Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สติปัฏฐาน 4 ฉบับวิเคราะห์ สังเคราะห์

สติปัฏฐาน 4 ฉบับวิเคราะห์ สังเคราะห์

Published by thiwadon jirapunyo, 2022-01-16 14:51:36

Description: เภสัชกรสุรพล ไกรสราวุฒิ

Search

Read the Text Version

สตปิ ฏั ฐาน 4 ฉบบั วเิ คราะห์-สงั เคราะห์ จดั พมิ พแ์ ละเผยแพรโ่ ดย ธรรมสถานจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ขอขอบพระคณุ ศาสตราจารย์ ดร.มงคล เดชนครนิ ทร์ ราชบณั ฑติ สำนกั วทิ ยาศาสตร์ ราชบณั ฑติ ยสถาน ที่ได้กรุณาตรวจแก้สำนวนและวรรคตอนให้ถูกต้องและเหมาะสม

\"สตปิ ฏั ฐาน 4 ฉบบั วเิ คราะห-์ สงั เคราะห”์ เรียบเรยี ง : เภสชั กรสรุ พล ไกรสราวฒุ ิ พมิ พค์ รง้ั ท่ี 1 : พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2554 ธรรมสถานจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั จำนวน 4,000 เลม่ หลวงพอ่ ปฏจิ จะ สมั มตั ตะ10 (พระวนิ ยั สริ ธิ โร) จำนวน 500 เลม่ พระภาสกร ภรู วิ ฑฒฺ โน จำนวน 1,000 เลม่ ข้อมูลทางบรรณานุกรมของหอสมุดแห่งชาติ สรุ พล ไกรสราวฒุ .ิ สตปิ ฏั ฐาน 4 ฉบบั วเิ คราะห-์ สงั เคราะห.์ - - กรงุ เทพฯ : ธรรมสถานจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , 2554. 64 หนา้ . 1. สตปิ ฏั ฐาน 4. 2. วปิ สั สนา. I. ชอ่ื เรอ่ื ง 294.3122 ISBN : 978-616-551-395-1 บรรณาธกิ ารอำนวยการ : ศาสตราจารยก์ ติ ตคิ ณุ ดร.ระวี ภาวไิ ล บรรณาธกิ าร : เภสชั กรสรุ พล ไกรสราวฒุ ิ ออกแบบปก : นายมาโนช กลน่ิ ทรพั ย์ พสิ จู นอ์ กั ษร : นางปาลดิ า จริ ภาธงชยั ประสานงาน : นางสาวปทมุ รตั น์ กจิ จานนท,์ นางนติ พิ ร ใบเตย พมิ พท์ ่ี : โรงพมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั 254 ถนนพญาไท เขตปทมุ วนั กรงุ เทพฯ 10330 โทร.0-2215-1991-2 ลขิ สทิ ธ์ิ : ธรรมสถานจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั โทร. 0-2218-3018 Website : http://www.dharma-centre.chula.ac.th Email : [email protected] Dhammaintrend รว่ มเผยแพรแ่ ละแบ่งปันเป็ นธรรมทาน

คำนำ โดย ศาสตราจารยก์ ติ ตคิ ณุ ดร.ระวี ภาวไิ ล **************************************************** 13 กนั ยายน 2554

สารบญั หนา้ z สติ คอื อะไร ? 1 z สติ จดั อยใู่ นฝา่ ยดงี ามหรอื ฝา่ ยทเ่ี ปน็ กศุ ล 4 z สติ มปี ระเดน็ ทง้ั ในดา้ นปรมิ าณและคณุ ภาพ 6 z เรอ่ื งทค่ี วรทราบกอ่ น : 9 ♦ สติ แตกตา่ งจาก สมาธิ อยา่ งไร ? 9 ♦ สตปิ ฏั ฐาน 4 แตกตา่ งจาก อรยิ มรรค มอี งค์ 8 และ ไตรสกิ ขา อยา่ งไร ? 11 ♦ สตปิ ฏั ฐาน 4 เปน็ สมถภาวนา หรอื วปิ สั สนาภาวนา ? 14 ♦ สตปิ ฏั ฐาน 4 แตกตา่ งจาก สมั มาสติ และ สตทิ ว่ั ไป อยา่ งไร ? 14 ♦ สตปิ ฏั ฐาน 4 ในมหาสตปิ ฏั ฐานสตู ร แตกตา่ งจากใน 16 อานาปานสตสิ ตู ร อยา่ งไร ? z วเิ คราะห์ – สงั เคราะห์ สตปิ ฏั ฐาน 4 ในมหาสตปิ ฏั ฐานสตู ร 17 ♦ สตปิ ฏั ฐาน 4 ไมใ่ ชธ่ รรมสำหรบั ผเู้ รม่ิ ตน้ 18 ♦ ทำไมสตปิ ฏั ฐาน 4 จงึ ตง้ั อยบู่ นฐานของ กาย เวทนา จติ ธรรม 18 ♦ วเิ คราะห์ – สงั เคราะห์ กายานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน 20 ¾ อานาปานบรรพ (บทวา่ ดว้ ยลมหายใจ) 21 ¾ อริ ยิ าปถบรรพ (บทวา่ ดว้ ยอริ ยิ าบถ) 25 ¾ สมั ปชญั ญบรรพ (บทวา่ ดว้ ยการเคลอ่ื นไหวในอริ ยิ าบถยอ่ ย) 26 ¾ ปฏกิ ลู มนสกิ ารบรรพ (บทวา่ ดว้ ยความเปน็ ของไมส่ ะอาด) 28 ¾ ธาตมุ นสกิ ารบรรพ (บทวา่ ดว้ ยความเปน็ ธาต)ุ 29 ¾ นวสวี ถกิ าบรรพ (บทวา่ ดว้ ยสภาพทเ่ี ปน็ ศพ 9 ลกั ษณะ) 31 ♦ วเิ คราะห์ – สงั เคราะห์ เวทนานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน 32 ♦ วเิ คราะห์ – สงั เคราะห์ จติ ตานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน 41 ♦ วเิ คราะห์ – สงั เคราะห์ ธมั มานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน 44 ¾ นวี รณบรรพ (บทวา่ ดว้ ยเรอ่ื งนวิ รณ)์ 44 ¾ ขนั ธบรรพ (บทวา่ ดว้ ยเรอ่ื งขนั ธ)์ 46 ¾ อายตนบรรพ (บทวา่ ดว้ ยเรอ่ื งอายตนะ) 49 ¾ โพชฌงคบรรพ (บทวา่ ดว้ ยเรอ่ื งโพชฌงค)์ 51 ¾ สจั จบรรพ (บทวา่ ดว้ ยเรอ่ื งอรยิ สจั ) 53 ♦ ขอ้ พจิ ารณาสำคญั ในทา้ ยของทกุ บรรพ 54 ♦ อานสิ งสข์ องการเจรญิ สตปิ ฏั ฐาน 4 56 ♦ การจำแนกความแตกตา่ งระหวา่ งพระเสขะกบั พระอเสขะดว้ ยสตปิ ฏั ฐาน 4 57 z บทสรปุ / ดรรชนคี น้ คำ 59 / 60

สตปิ ฏั ฐาน 4 ฉบับวิเคราะห์-สงั เคราะห์ *********************************** สติ คอื อะไร ? มีคำที่กล่าวถึง สติ ในกระบวนการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ในบรบิ ทตา่ ง ๆ ไวอ้ ยา่ งนา่ สนใจ อาทิ : สน้ิ สต,ิ หมดสติ (สลบ, ภาวะหลบั , หมดความรสู้ กึ ตวั ) : คนื สต,ิ ฟน้ื คนื สติ (ฟน้ื , รสู้ กึ ตวั , กำหนดสง่ิ ตา่ ง ๆ ได)้ : เสยี สติ (เพย้ี น, บา้ , กำหนดอะไรไมไ่ ด)้ : ไมม่ สี ติ (ใจลอย, ไมเ่ อาใจใส)่ : เผลอสติ (สตทิ ข่ี าดชว่ ง หรอื ขาดตอนไปในขณะทำหนา้ ท)่ี : ขาดสติ ไรส้ ติ สตแิ ตก (ววู่ าม,ประมาท,ขาดความยง้ั คดิ ) : หลงสติหรอื หลงลมื สติ(ถลำตวั เขา้ ไปทำอะไรทผ่ี ดิ โดยไมร่ สู้ กึ ตวั ) : สตดิ ี (ระลกึ สง่ิ ทท่ี ำ-คำทพ่ี ดู ไดแ้ มน้ านแลว้ ) : มสี ติ (ทำอะไรดว้ ยความรสู้ กึ ผดิ ชอบ,ระมดั ระวงั ,ไมป่ ระมาท) : ไดส้ ติ (คดิ ได-้ นกึ ได,้ ยง้ั คดิ ) : เรยี กสติ (ปลกุ เรา้ ใหม้ สี ตเิ กดิ ขน้ึ ) : ตง้ั สติ (รวบรวมจติ ใจและความรสู้ กึ นกึ คดิ ) : คมุ สติ (ระมดั ระวงั ในการเผชญิ สถานการณ)์ : กำหนดสติ(ระลกึ อยกู่ บั เรอ่ื งหรอื สง่ิ ใดสง่ิ หนง่ึ อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง) 1

สติ ตามทไ่ี ดก้ ลา่ วมาแลว้ น้ี เปน็ สตทิ ป่ี รากฏอยใู่ นการดำเนนิ ชวี ติ ของบคุ คลทว่ั ไป เปน็ คำในภาษาบาลี สว่ นในภาษาสนั สกฤตใชค้ ำวา่ สมปฤดี ซง่ึ หากนำทง้ั หมดมาประมวล กอ็ าจจะทำใหเ้ หน็ และเขา้ ใจถงึ ระบบการทำงานของสตใิ นชวี ติ ประจำวนั ไดด้ ยี ง่ิ ขน้ึ สตใิ นระดบั พน้ื ฐานทส่ี ดุ คอื ความรสู้ กึ ตวั หมายความวา่ ธรรมชาตขิ องสง่ิ มชี วี ติ ทง้ั หลาย ซง่ึ รวมทง้ั มนษุ ย์ หากไมไ่ ดห้ ลบั หรอื ไม่ได้อยู่ในภาวะที่สลบ (สิ้นสติ, หมดสติ) เมื่อตื่นขึ้นหรือฟื้นขึ้น (คนื สต,ิ ฟน้ื คนื สต)ิ จะตอ้ งมสี ตเิ กดิ ขน้ึ และดำรงอยเู่ ปน็ ปกตขิ องชวี ติ ในระดบั หนง่ึ เพอ่ื หลอ่ เลย้ี งใหส้ ามารถดำเนนิ ชวี ติ ตอ่ ไปได้ กลา่ วคอื รสู้ กึ ถงึ ความดำรงอยขู่ องตวั ชวี ติ หรอื รสู้ กึ ถงึ ความเปน็ ตวั ของตวั เอง เชน่ รวู้ า่ ตนเองเปน็ ใคร เปน็ ตน้ เพราะหากไมม่ สี ตหิ รอื ความรสู้ กึ ตวั นเ้ี กดิ ขน้ึ แลว้ กจ็ ะทำใหก้ ำหนดอะไรไมไ่ ด้ อยา่ งทเ่ี รยี กวา่ เพย้ี นหรอื บา้ (เสยี สต)ิ สตใิ นระดบั ถดั ไป คอื สตทิ ใ่ี ชใ้ นการดำเนนิ ชวี ติ ทว่ั ไป ในการ เขา้ ไปทำหนา้ ทแ่ี ละเกย่ี วขอ้ งกบั สถานการณต์ า่ ง ๆ ทผ่ี า่ นเขา้ มา ซง่ึ จำแนก ตามลกั ษณะทส่ี ตเิ ขา้ ไปเกย่ี วขอ้ งไดเ้ ปน็ 2 ประเภท คอื 1. สติในกรณีที่ไม่พึงประสงค์ เชน่ ใจลอย หรอื ขาดการ เอาใจใส่ (ไมม่ สี ต)ิ , ขาดความตอ่ เนอ่ื งในการเอาใจใส่ หรอื มสี ตทิ ข่ี าด ชว่ งไป (เผลอสต)ิ , ววู่ าม ประมาท ขาดความยง้ั คดิ (ขาดสต,ิ ไรส้ ต,ิ สตแิ ตก) หรอื ถลำตวั เขา้ ไปทำอะไรทผ่ี ดิ โดยไมร่ สู้ กึ ตวั (หลงลมื สต)ิ 2. สตใิ นกรณที พ่ี งึ ประสงค์ เชน่ เปน็ ผมู้ ปี กตสิ ามารถจำการ กระทำ หรอื คำพดู ทเ่ี กดิ ขน้ึ ได้ แมน้ านมาแลว้ (สตดิ )ี , มคี วามระมดั ระวงั ไมป่ ระมาท ทำดว้ ยความรสู้ กึ ผดิ ชอบ กำหนดและระลกึ ตอ่ สง่ิ ตา่ ง ๆ ไดถ้ กู ตอ้ ง (มสี ต)ิ , มคี วามยง้ั คดิ คดิ ได-้ นกึ ได้ ไมถ่ ลำลกึ เขา้ ไปทำใน สง่ิ ทไ่ี มถ่ กู ตอ้ ง (ไดส้ ต)ิ , รจู้ กั ปลกุ เรา้ ตวั เอง ใหม้ คี วามระมดั ระวงั เพม่ิ 2

มากขึ้น (เรียกสติ), รู้จักรวบรวมจิตใจและความรู้สึกนึกคิดให้เป็น หนง่ึ เดยี วในการเขา้ ไปเผชญิ กบั สถานการณ์ (ตง้ั สต)ิ , คอยระมดั ระวงั อยตู่ ลอดเวลาในระหวา่ งทก่ี ำลงั เผชญิ สถานการณน์ น้ั ๆ (คมุ สต)ิ และ สามารถระลกึ รหู้ รอื ควบคมุ ใจใหอ้ ยกู่ บั เรอ่ื งหรอื สง่ิ ใดสง่ิ หนง่ึ เพอ่ื การ ทำกจิ ตา่ ง ๆ ใหเ้ ปน็ ไปตามทป่ี ระสงค์ (กำหนดสต)ิ ความหมายของ สติ ตามหลกั พระพทุ ธศาสนาทใ่ี ชม้ ากทส่ี ดุ คอื ความระลึกได้ มีความหมายว่า ความสามารถในการระลึกรู้ต่อ อารมณห์ รอื สง่ิ ทร่ี บั รู้ ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง โดยเฉพาะการรเู้ ทา่ ทนั วา่ อะไรเปน็ อะไร ประเด็นที่ว่า รู้เท่าทันอารมณ์ว่าอะไรเป็นอะไร นี้ เป็น ความหมายหลกั และสำคญั ทส่ี ดุ ของสติ กลา่ วคอื สามารถระลกึ ได้ วา่ อารมณท์ ร่ี ะลกึ อยนู่ น้ั คอื อะไร? เปน็ คณุ และประโยชน์ หรอื เปน็ โทษและ กอ่ ใหเ้ กดิ ปญั หาความเดอื ดรอ้ น เพอ่ื จะไดท้ ำหนา้ ทแ่ี ละจดั การแกอ่ ารมณ์ นน้ั ๆ ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง สมดงั พระพทุ ธพจนท์ ต่ี รสั เปรยี บ สติ ไวว้ า่ เปน็ เสมอื นนายประตเู มอื งผฉู้ ลาด เฉยี บแหลม มปี ญั ญา คอยหา้ มคนท่ี ตนไมร่ จู้ กั อนญุ าตใหค้ นทต่ี นรจู้ กั เขา้ ไปในเมอื งนน้ั (ส.ํ สฬ.18/342) ดงั นน้ั สติ จงึ เปน็ สง่ิ จำเปน็ ในทกุ กระบวนการ หรอื สถานการณ์ ของชวี ติ เพอ่ื ใหก้ ารดำเนนิ ชวี ติ เปน็ ไปดว้ ยดี และมคี วามราบรน่ื สมดงั พระพทุ ธพจนท์ ต่ี รสั วา่ “สตมิ ปี ระโยชนใ์ นทท่ี ง้ั ปวง” (ส.ํ มหา.19/572) “สตเิ ปน็ ธรรมเครอ่ื งตน่ื อยใู่ นโลก” (ส.ํ ส.15/61) “สตเิ ปน็ เครอ่ื งกน้ั กระแสในโลก” (ข.ุ ส.ุ 25/425) “ผมู้ สี ติ ยอ่ มเจรญิ ทกุ เมอ่ื ” (ส.ํ ส.15/306) และคำของผรู้ บู้ างทา่ นทว่ี า่ “สตจิ ำปรารถนาในทท่ี ง้ั ปวง” 3

เรอ่ื งราวของสตติ ามทไ่ี ดก้ ลา่ วไปแลว้ ทำใหเ้ ขา้ ใจเรอ่ื งของ สติ ไดง้ า่ ยขน้ึ และชดั เจนขน้ึ เมอ่ื ไปอา่ นการใหค้ วามหมายของ สติ ทป่ี รากฏ ในทต่ี า่ ง ๆ เชน่ ในพจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. 2542 ทไ่ี ดใ้ หค้ วามหมายไวว้ า่ สติ [อา่ นวา่ สะต]ิ น.(=คำนาม) ความรสู้ กึ ความรสู้ กึ ตวั , เชน่ ไดส้ ติ ฟน้ื คนื สติ สน้ิ สต,ิ ความรสู้ กึ ผดิ ชอบ เชน่ มีสติ ไร้สติ, ความระลึกได้ เช่น ตั้งสติ กำหนดสติ. [ป.(บาลี) ; ส.(สนั สกฤต) สมฺ ฤฺ ต]ิ หรอื ในพจนานกุ รมพทุ ธศาสน์ ฉบบั ประมวลศพั ท์ ของพระพรหม- คณุ าภรณ์ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ทไ่ี ดใ้ หค้ วามหมายวา่ สติ คอื ความระลกึ ได้ นกึ ได้ ความไมเ่ ผลอ การคมุ ใจไวก้ บั กจิ หรอื กมุ จติ ไวก้ บั สง่ิ ท่ี เกย่ี วขอ้ ง จำการทท่ี ำและคำทพ่ี ดู แลว้ แมน้ านได้ สติ จดั อยใู่ นฝา่ ยดงี ามหรอื ฝา่ ยทเ่ี ปน็ กศุ ล หลักธรรมในพระพุทธศาสนา จัด สติ ให้เป็นองค์ธรรมใน ฝา่ ยดี หรอื ฝา่ ยทเ่ี ปน็ กศุ ลเทา่ นน้ั ไมม่ สี ตทิ เ่ี ปน็ ฝา่ ยไมด่ หี รอื ฝา่ ยทเ่ี ปน็ อกศุ ลเลย ซง่ึ อาจเปน็ ทส่ี งสยั วา่ ทำไมจงึ จดั เชน่ นน้ั เพราะในเวลาทค่ี น ทำไมด่ ี กเ็ หน็ วา่ มสี ตคิ อยจดจอ้ งหรอื ระมดั ระวงั ในการกระทำอยา่ งยง่ิ ในพระไตรปิฎกก็ยังมีคำว่า มิจฉาสติ ซึ่งเป็นคำตรงข้ามกับคำว่า สมั มาสติ อยู่ ในเรอ่ื งน้ี หากพจิ ารณาในบททผ่ี า่ นมา จะเหน็ ไดว้ า่ ทจ่ี ำแนก เปน็ สตใิ นกรณที ไ่ี มพ่ งึ ประสงค์ และสตใิ นกรณที พ่ี งึ ประสงค์ นน้ั อนั ท่ี จรงิ ไมใ่ ชเ่ ปน็ การจำแนกจากตวั แกนคอื สตโิ ดยตรง วา่ มสี ตทิ เ่ี ปน็ ฝา่ ยดี และมสี ตทิ เ่ี ปน็ ฝา่ ยไมด่ ี แตเ่ ปน็ การจำแนกโดยพจิ ารณาวา่ ไม่มีสติ เกดิ ขน้ึ หรอื มสี ตเิ กดิ ขน้ึ ตา่ งหาก 4

