ส่วนประกอบท.ีสาํ คญั ในกระบวนการวิจยั แบบเทคนิ คเดลฟาย 1. ลกั ษณะของปัญหาการวจิ ยั 1.1 เป็ นการคาดการณ์ส.ิงท.ีจะเกิดข4ึนในอนาคต 1.2 เป็ นการศึกษาความสอดคลอ้ งต่อเน.ืองกนั ระหว่างเป้าหมาย (target) และวตั ถุประสงค์ (objective) ของสิ.งต่างๆ 1.3 เป็ นการศึกษาค่านิยมท.ีสอดคลอ้ งตอ้ งกนั 1.4 เป็ นการประเมินผลสิ.งใดส.ิงหน.ึง 1.5 เป็ นการศึกษาการรับรู้สภาพการณ์ปัจจุบนั 5
2. ผ้เู ช.ียวชาญ 2.1 ความสามารถของผูเ้ ชี.ยวชาญ 2.2 ความร่วมมือของผูเ้ ช.ียวชาญ 2.3 การเลือกผูเ้ ช.ียวชาญ 6
การเลือกจาํ นวนผู้เช1ียวชาญ การเลือกจาํ นวนผูเ้ ช.ียวชาญน4นั ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตวั ท4งั น4ีข4ึนกบั วิจารณญาณของผูว้ ิจยั แต่การกาํ หนดจาํ นวนผูเ้ ช.ียวชาญน4นั ข4ึนอยู่กบั ความคลาดเคล.ือนของขอ้ มูล ซ.ึง Thomas T. Macmillan (อา้ งใน มนตรี อมรพิเชษฐ์กุล) ไดศ้ ึกษาและ เสนอผลการวิจยั เก.ียวกบั จาํ นวนผูเ้ ชี.ยวชาญในการวิจยั ดว้ ยเทคนิคเดลฟาย พบว่า หากมีผูเ้ ชี.ยวชาญต4งั แต่ 17 คนข4ึนไป อตั ราการ ลดลงของความคลาดเคลื.อนจะมีน้อยมากและเริ.มมีค่าคงท.ีคือ 0.02 7
ตารางแสดงความคลาดเคลื.อนท.ีลดลง จาํ แนกตามจาํ นวนผ้เู ช.ียวชาญ จาํ นวนผ้เู ชีCยวชาญ ความคลาดเคลืCอน ความคลาดเคลCือนทCีลดลง 1-5 1.20-0.70 0.5 5-9 0.70-0.58 0.12 9-13 0.58-0.54 0.04 13-17 0.54-0.50 0.04 17-21 0.50-0.48 0.02 21-25 0.48-0.46 0.02 25-29 0.46-0.44 0.02 8
3. แบบสอบถาม 3.1 ผูว้ ิจยั ตอ้ งกาํ หนดกรอบของการวิจยั เน7ืองจากประเด็นปัญหาท7ีศึกษาเป็ นประเด็นเชิงคุณลกั ษณะซ7ึงมีขอบข่ายกวา้ งขวางมาก การ กาํ หนดกรอบการวิจยั ทาํ ให้เห็นภาพของการวิจยั ไดช้ ดั เจนขMึน กรอบการวิจยั อาจไดม้ าจากการศึกษาเอกสารที7เกี7ยวขอ้ งหรือจากการสัมภาษณ์ ผูท้ รงคุณวุฒิ 3.2 สร้างแบบสอบถามรอบที7 1 ซ7ึงเป็ นคาํ ถามกวา้ งๆเก7ียวกบั ประเด็นปัญหาของการวิจยั และตอ้ งเป็ นคาํ ถามปลายเปิ ด เพ7ือให้ผูเ้ ชี7ยวชาญ ท7ีเขา้ ร่วมการวิจยั ไดแ้ สดงความคิดเห็นอย่างกวา้ งขวางภายในกรอบท7ีกาํ หนด แบบสอบถามรอบแรกจะเลือกใชว้ ิธีการตอบโตโ้ ดยการสัมภาษณ์ หรือส่งทางไปรษณีย์ ตามความสะดวกของผูเ้ ชี7ยวชาญ 3.3 การตอบของผูเ้ ช7ียวชาญอาจจะประกอบดว้ ย ความคิดเห็น ขอ้ วิจารณ์ ขอ้ โตแ้ ยง้ เป็ นตน้ 3.4 ขอ้ มูลที7ไดจ้ ากแบบสอบถามรอบแรกจะถูกรวบรวมและประมวลเป็ นแบบสอบถามปลายปิ ดแบบ rating scale ในรอบท7ี 2 3.5 แบบสอบถามรอบท7ี 3 เป็ นแบบสอบถามปลายปิ ดแบบ rating scale แต่มีการแสดงค่า มธั ยฐาน ฐานนิยม ให้ผูต้ อบ แบบสอบถามทราบ เพื7อยืนยนั ในคาํ ตอบของตน พร้อมให้เหตุผลในช่องเสนอแนะ 3.4 แบบสอบถามรอบที7 4 จะเกิดขMึนหากวิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างพิสัยและควอไทล์แลว้ พบว่า ไม่มีฉันทามิติเกิดขMึนในรอบท7ี 3 9
การวิเคราะห์ข้อมูลเพ3ือหาฉันทามติ (CONCENSUS) 1. มัธยฐาน (Median) กรณีท.ีเป็ น rating scale 5 scales ค่ามธั ยฐานตMงั แต่ 4.50 ถึง 5.00 หมายถึง กลุ่มผูต้ อบแบบสอบถามเห็นว่าขอ้ ความนMันเป็ นไปไดใ้ นเชิงปฏิบตั ิมากท7ีสุด ค่ามธั ยฐานตMงั แต่ 3.50 ถึง 4.49 หมายถึง กลุ่มผูต้ อบแบบสอบถามเห็นว่าขอ้ ความนMันเป็ นไปไดใ้ นเชิงปฏิบตั ิมาก ค่ามธั ยฐานตMงั แต่ 2.50 ถึง 3.49 หมายถึง กลุ่มผูต้ อบแบบสอบถามเห็นว่าขอ้ ความนMันเป็ นไปไดใ้ นเชิงปฏิบตั ิปานกลาง ค่ามธั ยฐานตMงั แต่ 1.50 ถึง 2.49 หมายถึง กลุ่มผูต้ อบแบบสอบถามเห็นว่าขอ้ ความนMันเป็ นไปไดใ้ นเชิงปฏิบตั ิน้อย ค่ามธั ยฐานตMงั แต่ 1.00 ถึง 1.49 หมายถึง กลุ่มผูต้ อบแบบสอบถามเห็นว่าขอ้ ความนMันเป็ นไปไดใ้ นเชิงปฏิบตั ิน้อยท7ีสุด 10
2. ค่าพิสัยระหว่างควอไทล์ (interquartile range) เป็ นการคาํ นวณค่าความแตกต่างระหว่าง ควอไทล์ที7 3 กบั ควอไทล์ท7ี 1 ค่าพิสัยระหว่างควอไทล์ของขอ้ ความที7มีค่าไม่เกิน 1.5 แสดงว่าความเห็นของกลุ่มผูต้ อบแบบสอบถามท7ีมีต่อขอ้ ความนMันสอดคลอ้ งกนั แต่ถา้ พิสัยระหว่างควอไทล์มากกว่า 1.50 แสดงว่า ความเห็นของกลุ่มผูต้ อบแบบสอบถามที7มีต่อขอ้ ความนMันไม่สอดคลอ้ งกนั 3. ความแตกต่างระหว่างมัธยฐาน (median) กับฐานนิยม (mode) ขอ้ ความใดท7ีมีผลแตกต่างระหว่างมธั ยฐานกบั ฐานนิยมไม่เกิน 1 แสดงว่า กลุ่มผูต้ อบแบบสอบถามมีความคิดเห็นสอดคลอ้ งกนั เก7ียวกบั ขอ้ ความนMัน 11
4. ผ้วู ิจยั • ผูว้ ิจยั ตอ้ งมีความรอบคอบถ.ีถว้ นในการพิจารณาคาํ ตอบที.ไดร้ ับในแต่ละรอบ • ผูว้ ิจยั ตอ้ งวางตวั เป็ นกลาง โดยให้ความสาํ คญั ต่อคาํ ตอบที.ไดร้ ับอย่างเท่าเทียมกนั ไม่มีความลาํ เอียงหรือนาํ ความคิดเห็นส่วนตวั เขา้ ไปพิจารณาตดั สิน เพราะจะทาํ ให้ผลการวิจยั คลาดเคลื.อน • ผูว้ ิจยั ตอ้ งมีความ มานะ อดทน • ผูว้ ิจยั อาจตอ้ งใชห้ ลกั มนุษยสัมพนั ธ์เขา้ ช่วยในการรวบรวมขอ้ มูลให้ไดค้ รบตามท.ีตอ้ งการ 12
5. เวลาท.ีใช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูล การส่งแบบสอบถามในรอบท.ี 2 และรอบที. 3 ในเวลาท.ีต่างกนั มีผลกระทบทาํ ให้เกิดความแตกต่างกนั ในคาํ ตอบท.ีไดร้ ับ ดว้ ยเหตุน4ีการเวน้ ระยะแต่ละรอบนานเกินไป อาจทาํ ให้ขาดความต่อเน.ืองในความคิด ผูต้ อบอาจลืมเหตุผลในการตอบ แบบสอบถามรอบก่อนหน้าน4นั หรืออาจเกิดเหตุการณ์บางอย่างที.ทาํ ให้เกิดความไม่แน่ใจในคาํ ตอบหรือแมแ้ ต่อาจทาํ ให้ขาดความ สนใจท.ีจะตอบแบบสอบถามให้ครบทุกรอบ ดงั น4นั ผูว้ ิจยั จะตอ้ งพยายามหาวิธีการท.ีจะไดร้ ับความร่วมมือและความสนใจท.ีจะ ตอบแบบสอบถามให้ครบทุกรอบ การที.กลุ่มผูเ้ ช.ียวชาญมีจาํ นวนลดลงในการตอบแบบสอบถามแต่ละรอบ และการเวน้ ระยะการ ตอบนานเกินไปจนเกิดความไม่แน่นอนในคาํ ตอบแต่ละคร4ัง อาจส่งผลต่อการวิเคราะห์ขอ้ มูลได้ 13
จุดแขง็ ของเทคนิ คเดลฟาย 1. สามารถรวบรวมความคิดเห็นจากกลุ่มผูเ้ ช.ียวชาญจาํ นวนมากได้ โดยไม่ตอ้ งเสียเวลาจดั ประชุม ทาํ ให้ประหยดั เวลาและ ค่าใชจ้ ่าย 2. คาํ ตอบท.ีไดจ้ ากกลุ่มผูเ้ ช.ียวชาญมีความน่าเชื.อถือ เพราะผูเ้ ชี.ยวชาญไดแ้ สดงความคิดเห็นอย่างเป็ นอิสระไม่ตกอยู่ภายใต้ อิทธิพลของผูใ้ ดเพราะไม่ทราบว่าใครบา้ งที.เขา้ ร่วมโครงการวิจยั นอกจากน4ีผูเ้ ชี.ยวชาญยงั สามารถพิจารณากลนั. กรองความ คิดเห็นของตนอย่างละเอียดรอบคอบ เพราะมีการถามดว้ ยคาํ ถามเดิมหลายรอบ 3. เป็ นเทคนิคท.ีมีข4นั ตอนการดาํ เนินการไม่ซ4าํ ซ้อนจนเกินไป ท4งั ยงั ให้ผลอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ 4. สามารถทราบลาํ ดบั ความสาํ คญั ของขอ้ มูลและเหตุผลในการตอบ รวมท4งั ความสอดคลอ้ งในการแสดงความคิดเห็นของกลุ่ม ผูเ้ ช.ียวชาญไดเ้ ป็ นอย่างดี 5. เป็ นการแสดงความคิดเห็นไดอ้ ย่างมีอิสระ โดยไม่ตอ้ งเผชิญหน้ากนั น4นั เหมาะสมกบั นิสัยของคนไทยท.ีมกั จะเกรงใจผูอ้ าวุโส หรือผูท้ .ีมีความคุน้ เคยกนั หากตอ้ งเผชิญหน้ากนั อาจไม่กลา้ แสดงความคิดเห็นไดอ้ ย่างเต็มท.ี 14
จุดอ่อนของเทคนิ คเดลฟาย 1. หากผูเ้ ช.ียวชาญที.ไดร้ ับการคดั เลือก ไม่ไดเ้ ป็ นผูท้ ี.มีความรู้ความสามารถอย่างแทจ้ ริง จะทาํ ให้ผลการวิจยั ขาดความน่าเชื.อถือ หรื อมีความคลาดเคล.ือนได้ 2. ผูเ้ ช.ียวชาญบางคนอาจไม่ให้ความร่วมมือในการตอบแบบสอบถาม อาจเกิดความเบ.ือหน่ายเพราะตอ้ งตอบแบบสอบถามหลาย รอบหรือไม่เห็นความสาํ คญั ของการวิจยั ก็จะทาํ ให้ผลของการวิจยั คลาดเคลื.อน 3. ในการวิเคราะห์คาํ ตอบน4นั หากผูว้ ิจยั ขาดความรอบคอบหรือมีความลาํ เอียงในการพิจารณาวิเคราะห์คาํ ตอบท.ีไดใ้ นแต่ละรอบ จะทาํ ให้ผลการวิจยั คลาดเคล.ือน 4. แบบสอบถามมีการสูญเสียหรือไดร้ ับคาํ ตอบกลบั มาไม่ครบในแต่ละรอบ จะทาํ ให้ไดข้ อ้ มูลไม่ครบตรงตามตอ้ งการ 5. การใชเ้ วลาในการรวบรวมขอ้ มูลนานเพียงใดน4นั ข4ึนกบั ความรวดเร็วในการตอบแบบสอบถามของผูเ้ ช.ียวชาญ 15
ปัญหาท.ีพบในการวิจยั โดยใช้เทคนิ คเดลฟาย 1. ผูว้ ิจยั ตอ้ งมีความอดทนท.ีจะรอคอยหรือติดต่อกบั ผูเ้ ชี.ยวชาญ และตอ้ งใชค้ วามพยายามในการติดตามทวงถามขอ้ มูล 2. เวลาที.ใชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มูล โดยเฉพาะรอบแรกที.ตอ้ งใชว้ ิธีสัมภาษณ์จะตอ้ งใชเ้ วลาในการเก็บขอ้ มูลจากผูเ้ ช.ียวชาญแต่ ละคนมาก ดงั น4นั หากผูเ้ ชี.ยวชาญที.เขา้ ร่วมในโครงการวิจยั มีจาํ นวนมากก็ยิ.งจะตอ้ งเสียเวลามากข4ึน 3. ในการตอบแบบสอบถามรอบท.ี 3 น4นั กรณีที.ความคิดเห็นของผูเ้ ช.ียวชาญคนใดคนหน.ึงไม่สอดคลอ้ งกบั ความคิดเห็นของ กลุ่มผูเ้ ชี.ยวชาญและหากจะยืนยนั ความคิดเห็นของตน ก็อาจถูกขอร้องให้แสดงเหตุผลประกอบ เงื.อนไขน4ีทาํ ให้ผูเ้ ชี.ยวชาญ หลายคนเปล.ียนความคิดเห็นของตนให้สอดคลอ้ งกบั ความคิดเห็นของกลุ่ม 4. ในการวิเคราะห์ขอ้ มูลน4นั ประเด็นในขอ้ ใดท.ีความคิดเห็นของผูเ้ ช.ียวชาญไม่สอดคลอ้ งกบั ความคิดเห็นของกลุ่มจะถูกตดั ออก ท4งั ๆที.บางคร4ังความคิดเห็นน4นั เป็ นความคิดเห็นท.ีดี ถูกตอ้ งและมีประโยชน์ 5. บางคร4ังผูเ้ ช.ียวชาญอาจไม่ไดเ้ ป็ นผูต้ อบแบบสอบถามดว้ ยตนเองหากไม่เห็นความสาํ คญั ของการวิจยั หรือดว้ ยเหตุผลใดก็ตาม 16
แนวทางแก้ไขปัญหาของเทคนิ คเดลฟาย 1. การประยุกต์เทคนิคเดลฟายเขา้ กบั การวิจยั แบบสหวิทยาการ (interdisciplinary research) เพ.ือท.ีจะไดอ้ าศยั ความรู้จากผูเ้ ชี.ยวชาญหลายๆสาขาวิชามาร่วมแสดงความคิดเห็น ซ.ึงจะเป็ นการมองปัญหาไดอ้ ย่างกวา้ งขวางหลายแง่มุม 2. ในการตอบแบบสอบถามรอบท.ี 3 หากความคิดเห็นของผูเ้ ช.ียวชาญไม่สอดคลอ้ งกบั ความคิดเห็นของกลุ่ม และเพื.อเป็ นการ ป้องกนั ไม่ให้ผูเ้ ช.ียวชาญเปล.ียนความคิดเห็นของตนไปเขา้ กบั กลุ่มเพราะไม่ตอ้ งการแสดงเหตุผล บางคร4ังผูว้ ิจยั อาจตอ้ งช4ีแจง และเน้นให้ผูเ้ ชี.ยวชาญตระหนกั ถึงความสาํ คญั ของความคิดเห็นของตนว่า แมจ้ ะไม่สอดคลอ้ งกบั กลุ่มแต่หากมีเหตุผลหรือ แน่ใจในความคิดเห็นน4นั ก็ควรยืนยนั ความคิดเห็นเดิมและแสดงเหตุผลประกอบ 3. ผูว้ ิจยั ควรพิจารณาให้ความสาํ คญั สาํ หรับความคิดเห็นของผูเ้ ชี.ยวชาญท.ีไม่สอดคลอ้ งกบั ความคิดเห็นของกลุ่มดว้ ย และในกรณี ท.ีเป็ นความคิดเห็นที.ดี ถูกตอ้ งและมีประโยชน์ ก็ควรจะเสนอความคิดเห็นน4นั พร้อมท4งั เหตุผลท.ีผูเ้ ชี.ยวชาญให้ไวโ้ ดยอาจหา ทฤษฎีมาสนบั สนุนอีกฝ่ ายหน.ึง 17
ขอใหป้ ระสบความสาํ เรจ็ ในการทาํ วจิ ยั ทุกคน 18
Thematic Analysis (การวเิ คราะห์เชิงประเดน็ ) รองศาสตราจารย์ ดร. สุภาภรณ์ สุดหนองบัว คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร 1
หลกั การของการวเิ คราะห์เชิงประเดน็ การวเิ คราะห์เชิงประเดน็ เป็นชนิดหน2ึงของการวเิ คราะห์ขอ้ มูลเชิงคุณภาพ การวเิ คราะห์รูปแบบน@ี มกั จะถูกใชใ้ นกรณีท2ีมีระยะเวลาในการวเิ คราะห์ที2ตอ้ งการความรวดเร็วและมีหลายข@นั ตอนใน การวเิ คราะห์ ดงั น@นั การวเิ คราะห์ขอ้ มูลรูปแบบน@ีจึงตอ้ งการผวู้ จิ ยั หรือนกั วจิ ยั เชิงชาติ พรรณวรรณา ที2มีความคุน้ เคยกบั ขอ้ มูลท@งั หมดของงานวจิ ยั เป็นอยา่ งดี (Wolf,2007) การ วเิ คราะห์เชิงประเดน็ น@ี ยงั เอ@ือใหผ้ วู้ จิ ยั สามารถวเิ คราะห์ขอ้ มูลที2มีความหลากหลายคุณลกั ษณะ และยงั ทาํ ใหข้ อ้ มูลเหล่าน@ีมีความถูกตอ้ งและง่ายต่อการเขา้ ใจและง่ายในการแปลผลจากการสงั เกต คน สภาพการณ์ สถานการณ์และองคก์ ร (Boyatzis, 1998) 2
อยา่ งไรกต็ ามขณะท2ีนกั วจิ ยั หลายคนกล่าววา่ ประเดน็ เกิดข@ึนมาจากขอ้ มูลมารวมกนั แต่คาํ วา่ “เกิดข@ึน” น@นั ไม่ไดห้ มายความวา่ มีการปรากฏข@ึนอยา่ งทนั ทีทนั ใด แต่ประเดน็ น@นั ถูกสะกดั โดย กระบวนการคิดอยา่ งระมดั ระวงั จากการวเิ คราะห์แบบตรรกะของเน@ือหาจากแหล่งขอ้ มูลท@งั หมด (DeSantis & Ugarriza, 2000) 3
ข#นั ตอนการวเิ คราะห์ข้อมูลเชิงประเดน็ 1.สร้างความคุน้ เคยกบั ขอ้ มูล (Becoming familiar with data) 2.สร้างรหสั เร6ิมตน้ (Generating initial codes) 3. คน้ หาประเดน็ (Searching for themes) 4. ทบทวนประเดน็ (Reviewing themes) 5. การใหค้ วามหมายและต?งั ช6ือประเดน็ (Defining and naming themes) 6. การรายงาน (Producing the report) 4
1. สร้างความคุ้นเคยกบั ข้อมูล (Becoming familiar with data) การสร้างความคุ้นเคยกบั ข้อมูล เกดิ ขนึA จาก v การถอดเทป vการตรวจสอบการสะกดคาํ จากขอ้ ความท2ีถอดเทป และตอ้ งคงคาํ พดู ทุกอยา่ งจากการสมั ภาษณ์ แมแ้ ต่คาํ พดู ที2มาจากความรู้สึก เช่น อืม.... ตวั อย่าง อืม...อบอุ่นเหมือนกันค่ะ พยาบาลเค้ากด็ ี6 ดที ุกคนแหละ เป็นกันเองหมอกด็ ดี6 ี ท;ังหมอเลก็ หมอใหญ่ ดแู ลด้วยความจริงใจ (ผ้ใู ห้ข้อมลู A1, สัมภาษณ์เมืJอ 26/11/2007) 5
2. สร้างรหัสเร6ิมต้น (Generating initial codes) vรหสั เร'ิมตน้ ถูกสร้างข3ึนเพ'ือแสดงลกั ษณะของขอ้ มูล vมีการจดั กลุ่มคาํ ของขอ้ มูลใหเ้ ป็นหมวดหมู่ 6
ตารางที6 1 แสดงการสกดั รหัสข้อมูล สกดั ข้อมลู (Data Extract) กาํ หนดรหสั (Code for) บอกจะ้ หมอ่ บ๊อกวา่ เป๋ นมะเรง็ ปากมดลกู งจ8ี ะ้ ต๋อนน8ีมนั ก๊อเรมิ< จ๊ะลามแลว้ การรบั รเู้ รือ* งโรคของผปู้ ่ วย (ผใู้ หข้ อ้ มลู คนท<ี 2 สมั ภาษณ์เมอ<ื 17 ก.พ. 64) การเจบ็ ป่ วยที*รา้ ยแรงส่งผลต่อ บอกเลยงแ8ี ลว้ แต๋ตวั ป้าเองกเ็ ตรยี มใจไวแ้ ลว้ หนา แต๋มนั กต็ ๊กใจอยดู๋ ี ไมค่ ดิ สภาพจิตใจของผปู้ ่ วย วา่ เราจ๊ะเป็นโรคน8ีน่ะ (ผปู้ ่วยเรมิ< น8ําตาคลอ) กค็ ดิ วา่ เราจะต๊ายแลว้ มงั8 น<ีกเ็ สย<ี ใจ (ผใู้ หข้ อ้ มลู คนท<ี 4 สมั ภาษณ์เมอ<ื 20 ก.พ. 64) 7
ตารางทีD 2 การสร้างเริDมต้น รหัสเริ'มต้น (Initial Codes) ความตระหนักในตวั เอง ความตระหนกั ในเชิงบวก - ไปพบแพทยท์ โ*ี รงพยาบาล - รบั ประทานยาตามคาํ แนะนําของแพทย์ ความตระหนกั ในเชงิ ลบ - ปลอ่ ยรา่ งกายใหเ้ ป็นไปตามกรรม - รกั ษาโดยแพทยพ์ นFื บา้ น เชน่ หมอผ,ี หมอนFํามนั เป็นตน้ ความรู้สึกของผู้สูงอายุเม9ือบุตรไปทาํ งานต่างจงั หวดั - ดีใจท6ีลูกไปหาเงิน - เศรา้ ใจทต*ี นไมม่ ผี ดู้ แู ล 8
สร้างรหัสข้อมูลลง Excel 9
สร้างรหัสข้อมูลลง Excel 10
3. ค้นหาประเดน็ (Searching for themes) ข@นั ตอนน@ีเป็นข@นั ตอนของการเริ2มวเิ คราะห์รหสั ขอ้ มูลและพิจารณารหสั ที2เหมือนไวด้ ว้ ยกนั โดยมีการจดั เป็นหมวดหมู่และมีการเช2ือมโยงหมวดหมู่หรือรหสั ดว้ ยลูกศร หมวดหมู่ท2ีจดั ไว้ เป็นกลุ่มคือประเดน็ ข@นั ตอนน@ีเป็นการแสดงความสอดคลอ้ งของแต่ละประเดน็ โดยการทาํ mind-maps (ดงั แผนภูมิรูปภาพ) 11
Initial Thematic Map 12
4. ทบทวนประเดน็ (Reviewing themes) ข@นั ตอนน@ีเป็นข@นั ตอนกลนั2 กรองประเดน็ ประเดน็ ต่างๆท2ีอยใู่ นข@นั ตอนน@ีอาจไม่ใช่ประเดน็ แท้ เพราะมีบางประเดน็ ที2ซอ้ นกนั และบางประเดน็ กส็ ามารถแตกออกไปเป็นประเดน็ ใหม่ได้ โดย การรวมประเดน็ เดียวไวด้ ว้ ยกนั ประเดน็ ไหนที2ต่างกนั กจ็ ะถูกแยกไปรวมกลุ่มกนั แต่อยา่ งไรก็ ตามประเดน็ ท2ีแยกกลุ่มใหม่น@ีตอ้ งแน่ใจวา่ อยภู่ ายใตข้ อ้ มูลท2ีไดม้ าจากการเกบ็ ขอ้ มูลท@งั หมด (หา้ มสร้างประเดน็ ใหม่โดยไม่อยภู่ ายใตพ้ @ืนฐานของขอ้ มูลที2ถูกเกบ็ มา) 13
Developed Thematic Map 14
5. การให้ความหมายและตEงั ชื9อประเดน็ (Defining and naming themes) ข@นั ตอนน@ีประเดน็ ท2ีไดจ้ ะเป็นประเดน็ ท2ีผวู้ จิ ยั รู้สึกพึงพอใจแลว้ เพราะประเดน็ ไดถ้ ูกกลน2ั กรองและ จดั เป็ นหมวดหมู่รวมถึงมีความเชื2อมโยงของประเด็นอย่างชดั เจนและในแต่ละประเด็นผูว้ ิจยั ตอ้ งคิดเสมอว่า ประเดน็ ต่างๆท2ีเชื2อมโยงกนั ไวน้ @นั ไดบ้ อกเร2ืองราวท@งั หมดของขอ้ มูลท2ีไดอ้ ยา่ งสอดคลอ้ งและทาํ ใหเ้ ห็น ภาพรวมท@งั หมด นอกจากน@ีประเดน็ ยอ่ ย (sub-themes) ยงั ทาํ ใหเ้ หน็ โครงสรา้ งและความหมายของ ประเดน็ ใหญ่ ดงั นนั> การกาํ หนดประเดน็ จงึ ทาํ ใหม้ องเหน็ ภาพรวมของขอ้ มลู ไดอ้ ยา่ งสอดคลอ้ งกนั 15
Final Thematic Map 16
6. การรายงาน (Producing the report) ดงั จะเห็นไดว้ า่ การวเิ คราะห์เชิงประเดน็ ทาํ ใหไ้ ดข้ อ้ มูลท2ีชดั เจน เชื2อมโยง มีความเป็นเหตุเป็นผล และ ไม่มีการซ@าํ ซอ้ นของขอ้ มูล สาํ หรับการเขียนรายงานน@นั ประเดน็ ท2ีไดน้ @นั ตอ้ งนาํ มาเป็นหวั ขอ้ ใหญ่เพ2ือลงรายละเอียดโดย เขียนเชิงวชิ าการ และตอ้ งมีการนาํ คาํ พดู หรือคาํ กล่าว (quotation) ของผใู้ หข้ อ้ มูล (informant) มาสนบั สนุนการสรุปผลขอ้ มูลวจิ ยั 17
ตวั อย่างผลการวจิ ยั เชิงคุณภาพ (1) 18
ตวั อย่างผลการวจิ ยั เชิงคุณภาพ (2) 19
ตวั อย่างผลการวจิ ยั เชิงคุณภาพ (3) 20
ตวั อย่างผลการวจิ ยั เชิงคุณภาพ (4) 21
เอกสารอ้างองิ สุภาภรณ์ สุดหนองบวั . (2563). เอกสารประกอบการสอนหลกั สูตรสาธารณสุขศาสตรดษุ ฎบี ัณฑิต: การวิเคราะห์ข้อมลู เชิงคุณภาพแบบ Thematic Analysis (การวิเคราะห์เชิงประเดน็ ). พิษณุโลก: คณะสาธารณสขุ ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร. 22
Triangulation (การตรวจสอบสามเส้า) รศ.ดร. สภุ าภรณ์ สดุ หนองบวั คณะสาธารณสขุ ศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร 1
การตรวจสอบสามเส้า (ภาคภาษาไทย) การตรวจสอบสามเสา้ (triangulation) เป็นการใชร้ ะเบียบวิธีการวิจยั หลายอยา่ งในการศึกษาปรากฎการณเ์ ดียวกนั นํามาใชไ้ ดใ้ นการศึกษาเชิงปริมาณ (quantitative) คือการตรวจสอบความถูกตอ้ ง (validation) และ การศึกษาเชิงคุณภาพ (การหาคาํ ตอบ) เป็นกลยุทธการใชว้ ิธีการทQีเหมาะสมเพQือหาความ น่าเชQือถือ (credibility) ของการวิเคราะหเ์ ชิงคุณภาพ เป็นวิธีการทางเลือกของ เกณฑพ์ ิจารณาปกติเชน่ ความเทQียงตรง (reliability) และความถูกตอ้ ง (validity) เป็นการกระบวนการทQีถูกนํามาใชใ้ นการสงั คมศาสตรด์ ว้ ยการรวบรวม วิธีการใชผ้ ูส้ งั เกตุ (observer) ทฤษฎี (theory) วิธีการ (methods) และขอ้ มูลเชิงประจกั ษ์ (empirical material) ทQีหลายหลายซาํW ซอ้ นกนั นักวิจยั หวงั วา่ จะขจดั จุดดอ้ ยหรือความลาํ เอียงภายในและปัญหาทQีเกิดจากการใชว้ ิธีการ อยา่ งเดียวและการใชท้ ฤษฎีเดียวในการศึกษา 2
การตรวจสอบแหล่งท1มี า 4 แหล่ง การตรวจสอบขอ้ มูลสามเสา้ (Data Triangulation) คือ การพิสูจนว์ า่ ขอ้ มูลท;ีผูว้ ิจยั ไดม้ านัAนถูกตอ้ งหรือไม่ วิธีการ ตรวจสอบของขอ้ มูลนัAน จะตอ้ งตรวจสอบแหลง่ ท;ีมา H แหลง่ ไดแ้ ก่ เวลา สถานท;ี และบุคคล 3
การตรวจสอบแหล่งท1มี า 1. การตรวจแหล่งเวลา หมายถึง การตรวจสอบวา่ ตวั แปรอยูใ่ นชว่ งเวลา ตา่ งกนั หรือเหมือนกนั ถา้ เหมือนกนั ควรตรวจสอบในชว่ งเวลาท@ีตา่ งกนั ดว้ ย 2. การตรวจสอบสถานท4ี หมายถึง การตรวจสอบตวั แปรในสถานท@ีเดียวกนั หรือไม่ หากมาจากสถานท@ีเดียวกนั มีผลออกมาเหมือนกนั ผูว้ ิจยั ควร ตรวจสอบในแหลง่ สถานท@ี ท@ีแตกตา่ งกนั ดว้ ย 3. การตรวจสอบบคุ คล หมายถึง ถา้ บุคคลผูใ้ หข้ อ้ มูลเปล@ียนไป ขอ้ มูลจะ เหมื อนเดิมหรื อไม่ 4
การตรวจสอบสามเส้าด้านผู้วจิ ยั (Investigator Triangulation) คือ การตรวจสอบวา่ ผูว้ ิจยั แตล่ ะคนจะไดข้ อ้ มูลตา่ งกนั อยา่ งไร โดย การเปลAียนตวั ผูส้ งั เกตแทนการใชผ้ ูว้ ิจยั คนเดียวกนั ทงัE หมด ซAึงจะ สรา้ งความแน่ใจไดด้ ีกวา่ ผูว้ ิจยั เพียงคนเดียวมาก 5
การตรวจสอบสามเส้าด้านทฤษฎี (Theory Triangulation) คือ การตรวจสอบวา่ ผูว้ ิจยั สามารถใชแ้ นวคิดทฤษฎีท@ีตา่ งไปจากเดิมตีความ ขอ้ มูลแตกตา่ งกนั มากนอ้ ยเพียงใด ซ@ึงอาจทาํ ไดง้ า่ ยกวา่ ใน ระดบั สมมุติฐาน ชว@ั คราว (Working Hypothesis) และแนวคิดขณะลงมือตีความ สรา้ งขอ้ สรุปเหตุการณ์ และแตล่ ะอยา่ ง ซ@ึงโดยปกตินRัน การตรวจสอบสามเสา้ ดา้ นทฤษฎีนัRนทาํ ไดย้ าก 6
การตรวจสอบสามเส้าด้านวธิ ีรวบรวมข้อมูล (Methodological Triangulation) คือ การเก็บรวบรวมขอ้ มูลจากแหลง่ เกา่ เพ;ือรวบรวมขอ้ มูลเร;ืองเดียวกนั โดยใชก้ ารสงั เกตควบคูก่ บั การซกั ถามพรอ้ มกนั ก็ศึกษาขอ้ มูลเพ;ิมเติมจาก แหลง่ เอกสาร หรือทาํ การซกั ถามผูใ้ หข้ อ้ มูลสาํ คญั เพ;ือความแน่นอนวา่ เหมาะสมหรื อไม่ 7
สรุป ความหมายของการตรวจสอบสามเส้าแบบต่างๆ 1. Data Triangulation หมายถึงการเปรียบเทียบและตรวจสอบความแน่นอนของขอ้ มูลโดยนําขอ้ มูลท@ีไดจ้ าก แหลง่ ตา่ งๆ มาเปรียบเทียบ 2. Multiple Investigator Triangulation หมายถึง การใชน้ ักวิจยั หลายคนในสนามแทนการใช้ นักวิจยั เพียงคนเดียวเก็บขอ้ มูลเก็บขอ้ มูลเดียวกนั ในสภาวะเดียวกนั 3. Multiple Analyst Triangulation หมายถึง การใชผ้ ูว้ ิเคราะหข์ อ้ มูลท@ีเก็บจากสนามมากกวา่ M คนขNึน ไป ตา่ งคนตา่ งวิเคราะหใ์ หไ้ ดข้ อ้ คน้ พบแลว้ นําขอ้ คน้ พบมาเปรียบเทียบ 4. Reviews Triangulation หมายถึง การใหบ้ ุคคลตา่ ง ๆ ท@ีไมใ่ ชน่ ักวิจยั ทาํ การทบทวนขอ้ คน้ พบจากการ วิเคราะหข์ องคณะนักวิจยั 5. Methods Triangulation หมายถึงการเปรียบเทียบขอ้ มูลท@ีไดม้ าจากการเก็บขอ้ มูลหลายวิธีการ 6. Theory Triangulation หมายถึง การใชม้ ุมมองของทฤษฎีตา่ งๆมาพิจารณาขอ้ มูลชุดเดียวกนั 7. Interdisciplinary Triangulation หมายถึง การใชส้ หวิทยาการมาร่วมวาทกรรม อธิบายขอ้ คน้ พบ ตา่ งๆ 8
เทคนิคการเขยี นอย่างปราศจาก Plagiarism โดย...รองศาสตราจารย์ ดร. สุภาภรณ์ สุดหนองบวั คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร
ตวั อย่างของข*นั ตอนการเขยี นทบทวนวรรณกรรม 1. วางแผนเคา้ โครงของหวั ขอ้ ใหญ่ เช่น บทที$ 2 ทบทวนวรรณกรรม 2.1 Introduction 2.2 The patterns of elderly care 2.2.1 Structure of family 2.2.2 Living arrangements 2.2.3 Expectations and need for care of the elderly 2.3 Societal changes 2.3.1 Industrialisation 2.3.2 Urbanisation 2.3.3 Migration 2.4 Social support 2.4.1 Source of social support 2.4.2 Type of support 2.4.2.1 Financial support 2.4.2.2 Instrumental support 2.4.2.3 Material support 2.4.2.4 Emotional support 2.5 Summary
ตวั อย่างของข*นั ตอนการเขยี นทบทวนวรรณกรรม (ต่อ) 2. จดั เรียงตามลาํ ดบั ความสาํ คญั 3. เชื?อมโยงระหวา่ งหวั ขอ้ ต่างๆ โดยการเขียนขอ้ ความเช?ือมโยง 4. ทุกยอ่ หนา้ ตอ้ งมีความเชื?อมโยงระหวา่ งกนั 5. หา้ มลอกการเขียนของคนอ?ืนมา ควรเปล?ียนมาเป็นการเขียน ของตวั เองโดยการสรุปจากคนอ?ืนๆ แต่คงความหมายเดิมไว้ 6. อา้ งอิงแหล่งท?ีมาของขอ้ มูลทุกครJัง ยกเวน้ หากเป็นความคิด ของตวั เราเองต่อเรื?องนJนั ๆ ไม่ตอ้ งใส่อา้ งอิง อาจใชค้ าํ วา่ ..อาจ จะ...ซ?ึงอาจเป็น....อาจจะนาํ ไปสู่การเกิดภาวะวกิ ฤติ...(ไม่ควรใช้ คาํ แทนตวั ผเู้ ขียน เช่น ..ดิฉนั เห็นวา่ ...ผวู้ จิ ยั เห็นวา่ ...) ควรส?ือ ความหมายในลกั ษณะเป็นกลาง 7. การอา้ งอิงอาจใส่หนา้ ประโยค หรือ ทา้ ยประโยคได้
ตวั อย่างท4ี 1 การสรุปการเขยี นจากคนอื4น โดยคง ความหมายเดมิ เพื4อเลยี4 งการเกดิ plagiarism ข้อความเดมิ การใชน้ มผสมในการเลJียงบุตร พบวา่ ในการเลือกใชน้ มผสม นJนั มารดาส่วนใหญ่ถามจากแพทยพ์ ยาบาล หรือใชต้ ามที? โรงพยาบาลใช้ ข้อความทปี- รับเป็ นการเขยี นของตวั เอง ในการผสมนมในการเลJียงบุตรนJนั โดยส่วนใหญ่มารดาผสม นมตามหลกั การท?ีโรงพยาบาลหรือบุคลากรทางการแพทย์ แนะนาํ (วนั ดีและคณะ, 2551)
ตวั อย่างท4ี 2 การสรุปการเขยี นจากคนอ4ืน โดยคง ความหมายเดมิ เพื4อเลยี4 งการเกดิ plagiarism ข้อความเดมิ มารดาที?ไม่ไดต้ ดั สินใจจะใชน้ มชนิดใดในการเลJียงบุตรมา ก่อน จะไดร้ ับอิทธิพลจากการโฆษณาการใชน้ มผสมจาก โรงพยาบาลมากกวา่ มารดาท?ีไดต้ ดั สินใจวา่ จะใชน้ มชนิดใด ข้อความทป-ี รับเป็ นการเขยี นของตวั เอง การใช้นมผสมในการเลยี= งบุตร ของโรงพยาบาลมอี ทิ ธิพลต่อ มารดาทยี- งั ไม่ได้ตดั สินใจว่าจะใช้นมใด มากกว่ามารดาทไี- ด้ ตดั สินใจแล้ว (พรทิพย,์ 2553)
ตวั อย่างการเช4ือมโยงระหว่างย่อหน้าหรือหัวข้อเรื4อง 1. รูปแบบการดูแลผู้สูงอายุ .........ดงั น%นั ในการดูแลผสู้ ูงอายุ ส4ิงหน4ึงท4ีเป็นพ%ืนฐานสาํ คญั คือ โครงสร้างของครอบครัว ซ4ึงเป็นรากฐานสาํ คญั ของการดูแล 2. โครงสร้างครอบครัว ……..โครงสร้างของครอบครัวที4ดี อาจนาํ ไปสู่ความพึงพอใจของ ผสู้ ูงอายใุ นการอยอู่ าศยั 3. การอยู่อาศัยของผู้สูงอายุ ……..การอยอู่ าศยั ของผสู้ ูงอายนุ %นั เป็นส่วนหน4ึงในการดาํ เนินชีวติ แต่อยา่ งไรกต็ ามส4ิงที4ผสู้ ูงอายตุ อ้ งการมากกวา่ น%นั คือ ความคาดหวงั ท4ีจะไดร้ ับการดูแลจากบุตรของตน 4. ความคาดหวงั ของผู้สูงอายุในการได้รับการดูแล
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151