Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือเตรียมสอบธรรมศึกษาชั้นเอก มัธยม

คู่มือเตรียมสอบธรรมศึกษาชั้นเอก มัธยม

Published by thiwadon jirapunyo, 2022-06-26 12:47:30

Description: ตรงตามหลักสูตรแม่กองธรรมสนามหลวง
ปี ๒๕๖๑

Search

Read the Text Version

คมู่ ือเตรียมสอบ ธรรมศกึ ษาชน้ั เอก ระดับมัธยมศกึ ษา ตรงตามหลักสูตรแม่กองธรรมสนามหลวง ปี ๒๕๖๑ รวมสรุปย่อเนอื้ หาทใ่ี ช้ในการเตรียมสอบธรรมศึกษาชน้ั เอก ระดับมธั ยมศกึ ษา ภายในเล่ม มเี นือ้ หาประกอบด้วย เทคนคิ การเขียนเรยี งความแกก้ ระทธู้ รรม สรุปยอ่ เนื้อหาและตวั อย่างข้อสอบทใี่ ช้สอบในปัจจุบันครบทุกวชิ า เหมาะอยา่ งยิง่ สำหรับนกั เรยี นใชท้ บทวนเนอื้ หา และเตรยี มความพร้อมก่อนสอบ ช่วยเพมิ่ ความมนั่ ใจในการสอบมากยงิ่ ขึน้

ข คูม่ ือเตรียมสอบธรรมศกึ ษาชัน้ เอก ระดับมธั ยมศึกษา ท่ปี รึกษา : พระมหาสธุ รรม สรุ ตโน ป.ธ.๙, ดร. พระมหาวทิ ยา จิตตฺ ชโย ป.ธ.๙ ผู้เรยี บเรียง : พระอตคิ ุณ ฐติ วโร ดร. ลิขสิทธิ์ : โรงเรียนพระปริยตั ธิ รรม วัดพระธรรมกาย ๒๓/๒ หมู่ ๗ ต.คลองสาม อ.คลองหลวง จ.ปทมุ ธานี ๑๒๑๒๐ http://www.pariyat.com, E-mail : [email protected] พมิ พ์ครง้ั แรก : ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๔ จำนวน : ๕๐๐ เลม่ พิมพ์ท่ี : โรงพิมพ์มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ศนู ยร์ ังสติ เลขที่ ๙๙ หมู่ ๑๘ ตำบลคลองหนงึ่ อำเภอคลองหลวง จงั หวดั ปทุมธานี ๑๒๑๒๑ สพพฺ ทานํ ธมฺมทานํ ชนิ าติ การให้ธรรมะเป็นทาน ย่อมชนะการใหท้ ัง้ ปวง หนังสือเล่มนไ้ี ด้รับการสนบั สนนุ การจดั พิมพแ์ ละเผยแพร่เปน็ ธรรมทาน โดย มูลนธิ ิธรรมกาย สำหรบั สำนกั ศาสนศึกษา สถานศึกษา ทม่ี คี วามประสงคจ์ ะนำไปใช้ประกอบการเรยี นการสอน ธรรมศึกษาชั้นเอก ระดับมธั ยมศึกษา ตดิ ตอ่ ไดท้ ี่ โรงเรียนพระปรยิ ัตธิ รรม วัดพระธรรมกาย จ.ปทุมธานี โทร. ๐-๒๘๓๑-๑๐๐๐ ต่อ ๑๓๗๘๐

ค คำนำ คู่มือเตรยี มสอบธรรมศึกษาช้ันเอก ระดับมัธยมศึกษา จัดพิมพ์ ขึ้นเพือ่ ให้นักเรยี นไดม้ คี ู่มือเตรียมสอบ ท่สี ามารถอา่ นได้ท้ังสรุปย่อเน้ือหา และตัวอย่างข้อสอบ ตรงตามหลักสตู รแมก่ องธรรมสนามหลวง ปี ๒๕๖๑ ภายในเล่มมีเนื้อหาประกอบด้วย เทคนิคการเขียนเรียงความแก้กระทู้ ธรรม สรุปย่อเนื้อหาและตัวอย่างข้อสอบที่ใช้สอบในปัจจุบันครบทุกวิชา เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักเรียนใช้ทบทวนเนื้อหาและเตรียมความพร้อม ก่อนสอบ คณะผูจ้ ัดทำหวังว่า นักเรียนธรรมศึกษาจะได้รับประโยชน์จาก การศึกษาหนังสอื เลม่ น้ี โดยเฉพาะวิธีการเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรมท่ี ง่ายต่อการจดจำ และสรุปย่อเนื้อหาแต่ละวิชาที่จะช่วยเสริมความเข้าใจ และจดจำแนวทางการออกข้อสอบได้ง่าย ใช้ทบทวนเนื้อหาก่อนเข้าสอบ ธรรมสนามหลวง เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการทำข้อสอบได้มากยิ่งขึ้น สามารถสอบผ่านธรรมศึกษาชน้ั เอกไดอ้ ย่างภาคภูมิใจ ท้ายที่สุดนี้ ขอขอบคุณผู้บริหาร คณาจารย์ เจ้าหน้าที่ และผู้มี ส่วนเกย่ี วขอ้ งทกุ ท่านที่ให้คำแนะนำ พรอ้ มท้ังความชว่ ยเหลอื สนับสนุนใน การจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้จนสำเร็จเรียบร้อยด้วยดีทุกประการ ขอน้อม อุทิศบุญกุศลทั้งหลายอันจะเกิดขึ้น แด่มหาปูชนียาจารย์ มารดาบิดา คณุ ครอู ุปัชฌายอ์ าจารย์และผมู้ พี ระคณุ ทกุ ท่าน ขอขอบคณุ และอนโุ มทนาบุญ พระอติคุณ ฐติ วโร, ดร. ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๔

ง สารบญั หนา้ ๑ บทท่ี ๑ การเขียนเรียงความแก้กระทธู้ รรม ธรรมศึกษาชน้ั เอก ระดบั มธั ยมศึกษา ๒ ๑.๑ วิธีอ่านภาษาบาลี ๓ ๑.๒ หลกั เกณฑก์ ารเขียนเรยี งความแกก้ ระทธู้ รรม ๔ ๑.๓ โครงสรา้ งการเขียนกระทู้ธรรม ๖ ๑.๔ แนวทางการอธิบายหัวข้อกระทู้ธรรม ๑๒ ๑.๕ ตวั อยา่ งข้อสอบวชิ าเรียงความแก้กระทธู้ รรม ๑๘ ๑.๖ กระทู้ยอดนยิ ม ๒๑ บทท่ี ๒ สรุปยอ่ เนือ้ หา-แนวขอ้ สอบธรรมศกึ ษาช้ันเอก ระดับ ๒๒ มธั ยมศึกษา ๓๓ ๒.๑ แนวข้อสอบธรรมศึกษาชน้ั เอก วิชาธรรมวจิ ารณ์ ๔๗ ๒.๒ แนวขอ้ สอบธรรมศึกษาชน้ั เอก วชิ าพทุ ธานพุ ทุ ธประวตั ิ ๕๘ ๒.๓ แนวขอ้ สอบธรรมศกึ ษาชน้ั เอก วิชากรรมบถ ๘๔ กระดาษเขยี นเรยี งความแก้กระทู้ธรรม บรรณานุกรม

บทท่ี ๑ การเขยี นเรียงความ แกก้ ระทธู้ รรม ธรรมศกึ ษาชั้น เอก ระดับมธั ยมศกึ ษา

๒ ๑.๑ วิธีอา่ นภาษาบาลี ๑) พยญั ชนะท่มี สี ระกำกับอยู่ ให้อ่านออกเสยี งตามสระนัน้ ๆ เช่น ปุรมิ านิ อา่ นวา่ ปุ-ร-ิ มา-นิ ตณี ิ อา่ นวา่ ต-ี ณิ ๒) พยญั ชนะท่ีไม่มสี ระใดๆ กำกับอยู่เลย ให้อ่านออกเสยี งสระ อะ ทุกแห่ง เชน่ นววธิ ํ อ่านวา่ นะ-วะ-ว-ิ ธงั ปน อา่ นวา่ ปะ-นะ ๓) พยญั ชนะท่ีมี พินทุ ( ฺ ) อย่ขู า้ งล่าง แสดงว่าพยญั ชนะตัวน้ันเป็นตวั สะกด ใหอ้ า่ นออกเสียงรวมกบั สระของพยญั ชนะ ทอี่ ยขู่ า้ งหน้า เชน่ ภกิ ฺขู (ภิ+ก=ภกิ ) อ่านว่า ภกิ -ขู โหนตฺ ิ (โห+น=โหน) อ่านว่า โหน-ติ ถ้าพยญั ชนะที่อยูข่ า้ งหนา้ ไม่มสี ระใดๆ กำกับอยเู่ ลย พนิ ทุ ( ฺ ) นนั้ จะเท่ากบั ไมห้ นั อากาศ เชน่ ตตฺถ (ตะ+ต=ตัต) อ่านว่า ตัต-ถะ อฏฐฺ (อะ+ฏ=อฏั ) อ่านวา่ อฏั -ฐะ ๔) พยญั ชนะทีม่ ี นิคหิต ( ํ ) อยู่ข้างบนและมสี ระกำกบั อยู่ด้วย ใหอ้ ่านออกเสยี งมี ง เปน็ ตวั สะกด เชน่ กึ (ก+ิ ง=กงิ ) อา่ นวา่ กงิ กาตุํ (ต+ุ ง=ตุง) อ่านวา่ กา-ตงุ ถ้าพยัญชนะทมี่ ี นคิ หิต ( ํ ) อยขู่ ้างบน แตไ่ มม่ ีสระใดๆ กำกับอย่เู ลย นคิ หิต ( ํ ) นัน้ จะเท่ากับ อัง เชน่ วตตฺ ํ (ตะ+ง=ตัง) อา่ นว่า วัต-ตัง อยํ (ยะ+ง=ยัง) อา่ นว่า อะ-ยงั ๕) พยญั ชนะตัวหนา้ ทม่ี ี พินทุ ( ฺ ) อยขู่ า้ งลา่ ง ให้อ่านออกเสียงสระ อะ กึ่งเสยี ง เช่น เทฺว อ่านวา่ ท๎-เว พยฺ ตตฺ ํ อา่ นว่า พ-๎ ยตั -ตงั ๖) ถ้ามี ร อยูห่ ลังพยัญชนะทม่ี ี พนิ ทุ ( ฺ ) อยู่ขา้ งลา่ ง ใหอ้ า่ นออกเสียงควบกล้ำกัน เช่น ตตฺร อ่านวา่ ตัต-ตระ พรฺ หมฺ จรยิ า อ่านวา่ พรมั -มะ-จะ-ร-ิ ยา ๗) ส ท่มี ี พินทุ ( ฺ ) อยขู่ ้างล่าง ใหอ้ ่านออกเสียงเปน็ ตัวสะกดของพยัญชนะท่ีอยูข่ ้างหน้า และออกเสยี ง ส นั้นอกี กงึ่ เสยี ง เชน่ อิมสมฺ ึ อา่ นว่า อ-ิ มัส-ส๎-หมงิ ตสฺมา อา่ นวา่ ตัส-ส-๎ หมา

๓ ๘) คำท่ลี งทา้ ยด้วย ตฺวา ตวฺ าน ให้อา่ นออกเสียง ต เปน็ ตัวสะกดของพยญั ชนะที่อยู่ขา้ งหน้า และออกเสยี ง ต นั้น อกี กงึ่ เสยี ง เชน่ กตฺวา อ่านว่า กตั -ต-๎ วา คเหตฺวา อ่านว่า คะ-เหต-ต๎-วา ๙) ฑ ใหอ้ า่ นออกเสียงเป็นตัว ด ทัง้ หมด เช่น ปณิ ฑฺ ปาตํ อา่ นวา่ ปิณ-ดะ-ปา-ตงั ปิณฺฑาย อ่านวา่ ปณิ -ดา-ยะ ๑๐) ห ที่มีสระ อี อยดู่ ว้ ย ให้อา่ นออกเสยี งเป็น ฮี เชน่ ตุณฺหี อ่านวา่ ตุณ-ณ๎-ฮี อจฉฺ าเทหีติ อ่านวา่ อจั -ฉา-เท-ฮ-ี ติ ๑.๒ หลกั เกณฑ์การเขียนเรยี งความแก้กระทธู้ รรม ๑) กระทตู้ ้ัง คือ ธรรมภาษิตท่ีเป็นปัญหาที่ยกขึน้ มากอ่ นสำหรบั ใหแ้ ตง่ แก้ เชน่ ยาทิสํ วปเต พีชํ ตาทิสํ ลภเต ผลํ กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปก.ํ บคุ คลหว่านพชื เช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนัน้ ผ้ทู าํ กรรมดี ย่อมได้ผลดี ผ้ทู าํ กรรมชวั่ ย่อมได้ผลชวั ่ ๒) คำนำ คือ คำขึ้นต้นหรือคำชีแ้ จงก่อนจะแต่งต่อไป กล่าวคือ เมื่อยกคาถาบทตั้งไว้แล้วเวลาจะแต่งต้อง ขึน้ อารมั ภบทก่อนว่า บัดนี้จักได้บรรยายขยายความตามธรรมภาษิตที่ได้ลิขิตไว้ ณ เบื้องต้น เพื่อเป็นแนวทาง แห่งการประพฤตปิ ฏบิ ตั ิของสาธชุ นผู้ใคร่ในธรรมสืบไป ๓) เนื้อเรื่องของกระทู้ตั้ง ต้องมีเนื้อหาสาระสำคัญ ลำดับเนื้อหาสาระให้ต่อเนื่องกันเป็นเหตุเป็นผล โดย ขึน้ ต้นดว้ ยคำว่า “อธิบายความวา่ ” ก่อนจบการอธิบายจะลงท้ายด้วยคำวา่ “น้สี มด้วยธรรมภาษิต ท่ีมาใน (ใส่ท่ีมาของ ธรรมภาษิตที่นำมารับ) วา่ ” เพอื่ รับรองไว้เปน็ หลักฐาน เช่น น้สี มด้วยธรรมภาษิต ทมี่ าใน ขทุ ทกนกิ าย ธรรมบท วา่ ๔) กระทู้รับ คือ ธรรมภาษิตที่ยกขึ้นมารับรองให้สมเหตุสมผลกับกระทู้ตั้ง เพราะการแต่งเรียงความนั้น ต้องมกี ระทูร้ ับอ้างใหส้ มจรงิ กับเน้อื ความท่ีได้แตง่ ไป มิใช่เขียนไปแบบลอย ๆ เชน่ อตตฺ า หิ อตตฺ โน นาโถ โก หิ นาโถ ปโร สิยา อตตฺ นา หิ สทุ นฺเตน นาถํ ลภติ ทุลฺลภ.ํ

๔ ตนแล เป็นท่ีพึ่งของตน คนอื่นใครเลา่ จะเป็นที่พึง่ ได้ กบ็ คุ คลมตี นฝึ กฝนดีแลว้ ยอ่ มได้ท่ีพ่งึ ที่หาได้โดยยาก. ๕) เนื้อเร่อื งของกระท้รู ับ คอื อธิบายเน้ือหาสาระสำคัญของธรรมภาษิตท่ยี กมารับ โดยขึน้ ตน้ ดว้ ยคำวา่ “อธิบายความว่า” ๖) บทสรุป คือ การรวบรวมใจความสำคัญของเรื่องที่ได้อธบิ ายมาแต่ต้น โดยกล่าวสรุปลงสั้นๆ หรือย่อ ๆ ให้ได้ความหมายที่ครอบคลมุ ถึงเนื้อหาทีก่ ล่าวมาทัง้ กระทู้ตัง้ และกระทู้รับ โดยขึ้นตน้ ดว้ ยคำว่า “สรุปความว่า” ก่อนจบ การสรุปจะลงท้ายด้วยคำว่า “สมด้วยธรรมภาษิตที่ได้ลิขิตไว้ ณ เบื้องต้นว่า” แล้วจึงเขียนกระทู้ตั้ง พร้อมคำแปลอีก ครัง้ หนง่ึ เชน่ สมดว้ ยธรรมภาษติ ที่ไดล้ ขิ ิตไว้ ณ เบ้อื งต้นว่า ยาทิสํ วปเต พีชํ ตาทิสํ ลภเต ผลํ กลยฺ าณการี กลยฺ าณํ ปาปการี จ ปาปก.ํ บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนัน้ ผทู้ าํ กรรมดี ยอ่ มได้ผลดี ผ้ทู าํ กรรมชวั ่ ยอ่ มได้ผลชวั ่ ๗) คำลงท้าย คือ ประโยคที่เป็นการจบการเขียนเรียงความ จะใช้คำว่า “มีนัยดังได้พรรณนามาด้วย ประการฉะน้ี ฯ” โดยใหเ้ ขยี นขน้ึ บรรทัดใหมช่ ดิ เส้นกัน้ หน้า ๘) จำนวนกระทู้รับ คือ จำนวนธรรมภาษิตที่จะต้องหามาเชื่อมกับกระทู้ตั้ง สำหรับระดับธรรมศึกษาช้ัน เอก ใหใ้ ช้ ๒ ธรรมภาษิต ๙) จำนวนหน้าที่ต้องเขียน คือ การเขียนเรียงความในกระดาษตอบสนามหลวง ขนาด F14 เว้นบรรทัด สำหรับระดับธรรมศึกษาชั้นเอก ต้องเขียนอย่างน้อย ๔ หน้ากระดาษขึ้นไป และห้ามใช้ดินสอหรือปากกาน้ำหมึกสีแดง เขียนหรือขีดเส้นโดยเด็ดขาด ให้ใช้ปากกาน้ำหมึกสีน้ำเงินหรือสีดำเท่านั้น หากเขียนผิดเล็กน้อย สามารถใช้น้ำยาหรือ เทปลบคำผิดได้ ๑๐) การเขียนตัวเลขบอกจำนวน หากต้องเขียนตัวเลขบอกจำนวนข้อ เช่น ๑)........ ๒)........ ๓)........ ให้ ใช้ตัวเลขไทย หา้ มเขยี นตวั เลขอารบิค และไม่ต้องข้ึนย่อหนา้ ใหม่ ให้เขียนเรยี งตอ่ กันอยู่ในยอ่ หนา้ ของการอธบิ ายความ ๑.๓ โครงสรา้ งการเขยี นกระทธู้ รรม (กระทตู้ ง้ั )-------------. (คำแปลกระท้ตู ้ัง)-------------. (ไมต่ ้องเขียนที่มาของกระทตู้ ั้ง) บดั นจี้ กั ได้บรรยายขยายความตามธรรมภาษิตท่ีได้ลิขิตไว้ ณ เบือ้ งตน้ เพ่อื เป็นแนวทางแห่งการประพฤติ ปฏบิ ัติของสาธชุ นผู้ใครใ่ นธรรมสืบไป อธิบายความว่า -------------------------------------------------- --------------------------------------------------------------------

๕ ----------------------(เขยี นอธบิ ายประมาณ ๘-๑๐ บรรทดั )------------------------ - ------------------------------------------------------------------- -------------------------------------------------------------------- -------------------------------------------------------------------- ----- น้สี มด้วยธรรมภาษิต ท่ีมาใน --(เขียนทมี่ าของกระทูร้ ับที่ ๑ เชน่ ขทุ ทกนิกาย ธรรมบท)--ว่า (กระทรู้ ับท่ี ๑)----------. (คำแปลกระทรู้ ับที่ ๑)----------. อธิบายความว่า -------------------------------------------------- -------------------------------------------------------------------- -----------------------(เขียนอธบิ ายประมาณ ๘-๑๐ บรรทดั )----------------------- -------------------------------------------------------------------- -------------------------------------------------------------------- -------------------------------------------------------------------- --------------- นสี้ มดว้ ยธรรมภาษติ ทม่ี าใน -----(เขียนทม่ี าของกระทรู้ ับ ๒)-----ว่า (กระทรู้ บั ที่ ๒)----------. (คำแปลกระท้รู บั ท่ี ๒)-----------. อธิบายความว่า -------------------------------------------------- -------------------------------------------------------------------- ------------------------(เขียนอธบิ ายประมาณ ๘-๑๐ บรรทัด)---------------------- -------------------------------------------------------------------- --------------- นสี้ มด้วยธรรมภาษติ ที่มาใน -----(เขยี นทม่ี าของกระทู้รับท่ี ๓)-----ว่า (กระทู้รบั ที่ ๓)----------. (คำแปลกระทรู้ บั ที่ ๓)------------. อธิบายความว่า -------------------------------------------------- -------------------------------------------------------------------- ------------------------(เขยี นอธิบายประมาณ ๘-๑๐ บรรทัด)---------------------- -------------------------------------------------------------------- ---------------------------------------

๖ สรุปความว่า ---------------------------------------------------- -------------------------------------------------------------------- ------ -------------------(เขียนสรปุ ประมาณ ๕-๘ บรรทดั )----------------------- -------------------------------------------------------------------- -------------------------------------------------------------------- -------------------------------------------------------------------- -------------------------------------------------------------------- ---------------- สมด้วยธรรมภาษิตทไ่ี ด้ลิขติ ไว้ ณ เบอ้ื งตน้ ว่า (กระทู้ต้ัง)-----------. (คำแปลกระทู้ตัง้ )-----------. (ไม่ต้องเขียนที่มาของกระทู้ตั้ง) มนี ัยดังไดพ้ รรณนามาดว้ ยประการฉะน้ี ฯ ๑.๔ แนวทางการอธิบายหัวข้อกระทธู้ รรม สำหรับการเรียนการสอนธรรมศึกษาชั้นเอก ระดับมัธยมศึกษา มีขอบข่ายพุทธศาสนสุภาษิตที่จะใช้เป็น หวั ข้อกระทู้ตงั้ มี ๓ หมวดธรรม ไดแ้ ก่ ๑) หมวดกรรม ๒) หมวดธรรม ๓) หมวดความเพยี ร มีรายละเอยี ด ดงั นี้ ๑. กมั มวรรค คอื หมวดกรรม ในหมวดนี้มพี ุทธศาสนสุภาษิตทต่ี อ้ งศกึ ษา ๓ หัวขอ้ (ข้อสอบอาจจะเลอื กมาเป็นกระท้ตู ั้ง) คอื ๑) อฏุ ฺฐาตา กมมฺ เธยฺเยสุ อปปฺ มตโฺ ต วิจกขฺ โณ สุสวํ ิหิตกมฺมนฺโต ส ราชวสตึ วเส. ผ้หู มนั่ ในการงาน ไม่ประมาท เป็นผรู้ อบคอบ จดั การงานเรียบร้อย จึงควรอยใู่ นราชการ. ทีม่ า ขทุ ทกนิกาย ชาดก อธิบายความว่า คำว่า หมั่นในการงาน หมายถึง มีความขยันทำงานในหน้าที่ของตน ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ปัญหาที่เกิดขึ้นในระหวา่ งการทำงาน คำว่า ไม่ประมาท หมายถึง การทำงานด้วยความมีสติสมั ปชัญญะ ระมัดระวังมิให้ เกิดความผิดพลาดเสียหาย มีสติคอยกำกับอยู่ตลอดเวลา ว่าสิ่งใดควรทำ ส่ิงใดควรเว้น คำว่า ความรอบคอบ หมายถึง รวู้ า่ ส่งิ ใดทำแลว้ เกิดความผิดพลาด สง่ิ ใดทำแลว้ มีความถูกต้อง รรู้ ายละเอียดความสำคัญของงานวา่ งานไหนควรทำก่อน งานไหน ควรทำทหี ลัง งานไหนสำคญั มาก สำคัญปานกลาง สำคัญนอ้ ย จัดลำดบั งานแล้วทำงานมิให้ค่ังคา้ ง คำวา่ จัดการ งานเรียบร้อย หมายถึง ความเปน็ ระเบยี บเรียบรอ้ ย จัดงานเปน็ ระบบ สะอาด มคี วามเรียบร้อย สวยงาม คณุ สมบตั ิทงั้ ๔ ประการเหล่านี้ ควรทำให้เกิดขึ้นภายในตนและพยายามพอกพูนให้มีเพิ่มมากขึ้น ก็จะทำให้ข้าราชการผู้นั้นประสบ ความสำเรจ็ ในหน้าท่กี ารงานตลอดไป

๗ ๒) ปาปญเฺ จ ปรุ ิโส กยิรา น นํ กยิรา ปนุ ปปฺ นุ ํ น ตมหฺ ิ ฉนฺทํ กยิราถ ทกุ ฺโข ปาปสสฺ อุจฺจโย. ถ้าคนพงึ ทาํ บาป กไ็ มค่ วรทาํ บาปนัน้ บ่อยๆ ไมค่ วรทาํ ความพอใจในบาปนัน้ เพราะการสงั่ สมบาป นําทุกขม์ าให้ ทีม่ า ขทุ ทกนิกาย ธรรมบท อธิบายความว่า คำวา่ บาป คอื ความช่วั ความไมด่ ี ความประพฤตชิ ว่ั อกศุ ลกรรม อันได้แก่ ความประพฤติ ชวั่ ทางกาย เรยี กว่า กายทจุ รติ ความประพฤตชิ วั่ ทางวาจา เรยี กวา่ วจที ุจรติ ความประพฤติชว่ั ทางใจ เรียกวา่ มโนทุจริต กายทจุ ริต ประพฤตชิ ่ัวทางกายมีอยู่ ๓ อยา่ ง ไดแ้ ก่ ฆ่าสัตว์ ลกั ทรพั ย์ ประพฤติผิดในกาม วจที จุ รติ ประพฤติชั่วทางวาจา มีอยู่ ๔ อย่าง ได้แก่ พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ มโนทุจริต ประพฤติชั่วทางใจ มีอยู่ ๓ อย่าง ได้แก่ เพ่งเล็งอยากได้ของของเขา พยาบาทปองร้ายเขา เห็นผิดจากทำนองคลองธรรม เมื่อคนเราทำบาปไม่ว่าจะเป็นทางกาย ทางวาจา หรือทางใจก็ตาม หรือเมื่อคนเราทำความไม่ดีทำความไม่งาม ย่อมก่อให้เกิดความทุกข์เดือดร้อนใจ ไม่สบายใจ ทง้ั แก่ตนเองและผู้อ่ืนท่เี ก่ียวข้อง เปน็ ปจั จยั สง่ ผลให้ต้องได้รบั ความทุกข์ทั้งชาติน้ีและชาติหน้า ผลของการทำช่ัวท่ีเกิดแต่ ผู้กระทำ ที่ได้เห็นชัด เช่น ผิวพรรณเศร้าหมอง วาจาที่พูดกระด้าง เห็นผิด เห็นว่าทำชั่วไม่ได้ชั่ว บาปนั้น ท่านเปรียบ เหมือนปลาเนา่ แม้เพียงเล็กน้อยก็น่ารังเกียจ บางครั้ง คนเราอาจจะเผลอสติทำลงไปบา้ ง เมื่อมีสติระลึกรูไ้ ด้วา่ สิง่ ท่ที ำลง ไปแล้ว เป็นบาปเป็นความประพฤติชั่วก็ไม่ควรทำอีก ควรมีความยับยั้งชั่งใจ เหมือนคนที่เผลอจับปลาเน่า เมื่อล้างออก แล้วกไ็ ม่ควรจับอีก เพราะรูว้ า่ ส่งิ ท่ีได้สัมผัสเป็นของเหม็น ดังนนั้ เม่ือคนเรารวู้ า่ อะไรเปน็ บาป ก็อยา่ พึงทำบาป แม้อาจจะ พล้งั เผลอสตทิ ำไปบ้างกไ็ มค่ วรทำบาปนัน้ บอ่ ยๆ ไมค่ วรทำความพอใจในบาปนน้ั เพราะการสัง่ สมบาปนำทุกขม์ าให้ ๓) โย ปพุ เฺ พ กตกลยฺ าโณ กตตโฺ ถ นาวพชุ ฺฌติ ปจฺฉา กิจฺเจ สมุปปฺ นฺเน กตฺตารํ นาธิคจฉฺ ติ. ผ้อู ื่นทาํ ความดีให้ ทาํ ประโยชน์ให้ก่อน แต่ไมส่ าํ นึกถึง (บญุ คณุ ) เมอ่ื มีกิจเกิดขึ้นภายหลงั จะหาผชู้ ่วยทาํ ไม่ได้. ทีม่ า ขทุ ทกนิกาย ชาดก อธิบายความว่า คำว่า ผู้ไม่สำนึกถึงบุญคุณ หมายถึง คนที่ไม่รู้คุณคน คนอกตัญญู คนเนรคุณ คนที่ขาด ความกตญั ญูกตเวที เช่น มารดาบดิ าใหก้ ำเนิดเรามา และเลยี้ งดูจนเจริญวัย ใหม้ ีการศึกษาส่งเสียใหเ้ รียนสูงๆ ได้ทำงานดี มีตำแหน่งใหญ่ มีเงินทองมากมาย แต่ยามเมื่อมารดาบิดาแก่เฒ่า กลับไม่เลี้ยงดู หรือไม่รักษาท่านยามที่ท่านเจ็บป่วย ปลอ่ ยทา่ นทัง้ สองอยู่ลำบากตามยถากรรม ท้งั ๆ ที่ลกู ก็มีความสามารถจะเลย้ี งดูได้ คนเหล่านี้ แม้เราจะให้ข้าวปลาอาหาร ให้น้ำดื่มให้เงินทอง ให้ภูเขาทองทั้งลูกแม้กระทั่งให้แผ่นดินทั้งสิ้นก็หาทำให้คนเหล่านี้รู้จักบุญคุณของเราได้ คนเนรคุณ เมื่อเวลาท่ีตนยากลำบาก มีความขดั สน มคี วามจำเปน็ ตอ้ งขอความชว่ ยเหลอื จากผู้อื่น ในกิจการงานจำเปน็ บางอย่าง ก็จะ ถูกปฏิเสธ ไม่มีใครๆ ให้ความช่วยเหลือ ดังนั้น เมื่อคนเรารู้โทษของการเป็นคนเนรคุณเช่นนี้ ควรรู้คุณของผู้อื่น เป็นคน กตัญญูกตเวที รู้อุปการะที่ผู้อื่นทำแล้วและตอบแทนคุณของท่าน ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ทำประโยชน์ให้แก่ตน เพราะ ความกตญั ญูทำใหค้ นเรามีความเจริญรุ่งเรอื ง ตกนำ้ ไมไ่ หล ตกไฟไม่ไหม้

๘ ๒. ธัมมวรรค คือ หมวดธรรม ในหมวดน้ีมีพทุ ธศาสนสภุ าษิตที่ต้องศกึ ษา ๓ หวั ขอ้ (ข้อสอบอาจจะเลอื กมาเปน็ กระทตู้ ง้ั ) คือ ๑) โอวเทยยฺ านุสาเสยยฺ อสพภฺ า จ นิวารเย สตํ หิ โส ปิ โย โหติ อสตํ โหติ อปปฺ ิ โย. บคุ คลควรเตือนกนั ควรสอนกนั และป้ องกนั จากคนไมด่ ี เพราะเขายอ่ มเป็นที่รกั ของคนดี แต่ไมเ่ ป็นท่ีรกั ของคนไม่ดี. ทีม่ า ขทุ ทกนิกาย ธรรมบท อธิบายความว่า คำวา่ การเตอื นกนั หมายถึง การทคี่ นเราอยู่ดว้ ยกันเปน็ หมูค่ ณะ เมอ่ื อกี ฝา่ ยหนึ่งกำลังหลง ผิดหรือกำลังกระทำความผิด ควรต้องเตือนสติแก่เขา บอกให้ทราบถึงการทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องในเรื่องนั้นๆ คำว่า การแนะนำกัน หมายถึง คนเราเมื่ออยู่ด้วยกัน เมื่อฝ่ายหนึ่งยังทำกิจบางอย่างไม่ได้ ยังทำไม่เป็น อีกฝ่ายหนึ่งต้องมีความ เอ็นดู แนะนำให้ผู้ที่ไม่รู้เรื่องดังกล่าวให้มีความรู้ความเข้าใจ แนะนำให้เขาเห็นทางที่ควรไม่ควร แนะนำให้เขารู้ว่า นี้เป็น ทางเจริญ ต้องทำตามขั้นตอนเช่นน้ี ตอ้ งบอกแนวทางให้เข้าใจด้วยความมีน้ำใจไมตรีต่อกัน คำวา่ หา้ มปรามกัน หมายถึง คนเราที่อยู่ด้วยกัน เมื่อฝ่ายหนึ่งกำลังทำกรรมชั่ว อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่าไม่ได้การ ควรต้องรีบชี้แจงให้เห็นถึงโทษภัยที่จะ เกิดขึ้นตามมา และพูดให้เขาถอนใจไม่ทำสิ่งที่จะทำนั้น คำว่า คนดี หมายถึงสัตบุรุษ คนที่ยอมรับฟังคำสอนโดยเคารพ ดังนั้น คนทม่ี องเห็นคนผู้เตือน แนะนำเหมือนคนทชี่ บ้ี อกขุมทรัพย์ และใหค้ วามเคารพนบั ถือ แตส่ ำหรับคนที่ไม่ดี ก็จะไม่ พอใจ โกรธ ขัดเคือง ในเมื่อใครมากล่าวเตือน คนที่ไม่ยอมรับฟังคำเตือนคำแนะนำจะกลายเป็นคนที่ไม่มีพวก ไม่มีมิตร สหาย เป็นผู้ที่ไม่มีใครอยากเตือนหรือให้คำแนะนำ จึงเกิดความผิดพลาดได้ง่าย และเมื่อผลของการผิดพลาดที่ตนทำไว้ ส่งผลทำให้ผู้นั้นได้รับความทุกข์และเดือดร้อนใจ ต่างกับคนที่ยอมรับฟังคำเตือนคำแนะนำ มีความอ่อนน้อม เคารพเช่ือ ฟงั ยอ่ มเป็นทร่ี ักของคนดีทง้ั หลาย แตจ่ ะไมเ่ ปน็ ท่รี ักของคนไม่ดีทัง้ หลายเลย ๒) กาเมสุ พฺรหมฺ จริยวา วีตตณฺโห สทา สโต สงขฺ าย นิพพฺ โุ ต ภิกขฺ ุ ตสสฺ โน สนฺติ อิญชฺ ิตา. ภิกษุผ้เู หน็ โทษในกาม มีความประพฤติประเสริฐ ปราศจากตณั หา มีสติทกุ เม่ือ พิจารณาแล้ว ดบั กิเลสแล้ว ยอ่ มไมม่ ีความหวนั่ ไหว. ทีม่ า ขทุ ทกนิกาย สตุ ตนิบาต อธิบายความว่า คำว่า กาม คือ ความอยาก ความใคร่ ความทะยานอยาก มี ๒ อย่าง คือ ๑) กิเลสกาม กิเลสที่ทำให้ใคร่ และ ๒) วัตถุกาม วัตถุที่ทำให้เกิดความใคร่ ในที่นี้ หมายถึง วัตถุกาม ได้แก่ กามคุณ ๕ กล่าวคือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่นี่ปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ โทษของกามนั้นมีมากมาย คนยังหลง ผูกพัน หมกมุ่น ติดอยู่ในกาม คุณตราบใด ก็ยากที่จะพ้นไปจากทุกข์ มักจะตกอยู่ในความทุกข์ ติดอยู่ในภพ หลงงมงาย มีตามืดบอด เห็นผิดเป็นชอบ ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร ไม่มีที่สิ้นสุดตราบนั้น เมื่อภิกษุเห็นโทษในกามเช่นนี้ พึงเป็นผู้มีความประพฤติ ประเสรฐิ ประพฤติพรหมจรรย์ ดำรงอยู่ในศีล ประพฤติอยู่ในธรรม มีความเพยี รปฏิบัตธิ รรม ไมย่ ินดหี รอื ติดใจในกามคุณ ทั้งหลาย ปราศจากตัณหาคือความทะยานอยาก มีความระลึกรู้ถึงสิ่งที่ทำ คำที่พูด มีสติพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย โดย

๙ ความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน มีสติกำกับอยู่ทุกเมื่อ ในเมื่อพิจารณา ธรรมทั้งหลายอย่างรอบคอบ แล้วดับกิเลสทั้งหลายมีกิเลสตัณหาเป็นต้น ไม่มีความหวั่นไหวไปตามตัณหาและทิฏฐิ ความเหน็ ผดิ ไม่ไหลไปตามกระแสแห่งบาปธรรมทั้งหลาย กจ็ ะทำให้บรรลธุ รรม คอื มรรค ผล นิพพานไดใ้ นทสี่ ดุ ๓) ชิคจฺฉา ปรมา โรคา สงฺขารา ปรมา ทกุ ขฺ า เอตํ ญตฺวา ยถาภตู ํ นิพพฺ านํ ปรมํ สุข.ํ ความหิวเป็นโรคอย่างย่ิง สงั ขารเป็นทุกขอ์ ย่างย่ิง ร้ขู ้อนัน้ ตามเป็นจริงแลว้ ดบั เสียได้ เป็นสุขอย่างย่ิง ทีม่ า ขทุ ทกนิกาย ธรรมบท อธิบายความว่า คำว่า สังขาร หมายถึง ร่างกายของเรา ซึ่งมีธาตุทั้ง ๔ ประกอบกันขึ้น มีความดีและความ ชั่วติดตัวมา คำว่า สังขารเป็นทุกข์ หมายถึง ร่างกายของทุกคนเมื่อเกิดมาย่อมมีการแก่ เจ็บ ตาย แต่ก่อนจะตายนั้นมี โรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนทำให้เกิดความทุกข์ทรมาน เพราะสังขารไม่เอื้ออำนวย แต่เมื่อทุกคนได้เห็นความเป็นไปของ สังขารว่า มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเสื่อมไปเป็นธรรมดา และยินยอมต่อร่างกายที่ไม่ใช่ของเรา ทุกคนต้องคิดให้ได้ว่าทุก วันนี้ เวลาได้เคลื่อนชวี ติ ของพวกเราไปสู่ความเจ็บและความตาย ถึงแม้ความหิวของแต่ละบุคคลว่าเป็นทุกข์อย่างยิง่ แลว้ สงั ขารของเรานี่แหละคือความทุกข์ทยี่ ิ่งใหญ่กว่าความทุกขท์ ั้งปวง ดงั น้ัน จงึ ควรเขา้ ใจว่าสังขารร่างกายไม่ใช่ของเรา ควร ปล่อยวาง อย่ายึดติด เมื่อเราไปยึดติดมากก็เป็นความทุกข์ทำให้หมดความสุขในที่สุด แต่หากมีความเข้าใจสังขารนี้แล้ว จะทำให้มีความสุข ปราศจากความทุกข์ และมีจิตใจผ่องใสไร้ความกังวล มีอายุยืนยาว และมีความสุขอย่างยิ่งในชีวิตสืบ ตอ่ ไป ๓. วริ ยิ วรรค คือ หมวดความเพยี ร ในหมวดนี้มีพุทธศาสนสภุ าษติ ท่ตี ้องศึกษา ๔ หัวข้อ (ขอ้ สอบอาจจะเลือกมาเป็นกระท้ตู ัง้ ) คอื ๑) โกสชฺชํ ภยโต ทิสวฺ า วิริยารมภฺ ญจฺ เขมโต อารทธฺ วิริยา โหถ เอสา พทุ ฺธานุสาสนี. ท่านทงั้ หลายจงเหน็ ความเกียจคร้านเป็นภยั และเหน็ การปรารภความเพียร เป็นความปลอดภยั แลว้ ปรารภความเพียรเถิด นี้เป็นพทุ ธานุศาสนี. ทีม่ า ขทุ ทกนิกาย จริยาปิ ฎก อธบิ ายความ คำวา่ ความเกียจคร้าน คือ ความไม่อยากทำงาน ความเป็นคนงอมืองอเท้า ความเป็นคนเห็น แก่ความสบายไมย่ อมเหน็ดเหนื่อย ผูเ้ กยี จครา้ นมักทำอะไรไม่เต็มความสามารถ มักอา้ งวา่ หนาวนัก ร้อนนัก กระหายนัก แล้วไม่ยอมทำงาน ทำให้งานที่ทำอยู่ไม่ประสบความสำเร็จ คำว่า เป็นภัย คือ ความเกียจคร้านทำให้ผู้นั้นไม่ประสบ ความสำเร็จในการทำงานต่างๆ มักแก้ตัวอยู่เสมอ คนเกียจคร้านให้วันเวลาผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ เป็นที่ติเตียนของคน ทง้ั หลาย ไม่มใี ครอยากคบค้าสมาคมด้วย ในการปฏบิ ัตธิ รรม หากผเู้ กียจคร้านสนใจปฏิบัติธรรม แตท่ ำอย่างไม่จริงใจ มัก อ้างว่าร้อนนักแล้วไม่ตั้งใจปฏิบัติ ย่อมทำให้การปฏิบัติธรรมไม่ก้าวหน้า ไม่ประสบความสำเร็จ จึงทำให้ชีวิตไม่พ้นจาก ความทุกข์ ตกอยู่ในวังวนทจ่ี ะต้องเวยี นว่ายตายเกดิ อีก การเกียจครา้ นเช่นนี้จึงนับว่าเป็นภยั คำว่า การปรารภความเพียร

๑๐ คือ ความขยัน ความตั้งใจที่จะทำงานในหน้าที่ของตน ความมีความกระตือรือร้นที่จะทำงาน ความไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ปัญหาทำงานด้วยตั้งใจจริง ความขยันนี้ ผู้ใดมี ผู้นั้นย่อมประสบความสำเร็จ ได้รับผลจากการทำงาน จึงมีความสุข ดีใจ เมอื่ งานประสบความสำเร็จ ทีว่ ่าเปน็ ความปลอดภัย เพราะความเพียรทำใหผ้ นู้ ้ันพ้นจากความทุกข์ หากต้ังใจที่จะปฏิบัติ ธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ย่อมมีโอกาสที่จะบรรลุธรรม หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดใน วฏั สงสาร แมพ้ ระพุทธเจา้ ทรงสรรเสรญิ ความปรารภความเพียร เพราะความเพียรทำใหค้ นประสบความสำเรจ็ ๒) นิททฺ ํ ตนฺทึ วิชิมหฺ ิตํ อรตึ ภตฺตสมมฺ ทํ วิริเยน นํ ปณาเมตฺวา อริยมคโฺ ค วิสุชฌฺ ติ. อริยมรรคย่อมบริสุทธ์ิ เพราะขบั ไล่ความหลบั ความเกียจคร้าน ความบิดขีเ้ กียจ ความไม่ยินดี และความเมาอาหารนัน้ ได้ด้วยความเพียร ทีม่ า สงั ยุตตนิกาย สคาถวรรค อธิบายความว่า คำว่า อริยมรรค คือ หนทางที่นำไปสู่ความเป็นอริยะ เป็นทางประเสริฐ ทางดำเนินของ พระอรยิ ะ ญาณใหส้ ำเรจ็ ความเปน็ พระอริยะ มีองค์ ๘ ไดแ้ ก่ สมั มาทิฏฐิ เหน็ ชอบ สมั มาสงั กัปปะ ดำระชอบ สัมมาวาจา เจรจาชอบ สัมมากัมกันตะ กระทำชอบ สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ สัมมาวายามะ พยายามชอบ สัมมาสติ ระลึกชอบ และสัมมาสมาธิ ตั้งจิตมั่นชอบ อริยมรรคนี้ย่อมบริสุทธ์ คือ หมดจดจากสังโยชน์ทั้งปวง ตามชั้นของอริยบุคคลด้วยความ เพียรคือ ความหมั่น ความไม่ท้อถอย ที่เกิดขึ้นพร้อมกับอริยบุคคล เพราะขับไล่บาปธรรมต่างๆ คือ ความหลับ คือความ งว่ งนอน เรยี กว่า ถนี มทิ ธะ ขับไล่ความเกียจคร้าน คือ เบอ่ื หนา่ ยในการทำงาน ความผัดวนั ประกันพรุ่ง ในการที่จะลงมือ ทำงาน ขับไล่ความขี้เกียจ คือ ไม่กระปรี้กระเปร่าง่วงซึม ไม่อยากจะลุกจากที่หรือลงมือทำงาน ขับไล่ความไม่ยินดี คือ หมดอาลัยตายอยากในสิง่ ท่ตี นไม่ปรารถนาอยากได้อยากมีอยากเปน็ และขับไลค่ วามเมาอาหารคอื ติดใจรสอาหาร เหน็ แก่ กิน เห็นแก่ปากท้อง ดังนั้น คนที่ปรารถนาอยากได้อริยมรรค ต้องมุ่งมั่นทำความเพียรด้วยความตั้งใจอย่างไม่ย่อท้อ ขยัน ตั้งใจปฏิบัติธรรม รู้ประมาณในการบริโภค มุ่งมั่นปฏิบัติให้มีความเจริญในธรรม เมื่อมีความเพียร บาปธรรมมีความง่วง นอนเปน็ ต้นก็หายไป ทำให้การทำงานมคี วามสุข และประสบความสำเรจ็ ๓) โย จ วสสฺ สตํ ชีเว กสุ ีโต หีนวีริโย เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย วิริยํ อารภโต ทฬหฺ .ํ ผ้ใู ดเกียจครา้ น มคี วามเพียรเลว พึงเป็นอยู่ตงั้ ร้อยปี แต่ผ้ปู รารภความเพียรมนั่ คง มชี ีวิตอยู่เพียงวนั เดียว ประเสริฐกว่าผ้นู ัน้ . ทีม่ า ขทุ ทกนิกาย ธรรมบท อธิบายความว่า คำว่า เกียจครา้ น คอื การไมอ่ ยากทำงาน ความงอมืองอเท้า ความอยูเ่ ฉยๆ กินแล้วก็นอน การที่อ้างว่า ยังเช้านัก สายแล้ว เย็นแล้ว ค่ำแล้ว หิวนักกินข้าวก่อน กระหายนักดื่มน้ำก่อน แล้วไม่ทำงาน การท่ี ผลัดวันประกันพรุ่งให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ คำว่า มีความเพียรเลว คือ ชอบทำสิ่งที่เป็นความชั่ว เพียรพยายาม ทำความไม่ดี มีลักขโมย ปล้น จี้ วิ่งราวทรัพย์ เบียดเบียนผู้อื่น ทำความเดือดร้อนให้ผู้อื่น การไม่ยอมทำงานที่เป็น ประโยชน์ ชอบทำงานท่ีไร้ประโยชน์ คำว่า ผ้ปู รารภความเพียรมั่นคง คอื คนที่มีความพยายามทำสิ่งทเ่ี ป็นกุศล หมายถึง

๑๑ คนที่มีความขยันไม่เสื่อมคลาย คนที่มีความขยันทำงานในหน้าที่ของตนให้มีการพัฒนาขึ้น คนที่ประกอบความเพียรใน กุศลธรรม คนที่หมั่นทำความเพียรเป็นเครื่องตื่นอยู่ บำเพ็ญเพียรเพื่อชำระจิตใจให้สะอาดหมดจด ดังนั้นผู้ที่เกียจคร้าน ผลัดวัน อ้างโน้นอ้างนี้แล้ว ไม่ทำงาน และถ้าทำงาน ก็เพียรทำสิ่งชั่วไม่ทำสิ่งที่ดีงาม ถึงมีอายุยืนเป็นร้อยปี ก็เปล่า ประโยชน์ ไม่มีใครๆ ตอ้ งการ เมื่อตายไปยอ่ มไปอบายภมู ิ มีนรกเป็นต้น สว่ นผมู้ ีความขยนั หมัน่ เพยี ร ทำงานในหน้าที่ของ ตนอย่างดี ประกอบกุศล มีความเพียรเป็นเครื่องตื่นอยู่บำเพ็ญเพียรปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน ผู้มีลักษณะ เช่นนี้แม้มีชวี ิตอยู่วันเดียวย่อมดีกวา่ เพราะผู้ปรารภความเพียรมั่นคง ประพฤติปฏิบัติธรรม เมื่อตายไปย่อมไปสู่สุคตโิ ลก สวรรค์ ๔) สพพฺ ทา สีลสมปฺ นฺโน ปญญฺ วา สุสมาหิโต อารทธฺ วิริโย ปหิตตโฺ ต โอฆํ ตรติ ทุตฺตร.ํ ผถู้ ึงพร้อมด้วยศีล มีปัญญา มีใจมนั่ คงดีแล้ว ปรารภความเพียร ตงั้ ตนไวใ้ นกาลทุกเมอ่ื ยอ่ มข้ามโอฆะท่ีขา้ มได้ยาก. ทีม่ า สงั ยตุ ตนิกาย สคาถวรรค อธิบายความว่า คำว่า ถึงพร้อมด้วยศีล หมายถึง สมาทานศีลแล้วรักษาไว้มิให้ขาด ไม่ให้ทะลุ ไม่ให้ด่าง และมใิ หพ้ ร้อย ไม่ใหล้ ่วงละเมดิ ดว้ ยความประมาท ขาดสติ เผลอใจประกอบกรรมช่ัว ในทนี่ หี้ มายถึงมีศลี ประพฤติดี ทาง กายทางวาจา โดยมีเจตนางดเวน้ จากความช่ัวทางกาย ทางวาจา คำว่า มีปัญญา หมายถึง มีสติประกอบด้วยความรอบรู้ ต่อสภาวะต่างๆ ในโลก จะทำ จะพูด จะคิดอะไร ย่อมมีสติรู้ว่า สิ่งนี้เป็นบุญหรือเป็นบาป สิ่งนี้เป็นคุณหรือเป็นโทษ กล่าวคือรอบร้ใู นสง่ิ ท่ีเป็นกศุ ลและอกศุ ล รู้วา่ ส่ิงนค้ี วรทำ ส่งิ นี้ไม่ควรทำ สง่ิ นี้ทำแล้วมีประโยชน์ สิ่งน้ที ำแล้วไม่มปี ระโยชน์ คำว่า มจี ิตมั่นคงดีแล้ว หมายถึง มจี ติ สงบเป็นสมาธิ มีอารมณเ์ ดียว ไมห่ ว่นั ไหวไปในอำนาจแห่งกิเลสตัณหา มีจิตมั่นคงใน สมาธิ คำว่า ปรารภความเพียร มคี วามขยนั ไม่ยอ่ ทอ้ บากบ่ัน ในการปฏิบตั ิธรรม เพ่อื ชำระจิตใหส้ ะอาดหมดจด คำวา่ ตง้ั ตนไวใ้ นกาลทุกเม่ือ หมายถึง มีสติไมป่ ระมาทตื่นตวั อยูเ่ สมอ ตั้งจิตไว้มั่นในสิ่งท่ีกระทำอย่างต่อเน่ือง คำว่า โอฆะ คือห้วง น้ำ หมายถึง กิเลสที่เป็นเหมือนห้วงน้ำใหญ่ที่พัดสัตว์ให้จมลงในความทุกข์ ให้หมู่สัตว์ติดอยู่ในโลก จำต้องเวียนว่ายตาย เกดิ อยู่ร่ำไป ผู้ทมี่ คี ุณสมบัตดิ งั กลา่ วมขี า้ งต้น มีความถึงพร้อมด้วยศลี มีปญั ญา มีจติ มัน่ คง ปรารภความเพียรในการปฏิบัติ ธรรม เจริญสมาธิภาวนาอย่างต่อเน่อื ง จนร้แู จ้งเหน็ จริงว่า สรรพสงิ่ ล้วนตกอย่ใู นกฎแหง่ ไตรลักษณ์ท่ีวา่ ส่งิ ทงั้ หลายล้วนไม่ เทย่ี ง เป็นทกุ ข์ไมใ่ ชต่ วั ตน ยอ่ มขา้ มพ้นโอฆะทสี่ ัตวโ์ ลกขา้ มได้ยาก

๑๒ ๑.๕ ตัวอยา่ งขอ้ สอบวชิ าเรียงความแก้กระทธู้ รรม

๑๓ เลขท.ี่ ............. ประโยคธรรมศกึ ษาชัน้ [ ]ตรี [ ]โท [✓]เอก ชว่ งช้นั []ประถม [✓]มธั ยม [ ]อุดม วิชา เรียงความแกก้ ระทูธ้ รรม สอบในสนามหลวง วันท่ี ___ เดอื น __________ พ.ศ.____ โอวเทยฺยานุสาเสยฺย อสพฺภา จ นิวารเย สตํ หิ โส ปิโย โหติ อสตํ โหติ อปปฺ โิ ย. บุคคลควรเตือนกัน ควรสอนกัน และป้องกนั จากคนไม่ดี เพราะเขาย่อมเปน็ ทีร่ กั ของคนดี แตไ่ มเ่ ปน็ ทีร่ ักของคนไม่ด.ี บัดนี้จักได้บรรยายขยายความตามธรรมภาษิตที่ได้ลิขิตไว้ ณ เบื้องต้น เพื่อเป็นแนวทางแห่งการประพฤติปฏิบัติของสาธุชนผู้ใคร่ในธรรม สืบไป อธิบายความว่า คำว่า การเตือนกัน หมายถึง การที่คนเราอยู่ ด้วยกันเป็นหมู่คณะ เมื่ออีกฝ่ายหนึง่ กำลังหลงผิดหรือกำลังกระทำความผิด ควร ต้องเตอื นสติแก่เขา บอกใหท้ ราบถึงการทำเช่นนเี้ ป็นส่งิ ท่ไี ม่ถูกตอ้ งในเรื่องนั้นๆ คำว่า การแนะนำกัน หมายถึง คนเราเมื่ออยู่ด้วยกัน เมื่อฝ่ายหนึ่งยังทำกิจ บางอย่างไม่ได้ ยังทำไม่เป็น อีกฝ่ายหนึ่งต้องมีความเอ็นดู แนะนำให้ผู้ที่ไม่รู้ เรอ่ื งดงั กลา่ วให้มคี วามรคู้ วามเข้าใจ แนะนำใหเ้ ขาเหน็ ทางถกู ทีค่ วร ที่ไมค่ วร

๑๔ แนะนำให้เขารู้ว่า นี้เป็นทางเจริญ ต้องทำตามขั้นตอนเช่นนี้ ต้องบอกแนวทาง ให้เข้าใจด้วยความมีน้ำใจไมตรีต่อกัน คำว่า ห้ามปรามกัน หมายถึง คนเราที่ อยู่ด้วยกนั เมื่อฝ่ายหนึ่งกำลังทำกรรมช่ัว อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่าไมไ่ ด้การ ควรต้อง รีบชี้แจงให้เห็นถึงโทษภัยที่จะเกิดขึ้นตามมา และพูดให้เขาถอนใจไม่ทำสิ่งที่จะ ทำนั้น คำว่า คนดี หมายถึง สัตบุรุษ คนที่ยอมรับฟังคำสอนโดยเคารพ ดังน้นั คนท่มี องเห็นคนเตอื นเหมือนคนทช่ี บี้ อกขมุ ทรัพย์ และใหค้ วามเคารพนบั ถอื ส่วน คนที่ไม่พอใจ โกรธ ขัดเคือง เมื่อใครมากล่าวเตือน จะกลายเป็นคนที่ไม่มพี วก ไม่มีมิตรสหาย เป็นผู้ที่ไม่มีใครอยากเตือนหรือให้คำแนะนำ จึงเกิดความ ผิดพลาดได้ง่าย ส่งผลทำให้ผู้นั้นได้รับความทุกข์และเดือดร้อนใจ ต่างกับคนท่ี ยอมรับฟังคำเตือนคำแนะนำ มีความอ่อนน้อม เคารพเชื่อฟัง ย่อมเป็นที่รักของ คนดีทั้งหลาย แต่จะไม่เป็นที่รักของคนไม่ดีทั้งหลายเลย น้ีสมด้วยธรรมภาษิต ที่มาใน ขุททกนิกาย ธรรมบทวา่ ปาปญเฺ จ ปรุ ิโส กยิรา น นํ กยิรา ปนุ ปปฺ นุ ํ น ตมหฺ ิ ฉนทฺ ํ กยิราถ ทกุ โฺ ข ปาปสฺส อุจฺจโย. ถ้าคนพงึ ทําบาป ก็ไมค่ วรทําบาปน้ันบอ่ ยๆ ไม่ควรทาํ ความพอใจในบาปนน้ั เพราะการส่งั สมบาป นาํ ทกุ ข์มาให้ อธิบายความว่า คำว่า บาป คือ ความชั่ว ความไม่ดี ความประพฤติ ชั่ว อกุศลกรรม อันได้แก่ ความประพฤติชั่วทางกาย เรียกว่า กายทุจริต ความ ประพฤตชิ ว่ั ทางวาจา เรียกว่า วจีทุจรติ ความประพฤติชวั่ ทางใจ เรียกวา่ มโน

๑๕ ทุจริต กายทุจริต ประพฤติชั่วทางกายมีอยู่ ๓ อย่าง ได้แก่ ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม วจีทุจริต ประพฤติชั่วทางวาจา มีอยู่ ๔ อย่าง ได้แก่ พูด เทจ็ พดู ส่อเสยี ด พูดคำหยาบ พดู เพ้อเจอ้ มโนทุจรติ ประพฤติชว่ั ทางใจ มอี ยู่ ๓ อย่าง ได้แก่ เพ่งเล็งอยากได้ของของเขา พยาบาทปองร้ายเขา เห็นผิดจาก ทำนองคลองธรรม เมื่อคนเราทำบาปไม่ว่าจะเป็นทางกาย ทางวาจา หรือทาง ใจกต็ าม ยอ่ มก่อให้เกิดความทุกขเ์ ดอื ดร้อนใจ ไม่สบายใจท้งั แก่ตนเองและผอู้ ่ืน ที่เกี่ยวข้อง เป็นปัจจัยส่งผลให้ต้องได้รบั ความทุกข์ท้ังชาตินี้และชาติหน้า ดังน้นั เมื่อคนเรารู้ว่าอะไรเป็นบาป ก็อย่าพึงทำบาป แม้อาจจะพลั้งเผลอสติทำไปบา้ งก็ ไม่ควรทำบาปนั้นบ่อยๆ ไม่ควรทำความพอใจในบาปนั้น เพราะการสั่งสมบาป นำทุกข์มาให้ นส้ี มด้วยธรรมภาษิตท่มี าใน ขทุ ทกนกิ าย สุตตนิบาตวา่ โย จ วสฺสสตํ ชเี ว กุสีโต หีนวรี โิ ย เอกาหํ ชวี ติ ํ เสยโฺ ย วิรยิ ํ อารภโต ทฬหฺ ํ. ผ้ใู ดเกยี จครา้ น มคี วามเพยี รเลว พึงเปน็ อยตู่ ัง้ ร้อยปี แต่ผปู้ รารภความเพียรมน่ั คง มชี ีวติ อยู่เพียงวันเดียว ประเสรฐิ กว่าผ้นู ้ัน.. อธิบายความว่า คำว่า เกียจคร้าน คือ การไม่อยากทำงาน ความงอ มอื งอเท้า ความอยูเ่ ฉยๆ กนิ แลว้ ก็นอน การท่ผี ลดั วันประกันพรุง่ ให้เวลาผ่านไป โดยเปล่าประโยชน์ คำว่า มีความเพียรเลว คือ ชอบทำสิ่งที่เป็นความชั่ว เพียร พยายามทำความไม่ดี มีลักขโมย ปล้น จี้ วิ่งราวทรัพย์ เบียดเบียนผู้อื่น ทำ ความเดอื ดร้อนใหผ้ ู้อื่น คำวา่ ผ้ปู รารภความเพยี รมั่นคง คอื คนทีม่ คี วามเพยี ร

๑๖ พยายาม ทำสิ่งที่เป็นกุศล คนที่ประกอบความเพียรในกุศลธรรม คนที่หมั่นทำ ความเพยี รเป็นเครอื่ งต่ืนอยู่ บำเพญ็ เพยี รเพ่ือชำระจติ ใจใหส้ ะอาดหมดจด ดังน้ัน ผู้ที่เกียจคร้าน ผลัดวัน อ้างโน้นอ้างนี้แล้ว ไม่ทำงาน และถ้าทำงาน ก็เพียรทำ สิ่งชั่วไม่ทำสิ่งที่ดีงาม ถึงมีอายุยืนเป็นร้อยปี ก็เปล่าประโยชน์ ไม่มีใครๆ ต้องการ เมื่อตายไปย่อมไปอบายภูมิ มีนรก เป็นต้น ส่วนผู้มีความ ขยันหมั่นเพียร ทำงานในหน้าที่ของตนอย่างดี ประกอบกุศล มีความเพียรเป็น เคร่ืองตื่นอยู่บำเพ็ญเพียรปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน ผู้มีลักษณะ เชน่ น้ีแม้มีชวี ิตอยวู่ ันเดียวย่อมดีกวา่ เพราะผู้ปรารภความเพยี รมน่ั คง ประพฤติ ปฏิบัติธรรม เมื่อตายไปย่อมไปสู่สุคติโลกสวรรค์ นี้สมด้วยธรรมภาษิตที่มาใน สงั ยุตตนิกาย สคาถวรรควา่ สพฺพทา สลี สมปฺ นฺโน ปญญฺ วา สุสมาหโิ ต อารทธฺ วริ ิโย ปหิตตฺโต โอฆํ ตรติ ทุตฺตรํ. ผู้ถงึ พร้อมด้วยศลี มีปัญญา มใี จมั่นคงดีแลว้ ปรารภความเพียร ต้งั ตนไวใ้ นกาลทุกเมื่อ ยอ่ มข้ามโอฆะทข่ี า้ มได้ยาก. อธิบายความว่า คำว่า ถึงพร้อมด้วยศีล หมายถึง สมาทานศีลแล้ว รักษาไว้มิให้ขาด ไม่ให้ทะลุ ไม่ให้ด่าง และมิให้พร้อย ไม่ให้ล่วงละเมิดด้วย ความประมาท ขาดสติ เผลอใจประกอบกรรมชว่ั ในที่น้ีหมายถึง มศี ีล ประพฤติ ดี ทางกายทางวาจา โดยมเี จตนางดเว้น จากความชัว่ ทางกาย ทางวาจา คำว่า มีปญั ญา หมายถงึ มีสติประกอบด้วยความรอบรู้ตอ่ สภาวะต่างๆ ในโลก จะทำ

๑๗ จะพูด จะคิดอะไร ย่อมมีสติรู้ว่า สิ่งนี้เป็นบุญหรือเป็นบาป สิ่งนี้เป็นคุณหรือเป็น โทษ คำว่า มีจิตมั่นคงดีแล้ว หมายถึง มีจิตสงบเป็นสมาธิ มีอารมณ์เดียว ไม่ หวั่นไหวไปในอำนาจแหง่ กิเลสตัณหา มีจิตมั่นคงในสมาธิ คำว่า ปรารภความ เพียร มีความขยันไม่ย่อท้อ บากบั่นในการปฏิบัติธรรม เพื่อชำระจิตให้สะอาด หมดจด คำวา่ ต้ังตนไว้ในกาลทุกเมอ่ื หมายถงึ มีสตไิ มป่ ระมาทต่ืนตวั อยเู่ สมอ ตั้งจิตไว้มั่นในสิ่งที่กระทำอย่างต่อเนื่อง คำว่า โอฆะ คือ ห้วงน้ำ หมายถึง กิเลสที่เป็นเหมือนห้วงน้ำใหญ่ท่ีพัดสัตว์ให้จมลงในความทุกข์ ให้หมู่สัตว์ติดอยู่ ในโลก จำต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ร่ำไป ผู้ที่มีคุณสมบัติดังกล่าวข้างต้น มี ความถึงพร้อมด้วยศีล มีปัญญา มีจิตมั่นคง ปรารภความเพียรในการปฏิบัติ ธรรม เจริญสมาธิภาวนาอย่างต่อเนื่อง จนรู้แจ้งเห็นจริงว่า สรรพสิ่งล้วนตกอยู่ ในกฎแห่งไตรลักษณ์ที่ว่าสิ่งทั้งหลายล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ไม่ใช่ตัวตน ย่อม ขา้ มพน้ โอฆะทส่ี ัตว์โลกข้ามได้ยาก สรุปความว่า ผู้ที่เตือนผู้อื่นด้วยจิตที่ปรารถนาดี เป็นเหมือนคนที่ ชี้บอกขุมทรัพย์ให้ สอนให้รู้ว่าอะไรเป็นบาป ไม่ให้เผลอสติทำไปบาปนั้นบ่อยๆ เพราะการสั่งสมบาปนำทุกข์มาให้ แนะนำให้ตั้งอยู่ในศีล ขยันหมั่นเพียร ประกอบกุศล ปฏิบัติธรรมให้เกิดปัญญาจนรู้แจ้งเห็นจริงว่า สรรพสิ่งล้วนตกอยู่ ในกฎแห่งไตรลักษณ์ที่ว่าสิ่งทั้งหลายล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ไม่ใช่ตัวตน ย่อม ข้ามพ้นโอฆะที่สัตว์โลกข้ามได้ยากได้ คนที่ไม่พอใจ โกรธ ขัดเคือง เมื่อใคร มากล่าวเตือน ชีวิตแมม้ อี ายรุ ้อยปี กอ็ าจดำเนินชีวติ ผดิ พลาด ไดร้ บั ความทกุ ข์

๑๘ และเดือดรอ้ นใจ ตา่ งกับคนท่ยี อมรบั ฟังคำเตอื นคำแนะนำ ย่อมเป็นที่รกั ของคนดี ทั้งหลาย แต่จะไม่เป็นท่ีรักของคนไม่ดีทั้งหลายเลย สมด้วยธรรมภาษิตที่ได้ลิขติ ไว้ ณ เบ้อื งตน้ วา่ โอวเทยฺยานุสาเสยฺย อสพภฺ า จ นิวารเย สตํ หิ โส ปโิ ย โหติ อสตํ โหติ อปฺปโิ ย. บคุ คลควรเตอื นกัน ควรสอนกนั และป้องกนั จากคนไมด่ ี เพราะเขาย่อมเปน็ ท่ีรกั ของคนดี แตไ่ มเ่ ป็นทร่ี กั ของคนไมด่ .ี มนี ัยดังไดพ้ รรณนามาดว้ ยประการฉะน้ี ฯ ๑.๖ กระทู้ยอดนิยม ในการเตรยี มตัวก่อนสอบ นักเรียนสามารถเลือกท่องพุทธศาสนสุภาษิตที่นิยมนำมาเป็นกระทู้รับเพิ่มเติมได้ ซ่ึงไดเ้ ลือกกระทรู้ บั ยอดนยิ ม พร้อมแนวทางการอธิบายไว้ ๕ กระทู้ ดังนี้ กระท้รู บั ที่ ๑ ยาทิสํ วปเต พีชํ ตาทิสํ ลภเต ผลํ กลฺยาณการี กลยฺ าณํ ปาปการี จ ปาปก.ํ บคุ คลหว่านพืชเช่นใด ยอ่ มได้ผลเช่นนัน้ ผ้ทู าํ กรรมดี ยอ่ มได้ผลดี ผทู้ าํ กรรมชวั่ ย่อมได้ผลชวั่ . ทีม่ า สงั ยุตตนิกาย สคาถวรรค. อธิบายความวา่ คำวา่ ทำดี คอื ทำสจุ รติ ๓ ไดแ้ ก่ ๑) กายสุจรติ ความประพฤตดิ ีทางกาย มกี ารงดเว้นจาก การฆ่าสัตว์ เป็นต้น ๒) วจีสุจริต ความประพฤติดีทางวาจา มีการพูดคำสัตย์ เป็นต้น ๓) มโนสุจริต ความประพฤติดีทาง ใจ มีการไม่เพ่งเล็งอยากได้ของของผู้อื่น เป็นต้น คำว่า ทำชั่ว คือ ทำทุจริตทั้ง ๓ คือ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ ธรรมดาบุคคลหวา่ นพชื เมื่อถึงฤดทู ำนา ย่อมไถและหวา่ นข้าวลงในนา เพราะมนี ้ำหรือฝนตกต้องตามฤดูกาล ข้าวท่ีหว่าน ไวก้ เ็ จริญงอกงามและออกรวง ผกู้ ระทำความดี ผู้นั้นย่อมได้รบั ผลดีคือไมต่ ้องกลวั เดือดร้อน เพราะกรรมท่ีตนกระทำไว้ดี ผลที่ได้รับคือความสุข ความสบายและมีสุคติเป็นเบื้องหน้า แต่ผู้ที่กระทำกรรมช่ัวคือกรรมลามก เขาก็ได้รับผลช่ัวตามที่

๑๙ ได้ประกอบกรรมทำชั่วไว้เป็นความทุกข์ความเดือดร้อนในโลกนี้ แม้ละจากโลกนี้แล้วก็ย่อมประสบกับความเร่าร้อนใน อบาย กระท้รู บั ท่ี ๒ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ โก หิ นาโถ ปโร สิยา อตฺตนา หิ สทุ นฺเตน นาถํ ลภติ ทุลลฺ ภ.ํ ตนแล เป็นท่ีพึ่งของตน คนอื่นใครเล่า จะเป็นท่ีพง่ึ ได้ กบ็ คุ คลมตี นฝึ กฝนดีแล้ว ย่อมได้ที่พ่ึงท่ีหาได้โดยยาก. ทีม่ า ขทุ ทกนิกาย ธรรมบท. อธิบายความว่า ตน หมายถึง ร่างกายและจิตใจ ที่เรียกว่าอัตภาพหรือตัวตนของเรา เป็นที่พึ่งของตน หมายถึง ให้พึ่งตัวเองให้มาก ในขอบเขตที่สามารถทำได้ ในขณะที่ยังอยู่ในวัยหรือในภาวะหนึ่งๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสสอนให้คนเราพึ่งตนเอง ซึ่งทำได้ ๒ อย่าง คือ ๑) ทางร่างกาย อาศัยแรงกายทำงานประกอบสัมมาอาชีพดำรงชีวิต เพอ่ื ใหช้ วี ติ ดำรงอย่ไู ด้ ๒) ทางจติ ใจ อาศยั ร่างกายนีเ้ ป็นสว่ นหนงึ่ ที่จะตอบสนองใหท้ ำสงิ่ ตา่ งๆ เช่น ทำความดี ทำบญุ กศุ ล ที่พ่ึงอย่างอน่ื ทคี่ นเราจะยึดเปน็ ทพ่ี ่ึงไปตลอดชวี ิต ไม่วา่ บิดามารดา ครูอาจารย์ ย่อมจะทำไดโ้ ดยยาก การสง่ั สมทรัพย์สิน เงินทองไวเ้ พื่อให้เราพ่ึงตนเองได้ในโลกนี้ เพราะเมือ่ ส้ินชวี ิตลงทรัพย์เหล่านั้นไม่สามารถนำตดิ ตัวไปได้ ส่วนการสั่งสมบุญ กุศลเป็นการทำท่พี ึง่ ให้แก่ตนเองในโลกหน้า ดังนั้น เราจงึ ตอ้ งทำบญุ ดว้ ยตนเอง อย่าไปหวงั พ่ึงผอู้ น่ื เพราะเมื่อละจากโลก นีไ้ ปแล้ว ย่อมได้ไปเกดิ ในสคุ ติโลกสวรรค์ กระท้รู บั ที่ ๓ โย จ วสสฺ สตํ ชีเว กสุ ีโต หีนวีริโย เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย วิริยํ อารภโต ทฬฺห.ํ ผเู้ กียจคร้าน มีความเพียรเลว พึงเป็นอยตู่ งั้ รอ้ ยปี ส่วนผ้ปู รารภความเพียรมนั่ คง มีชีวิตอยู่เพียงวนั เดียวประเสริฐกว่า. ทีม่ า ขทุ ทกนิกาย ธรรมบท. อธิบายความว่า คำว่า เกียจคร้าน คือ การไม่อยากทำงาน ผัดวันประกันพรุ่งให้เวลาผ่านไปโดยเปล่า ประโยชน์ คำวา่ มีความเพียรเลว คอื เพยี รพยายามทำความไม่ดี มีการลักขโมย ปลน้ จ้ี ว่งิ ราวทรพั ย์ เบยี ดเบยี นผ้อู น่ื ทำ ความเดือดร้อนให้ผู้อื่น ชอบทำงานที่ไร้ประโยชน์ คำว่า ผู้ปรารภความเพียรมั่นคง คือ คนที่มีความพยายามทำสิ่งที่เป็น บุญกุศลหม่ันทำความเพียรเพอ่ื ชำระจิตใจให้สะอาดหมดจด ดงั น้นั ผูท้ ่เี กียจครา้ น เพียรทำส่งิ ช่ัวไม่ทำสิ่งท่ีดีงาม ถึงมีอายุ ยืนเป็นร้อยปีก็เปล่าประโยชน์ ไม่มีใครๆ ต้องการ เมื่อตายไปย่อมไปอบายภูมิ มีนรก เป็นต้น ส่วนผู้ท่ี มีความ ขยันหมั่นเพียรประกอบบุญกุศล มีความเพียรมั่นคง ปรารภความเพียรมั่นคง ประพฤติปฏิบัติธรรม เมื่อตายไปย่อมไปสู่ สุคตโิ ลกสวรรค์

๒๐ กระท้รู บั ที่ ๔ ปญุ ญฺ ญเฺ จ ปรุ ิโส กยิรา กยิราเถนํ ปุนปปฺ นุ ํ ตมหฺ ิ ฉนฺทํ กยิราถ สโุ ข ปญุ ฺญสสฺ อจุ ฺจโย. ถา้ บคุ คลจะกระทาํ บุญ ควรทาํ บุญนัน้ บ่อย ๆ ควรทาํ ความพอใจในบุญนัน้ การสงั่ สมบุญนําความสขุ มาให้. ทีม่ า ขทุ ทกนิกาย ธรรมบท. อธิบายความว่า บุญ หมายถึง สิ่งเกิดขึ้นในจิตใจ แล้วทำให้จิตใจใสสะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากความเศร้า หมองขุน่ มัว บญุ เปน็ ชอ่ื ของความสขุ และความสำเรจ็ เปน็ ผลจากการประกอบกรรมดี เกิดข้ึนไดด้ ว้ ยอาการ ๓ อย่าง คือ ๑) ทานมยั บญุ สำเรจ็ ด้วยการให้ทาน ๒) ศลี มยั บญุ สำเร็จด้วยการรกั ษาศีล ๓) ภาวนามยั บุญสำเรจ็ ดว้ ยการเจริญสมาธิ คนทั่วไปแม้จะมองไม่เห็นบุญ แต่สามารถรู้อาการของบุญหรือผลของบุญได้ว่าเกิดขึ้นแล้วทำให้จิตใจชุ่มชื่นเป็นสุข และ สามารถติดตามผู้ที่ทำบุญเหมือนเงาติดตามตัว อีกทั้งบุญยังเป็นของเฉพาะตน อยากได้ต้องทำเอง ไม่สามารถให้ใครทำ แทนได้ บุญสามารถสั่งสมได้ด้วยการทำความดี การทำบุญจึงควรทำความพึงพอใจ ควรมีอุตสาหะขวนขวายในบุญ เพราะการสงั่ สมบุญ ช่ือว่าทำใหเ้ กดิ ความสขุ กระท้รู บั ที่ ๕ สพพฺ ปาปสสฺ อกรณํ กสุ ลสสฺ ูปสมฺปทา สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํ พทุ ธฺ านสาสนํ. การไมท่ าํ บาปทงั้ ปวง ๑ การยงั กศุ ลให้ถงึ พรอ้ ม ๑ การทาํ จิตของตนให้ผ่องแผ้ว ๑ นี้ เป็นคาํ สอนของพระพทุ ธเจา้ ทงั้ หลาย. ทีม่ า ขทุ ทกนิกาย ธรรมบท. อธิบายความว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงวางหลักการปฏิบัติตนให้พุทธศาสนิกชนไว้ ๓ ประการ คือ ๑) การไมท่ ำบาปท้ังปวง หมายถึง การไมป่ ระพฤตชิ ัว่ ทางกาย วาจา ใจ คอื ไมท่ ำส่งิ ทกี่ ่อให้เกดิ ความเดือดร้อนแก่ตนเอง และผู้อื่น ๒) การยังกุศลให้ถึงพร้อม หมายถึง การประพฤติชอบทางกาย วาจา ใจ คือ ทำสิ่งที่ก่อให้เกิดความสุข ความ เจริญ แก่ตนเองและผู้อื่น ๓) การทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว หมายถึง การอบรมจิตใจของตนเองให้บริสุทธิ์สะอาด ปราศจากเครื่องเศร้าหมอง คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ที่ทรงอุบัติขึน้ ในโลกนี้ ก็ล้วน ทรงประทานโอวาท ๓ ข้อนี้อันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ให้แก่มหาชนได้ยึดถือเป็นหลักปฏิบัติในการดำเนินชีวิตท่ี ถกู ตอ้ ง เพือ่ ให้สามารถลว่ งพน้ จากทกุ ข์และมสี ขุ ในปัจจุบันและในภพชาติต่อไปจนกระทงั่ เขา้ ส่พู ระนิพพาน

๒๑ บทท่ี ๒ สรุปย่อเนือ้ หา-แนวข้อสอบ ธรรมศกึ ษาชั้นเอก ระดบั มธั ยมศึกษา

๒๒ ๒.๑ แนวขอ้ สอบธรรมศึกษาชั้นเอก ๓. การเวียนวา่ ยตายเกดิ ของสตั วท์ ง้ั หลาย เรยี กว่าอะไร ? วิชาธรรมวิจารณ์ สว่ นสงั สารวัฏ ก. ภมู ิ ข. สงั สารวัฏ ๑. คติ ๒ ค. คติ ง. ภพ อทุ เทสข้อท่ี ๑ : ๔. ภมู เิ ป็นที่ไปเบอื้ งหนา้ หลังความตาย มคี ำเรยี กวา่ อะไร ? จติ เฺ ต สงกฺ ลิ ฏิ ฺเฐ ทุคคฺ ติ ปาฏิกงั ขา ก. คติ ข. ภพ เมื่อจิตเศร้าหมองแลว้ ทคุ ติเป็นอนั ตอ้ งหวงั ได้ ค. ปรโลก ง. อบาย อทุ เทสข้อที่ ๒ : ๕. ภมู ิเปน็ ทไี่ ปข้างชั่ว หมายถึงขอ้ ใด ? จติ เฺ ต อสงฺกลิ ิฏฺเฐ สุคติ ปาฏกิ งขฺ า ก. สุคติ ข. ทุคติ เม่ือจติ ไม่เศร้าหมองแลว้ สคุ ติเปน็ อนั ต้องหวังได้ ค. ภพ ง. คติ คำศพั ทส์ ำคญั : ๖. คำตอบในข้อใด ไม่จัดเป็นทคุ ติ ? ๑. จิตเศร้าหมอง = อุปกิเลส ๑๖ = เครื่องเศร้าหมอง ก. นริ ยะ ข. ตริ ัจฉานโยนิ แห่งจิตของมวลมนุษย์ ค. ปิตตวิ ิสยะ ง. มนษุ ย์โลก ๒. ทคุ ติ = ภมู ิเป็นที่ไปขา้ งชัว่ ๗. วมิ านของพวกเวมานิกเปรต อย่ใู นทุคตใิ ด ? ทุคติ ๒ : ๑) นริ ยะ = แดนทป่ี ราศจากความเจริญ ก. อบาย ข. ทุคติ ๒) ติรจั ฉานโยนิ = กำเนิดสตั ว์ดริ ัจฉาน ค. วินิบาต ง. นิรยะ ทุคติ ๔ : ๑) นิรยะ ๘. ในเทวทตู สูตร ข้อใดไม่จัดเป็นเทวทตู ? ๒) ติรัจฉานโยนิ ก. เด็กแรกคลอด ข. คนเจบ็ ๓) ปิตตวิ ิสัย ค. คนชรา ง. นกั บวช ๔) อสุรกาย ๙. ใครทำหนา้ ที่พิพากษาลงโทษสตั วน์ รก ? ๓. สคุ ติ = ภูมิเปน็ ที่ไปข้างดี ก. พญายมราช ข. นายนริ ยบาล สุคติ ๒ ๑) โลกมนษุ ย์ ๑ ค. ทา้ วจตโุ ลกบาล ง. ท้าวสักกเทวราช ๒) สวรรค์ ๖ = โลกเป็นท่ไี ปดี (มอี ารมณด)ี ๑๐. ใครทำหน้าทีล่ งโทษสตั ว์นรก ? _____________ ก. นายนิรยบาล ข. พญายมราช ๑. พทุ ธพจน์วา่ จติ เฺ ต สงกฺ ิลิฏเฐ ทคุ ติ ปาฏกิ งขฺ า ยนื ยันเร่ือง ค. เทวราช ง. จตโุ ลกบาล ใด ? ๑๑. เทวทตู เปน็ สญั ญานเตือนมนษุ ยใ์ ห้ตระหนกั ในเรื่องใด ? ก. ตายแลว้ สญู ข. ตายแลว้ เกิด ก. ความไม่โกรธ ข. ความไม่ประมาท ค. ตายแล้วฟื้น ง. ถกู ทุกขอ้ ค. ความไม่โลภ ง. ความกลัว ๒. พุทธพจนว์ า่ จิตเฺ ต อสงกฺ ิลิฏเฐ สุคติ ปาฏกิ งฺขา ยืนยัน ๑๒. สัตวช์ นดิ ใดกนิ หญ้าเป็นอาหาร ? เรื่องใด ? ก. ไก่ ข. สกุ ร ก. ตายแลว้ เกดิ ข. ตายแลว้ สญู ค. ลา ง. ไส้เดอื น ค. ตายแล้วฟ้ืน ง. ถกู ทกุ ขอ้

๒๓ ๑๓. สัตวช์ นิดใด มีคูถเป็นอาหาร ? หมวดท่ี ๑ กรรมใหผ้ ลตามคราว ๔ ก. กระบือ ข. สุนขั ๑) ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม กรรมให้ผลในปัจจุบันคือใน ค. กวาง ง. เตา่ ภพน้ี ๑๔. สตั วช์ นิดใด เกดิ และตายในทีม่ ดื ? ๒) อุปปัชชเวทนียกรรม กรรมให้ผลในภพที่จะไปเกิด ก. มา้ ข. ปลา คอื ในภพหนา้ ค. สนุ ขั จงิ้ จอก ง. มอด ๓) อปราปรยิ เวทนียกรรม กรรมใหผ้ ลในภพสืบ ๆ ๑๕. สคุ ตโิ ลกสวรรคม์ ีก่ีช้ัน ? ๔) อโหสิกรรม กรรมให้ผลสำเรจ็ แล้ว ก. ๔ ข. ๕ อธบิ าย : ค. ๖ ง. ๗ กรรมเหล่านี้ ไดท้ ้ังในฝ่ายกศุ ล ทงั้ ในฝ่ายอกศุ ล ๑๖. ภมู เิ ป็นทไี่ ปเกดิ ของผู้ประกอบกุศลกรรม โดยรวม กรรมที่ ๑ ว่าเป็นกรรมแรง จึงให้ผลทันตาเห็น ผู้ทำได้ เรยี กวา่ อะไร ? เสวยผลในอัตภาพนัน่ เอง แตเ่ มื่อผทู้ ำถึงมรณะไปเสียก่อนถึง ก. สคุ ติ ข. พรหมโลก คราวใหผ้ ล ยอ่ มเป็นอโหสกิ รรม ค. มนุษยโลก ง. เทวโลก กรรมที่ ๒ เพลาลงมากว่ากรรมที่ ๑ จักให้ผลได้ต่อเมื่อ ๑๗. เทพองค์ใด ปกครองสวรรคช์ นั้ ดาวดงึ ส์ ? ผทู้ ำเกดิ แลว้ ในภพเป็นลำดบั พน้ จากนัน้ แลว้ เปน็ อโหสกิ รรม ก. ท้าวกเุ วร ข. ท้าววิรปู กั ษ์ กรรมท่ี ๓ เพลาท่ีสดุ จักอาจให้ผลต่อเม่อื พ้นภพหน้าแล้ว ค. ท้าวธตรฐ ง. ทา้ วสักกะ ได้ช่องเมื่อใด ย่อมให้ผลเมื่อน้ัน กว่าจะเป็นอโหสกิ รรม ท่าน ๑๘. พระอริยบคุ คลใด ละสงั ขารแล้วไปเกิดในพรหมโลกชน้ั เปรียบไว้เหมือนสุนัขไล่เนื้อ ไส่ตามเนื้อทันเข้าในที่ใด ย่อม สุทธาวาส ? เข้ากดั ในที่นั้น ก. พระโสดาบัน ข. พระสกทาคามี กรรมที่ ๔ เป็นกรรมล่วงคราวแล้วเลิกให้ผล เปรียบ ค. พระอนาคามี ง. พระอรหนั ต์ เหมือนพชื สิ้นยางแล้ว เพราะไม่ขึน้ ๑๙. ผบู้ รรลปุ ฐมฌานสิน้ ชวี ติ แลว้ ไปเกิดในพรหมโลกช้นั ใด ? นจ้ี ัดตามคราวที่ใหผ้ ล ก. อาภัสสรา ข. ปรติ ตาภา หมวดที่ ๒ กรรมให้ผลตามกิจ ๔ ค. มหาพรหมา ง. เวหัปผลา ๕) ชนกกรรม กรรมแต่งให้เกดิ ๒๐. พระอนาคามีละสังขารแล้ว ไปเกิดในพรหมโลกช้นั ใด ? ๖) อปุ ัตถมั ภกกรรม กรรมสนับสนนุ ก. มหาพรหมา ข. อาภัสสรา ๗) อปุ ปฬี กกรรม กรรมบีบคัน้ ค. เวหัปผลา ง. สุทธาวาส ๘) อปุ ฆาตกกรรม กรรมตดั รอน ๒. กรรม ๑๒ อธิบาย : กรรม ๑๒ กรรมที่ ๕ สามารถยังผู้ทำผู้เคลื่อนจากภพหนึ่ง แล้วให้ การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนาดีก็ตาม ช่วั กต็ าม, ในที่นี้ ถอื ปฏิสนธใิ นภพอื่นเปรยี บดว้ ยบิดาผู้ยังบุตรให้เกิด เรียกว่า หมายถึง กรรมประเภทต่างๆ พร้อมทั้งหลักเกณฑ์เกี่ยวกับ ชนกกรรม การให้ผลของกรรมเหลา่ นัน้

๒๔ กรรมที่ ๖ ไม่อาจแต่งปฏิสนธิเอง ต่อเมื่อชนกกรรมแต่ง ให้ผล และผลแหง่ กรรมน้ใี ห้ เป็นแต่พอดพี อร้าย ท่านเปรียบ ไว้เหมอื นลกู ศรอันคนบา้ ยงิ ปฏิสนธิแล้วจึงเข้าสนับสนุนส่งเสริม เปรียบเหมือนแม่นมผู้ เลยี้ งทารกอันคนอ่ืนให้เกิดแล้ว ท่านจึงเรียกวา่ อุปัตถัมภก _____________ กรรม ๑. กรรมทันตาเหน็ เรียกว่าอะไร ? กรรมที่ ๗ เข้าบีบคั้นผลแห่งชนกกรรมไม่ให้ส่งผลเต็มท่ี ก. ทฏิ ฐธรรมเวทนียกรรม ข. อโหสิกรรม ถ้าชนกกรรมเป็นกุศลแต่งปฏิสนธิข้างดี กรรมนี้ก็เข้าบีบคั้น ค. ชนกกรรม ง. พหุลกรรม ให้ทุรพล(อ่อน) ลง ถ้าชนกกรรมเป็นอกุศลแต่งปฏิสนธิข้าง ๒. ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม หมายถงึ กรรมที่ให้ผลในเวลา เลว กรรมนี้เข้าเกียดกันให้ทุเลาขึ้น ท่านจึงเรียกว่า อุปปีฬก ใด ? กรรม ก. ชาตนิ ้ี ข. ชาติหน้า กรรมที่ ๘ ย่อมตัดรอนผลแห่งชนกกรรม และอุปัตถัมภ ค. ชาตติ อ่ ๆ ไป ง. ถกู ทุกขอ้ กกรรมใหข้ าดเสยี ทีเดยี ว เข้าใหผ้ ลแทนท่ี ทา่ นจึงเรยี กว่า อปุ ๓. อปราปรเวทนยี กรรม ให้ผลเปรียบเสมือนอะไร ? ฆาตกกรรม ก. พรานล่าสตั ว์ ข. สนุ ขั ลา่ เน้อื นจี้ ัดตามกิจท่ีเปน็ พนกั งาน ค. เงาตามตวั ง. คนเลยี้ งโค หมวดที่ ๓ กรรมใหผ้ ลตามลำดับ ๔ ๔. การกระทำในข้อใด ชะลอการใหผ้ ลของกรรมชัว่ ? ๙) ครุกรรม กรรมหนกั ก. รดนำ้ มนต์ ข. สะเดาะเคราะห์ ๑๐) พหุลกรรม กรรมชนิ ค. ตอ่ ชะตา ง. ทำความดตี ่อเนอ่ื ง ๑๑) อาสันนกรรม กรรมเมอ่ื จวนเจียน ๕. ชนกกรรรม ทำหนา้ ทีอ่ ะไร ? ๑๒) กตตั ตากรรม กรรมสกั ว่าทำ ก. แตง่ ให้เกิด ข. สนบั สนนุ อธิบาย : ค. บีบคน้ั ง. ตัดรอน กรรมท่ี ๙ เปน็ หนกั ทีส่ ุดกว่ากรรมอย่างอ่ืน จึงเรียกว่าครุ ๖. ผปู้ ระสบอุบตั เิ หตุตายก่อนวยั อันควร เพราะกรรมใด กรรมในฝ่ายอกุศล ท่านจัดเอาอนันตริยกรรมเป็นครุกรรม ใหผ้ ล ? ในฝ่ายกุศลท่านจัดเอาสมาบัติ ๘ กรรมนี้มีอยู่ย่อมให้ช่อง ก. ชนกกรรม ข. ครกุ รรม ให้ผลก่อน ค. อปุ ฆาตกกรรม ง. กตตั ตากรรม กรรมที่ ๑๐ กรรมอันเคยทำมามากทำมาจนชิน เรียกว่า ๗. กรรมใด ใหผ้ ลก่อนสิน้ ใจ ? อาจิณณกรรม เมื่อครุกรรมไม่มี ย่อมให้ผลก่อนกรรมอย่าง ก. ครกุ รรม ข. พหลุ กรรม อื่น ค. อาสันนกรรม ง. กตตั ตากรรม กรรมที่ ๑๑ กรรมอันทำเมื่อจวนตาย ท่านเรียกว่าอาสัน ๘. อปุ ปชั ชเวทนียกรรม หมายถึงกรรมทีใ่ ห้ผลในเวลาใด ? นกรรม เมื่อพหุลกรรมไม่มี คือผู้ทำไม่ได้ทำกรรมอย่างใด ก. ชาตนิ ี้ ข. ชาตหิ นา้ อย่างหนึ่งไว้จนชิน จนถึงออกชื่อเลื่องลือว่ามักเป็นอย่างน้ัน ค. ชาติตอ่ ๆ ไป ง. ถูกทกุ ข้อ ๆ กรรมน้ีแมท้ ุรพลอย่างไรกต็ ามยอ่ มใหผ้ ล ๙. กรรมชนิดใด ให้ผลสำเรจ็ แลว้ ? กรรมที่ ๑๒ กรรมอันทำด้วยไม่จงใจ ท่านเรียกกตัตตา ก. ชนกกรรม ข. อโหสิกรรม กรรมบ้าง ต่อเมื่อกรรมอื่นไม่มี จึงถึงวาระแห่งกรรมนี้จะ ค. พหลุ กรรม ง. อาสันนกรรม

๒๕ ๑๐. อปุ ัตถมั ภกกรรม ทำหนา้ ทอี่ ะไร ? พุทธานุสสติ เป็นคู่ปรับแก่คนผู้มีถีนมิทธะ คือผู้มีความ หดหู่และเซื่องซึมเป็นเจ้าเรือน ทำให้ผู้เจริญได้บรรลุถึงขั้น ก. แต่งให้เกดิ ข. สนบั สนนุ อุปจารสมาธิ มีอานิสงส์ คือทำให้จิตใจของเราเข้มแข็งไม่ย่อ ท้อตอ่ อปุ สรรคที่มาขัดขวางในการทำความดี เปน็ คนมีความ ค. บบี ค้นั ง. ตดั รอน อดทน ๔. กสณิ ๑๑. อปุ ฆาตกกรรม ทำหน้าที่อะไร ? กสิณ แปลว่า วัตถุอันเป็นเหตุจูงใจให้เข้าไปผูกอยู่ หรือ ก. แต่งให้เกดิ ข. สนบั สนนุ วัตถุสำหรับเพง่ ค. บบี คั้น ง. ตัดรอน กสิณ เป็นคู่ปรับแก่คนผู้มีอุทธัจจกุกกุจจะ คือ ผู้มีความ ฟุ้งซ่านรำคาญใจเป็นเจ้าเรือน ทำให้ผู้เจริญได้บรรลุถึงขั้น ๑๒. ผ้ทู ำปิตุฆาต มาตุฆาต เป็นผูท้ ำกรรมชนิดใด ? อปั ปนาสมาธิ มีอานสิ งส์ คือทำใหจ้ ิตใจของเรามสี มาธิจดจ่อ ในการงานที่ทำ ก. ชนกกรรม ข. อปุ ปฬี กกรรม ๕. จตุธาตวุ วตั ถาน ค. อุปฆาตกกรรม ง. ครุกรรม จตุธาตุววัตถาน แปลว่าการกำหนดพิจารณาธาตุ ๔ ๑๓. ครกุ รรมฝา่ ยกศุ ล หมายถงึ ข้อใด ? ก. สมาบตั ิ ๘ ข. บญุ กริ ิยาวตั ถุ ๑๐ ค. อริยสจั ๔ ง. มรรค ๘ ๓. หัวใจสมถกัมมักฐาน กายคตาสติ เมตตา พุทธานุสสติ กสิณ จตุธาตุววัตถาน จดั เป็นหัวใจสมถกัมมฏั ฐาน เพื่อให้รู้ตามสภาวะความเป็นจริงของร่างกายว่าเป็นเพียง ธาตุ ๔ ประชุมหรอื คุมกนั เข้าเท่านัน้ ๑. กายคตาสติ จตุธาตุววัตถาน เป็นคู่ปรับแก่คนผู้มีวิจิกิจฉา คือ ผู้มี กายคตาสติ แปลว่า สติไปในกาย คือ สติกำหนด ความลังเลสงสัยเป็นเจ้าเรือน ทำให้ผู้เจริญได้บรรลุถึงขั้น อุปจารสมาธิ มีอานิสงส์ คือ ทำให้จิตใจของเราหายสงสัย พิจารณาทั้งกายตนและกายคนอ่นื มาเป็นอารมณ์ โดยให้เห็น คลายความลุม่ หลงในสงั ขาร เป็นของนา่ เกลียด โสโครก กายคตาสติ เป็นคู่ปรับแก่คนผู้มีกามฉันทะ คือ ความ พอใจรักใคร่ในกาม เปน็ เจ้าเรือน ทำให้ผู้เจรญิ ได้บรรลุถึงข้ัน _____________ ๑. หวั ใจสมถกัมมฏั ฐาน มกี ่ปี ระการ ? อุปจารสมาธิ มีอานิสงส์คือทำให้ไม่ติดอยู่ในกายตนและกาย ของคนอืน่ ก. ๔ ประการ ข. ๕ ประการ ๒. เมตตาพรหมวหิ าร ค. ๖ ประการ ง. ๗ ประการ เมตตา แปลวา่ ความรักความปรารถนาดีท่ีไม่เจือปนด้วย ๒. การเจรญิ สมถกัมมัฏฐาน เป็นอุบายสงบอะไร ? ความใคร่ ความมจี ติ คดิ ปรารถนาความสุขแกผ่ อู้ น่ื ก. สงบกาย ข. สงบวาจา เมตตา เป็นคู่ปรับแก่คนผู้มีพยาบาท คือ ผู้มีความโกรธ ค. สงบใจ ง. ถูกทุกข้อ ถึงกับจองล้างจองผลาญคนอื่นเป็นเจ้าเรือน ทำให้ผู้เจริญได้ ๓. การกำหนดสติพจิ ารณาอาการ ๓๒ เป็นการเจริญ บรรลถุ ึงขั้นอปุ จารสมาธิ กมั มฏั ฐานใด ? ก. กายคตาสติ ๓. พทุ ธานุสสติ ค. จตธุ าตุววตั ถาน ข. กสณิ ง. มรณสั สติ พุทธานุสสติ แปลว่า สติระลึกถึงพระพุทธเจ้า คือ ระลึก ถงึ พระคุณความดขี องพระองคเ์ ป็นหลกั

๒๖ ๔. เหน็ อาการ ๓๒ อย่างไร จึงจะเปน็ กัมมฏั ฐาน ? ๑๓. คนถกู นิวรณ์คอื พยาบาทครอบงำ ควรเจรญิ กัมมฏั ฐาน ก. สวยงาม ข. ปฏิกลู ใด ? ค. น่ากลวั ง. น่ารัก ก. กายคตาสติ ข. เมตตา ๕. การเจรญิ กายคตาสติ แกน้ ิวรณ์ใด ? ค. กสิณ ง. พทุ ธานสุ สติ ก. กามฉันทะ ข. พยาบาท ๑๔. คนถูกนิวรณค์ ือถีนมิทธะครอบงำ ควรเจรญิ กมั มัฏฐาน ค. ถนี มิทธะ ง. วจิ กิ จิ ฉา ใด ? ๖. ผู้เจริญเมตตา ควรเร่ิมตน้ ทใ่ี ครก่อน ? ก. กายคตาสติ ข. เมตตา ก. มารดาบิดา ข. มิตรสหาย ค. กสณิ ง. พุทธานสุ สติ ค. ศตั รู ง. ครูอาจารย์ ๑๕. คนถูกนิวรณค์ อื อุทธจั จกุกกุจจะครอบงำ ควรเจรญิ ๗. หลบั เปน็ สุข ตื่นเป็นสุข เป็นอานิสงส์ของการเจริญ กัมมัฏฐานใด ? กมั มฏั ฐานใด ? ก. กายคตาสติ ข. เมตตา ก. กายคตาสติ ข. เมตตา ค. กสิณ ง. พทุ ธานสุ สติ ค. พทุ ธานสุ สติ ง. กสณิ ๑๖. คนถูกนวิ รณค์ อื วิจิกิจฉาครอบงำ ควรเจรญิ กัมมฏั ฐาน ๘. หนา้ ตาผ่องใส เปน็ อานสิ งส์ของการเจริญกัมมัฏฐาน ใด ? ใด ? ก. กายคตาสติ ข. เมตตา ก. กายคตาสติ ข. เมตตา ค. กสิณ ง. จตุธาตุววตั ถาน ค. กสณิ ง. พุทธานุสสติ ๑๗. การพิจารณาความแก่บ่อย ๆ เปน็ อบุ ายบรรเทาความ ๙. คำตอบในข้อใด เปน็ คำบริกรรมของผเู้ จริญพุทธานสุ ประมาทในอะไร ? สติ ? ก. ความไม่มีโรค ข. วัย ก. อรหํ ข. สมฺมาสมฺพุทฺโธ ค. ชีวิต ง. สุขภาพ ค. ภควา ง. ถูกทุกข้อ ๑๘. การพจิ ารณาความตายบ่อย ๆ เป็นอบุ ายบรรเทาความ ๑๐. ข้อใด เปน็ คำบริกรรมของผูเ้ จริญพุทธานสุ สติ ? ประมาทในอะไร ? ก. พุทโธ ข. ธมั โม ก. ความไม่มีโรค ข. วยั ค. สังโฆ ง. ยุบหนอ พองหนอ ค. ชีวติ ง. สุขภาพ ๑๑. การเจรญิ พุทธานสุ สติ แกน้ ิวรณ์ใด ? ๑๙. การกำหนดรูล้ มหายใจเข้าออก เปน็ การเจริญสติปัฏ ก. กามฉันทะ ข. พยาบาท ฐานใด ? ค. ถนี มิทธะ ง. วจิ ิกิจฉา ก. กายานุปัสสนา ข. เวทนานปุ ัสสนา ๑๒. คนถกู นวิ รณค์ ือกามฉนั ทะครอบงำ ควรเจรญิ กัมมฏั ฐาน ค. จิตตานุปสั สนา ง. ธัมมานปุ สั สนา ใด ? ๒๐. กำหนดพิจารณาเร่ืองใด ไม่จัดเป็นกายานปุ สั สนาสตปิ ัฏ ก. กายคตาสติ ข. เมตตา ฐาน ? ค. กสิณ ง. พุทธานุสสติ ก. ลมหายใจ ข. อริ ิยาบถ ค. ธาตุ ๔ ง. ความรูส้ ึก

๒๗ ๒๑. กำหนดพจิ ารณาอะไร จัดเปน็ จติ ตานุปัสสนาสติปฏั ๑๐) อากาสกสิณ เพ่งอากาศเป็นอารมณ์ ฐาน ? ๒. อสภุ ะ ๑๐ ก. สขุ ข. ทุกข์ ๑) อุทธุมาตกอสภุ ะ พิจารณาซากศพท่ีเน่าพองข้ึนเป็น ค. กุศล ง. จติ อารมณ์ ๔. สมถกัมมฏั ฐาน ๒) วินิลกอสุภะ พิจารณาซากศพที่มีสีเขียวคล้ำเป็น คำแปลของสมถกมั มฏั ฐาน อารมณ์ สมถะ แปลได้ ๓ นยั คือ ๓) วิปุพพกอสุภะ พิจารณาซากศพที่มีน้ำเหลืองไหล ๑) ธรรมเปน็ เครื่องสงบระงับของจิต เยิม้ เป็นอารมณ์ ๒) ธรรมอันยังจติ ใหส้ งบระงบั จากนวิ รณูปกเิ ลส ๔) วจิ ฉิททกอสุภะ พิจารณาซากศพท่ีขาดกลางตัวเป็น ๓) ความสงบระงับของจิตภายใน อารมณ์ กัมมัฏฐาน แปลว่า ที่ตั้งแห่งการงาน คือการทำงานทาง ๕) วิขายิตกอสุภะ พิจารณาซากศพที่สัตว์กัดกินแล้ว ใจ เป็นอารมณ์ อารมณข์ องสมถกมั มฏั ฐาน ๔๐ ประการ ๖) วิกขิตตกอสุภะ พิจารณาซากศพที่มีมือเท้าและ มีพระพุทธพจน์อยู่บทหนึ่งว่า “ สมาธึ ภิกฺขเว ภาเวถ ศีรษะขาดเป็นอารมณ์ สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ ” ๗) หตวิกขิตตกอสุภะ พิจารณาซากศพที่คนมีเวรเป็น แปลว่า “ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงยังสมาธิให้ ข้าศกึ กนั สับฟันเปน็ ท่อน ๆ เปน็ อารมณ์ เกิด ชนผูม้ ีจติ เปน็ สมาธิแลว้ ยอ่ มรูต้ ามความเป็นจรงิ ” ๘) โลหิตกอสุภะ พิจารณาซากศพที่ถูกประหารด้วย พระพุทธพจน์บทนี้แสดงให้เห็นว่า บุคคลผู้ต้องการจะ ศาสตรามีโลหติ ไหลออกอยู่ เป็นอารมณ์ บรรลุธรรมขัดเกลาตนเองให้หมดกเิ ลส เข้าถึงความสขุ อยา่ ง ๙) ปุฬุวกอสุภะ พิจารณาซากศพที่มีตัวหนอนคลาน ยิ่งคือพระนิพพานนั้นต้องฝึกสมาธิ อารมณ์ของสมถ คล่ำไปมาอยเู่ ปน็ อารมณ์ กัมมัฏฐานท่านแสดงไว้ ๔๐ ประการ เพื่อทำให้จิตสงบระงบั ๑๐) อัฏฐิกอสุภะ พิจารณาซากศพที่ยังเหลือแต่ร่าง จากนวิ รณ์ โดยจดั ไว้เป็น ๗ หมวด ดงั น้ี กระดูกเปน็ อารมณ์ ๑. กสิณ ๑๐ ๓. อนุสสติ ๑๐ ๑) ปฐวกี สณิ เพ่งดนิ เป็นอารมณ์ ๑) พุทธานุสสติ ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าเป็น ๒) อาโปกสณิ เพง่ นำ้ เปน็ อารมณ์ อารมณ์ ๓) เตโชกสิณ เพ่งไฟเป็นอารมณ์ ๒) ธมั มานุสสติ ระลึกถึงคณุ ของพระธรรมเปน็ อารมณ์ ๔) วาโยกสณิ เพง่ ลมเป็นอารมณ์ ๓) สังฆานสุ สติ ระลกึ ถงึ คุณของพระสงฆ์เป็นอารมณ์ ๕) นลี กสิณ เพง่ สีเขยี วเป็นอารมณ์ ๔) สีลานุสสติ ระลกึ ถงึ ศลี ท่ีตนรกั ษาเป็นอารมณ์ ๖) ปติ กสิณ เพง่ สเี หลอื งเป็นอารมณ์ ๕) จาคานุสสติ ระลึกถึงทานที่ตนบริจาคแล้วเป็น ๗) โลหิตกสณิ เพง่ สแี ดงเปน็ อารมณ์ อารมณ์ ๘) โอทาตกสิณ เพ่งสีขาวเป็นอารมณ์ ๖) เทวตานุสสติ ระลึกถึงคุณมีศีลเป็นต้นที่ทำบุคคลให้ ๙) อาโลกกสิณ เพ่งแสงสว่างเปน็ อารมณ์ เปน็ เทวดาเปน็ อารมณ์

๒๘ ๗) มรณัสสติ ระลึกถงึ ความตายทีจ่ ะมาถงึ แกต่ นและคน ๖. จตุธาตวุ วัตถาน ๑ อืน่ เปน็ อารมณ์ จตุธาตุววัตถาน กำหนดพิจารณากายให้เห็นว่าเป็นแต่ ๘) กายคตาสติ สติกำหนดพิจารณากายใหเ้ หน็ เป็นของ เพยี งธาตุ ๔ มาประชมุ กันเท่านั้น ไมง่ ามนา่ เกลียดโสโครก เป็นอารมณ์ ธาตุมี ๔ อยา่ ง คอื ๑) ปฐวีธาตุ ธาตุดิน ๙) อานาปานสติ ระลึกถึงลมหายใจเข้า หายใจออก ๒) อาโปธาตุ ธาตุนำ้ ยาว สั้น เป็นตน้ เป็นอารมณ์ ๓) เตโชธาตุ ธาตไุ ฟ ๔) วาโยธาตุ ธาตลุ ม ๑๐) อุปสมานุสสติ ระลึกถึงพระนิพพานอันเป็นที่ดับ กิเลสและกองทุกขท์ ้ังปวงเปน็ อารมณ์ ๗. อรูป ๔ ๔. พรหมวหิ าร ๔ ๑) อากาสานัญจายตนะ เพ่งพิจารณาอากาศที่มีดวง ๑) เมตตา คดิ ใหส้ ตั วท์ ุกชนิด ทกุ ประเภท เปน็ สขุ ทั่วกัน กสิณเดาะเพิกขึ้นแล้วเหลืออยู่แต่อากาศว่างเปล่า ด้วย ไปหมด บรกิ รรมวา่ อนนโฺ ต อากาโส อากาศหาทีส่ ุดมไิ ด้ เปน็ อารมณ์ ๒) กรุณา คิดให้สัตว์ทั้งสิ้นที่เป็นทุกข์อยู่ให้พ้นทุกข์ ๒) วญิ ญาณัญจายตนะ เพง่ พจิ ารณาอรปู วิญญาณทีแรก ด้วยกนั ท้งั หมดทง้ั สน้ิ ด้วยบริกรรมว่า อนนฺตํ วิญฺญานํ วิญญาณไม่มีที่สุด เป็น อารมณ์ ๓) มุทิตา คิดให้สัตว์ทั้งสิ้นที่ได้สุขสมบัติแล้ว จะดำรง อยใู่ นสขุ สมบตั ขิ องตน ๆ อย่าได้พลัดพรากจากสมบัติท่ีตนได้ ๓) อากิญจัญญายตนะ เพ่งพิจารณาความไม่มีแห่งอรูป แลว้ เลย วิญญาณทีแรก ด้วยบริกรรมว่า นตฺถิ กิญฺจิ หน่อยหนึ่ง นิด หนง่ึ ไม่มี เป็นอารมณ์ ๔) อุเบกขา มีความเพิกเฉยเป็นกลาง ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ ในเมื่อสตั ว์ท้ังส้นิ ได้ทกุ ข์ ๔) เนวสัญญานาสัญายตนะ เพ่งพิจารณาอรูปวิญญาณ ๕. อาหาเรปฏกิ ลู สญั ญา ๑ ที่ ๓ ด้วยบริกรรมว่า สนฺตเมตํ ปณีตเมตํ นี่ละเอียดนัก นี่ ประณีตนัก จะว่ามีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ เป็น อาหารเรปฏิกูลสัญญาความสำคัญว่าเป็นของปฏิกูลน่า อารมณ์ เกลียดในอาหาร การพิจารณาอาหารเป็นของปฏิกูลนี้ ท่าน จรติ ๖ ให้พจิ ารณาด้วยอาการ ๘ คอื จริตหรือนสิ ัยของคนในโลกมี ๖ อยา่ ง คอื ๑) ปฏกิ ูลโดยบริโภค ๑) ราคจรติ ประพฤตไิ ปตามราคะ ๒) ปฏกิ ูลโดยทอี่ ยขู่ องอาหาร ๒) โทสจริต ประพฤติไปตามโทสะ ๓) ปฏิกูลโดยการสัง่ สมอยู่นาน ๓) โมหจรติ ประพฤตไิ ปตามโมหะ ๔) ปฏิกูลในกาลเมอ่ื ยงั ไมไ่ ด้ยอ่ ย ๔) สทั ธาจริต ประพฤติไปตามความเชือ่ ๕) ปฏิกลู ในกาลเม่ือย่อยแล้ว ๕) พุทธิจรติ ประพฤตไิ ปตามความรู้ ๖) ปฏิกูลโดยผล คอื ไปหลอ่ เล้ียงร่างกายใหเ้ จริญขึน้ ๖) วิตกจรติ ประพฤตไิ ปตามความตรึก ๗) ปฏิกูลโดยอันหลงั่ ไหลออกมา ๘) ปฏกิ ลู โดยทำให้แปดเป้ือน

๒๙ กมั มฏั ฐานเปน็ ทสี่ บายแก่จรติ ของคน ๗. วิธีเจรญิ กสิณ ต้องเจริญด้วยอาการอยา่ งไร ? ๑) คนที่มีราคจริตเป็นเจ้าเรือน ควรเจริญกัมมัฏฐาน ก. เพ่ง ข. พจิ ารณา คือ อสภุ ะ ๑๐ ๒) คนที่มีโทสจริตเป็นเจ้าเรือน ควรเจริญกัมมัฏฐาน ค. รกั ษา ง. คุ้มครอง คอื วรรณกสิณ ๔ และพรหมวิหาร ๔ ๘. อสภุ ะ หมายถงึ การพจิ ารณาอะไร ? ๓) คนที่มโี มหจริต กับ วิตกจรติ เป็นเจ้าเรอื น ควรเจริญ ก. ผวิ หนงั ข. ร่างกาย กัมมัฏฐาน คือ อานาปานสติ ๔) คนท่ีมสี ัทธาจรติ เปน็ เจา้ เรอื น ควรเจริญอนุสสติ ค. อาหารบดู ง. ซากศพ ๕) คนท่ีมพี ุทธจิ ริตเป็นเจ้าเรือน ควรเจริญกัมมฏั ฐาน ๔ ๙. ระลึกถึงคณุ ของใคร เปน็ การเจรญิ อนสุ สติ ? ประการ คอื มรณัสสติ อุปสมานุสสติ อาหาเรปฏกิ ูลสัญญา จตธุ าตุววตั ถาน ก. พระพทุ ธ ข. พระธรรม ค. พระสงฆ์ ง. ถูกทุกข้อ ๑๐. กำหนดพจิ ารณาคุณธรรมคือการเผือ่ แผ่ จัดเปน็ อนสุ สติ ใด ? _____________ ก. ธัมมานสุ สติ ข. สลี านสุ สติ ๑. นิมิตใด ปรากฏแกผ่ ปู้ ฏิบัติกอ่ นจะบรรลุอปั ปนาสมาธิ ? ค. จาคานสุ สติ ง. มรณสั สติ ก. กรรมนมิ ิต ข. บรกิ รรมนมิ ิต ๑๑. การกำหนดลมหายใจเป็นอนุสสตใิ ด ? ค. อคุ คหนิมิต ง. ปฏภิ าคนมิ ิต ก. เทวตานสุ สติ ข. อปุ สมานุสสติ ๒. กสณิ หมายถึงอะไร ? ค. กายคตาสติ ง. อานาปานัสสติ ก. วัตถุสำหรับเพ่ง ข. แผเ่ มตตา ๑๒. การพิจารณาถึงศลี ของตนท่ีบรสิ ทุ ธไ์ิ มด่ า่ งพร้อย จัดเป็น ค. พจิ ารณาอสุภะ ง. กำหนดลมหายใจ อนุสสติใด ? ๓. คำตอบในข้อใด เป็นอารมณ์ของกสณิ ? ก. ธัมมานุสสติ ข. สลี านุสสติ ก. ดนิ ข. น้ำ ค. จาคานุสสติ ง. มรณสั สติ ค. ไฟ ง. ถกู ทกุ ขอ้ ๑๓. การนกึ ถึงความดีทต่ี นบริจาคช่วยผ้ปู ระสบภัย จดั เปน็ ๔. สีใด ไมจ่ ัดเปน็ กสณิ ? อนุสสตใิ ด ? ก. สเี หลือง ข. สแี ดง ก. สีลานสุ สติ ข. จาคานสุ สติ ค. สีขาว ง. สดี ำ ค. เทวตานสุ สติ ง. อปุ สมานสุ สติ ๕. การเจริญกสิณ แก้นิวรณใ์ ด ? ๑๔. พรหมวิหารขอ้ ใด เปน็ ข้าศึกแก่โทสะและพยาบาท ก. กามฉันทะ ข. พยาบาท โดยตรง ? ค. ถีนมิทธะ ง. อุทธัจจกกุ กจุ จะ ก. เมตตา ข. กรุณา ๖. โลหิตกสิณ หมายถึงขอ้ ใด ? ค. มุทติ า ง. อุเบกขา ก. กสณิ สเี ขยี ว ข. กสิณสีแดง ๑๕. พรหมวิหารข้อใด สามารถทำใหผ้ ู้เจริญบรรลุฌานขน้ั ค. กสิณสขี าว ง. กสิณสเี หลือง สูงสุดได้ ? ก. เมตตา ข. กรณุ า ค. มทุ ติ า ง. อุเบกขา

๓๐ ๑๖. การพิจารณาอาหารโดยอาการใด ไมเ่ ป็นอาหาเรปฏิกูล ๒๕. อาหาเรปฏกิ ลู สญั ญา ต้องพิจารณาโดยอาการอย่างไร ? สญั ญา ? ก. การแสวงหา ข. การบรโิ ภค ก. การแสวงหา ข. การบรโิ ภค ค. การขับถา่ ย ง. ถูกทุกขอ้ ค. การขบั ถ่าย ง. การปรุง ๒๖. คำตอบในข้อใด ไมใ่ ชป่ ฐวธี าตุ ? ๑๗. รา่ งกายบุคคลเคลื่อนไหวไดเ้ พราะอาศัยธาตุใด ? ก. น้ำตา ข. กระดูก ก. ธาตดุ นิ ข. ธาตนุ ำ้ ค. ฟนั ง. หนัง ค. ธาตุไฟ ง. ธาตุลม ๒๗. วิญญาณญั จายตนะ มคี ำบริกรรมว่าอยา่ งไร ? ๑๘. เนวสัญญานาวสัญญายาตนะ ใชค้ ำบริกรรมวา่ อยา่ งไร ? ก. อนนโฺ ต อากาโส ข. อนนฺตํ วญิ ฺญาณํ ก. อนนโฺ ต ข. อนนฺตํ ค. นตฺถิ กิญฺจิ ง. สนตฺ เมตํ ฯ ค. นตถฺ ิ กญิ จิ ง. สนฺตเมตํ ปณีตเมตํ ๒๘. คนหเู บาถูกชกั จูงให้เชื่อได้ง่าย เปน็ คนจริตใด ? ๑๙. อาการ ๓๒ ไดแ้ ก่ขอ้ ใด ? ก. ราคจริต ข. โทสจริต ก. เลือด ข. นำ้ ตา ค. โมหจรติ ง. สัทธาจรติ ค. หัวใจ ง. ถกู ทุกข้อ ๒๙. คนจริตดังกล่าวในข้อ ๒๘ ควรเจริญกมั มฏั ฐานใด ? ๒๐. พรหมวิหารใด มลี กั ษณะไมเ่ ลือกทรี่ ักมักที่ชัง ? ก. พุทธานุสสติ ข. กายคตาสติ ก. เมตตา ข. กรุณา ค. มรณสั สติ ง. อปุ สมานสุ สติ ค. มุทติ า ง. อุเบกขา ๓๐. คนอารมณ์ฉนุ เฉียวโกรธง่าย เปน็ คนจริตใด ? ๒๑. จตุธาตวุ วตั ถาน เปน็ การพิจารณารา่ งกายโดยอาการ ก. ราคจรติ ข. โทสจริต อยา่ งไร ? ค. สัทธาจริต ง. วติ กจริต ก. เป็นของสวยงาม ข. เป็นสิง่ ปฏิกลู ๓๑. คนจรติ ดังกล่าวในขอ้ ๓๐ ควรเจริญกัมมัฏฐานใด ? ค. เป็นสิ่งน่ากลวั ง. เปน็ เพียงธาตุ ๔ ก. พทุ ธานสุ สติ ข. ธมั มานสุ สติ ๒๒. ขอ้ ใด เปน็ อารมณ์ของสมถกัมมัฏฐานตามนยั พระบาลี ? ค. เมตตา ง. อสุภะ ก. สตปิ ัฏฐาน ข. กสิณ ๓๒. คนรกั สวยรักงาม นยิ มสนิ คา้ ราคาแพง จดั เปน็ คนจริต ค. อสภุ ะ ง. อนสุ สติ ใด ? ๒๓. ผทู้ ีป่ ระมาทในวัยวา่ ยังหนมุ่ สาว ควรพจิ ารณาเร่ืองใด ก. ราคจริต ข. โทสจรติ บ่อยๆ ? ค. โมหจรติ ง. สัทธาจริต ก. ความแก่ ข. ความเจบ็ ๓๓. คนจริตดังกล่าวในขอ้ ๓๒ ควรเจรญิ กมั มฏั ฐานใด ? ค. ความตาย ง. ความพลดั พราก ก. อุปสมานุสสติ ข. กายคตาสติ ๒๔. ผ้ทู ป่ี ระมาทในชีวติ ควรพจิ ารณาเร่ืองใดบ่อยๆ ? ค. มรณัสสติ ง. นลี กสิณ ก. ความแก่ ข. ความเจบ็ ๓๔. คนเช่อื งา่ ย จัดเปน็ คนจริตใด ? ค. ความตาย ง. ความพลัดพราก ก. ราคจรติ ข. โทสจรติ ค. สทั ธาจรติ ง. วิตกจรติ

๓๑ ๓๕. คนจริตดังกลา่ วในขอ้ ๓๔ ควรเจรญิ กมั มัฏฐานใด ? ๗. สัตถา เทวมนุสสานัง คือ ทรงเป็นครูของเทวดาและ มนุษยท์ ้งั หลาย ก. พุทธานุสสติ ข. อุปสมานุสสติ ๘. พุทโธ คือ ๑) ทรงเป็นผู้รู้ คือ รู้ในสิง่ ที่เป็นประโยชน์และ ไม่ใชป่ ระโยชน์ ๒) ทรงเป็นผู้ต่นื คือ ต่นื จากการครอบงำของ ค. มรณสั สติ ง. อานาปานัสสติ อวิชชา ความไม่รู้ ๓) ทรงเป็นผู้เบิกบาน คือ มีพระทัยเบิก บาน เปี่ยมด้วยปตี สิ ขุ อันเกดิ จากมรรคผล ไม่กลบั เศร้าหมอง ๕. พทุ ธคุณกถา ๙. ภควา คือ ๑) ทรงเป็นผู้มีโชค เพราะมีบารมีอย่างยิ่งยวด ที่จะอำนวยสุขทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตตระ ๒) ทรงเป็นผู้ พุทธคุณกถา คือ ถ้อยคำหรือวาจาที่กล่าวแสดงคุณของ ทำลาย เพราะหักทำลายราคะ โทสะ โมหะ และบาปธรรม ทั้งหลาย ๓) ทรงประกอบด้วยภคธรรม ๖ มคี วามงามแหง่ สิริ พระพุทธเจ้า เป็นเนมิตกนาม คือพระนามที่ตั้งขึ้นหรือเรียก รูป ความสมหวังในสิ่งที่ปรารถนา เป็นต้น ๔) ทรงเป็นผู้ จำแนกธรรมส่งั สอนสตั ว์ ๕) ทรงเป็นผเู้ สพอริยธรรม ๖) ทรง ตามคุณสมบัติที่มีเฉพาะพระพุทธเจ้า มี ๙ ประการ เรียกว่า เปน็ ผสู้ ลัด คือ สลดั ตณั หาอนั เปน็ เหตใุ ห้เวยี นว่ายตายเกิด นวรหคณุ คุณของพระอรหนั ต์ ๙ ดงั นี้ พุทธคณุ ๙ ย่อให้เหลือ ๓ ได้แก่ ๑) อัตตหิตคุณ คือ คุณที่เป็นประโยชน์ส่วนพระองค์ ๑. อรหัง มี ๕ ความหมาย คือ เป็นผู้ไกลจากกิเลส, เป็นผู้ ไดแ้ ก่ อรหํ, สมมฺ าสมพฺ ุทโฺ ธ, วชิ ชฺ าจรณสมฺปนโฺ น, โลกวิทู ๒) ปริหิตคุณ คือ คุณที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ได้แก่ กำจัดข้าศึกคือกิเลส, เป็นผู้หักกงล้อแห่งสังสารวัฏ คือ การ อนุตตฺ โร ปรุ ิสทมมฺ สารถิ, สตฺถา เทวมนุสสฺ านํ ๓) อัตตปรหิตคุณ คือ คุณที่เป็นประโยชน์ทั้งแก่ เวียนว่ายตายเกิด, เป็นผู้ควรแก่การบูชา, เป็นผู้ไม่มีที่ลับใน พระองคแ์ ละผู้อ่ืน ได้แก่ สุคโต, พทุ โฺ ธ, ภควา การทำบาป _____________ ๑. ผู้ไกลจากกิเลส เป็นความหมายของพุทธคุณบทใด ? ๒. สัมมาสัมพุทโธ คือ พระองค์เป็นผู้ตรัสรู้อริยสัจเองโดย ก. อรหํ ข. สมฺมาสมพฺ ทุ โธ ชอบ ไมม่ ีใครเป็นครู ค. วิชชาจรณสมฺปนฺโน ง. สคุ โต ๒. ตรัสรู้ชอบดว้ ยพระองคเ์ อง เปน็ ความหมายของ ๓. วิชชาจรณสัมปันโน คือ พระองค์เป็นผู้ถึงพร้อมด้วย พุทธคณุ บทใด ? ก. อรหํ ข. สมฺมาสมฺพุทโฺ ธ วชิ ชา (ความร้)ู และจรณะ (ความประพฤต)ิ ได้แก่ ค. วชิ ชฺ าจรณสมปฺ นโฺ น ง. สุคโต ๓. ผเู้ สด็จไปดแี ลว้ เปน็ ความหมายของพุทธคณุ บทใด ? ๑) วิชชา ๓ ไดแ้ ก่ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (ญาณระลึก ก. อรหํ ข. สมมฺ าสมฺพทุ ฺโธ ค. วชิ ฺชาจรณสมฺปนโฺ น ง. สคุ โต ชาติในอดีตทั้งของพระองค์และผู้อื่นได้), จุตูปปาตญาณ (ญาณหยั่งรู้การตายและการเกิดของสัตว์ทั้งหลาย), อาส วกั ขยญาณ (ญาณหย่ังร้ใู นการกำจดั กเิ ลสให้หมดสนิ้ ไป) ๒) จรณะ ๑๕ ได้แก่ สีลสัมปทา (ถึงพร้อมด้วยศีล ๑, อปณั ณกปฏปิ ทา ๓ , สทั ธรรม ๗, ฌาน ๔ ๔. สุคโต มี ๒ ความหมาย คือ เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว (เสด็จ ไปสู่พระนิพพานด้วยอริยมรรค ไม่หวนกลับมาสู่กิเลสอีก, เป็นผู้กล่าวดีแล้ว เพราะทรงตรัสคำจริง ประกอบด้วย ประโยชน์ ๕. โลกวทิ ู คือ ทรงร้แู จง้ โลก ๓ ไดแ้ ก่ ๑) สงั ขารโลก โลกคอื สงั ขาร ๒) สตั วโลก โลกคอื หมสู่ ตั ว์ ๓) โอกาสโลก โลกคอื แผน่ ดิน ๖. อนุตตโร ปรุ ิสทัมมสารถิ คือ ทรงเปน็ นายสารถีผู้ฝึกบุรุษ อย่างไมม่ ีใครยิ่งกวา่

๓๒ ๔. ญาณใด จัดเขา้ ในพุทธคุณบทว่า วิชชฺ าจรณสมปฺ นฺโน ? ก. วิปสั สนาญาณ ข . จตุ ูปปาตญาณ ค. เจโตปรยิ ญาณ ง. ทิพพโสต ๕. วิชชา ในคำวา่ วิชชฺ าจรณสมปฺ นโฺ น หมายถงึ วิชชาใด ? ก. อาสวักขยญาณ ข. มโนมยิทธิ ค. ทิพพโสต ง. ถูกทกุ ข้อ ๖. พระพทุ ธคุณบทใด เปน็ พระกรุณาคุณ ? ก. อรหํ ข. สตถฺ า เทวมนสุ ฺสานํ ค. พทุ ฺโธ ง. ภควา ๗. พุทธคณุ บทใด เป็นคุณประโยชน์แกผ่ ้อู นื่ ? ก. อรหํ ข. สคุ โต ค. โลกวทิ ู ง. สตฺถา เทวมนุสสฺ านํ ๘. พทุ ธคณุ บทใด ยืนยันว่าพระพทุ ธเจา้ ทรงเป็นพระบรม ครู ? ก. อนตุ ฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ ข. สตถฺ า เทวมนุสสฺ านํ ค. พุทโฺ ธ ง. ภควา ๙. คำตอบในข้อใด เปน็ ความหมายของพระพุทธคุณบทวา่ ภควา ? ก. ผูจ้ ำแนกธรรม ข. ผเู้ สด็จไปดี ค. ผเู้ บกิ บาน ง. ถกู ทกุ ข้อ ๑๐. พุทธคุณบทใด จัดเขา้ ในพระปัญญาคุณและพระมหา กรุณาคุณ ? ก. อรหํ ข. สคุ โต ค. โลกวทิ ู ง. พทุ โฺ ธ ภควา

๓๓ ๒.๒ แนวขอ้ สอบธรรมศกึ ษาชน้ั เอก บริสุทธิ์ไมโ่ ลเลในบุรุษ ไม่เป็นนักดืม่ สุรา ได้บำเพ็ญบารมี วิชาพทุ ธานุพทุ ธประวตั ิ มาตลอดแสนกัป ปริเฉทที่ ๑ ชาติกถา เสด็จจุตลิ งสู่พระครรภ์ ชมพูทวปี พระบรมโพธิสัตว์ครั้นทรงพิจารณามหาวิโลกนะ ๕ พระสมั มาสัมพทุ ธเจ้าทุกพระองค์เสดจ็ อุบัติข้ึนในดินแดน ประการบริบูรณ์แล้ว จึงทรงรับคำอาราธนาของเหล่าเทวดา และท้าวมหาพรหม เสด็จจุติจากทิพยสถานลงสู่พระครรภ์ ชมพูทวีป ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศพายัพ (ตะวันตกเฉียงเหนือ) ของ ของพระนางสิริมหามายาพระอัครมเหสีของพระเจ้าสุทโธท ประเทศไทย นะ ผู้ครองเมืองกบิลพัสดุ์ในวันเพ็ญเดือน ๘ ปีระกา ก่อน พทุ ธศกั ราช ๘๐ ปี ชมพูทวีป หมายถึง ดินแดนหรือแผ่นดินที่กำหนดด้วยไม้ พระมารดาทรงพระสบุ ิน หว้า ปัจจุบันได้แก่ ประเทศอินเดีย เนปาล ภูฐาน บังคลา เทศ ปากีสถาน และอัฟกานสิ ถานบางสว่ น พระนางสิริมหามายา ทรงพระสบุ ินมีพญาช้างเผือกเชือก ความเหน็ ๒ อยา่ ง หนึ่งชงู วงถือดอกบวั ขาว อบอวลด้วยกลิ่นหอมไปท่ัวบริเวณ ได้ทำประทักษิณพระนาง ๓ รอบ แล้วปรากฏเป็นเหมือน ประชาชนในชมพูทวีปส่วนมากนับถือศาสนาพราหมณ์ เขา้ ไปสพู่ ระอทุ รเบ้ืองขวาของพระองค์ เป็นหลัก ยึดถือวรรณะอย่างแรงกล้า และมีความเห็น เปล่งอาสภิวาจา แตกต่างกันออกไปตามความเช่ือของแต่ละคน แต่พอสรุปได้ ๒ อยา่ ง คือ เสด็จก้าวพระบาทไปได้ ๗ ก้าว ทรงเปล่งพระสุรเสียง ไพเราะก้องกังวานดุจเสียงท้าวมหาพรหมว่า “เราเป็นผู้เลิศ ๑. สสั สตทิฏฐิ เห็นว่าตายแลว้ เกิด ในโลก เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในโลก เราเป็นผู้เจริญที่สุดใน ๒. อุจเฉททฏิ ฐิ เห็นวา่ ตายแล้วสูญ โลก ชาติน้เี ป็นชาติสดุ ทา้ ยภพใหมไ่ มม่ ีอีกแล้ว” บพุ พนิมิต ๕ ประการ ได้ปรากฏแก่ทา้ วสนั ดสุ ติ เทวราช คือ สหชาติ ๗ ประการ ๑. ทิพยบปุ ผาทปี่ ระดบั พระวรกายเหย่ี วแหง้ ๒. ทิพยภูษาทีท่ รงเศรา้ หมอง ในวันที่พระโพธิสัตว์ประสูตินั้น มีบุคคลและสิ่งซึ่งเกิดข้นึ ๓. พระเสโทไหลออกจากพระกจั ฉะ ร่วมวันเดือนปีเดียวกับพระองค์ เรียกว่า สหชาติมี ๗ ๔. พระสรีรกายมีอาการปรากฏชรา ประการ คอื ๕. พระทัยกระสบั กระส่ายเปน็ ทกุ ข์เบื่อหน่ายเทวโลก มหาวโิ ลกนะ คือ การตรวจดูอันย่ิงใหญ่ มี ๕ ประการ ไดแ้ ก่ ๑. พระนางพิมพา มารดาพระราหุล ๑. กาล คือ อายขุ องมนษุ ยจ์ ะต้องอยู่ในระหวา่ ง ๑๐๐ ถึง ๒. พระอานนท์ พทุ ธอปุ ฏั ฐาก ๑๐๐,๐๐๐ ปี ๓. กาฬุทายี อำมาตย์ที่ไปกราบทูลให้เสด็จกลับเมือง ๒. ทวปี คอื จะอุบัติเฉพาะในชมพูทวีปเท่านัน้ กบลิ พสั ดุ์ ๓. ประเทศ คอื จะอุบัตเิ ฉพาะในมัธยมประเทศเทา่ นน้ั ๔. ฉันทะ องครักษผ์ ตู้ ามเสด็จขณะออกผนวช ๔. สกุล คือ จะอุบัติเฉพาะในสกุลกษัตริย์หรือสกุล ๕. กัณฐกะ ม้าทท่ี รงในวนั เสดจ็ ออกผนวช พราหมณ์เทา่ นนั้ ๖. มหาโพธิ์ ต้นไม้เป็นทต่ี รสั รู้ ๕. มารดา คอื มารดาและกำหนดอายุของมารดา มารดา ๗. ขุมทรพั ย์ ๔ ทิศ คอื สงั ขะ เอละ อุปปละ ปุณฑริกะ จะต้องมศี ลี ๕ ประสตู ไิ ด้ ๗ วัน พระนางสริ มิ หามายาเสด็จทิวงคต

๓๔ ประสูติได้ ๗ ปี พระเจ้าสุทโธทนะทรงให้ขุดสระโบกขรณี ๙. พระเจา้ สทุ โธทนะ ทรงอภิเษกสมรสกับพระนางใด ? ๓ สระ ทรงส่งไปศึกษาศิลปวทิ ยาท่ีสำนักของครูวศิ วามิตร ประสูติได้ ๑๖ ปี พระเจ้าสุทโธทนะทรงสร้างปราสาท ๓ ก. ปมิตา ข. อมิตา หลัง คอื ๑. รมยปราสาท ๒. สุรมยปราสาท ๓. สุขปราสาท ค. มายา ง. ยโสธรา ทรงอภิเษกสมรสกับพระนางยโสธราหรือพิมพา ๑๐. พระวาจาทต่ี รัสอยา่ งอาจหาญ เรียกว่าอะไร ? ก. ปยิ วาจา ข. สณั หวาจา _____________ ค. อาสภิวาจา ง. มธรุ วาจา ๑. พระบรมโพธิสตั ว์ ได้บำเพ็ญบารมี ๓๐ ประการ บรบิ รู ณ์ ๑๑. สิง่ ทีอ่ ุบัตพิ ร้อมพระโพธสิ ัตว์ เรยี กวา่ อะไร ? ในพระชาติใด ? ก. ทศชาติ ข. สหชาติ ก. เวสสันดร ข. มหาชนก ค. อนชุ าติ ง. อภิชาติ ค. สุวรรณสาม ง. มโหสถ ๑๒. บคุ คลใด เป็นสหชาติกับพระโพธสิ ัตว์ ? ๒. พระเวสสันดรหลงั ทวิ งคต เสดจ็ อบุ ตั ิท่ีสวรรค์ช้นั ใด ? ก. กาฬทุ ายี ข. นันทะ ก. ดาวดงึ ส์ ข. ยามา ค. อนรุ ุทธะ ง. อุบาลี ค. ดสุ ิต ง. นิมมานรดี ๑๓. ราชกมุ ารใด เปน็ พระอนุชาต่างพระมารดาของเจ้าชาย ๓. เหตุทท่ี ำใหเ้ ทวดาจตุ จิ ากเทวโลก มกี ่ีอยา่ ง ? สิทธตั ถะ ? ก. ๔ อยา่ ง ข. ๕ อย่าง ก. เทวทัต ข. อชาตศัตรู ค. ๖ อย่าง ง. ๗ อยา่ ง ค. อานนท์ ง. นนั ทะ ๔. พระโพธิสตั ว์ประกอบด้วยมหาปรุ สิ ลักษณะ ก่ีอยา่ ง ? ๑๔. สิทธัตถราชกุมาร ไดร้ บั การถวายพระนามอีกอยา่ งวา่ ก. ๓๒ อยา่ ง ข. ๓๔ อย่าง อะไร ? ค. ๓๖ อยา่ ง ง. ๓๘ อย่าง ก. ทีปังกร ข. ชนิ สหี ์ ๕. ธรรมดาสตรีท่ีจะเป็นพุทธมารดาน้ัน ต้องรักษาศีลใด ? ค. อังคีรส ง. เมตไตย ก. เบญจศลี ข. อโุ บสถศลี ๑๕. เหตุการณ์ใดเกิดขนึ้ เม่ือพระโพธิสัตว์ประสตู ิได้ ๗ วนั ? ค. ทศศีล ง. ปาติโมกขศ์ ลี ก. เปลง่ อาสภวิ าจา ข. อสติ ดาบสเข้าเยี่ยม ๖. ประเทศใด ตัง้ อยู่ในดินแดนชมพูทวีป ? ค. ขนานพระนาม ง. พระมารดาทิวงคต ก. เวยี ดนาม ข. จีน ๑๖. พธิ ีวปั ปมงคล ตรงกบั ข้อใด ? ค. อนิ โดนีเซีย ง. อนิ เดยี ก. แรกนาขวัญ ข. ขนานพระนาม ๗. พระโอรสและพระธิดาของพระเจา้ โอกกากราช สรา้ ง ค. สรงนำ้ พระ ง. โกนจุก เมอื งใหม่ชอื่ ว่าอะไร ? ๑๗. อภเิ ษกสมรส มคี วามหมายตรงกับข้อใด ? ก. กบลิ พัสด์ุ ข. สาวตั ถี ก. แรกนาขวัญ ข. ครองราชย์ ค. พาราณสี ง. โกสมั พี ค. แตง่ งาน ง. โกนจกุ ๘. กบิลพสั ด์ุ เปน็ เมืองหลวงของแคว้นใด ? ๑๘. เจ้าชายสิทธัตถะทรงอภเิ ษกสมรส เม่ือพระชนมายกุ ี่ปี ? ก. สักกะ ข. โกลิยะ ก. ๗ ปี ข. ๑๖ ปี ค. ภคั คะ ง. วิเทหะ ค. ๒๙ ปี ง. ๓๕ ปี

๓๕ ๑๙. สิง่ ใด ทเ่ี จา้ ชายสิทธัตถะพบในระหว่างเสดจ็ ประพาส ศึกษากับ ๒ ดาบส ๑. ศกึ ษาในสำนกั อาจารย์อาฬารดาบส กาลามโคตร ทรง อทุ ยาน ? สำเรจ็ สมาบตั ิ ๗ ก. เทวทตู ๔ ข. วรรณะ ๔ ๒. ศึกษาต่อกับอาจารย์อุททกดาบส รามบุตร ทรงสำเร็จ ค. บรษิ ทั ๔ ง. อริยบคุ คล ๔ สมาบตั ิ ๘ บำเพ็ญทุกรกริ ิยา ๒๐. เจา้ ชายสทิ ธตั ถะเหน็ เทวทูตใน ๓ วาระแรก ทรงมี วิธกี ารทรมานกายใหล้ ำบาก เปน็ กิรยิ ายากทใี่ คร ๆ จะทำ พระทัยเช่นใด ? ได้ เรียกวา่ ทุกรกริ ิยา มี ๓ วาระ คือ ก. เบิกบาน ข. อยากผนวช ๑. กดพระทนต์ด้วยพระทนต์ กดพระตาลุด้วยพระชิวหา (เอาลิ้นดนั เพดาน) ค. เศร้าสลด ง. หมดหวัง ๒. กล้นั ลมอสั สาสะปสั สาสะ (ลมหายใจเข้าออก) ปริเฉทท่ี ๒ บรรพชา ๓. อดพระกระยาหารโดยเสวยแต่น้อย จนพระวรกาย เหีย่ วแหง้ เหลอื แต่หนังห้มุ กระดกู เทวทตู ๔ นางสุชาดาถวายขา้ วมธปุ ายาส นางได้น้อมถวายข้าวมธุปายาสพร้อยด้วยถาดทองคำ เจ้าชายสิทธตั ถะ ได้เสดจ็ ประพาสอุทยาน ทอดพระเนตร พระมหาบุรุษทรงถือถาดข้าวมธุปายาสมุ่งไปสู่แม่น้ำเนรัญ ชรา ประทับนั่งทรงปั้นข้าวมธุปายาสได้ ๔๙ ปั้น ถือถาด เห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ พระองค์มีพระทัย ทองคำไปลอยที่แม่น้ำ อธิษฐานว่า “หากจะได้บรรลุพระ สัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ขอให้ถาดทองคำนี้จงลอยทวน น้อมไปในการบรรพชาเป็นอยา่ งยง่ิ กระแสน้ำ” ขณะนั้นได้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นเป็นที่อัศจรรย์ กล่าวคือ ถาดทองได้ลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไปถึง ๘๐ ศอก พระนางยโสธราประสูติพระโอรส แล้วพลันจมลงไปในน้ำ โสตถยิ พราหมณ์ถวายหญา้ คา ๘ กำ เจา้ ชายสิทธัตถะทรงทราบจึงตรัสอุทานว่า ราหลุ งั ชาตัง ทรงรับหญ้าคา ๘ กำจากโสตถิยพราหมณ์ ปูลาดหญ้าคา ทำเป็นรัตนบัลลังก์ใต้โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์ ชื่อว่า ต้น พันธะนงั ชาตัง บว่ งเกดิ ข้นึ แล้ว เครื่องพนั ธนาการเกิดขึ้น อสั สตั ถพฤกษ์ พระพชิ ิตมาร แลว้ พระกมุ ารจึงไดพ้ ระนามว่า ราหุล ทรงเอาชนะพญาวัสสวดีมาร ผู้ใจบาป ด้วยบารมี ๑๐ ประการ จนพญามารและเสนามารพ่ายแพ้กลับไปในที่สุด พระมหาบุรุษเสด็จบรรพชา แล้วทรงบำเพ็ญเพยี รต่อไป เสด็จถึงริมฝั่งแม่น้ำอโนมา ลงจากม้ากัณฐกะ ประทับน่ัง บนหาดทราย ทรงเปล้ืองอาภรณเ์ ครื่องทรงกษัตริยใ์ หแ้ ก่นาย ฉันนะ ทรงถือพระขรรค์ด้วยพระหัตถ์ขวาตัดพระโมลีแล้ว โยนไปในอากาศทรงอธิษฐานว่า “ถ้าหากว่าเราจักได้ตรัสรู้ พระอนุตตรสัมมาสมั โพธิญาณแล้วไซร้ ขอพระโมลีอย่าได้ตก ลงมาสู่พ้นื ดนิ ” เสดจ็ ออกผนวชเมอ่ื พระชนมายุ ๒๙ พรรษา บรขิ าร ๘ ฆฏิการพรหมได้นำบริขาร ๘ อย่างมาถวาย คือ สังฆาฏิ จีวร สบง รัดประคด บาตร มีด เข็มและที่กรองน้ำ พระมหา บุรุษทรงครองผ้ากาสาวพัสตร์แล้วทรงอธิษฐานเพศเป็น บรรพชิต ส่วนเครื่องทรงนั้นทรงมอบให้แก่ฆฏิการพรหม อัญเชญิ ไปบรรจุไว้ในทุสสเจดยี ์ ทพี่ รหมโลก

๓๖ ตรัสรธู้ รรม ๖. การทรมานร่างกายให้ลำบาก เรียกวา่ อะไร ? พระมหาบุรุษได้ตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณ ตามลำดับ ก. ทกุ รกริ ยิ า ข. กาลกิรยิ า ดังน้ี ๑. ปฐมยาม ทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือ ค. อกาลกิริยา ง. บุญกริ ิยา ระลกึ ชาติหนหลังของพระองคไ์ ด้ ๗. การบำเพญ็ เพียรดว้ ยการทรมานร่างกาย เรียกว่า ๒. มัชฌิมยาม ทรงบรรลุจุตูปปาตญาณ หรือทิพพจักขุ อะไร ? ญาณ ทอดพระเนตรเห็นสรรพสัตว์จุติและเกิดในที่ต่ำและ ประณีต ก. กาลกริ ิยา ข. อกาลกริ ยิ า ๓. ปจั ฉิมยาม ทรงบรรลอุ าสวักขยญาณ คือญาณหย่ังรู้ใน ค. บุญกิรยิ า ง. ทกุ รกิริยา ธรรมเปน็ ทสี่ ้นิ ไปแห่งอาสวะทง้ั หลาย ๘. อตั ตกิลมถานุโยค คือทำความเพยี รเพื่อใหต้ นเป็นเชน่ พระมหาบุรุษได้ตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณ สำเร็จเป็น พระสมั มาสัมพทุ ธเจ้า ในวันวสิ าขบชู า ข้ึน ๑๕ คำ่ เดือน ๖ ใด ? ก. ผาสุก ข. ลำบาก ค. พน้ ทกุ ข์ ง. ปลอ่ ยวาง ๙. บุคคลทอ่ี อกบวชตามพระมหาบุรุษ เป็นกล่มุ แรก ตรง _____________ กบั ข้อใด ? ๑. บุคคลใด ไดต้ ามเสดจ็ เจ้าชายสิทธัตถะในวันออกผนวช ? ก. ปัญจวคั คีย์ ข. ภัททวคั คีย์ ก. กาฬทุ ายี ข. อานนท์ ค. ยสะและสหาย ง. ชฎิล ๓ พ่ีนอ้ ง ค. ฉันนะ ง. นันทะ ๑๐. นางสุชาดาเหน็ พระมหาบุรษุ คดิ ว่าเป็นผู้ใด ? ๒. ในวนั เสด็จออกผนวช เจ้าชายสิทธัตถะทรงพาหนะใด ? ก. พระพรหม ข. เทวดา ก. ราชรถ ข. ม้ากัณฐกะ ค. ฤษี ง. ดาบส ค. มงคลหตั ถี ง. โคอุสภะ ๑๑. อาหารชนิดใด ที่นางสชุ าดาถวายแก่พระมหาบุรุษ ? ๓. เจ้าชายสิทธัตถะอธิษฐานเพศบรรพชา ทร่ี มิ ฝง่ั แม่น้ำ ก. ข้าวยาคู ข. ข้าวมธุปายาส ใด ? ค. ข้าวปลายเกวยี น ง. ข้าวสาลี ก. คงคา ข. เนรัญชรา ๑๒. สง่ิ ใด ทน่ี างสชุ าดานำไปถวายพระมหาบุรุษ ? ค. อโนมา ง. ยมนุ า ก. ขนมกุมมาส ข. ขนมแดกงา ๔. พระอมรนิ ทราธริ าชนำพระจุฬาโมลไี ปไว้ ในสวรรคช์ ั้น ค. ข้าวมธปุ ายาส ง. ขนมเบอ้ื ง ใด ? ๑๓. พระมหาบรุ ุษทรงอธิษฐานลอยถาดทอง ที่แม่น้ำใด ? ก. ดาวดงึ ส์ ข. ยามา ก. เนรัญชรา ข. อโนมา ค. ดสุ ติ ง. นิมมานรดี ค. คงคา ง. ยมุนา ๕. พระมหาบรุ ุษครัน้ ผนวชแลว้ เสด็จไปศกึ ษาในสำนกั ๑๔. หญา้ ชนิดใด ท่โี สตถยิ พราหมณไ์ ด้ถวายแก่พระมหา ดาบสใด ? บุรษุ ? ก. อสิตดาบส ค. สรทดาบส ข. อาฬารดาบส ก. หญ้าแหว้ หมู ข. หญ้าแพรก ง. กบิลดาบส ค. หญา้ มุงกระต่าย ง. หญา้ คา

๓๗ ๑๕. พระมหาบุรุษตรสั รู้ ณ ภายใตต้ น้ ไม้ใด ? สัปดาห์ที่ ๖ ประทับใต้ต้นมุจลินท์ หรือต้นจิก พญานาค มุจลินท์แผ่พังพาน ๗ รอบ ปกคลุมเหนือพระเศียรเพื่อมิให้ ก. ต้นโพธ์ิ ข. ต้นไทร ลมและฝนตกใสพ่ ระวรกายได้ ค. ตน้ ไผ่ ง. ตน้ สาละ สปั ดาหท์ ่ี ๗ ประทบั ใตต้ น้ ราชายตนะ หรอื ต้นเกด พ่อค้า ๒ คนคอื ตปุสสะ และภลั ลกิ ะ น้อมถวายขา้ วสัตตุผงและ ๑๖. ต้นพระศรีมหาโพธ์ทิ ี่ตรสั รู้ ต้งั อย่ใู กลแ้ มน่ ้ำใด ? สัตตุก้อน เปรียบบุคคลเหมอื นดอกบัว ๔ เหล่า ก. คงคา ข. ยมนุ า ๑. อุคฆฏิตัญญู บุคคลผู้มีปัญญาดี และมีกิเลสเบาบาง ค. อโนมา ง. เนรัญชรา สามารถรู้ได้เร็วพลันเหมือนดอกบัวที่ขึ้นพ้นจากน้ำแล้ว พอ ต้องแสงอาทติ ย์กเ็ บง่ บานในทนั ที ๑๗. พระมหาบุรุษอธษิ ฐานวา่ ถา้ ยงั ไม่ตรสั รจู้ ะไมล่ กุ ข้ึน ท่ใี ต้ ๒. วิปจิตัญญู บุคคลผู้มีปัญญาปานกลาง เมื่อได้ฟังซ้ำ ต้นไมใ้ ด ? อีกครั้งหนึ่ง ก็สามารถบรรลุธรรมได้ เหมือนดอกบัวที่ขึ้น เสมอนำ้ และจกั บานในวนั พรงุ่ นี้ ก. ต้นสาละ ข. ตน้ โพธิ์ ๓. เนยยะ บุคคลผู้มีปัญญาน้อย เมื่อได้ฟังบ่อย ๆ ค. ตน้ ไทร ง. ตน้ หว้า พยายามทำความเพียรโดยไม่ขาดตอน ก็สามารถบรรลุธรรม ได้ เหมือนดอกบัวท่อี ยใู่ ตน้ ้ำมโี อกาสที่จะบานในวนั ตอ่ ๆ ไป ๑๘. สถานทใี่ ด เป็นทตี่ รัสรู้ของพระพุทธเจา้ ? ๔. ปทปรมะ บุคคลผดู้ ้อยปัญญา ยากท่จี ะสัง่ สอนได้ แม้ ก. ลมุ พินีวนั ข. พุทธคยา ไดฟ้ ังธรรมกจ็ กั เป็นอปุ นิสัยปัจจยั ในภพตอ่ ไป เหมอื นดอกบัว ที่เพิ่งงอกขึ้นใหม่อยู่ใต้น้ำย่อมเป็นอาหารของปลาและเต่า ค. สารนาถ ง. กสุ นิ ารา ฉะนน้ั ปฐมเทศนา ๑๙. พระมหาบรุ ุษทรงชนะมารดว้ ยบารมี กี่ประการ ? วันอาสาฬหบูชา ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ พระพุทธองค์ตรัส ก. ๑๐ ประการ ข. ๒๐ ประการ เรียกปัญจวัคคีย์มาพร้อมกันแล้วทรงแสดงธรรมเทศนาช่ือ “ธมั มจกั กัปปวัตตนสูตร” โดยลำดบั ค. ๔๐ ประการ ง. ๕๐ ประการ ตอนที่ ๑ ทรงแสดงทางสุดโต่ง ๒ สาย ที่บรรพชิตไม่ควร ปริเฉทที่ ๓ สัตตมหาสถาน ดำเนนิ เสวยวิมตุ ตสิ ขุ ตอนที่ ๒ ทรงแสดงมัชฌิมาปฏิปทา คือ ทางสายกลาง มรรคมีองค์ ๘ ที่บรรพชติ ควรดำเนนิ หลังจากตรสั รู้ เสด็จประทบั เสวยวิมตุ ติสุข คอื ความสุขท่ี ตอนท่ี ๓ ทรงแสดงอรยิ สจั ๔ เกิดจากการหลุดพ้นจากกิเลส เป็นเวลา ๗ สัปดาห์ สัปดาห์ ละแห่ง รวมเปน็ ๔๙ วัน ตามลำดบั ดังนี้ สัปดาห์ที่ ๑ ประทับใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทรงพิจารณา ปฏิจจสมปุ บาท สปั ดาหท์ ่ี ๒ ประทับอนิมิสเจดีย์ ทอดพระเนตรเพง่ ดูรัตน บัลลังก์ท่ีประทบั ตรสั รู้ สปั ดาหท์ ี่ ๓ ประทบั รตั นจงกรมเจดยี ์ เสด็จจงกรม สัปดาห์ที่ ๔ ประทับรัตนฆรเจดีย์ ทรงพิจารณาพระ อภิธรรมปิฎก สัปดาห์ที่ ๕ ประทับใต้ต้นอชปาลนิโครธ ผจญธิดามาร ท้ัง ๓ คอื นางตัณหา นางราคา และนางอรดี

๓๘ อัญญาโกณฑัญญะบรรลุธรรม ปรเิ ฉทท่ี ๔ ประกาศศาสนา หลังจากจบพระธรรมเทศนา ธรรมจักษุ คือ ดวงตาเห็น โกณฑญั ญะขออปุ สมบท ธรรมได้เกดิ แกท่ ่านโกณฑญั ญะ ทรงประทานการอุปสมบทแก่ท่านโกณฑัญญะ ด้วยวิธี _____________ เอหิภิกขุอุปสัมปทา พระอัญญาโกณฑัญญะเป็นภิกษุองค์ ๑. สปั ดาห์ท่ี ๑ หลังตรสั รู้ พระพุทธเจา้ ทรงเสวยวิมุตตสิ ขุ แรกที่อุปสมบทด้วยวิธีนี้ และได้ชื่อว่าเป็นพระสงฆอ์ งค์แรก ในพระพุทธศาสนาอีกด้วย พระรัตนะตรัยเกิดขึ้นครบคร้ัง ภายใต้ต้นไมใ้ ด ? แรกในวันอาสาฬหบชู า ข้ึน ๑๕ คำ่ เดอื น ๘ ทรงแสดงอนัตตลกั ขณสตู ร ก. ต้นโพธ์ิ ข. ตน้ ไทร ในวันแรม ๕ ค่ำ เดือน ๘ ทรงแสดงอนตั ตลักขณสตู รแก่ ค. ตน้ ราชพฤกษ์ ง. ต้นปาริฉตั ร พระปัญจวัคคีย์ ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ คราวนั้นมีพระ อรหันต์เกิดขึ้นในโลก ๖ องค์ พระองค์ได้เสด็จจำพรรษา ณ ๒. หลงั ตรสั รู้แลว้ พระพุทธเจา้ เสวยวิมตุ ติสขุ กีส่ ปั ดาห์ ? ป่าอิสิปตนมฤคทายวนั เป็นพรรษาแรก ยสกลุ บตุ ร ก. ๕ สัปดาห์ ข. ๖ สปั ดาห์ ท่านยสะบ่นว่า “ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ” ค. ๗ สัปดาห์ ง. ๘ สัปดาห์ พระองค์ทรงแสดงอนุปุพพิกถาและสามุกกังสิกธรรมคือ อริยสัจ ๔ ให้ฟัง เมื่อจบพระธรรมเทศนา ท่านยสะได้ดวงตา ๓. ใครทูลอาราธนาให้พระพุทธเจ้าแสดงธรรมโปรดเวไนย เห็นธรรมเปน็ พระโสดาบนั ปฐมอุบาสก สัตว์ ? เศรษฐีผู้เป็นบิดาของพระยสะ ประกาศตนเป็นอุบาสก ก. พระอนิ ทร์ ข. ท้าวมหาพรหม ขอถึงพระรัตนตรัยคือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ว่า เป็นสรณะตลอดชีวิต เป็นอุบาสกคนแรกที่ขอถึงพระ ค. ฆฏกิ ารพรหม ง. สหมั บดีพรหม รัตนตรัยเปน็ สรณะในโลก เรียกวา่ เตวาจิกอุบาสก ยสะทลู ขอบวช ๔. ดอกบวั ท่อี ยูใ่ นโคลนตม เปรยี บไดก้ บั บุคคลประเภท ทรงอนุญาตด้วยพระดำรัสว่า \"เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ใด ? ธรรมอันเรากล่าวดแี ลว้ เธอจงประพฤตพิ รหมจรรยเ์ ถิด\" ไม่ มคี ำว่า \"เพ่ือทำที่สุดแห่งทุกขโ์ ดยชอบเถิด\" เพราะว่ายสะได้ ก. อุคฆติตญั ญู ข. วปิ จติ ญั ญู บรรลเุ ปน็ พระอรหันต์ถงึ ที่สุดแหง่ ทกุ ขแ์ ลว้ ปฐมอุบาสกิ า ค. เนยยะ ง. ปทปรมะ มารดาและภริยาเก่าของพระยสะ เป็นอุบาสิกาคู่แรกใน ๕. บุคคลผ้เู ปรียบเหมอื นบัวเสมอนำ้ ตรงกับข้อใด ? โลกท่ีขอถึงพระรัตนตรัย เรยี กว่า เตวาจกิ อบุ าสกิ า ก. อุคฆติตัญญู ข. วิปจติ ญั ญู ค. เนยยะ ง. ปทปรมะ ๖. การแสดงธรรมครง้ั แรกของพระพทุ ธเจา้ เรียกว่าอะไร ? ก. ปฐมเทศนา ข. ทตุ ิยเทศนา ค. ตตยิ เทศนา ง. จตุตถเทศนา ๗. ใครได้ดวงตาเหน็ ธรรมเปน็ คนแรกหลังฟังธรรมจัก กปั ปวัตนสูตรจบ ? ก. โกณฑญั ญะ ข. วปั ปะ ค. ภัททยิ ะ ง. อัสสชิ

๓๙ เพอ่ื นพระยสะ ๕๔ คนออกบวช ๒. เมือ่ ฟงั อนตั ตลักขณสูตรจบ พระปัญจวัคคียส์ ำเร็จเปน็ บุตรเศรษฐีชาวเมืองพาราณสี ๔ คือ วิมละ สุพาหุ ปุณณ พระอรยิ บุคคลช้นั ใด ? ชิ และควัมปติ และสหายของพระยสะ ๕๐ คน ออกบวช และบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ รวมพระอรหันต์เกิดขึ้นใน ก. พระโสดาบนั ข. พระสกทาคามี โลก ๖๑ องค์ ค. พระอนาคามี ง. พระอรหันต์ ๓. ในอนตั ตลักขณสตู ร พระพุทธเจ้าทรงแสดงสิ่งใดวา่ เป็น พระสงฆใ์ ห้กลุ บตุ รบรรพชาอุปสมบท อนตั ตา ? พระองค์ทรงอนุญาตให้อุปสมบทด้วยไตรสรณาคมน์เป็น ก. มาร ๕ ข. นวิ รณ์ ๕ ครงั้ แรกอยา่ งน้ี ตัง้ แตน่ ้นั มาการอปุ สมบทมี ๒ วธิ ี คือ ๑. เอหิภิกขุอปุ สมั ปทา พระพทุ ธองคท์ รงบวชให้เอง ค. เวทนา ๕ ง. ขันธ์ ๕ ๒. ติสรณคมนปู สมั ปทา พระสาวกบวชให้ ๔. “ ที่น่ีว่นุ วายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ ” เปน็ คำพูดของ โปรดชฎิล ๓ พ่ีนอ้ ง ๑. อุรเุ วลกสั สปะ มบี รวิ าร ๕๐๐ คน ใคร ? ๒. นทีกสั สปะ มบี ริวาร ๓๐๐ คน ๓. คยากัสสปะ มีบริวาร ๒๐๐ คน ก. ยสะ ข. วิมละ ทรงแสดงอาทิตตปริยายสูตร จบพระพระธรรมเทศนา ค. สพุ าหุ ง. ควมั ปติ ภกิ ษุ ๑,๐๐๓ รปู ได้บรรลธุ รรมเป็นพระอรหันต์ โปรดพระเจ้าพิมพสิ าร ๕. อุบาสกคนแรก ผู้ถึงพระรัตนตรัยเปน็ สรณะ คือใคร ? พระพุทธองค์ทรงพาภิกษุ ๑,๐๐๓ รูป เสด็จไปเมืองรา ก. บิดาพระยสะ ข. พระเจ้าพิมพิสาร ชคฤห์ ประทับอยู่ที่สวนตาลหนุ่ม ชื่อว่า ลัฏฐิวัน ทรงแสดง อนุปุพพิกถาและอริยสัจ ๔ พระเจ้าพิมพิสารพร้อมท้ัง ค. อนาถบิณฑิกเศรษฐี ง. จติ ตคฤหบดี บริวาร ๑๑ นหุต ได้ดวงตาเห็นธรรมคือบรรลุธรรมเป็นพระ โสดาบัน อีก ๑ นหุต ตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์ (๑ นหุต = ๖. พระพุทธเจ้าเสด็จไปทตี่ ำบลอรุ เุ วลาเสนานคิ ม เพื่อ ๑๐,๐๐๐ คน) วัดแรกในพระพทุ ธศาสนา โปรดใคร ? ก. ปญั จวัคคีย์ ข. ภทั ทวคั คยี ์ ค. ชฎลิ ๓ พ่ีนอ้ ง ง. พระเจ้าพิมพสิ าร ๗. พระอรหนั ตท์ ่ีตามเสดจ็ พระพุทธเจ้าไปสวนตาลหนุ่ม มกี ่ีองค์ ? ก. ๑,๐๐๑ ข. ๑,๐๐๒ ค. ๑,๐๐๓ ง. ๑,๐๐๔ ๘. พระเจ้าพิมพิสารเสดจ็ ไปพบพระพุทธเจ้าครั้งแรก ณ ทรงถวายวัดเวฬุวันแด่หมู่สงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข สถานทใ่ี ด ? พระองค์ทรงรับแล้วเสด็จกลับ วัดเวฬุวันเป็นวัดเแรกใน พระพทุ ธศาสนา ก. สวนตาลหนมุ่ ข. สวนไผ่ ค. สวนเจ้าเชต ง. สวนมะมว่ ง _____________ ปรเิ ฉทท่ี ๕ ทรงบำเพ็ญพุทธกิจ ๑. พระเถระใด เป็นรปู แรกที่บวชดว้ ยเอหภิ ิกขอุ ปุ สัม พระอคั รสาวก ปทา ? พระสารีบุตร ชื่อเดิมว่า อุปติสสะ บิดาชื่อว่า วังคันต ก. พระโกณฑญั ญะ ข. พระวัปปะ พราหมณ์ มารดาชื่อว่า นางสารีพราหมณี เกิดในวรรณะ ค. พระภัททยิ ะ ง. พระมหานามะ พราหมณ์ ที่หมบู่ ้านอุปติสสะ ใกล้เมืองราชคฤห์

๔๐ พระมหาโมคคัลลานะ ชื่อเดิมว่า โกลิตะ บิดาชื่อว่า โกลิ ๓. พระเถระองคใ์ ด ได้รบั ยกย่องวา่ เหมือนมารดาผ้ใู ห้ ตะ มารดาช่ือว่า โมคคัลลี เกิดในตระกลู พราหมณ์ ที่หมู่บ้าน โกลติ คาม ไม่ไกลจากกรงุ ราชคฤห์ กำเนิดบตุ ร ? พระสารีบตุ รบรรลธุ รรมเป็นพระอรหนั ต์ ก. พระอุรเุ วลกัสสปะ ข. พระสารีบุตร ทรงแสดงธรรมชื่อว่า เวทนาปริคคหสูตร แก่ฑีฆนข ปริพาชก อัคคเิ วสนโคตร ผู้เป็นหลานของพระสารบี ตุ ร ท่ถี ํ้า ค. พระโมคคัลลานะ ง. พระอานนท์ สุกรขาตา เขาคิชฌกูฎ แขวงเมืองราชคฤห์ พระสารีบุตรซึ่ง กำลังถวายงานพัดอยู่ ได้ฟังจึงบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ๔. โกลติ ปริพาชกเมื่อบวชในพระพทุ ธศาสนา ปรากฏชื่อวา่ หลังจากบวชแล้ว ๑๕ วัน อะไร ? พระโมคคัลลานะ หลังจากบวชแล้ว ๗ วัน ทูลลาพระ พุทธองค์ไปบำเพ็ญเพียรอยู่ที่หมู่บ้านกัลลวาลมุตตคาม ก. พระโกณฑญั ญะ ข. พระอัสสชิ แคว้นมคธ ถูกความง่วงเข้าครอบงำไม่สามารถบำเพ็ญเพียร ได้ พระพทุ ธองคเ์ สดจ็ ไปตรัสบอกอุบายแก้ง่วงให้ ๘ ประการ ค. พระสารบี ุตร ง. พระโมคคัลลานะ ท่านปฏิบัติธรรมตามพระโอวาทได้บรรลุธรรมเป็นพระ ๕. พระโมคคัลลานะดับขันธนิพพานหลังพระสารบี ุตร กี่วัน ? ก. ๑๓ วนั ข. ๑๔ วนั ค. ๑๕ วัน ง. ๑๖ วัน ๖. เจดยี ์บรรจอุ ฐั ิพระโมคคลั ลานะ ตั้งอยู่ใกล้ซุ้มประตวู ดั ใด ? อรหนั ต์ในวนั น้ัน ก. เวฬวุ นั ข. เชตวนั ทรงยกยอ่ งพระอัครสาวก ค. บพุ พาราม ง. นิโครธาราม พระสารีบุตรเป็นเลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้มีปัญญามาก เป็นพระอัครสาวกเบ้อื งขวา ปริเฉทที่ ๖ ศษิ ยพ์ ราหมณ์พาวรี ๑๖ คน พระมหาโมคคัลลานะเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้มี อชิตมาณพ ฤทธมิ์ าก เป็นอัครสาวกเบือ้ งซา้ ย อชติ มาณพได้ทลู ถามปญั หา ทรงยกย่องพระเถระทั้งสองอีกว่า “สารีบุตรเปรียบเหมือนมารดาผู้ให้กำเนิดบุตร โมคคัล “โลกคือหมู่สัตว์ ถูกอะไรปิดบังไว้ อะไรเป็นเหตุจึงไม่มี ลานะเปรียบเหมือนผู้บำรุงเลี้ยงทารกที่เกิดแล้ว สารีบุตร ย่อมแนะนำในโสดาปัตติผล โมคคัลลานะย่อมแนะนำในผล ปญั ญามองเหน็ อะไรเปน็ เคร่ืองฉาบไล้ให้สัตวโ์ ลกติดอยู่ และ ชน้ั สงู ขึ้นไป” อะไรเปน็ ภัยใหญข่ องสตั ว์โลกนนั้ ?” พระพุทธเจ้าทรงวิสัชนาว่า อวิชชา คือความไม่รู้ปิดบังไว้ ตณั หาและความประมาทปดิ กั้นปัญญา ตัณหาคือความอยาก ฉาบไล้สตั ว์โลกให้ติดอยู่ ทกุ ขเ์ ปน็ ภยั ใหญ่ของสัตว์โลก ฯ _____________ ติสสเมตเตยยมาณพ ๑. สตรีใด เป็นมารดาของอปุ ตสิ สมาณพ ? ตสิ สเมตเตยยมาณพ ได้ทูลถามปัญหาเป็นคนที่ ๒ วา่ ก. นางสารี ข. นางโมคคัลลี “ใครชอื่ วา่ เปน็ ผู้สันโดษในโลกน้ี ?” ค. นางวิสาขา ง. นางสชุ าดา พระพุทธเจ้าทรงวิสัชนาว่า ภิกษุผู้ประพฤติพรรมจรรย์ ๒. ใครไดพ้ บพระอสั สชิขณะบิณฑบาตในเมืองราชคฤห์ ? สำรวมในกามทั้งหลายปราศจากความอยากแล้ว มีสติระลึก ก. อุปตสิ สะ ข. โกลติ ะ ได้ทุกเมื่อ พิจารณาเห็นโดยชอบ ดับเครื่องร้อนกระวน ค. สญั ชัย ง. มักขลิ กระวายไดเ้ สยี แล้ว ช่ือว่าผสู้ ันโดษในโลกนี้ ฯ

๔๑ ปุณณกมาณพ ก. อชติ ะ ข. เมตเตยยะ ปุณณกมาณพได้กราบทูลถามปญั หาเปน็ คนท่ี ๓ วา่ “มวลมนุษย์ในโลกนี้ คือ ฤๅษี กษัตริย์ และพราหมณ์ ค. ปุณณกะ ง. เมตตคู จำนวนมากอาศยั อะไร จึงบูชายญั บวงสรวงเทวดา ?” ๓. พระเถระใด กลับไปแจง้ ข่าวแก่พราหมณพ์ าวรี ? พระพุทธเจ้าทรงวิสัชนาว่า เพราะอยากได้ของที่ตน ก. พระอทุ ยะ ข. พระโปสาละ ปรารถนา ที่อาศัยชรา เป็นต้น มาทำให้แปรเปลี่ยน จึงบูชา ยัญบวงสรวงเทวดา ฯ ค. พระโมฆราช ง. พระปิงคยิ ะ โมฆราชมาณพ ปริเฉทที่ ๗ ประทานการบวช โมฆราชมาณพไดก้ ราบทูลถามปัญหาเปน็ คนที่ ๑๕ ว่า “ข้าพระองค์จะพิจารณาเห็นโลกอย่างไร มัจจุราชจึงจะ ด้วยวิธีจตตุ ถกรรมวาจา ไม่แลเห็น คือจะตามไม่ทัน ?” พระพุทธเจ้าทรงวิสัชนาว่า ท่านจงเป็นคนมีสติพิจารณา ญตั ติจตตุ ถกรรมวาจา เห็นโลกโดยความเป็นของว่างเปล่า ถอนความเห็นว่าตัวของ ญัตติจตุตถกรรมวาจา หมายถึง การอุปสมบทด้วยญัตติ เราทุกเมื่อ ท่านจะข้ามพ้นมัจจุราชเสียได้ด้วยอุบายอย่างนี้ จตุตถกรรม (กรรมมีญัตติเป็นที่สี่) เป็นวิธีอุปสมบทที่สงฆ์ เม่ือทา่ นพิจารณาเห็นโลกอย่างนี้แล มัจจุราชจึงจะไม่แลเห็น เปน็ ผกู้ ระทำอยา่ งที่ใช้ในปจั จุบนั คือตามไมท่ นั ฯ สถานะเดมิ พระราธะ ปิงคยิ มาณพ พระราธะ ชื่อเดิมว่า ราธะ บิดาและมารดาไม่ปรากฏชือ่ ปงิ คยิ มาณพได้กราบทลู ถามปญั หาเปน็ คนท่ี ๑๖ วา่ เกิดในวรรณะพราหมณ์ ทเ่ี มอื งราชคฤห์ แควน้ มคธ “ข้าพระองค์แก่แล้ว ขออย่าให้ข้าพระองค์หลงพบความ มลู เหตขุ องการออกบวช เสื่อมเสียในระหว่างเลย ขอพระองค์ตรัสบอกธรรมเครื่องละ ชาตชิ ราในอัตภาพนีแ้ ก่ขา้ พระองคเ์ ถิด ?” พระสารีบุตรไดบ้ วชใหร้ าธะด้วยวธิ ญี ัตติจตตุ ถกรรมวาจา พระพุทธเจ้าทรงวิสัชนาว่า ท่านเห็นว่าชนทั้งหลายผู้ ซึ่งพระราธะเป็นคนแรกที่บวชด้วยวิธีนี้ ในปัจจุบันน้ี ประมาทแล้วย่อมเดือดร้อน เพราะรูปเป็นเหตุ เพราะฉะน้ัน พระภิกษทุ ุกรูปกบ็ วชด้วยวิธนี ้ี ท่านจงเป็นคนไม่ประมาท ละความพอใจในรูปเสียจะได้ไม่ ตำแหน่งเอตทคั คะ เกดิ อกี ฯ พระพุทธองค์ทรงยกย่องท่านว่า “เป็นเลิศกว่าภิกษุ _____________ ทั้งหลาย ผู้มีปฏิภาณ คือ ความรู้แจ่มแจ้งในพระธรรม ๑. ศษิ ย์ของพราหมณ์พาวรีท่ีถูกส่งไปถามปัญหากับ เทศนา” สถานะเดมิ พระปุณณมนั ตานีบตุ ร พระพุทธเจา้ มกี ี่คน ? พระปุณณมันตานีบุตร ชื่อเดิมว่า ปุณณะ บิดาไม่ปรากฏ ก. ๑๓ คน ข. ๑๔ คน ชื่อ มารดาชื่อว่า นางมันตานี เกิดในวรรณะพราหมณ์ ที่ หมู่บ้านโทณวัตถุ ใกล้เมืองกบิลพัสดุ์ มารดาของท่านเป็น ค. ๑๕ คน ง. ๑๖ คน น้องสาวของพระอญั ญาโกณฑัญญะ มูลเหตุของการออกบวช ๒. มาณพใด ทูลถามวา่ “ โลกคือหมสู่ ัตว์ อันอะไรปิดบังไว้ พระปุณณมันตานีบุตรบวชในพระพุทธศาสนา โดยการ ..... ” ? ชกั ชวนของพระอญั ญาโกณฑญั ญะซ่ึงเปน็ หลวงลุง มีหลวงลุง เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อปฏิบัติตามคำสอนของพระอุปัชฌาย์ ไม่นาน กไ็ ด้บรรลธุ รรมเปน็ พระอรหันต์

๔๒ ตำแหนง่ เอตทัคคะ กาฬุทายอี อกบวช รับสั่งให้กาฬุทายีอำมาตย์ไปกราบทูล ได้ฟังพระธรรม พระปุณณมนั ตานีบุตร มีวาทะในการแสดงธรรมอันลึกซ้ึง เทศนาบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์พร้อมทั้งบริวาร และได้ ด้วยอุปมาอุปมัย และดำรงมั่นอยู่ในกถาวัตถุ ๑๐ ประการ ทูลขออุปสมบทในพระพุทธศาสนา ได้กราบทูลพระพุทธเจ้า เสดจ็ ไปเมืองกบลิ พสั ด์ุ ทรงรบั คำอาราธนาของพระกาฬุทายี เพราะฉะนั้นพระพุทธองค์ทรงยกย่องท่านว่า “เป็นเลิศกว่า เสด็จถงึ เมอื งกบลิ พัสดุ์ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ผู้เปน็ พระธรรมกถึก” ครั้นเสด็จถึงเมืองกบิลพัสดุ์แล้ว ประทับที่นิโครธารามซ่ึง พระประยรู ญาติได้สร้างไว้รอรบั เสด็จ _____________ ฝนโบกขรพรรษตก ๑. พระเถระรูปใด อุปสมบทด้วยญัตตจิ ตตุ ถกรรมวาจาเปน็ ฝนโบกขรพรรษ ซงึ่ มีลกั ษณะเปน็ สแี ดงตกลงในท่ามกลาง รูปแรก ? แหง่ สมาคมพระประยูรญาติเป็นทนี่ ่าอัศจรรยใ์ จ จากนั้นทรง แสดงเวสสันดรชาดกแก่พระประยูรญาติ ก. พระอนุรทุ ธะ ข. พระราหลุ พระพุทธบดิ าบรรลุธรรม ค. พระฉนั นะ ง. พระราธะ พระเจ้าสุทโธทนะเสด็จไปประทับยืนเฉพาะพระพักตร์ แลว้ ตรสั ห้ามไม่ใหบ้ ณิ ฑบาต เพราะเปน็ การเสื่อมเสียเกียรติ ๒. พระเถระใด บวชให้ราธพราหมณ์ ? วงศ์ตระกูล พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า “มหาบพิตร การออก บิณฑบาตเป็นประเพณีของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย” จากน้ัน ก. พระโกณฑญั ญะ ข. พระอสั สชิ ทรงแสดงธรรมเทศนาโปรดพระพุทธบิดาด้วยพระคาถาว่า “ผู้ใดไม่ประมาทในบิณฑบาตอันบุคคลพึงลุกขึ้นยืนรับ มี ค. พระสารีบตุ ร ง. พระโมคคัลลานะ อุตสาหะประพฤติสุจริตธรรม ผู้นั้นพึงอยู่เป็นสุขทั้งในโลกนี้ และโลกหนา้ ” ๓. คณุ ธรรมใด ของพระราธะทค่ี วรถอื เปน็ แบบอย่าง ? ครั้นจบพระธรรมเทศนา พระเจ้าสุทโธทนะบรรลุธรรม ก. ความกตัญญู ข. ความอดทน เปน็ พระโสดาบนั ค. ความว่างา่ ย ง. ความเลีย้ งงา่ ย ในวันที่สอง ได้เสด็จไปเสวยภตั ตาหารในพระราชวัง ทรง แสดงเทศนาโปรดพระนางปชาบดีโคตมีด้วยพระคาถาว่า ๔. พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญพระปุณณมันตานบี ุตร ว่า “บุคคลใดประพฤติสุจริตธรรม ไม่ประกอบทุจริต บุคคลนั้น ยอ่ มอยู่เปน็ สุขทง้ั โลกนแ้ี ละโลกหน้า” เปน็ ผ้เู ลิศในดา้ นใด ? จบแล้วพระนางปชาบดีโคตมีได้บรรลุธรรมเป็นพระ ก. ทรงธดุ งค์ ข. ทรงวนิ ยั โสดาบัน ส่วนพระเจ้าสุทโธทนะได้บรรลุธรรมเป็นพระ สกทาคามี ค. ใครต่ ่อการศึกษา ง. เปน็ ธรรมกถึก ๕. นางพราหมณใี ด เป็นมารดาของพระปณุ ณมันตานี บุตร ? ก. สารี ข. โมคคลั ลี ค. มันตานี ง. โกสยิ า ปริเฉทท่ี ๘ เสดจ็ เมืองกบลิ พัสดุ์ -เจา้ ศากยะออกบวช พระเจ้าสทุ โธทนะ พระเจา้ สทุ โธทนะมีพระประสงค์จะสดับพระธรรมเทศนา จงึ รับสง่ั ใหอ้ ำมาตย์และบริวาร ๑,๐๐๐ คน ไปทูลเชิญเสด็จ มาสู่เมืองกบิลพัสด์ุ อำมาตย์พร้อมด้วยบริวารเหล่านั้นล้วน ได้ฟังธรรม บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ทูลขออุปสมบท ทงั้ หมด

๔๓ ในวันที่สาม ได้เสด็จไปเสวยภัตตาหารในพระราชวังอีก ก. มหาปชาบดีโคตมี ข. พมิ พา ตรสั มหาธรรมปาลชาดกจบ พระพทุ ธบิดาได้บรรลุธรรมเป็น พระอนาคามี ค. กีสาโคตมี ง. รูปนันทา พระราหลุ กุมารบรรพชา ๖. พระมารดาของราหลุ กมุ าร มีพระนามวา่ อะไร ? ในวันที่เจ็ด ราหุลกุมารตามส่งเสด็จไปถึงพระวิหารแล้ว ทูลขอสมบัติ ทรงให้อริยทรัพย์แก่ราหุลกุมาร โดยตรัสกับ ก. สิริมหามายา ข. ปชาบดี พระสารีบุตรว่า “เธอจงบรรพชาให้ราหุลกุมาร” พระสารี บุตรรับพุทธบัญชาแล้วบวชราหุลกุมารเป็นสามเณร ค. พมิ พา ง. รูปนันทา สามเณรราหุลจึงได้ชื่อว่า เป็นสามเณรองค์แรกใน พระพุทธศาสนา ๗. พระนางพิมพาฟงั จนั ทกนิ นรชาดกแล้ว เป็นอรยิ บคุ คล พระราหุลบรรลธุ รรมเปน็ พระอรหันต์ ช้นั ใด ? พระราหุลเป็นผู้ใคร่ในการศึกษาพระธรรมวินัยเป็นอย่าง ยิ่งแต่ยังเปน็ สามเณร ดังนั้นพระพุทธองคจ์ ึงทรงยกย่องไว้ใน ก. โสดาบัน ข. สกทาคามี ตำแหน่งเอตทัคคะว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้ใคร่ใน ค. อนาคามี ง. อรหนั ต์ ๘. “ ทา่ นจกั บวชหรือ ” พระพุทธเจ้าตรสั ถามพระกมุ าร ใด ? ก. อานนท์ ข. อนุรทุ ธะ ค. นันทะ ง. ราหลุ ๙. สามเณรใด บวชดว้ ยวธิ ีรบั ไตรสรณคมน์เปน็ รูปแรก ? การศกึ ษา ก. ราหุล ข. สงั กจิ จะ _____________ ค. สุมนะ ง. สุขะ ๑. พุทธบดิ า หมายถึงกษตั ริย์พระองค์ใด ? ๑๐. พระเถระใด เตรียมสถานทถ่ี วายพระเพลิงพระบรมศพ ก. พิมพิสาร ข. ปเสนทิโกศล พระพทุ ธบดิ า ? ค. สทุ โธทนะ ง. สหี หนุ ก. พระโกณฑญั ญะ ข. พระสารีบตุ ร ๒. พระพุทธเจา้ ตรัสพระคาถาวา่ อฏุ ฺตฏิ ฺเฐ นปปฺ มชฺเชยฺย ... ค. พระอัสสชิ ง. พระมหากัสสปะ โปรดใคร ? ๑๑. เศรษฐีทา่ นใดทูลนิมนต์พระพทุ ธเจา้ ให้เสดจ็ ไปเมือง ก. พระนางมหาปชาบดีโคตมี ข. พุทธบิดา สาวตั ถี ? ค. พระนางพมิ พา ง. ราหุล ก. อนาถบณิ ฑิกะ ข. เมณฑกะ ๓. พระพุทธเจา้ เสด็จโปรดพุทธบิดา ทีเ่ มอื งใด ? ค. โฆสกะ ง. ธนัญชัย ก. กบลิ พัสด์ุ ข. เทวทหะ ๑๒. วัดใด ท่อี นาถบณิ ฑกิ เศรษฐีสรา้ งถวาย ? ค. สาวัตถี ง. พาราณสี ก. เวฬุวนั ข. เชตวนั ๔. นันทกมุ าร เป็นโอรสของสตรพี ระนางใด ? ค. บุพพาราม ง. นโิ ครธาราม ก. สิรมิ หามายา ข. ปชาบดี ปรเิ ฉทท่ี ๑๐ โปรดพระสาวก ค. ยโสธรา ง. รูปนันทา เจ้าชายศากยะและโกลิยะท้ัง ๖ ออกบวช ๕. พระนางใด บรรลโุ สดาบันเพราะฟังคาถาวา่ ธมฺมญฺจเร เจ้าชายภัททิยะ เจ้าชายอนุรุทธะ เจ้าชายอานนท์ สจุ รติ ํ ... ? เจ้าชายภัคคุ เจ้าชายกิมพิละ และเจ้าชายฝ่ายโกลิยะ ๑ พระองค์ คือ เจ้าชายเทวทัต ได้ชักชวนนายอุบาลี ผู้เป็นช่าง

๔๔ กัลบก (ช่างตัดผม) ออกบวชด้วย รวมเป็น ๗ คน ได้พากัน ๔. นันทมาณพ เพราะโทษคือข่มขืนภิกษุณีอุบลวรรณา เดนิ ทางไปเข้าเฝา้ พระพุทธองค์ซึง่ ประทับอยู่ท่ีอนุปิยอัมพวัน เถรี ถวายอภวิ าทแลว้ ทูลขออปุ สมบท พระอบุ าลี ๕. นันทยกั ษ์ เพราะโทษคือประหารพระสารบี ตุ ร พระพุทธเจ้าทรงยกย่องไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะทางด้าน _____________ เป็นผู้ทรงจำพระวินัย และในคราวทำสังคายนาพระธรรม ๑. กษัตรยิ ท์ ้ัง ๖ ไปเฝา้ พระพุทธเจา้ เพือ่ ทลู ขอบรรพชา ณ วนิ ยั ครง้ั แรก ท่านได้รบั หนา้ ทเ่ี ป็นผวู้ ิสชั นาพระวินัย เจ้าชายอชาตศัตรูปลงพระชนม์พระบิดา ที่ใด ? พระราชกุมารเชื่อตามทำที่พระเทวทัตทูล ปลงพระชนม์ ก. อนปุ ยิ อัมพวัน ข. สาลวนั พระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นพระบิดาแล้วสถาปนาตนเองขึ้นเป็น กษัตรยิ แ์ ทน ค. ลัฏฐวิ ัน ง. สีสปาวัน พระเทวทัตทำอนนั ตรยิ กรรม ๒. กษตั รยิ ์พระองคใ์ ด มิใชเ่ จ้าศากยะ ? ครั้งที่ ๑ สั่งนายขมังธนูไปปลงพระชนม์พระพุทธองค์ แต่ นายขมงั ธนฟู ังธรรมแล้วได้บรรลุโสดาปตั ตผิ ล ก. อานนท์ ข. ภัคคุ ครั้งที่ ๒ ขึ้นไปบนภูเขาคิชฌกูฏกลิ้งศิลาลงมาเพื่อให้ทับ ค. กมิ พิละ ง. เทวทัต พระพุทธองค์ ๓. กษตั ริยท์ ้ัง ๖ พระองค์ ให้อุบาลีช่างกลั บกบวชก่อน คร้งั ท่ี ๓ พระเทวทตั ปล่อยชา้ งนาฬาคีรีซึ่งดุรา้ ย เพื่อปลง พระชนมใ์ นขณะทีพ่ ระพุทธองค์กำลังเสด็จบณิ ฑบาต เพอื่ ต้องการละอะไร ? พระเทวทัตถูกแผน่ ดนิ สบู ก. ความถอื ตน ข. ความอวดดี พระโกกาลิกะซึ่งเป็นศิษย์ผู้ใหญ่ของพระเทวทัตทำร้าย พระเทวทัตจนอาเจยี นเปน็ โลหติ อาพาธหนกั นานถึง ๙ เดือน ค. ความลบหลู่ ง. ความด้อื รั้น ต้องการทูลขอขมาต่อพระพุทธเจ้า จึงขอให้ศิษย์พาไปเฝ้า พระพุทธเจ้า แตร่ ะหวา่ งทางถกู แผน่ ดนิ สบู ไปบงั เกดิ ในอเวจี ๔. พระเถระใด จำทรงพระวนิ ัยปฎิ กแมน่ ยำจนได้รับการ มหานรก บุคคลทีถ่ ูกแผ่นดนิ สูบในสมยั พุทธกาล ยกย่อง ? ในสมัยพุทธกาลมีบุคคลที่ถกู แผ่นดินสูบอยู่ ๕ คน คอื ก. พระกจั จายนะ ข. พระอบุ าลี ๑. พระเจ้าสุปปพุทธะ เพราะโทษคือปิดทางบิณฑบาต ของพระพุทธเจ้า ค. พระสวิ ลี ง. พระอานนท์ ๒. พระเทวทัต เพราะโทษคอื ทำสังฆเภท ๓. นางจิญจมาณวิกา เพราะโทษคือใส่ร้ายพระพุทธเจ้า ๕. พระเถระใด มกั เปลง่ อุทานว่า “ สุขหนอ สุขหนอ ” ? ดว้ ยอสทั ธรรม ก. พระภทั ทิยะ ข. พระอนรุ ุทธะ ค. พระอานนท์ ง. พระกิมพลิ ะ ๖. ผ้ใู ด สมคบกบั อชาตศัตรรู าชกมุ ารทำอนันตริยกรรม ? ก. พระเทวทัต ข. พระโกกาลิกะ ค. นนั ทมาณพ ง. พระสุภทั ทะ ๗. พระพุทธเจา้ ตรัสสรรเสริญพระอุบาลี ว่าเปน็ ผเู้ ลิศใน ด้านใด ? ก. รัตตัญญู ข. พหสู ูต ค. ทรงธดุ งค์ ง. ทรงพระวินัย ๘. พระเทวทตั หลังทำอนนั ตริยกรรม ไดร้ ับผลเชน่ ใด ? ก. ถูกทุบตีจนตาย ข. ถูกแผน่ ดนิ สบู ค. ถกู จองจำ ง. ถกู เนรเทศ

๔๕ ๙. พระอานนท์ทูลขอพรจากพระพทุ ธเจ้ากี่ข้อ ? บรรลุธรรมเปน็ พระอรหนั ต์ ก. ๕ ข้อ ข. ๖ ข้อ พระรัฐบาล มีความเลื่อมใสในธรรมะตั้งใจจะออกบวช ค. ๗ ขอ้ ง. ๘ ขอ้ แต่กว่าจะได้บวชก็ยากลำบาก ต้องยอมอดอาหารเอาชีวิต ๑๐. พระเถระใด ไดร้ ับยกยอ่ งวา่ เป็นผู้เลิศแหง่ ภกิ ษผุ ู้ เข้าแลกจึงได้บวช ดังนั้นพระพุทธองค์ทรงยกย่องท่านว่า อปุ ัฏฐาก ? “เปน็ เลศิ กวา่ ภกิ ษทุ ั้งหลาย ผบู้ วชด้วยศรัทธา” ก. พระอานนท์ ข. พระอบุ าลี _____________ ๑. ภกิ ษใุ ด ได้รับทำนายวา่ จักเปน็ พระพุทธเจา้ พระนามว่า ค. พระสิวลี ง. พระราหลุ ๑๑. พระพทุ ธเจ้าทรงแสดงยมกปาฏิหารยิ ์ ท่ีต้นไมใ้ ด ? เมตไตย ? ก. ต้นโพธ์ิ ข. ต้นไทร ก. พระอนรุ ทุ ธะ ข. พระอานนท์ ค. ต้นไผ่ ง. ต้นมะม่วง ค. พระนันทะ ง. พระอชิตะ ๑๒. พระพุทธเจา้ เสดจ็ ขน้ึ ไปจำพรรษาทสี่ วรรคช์ ้ันดาวดึงส์ ๒. พระเถระใด ได้รบั ยกย่องวา่ เป็นผู้เลศิ ในทางปรารภ ความเพียร ? ก่เี ดือน ? ก. ๑ เดอื น ข. ๒ เดือน ก. พระราหลุ ข. พระอานนท์ ค. ๓ เดือน ง. ๔ เดือน ค. พระนันทะ ง. พระโสณโกฬิวสิ ะ ปรเิ ฉทท่ี ๑๑ เสด็จดับขนั ธปรินพิ พาน ๓. พระเจา้ โกรัพยะฟังธรรมเุ ทศ ๔ จากพระเถระองค์ใด ? สถานะเดมิ พระโสณโกฬวิ สิ เถระ ก. พระอนรุ ทุ ธะ ข. พระอานนท์ พระโสณโกฬิวิสะ ชื่อเดิมว่า โสณะ เพราะเป็นผู้มีพิว ค. พระรฐั บาล ง. พระอชติ ะ พรรณผุดผอ่ งเหมือนทองคำ ส่วนโกฬิวิสะ เปน็ ช่ือแห่งโคตร ปรเิ ฉทท่ี ๑๒ ภกิ ษุณี บิดาชื่อว่า อุสภเศรษฐี อยู่ที่เมืองจำปา แคว้นอังคะ มารดา โปรดพระพทุ ธบดิ า ไม่ปรากฏชื่อ เกิดในวรรณะแพศย์ ท่านมีลักษณะพิเศษคือ พรรษาที่ ๕ พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่กูฏาคารศาลา ใน ตอนทีท่ ่านเกิดมีขนปรากฏทีผ่ ่าเท้าท้ังสองขา้ ง ป่ามหาวันใกล้เมืองพาราณสี ทรงทราบว่าพระเจ้าสุทโธทนะ บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ประชวรหนัก พระพุทธองค์พร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกได้เสดจ็ ครั้นบวชแล้ว ไปบำเพ็ญเพียรอยู่ที่ป่าสีตวัน เขตเมืองรา ไปเยี่ยม ซึ่งขณะนั้นพระเจ้าสุทโธทนะเสวยทุกขเวทนาอยา่ ง แรงกลา้ ชคฤห์ ท่านเดินจงกรมจนเท้าแตก เลือดไหล พระพุทธองค์ ได้เสด็จไปสอนให้ท่านทำความเพียรพอปานกลาง โดยยก แสดงอนิจจาทิปฏิสังยุตและอริยสัจ ๕ ตลอดทั้งกลางวัน พิณ ๓ สายเข้ามาเปรียบเทียบ ท่านตั้งใจปฏิบัติตามพระ และกลางคืน และในที่สุดพระพุทธบิดาทรงบรรลุธรรมเป็น โอวาท เร่งบำเพ็ญเพียรด้วยความไม่ประมาท ในที่สุดก็ได้ พระอรหันต์พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาในวันที่ ๗ หลังจากนั้นได้ บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ กราบทลู ลาพระพทุ ธเจา้ เข้าสนู่ พิ พาน สถานะเดมิ พระรัฐบาลเถระ พระนางปชาบดอี อกบวช พระรัฐบาล ชื่อเดิมว่า รัฐบาล แปลว่าผู้รักษาแว่นแคว้น พระอานนท์ทูลขอให้ทรงอนุญาตให้สตรีออกบวชในพระ เพราะตระกูลของท่านได้ช่วยกอบกู้แว่นแคว้นที่อยู่อาศัยซ่ึง ธรรมวินัยได้ พระพุทธองค์ตรัสว่า “ถ้าหากพระนางปชาบดี ล่มสลายทางเศรษฐกจิ เอาไว้ได้ ท่านจงึ ไดช้ ื่ออยา่ งนัน้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook