Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ศาสนา

ศาสนา

Published by thiwadon jirapunyo, 2021-10-26 14:18:34

Description: ศาสนา

Search

Read the Text Version

พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. 2542 ไดใ้ ห้คานิยามของคาว่า ศาสนา ไว้ว่า “ลทั ธิ ความเช่ือถอื ของมนษุ ย์อันมีหลัก คอื แสดงกาเนดิ และความสน้ิ สดุ ของโลก เปน็ ตน้ อันเปน็ ไปในฝ่ายปรมตั ถ์ ประการหนง่ึ แสดงหลกั ธรรมเกยี่ วกับบุญบาปอันเปน็ ไปในฝา่ ยศีลธรรมประการหน่ึง พร้อมทงั้ ลัทธิพิธี ทก่ี ระทาตามความเห็นหรอื ตามคาส่งั สอนในความเชอ่ื ถอื น้ัน ๆ “ศาสนาจงึ มีความหมายในลกั ษณะตา่ ง ๆ ดังตอ่ ไปนี้ 1. ตรงกับภาษาอังกฤษวา่ “Religion” คาในภาษาละตินวา่ “Religio” แปลว่า “สมั พนั ธ”์ หรือ “ผกู พนั ” ซ่งึ หมายถงึ “ความสมั พันธร์ ะหวา่ งมนุษยก์ ับพระเจ้า” (Man and God) หรอื “ความสมั พันธ์ ระหวา่ งมนษุ ย์กบั เทพเจ้า” (Man and Gods) ดว้ ยการมอบศรัทธาบูชาพระเจา้ หรือเทพเจา้ ผมู้ ีอานาจเหนือ ตน และความเคารพยาเกรงศรทั ธาดงั กล่าวประกอบดว้ ยองค์ประกอบ 4 ประการ ดงั น้ี 1.1 เช่อื วา่ พระเจา้ ทรงสร้างสรรพสง่ิ ทัง้ หลายท้ังปวงในจักรวาล 1.2 เชอ่ื วา่ คาสอนศลี ธรรมและกฎหมายเป็นสงิ่ ท่ีพระเจ้าหรือเทพเจ้าทรงกาหนด 1.3 เชอ่ื คาสอนของพระเจ้าหรอื เทพเจา้ โดยไมต่ ้องพิสจู น์ 1.4 อุทศิ ตนแต่พระเจ้าหรือเทพเจา้ 2. ศาสนามาจากศัพท์เดมิ ในภาษาสันสฤกตว่า “ศาสน” ตรงกบั คาในภาษาบาลีวา่ “สาสน” แปลว่า “คาสัง่ สอน” หรือ “การปกครอง” โดยมคี วามหมายตามลาดบั ดงั ตอ่ ไปน้ี 2.1 คาสง่ั สอน แยกได้เปน็ “คาสั่ง” อนั หมายถงึ ข้อห้ามทาความชั่วทเ่ี รียกวา่ ศลี หรอื วินยั และเปน็ “คาสอน” อนั หมายถงึ คาแนะนาให้ทาความดีที่เรียกวา่ ธรรม เมือ่ รวม “คาสัง่ ” และ “คาสอน” เขา้ ดว้ ยกัน จงึ หมายถงึ ศลี ธรรม น่ันคอื มีทั้งขอ้ ห้ามทาความชั่วและคาแนะนาใหท้ าความดี 2.2 การปกครอง หมายถงึ การปกครองจติ ใจของตนเอง ความคมุ ดแู ลตนเอง กลา่ ว ตกั เตือนตนเองอยเู่ สมอ และรบั ผิดชอบการกระทาของตนเอง บคุ คลผูส้ ามารถบังคบั จติ ใจตนไดย้ ่อมจะไมท่ า ความช่ัวทั้งในท่ีลบั และที่แจ้ง

44 มนษุ ยใ์ นสมัยดึกดาบรรพไ์ ดป้ ระสบกบั ปรากฏการณ์ธรรมชาติตา่ งๆ ซ่ึงเป็นทง้ั ความกลวั และมหศั จรรยส์ าหรับตวั มนุษย์ เช่น ความมืด ความสว่าง พายุพัด ฟ้าแลบ ฟา้ ผ่า แผน่ ดนิ ไหว ไฟป่า เป็นต้น และด้วยความที่ไมม่ ีความรเู้ กยี่ วกบั ปรากฏการณ์เหล่านั้น มนษุ ย์จงึ เกรงกลวั ปรากฏการณ์ ธรรมชาติต่าง ๆ ท่ีเกดิ ขน้ึ ภาพที่ 1.1 ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ สืบคน้ จาก https://chaiyanann.wordpress.com/ เมอื่ วนั ที่ 10 พ.ย. 2557 ดังนน้ั มนษุ ย์จึงแสวงหาส่งิ ที่จะมาคุม้ ครองป้องกนั ตนจากภยั อนั ตรายท่คี ิดวา่ จะไดร้ ับปรากฏการณ์ ธรรมชาติ รวมทั้งแสวงหาสง่ิ ซง่ึ เชอ่ื ว่าสามารถคมุ้ ครองให้อยู่อย่างมีความสุข ดว้ ยเหตุน้ี จึงเกิดวัฒนธรรม ตลอดจนประเพณียอมรบั นับถือพลงั ลึกลับทางธรรมชาติว่าเปน็ ส่ิงที่มีอิทธิพลเหนอื มนุษย์ และไดส้ รา้ ง ขนบธรรมเนียมทค่ี ิดวา่ เป็นส่งิ จาเปน็ และควรประพฤติตอ่ สง่ิ ศักด์ิสทิ ธิท์ ่ยี อมรับนับถือ จงึ คอ่ ยๆ ววิ ัฒนาการ เรอื่ ยมาจนกลายเปน็ ลทั ธิ และศาสนาตา่ งๆ ต้งั แตส่ มยั โบราณถึงปจั จุบนั สามารถแยกได้ดงั น้ี (เสถยี ร พันธรงั สี, 2513 : 18) 1. เกิดจากอวชิ า คอื ความไม่รเู้ หตรุ ้ผู ล เร่ิมจากความไม่รู้เหตผุ ลทางภูมศิ าสตร์ ทางดาราศาสตร์ ทางชีววทิ ยา และรูจ้ กั ธรรมชาติอื่นๆ ที่อย่รู อบตวั เม่ือมคี วามไมร่ ้กู เ็ กิดความกลวั ในพลังทางธรรมชาติ ต้องการความชว่ ยเหลือจากธรรมชาติ ซึ่งเปน็ ส่ิงมอี านาจเหนือตน จงึ มีการสรา้ งขนบธรรมเนียมประเพณี เพื่อบูชาเอาใจสิ่งศกั ดสิ์ ทิ ธิ์เหล่านั้น เพอื่ จะสามารถช่วยให้มนษุ ยม์ ีความอยรู่ อดไม่มีภัยตอ่ ๆ ไป

45 2. เกดิ จากความกลวั มนุษยจ์ ะอยู่ในโลกไดต้ อ้ งมหี นา้ ท่ี คอื การต่อสกู้ บั ธรรมชาติ และต่อส้สู ตั ว์ รา้ ยนานาชนดิ และโดยเฉพาะกับมนษุ ย์ด้วยกนั เอง ยามใดทเ่ี ราสามารถเอาชนะธรรมชาติหรอื คนได้ ความเกรงกลวั ธรรมชาติ สัตว์ร้าย หรอื มนุษย์ย่อมไมม่ ี แตถ่ ้าไม่สามารถตอ่ สไู้ ด้ มนุษย์จะเกดิ ความกลัว ตอ่ ส่ิงเหล่านนั้ และในยามน้เี อง ทีม่ นุษยต์ อ้ งพากันกราบ ไหว้บูชา และแสดงความจงรักภกั ดี ทาพธิ สี งั เวย เซ่นไหวธ้ รรมชาตดิ งั กล่าว ดว้ ยความหวงั หรือออ้ นวอนขอใหส้ าเร็จตามความปรารถนาอันเป็นผลตอบแทน ข้นึ มาเปน็ ความสขุ ความปลอดภยั และอยู่ได้ในโลก 3. เกดิ จากความจงรกั ภกั ดี ซง่ึ เป็นศรัทธาครงั้ แรกที่มนุษยท์ ุกยุคทุกสมัยยอมเช่อื ว่าเปน็ กาลงั ก่อให้เกดิ ความสาเรจ็ ได้ทกุ เมอ่ื ในกลุม่ ศาสนาท่ีนบั ถือพระเจ้า (ศาสนายวิ ศาสนาครสิ ต์ ศาสนาอสิ ลาม) มงุ่ เอาความภกั ดตี ่อพระเจ้าเป็นหลกั ทางพระพุทธศาสนาก็ยอมรับวา่ ศรทั ธา หรอื ความเชอื่ ความเลือ่ มใส เท่าน้นั ทจ่ี ะ พาข้ามโอฆสงสารได้ เมอื่ เปน็ ดงั นี้แสดงว่ามนษุ ยย์ อมตนใหอ้ ยใู่ ต้อานาจของธรรมชาติเหนือตน อันเปน็ ส่ิงท่มี นษุ ย์สรา้ งข้นึ เอง หรอื พระเจา้ อยา่ งไรก็ตามผลที่เกิดตามมาคอื มนุษยย์ อมใหเ้ คร่ืองสงั เวย แกธ่ รรมชาตนิ ัน้ ๆ ดว้ ย ลักษณะนี้จึงเทา่ กบั มนุษยเ์ สียความเปน็ ใหญใ่ นตน ยอมอย่ใู ต้อานาจของส่ิงทต่ี น คิดวา่ มอี านาจเหนือตน ภาพที่ 1.2 พธิ กี รรมทางศาสนา สบื คน้ จาก https://chaiyanann.wordpress.com/ เม่อื วนั ที่ 10 พ.ย. 2557

46 4. เกิดจากปัญญา ศาสนาทเี่ กดิ จากปัญญามกั เปน็ ฝา่ ยอเทวนยิ ม คอื ไมส่ อนเรือ่ งเทพเจา้ สร้างโลก ไมถ่ ือเทพเจ้าเป็นศนู ยก์ ลางแหง่ ศาสนา หากแตถ่ อื ความรูป้ ระจกั ษ์จริงเปน็ สาคัญ เช่น พระพทุ ธศาสนา ความเน้นหนกั ของพระพทุ ธศาสนา คอื ญาณ หรอื ปญั ญาขั้นสูงสุดท่ีทาให้รแู้ จง้ ประจักษ์ความจรงิ และหลุด พน้ จากความทุกขท์ ้ังปวง 5. เกดิ จากอิทธิพลของบคุ คลสาคัญ ความสาคญั ของบคุ คลทเี่ ปน็ เหตเุ รม่ิ ต้นของศาสนา หรือลทั ธิ โดยมากมกั มีเหตุเรมิ่ ต้นโดยความบริสุทธิจ์ ากจิตใจของมนุษย์ ไมม่ ีใครบังคับ ไม่มีใครวางหลกั เกณฑ์ อกี ทั้ง เมอื่ ใครนบั ถือ ความสาคัญของบคุ คลผู้นน้ั ก็จะพากนั กราบไหว้ และเคารพบชู า 6. เกิดจากลัทธิการเมือง ลทั ธิการเมอื งเป็นมลู เหตขุ องศาสนาเปน็ เรอื่ งสมัยใหม่ อนั สืบเนือ่ งจาก การ ท่ลี ัทธิการเมอื งเฟือ่ งฟูข้ึนมา และลทั ธกิ ารเมืองนนั้ ได้เขา้ ไปมอี ิทธิพลต่อคนบางกลุ่ม เชน่ กลุ่มคน ยากจน ซ่งึ คนเหล่าน้ันไดล้ ะทิ้งศาสนาเดมิ ท่ตี นเองนบั ถืออยู่แล้วหันมานับถือลทั ธกิ ารเมอื งเปน็ ศาสนาประจา สังคม หรอื ชาตลิ ัทธิการเมือง เชน่ ลทั ธินาซี ลทั ธิคอมมวิ นสิ ต์เปน็ ต้น ศาสนาทกุ ศาสนาตา่ งมจี ุดม่งุ หมายร่วมกัน คือ ตอ้ งการใหม้ นษุ ยท์ กุ คนเปน็ คนดอี ยรู่ ่วมกนั อยา่ งมี ความสุข และสันติ เปรยี บได้กบั กฎหมายท่ใี ชค้ วบคุมสังคม หากสมาชกิ ไม่ปฏบิ ตั ติ ามกจ็ ะไดร้ บั โทษตาม ขอ้ กาหนด ส่วนทางศาสนาหากไม่ปฏิบัตติ ามหลักคาสอนยอ่ มเกิดความเสอื่ มแห่งชวี ิต หรอื ไดร้ บั ความทกุ ข์ ตามเหตุแห่งการละเมดิ คาสอนนั้นๆ ศาสนาจงึ เป็นศูนยร์ วมท่คี อยหล่อหลอมจติ ใจของมนษุ ยใ์ ห้เปน็ ไปใน ทศิ ทางเดียวกนั โดยสามารถสรุปความสาคญั ของศาสนาได้ดงั น้ี 1. เป็นสิง่ ยดึ เหนยี วจติ ใจ ท่ที าให้มนุษย์มีที่พ่งึ และสรา้ งความม่นั ใจในการดาเนนิ ชวี ิต ทาใหเ้ กดิ ความอบอนุ่ สร้างความสุขช่วยผ่อนคลายความทุกข์ และศาสนามีคาสอนให้มนุษยร์ จู้ กั นาหลักธรรมคาสอน ของศาสนาไปเปน็ เรือ่ งนาพาชวี ิตไดเ้ ปน็ อยา่ งดี 2. เปน็ เครื่องมอื ในการสานสรา้ งความสามัคคี ของสมาชกิ ในสงั คม ทาให้สังคมเปน็ อันหนง่ึ อันเดียวกนั ชว่ ยลดความขดั แย้งทาใหเ้ กดิ สนั ตสิ ขุ

47 3. เปน็ บรรทัดฐานในการประพฤติปฏิบัติของสมาชิกในสังคม หากบุคลใดยดึ มั่นในหลักธรรม คาสอน กจ็ ะทาให้ตนเองมีความสขุ ความเจริญ เพราะจะไดร้ ับความเลื่อมใส ศรทั ธา เคารพรกั จากบุคคลอน่ื เม่อื จะกระทากจิ กรรมใดๆ ก็จะได้รับความรว่ มมือ ชว่ ยเหลือและส่งเสรมิ เปน็ อนั ดี เปน็ ผลดตี ่อการประกอบ อาชพี หรอื หนา้ ที่การงาน 4. เป็นเครอื่ งมอื ในการขัดเกลาสมาชิกของสงั คม ศาสนาเปน็ สงิ่ ท่ีสรา้ งความเคารพศรัทธา ข้นึ ภายในจติ ใจขอมนุษย์ให้ยึดมัน่ และปฏบิ ัตติ ามคาสอน ให้มนษุ ยร์ ้จู ักการเกรงกลวั ต่อบาป ละอาย ตอ่ การกระทาทีไ่ มถ่ กู ตอ้ ง ปลกู ฝงั ให้รจู้ กั กรกระทาความดี เป็นประโยชน์แก่ตนเอง และสงั คม ใหร้ ้จู ัก สงิ่ ถูกตอ้ งดงี าม 5. เปน็ พืน้ ฐานของขนบธรรมเนยี มประเพณี เพราะหลักธรรมคาสอนต่างๆ ของศาสนา ทีป่ ระชาชน ในสงั คมถอื ปฏิบตั ิมานน้ั มีการสบื ทอดกันมายาวนาน กลายเป็นขนบธรรมเนียมและประเพณี ของสังคม ท่ีจะยึดถือปฏบิ ตั ิ เช่น การทาบุญตักบาตร การไหวพ้ ระ การเวียนเทียนในวันสาคัญทางศาสนา เปน็ ต้น ภาพท่ี 1.3 ขนบธรรมเนียมประเพณี สบื ค้นจาก https://chaiyanann.wordpress.com/ เมือ่ วนั ที่ 10 พ.ย. 2557

48 6. เป็นเครื่องหมายของสงั คม ศาสนาเปน็ สญั ลกั ษณท์ ี่แสดงใหเ้ ห็นถึงความเปน็ อนั หนึ่งอันเดียวกัน ของประชาชน เพราะแตล่ ะสงั คมจะมีศาสนาหลกั ของสงั คมท่ีทาให้สังคมอื่นรบั รู้ เช่น สังคมไทยจะมปี ระชาชน ทนี่ ับถอื ศาสนาอน่ื อกี มากมาย แต่พระพทุ ธศาสนาเป็นศาสนาทีม่ ปี ระชาชนนับถือมากท่สี ดุ จนกลายเปน็ ศาสนาประจาชาติ สงั คมอืน่ รบั รวู้ ่าไทยเปน็ สงั คมชาวพุทธ 7. เป็นมรดกทางสงั คม ศาสนาถอื เปน็ มรดกทางวฒั นธรรมที่สาคญั ย่ิงของสังคมโลก เพราะทกุ ศาสนาจะมีศาสนวัตถุ ศาสนิกชน หลักธรรมคาสอนและศาสนพิธีต่างๆ มากมายทเี่ ปน็ เครื่องบง่ ชี้ ถงึ ความเจรญิ กา้ วหนา้ หรอื ความเสอื่ มถอยของสังคมได้เป็นอย่างดี ศาสนาจึงมีความสาคัญต่อบคุ คล สงั คม ในสงั คมไทยจะไม่มกี ารกดี กันศาสนาอ่นื ๆ พรอ้ มทง้ั ให้ การสนับสนุนและส่งเสรมิ ศาสนาต่างๆ ภาพท่ี 1.4 ศาสนามีศาสนสถานและศาสนพธิ เี ป็นมรดกทางสังคม สืบค้นจาก http://www.aecnews.co.th/buddhism/read/51 เมือ่ วันท่ี 10 พ.ย. 2557

49 ศาสนาก่อใหเ้ กิดประโยชน์ตอ่ มวลมนุษย์ในระดบั ต่างๆ ตง้ั แต่ระดับผู้ปฏบิ ตั ิระดับสังคม และระดบั ประเทศชาติ โดยเฉพาะศาสนานัน้ เปน็ ศูนยร์ วมทางจิตใจของมนุษย์ ประโยชนข์ องศาสนาตามลักษณะต่างๆ ของสงั คม มีดงั นีค้ อื 1. ระดับบคุ คลศาสนาทาให้ผู้ยึดถือหลักธรรมคาสอนเป็น ผู้มีบุคลิกภาพที่ดีมีความสามารถ ในการแก้ปญั หาชีวติ อยา่ งมีเหตุผล และดาเนินชีวิตในสังคมไดอ้ ย่างมคี วามสขุ 2. ระดับสังคม ศาสนาเปน็ ศนู ย์รวมจติ ใจของมนุษยใ์ นสงั คม มนุษยส์ ามารถใชห้ ลกั ธรรมคาสอน ในการประพฤติปฏิบัตติ อ่ กัน ทาให้สมาชกิ ในสังคมเกดิ ความรักความสามัคคี ซง่ึ เป็นสิ่งทชี่ ว่ ยส่งเสรมิ และเปน็ กฎเกณฑ์ในการจัดระเบยี บทางสังคมให้มคี วามสงบเรียบร้อย 3. ระดบั ประเทศชาติ ศาสนาเสริมสรา้ งความเปน็ หนง่ึ เดยี ว มนุษยย์ ึดถือหลกั ธรรมคาสอนเปน็ เครือ่ งยึดเหนียวจิตใจ มนุษยม์ คี วามรัก ความสามคั คตี อ่ กัน สันตสิ ุขเกดิ ข้ึนในสังคมจงึ เป็นแนวทางท่สี ง่ เสรมิ การปกครองประเทศไดอ้ ยา่ งม่นั คงและยง่ั ยนื ภาพที่ 1.5 ศาสนาเป็นศนู ยร์ วมจิตใจของคน และใหย้ ึดหลกั ธรรมคาสอนเปน็ เครือ่ งยึดเหนี่ยวจิตใจ สบื ค้นจาก https://chaiyanann.wordpress.com/ เมื่อวันท่ี 10 พ.ย. 2557

50 การจดั ประเภทของศาสนา มวี ิธีการจดั ท่ีหลากหลาย ท้งั น้ขี ึ้นอยูก่ ับการเกณฑท์ ่ีใช้ในการแบง่ เช่น 1. แบง่ ตามสภาพปจั จุบัน 1.1 ศาสนาของชาวอยี ปิ ตโ์ บราณ ศาสนาของชนเผา่ มายา อนิ คาและอซั เตคในทวีปอเมริกา ศาสนาของกรีกโบราณและโรมันโบราณ ฯลฯ 1.2 ศาสนาทีย่ งั มผี ู้นับถอื ในปจั จบุ ัน เช่น ศาสนาพราหมณ์ – ฮนิ ดู ศาสนาพุทธ ศาสนาครสิ ต์ และศาสนาอสิ ลาม ฯลฯ 2. แบ่งตามความหลากหลายเชอ้ื ชาตขิ องผ้นู ับถอื 2.1 กลมุ่ สังคมตามเชอื้ ชาติของผู้นบั ถอื เชน่ ศาสนาซกิ ส์ ศาสนาชนิ โต ศาสนาเต๋า ศาสนาเซน ศาสนาขงจ๊ือ ศาสนาโซโลอสั เตอร์ เป็นตน้ 2.2 กลมุ่ สังคมหลายเชือ้ ชาติของผูน้ ับถือ ไดแ้ ก่ ศาสนาคริสต์ ศาสนาพทุ ธ และศาสนาอสิ ลาม เปน็ ต้น 3. แบง่ ตามลกั ษณะความศรทั ธา ไดแ้ ก่ 3.1ประเภทเทวนิยม (Theism) เป็นศาสนานับถือพระเจ้าเชอ่ื วา่ พระเจ้าเปน็ องค์ศักดิ์สิทธ์ิ สร้างสรรค์โลก และสรรพสิ่งตา่ ง ๆ (Ceator) แบง่ เป็น 1) เอกเทวนิยม (Monotheism) เป็นศาสนาที่นบั ถือพระเจ้าองค์เดียว ไดแ้ ก่ ศาสนายูดาย หรอื ยิว ศาสนาครสิ ต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาไซโรอสั เตอร์ ศาสนาซิกส์ 2) พหุเทวนยิ ม(Poly Theism) เป็นศาสนาที่นับถอื พระเจา้ หลายองค์ บางครง้ั ผสมผสานกบั การบูชาธรรมชาติ (Nature – Waship) ไดแ้ ก่ ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู ศาสนาชินโต และศาสนาขงจ๊อื 3.2 ประเภทอเทวนยิ ม (Atheism) เปน็ ศาสนาที่ไมม่ ีการนบั ถอื พระเจา้ ได้แก่ ศาสนาพทุ ธและ ศาสนาเซน

51 ศาสนามีบทบาทเกี่ยวขอ้ งกับมวลมนุษยท์ ้งั ปวง โดยศาสนาเป็นแนวทางชีน้ าให้มนุษย์ยึดถือปฏิบัติ ตามหลกั ธรรมคาสอนเพ่อื พบกับความสุข และความหลุดพ้น จงึ สามารถจาแนกลักษณะท่ีสาคญั ของศาสนา ไดด้ งั น้ี 1. ศาสนาเปน็ คาสัง่ สอนใหม้ นุษย์ยึดถือเป็นแนวทางในการปฏิบัติ เช่น การทาความดี การละเว้น ความชว่ั การทาจิตใจให้บรสิ ทุ ธิ์ ความรกั ความเมตตา การบรจิ าค การปฏิบัติตามประเพณีพิธกี รรม ของศาสนา 2. ศาสนาเป็นศนู ย์รวมทางจติ ใจของมนุษย์ เช่น การนบั ถือพระเจา้ การมีศาสดาทสี่ บื ทอด คาสอนจากเทพเจ้ามาสมู่ วลมนษุ ย์ การยอมรบั นับถือหลักธรรมคาสอนของศาสนาต่างๆ 3. ศาสนาเปน็ เครื่องหมายของความดี และศรทั ธา เชน่ มนุษย์มคี วามศรัทธาในความดขี องพระเจา้ ศาสดา และหลักคาสอนของศาสนาท่ีตนนับถือ 4. ศาสนาเปน็ หลักปฏบิ ัติเพ่ือความพน้ ทุกข์ ศาสนาทุกศาสนามีหลักธรรมคาสอนท่ีเป็น แนวทางใน การปฏิบตั เิ พอ่ื ความพ้นทุกขซ์ ่งึ เปน็ จุดมุ่งหมายสงู สดุ ของทกุ ศาสนา เชน่ การนิพพาน การบรรลุ โมกษะ การได้ไปอยู่กบั พระเจ้าบนสวรรค์ 5. ศาสนามจี ุดมุ่งหมายเพอ่ื ความเคารพนับถอื และความดีสูงสุด ศาสนาทุกศาสนา มีหลัก คาสอนที่เนน้ การอยรู่ ว่ มกนั ในสงั คมทต่ี อ้ งพง่ึ พาอาศัยกนั เช่น การเออ้ื เฟื้อเผอ่ื แผก่ ารบรจิ าค การให้อภัย การไม่เบียดเบยี น ฯลฯ ศาสนาเปน็ ระบบคาสอนที่เก่ยี วกบั ความดี ความช่วั ที่มวี ัตถุประสงคเ์ พื่อใหม้ นษุ ยส์ ารถใช้กากับ ความคิด และการกระทาท้ังทางกายและวาจา ซ่งึ แตล่ ะศาสนามีคาสอนเหมอื นกันหรอื คลา้ ยคลงึ กนั โดยมี จดุ มุง่ หมายอยา่ งเดยี วกันคือ สอนใหเ้ ปน็ คนดใี ห้เข้ากบั สงั คมเปน็ ท่ียดึ เหนียวจิตใจให้เกิดความสามัคคี

52 มีบรรทัดฐานในการปฏิบัติ และเปน็ ที่รวมแหง่ ความเช่ือถอื ศรทั ธาเคารพอนั สูงสุดของมนุษย์ในการอยู่ ร่วมกนั ศาสนาจงึ มอี งคป์ ระกอบทสี่ าคัญหลายประการ ซึง่ แตล่ ะองค์ประกอบลว้ นมบี ทบาทสาคญั ในการทา ให้ศาสนามคี วามสมบูรณ์ โดยมอี งค์ประกอบได้แก่ 1. ศาสดา ไดแ้ ก่ ผู้ใหก้ าเนดิ ศาสนาหรือผสู้ อนดง้ั เดมิ เชน่ พระพุทธเจ้าทรงเป็นศาสดาของพุทธ ศาสนา พระเยซเู ป็นศาสดาของครสิ ตศ์ าสนา แต่บางศาสนาก็ไม่ปรากฏว่าใครเปน็ ศาสดา เชน่ ศาสนา พราหมณ์ หรอื ศาสนาฮินดู ภาพที่ 1.6 ศาสดาของศาสนาตา่ งๆ สืบค้นจาก https://chaiyanann.wordpress.com/ เม่อื วนั ที่ 10 พ.ย. 2557 2. หลักธรรมคาสอน หมายถงึ ข้อปฏบิ ัติทีม่ นุษยใ์ ชเ้ ปน็ แนวทางในการดาเนินชวี ิตท่ีดงี าม เช่น พระเวท เป็นคัมภรี ์หลักของศาสนาพราหมณ์ พระไตรปิฎกเป็นคัมภีรห์ ลกั ของพระพทุ ธศาสนา พระคัมภีร์ เดิมเป็นคมั ภีรห์ ลกั ของศาสนายูดายและศาสนาคริสต์ เป็นตน้ ภาพท่ี 1.7 หลักธรรมคาสอนของศาสนาตา่ งๆ สืบค้นจาก https://chaiyanann.wordpress.com/ เมอื่ วนั ท่ี 10 พ.ย. 2557

53 3. ผูส้ บื ทอดศาสนา ได้แก่ นักบวชหรอื ผู้แทนเปน็ ทางการของศาสนานั้นๆ เช่น พระภิกษุ สามเณร เป็นนักบวชของศาสนาพุทธ บาทหลวงเป็นนกั บวชของศาสนาครสิ ต์ เป็นต้น แต่บางศาสนาอาจไม่มี นักบวชก็ได้ เชน่ ศาสนาขงจ้ือ ศาสนาอิสลาม เปน็ ต้น ภาพที่ 1.8 ผูส้ ืบทอดทางศาสนา สืบคน้ จาก https://chaiyanann.wordpress.com/ เมอ่ื วนั ที่ 10 พ.ย. 2557 4. ศาสนสถาน หมายถึง ทต่ี ั้งหรอื ศูนยก์ ลางทางศาสนา ตลอดจนปูชนียสถานซ่ึงเปน็ ทเี่ คารพบชู าของศา สนิกชนในศาสนานน้ั ๆ เชน่ วหิ าร โบสถ์ เจดยี ์ ของศาสนาพุทธ โบสถข์ องคริสต์ มสั ยิดหรือสเุ หรา่ ของ ศาสนาอิสลาม ฯลฯ ภาพท่ี 1.9 ศาสนสถาน ของศาสนาทีส่ าคัญ สบื คน้ จาก https://chaiyanann.wordpress.com/ เม่อื วันที่ 10 พ.ย. 2557

54 5. พิธกี รรม คอื กิจกรรมการปฏิบตั ศิ าสนกิจของศาสนาตา่ ง ๆ เพ่อื สืบทอดศาสนา ศาสนา ในศาสนกิ ชนปฏบิ ัติตามพิธีกรรมโดยสม่าเสมอ กจ็ ะนาความสุขมาสตู่ นเอง และบคุ คลนัน้ จะมคี วามเขม้ แขง็ ในการศรทั ธาทางศาสนา และมีขนั้ ตอนการปฏบิ ัตติ ามแนวทางของหลักธรรมคาสอน เช่น การทาบญุ การประกอบพิธฮี ัจญ์ พิธศี ีลจมุ่ พธิ ศี ีลลา้ งบาป เป็นตน้ 6. สญั ลกั ษณ์ ทกุ ศาสนามสี ญั ลกั ษณซ์ ึ่งใชเ้ ปน็ สอ่ื หรอื เคร่อื งหมายแทนศาสนา เชน่ ศาสนาพทุ ธ มีสญั ลักษณ์เปน็ ธรรมจักร ศาสนาคริสตม์ ีสัญลักษณเ์ ป็นไม้กางเขน ศาสนาอสิ ลามมีสัญลกั ษณเ์ ป็นรปู พระจันทร์เสี้ยวและดวงดาว ภาพที่ 1.10 สัญลักษณ์ของศาสนา สืบคน้ จาก https://chaiyanann.wordpress.com/ เมอ่ื วันที่ 10 พ.ย. 2557 สรปุ ได้วา่ ศาสนามคี ุณคา่ ต่อมนษุ ย์ในทกุ ข้ันตอนของการดาเนนิ ชวี ติ เพราะศาสนาชว่ ยให้มีหลกั ที่ถกู ต้องในการดาเนินชีวติ ทาใหช้ ีวติ มคี วามหมายและความหวัง เปน็ แหล่งกาเนิดศิลปวัฒนธรรม และขนบธรรมเนียมทด่ี ีงามของสังคม เป็นสง่ิ ท่ีก่อใหเ้ กดิ เสถยี รภาพและความสงบสขุ ในสังคม และเปน็ ส่ิง ยึดเหน่ียวจิตใจทาใหม้ นษุ ย์เปน็ สง่ิ มีชวี ิต ท่ปี ระเสริฐกวา่ สิง่ มีชวี ติ ทัง้ หลายในโลกน้ี

ศาสนา ความหมายของศาสนา “ศาสนา” เป็นศัพท์ในภาษาสันสกฤต บาลีใช้ว่า สาสนา แปลว่า คาส่ังสอน ย่อมมีในทุกศาสนา ในฝ่ายตะวันตก คาว่าศาสนาตามความหมายกว้าง ๆ คือ ความเช่ือในส่ิงศักด์ิสิทธิ์ซึ่งมีอานาจอยู่เหนือ ส่ิงธรรมชาติ จะเรียกว่าพระเจ้าหรือพระผู้เป็นเจ้าก็แล้วแต่ ซึ่งพระองค์ทรงปกครองและควบคุมโลก พร้อมทั้งมวลมนุษยชาติด้วยทิพย์อานาจ มนุษย์มีหน้าที่เป็นพันธกรณี จะต้องมีความเช่ือ ความศรัทธา เคารพบูชาพระองค์และคาส่ังสอนของพระองค์ด้วยความเกรงกลัวและด้วยความจงรักภักดี รับใช้พระองค์ ด้วยการประพฤติปฏิบัติตามหลักคาส่ังสอนอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้คาว่าศาสนาอาจจะยังมีความหมายอื่น ๆ อีก แต่จะไมน่ ามากลา่ วในท่นี ้ี จะกล่าวเฉพาะในความหมายว่าคาสง่ั สอนเท่านั้น ส่วนประวัติของศาสนาหากนบั รวมเอาศาสนาท้ังหมดทมี่ ีอยู่ในโลกนี้ ซ่ึงบางศาสนาก็สูญหายไปแลว้ ไม่สามารถช้ลี งไปไดว้ า่ ศาสนาเกดิ ขึ้นในโลกนีต้ ั้งแต่เมอื่ ไร ท่านศาสตราจารย์ พระยาอนุมานราชธน ราชบัณฑิต ไดก้ ลา่ วไวใ้ นหนังสือศาสนาเปรยี บเทียบภาค ๑ ว่า “มนษุ ย์ไม่วา่ ในชาตใิ ด ภาษาใดจะเป็นมนุษย์ชาวป่า ชาวเขา ชาวบ้าน หรือชาวเมือง ก็เป็นคนมีศาสนาแทบทั้งนั้น และศาสนาท่ีคนเหล่าน้ันนับถือย่อมจะมีกาหนดไว้ให้แล้ว ต้ังแต่เกิดมา พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย เคยนับถือศาสนาอะไรลูกท่ีเกิดมาในครอบครัวก็นับถือศาสนาไปตามน้ัน แต่คาสง่ั สอนเหล่านนั้ จะเปน็ ศาสนาหรือจะเป็นเพียงลัทธิความเชื่อเท่านัน้ ขนึ้ อยกู่ ับองคป์ ระกอบเหลา่ น้ี ๑. เปน็ คาสงั่ สอนที่ประกอบด้วยความเชอ่ื ถือ ๒. เปน็ คาส่งั สอนทีว่ ่าด้วยศลี ธรรมจรรยา พร้อมทง้ั ผลของการปฏิบัติตาม ๓. เปน็ คาส่งั สอนท่มี ผี ูต้ ้ังหรือมศี าสดา ๔. เป็นคาสัง่ สอนทม่ี ีศาสนทายาทสืบทอดกันมา ๕. เป็นคาส่ังสอนทกี่ วดขันในเรื่องจงรักภักดี นบั ถือศาสนาน้ีแล้วจะหันไปนับถือศาสนาอน่ื ไม่ได้ ๖. เปน็ คาสงั่ สอนท่ีมีศาสนิกมากพอสมควร สมเดจ็ พระญาณวโรดม กล่าวไวใ้ นหนังสอื ศาสนาต่างๆ วา่ คาสง่ั สอนทเ่ี รียกวา่ ศาสนาตอ้ งประกอบดว้ ย องค์ประกอบ ๖ ประการน้ี ถ้ามีไม่ครบจะเรียกว่าลัทธิบ้าง โอวาทบ้าง ส่วนรายละเอียดของแต่ละศาสนา เรม่ิ ตน้ จากศาสนาพทุ ธ ศาสนาอสิ ลาม ศาสนาครสิ ต์ ศาสนาพราหมณ์ – ฮนิ ดู และศาสนาซิกข์ ตามลาดับ ประเทศไทยเปิดกว้างและให้สิทธิในการนับถือศาสนามาต้ังแต่อดีตกาลโดยการนับถือธรรมชาติ ผีสาง เทวดา และบรรพบุรุษ มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ปรากฏหลักฐานราวพุทธศตวรรษท่ี ๓ หลังจากการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๓ พระเจ้าอโศกมหาราช ทรงส่งสมณทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ยังดินแดนต่างๆ ๙ สาย รวมถึงดินแดนสุวรรณภูมิ ซึ่งเช่ือว่าคือดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อันเป็นส่วนหน่ึง ของไทยในปัจจุบัน จนกระทั่งปรากฏหลักฐานชัดเจนว่า พระพุทธศาสนาได้ประดิษฐานอย่างม่ันคงในดินแดน ประเทศไทยสมัยทวารวดี และเปน็ ศาสนาหลกั สืบต่อเนอ่ื งมาจนปัจจุบนั

-๒- อย่างไรก็ดี ปรากฏหลักฐานว่าศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู ได้เผยแผ่มาพร้อมๆ กับพระพุทธศาสนา และเป็นศาสนาท่ีเจริญรุ่งเรืองควบคู่มากับพระพุทธศาสนา ส่วนความเช่ือด้ังเดิมก็ผสมผสานกับความเชื่อ ในพระพุทธศาสนา ต่อมาศาสนาอิสลาม คริสต์ ซิกข์ ได้เผยแผ่เข้ามาภายหลัง ผู้คนส่วนหน่ึงก็ได้ยอมรับนับถือ ในศาสนาดังกล่าว ดังปรากฏในปจั จบุ นั ๑. กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม. ความรู้ศาสนาเบื้องต้น. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุม สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จากัด. พิมพค์ ร้งั ท่ี ๒, ๒๕๕๗. ๒. กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม. ศาสนาในประเทศไทย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุม สหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย จากัด. พมิ พ์ครั้งท่ี ๓, ๒๕๖๑.

พระพุทธศาสนา ภาพจิตรกรรมฝาผนงั เล่าเร่ืองพุทธประวตั ิตอนพระพทุ ธเจ้าแสดงธรรมโปรดพทุ ธบริษทั ของวดั ราชสิทธาราม เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร ความหมายของพระพุทธศาสนา “พระพุทธศาสนา” คือ คาสั่งสอนของพระพุทธเจ้าครั้งพุทธกาล เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ พระพทุ ธศาสนายงั ไม่ถือกาเนิดขึน้ จนอกี สองเดอื นตอ่ มาเม่ือทรงแสดงพระธรรมเทศนาครั้งแรก (ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร) จึงทาให้เกิดพระพุทธศาสนาข้ึน และมีผู้ฟัง หรือสาวก (“สาวก” แปลว่าผู้ฟัง ผู้ฟังคาส่ังสอน ศิษย์ คาคู่กับ “สาวิกา” คือ ผู้ฟังหรือศิษย์ฝ่ายหญิง) กับหมู่ชนท่ีนับถือพระพุทธศาสนา เรียกอีกช่ือหนึ่งว่าพุทธบริษัท มี ๔ ชนิด คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ซึ่งเม่ือได้ฟังพระธรรมเทศนาแล้วก็นาไปปฏิบัติตาม ต่อมาเม่ือมีผู้ฟัง และผู้ปฏิบัติตามคาสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นจานวนมาก ก็มีการจัดตั้งเป็นชุมชน เป็นสถาบัน เป็นองค์กร เพ่ือรับผิดชอบดูแลการเรียนและการปฏิบัติ ตลอดจนมี ศาสนพิธี ศาสนวัตถุ ศาสนสถาน และกิจการต่าง ๆ ความหมายของพระพุทธศาสนาจงึ ขยายกว้างออกไปครอบคลุมสิ่งต่างๆ เหลา่ นีด้ ้วย ความเป็นมาของพระพทุ ธศาสนา ศาสนาพุทธเกิดขึ้นในชมพทู วีปซ่ึงในปัจจุบันเปน็ ดินแดนของประเทศอินเดีย เนปาล อัฟกานิสถาน ปากีสถาน และบังคลาเทศ แต่หลักฐานทางโบราณคดีส่วนใหญ่อยู่ที่ประเทศอินเดีย เช่น สังเวชนียสถาน และพุทธสถานตา่ ง ๆ ความเปน็ มาของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย คมั ภรี ์ทางพระพุทธศาสนาระบุวา่ เม่ือราวพุทธศตวรรษท่ี ๓ ประมาณ พ.ศ. ๒๓๕ หลงั จากสังคายนา พระธรรมวินัยคร้ังที่ ๓ พระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงส่งสมณทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนายังดินแดนต่าง ๆ รวม ๙ สายด้วยกัน ในส่วนของประเทศไทยเชื่อกันว่ามีคณะของสมณทูตซึ่งมีพระโสณเถระ

-๒- และพระอุตตรเถระเป็นหวั หนา้ คณะเข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นคร้ังแรกและอาจมีคณะสมณทูตชุดอ่ืน ๆ เข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในกาลต่อ ๆ มา ดังปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีท้ังที่เป็นโบราณสถาน และโบราณวัตถุว่า พระพุทธศาสนาได้เข้ามาเผยแผ่ในดินแดนสุวรรณภูมิ ต้ังแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๘ – ๙ และประดษิ ฐานอยา่ งมน่ั คงเม่ือราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑ ทั้งฝ่ายเถรวาทและฝ่ายมหายาน ซึ่งดินแดนสุวรรณภูมิ เชื่อกนั วา่ คือดนิ แดนในเอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้บริเวณประเทศไทยและประเทศพม่าในปัจจุบัน จึงทาให้คนไทย โดยเฉพาะพระมหากษตั รยิ ไ์ ทยยอมรบั นบั ถือพระพุทธศาสนาสืบทอดมาจนถึงปจั จุบัน เร่ืองคนไทยกับพทุ ธศาสนาและพุทธศาสนาในประเทศไทยนัน้ ได้ความตามตานานพระพุทธเจดยี ์ พระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดารงราชานุภาพว่า คนไทยได้นับถือพระพุทธศาสนามาก่อนที่จะอพยพ มาต้ังประเทศไทยในปัจจุบันนี้แล้ว ซ่ึงเร่ืองน้ีพระศรีวิสุทธิโมลี (ประยุท ป.ธ.๙) ปัจจุบันพระพรหมคุณาภรณ์) ได้สรุปไว้ในคาบรรยาย เรื่อง พุทธศาสนากับการศึกษาในอดีต ว่าก่อนที่ชนชาติไทยจะได้ต้ังอาณาจักร เป็นประเทศไทยเปน็ ปกึ แผ่นมน่ั คง ซึ่งถือวา่ เร่มิ แตก่ ารต้งั อาณาจักรสุโขทยั น้นั ชนชาติไทยในภูมิภาคสุวรรณภูมิ คลุมไปถึงรัฐไทยต่าง ๆ ในดินแดนต้ังแต่ทางตอนใต้ของประเทศจีนนั้น ได้รับนับถือพระพุทธศาสนามาแล้ว ทง้ั สองนกิ าย คอื ยุคแรก ได้รบั นับถือพุทธศาสนานิกายมหายาน ผา่ นทางประเทศจีน สมยั พระเจ้ามิง่ ต่ี ในตอนต้น พุทธศตวรรษท่ี ๗ รชั สมยั ของขุนหลวงเม้า แหง่ อาณาจกั รอ้ายลาว ยคุ ที่สอง แยกออกเป็น ๒ ระยะ คือ ระยะแรก สมัยอาณาจักรศรีวิชัยรุ่งเรือง ราวพุทธศักราช ๑๓๐๐ กษัตริย์แห่งอาณาจักรศรีวิชัย ผู้นับถือพระพุทธศาสนานิกายมหายาน มีเมืองหลวงอยู่ท่ีเกาะสุมาตรา ได้แผ่อานาจเข้ามาถึงแหลมมลายู ได้ดินแดนตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ลงไปไว้ครอบครองพระพุทธศาสนานิกายมหายานจึงแผ่เข้ามาในภาคใต้ ของประเทศไทย ระยะที่ ๒ ในสมัยลพบุรี เม่ือขอมเรืองอานาจแผ่อาณาเขตเข้ามาครอบครองประเทศไทย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลางท้ังหมด ในราวพุทธศักราช ๑๕๕๐พระพุทธศาสนาแบบมหายาน ซ่งึ ขอมรบั มาจากอาณาจักรศรีวิชัยเช่นกัน แต่ว่าเจือด้วยศาสนาพราหมณ์ จึงแผ่เข้ามาในดินแดนแถบนี้ พร้อมด้วย ภาษาสันสกฤต แต่ว่าดินแดนที่ขอมแผ่อาณาเขตเข้ามานั้น เดิมทีประชาชนพลเมืองก็ได้รับนับถือพระพุทธศาสนา แบบหินยานอยู่แล้ว แต่สมัยท่ีพระโสณะ และพระอุตตระ ศาสนทูตสายที่ ๒ ใน ๙ สาย ของพระเจ้าอโศกมหาราช นาเขา้ มาสู่ดินแดนสุวรรณภูมิ ในสมัยทราวดี ในพทุ ธศตวรรษที่ ๓ ยุคท่ีสาม สมยั พระเจ้าอนรุ ุทธมหาราช หรืออโนรธามงั ช่อ กษัตรยิ ์พมา่ แห่งอาณาจกั รพุกามแผ่อานาจ เข้ามาในอาณาเขตลานนาและล้านช้าง ราวพุทธศักราช ๑๖๐๐ พระพุทธศาสนานิกายหินยานแบบพุกาม จึงได้แผ่เข้ามาในดินแดนแถบนี้ พระพุทธศาสนาในประเทศไทย เริ่มนับถือแบบหินยานลัทธิลังกาวงศ์อย่างจริงจังในรัชสมัย ของพ่อขุนรามคาแหงมหาราช เม่ือพุทธศักราช ๑,๘๒๐ เป็นต้นมา กล่าวคือเมื่อพ่อขุนได้ขึ้นครองราชย์ พระองค์ได้ทรงสดับกิตติศัพท์ พระสงฆ์ท่ีไปศึกษาท่ีประเทศลังกา กลับมาส่ังสอนอยู่ท่ีเมืองนครศรีธรรมราช มคี วามรอบร้พู ระธรรมวนิ ยั และมวี ัตรปฏบิ ัติน่าเลื่อมใส จึงไดอ้ าราธนาจากเมืองนครศรธี รรมราช ขนึ้ มาต้ังสานัก และเผยแพร่คาสอน ณ กรุงสุโขทัย เรียกชื่อ ตามแหล่งท่ีมาว่า ลังกาวงศ์ พระสงฆ์ในลัทธิลังกาวงศ์ ที่พ่อขุนรามคาแหงมหาราช อาราธนาจากเมืองนครศรีธรรมราชมาต้ังสานัก ในกรุงสุโขทัยนี้

-๓- พ่อขุนรามคาแหงมหาราช ทรงเล่ือมใสศรัทธ าอย่างแรงกล้ามากและโ ดยท่ีพระสงฆ์คณะน้ี ชอบความวิเวกจึงโปรดให้อยู่ ณ วัดอรัญญิก นอกเมือง และพระองค์ได้เสด็จไปนมัสการท่านเป็นประจา ทกุ วนั กลางเดอื นและสิน้ เดอื น สรปุ พุทธศาสนากบั คนไทย โดยเฉพาะชนเผา่ ไทยในสวุ รรณภมู ิหรือในสยามประเทศ ปรากฏว่าคนไทย นับถือพระพุทธศาสนามาท้ัง ๒ นิกาย คือทั้งมหายาน และหินยาน ก่อนสมัยสุโขทัยดูจะนับถือปะปนกัน ท้ัง ๒ นิกาย แถมมีศาสนาพราหมณ์เข้ามาระคนด้วย ท่ีเป็นดังน้ี เพราะชนชาติไทยได้ร่วมสังคม กับชนชาติขอม ซ่ึงเป็นใหญ่อยู่ในภูมิภาคนี้มาก่อน และแม้สมัยไทยสถาปนาราชอาณาจักรไทยเอกราชขึ้น ณ กรงุ สุโขทัยแล้วกต็ าม ยุคต้นๆ ของสมัยนนั้ กย็ ังมีการนับถือพุทธปะปนกันอยู่ ๒ นกิ ายเช่นกนั ทง้ั นร้ี วมทั้งอาณาจกั รลานนาไทย ซ่ึงเป็นอาณาจักรอิสระของไทยตอนเหนืออาณาจักรหนึ่งซ่ึงเกิดข้ึนในยุคเดียวกับอาณาจักรสุโขทัย และเป็น พนั ธมติ รสนิทสนมกบั อาณาจกั รสุโขทัย กม็ ีลักษณะเช่นนัน้ พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทเป็นศาสนาหลักของชาวทวารวดีพบหลักฐานดา้ นศลิ ปกรรมส่วนใหญ่ สร้างข้ึนเน่ืองในพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ได้แก่ประติมากรรมรูปเคารพและจารึกคาถา “เย ธมฺมา” ภาษาบาลี เป็นภาษาในการเขยี นคมั ภีร์ทางพระพุทธศาสนาฝา่ ยเถรวาททั้งที่แตง่ ขึ้นในอนิ เดยี ใตแ้ ละลงั กา อนึง่ ในการเขยี นคัมภีร์ทางพระพทุ ธศาสนาฝา่ ยมหายานและศาสนาพราหมณ-์ ฮินดู ใชภ้ าษาสนั สกฤต อาจกล่าวได้ว่าในดินแดนประเทศไทยนบั ตั้งแตศ่ ตวรรษท่ี ๑๑ เปน็ ตน้ มาพระพุทธศาสนาทัง้ เถรวาท และมหายานเจริญรุ่งเรืองสืบเนื่องมาตามลาดับ โดยเฉพาะพระพุทธศาสนาเถรวาทได้ประดิษฐานอย่างมั่นคง เปน็ ศาสนาหลักของบา้ นเมอื งเนอื่ งมาในสมยั สุโขทยั พระสงฆ์ฝ่ายเถรวาทในสมัยสโุ ขทัย สมยั อยุธยา และสมัยรัตนโกสนิ ทรต์ อนตน้ แบง่ ออกเป็นฝา่ ยคามวาสี คือพระท่ีอยู่ในเมืองหรือใกล้เคียงและฝ่ายอรัญวาสีหรือพระป่า นอกจากน้ียังมีพระสงฆ์ฝ่ายเถรวาท รามัญนิกาย ซ่ึงเป็นพระมอญ และพระสงฆฝ์ า่ ยมหายานทง้ั จีนนิกายและอนัมนกิ ายด้วย ตอ่ มาเมือ่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ ัว (พ.ศ. ๒๓๙๔ - ๒๔๑๑) ทรงตั้งคณะธรรมยุติกนกิ ายขึน้ คณะสงฆ์ทมี่ ีอยู่เดิม เรยี กวา่ ฝา่ ยมหานกิ าย พระมหากษัตริยาธิราชเจ้าของชาวไทยทุกพระองค์ทรงเป็นพุทธมามกะในเวลาเดียวกันทรงเป็น อัครศาสนูปถัมภกศาสนาต่าง ๆ ในพระราชอาณาเขตให้เจริญวัฒนาเป็นศูนย์รวมใจและเป็นท่ีพึ่ง ของอาณาประชาราษฎรท์ ุกยุคทุกสมัยตราบปัจจุบนั ในประเทศไทยมอี งคก์ ารทางพระพทุ ธศาสนาทกี่ รมการศาสนาใหก้ ารสนบั สนนุ ดังนี้ ๑. องคก์ ารพทุ ธศาสนิกสัมพนั ธแ์ ห่งโลก (พ.ส.ล.) ๒. พุทธสมาคมแหง่ ประเทศไทย ในพระบรมราชปู ถัมภ์ ๓. ยุวพุทธกิ สมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชปู ถัมภ์ ๔. สภายวุ พทุ ธิกสมาคมแหง่ ชาติ ๕. เปรียญธรรมสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์ ๖. มูลนธิ ิภูมิพโลภิกขุ ๗. องค์กรเครือขา่ ยภาคราชการและภาคประชาสังคม ๘๔ องคก์ ร

-๔- คมั ภรี ์ หลักความเช่อื หลักธรรมคาสอน คัมภีร์ คัมภรี ท์ างพระพุทธศาสนา เรยี กว่า พระไตรปิฎก มี ๓ หมวด คอื ๑. พระวนิ ยั ปฎิ ก วา่ ด้วยวนิ ัยหรือศีลของภิกษุ ภกิ ษุณี อุบาสกและอุบาสิกา ๒. พระสุตตันตปิฎก ว่าด้วยคาสอนท่ีมีเร่ืองราวเกี่ยวกับบุคคล สถานท่ี เหตุการณ์ประกอบ หรือเรียกว่า “ชาดก” ๓. พระอภิธัมมปิฎก ว่าด้วยสภาวะธรรมลว้ น ๆ เก่ียวกับจิต เจตสิก รูป และนิพพาน เป็นธรรมลึกซึง้ ในทางพระพุทธศาสนา หลกั ความเชื่อ ๑. เช่ือกรรม กรรม คือการกระทาเป็นคากลาง ๆ ทาดีเรยี กวา่ “กุศลกรรม” ทาไม่ดเี รียกวา่ “อกศุ ลกรรม” แบง่ เป็น ๓ ทาง คือทางกาย ทางวาจา และทางใจ ๒. เชื่อผลแห่งกรรม พระพุทธศาสนาสอนว่า การกระทาทุกอย่างไมว่ า่ ทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ ย่อมมผี ลตดิ ตามมา ทาดไี ด้ผลดี ทาช่ัวได้ผลช่ัว คนจะไดด้ หี รอื ได้ชว่ั เปน็ เพราะตัวเป็นผ้กู ระทา ๓. เชื่อว่าทุกคนมีกรรมเป็นของตนเอง พระพุทธศาสนาสอนว่าผลแห่งกรรมเป็นสมบัติเฉพาะตัว ใครทาคนนั้นได้ จะแบ่งปันเผื่อแผ่กันไม่ได้ ผลแห่งกรรมจะยังคงดารงอยู่จนกว่าจะให้ผลเสร็จเรียบร้อยแล้ว เปน็ อโหสกิ รรมแล้วจงึ จะยตุ ิ กฎแห่งกรรมเป็นกฎธรรมชาตทิ ่พี ระพทุ ธเจ้าทรงค้นพบเป็นส่งิ ทีม่ อี ยู่จรงิ กฎแห่งกรรมในพระพุทธศาสนา ตรงกับกฎของนิวตัน คือ กฎกิริยา (Action) และปฏิกิริยา (Reaction) ซ่ึงเป็นกฎทางด้านวัตถุกรรมท่ีเราทาก็เหมือนกัน ถ้าทากรรมดี ผลตอบสนองก็เปน็ กรรมดี ถ้าทากรรมไมด่ ผี ลตอบสนองก็เป็นเรื่องไม่ดี หลกั ธรรมคาส่ังสอน ๑. หวั ใจของพระพทุ ธศาสนา พระธรรมคาส่ังสอนในพระพุทธศาสนาแมจ้ ะมเี ป็นจานวนมากแตเ่ พือ่ ให้งา่ ย ต่อความเข้าใจและความจา สรุปได้ ๓ หลักการ คือ ๑.๑ หา้ มไมใ่ หก้ ระทาความชัว่ ทกุ ชนิดทั้งกาย วาจา และใจ ๑.๒ ใหก้ ระทาความดที ุกอยา่ งทงั้ ทางกาย วาจา และใจ ๑.๓ ชาระจิตให้บริสุทธิ์ เพราะจติ บริสุทธจ์ิ ะทาใหก้ ายและวาจาบริสุทธิ์ด้วย ๒. คุณธรรม ความดีงามท่ีเกิดจากการประพฤติดี ปฏิบัติชอบตามหลักพระธรรมคาส่ังสอน ในพระพทุ ธศาสนาทาให้ผปู้ ระพฤตปิ ฏิบัตมิ ีความเหน็ ทถี่ ูกตอ้ ง ๓. จริยธรรม เป็นหลักปฏิบัติเพ่ืออยู่ร่วมกันในสังคมอย่างเป็นสุข เช่น ความไม่เบียดเบียนกัน การชว่ ยเหลือเผื่อแผต่ ่อกนั ผูส้ ืบทอดศาสนา กอ่ นท่พี ระพุทธเจา้ จะเสด็จดับขนั ธปรินพิ พานไมน่ านนักพระอานนท์มหาเถระผ้เู ปน็ พุทธอุปฏั ฐาน คือ ผู้ถวายการดูแลพระพุทธเจ้าได้ทูลถามพระพุทธองค์ว่า เมื่อพระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว จะมอบภาระ การดูแลพระพทุ ธศาสนาไวใ้ ห้กับใคร พระพุทธเจ้าตรัสวา่ ให้เป็นภาระของพุทธบรษิ ัท ๔ คอื ๑. พระภกิ ษุ คือ นกั บวชชาย ๒. พระภกิ ษุณี คอื นกั บวชหญงิ

-๕- ๓. อุบาสก คอื ผู้นบั ถอื พระพุทธศาสนาชายท่ีไมใ่ ชพ่ ระภิกษุ ๔. อุบาสิกา คือ ผนู้ บั ถือพระพทุ ธศาสนาหญิงทีไ่ ม่ใช่พระภิกษุณี บุคคลเหลา่ น้จี ะเปน็ ผู้รบั ภาระหน้าทใ่ี นการดูแลรักษาพระพุทธศาสนาเป็นพุทธศาสนทายาท คือ ผู้สืบทอดอายุ พระพทุ ธศาสนาต่อไป สว่ นคาถามทว่ี ่าใครจะมาเป็นพระศาสดาแทนพระองค์นั้น ผู้ท่ีจะมาเป็นพระบรมศาสดา แทนพระองค์ไม่มี เน่ืองจากความเป็นพุทธะหรือพระศาสดานั้น พระองค์ได้มาด้วยพระบุญญาบารมี ของพระองค์เอง จะมอบให้คนใดคนหน่งึ ไมไ่ ด้ แตไ่ ด้ตรสั ไวว้ ่า พระธรรมวนิ ยั หรือพระธรรมคาสั่งสอนที่พระองค์ ตรัสรู้มามีความสมบูรณ์ครบถ้วนทุกประการ และได้ตรัสบอกกับพุทธบริษัทครบถ้วนทุกประการแล้ว พระธรรมคาสั่งสอนทง้ั หมดนน้ั จะเป็นพระบรมศาสดาแทนพระองค์ ขอให้พุทธบริษัทหมั่นเพียรศึกษาประพฤติ ปฏบิ ตั ติ ามอยา่ ไดป้ ระมาท ข้อพึงปฏบิ ตั ิของพระพทุ ธศาสนา พระพทุ ธศาสนามีข้อปฏบิ ตั ิที่พทุ ธศาสนกิ ชนจะนาไปประพฤตปิ ฏิบตั ิในชีวิตประจาวนั ดังน้ี ๑. การบูชาพระประจาวัน ธรรมดาชาวพุทธย่อมมชี ีวติ จติ ใจเนื่องด้วยพระรัตนตรัย มีพระรัตนตรัย เป็นท่ีพ่ึงที่ระลึกในการดาเนินชีวิตประจาวัน เพื่อให้ตนมีความประพฤติดีประพฤติชอบ มีความเจริญรุ่งเรือง ก้าวหน้าปราศจากภัยอันตรายต่างๆ และอยู่เย็นเป็นสุข จึงนิยมเคารพสักการบูชาพระรัตนตรัยเป็นประจา วนั ละ ๒ ครง้ั เปน็ อยา่ งนอ้ ย คือ ๑) ตอนเช้า ก่อนออกจากบ้านไปประกอบภารกิจการงานทุกวัน เวลาเช้าก่อนออกจากบ้าน เมื่อแต่งกายเรียบร้อยแล้ว ชาวพุทธทั้งหลายผู้เคร่งต่อศาสนาย่อมนิยมเข้าห้องพระหรือไปท่ีบูชาพระ แล้วน่ังคุกเข่า จุดเครื่องสักการบูชาพระ คือ ๑) จุดเทียนเล่มขวาของพระพุทธรูปก่อน แล้วจุดเทียนเล่มซ้าย ๒) จุดธปู ๓ ดอก แลว้ ปักที่กระถางธูป แลว้ กราบพระรตั นตรัย แบบเบญจางคประดษิ ฐ์ (คอื ทง้ั หน้าผาก ฝา่ มอื ทั้งสอง และหัวเขา่ ท้งั สองลงจรดพื้น) ๓ ครง้ั แลว้ ประณมมอื กล่าวคาบูชาพระรัตนตรยั ตอ่ ไป ๒) ตอนกลางคืน ก่อนนอนพักผ่อนชาวพุทธจะนิยมสวดมนต์เป็นภารกิจสุดท้ายประจาวัน โดยจุดเคร่ืองสกั การบชู าพระรตั นตรัย แลว้ กราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ ประณมมือกล่าวคาบูชาพระรัตนตรัย แล้วนั่งพับเพียบประณมมือ ตั้งใจสวดบทไตรสรณคมน์ บทสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ แล้วแผเ่ มตตา เพื่อตั้งความปรารถนาดีใหส้ ิ่งมชี ีวิตทกุ ชนิด มคี วามสุข ปราศจากทุกข์ ไม่มีเวร ไม่คับแค้นใจ รักษาตน ให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวง นอกจากนั้นยัง นิยมสักการบูชาพระรัตนตรัยเป็นกรณีพิเศษอีก ๒ คราว คือ คราวเกิดความไม่สบายใจและคราวจะตดั สินใจเรื่องสาคัญ ๒. การทาบุญใส่บาตร และการกรวดนาอทุ ศิ ส่วนกุศล ๒.๑ การทาบญุ ใสบ่ าตร ในแต่ละวันพุทธศาสนิกชนมีหน้าทีท่ าบญุ ใสบ่ าตร เพ่ือทานบุ ารุงรักษา พระพทุ ธศาสนาไว้ เน่ืองจากพระสงฆเ์ ปน็ พทุ ธบุตร เป็นผู้ควรสักการะ และเป็นเน้ือนาบุญของโลกท่ีไม่มีนาบุญอ่ืนย่ิงกว่า จะดารงชพี อยไู่ ดก้ ต็ อ้ งอาศัยความอุปถัมภ์จากญาติโยมโดยการถวายอาหารและปัจจัยอื่น การใส่บาตรเป็นการ ถวายภัตตาหารเช้าแก่พระสงฆ์ซึ่งอยู่ในพระธรรมวินัยที่ห้ามพระฉันอาหารหลังเท่ียงวัน เพราะฉะนั้น การใส่บาตร มักจะเร่ิมต้ังแต่รุ่งอรุณถึงเวลาประมาณ ๘ นาฬิกาของแต่ละวันให้แก่พระภิกษุ สามเณรที่ออกบิณฑบาต ภัตตาหารท่ีถวายเป็นอาหารคาวหวานที่มีความบริสุทธ์ิ คือ ได้มาโดยสุจริต ถวายด้วยเจตนาอันเป็นกุศล ผู้ถวายอาหารมีการสารวมกิริยาทุกประการ เช่น การแต่งกายเรียบร้อย กริยาอ่อนน้อมด้วยความเคารพ

-๖- ไม่ชวนพระสงฆ์ผู้รับบิณฑบาตพูดคุยหรือสนทนา เมื่อใส่บาตรแล้ว ผู้ถวายพึงประณมมือแสดงความเคารพ พร้อมอธิษฐานขอพรตามความต้ังใจปรารถนา พระสงฆ์ก็จะรับบิณฑบาตด้วยกิริยาสารวมแล้วจากไป หรืออาจใหพ้ รเปน็ ภาษาบาลีแกผ่ ู้ใส่บาตรก่อนจากไป หากพระสงฆ์ใหพ้ ร ผู้ใส่บาตรพึงประณมมือรับพรจนจบ ๒.๒ การกรวดนาอุทิศส่วนกุศล เป็นพธิ ีทางศาสนาอยา่ งหนง่ึ ท่ปี ฏบิ ัติร่วมกบั พิธีบุญต่าง ๆ เชน่ ทาหลังจากการทาบุญใส่บาตร หลังจากเสร็จพิธีงานมงคล (เช่น งานมงคลสมรส งานทาบุญขึ้นบ้านใหม่ งานวันเกิด) และภายหลังพิธีงานอวมงคล (เช่น พิธีศพ งานทาบุญหลังพิธีเผาศพแล้ว ๗ วัน ๑๐๐ วันให้แก่ผู้วายชนม์) สาหรับพิธีกรวดน้าทาโดยผู้กรวดน้ารินน้าจากภาชนะใส่น้าท่ีเหมาะสม หรือจากท่ีกรวดน้าท่ีจัดไว้โดยเฉพาะ ลงท่ีรองน้า ขณะที่พระสงฆ์กล่าวให้พรเป็นภาษาบาลีด้วยบท “ยถา วาริวหา.........” ด้วยการนึกถึง และอธิษฐาน สว่ นบุญกุศลใหแ้ กบ่ ุคคลผูล้ ว่ งลบั ไปแลว้ หรือเจ้ากรรมนายเวร นา้ ต้องรินให้หมดเม่ือพระสงฆ์สวดบท “สัพพี ติโย......” แลว้ ผู้กรวดน้าพึงประณมมอื รบั พรจนสนิ้ สดุ การสวดใหพ้ ร เป็นอนั เสร็จพธิ ี ๓. การรกั ษาศีล การปฏบิ ตั สิ มถะและวิปัสสนาในชีวิตประจาวัน ๓.๑ การสมาทานศีล หมายถึงการรับเอาศีลมาปฏบิ ตั ิ หรือการถือศีล ซึ่งมีท้ังการสมาทานศีล ๕ และการสมาทานศีล ๘ (อโุ บสถศีล) ศลี หา้ เป็นศลี ประจาตวั ของอุบาสกอุบาสิกา เป็นศลี ท่ีพึงรักษาเปน็ ประจา จึงเรียกอีกช่อื ว่า “นิจศลี ” โดยม่งุ ควบคุมกาย และวาจาใหล้ ะเว้นสง่ิ ไมด่ ี ๕ ประการ คอื (๑) ละเว้นจากการฆา่ สตั ว์ (๒) ละเวน้ จากการลกั ทรัพย์ (๓) ละเว้นจากการประพฤตผิ ิดในกาม (๔) ละเวน้ จากการพดู เทจ็ (๕) ละเว้นจากการดืม่ นา้ เมา ศีลห้านับเป็นการจัดระเบียบสังคมขั้นพื้นฐานซ่ึงจะเป็นหลักประกันว่าแต่ละคนจะได้ใช้ชีวิตหรือทาความดีอ่ืน ให้ก้าวหนา้ ยิ่งขนึ้ ได้อยา่ งสะดวก ศีล ๘ (อุโบสถศลี ) ประกอบด้วยข้อปฏิบัติ ๘ ประการ ไดแ้ ก่ (๑) ละเวน้ จากการฆา่ สัตว์ (๒) ละเว้นจากการลักทรัพย์

-๗- (๓) ละเวน้ จากการประพฤตผิ ิดในกาม (๔) ละเว้นจากการพูดเทจ็ (๕) ละเวน้ จากการด่ืมนา้ เมา (๖) ละเว้นจากการรบั ประทานอาหารยามวิกาล (นับแตเ่ วลาเท่ยี งแลว้ เปน็ ต้นไป) (๗) ละเวน้ จากการใช้เครื่องหอม เครื่องประดับ (๘) ละเวน้ จากการนอนบนท่นี อนอนั สูงใหญ่ (หรอื ทป่ี ุดว้ ยทนี่ อนอนั หนานุ่ม) ๓.๒ การปฏิบัติสมถะและวิปัสสนา สมถะและวิปัสสนาเป็น ๒ วิธี ของภาวนา ภาวนา แปลว่า “การทาให้มีข้ึน เป็นข้ึน หรือการเจริญ” เม่ือใช้ในความหมายของธรรมะ คือ การฝึกอบรม จิตใจ แบง่ ออกเป็น ๒ อยา่ ง คอื ๑) สมถภาวนา คือ การฝึกอบรมจิตให้เกิดความสงบ หรือการฝึกสมาธิ ๒) วิปัสสนาภาวนา คือ การฝึกอบรมเจริญปัญญาให้เกิดความรู้แจ้งชัดส่ิงท้ังหลาย ตามความเป็นจริง หรือเรียกส้ันๆ ว่า “การเจริญปัญญา” ในคัมภีร์สมัยหลัง บางทีเรียกภาวนาว่า “กรรมฐาน” ซ่ึงแปลว่าทีต่ ้งั แหง่ งานทาความเพยี รฝึกอบรมจิต จงึ เกดิ คาเรยี กวา่ “สมถกรรมฐาน” และ “วปิ สั สนากรรมฐาน” การปฏบิ ัตสิ มถะหรือสมาธิในชีวิตประจาวนั มักนยิ มทาตอนเช้า หรือก่อนนอนหลังจากการบชู าพระ และการสวดมนต์ประจาวัน เพราะสมถะต้องการบรรยากาศที่สงบและต่อเน่ือง โดยอาจจะฝึกปฏิบัติน้อยไปหามาก เชน่ เรมิ่ จาก ๓ นาที ๕ นาที จนเมอ่ื ชานาญกจ็ ะปฏิบัติวันละคร่งึ ชว่ั โมง หรอื หนึ่งชว่ั โมง การปฏิบัติทาโดยหลังจาก สวดมนต์เสร็จ ก็นั่งขัดสมาธิ หรือผู้ที่ไม่ถนัด หรือมีปัญหาทางสุขภาพจะน่ังเก้าอี้ก็ได้ แล้วกาหนดอารมณ์ใด อารมณ์หน่ึงให้จิตนิ่ง มีความเป็นหนึ่งในการพิจารณาอารมณ์นั้น ที่ใช้กันมาก คือ พุทธานุสติ การตามระลึกถึงคุณ ของพระพุทธเจ้า โดยกาหนดเวลาหายใจเข้าว่า “พุท” เวลาหายใจออกว่า “โธ” อีกวิธีหน่ึงที่ใช้กันมาก คือ อานาปานสติ การตามระลึกกาหนดลมหายใจเข้าออก โดยกาหนดจุดตรงหน้าท้อง หายใจเข้าว่า “พองหนอ” หายใจออกว่า “ยุบหนอ” เม่ือฝึกสมถะเป็นประจาสม่าเสมอ ต่อไปในชีวิตประจาวันเวลาทาการงาน ผู้น้ันจะรู้ว่าใจมีสมาธิ มคี วามมัน่ คงมากขน้ึ ไม่วอกแวกฟุ้งซา่ นมากเหมือนกับคนที่ไม่ได้ฝึกสมถะ การปฏิบัตวิ ิปัสสนาในชีวิตประจาวัน จะปฏิบัติที่ไหนเม่ือไรก็ได้ ขอให้ฝึกพิจารณาให้เกิดปัญญา รู้เท่าทันส่ิงท้ังหลายทั้งปวงไม่ว่าวัตถุส่ิงของ (รูป) และความคิดนึก การรู้อารมณ์ใดๆ (นาม) ในทางทวาร (ประตู) ทั้ง ๖ ของร่างกายเรา คือ ตา หู จมูก ล้ิน กาย และใจ ไม่ว่าจะเป็นการเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ล้ิมรส

-๘- ถูกต้องสัมผัส และจิตใจที่คิดนึก ท้ังรูปและนามทุกทวารล้วนแต่มีความเกิดข้ึน ตั้งอยู่ช่ัวคราว แล้วก็ดับไป ตกอยู่ใต้กฎไตรลักษณ์ หรือสามัญลักษณะ ๓ อย่าง คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ดังกล่าวในตอนต้นแล้วน้ัน เมื่อมีสติพิจารณาเช่นน้ีได้เนืองๆ ก็จะเป็นผู้รู้เท่าทันความจริงของส่ิงทั้งหลายทั้งปวง ซ่ึงความรู้น้ี เรียกว่า “ปัญญา” อันทาให้ร้จู ักปล่อยวาง ไมย่ ึดมั่นมากนกั ใจกเ็ ปน็ อิสระและปลอดพ้นจากความทุกขไ์ ดม้ ากขึ้นเป็นลาดบั สรุป การรกั ษาศีล การปฏิบัติสมถะและวปิ สั สนา คือ การปฏบิ ตั ไิ ตรสกิ ขา ศีล สมาธิ และปญั ญา หรือเจริญมรรคมีองค์ ๘ ในชีวิตประจาวันของแต่ละคน ทาให้ลดทุกข์ และอยู่เป็นสุขได้มากขึ้นตามสัดส่วน ท่ีเราเอาใจใสป่ ฏบิ ตั ิ ได้มากน้อยแค่ไหน ๑. กรมการศาสนา กระทรวงวฒั นธรรม. ความร้ศู าสนาเบอ้ื งตน้ . กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุม สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จากัด. พิมพค์ รงั้ ที่ ๒, ๒๕๕๗. ๒. กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม. ศาสนาในประเทศไทย. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุม สหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จากัด. พมิ พค์ ร้ังที่ ๓, ๒๕๖๑. ๓. กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม. กรมการศาสนา. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุม สหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จากดั , ๒๕๕๑. ๔. กรมการศาสนา และอนุกรรมการส่งเสริมกิจการศาสนาและศาสนิกสัมพันธ์ คณะกรรมาธิการ การศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรม วุฒิสภา. วิถีชีวิต ๕ ศาสนิกในประเทศไทย. กรุงเทพมหานคร : บรษิ ทั ราไทยเพรส จากัด. พมิ พ์ครั้งท่ี ๕, ๒๕๖๑.

ศาสนาครสิ ต์ บรเิ วณลานโบสถ์ของอาสนวหิ ารแม่พระปฏิสนธนิ ิรมล จังหวดั จนั ทบรุ ี ความสาคัญของศาสนา ศาสนาทาให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข เพราะทุกศาสนาล้วนมุ่งหวังให้ศาสนิกชนของตน เป็นคนดี และเมอ่ื ศาสนิกชนเปน็ คนดแี ล้ว สังคมก็ย่อมจะปราศจากความเดือดร้อน ศาสนาช่วยให้มนุษย์รู้ว่า... ส่ิงใดช่ัว...ถูกผิด ในศาสนาคริสต์สอนว่าพระเจ้าทรงประทานศีลธรรมประจาใจมนุษย์ ให้มนุษย์รู้จักดีชั่ว มนุษย์จึงจาเป็นตอ้ งมศี าสนาเป็นแนวทางในการดาเนินชวี ิตเพื่อเลือกกระทาแตส่ ่ิงท่ีเปน็ คณุ งามความดี ความหมายของศาสนา คาวา่ “ศาสนา” ตรงกับคาในภาษาองั กฤษท่ีมาจากภาษาลาตินอีกทีหน่งึ ซึ่งแปลว่า “ความสัมพันธ์” หรือ “ผูกพัน” หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า ตรงกับคาภาษาบาลี “สาสนา” แปลว่าคาส่ังสอน “คาส่ัง” หมายถึง ข้อห้ามทาความชั่ว ที่เรียกว่าวินัย และเป็น “คาสอน” หมายถึง คาแนะนาให้ทาความดี ทเ่ี รียกธรรมะ รวมเรยี กว่า ศลี ธรรม ความเป็นมาของศาสนาคริสต์ ศาสนาคริสตม์ ตี น้ กาเนิดในเอเชยี ตะวนั ตก (อิสราเอลในปัจจุบัน) และแผ่ขยายไปตามทวปี ต่าง ๆ ทว่ั โลก ในเอเชียตะวันออกไกลน้ัน คริสต์ศาสนาได้ถูกนามาเผยแพร่โดยคณะผู้สอนศาสนา (Missionary) ท่ีติดตามมา พร้อมกับการค้าขายการล่าอาณานิคม เพ่ือเหตุผลบางประการในทางการเมืองและการปกครองในแถบเอเชีย ตะวนั ออกเฉยี งใต้ ไดแ้ ก่ โปรตุเกส สเปน และเนเธอร์แลนด์ โปรตุเกสและสเปนได้นาเอาครสิ ตศาสนามาเผยแผ่

-๒- ใหก้ บั ดินแดนทีเ่ ข้าครอบครองมากที่สุด ทาให้ประเทศที่เดิมเคยถูกสเปนและโปรตุเกสปกครองมาน้ันมีผู้นับถือ คริสต์ศาสนามาก และมีวัตถุก่อสร้างโบราณซ่ึงเป็นโบสถ์และศาสนสถานหลงเหลือเป็นร่องรอย ของประวัติศาสตร์เหล่านั้นมากมาย เช่น ในฟิลิปปินส์ มาเก๊า ติมอร์ ฯลฯ นอกจากนั้นในสมัยต่อมา ฝรั่งเศสก็ได้เดินทางมาหาอาณานิคมในดินแดนแถบนี้ด้วยจนได้เวียดนาม กัมพูชา และลาวเป็นเมืองขึ้น นอกจากน้ีฝรั่งเศสยังได้นาคริสต์ศาสนา (นิกายโรมันคาทอลิก) ไปเผยแพร่ในโปรตุเกสและสเปน แต่ไม่ได้รับ การตอ้ นรบั เท่าไรนัก มผี นู้ บั ถอื ไม่มากเหมอื นดินแดนท่ีเคยอยู่ในการปกครองของโปรตเุ กสและสเปน ความเป็นมาของศาสนาคริสต์ในประเทศไทย ศาสนาคริสต์เข้ามาในประเทศไทยต้ังแต่คริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ เร่ิมแรกคือศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก การเข้ามาของศาสนาคริสต์ไม่ได้เข้ามาในรูปแบบของเหล่าอาณานิคม แต่เข้ามา ในรูปแบบของการเผยแพร่ศาสนาแก่คนทั่ว ๆ ไป และในรูปของผู้สอนศาสนาให้กับบรรดาชาวต่างชาติ ซ่ึงส่วนใหญ่เป็นชาวโปรตุเกสที่มาค้าขายและต้ังหลักแหล่งอยู่ในกรุงศรีอยุธยาเสียส่วนใหญ่ ซึ่งในสมัยนั้น เม่ือสมเด็จพระรามาธิบดีท่ี ๒ ทรงทาสัญญาทางพระราชไมตรีกับโปรตุเกสที่เข้ามายึดครองเกาะมะละกา ชาวโปรตเุ กสเดินทางเขา้ มาประกอบกจิ การตา่ ง ๆ ในกรุงศรีอยธุ ยา ในแผน่ ดนิ สมเดจ็ พระมหาจักรพรรดิที่ทางสรา้ งความสัมพนั ธ์อนั ดีกับชาวโปรตุเกส คณะมิชชันนารี มายังสยามในช่วงระหว่าง พ.ศ. ๒๑๐๗ – ๒๑๑๐ คณะนักบวชท่ีตอบรับและเดินทางเข้ามายังสยามประเทศ รุ่นแรก พ.ศ. ๒๑๑๐ ได้แก่ คณะนักบวชโดมินิกันโดยบาทหลวงเฟอร์นันโด เอด ซังตา มารีอา อธิการเจ้าคณะ แห่งเมืองมะละกา ได้ส่งบาทหลวงเยโรมินา ดา ครู้ส และบาทหลวงเซบาสติดอ โด กันโต มาจากมะละกานั้น ได้รับพระราชทานบ้านพักและเร่ิมงานเผยแผ่ศาสนา ถือเป็นครั้งแรกของการเผยแผ่คริสต์ศาสนา อยา่ งเปน็ ทางการในกรงุ สยาม คณะมิชชันนารีชาวตะวันตกที่เข้ารุ่นแรกคือ ชาวโปรตุเกสและสเปนมากกว่าชาติอ่ืน ๆ ต่อมา ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กรุงวาติกันได้ต้ังสมณกระทรวงเผยแพร่ความเชื่อ เน่ืองจากแต่เดิม อาศัยพระราชอานาจของกษัตริย์โปรตุเกสและสเปนที่บัญชาให้ออกไปค้นหาดินแดนใหม่และถือโอกาส นาเอาคาสอนศาสนาคริสต์ไปเผยแผ่ด้วย ซ่ึงต่อมามีความขัดแย้งในแนวทางปฏิบัติท่ีต้องอยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ ของโปรตุเกสและสเปน จึงเป็นเหตุให้ศาสนจักรโดยพระสันตะปาปาต้องหาทางเผยแผ่ศาสนาตามแนวทาง ของศาสนจักรเอง และเม่ือถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ คริสต์ศาสนานิกายโปรเตสแตนท์ก็ได้เข้ามามีบทบาท ในประเทศไทย นอกจากจะได้เผยแพร่ศาสนาแล้ว ยังได้ทาคุณประโยชน์แก่ประเทศไทยเป็นอันมาก เช่น การศึกษา การแพทย์ และการสงั คมสงเคราะห์ เปน็ ตน้ ปัจจบุ ันประเทศไทยรับรองฐานะองคก์ ารทางศาสนาครสิ ต์ ๒ นิกาย คือ โรมันคาทอลิกและโปรเตสแตนท์ ซงึ่ มรี ายละเอยี ดดังนี้

-๓- ๑. นกิ ายโรมันคาทอลิก มสี ภาประมุขแห่งบาทหลวงโรมันคาทอลิกเป็นศูนย์กลาง แบง่ การปกครอง เป็น ๑๐ เขตมิซซัง คือมิซซังกรุงเทพ ราชบุรี สุราษฎร์ธานี จันทบุรี เชียงใหม่ นครสวรรค์ อุบลราชธานี ท่าแร-่ หนองแสง อุดรธานแี ละนครราชสมี า โบสถว์ ดั นกั บญุ ยอเซฟ จงั หวดั พระนครศรอี ยุธยา ภายในโบสถว์ ดั นักบญุ ยอเซฟ จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา ๒. นกิ ายโปรเตสแตนท์ มี ๔ องค์การ คอื ๒.๑ สภาคริสตจักรในประเทศไทย ปกครองคณะเพสไบเทเรียน คณะคริสเตยี นเชริ ช์ (ดิสไซเปิลส์ ออฟไครส์) คณะลูเทอแรนเชิร์ชออฟอเมรกิ าในประเทศไทย เปน็ ตน้ ๒.๒ สหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย ปกครองคณะคริสเตียนแอนด์มัชชันนารีอัลไลแอนซ์ คณะเวริ ์ลดไ์ วดอ์ ีแวนเจไลเซชั่นครเู สด นอกจากนี้ยังมีกลมุ่ อืน่ ๆ เช่น นิกายลเู ธอรแ์ รน เปน็ ตน้ ๒.๓ มูลนธิ คิ รสิ ตจักรคณะแบ๊บตสิ ต์ ปกครองคริสตจักรแบ๊บตสิ ต์ในประเทศไทย ๒.๔ มลู นิธคิ ริสตจักรเซเว่นธเ์ ดย์แอ๊ดเวนตสี แห่งประเทศไทย คริสตจกั รที่ ๑ สาเหร่ เป็นคริสตจกั รแห่งแรกของนกิ ายโปรเตสแตนท์ ก่อตั้งโดยคณะเพรสไบเทเี รียน ใน พ.ศ. ๒๔๐๐ -๔-

-๔- คมั ภรี ์ หลักความเช่ือ หลักธรรมคาสอน และหลักปฏิบัติของศาสนา หลักธรรมคาสอน คาสอนของพระพระเยซูเจ้าจากอุปมา หรือการเล่านิทานเปรียบเทียบ... ในพระคมั ภีร์...ภาคพระธรรมใหม่ โดยเฉพาะในพระวรสาร เราจะพบว่า พระเยซูเจ้าทรงสอนพระธรรมคาสอน ของพระองค์ดว้ ยคาอุปมาอยู่บ่อย ๆ ทรงแปลงเรือ่ งยาก ๆ ทีเ่ ป็นนามธรรมใหก้ ลายเป็นเร่อื งที่ฟังได้แบบสบายๆ ถา้ หากต้องการใหค้ าอุปมาของพระองค์เกดิ ประโยชน์และมคี ุณคา่ กบั ชวี ิตอย่างเต็มเปี่ยมจริง ๆ ต้องหม่ันนาคาอุปมา ของพระองค์มาคดิ ทบทวนไตร่ตรองอยูเ่ สมอ ๆ และนาไปปฏบิ ัติในชวี ิตจริง คาเทศน์สอนเรือ่ งแรกหรอื ปฐมเทศนาของพระเยซูเจา้ เรื่องความสุขแท้จรงิ หรือบุญลาภ ๘ ประการ คอื ๑. ความสุขแก่ ... ผูม้ ใี จยากจน คือ ผู้ทีม่ ีใจสภุ าพถ่อมตน มีความเป็นเด็กทางจิตใจ เปน็ จิตใจที่พึงพา พระเจ้าเสมอ ๒. ความสขุ แก่ ... ผเู้ ป็นทกุ ข์โศกเศรา้ คือ ผู้ท่เี ปน็ ทุกขเ์ ศรา้ โศกเพราะความบาป การถูกกดขีจ่ าก กฎของศาสนา สงั คม และการเมอื ง ๓. ความสุขแก่... ผทู้ ี่มใี จอ่อนโย คือ ผ้ทู ่ีมใี จสุภาพอ่อนโยน ไม่ใชค้ วามรุนแรงปฏิรูปความไม่ถูกต้อง ของสังคม แต่อุทิศตนเพอ่ื งานของพระเจา้ ๔. ความสุขแก.่ .. ผมู้ ีใจกระหายความชอบธรรม คือ เปรยี บเหมอื นคนจนทป่ี รารถนาจะเห็นความยตุ ธิ รรม ในสงั คมตอ้ งการใหเ้ กดิ ความดีในสงั คม ๕. ความสุขแก่...ผู้มีใจเมตตากรุณา คือผู้ที่ปรารถนาดีต่อผู้อ่ืน รู้จักให้อภัย อยากให้ผู้อ่ืนได้ดี มีความสขุ เช่น คดิ หาทางชว่ ย/อยากให้คนจน คนเจบ็ ปว่ ย คนชรา คนพกิ าร มคี วามสุข/พ้นทกุ ข์ ๖. ความสุขแก.่ .. ผมู้ ใี จบรสิ ุทธิ์ คือ ผทู้ ม่ี ใี จสะอาด บริสุทธ์ิ ปราศจากสิ่งไม่ดที งั้ ทางกาย วาจา ใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรสู้ กึ นกึ คิดและจิตใจ ๗. ความสุขแก.่ .. ผ้ทู ี่สร้างสันติ คือ ผทู้ ่ีสร้างสันติ ความปรองดอง ผ้นู าการประสาน กลมกลนื การคืนดี และการให้อภยั ๘. ความสุขแก่...ผู้ท่ถี ูกขม่ เหงเพราะความชอบธรรม คือ ผู้ทม่ี ีใจยดึ มนั่ ในความดี เหน็ คณุ คา่ แห่งความดี ยดึ มั่นในจติ ตารมณแ์ หง่ ความรัก ตามแบบพระวรสาร ใหอ้ ภยั แก่ผ้เู บียดเบียนขม่ เหง บัญญตั ิรกั เปน็ หลักปฏิบตั ิของคริสต์ศาสนาซ่ึงเปน็ บทบญั ญัตสิ าคัญในการนาไปปฏบิ ตั ิมี ๒ ข้อ คือ ข้อท่ี ๑ ท่านต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญา และสุดกาลังของท่าน ซึ่งความหมายของคาว่า “รักพระเจ้า” หมายถึง จงเชื่อฟังพระเจ้าด้วยความเคารพ นบนอบต่อพระองค์ คือถ้าเราทาตามคาสอนของพระเจ้าในพระคัมภีร์ด้วยสุดจิตสุดใจ สุดความคิด คือได้ผ่าน กระบวนการศึกษามาอย่างถ่องแท้แล้วนามาปฏิบัติอย่างสุดกาลังไม่ท้อถอย ผลลัพธ์คือ เราจะมีทัศนคติท่ี ดี ท่าทที ่ีดตี ่อผอู้ ่นื เราจะอยู่รว่ มกบั ผูอ้ น่ื ดว้ ยความเขา้ ใจ ขอ้ ที่ ๒ ท่านจะต้องรักเพื่อนมนษุ ย์เหมอื นรักตนเอง

-๕- ข้อปฏบิ ตั ขิ องศาสนาคริสต์ ศาสนาคริสตม์ ีขอ้ ปฏบิ ัติสาหรบั คริสตชนปฏบิ ัติในชีวติ ประจาวันดังน้ี ๑. การภาวนา (Prayer) : เปน็ รูปแบบความผูกพนั ระหวา่ งมนุษย์กับพระเป็นเจา้ เปน็ การสะท้อน ใหเ้ หน็ ถงึ ความสมั พันธ์ ทีล่ กึ ซง้ึ ตามประสามนุษยว์ ่า “เราจะบอกว่าเรารักกันได้อย่างไร หากเราไม่เคยคิดถึงกัน ไม่เคยสนทนากัน ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กัน ไม่เคยคิดที่จะทาส่ิงดีดีให้แก่กันและกัน หรือเมื่อคิด ถึงแล้ว ก็ไม่เคยปฏิบัติสิ่งท่ีดีต่อกัน” การภาวนาสาหรับคริสต์ศาสนิกชน จึงเป็นส่ิงท่ีมนุษย์แสดงออกถึงความสัมพันธ์ดังกล่าว โดยมีบทภาวนาท่ีคริสต์ศาสนิกชนทุกคนสามารถอธิษฐานภาวนาร่วมกันได้ เป็นบทภาวนาที่ใช้ในการ อธิษฐานสาธารณะ เพ่ือแสดงความเป็นน้าหน่ึงใจเดียวกัน เป็นบทภาวนาจากคัมภีร์ไบเบิล เช่น บทเพลงสดุดี บทขา้ แตพ่ ระบดิ า หรอื บทภาวนาที่พระศาสนจักรได้ประพันธข์ ้ึน แต่ในเวลาเดียวกันการภาวนาด้วยบทภาวนา ที่แตล่ ะคนอธษิ ฐานแบบเงยี บๆ ภายในใจ หรอื ดว้ ยวาจา ก็เปน็ การภาวนาเชน่ กัน นอกจากน้นั ครสิ ต์ศาสนิกชน สามารถภาวนาได้แม้ขณะท่ีกาลังทางาน หรือทากิจการต่างๆ ในชีวิต หากคิดถึงพระเจ้าในกิจการทุกอย่าง ท่ที าก็ล้วนแต่เปน็ การภาวนาทั้งสิน้ บทภาวนา “ขา้ แตพ่ ระบิดา” (มทั ธิว ๖: ๙-๑๓) ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์สถิตในสวรรค์ พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ พระอาณาจักรจงมาถึง พระประสงค์จงสาเร็จในแผ่นดินเหมือนในสวรรค์ โปรดประทานอาหารประจาวัน แก่ข้าพเจ้าท้ังหลายในวันน้ี โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้าเหมือนข้าพเจ้าให้อภัยแก่ผู้อ่ืน โปรดช่วยข้าพเจ้า ไม่ใหแ้ พก้ ารผจญ แตโ่ ปรดชว่ ยให้พ้นจากความชวั่ ร้ายเทอญ อาแมน ๒. การรว่ มในพิธมี สิ ซา: \"มิสซา\" (Missal) หมายถึง \"การถูกส่งไป\" เพื่อประกาศข่าวดีและเป็นแบบอย่าง รวมท้ังมอบตนเอง และชีวิตให้มีคุณค่าต่อคนอ่ืนๆ เช่นเดียวกันกับที่เราได้รับจากพระเจ้า ความหมายที่แท้จริงของคาว่า “มิสซา” จงึ ไม่ถกู ตอ้ งตรงกบั ทีเ่ ปน็ อย่ใู นเวลานี้ เราจึงควรเรียกพิธีกรรมในปัจจุบันว่า \"พิธีบูชาขอบพระคุณ โดยเน้นที่ความหมาย ของพิธีกรรมว่าเป็นการขอบพระคุณอย่างแท้จริง คือ พระเยซูเจ้าเป็นท้ังผู้ถวายและเป็นเคร่ืองบูชาเอง โดยผ่านทางพิธีการหักปังบนพระแท่นเพื่อขอบพระคุณพระบิดา ในพิธีมิสซาฯ คริสต์ศาสนิกชนเชื่อว่า องคพ์ ระเยซูเจ้าประทบั อยอู่ ย่างแท้จริงใน ๓ วธิ ีการ คือ ๑. จากพระวาจาของพระองค์ในบทอ่านจากพระคัมภีร์ ๒. ระหว่างการเสกปัง และเหล้าองุน่ ๓. การรับศลี มหาสนทิ ซง่ึ เป็น \"ปงั ทรงชีวิต\" “พิธมี สิ ซา” คอื พธิ ีบชู าขอบพระคุณพระเปน็ เจ้า (Eucharistic Celebration) เป็นการแสดงออก ซ่ึงความเป็นหน่ึงเดียวกันของคริสต์ศาสนิกชน โดยมีองค์พระเยซูเจ้าเป็นเครื่องบูชาเพื่อไถ่บาปมนุษย์ อาศัยพระกายและพระโลหิตที่พระองค์ทรงยอมสละและพลีชีวิต ดังนั้น การร่วมในพิธีมิสซา จึงหมายถึง ความเป็นน้าหนึ่งใจเดียวกันท่ีคริสต์ศาสนิกชนจะขอบพระคุณพระเจ้าท่ีได้ทรงประทานพระบุตรของพระองค์ ลงมาไถ่บาปของมนุษย์ทุกคน

-๖- ๓. การพลีกรรม: “การพลกี รรม” คือ การยอมรับความทุกขย์ ากลาบาก ความเจ็บปวด หรอื การปฏเิ สธตนเองที่จะ ละเว้นกิจกรรมที่นาความสุขหรือความสนุกส่วนตัว หรือตั้งใจ ลด-ละ-เลิก กิจการท่ีไม่ดี ซึ่งอาจจะเป็นการ ยดึ ตดิ ในบาปต่างๆ หรือนิสัยที่ไม่ดีของตนเอง โดยเป็นการกระทาที่เกิดขึ้นจากความต้ังใจ ความจริงใจ และด้วยใจเสรี โดยมีจุดประสงค์เพ่อื จะไดท้ าตัวเองใหใ้ กลช้ ดิ พระเจา้ มากยิ่งข้นึ การพลีกรรมเปน็ การกระทาเพ่ือจะทาใหผ้ ู้ปฏบิ ตั ินน้ั ได้ \"หันหลัง\" ให้กับความโน้มเอยี งไปในทางบาป และในเวลาเดียวกัน การพลกี รรมทาใหเ้ ราได้ \"หนั หนา้ \"เขา้ หาพระเจ้า การพลีกรรมเป็นวตั รปฏบิ ตั ปิ ระการหน่ึง ในวิถีชีวิตของคริสต์ศาสนิกชน ท้ังนี้เพื่อจะได้เข้ามีส่วนร่วมกับพระมหาทรมานของพระเยซูคริสต์ ตามที่พระองค์ ทรงสอนว่า \"ถ้าผู้ใดอยากติดตามเราก็จงเลิกนึกถึงตนเอง จงแบกไม้กางเขนของตนทุกวันและติดตามเรา\" (ลูกา ๙:๒๓) การพลีกรรมจะช่วยทาให้ผู้ปฏิบัติได้มีจิตใจท่ีเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข เป็นความสุขที่สืบเน่ืองมาจากความรัก ความเปน็ พเี่ ป็นน้อง และการเป็นสานศุ ษิ ย์ทีแ่ ทจ้ ริงของพระเยซเู จ้า ๔. การทาบุญให้ทาน: คาสอนสาคญั ของครสิ ตศ์ าสนา คอื “จงรกั พระเป็นเจ้า และจงรักเพ่อื นมนุษย์” (เทียบ มทั ธวิ ๒๒: ๓๗-๓๙, ยอห์น ๓:๑๖) ดังน้ัน การทาบุญให้ทานจึงเป็นกิจการท่ีคริสต์ศาสนิกชนแสดงออกซึ่งความรัก ท่ีมตี อ่ พระเป็นเจ้า ดว้ ยการชว่ ยเหลือเพ่อื นมนุษย์ท่พี ระเป็นเจา้ ทรงสร้างมาตามพระฉายาลักษณข์ องพระองค์ “การทาบุญ” หมายถึง การกระทากจิ กรรมอนั ดีตอ่ พระเป็นเจ้าและตอ่ เพอ่ื นมนุษย์ โดยมีวตั ถปุ ระสงค์ และความตั้งใจอันดที ่ีจะทาใหผ้ ้อู น่ื มคี วามสุข ด้วยนา้ ใจอิสระของตนเอง “การให้ทาน” หมายถึง การให้หรือการบริจาคทรัพย์สินหรือส่ิงของเพ่ือผู้อ่ืน โดยมีวัตถุประสงค์ เพ่ือการทานุบารุงพระศาสนจักร เพื่อการสังคมสงเคราะห์ เพ่ือการช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก และเพื่อการ เสรมิ สร้างความดีของส่วนรวม ๕. การแต่งกาย: การแต่งกายเปน็ ส่วนหนง่ึ ของวฒั นธรรมของคนแตล่ ะชาติ แต่ละทอ้ งถิ่น ซึ่งมีความดีงามความเหมาะสม ตามแต่ละบริบทของตน ดังน้ัน คริสต์ศาสนาจึงปรับตนเองให้เข้ากับแต่ละวัฒนธรรมโดยคริสต์ศาสนิกชน สามารถแต่งกายได้ตามจารีตประเพณี เชน่ การแตง่ กายไปร่วมในพิธีมสิ ซากจ็ ะเป็นการแต่งกายสุภาพเรียบร้อย ตามประเพณีนิยม การแต่งกายไปร่วมในพิธีแต่งงานหรืองานศพก็จะเป็นการแต่งกายด้วยสีเส้ือท่ีเหมาะสม กับกาลเทศะ มีเพียงการแต่งกายในพิธกี รรมเท่าน้ัน ท่ียังคงรักษาเอกลักษณ์ตามจารีตประเพณีของแต่ละนิกาย เช่น นิกายโรมันคาทอลิก นิกายกรีกออร์โธด็อกซ์ และนิกายโปรแตสแตนท์ โดยผู้ประกอบพิธีกรรมจะมีการ แต่งกายที่เฉพาะเจาะจง นอกจากนั้นในบางนิกาย เช่น นิกายโรมันคาทอลิก ยังมีสัญลักษณ์เครื่องแต่งกาย อนั แสดงถงึ ความเป็นนายชมุ พาบาล และความเปน็ ผูน้ ากลมุ่ ครสิ ตศ์ าสนกิ ชน เช่น หมวก และไม้เทา้ ๖. อาหารการกิน: คริสต์ศาสนิกชนนิกายโรมันคาทอลิก จะอดเนื้อในวันศุกร์ทุกสัปดาห์ตลอดทั้งปี เพราะถือว่าเป็น วันพลีกรรมท่ัวไป แต่ในเทศกาลมหาพรต (ระยะเวลาประมาณ ๔๐ วัน ก่อนวันระลึกถึงพระมหาทรมาน ของพระเยซูเจ้า หรือวันศุกร์ศักด์ิสิทธ์ิ (Good Friday) คริสต์ศาสนิกชนจะอดอาหารในวันพุธรับเถ้า (วันแรก ของเทศกาลมหาพรต) และวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ (วันที่ระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเจ้า )

-๗- \"การอดเน้ือ\" ในท่ีนี้หมายถึงการละเว้นจากการรับประทานเน้ือสัตว์สี่เท้า สัตว์ปีก เพราะถือว่าเป็นสัตว์ใหญ่ เช่น หมู วัว ไก่ นก ฯลฯ อีกทั้งเนื้อเหล่านี้ในอดีตมีราคาแพง จุดประสงค์ของการอดเนื้อ ก็เพ่ือละเว้นจากการ เสพสุขและเข้าร่วมทุกข์กับองค์พระเยซูเจ้า เป็นการอดอาหารท่ีมีราคาแพง หรืออร่อยล้ิน เพราะเนื้อนามา ปรุงอาหารได้หลากหลาย แต่จะกินอาหารเรียบง่ายไม่ฟุ่มเฟือย เช่น ผัก เต้าหู้ หรือแป้งแทน เมื่อเป็นเช่นน้ี จึงไม่กินความไปถึงสัตว์น้า เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา ฯลฯ เพราะสัตว์เหล่าน้ีแต่เดิมเป็นสัตว์เล็กราคาไม่แพง ทอดแหหาตามริมคลอง ตลิ่งหน้าบ้าน ฯลฯ คล้ายๆ เด็ดยอดผักริมร้ัวมาทาอาหารกิน ไม่ได้ฟุ่มเฟือยอะไร แต่ในปัจจุบัน แม้จะมิได้ห้ามอาหารทะเล หรือสัตว์น้าก็จริง แต่เพ่ือร่วมทุกข์กับพระเยซูเจ้า จึงไม่สมควร ทจี่ ะทานอาหารทะเล (sea food) ราคาแพงๆ ซึ่งเป็นการไม่มัธยัสถ์ตามข้อบังคับของพระศาสนจักร ครสิ ตศ์ าสนกิ ชนคาทอลิกที่มีอายุ ตั้งแต่ ๑๔ ปี ข้ึนไป จนถึง ๖๐ ปี ต้องอดอาหารและอดเน้ือ (ในวันพุธรับเถ้า และวันศุกร์ศักด์ิสิทธ์ิ) ยกเว้นผู้ป่วย แต่หากไม่มีทางเลือก อาจจะเข่ียเน้ือออกไปหรือไม่ตักเน้ือรับประทาน แต่ถา้ จาเป็นถึงทสี่ ดุ กร็ ับประทานได้ เพราะไม่มตี วั เลือก แตต่ อ้ งไปทากจิ ศรทั ธาอนื่ ชดเชย เช่น สวดภาวนา สวดสายประคา หรอื ไปเฝ้าศีลมหาสนทิ ในโบสถ์ ๗. การทักทาย: เรามักจะได้พบการทักทายหรือคาบอกลาที่แสดงถึงความเป็นคริสต์ศาสนิกชนอยู่บ่อยๆ ทัง้ ในภาพยนตรห์ รอื ในการเขา้ สงั คม อาทิ “ขอพระเจ้าสถติ กบั ทา่ น” “ขอพระเจา้ คุ้มครอง” “รักในพระคริสต์” “สุขสันต์วันคริสต์มาส” (Merry Christmas) “สุขสันต์วันปัสกา” (Happy Easter) “สันติสุขจงอยู่กับท่าน” (Peace be with you) จนบางคร้ังอดสงสัยไม่ได้ว่าคาทักทาย การจับมือ การกอด การเอาแก้มสัมผัสกัน หรือคากล่าวลา เป็นส่วนหน่ึงของวิธีปฏิบัติที่แสดงออกถึงความคริสต์ศาสนิกชนด้วยหรือไม่ หรือเป็นวัฒนธรรม ของแตล่ ะทอ้ งถน่ิ จริงๆ แลว้ การทกั ทายเป็นส่วนหนึ่งของคาอวยพรที่คริสต์ศาสนิกชนมีให้แก่กันในทุกวันเวลา ของชีวิต ในการพบปะกันท่ามกลางผู้มีความเช่ือเดียวกัน คริสตชนตระหนักดีว่า พระพรต่างๆ มิได้มาจากตนเอง มนุษย์จึงอ้อนวอนขอพระเจ้าได้โปรดประทานพระพร เพื่อให้ทุกสิ่งเป็นไปตามพระประสงค์ ดังน้ัน คริสตชนจึงมีการนาความเชื่อดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวันตามวัฒนธรรมของตน แต่มิได้เปน็ สัญลักษณภ์ ายนอกของการแสดงตนเป็นครสิ ตชนแต่ประการใด ๑. กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม. ความรู้ศาสนาเบ้ืองต้น. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ ชุมนุมสหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย จากัด. พมิ พ์คร้ังท่ี ๒, ๒๕๕๗. ๒. กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม. ศาสนาในประเทศไทย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ ชุมนุมสหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย จากัด. พิมพค์ รั้งท่ี ๓, ๒๕๖๑. ๓. กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม. กรมการศาสนา. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุม สหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จากดั , ๒๕๕๑. ๔. กรมการศาสนา และอนุกรรมการส่งเสริมกิจการศาสนาและศาสนิกสัมพันธ์ คณะกรรมาธิการ การศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรม วุฒิสภา. วิถีชีวิต ๕ ศาสนิกในประเทศไทย. กรงุ เทพมหานคร : บรษิ ัท ราไทยเพรส จากัด. พมิ พ์คร้ังที่ ๕, ๒๕๖๑.

ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู วัดพระศรีมหาอุมาเทวี หรอื วัดแขกสีลม กรุงเทพมหานคร กาเนิดศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ในสมัยโบราณแรกเรม่ิ เดิมทศี าสนาพราหมณ์-ฮินดู เรยี กกันวา่ “สนาตนธรรม” แปลวา่ “ศาสนาสนาตน” คาว่า “สนาตน” หมายถึง “เป็นนิตย์” คือไม่มีสิ้นสุด ไม่รู้จักตายเรื่อย ๆ เสมอ ๆ นอกจากนั้นยังแปล ไดอ้ ีกอย่างหนงึ่ เม่ือแยกพยางค์ออกแล้ว คือ “สนา” แปลว่า ไม่รู้จักตาย หรือเป็นนิตย์ กับ “ตน” แปลว่า กาย เมือ่ รว่ มกนั เข้าแลว้ แปลตามศัพทห์ รอื แปลโดยพยัญชนะว่า กายอันไม่รู้จักตาย แปลเอาความหมายถึงพระวิษณุ หรือกายอันไม่รู้จักตายกล่าวคือพระวิษณุ เพราะฉะนั้นสนาตนธรรมจึงเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า วิษณุธรรม คือ คาส่ังสอนของพระวษิ ณุเป็นเจ้า นั้นเอง คร้ันเวลาล่วงเลยมาหลายพันปี ศาสนาน้ีได้มีช่ือเรียกกันในหลายชื่อว่า “ไวทกิ ธรรม” “อารยธรรม” “พราหมณธรรม” “ฮนิ ดูธรรม” หรอื “หนิ ทธู รรม” ปัญหาช่ือว่า “สนาตนธรรม” เกิดขึ้นมาต้ังแต่สมัยไหนนั้น ความจริงในโลกนี้ก็ยังไม่เคยมีใครสามารถตอบได้อย่างถูกต้องถ่องแท้เลย ได้แต่สันนิษฐานและอภิปรายให้ความเห็นกันไปต่าง ๆ ตามทรรศนานุทรรศนะแห่งตนๆ ในคัมภีร์พระเวท ตอนหนึ่งกล่าวไว้ว่า “สนาตนธรรม” เป็นธรรมทั้งอนาทิและเนติ แปลว่าไม่มีต้นหรือไม่สามารถหาตอนปลายได้ หรือไม่รู้จบ กล่าวสรุปให้ง่าย สนาตนธรรมคือธรรมะอันไม่มีต้นและไม่มีปลายด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ศาสนาพราหมณ์ – ฮนิ ดู เชอื่ ถือกันวา่ “สนาตนธรรม” เกดิ ขึ้นตงั้ แตเ่ ม่ือแรกเรม่ิ ตน้ สร้างโลกแล้ว ซ่งึ นบั ว่าเป็น

-๒- เวลาท่นี านแต่กระน้นั กย็ ังนบั จานวนปไี ดถ้ ึงเลข ๑๕ ตวั คอื ๑๕๕, ๕๒๘, ๖๔๓, ๘๙๓, ๐๘๕ (หน่ึงร้อยห้าสิบห้าล้าน ห้าแสนสองหมื่นแปดพันหกร้อยสี่สิบสามล้านแปดแสนเก้าหมื่นสามพันแปดสิบห้า) ตามหลักในคัมภีร์ โหราศาสตร์ “สุริยสิทธานตะ” การนั้นเช่นนี้ในภาษาฮินดีเป็นภาษาราษฎรภาษา คือภาษากลางแห่งชาติ ของประเทศอินเดยี ความเปน็ มาของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาฮินดูมีจุดเริ่มต้นเมื่อชาวอารยะอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในอินเดียบริเวณลุ่มแม่นา้ สินธุ ซ่ึงเป็นที่มาของคาว่า “ฮินดู”เม่ือราว ๓,๕๐๐ กว่าปีมาแล้ว แม่นา้ สินธุปัจจุบันมีต้นน้าเกิดจากภูเขาหิมาลัย ในเขตประเทศอินเดีย ไหลผ่านประเทศปากีสถานไปลงทะเลอาหรับ ชาวอารยะมีคัมภีร์ทางศาสนาที่เก่าแก่ ท่ีสุดในโลกเรียกว่า เวทะ หรือพระเวท แรกทีเดียวมีเพียง ๓ คัมภีร์ คือ ฤคเวท สามเวท และยชุรเวท ต่อมามีคัมภีร์ อถรรพเวทเพ่ิมอีกคัมภีร์ เชื่อกันว่าคัมภีร์พระเวทไม่ใช่คัมภีร์ท่ีมนุษย์แต่งข้ึนแต่เป็นคัมภีร์ท่ีพวกฤาษีได้ยินมา โดยตรงจากพระเป็นเจ้า คัมภีร์นี้จึงมีชื่อเรียกรวมๆ ว่า ศรุติ “การได้ยิน” ผู้ที่ได้ยินคือฤาษีผู้มีญาณวิเศษ เหนอื มนษุ ย์ธรรมดา ศาสนาฮินดเู ป็นศาสนาที่สบื ทอดมาจากศาสนาที่นับถือคัมภีร์พระเวทเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธ์ิ ทางศาสนา จึงเป็นศาสนาท่ีไม่มีศาสดาเป็นผู้ก่อตั้งศาสนาเหมือนศาสนาอื่น ๆ ทั่วไป บางคร้ังชาวฮินดูจะเรียก ศาสนาของตนว่า สนาตนธรรม แปลวา่ ศาสนาทีม่ มี าแตน่ ิรนั ดรก์ าล คอื มีมาแต่ดัง้ เดิมไม่มีใครรู้ว่าเร่ิมต้นเม่ือไร ซ่งึ ศาสนาฮินดเู ป็นศาสนาท่ีประชาชนส่วนใหญ่ของอนิ เดียนบั ถอื ความเปน็ มาของศาสนาพราหมณ์ - ฮนิ ดู ในประเทศไทย ในประเทศไทยคนรู้จักศาสนาฮินดูในช่ือ ศาสนาพราหมณ์ ดังน้ันช่ือทางราชการของศาสนาฮินดู ในประเทศไทย คือ ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู สมัยก่อนกรุงรัตนโกสินทร์ ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ได้เข้ามาสู่ ดินแดนสุวรรณภูมิก่อนสมัยทวารวดีคัมภีร์ชาดกในพระพุทธศาสนา เช่น พระมหาชนก คัมภีร์รามายณะ กก็ ล่าวถึงดนิ แดนในสุวรรณภมู แิ ละสุวรรณทวีปไว้ เมอื่ พ.ศ. ๓๐๓ คณาจารยพ์ ราหมณท์ ต่ี ิดตามพระโสณะเถระ กับพระอุตรเถระ ศาสนทูตของพระเจ้าอโศกมหาราช เข้ามายังสุวรรณภูมิ จุดแรกท่ีท้ังสององค์มาประดิษฐาน พระพุทธศาสนาคือ นครปฐม ตอนน้ีนับเป็นยุคแรก ๆ ของพราหมณ์ในประเทศไทย ประจักษ์พยานในการ เ ผ ย แ พ ร่ ศ า ส น า พ ร า ห ม ณ์ คื อ แ ห ล่ ง โ บ ร า ณ ส ถ า น ซึ่ ง เ ป็ น ร่ อ ง ร อ ย ค ว า ม เ จ ริ ญ ข อ ง บ ร ร พ ช น ใ น อ ดี ต เป็นประวัติศาสตร์ของบ้านเมือง มีโบราณวัตถุ ส่ิงเคารพสักการะ ปฏิมากรรมและปูชนียวัตถุของศาสนา เชน่ เทวรูป เทวาลยั พบทจ่ี ังหวัดนครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี และกาญจนบุรี ซึ่งประจักษ์พยานน้ีเป็นการยืนยัน การนับถือศาสนา ดังได้ปรากฏความเจริญของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู อันแสดงถึงวัฒนธรรม ศรัทธา ความเช่ือ ในแผ่นดนิ ไทยท่ีมีมาแตโ่ บราณกาล โดยเฉพาะเมื่อกล่าวถึงเมอื งสวุ รรณภูมิทมี่ ีอายยุ าวนานกว่า ๒,๐๐๐ ปี พื้นที่ราบระหว่างภูเขาในภาคใต้และอาณาบริเวณอื่น ๆ มีกลุ่มชุมชนโบราณที่นับถือศาสนา พราหมณ์ – ฮินดู หลายกลุ่มกระจายเป็นบริเวณกว้างบ่งบอกวัฒนธรรมอินเดียตอนใต้แพร่เข้ามาสู่ดินแดน ประเทศไทยดว้ ยเสน้ ทางการคา้ ทางเรอื หลายเส้นทาง ระหว่างปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๐ – ๑๔ ปรากฏหลักฐาน ประตมิ ากรรมเก่าทสี่ ุดในลทั ธไิ ศวนกิ ายและไวษณพนิกายในท้องท่ีจังหวัดนครศรีธรรมราชอาเภอสิชล ท่าศาลา ร่อนพิบูลย์ และอาเภอเมืองนครศรีธรรมราช โดยเฉพาะเทวสถาน เขาคา เรียกว่าวิมานแห่งพระศิวะมหาเทพ หรือไศวภมู ิมณฑลเปน็ การจาลองจักรวาลคือเขาพระสุเมรุ (ไกรลาส) ท่ีสถิตของพระศิวะ พระผู้เป็นเจ้าย่ิงใหญ่

-๓- พระองค์หนึ่งของศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู นอกจากนี้ยังปรากฏประติมากรรมรูปเคารพทั่วผืนแผ่นดินไทย ท้ังภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือตอนล่าง ชาวไทยต้ังอาณาจักรสุโขทัยเป็นราชธานี เมือ่ พ.ศ. ๑๘๐๐ ศาสนาพราหมณ์ - ฮนิ ดูเจริญคู่อยู่กับพระพุทธศาสนาแล้ว แม้พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ จะแพร่เข้ามาอีกระลอกก็ตาม คติความเชื่อศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู มีอิทธิพลมากขึ้นในการปกครองของชาวไทย สมยั กรงุ ศรอี ยุธยายึดถอื วา่ พระมหากษตั รยิ ์คอื สมมุติเทวราช การพระราชพิธีและพิธีกรรมทั้งปวงเพ่ือความมั่นคง และความอุดมสมบูรณ์ จึงข้องอยู่ในธรรมเนียมจารีตของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ในลัทธิไวษณพซึ่งนับถือ พระนารายณเ์ ป็นเจ้า ดังน้ันสถานะของพระมหากษัตริย์จึงประดุจพระนารายณ์อวตาร สืบเนื่องต่อถึงสมัยกรุงธนบุรี และการสถาปนากรงุ รตั นโกสนิ ทรเ์ ปน็ ราชธานี พ.ศ. ๒๓๒๕ เม่ือพระมหากษัตริย์ทรงสร้างบ้านสร้างเมืองแล้วเสร็จ จึงสร้างเทวสถานสาหรับบูชาพระผู้เป็นเจ้าสาหรับพระนครในบริเวณที่เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ใจกลางพระนคร เพ่ือประกอบพิธีกรรมสาคัญของบ้านเมืองตามราชประเพณี อันจะนาความมั่นคง มั่งคั่งยั่งยืนในพระราชอาณาจักร ดังปรากฏรูปเคารพคือพระผู้เป็นเจ้าในศาสนาเป็นศิลา สาริด ในศิลปกรรมหลายสมัย ลักษณะท่ีแสดงพลานุภาพ สง่างาม แฝงไว้ด้วยศรัทธาความเชื่อที่มั่งคง ได้แก่ ศิวลึงค์ พระปรเมศวร พระพรหมธาดา พระนารายณ์ พระเทวกรรม พระพิฆเนศวร พระอุมาเทวี พระลักษมี เป็นอาทิ ภายในสถานสักการะ วัดเทพมณเฑียร ณ สมาคมฮนิ ดูสมาช พระนารายณ์และพระลักษมีอยู่กลาง พระพฆิ เนศวร อยู่ด้านซา้ ย และหนุมานอยดู่ ้านขวา ประวตั ศิ าสตรแ์ ละวัฒนธรรมของไทยที่ปรากฏถึงการเกี่ยวข้องกับศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู จะเห็นได้จาก ชื่อสถานท่ี เช่น อโยธยา ลพบุรี ทรวารวดี ฯลฯ ในวรรณคดี ได้แก่ รามเกียรต์ิ อนิรุทธ์ิคาฉันท์ พาลีสอนน้อง กฤษณาสอนน้องคาฉันท์ แม้ในเทศกาลต่าง ๆ เช่น สงกรานต์ ลอยกระทง โดยเฉพาะการพระราชพิธี ท่ีประกอบขึ้นเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์และความสวัสดิมงคลของบ้านเมือง เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก

-๔- พระราชพิธีฉัตรมงคล พระราชพิธีโสกันต์ พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พระราชพิธีตรียัมปวาย - ตรปี วาย เปน็ ตน้ ประเทศไทยได้ให้การรับรองฐานะองค์การทางศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู ได้แก่ สานักพราหมณ์ พระราชครใู นสานักพระราชวงั สมาคมฮินดูธรรมสภา และสมาคมฮนิ ดสู มาช คมั ภรี ์ หลักความเช่ือ หลักธรรมคาสอน คมั ภีร์ทีผ่ ู้นบั ถือศาสนาฮินดูนับถือมีจานวนมากมายไมส่ ามารถจะกล่าวได้ท้งั หมด ดังน้ันเพื่อให้เกิด การรับรู้อย่างกวา้ ง ๆ จึงขอกล่าวเฉพาะคัมภรี ท์ ่ีสาคัญใน ๓ สมยั คือ ๑. สมยั พระเวท คัมภีรท์ ่ีสาคญั คือ ฤคเวท สามเวท ยชุรเวท อถรรพเวท พราหมณะ อารัณยกะ และอุปนิษัท ๒. สมยั อติ หิ าสะ มคี ัมภรี ์ ๒ คัมภรี ์ คือ รามายณะและมหาภารตะ แตใ่ นคัมภีร์มหาภารตะมคี าสอน ของพระกฤษณะแทรกอยู่ คาสอนดังกล่าวมีช่ือว่า “ภควัทคีตา” เป็นคาสอนที่ชาวฮินดูไม่ว่าจะอยู่นิกายใด ให้ความนับถืออย่างสูง ๓. สมยั ปุราณะ มีความสาคญั ที่สุดสาหรบั ศาสนาฮินดู ซง่ึ คมั ภรี ์ปุรณะแบ่งเปน็ มหาปุราณะและอุปปรุ าณะ มหาปุราณะมีท้ังหมด ๑๘ คัมภีร์ คือ วิษณุปุราณ ศิวปุราณ มัตสยปุราณ ภาควตปุราณ ครุฑปุราณ สกันทปุราณ พรหมาณฑปุราณ พรหมไววรตปุราณ ภวิษยปุราณ มารกัณเฑยปุราณ อัคนิปุราณ วายุปุราณ ปัทมปุราณ กรู มปุราณ พรหมปุราณ ลิงคปุราณ วราหปรุ าณ และวามนปุราณและคัมภรี ์อปุ ปุราณะ ซึ่งมีเป็นจานวนนับร้อย ในยุคนี้ศาสนาฮินดูแบ่งออกเป็นสองนิกายอย่างชัดเจน คือ นิกายที่นับถือพระศิวะว่าเป็นพระเจ้าสูงสุด เรียกว่าไศวะ และนิกายท่ีนับถือว่าพระวิษณุเป็นพระเจ้าสูงสุดเรียกว่า ไวษณวะข้อแตกต่างระหว่างสองนิกายคือ ฝ่ายไศวะบูชาศิวลึงค์ (ศิวลิงฺคหรือศิวลึงค์ เป็นวัตถุทรงกลมอาจจะทาด้วยหิน โลหะ หินมีค่า ไม้ ดิน ต้ังอยู่บนฐาน ทเ่ี รียกว่า “โยนิ” ศิวลึงค์เป็นวัตถุสัญลักษณ์ที่ชาวฮินดูไศวนิกายถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สุด จะประดิษฐาน ไวใ้ นเทวาลยั ตรงส่วนที่เรียกว่า ครรภคฤหะ อันเป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพหรือสัญลักษณ์ทางศาสนาที่สาคัญที่สุด) ส่วนฝ่ายไวษณวะบูชาอวตารปางต่างๆ ของพระวิษณุ ปางที่ได้รับการเคารพนับถือมากที่สุด คือ พระราม และพระกฤษณะ ชาวไทยสว่ นใหญร่ จู้ ักพระองค์ในนามว่า “พระนารายณ์” ผู้นับถือศาสนาฮินดูไวษณวนิกายถือว่า พระองค์เป็นพระเจ้าสูงสุด แต่พระวิษณุในรูปท่ีต้องเก่ียวข้องกับโลกเป็นหนึ่งในตริมูลรติ (วิษณุ ศิวะ พรหมา) มีหนา้ ทรี่ กั ษาจักรวาลที่พระพรหมาไดส้ ร้างข้ึนก่อนท่ีจะถูกพระศิวะทาลายในท่ีสดุ คัมภรี ์ใน ๓ สมัยนี้ เป็นคัมภีรท์ ่ีใชภ้ าษาสนั สกฤตทั้งสนิ้ ผทู้ รี่ ู้ภาษาสันสกฤตและสามารถประกอบพธิ ี ทางศาสนาฮินดูคือพราหมณ์เท่าน้ัน ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงเกิดข้ึน ได้มีการแต่งคัมภีร์และบทสวดบูชา พระเป็นเจ้าและเทพเจ้าด้วยภาษาท้องถิ่นเพื่อให้คนในท้องถิ่นน้ัน ๆ มีความเข้าใจศาสนาที่ตนนับถือได้ง่ายข้ึน คัมภีร์ท่ีสาคัญหลักยุคปุราณะคือ คัมภีร์รามจริตมานัส ซึ่งเป็นเรื่องรามเกียรต์ิที่แต่งด้วยภาษาอวธี ผู้ท่ีนับถือ ศาสนาฮินดูนกิ ายไวษณวะจะใหค้ วามเคารพนับถือคัมภีร์น้มี าก หลกั ความเชือ่ ศาสนาฮนิ ดเู ปน็ ศาสนาท่เี ช่อื ในพระเจา้ พระเจ้ามีชือ่ เปน็ ภาษาสนั สกฤตวา่ พฺรหมฺ หลักธรรมคาสอน หลกั ปฏิบตั พิ ้ืนฐานจุดมุ่งหมายของชีวิตตามแนวทางของศาสนาฮินดูมี ๔ ประการ คือ ๑. อรถะ หรืออรรถะ การแสวงหาทรพั ยเ์ พอ่ื การดารงชวี ติ ภายใตก้ รอบคาสอนทางศาสนา ๒. ธรมะ หรอื ธรรมะ การดารงชีวติ ภายใตก้ รอบคาสอนทางศาสนา ๓. กามะ การแสวงหาความสขุ ทางโลก ภายใตก้ รอบคาสอนทางศาสนา

-๕- ๔. โมกษะ ในที่สดุ ตอ้ งแสวงหาความหลดุ พน้ จากการเวยี นว่ายตายเกิด จุดมุ่งหมาย ๓ ข้อแรก ต้องการให้ศาสนิกดารงชีวิตทางโลกเต็มศักยภาพของแต่ละบุคคล แต่ต้องอยู่ภายใต้ กรอบคาสอนทางศาสนาของตนแต่เม่ือมีความสุขอย่างมีศีลธรรมในระดับโลกแล้ว ศาสนิกจะต้องแสวงหา เป้าหมายอันสูงสุดของชีวิตคือความพ้นไปจากการตายแล้วเกิด ซ่ึงเป็นผลของกรรมหรือการกระทาทุกอย่างในโลก ต้องคานึงอยู่เสมอว่าทุกอย่างในโลกเป็นส่ิงไม่คงอยู่ช่ัวนิรันดร อยู่ภายใต้กฎธรรมชาติท่ีว่าเกิดขึ้นคงอยู่ช่ัวระยะหนึ่ง ในท่ีสุดกส็ ูญสลายไป สง่ิ ท่เี ป็นนริ ันดรคือความเจริญสงู สุดหรือพระเป็นเจา้ หลักธรรมคาสอน คาวา่ “หลกั ธรรม” แปลได้หลายอย่าง ธรรม แปลวา่ หน้าท่ีก็ได้ ส่ิงท่ีควรทาก็ได้ ลักษณะธรรมในพระธรรมศาสตร์ ๑๐ ประการ ในพระธรรมศาสตร์ของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู บัญญัติไว้ว่า ธรรมะย่อมมีลักษณะ ๑๐ ประการ คือ ธฤติ กฺษมา ทม อสฺเตย เศาจ อินฺทริยนิคฺรห ธี วิทยา สตฺย และ อโกรฺธ ผู้ใดปฏิบัติธรรมท้ัง ๑๐ ประการนี้ ผนู้ ้นั กไ็ ดช้ ่ือว่า “ธรมฺ าตมา” ลกั ษณะทง้ั ๑๐ ประการของธรรมะนน้ั มีความหมายดังน้ี ๑. ธฤติ แปลว่า ความพอใจ คล้าย ๆ กับคาว่า สันโดษ ความจริง ยังแปลได้อีกหลายอย่าง เช่น ความถือ ความมี ความม่ันคง ความกล้า ความสุข เป็นต้น การถือธรรมะตามลักษณะนี้ก็คือ มีความพยายาม อยู่ด้วยความมั่นคงเสมอ แม้ว่ายังไม่ได้สาเร็จประโยชน์ตามความประสงค์จากสิ่งไร ก็ไม่มีความหว่ันวิตก ประการใด ยังมีความพยายามอยู่ต่อไปเสมอ และก็มีความรู้สึกยินดี และพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ โดยปราศจาก ความโลภ ๒. กษฺ มา แปลวา่ ความอดกลนั้ หรือความอดโทษ พูดโดยสรุปก็คอื มีความพากเพียรพยายามและอดทน โดยถอื เอาความเมตตากรณุ าเปน็ ทตี่ ้ัง ๓. ทม แปลว่า การระงับจิตใจ คือรู้จักข่มจติ ใจของตนเองด้วยความสานึกในเมตตาและมีสติอยเู่ สมอ ร้จู ักอดจิตอดใจ ไมป่ ล่อยให้หว่ันไหวไปตามอารมณไ์ ด้งา่ ย ๔. อสเฺ ตย แปลวา่ ไมล่ กั ไมข่ โมย ไมก่ ระทาโจรกรรม ๕. เศาจ แปลวา่ ความบริสุทธ์ิ หมายถงึ การทาตนเองให้มีความบริสุทธิ์ทง้ั จิตใจและร่างกาย ๖. อินฺทรนิ ครฺ ห นคิ ฺรห แปลว่า การปราบปราม เพราะฉะนั้น อินฺทริยนคิ รฺ ห จงึ หมายถงึ การปราบปราม อนิ ทรียท์ ง้ั สบิ ไดแ้ ก่ ก. พวกชญาเนนฺทรยิ ๕ ไดแ้ ก่ อินทรียค์ ือประสาทความรู้สกึ ทางความรู้ มี ตา หู จมูก ล้นิ และผวิ หนัง ข. พวกกรฺ เมนทรยิ ๕ ได้แก่ อินทรยี ์คือประสาทความร้สู ึกทางการกระทา มีมือ เท้า ทวารหนัก ทวารเบา และลาคอ ค. พวกอนตฺ รเรนทรยิ (อนฺตร+อนิ ทริย) ได้แก่ อินทรียค์ ือประสาทความรู้สึกภายในซง่ึ นับแยก ออกไปต่างหาก มี จิต ใจ และอหังการ รวม ๓ อย่างเพิ่มเข้ามา (ภาษาสันสกฤตเรียกว่า จิตตฺ มน อหงฺการ) ที่ว่าปราบปรามหรือระงับอินทรีย์น้ันก็หมายถึงให้หมั่นสารวจตรวจดูเสมอด้วยตนเองว่า อินทรีย์ทั้ง ๑๐ นั้น ได้รับการบริหารไปในทางท่ีถูกต้องดีหรือไม่ประการใด เพราะธรรมศาสตร์ของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ไม่ต้องการให้คนเราปล่อยอินทรีย์ไปในด้านมัวเมาอย่างไม่มีขอบเขต ต้องการให้คนเรารู้จักมีความพอ เช่น ให้แสวงหาความสุขทางอินทรยี ท์ ีม่ ขี อบเขต ดงั ตวั อย่าง อินฺทรฺ ยชหิ ฺวา (ประสาทความรู้สึกทางลิ้น) ชอบรสหวาน แต่ถ้าปล่อยตัวเองให้กินแต่ของหวานมากเกินไปอาจกลายเป็นโรคเบาหวานได้ ตรงกันข้ามถ้าบุคคลกินของหวาน ให้อยู่ในมาตรฐานหรือภายในขอบเขตจากัด ย่อมจะได้ผลดีแก่ร่างกายของบุคคลนั้น ดังนี้เป็นต้น

-๖- ๗. ธี แปลเหมอื นกบั ธติ ิ หรอื ธีร หรือพทุ ธิ หมายถึงปญั ญา สติ มติ ความคิด ความมน่ั คงยนื นาน เป็นลักษณะหนึ่งใน ๑๐ ประการของ “ธรรมาตมา” กล่าวคือควรจะมีความรู้ทั่วไป มีปัญญา และรู้จักระเบียบ วิธีการต่าง ๆ ท้งั ทางขนบธรรมเนยี มประเพณี ธรรมสงั คม และวัฒนธรรม ๘. วิทยา แปลเหมือนกบั ญาณ ในภาษาบาลีหรือชญาณ ในภาษาสนั สกฤต หมายถงึ ความรู้ทางปรชั ญาศาสตร์ คอื รู้ลึกซงึ้ และมีความร้เู กีย่ วข้องกับชีวะกบั มายา และกับพระพรหมอย่างไรบ้าง ๙. สตฺย แปลวา่ จริง หรือความจริง หรือศุทธมติ (ความเหน็ อนั บรสิ ทุ ธ์ิ) ความเหน็ อันสุจรติ กลา่ วคือ การแสดงความซอ่ื สตั ย์ต่อกันและกนั จนถึงทาใหเ้ ปน็ ท่ีไวว้ างใจและเชือ่ ถอื ได้ โดยไมค่ ิดคดทรยศต่อกนั ๑๐. อโกรธฺ แปลว่า ไมโ่ กรธ คนท่จี ะมีความไม่โกรธนน้ั ก็คือต้องมีขนั ติและโสรัจจะ นัยหนึง่ มีความอดทน มคี วามสงบเสง่ียม และรู้จักทาจิตใจให้สงบ ทส่ี าคัญท่สี ดุ กค็ ือ ใหเ้ อาชนะความโกรธได้ด้วยความไมโ่ กรธ ธรรม อรรถ กาม และโมกษ ทัง้ ๔ นีร้ วมกัน เรยี กวา่ “ปุรุษารฺถ” หรอื “ปรุ ุษารถฺ จตุรฺวธิ ” (อรรถสาหรับ ปรุ ุษรวม ๔ ประการ) ผู้ใดไดป้ ฏิบัตติ นสาเร็จข้ันปรุ ุษารฺถนี้แลว้ ก็เรยี กว่าสาเรจ็ ขั้นกรรมโยค กรมฺ โยค คือ หลักกรรม กรรม แปลว่า การกระทา หรือการงาน ส่วนโยค แปลวา่ ประกอบรว่ มการรวม หรืออาจจะแปลว่า ทิพย์ หรือนิโรธแห่งพฤติการณ์ของจิตก็ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อคาทั้งสองน้ีมารวมกันเข้าแล้ว จึงหมายความว่า กรรมทิพย์ หรือทิพยกรรม คือการกระทาดี กรรมโยค แปลได้อีกนัยหนึ่งว่า การนิโรธแห่งพฤติการณ์ของจิต แต่การที่จะทาให้พฤติการณ์ของจิตนิโรธไปได้นั้น เราต้องละเว้นกรรมช่ัวเสียให้ได้โดยส้ินเชิง และทาแต่กรรมดี โดยเฉพาะส่วนเดียว ในศาสนาพราหมณ์ - ฮินดูพระคัมภีร์ทุกเล่มอ้างไว้ว่า กรรมเป็นส่ิงที่สาคัญที่สุดในชีวิต ของคนเรา ชีวของคนแต่ละคนล้วนเวียนว่ายตายเกิด ล้วนประสบทุกข์ประสบสุขก็แต่โดยอาศัยกรรมทั้งสิ้น ในทานองเดียวกัน คนเราจะหลุดพ้นจากการเวยี นว่ายตายเกดิ ได้ก็ต้องอาศัยแรงกรรมอยู่อีกนั่นเอง ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ได้กล่าวไวว้ ่า กรรมใดที่ได้เลือกกระทาโดยใช้ชฺาณ และโดยถือเอาภกฺติ เป็นทางเลอื กกรรมน้ันย่อมเป็นเหตแุ ห่งความสุข แห่งยศ และแห่งเกียรติในยามท่ีบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่ และทั้งจะได้ ประสบความสุขในชีวิตหน้าต่อไปอีกด้วย ไม่ว่าจะไปเกิดในภพไหน ตรงกันข้าม กรรมใดที่ได้เลือกทา โดยปราศจากชฺาณ และไม่ถือเอาภกฺติเป็นเกณฑ์เสียเลย กรรมน้ันก็ย่อมเป็นเหตุแห่งความทุกข์ ความเสื่อมยศ และความเสอ่ื มเกียรติ ไมว่ า่ จะเป็นในภพนหี้ รือในภพหน้า จึงถือได้ว่ากรรมที่เลือกกระทาโดยใช้ชฺาณเป็นเกณฑ์ และโดยถือเอาภกฺติเป็นที่ตั้ง อย่างมิได้มีความประสงค์จะขอรับสิ่งใดเป็นเครื่องตอบแทน กรรมนั้นจึงจะ เปน็ เหตุแหง่ โมกษะ “กรรมทพิ ย”์ คือ ทิพยกรรม หรือกรรมโยค ดังได้กล่าวมาแล้วน้ี แบ่งออกเป็น ๒ อย่าง คือ ๑. สกามกรรมโยค ได้แก่ การกระทาทที่ าไปโดยปรารถนาสงิ่ ตอบแทน แบง่ ออกเป็น ๒ อยา่ ง คือ ก. สกามกรรมที่ปฏิบตั ติ ามหลักที่ถูกต้องโดยใช้ชฺาณและภกฺติเปน็ หลัก ข. สกามกรรมท่ีปฏบิ ัติอย่างไม่เป็นไปตามหลกั คือมิได้ใช้ชฺาณและภกฺติ หรือขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง ๒. นิษกามกรรมโยค ได้แก่ การกระทาที่มิได้ปรารถนาผลตอบแทนแต่ปฏิบัติไปตามหลัก อันถูกต้องเท่านั้น แบ่งออกเปน็ ๒ อย่าง คอื ก. นิษกามกรรม โดยถือเอาหน้าที่เป็นหลัก คือถือวา่ เม่ือเกิดมาเป็นมนุษย์ไม่ว่าจะกระทาการใด ๆ ก็ต้องทาไปโดยถอื ชฺาณและภกฺติเป็นเกณฑ์

-๗- ข. นิษกามกรรม โดยถือเอาพระพรหม หรืออาตฺมาเป็นหลัก คือ ถือว่าในโลกนี้ ชีวท้ังปวง เป็นรูปพระพรหม เพราะอาตฺมาของตน เป็นอังศะ ของปรมาตฺมา (พระพรหม) และดังได้กล่าวแล้วว่า อาตฺมา มีอยู่ในชีวท้ังปวง โดยทานองนี้แหละ ในโลกน้ีถ้าปราศจากพระพรหมย่อมจะไม่มีอะไรเป็นแก่นสารเลย ด้วยเหตุนี้ เราจึงควรมีความเห็นชอบไว้เป็นหลัก และมีการปฏิบัติต่อสิ่งท้ังปวงโดยเสมอภาคกันเพราะว่าทุกสิ่ง ทกุ อยา่ งในโลกนก้ี ็คอื สงิ่ เดยี วกนั นัน่ เอง จะทาการอะไรลงไป จึงควรปฏิบัติโดยถือหลักชฺญาณแลภกฺติไว้ด้วยกัน เป็นเบื้องต้น ชฺญานโยค ชฺาน แปลวา่ ความรู้ ความเห็น ความชอบ ความถกู ต้อง ความวิเวก เปน็ เพราะฉะน้นั ชฺาณโยค ก็คือความเห็นชอบที่เป็นผลมาจากการพิจารณาโดยบริสุทธิ์ใจ หรือการลงมติโดยศุทธพุทธิ คือ พุทธิ หรือความรู้อันบริสุทธิ์ที่ไม่สร้างความทุกข์ทรมานให้แก่บรรดาชีวทั้งหลาย หากคิดแต่จะสร้างผลประโยชน์ ความดีงามใหแ้ ก่ส่วนรวมเพียงฝ่ายเดียว ในคัมภีร์ของศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู บ่งไว้ว่าผู้ใดท่ีต้องการจะปฏิบัติ เพ่อื “ศุทธพุทธิ” ผู้นนั้ ควรจะปฏบิ ตั ติ ามหลักธรรม ๘ ประการทีเ่ รยี กว่า “อษั ฏางคโยค” ได้แก่ ยม นิยม อาสน ปรฺ าณายาม ปรฺ ตยฺ าหาร ธารณา ธฺยาน และสมาธิ หลักธรรมทง้ั ๘ ประการนั้นมีความหมายดังนี้ ๑. ยม แบ่งออกเป็น ๑๐ อย่าง คือ (๑) พฺรหฺมจรยฺ ได้แก่ ภาวะของพรหมจารี ซงึ่ หมายถงึ ว่าควรสงวนรกั ษานา้ กามอนั เปน็ สาระสาคัญ ของร่างกายไว้ มิให้หล่งั ออกมา คาว่าพรหมจรรยน์ ี้แปลได้อีกนยั หนงึ่ วา่ อนุสรณข์ องพรหมมารคฺ (๒) ทยา ได้แก่ ความเมตตากรุณาต่อชีวท้งั หลาย (๓) กษานติ ไดแ้ ก่ ขนั ติ คอื ความเพียร ความอดกลน้ั หรือความอดทน (๔) ธฺยาน ได้แก่ ความเพง่ เลง็ ให้แนว่ แน่อยู่ท่จี ุดเดยี ว เพราะธรรมดาแล้วจติ ใจที่พะวงั วนเวียน อยเู่ สมอน้ัน ยากที่จะสกดั กนั้ ให้แนว่ แน่อยเู่ ปน็ จดุ เดียวได้เพราะฉะน้ัน ต้องพยายามรวบรวมใหเ้ ขา้ มาเปน็ จดุ เดยี วกนั (๕) สตยฺ ได้แก่ ความจรงิ หรือศุทธมติ คือความบริสุทธิ์ (๖) อกลฺกตา กลฺกตา แปลว่า ความชัว่ หรือความบาป เพราะฉะนั้นอกลฺกตาก็หมายถงึ ความปราศจาก ความชวั่ ไมม่ ีความชัว่ หรือไม่มบี าปดว้ ยประการใด ๆ (๗) อหิงสา ไดแ้ ก่ ความไม่เบียดเบยี น ไม่ฆ่าสตั ว์ ไมฆ่ า่ มนุษย์ตลอดจนกระทง่ั ไมใ่ หค้ วามทุกขเ์ วทนา แก่บรรดาชีวทั้งปวง (๘) อสฺเตย ได้แก่ ไม่ลัก ไม่ขโมย (๙) มาธรุ ย ได้แก่ การปฏบิ ตั ิตามวินัย และเคารพเชอ่ื ฟงั ตามคาสัง่ สอนของบดิ ามารดา ครูบาอาจารย์ และผมู้ อี าวุโสทั้งปวง รวมท้งั รูจ้ กั ทาจติ ใจให้สงบ กล่าวคือ ไมโ่ กรธตอบเมื่อถกู บรภิ าษ สามารถหกั ห้ามกิริยาอันน่าเกลียด มใิ ห้เกิดขน้ึ ได้ทัง้ ทางกายและทางวาจา (๑๐) ทม ได้แก่ การระงับจิตใจ ดว้ ยสานกึ ในเมตตา และมีสติอยู่เสมอ ๒. นิยม ขอ้ ปฏบิ ัติแบง่ ออกไดเ้ ป็น ๑๐ ประการ คอื (๑) สนาน ได้แก่ การอาบน้าชาระรา่ งกายใหส้ ะอาด (๒) เมาน ไดแ้ ก่ ความเงยี บ หมายถงึ มคู ภฺ าพ (ความใบ)้ หรือนโิ รธวาจา(การไมอ่ อกเสียง) จะออกเสียง ก็ให้ออกเสยี งอย่างปยิ วาจา คอื ให้มคี วามสารวมในการออกเสียง

-๘- (๓) อุปวาส ได้แก่ การอดอาหาร คือให้ร้จู ักอดกล้นั ต่อความหวิ ต่าง ๆ โดยตง้ั กติกาให้แก่ตนเองไว้ เปน็ ตน้ ว่า จะอดอาหารสัปดาหล์ ะ ๑ วนั หรือจะอดอาหารทกุ วนั อาทติ ย์ เป็นตน้ (๔) ชยา ได้แก่ การเคารพบูชา เช่น ควรเคารพบูชามารดา บิดา ครูบาอาจารย์ พระธรรม คัมภีร์พระเวท พระพรหม (ปรมาตมฺ า) หรืออะไรอนื่ ทค่ี วรเคารพด้วยทัง้ หมด (๕) สวาธยฺ าย ได้แก่ การอ่าน หรือการฟงั พระเวท และคัมภีรต์ า่ ง ๆ เพ่ือเป็นการเพิ่มพนู ความรู้ และเพือ่ ให้เกดิ ความเขา้ ใจแจม่ แจง้ ยิ่งขึ้น (๖) อุปสถนคิ รฺ ห ได้แก่ การเวน้ จากความประพฤตผิ ิดทางกามารมณ์ (๗) คุรุสุศฺรูษา ได้แก่ การปฏิบัติต่อครูบาอาจารย์ หรือศาสนา ด้วยความเชื่อถือและคารวะ ด้วยความจงรกั ภกั ดี (๘) เศาจ ได้แก่ ความบรสิ ุทธ์ิ ทาตนเองใหม้ คี วามบรสิ ทุ ธ์ทิ งั้ จิตใจและรา่ งกาย (๙) อโกรฺธ ไดแ้ ก่ความไม่โกรธ ตอ้ งมีขันติและโสรจั จะ (๑๐) อปรมาท ได้แก่ ความไม่ประมาท ทั้งทางกาย วาจา และใจ ๑. อาสน แปลตามตัวว่า น่ัง ทนี่ ั่ง หรือวิธนี งั่ ต่างๆ ท่าทางทีน่ ่ังเป็นอย่างไรก็มชี ่อื เรยี กต่างๆ เช่น ท่าภัทราสน สุขาสน ปัทมาสน ภุชงคาสน วกาสน วีราสน ศีรษาสน เป็นต้น แต่ละอาสนก็มีประโยชน์ ในทางสมาธิ และมปี ระโยชน์ตอ่ ร่างกายดว้ ย ๒.ปราณายาม หมายถึง การระบายลมหายใจอย่างวิเศษทางจมูกด้วยการระงับ หรือบังคับลมปราณ (ลมแหง่ การหายใจ) กล่าวคือเมื่อหายใจเข้าไปลมปราณที่หายใจเข้าไปน่ันเรียกว่า “ปรูก” ครัน้ หายในเขา้ ไปเพิ่มแล้วก็กักก้ันลมภายในเสีย เวลาที่กักกั้นลมน้ีในขณะเดียวกันก็คอยเพิ่มการหายใจให้มาก ข้นึ แต่ให้สะดวกขึ้นด้วย การกนั้ ลมเชน่ นเ้ี รียกว่า “กมุ ภก” สว่ นการระบายลมหายใจออกเรยี กวา่ “เรจก” ๓.ปรตฺยาหาร หมายถึง การสกัดจิต หรือการระงับจิต ได้แก่การบังคับมิให้จิตใจ มีความนึกคดิ ในสงิ่ ท่ไี ม่ตอ้ งการคิด กลา่ วคือ การบงั คับข่มจิตใจของตนเอง หรอื อีกนยั หน่ึงการระงับองเคนทรยี ์ หรอื อนิ ทรยิ ารถของตนเอง ซ่ึงเป็นเร่ืองท่ีตอ้ งใช้กาลังใจอย่างมากมาย ๔. ธารณา หมายถึง การทรงไว้ การถอื ไว้ การมีไว้ จะแปลวา่ ความม่ันใจ ความต้งั ใจ หรือการทา จิตใจใหต้ รงกับส่งิ ท่ีต้องการคิด หรอื ใหเ้ ปน็ ไปตามทีค่ ิดกไ็ ด้ ๕. ธฺยาน คือการทาจติ ใจให้แน่วแนอ่ ยู่เฉพาะท่ีจุดเดยี วกัน และเปน็ เวลานานเท่าทต่ี ้องการได้ ๖. สมาธิ ได้แก่การทาให้จิตใจและสมองคือความรู้ ความเฉลียวฉลาดมาสมานกันเข้า เป็นอันหน่ึงอันเดียวกัน ด้วยการเพ่งมนัสพิจารณาสภาพแห่งความเป็นจริง (สัตยชาติ) ของปราณหรืออศวะ เมอื่ ผ้ใู ดก็ตามไดท้ าจติ ใจให้ถึงสภาพเช่นน้ีแล้วก็แสดงว่าผู้น้ันมิได้มิเจตนา หรือไม่มีสติปัญญาทางภายนอกหลงเหลือ อยู่แล้ว จะรู้สึกก็แต่ความปิติสุขภายในจิตใจของตนเองเท่าน้ัน แม้ความหิวความกระหาย หรือความทุกขเวทนาใดๆ เขากจ็ ะไม่มีความรสู้ ึกเลย คตหิ รือหนทางไปอนั นี้เองท่เี รียกว่า “ปรมคติ” คือหนทางอนั เลอเลิศหรือเรยี กอกี ชื่อหน่ึงวา่ “ปรมานนทฺ ” หรือ “พรหมานันท”์ ก็ได้ ในภาพเช่นนีจ้ ะมีการพจิ ารณาและการลงความเห็นเกิดขึ้น การพิจารณาน้ันก็ย่อมจะ เป็นประโยชน์แก่ผู้สาธก คือ ผู้ที่ได้กระทาลุล่วงหรือผู้กระทาสาเร็จและแก่ผู้อ่ืนโดยทั่วไปด้วย และเพราะเหตุน้ีเอง ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู จึงได้ส่ังสอนว่าคนเราควรทาจิตใจให้บริสุทธ์ิด้วยอัษฎางคโยคน้ีแล้วใช้ความพิจารณา

-๙- หรอื ไตรต่ รองปฏิบตั ดิ ูด้วย โดยถือภกฺติโยคเป็นเคร่ืองสนับสนนุ อกี ช้ันหนง่ึ ภกฺติโยค คือ ความจงรักภักดี หรือความต้ังใจรับใช้ เม่ือมารวมกับคาว่าโยค เป็นภกฺติโยค จึงหมายถึงการบาเรอรับใช้กรรมด้วยความมั่นใจ ความจงรักภักดีต่อการกระทาท่ีกาลังปฏิบัติรับผิดชอบอยู่ กล่าวได้ว่า ภกฺตนี้เองเป็นเหตุให้พบปะกล่าวคือมีทั้งความสนใจและภควานกับภกฺต กล่าวคือระหว่างพระผู้เป็นเจ้า กบั สาวกผภู้ ักดี ภควาน คือ พระปรมาตมัน หมายถึงชวี ทั้งหลาย เพราะสรรพส่ิงทุกอย่างทุกประการล้วนเป็น “รปู ” ของพระปรมาตมันนั้นเอง ส่วนภกฺตคือชีว เฉพาะท่ีประพฤติปฏิบัติภกฺติต่อภกฺติภควาน เพราะฉะนั้น จึงกล่าวได้ อีกอย่างหน่ึงว่าผู้ใดมีความปรารถนาจะได้ประสบพบพระปรมาตมันผู้นั้นควรจะปฏิบัติตนโดยการให้ความเห็น ใหค้ าแนะนาปรกึ ษา ตลอดจนให้ความช่วยเหลือในทางทดี่ ีงามแกช่ ีวทง้ั ปวง ภกตฺ โิ ยค จาแนกการบาเรอรบั ใช้ออกได้เป็น ๙ ประการ คือ ๑. ศรุ วณ ได้แก่ การฟงั เปน็ ธรรมดาสาหรับคนเรา ถา้ หากมคี วามประสงค์จะไดท้ ราบเร่ืองอันเปน็ ความรู้ เกยี่ วกับสิ่งใดส่ิงหน่งึ แล้ว กค็ วรท่จี ะพยายามฟังเกี่ยวกับส่ิงน้ัน หรือเรื่องนั้นให้มาก ๆ ไว้ การศึกษาหรือการเล่าเรียน ก็สรุปรวมอยใู่ นขอ้ การฟงั นีด้ ้วยเหมือนกัน ๒. กรี ตน เป็นการยอ่ ยในลาดับตอ่ มา คอื หลงั จากทไ่ี ดฟ้ ังมาแลว้ ก็ควรจะบอกกลา่ วหรือประกาศเกียรติ ให้เป็นท่ีปรากฏท่ัวไป หรือมิฉะนั้นก็พิจารณาตรวจสอบอภิปรายหาข้อยุติในส่ิงที่ได้ยินได้ฟังมาแล้ว ให้เป็นทเี่ ข้าใจกนั อยา่ งแจม่ แจ้งโดยปราศจากข้อสงสัย ๓. สฺมาณ ได้แก่ การหมั่นคิดพิจารณาไตร่ตรองในส่ิงที่ได้ฟังมาแล้วและฝึกฝนจดจาไว้โดยใช้ จนิ ตนาการบอ่ ย ๆ เพ่อื ใหค้ วามรคู้ วามคิดนั้นแตกฉานมากยิ่งขึน้ ๔. จรณเสวา หรือบางทีเรียกส้ัน ๆ ว่า “เสวา” จรณ แปลว่า เท้าหรือฝ่าเท้า เสวา แปลวา่ การรบั ใช้ เม่ือรวม ๒ คาเข้าด้วยกันแล้ว หมายถึงประพฤติปฏิบัติตามคาสั่งสอนโดยอยู่ที่ใกล้ ๆ ฝ่าเท้า หรืออยู่แทบเท้า ของพระเปน็ เจ้า ๕. ปชู า คือ การทาสักการบชู าต่อสิ่งศักด์ิสิทธ์ิ เชน่ พระปรมาตมัน (พระพรหม) หรือกระทาการใด ๆ ก็ได้ทีไ่ ดต้ ั้งใจไว้แลว้ ดว้ ยความนับถือและเคารพบูชา ๖. วนทฺ นา คือ การนอบน้อมกราบไหว้ ๗. ทาสย คือ ภาวะแห่งความเป็นทาส คนเราควรถือว่าตนเป็นทาสของพระเป็นเจ้าเสมอ เพราะฉะนั้น ก็ควรปฏิบัติตามคาสั่งสอนของพระปรมาตมันไม่ว่าจะอยู่ใกล้ไกลขนาดไหนก็ตาม มิบังควรจะให้ ขดั คาสง่ั สอนของพระเป็นเจ้าแมแ้ ตป่ ระการหน่ึงประการใด ๘. สขฺย คือ ภาวะแห่งความเป็นเพื่อนให้ถือว่าพระปรมาตมันเป็นมิตรที่ดีที่สุด เพราะฉะนั้น เราควรปฏิบัติต่อพระพรหมเสมือนเป็นมิตรที่ดี และเป็นเพ่ือนท่ีอยู่ใกล้ชิดตัวเราตลอดเวลา ด้วยเหตุที่ พระปรมาตมันอยู่ใกล้ชิดตัวเราตลอดเวลานี่เอง เราจึงควรพยายามกระทาแต่ความดีเท่าน้ัน เม่ือใดที่เราทาความช่ัว เม่ือนั้นก็อาจเป็นสาเหตุให้มิตรท่ีดีของเราคือ พระพรหมต้องจากเราไปได้ และใครจะเชื่อได้ว่าในอนาคต เราอาจจะต้องไปเกิดเป็นสัตว์อื่นในภพอื่น แล้วเราจะมีอาสามาปฏิบัติตามหลักธรรมดังกล่าวนี้ได้หรือไม่ ในกรณีดังกลา่ วจึงตอ้ งตงั้ อยใู่ นความไม่ประมาทเสมอ

- ๑๐ - ๙. อาตมสมรปณ คอื ภาวะอันมีแลว้ หรอื เจรญิ แลว้ เป็นของตนเอง ไดแ้ ก่ กายของตน ทรัพย์สมบตั ิ ของตน ลูกหลานของตน เป็นต้น สิ่งทั้งหลายนี้ถือว่าเป็นพระปรมาตมัน พระปรมาตมันท่านย่อมมีสิทธิ์เต็มท่ี เม่ือใดที่ท่านตอ้ งการจะเอาคนื ก็ยอมคืนใหท้ ่านไปได้ หรือหากท่านจะยกให้แก่ผู้อ่ืนท่านก็ยอมยกให้ได้ สาหรับตัวเรา ก็ไม่ต้องวิตกหรือเศร้าหมอง หากควรจะแสดงความยินดีที่ท่านได้โปรดช่วยให้ภาระของเราลดน้อยลงไป ใหก้ ระทาความแยบคายไวใ้ นใจว่าส่ิงของท้งั หมดเป็นของพระปรมาตมนั ไมถ่ ือเปน็ ของเราเลยแมส้ ักอยา่ งเดยี ว กรรมท่ีบุคคลได้กระทาไป โดยมีทั้งชฺาณและภกฺติเข้าช่วยน้ัน ล้วนแต่เป็นกรรมดีทั้งสิ้น แต่ในคัมภีร์พระเวท คาว่า ชฺาน มีความหมายถึงทั้งชฺานและวิชฺานรวมเข้าด้วยกัน ชฺาน หมายถึงความรู้ทางปรัช ญา ส่วนวิชฺาน หมายถึงความรูท้ างวทิ ยาศาสตร์เพราะฉะนั้น ในการปฏิบัติทางกรรมโยคถ้าจะให้ได้ผลดีจริง ๆ ควรใช้ทั้งชฺาน วิชฺาน และภกฺติ รวมเข้าด้วยกันท้ัง ๓ ประการ จะขาดอันใดอันหนึ่งไปเสียมิได้ หากจะใช้อุปมาอุปไมย สมมุติว่าเรา จะต้องรักษาคนเจ็บสักคนหนึ่ง ให้หายปลอดภัยอย่างเรียบร้อยดี ในข้ันแรกเราก็ควรจะมีความรู้เกี่ยวกับโรค หรือเกี่ยวกับชีววิทยาและรู้ตลอดแม้จนกระท่ังวิธีปฏิบัติต่อตัวคนเจ็บผู้น้ัน น่ีแหละคือ ชฺาน ส่วนขั้นต่อไป เราก็ต้องมีเครื่องอุปกรณ์เพื่อตรวจโรค และมียาเพ่ือรักษาโรคด้วยจะฉีดหรือจะกินก็แล้วแต่ความเหมาะสม ข้ันที่สองน้ีอุปมาได้ดังวิชฺาน คร้ันในขั้นสุดท้ายเราก็ควรมีคนพยาบาลหรือคนรับใช้ที่มีความเห็นอกเห็นใจ ต่อผู้ป่วย คนจาพวกน้ีจะเป็นนายแพทย์ผู้บริการทางโรงพยาบาลหรือเป็นพ่ีน้องกันมาอยู่ช่วยดูแลก็สุดแล้วแต่ อุปมาได้ดังภกฺติ เช่นนี้จึงจะบริบูรณ์ หากขาดไปเพียงประการใดประการหน่ึง ก็อาจทาให้ไม่ได้ประโยชน์ ตามความประสงค์ หรอื ได้ประโยชน์ไมเ่ ตม็ ที่ ดว้ ยเหตนุ ้ี จึงกล่าวเปน็ หลักได้วา่ การกระทาทกุ สิง่ ทุกอย่าง ถ้าจะให้ไดผ้ ลดสี าเรจ็ ตามความประสงคแ์ ลว้ ก็ควรต้องประกอบพร้อมด้วยองค์ ๓ นี้ คือ ชฺาน วิชฺาน และภกฺติ หากมีแต่ชฺาน ส่วนวิชฺานและภกฺติ ไมม่ ชี ฺานนั้นกเ็ พยี งเป็นไปเพ่อื การเจรจาพดู คยุ กันเลน่ ๆ เทา่ นนั้ หรือถา้ มแี ต่วชิ ฺาน ส่วนชฺานและภกฺติไม่มี วิชฺาน ก็รังแต่จะกลายเป็นเครื่องยังความพินาศหรือภยานฺกให้เกิดขึ้นเท่านั้นเอง ถ้าหากจะมีแต่ภกฺติ ส่วนชฺาน และวิชาฺ นไม่มี ภกตฺ ินน้ั ก็จะตอ้ งกลายเปน็ อมั พาต ทาอะไรไมไ่ ดแ้ มแ้ ตจ่ ะเคล่อื นไหว จะทาไดก้ แ็ คก่ ารนั่งร้องไห้เท่านนั้ แต่โลกน้ียังมีอะไรแปลกประหลาดมหัศจรรย์อยู่มากเหมือนกัน บางทีการนั่งร้องไห้นี้อาจได้ผลอย่างท่ีไม่มีใคร คาดคิดก็เป็นได้ น่ันเป็นเพราะทฤษฎีแห่งอวตารวาท คือการทุจริตของเทพดาหรือการกาเนิดมาในร่างของพระวิษณุ อันเป็นเร่ืองเกี่ยวกับเทพเจ้า ยังมีอย่แู ละเป็นที่เช่ือถือกันอยู่อย่างแน่นแฟ้นว่าสามารถช่วยปกปักรักษาผู้ทุพพลภาพได้ มนษุ ยชาตจิ ะพบความสาเร็จอย่างยิ่งใหญ่ได้ ถ้าสามารถนาเอาชฺาน วชิ ฺาน และภกฺติ มาใชใ้ นชีวิตจริง ท่านจะพ้นจากความเศร้าใจ และความยากลาบากนานัปการ การติดต่อสัมพันธ์กันระหว่างมนุษย์ ก็จะมี แต่ความเจริญก้าวหน้าทั้งในส่วนตัว ครอบครัว สมาคมหรือสังคม และกว้างขวางออกไปตลอดถึงระหว่าง ประเทศชาติ และทัว่ โลกด้วย เทพเจา้ ของศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู ศาสนาพราหมณ์ - ฮนิ ดู มเี ทพเจ้าเปน็ จานวนมากและเพิ่มข้ึนเร่ือย ๆ เพราะศาสนิกชนมอี ิสรภาพ เสรีเตม็ ท่ีในการนบั ถอื และการจนิ ตนาการทางเทวรปู แต่ท้ิงหลักที่ว่า เทพเจ้าที่เราได้รู้แล้วหรือจะได้รู้ในอนาคต เป็นสว่ นของพระปรมาตมัน จึงถอื กนั ว่ามีเอกภาพในพหภุ าพคือมีเทพเจ้าองค์เดียวในรูปร่างต่าง ๆ กัน แต่ละสถานท่ี มีเทพเจ้าแต่ละองค์ดูไม่ออกว่าองค์ไหนสาคัญกว่าหรือสูงกว่าแต่ละกลุ่มนับถือแต่ละองค์ บางทีในครอบครัวเดียวกัน แตล่ ะคนในครอบครวั กน็ บั ถอื เทพเจา้ ตา่ ง ๆ กัน

- ๑๑ - สัญลักษณ์ทางศาสนา สัญลักษณ์สาคญั ที่สุดคือ ตวั อกั ษรที่อ่านวา่ “โอม” มาจาก อ + อุ + มะ เปน็ แทนพระตรมี ูรตเี ทพ คือ อ แทนพระนารายณ์หรือพระวิษณุ อุ แทนพระพรหมา ม แทนพระศิวะหรือพระอิศวร เม่ือรวมกันเข้าเป็น อักษรเดียวกลายเป็นอักษร “โอม”แทนพระปรมาตมัน พระเจ้าสูงสุด ไม่มีตัวตน สัญลักษณ์น้ีทุกนิกาย ทุกลัทธิ ในศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู ตอ้ งใชเ้ ปน็ ประจา ตรีมรู ติ เทพเจ้าสามองคใ์ นร่างเดียวกนั พระศวิ ะหรอื พระอศิ วร เทพเจ้าผูท้ าลาย พระวิษณหุ รอื พระนารายณ์เทพเจ้าผู้รกั ษาโลก พระพรหมเทพเจา้ ผู้สร้างโลกและสรรพส่งิ กับพระลกั ษมี

- ๑๒ - ขอ้ ปฏบิ ัติของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู คนท่ีจะเรียกวา่ เป็นผู้นับถือศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู อย่างแท้จริงต้องทาหน้าทแ่ี ละมีความรับผิดชอบ ตามขนั้ ตอนของชีวิตท่ีเรียกว่า “อาศรม” ที่คัมภีร์ทางศาสนากาหนดไว้ นอกเหนือจากหน้าท่ีและความรับผิดชอบ ตามอาชพี ปกตธิ รรมดาของตนแลว้ จะตอ้ งทาหนา้ ท่ี ๗ ข้อต่อไปนี้ ๑. บูชาเทพประจาครอบครัว (อิษฏเทวดา) โดยใชบ้ ทสวดบชู าที่ใช้ประจาทุกวัน ทาสมาธิ ไปไหวพ้ ระ ที่เทวาลัย เดินทางไปแสวงบุญยังสถานท่ีศักด์ิสิทธ์ิ การกระทาอย่างน้ีมีความสาคัญเพราะจะช่วยให้ศาสนิก มใี จจดจ่อกบั พระเจ้าตลอดเวลาไม่ว่าจะทากจิ กรรมใด ๆ ๒. ศึกษาคมั ภีร์ทางศาสนา แล้วดาเนินชีวิตสว่ นตัวและชวี ติ ที่เกยี่ วกบั สังคมภายนอกใหเ้ ป็นไปตามคาสอน ของคมั ภรี ท์ างศาสนา จดจาให้ได้เสมอว่ามนุษย์มีจุดมุ่งหมายของชีวิต ๔ ประการ มีหน้ีที่ต้องชาระ ๓ ประการ และมีช่วงชีวิตซึ่งเรียกว่า อาศรม ๔ ช่วง ต้องใช้หลักศีลธรรมทางศาสนากากับการดาเนินไปสู่จุดมุ่งหมาย ของชวี ิต ๔ ประการ คือ ธรรมะ อรรถะ กามะ และโมกษะ ๓. เช่อื ในคาสอนทีส่ ืบทอดกนั ต่อ ๆ มา ๔. เช่ือว่าเทพจานวนหลายองค์ท้ังท่ีเป็นบุรุษและสตรีที่แท้จริงคือรูปหลายรูปของพระเป็นเจ้า สงู สดุ องค์เดียว และเชือ่ ว่าแนวทางปฏิบัติทางศาสนาท่แี ตกต่างกันแต่กม็ ุ่งไปยงั จดุ หมายเดียวกนั คอื พระเป็นเจ้า สงู สดุ องคเ์ ดียว เหมือนกบั เส้นรัศมขี องวงกลมท่ที ุกเส้นม่งุ ไปทจ่ี ุดศูนย์กลางจดุ เดียว ๕. ให้ความเคารพนับถือมุนี ผู้บรรลุธรรม นักพรต ทั้งที่เป็นบุรุษและสตรี ให้ความเคารพนับถือ ครู พอ่ แม่ และคนสงู อายุ ๖. ให้ความช่วยเหลือคนท่ีขาดแคลนส่ิงของจาเป็นในชีวิตคนพิการท่ีช่วยตัวเองไม่ได้ คนป่วย คนยากจน คนที่ดอ้ ยโอกาส ๗. ตอ้ นรับแขกด้วยความรกั ความนบั ถอื และพร้อมที่จะบรกิ ารใหค้ วามสะดวก ผ้นู บั ถือศาสนาทเ่ี ครง่ จะตอ้ งทากจิ ทางศาสนาประจาวันทีเ่ รียกว่า “ปัญจมหายชั ญะ” คือการบูชา ท่ียง่ิ ใหญ่ ๕ ประการ ได้แก่ ๑. พรหมยัชญะ จะต้องท่องคัมภีร์พระเวทและคัมภีร์ทางศาสนาอื่น ๆ ทุกวัน การปฏิบัติเช่นน้ี จะช่วยให้ไม่ลืมส่งิ ที่ร่าเรียนมาช่วงเป็นพรหมจารนิ (ชว่ งที่เปน็ นักเรยี น) เป็นการรักษาความรู้เก่าและเพิ่มความรู้ใหม่ ๒. ปติ ฤยัชญะ นึกถึงบรรพบุรุษผ้ลู ว่ งลับไปแล้วทุกวัน เพื่อให้คนเราแต่ละคนรวู้ ่าตนเองมีหน้าท่รี ักษา ทานบุ ารงุ และสบื ต่อมรดกทางวัฒนธรรมทบี่ รรพบุรษุ ได้สรา้ งไว้ ๓. เทวยัชญะ ระลึกถึงพระเปน็ เจา้ โดยการสวดมนต์ทกุ วนั และทาสมาธิ ๔. ภูตยัชญะ ใหอ้ าหารแก่คนทีห่ วิ โหย ข้อนี้ม่งุ ที่จะใหท้ กุ คนพัฒนาความมีน้าใจในการที่จะแบ่งปันผอู้ น่ื ธรรมข้อนเ้ี ปน็ ธรรมท่สี งู สดุ สาหรบั ทกุ อาศรม หรอื ขน้ั ตอนของการดาเนนิ ชวี ิต ภูตยัชญะ รวมการเอาใจใส่ดูแล สัตวแ์ ละพชื ไวด้ ว้ ย ถ้าปฏบิ ตั ิขอ้ นี้ได้ทุกวัน ก็จะเป็นการรักษาสงิ่ แวดลอ้ มได้เป็นอย่างดี ๕. นรยัชญะ ให้ความรกั ความเคารพ นบั ถือแขกผู้มาเยอื น ข้อนี้ถือวา่ เป็นหลักปฏบิ ตั ิที่ผูน้ ับถอื ศาสนาฮนิ ดูและเป็นเจ้าของบ้านจะต้องทาคือจะต้องให้การต้อนรบั แขกผู้มาเยือนอย่างดีที่สุด ถือว่าแขกผู้มาเยือน เปรยี บเหมอื นเทพ

- ๑๓ - ขนบธรรมเนยี มบางอยา่ งของชาวฮนิ ดู นมสั การ เปน็ ประเพณีการทักทายแบบฮินดเู ม่ือพบปะกัน เป็นการสะท้อนให้เหน็ ความเชอื่ ท่ีอยู่ลึก ๆ ในใจของชาวฮินดู ในทัศนะของผู้นับถือศาสนาฮินดู พรหม (พระเป็นเจ้า) การที่เราประนมมือไหว้ผู้หนึ่งผู้ใด เป็นการแสดงสัญลักษณ์ว่าอาตมันได้พบตนเองในส่ิงมีชีวิตอ่ืน การประนมมือไหว้เป็นการแสดงออกถึง ความรู้สึกว่าตัวเราเองไม่ได้สูงส่งไปกว่าผู้หนึ่งผู้ใด ดังนั้นเม่ือผู้ท่ีนับถือศาสนาฮินดูประนมมือไหว้ผู้หน่ึงผู้ใด พร้อมกับกล่าวคาว่า “นมัสการแสดงว่าเขามีความรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้สูงส่งไปกว่าผู้ที่เขาไหว้ แต่ที่จริงแล้ว เขาต้องการจะกล่าวว่า “ข้าพเจ้าขอนอบน้อมต่อพระเป็นเจ้าในตัวท่าน ข้าพเจ้ารักท่านและเคารพท่าน เนื่องจากว่าไม่มใี ครเหมอื นท่านอีกแลว้ ” ๑. กรมการศาสนา กระทรวงวฒั นธรรม. ความรู้ศาสนาเบื้องต้น. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์ ชุมนมุ สหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย จากัด. พมิ พ์ครั้งท่ี ๒, ๒๕๕๗. ๒. กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม. ศาสนาในประเทศไทย. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์ ชุมนุมสหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย จากัด. พมิ พ์คร้ังท่ี ๓, ๒๕๖๑. ๓. กรมการศาสนา กระทรวงวฒั นธรรม. กรมการศาสนา. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์ชมุ นุม สหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย จากัด, ๒๕๕๑. ๔. กรมการศาสนา และอนุกรรมการสง่ เสริมกิจการศาสนาและศาสนกิ สมั พันธ์ คณะกรรมาธกิ าร การศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรม วุฒสิ ภา. วิถชี วี ิต ๕ ศาสนิกในประเทศไทย. กรุงเทพมหานคร : บริษัท ราไทยเพรส จากัด. พิมพ์ครัง้ ท่ี ๕, ๒๕๖๑.

ศาสนาซกิ ข์ ครุ ุดวาราฮัรมันดริ ซาฮิบ (สวุ รรณวหิ าร-Golden Temple) ในนครอมฤตสระ รัฐปัญจาบ ประเทศอนิ เดยี ความเปน็ มาของศาสนาซิกข์ ศาสนาซิกข์เป็นศาสนาประเภทเอกเทวนยิ ม หมายถงึ ศาสนาของผูเ้ ชอื่ ถือยดึ ม่ันในความเปน็ หนงึ่ เดยี ว ของพระผเู้ ปน็ เจ้า ผู้เป็นเอกเพียงพระองค์เดียว เป็นศาสนาที่เน้นในหลักของการปฏิบัติเป็นศาสนาแห่งความเช่ือม่ัน และศรัทธา การมองโลกในแงด่ อี ยา่ งมคี วามหวังด้วยเหตุและผล สนับสนุนดว้ ยปรัชญาศาสตร์เพ่ือความก้าวหน้า ของมนุษย์ ศาสนาซิกข์แนะแนวแห่งการดารงชีวิตอย่างมีคุณค่าในรูปของฆราวาส ผู้ครองเรือนเป็นหลัก และการอทุ ิศตนให้เปน็ ประโยชนต์ ่อสงั คมส่วนรวม รับใชช้ ว่ ยเหลือเพื่อนมนุษยด์ ว้ ยกนั โดยไมถ่ ือรงั เกียจเชื้อชาติ ศาสนา วรรณะ และภาษา ศาสนาซิกข์ถือกาเนิดข้ึนในแคว้นปัญจาบทางตอนเหนือของประเทศอินเดียเม่ือ พ.ศ. ๒๐๑๒๑ มีศาสดาในร่างของมนุษย์ รวม ๑๐ พระองค์ คอื ๑. พระศาสดา ครุ ุนานกั เทพ องค์ปฐมบรมศาสดา ๒. พระศาสดา คุรุองั คตั เดว ๓. พระศาสดา ครุ ุอามัรดาส ๔. พระศาสดา ครุ ุรามดาส ๕. พระศาสดา คุรุอรยันเดว ๖. พระศาสดา ครุ ุฮรั โควินท์ ๗. พระศาสดา ครุ ุฮรั ราย ๘. พระศาสดา ครุ ุฮรั กฤษณ ๙. พระศาสดา คุรเุ ตคบฮาดรั ๑๐. พระศาสดา ครุ โุ ควินทส์ งิ ห์ ๑ นบั ตามปีเกิดของคุรุนานกั เทพ พระศาสดาองคแ์ รกของศาสนาซิกข์

-๒- เปน็ การสืบตาแหนง่ โดย “ธรรมะ” ในปัจจบุ นั ชาวซิกข์นบั ถือพระธรรมจากพระมหาคัมภีร์คุรุครันถ์ชาฮิบเป็นพระศาสดา นริ ันดรก์ าลสืบตลอดมา ตอ่ มาใน พ.ศ. ๒๒๕๑ พระศาสดาครุ ุโควินท์สิงหไ์ ด้บัญญัติใหช้ าวซกิ ขย์ ดึ ถือในพระธรรมคาส่ังสอน (คุรุ ซาบัด-พระวัจนะของพระศาสดา) แต่เพียงอย่างเดียว เป็นการยุติการสืบทอดศาสนาโดยบุคคลในขณะที่ พระองค์มีพระชนม์ชีพอยู่ได้สังคายนา “พระมหาคัมภีร์อาทิครันถ์” ซึ่งรวบรวมบทสวดของพระศาสดา ๕ พระองค์แรก และบทสวดของนักบุญ นักบวช จากศาสนาฮินดูและอิสลามท่ีมีแนวความคิดเดียวกันโดยพระศาสดา คุรุอรยันเดว (พระศาสดาพระองค์ท่ี ๕ ) และได้ผนวกบทสวดของพระศาสดาพระองค์ที่ ๙ แล้วสถาปนาเป็น พระศาสดานริ ันดร์กาลของซิกข์ ทรงให้นามว่า “พระศาสดาศรีครุ คุ รนั ถ์ซาฮบิ ” จากเวลาน้ันมาจนถึงปัจจบุ ันน้ี ความหมายของศาสนาซกิ ข์ คาว่า “ซิกข์”เป็นภาษาปัญจาบ ตรงกบั คาวา่ “สกิ ข”์ หรือ “สิกขา” ในภาษาบาลี และตรงกับคาวา่ “ศิษย์” ซ่ึงแปลว่าผู้ศึกษา โดยถือว่าผู้ที่นับถือศาสนาซิกข์ทุกคนเป็นศิษย์ของคุรุหรือครู คาว่า “คุรุ” เป็นคาเรียก พระศาสดาของชาวซิกข์ นิกายของศาสนาซิกข์ นิกายของศาสนาซิกขท์ ่สี าคญั แบ่งออกเปน็ ๒ นิกาย คือ ๑. นิกายขาลสาหรอื สิงหน์ ิกาย จะเน้นตามคาสอนของพระศาสดาครุ โุ ควินทสงิ ห์เปน็ หลัก ชาวซิกข์ ในนกิ ายน้ีต้องผ่านพธิ ีรบั น้าอมฤตและรบั ศาสนสญั ลกั ษณ์ ๕ ประการ คือ (๑) เกศา คือ ผม ชาวซิกข์จะไม่ปลงผมจากส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายเนื่องจากผมเป็นส่ิงท่ี พระเจ้าทรงประทานให้ตามหลักแห่งธรรมชาติซึ่งเป็นสัจธรรมอันย่ิงใหญ่ ดังนั้นชาวซิกข์ท่ีเป็นผู้ชายจึงไว้ผม และหนวดเคราโดยไม่ตัดหรือโกนตลอดชีวติ (๒) กังฆะ คือ หวีไม้ ชาวซกิ ข์จะใช้หวดี งั กล่าวสางผมเพ่ือใหเ้ กศาดูเรียบร้อยและงดงาม (๓) กาซ่า คือ กางเกงในขาสนั้ เพื่อความสนั ทัดและความกระฉบั กระเฉงโดยไม่ประเจดิ ประเจ้อ ยามทางาน ยามออกศึกและยามสงบ บรุ ษุ ซิกข์พร้อมเกศา (เกศา) หวีไม้ (กังฆะ) กางเกงในขายาว (กาช่า)

-๓- (๔) กิรปาน คือดาบสั้นทาด้วยเหล็กกล้าเพื่อปกป้องผู้ทถ่ี ูกรังแก ถูกลิดรอนสิทธิความเป็นมนุษย์ และเพื่อปกป้องตนเองโดยไม่ใชเ้ ปน็ อาวุธในการรุกรานผู้อนื่ โดยเดด็ ขาด (๕) การ่า คือกาไรเหล็กกล้า เป็นสัญลักษณ์แห่งความอดทนและเข้มแข็งดุจเหล็กกล้า เปน็ เครื่องเตอื นสติและเตือนใจใหล้ ะเว้นจากการกระทาบาปและให้ตั้งสติอยู่ในความชอบธรรม กรชี (กีรปาน) กาไลมือ (การา่ ) ๒. นกิ ายสหชั ธรี มีผสู้ ันนิษฐานวา่ อาจเปน็ นกิ ายเดียวกบั นามธารี ซึ่งหมายถงึ การเทดิ ทูนพระผศู้ ักดิส์ ิทธ์ิ หรือพระผเู้ ปน็ เจ้า ความเชอ่ื ของศาสนาซิกข์ ศาสนาซิกข์เชื่อว่ามีพระผู้เป็นเจ้า (วาเฮ่คุรุ) ที่แท้จริงเพียงพระองค์เดียว ไม่เชื่อว่าการทรมานตน จะทาใหบ้ รรลุถึงสจั ธรรมได้ แตถ่ ือว่าการครองเรือนอย่ใู นคฤหัสถ์เพศก็สามารถจะหลุดพ้นจากห้วงแห่งกรรมได้ การประกอบกิจกรรมในชีวิตประจาวันโดยมีขันติและมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ บาเพ็ญภาวนาชาระล้างจิตใจ ใหส้ ะอาดอยู่เสมอ ดงั น้นั ศาสนาซกิ ขจ์ ึงไมส่ นบั สนุนการบาเพ็ญพรตหรอื การสละครอบครัว พระศาสดาของศาสนาซิกข์ ทุกพระองคท์ รงครองเรือนและมีครอบครัวตามปกติ ความเปน็ มาของศาสนาซิกขใ์ นประเทศไทย ช า ว ซิ กข์เ ดิ น ท า ง เ ข้า ม า สู่ ดิ น แ ด น ไท ย คร้ั ง แ ร กเ ม่ื อใ ด น้ั น ยั ง ไม่ ป ร า กฏ ห ลั กฐ าน ร ะบุ แ น่ ชั ด แต่สามารถอนุมานได้ว่า ชาว ซิกข์เริ่มเดินทางเข้ามาตั้งถ่ินฐานในประเทศไทยตั้งแต่รัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การเข้ามาตั้งถิ่นฐานของชาวซิกข์ ในกรุงเทพมหานครส่วนใหญ่ เร่ิ ม ต้ั ง บ้า น เ รื อ นอ ยู่ บ ริ เ ว ณ พ า หุ รัด ก ร ะ จ าย อ อ ก ไ ปต ล อ ด แนวต้ั งแต่ถนนบ้ านหม้ อมาจนจดถนนพาหุ รั ด จนกระท้ัง พ.ศ. ๒๔๔๑ พระบาทสมเด็จจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดาริให้ปลูกสร้างอาคารตึกแถว ริมถนนพาหุรัดขึ้น เพื่อใช้ประโยชน์ในกิจการต่าง ๆ พ่อค้าชาวซิกข์จึงเร่ิมเข้าไปจับจองเพ่ือเปิดร้านค้าขายผ้า และสินคา้ นาเข้าจากประเทศอนิ เดีย ทาให้พาหรุ ัดกลายเปน็ ยา่ นการคา้ ท่สี าคญั จนปัจจุบัน ปจั จุบันประเทศไทยรบั รองฐานะองคก์ ารทางศาสนาซกิ ข์ จานวน ๒ องคก์ าร คอื สมาคมศรคี รุ ุสิงห์สภา และสมาคมนามธารีสังคตั แห่งประเทศไทย

-๔- ครุ ุดวาราที่กรุงเทพมหานคร คัมภีร์ หลกั ธรรมคาสอน คัมภีรข์ องศาสนาซิกข์ พระมหาคัมภรี ์ คุรคุ รันถ์ ซาฮิบ คัมภีร์ที่สาคัญของศาสนาซิกข์คือ “พระมหาคัมภีร์คุรุครันถ์ ซาฮิบ” ซึ่งได้รับการสถาปนา ให้เป็นพระศาสดานริ ันดร์กาลของศาสนาซิกข์ ศาสนิกชนชาวซกิ ข์จงึ ปฏิบตั ติ ่อพระมหาคมั ภีรด์ ุจพระศาสดาท่ี แท้จรงิ คาวา่ “ครนั ถ์ซาฮิบ” แปลว่า พระคมั ภีร์ มาจากคาวา่ “ครันถ” เปน็ คาสันสกฤตแปลว่า “คมั ภีร์” ส่วน “ซาฮิบ”

-๕- เป็นคาพื้นเมืองที่ใช้แสดงความเคารพ แปลว่า “พระ” ซ่ึงชาวซิกข์จะเรียกโดยเติมคาว่า “คุรุ” ไว้ข้างหน้าเป็น “คุรุครนั ถซ์ าฮิบ”อนั มีมยั ถึงการแสดงความเคารพอย่างสงู พระมหาคมั ภรี แ์ บง่ ออกเปน็ ๒ เลม่ คือ ๑. “อาทคิ รันถ”์ แปลว่า “คัมภีรแ์ รก” พระศาสดาคุรุอรชุนเทพ พระศาสดาพระองคท์ ่ี ๕ เป็นผสู้ ถาปนาขึ้น ใน พ.ศ. ๒๑๔๗ โดยรวบรวมจากบทนิพนธ์ของพระศาสดาพระองค์ท่ี ๑ – ๕ และมีบทประพันธ์ของนักบุญ นักบวชจากศาสนาฮินดูและอิสลามผนวกรวมอยู่ดว้ ย ๒. “ทสมครันถ์” แปลว่า “คัมภีร์ของพระศาสดาพระองคท์ ่ี ๑๐” เป็นชุมนมุ บทนิพนธ์ของพระศาสดา ครุ ุโควนิ ทสิงห์ พระศาสดาพระองค์ที่ ๑๐ ซงึ่ รวบรวมขึน้ ในสมยั หลังจากพระคัมภีร์แรกประมาณร้อยปี ข้อความในพระคัมภีร์นั้นเป็นบทกวีรวมท้ังสิ้น ๒๙,๔๘๐ โศลก จัดเป็นคาฉันท์ ๓๑ ประเภท ทงั้ น้ี การสวดเจรญิ ธรรมพระมหาคัมภีร์ แบง่ เปน็ ๒ ลักษณะ คือ ๑. “อคันด์ปาธ” คือ การสวดเจริญธรรมพระมหาคัมภีร์คุรุครันถ์ซาฮิบอย่างต่อเน่ืองจนสมบูรณ์ ไมม่ ีการหยุดพัก ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ ๔๘ ช่วั โมง ๒. “ซาดารันปาธ” คือการสวดภาวนาเจริญธรรมพระมหาคัมภีร์คุรุครันถ์ซาฮิบโดยไม่ต่อเนื่อง ตามแต่โอกาสอานวย จะเป็นการสวดในเคหสถานของตนหรอื ในศาสนสถานกไ็ ด้ หลักคาสอนของศาสนาซกิ ข์ หลักคาสอนท่ีสาคัญของศาสนาซิกข์ เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายสูงสุด คือการเข้าถึงสุขอันเป็นนิรันด์ หรือนริ วาณ ประกอบด้วยหลัก ๕ ประการไดแ้ ก่ ๑. ธรมั ขณั ฑ์ คอื การประกอบกรรมดี ๒. คิอานขัณฑ์ คือ การมีปญั ญา ๓. สรันขณั ฑ์ คือ ความปตี ิอมิ่ เอบิ ใจในธรรม ๔. กรมั ขณั ฑ์ คือ การมีกาลงั จติ แนว่ แน่มน่ั คงไมห่ วาดกลัว ๕. สัจขัณฑ์ คือ การเขา้ ถึงสัจจะ หรอื การหลอมรวมเปน็ อันหนง่ึ อนั เดียวกบั พระผูเ้ ปน็ เจ้า ศาสนาซกิ ข์ยงั ไดก้ าหนดระเบยี บวนิ ัยในการปฏบิ ัตติ น ดงั น้ี ๑. วินัยทางกาย คอื การใหบ้ ริการผู้อื่นทางกายและวาจา เชน่ การให้ทาน ๒. วนิ ัยทางศลี ธรรม คือ การเลีย้ งชพี โดยชอบธรรม ไม่มคี วามเหน็ แก่ตัว ๓. วนิ ยั ทางจิตใจ คอื ความเชื่อม่นั ในพระเจ้าองคเ์ ดียว ซ่งึ อยเู่ หนือกาลเทศะและเทพทง้ั หลาย อนึ่ง ชาวซิกข์ไดน้ าคาสอนเรอื่ งตา่ งๆ มาเป็นหลกั ปรชั ญาในการดาเนนิ ชีวิตท่ีสาคญั หลายประการ อาทิ ๑. การบรรลถุ ึงพระเจา้ (อกาลปุรัข) จุดมุ่งหมายสาคัญในการดาเนนิ ชวี ิตชองชาวซิกข์คือ การบรรลุ ถึงพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ด้วยการปฏิบัติธรรม การสรรเสริญและภาวนานาม “วาเฮ่คุรุ” ของพระผู้เป็นเจ้า เหตุท่ีต้องปฏิบัติเช่นนี้ เพราะโดยทั่วไปจิตใจของมนุษย์จะมีความช่ัว ๕ ประการ ประกอบด้วย ตัณหา ความโกรธ ความโลภ ความยึดติดหรือความหลง และความอหังการ เป็นสิ่งท่ีขัดขวางทาให้มนุษย์ไม่สามารถ เข้าถึงพระผู้เป็นเจ้าได้ การสรรเสริญและสวดภาวนานามของพระผู้เป็นเจ้าจึงทาให้บุคคลสามารถดาเนินชีวิต ได้โดยไม่ตกอยู่ภายใต้อานาจของความช่วั เหลา่ นนั้ ๒. การทาเขว่า เป็นหลักปฏิบัติที่สาคัญในการดาเนินชีวิตของชาวซิกข์ หมายถึง การรับใช้และบริการ ต่อชุมชน สังคม ด้วยทางกาย วาจา และใจ โดยไม่หวังผลตอบแทน ควบคู่กับการราลึกถึงพระผู้เป็นเจ้า

-๖- ด้วยการสวดภาวนาสรรเสริญคุณความดีของพระผู้เป็นเจ้า การทาเขว่าจึงเป็นการสอนให้ชาวซิกข์เสียสละ เพื่อชุมชนและสังคมในฐานะที่ตนเป็นส่วนหนึ่งของสังคม และเป็นการแสดงออกถึงความอ่อนน้อมถ่อมตน ตามคาส่ังสอนของพระศาสดาคุรุนานักเทพท่ีว่า “ความอ่อนหวานและการถ่อมตนน้ันเป็นแก่นแห่งความดี และคณุ ธรรมทัง้ ปวง” ๓. ความเชอื่ ม่ันในความเท่าเทยี มกันของมนุษย์ ดังปรากฏในคาสอนของพระศาสดาคุรุนานักเทพ ที่วา่ “มนุษย์ทั้งหลายมพี ระบดิ าองคเ์ ดียวกนั เราทง้ั หลายเป็นบุตรของพระองค์ เราจึงเป็นพ่ีน้องกัน มนุษยชาติ ท้งั หลายเป็นหน่ึงเดียวกัน ทุกคนมีเกียรติเท่ากัน เพราะเขาเป็นคนมาจากพระผู้เป็นเจ้า” ศาสนาซิกข์จึงยึดมั่น ในความเท่าเทียมและเสมอภาคกันของมนุษย์ทุกคน พร้อมทั้งปฏิเสธระบบการถือวรรณะและการแบ่งแยก มนษุ ยต์ ามเพศ ศาสนา ฐานะ เชือ้ ชาติ หรือสผี ิว ๔. ความเช่ือว่าชีวิตไม่ใช่ส่ิงช่ัวร้ายโดยกาเนิด แต่ถือกาเนิดจากความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงสร้างและประทานคาสอนให้แก่มนุษย์ เพื่อให้มนุษย์เข้าใจจุดประสงค์ท่ีแท้จริงในโลกนี้ และนามนษุ ยก์ ลบั สู่จุดกาเนดิ เดมิ คอื พระผเู้ ป็นเจา้ ดงั น้ัน คาสอนในศาสนาซิกข์จึงส่งเสริมให้เชื่อในความหวัง และการมองโลกในดา้ นดี ผู้สบื ทอดศาสนา ศาสนาซกิ ข์ไม่มพี ระหรอื นักบวช นักบญุ เนอื่ งจากพระศาสดาทรงเลง็ เห็นวา่ ศาสนิกชนโดยทวั่ ไป มักจะไม่สนใจที่จะศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรม จะมอบหน้าที่การผดุงรักษาศาสนาไว้แก่พระ หรือนักบวชของตน การประกอบพธิ กี รรมต่าง ๆ จาต้องพ่ึงนักบวช ทาให้มีการถือชนั้ วรรณะ และฐานะทางสงั คมตา่ งกัน เม่ือมีภัยมาถึงไม่มีศาสนิกชนใดจะออกมาปกป้องศาสนาและความเชื่อของตน พระศาสดาจึงมอบหมายให้ ศาสนิกชนแม้ว่าจะดารงชีวิตในรูปของฆราวาส ให้ศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรม ทาหน้าท่ีเผยแพร่ศาสนา และความเช่ือถือของตน ในปัจจุบันเน่ืองจากศาสนิกชนมีจานวนมาก มีภารกิจหน้าท่ีมากมาย จึงมอบหน้าท่ี การอบรมสอนพระธรรมศาสนวินัยแก่ผู้ท่ีได้ร่าเรียนศาสนกิจมาโดยเฉพาะ เรียกว่า “ศาสนาจารย์-ครันธี” เป็นผู้ทาหน้าท่ีน้ีแทน เขาจะดารงชีวิตในรูปของฆราวาสท่ัวไป ด้วยเหตุผลน้ีชาวซิกข์ทุกคนจะเรียนภาษา “ปญั จาบี-ครุ ุมุขค”ี เพอ่ื ทจี่ ะสามารถอ่านและเขา้ ใจพระธรรมในพระมหาคัมภีร์ศรคี รุ คุ รันถซ์ าฮิบได้ ขอ้ ปฏบิ ตั ิของศาสนาซิกข์ ศาสนาซิกข์มีข้อปฏิบัตใิ นชวี ิตประจาวันดังนี้ ๑. การสวดมนต์ ด้วยพระเมตตาและด้วยพระประสงค์ของวาเฮ่คุรุ และด้วยหลักแห่งสัจธรรมว่าด้วยการต่ืนนอน ตามปรกติวิสัยของมนุษย์ ซิกข์ผู้นอนหลับยามราตรีจะลุกขึ้นตื่นก่อนพระอาทิตย์ขึ้นพร้อมยกมือพนม เปล่งสานวนวาเฮ่คุรุ อันหมายถึงการยกย่องขอบคุณพระองค์ที่ได้ประทานความสุขยามราตรี และให้โอกาส ตืน่ ขนึ้ มาอีกวนั หนง่ึ เพ่ือจะระลกึ ถงึ พระองค์และดาเนนิ ชีวติ ตามแนวทางของพระองค์ ชาวซกิ ขจ์ ะอาบนา้ ชาระกาย แตง่ ตวั สภุ าพพรอ้ มคลมุ ศีรษะด้วยผ้าโพกศรี ษะในเพศชายและด้วยผา้ บางๆ ในเพศหญิง จากน้ันจะเข้าไปห้องประดิษฐานพระคัมภีร์พร้อมสวดขอพรซ่ึงเราเรียกว่า “อัรดาส” (Ardas) การสวดขอพรครัง้ น้เี ปน็ การสวดขออนญุ าตท่ีจะอญั เชญิ เปดิ พระมหาคัมภีรซ์ งึ่ เราเรียกว่าประกาช (Parkash)

-๗- จากน้ันจะน่ังบนแท่นพร้อมเปิดพระมหาคัมภีร์ด้วยความเคารพและด้วยความสารวม พระมหาคัมภีร์จะถูกสุ่มเปิด เพื่อนาพระวจนะจากย่อหน้าสุดท้ายทางหน้าขวามือมาอ่านจนถึงย่อหน้าถัดไปของหน้าทางซ้ายมือ เหตุผลก็เพื่อ ให้ผู้อ่านและผู้ฟงั สามารถเขา้ ใจพระวจนะคตทิ กุ วันวันละเล็กวันละน้อย และให้นาไปประยุกต์ในชีวิตประจาวัน พร้อมบอกกลา่ วให้คนในครอบครวั มิตรสหายได้รไู้ ด้เขา้ ใจด้วยคาอธิบายทเ่ี รยี บง่าย ชาวซิกข์ต้องสวดมนต์จากพระมหาคัมภีร์ทุกๆ วันวันละห้าบท คือ ยัปยี ซาฮิบ (Japji Sahib) ยาป ซาฮบิ (Jap Sahib) สวัยยะ (Saviya) เจาวปี ซาฮบิ (Chaupi Sahib) และ อนันท ซาฮิบ (Anand Sahib) ซง่ึ จะใชเ้ วลาท้ังหมดประมาณ ๓๐ – ๔๐ นาที จากนน้ั ชาวซกิ ขจ์ ะสวดขอพรหรืออัรดาสอีกคร้ังหนึ่ง ศาสนิกชนทปี่ ระสงคจ์ ะสวดคุรุมนต์ต่างหากเอกเทศ ทกุ ทา่ นที่อา่ นอักษรท่ีลขิ ติ ไวใ้ น พระมหาคัมภีรค์ รุ ุครันถซ์ าฮิบสามารถข้นึ น่งั บนทปี่ ระทับสวดได้ไมจ่ ากดั ถงึ เพศหรือวรรณะ ๒. อัรดาส (Ardas) ก่อนจะดาเนินการใดๆ ไมว่ า่ ทางศาสนาหรือทางสงั คมประเพณี ชาวซิกข์จะสวดขอพรจากพระศาสดา ซงึ่ มีเนือ้ หาหมายความดงั ต่อไปน้ี “ขา้ แต่พระศาสดานานักองค์ปฐมบรมศาสดาแห่งศาสนาซิกข์ และพระศาสดาอ่ืนๆ ทัง้ หลายจวบถงึ พระศาสดาคุรโุ คบนิ ด์ซิงห์ ผู้สถาปนาพระมหาคัมภีร์ ศิริคุรุครันถ์ ซาฮิบ เป็นพระศาสดานิรันดร์กาล แหง่ ศาสนาซกิ ข์ ขอพระองค์ไดโ้ ปรดเมตตาประทานพรให้....... (พร้อมกล่าวกิจกรรมหรือการร้องขอที่ต้องการ) .............. ท้ายที่สุดบทอัรดาสจะจบลงด้วยศาสนสานวนท่ีว่า “นานักนาม จัรดี กาลา เตเร่ ปาเน่ ซารบัธ ดา ปาร่า” อันหมายถึงว่าในนามของพระศาสดานานักขอความรักและสันติสุขจงประสบแด่มนุษยชาติท้ังหลาย จะเห็นได้ว่า บทสวดขอพรของศาสนาซิกข์ไม่ใช้เป็นการขอพรเพ่ือชาวซิกข์เท่านั้น หากแต่เป็นการร้องขอให้พระองค์ ทรงประทานพรและเมตตาแด่ชนทุกชั้น ทกุ วรรณะ ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา โดยเท่าเทียมกัน

-๘- หลังจากประกอบพธิ ีกรรมทางศาสนาส้ินสดุ ลงอยา่ งสมบูรณ์ ศาสนาจารยแ์ ละศาสนิกชน ลกุ ขึน้ ยนื สวดอรั ดาส ซง่ึ จะกระทาการอรั ดาสในทุกครัง้ ทส่ี วดคุรมุ นต์จบโดยสมบูรณ์ ๓. การแบ่งปัน ชาวซิกข์เชื่อในกฎแห่งกรรม เช่ือว่าผู้ใดที่ได้กระทาความดีจะได้รับผลบุญในรูปของความสุข ผู้ใดท่ีกระทากรรมชั่วจะเป็นทุกข์ไร้ซึ่งความสุข การทาบุญทากุศลไม่สามารถจะหักล้างบาปที่ตัวเองได้ก่อไว้ แต่จะสะสมบุญที่ตัวเองได้สร้างไว้ ฉะน้ันตามความเช่ือแห่งศาสนาซิกข์ บุญอยู่ส่วนบุญ บาปอยู่ส่วนบาป ไม่สามารถหกั ล้างกันได้ ดว้ ยเหตุผลน้มี นษุ ย์ทุกคนจึงมชี ีวติ ทล่ี ุ่มๆ ดอนๆ กล่าวคอื มีทุกข์บ้างมีสุขบ้างสลับกันไป ตามกรรมของตนเอง การทาบุญท่ีสูงท่ีสุดของชาวซิกข์คือการแบ่งปันเพ่ือผู้อ่ืนที่ขาดแคลนและเพื่อสังคม ที่ถูกลิดรอนโอกาส ในศาสนาซิกข์ไม่มีผู้ด้อยโอกาส มีแต่ผู้ที่โอกาสยังมาไม่ถึง ฉะนั้นการแบ่งปันจึงเป็นการช่วยเหลือ เพ่ือนมนุษย์ที่โอกาสยังไม่อานวย สาหรับชาวซิกข์นับเป็น ศาสนวินัยและเป็นศาสนบัญญัติที่ต้องบริจาค สบิ เปอร์เซ็นต์ของรายได้หลังจุนเจือครอบครัวของตนเองแล้วเพื่อจรรโลงไว้ซ่ึงสังคม ไม่ใช่ศาสนา เราเรียก การแบ่งปันนี้ว่า “ดัสวันต์” หรือ ร้อยชักสิบ ท้ังนี้การแบ่งปันจะไม่มีการบังคับเรียกร้องแต่อย่างใด ให้เป็นไปตาม ดุลพนิ จิ และศรัทธาของแต่ละบุคคล ตัวอย่างหน่ึงของการแบ่งปนั จะเห็นได้ในคุรุดวาราหรือ ศาสนสถานวัดซิกข์ ทุกแห่งทั่วโลก แม้กระท่ังในศาสนสถานวัดซิกข์ในกรุงเทพมหานครคือลังการหรือครัวพระศาสดา จะมีการ แจกจ่ายอาหารให้ศาสนิกชนทุกคนทุกศาสนาไม่จากัดเพศ วัย เชื้อชาติ หรือวรรณะ แม้คราวใดท่ีเพ่ือนมนุษย์ ได้รับความเดือดร้อนจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรือภัยพิบัติด้วยน้ามือของมนุษย์เอง องค์กรทางศาสนาซิกข์ จะร่วมมือกับศาสนิกชนชาวซิกข์และศาสนาอื่นๆ ในการบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประสบภัย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook