดคาที่ถูกต้อง ผลการวิจัยพบว่า หลังจากผู้เรียน ผ่านกระบวนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกหัดเสริมทักษะแล้ว ผู้เรียนท้ัง 5 คน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงข้ึน จากการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายกลุ่ม ผู้เรียนมีทักษะสูงขึ้นร้อยละ 71.43 สาหรับผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนรายบุคคล พบว่า นาย ก มีคะแนนเพ่ิมข้ึนจากการทดสอบหลังเรียน 20 คะแนน ผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนของนาย ก เพิ่มขึ้นร้อยละ 66.66 ท่ีเป็นเช่นนี้เน่ืองมาจาก ครูผู้วิจัยได้จัดทาบันทึกหลังสอน ภายหลังจากเสร็จสนิ้ การจัดการเรยี นรู้แล้ว บันทกึ หลังสอนจึงมีความสาคัญตอ่ การแก้ปัญหาผเู้ รียนเปน็ อย่างยิ่ง หากครูผู้สอนมีการบันทึกหลังสอนทุกคร้ังโดยละเอียด จะช่วยให้สามารถค้นหาปัญหาได้ง่าย รวดเร็วและ หาทางแก้ไขได้ทันเวลา สาหรับผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของผู้เรียนที่เกิดขึ้น มาจากการสร้างกรอบความคิด การวิจัย ท่ีครูผู้วิจัยได้ศึกษามาจากแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง คือ แนวคิดการสอนแบบปฏิบัติการ ทฤษฎี คมู่ ือการทาวจิ ัยอย่างงา่ ยของครู กศน. 43
การเรียนรู้ต่อเน่ืองของธอร์นไดค์และการสร้างแบบฝึกหัดเสริมทักษะ โดยผ่านกระบวนการเรียนในกลุ่มท่ีครู ผู้วิจัยอธิบายถึงการใช้ภาษาไทย การสะกดคา ความหมายของคา ประกอบการใช้สื่อการเขียน การยกตัวอย่าง บนกระดานดา การให้ผู้เรียนฝึกทักษะการอ่านและเขียนสะกดคา โดยครูผู้วิจัยได้ควบคุมกระบวนการ จดั การเรียนรู้ตามทฤษฎีการเรยี นรอู้ ยา่ งเคร่งครัด จึงนามาสผู่ ลสมั ฤทธิท์ างการเรียนของผเู้ รียนทส่ี ูงข้ึน ข้อเสนอแนะ งานวิจัยอย่างง่ายจะสมบูรณ์ได้ ผู้วิจัยต้องมีข้อเสนอแนะท่ีเป็นผลสืบเนื่องมาจากข้อค้นพบ ของการวิจัย และเป็นประโยชน์ต่อผู้ท่ีจะนางานวิจัยอย่างง่ายไปศึกษา ข้อเสนอแนะมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ ขอ้ เสนอแนะท่ัวไปกับข้อเสนอแนะงานวิจัยคร้ังต่อไป การเขียนข้อเสนอแนะนั้น ควรนาผลการวิจัยเป็นตัวช้ีนา ขอ้ เสนอแนะ โดยเฉพาะผลการวจิ ัยทม่ี คี ่าเฉลย่ี สูงสุดหรือต่าสดุ ในแต่ละรายดา้ น รายขอ้ ของประเด็นทีศ่ กึ ษา ข้อเสนอแนะทั่วไป เขียนเพื่อเสนอให้ผู้เกี่ยวข้องรู้ว่า ผลการวิจัยที่ได้น้ัน จะนาไปใช้ประโยชน์ กับหน่วยงาน หรือบุคคลท่ีเก่ียวข้องและนาสู่การปฏิบัติอะไรได้บ้าง มีเง่ือนไข ข้อจากัดอย่างไร มีวิธีการใช้ อย่างไร ให้มีประสิทธิภาพมากท่ีสุด นอกจากน้ี ควรเสนอแนะโดยให้รายละเอียดเพียงพอที่จะสามารถนาไปใช้ ไดจ้ รงิ สาหรับข้อเสนอแนะงานวิจัยครั้งต่อไป ควรเขียนจากการอ้างอิงถึงผลการวิจัยที่ได้ก่อน แล้วเสนอแนะว่า ควรจะวิจัยอะไรต่อไป ครูผู้วิจัยต้องศึกษาในประเด็นที่สาคัญ ๆ หรือประเด็นท่ีมองเห็นว่า จะมีปัญหาต่อไป และควรเสนอวิธีการวิจัยประกอบด้วย ท้ังน้ี บุคคลท่ีสนใจประเด็นดังกล่าวจะได้นาไปอ้างอิง เพื่อทาวจิ ยั ในคร้ังตอ่ ไป คมู่ ือการทาวิจัยอยา่ งงา่ ยของครู กศน. 44
กจิ กรรมที่ 3 ทาเคร่ืองหมาย หน้าขอ้ ทีถ่ กู และทาเคร่ืองหมาย หนา้ ขอ้ ท่ีผิด (ขอ้ ละ 1 คะแนน) ………….…… 1. การเขียนความจริงเกี่ยวกับปัญหาและการเขียนคาอธิบายสาเหตุของปัญหา เป็นวิธีการท่ีทาให้ปัญหาแคบลง และสามารถค้นหาสาเหตุแท้ของปัญหาท่ีจะทาวิจัย อย่างง่ายได้ดขี ้ึน ………….…… 2. ปญั หาใดปัญหาหน่งึ ท่ีพบระหวา่ งจดั การเรียนรู้ เกดิ จากสาเหตุเพียงสาเหตุเดยี วเท่าน้ัน ………….…… 3. การเขียนคาอธิบายเกี่ยวกับสาเหตุของปัญหาจะช่วยให้ผู้วิจัยคิดหัวข้อท่ีจะทาวิจัย ได้เจาะจง และชดั เจนยงิ่ ขนึ้ ………….…… 4. การสมั ภาษณ์เป็นวิธกี ารหนงึ่ ท่ีจะทาให้ครูผู้วิจัยไดร้ ้สู าเหตุแท้ของปญั หาของผู้เรยี น ………….…… 5. ชอ่ื เร่ืองการวิจยั อยา่ งง่ายตอ้ งสื่อความหมายใหช้ ดั เจนว่าศกึ ษาอะไร กับใคร อย่างไร ………….…… 6. การเขียนวัตถุประสงค์การวิจัยไม่จาเป็นต้องกาหนดให้สอดคล้องกับปัญหาและชื่อเร่ือง ………….…… การวจิ ยั อยา่ งงา่ ย 7. การกาหนดกลุ่มเป้าหมาย เคร่ืองมือและการสร้างเครื่องมือ วิธีการเก็บข้อมูล การวเิ คราะหข์ อ้ มูล เป็นการออกแบบการวจิ ัยอยา่ งงา่ ย ………….…… 8. กลมุ่ เปา้ หมายการวจิ ยั อย่างง่าย คอื ผู้เรียนท่มี ปี ัญหาในเรื่องทผ่ี วู้ จิ ัยต้องการศึกษา ………….…… 9. เครื่องมือเกบ็ รวบรวมข้อมูล เป็นอุปกรณท์ ี่ใชแ้ ก้ปญั หาผเู้ รยี นในกระบวนการวิจัยอย่างงา่ ย ………….…… 10. การแปลผล คือ การนาข้อมูลท่ีเก็บรวบรวมได้การจัดระเบียบ แยกแยะส่วนต่าง ๆ ของข้อมลู ออกเป็นหมวดหมู่ และสรปุ ใหส้ อื่ ความหมายได้ คู่มือการทาวิจัยอยา่ งงา่ ยของครู กศน. 45
กิจกรรมที่ 4 อ่านคาถาม แลว้ เลอื กคาตอบที่ถูกต้องที่สดุ เพียงคาตอบเดียว (ขอ้ ละ 1 คะแนน) 1. ลักษณะปญั หาข้อใดไม่เหมาะท่ีจะนามาทา 4. ข้อใดไมป่ รากฏอย่ใู นช่ือเร่ืองวจิ ัย วิจยั อย่างงา่ ย ก. นวัตกรรม ก. หาสาเหตไุ ด้ ข. วิธีการสอน ข. เปน็ มาอย่างยาวนาน ค. กลุ่มเปา้ หมาย ค. เป็นปัญหาของทุกคน ง. วิธกี ารวิเคราะหข์ ้อมูล ง. อธิบายเชงิ พฤติกรรมได้ 5. ข้อใดไมใ่ ช่นวตั กรรมที่ใช้ในการทาวจิ ยั 2. ขอ้ ใดเปน็ คาถามการวจิ ัยอย่างง่าย อยา่ งง่าย ก. ใครไม่เคยหาค่ารอ้ ยละ ก. แบบฝกึ ข. ผู้เรียนมีปญั หาการเรียนทุกวชิ าหรือไม่ ข. ชุดการสอน ค. ทาอยา่ งไรผ้เู รียนจึงจะบวกเลขเศษส่วน ค. แบบทดสอบ ไดถ้ กู ตอ้ ง ง. เทคนิควธิ กี ารจัดการเรยี นรู้ ง. มผี ู้เรียนคนไหนสอบผา่ นวิชา ภาษาอังกฤษบ้าง 6. ขอ้ ใดไม่ใช่ขนั้ ตอนการสรา้ งแบบสอบถาม ก. นาแบบสอบถามให้ผรู้ ตู้ รวจสอบ 3. ข้อใดกล่าวถึง “กรอบความคิดการวิจัย” ข. หาความยาก-ง่ายของประเด็นคาถาม ได้ถูกต้องทส่ี ุด ค. แก้ไขแบบสอบถามตามคาแนะนาของผรู้ ู้ ก. แนวคิดในการตอบปญั หาการวิจยั ง. ศกึ ษาหลักการ วิธีการ และสร้าง ข. ทฤษฎีที่ใชใ้ นการแก้ปญั หาการวจิ ยั แบบสอบถาม ค. โครงสรา้ งท่ปี ระกอบด้วยปัญหาการวจิ ัย และตวั แปร 7. การค้นหาปญั หาการบวก ลบเลขเศษส่วน ง. แบบจาลองท่ีสรา้ งข้ึนโดยใชท้ ฤษฎีและ ของผู้เรยี น ผู้วิจัยควรใชเ้ ครอ่ื งมือในขอ้ ใด ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งตัวแปรเพื่อตอบ ก. แบบสงั เกต ปญั หาการวิจัย ข. แบบทดสอบ ค. แบบสอบถาม ง. แบบสมั ภาษณ์ คูม่ อื การทาวิจัยอยา่ งงา่ ยของครู กศน. 46
8. ปฏทิ ินการทาวิจัยอย่างง่ายมีความสาคัญอยา่ งไร ก. ทาใหผ้ ลการวิจยั นา่ เชื่อถือ ข. ใช้ประกอบการตัดสนิ ใจทาวจิ ัยอยา่ งง่าย ค. เป็นหลักฐานแสดงขั้นตอนการทาวิจัย อย่างง่าย ง. เปน็ แนวทางการทาวิจยั อย่างงา่ ยให้เสร็จ ทนั เวลา 9. การแปลผลขอ้ มูลโดยเทยี บกับเกณฑ์ ตรงกบั ข้อใด ก. ผู้เรียนมอี ายุ 21-30 ปี คดิ เป็นรอ้ ยละ 45 ข. ผเู้ รียนสอบรายวชิ าทักษะการเรียนรู้ได้ 40 คะแนนจากคะแนนเต็ม 60 คะแนน ค. ผเู้ รียนไดร้ บั ความรู้จากคาในแบบฝกึ ทักษะ อยใู่ นระดบั มาก (คา่ เฉล่ยี เท่ากบั 3.65) ง. ผู้เรียนมีผลการทดสอบหลงั เรียนสงู กวา่ กอ่ นเรยี น 14 คะแนน คิดเป็นรอ้ ยละ 77.78 10. การเขียนข้อเสนอแนะในรายงานการวจิ ยั อย่างง่าย มหี ลักการสาคญั อย่างไร ก. มคี วามน่าเชื่อถือ ข. ตอ้ งเสนอวธิ ีการวิจัยครงั้ ต่อไป ค. ต้องเปน็ ผลสบื เนอ่ื งจากการวิจัย ง. สามารถนาผลการวจิ ยั ไปปฏบิ ัติได้ คมู่ ือการทาวิจยั อย่างงา่ ยของครู กศน. 47
คู่มอื การทาวิจยั อย่างงา่ ยของครู กศน. 48
ตอนท่ี 4 สาระสาคัญ การเขียนรายงานการวิจัยอย่างง่าย เป็นการสื่อสารให้ผู้อ่ืนรู้ขั้นตอนการทาวิจัยอย่างง่าย และสามารถนาความรู้ไปใช้พัฒนางาน ได้อย่างเหมาะสม รวมถึงสามารถใช้เป็นส่ือการเรียนรู้ สาหรับบุคคล ที่สนใจ การเขียนรายงานการวิจัยอย่างง่าย มีองค์ประกอบหลักท่ีสาคัญ 8 หัวข้อ ได้แก่ 1) ช่ือเร่ือง 2) ชื่อผู้วิจัย 3) ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา 4) วัตถุประสงค์ของการวิจัย 5) วิธีดาเนินการวิจัย 6) ผลการวิจัย 7) สรุปผล อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ และ 8) เอกสารอ้างอิง บรรณานุกรม และภาคผนวก ซึ่งการเขียนรายงานการวิจัยอย่างง่ายน้ี จะเป็นประโยชน์สาหรับการเผยแพร่ผลงาน เพื่อให้ครู กศน. สถานศึกษาหรือหน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง สามารถนาผลงานวิจัยอย่างง่ายไปใช้ประโยชน์ หรือพัฒนาต่อยอดได้ นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมและเปิดโอกาสให้สามารถเผยแพร่ได้หลากหลายและน่าสนใจ เช่น การนาเสนอ ผลงานวิจัยอย่างง่ายในการประชุมวิชาการของหน่วยงานต่าง ๆ การจัดนิทรรศการ การเผยแพร่ผลงานวิจัย อย่างงา่ ยทางเวบ็ ไซต์ เป็นต้น วตั ถปุ ระสงค์ เพอื่ ใหค้ รู กศน. รู้ เข้าใจ สามารถเขยี นรายงานและเผยแพรผ่ ลงานวิจัยอยา่ งงา่ ยได้ ขอบข่ายเนื้อหา เรอื่ งที่ 1 การเขยี นรายงานการวจิ ัยอย่างง่าย เรอ่ื งท่ี 2 การเผยแพรผ่ ลงานวิจยั อยา่ งงา่ ย คมู่ อื การทาวจิ ยั อยา่ งงา่ ยของครู กศน. 49
เร่อื งที่ 1 การเขยี นรายงานการวจิ ัยอย่างง่าย เมื่อผู้วิจัยได้ดาเนินการวิจัยและสรุปผลการวิจัยอย่างง่ายตามกระบวนการในตอนที่ 3 แล้ว ข้ันตอนต่อไป คือ การเขียนรายงานการวิจัย ซึ่งนับว่าเป็นส่ิงสาคัญที่ครูผู้วิจัยเป็นผู้ค้นพบจากการดาเนินการ ตามกระบวนการวิจัย เพื่อตอบประเด็นท่ีสนใจศึกษาหรือแก้ปัญหาให้กับผู้เรียน แล้วรายงานสิ่งที่ค้นพบ ให้ผู้อ่านงานวิจัยได้รับรู้ นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาแล้ว ยังแสดงถึงความรู้ ความสามารถ เชิงวิชาการของครผู ู้วจิ ัยอีกด้วย ทง้ั น้ี การเขยี นรายงานการวจิ ัยโดยทว่ั ไป จะแบง่ ออกเป็น 2 กล่มุ ดงั น้ี 1. การเขียนรายงานการวิจัยเต็มรูป จะเขียนให้เห็นรายละเอียดทุกข้ันตอน มักเขียน 5 บท ตามแบบมาตรฐานสากลที่นิยมเขียนกัน เป็นรายงานการวิจัยที่มีจานวนหน้าหลายสิบหน้า รายงานการวิจัย ลกั ษณะน้ีอาจเรยี กว่า “รายงานการวจิ ัยแบบเปน็ ทางการ” 2. การเขียนรายงานการวิจัยอย่างย่อ ๆ มักเขียนสรุปให้เห็นถึงสาระสาคัญ โดยไม่อิงกับรูปแบบ สากลมากนัก และลดความเข้มข้นของการเขียนเชิงวิชาการลง รายงานการวิจัยลักษณะนี้จะเขียนเพียงไม่กี่หน้า เรยี กวา่ “รายงานการวจิ ยั แบบไม่เปน็ ทางการ” เพื่อให้ครูผู้วิจัยสามารถนาเสนอข้อค้นพบในการแก้ปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียนได้อย่างครบถ้วน สมบูรณ์ จึงนาเสนอเนื้อหาเก่ียวกับองค์ประกอบและแนวทางการเขียนรายงานการวิจัอย่างง่ายไว้เป็นลาดับ ตอ่ ไป สาหรบั ตวั อย่างรายงานการวิจยั ยา่ งง่ายไดบ้ รรจุไว้ในภาคผนวก องค์ประกอบการเขียนรายงานการวจิ ัยอย่างงา่ ย การเขียนรายงานการวิจัยอย่างง่ายในคู่มือเล่มนี้ เป็นการเขียนรายงานการวิจัยแบบไม่เป็นทางการ ซึ่งมหี วั ข้อในรายงาน ประกอบด้วย 8 หัวขอ้ ดังนี้ 1. ชอ่ื เรื่อง 2. ช่ือผวู้ ิจัย 3. ความเปน็ มาและความสาคญั ของปญั หา 4. วัตถุประสงค์ของการวิจยั 5. วิธีดาเนินการวจิ ัย 6. ผลการวิจัย 7. สรุปผล อภปิ รายผลและขอ้ เสนอแนะ 8. เอกสารอ้างอิง บรรณานกุ รม และภาคผนวก คูม่ ือการทาวิจยั อย่างง่ายของครู กศน. 50
แนวทางการเขียนรายงานการวิจัยอย่างง่าย หลังจากรู้ว่าองค์ประกอบการเขียนรายงานการวิจัยอย่างง่ายมีอยู่ 8 หัวข้อ ผู้วิจัยก็ต้องเขียน อธบิ ายแต่ละหัวข้อให้ละเอียดเพียงพอ ท่ีจะทาให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจได้อย่างชัดเจน และท่ีสาคัญแต่ละหัวข้อ ต้องเขยี นใหม้ ีความเช่อื มโยงกัน 1. ชอ่ื เรือ่ ง เขียนให้สื่อความหมายได้ชัดเจน มีความหมายเฉพาะเจาะจงในส่ิงท่ีศึกษา ระบุว่าศึกษาอะไร ศึกษากับใคร ศึกษาอย่างไร (ด้วยวิธีการหรือนวัตกรรมอะไร) ท้ังน้ี ช่ือเร่ืองต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ หรอื สอดคล้องกับปญั หาการวจิ ัย ซ่ึงสามารถดตู วั อย่างและวธิ กี ารเขียนช่ือเรือ่ งในตอนที่ 3 2. ชือ่ ผ้วู ิจยั ระบุช่ือผ้ทู าวิจยั และสถานศกึ ษาของผู้วจิ ัย (ในที่นี้ หมายถงึ ชื่อครูผู้สอนทท่ี าวิจัย) 3. ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา เขียนอธิบายความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา โดยช้ีให้เห็นถึงสภาพปัญหาในประเด็น ที่ผู้วิจัยสนใจศึกษา เขียนให้ตรงประเด็น กระชับ เป็นเหตุเป็นผล โดยเขียนแสดงให้ผู้อ่านรู้ว่า ทาไม ต้องทางานวิจัยอย่างง่ายชิ้นนี้ มีท่ีมาและความสาคัญอย่างไร สภาพปัญหาท่ีเป็นอยู่ในปัจจุบัน เป็นอย่างไร ก่อให้เกิดปัญหาอะไรบ้าง หรือสภาพดังกล่าวถ้าได้รับการปรับปรุงหรือพัฒนาให้ดีข้ึนกว่าที่เป็นอยู่ จะก่อให้เกิด ประโยชน์ อะไรบ้าง และใครคือผู้ได้ประโยชน์ มีแนวคิดอย่างไรในการแก้ปัญหา หรือแนวทางการพัฒนา ปรับปรุงแก้ไขอย่างไร และหากมีการอ้างอิงเอกสารท่ีศึกษา จะทาให้ข้อมูลนั้น ๆ มีความน่าเชื่อถือมากข้ึน นอกจากนี้ ต้องอธิบายและชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ปัญหาแท้ท่ีกาหนดเป็นหัวข้อการวิจัยอย่างง่ายน้ัน ได้มา อย่างไร เชน่ จากการสังเกต การสัมภาษณ์ ผลการเรียน การพูดคุย เป็นต้น ซึ่งหากมีข้อมูลเชิงปริมาณสนับสนุน ก็จะทาให้ปัญหานั้น ๆ มีน้าหนักมากขึ้น และวิธีการเขียนความเป็นมาและความสาคัญของปัญหาน้ี สามารถ ศกึ ษาไดจ้ ากการกาหนดและวเิ คราะหป์ ัญหาการวิจัยอยา่ งงา่ ยในตอนที่ 3 4. วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจัย การเขียนวัตถุประสงค์ของการวิจัย เป็นการระบุให้ผู้อ่านได้รู้ว่า งานวิจัยในคร้ังนี้ ผู้วิจัย ต้องการทาอะไร กับใคร จุดหมายปลายทางหรือผลลัพธ์สุดท้าย ที่ผู้วิจัยต้องการคืออะไร ซึ่งตามปกติแล้ว ไม่ควรกาหนดวัตถุประสงค์หลายข้อ เน่ืองจากจะมีผลถึงการสรุปผลการวิจัย และอย่าลืมว่าการวิจัยอย่างง่าย ตามคู่มือเล่มน้ีมีวัตถุประสงค์ คอื เพือ่ แก้ปัญหาหรือพัฒนาผู้เรยี นท่เี กดิ จากการจัดการเรียนรู้เท่านั้น 5. วธิ ดี าเนินการวจิ ยั การดาเนินการวิจยั อย่างง่ายทอ่ี ้างแนวคิด หรอื ทฤษฎี หรืองานวิจัยอื่น ๆ ทเี่ ก่ียวข้อง ใหเ้ ขียน เนื้อหาของแนวคิด ทฤษฎีเหล่าน้ัน รวมถึงกรอบและกระบวนการวิจัยกล่าวนา (ถ้ามี) ทั้งนี้ การเขียน วิธดี าเนินการวิจัยอยา่ งง่ายควรครอบคลมุ หัวข้อ ดังต่อไปน้ี คูม่ ือการทาวิจยั อย่างงา่ ยของครู กศน. 51
5.1 กลุ่มเป้าหมายที่ต้องการวิจัย ระบุให้ชัดเจนว่า คือใคร จานวนเท่าไร ซ่ึงหมายถึง ประชากร และกลมุ่ ตัวอยา่ ง ตามที่ได้อธิบายไว้ในตอนท่ี 3 5.2 แหล่งข้อมูลที่เก็บรวบรวมข้อมูล ควรระบุว่าเก็บจากแหล่งใดบ้าง ขึ้นอยู่กับขอบข่าย ท่ีกาหนดไว้ในวิธีดาเนินการวิจัย โดยปกติจะหมายถึง ห้องเรียน หรือชั้นเรียน และนอกจากนี้ อาจหมายถึง บา้ น หรอื ชมุ ชนของผูเ้ รียน ที่ตอ้ งไปเกบ็ ข้อมลู ดว้ ย 5.3 เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัย ควรระบุให้ชัดเจนว่าการวิจัยครั้งน้ี ใช้เครื่องมืออะไรบ้าง โดยแยกเป็นเคร่ืองมือที่เป็นนวัตกรรมต่าง ๆ ซ่ึงใช้แก้ปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียน เช่น ชุดฝึกทักษะ สื่อ วิธีการ จัดการเรียนรู้ เป็นต้น และเคร่ืองมือเก็บรวบรวมข้อมูล เช่น แบบทดสอบ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบสังเกต แบบบันทกึ เป็นตน้ 5.4 การเก็บรวบรวมขอ้ มูล ระบุใหช้ ดั เจน วา่ ผวู้ จิ ัยดาเนินการวจิ ยั และรวบรวมข้อมลู อย่างไร 5.5 การวิเคราะห์ข้อมูล ควรระบุให้ชัดเจนว่าผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลอย่างไร ส่วนใหญ่ข้อมูล เชงิ ปรมิ าณใช้การคดิ คานวณหาคา่ รอ้ ยละ หรอื คา่ เฉลย่ี และสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน 6. ผลการวจิ ัย เป็นการเขียนสรุปผลการวิจัยที่ได้จากการวิเคราะห์ข้อมูล ตามขอบเขตเน้ือหาท่ีกาหนด และ เน้ือหาท่นี าเสนอ ต้องยอ้ นกลบั ไปตอบวตั ถุประสงค์ของการวจิ ัยให้ครบทุกข้อ 7. สรปุ ผล อภปิ รายผลและขอ้ เสนอแนะ 7.1 สรุปผล ควรเขียนในลักษณะการตีความจากข้อมูลให้ส้ัน กระชับ เข้าใจง่าย ไม่นาเสนอ ตัวเลขทางสถติ ิทซี่ ับซอ้ น และเรยี งลาดบั ตามวตั ถุประสงคข์ องการวิจยั 7.2 อภิปรายผล ควรเขียนอภิปรายแยกเปน็ ประเด็น ๆ ไปตามวัตถุประสงค์ โดยนาผลการวิจัย โดยสรปุ มากลาวนา แล้วอธบิ ายแสดงความเห็นของผวู้ ิจัยเพิ่มเติม 7.3 ข้อเสนอแนะ ต้องเป็นผลสืบเนื่องมาจากข้อค้นพบของการวิจัยเท่านั้น โดยทั่วไป ข้อเสนอแนะมี 2 หวั ข้อ คอื ข้อเสนอแนะเพอื่ การนาผลการวิจัยไปใช้ และข้อเสนอแนะในการทาวจิ ยั ครัง้ ตอ่ ไป 8. เอกสารอ้างอิง บรรณานุกรม และภาคผนวก 8.1 เอกสารอ้างอิง ระบุถึงเอกสารต่าง ๆ งานวิจัย ตารา บทความต่าง ๆ รวมไปถึงบทสัมภาษณ์ หรือข้อมูลอ่ืน ๆ ที่ผู้วิจัยนามาอ้างอิง เป็นการรวมแหล่งอ้างอิงทุกรายการ ท่ีอ้างอิงไว้จริงในเน้ือหางานวิจัย โดยมีวิธีเขียนอ้างอิง 2 วิธี คือ การอ้างอิงที่ต้องการเน้นเนื้อหาสาระ และการอ้างอิงท่ีต้องการอ้าง ช่ือผแู้ ต่งเอกสารมากกวา่ เน้ือหา คมู่ ือการทาวจิ ยั อยา่ งงา่ ยของครู กศน. 52
1) การอ้างอิงที่ต้องการเน้นเน้ือหาสาระ หรือแนวคิดบางส่วน หรือต้องการบอกที่มา อยา่ งชดั เจน เพื่อชี้เฉพาะมากขึ้น ให้ใช้ข้อความขึ้นตน้ แล้วตามด้วยชื่อผู้แต่ง เครอ่ื งหมายจุลภาค ( , ) ปีที่พมิ พ์ เคร่ืองหมายทวิภาค ( : ) และเลขหน้าที่อา้ ง โดยท้ังหมดอยู่ในวงเลบ็ การอา้ งองิ ลกั ษณะเชน่ น้ี นิยมใช้เพ่อื ทาให้ ข้อความที่ผู้เขียนกล่าวมาข้างต้นมีน้าหนักและมีความน่าเช่ือถือมากขึ้น โดยภาษาที่เขียนนั้นเป็นภาษา ของผ้เู ขียนเองเพียงแตน่ าแนวคดิ บางสว่ นมาจากรายการทีอ่ ้างไว้ ตัวอยา่ ง ...หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ให้น้าหนักในการเรียนรู้ เรอ่ื งการฟัง ดู พูด อา่ นและเขยี นไวม้ าก และคาดหวังให้ผเู้ รียนปฏิบัติตนเป็นผูม้ มี ารยาทในการฟัง ดู พูด อ่านและเขียน และสามารถสรุปสาระสาคัญของเร่ืองที่ฟังได้ มีนิสัยรักการอ่าน และจดบันทึก อยา่ งสมา่ เสมอ (สานักงานสง่ เสรมิ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั , 2555 : 92-98) 2) การอ้างอิงท่ีต้องการอ้างช่ือผู้แต่งเอกสารมากกว่าเนื้อหา หรือให้ความสาคัญแก่ผู้แต่ง มากกว่าเน้ือหา ให้ระบุชื่อผู้แต่งไว้นอกวงเล็บ ตามด้วยปีท่ีพิมพ์ ค่ันด้วยเครื่องหมายทวิภาค ( : ) และเลขหน้า ทีอ่ า้ งไว้ในเครื่องหมายวงเลบ็ ตามดว้ ยขอ้ ความท่ีต้องการอา้ งอิง ตัวอย่าง ...วิธีการเปรียบเทียบสามารถทาได้หลายลักษณะ เช่น เปรียบเทียบกับคะแนนเต็ม หรือเปรียบเทียบกับ คะแนนเกณฑ์ ซง่ึ บญุ ชม ศรีสะอาด (2546 : 137) ไดก้ ล่าวไว้ ดงั นี้ 1. การเปรียบเทียบกับคะแนนเต็ม ในการจัดการเรียนรู้ทั่วไป มุ่งให้ผู้เรียนบรรลุการเรียนรู้ ระดับสูงทุกคนหรือส่วนใหญ่ ถ้าผู้เรียนทุกคนสอบได้คะแนนเต็มก็ถือว่าจัดการเรียนรู้บรรลุอุดมการณ์ เป็นส่ิงทดี่ ีเลศิ 2. ....................................................................................................................................... 8.2 บรรณานุกรม เป็นส่วนที่แสดงรายชื่อสื่อต่าง ๆ ที่ผู้วิจัยใช้เป็นหลักฐานอ้างอิง ถือเป็น จริยธรรมของนักวิจัย เม่ือนาข้อความ แนวคิดของผู้อื่น มาใช้กล่าวอ้างในการทาวิจัย นอกจากจะเขียนอ้างอิง ในเน้ือหาของงานวจิ ัยแลว้ ต้องเขยี นไวใ้ นบรรณานกุ รมดว้ ย การเขียนบรรณานุกรมให้เขียนเรียงลาดับตามอักษรตัวแรกที่ปรากฏ กรณีมีผู้เขียน คนเดียวกันมากกว่า 1 เล่ม ให้เรียงลาดับตามปีท่ีพิมพ์ (ก่อน-หลัง) โดยไม่ต้องระบุช่ือผู้เขียนซ้าอีก แต่ให้ ขีดเส้นยาว (10 เคาะ) แทนการพิมพ์ชอื่ ผู้เขียนท่ีซา้ กัน ในคู่มือเล่มนี้จะกล่าวถึงรูปแบบการเขยี นบรรณานุกรม จากหนังสอื ภาษาไทย วารสาร และเอกสารอเิ ล็กทรอนิกส์ ไว้ดังนี้ คมู่ ือการทาวจิ ัยอยา่ งงา่ ยของครู กศน. 53
1) บรรณานกุ รมจากหนังสอื ภาษาไทย ชือ่ ผู้เขียน.//ปีที่พมิ พ์.//ช่ือหนังสือ.//ครั้งทพ่ี ิมพ์ (ถ้ามี).//เมืองทพี่ มิ พ/์ :/ผรู้ บั ผดิ ชอบการพิมพ์ (โรงพมิ พ์ สานกั พมิ พ์) ตวั อย่าง บุญชม ศรีสะอาด. (2543). การวจิ ัยเบ้ืองตน้ . พิมพ์ครงั้ ท่ี 7. กรุงเทพฯ : สวุ ีรยิ าสาสน์ . __________ . (2546). การวจิ ัยสาหรับครู. กรงุ เทพฯ : สวุ รี ิยาสาส์น. สถาบันพัฒนาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยภาคเหนือ. (2552). คู่มือการทาวิจัย อย่างงา่ ย. อบุ ลราชธานี : ยงสวสั ด์อิ นิ เตอร์กร๊ปุ . 2) บรรณานุกรมจากวารสาร ชื่อผ้เู ขียน.//ชื่อบทความ/ชอื่ วารสาร./ปีที่(หรอื เล่มท่หี รือฉบบั ท/่ี วัน(ถ้าม)ี /เดือน/ปี,/เลขหน้า. ตัวอย่าง วิทยาคม พิศาล. “การพัฒนาระบบงานศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์” กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์. 43(3) กรกฎาคม 2547, 142-153. 3) บรรณานุกรมจากเอกสารอิเล็กทรอนกิ ส์ หรอื เวบ็ ไซต์ ช่ือผ้เู ขยี น.//ปีท่เี ขยี น.//ชื่อบทความ (ออนไลน)์ .//สบื ค้นจาก/:/ชอ่ื เวบ็ ไซต์ [วัน/เดอื น/ปที ่ีสบื คน้ ] ตวั อยา่ ง พกั ตร์พร้งิ แสงด.ี (ม.ป.ป.). การนาเสนอผลงานด้วยโปสเตอร์ (ออนไลน์). สืบค้นจาก : http://www.agri.ubu.ac.th/~saran/1213461/text.doc [24 กมุ ภาพนั ธ์ 2559] 8.3 ภาคผนวก เปน็ สว่ นหน่ึงท่ีจะนาเสนอตัวอยา่ งของเครื่องมือต่าง ๆ ท่ีใช้ในการวจิ ยั อย่างง่าย ตัวอย่างแสดงการวิเคราะห์ขอ้ มูล หรอื อืน่ ๆ ทีผ่ ู้วจิ ยั ต้องการนาเสนอเพ่ิมเติมให้เห็นทีม่ าของงานวิจัย รายงานการวิจัยอย่างง่ายที่เขียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ควรผ่านการพิสูจน์อักษรเพ่ือกลั่นกรอง ความผิดพลาดของการพิมพ์ ทั้งขนาดตัวอักษร ระยะย่อหน้า คาผิด การสะกดคา วรรคตอน ฯลฯ ให้ถูกต้อง เหมาะสมอกี รอบหนึ่ง เพอ่ื ให้ได้รายงานการวิจัยอยา่ งง่ายฉบบั สมบูรณ์ พร้อมจะนาไปเผยแพร่ตอ่ ไป ค่มู อื การทาวิจยั อยา่ งง่ายของครู กศน. 54
เร่อื งที่ 2 การเผยแพร่ผลงานวิจัยอยา่ งง่าย งานวิจัยอย่างง่ายของครูผู้วิจัย เป็นงานวิจัยที่ได้มาจากการทดลองปฏิบัติจริงในห้องเรียน ซึ่งครู ผู้วิจัยจะได้ประโยชน์โดยตรง เช่น ทาให้ได้องค์ความรู้ใหม่ ได้แก้ปัญหา ได้พัฒนาปรับปรุงการปฏิบัติงาน ตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยน้ันแล้ว ยังเป็นประโยชน์ในการใช้เป็นส่ือการเรียนรู้ของผู้ท่ีสนใจ ดังนั้น ครผู ู้วิจยั ควรเผยแพร่ประสบการณ์ทไี่ ด้เรียนรู้ หรอื ข้อค้นพบจากงานวจิ ยั ในแต่ละครัง้ เพ่ือให้ผู้ท่สี นใจได้รับรู้และ ศึกษา แล้วนาไปปรับใช้กับสถานการณ์ท่ีมีปัญหาในทานองเดียวกัน โดยไม่ต้องเสียเวลาคิดหาวิธีแก้ปัญหาใหม่ นอกจากนี้ ยงั เปิดโอกาสใหผ้ ้อู นื่ ได้ทดสอบผลการแก้ปัญหาซ้า เพอ่ื นาไปใช้ในบรบิ ทท่แี ตกตา่ งกัน การวิจัยอย่างง่ายนี้ จะทรงคุณค่ามากขึ้น หากครูผู้วิจัยมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่านช่องทาง ดังตอ่ ไปน้ี 1. นาเสนอผลงานวิจยั อยา่ งงา่ ยในการประชุมวชิ าการ ทหี่ น่วยงาน สถานศึกษา องค์กร จดั ขน้ึ 2. เขียนลงวารสาร หรอื สง่ รายงานการวิจยั อย่างงา่ ยไปให้ห้องสมุด สถานศึกษา หน่วยงานตา่ ง ๆ 3. ติดบอรด์ ของสถานศึกษา หรือจดั นทิ รรศการในหนว่ ยงานท่ีเกย่ี วข้อง 4. นารายงานการวจิ ัยอย่างง่ายเผยแพร่ทางเวบ็ ไซต์ 5. นาเสนอในลกั ษณะโปสเตอร์ หรอื แผ่นพบั แม้ว่าการเผยแพร่ผลงานวิจัยอย่างง่ายจะมีหลายช่องทางก็ตาม แต่บางช่องทางอาจมีรูปแบบ ข้ันตอน เงื่อนไข หรือข้อตกลงท่ีแตกต่างกันไป ครูผู้วิจัยจึงควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจเผยแพร่ผลงาน ในชอ่ งทางนนั้ ๆ ค่มู ือการทาวจิ ยั อย่างง่ายของครู กศน. 55
กิจกรรมท่ี 5 เลอื กตวั อกั ษร ก-ฐ ด้านซ้ายมือมาใส่หนา้ ข้อความด้านขวามือให้ถูกต้อง (ข้อละ 1 คะแนน) ก ชือ่ เรื่องวจิ ัยอยา่ งงา่ ย .......... 1. การตีความจากข้อมูลให้สั้น กระชับ เข้าใจง่าย ไม่นาเสนอ ตัวเลขทางสถติ ทิ ซ่ี ับซอ้ น ข ความเป็นมาและ ........... 2. ความสาคญั การเขียนอธิบายให้เห็นสภาพปัญหา ความรุนแรง ในประเด็น ของปัญหา ทต่ี อ้ งการทาวจิ ัยอย่างง่าย พร้อมบอกเหตผุ ลประกอบ ค คาถามการวจิ ยั ........... 3. ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลด้านความคิดเห็นของผู้เรียนต่อการใช้ ง วัตถปุ ระสงค์ ........... 4. แบบฝึกทกั ษะ จ กล่มุ เป้าหมาย การเรียนด้วยแบบฝึกทักษะจะช่วยให้ผู้เรียนเขียนสะกดคา ฉ แบบสอบถาม ........... 5. ภาษไทยได้ดขี นึ้ หรือไม่ ช การวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน ซ สรุปผล ............ 6. ดว้ ยแบบฝกึ ทกั ษะ ฌ อภปิ รายผล ข้อมูลเชิงปริมาณใช้การคิดคานวณค่าร้อยละ หรือค่าเฉลี่ยและ ญ ขอ้ เสนอแนะ ............ 7. สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน ฎ ความจริงของปญั หา การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเร่ืองบวก ลบเลขเศษส่วน โดยใช้กิจกรรมการเรียนแบบเพื่อนช่วยเพ่ือน ของผู้เรียน ฏ อ้างองิ ในเนื้อหา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น กศน.ตาบลงิ้วงาม อาเภอเมือง พิษณโุ ลก จังหวดั พษิ ณโุ ลก ฐ บรรณานกุ รม ................ 8. ผู้เรียนพึงพอใจต่อการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา ในระดับมาก อาจเป็นเพราะได้รับความรู้จากคาในแบบฝึกทักษะ ท่ีเปน็ คาใกลต้ ัว รวมทงั้ รปู แบบและจานวนข้อมีความเหมาะสม ................ 9. ...ทาใหค้ รสู อนไมเ่ ต็มที่ จงึ มักมีการกลา่ วเสมอว่า “ครทู ่ที าวิจยั งานสอนจะหยอ่ นลง” (สุวมิ ล วอ่ งวานชิ , 2546 : 3) .............. 10. สุวมิ ล ว่องวาณิช. (2545). เคล็ดลบั การทาวจิ ัยในช้ันเรียน. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์อักษรไทย. คู่มือการทาวจิ ยั อย่างง่ายของครู กศน. 56
กจิ กรรมท่ี 6 อา่ นคาถาม แลว้ เลือกคาตอบที่ถูกต้องท่ีสุดเพยี งคาตอบเดยี ว (ข้อละ 1 คะแนน) 1. ขอ้ ใดไมป่ รากฏในรายงานการวิจัยอย่างงา่ ย 4. “ครู กศน.ตาบล ควรพัฒนาแบบฝกึ ทักษะ ก. การวิเคราะห์ข้อมลู ในเนอื้ หาเรื่องอนื่ ๆ ของรายวิชาภาษาไทย ข. ความสาคัญของปัญหา เพื่อแกป้ ญั หาของผ้เู รยี นตอ่ ไป” ขอ้ ความน้ี ค. ขน้ั ตอนการสร้างเคร่ืองมือ ควรอยู่ในหวั ข้อใด ง. ประโยชนท์ ีค่ าดว่าจะได้รบั ก. ผลการวิจัย ข. วัตถปุ ระสงค์ 2. ขอ้ ใดไม่ใช่หลกั การสาคัญในการเขียนรายงาน ค. ขอ้ เสนอแนะ การวจิ ัยอย่างง่าย ง. วธิ ีดาเนินการ ก. นาเสนอเนอ้ื หาให้นา่ สนใจ ข. เนอ้ื หาถูกต้องตามหลกั วชิ าการ 5. การอภปิ รายผลควรยึดหลกั การใด ค. เนือ้ หาตอบวัตถุประสงคค์ รบถว้ น ก. อภิปรายประเด็นทีโ่ ดดเด่น ง. เนอ้ื หาในแต่ละหวั ขอ้ ต้องสัมพนั ธ์กนั ข. อภปิ รายเฉพาะประเดน็ ท่ีผู้วจิ ัยสนใจ ค. อภปิ รายประเด็นทุกประเดน็ ที่คน้ พบ 3. ขอ้ ใดไมใ่ ช่จดุ หมายของการนาผลงานวิจัย ง. อภิปรายประเด็นที่สถานศึกษา อยา่ งงา่ ยไปใชป้ ระโยชน์ ใหค้ วามสาคัญ ก. ไดค้ วามร้ใู หม่ ข. ทาใหผ้ ูว้ จิ ัยมชี ่อื เสียง ค. แก้ปญั หาการจดั การเรยี นรู้ ง. พฒั นาการจดั การเรยี นรู้ใหม้ ีประสทิ ธิภาพ คมู่ ือการทาวิจยั อย่างงา่ ยของครู กศน. 57
คาช้แี จง อา่ นคาถามแลว้ เลือกคาตอบทถ่ี ูกตอ้ งท่ีสุดเพยี งคาตอบเดยี ว 1. ขอ้ ใดไม่ใช่ความหมายของการวิจยั อยา่ งง่ายตามบรบิ ทของ กศน. ก. การหาวธิ กี ารพฒั นาการจัดการเรียนรู้โดยม่งุ ผลสมั ฤทธิใ์ หเ้ กิดกับผู้เรยี น กศน. ข. การค้นหาปัญหาของผูเ้ รยี น กศน.และลงมือแก้ปัญหาอย่างเปน็ ระบบ ค. การพัฒนานวตั กรรมเพ่ือแกป้ ัญหาการเรยี นรู้ของผ้เู รียน กศน. ง. การพสิ จู น์ความจริงของปัญหาการจัดการเรยี นรู้ 2. ข้อใดกล่าวถงึ การวิจยั อยา่ งง่ายตาม พรบ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ไดถ้ ูกต้องที่สดุ ก. การวิจยั อยา่ งงา่ ยเปน็ ตัวชี้วัดหนง่ึ ในการประเมนิ วทิ ยฐานะครู ข. ครทู ุกคนต้องดาเนนิ การวจิ ัยอย่างงา่ ยเพื่อพัฒนาตนเอง ค. การวิจยั อยา่ งงา่ ยเป็นสว่ นหน่ึงของการจัดการเรียนรู้ ง. ครมู อื อาชพี ต้องเชย่ี วชาญการวิจัยอยา่ งง่าย 3. จากผลการวิจัยของสถาบัน กศน. ภาคเหนือ ปีงบประมาณ 2558 เร่ือง แนวทางการพัฒนาผู้เรียน โดยการวิจัยอย่างง่ายของครู กศน. กล่าวถึงสภาพการปฏิบัติการทาวิจัยอย่างง่ายของครู กศน.ในด้าน การวเิ คราะห์ปัญหาและสาเหตุ ไว้อยา่ งไร ก. ความไมม่ ่ันใจว่าปัญหาทน่ี ามาทาวิจยั อยา่ งง่ายเป็นปัญหาและสาเหตุทแ่ี ทจ้ ริง ข. การบรรยายสภาพการจดั เรียนการรู้ไมช่ ชี้ ัดใหเ้ ห็นว่าเป็นปญั หา ค. การวิเคราะหป์ ัญหาและสาเหตุโดยไม่มีข้อมลู มาสนับสนุน ง. การวิเคราะห์ปัญหายังไม่ชดั เจน 4. ข้อใดเป็นปัญหาที่ครู กศน. สามารถนามาวเิ คราะห์และกาหนดเป็นหัวข้อการวจิ ยั ได้ ก. ในแตล่ ะรายวชิ าทตี่ ้องลงทะเบียนเรียนมเี น้ือหามากเกินไป ข. ผเู้ รยี นแกโ้ จทย์ปัญหาเกีย่ วกับรอ้ ยละไม่ได้ ค. ครู กศน. มภี ารกิจเร่งดว่ นอย่เู สมอ ง. ผ้เู รียนลงทะเบยี นแล้วไม่มาเรียน คมู่ ือการทาวิจยั อยา่ งงา่ ยของครู กศน. 58
5. การวจิ ยั อยา่ งงา่ ยจัดเป็นการวิจยั รปู แบบใด ก. การวิจัยเพื่อพฒั นาเครือ่ งมือ ข. การวิจัยเพือ่ สร้างทฤษฎี ค. การวิจัยเชงิ ปฏิบตั ิการ ง. การวิจยั เชิงปรมิ าณ 6. ลักษณะสาคญั ของการวิจัยอย่างง่ายตามบรบิ ทของ กศน.เป็นอยา่ งไร ก. ต้องใชป้ ระสบการณ์ของครูผู้สอนมากาหนดวงจร PAOR ข. ตอ้ งจดั ทาโครงรา่ งการวจิ ยั ไว้อย่างชดั เจน ค. ตอ้ งอ้างอิงผลการวจิ ยั ของผู้อื่นเสมอ ง. ตอ้ งใช้งบประมาณในการวจิ ัย 7. ประโยชนส์ ูงสุดของการวจิ ยั อย่างงา่ ย คอื ขอ้ ใด ก. ทาให้เกดิ การพฒั นาระบบการจัดการเรียนรูท้ ี่ผู้เรียนจะได้รับการพฒั นาอย่างเต็มศักยภาพ ข. เป็นการเพ่ิมพูนขอ้ มูลพืน้ ฐานสาหรับการวางแผนการจัดการเรยี นรู้ ค. ส่งเสริมการใช้ทฤษฎกี ารศึกษาทตี่ รงกับสภาพปญั หาของผเู้ รยี น ง. การประยุกต์ใช้เคร่ืองมือวจิ ัยเพือ่ ดาเนนิ งานโครงการตา่ ง ๆ 8. ปญั หาในข้อใด ควรนามาเปน็ หวั ข้อการวจิ ัยอย่างงา่ ยเพอ่ื แกป้ ญั หาหรือพัฒนาผเู้ รียนมากทส่ี ดุ ก. นกั ศกึ ษา กศน. ระดบั ช้นั มัธยมศึกษาตอนต้น กศน.ตาบล ค จานวน คน จาก คน ไม่มาพบกลุ่มเฉพาะรายวชิ าภาษาอังกฤษในชีวิตประจาวัน ข. การขาดแคลนงบประมาณจัดซอ้ื สอื่ การเรียนรรู้ ายวิชาภาษาองั กฤษของ กศน. อาเภอ ข ค. นกั ศึกษา ปวช. ของ กศน. อาเภอ ก ลาออกกลางคัน จานวน 15 คน จาก 25 คน ง. ผู้เรียนไม่พึงพอใจต่อการจัดกระบวนการเรยี นรู้แบบช้ันเรยี น 9. การเขียนความจริงเกี่ยวกับปัญหา ครูผู้สอนควรเขยี นอยา่ งไร ก. เขียนเฉพาะความจรงิ ท่ีได้พิจารณาแลว้ ว่าเกี่ยวขอ้ งกบั ปัญหาจรงิ ๆ ข. เขียนความจรงิ ทีเ่ กย่ี วข้องท่นี ึกได้ในขณะน้ันและเขยี นเป็นขอ้ ๆ ค. เขยี นเฉพาะความจรงิ ทส่ี ามารถตรวจสอบได้ ง. เขียนความจริงที่คาดคะเนวา่ เป็นเชน่ น้ัน คู่มือการทาวิจยั อยา่ งง่ายของครู กศน. 59
10. การเขยี นความจรงิ เก่ียวกบั ปญั หาและคาอธิบายเกยี่ วกับสาเหตุของปัญหา เพอื่ อะไร ก. แสวงหาปัญหาและสาเหตุแท้และออกแบบวิธกี ารแก้ปัญหา ข. เป็นแนวทางวิเคราะห์ข้อมลู การวิจยั ค. กาหนดวัตถปุ ระสงคข์ องการวิจัย ง. ใช้ต้งั ช่ือเรื่องการวิจยั 11. การเลือกปัญหาที่จะนามาเป็นหัวขอ้ วจิ ัยอย่างง่ายเพ่ือแกป้ ัญหาหรือพัฒนาผ้เู รยี น ควรให้นา้ หนัก ความสาคัญในข้อใดมากที่สุด ก. ควรเลือกเร่ืองที่ครผู ู้สอน มคี วามรู้พื้นฐานดีพอท่จี ะทาวจิ ยั เรอื่ งนน้ั ข. ควรเลอื กเรื่องท่ผี ้เู รียนให้ความสนใจ ค. ควรเลือกเร่ืองที่ไม่มีใครทามากอ่ น ง. ควรเลือกเรื่องทค่ี รสู นใจ 12. กรณที ค่ี รผู ูส้ อนพบวา่ “นกั ศกึ ษาค้นควา้ ข้อมลู ไมเ่ ป็น” สาเหตุแทข้ องปญั หาตรงกับข้อใด ก. ครผู สู้ อนไม่มอบหมายให้นักศึกษาไปศกึ ษา ค้นควา้ ข้อมูล ข. หอ้ งสมุดมหี นงั สือไม่ตรงกบั ความตอ้ งการของนักศึกษา ค. นักศึกษาไมร่ ู้เทคนิคการค้นควา้ ข้อมลู จากส่ือต่าง ๆ ง. นักศึกษาไม่ชอบค้นควา้ 13. หากครูผสู้ อนต้องการข้อมูลเก่ยี วกับครอบครวั และสงิ่ แวดล้อมของผูเ้ รียน จะเลอื กทาตามข้อใด เพื่อจะได้ข้อมูลทด่ี ที ่สี ดุ ก. การสัมภาษณ์โดยใช้แบบสัมภาษณไ์ มม่ ีโครงสร้าง ข. การสมั ภาษณ์โดยใช้แบบสัมภาษณม์ โี ครงสร้าง ค. การสงั เกตแบบไม่มีส่วนร่วม ง. การสงั เกตแบบมีส่วนรว่ ม 14. “ในการจัดการเรียนรู้รายวิชาภาษาไทย ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ครูผู้สอนให้นักศึกษาอ่านคา ท่ีควบกล้าด้วย คว พบว่า มีนักศึกษา 3 คน ออกเสียง คาว่า “ควาย” เป็น “ฟาย” และคาว่า “เคว้งคว้าง” เปน็ เฟง้ ฟ้าง” ขอ้ ความนี้จะนาไปเขยี นไว้ในสว่ นใดของรายงานการวิจัยอย่างง่าย ก. ความเปน็ มาและความสาคัญของปัญหา ข. วิธดี าเนนิ การวจิ ยั ค. ขอ้ เสนอแนะ ง. ผลการวิจยั คมู่ อื การทาวจิ ัยอยา่ งง่ายของครู กศน. 60
15. หวั ขอ้ ใดเป็นส่วนสาคญั ท่ีขาดไมไ่ ด้ในรายงานการวิจัยอยา่ งงา่ ย ก. วตั ถุประสงค์ของการวิจัย ข. สมมตฐิ านของการวิจัย ค. เอกสารท่ีเก่ยี วข้อง ง. สารบัญ 16. เครื่องมือที่ใชใ้ นการวิจยั จะปรากฏอยู่สว่ นใดของรายงานการวจิ ัยอย่างงา่ ย ก. วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย ข. วธิ ดี าเนนิ การวจิ ัย ค. เอกสารอา้ งอิง ง. ชอ่ื เร่ือง 17. การสรปุ ผลการวิจัยที่ถกู ต้อง ตรงกับข้อใด ก. สรปุ ผลในประเด็นที่เกีย่ วข้องกับสถานศึกษา ข. สรปุ ผลการวิจยั ทสี่ ามารถอธิบายได้ ค. สอดคลอ้ งกบั วตั ถปุ ระสงค์การวจิ ยั ง. สอดคลอ้ งกับมาตรฐานการวจิ ัย 18. ขอ้ ใดเปน็ หวั ใจของรายงานการวจิ ยั อยา่ งงา่ ย ก. ความเปน็ มาและความสาคัญของปัญหา ข. วัตถปุ ระสงค์ของการวิจัย ค. ขอ้ เสนอแนะ ง. ผลการวิจยั 19. “การฝึกทักษะการใช้อินเทอร์เน็ตแบบเพ่ือนช่วยเพ่ือนโดยการจับคู่ฝึกปฏิบัติ ช่วยพัฒนาผู้เรียนให้มี ทักษะในการสืบค้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตได้ดีขึ้น โดยพิจารณาจากผลการประเมินทักษะการสืบค้น ข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต ทั้งน้ี อาจเน่ืองมาจากผู้เรียนกล้าถามเพ่ือนและส่ือสารด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ทาให้ผู้เรียนมั่นใจและสนใจจะค้นคว้ามากขึ้น” ข้อความน้ี ควรปรากฏอยู่ส่วนใดของรายงาน การวจิ ยั อย่างงา่ ย ก. กรอบความคิดการวจิ ยั ข. การอภปิ รายผล ค. ข้อเสนอแนะ ง. ผลการวจิ ัย คู่มอื การทาวิจัยอยา่ งง่ายของครู กศน. 61
20. ขอ้ ใดเปน็ การเผยแพร่ผลงานวิจัยอย่างง่ายในวงกวา้ ง ก. การจดั เวทีนาเสนองานวิจัย ข. การเผยแพรด่ ว้ ยโปสเตอร์ ค. การรายงานวจิ ยั ฉบบั เต็ม ง. การเผยแพรท่ างเว็บไซต์ คมู่ ือการทาวจิ ัยอย่างงา่ ยของครู กศน. 62
เฉลย แบบทดสอบก่อนเรียน ขอ้ 11 ข ขอ้ 12 ข ข้อ 1 ค ขอ้ 13 ง ขอ้ 2 ข ขอ้ 1 ง ข้อ 3 ง ขอ้ 15 ก ขอ้ ง ขอ้ 16 ค ขอ้ 5 ก ขอ้ 17 ง ข้อ 6 ข ข้อ 18 ง ข้อ 7 ง ขอ้ 19 ค ขอ้ 8 ง ขอ้ 2 ก ข้อ 9 ค ขอ้ 1 ง ขอ้ 11 ก ข้อ 12 ค แบบทดสอบหลังเรียน ขอ้ 13 ก ข้อ 1 ก ขอ้ 1 ง ข้อ 15 ก ข้อ 2 ค ขอ้ 16 ข ขอ้ 3 ก ขอ้ 17 ค ข้อ ข ขอ้ 18 ง ขอ้ 5 ค ข้อ 19 ข ข้อ 6 ก ข้อ 2 ง ขอ้ 7 ก ขอ้ 8 ก ข้อ 9 ข ขอ้ 1 ก คมู่ ือการทาวิจยั อยา่ งง่ายของครู กศน. 63
เฉลย กิจกรรมที่ 1 ขอ้ ที่ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 กจิ กรรมท่ี 2 ขอ้ ที่ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 ง ค ค ง ง ข ค ก คก กจิ กรรมท่ี 3 ขอ้ ที่ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 กิจกรรมท่ี 4 ข้อท่ี 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 ค ค ง ง ค ข ข ง คค ค่มู ือการทาวจิ ัยอย่างงา่ ยของครู กศน. 64
กจิ กรรมที่ 5 ข้อท่ี 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 ซ ข ฉ ค ง ช กฌฏฐ กิจกรรมที่ 6 ขอ้ ท่ี 1 2 3 4 5 งกขคก คมู่ ือการทาวจิ ัยอย่างง่ายของครู กศน. 65
กรมการศกึ ษานอกโรงเรียน, กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2538). ชุดวิชาวจิ ัยทางการศึกษานอกโรงเรียน การเลือกปัญหาและการกาหนดปญั หาการวจิ ัย เล่มที่ 2. พิมพ์ครง้ั ที่ 2. กรุงเทพฯ : ประชาชน. __________. (2538). ชดุ วิชาวิจัยทางการศกึ ษานอกโรงเรยี น การวิจยั เชิงปฏบิ ัติการอย่างมีส่วนรว่ ม เล่มที่ 7. พมิ พ์ครัง้ ท่ี 2. กรงุ เทพฯ : ประชาชน. __________. (2538). ชดุ วชิ าวิจัยทางการศกึ ษานอกโรงเรยี น ระเบียบวธิ ีวิจัยทางการศกึ ษา เลม่ ที่ 8. พิมพค์ รงั้ ท่ี 2. กรงุ เทพฯ : ประชาชน. __________. (2538). ชดุ วชิ าวจิ ัยทางการศึกษานอกโรงเรียน การออกแบบการวจิ ัย เล่มที่ 9. พมิ พค์ ร้ังท่ี 2. กรุงเทพฯ : ประชาชน. เกยี รติสุดา ศรีสุข. เทคนคิ การเขยี นรายงานการวจิ ยั (ออนไลน์). สบื ค้นจาก : https://www.reg.cmu.ac.th/qa_new/fileslink/research02_3.pdf [19 เมษายน 2559] เทียมจนั ทร์ พานิชผลนิ ไชย. (ม.ป.ป.). การวิจัยเพือ่ พฒั นาคุณภาพผเู้ รยี น (ออนไลน์). สืบคน้ จาก : http://office.nu.ac.th/edu_teach/[23 ธนั วาคม 2558] ธีระพฒั น์ ฤทธ์ทิ อง. (2547). วจิ ยั ในช้ันเรียน. พมิ พ์คร้ังที่ 3. กรงุ เทพฯ : เฟอื่ งฟา้ พร้นิ ต้ิง. บญุ ชม ศรสี ะอาด. (2543). การวิจยั เบื้องต้น. พมิ พ์คร้งั ท่ี 7. กรงุ เทพฯ : สุวรี ยิ าสาสน์ . __________. (2546). การวิจัยสาหรับครู. กรุงเทพฯ : สุวีรยิ าสาส์น. เปรมปรีด์ิ หมู่วิเศษ. (2554). เม่อื คิดจะวิจยั งานวจิ ัยไม่ยากอย่างทค่ี ดิ . ลาปาง : โรงเรียนเถนิ เทคโนโลยี พณิชยการ. พัชรา สนิ ลอยมา. (2551). กรอบแนวคิดและการตั้งสมมติฐานการวจิ ัย. สบื คน้ จาก : https://paor.wikispaces.com/file/view/framework2.pdf [19 เมษายน 2559] ลว้ น สายยศ และองั คณา สายยศ. (2538). เทคนิคการวิจัยทางการศึกษา. พิมพ์ครัง้ ท่ี 5. กรุงเทพฯ : สวุ ีริยาสาสน์ . วาโร เพง็ สวสั ด์.ิ (2546). การวิจยั ในชัน้ เรียน. กรงุ เทพฯ : สุวีรยิ าสาสน์ . สถาบันพัฒนาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยภาคเหนือ. (2552). คู่มือการทาวิจัยอย่างง่าย. อบุ ลราชธานี : ยงสวัสดิอ์ ินเตอรก์ รุ๊ป. __________. (2556). คู่มือการทาวจิ ัยชัน้ เรียนอย่างง่าย. อบุ ลราชธานี : ยงสวสั ดิ์อนิ เตอรก์ รุ๊ป. คู่มือการทาวจิ ยั อย่างง่ายของครู กศน. 66
__________. (2556). บทเรยี นออนไลน์ การวิจยั อยา่ งง่าย หลักสูตรการอบรมครูศูนย์การเรยี นชุมชน ชาวไทยภเู ขา “แม่ฟ้าหลวง” (เอกสารอดั สาเนา). __________. (ม.ป.ป.). บทเรียนออนไลน์ หลักสูตร “การวิจัยอย่างง่ายสาหรับครู กศน.” (เอกสารอัดสาเนา). สานักงานเขตพ้นื ท่ีการศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 42. คมู่ ือแนวคิดสกู่ ารปฏบิ ตั ิ : การวิจยั ในชั้นเรยี น เล่มที่ 1 ความรู้พืน้ ฐานการวิจัยในชั้นเรยี น. (ออนไลน์). สืบค้นจาก : http://www.sns.ac.th/ vichakarn/pdf/คู่มือแนวปฏบิ ัติการวิจยั ในชนั้ เรยี น.pdf [19 พฤศจิกายน 2558] สานกั งานส่งเสริมการศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั . (2553). แนวทางการจดั การเรยี นรู้ ตามหลกั สตู รการศกึ ษานอกระบบระดบั การศึกษาข้ันพื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551. กรุงเทพฯ : รังสีการพิมพ์. สุภาภรณ์ มั่นเกตุวทิ ย์. (2544). ตวั อยา่ งการวิจัยในช้นั เรียน ประสบการณต์ รงของครูต้นแบบ. กรงุ เทพฯ : 21 เซ็นจรู ี่. สุรชยั โกศิยะกลุ . (25 8). การวจิ ัยทางการศกึ ษา. คณะครุศาสตร์มหาวทิ ยาลัยราชภัฏกาแพงเพชร. __________. (2550). การวิจัยเพื่อพฒั นาการเรียนรู้. คณะครศุ าสตร์มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏกาแพงเพชร. สวุ มิ ล วอ่ งวาณิช. (2545). เคลด็ ลับการทาวจิ ัยในชน้ั เรียน. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์อักษรไทย. คมู่ ือการทาวจิ ัยอย่างง่ายของครู กศน. 67
คู่มอื การทาวิจยั อย่างงา่ ยของครู กศน. 68
ภาคผนวก คมู่ ือการทาวจิ ัยอย่างงา่ ยของครู กศน. 69
คู่มอื การทาวิจยั อย่างงา่ ยของครู กศน. 70
ตัวอย่างที่ 1 1. ชื่อเร่อื ง การพฒั นาทักษะการเรียนรู้ภาษาไทยของผู้เรยี น ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย กศน.ตาบลหย่วน อาเภอเชยี งคา จังหวัดพะเยา โดยใช้ชดุ ฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียนภาษาไทยควบคกู่ ับ การใช้ภาษาไทลอ้ื 2. ช่อื ผู้วิจยั นางสาวพีระพรรณ ฉันทะ ตาแหน่ง ครู กศน.ตาบล ศูนย์การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัยอาเภอเชยี งคา จงั หวัดพะเยา 3. ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งจัดการศึกษา เพ่ือตอบสนองอุดมการณ์การจัดการศึกษาตลอดชีวิต และการสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ ตามปรัชญา “คิดเป็น” เพ่ือสร้างคุณภาพชีวิตและสังคม มีการบูรณาการอย่างสมดุล ระหว่างปัญญาธรรม ศีลธรรมและวัฒนธรรม มีหลักการข้อหน่ึงที่ต้องการจะส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนาและเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ตลอดชีวิต โดยตระหนักว่าผู้เรียนมีความสาคัญ สามารถพัฒนาตนเองได้ตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ โดยมีจุดหมาย เพ่ือให้ผู้เรียนมีความรู้พ้ืนฐานสาหรับการดารงชีวิตและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง (สานักงาน สง่ เสรมิ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย, 2553 : 1-2) กศน. ตาบลหย่วน อาเภอเชียงคา จังหวัดพะเยา มีบทบาทหน้าท่ีในการจัดการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย ให้แก่ประชาชนในพ้ืนท่ี ตาบลหย่วน อาเภอเชียงคา จังหวัดพะเยา ึ่ึงประชาชน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มไทล้ืออาศัยอยู่ มีการสื่อสารโดยใช้ภาษาท่ีมีความแตกต่างกันทั้งภาษาไทยและภาษาไทล้ือ จึงทาให้เกิดปัญหาในการส่ือสารระหว่างจัดการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษา ข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 โดยเฉพาะรายวิชาภาษาไทย ึึ่งเป็นรายวิชาบังคับหน่ึงในสาระความรู้พ้ืนฐาน ของหลักสูตร ที่ให้น้าหนักในการเรียนรู้เร่ือง การฟัง ดู พูด อ่านและเขียนไว้มาก และคาดหวังให้ผู้เรียน ปฏิบัติตนเป็นผู้มีมารยาทในการฟงั ดู พดู อา่ นและเขียน แล้วสามารถสรุปสาระสาคัญของเรือ่ งที่ฟังได้ ส่งเสริม ใหผ้ เู้ รียนมีนิสัยรักการอา่ น และจดบันทึกอย่างสม่าเสมอ (สานักงานสง่ เสริมการศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษา ตามอธั ยาศยั , 2555 : 92-98) ท่ผี า่ นมาผู้วิจยั จะใช้ภาษาไทยสื่อสารกับกลุ่มผู้เรยี นทุกคน แต่ผู้เรียนท่ีเปน็ ไทลื้อจะไม่ใช้ภาษาไทย ส่ือสารกับผู้วิจัย จากการสังเกต พบว่า สาเหตุที่ผู้เรียนไม่สอื่ สารเป็นภาษาไทย เนื่องจากพูดภาษาไทยไม่คล่อง และออกเสียงได้ไม่ชัดเจน โดยเฉพาะคาที่มีพยัญชนะ “ช” และ “ด” นอกจากน้ี คาในภาษาไทยที่มีตัวการันต์ ผู้เรียนก็เขียนไม่ได้เช่นกัน ปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการทากิจกรรมกลุ่มของผู้เรียน ทาให้ต้อง จัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยโดยการส่ือสารสองภาษา ท้ังภาษาไทยและไทลื้อควบคู่กันไป เนื่องจากผู้วิจัย สามารถสื่อสารภาษาไทลื้อได้ดี ช่วงแรกจึงทดลองใช้ภาษาไทล้ือส่ือความหมายควบคู่กับภาษาไทยในการ ค่มู อื การทาวจิ ัยอย่างง่ายของครู กศน. 71
จัดการเรียนรู้ และสังเกตพบว่า ผู้เรียนสนใจเรียน เข้าใจเน้ือหา และสามารถปฏิบัติตามได้มากข้ึนจึงพัฒนา ชุดฝกึ ทักษะการฟัง อ่าน พดู และเขยี นภาษาไทยเป็นสอ่ื ประกอบการจัดการเรียนรู้ ดังน้ัน ผู้วิจัยจึงมีความสนใจท่ีจะศึกษาและพัฒนาการจัดการเรียนรู้ โดยใช้ชุดฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียนภาษาไทยควบคู่กับการใช้ภาษาไทลื้อ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และส่ือสารภาษาไทยได้ ท้งั การฟัง อ่าน พดู และเขียน 4. วัตถปุ ระสงคข์ องการวจิ ัย 1. เพื่อศึกษาผลการพัฒนาทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียนภาษาไทยของผู้เรียน ระดับ มัธยมศึกษาตอนปลาย กศน.ตาบลหย่วน อาเภอเชียงคา จังหวัดพะเยา โดยใช้ชุดฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขยี นภาษาไทยควบคู่กับการใช้ภาษาไทลอื้ 2. เพอ่ื ศึกษาความคดิ เห็นของผู้เรียนตอ่ การใช้ชุดฝกึ ทกั ษะการฟัง อา่ น พดู และเขยี นภาษาไทย 5. วธิ ีดาเนินการวจิ ยั 5.1 กลุม่ เปา้ หมาย ประชากร ผู้เรียน กศน. ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ท่ีลงทะเบียนเรียนวิชาภาษาไทย ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2558 กศน.ตาบลหยว่ น อาเภอเชียงคา จังหวัดพะเยา ทีเ่ ปน็ ชาวไทยและชาวไทล้อื รวม 75 คน กลุ่มตวั อย่าง ผู้เรียน กศน. ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่ลงทะเบียนเรียนวิชาภาษาไทย ภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2558 กศน.ตาบลหยว่ น อาเภอเชยี งคา จังหวัดพะเยา ทเ่ี ปน็ ชาวไทลื้อ จานวน 35 คน 5.2 เครื่องมือ เคร่อื งมือทใ่ี ช้ในการศึกษาครงั้ น้ี ประกอบดว้ ย 1) เครื่องมือท่ีใช้พัฒนาผู้เรียน ได้แก่ ชุดฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียนภาษาไทย จานวน 1 ชดุ มี 6 แบบฝึก ดงั นี้ แบบฝึกที่ 1 การฟังและการอ่านออกเสียงคาศัพท์ จานวน 100 คา แบบฝกึ ท่ี 2 การฟังและการอ่านออกเสยี งเป็นประโยคสนั้ ๆ จานวน 20 ประโยค แบบฝกึ ท่ี 3 การอ่านเนือ้ เรอื่ งประเพณขี องท้องถนิ่ จานวน 1 เรื่อง แบบฝึกที่ 4 การพูดตามบทสนทนาในชวี ติ ประจาวัน จานวน 3 บท แบบฝกึ ท่ี 5 การเขยี นคาศัพทท์ ม่ี ีตวั การนั ต์เพื่อใหค้ วามหมาย จานวน 10 คา แบบฝกึ ที่ 6 การเขียนคาศัพท์ที่มีตัวการันต์เพื่อส่ือความหมายในประโยค จานวน 10 ประโยค คมู่ ือการทาวิจยั อย่างง่ายของครู กศน. 72
2) เครอ่ื งมอื ท่ีใช้เกบ็ รวบรวมข้อมลู ไดแ้ ก่ (1) แบบทดสอบก่อนเรยี น เป็นแบบทดสอบปรนยั เลอื กตอบ 4 ตัวเลือก จานวน 20 ข้อ (2) แบบทดสอบหลงั เรียน เปน็ แบบทดสอบปรนยั เลือกตอบ 4 ตวั เลอื ก จานวน 20 ข้อ เกณฑ์การตัดสินผลการประเมินทักษะการฟัง อ่าน พูดและเขียนภาษาไทย ใช้เกณฑ์ ที่ปรับมาจากเกณฑ์การตัดสินผลการเรียนรายวิชา ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (สานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย, 2553 : 42) มีระดับ คณุ ภาพ 3 ระดับ ดงั นี้ คะแนนรอ้ ยละ 70 - 100 หมายถึง ดี คะแนนรอ้ ยละ 50 - 69 หมายถงึ ปานกลาง คะแนนร้อยละ 0 - 49 หมายถึง ตา่ กวา่ เกณฑ์ (3) แบบสอบถามความความคิดเห็นของผู้เรียนต่อการใช้ชุดฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขยี นภาษาไทย เป็นแบบมาตราส่วนประมาณคา่ 5 ระดับ จานวน 1 ฉบบั มี 9 ขอ้ 5.3 ขัน้ ตอนการสร้างเครื่องมอื 1) ศกึ ษาหลกั การ วิธกี ารสร้างเครื่องมือจากเอกสารและงานวิจยั ที่เกย่ี วข้อง 2) สร้างชุดฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียนภาษาไทย แบบทดสอบก่อน-หลังเรียน และแบบสอบถามความคิดเห็นของผูเ้ รียนต่อการใช้ชดุ ฝึกทักษะการฟัง อา่ น พูด และเขยี นภาษาไทย 3) นาเคร่ืองมือทีส่ ร้างขึ้น ไปให้ท่ีปรึกษาตรวจสอบความถูกต้อง เหมาะสม ก่อนนาไปใช้ ดงั นี้ ชดุ ฝึกทักษะการฟงั อา่ น พูด และเขยี นภาษาไทย - ตรวจคุณภาพชุดฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียนภาษาไทย โดยตรวจสอบ ความสอดคล้องของเน้ือหากับจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ - พิจารณาความเหมาะสมของเกณฑ์การให้คะแนนในแบบฝึกทักษะการฟัง อ่าน พดู และเขยี นภาษาไทย โดยตรวจสอบประเดน็ ระดับคะแนนและคาอธบิ ายคณุ ภาพให้เหมาะสม แบบทดสอบกอ่ น-หลังเรียน ตรวจคุณภาพแบบทดสอบก่อน-หลังเรียน โดยตรวจสอบความสอดคล้อง ของประเด็นคาถามกับจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ แบบสอบถามความคิดเห็น พิจารณาความสอดคล้องของแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้เรียนต่อการใช้ชุดฝึก ทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขยี นภาษาไทย โดยตรวจสอบความสอดคล้องของประเด็นคาถามกับวัตถุประสงค์ ของการวจิ ัยอย่างง่าย 4) ปรับปรุง แกไ้ ขเคร่ืองมอื ตามคาแนะนาของท่ปี รึกษา ก่อนนาไปใช้กับกลุ่มเป้าหมาย คมู่ ือการทาวิจัยอยา่ งงา่ ยของครู กศน. 73
5.4 การเกบ็ รวบรวมข้อมูล การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู คร้ังนี้ ผ้วู ิจัยดาเนนิ การตามขัน้ ตอน ต่อไปน้ี 1) ผู้วิจัยนาชุดฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียนภาษาไทย ไปใช้จัดการเรียนรู้กับผู้เรียน ท่ีเป็นกลุ่มเป้าหมาย จานวน 35 คน ด้วยตนเอง ในเดือนสิงหาคม 2558 เป็นเวลา 5 คร้ัง ๆ ละ 3 ช่ัวโมง และเก็บรวบรวมขอ้ มลู ดังนี้ (1) ทดสอบก่อนเรยี น โดยใชแ้ บบทดสอบปรนยั เลือกตอบ 4 ตัวเลือก จานวน 20 ข้อ (2) ทาแบบฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียนภาษาไทย จานวน 6 แบบฝึก และให้ คะแนน ในแตล่ ะขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ ดงั นี้ - ผู้วิจัยให้ผู้เรียนอ่านออกเสียงคาศัพท์ในแบบฝึกที่ 1 คาใดท่ีผู้เรียนอ่านออกเสียง ไม่ชัดเจน ผู้วิจัยจะอ่านออกเสียงภาษาไทยท่ีถูกต้องให้ฟัง พร้อมท้ังออกเสียงภาษาไทล้ือควบคู่ไปด้วย และให้ ผเู้ รียนอา่ นึ้า ๆ และฝึกอ่านออกเสียงกันเองในกลุ่มยอ่ ย จนกระทง่ั อ่านได้คล่องแล้ว จึงให้ผู้เรียนสลับกันมาอ่าน ให้ผูว้ จิ ยั ฟงั ทีละกล่มุ - ผู้วิจัยให้ผู้เรียนอ่านออกเสียงคาในประโยคสั้น ๆ ตามแบบฝึกที่ 2 ถ้าผู้เรียน อ่านออกเสียงคาใดในประโยคไม่ชัดเจน ผู้วิจัยจะอ่านนา และให้ผู้เรียนอ่านตาม โดยออกเสียงภาษาไทย หลาย ๆ คร้ัง พร้อมทั้งออกเสียงภาษาไทล้ือควบคู่ไปด้วย แล้วให้ผู้เรียนฝึกอ่านเป็นกลุ่ม เม่ืออ่านได้คล่องแล้ว ผ้วู จิ ัยจงึ ใหผ้ เู้ รยี นออกมาอา่ นออกเสยี งหน้าหอ้ งเรียนทลี ะกลมุ่ ให้ผูว้ จิ ัยและเพ่อื น ๆ ฟงั - ผู้วิจัยกับผู้เรียนอ่านเน้ือเร่ืองประเพณีของท้องถิ่น ตามแบบฝึกที่ 3 พร้อม ๆ กัน ในรอบแรก และให้ผู้เรียนอ่านเองพร้อม ๆ กัน ผู้วิจัยบันทึกคาท่ีผู้เรียนอ่านออกเสียงไม่ชัดเจน และอ่านนา ใหผ้ ู้เรียนอ่านตามหลาย ๆ ครง้ั จนกระท่งั ผเู้ รียนอ่านคลอ่ งแล้ว จึงให้อา่ นออกเสยี งให้ผวู้ ิจยั ฟังทลี ะคน - ผู้วิจัยให้ผู้เรียนจับคู่กันฝึกอ่านบทสนทนาในชีวิตประจาวัน จานวน 3 บท ตามแบบฝกึ ที่ 4 แลว้ ใหผ้ ู้เรยี นทั้งคู่ออกมาแสดงบทบาทสมมตุ ติ ามบทสนทนาหนา้ ห้องเรียน - ผู้วิจัยอธิบายให้ความรู้เรื่องคาที่มีตัวการันต์ แล้วให้ผู้เรียนทาแบบฝึกที่ 5 และ 6 แล้วผู้วิจัยจึงเฉลยคาตอบท่ีถูกต้อง โดยให้ผู้เรียนแลกเปล่ียนกันตรวจคาตอบในแบบฝึกตามที่ผู้วิจัยเฉลย คาใด ท่ีผู้เรียนเขียนไม่ถูกต้อง ผู้วิจัยจะให้ผู้เรียนคัดคาท่ีถูกต้องด้วยตัวบรรจงลงในสมุด และเขียนในบัตรคา แล้วนา บัตรคาไปตดิ บอร์ด (3) ทดสอบหลังเรยี น โดยใช้แบบทดสอบปรนยั เลอื กตอบ 4 ตวั เลอื ก จานวน 20 ขอ้ 2) การตอบแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้เรียนต่อการใช้ชุดฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และ เขยี นภาษาไทย จากกลมุ่ เป้าหมาย จานวน 35 คน ผวู้ ิจยั ดาเนนิ การหลังจากการพัฒนาผู้เรยี นเสร็จเรียบร้อยแลว้ คูม่ ือการทาวจิ ยั อยา่ งงา่ ยของครู กศน. 74
5.5 การวเิ คราะห์ข้อมูล หลังจากเก็บรวบรวมข้อมูลที่ได้จากแบบฝึกทักษะ แบบทดสอบ และแบบสอบถามเรียบร้อยแล้ว ผ้วู ิจัยนาขอ้ มูลท้ังหมดมาดาเนินการ ดงั น้ี 1) คานวณหาค่าร้อยละของคะแนนจากการทาแบบฝึกทักษะ การฟัง อ่าน พูด และเขียน ภาษาไทย จานวน 6 แบบฝึก และคะแนนทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียนด้วยชุดฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และ เขียนภาษาไทย แล้วเทยี บเกณฑ์การตดั สนิ ผลการประเมินทักษะการฟงั อา่ น พดู และเขยี นภาษาไทย 2) วิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้เรียนต่อการใช้ชุดฝึกทักษะการฟัง อา่ น พดู และเขยี นภาษาไทย โดยการหาคา่ รอ้ ยละ และวเิ คราะหเ์ น้อื หา 6. ผลการวจิ ัย ผลจากการฝกึ ทักษะการฟัง อ่าน พดู และเขียนภาษาไทยของผเู้ รียน ระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย กศน.ตาบลหย่วน อาเภอเชียงคา จังหวัดพะเยา แบ่งเป็น 3 ตอน คือ ตอนที่ 1 ข้อมูลท่ัวไปของผู้เรียน ตอนท่ี 2 ผลการพัฒนาทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียนภาษาไทย โดยใช้ชุดฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียน ภาษาไทยควบคู่กับการใช้ภาษาไทลือ้ ตอนที่ 3 ความคิดเห็นของผ้เู รยี นตอ่ การใชช้ ุดฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขยี นภาษาไทย ตอนท่ี 1 ข้อมูลทัว่ ไปของผู้เรียน ดงั ตารางท่ี 1 ตารางที่ 1 แสดงจานวนและร้อยละ ขอ้ มลู ท่ัวไปของผู้ตอบแบบสอบถาม (n = 35) 1. เพศ ขอ้ มูล จานวน รอ้ ยละ ชาย รวม หญิง 15 42.86 20 57.14 2. อายุ 20-30 ปี 11 31.43 31-40 ปี 9 25.71 41-50 ปี 14 40.00 51 ปขี นึ้ ไป 1 2.86 35 100.00 จากตารางที่ 1 พบว่า ผู้เรียนส่วนใหญ่ เป็นเพศหญิง จานวน 20 คน คิดเป็นร้อยละ 57.14 เพศชาย จานวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 42.86 ส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 41-50 ปี จานวน 14 คน คิดเป็นร้อยละ 40.00 รองลงมา มีอายุระหวา่ ง 20-30 ปี จานวน 11 คน คิดเป็นร้อยละ 31.43 อายุระหว่าง 31-40 ปี จานวน 9 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 25.71 และ อายุ 51 ปขี ึน้ ไป จานวน 1 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 2.86 คู่มือการทาวิจัยอย่างงา่ ยของครู กศน. 75
ตอนที่ 2 ผลการพฒั นาทกั ษะการฟัง อ่าน พูด และเขียนภาษาไทย ของผู้เรียน ระดับมธั ยมศกึ ษา ตอนปลาย กศน.ตาบลหย่วน อาเภอเชียงคา จังหวัดพะเยา โดยใช้ชุดฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียน ภาษาไทยควบคกู่ ับการใชภ้ าษาไทลือ้ ดังตารางที่ 2 ตารางที่ 2 แสดงคา่ รอ้ ยละของคะแนนแบบฝึกทกั ษะ การทดสอบกอ่ น-หลังเรยี นดว้ ยชุดฝึกทกั ษะการฟงั อา่ น พูด และเขียนภาษาไทย ทดสอบ คะแนนแบบฝกึ ทักษะ ทดสอบ ผเู้ รยี น ก่อน 1 2 3 4 5 6 รวม หลัง คนที่ เรียน (30) (30) (10) (10) (10) (10) (100) เรียน (20) (20) 1 10 20 21 7 7 9 9 73 15 2 10 23 22 8 8 8 8 77 15 3 11 22 19 7 7 9 9 73 15 4 11 22 25 8 8 9 9 81 16 5 10 20 20 9 9 8 8 74 15 6 11 21 22 8 9 9 9 78 16 7 10 22 21 9 8 9 9 78 15 8 11 23 22 9 9 8 8 79 16 9 10 16 16 8 9 8 8 65 13 10 9 13 17 9 8 9 9 65 13 11 11 22 20 8 9 8 9 76 15 12 12 24 24 9 9 9 8 83 17 13 11 22 25 9 8 8 9 81 16 14 11 22 20 8 9 9 9 77 15 15 11 21 26 9 9 10 8 83 17 16 11 21 25 9 8 9 9 81 16 17 11 22 22 7 7 8 9 75 15 18 12 22 25 7 7 8 8 77 15 19 11 22 22 7 7 8 8 74 15 20 11 22 22 7 7 8 9 75 15 21 11 22 20 7 7 8 9 73 15 22 12 22 24 8 8 10 9 81 17 23 10 22 23 8 8 8 9 78 15 ค่มู ือการทาวิจัยอย่างง่ายของครู กศน. 76
ทดสอบ คะแนนแบบฝึกทักษะ ทดสอบ ผเู้ รยี น ก่อน 1 2 3 4 5 6 รวม หลงั คนที่ เรยี น (30) (30) (10) (10) (10) (10) (100) เรยี น (20) (20) 24 11 22 20 7 8 8 9 74 15 25 10 20 20 7 8 8 9 72 15 26 10 20 19 7 8 9 9 72 15 27 11 22 25 9 9 10 9 84 17 28 12 25 27 8 9 9 9 87 17 29 12 22 25 8 8 10 9 82 17 30 11 22 22 8 8 8 9 77 15 31 11 22 23 8 9 8 9 79 16 32 11 22 22 8 9 8 9 78 16 33 11 14 26 8 7 9 8 72 14 34 11 22 21 8 8 10 9 78 16 35 11 22 22 8 8 10 9 79 16 รวม 380 743 775 279 284 304 306 2,691 541 ร้อยละ 54.29 70.76 73.81 79.71 81.14 86.86 87.43 76.88 77.29 จากตารางที่ 2 พบว่า คะแนนจากการฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียนภาษาไทยของผู้เรียน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย กศน.ตาบลหย่วน อาเภอเชียงคา จังหวัดพะเยา จานวน 35 คน มีผล การปฏิบัติกิจกรรมระหว่างเรียนของผู้เรียนทั้งกลุ่ม อยู่ในระดับดี ร้อยละ 76.88 โดยมีค่าคะแนนอยู่ระหว่าง ร้อยละ 70-100 จานวน 33 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 94.29 ของจานวนผ้เู รยี นท้ังหมด และมผี ู้เรยี นทีม่ ีผลการปฏิบัติ กจิ กรรมระหว่างเรียน อยู่ในระดับปานกลาง คือ มีค่าคะแนนระหว่าง 50-69 จานวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 5.71 และมีผลการทดสอบหลังเรียนท้ังกลุ่ม อยู่ในระดับดี คิดเป็นร้อยละ 77.29 สูงกว่าผลการทดสอบก่อนเรียน คิดเป็นร้อยละ 23.00 คู่มอื การทาวิจยั อยา่ งงา่ ยของครู กศน. 77
ตอนที่ 3 ความคิดเห็นของผู้เรียนต่อการใช้ชุดฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียนภาษาไทย ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู ปรากฏ ดังน้ี ตารางท่ี 3 แสดงค่าร้อยละความคดิ เห็นของผู้เรยี นต่อการใชช้ ุดฝึกทกั ษะการฟัง อ่าน พดู และเขียนภาษาไทย รอ้ ยละของระดับความคิดเหน็ รายการ มาก มาก ปาน นอ้ ย น้อย ท่สี ดุ กลาง ท่ีสุด 1. เน้อื หาสอดคล้องกับเนื้อหารายวชิ าภาษาไทย 2. เน้อื หาในชุดฝึกฯ มีความสอดคล้องกัน 54.20 34.30 11.50 3. การจัดลาดบั เนื้อหาเปน็ ไปตามลาดับข้นั ตอน 4. เน้ือหาและกิจกรรมเหมาะสมต่อการเรยี นรู้ 25.70 57.20 17.10 5. ชดุ ฝกึ ฯ ชว่ ยให้สามารถเข้าใจเน้อื หาได้ดยี ง่ิ ข้ึน 6. ระยะเวลาในการศกึ ษาและทากิจกรรมมีความเหมาะสม 34.30 57.20 8.50 7. ครูผ้สู อนใหค้ วามรู้ตามชุดฝกึ ทกั ษะการฟัง อ่าน พูด และ 57.20 28.60 14.20 เขยี นภาษาไทย ควบคู่กบั การใช้ภาษาไทล้อื ได้เหมาะสม 8. เมอ่ื ใช้ชดุ ฝึกทกั ษะการฟัง อา่ น พดู และเขยี นภาษาไทยแลว้ 37.10 62.90 สามารถนาความรทู้ ีไ่ ดร้ บั ไปปรบั ใชใ้ นชวี ติ ประจาวนั ได้ 57.20 34.30 8.50 62.90 37.10 51.40 34.40 14.20 9. การประเมินผลการใชช้ ุดฝึกทักษะการฟงั อ่าน พดู และเขยี น 42.90 40.00 17.10 ภาษาไทย ทาให้ผเู้ รียนได้รบั การพฒั นาการเรียนรมู้ ากขึ้น โดยรวม 46.99 42.89 10.12 จากตารางท่ี 3 พบว่า ผู้เรียนมีความคิดเห็นต่อการใช้ชุดฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียน ภาษาไทย โดยรวมอยู่ในระดับ มากที่สุด ร้อยละ 46.99 รองลงมาอยู่ในระดับ มาก ร้อยละ 42.89 เม่ือพิจารณารายละเอียดพบว่า ผู้เรียนมีความคิดเห็นระดับมากที่สุด ร้อยละ 62.90 คือ ครูผู้สอนให้ความรู้ ตามชุดฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียนภาษาไทย ควบคู่กับการใช้ภาษาไทล้ือได้เหมาะสม รองลงมา คิดเป็นร้อยละ 57.20 จานวนเท่า ๆ กัน 2 รายการ คือ เนื้อหาและกิจกรรมเหมาะสมต่อการเรียนรู้ และ ระยะเวลาในการศึกษาและทากจิ กรรมมีความเหมาะสม และยังพบว่า ผู้เรียนมีความคิดเห็นวา่ ชุดฝึกฯ ชว่ ยให้ สามารถเขา้ ใจเนอื้ หาได้ดยี ิง่ ข้นึ อยู่ในระดับมาก สูงถงึ ร้อยละ 62.90 คู่มือการทาวจิ ัยอยา่ งง่ายของครู กศน. 78
ข้อคิดเห็นเพ่มิ เตมิ ของผ้เู รยี น 1. มคี วามมน่ั ใจในการพดู ภาษาไทยมากข้นึ 2. กล้าแสดงออก ไมเ่ ขนิ อายในการส่อื สารภาษาไทย 3. พูดภาษาไทยไดถ้ กู ต้องตามอกั ขระวิธี สามารถสื่อสารภาษาไทยได้อย่างชัดเจน 4. กลา้ ใชภ้ าษาไทยสื่อสารกบั ผอู้ ืน่ มากขึน้ 5. พดู ตวั “ช” ตัว “ด” ไดช้ ัดมากขน้ึ 6. พูดภาษาไทยไดค้ ล่องแคลว่ ขึน้ 7. เขา้ ใจเน้ือหาท่ีเรยี นมากข้ึน 8. ใช้ภาษาไทยติดต่องานราชการตา่ ง ๆ ได้ 7. สรปุ ผล อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ สรุปผล 1. ผลการพัฒนาทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียนภาษาไทยของผู้เรียน ระดับมัธยมศึกษา ตอนปลาย กศน.ตาบลหย่วน อาเภอเชียงคา จังหวัดพะเยา โดยใช้ชุดฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียน ภาษาไทยควบคู่กับการใช้ภาษาไทลื้อ มีผลการปฏิบัติกิจกรรมหลังเรียนทั้งกลุ่ม อยู่ในระดับดี ด้วยคะแนน รอ้ ยละ 76.88 และมีผลการทดสอบหลังเรยี น อยู่ในระดับดี รอ้ ยละ 77.29 สงู กวา่ กอ่ นเรียนรอ้ ยละ 23.00 2. ผู้เรียนมีความคิดเห็นต่อการใช้ชุดฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียนภาษาไทย อยู่ในระดับ มากถึงมากที่สุด โดยเห็นว่า ครูให้ความรู้ตามชุดฝึกทักษะควบคู่กับการใช้ภาษาไทล้ือได้เหมาะสม รวมทั้ง เน้อื หา กจิ กรรมและระยะเวลามคี วามเหมาะสม ชว่ ยใหส้ ามารถเขา้ ใจเนื้อหาได้มากยง่ิ ขน้ึ อภปิ รายผล 1. ผู้เรียนได้เรียนรู้ภาษาไทยจากการจัดการเรียนรู้ โดยใช้ภาษาไทลื้อและชุดฝึกทักษะการฟัง อา่ น พูดและเขียนภาษาไทย ทาให้ผู้เรยี นทุกคนมีพัฒนาการทางการเรียนสูงขึ้น โดยพิจารณาจากผลการสอบ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน แสดงให้เห็นว่า ผู้เรียนได้รับการพัฒนาทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียนภาษาไทย ให้ดีขึ้นได้ ท้ังนี้อาจเนื่องมาจาก ผู้วิจัยใช้ภาษาไทล้ือส่ือสารควบคู่กับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดฝึกทักษะ การฟัง อ่าน พูด และเขียนภาษาไทย ขณะเดยี วกันผู้วิจัยใช้สภาพแวดล้อม บริบทใกล้ตัวของผู้เรียน คือ ภาษา ไทลื้อเป็นสื่อเชื่อมโยงเข้าสู่บทเรียนขณะจัดการเรียนรู้ ทาให้ผู้เรียนมีความสนใจ เข้าใจเน้ือหาในชุดฝึกทักษะ การฟัง อ่าน พดู และเขยี นภาษาไทยไดด้ ียง่ิ ขึ้น 2. ผู้เรียนส่วนใหญ่มีความคิดเห็นต่อชุดฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูดและเขียน ในระดับมาก ถึงมากท่ีสุด ท้ังนอ้ี าจเปน็ เพราะ ผ้วู ิจัยให้ความรจู้ ากชุดฝึกทักษะการฟงั อ่าน พดู และเขียนภาษาไทยควบคู่กับ การใช้ภาษาไทล้ือได้เหมาะสม ทาให้ผู้เรียนเข้าใจเน้ือหาได้ดียิ่งข้ึน และผลการประเมินทาให้ผู้เรียนได้รับ การพฒั นาทักษะการเรยี นร้เู พ่มิ มากขึ้น คูม่ ือการทาวจิ ยั อย่างงา่ ยของครู กศน. 79
3. ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพ่ิมเติมต่อการใช้ชุดฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียนภาษาไทยในเชิงบวกเป็นส่วนใหญ่ โดยเห็นว่า ผลจากการพัฒนาผู้เรียนโดยการฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียนภาษาไทย ทาให้ผู้เรียนพูดภาษาไทยได้ชัดและคล่องแคล่วขึ้น มีความม่ันใจในการพูด กล้าแสดงออก สามารถสื่อสารภาษาไทยในชีวิตประจาวัน ติดต่อราชการและส่ือสารกับผู้อ่ืนได้มากขึ้น ท้ังนี้ อาจเป็นเพราะผู้เรียนมีการพัฒนาทักษะการฟัง อ่าน พูดและเขียนดีข้ึน หลังจากได้รับการพัฒนาทักษะ การเรียนรู้ภาษาไทยโดยใช้ภาษาไทล้ือเป็นส่ือในการจัดการเรียนรู้ รวมท้ังได้รับการฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียน จากแบบฝึกท้งั 6 แบบฝกึ แม้ว่าผลการพัฒนาทักษะโดยใช้ชุดฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูดและเขียนภาษาไทยของผู้เรียน จะดีขึ้นเป็นส่วนใหญ่ แต่ยังมีประเด็นเก่ียวกับความสอดคล้องของเน้ือหาในชุดฝึกทักษะฯ ที่อาจทาให้ ผลการประเมินเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียนมีความพึงพอใจต่ากว่าประเด็นอื่น ึึ่งสามารถใช้เป็น ข้อมูลในการพิจารณาปรับปรุงเนือ้ หาใหส้ อดคล้อง เหมาะสม เพ่ือพัฒนาชุดฝึกทกั ษะการเรยี นร้ใู นครัง้ ตอ่ ไป ขอ้ เสนอแนะ 1. ควรศึกษาและพัฒนาเน้ือหาชุดฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูดและเขียน ให้สอดคล้องกับ สภาพปัญหา ความต้องการของผู้เรียน เพ่ือช่วยเหลือและพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง โดยคานึงถึงจุดประสงค์การเรียนรู้รายวิชา ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 2. ครู กศน. ตาบล ควรมีการพัฒนาแบบฝึกทักษะเน้ือหาเร่ืองอ่ืน ๆ ของรายวิชาภาษาไทยและ รายวชิ าอนื่ เพอ่ื แก้ปัญหาการเรียนรู้ของผ้เู รยี นต่อไป 8. บรรณานุกรม สานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย. (2553). คู่มือการดาเนินงาน หลักสูตร การศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551. นนทบุรี : ไทยพับบลิค เอด็ ดเู คชัน่ . __________. (2555). หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรงุ เทพฯ : องคก์ ารสงเคราะห์ทหารผ่านศึก. คมู่ ือการทาวิจัยอย่างง่ายของครู กศน. 80
ตวั อยา่ งท่ี 2 1. ช่ือเรอ่ื ง ผลการใช้แบบฝึกทักษะการเขยี นสะกดคา รายวชิ าภาษาไทย เพื่อพฒั นาทกั ษะ การเขยี นสะกดคาของผู้เรียน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย กศน.ตาบลหา้ งฉตั ร อาเภอหา้ งฉตั ร จังหวัดลาปาง 2. ชือ่ ผวู้ ิจยั นางจรัสรัชช์ ถาน้อย ตาแหนง่ ครู กศน.ตาบล นายมณเฑียร นนั ทะศรี ตาแหนง่ ครู กศน.ตาบล นางสรอ้ ยสวุ รรณ เตชะธิ ตาแหนง่ ครู กศน.ตาบล ศนู ยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัยอาเภอหา้ งฉัตร จังหวัดลาปาง 3. ความเปน็ มาและความสาคญั ของปัญหา การเขียนเป็นระบบการส่ือสาร หรือบันทึกถ่ายทอดภาษาเพ่ือแสดงออกึึ่งความรู้ ความคิด ความรู้สึก และอารมณ์ โดยใช้ตัวหนังสือ และเคร่ืองหมายต่าง ๆ เป็นสื่อ ดังนั้น การเขียนจึงเป็นทักษะการใช้ ภาษาแทนคาพูดท่ีสามารถสื่อความหมายให้เป็นหลักฐานปรากฏได้นานกว่าการพูด การเขียนที่เป็นเรื่องราว เพ่ือให้ผู้อ่านเข้าใจตรงตามความมุ่งหมายของผู้เขียนน้ัน จะประสบความสาเร็จมากน้อยเพียงใด ส่วนสาคัญ ขึ้นอยู่กับว่าผู้เขียนมีทักษะการใช้ภาษาเขียนได้ดีเพียงใด ทักษะการใช้ภาษาเขียนต้องอาศัยพ้ืนฐานความรู้ จากการฟัง การพูด และการอ่าน เพราะจากพ้ืนฐานดังกล่าว จะทาให้มีความรู้ มีข้อมูล และมีประสบการณ์ เพียงพอที่จะทาให้เกิดความคิด ความสามารถในการเรียบเรียง และถ่ายทอดความคดิ ออกมา สอ่ื สารกับผู้อ่าน ไดอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพ (ชนิดา ภมู ิสถติ , ม.ป.ป.) ดังนั้น อาจกลา่ วได้ว่า การเขียนเป็นการติดต่อสื่อสารของมนุษย์ ที่อาศัยตัวอักษร เพ่ือถ่ายทอดความรู้สึก ความต้องการของผู้เขียนให้ผู้อื่นได้รับรู้ นับเป็นสื่อถาวรท่ีสามารถ ตรวจสอบและใช้เป็นหลักฐานอา้ งอิงได้ อีกท้งั ใชเ้ ป็นเคร่ืองมอื ในการถ่ายทอดมรดกทางวฒั นธรรมได้อีกวิธีหนง่ึ กศน.ตาบลห้างฉัตร ได้ดาเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบ ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ภาคเรียนที่ 1 ประจาปีการศึกษา 2557 ในการจัดกิจกรรม การเรียนรู้วิชาภาษาไทย ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย พบว่า ผู้เรียนมักจะเขียนสะกดคาตามคาศัพท์ภาษา วยั รุน่ ึง่ึ ไม่ถูกตอ้ งตามหลักภาษาไทย หากปลอ่ ยใหป้ ฏิบัติอย่างต่อเนอ่ื งจนเคยชินอาจทาใหเ้ ปน็ ปัญหาได้ ดงั ที่ กาญจนา นาคสกุล (2552) กล่าวว่า จากผลสารวจต่าง ๆ และการศึกษาข้อมูล พบว่า สถานการณ์การใช้ ภาษาไทยคนของไทย โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่น ดารา สื่อมวลชน อยู่ในสภาวะวิกฤติและน่าเป็นห่วงอย่างมาก โดยเฉพาะวัยรุ่นนิยมใช้คาศัพท์แสลง คาผวน คาแปลก ๆ ท่ีไม่ถูกกาลเทศะ และคาหยาบคาย ท่ีสาคัญ นาภาษาต่างประเทศมาผสมกับภาษาไทยกลายเป็นคาแปลกท่ีไม่มีความหมาย และผิดหลักเกณฑ์ เป็นสิ่งท่ี ทุกภาคส่วนจะต้องช่วยกันแก้ปัญหาเร่ืองนี้ หากปล่อยไว้ในอนาคตเด็กก็จะแยกไม่ออกว่าคาไหนเป็นคา ไทยแท้ คาไหนเป็นคาที่วัยรุ่นบัญญัติข้ึนเอง ดังนั้น ผู้วิจัยจึงสนใจจะพัฒนาผู้เรียนให้เขียนสะกดคาภาษาไทย ได้อย่างถกู ต้อง โดยใช้แบบฝกึ ทักษะการเขียนสะกดคา รายวิชาภาษาไทย คู่มือการทาวิจัยอยา่ งงา่ ยของครู กศน. 81
4. วัตถปุ ระสงคข์ องการวิจยั 1. เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการเขียน สะกดคา ของผ้เู รียน ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย 2. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจต่อการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา รายวิชาภาษาไทย ของผเู้ รยี น ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย 5. วิธกี ารดาเนนิ การวิจยั 5.1 กล่มุ เปา้ หมาย ประชากร ผ้เู รียน กศน. ระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย กศน.ตาบลหา้ งฉัตร อาเภอห้างฉตั ร จังหวัดลาปาง ที่ลงทะเบียนเรยี นรายวิชาภาษาไทย ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2557 จานวน 47 คน กลมุ่ ตัวอยา่ ง ผู้เรียน กศน. ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย กศน.ตาบลห้างฉัตร อาเภอห้างฉตั ร จงั หวดั ลาปาง ที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาภาษาไทย ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2557 เฉพาะผู้เรียนท่ีมีปัญหาการเขียนสะกด คาไมถ่ กู ต้องตามหลกั ภาษาไทย จานวน 20 คน 5.2 เคร่อื งมอื เครือ่ งมอื ทใี่ ช้ในการวิจัยครั้งน้ี ประกอบดว้ ย 1) เคร่ืองมือที่ใช้ในการพัฒนาทักษะการเขียนของผู้เรียน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ได้แก่ แบบฝกึ ทกั ษะการเขยี นสะกดคา รายวิชาภาษาไทย ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย จานวน 5 แบบฝกึ 2) เครื่องมอื ทีใ่ ชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มูล ได้แก่ (1) แบบทดสอบกอ่ นเรียน เป็นแบบปรนยั ชนดิ เลอื กตอบ 4 ตัวเลือก จานวน 20 ข้อ (2) แบบทดสอบหลงั เรยี น เปน็ แบบปรนัย ชนดิ เลอื กตอบ 4 ตวั เลอื ก จานวน 20 ขอ้ (3) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา รายวิชา ภาษาไทย ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย เปน็ แบบมาตราส่วนประมาณคา่ 5 ระดับ 5.3 ขั้นตอนการสรา้ งเครอ่ื งมือ 1) ศึกษาหลักการ วิธีการสร้างแบบฝึกทักษะ แบบทดสอบ และแบบสอบถามจากเอกสาร และงานวจิ ยั ท่ีเก่ียวข้อง 2) สร้างแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา รายวิชาภาษาไทย ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย แบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา รายวิชาภาษาไทย ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 3) นาเครื่องมอื วิจยั ที่สรา้ งขน้ึ ไปให้ทปี่ รกึ ษาตรวจสอบความถูกต้อง ดงั นี้ คู่มอื การทาวจิ ยั อย่างงา่ ยของครู กศน. 82
แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา รายวิชาภาษาไทย ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เพ่อื ตรวจสอบความสอดคลอ้ งของเนอื้ หากับจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ แบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องของข้อคาถาม กับจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา รายวิชา ภาษาไทย ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องของประเด็นคาถามกับวัตถุประสงค์ ของการวิจยั 4) ปรับปรุงแก้ไขเครื่องมือวิจัยตามคาแนะนาของที่ปรึกษา ก่อนนาไปใช้จัดการเรียนรู้ ใหก้ บั กลุม่ ตวั อย่าง 5.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล การเก็บรวบรวมขอ้ มูลคร้งั น้ี ผู้วิจัยไดด้ าเนนิ การตามข้นั ตอน ดังต่อไปนี้ 1) ผู้วิจัยนาแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา รายวิชาภาษาไทย ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ไปใชจ้ ดั การเรียนรู้กบั กลุ่มตวั อยา่ ง จานวน 20 คน ดว้ ยตนเอง จานวน 5 ครง้ั ๆ ละ 2 ชัว่ โมง โดยดาเนินการ ดังนี้ (1) ทดสอบก่อนเรยี น โดยใชแ้ บบทดสอบกอ่ นเรียน จานวน 20 ขอ้ (2) จัดการเรียนรู้ เรื่อง การเขียนสะกดคา โดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา รายวชิ าภาษาไทย ระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย (3) ทดสอบหลังเรยี น โดยใชแ้ บบทดสอบหลงั เรียน จานวน 20 ขอ้ 2) หลังจากดาเนินการจัดการเรียนรู้เรียบร้อยแล้ว ผู้วิจัยให้กลุ่มเป้าหมาย จานวน 20 คน ตอบแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา รายวิชาภาษาไทย ระดับ มัธยมศกึ ษาตอนปลาย 5.5 การวเิ คราะหข์ อ้ มูล เมือ่ เกบ็ รวบรวมขอ้ มูลเรยี บร้อยแลว้ ผู้วิจัยนาขอ้ มลู ท่ีได้มาวเิ คราะห์โดยดาเนนิ การ ดงั นี้ 1) คานวณหาค่าร้อยละ และค่าเฉล่ียจากคะแนนทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ของผเู้ รียน 2) เปรียบเทียบผลการทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการเขียน สะกดคา รายวิชาภาษาไทย ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยคานวณหาค่าดัชนีประสิทธิผลและร้อยละ ทีเ่ พมิ่ ขึ้นหลงั เรียนของผเู้ รยี นทง้ั กลุ่ม จากคา่ เฉล่ียของคะแนนทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน คมู่ ือการทาวจิ ัยอยา่ งงา่ ยของครู กศน. 83
3) คานวณหาค่าเฉล่ีย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของความพึงพอใจของผู้เรียน ต่อการใช้ แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา รายวิชาภาษาไทย ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยแปลความหมาย ของระดบั ความพึงพอใจ ตามเกณฑ์ของกาญจนา วัฒายุ (2548 : 166) ดงั น้ี ค่าเฉล่ยี 4.50 - 5.00 หมายถงึ มากท่ีสุด ค่าเฉลี่ย 3.50 - 4.49 หมายถึง มาก คา่ เฉลยี่ 2.50 - 3.49 หมายถึง ปานกลาง คา่ เฉลย่ี 1.50 - 2.49 หมายถึง นอ้ ย ค่าเฉลย่ี 1.00 – 1.49 หมายถึง นอ้ ยท่สี ดุ 6. ผลการวจิ ยั ผลการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา รายวิชาภาษาไทย เพ่ือพัฒนาทักษะการเขยี นสะกดคา ของผู้เรียน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย กศน.ตาบลห้างฉัตร อาเภอห้างฉัตร จังหวัดลาปาง ึ่ึงผู้วิจัย จะนาเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลในรูปแบบตารางประกอบคาบรรยาย ดังตารางท่ี 1-3 โดยแบ่งเป็น 3 ตอน คือ ตอนท่ี 1 ข้อมูลท่ัวไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ตอนที่ 2 การเปรียบเทียบผลการทดสอบก่อนเรียนและ หลังเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา รายวิชาภาษาไทย ของผู้เรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และตอนท่ี 3 ความพึงพอใจของผเู้ รยี นตอ่ การใชแ้ บบฝกึ ทักษะการเขยี นสะกดคา รายวิชาภาษาไทย ตอนท่ี 1 ข้อมูลทั่วไปของผตู้ อบแบบสอบถาม ปรากฏดงั ตารางท่ี 1 ตารางที่ 1 แสดงจานวนและร้อยละสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม (n = 20) ขอ้ มูล จานวน ร้อยละ 1. เพศ 5 25.00 ชาย 15 75.00 หญงิ 2. อายุ 5 25.00 10-20 ปี 9 45.00 21-30 ปี 1 5.00 31- 40 ปี 3 15.00 41- 50 ปี 2 10.00 51- 60 ปี 20 100.00 รวม คมู่ อื การทาวจิ ัยอยา่ งงา่ ยของครู กศน. 84
จากตารางท่ี 1 สถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม จานวน 20 คน พบว่า เป็นเพศหญิง จานวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 75.00 เพศชาย จานวน 5 คน คิดเป็นร้อยละ 25.00 โดยส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 21-30 ปี จานวน 9 คน คิดเป็นร้อยละ 45.00 รองลงมามีอายุระหว่าง 10-20 ปี จานวน 5 คน คิดเป็นร้อยละ 25.00 มีอายุระหว่าง 41-50 ปี จานวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 15.00 มีอายุระหว่าง 51-60 ปี จานวน 2 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 10.00 และมอี ายุระหวา่ ง 31-40 ปี จานวน 1 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 5.00 ตอนที่ 2 การเปรียบเทียบผลการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยแบบฝึกทักษะการเขียน สะกดคา รายวชิ าภาษาไทย ปรากฏผลดงั ตารางท่ี 2 ตารางท่ี 2 แสดงคา่ ร้อยละ ดัชนปี ระสิทธผิ ลของการเรยี นด้วยแบบฝึกทกั ษะการเขียนสะกดคา รายวชิ าภาษาไทย (n = 20) ผเู้ รยี น คะแนนทดสอบ (20 คะแนน) คะแนน คะแนน ดชั นี รอ้ ยละทีเ่ พิม่ ขน้ึ คนที่ ก่อนเรยี น หลงั เรยี น พฒั นาการ เพ่มิ สมั พัทธ์ ประสิทธผิ ล หลังเรียน เป็นกลุ่ม ของผู้เรยี นท้งั กลมุ่ 12 20 18 100.00 0.6419 64.19 28 14 36 10 6 50.00 48 12 52 16 4 28.57 64 10 74 18 4 33.33 86 12 92 18 14 77.78 10 10 12 11 8 20 6 37.50 12 8 10 13 4 10 14 87.50 14 8 20 15 2 16 6 42.86 16 4 10 17 6 20 16 88.89 18 6 20 19 4 8 2 20.00 20 2 18 12 100.00 2 16.67 6 37.50 12 100.00 14 77.78 6 37.50 14 100.00 14 100.00 4 25.00 16 88.89 คมู่ อื การทาวิจยั อย่างง่ายของครู กศน. 85
จากตารางที่ 2 เม่ือนาผลการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา รายวิชาภาษาไทย ของผู้เรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย มาเปรียบเทียบกัน พบว่า มีค่าดัชนีประสิทธิผล 0.6419 แสดงว่า การใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา สามารถพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคาของผู้เรียน ทงั้ กล่มุ ไดเ้ พิ่มขนึ้ ร้อยละ 64.19 เมื่อพิจารณาเป็นรายบุคคล พบว่า ผู้เรียนทุกคน คิดเป็นร้อยละ 100 มีคะแนนทดสอบหลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียน แสดงให้เห็นว่า ผู้เรียนท่ีเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา มีพัฒนาการทางการเรียน สูงขึ้น และเม่ือพิจารณาผลคะแนนเพิ่มสัมพัทธ์เป็นรายบุคคล พบว่า ผู้เรียนสามารถพัฒนาทักษะการเขียน สะกดคาโดยมีคะแนนเพ่ิมสัมพัทธ์ร้อยละ 50 ขึ้นไป จานวน 11 คน คิดเป็นร้อยละ 55 ของผู้เรียนทั้งหมด ในจานวน 11 คนนี้ มีจานวน 5 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 25 ของผู้เรียนทั้งหมด ที่มีคะแนนเพ่ิมสัมพัทธ์ร้อยละ 100 ได้แก่ ผู้เรียนคนท่ี 1, 11, 14, 17 และคนท่ี 18 นอกจากน้ี ยังพบว่า มีผู้เรียนท่ีมีคะแนนเพม่ิ สัมพัทธ์ต่ากวา่ ร้อยละ 50 จานวน 9 คน คดิ เป็นร้อยละ 45 ของผเู้ รียนทัง้ หมด ตอนที่ 3 ความพึงพอใจต่อการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา รายวิชาภาษาไทย ระดับ มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย ปรากฏผลดงั ตารางท่ี 3 ตารางท่ี 3 แสดงคา่ เฉลยี่ และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานของความพงึ พอใจต่อการใช้แบบฝึกทักษะ การเขียนสะกดคา รายวิชาภาษาไทย (n = 20) ท่ี ประเด็น ระดบั ความพึงพอใจ X S.D. แปลผล ลาดบั 1 ความเข้าใจคาชแ้ี จงการทาแบบฝึกทักษะฯ 3.50 1.00 มาก 5 2 ไดร้ ับความรู้จากคาในแบบฝกึ ทกั ษะฯ 3.65 .99 มาก 2 3 จานวนขอ้ ของแบบฝกึ ทักษะฯ มีความเหมาะสม 3.55 .82 มาก 4 4 รปู แบบของแบบฝกึ ทักษะฯ 3.60 .68 มาก 3 5 ท่านมีความพงึ พอใจตอ่ แบบฝกึ ทักษะฯ 3.70 1.22 มาก 1 โดยรวม 3.60 0.94 มาก จากตารางท่ี 3 ผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อการใชแ้ บบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา รายวิชาภาษาไทย โดยรวม อย่ใู นระดบั มาก มีคา่ เฉล่ยี 3.60 (S.D.= 0.94) เม่ือพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ประเด็นที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดใน 2 ลาดับแรก คือ มีความพึงพอใจ ต่อแบบฝึกทักษะฯ มีค่าเฉลี่ย 3.70 (S.D.=1.22) รองลงมา คือ ได้รับความรู้จากคาในแบบฝึกทักษะฯ มีค่าเฉลี่ย 3.65 (S.D.= .99) และประเด็นที่มีค่าเฉล่ียน้อยที่สุด คือ ความเข้าใจคาชี้แจงการทาแบบฝึกทักษะฯ มคี ่าเฉล่ยี 3.50 (S.D.= 1.00) คู่มือการทาวจิ ัยอยา่ งงา่ ยของครู กศน. 86
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105