จะเหน็ ไดว้ า่ เปน็ เพราะไมม่ สี ตเิ กดิ ขน้ึ นเ้ี อง เชน่ ไมม่ สี ติ หรือเผลอสติ จึงทำให้มีปัญหาและสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ เกิดขึ้น ตามมามากมาย ในทางตรงขา้ ม เปน็ เพราะมสี ตเิ กดิ ขน้ึ เชน่ ไดส้ ติ หรือมีสติ จึงทำให้เกิดความเรียบร้อยและประสบผลในการ ดำเนนิ การตา่ ง ๆ ทน่ี า่ ปรารถนา และเมื่อยิ่งได้พิจารณาความหมายของ สติ ตามหลักพระ- พทุ ธศาสนาทเ่ี ปรยี บ สติ เปน็ เสมอื นนายประตเู มอื งผฉู้ ลาด ทจ่ี ะคอย ระมดั ระวงั คดั เลอื กคนดี และคอยสกดั กน้ั คนไมด่ ี ใหผ้ า่ นหรอื ไมใ่ หผ้ า่ น เขา้ ประตเู มอื งดว้ ยแลว้ กเ็ หน็ ไดช้ ดั เจนวา่ สติ จดั อยใู่ นฝา่ ยดงี าม หรอื ฝา่ ยทเ่ี ปน็ กศุ ลโดยสว่ นเดยี ว ดงั นน้ั การจดจอ้ งหรอื ระมดั ระวงั ในขณะกระทำในสง่ิ ทไ่ี มด่ ี จงึ ไมใ่ ช่ สติ แตเ่ ปน็ องคธ์ รรมทเ่ี รยี กวา่ วติ ก คอื การยกจติ ขน้ึ สู่ การรบั รู้ หรอื มนสกิ าร คอื การกำหนดไวใ้ นใจ หรอื การใสใ่ จตอ่ สง่ิ ตา่ ง ๆ ซง่ึ เปน็ องคธ์ รรมทส่ี ามารถเกดิ รว่ มไดก้ บั จติ ทง้ั ทเ่ี ปน็ กศุ ลและอกศุ ล เพราะหากเปน็ สติ แลว้ จะตอ้ งระลกึ ไดว้ า่ สง่ิ ทท่ี ำอยนู่ ไ้ี มด่ ี เปน็ โทษ และยงั จะคอยทำหนา้ ทเ่ี ตอื นและสกดั กน้ั ไมใ่ หก้ ระทำในสง่ิ ท่ี ไมด่ นี น้ั อกี ดว้ ย สำหรบั มจิ ฉาสติ กไ็ มใ่ ชส่ ติ และไมไ่ ดม้ คี วามหมายวา่ เปน็ สตทิ ผ่ี ดิ แตอ่ นั ทจ่ี รงิ มคี วามหมายตรงกบั คำวา่ หลงสติ หรอื หลง- ลมื สติ ซง่ึ มคี วามหมายวา่ หลงไปวา่ เปน็ สติ (หลงไปวา่ เปน็ สง่ิ ทด่ี ี ทเ่ี ปน็ ประโยชน)์ หรอื ถลำตวั เขา้ ไปทำอะไรทผ่ี ดิ โดยไมร่ สู้ กึ ตวั (วา่ เปน็ สง่ิ ทไ่ี มด่ แี ละเปน็ โทษ) ตา่ งหาก 5

สติ มปี ระเดน็ ทง้ั ในดา้ นปรมิ าณและคณุ ภาพ สตกิ เ็ ปน็ เชน่ เดยี วกบั สง่ิ อน่ื ๆ กลา่ วคอื มเี รอ่ื งของปรมิ าณและ คุณภาพมาเกี่ยวข้องด้วย เพื่อที่จะให้การทำหน้าที่ของ สติ เป็นไป อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพและประสบความสำเรจ็ ปรมิ าณ ในทน่ี ้ี หมายถงึ การมสี ตอิ ยา่ งตอ่ เนอ่ื งไมข่ าดสาย คณุ ภาพ หมายถงึ ความละเอยี ดและประณตี ของสติ ในสว่ นของปรมิ าณ คงจะเขา้ ใจไดไ้ มย่ าก โดยพจิ ารณาจาก ความตอ่ เนอ่ื งของการมสี ตเิ ปน็ สำคญั การกระทำบางอยา่ งอาจยอม ใหม้ สี ตขิ าดตอนไดม้ ากหรอื นอ้ ยแตกตา่ งกนั ไป กส็ ามารถทำใหป้ ระสบ ความสำเรจ็ ได้ แตก่ ารกระทำบางอยา่ ง เชน่ การทำสมาธเิ พอ่ื ใหถ้ งึ ระดบั ทเ่ี ปน็ ฌาน หรอื ในขณะทเ่ี ปน็ มรรคจติ สตจิ ะขาดตอนไมไ่ ดเ้ ลย ส่วนคุณภาพ นั้น ขึ้นอยู่กับเรื่องหรือสิ่งหรือสถานการณ์ ทต่ี อ้ งการใหส้ ตเิ ขา้ ไปทำหนา้ ทเ่ี ปน็ สำคญั หากเปน็ เรอ่ื งทห่ี ยาบ ๆ เพยี ง ใชส้ ตพิ น้ื ๆ ทว่ั ไป มาทำหนา้ ท่ี กเ็ พยี งพอแลว้ แตห่ ากเปน็ เรอ่ื งทล่ี ะเอยี ด หรอื ประณตี กต็ อ้ งอาศยั สตทิ ม่ี คี ณุ ภาพละเอยี ดและประณตี ในระดบั ท่ี พอเหมาะแกก่ นั จงึ จะทำใหก้ ารทำหนา้ ทน่ี น้ั ๆ ประสบความสำเรจ็ ได้ ยกตวั อยา่ งเชน่ การเดนิ หากเดนิ บนทางเรยี บ เพยี งอาศยั คณุ ภาพของสติ ในระดบั พน้ื ๆกส็ ามารถเดนิ เปน็ ไปสจู่ ดุ หมายไดด้ ว้ ยความเรยี บรอ้ ยแตห่ าก เดนิ อยบู่ นทางทข่ี รขุ ระเปน็ หลมุ เปน็ บอ่ กจ็ ะตอ้ งใชส้ ตทิ ล่ี ะเอยี ดประณตี ยง่ิ ขน้ึ และหากเดนิ อยบู่ นทางแคบทน่ี า่ กลวั หรอื เดนิ บนเสน้ เชอื ก กต็ อ้ งใช้ สตทิ ม่ี คี ณุ ภาพละเอยี ดประณตี ยง่ิ ขน้ึ ไปอกี และอาจตอ้ งฝกึ ฝนใหม้ ขี น้ึ เปน็ การเฉพาะ ในทางจติ กเ็ ชน่ เดยี วกนั สตทิ จ่ี ะใชส้ ำหรบั การพฒั นาจติ ในระดบั ตา่ ง ๆ เชน่ ระดบั ศลี ระดบั สมาธิ และระดบั ปญั ญา กต็ อ้ งใชส้ ตทิ ม่ี คี ณุ ภาพ แตกตา่ งกนั ในกรณขี องพระอรหนั ตจ์ ะตอ้ งมคี ณุ ภาพของสตถิ งึ ขน้ั สมบรู ณ์ 6

ในบคุ คลทว่ั ไป จะมกี ารพฒั นา สติ โดยอาศยั เหตกุ ารณห์ รอื สง่ิ ทเ่ี ผชญิ เปน็ บทเรยี นหรอื บทฝกึ หดั เชน่ จากการเรยี นในสถานศกึ ษา จากการทำงาน หรอื จากประสบการณช์ วี ติ ดงั คำกลา่ วทว่ี า่ “ไมส้ อน ช่างไม้” ไม่มีระบบการสอนและปฏิบัติเพื่ออบรมและพัฒนาสติเป็น การเฉพาะ อาจกลา่ วไดว้ า่ มเี พยี งคำสอนในพระพทุ ธศาสนาเทา่ นน้ั ทใ่ี หค้ วามสำคญั แก่ สติ อยา่ งยง่ิ และมคี ำสอนเพอ่ื อบรมและ พฒั นา สติ เปน็ การเฉพาะ เชน่ สตปิ ฏั ฐาน, สตนิ ทรยี ,์ สตพิ ละ, สติสัมโพชฌงค์, สัมมาสติ เป็นต้น จึงมีคำที่ใช้เกี่ยวกับ สติ ใน แวดวงศาสนา เพม่ิ เตมิ ขน้ึ อกี เชน่ คำวา่ : ทำสติ หรอื เจรญิ สติ (ฝกึ ฝน, พฒั นาใหเ้ กดิ สต)ิ : ดำรงสติ (ทำสตใิ หอ้ ยตู่ อ่ เนอ่ื งกบั สง่ิ หรอื เรอ่ื งใดเรอ่ื งหนง่ึ ) : สติสมบูรณ์ (มีสติตลอดเวลา จนทำให้ไม่มีความผิดพลาดใน ในการรบั รสู้ ง่ิ ตา่ ง ๆ แลว้ ทำใหก้ เิ ลสเกดิ ขน้ึ ) การมรี ะบบปฏบิ ตั เิ พอ่ื อบรมและพฒั นา สติ เปน็ การเฉพาะ ก็เพราะว่าสติในกรณีของบุคคลทั่วไปตามที่กล่าวไปแล้วทั้งหมดนั้น มปี รมิ าณและคณุ ภาพเพยี งพอแกก่ ารปฏบิ ตั หิ นา้ ทต่ี า่ ง ๆ ทว่ั ไป ใหเ้ กดิ ความเรยี บรอ้ ยและประสบความสำเรจ็ ดว้ ยดเี ทา่ นน้ั แตไ่ มเ่ พยี งพอ ทจ่ี ะนำไปใชใ้ นการกระทำเพอ่ื ใหก้ เิ ลสหมดไป หรอื ทำใหบ้ คุ คล หลดุ พน้ จากทกุ ขไ์ ด้ ดงั นน้ั จงึ ตอ้ งมกี ารปฏบิ ตั แิ ละพฒั นาสตใิ หย้ ง่ิ ๆ ขน้ึ ไป หนงั สอื นจ้ี ะเนน้ เรอ่ื งการปฏบิ ตั ติ ามระบบ สตปิ ฏั ฐาน 4 ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ไดต้ รสั ไวใ้ นมหาสตปิ ฏั ฐานสตู ร ซง่ึ อยใู่ นพระไตรปฎิ ก เลม่ ท่ี 10 ขอ้ 273 ถงึ 300 เปน็ สำคญั เพราะเหน็ วา่ เปน็ ระบบปฏบิ ตั ทิ ไ่ี ดร้ บั 7

ความนยิ มอยา่ งแพรห่ ลาย ในแวดวงพทุ ธบรษิ ทั นกิ ายเถรวาท ในประเทศ ตา่ ง ๆ ทว่ั โลก นอกจากนั้น พระสูตรดังกล่าวยังมีพระพุทธพจน์ที่ได้ตรัส ให้เห็นถึงความสำคัญยิ่งของ สติปัฏฐาน 4 ตลอดจนอานิสงส์ของ การปฏิบัติ ซึ่งอยู่ในตอนท้ายของพระสูตร เป็นเครื่องยืนยันให้เป็น หลักประกันอันแน่นอนและมั่นคงสำหรับผู้ปฏิบัติตามแนวทางนี้ ไวอ้ ยา่ งนา่ สนใจวา่ “....หนทางนเ้ี ปน็ ทไ่ี ปอนั เอก เพอ่ื ความบรสิ ทุ ธข์ิ อง เหลา่ สตั ว์ เพอ่ื ลว่ งความโศกและปรเิ ทวะ เพอ่ื ความ ดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุธรรมที่ ถกู ตอ้ ง เพอ่ื ทำใหแ้ จง้ ซง่ึ พระนพิ พาน หนทางน้ี คอื สตปิ ฏั ฐาน 4.... ....ผใู้ ดผหู้ นง่ึ พงึ เจรญิ สตปิ ฏั ฐานทง้ั 4 น้ี อยา่ งน้ี ตลอด 7 ปี (ไดท้ รงแสดงลดหลน่ั ลงมาเปน็ 6 ป,ี 5 ป.ี ... ตลอด 7 เดือน, 6 เดือน....จนถึงท้ายที่สุดทรง แสดงว่าตลอด 7 วัน) เขาพึงหวังผล 2 ประการ อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ คอื พระอรหตั ผลในปจั จบุ นั 1 หรอื เมอ่ื ยงั มอี ปุ าทเิ หลอื อยู่เปน็ พระอนาคามี 1....” ผเู้ รยี บเรยี งจะไดอ้ ธบิ ายในเชงิ วเิ คราะห-์ สงั เคราะห์ ใน ลกั ษณะใหเ้ หน็ ภาพรวม (bird’s-eye view) โดยสงั เขป เพอ่ื ใหม้ ี ความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น และสามารถนำไปปฏิบัติให้ได้รับ ประโยชนอ์ ยา่ งกวา้ งขวางในชวี ติ ประจำวนั ตอ่ ไป 8

เรอ่ื งทค่ี วรทราบกอ่ น : กอ่ นทจ่ี ะอธบิ ายและวเิ คราะห-์ สงั เคราะหถ์ งึ เนอ้ื หาสาระของ สตปิ ฏั ฐาน 4 ตามทพ่ี ระพทุ ธองคไ์ ดท้ รงแสดงไวใ้ นมหาสตปิ ฏั ฐานสตู ร ผเู้ รยี บเรยี งเหน็ วา่ ควรจะไดม้ กี ารทำความเขา้ ใจในเรอ่ื งอน่ื ๆ ทอ่ี ยรู่ อบขา้ ง ที่ใกล้กัน หรือที่คาบเกี่ยวกัน ตามสมควร เพราะเห็นว่าจะเป็น ประโยชน์ และจะทำใหเ้ ขา้ ใจในสตปิ ฏั ฐาน 4 แจม่ แจง้ ยง่ิ ขน้ึ เมอ่ื ถงึ บท ทอ่ี ธบิ ายเนอ้ื หาสาระโดยตรง สติ แตกตา่ งจาก สมาธิ อยา่ งไร? มีพุทธบริษัทจำนวนไม่น้อย ที่แยกไม่ออกระหว่าง สติ กับ สมาธิ วา่ แตกตา่ งกนั อยา่ งไร ? สติ คอื ความระลกึ ได้ หมายถงึ ความสามารถในการระลกึ อยกู่ บั อารมณท์ ร่ี บั รู้ และรเู้ ทา่ ทนั วา่ อะไรเปน็ อะไร สมาธิ คอื ความตง้ั ใจมน่ั หมายถงึ ความตง้ั มน่ั ความแนว่ แน่ ในการรบั รอู้ ารมณ์ ทง้ั นเ้ี พอ่ื รวมใจใหเ้ ปน็ หนง่ึ เดยี วในการรบั รู้ และทำให้ เกดิ ใจทม่ี คี ณุ ภาพทเ่ี หมาะสม กลา่ วคอื มคี วามผอ่ งใส (ปรสิ ทุ โฺ ธ) ตง้ั มน่ั (สมาหโิ ต) และควรแกก่ ารงาน (กมมฺ นโี ย) โดยธรรมชาติ จะตอ้ งมที ง้ั สติ และ สมาธิ ทำหนา้ ทร่ี ว่ มกนั อย่างใกล้ชิด จึงจะทำให้การทำกิจหรือหน้าที่ต่าง ๆ ประสบความ สำเรจ็ ดว้ ยดี กลา่ วคอื มที ง้ั สตทิ ร่ี ะลกึ รอู้ ยกู่ บั อารมณ์ รเู้ ทา่ ทนั วา่ อะไร เปน็ อะไร และมสี มาธทิ ต่ี ง้ั มน่ั หรอื แนว่ แนอ่ ยกู่ บั อารมณน์ น้ั ดว้ ย การ ทำหนา้ ทร่ี ว่ มกนั น้ีจำเปน็ ตอ้ งนำไปใชใ้ นการปฏบิ ตั ภิ ารกจิ ทง้ั ปวง รวมถงึ กจิ สำคญั ในพระพทุ ธศาสนาซง่ึ มอี ยู่ 2 กจิ ใหญ่ คอื สมถภาวนา และ วปิ สั สนาภาวนา 9

ในการปฏบิ ตั สิ มถภาวนา ซง่ึ เปน็ การปฏบิ ตั ทิ ม่ี จี ดุ มงุ่ หมาย เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความสงบของจติ เพอ่ื ปรบั ปรงุ จติ ใหม้ คี ณุ ภาพทเ่ี หมาะสม ไมใ่ หม้ นี วิ รณซ์ ง่ึ เปน็ เครอ่ื งบน่ั ทอนจติ เกดิ ขน้ึ รบกวน สตจิ ะทำหนา้ ทเ่ี ลอื กระลกึ รอู้ ยกู่ บั สง่ิ หรอื อารมณอ์ นั เปน็ ทต่ี ง้ั ท่ี จะนำไปสคู่ วามสงบและละเอยี ดประณตี ของจติ (ตวั อยา่ งคอื อารมณ์ ใน กรรมฐาน 40) และสมาธจิ ะทำใหเ้ กดิ ความตง้ั มน่ั แนว่ แนอ่ ยกู่ บั อารมณ์ที่สติระลึกอยู่ ไม่ให้คลาดเคลื่อน หรือหลุดไปจากอารมณ์ที่ รบั รนู้ น้ั ความสงบและความละเอยี ดประณตี ของจติ กจ็ ะคอ่ ย ๆ ปรากฏ ขน้ึ ตามปรมิ าณและคณุ ภาพของสตแิ ละสมาธทิ ม่ี อี ยใู่ นขณะนน้ั และ เมอ่ื ปฏบิ ตั ไิ ปจนถงึ ทส่ี ดุ จะนำไปสสู่ มาธใิ นระดบั ลกึ ทเ่ี รยี กวา่ ฌาน กรณีนี้อาจเปรียบได้กับการจับแก้วน้ำที่ภายในบรรจุน้ำที่มี ตะกอนใหน้ ง่ิ ไว้ ไมใ่ หซ้ ดั สา่ ยไปมา ตะกอนทฟ่ี งุ้ อยู่ จะคอ่ ย ๆ ตกลงสู่ กน้ แกว้ ทำใหไ้ ดน้ ำ้ ใสในทส่ี ดุ ในทน่ี เ้ี ปรยี บการจบั แกว้ ไดก้ บั สติ การจบั แกว้ ใหน้ ง่ิ ไมใ่ หซ้ ดั สา่ ย คอื สมาธิ นำ้ ทใ่ี ส คอื ความสงบและละเอยี ด ประณตี ของจติ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ส่วนการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่มี จดุ มงุ่ หมายเพอ่ื ใหเ้ กดิ ปญั ญา สตจิ ะทำหนา้ ทร่ี ะลกึ รอู้ ยกู่ บั อารมณห์ รอื เรอ่ื งทป่ี ระสงคจ์ ะให้ เกดิ ปญั ญาหรอื ความรแู้ จง้ แลว้ คอยตดิ ตามพจิ ารณาความเปน็ ไปตา่ ง ๆ จนพบเหตปุ จั จยั หรอื ความสมั พนั ธท์ เ่ี ปน็ เหต-ุ ผลของเรอ่ื งนน้ั ๆ ซง่ึ ใน ระหวา่ งทก่ี ำลงั ตดิ ตามพจิ ารณาอยนู่ น้ั ตอ้ งอาศยั สมาธิ คอื ความตง้ั มน่ั และแน่วแน่ ควบคุมไม่ให้คลาดเคลื่อน หรือหลุดไปจากขอบวงของ เรอ่ื งทป่ี ระสงคจ์ ะใหเ้ กดิ ความรแู้ จง้ กจ็ ะทำใหเ้ กดิ ปญั ญาหรอื ความรู้ แจง้ เรอ่ื งนน้ั ๆ ในทส่ี ดุ 10

กรณีนี้อาจเปรียบได้กับการติดตามและเฝ้าดูนกชนิดหนึ่ง โดยมงุ่ หวงั จะใหม้ ปี ญั ญาหรอื ความรแู้ จง้ ในเรอ่ื งนกชนดิ นน้ั หลกั ปฏบิ ตั ิ ในทน่ี ้ี คอื จะตอ้ งคอยตดิ ตามและเฝา้ ดทู ง้ั ในดา้ นพฤตกิ รรมและความ เปลย่ี นแปลงตา่ ง ๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ อยตู่ ลอดเวลา (=สต)ิ และยงั จะตอ้ งเฝา้ ดู อยา่ งต่อเนือ่ ง ไม่ลดละและไมเ่ ปล่ียนเปา้ หมายไปเรอื่ งอ่ืน (=สมาธ)ิ จนในทส่ี ดุ กจ็ ะพบความจรงิ ตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั นกชนดิ นน้ั (=ปญั ญา) สตปิ ฏั ฐาน 4 แตกตา่ งจาก อรยิ มรรค มอี งค์ 8 และ ไตรสกิ ขา อยา่ งไร ? ระบบปฏิบัติที่สำคัญในพระพุทธศาสนาเพื่อความดับทุกข์ (ทุกขอริยสัจ) หรือเพื่อให้จิตของบุคคลอยู่เหนืออิทธิพลการบีบคั้น เสียดแทงจากสิ่งต่าง ๆ ทั้งปวงอย่างสิ้นเชิงนั้น เมื่อประมวลแล้ว อาจจำแนกไดว้ า่ มี 3 ระบบ คอื 1. อรยิ มรรค มอี งค์ 8 2. ไตรสกิ ขา 3. สตปิ ฏั ฐาน 4 อนั ทจ่ี รงิ ระบบปฏบิ ตั ทิ ง้ั 3 น้ี เปน็ สง่ิ เดยี วกนั มจี ดุ มงุ่ หมาย อนั เดยี วกนั คอื มงุ่ หมายใหเ้ กดิ ญาณ หรอื วชิ ชา และนำไปสู่ วมิ ตุ ติ หรอื ความหลดุ พน้ จากทกุ ข์ ทง้ั น้ีอรยิ มรรคมอี งค์ 8 เมอ่ื ปฏบิ ตั จิ นสมบรู ณ์ จะทำใหเ้ กดิ สมั มาญาณะ และสมั มาวมิ ตุ ติ (ดสู มั มตั ตะ 10 ใน อง.ฺ เอกาทสก. 24/104) สว่ นสตปิ ฏั ฐาน4 เมอ่ื ปฏบิ ตั จิ นสมบรู ณ์ จะทำใหเ้ กดิ โพชฌงค์ วชิ ชา และวมิ ตุ ติ ซง่ึ จะไดแ้ สดงรายละเอยี ดใหช้ ดั เจนยง่ิ ขน้ึ ตอ่ ไป 11

อรยิ มรรค มอี งค์ 8 เนน้ ไปในเรอ่ื งของกจิ ทบ่ี คุ คลมกี ารกระทำ ซึ่งทั้งหมดจะต้องได้รับการอบรมและพัฒนาให้เป็นไปโดยถูกต้อง กลา่ วโดยสรปุ คอื ความเหน็ (สมั มาทฏิ ฐ)ิ , ความคดิ -ตอ้ งการ (สมั มา- สงั กปั ปะ), การพดู (สมั มาวาจา), การกระทำทางกาย (สมั มากมั มนั ตะ), การเลย้ี งชพี (สมั มาอาชวี ะ), ความเพยี ร (สมั มาวายามะ), การระลกึ รู้ (สมั มาสต)ิ และความตง้ั มน่ั ของจติ (สมั มาสมาธ)ิ ไตรสกิ ขา เนน้ ไปในแงก่ ารประยกุ ตอ์ รยิ มรรรค มอี งค์ 8 เพอ่ื ใหเ้ หน็ เปา้ หมาย (impact) และลำดบั ของการปฏบิ ตั ใิ หช้ ดั ขน้ึ กลา่ วคอื การปฏบิ ตั ใิ นลำดบั แรก คอื ศลี นน้ั มจี ดุ มงุ่ หมายเพอ่ื ปรบั ปรงุ พฤตกิ รรม การแสดงออกของบคุ คลทม่ี ตี อ่ บคุ คล และสง่ิ ตา่ ง ๆ ภายนอกใหถ้ กู ตอ้ ง ไมใ่ หเ้ กดิ ปญั หา หรอื เกดิ ความเดอื ดรอ้ น (=การพดู การกระทำทางกาย การเลย้ี งชพี ) ; การปฏบิ ตั ใิ นลำดบั ถดั ไป คอื สมาธิ มจี ดุ มงุ่ หมายเพอ่ื ปรบั ปรงุ คณุ ภาพของจติ ใหม้ คี วามเหมาะสม กลา่ วคอื ทำใหจ้ ติ มคี วาม ผอ่ งใส ตง้ั มน่ั คลอ่ งแคลว่ ควรแกก่ ารงาน และอยใู่ นอำนาจการควบคมุ ของสติ (=ความเพยี ร การระลกึ รู้ ความตง้ั มน่ั ของจติ ) และการปฏบิ ตั ิ ในลำดับสุดท้าย คือ ปญั ญา มีจุดมุ่งหมายเพื่อนำจิตที่มีคุณภาพที่ พรอ้ มและเหมาะสมนน้ั ไปศกึ ษาเรยี นรู้ ใหร้ เู้ ทา่ ทนั ความจรงิ ของสง่ิ ตา่ ง ๆ (=ความเหน็ ความคดิ -ตอ้ งการ รวมไปถงึ วชิ ชา หรอื ญาณ) จนถอน ความยดึ ตดิ ถอื มน่ั ในสง่ิ ตา่ ง ๆ ไดใ้ นทส่ี ดุ เมอ่ื ไมม่ คี วามยดึ ตดิ ถอื มน่ั กย็ อ่ มดบั ทกุ ข์ (ทกุ ขอรยิ สจั ) ใหห้ มดสน้ิ ไปดว้ ย สว่ น สตปิ ฏั ฐาน 4 เปน็ ระบบปฏบิ ตั ทิ เ่ี นน้ การอบรมและพฒั นา สตใิ หม้ คี ณุ ภาพในแบบทก่ี ำหนด แลว้ ใชส้ ตติ ามดเู รอ่ื งราวของชวี ติ ในทกุ แงม่ มุ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ทกุ ขแ์ ละความดบั ทกุ ข์ ซง่ึ นอกจากจะทำใหเ้ กดิ ปญั ญา ดบั ทกุ ขไ์ ดแ้ ลว้ ยงั ทำใหร้ อบรธู้ รรมชาตชิ วี ติ อยา่ งลกึ ซง้ึ และกวา้ งขวาง 12

นอกจากนั้น หากนำเอาหัวใจคำสอนของพระพุทธศาสนา ซง่ึ ไดแ้ ก่ อรยิ สจั 4 และปฏจิ จสมปุ บาท มาเปน็ ตวั ตง้ั กส็ ามารถจำแนก ความแตกตา่ งของระบบปฏบิ ตั ทิ ง้ั 3 ไดใ้ นอกี ลกั ษณะหนง่ึ ดงั น้ี อรยิ มรรค มอี งค์ 8 หรอื ทส่ี รปุ รวมลงเปน็ ไตรสกิ ขา เปน็ ระบบปฏบิ ตั ทิ จ่ี ดั อยใู่ นชดุ หวั ใจคำสอนเรอ่ื ง อรยิ สจั 4 ซง่ึ เปน็ ท่ี ชดั เจนวา่ อยใู่ นขอ้ สดุ ทา้ ยของอรยิ สจั 4 ส่วน สติปัฏฐาน 4 แม้ว่าจะไม่มีพระพุทธพจน์ตรัสไว้ อยา่ งชดั เจน แตเ่ มอ่ื พจิ ารณาแลว้ เหน็ วา่ ควรจดั เปน็ ระบบปฏบิ ตั ิ ทเ่ี นอ่ื งอยใู่ นชดุ หวั ใจคำสอนเรอ่ื ง ปฏจิ จสมปุ บาท มูลเหตุที่กล่าวเช่นนี้ เพราะได้พิจารณาจากกระบวนธรรมที่ พระพทุ ธเจา้ ตรสั แสดงลำดบั ของการปฏบิ ตั ิ ทว่ี า่ ... คบสตั บรุ ษุ --> ไดฟ้ งั ธรรม --> เกดิ ศรทั ธา --> โยนโิ สมนสกิ าร - -> สตสิ มั ปชญั ญะ --> อนิ ทรยี สงั วร --> สจุ รติ 3 --> สตปิ ฏั ฐาน 4 - -> โพชฌงค์ 7 --> วชิ ชา --> วมิ ตุ ติ (อง.ฺ เอกาทสก. 24/61) ในกระแสปฏจิ จสมปุ บาทนน้ั เปน็ ทช่ี ดั เจนวา่ ชว่ งสำคญั ทส่ี ดุ ชว่ งหนง่ึ ทท่ี ำใหเ้ กดิ ทกุ ข์ (ทกุ ขอรยิ สจั )ขน้ึ คอื เมอ่ื มผี สั สะแลว้ และดว้ ยการรบั รู้ แบบอโยนโิ สมนสกิ าร จงึ ทำใหเ้ กดิ ความหลงใหลในเวทนานำไปสู่ตณั หา- -> อปุ าทาน --> ภพ --> ชาติ --> ชรามรณะ จนเกดิ เปน็ กองทกุ ข์ ครบกระแส ของปฏจิ จสมปุ บาท (โปรดอา่ นรายละเอยี ดเพม่ิ เตมิ ในหนงั สอื “ปฏจิ จสมปุ บาท ฉบบั วเิ คราะห-์ สงั เคราะห์ จดั พมิ พโ์ ดยธรรมสถานจฬุ าฯ เมอ่ื ปี 2553) แตห่ ากมผี สั สะแลว้ เปลย่ี นการ รบั รเู้ ปน็ แบบ โยนโิ สมนสกิ าร กจ็ ะนำไปสรู่ ะบบปฏบิ ตั ิคอื สตปิ ฏั ฐาน 4 ทำให้ เกดิ ผลคอื โพชฌงค์วชิ ชาซง่ึ วชิ ชาทเ่ี กดิ ขน้ึ น้ีจะไปทำลายอวชิ ชาใหห้ มดไป ทำใหบ้ รรลวุ มิ ตุ ติ คอื ความหลดุ พน้ จากทกุ ข์ ดงั นน้ั จงึ กลา่ วไดว้ า่ สตปิ ฏั ฐาน 4 เปน็ ระบบปฏบิ ตั เิ พอ่ื ความพน้ ทกุ ข์สำหรบั ชดุ คำสอนเรอ่ื งปฏจิ จสมปุ บาท 13

สตปิ ฏั ฐาน 4 เปน็ สมถภาวนา หรอื วปิ สั สนาภาวนา ? หากพจิ ารณาวตั ถปุ ระสงคข์ องการเจรญิ สตปิ ฏั ฐาน 4 ทป่ี ฏบิ ตั ิ เพอ่ื โพชฌงค์ 7 วชิ ชา และวมิ ตุ ติ แลว้ กเ็ ปน็ ทช่ี ดั เจนวา่ สตปิ ฏั ฐาน 4 จดั เปน็ วปิ สั สนาภาวนา เพราะมจี ดุ มงุ่ หมายเพอ่ื ปญั ญาเปน็ สำคญั แต่หากพิจารณารายละเอียดของสติปัฏฐานในแต่ละหมวด ซง่ึ จะไดก้ ลา่ วตอ่ ไป เชน่ อานาปานบรรพในหมวดกาย โดยเฉพาะใน ขน้ั ตอนสดุ ทา้ ยทว่ี า่ “ทำกายสงั ขารใหร้ ะงบั ” คอื การทำลมหายใจให้ สงบลง ซง่ึ เปน็ ภาวะทจ่ี ติ อยใู่ นระดบั ฌาน หรอื คำวา่ “เวทนาทไ่ี มม่ อี ามสิ ” ในหมวดเวทนา และคำวา่ “จติ ทเ่ี ปน็ มหรคต” ซง่ึ ลว้ นหมายถงึ จติ ในภาวะ ทเ่ี ปน็ ฌาน กก็ ลา่ วไดว้ า่ สตปิ ฏั ฐาน 4 มนี ยั ทเ่ี ปน็ สมถภาวนาดว้ ย ดงั นน้ั จงึ กลา่ วไดว้ า่ สตปิ ฏั ฐาน 4 เปน็ ทง้ั สมถภาวนาและ วปิ สั สนาภาวนา สตปิ ฏั ฐาน 4 (ในมหาสตปิ ฏั ฐานสตู ร) แตกตา่ งจาก สมั มาสติ (ในอรยิ มรรคมอี งค์ 8) และ สตทิ ว่ั ไป อยา่ งไร? * สมั มาสติ มคี ณุ ลกั ษณะอยา่ งทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ตรสั ไวว้ า่ “สมั มาสติ เปน็ ไฉน ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี พจิ ารณาเหน็ กาย ในกายอยู่ (เวทนา, จติ และธรรม) มคี วามเพยี ร มสี มั ปชญั ญะ มสี ติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ อันนี้เรียกว่า สัมมาสติ ฯ” (ท.ี ม. 10/299) กลา่ วโดยสรปุ สมั มาสติ จะเนน้ เฉพาะเรอ่ื งการมคี ณุ ภาพของ สติ ดงั รายละเอยี ดขา้ งตน้ เทา่ นน้ั กลา่ วคอื เปน็ สตทิ ต่ี ามพจิ ารณากาย เวทนา จติ และธรรม ซง่ึ ประกอบพรอ้ มอยดู่ ว้ ยความเพยี รและสมั ปชญั ญะ 14

(คอื ปญั ญา) และดว้ ยความรสู้ กึ หรอื ทา่ ทที เ่ี ปน็ กลาง ไมม่ อี คตทิ ง้ั ใน ทางชอบ (อภชิ ฌา) และชงั (โทมนสั ) โดยไมต่ อ้ งแสดงรายละเอยี ดทจ่ี ะ ใหส้ ตริ ะลกึ เพราะรายละเอยี ดตา่ ง ๆ มอี ยใู่ นมรรคขอ้ อน่ื ๆ ครบถว้ นแลว้ นอกจากนน้ั สมั มาสติ ยงั ถกู จดั ใหอ้ ยใู่ นสมาธขิ นั ธ์ (ม.มู 12/ 508) กลา่ วคอื เปน็ องคป์ ระกอบหนง่ึ ทท่ี ำใหจ้ ติ มคี ณุ ภาพทเ่ี หมาะสม เทา่ นน้ั * สว่ น สติ ในสตปิ ฏั ฐาน 4 มคี ณุ ลกั ษณะเปน็ อยา่ งเดยี วกบั สติ ในสมั มาสติ แตท่ ต่ี า่ งออกไป คอื มรี ายละเอยี ดของกาย เวทนา จติ และธรรม ทใ่ี หต้ ง้ั สตเิ พอ่ื ตามเหน็ ความจรงิ เพม่ิ ขน้ึ อกี มาก นอกจากนน้ั ยงั มพี ระพทุ ธพจนท์ ต่ี รสั ไวใ้ นตอนทา้ ยของมหาสตปิ ฏั ฐานสตู ร (ท.ี ม. 10/273) เพม่ิ เตมิ ไวอ้ กี ดงั น้ี “อกี อยา่ งหนง่ึ สตขิ องเธอทต่ี ง้ั มน่ั อยวู่ า่ กายมอี ยู่ (เวทนา มอี ย,ู่ จติ มอี ยู่ และธรรมมอี ย)ู่ กเ็ พยี งสกั วา่ ความรู้ เพยี งสกั วา่ อาศยั ระลกึ เทา่ นน้ั เธอเปน็ ผอู้ นั ตณั หาและทฐิ ไิ มอ่ าศยั อยแู่ ลว้ และไมถ่ อื มน่ั อะไรๆ ในโลก” ซง่ึ เปน็ การเนน้ ยำ้ ใหเ้ หน็ หนา้ ทข่ี องสตใิ นสตปิ ฏั ฐาน 4 ชดั เจน ยง่ิ ขน้ึ วา่ สตนิ จ้ี ะทำหนา้ ทร่ี ะลกึ ตอ่ สง่ิ ตา่ ง ๆ ในฐานะเปน็ เพยี งเรอ่ื งของ ความรู้ เพยี งอาศยั เปน็ ทต่ี ง้ั ของการระลกึ ไมเ่ ปน็ ไปตามอำนาจของกเิ ลส ทง้ั ในสว่ นทเ่ี ปน็ ความทะยานอยากและความเหน็ ผดิ และไมย่ ดึ ตดิ ถอื มน่ั ตอ่ สง่ิ ทร่ี บั รหู้ รอื พจิ ารณาอยนู่ น้ั (=พน้ ไปจากความรสู้ กึ ทเ่ี ปน็ ตวั ตน) นอกจากนน้ั ยงั เปน็ สตทิ จ่ี ะไปทำหนา้ ทใ่ี หเ้ กดิ โพชฌงค์ วชิ ชา และวมิ ตุ ติ คอื กลายเปน็ สตสิ มั โพชฌงค์ ซง่ึ เปน็ องคแ์ รกของโพชฌงค์ 7 ซง่ึ เปน็ องคแ์ หง่ การตรสรู้ ดงั นน้ั สตปิ ฏั ฐานจงึ ไมไ่ ดท้ ำหนา้ ทเ่ี พยี งใน ฝา่ ยสมาธขิ นั ธเ์ ทา่ นน้ั แตท่ ำหนา้ ทอ่ี ยใู่ นฝา่ ยปญั ญาขนั ธด์ ว้ ย 15

สว่ น สตทิ ว่ั ไป ของบคุ คลทว่ั ไป คอื สตทิ ท่ี ำหนา้ ทด่ี งั ทก่ี ลา่ ว ไปแลว้ ในหนา้ 1 - 3 ของหนงั สอื น้ีเปน็ สตทิ เ่ี นอ่ื งกบั ตวั ตน หรอื ความรสู้ กึ ทเ่ี ปน็ ตวั ตน แตเ่ ปน็ ไปในฝา่ ยดหี รอื ทเ่ี ปน็ กศุ ลเทา่ นน้ั สตใิ นแบบของ บคุ คลทว่ั ไปจงึ สามารถนำไปใชใ้ หบ้ งั เกดิ ผลไดเ้ ฉพาะในระดบั ทเ่ี รยี กวา่ ละชว่ั และทำดี หรอื ทเ่ี รยี กวา่ ในระดบั โลกยี ะ ไมส่ ามารถนำมาใชป้ ฏบิ ตั ิ ในระดบั โลกตุ ตระเพอ่ื ความหลดุ พน้ หรอื การดบั ทกุ ขไ์ ด้ สตปิ ฏั ฐาน 4 ในมหาสตปิ ฏั ฐานสตู ร แตกตา่ งจากใน อานาปานสตสิ ตู ร อยา่ งไร? การปฏบิ ตั ใิ นระบบ สตปิ ฏั ฐาน 4 น้ี พระพทุ ธเจา้ ไดต้ รสั ไวใ้ น พระสตู รสำคญั 2 แหง่ คอื มหาสตปิ ฏั ฐานสตู ร (ท.ี ม. 10/273) และอานา- ปานสติสูตร (ม.อุป. 14/288) หรอื ทเ่ี รยี กกนั เปน็ ทเ่ี ขา้ ใจโดยทว่ั ไปวา่ อานาปานสติ16ขน้ั ทง้ั 2พระสตู รไดร้ บั ความนยิ มอยา่ งแพรห่ ลาย กล่าวโดยสรุป ทั้ง 2 ระบบ ล้วนให้ตั้งสติเพื่อตามเห็น ความเปน็ จรงิ ของ กาย เวทนา จติ และธรรม เชน่ เดยี วกนั มหาสตปิ ฏั ฐานสตู ร ใหต้ ามเหน็ ความเปน็ จรงิ ของเรอ่ื งราว ในแตล่ ะฐานอยา่ งละเอยี ดลออ และมกี ารจำแนกยอ่ ยเปน็ บรรพตา่ ง ๆ อยา่ งพสิ ดาร ซง่ึ จะไดอ้ ธบิ ายโดยละเอยี ดตอ่ ไป สว่ น อานาปานสตสิ ตู ร มงุ่ ใหต้ ามเหน็ ความเปน็ จรงิ ของแตล่ ะ ฐานเฉพาะในประเด็นที่เป็นสาระสำคัญ เพียงพอสำหรับการปฏิบัติ ทจ่ี ะสามารถสง่ ผลใหเ้ ลอ่ื นระดบั ไปสฐู่ านตอ่ ไปเทา่ นน้ั กลา่ วคอื จะเนน้ การปฏบิ ตั ใิ นสว่ นของอานาปานบรรพ ซง่ึ เปน็ การปฏบิ ตั ใิ นบรรพแรก ของมหาสตปิ ฏั ฐานสตู รเปน็ สำคญั ซง่ึ เมอ่ื ประสบความสำเรจ็ จะทำให้ จติ เขา้ ถงึ ภาวะทเ่ี ปน็ ฌาน ตอ่ จากนน้ั กอ็ าศยั ภาวะตา่ ง ๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในฌาน 16

เชน่ ปตี ,ิ สขุ (=เวทนาทไ่ี มม่ อี ามสิ ) และจติ ทป่ี ราศจากนวิ รณร์ บกวน ไปพิจารณาให้เห็นธรรม คือไตรลักษณ์ เพื่อถอนความยึดติดถือมั่น ตอ่ ไป ในทน่ี ้ี อาจเปรยี บไดก้ บั การเดนิ ทางทม่ี งุ่ ไปสจู่ ดุ หมายอยา่ งใด อยา่ งหนง่ึ แมว้ า่ จะเดนิ ทางไปในเสน้ ทางเดยี วกนั นน้ั เอง บางคนอาจจะ แวะและสนใจดรู ายละเอยี ดตามรายทางคอ่ นขา้ งมาก (เปรยี บไดก้ บั การปฏบิ ตั ใิ นมหาสตปิ ฏั ฐานสตู ร) แตบ่ างคนอาจจะเดนิ ทางมงุ่ ตรง ไปยงั จดุ หมายปลายทางเลยทเี ดยี ว โดยไมส่ นใจรายละเอยี ดขา้ งทาง มากนกั (เปรยี บไดก้ บั การปฏบิ ตั ใิ นอานาปานสตสิ ตู ร) วเิ คราะห-์ สงั เคราะห์ สตปิ ฏั ฐาน 4 ในมหาสตปิ ฏั ฐานสตู ร ตอ่ จากนไ้ี ป ผเู้ รยี บเรยี งจะไดอ้ ธบิ ายพรอ้ มกบั การวเิ คราะห์ - สงั เคราะห์ สตปิ ฏั ฐาน 4 ตามทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ไดต้ รสั ไวใ้ นมหาสตปิ ฏั ฐาน- สตู ร ซง่ึ อยใู่ นพระไตรปฎิ ก เลม่ ท่ี 10 ขอ้ 273 ถงึ 300 โดยจะอธบิ าย แบบสงั เขป มงุ่ ใหเ้ ขา้ ใจสาระของการปฏบิ ตั ิ และประโยชนท์ จ่ี ะไดร้ บั เปน็ สำคญั เนอ่ื งจากพระสตู รนม้ี เี นอ้ื หาทย่ี าวมาก และเพอ่ื ใหห้ นงั สอื น้ี ไมห่ นาจนเกนิ ไป จงึ ขอไมน่ ำพระพทุ ธพจนท์ ง้ั หมดทต่ี รสั มาลงในหนงั สอื น้ี แต่จะเลือกลงเฉพาะที่เห็นว่าควรแก่การวิเคราะห์-สังเคราะห์เท่านั้น หากทา่ นผอู้ า่ นทา่ นใดประสงคจ์ ะทราบเนอ้ื หาทเ่ี ปน็ พระพทุ ธพจนท์ ง้ั พระสตู ร กข็ อใหน้ ำหนงั สอื พระไตรปฎิ กเลม่ ขา้ งตน้ มาเปดิ และเทยี บเคยี ง ไปดว้ ย กจ็ ะทำใหเ้ หน็ ไดช้ ดั เจนมากยง่ิ ขน้ึ 17

สตปิ ฏั ฐาน 4 ไมใ่ ชธ่ รรมสำหรบั ผเู้ รม่ิ ตน้ ดงั ทไ่ี ดย้ กมาแสดงใหเ้ หน็ ถงึ ลำดบั การปฏบิ ตั ใิ นหนา้ 13 ของ หนงั สอื น้ี จะเหน็ ไดว้ า่ สตปิ ฏั ฐาน 4 ไมใ่ ชธ่ รรมสำหรบั ผเู้ รม่ิ ตน้ ผทู้ เ่ี หมาะสมจะปฏบิ ตั ิ สตปิ ฏั ฐาน 4 จะต้องมีความรู้ใน ธรรมมากพอสมควร (=ฟงั ธรรม) จนเกดิ ความเขา้ ใจและมน่ั ใจในธรรม (=ศรทั ธา) เรม่ิ รจู้ กั วธิ รี บั รอู้ ารมณอ์ ยา่ งถกู ตอ้ ง (=โยนโิ สมนสกิ าร) เปน็ ผมู้ สี ตสิ มั ปชญั ญะ รจู้ กั การสำรวมรบั รทู้ างอายตนะตา่ ง ๆ (อนิ ทรยี - สงั วร) และสามารถดำเนนิ ชวี ติ ประจำวนั ทว่ั ไปอยา่ งถกู ตอ้ ง(สจุ รติ 3) จงึ จะมคี ณุ สมบตั พิ รอ้ มหรอื พอเพยี งทจ่ี ะปฏบิ ตั ิ และเกดิ ความกา้ วหนา้ จนบรรลผุ ลในการปฏบิ ตั สิ ตปิ ฏั ฐาน 4 ตอ่ ไปได้ ทำไมสตปิ ฏั ฐาน 4 จงึ ตง้ั อยบู่ นฐานของ กาย เวทนา จติ ธรรม ในคมั ภรอ์ รรถกถา ไดม้ คี ำอธบิ ายไวห้ ลายนยั วา่ เพราะเหตใุ ด พระพทุ ธเจา้ จงึ ตรสั สตปิ ฏั ฐานวา่ มี 4 ; คำตอบโดยสรปุ กค็ อื เพอ่ื ให้ เหมาะสมกบั อธั ยาศยั หรอื จรติ ของบคุ คล และใหบ้ งั เกดิ ประโยชนเ์ กอ้ื กลู แกผ่ ปู้ ฏบิ ตั อิ ยา่ งแทจ้ รงิ และอกี นยั หนง่ึ เพอ่ื การละวปิ ลาสตา่ ง ๆ ของ บคุ คล ดงั น้ี สตปิ ฏั ฐานในหมวดกาย เหมาะสำหรบั ผมู้ ตี ณั หาจรติ หรอื ผเู้ ปน็ สมถยานกิ และมปี ญั ญานอ้ ย ทำใหล้ ะวปิ ลาสหรอื ความสำคญั ผดิ วา่ งาม ได้ (สภุ วปิ ลาส) สติปัฏฐานในหมวดเวทนา เหมาะสำหรับผู้มีตัณหาจริต หรือผู้เป็นสมถยานิก และมีปัญญามาก ทำให้ละวิปลาสหรือความ สำคญั ผดิ วา่ สขุ ได้ (สขุ วปิ ลาส) 18

สติปัฏฐานในหมวดจิต เหมาะสำหรับผู้มีทิฏฐิจริต หรือ ผู้เป็นวิปัสสนายานิก และมีปัญญาน้อย ทำให้ละวิปลาสหรือความ สำคญั ผดิ วา่ เทย่ี ง ได้ (นจิ จวปิ ลาส) สตปิ ฏั ฐานในหมวดธรรม เหมาะสำหรบั ผมู้ ที ฏิ ฐจิ รติ หรอื ผู้เป็นวิปัสสนายานิก และมีปัญญามาก ทำให้ละวิปลาสหรือความ สำคญั ผดิ วา่ ตวั ตน ได้ (อตั ตวปิ ลาส) อกี คำตอบหนง่ึ อาจไดม้ าจากการพจิ ารณากระบวนการปฏบิ ตั ิ ในหนา้ 13 ของหนงั สอื น้ี ซง่ึ เหน็ ไดช้ ดั เจนวา่ การปฏบิ ตั สิ ตปิ ฏั ฐาน 4 แทจ้ รงิ แลว้ มจี ดุ มงุ่ หมายเพอ่ื โพชฌงค์ (องคแ์ หง่ การตรสั ร)ู้ , วชิ ชา (ปญั ญารแู้ จง้ ) และวมิ ตุ ติ (ความหลดุ พน้ จากทกุ ข)์ โดยเฉพาะ กลา่ วโดยสรปุ การปฏบิ ตั สิ ตปิ ฏั ฐาน 4 มจี ดุ มงุ่ หมายเพอ่ื ใหเ้ กดิ ปญั ญารเู้ ทา่ ทนั ความเปน็ จรงิ ของสง่ิ ทง้ั หลาย ถามตอ่ วา่ ปญั ญาทร่ี เู้ ทา่ ทนั ความเปน็ จรงิ น้ี เพอ่ื อะไร? คำตอบคือ เพื่อจะได้สามารถเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ต่อ สง่ิ ตา่ ง ๆ ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง และเพอ่ื ใหก้ ารรบั รทู้ ม่ี ตี อ่ สง่ิ ตา่ ง ๆ เปน็ ไป อยา่ งถกู ตอ้ ง ไมม่ ผี ลทำใหจ้ ติ เกดิ ปญั หาหรอื ทกุ ขโ์ ดยเดด็ ขาด เนอ่ื งจากชวี ติ มธี รรมชาติ 2 ฝา่ ย คอื กาย และจติ เปน็ องค์ ประกอบพน้ื ฐานสำคญั ทจ่ี ะตอ้ งอาศยั และใชใ้ นการดำรงอยู่ ดงั นน้ั กาย และ จิต จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องทำให้เกิดปัญญารู้เท่าทัน ความเปน็ จรงิ และเนอ่ื งจากตวั ชวี ติ ยงั จะตอ้ งมกี ารดำเนนิ ชวี ติ ดว้ ย กลา่ วคอื มกี ารรบั รแู้ ละทำหนา้ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั สง่ิ ตา่ ง ๆ ซง่ึ โดยธรรมชาตขิ องปถุ ชุ น สง่ิ ทเ่ี ปน็ หวั ใจหรอื จดุ มงุ่ หมายของการรบั รแู้ ละทำหนา้ ท่ี คอื เวทนา กลา่ วคอื เพอ่ื แสวงหา เวทนา หรอื ความรสู้ กึ โดยเฉพาะสขุ เวทนา 19

อยา่ งทต่ี นปรารถนา (ทง้ั ทม่ี าจากทางกาย และทม่ี าจากทางใจ) สมดงั พระพทุ ธวจนะทต่ี รสั ไวว้ า่ “ธรรมทง้ั ปวงมเี วทนาเปน็ ทป่ี ระชมุ ลง” ดงั นน้ั เวทนา จงึ เปน็ เรอ่ื งสำคญั อกี เรอ่ื งหนง่ึ ทจ่ี ะตอ้ งทำใหเ้ กดิ ปญั ญา รเู้ ทา่ ทนั ความเปน็ จรงิ และเนอ่ื งจากสาระสำคญั ของคำสอนในพระพทุ ธศาสนา คอื เรอ่ื งของทกุ ขแ์ ละความดบั ไปแหง่ ทกุ ข์ หรอื อรยิ สจั 4 ดงั นน้ั จงึ มเี รอ่ื ง สำคญั อกี เรอ่ื งหนง่ึ ทจ่ี ะตอ้ งทำใหเ้ กดิ ปญั ญารเู้ ทา่ ทนั ความเปน็ จรงิ ดว้ ย คอื เรอ่ื งทว่ี า่ กาย, จติ และเวทนา ทร่ี แู้ ลว้ นน้ั ทำใหเ้ กดิ ทกุ ข์ (ทกุ ขอรยิ สจั ) ไดอ้ ยา่ งไร ? และจะทำใหห้ มดสน้ิ ไปไดอ้ ยา่ งไร ? ชาวพทุ ธใชค้ ำทป่ี ระมวล เพอ่ื แสดงความหมายในเรอ่ื งนว้ี า่ ธรรม ดงั นน้ั ธรรม จงึ เปน็ เรอ่ื งสำคญั อกี เรอ่ื งหนง่ึ ทจ่ี ะตอ้ งทำใหเ้ กดิ ปญั ญารเู้ ทา่ ทนั ความเปน็ จรงิ การปฏบิ ตั ิ สตปิ ฏั ฐาน 4 ทต่ี ง้ั อยบู่ นฐานของ กาย เวทนา จติ ธรรม จงึ มเี หตผุ ลดงั ทก่ี ลา่ วไปแลว้ น้ี วเิ คราะห-์ สงั เคราะห์ กายานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน กอ่ นจะอธบิ ายและวเิ คราะห-์ สงั เคราะหเ์ รอ่ื งราวของสตปิ ฏั ฐาน 4 จะขอยำ้ อกี ครง้ั หนง่ึ ถงึ คณุ ลกั ษณะสำคญั ของสตใิ นสตปิ ฏั ฐาน 4 ทจ่ี ะตอ้ ง ระลกึ ไวใ้ หม้ น่ั เพอ่ื ใหก้ ารปฏบิ ตั เิ ปน็ ไปโดยถกู ตอ้ งและประสบผลสำเรจ็ ดว้ ยดี กลา่ วโดยสรปุ การปฏบิ ตั ทิ จ่ี ะไดช้ อ่ื วา่ เปน็ สตปิ ฏั ฐาน 4 จะตอ้ งปฏบิ ตั ดิ ว้ ยคณุ ภาพของสติ (ทร่ี บั รดู้ ว้ ยทา่ ทที เ่ี ปน็ กลาง ไมม่ ี อคตทิ ง้ั ในทางชอบและชงั ไมย่ ดึ มน่ั ถอื มน่ั วา่ เปน็ เรา ของเรา หรอื ตวั ตน ของเรา และรบั รสู้ ง่ิ ตา่ ง ๆ สกั เพยี งวา่ เปน็ เรอ่ื งของความรู้ เปน็ ทต่ี ง้ั ของการระลกึ ) และมจี ดุ มงุ่ หมายในการปฏบิ ตั ิ (เพอ่ื นำไปสโู่ พชฌงค์ 20

วชิ ชา และวมิ ตุ ติ กลา่ วคอื รเู้ ทา่ ทนั เหตปุ จั จยั และความจรงิ ของสง่ิ ท่ี ระลกึ รู้ จนทำใหป้ ฏบิ ตั ติ อ่ สง่ิ นน้ั ๆ ไดถ้ กู ตอ้ ง และไมเ่ ปน็ ทกุ ข)์ ตาม พระพทุ ธพจนท์ ไ่ี ดย้ กมาแสดงไวใ้ นหนา้ 14 และ 15 ของหนงั สอื น้ี การอธบิ ายและวเิ คราะห-์ สงั เคราะหส์ ตปิ ฏั ฐานในหมวดตา่ ง ๆ ตอ่ จากนไ้ี ป ขอใหต้ ระหนกั วา่ การปฏบิ ตั ใิ นทกุ หมวดจะตอ้ งมคี ณุ ลกั ษณะ ของสตดิ งั ทก่ี ลา่ วขา้ งตน้ ซง่ึ ตอ่ ไปจะไมก่ ลา่ วถงึ อกี แตจ่ ะเนน้ การอธบิ าย และวเิ คราะห-์ สงั เคราะหถ์ งึ การปฏบิ ตั แิ ละจดุ มงุ่ หมายหรอื ประโยชน์ ทจ่ี ะไดร้ บั จากการปฏบิ ตั สิ ตปิ ฏั ฐาน 4 ในแตล่ ะหมวดเปน็ สำคญั กายานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน มคี วามหมายวา่ การตง้ั สตเิ พอ่ื ตามเหน็ ความเปน็ จรงิ ของกายหรอื ธรรมชาตฝิ า่ ยกาย มหาสตปิ ฏั ฐานสตู ร ในพระไตรปฎิ ก เลม่ ท่ี 10 ขอ้ 274-287 ได้แสดงเนื้อหารายละเอียดของกายที่จะให้ตามเห็นความเป็นจริง ไวเ้ ปน็ 6 บรรพ หรอื 6 บท คอื 1. อานาปานบรรพ (บทวา่ ดว้ ยลมหายใจ) 2. อริ ยิ าปถบรรพ (บทวา่ ดว้ ยอริ ยิ าบถ) 3. สมั ปชญั ญบรรพ(บทวา่ ดว้ ยการเคลอ่ื นไหวในอริ ยิ าบถยอ่ ย) 4. ปฏกิ ลู มนสกิ ารบรรพ (บทวา่ ดว้ ยความเปน็ ของไมส่ ะอาด) 5. ธาตมุ นสกิ ารบรรพ (บทวา่ ดว้ ยความเปน็ ธาต)ุ 6. นวสวี ถกิ าบรรพ (บทวา่ ดว้ ยสภาพทเ่ี ปน็ ศพ 9 ลกั ษณะ) อานาปานบรรพ (บทวา่ ดว้ ยลมหายใจ) การปฏบิ ตั สิ ตปิ ฏั ฐาน 4 ในบรรพน้ี เปน็ การตง้ั สตเิ พอ่ื ตามเหน็ ความเปน็ จรงิ ของกาย โดยเฉพาะในสว่ นทเ่ี ปน็ ลมหายใจเขา้ และออก ซง่ึ จำแนกไวเ้ ปน็ 4 ขน้ั ยอ่ ย คอื 1. ตามรลู้ มหายใจยาว, 2. ตามรลู้ มหายใจ 21

สน้ั 3. กำหนดรตู้ ลอดกองลม และ 4. ทำลมหายใจใหส้ งบระงบั ทำไมเรอ่ื งของลมหายใจ จงึ เปน็ เรอ่ื งสำคญั ทจ่ี ะตอ้ งรเู้ ทา่ ทนั ความเปน็ จรงิ ? เหตผุ ลกค็ อื ลมหายใจเปน็ สง่ิ ปรงุ แตง่ หลอ่ เลย้ี ง และคำ้ จนุ ชวี ติ ฝา่ ยกายทส่ี ำคญั ทส่ี ดุ ทท่ี ำใหช้ วี ติ ฝา่ ยกายดำรงอยไู่ ด้ ธรรมชาตขิ องลมหายใจของคนทว่ั ไป ปกตจิ ะตอ้ งมที ง้ั หายใจเขา้ และหายใจออก สลบั กนั ไป หากหายใจเขา้ แลว้ ไมห่ ายใจออก หรอื หายใจ ออกแล้ว ไม่หายใจเข้า ชีวิตก็ตั้งอยู่ไม่ได้ ต้องถึงซึ่งความแตกดับไป ในเรอ่ื งนว้ี ทิ ยาศาสตรไ์ ดอ้ ธบิ ายใหเ้ ขา้ ใจไดว้ า่ การหายใจเขา้ กเ็ พอ่ื นำ ออกซเิ จนเขา้ สรู่ า่ งกาย และการหายใจออก กเ็ พอ่ื นำคารบ์ อนไดออกไซด์ ทเ่ี ปน็ ของเสยี ออกจากรา่ งกาย นอกจากนน้ั ยงั มเี รอ่ื งของความยาว(=หายใจลกึ ) และความสน้ั (=หายใจตน้ื ) ของลมหายใจ รวมไปถงึ ลมหายใจท่ี หนกั หรอื เบา (=หยาบ หรอื ละเอยี ด ดจู ากความแรงหรอื คอ่ ยทจ่ี ดุ สมั ผสั ลมกระทบ ทโ่ี พรงจมกู ) ซง่ึ เปน็ เรอ่ื งสำคญั ทจ่ี ะตอ้ งเรยี นรแู้ ละมสี ตติ ามเหน็ ความ เปน็ จรงิ อกี ดว้ ย การปฏบิ ตั ใิ นขน้ั ตอนท่ี 1 และ 2 ของอานาปานบรรพ ในสตปิ ฏั ฐาน 4 กเ็ พอ่ื ใหร้ เู้ ทา่ ทนั ความเปน็ จรงิ ของลมหายใจ ที่มีเข้า-ออก, ยาว-สั้น ตลอดจนลักษณะความหยาบ-ละเอียด ของลมประเภทตา่ ง ๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในรา่ งกาย ขอให้พิจารณาขั้นตอนที่ 3 ที่ให้มีสติกำหนดรู้ตลอด กองลม หมายถงึ ตามรถู้ งึ ความสมั พนั ธข์ องลมหายใจยาว-สน้ั , หนกั -เบา หรอื หยาบ-ละเอยี ดนน้ั วา่ มผี ลตอ่ ความเปน็ ไปของ กายในสภาพการณต์ า่ ง ๆ อยา่ งไร ? 22

โดยทว่ั ไป ขณะทร่ี า่ งกายอยใู่ นสถานะพกั ไมไ่ ดท้ ำงานอะไร ธรรมชาตขิ องลมหายใจจะคอ่ นไปในทางยาว หรอื หายใจลกึ และเปน็ ลม ทล่ี ะเอยี ด แตเ่ มอ่ื มกี ารใชร้ า่ งกายทำงานมากขน้ึ และหนกั ขน้ึ หรอื อยใู่ น ภาวะทเ่ี ครยี ด-ถกู บบี คน้ั ตกใจ กลวั หรอื โกรธ หรอื อาจมคี วามผดิ ปกติ ของรา่ งกาย หรอื เปน็ โรคอะไรบางอยา่ ง ลมหายใจจะถกู เปลย่ี นเปน็ ลมหายใจทห่ี ยาบ สน้ั และหายใจถข่ี น้ึ ดว้ ย ซง่ึ ทางวทิ ยาศาสตรอ์ ธบิ าย ไวใ้ หเ้ ขา้ ใจไดง้ า่ ยวา่ ทห่ี ายใจสน้ั และถข่ี น้ึ นน้ั กเ็ พราะตอ้ งเรง่ การขนสง่ ออกซเิ จนจากอากาศ เขา้ สรู่ า่ งกายใหม้ ากขน้ึ เพราะในขณะนน้ั ตอ้ งใช้ พลงั งานในการทำงานมากขน้ึ และเพอ่ื ปรบั ทง้ั รา่ งกายและจติ ใจใหค้ นื สภู่ าวะปกติ วธิ ที ม่ี กี ารแนะนำกนั มากประการหนง่ึ คอื ใหห้ ายใจยาว ๆ หลาย ๆ ครง้ั (= ลมหายใจยาวทต่ี ง้ั ใจหายใจนเ้ี อง ทจ่ี ดั เปน็ ลมหายใจ ยาวที่หนักหรือหยาบ) ภาวะความเครยี ด เปน็ ตน้ กจ็ ะถกู บรรเทาลง ใหค้ นื สคู่ วามเปน็ ปกตไิ ดใ้ นทส่ี ดุ กลา่ วคอื จนกลายมาเปน็ ลมหายใจท่ี ยาวและละเอยี ด เรื่องของลมหายใจสั้น ยังมีสิ่งที่จะต้องรู้จักต่อไปอีก คือ นอกจากลมหายใจสน้ั ตามทก่ี ลา่ วไปแลว้ ขา้ งตน้ ซง่ึ จดั เปน็ ลมหายใจสน้ั ทห่ี นกั และหยาบ ในธรรมชาตยิ งั มลี มหายใจสน้ั อกี ประเภทหนง่ึ ทเ่ี บา และละเอยี ด เกดิ ขน้ึ ในภาวะทบ่ี คุ คลทำสมาธิ กลา่ วคอื สมาธยิ ง่ิ ลกึ ยง่ิ สงบ ยง่ิ แนว่ แนเ่ ทา่ ไร ลมหายใจกจ็ ะยง่ิ สน้ั เบา และละเอยี ดยง่ิ ขน้ึ เทา่ นน้ั ทง้ั นเ้ี พราะรา่ งกายในขณะทอ่ี ยใู่ นสภาวะของสมาธิ กายจะอยู่ ในสภาวะสงบ นง่ิ แทบจะไมม่ กี ารเคลอ่ื นไหวรา่ งกายในสว่ นใด ๆ กลไก การทำงาน (metabolism) ของรา่ งกายกล็ ดลงไปมาก การใชอ้ อกซเิ จน จะนอ้ ยมากไปดว้ ย การหายใจเขา้ -ออกเพยี งเลก็ นอ้ ย เพยี งสน้ั ๆ ตน้ื ๆ และเพยี งเปน็ ลมหายใจทเ่ี บาและละเอยี ด กเ็ พยี งพอแลว้ 23

การมีสติตามกำหนดรู้กองลมในขั้นตอนนี้ จะทำให้รู้ความ สมั พนั ธข์ องลมลกั ษณะตา่ ง ๆ ทม่ี ตี อ่ กายในสภาวะตา่ ง ๆ ในภาษาธรรมะ ใชค้ ำวา่ รถู้ งึ กายลม ทส่ี มั พนั ธห์ รอื ปรงุ แตง่ กายเนอ้ื และเรยี กกองลมนว้ี า่ กายสงั ขาร หรอื สง่ิ ทป่ี รงุ แตง่ กาย ดงั นน้ั จงึ ทำใหบ้ คุ คลสามารถใช้ ประโยชนจ์ ากลมหายใจมาปรบั ปรงุ กาย เพอ่ื ใหม้ สี ขุ ภาพแขง็ แรงและ ใหม้ สี มรรถนะทเ่ี หมาะสมกบั ภารกจิ ทอ่ี าศยั กายกระทำอยใู่ นขณะนน้ั ๆ โดยการเลือกลมหายใจชนิดที่เหมาะสม และหายใจอยู่ด้วยลม ชนดิ นน้ั ๆ เชน่ ในขณะไมไ่ ดท้ ำงานอะไร ใหห้ ายใจดว้ ยลมหายใจยาวทเ่ี บา หรอื ละเอยี ด หรอื ในขณะทต่ี อ้ งการใหม้ สี มาธมิ าก ๆ ในการกระทำอะไรกต็ าม กใ็ หห้ ายใจสน้ั ดว้ ยลมทล่ี ะเอยี ด หรอื หยดุ หายใจชว่ั ขณะ เปน็ ตน้ ขั้นตอนที่ 4 ที่ให้มีสติทำลมหายใจให้สงบระงับนั้น หมายความวา่ เมอ่ื มสี ตติ ามรลู้ มหายใจยาวและสน้ั ตอ่ เนอ่ื งกนั มา เปน็ ลำดบั โดยธรรมชาตลิ มหายใจจะสน้ั ลง ๆ ๆ เบาลง ๆ ๆ และละเอยี ดประณตี ยง่ิ ขน้ึ ๆๆ ไปเองตามลำดบั จนถงึ ทส่ี ดุ ของ การตามรู้ลม ก็จะมาถึงอานาปานบรรพในขั้นตอนที่ 4 คือ ลมหายใจสงบระงบั คอื ไมม่ อี าการทห่ี ายใจเขา้ และหายใจออก มแี ตล่ มหายใจทซ่ี มึ ผา่ นเขา้ ผา่ นออกเทา่ นน้ั หรอื กลา่ วอกี นยั หนง่ึ ในภาวะเชน่ น้ี จติ จะเขา้ ถงึ สมาธใิ นระดบั ลกึ ทเ่ี รยี กวา่ รปู ฌาน ไปตามลำดับ จนถึงที่สุดคือ รูปฌานท่ี 4 การปฏบิ ตั กิ ายานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน ในหมวดท่ี 1 คอื อานาปาน- บรรพ จะทำใหร้ เู้ ทา่ ทนั ความจรงิ และความลบั ของลมหายใจทม่ี ตี อ่ ชวี ติ และสามารถนำลมหายใจมาปรบั ปรงุ พฒั นาชวี ติ ไดอ้ ยา่ งกวา้ งขวาง ซง่ึ นอกจากจะเปน็ ประโยชนต์ อ่ ชวี ติ ฝา่ ยกายโดยตรงดงั ทก่ี ลา่ วไปแลว้ ยงั จะ เปน็ ประโยชนเ์ กอ้ื กลู แกก่ ารปฏบิ ตั สิ ตปิ ฏั ฐาน 4 ในหมวดตอ่ ๆ ไปเปน็ 24

อยา่ งมากดว้ ย กลา่ วคอื ทำใหป้ ระจกั ษแ์ จง้ ในเวทนาทไ่ี มม่ อี ามสิ ในหมวด เวทนานปุ สั สนา ; ทำใหป้ ระจกั ษแ์ จง้ ใน จติ ทเ่ี ปน็ สมาธิ และจติ ทเ่ี ปน็ มหรคต ในจติ ตานปุ สั สนา และทำใหป้ ระจกั ษแ์ จง้ ในนวิ รณ์ 5 ในธมั มา- นปุ สั สนา เพราะการปฏบิ ตั อิ านาปานบรรพน้ี เมอ่ื ปฏบิ ตั จิ นถงึ ขน้ั ท่ี 4 คอื ทำกายสงั ขารใหส้ งบระงบั จะทำใหน้ วิ รณ์ 5 สงบลง แลว้ จะทำใหจ้ ติ มีคุณภาพที่เหมาะสมและพร้อมที่จะปฏิบัติธัมมานุปัสสนาในหมวด ตอ่ ไปใหบ้ รรลผุ ลดว้ ยดี อริ ยิ าปถบรรพ (บทวา่ ดว้ ยอริ ยิ าบถ) อริ ยิ าบถของกาย คอื ยนื เดนิ นง่ั นอน เปน็ อกี เรอ่ื งหนง่ึ ทจ่ี ะตอ้ งตามระลกึ เพอ่ื ใหร้ เู้ ทา่ ทนั ความเปน็ จรงิ ทำไมเรื่องของอิริยาบถจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องรู้เท่าทัน ความเปน็ จรงิ ? เหตผุ ลกค็ อื อรยิ าบถเปน็ อกี เรอ่ื งหนง่ึ ทม่ี ผี ลตอ่ ความเปน็ ปกติ และความมสี ขุ ภาพแขง็ แรงของรา่ งกาย หมายความว่า ร่างกายจะต้องมีสัดส่วนของอิริยาบถทั้ง 4 ในแตล่ ะวนั ใหเ้ หมาะสม หากกายอยใู่ นอริ ยิ าบถใดนานเกนิ ไปหรอื มาก เกินไป ก็จะทำให้มีโรคภัยไข้เจ็บอะไรบางอย่างเกิดขึ้นได้ สมดัง พระพทุ ธวจนะทต่ี รสั วา่ การบรหิ าร (อริ ยิ าบถ) ไมส่ มำ่ เสมอเปน็ สาเหตหุ นง่ึ ทท่ี ำใหก้ ายเกดิ อาพาธได้ (อง.ฺ เอกาทสก. 24/60) การอยใู่ นอริ ยิ าบถใดนาน ๆ โดยธรรมชาติ จะทำใหอ้ วยั วะบาง ส่วนถูกใช้งานหนักเกินไป และยิ่งอยู่ในท่าที่ไม่ถูกต้องด้วยแล้ว ก็จะ ยง่ิ มผี ลทำใหเ้ กดิ ปญั หากบั กายไดม้ ากขน้ึ เชน่ 25

การยนื : หากยนื ผดิ ทา่ เชน่ ยนื หลงั คอ่ ม หอ่ ไหล่ หรอื ใสร่ องเทา้ สน้ สงู จะทำใหป้ วดหลงั และเมอ่ื ยคอเปน็ ตน้ และหากยนื ตอ่ เนอ่ื งเปน็ เวลานาน ๆ อาจทำใหเ้ กดิ โรคเสน้ เลอื ดขอด เปน็ ตน้ การนง่ั : หากนง่ั ผดิ ทา่ เชน่ นง่ั หลงั โกง นง่ั บดิ กเ็ ปน็ สาเหตุ สำคัญที่ทำให้เกิดโรคปวดหลัง และหากนั่งนานจนเกินไป จะทำให้ การทำงานของลำไสใ้ หญล่ ดลง สง่ ผลทำใหเ้ กดิ โรคทอ้ งผกู และนำไปสู่ โรครดิ สดี วงทวาร เปน็ ตน้ การนอน : หากนอนผดิ ทา่ เชน่ ทา่ นอนควำ่ จะทำใหห้ ายใจ ติดขัดและปวดต้นคอ หรือท่านอนตะแคงซ้ายจะทำให้เกิดลมจุก เสยี ดบรเิ วณลน้ิ ป่ี เนอ่ื งจากอาหารทย่ี งั ยอ่ ยไมห่ มดเกดิ การคง่ั คา้ งใน กระเพาะ หากนอนอยใู่ นทา่ เดยี วนาน ๆ จะทำใหเ้ กดิ อาการชาตามอวยั วะ ทถ่ี กู ทบั อยนู่ านและหากนอนมากเกนิ ไปอาจทำใหป้ วดศรี ษะและไมส่ ดชน่ื ในเวลาตน่ื นอน การนอนบนทน่ี อนทน่ี มุ่ หรอื แขง็ จนเกนิ ไป กอ็ าจทำให้ เปน็ โรคปวดหลงั ฯลฯ การเดิน : โดยทว่ั ไป การเดนิ ไมไ่ ดก้ อ่ ใหเ้ กดิ ปญั หาแกก่ าย ยกเวน้ การเดนิ ขน้ึ -ลงบนั ได สำหรบั ผทู้ เ่ี ปน็ โรคขอ้ เขา่ เสอ่ื ม ซง่ึ จะทำให้ เกดิ การอกั เสบมากขน้ึ การรู้เท่าทันความเป็นจริงในเรื่องของอิริยาบถที่มีต่อชีวิต ฝา่ ยกาย จงึ เปน็ ตวั กำหนดใหช้ วี ติ จะตอ้ งมกี ารบรหิ ารกายตามสมควร สาระสำคญั ของการบรหิ ารกายในทน่ี ้ี แทจ้ รงิ กค็ อื การปรบั อริ ยิ าบถ ของกายใหม้ คี วามสมดลุ ระหวา่ ง ยนื เดนิ นง่ั นอน นน่ั เอง สมั ปชญั ญบรรพ (บทวา่ ดว้ ยการเคลอ่ื นไหวในอริ ยิ าบถยอ่ ย) ในสว่ นกาย ยงั มเี รอ่ื งของ สมั ปชญั ญบรรพ คอื การเคลอ่ื น 26

ไหวในอริ ยิ าบถยอ่ ยตา่ ง ๆ ของกาย ซง่ึ เปน็ อกี เรอ่ื งหนง่ึ ทจ่ี ะตอ้ งตาม ระลึกเพื่อให้รู้เท่าทันความเป็นจริง ดังที่ได้มีพระพุทธวจนะตรสั ไวใ้ นมหาสตปิ ฏั ฐานสตู รวา่ “ทำความรสู้ กึ ตวั ในการกา้ ว ในการถอย ในการแล ในการเหลยี ว ในการคเู้ ขา้ ในการเหยยี ดออก ในการทรงผา้ สงั ฆาฏิ บาตรและจวี ร ในการฉนั การดม่ื การเคย้ี ว การลม้ิ ในการถา่ ย อจุ จาระและปสั สาวะ ยอ่ มทำความรสู้ กึ ตวั ในการเดนิ การยนื การนง่ั การหลบั การตน่ื การพดู การนง่ิ ” ทำไมเรอ่ื งของสมั ปชญั ญะ จงึ เปน็ เรอ่ื งสำคญั ทจ่ี ะตอ้ งรเู้ ทา่ ทนั ความเปน็ จรงิ ? เหตผุ ลกค็ อื สมั ปชญั ญะหรอื อริ ยิ าบถยอ่ ยเปน็ เครอ่ื งมอื สำคญั ในการขบั เคลอ่ื นกจิ กรรมตา่ ง ๆ ทม่ี าจากกาย ทง้ั เพอ่ื การ ดำรงอยู่ เพอ่ื คมุ้ ครองปอ้ งกนั ชวี ติ และเพอ่ื สรา้ งสรรคห์ รอื กระทำ การตา่ ง ๆ กลา่ วไดว้ า่ ชวี ติ ของสตั วท์ ง้ั หลาย รวมทง้ั ชวี ติ มนษุ ย์ ทส่ี ามารถ รกั ษาตวั ใหอ้ ยรู่ อดปลอดภยั มาไดโ้ ดยตลอด กด็ ว้ ยอาศยั สมั ปชญั ญะ หรอื อริ ยิ าบถยอ่ ยนเ้ี อง เปน็ เครอ่ื งมอื สำคญั การฝกึ สตปิ ฏั ฐานในหมวดน้ี จะทำใหผ้ ฝู้ กึ ระมดั ระวงั ในการ เคลอ่ื นไหวและการขบั เคลอ่ื นรา่ งกายในการกระทำตา่ ง ๆ ทำใหไ้ มเ่ กดิ ความผดิ พลาดหรอื ความเสยี หายขน้ึ ทง้ั ตอ่ รา่ งกายเอง และในสง่ิ ตา่ ง ๆ ทก่ี ำลงั กระทำอยู่ นอกจากนน้ั ยงั ทำใหบ้ คุ คลผเู้ จรญิ สตปิ ฏั ฐานหมวดน้ี มกี ายทต่ี น่ื ตวั คลอ่ งแคลว่ วอ่ งไว และอยใู่ นสภาพพรอ้ มทจ่ี ะกระทำการ และเผชญิ กบั สง่ิ ตา่ ง ๆ อยเู่ สมอ กลา่ วไดว้ า่ กจิ กรรมทกุ อยา่ งของมนษุ ยท์ อ่ี าศยั กายเปน็ ผกู้ ระทำ อาทิ การเลน่ กฬี า เลน่ ดนตรี งานศลิ ปะหรอื การประดษิ ฐส์ ง่ิ ตา่ ง ๆ ฯลฯ 27

จะมเี รอ่ื งของสมั ปชญั ญะหรอื อริ ยิ าบถยอ่ ยน้ี เปน็ ปจั จยั สำคญั ยง่ิ ประการ หนง่ึ ทท่ี ำใหป้ ระสบความสำเรจ็ บคุ คลทเ่ี คยผา่ นการฝกึ เลน่ กฬี าหรอื ดนตรี เปน็ ตน้ คงจะประจกั ษเ์ ปน็ อยา่ งดวี า่ จะตอ้ งฝกึ ในทา่ ตา่ ง ๆ แลว้ ๆ เลา่ ๆ อยา่ งไร จนกวา่ จะสามารถเลน่ ไดเ้ กง่ หรอื เลน่ ไดด้ ี การฝกึ หดั หรอื ฝกึ ฝนเกย่ี วกบั กาย ในการกระทำกจิ กรรมตา่ ง ๆ นน้ั ทแ่ี ทก้ ค็ อื การฝกึ สมั ปชญั ญะนเ้ี อง ปฏกิ ลู มนสกิ ารบรรพ (บทวา่ ดว้ ยความเปน็ ของไมส่ ะอาด) การปฏบิ ตั สิ ตปิ ฏั ฐาน 4 ในบรรพน้ี เปน็ การตง้ั สตเิ พอ่ื ตามเหน็ ความเปน็ จรงิ ของกายในอกี ลกั ษณะหนง่ึ คอื ตามเหน็ กายในรปู แบบทเ่ี ปน็ อวยั วะ และดเู ปน็ สง่ิ ทไ่ี มส่ ะอาด ตามทไ่ี ดแ้ สดงไวว้ า่ “...ภกิ ษยุ อ่ มพจิ ารณาเหน็ กายนแ้ี หละ แตพ่ น้ื เทา้ ขน้ึ ไป แตป่ ลายผม ลงมา มหี นงั เปน็ ทส่ี ดุ รอบ เตม็ ดว้ ยของไมส่ ะอาดมปี ระการตา่ ง ๆ วา่ มี อยใู่ นกายน้ี ผม ขน เลบ็ ฟนั หนงั เนอ้ื เอน็ กระดกู เยอ่ื ในกระดกู มา้ ม หวั ใจ ตบั พงั ผดื ไต ปอด ไสใ้ หญ่ ไสท้ บ อาหารใหม่ อาหารเกา่ ดี เสลด หนอง เลอื ด เหงอ่ื มนั ขน้ นำ้ ตา มนั เหลว นำ้ ลาย นำ้ มกู ไขขอ้ มตู ร...” ทำไมเรอ่ื งของความเปน็ ปฏกิ ลู ของกาย จงึ เปน็ เรอ่ื งสำคญั ท่ี จะตอ้ งรเู้ ทา่ ทนั ความเปน็ จรงิ ? เหตผุ ลกค็ อื กายเปน็ ทต่ี ง้ั ของความหลงผดิ (วา่ เปน็ ของ สวยงาม) และเป็นที่ตั้งของความยึดติดถือมั่น การมีสติตาม เหน็ ความจรงิ ของกายโดยความเปน็ ปฏกิ ลู ตามนยั ขา้ งตน้ กเ็ พอ่ื ถา่ ยถอนความหลงผดิ และความยดึ ตดิ ถอื มน่ั ในกาย นอกจากนน้ั การพจิ ารณาเหน็ กายในลกั ษณะเปน็ อวยั วะตา่ ง ๆ ยงั อาจมนี ยั สำคญั อกี ประการหนง่ึ คอื มองชวี ติ ฝา่ ยกายในแงท่ เ่ี ปน็ การ 28

ประกอบเขา้ และทำหนา้ ทร่ี ว่ มกนั ของอวยั วะตา่ ง ๆ ดงั นน้ั เราจงึ ควร เรียนรู้จักกายในแง่นี้ด้วย เพื่อที่จะได้รู้จักดูแลรักษา และทำหน้าที่ เกย่ี วขอ้ งกบั กายในรปู แบบทเ่ี ปน็ อวยั วะใหถ้ กู ตอ้ ง อวยั วะแตล่ ะอยา่ งเชน่ ผม ขน เล็บ ฟัน ฯลฯ ล้วนมีวิธีเข้าไปบริหารและจัดการที่แตกต่าง กนั ออกไปทง้ั นเ้ี พอ่ื ใหอ้ วยั วะตา่ งๆสามารถดำรงอยอู่ ยา่ งปกตสิ ขุ แขง็ แรง ไมเ่ กดิ ปญั หาหรอื โรคภยั ไขเ้ จบ็ ธาตมุ นสกิ ารบรรพ (บทวา่ ดว้ ยความเปน็ ธาต)ุ การปฏบิ ตั สิ ตปิ ฏั ฐาน 4 ในบรรพน้ี เปน็ การตง้ั สตเิ พอ่ื ตามเหน็ ความเปน็ จรงิ ของกาย ในแงม่ มุ ทล่ี กึ ซง้ึ ใหเ้ หน็ ถงึ มลู ฐานหรอื ทม่ี าของ ธรรมชาตฝิ า่ ยกายอยา่ งแทจ้ รงิ กลา่ วคอื ทแ่ี ทก้ ายนเ้ี กดิ จากการปรงุ แตง่ ขน้ึ ของธาตพุ น้ื ฐานทง้ั 4 คอื ธาตดุ นิ ธาตนุ ำ้ ธาตไุ ฟ และธาตลุ ม ทำไมเรอ่ื งของธาตทุ ง้ั 4 คอื ดนิ นำ้ ไฟ ลม จงึ เปน็ เรอ่ื งสำคญั ทจ่ี ะตอ้ งรเู้ ทา่ ทนั ความเปน็ จรงิ ? เหตผุ ลกเ็ พอ่ื ใหร้ ถู้ งึ มลู ฐานซง่ึ เปน็ ทม่ี าของชวี ติ ฝา่ ยกาย ทง้ั หมดอยา่ งแทจ้ รงิ ถามตอ่ วา่ การรถู้ งึ มลู ฐานซง่ึ เปน็ ทม่ี าของชวี ติ ฝา่ ยกายน้ี มปี ระโยชนอ์ ะไร ? คำตอบคอื * ทำใหร้ วู้ า่ ธรรมชาตทิ แ่ี ทจ้ รงิ ของชวี ติ ฝา่ ยกาย เกดิ จากการ ปรงุ แตง่ ของธาตุ ดนิ นำ้ ไฟ ลม เทา่ นน้ั เอง * ทำให้รู้ว่า ชีวิตฝ่ายกาย มีความต้องการตามธรรมชาติ กลา่ วคอื ตอ้ งการธาตุ ดนิ นำ้ ไฟ ลม ทอ่ี ยใู่ นรปู ของปจั จยั 4 (คอื อาหาร, เครื่องนุ่งห่ม, ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค) เพื่อหล่อเลี้ยงค้ำจุน 29

ชวี ติ ฝา่ ยกายใหส้ ามารถดำรงอยไู่ ดเ้ ปน็ ปกตสิ ขุ * ทำใหร้ ถู้ งึ คณุ คา่ และความหมายทถ่ี กู ตอ้ งของธรรมชาติ ฝา่ ยรปู ธรรมทง้ั หมดทอ่ี ยภู่ ายนอก วา่ มตี อ่ ธรรมชาตขิ องชวี ติ ฝา่ ยกาย อย่างไร กล่าวโดยสรุป คือ เพื่อหล่อเลี้ยงค้ำจุนชีวิตฝ่ายกายให้ สามารถดำรงอยไู่ ดเ้ ปน็ ปกตสิ ขุ ดงั ทไ่ี ดก้ ลา่ วไปแลว้ * ทำใหร้ วู้ า่ แทจ้ รงิ แลว้ ธรรมชาตฝิ า่ ยวตั ถุ หรอื ทเ่ี ปน็ รปู ธรรม ทง้ั หลาย ลว้ นเกดิ ขน้ึ จากการปรงุ แตง่ ของธาตุ ดนิ นำ้ ไฟ ลม ทง้ั สน้ิ ดงั นน้ั จงึ ทำใหไ้ มเ่ กดิ ความหลงใหล ไมถ่ กู ครอบงำ โดยวตั ถใุ ด ๆ ไมใ่ ห้ คา่ ของวตั ถใุ ด วา่ มมี ากกวา่ หรอื นอ้ ยกวา่ วตั ถใุ ด เพราะรเู้ ทา่ ทนั ความ เปน็ จรงิ วา่ วตั ถตุ า่ ง ๆ เสมอกนั หมด โดยความเปน็ ของทป่ี รงุ ขน้ึ มาจาก ธาตุ ดนิ นำ้ ไฟ ลม เทา่ นน้ั เอง * หากมสี ตติ ามเหน็ และรเู้ ทา่ ทนั ความเปน็ จรงิ ของธาตดุ นิ นำ้ ไฟ ลม มากยง่ิ ขน้ึ ไปอกี จะทำใหล้ ว่ งรถู้ งึ กฎธรรมชาตทิ เ่ี รยี กวา่ อตุ นุ ยิ าม ซง่ึ จะทำใหร้ ถู้ งึ วถิ วี วิ ฒั นาการดา้ นกายภาพของธรรมชาตวิ า่ จะตอ้ งมกี ารปรบั ธาตดุ นิ นำ้ ไฟ ลม ในธรรมชาตใิ หเ้ กดิ ความสมดลุ และพอเหมาะพอดีอย่างไร พีชนิยาม หรือพืช และจิตตนิยาม หรอื สตั ว์ จงึ จะสามารถบงั เกดิ ขน้ึ มาได้ (โปรดอา่ นรายละเอยี ดเรอ่ื งนเ้ี พม่ิ เติมได้จากหนังสือ “คู่มือบัณฑิตของแผ่นดิน” หน้า 9-20 ซึ่งจัดพิมพ์โดย ธรรมสถานจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปี 2552) * นอกจากนั้นยังสามารถนำความรู้เรื่องธาตุ 4 นี้ไปใช้ ประโยชนใ์ นการสรา้ งสรรคแ์ ละประดษิ ฐส์ ง่ิ ตา่ ง ๆ ทางดา้ นวตั ถไุ ดม้ าก มายมหาศาล รวมไปถงึ การรกั ษาโรคภยั ไขเ้ จบ็ ตา่ ง ๆ ของกายไดอ้ กี ดว้ ย จะเหน็ ไดว้ า่ การแพทยใ์ นโลกตะวนั ออก มหี ลกั การรกั ษาโรคทส่ี ำคญั คอื การปรบั ธาตตุ า่ ง ๆ ใหม้ คี วามสมดลุ เพอ่ื ใหธ้ าตตุ า่ ง ๆ ดำเนนิ ไปดว้ ยดี 30

นวสวี ถกิ าบรรพ (บทวา่ ดว้ ยสภาพทเ่ี ปน็ ศพ 9 ลกั ษณะ) การปฏบิ ตั สิ ตปิ ฏั ฐาน 4 ในบรรพน้ี เปน็ การตง้ั สตเิ พอ่ื ตามเหน็ ความเปน็ จรงิ ทเ่ี ปน็ ทส่ี ดุ ของกาย กลา่ วคอื การถงึ ซง่ึ ความตาย หรอื ความแตกดบั ของกาย ดงั ทไ่ี ดม้ พี ระพทุ ธวจนะ ตรสั ถงึ สภาพของกาย หลังจากที่แตกดับ ในสภาพต่าง ๆ เป็น 9 ลักษณะ ตั้งแต่เริ่มพอง บวม ขน้ึ อดื เนอ้ื เลอื ด เสน้ เอน็ คอ่ ย ๆ เนา่ และหลดุ รว่ งไป จนอยใู่ น สภาพของกระดกู ทห่ี ลดุ ออก อยกู่ ระจดั กระจาย เหน็ เปน็ สขี าว และผพุ งั กลายเปน็ จณุ ไปในทส่ี ดุ ทำไมเรอ่ื งของสภาพทเ่ี ปน็ ศพ 9 ลกั ษณะ จงึ เปน็ เรอ่ื งสำคญั ทจ่ี ะตอ้ งรเู้ ทา่ ทนั ความเปน็ จรงิ ? เหตผุ ลกเ็ พอ่ื ใหป้ ระจกั ษใ์ นความจรงิ วา่ * ทส่ี ดุ ของกาย มจี ดุ จบในลกั ษณะนด้ี ว้ ยกนั ทกุ คน * เพอ่ื ใหป้ ระจกั ษถ์ งึ ความเปน็ ธรรมดาของชวี ติ ฝา่ ยกายวา่ ที่สุดแล้วก็เป็นเช่นนี้เอง ซึ่งจะทำให้บุคคลเอาชนะความรู้สึกกลัว ตอ่ ความตายได้ * เพอ่ื ใหเ้กดิ ความสลดสงั เวช ไมล่ มุ่ หลงหรอื ปรนเปรอกายจนเกนิ ไป * เพอ่ื เปน็ อนสุ สตเิ ตอื นใจวา่ เมอ่ื บคุ คลตายแลว้ ยอ่ มไม่ สามารถนำทรพั ยส์ มบตั ิ วตั ถสุ ง่ิ ของ หรอื สง่ิ ทร่ี กั ทพ่ี งึ พอใจ ไมว่ า่ จะเปน็ อะไรกต็ าม ตดิ ไปไดแ้ มเ้ พยี งสง่ิ เดยี ว * นอกจากนน้ั ยงั ทำใหเ้ กดิ ความไมป่ ระมาทในเรอ่ื งของเวลาวา่ จะมเี ทา่ ทเ่ี มอ่ื ความตายยงั มาไมถ่ งึ เทา่ นน้ั ดงั นน้ั บคุ คลจงึ ไมค่ วรนง่ิ นอนใจ ควรเรง่ กระทำในสง่ิ ทค่ี วรกระทำ และใชเ้ วลาทย่ี งั มชี วี ติ อยนู่ ้ี ใหม้ ปี ระโยชน์ และประสทิ ธภิ าพทส่ี ดุ เทา่ ทจ่ี ะสามารถกระทำได้ 31

ผลของการปฏิบัติในหมวดกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน จะทำใหบ้ คุ คลมคี วามรรู้ อบ-รลู้ กึ เกย่ี วกบั ธรรมชาตชิ วี ติ ฝา่ ยกาย และที่เกี่ยวข้องในทุกแง่ทุกมุม จนทำให้บุคคลไม่ลุ่มหลงและ ยดึ ตดิ ถอื มน่ั ในกาย สามารถทำหนา้ ทต่ี อ่ กายตลอดจนสง่ิ ทเ่ี กย่ี ว ข้องกับกายได้ถูกต้อง เพื่อที่จะได้รักษากายให้ดำรงอยู่อย่าง แขง็ แรงและเปน็ ปกตสิ ขุ ใหเ้ ปน็ ฐานอนั มน่ั คงสำหรบั การปฏบิ ตั ิ สตปิ ฏั ฐานขน้ั ตอ่ ๆ ไป ใหบ้ รรลผุ ลดว้ ยดี วเิ คราะห-์ สงั เคราะห์ เวทนานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน เวทนานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน มคี วามหมายวา่ การตง้ั สตเิ พอ่ื ตามเห็นความเป็นจริงของเวทนา มหาสติปัฏฐานสูตรได้แสดง รายละเอยี ดของเวทนาไวเ้ ปน็ 9 ลกั ษณะ ตามพระพทุ ธวจนะ ดงั น้ี “...ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี เสวยสขุ เวทนาอยู่ กร็ ชู้ ดั วา่ เราเสวยสขุ เวทนา หรอื เสวยทกุ ขเวทนา กร็ ชู้ ดั วา่ เราเสวยทกุ ขเวทนา หรอื เสวย อทุกขมสุขเวทนา ก็รู้ชัดว่า เราเสวยอทุกขมสุขเวทนา หรือเสวยสุข เวทนามอี ามสิ กร็ ชู้ ดั วา่ เราเสวยสขุ เวทนามอี ามสิ หรอื เสวยสขุ เวทนา ไมม่ อี ามสิ กร็ ชู้ ดั วา่ เราเสวยสขุ เวทนาไมม่ อี ามสิ หรอื เสวยทกุ ขเวทนา มอี ามสิ กร็ ชู้ ดั วา่ เราเสวยทกุ ขเวทนามอี ามสิ หรอื เสวยทกุ ขเวทนาไมม่ ี อามสิ กร็ ชู้ ดั วา่ เราเสวยทกุ ขเวทนาไมม่ อี ามสิ หรอื เสวยอทกุ ขมสขุ เวทนามอี ามสิ กร็ ชู้ ดั วา่ เราเสวยอทกุ ขมสขุ เวทนามอี ามสิ หรอื เสวย อทกุ ขมสขุ เวทนาไมม่ อี ามสิ กร็ ชู้ ดั วา่ เราเสวยอทกุ ขมสขุ เวทนาไมม่ ี อามสิ ...” ทำไมเรื่องของเวทนา จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องรู้เท่าทัน ความเปน็ จรงิ ? 32

เหตผุ ลกค็ อื เรอ่ื งของ เวทนา หรอื ความรสู้ กึ หรอื รสชาติ ทเ่ี กดิ ขน้ึ จากการรบั รอู้ ารมณ์ (คอื สง่ิ ทถ่ี กู ร)ู้ เปน็ อกี เรอ่ื งหนง่ึ ทม่ี ี ความหมายและความสำคัญต่อชีวิตเป็นอย่างมาก เป็นสิ่งที่มี อทิ ธพิ ลสงู สดุ ในการครอบงำและชกั จงู ใหเ้ กดิ การกระทำทง้ั หมด ของมนษุ ย์ สมดงั พระพทุ ธวจนะทต่ี รสั วา่ * ธรรมทง้ั ปวงมเี วทนาเปน็ ทป่ี ระชมุ ลง (อง.อฏฐฺ ก.23/189) * เวทนา เปน็ จติ ตสงั ขาร (ม.ม.ู 12/509) คอื เปน็ เครอ่ื งปรงุ แตง่ จติ หรอื ชกั นำใหเ้ กดิ เรอ่ื งราวตา่ ง ๆ ในจติ * เวทนา เปน็ ปจั จยั ใหเ้ กดิ ตณั หา (ส.ํ น.ิ 16/2) มนษุ ยท์ ต่ี อ้ งเปน็ ทกุ ข์ (ทกุ ขอรยิ สจั ) หรอื ทต่ี อ้ งเวยี นวา่ ย ตายเกดิ เปน็ เพราะยงั ตดิ อยใู่ นบว่ งของเวทนานเ้ี อง โดยเฉพาะ ตณั หาหรอื ความทะยานอยากซง่ึ เปน็ เหตแุ หง่ ทกุ ขน์ น้ั เปน็ ความ ทะยานอยากในเวทนาเปน็ สำคญั แมธ้ รรมะในพระพทุ ธศาสนาทเ่ี กดิ ขน้ึ กเ็ พราะเวทนานเ้ี ชน่ กนั หากธรรมชาตขิ องชวี ติ ไมม่ ี เวทนา โดยเฉพาะทกุ ขเวทนาแลว้ ธรรมะก็ ไมม่ คี วามหมาย และไมม่ คี วามจำเปน็ ตอ้ งศกึ ษาและปฏบิ ตั แิ ตป่ ระการใด นอกจากนน้ั โดยธรรมชาติ สขุ เวทนาเปน็ อาหารหรอื สง่ิ หลอ่ เลี้ยงจิต ให้มีพลังที่จะสร้างสรรค์ และกระทำกิจต่าง ๆ ได้อย่างมี ประสทิ ธภิ าพ เหมอื นกบั รา่ งกายทจ่ี ะตอ้ งมปี จั จยั 4 เปน็ สง่ิ หลอ่ เลย้ี ง จงึ จะดำรงอยไู่ ดอ้ ยา่ งเปน็ ปกตสิ ขุ สมดงั พระพทุ ธวจนะทว่ี า่ “จติ ของ ผู้มีสุข ย่อมตั้งมั่น” (องฺ.ปญฺจก. 22/26) ชีวิตของปุถุชนทั่วไปจึงขาด สุขเวทนาที่หล่อเลี้ยงจิตไม่ได้ เพราะหากขาดไปแล้ว จิตจะไม่ตั้งมั่น จะซดั สา่ ย หวน่ั ไหว ดน้ิ รน ไมพ่ รอ้ มทจ่ี ะทำหนา้ ทต่ี า่ ง ๆ อยา่ งมปี ระสทิ ธ-ิ 33

ภาพ และหากขาดความสขุ ไปนาน ๆ จติ กจ็ ะแหง้ เฉา ซมึ ขาดพลงั ความคดิ สรา้ งสรรค์ หรอื อาจออกอาการไปในทางตรงขา้ ม คอื กา้ วรา้ ว เกรี้ยวกราด และนำไปสโู่ รคซมึ เศรา้ โรคจติ และโรคประสาทไดใ้ นทส่ี ดุ การมสี ตติ ามเหน็ ความเปน็ จรงิ ของเวทนา จะทำใหร้ จู้ กั และเกย่ี วขอ้ งกบั เวทนาไดถ้ กู ตอ้ ง นอกจากนน้ั ยงั สามารถนำไปใช้ ประโยชนใ์ นการพฒั นาชวี ติ ดา้ นตา่ ง ๆ อยา่ งกวา้ งขวาง เวทนาทง้ั หมดทแ่ี สดงไวใ้ นเวทนานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน ประมวล ไดเ้ ปน็ 9 ลกั ษณะ ซง่ึ อาจนำมาจดั เปน็ กลมุ่ เพอ่ื ความเขา้ ใจและประโยชน์ ในการปฏบิ ตั ิ ไดเ้ ปน็ 3 กลมุ่ ดงั น้ี 1. กลมุ่ เวทนาทางกาย 2. กลมุ่ เวทนาทางใจทม่ี อี ามสิ 3. กลมุ่ เวทนาทางใจทไ่ี มม่ อี ามสิ แต่ละกลุ่มยังสามารถจำแนกย่อยได้เป็น สุขเวทนา (ความ รสู้ กึ ทพ่ี อใจ), ทกุ ขเวทนา (ความรสู้ กึ ทไ่ี มพ่ อใจ) และอทกุ ขมสขุ เวทนา (ความรสู้ กึ ทเ่ี ฉย ๆ) ปญั หาของมนษุ ยท์ เ่ี กย่ี วขอ้ งกบั เวทนา คอื หลงเขา้ ใจผดิ วา่ สขุ เวทนาเปน็ สง่ิ ทด่ี โี ดยสว่ นเดยี ว และเปน็ เปา้ หมายของชวี ติ ; ทกุ ขเวทนา เปน็ สง่ิ ทไ่ี มด่ โี ดยสว่ นเดยี ว และเปน็ สง่ิ ทบ่ี น่ั ทอนชวี ติ สว่ นอทกุ ขมสขุ - เวทนาเปน็ ความจดื ชดื ทน่ี า่ เบอ่ื หนา่ ยของชวี ติ จงึ เกดิ ความรสู้ กึ ไปในทาง “รกั สขุ เกลยี ดทกุ ข์ และทนเฉยนง่ิ อยไู่ มไ่ ด”้ ชวี ติ จงึ อยใู่ นลกั ษณะ ขน้ึ ๆ ลง ๆ ฟู ๆ แฟบ ๆ ตอ้ งคอยวง่ิ หาสขุ วง่ิ หนที กุ ข์ หรอื ไมก่ ต็ กอยใู่ น ภาวะเบอ่ื ซมึ เซง็ อยตู่ ลอดเวลา ทง้ั ทโ่ี ดยความเปน็ จรงิ แลว้ เวทนาทง้ั หมดไมใ่ ชส่ ง่ิ ทเ่ี ปน็ เปา้ หมาย ของชวี ติ แตเ่ ปน็ เพยี งเครอ่ื งบอกทน่ี บั วา่ ใชไ้ ดท้ เี ดยี ว ทท่ี ำใหร้ วู้ า่ สง่ิ ตา่ ง ๆ 34

ดำเนนิ ไปเปน็ อยา่ งไร เชน่ หากเกดิ สขุ เวทนา กเ็ ปน็ เครอ่ื งบอกวา่ สง่ิ ตา่ ง ๆ ดำเนนิ ไปในทศิ ทางทพ่ี งึ ประสงค์ แตก่ ย็ งั ไมแ่ นว่ า่ จะเปน็ ไปในทศิ ทาง ทถ่ี กู ตอ้ งหรอื ไม่ เพราะในหลกั ธรรมไดแ้ สดงไวว้ า่ จติ ของบคุ คลในขณะ ทม่ี คี วามโลภเกดิ ขน้ึ กส็ ามารถทำใหเ้ กดิ สขุ เวทนาไดเ้ ชน่ กนั ; หากเกดิ ทกุ ขเวทนา กเ็ ปน็ เครอ่ื งบอกวา่ มปี ญั หาหรอื อปุ สรรคเกดิ ขน้ึ แตห่ ากเกดิ อทกุ ขมสขุ เวทนา กย็ งั ไมม่ นี ยั ทบ่ี อกอะไรนกั หลกั ธรรมในพระพทุ ธศาสนา ใหค้ ณุ คา่ และความสำคญั แก่ ทกุ ขเวทนามากกวา่ โดยเหน็ วา่ ทกุ ขเวทนาเปน็ เครอ่ื งบอกเหตทุ ม่ี ี ความแมน่ ยำและแนน่ อน กลา่ วคอื หากเกดิ ทกุ ขเวทนาทางกาย กเ็ ปน็ สง่ิ บอกใหร้ วู้ า่ มปี ญั หาหรอื โรคภยั ไขเ้ จบ็ อะไรบางอยา่ งเกดิ ขน้ึ ทก่ี าย สว่ นนน้ั และหากเกดิ ทกุ ขเวทนาทางใจ กเ็ ปน็ สง่ิ บอกใหร้ วู้ า่ มปี ญั หา การรบั รอู้ ะไรบางอยา่ งทไ่ี มถ่ กู ตอ้ ง เกดิ ขน้ึ ทใ่ี จ นอกจากนน้ั ทกุ ขเวทนาทางใจ ยงั เปน็ เรอ่ื งสำคญั ทถ่ี กู นำมา ใชเ้ ปน็ ดชั นชี ว้ี ดั การเขา้ ถงึ ภาวะสงู สดุ ของชวี ติ ตามหลกั พระพทุ ธศาสนา กลา่ วคอื เปน็ ภาวะทท่ี กุ ขเวทนาทางใจถกู ดบั สนทิ อยา่ งสน้ิ เชงิ นน่ั เอง ซง่ึ จะไดก้ ลา่ วอยา่ งละเอยี ดตอ่ ไปในบทของธมั มานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน จะเหน็ ไดว้ า่ ภาวะสงู สุดหรอื เป้าหมายของชวี ิตตามหลกั พระพทุ ธศาสนา ไมไ่ ดอ้ ยทู่ ส่ี ขุ เวทนา ซง่ึ เปน็ ความสขุ ทเ่ี กดิ ขน้ึ จากการปรงุ แตง่ สขุ เวทนาในระดบั สงู สดุ คอื สขุ เวทนาในอรปู ฌานท่ี 4 กย็ งั เปน็ สขุ เวทนาทไ่ี มย่ ง่ั ยนื และสามารถเปลย่ี นกลบั มาเปน็ ทกุ ขเวทนา อกี เมอ่ื ใดกไ็ ด้ แต่พระพุทธศาสนาได้เสนอว่า ภาวะสูงสุดหรือเป้าหมาย ของชวี ติ ทแ่ี ทจ้ รงิ คอื ภาวะทท่ี กุ ขเวทนาทางใจถกู ดบั ลงอยา่ งสน้ิ เชงิ ดว้ ยการดบั ทเ่ี หตปุ จั จยั คอื อวชิ ชา ตณั หา และอปุ าทานตา่ งหาก 35

ในอรยิ สจั 4 จงึ ไดต้ รสั แสดง นโิ รธ หรอื ภาวะความดบั สน้ิ ไป แหง่ ทกุ ข์ วา่ เปน็ จดุ หมายทพ่ี งึ ปฏบิ ตั ใิ หเ้ ขา้ ถงึ ตอ่ จากนไ้ี ป จะไดว้ เิ คราะห-์ สงั เคราะหเ์ รอ่ื งของเวทนา ตามท่ี ไดต้ รสั ไวท้ ง้ั หมด ใหช้ ดั เจนและละเอยี ดยง่ิ ขน้ึ 1. กลมุ่ เวทนาทางกาย หมายถงึ กลมุ่ ของเวทนาทก่ี ลา่ วถงึ ใน กลมุ่ แรกของมหาสตปิ ฏั ฐานสตู รทว่ี า่ “เสวยสขุ เวทนา...เสวยทกุ ขเวทนา ...เสวยอทกุ ขมสขุ เวทนา” เปน็ เวทนาทางกายทเ่ี กดิ ขน้ึ จากการกระทบ กนั ของอายตนะภายใน คอื ตา (จกั ขปุ ระสาท) หู (โสตประสาท) จมกู (ฆานประสาท) ลน้ิ (ชวิ หาประสาท) กาย (กายประสาท) กบั อายตนะ ภายนอก คอื รปู เสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐพั พะ (คอื สง่ิ ตอ้ งกาย ซง่ึ กลา่ ว โดยสรปุ คอื สภาพ เยน็ รอ้ น ออ่ น แขง็ ตงึ ไหว ทม่ี าสมั ผสั กบั ประสาทกาย) หรอื ทเ่ี รยี กวา่ ปฏฆิ สมั ผสั หรอื การสมั ผสั ทางรปู การตง้ั สตเิ พอ่ื ตามเหน็ ความเปน็ จรงิ ของเวทนาทางกาย จะทำให้ ประจกั ษใ์ นความจรงิ วา่ เวทนาทางกาย ทเ่ี กดิ ขน้ึ ทง้ั 3 ลกั ษณะจะ เกดิ ขน้ึ โดยเสมอกนั หมด ไมว่ า่ จะในปถุ ชุ นหรอื ในพระอรยิ บคุ คล โดยเฉพาะทุกขเวทนาทางกาย นั้น ไม่มีใครที่สามารถละหรือ ทำใหห้ มดสน้ิ ไปไดอ้ ยา่ งเดด็ ขาด สว่ นทส่ี ามารถทำใหห้ มดสน้ิ ไป ไดอ้ ยา่ งเดด็ ขาด คอื ทกุ ขเวทนาทางใจ หรือ โทมนสั เท่านั้น ในพระไตรปฎิ กไดแ้ สดงเรอ่ื งนไ้ี วช้ ดั เจน โดยเปรยี บปถุ ชุ นเปน็ ผทู้ ถ่ี กู ยงิ ดว้ ยธนู 2 ดอก คอื ยงั มที กุ ขเวทนาทง้ั ทางกายและทางใจ สว่ นพระอรหนั ต์ ถกู ยงิ ดว้ ยธนเู พยี งดอกเดยี ว คอื มแี ตท่ กุ ขเวทนาทางกายเทา่ นน้ั ไมม่ ี ทกุ ขเวทนาทางใจเลย (ส.ํ สฬ. 16/369-372) การบรหิ ารจดั การกบั เวทนาทางกายน้ี จงึ มสี าระสำคญั อยทู่ ก่ี ารรจู้ กั จดั การและปรบั ปรงุ รปู เสยี ง กลน่ิ รส และโผฏฐพั พะ 36

ทอ่ี ยภู่ ายนอกเปน็ สำคญั โดยปรบั ปรงุ ใหม้ ปี รมิ าณและคณุ ภาพท่ี พอเหมาะกบั การรบั รขู้ องประสาททง้ั 5 กจ็ ะทำใหเ้ กดิ สขุ เวทนา และบรรเทาทกุ ขเวทนาทางกายไดต้ ามสมควร เชน่ อากาศหนาว ทำให้เกิดทุกขเวทนาทางกาย ก็แก้ได้ด้วยการใส่เสื้อผ้าที่หนา เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความอบอนุ่ แกร่ า่ งกาย ทำใหท้ กุ ขเวทนาทางกายไดร้ บั การบรรเทาลง และเกดิ เปน็ สขุ เวทนาทางกายขน้ึ 2. กลมุ่ เวทนาทางใจทม่ี อี ามสิ หมายถงึ เวทนาทต่ี อ้ งมเี หยอ่ื ลอ่ (อามสิ แปลวา่ วตั ถุ สง่ิ ของ เหยอ่ื หรอื เครอ่ื งลอ่ ) หรอื ตอ้ งองิ อาศยั วตั ถภุ ายนอก คอื รปู เสยี ง กลน่ิ รส และโผฏฐพั พะ แตเ่ กดิ ขน้ึ จาก การสัมผัสรับรู้ทางมโนทวารหรอื ทางใจ หรอื ทเ่ี รียกวา่ อธิวจน- สมั ผสั หรอื การสมั ผสั ทางใจ การตง้ั สตเิ พอ่ื ตามเหน็ ความเปน็ จรงิ ของเวทนาทางใจทม่ี อี ามสิ จะทำใหป้ ระจกั ษใ์ นความจรงิ วา่ รปู เสยี ง กลน่ิ รส และโผฏฐพั พะ ทม่ี า สมั ผสั กบั อายตนะภายใน คอื ตา หู จมกู ลน้ิ และกาย จนเกดิ เปน็ ปฏิฆสัมผัส และเกิดเวทนาทางกายแล้ว ไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านั้น แตย่ งั มกี ระบวนการรบั รเู้ กดิ สบื เนอ่ื งตอ่ ไปอกี ในทางมโนหรอื ใจ และเกดิ เปน็ ผสั สะทเ่ี รยี กวา่ อธวิ จนสมั ผสั หรอื การสมั ผสั ทางใจ ทำใหเ้ กดิ เวทนาทางใจ ทเ่ี รยี กวา่ เวทนาทางใจทม่ี อี ามสิ อกี ดว้ ย นอกจากนน้ั ยงั ทำใหร้ วู้ า่ โดยทว่ั ไป ลกั ษณะของเวทนาทางใจทม่ี ี อามสิ ทเ่ี กดิ ขน้ึ เนอ่ื งจากอธวิ จนสมั ผสั จะเปน็ อยา่ งเดยี วกบั เวทนาทางกายท่ี เกดิ ขน้ึ ในปฏฆิ สมั ผสั แตใ่ นขน้ั น้ี มเี รอ่ื งทซ่ี บั ซอ้ นขน้ึ ไปอกี กลา่ วคอื มเี รอ่ื ง ของการให้คณุ คา่ ความหมายหรือการจนิ ตนาการ ที่มีผลทำให้ เวทนาทางใจทม่ี อี ามสิ น้ีเกดิ เปน็ เวทนาในลกั ษณะใดไดอ้ กี ดว้ ย 37

ยกตวั อยา่ ง บคุ คลมสี ขุ เวทนาทางกายทเ่ี กดิ ขน้ึ จากการรบั รู้ รสชาตขิ องอาหารแลว้ กจ็ ะทำใหเ้ กดิ สขุ เวทนาทางใจทม่ี อี ามสิ เกดิ ขน้ึ ตามไปดว้ ย แตห่ ากบคุ คลมจี นิ ตนาการลงไปวา่ เปน็ อาหารจากบคุ คล ทร่ี กั เปน็ ผทู้ ำให้ กจ็ ะทำใหเ้ กดิ สขุ เวทนาทางใจมากยง่ิ ขน้ึ ในทางตรงขา้ ม หากมีจินตนาการไปว่า เป็นอาหารจากบุคคลที่เกลียดเป็นผู้ทำให้ แมร้ สชาตขิ องอาหารจะอนั เดยี วกนั แตก่ ท็ ำใหเ้ กดิ ทกุ ขเวทนาทางใจ ขน้ึ แทน และเกดิ ความรสู้ กึ ผะอดื ผะอมในการรบั ประทานอาหารนน้ั ได้ ประเดน็ เรอ่ื งจนิ ตนาการน้ี ถกู นำไปใชม้ ากโดยเฉพาะในดา้ น โฆษณา ซง่ึ แทจ้ รงิ แลว้ คอื การสรา้ งจนิ ตนาการใหเ้ กดิ ขน้ึ ในสง่ิ ทป่ี ระสงค์ จะโฆษณานน่ั เอง ความสำเรจ็ ในการทำโฆษณากค็ อื การทส่ี ามารถชกั จูงบุคคลให้จินตนาการตาม แล้วทำให้เกิดสุขเวทนาทางใจขึ้นจาก การจนิ ตนาการนน้ั เรอ่ื งของสขุ เวทนาทง้ั ทเ่ี ปน็ ทางกาย และทางใจทม่ี อี ามสิ คอื ทเ่ี นอ่ื งมาจาก รปู เสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐพั พะ ยงั มเี รอ่ื งทจ่ี ะตอ้ งรตู้ อ่ ไปอกี วา่ หากมกี ารรบั รบู้ อ่ ย ๆ และตดิ ตอ่ กนั เปน็ เวลานาน จะมกี ารจดื จางได้ และทำใหไ้ มร่ สู้ กึ เปน็ สขุ เวทนาอกี ตอ่ ไป เชน่ อาหารทว่ี า่ อรอ่ ยทบ่ี คุ คล ผเู้ ปน็ ทร่ี กั ทำให้ หากใหร้ บั ประทานหลาย ๆ มอ้ื ตดิ ตอ่ กนั กท็ ำใหเ้ กดิ ความเบอ่ื หนา่ ย และไมร่ สู้ กึ เปน็ สขุ อกี ตอ่ ไปได้ เวทนาทางใจที่มีอามิส ที่ขึ้นอยู่กับการให้ความหมาย หรอื จนิ ตนาการ นแ้ี หละทเ่ี ปน็ ตวั การหรอื ตน้ เหตสุ ำคญั ทท่ี ำให้ เกดิ สง่ิ ทเ่ี รยี กวา่ กาม สมดงั พระพทุ ธวจนะทต่ี รสั วา่ “อารมณอ์ นั วจิ ติ รทง้ั หลายในโลก ไมช่ อ่ื วา่ กาม ความกำหนดั ทเ่ี กดิ ขน้ึ ดว้ ยสามารถแหง่ ความดำรขิ องบรุ ษุ ชอ่ื วา่ กาม อารมณอ์ นั วจิ ติ รทง้ั หลายในโลกยอ่ มตง้ั อยตู่ ามสภาพของตน 38

ส่วนว่า ธีรชนทั้งหลายย่อมกำจัดความพอใจ ในอารมณ์อันวิจิตร เหลา่ นน้ั ฯ” (อง.ฺ ฉกกฺ 22/334) ดงั นน้ั การตง้ั สตติ ามเหน็ ความจรงิ ของเวทนาทางใจทม่ี ี อามสิ จะทำใหร้ จู้ กั และเขา้ ใจถงึ การเกดิ ขน้ึ ของ กาม และ กามราคะ คอื เกดิ ขน้ึ จากการดำริ หรอื การใหค้ ณุ คา่ ความหมาย หรอื การ จนิ ตนาการนเ้ี อง การบรหิ ารจดั การกบั เวทนาทางใจทม่ี อี ามสิ น้ี * ในกรณขี องปถุ ชุ น ซง่ึ รจู้ กั และมเี พยี งความสขุ ประเภทน้ี เทา่ นน้ั ทเ่ี ปน็ อาหารของจติ โดยไมม่ คี วามสขุ ทล่ี ะเอยี ดประณตี ยง่ิ กวา่ ผฉู้ ลาดในสขุ เวทนาทม่ี อี ามสิ จะตอ้ งรจู้ กั รบั รแู้ ละมจี นิ ตนาการตอ่ รปู เสยี ง กลน่ิ รส และโผฏฐพั พะ ในทางทจ่ี ะทำใหเ้ กดิ สขุ เวทนาขน้ึ ดังที่มีคำสอนให้ฝึกมองแต่ในด้านดี หรือรับรู้ในทางบวก (Positive Thinking) นอกจากนน้ั ยงั จะตอ้ งรจู้ กั ปรบั เปลย่ี นไปมา ตามสมควร ไมซ่ ำ้ จำเจอยกู่ บั สขุ เวทนาจากสง่ิ หนง่ึ สง่ิ ใดจนเกนิ ไป กจ็ ะสามารถบรหิ ารและรกั ษาสขุ เวทนาทม่ี อี ามสิ น้ี ใหด้ ำรงอยู่ ไดย้ ง่ั ยนื และทำใหช้ วี ติ ดำรงอยไู่ ดเ้ ปน็ ปกตสิ ขุ พอสมควร * สว่ นในกรณขี องผทู้ จ่ี ะปฏบิ ตั เิ พอ่ื ความเปน็ พระอรยิ - บคุ คล จะเหน็ วา่ ความสขุ ประเภทน้ี หรอื ทเ่ี รยี กวา่ กามสขุ เปน็ ความสขุ ทม่ี คี ณุ นอ้ ย มโี ทษมาก เปน็ ความสขุ ทไ่ี มค่ วรเสพ และ เปน็ ความสขุ ทค่ี วรกลวั (ม.ม. 13/182) เปน็ ความสขุ ทเ่ี ปน็ ของหลอก ทต่ี อ้ งอาศยั การจนิ ตนาการไปเองของบคุ คลทำใหเ้ กดิ ขน้ึ จงึ ไม่ ยนิ ดพี อใจในสขุ เวทนาน้ี แตจ่ ะอาศยั เปน็ อปุ กรณส์ ำหรบั พจิ ารณา ใหเ้ กดิ ปญั ญา เพอ่ื การละ กามราคะ ทเ่ี ปน็ สงั โยชนต์ อ่ ไป 39

2. กลมุ่ เวทนาทางใจทไ่ี มม่ อี ามสิ หมายถงึ เวทนาทไ่ี มต่ อ้ งอาศยั เหยอ่ื ลอ่ หรอื ไมต่ อ้ งองิ อาศยั วตั ถภุ ายนอก คอื รปู เสยี ง กลน่ิ รส และ โผฏฐพั พะ หรอื ทไ่ี มเ่ จอื ดว้ ยกามคณุ หรอื ทเ่ี ปน็ ไปเพอ่ื เนกขมั มะ (ออก จากกาม) ดงั นน้ั หากกลา่ วอยา่ งเครง่ ครดั จะหมายถงึ สขุ เวทนาทเ่ี กดิ ใน ภาวะจติ ทเ่ี ปน็ ฌาน แตใ่ นอรรถกถาไดใ้ หค้ ำอธบิ ายทก่ี วา้ งออกไปวา่ เปน็ เวทนาใด ๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ หากอยใู่ นบรบิ ททม่ี จี ดุ มงุ่ หมายเพอ่ื เนกขมั มะ หรอื เพอ่ื ความดบั ทกุ ข-์ ดบั กเิ ลส กจ็ ดั ไดว้ า่ เปน็ เวทนาทางใจทไ่ี มม่ อี ามสิ ซง่ึ สามารถเกดิ ขน้ึ ไดเ้ ปน็ สขุ เวทนา ทกุ ขเวทนา และอทกุ ขมสขุ เวทนา เชน่ ในขณะเจริญสมาธิ ซึ่งภาวะของจิตยังไม่ถึงระดับฌาน และใน ขณะนั้นจิตเกิดความรู้สึกวุ่นวายใจและเป็นทุกข์ ก็จัดทุกขเวทนาที่ เกดิ ขน้ึ นน้ั เปน็ ทกุ ขเวทนาทไ่ี มม่ อี ามสิ เปน็ ตน้ การตง้ั สตติ ามเหน็ ความเปน็ จรงิ ของเวทนาทางใจทไ่ี มม่ อี ามสิ จะทำใหป้ ระจกั ษใ์ นความจรงิ วา่ มเี วทนาอกี ประเภทหนง่ึ ทเ่ี รยี กวา่ เวทนาทางใจทไ่ี มม่ อี ามสิ ทส่ี ำคญั คอื สขุ เวทนาทไ่ี มม่ อี ามสิ หรอื สขุ ทเ่ี กดิ จากฌาน หรอื ทเ่ี รยี กวา่ ฌานสขุ มพี ระพทุ ธพจนต์ รสั สรรเสรญิ ความสขุ ประเภทนว้ี า่ เปน็ ความสขุ ท่ี “บคุ คลควรเสพ ควรใหเ้ กดิ มี ควรทำใหม้ าก ไมค่ วรกลวั แตส่ ขุ นน้ั ” (ม.ม. 13/183) และจติ ในระดบั ฌานนย้ี งั เปน็ องคป์ ระกอบสำคญั หนง่ึ ในอรยิ มรรค มอี งค์ 8 ทเ่ี ปน็ เครอ่ื งมอื นำจติ ใหส้ ามารถหลดุ พน้ จากทกุ ขด์ ว้ ย คุณลักษณะพิเศษของสุขเวทนาที่ไม่มีอามิส ที่แตกต่างจาก สุขเวทนาที่มีอามิส คือ เป็นความสุขที่เป็นเอกเทศ ไม่ต้องขึ้นกับรูป เสยี ง กลน่ิ รส และโผฏฐพั พะ หรอื วตั ถใุ ด ๆ ทอ่ี ยภู่ ายนอก ไมต่ อ้ งอาศยั การจนิ ตนาการ และอนั ทจ่ี รงิ เปน็ ความสขุ ทเ่ี กดิ จากการหยดุ จนิ ตนาการ 40

ดว้ ยซำ้ ไป เปน็ ความสขุ ทม่ี น่ั คง ไมต่ อ้ งไปแยง่ ชงิ กบั ใคร ๆ และใคร ๆ ก็ไม่อาจมาแย่งชิงไปได้ นอกจากนั้นรสชาติของความสุขประเภทนี้ ยงั ละเอยี ด ประณตี สขุ มุ ไมท่ ำใหผ้ รู้ บั รเู้ กดิ ความเบอ่ื หนา่ ย แมจ้ ะทำสมาธิ ซำ้ ๆ หรอื บอ่ ย ๆ หรอื ตดิ ตอ่ กนั เปน็ เวลานานกต็ าม การบรหิ ารจดั การกบั เวทนาทางใจทไ่ี มม่ อี ามสิ น้ี * ในกรณขี องปถุ ชุ น เพอ่ื ใหช้ วี ติ มคี วามมน่ั คง ตง้ั มน่ั อยา่ ง ยง่ั ยนื ยง่ิ ขน้ึ ไมม่ อี าการขน้ึ ๆ ลง ๆ ฟู ๆ แฟบ ๆ และไมถ่ กู รสชาตขิ อง รปู เสยี ง กลน่ิ รส และโผฏฐพั พะ ครอบงำ หรอื รอ้ ยรดั เสยี ดแทงจน เกนิ ไป บคุ คลควรรจู้ กั และฝกึ ฝนปฏบิ ตั ใิ หม้ สี ขุ เวทนาทางใจทไ่ี มม่ อี ามสิ ไวห้ ลอ่ เลย้ี งจติ ใจดว้ ย * สว่ นในกรณขี องผทู้ จ่ี ะปฏบิ ตั เิ พอ่ื ความเปน็ พระอรยิ - บคุ คล จะเหน็ วา่ ความสขุ ประเภทน้ี เปน็ ความสขุ สำคญั และจำเปน็ ต้องฝึกปฏิบัติให้บังเกิดขึ้น เพื่อให้องค์มรรคโดยเฉพาะสัมมาสมาธิ ซง่ึ ตรสั วา่ คอื ฌาน 4 เกดิ ขน้ึ เพอ่ื ทำใหอ้ รยิ มรรคมอี งค์ 8 เกดิ ขน้ึ อยา่ ง ครบถ้วนสมบูรณ์ ซึ่งจะทำให้มีกำลังถึงขนาดทำให้สังโยชน์ในส่วน ละเอยี ด หมดสน้ิ ไปไดอ้ ยา่ งเดด็ ขาด วเิ คราะห-์ สงั เคราะห์ จติ ตานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน จติ ตานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน มคี วามหมายวา่ การตง้ั สตเิ พอ่ื ตามเห็นความเป็นจริงของจิต ซง่ึ ในมหาสตปิ ฏั ฐานสตู ร ไดแ้ สดง เนอ้ื หารายละเอยี ดของจติ ไวเ้ ปน็ 16 ประเภท ตามพระพทุ ธวจนะ ดงั น้ี “...ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี จติ มรี าคะ กร็ วู้ า่ จติ มรี าคะ หรอื จติ ปราศ- จากราคะ กร็ วู้ า่ จติ ปราศจากราคะ จติ มโี ทสะ กร็ วู้ า่ จติ มโี ทสะ หรอื จติ 41

ปราศจากโทสะ กร็ วู้ า่ จติ ปราศจากโทสะ จติ มโี มหะ กร็ วู้ า่ จติ มโี มหะ หรอื จติ ปราศจากโมหะ กร็ วู้ า่ จติ ปราศจากโมหะ จติ หดหู่ กร็ วู้ า่ จติ หดหู่ จติ ฟงุ้ ซา่ น กร็ วู้ า่ จติ ฟงุ้ ซา่ น จติ เปน็ มหรคต กร็ วู้ า่ จติ เปน็ มหรคต หรอื จติ ไมเ่ ปน็ มหรคต กร็ วู้ า่ จติ ไมเ่ ปน็ มหรคต จติ มจี ติ อน่ื ยง่ิ กวา่ กร็ วู้ า่ จติ มี จติ อน่ื ยง่ิ กวา่ หรอื จติ ไมม่ จี ติ อน่ื ยง่ิ กวา่ กร็ วู้ า่ จติ ไมม่ จี ติ อน่ื ยง่ิ กวา่ จติ เปน็ สมาธิ กร็ วู้ า่ จติ เปน็ สมาธิ หรอื จติ ไมเ่ ปน็ สมาธิ กร็ วู้ า่ จติ ไมเ่ ปน็ สมาธิ จติ หลดุ พน้ กร็ วู้ า่ จติ หลดุ พน้ หรอื จติ ไมห่ ลดุ พน้ กร็ วู้ า่ จติ ไมห่ ลดุ พน้ ...” ทำไมเรื่องของจิต จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องรู้เท่าทันความ เปน็ จรงิ ? เหตผุ ลกเ็ พอ่ื ใหร้ จู้ กั ธรรมชาตขิ องจติ ประเภทตา่ ง ๆ วา่ จิตประเภทใดที่เป็นคุณ ที่จะต้องรู้จักฝึกฝนปฏิบัติให้เกิดขึ้น จติ ประเภทใดทเ่ี ปน็ โทษ ทจ่ี ะตอ้ งรจู้ กั ฝกึ ฝนปฏบิ ตั ใิ หไ้ มเ่ กดิ ขน้ึ หรอื ทำใหห้ มดไป และจติ ใดทเ่ี ปน็ เปา้ หมายของการฝกึ ปฏบิ ตั ิ เพอ่ื ใหเ้ ขา้ ถงึ เพราะหากบคุ คลไมร่ จู้ กั เรอ่ื งนแ้ี ลว้ จะทำใหส้ ำคญั ผดิ และทำใหไ้ มส่ ามารถพฒั นาจติ หรอื ยกระดบั ของจติ ใหเ้ ปน็ ไปโดยถกู ตอ้ ง ใหบ้ รรลถุ งึ ภาวะของจติ ทเ่ี ปน็ อดุ มคตไิ ด้ จติ ในฝา่ ยทเ่ี ปน็ โทษ คอื จติ มรี าคะ (จติ ทย่ี นิ ดใี นอารมณห์ รอื ทป่ี ระกอบดว้ ยโลภะ) จติ มโี ทสะ (จติ ทไ่ี มพ่ อใจในอารมณห์ รอื ทป่ี ระกอบ ดว้ ยโทสะ) จติ มโี มหะ (จติ ทห่ี ลงในอารมณ์ หรอื ทป่ี ระกอบดว้ ยโมหะ) จติ หดหู่ (จติ ทซ่ี มึ ทอ้ แท)้ จติ ฟงุ้ ซา่ น (จติ ทค่ี ดิ จบั จด) จติ ในฝา่ ยทเ่ี ปน็ คณุ คอื จติ ปราศจากราคะ (จติ ทไ่ี มม่ โี ลภะ) จติ ปราศจากโทสะ (จติ ทไ่ี มม่ โี ทสะ) จติ ปราศจากโมหะ (จติ ทไ่ี มม่ โี มหะ) สว่ นจติ ทเ่ี ปน็ เปา้ หมายของการฝกึ ปฏบิ ตั ิ คอื จติ เปน็ มหรคต (จติ ทอ่ี ยใู่ นระดบั ฌาน) ซง่ึ บคุ คลผเู้ ขา้ 42

ถงึ จะตอ้ งสามารถแยกแยะไดถ้ กู ตอ้ งวา่ แตกตา่ งจาก จติ ไมเ่ ปน็ มหรคต (จติ ทไ่ี มอ่ ยใู่ นระดบั ฌาน) อยา่ งไร คอื จติ ไมม่ จี ติ อน่ื ยง่ิ กวา่ (จติ ทพ่ี ฒั นาไปจนถงึ ระดบั สงู สดุ ) ซึ่งบุคคลผู้เข้าถึงจะต้องสามารถแยกแยะได้ถูกต้องว่าแตกต่างจาก จติ มจี ติ อน่ื ยง่ิ กวา่ (จติ ทย่ี งั จะตอ้ งพฒั นาตอ่ ไปอกี ) อยา่ งไร คอื จติ เปน็ สมาธิ (จติ ทต่ี ง้ั มน่ั ) ซง่ึ บคุ คลผเู้ ขา้ ถงึ จะตอ้ ง สามารถแยกแยะได้ถูกต้องว่าแตกต่างจาก จิตไม่เป็นสมาธิ (จิตที่ ไมต่ ง้ั มน่ั ) อยา่ งไร คอื จติ หลดุ พน้ (จติ ทบ่ี รรลอุ รหตั ผล) ซง่ึ บคุ คลผเู้ ขา้ ถงึ จะ ตอ้ งสามารถแยกแยะไดถ้ กู ตอ้ งวา่ แตกตา่ งจาก จติ ไมห่ ลดุ พน้ (จติ ทไ่ี ม่ บรรลอุ รหตั ผล) อยา่ งไร การรเู้ รอ่ื ง จติ ประเภทตา่ ง ๆ ดงั ทก่ี ลา่ วไปแลว้ มคี วามสำคญั มาก เพราะหลกั การในพระพทุ ธศาสนาแสดงวา่ “ธรรมทง้ั หลายมใี จเปน็ หวั หนา้ มใี จประเสรฐิ ทส่ี ดุ สำเรจ็ แลว้ แตใ่ จ” (ข.ุ ธ. 25/11) ดงั นน้ั ภาวะของจติ ในระดบั ตา่ ง ๆ จงึ เปน็ สง่ิ ทใ่ี ชต้ ดั สนิ ในขน้ั สดุ ทา้ ยของการ ปฏบิ ตั วิ า่ ลม้ เหลวหรอื ประสบความสำเรจ็ เพยี งใด กลา่ วโดยสรปุ * หากมจี ติ ในฝา่ ยทเ่ี ปน็ โทษยงั เกดิ ขน้ึ มาก กแ็ สดงถงึ ความ ลม้ เหลวในการปฏบิ ตั ิ เพราะจติ ยงั วนเวยี นอยใู่ นระดบั ทเ่ี รยี กวา่ ทคุ ติ หรอื อบาย * หากมจี ติ ในฝา่ ยทเ่ี ปน็ คณุ เกดิ ขน้ึ มาก กเ็ ปน็ เครอ่ื งแสดงวา่ มคี วามกา้ วหนา้ ในการปฏบิ ตั ิ แตเ่ ปน็ ในระดบั ทเ่ี รยี กวา่ สคุ ติ ยงั ไมส่ ามารถ หลดุ พน้ จากทกุ ขแ์ ละกเิ ลสได้ 43

* แตห่ ากมจี ติ ทเ่ี ปน็ เปา้ หมายของการปฏบิ ตั เิ กดิ ขน้ึ กเ็ ปน็ เครอ่ื งแสดงวา่ มคี วามกา้ วหนา้ ในการปฏบิ ตั อิ ยา่ งแทจ้ รงิ และมคี วาม หวงั วา่ จะสามารถบรรลเุ ปา้ หมายทเ่ี ปน็ อดุ มคตใิ นพระพทุ ธศาสนา คอื วมิ ตุ ติ หรอื ความหลดุ พน้ จากทกุ ขแ์ ละกเิ ลสไดใ้ นทส่ี ดุ วเิ คราะห-์ สงั เคราะห์ ธมั มานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน ธมั มานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน มคี วามหมายวา่ การตง้ั สตเิ พอ่ื ตามเหน็ ความเปน็ จรงิ ของธรรม ซง่ึ ในมหาสตปิ ฏั ฐานสตู ร ไดแ้ สดง เนอ้ื หารายละเอยี ดของธรรมไวเ้ ปน็ 5 บรรพ หรอื 5 บท คอื 1. นวี รณบรรพ (บทวา่ ดว้ ยเรอ่ื งนวิ รณ)์ 2. ขนั ธบรรพ (บทวา่ ดว้ ยเรอ่ื งขนั ธ)์ 3. อายตนบรรพ (บทวา่ ดว้ ยเรอ่ื งอายตนะ) 4. โพชฌงคบรรพ (บทวา่ ดว้ ยเรอ่ื งโพชฌงค)์ 5. สจั จบรรพ (บทวา่ ดว้ ยเรอ่ื งอรยิ สจั ) ธมั มานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน มคี วามแตกตา่ งจากสตปิ ฏั ฐาน ใน 3 หมวดขา้ งตน้ ทก่ี ลา่ วไปแลว้ กลา่ วคอื ไมใ่ ชเ่ พยี งตามเหน็ สง่ิ ทร่ี บั รตู้ ามทเ่ี ปน็ จรงิ หรอื รทู้ นั วา่ อะไรเปน็ อะไรเทา่ นน้ั แตจ่ ะ มกี ารสบื สาวเพอ่ื ใหร้ สู้ าเหตหุ รอื ทม่ี าทไ่ี ปของสง่ิ ทร่ี บั รนู้ น้ั ๆ ดว้ ย ในตอนทา้ ยของบรรพตา่ ง ๆ จงึ มขี อ้ ความเพม่ิ เตมิ ในลกั ษณะทว่ี า่ ใหร้ ดู้ ว้ ยวา่ สง่ิ ทร่ี บั รอู้ ยนู่ น้ั เกดิ มาไดอ้ ยา่ งไร ? ดบั ไปไดอ้ ยา่ งไร ? จะไมเ่ กดิ ขน้ึ อกี ไดอ้ ยา่ งไร ? เปน็ ตน้ นวี รณบรรพ (บทวา่ ดว้ ยเรอ่ื งนวิ รณ)์ การปฏบิ ตั สิ ตปิ ฏั ฐาน 4 ในบรรพน้ี เปน็ การตง้ั สตเิ พอ่ื ตามเหน็ 44

ความเปน็ จรงิ ของธรรม คอื นวิ รณ์ 5 ตลอดจนปจั จยั ทท่ี ำใหเ้ กดิ ขน้ึ และดบั ลง ทำไมเรอ่ื งของนวิ รณ์ 5 จงึ เปน็ เรอ่ื งสำคญั ทจ่ี ะตอ้ งรเู้ ทา่ ทนั ความเปน็ จรงิ ? เหตผุ ลกค็ อื นวิ รณ์ 5 เปน็ สง่ิ กดี ขวาง ปดิ กน้ั การทำงานของจติ และบน่ั ทอนปญั ญาใหอ้ อ่ นกำลงั ลง ในมหาสตปิ ฏั ฐานสตู ร ไดแ้ สดง เนอ้ื หารายละเอยี ดไวว้ า่ คอื กามฉนั ท์ (ความพอใจในกาม), พยาบาท (ความขดั แคน้ เคอื งใจ), ถนี มทิ ธะ (ความหดหู่ เซอ่ื งซมึ ), อทุ ธจั จะ- กกุ กจุ จะ (ความฟงุ้ ซา่ นรำคาญใจ) และวจิ กิ จิ ฉา (ความลงั เลสงสยั ) นิวรณ์ 5 นี้มีพระพุทธวจนะตรัสว่า เป็นอุปกิเลสแห่งจิต (ส.ํ ม. 19/490) ซง่ึ ทำใหจ้ ติ บกพรอ่ งและดอ้ ยประสทิ ธภิ าพ นอกจากนน้ั ในพระสตู รบางแหง่ พระพทุ ธเจา้ ไดต้ รสั เปรยี บวา่ เปน็ เชน่ สง่ิ เจอื ปน ทม่ี อี ยใู่ นนำ้ ทำให้ไมส่ ามารถมองเหน็ สง่ิ ทอ่ี ยใู่ นนำ้ ไดอ้ ยา่ งชดั เจนถกู ตอ้ ง และยงั ทำใหม้ องเหน็ ผดิ เพย้ี นไปจากความจรงิ ดว้ ย โดยเปรยี บกามฉนั ท์ เหมอื นกบั สที เ่ี จอื ปนในนำ้ , พยาบาทเหมอื นกบั นำ้ ทก่ี ำลงั เดอื ด, ถนี มทิ ธะ เหมอื นกบั จอกแหนทล่ี อยอยบู่ นผวิ นำ้ , อทุ ธจั จะกกุ กจุ จะเหมอื นกบั นำ้ ทถ่ี กู ลมพดั ใหเ้ กดิ คลน่ื พลว้ิ ทผ่ี วิ นำ้ และวจิ กิ จิ ฉาเหมอื นกบั นำ้ ทม่ี ตี ะกอนขนุ่ ลอยแขวนอยู่ (ส.ํ ม. 19/603-612) นวิ รณ์ จงึ เปน็ ธรรมอนั ดบั แรกทจ่ี ะตอ้ งรจู้ กั และบรรเทา หรอื ชำระใหห้ มดสน้ิ ไปกอ่ น จงึ จะทำใหม้ คี วามกา้ วหนา้ ในการ ปฏบิ ตั ทิ จ่ี ะเขา้ ถงึ ธรรมทล่ี ะเอยี ดประณตี ทเ่ี ปน็ อดุ มคตติ อ่ ไปได้ การเกิดขึ้นของนิวรณ์ 5 นั้น มีสมุฏฐานหรือสาเหตุมาจาก การหมายรู้หรือจินตนาการต่อ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ โดยความเปน็ สภุ นมิ ติ (สง่ิ สวยงาม) และปฏฆิ นมิ ติ (สง่ิ ทข่ี ดั เคอื งใจ) 45


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook