ลกั ษณะของการวจิ ยั เชิงคณุ ภาพ (ต่อ) •เป็นการทาํ วจิ ยั ในสภาพธรรมชาต:ิ ไมม่ ี การจดั หรอื ควบคุมสภาพแวดลอ้ ม •เนน้ เก5ยี วกบั บรบิ ท (Contextual) •วธิ กี ารวจิ ยั มคี วามยดื หยุ่นสูง •คุณภาพของผูว้ จิ ยั : ตอ้ งเป็นกลาง •เนน้ ความเขา้ ใจ ความหมาย ไมใ่ ช่ความ ถกู ตอ้ ง โดยไมต่ งัT อยู่บนพTนื ฐานของการ ทดสอบสมมตฐิ าน และนยั สาํ คญั ทางสถติ ิ 3
ลกั ษณะของการวจิ ยั เชิงคณุ ภาพ (ต่อ) •เนน้ การวจิ ยั ภาคสนาม •จาํ นวนหน่วยการศึกษานอ้ ย •ไมม่ โี ครงสรา้ งคาํ ถามตายตวั •ใหค้ วามสาํ คญั กบั ความหมายใน ทศั นะของผูต้ อบ ไมใ่ ช่ผูศ้ ึกษา 4
นกั วจิ ยั เหน็ สง?ิ ใดบา้ งจากภาพนEี? 5
ภาพน&ีบ่งบอกถงึ อะไรบา้ ง? 6
Feelings 7
ความจาํ เป็นและประโยชน์ ท?คี าดว่าจะไดร้ บั จากการวจิ ยั เชิงคณุ ภาพ •ทาํ ใหเ้ขา้ ใจปรากฏการณต์ ่างๆ อย่างลกึ ซTงึ •ช่วยเสรมิ สรา้ งการศึกษากระบวนการอย่างลกึ ซTงึ รอบดา้ น •เพอ5ื หาขอ้ สมมตฐิ านเพอ5ื นาํ ไปสู่เชงิ ปรมิ าณ •เป็นประโยชนเ์ มอ5ื ทาํ วจิ ยั ในกลมุ่ คนขนาดเลก็ หรอื มขี อ้ จาํ กดั บางประการ •เป็นงานวจิ ยั ทเ5ี อTอื ต่อการวจิ ยั ในลกั ษณะทเ5ี ป็นนามธรรม •ช่วยเสรมิ งานวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณ ใหค้ าํ ตอบทช5ี ดั เจนและหนกั แน่นยง5ิ ขTนึ •ส่งเสรมิ ใหเ้กดิ การมสี ่วนร่วมของประชาชน 8
วธิ กี ารเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลเชิงคณุ ภาพ 1. การสมั ภาษณแ์ บบไมม่ โี ครงสรา้ ง (Unstructured Interview) หรอื การ สมั ภาษณเ์ ชงิ ลกึ (In-depth interview) 2. การสนทนากลมุ่ (Focus Group interview) 3. การสงั เกต (Observation) 4. การวเิ คราะหเ์ นTือหาของเอกสาร (Thematic Analysis of Written Material) 9
การคดั เลอื กผูใ้ หข้ อ้ มูล การคดั เลอื กผูใ้ หข้ อ้ มลู เป็นการคดั เลอื กแบบเจาะจง (purposive sampling) โดยมกี ารกาํ หนดคุณสมบตั ผิ ูใ้ หข้ อ้ มลู ไวอ้ ย่างชดั เจน 10
จาํ นวนผูใ้ หข้ อ้ มูล จำนวนผใ'ู หข' อ' มลู จะไม0 สามารถกำหนดได' ทงั้ นขี้ ้นึ อยู0 กับความอ่มิ ตวั ของขอ' มลู (saturation data) ยกเวน' งานวิจัยเชิงคณุ ภาพแบบ Focus Group Discussion สามารถกำหนดผู'ให'ขอ' มูลได' ซ่ึงจะอยป0ู ระมาณตง้ั แต0 4 คน จนถึง 12 คน 11
ชนิดของวธิ กี ารวจิ ยั เชิงคณุ ภาพ •Case study •Ethnography •Focus Group Discussion •Grounded Theory •Narrative study •Phenomenology •ฯลฯ 12
การวเิ คราะหข์ อ้ มูล •วเิ คราะหร์ ะหวา่ งเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู •วเิ คราะหข์ อ้ มลู หลงั เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ครบถว้ นแลว้ 13
การเขียนรายงานวจิ ยั เชิงคณุ ภาพ •มกี ารใชภ้ าษาพดู ของผูใ้ หข้ อ้ มลู (informant)เพอMื สนบั สนุนประเดน็ ทคMี น้ พบ (Quotation) •ตอ้ งระวงั การบรรยายเพราะมผี ลต่อการตคี วาม •เป็นการเขยี นแบบเลา่ เรMอื ง (Narrative) 14
Thank you for your attention 15
เทคนิคการสมั ภาษณเ์ ชิงลึก รองศาสตราจารย์ ดร. สภุ าภรณ์ สดุ หนองบวั คณะสาธารณสขุ ศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร 1
การสมั ภาษณเ์ ชิงลึก *เป็นวิธีการท-ีใชก้ นั โดยทว-ั ไปในการวิจยั เชิงคุณภาพ *เป็นวิธีการท-ีใชใ้ นการเก็บขอ้ มูลจากประสบการณข์ องบุคคล โดยการเชิญใหเ้ ขาบอกเลา่ เร-ืองราว ท-ีเก-ียวขอ้ งกบั ตวั เขาอยา่ งละเอียดลึก *เป็นการแสดงทศั นะระหวา่ ง(inter-view) ผูส้ มั ภาษณ์ (interviewer) และผูถ้ ูก สมั ภาษณ์ (interviewee) และมีปฏิกิริยาระหวา่ งกนั (inter-action) 2
การสมั ภาษณเ์ ชิงลึกคืออะไร? *การสมั ภาษณเ์ ชิงลึกเป็นรูปแบบเฉพาะในการสนทนาเพ=ือใหไ้ ดซ้ =ึงความรูท้ =ีถา่ ยทอดโดยผา่ นปฏิกิริยาระหวา่ งผู้ สมั ภาษณแ์ ละผูถ้ ูกสมั ภาษณ์ *การสมั ภาษณเ์ ชิงลึกมีวตั ถุประสงคเ์ พ=ือการนําออกมา (elicit) ซ=ึงขอ้ มูลละเอียดจากมุมมองของบุคคลตอ่ ประเด็นท=ีถูกเลือกภายใตก้ ารวิจยั *การสมั ภาษณเ์ ชิงลึกมีวตั ถุประสงคเ์ พ=ือเจาะลึกเขา้ ไปถึงมุมมองภายใน (insider perspective) และเพ=ือการไดม้ าซ=ึงคาํ พูด ความคิด การรบั รู้ ความรูส้ ึก และประสบการณข์ องผูถ้ ูกสมั ภาษณ/์ ผูใ้ หข้ อ้ มูล *การสมั ภาษณเ์ ชิงลึก หมายถึง การเผชิญหนา้ ตวั ตอ่ ตวั (face-to-face and one-on-one) ระหวา่ งผูว้ ิจยั และผูถ้ ูกสมั ภาษณ/์ ผูใ้ หข้ อ้ มูล/ผูเ้ ขา้ ร่วมวิจยั (interviewee/informant/participant) *การสมั ภาษณเ์ ชิงลึก ตอ้ งการ การระบายออกอยา่ งเป็นตวั ของตวั เองในการใหข้ อ้ มูลเชิงลึกของผูถ้ ูกสมั ภาษณ/์ ผูใ้ หข้ อ้ มูล/ผูเ้ ขา้ ร่วมวิจยั (interviewee/informant/participant) มากกวา่ การ สมั ภาษณแ์ บบวิธีอ=ืน 3
ชนิดคําถาม (Types of questions) *คาํ ถามนํา (introductory/opening questions) *คาํ ถามติดตาม (follow-up questions) *คาํ ถามเจาะลึก (probing questions) *คาํ ถามเจาะจง (specifying questions) *คาํ ถามตรง (direct questions) *คาํ ถามออ้ ม (indirect questions) *คาํ ถามโครงสรา้ ง (structuring questions) *คาํ ถามตีความ (interpreting questions) *การเงียบ (silence) 4
*คําถามนํา (Introductory/opening questions) คาํ ถามชนิดนVีถูกใชเ้ พ-ือใหผ้ ูถ้ ูกสมั ภาษณไ์ ดบ้ อกเลา่ เร-ืองราวอยา่ งยาวและตอ่ เน-ือง และท-ีสาํ คญั คาํ ถามชนิดนVีจะทาํ ใหผ้ ูถ้ ูกสมั ภาษณไ์ ดเ้ ลือกในส-ิงท-ีเขาตอ้ งการเร-ิมตน้ ในการสนทนา ตวั อยา่ ง เชน่ *คณุ ช่วยบอกเล่าเรื0องราวเก0ียวกบั ชีวิตของคณุ ในบทบาทของความเป็ นแม่ไดไ้ หมคะ? *กรณุ าบอกเล่าเร0ืองราวเก0ียวกบั การเจ็บป่ วยของคณุ ในครงัD นDี? 5
*คําถามติดตาม (Follow-up questions) คาํ ถามชนิดนVีมีวตั ถุประสงคเ์ พ-ือใหผ้ ูถ้ ูกสมั ภาษณใ์ หข้ อ้ มูลเพ-ิมเติมจากคาํ ตอบเดิมท-ีเขาเพ-ิงใหค้ าํ ตอบ มา ซ-ึงคาํ ถามชนิดนVีมกั จะเป็นคาํ ถามท-ีถามตรง *คณุ กาํ ลงั หมายความว่าคณุ มีประสบการณท์ างลบกบั แพทยท์ ี9ดแู ลคณุ ใช่ไหม? *แลว้ เกิดอะไรขEึนในตอนนนEั ? *คณุ ไดใ้ หข้ อ้ มลู ไปก่อนหนา้ นEีว่าคณุ ไม่อยากมีบตุ ร คณุ ช่วยใหข้ อ้ มลู เพิ9มเติม ตรงจุดนEีดว้ ยค่ะ? 6
*คําถามเจาะลึก (Probing questions) คาํ ถามนVีจะถูกใชเ้ ม-ือนักวิจยั ตอ้ งการใหผ้ ูถ้ ูกสมั ภาษณใ์ หร้ ายละเอียดเพ-ือใหเ้ กิดความ เขา้ ใจในประเด็นท-ีกาํ ลงั สนทนาไดอ้ ยา่ งกระจา่ งชดั *คณุ ช่วยใหข้ อ้ มลู เพิ0มเติมในสิ0งที0คณุ เพ0ิงบอกฉนั ไปเมื0อสกั คร่นู Dีไดไ้ หมคะ? *คณุ ช่วยยกตวั อย่างใหฉ้ นั ฟังเก0ียวกบั ประเด็นนDีไดไ้ หมคะ? *เกิดอะไรขDึน? เกิดขDึนตงัD แต่เม0ือไร? มนั เกิดขDึนอย่างไร? 7
*คําถามเจาะจง (Specifying questions) คาํ ถามติดตามสามารถถูกใชโ้ ดยคาํ ถามคาํ ถามเจาะจงหลายๆคาํ ถาม *คณุ ทาํ อย่างไรเมื0อคณุ เริ0มมีอาการป่ วยเกิดขDึน? *คณุ มีปฎิกิริยาต่อผูค้ นในชุมชนอย่างไรเม0ือพวกเขาพดู ถึงคณุ ? ขอ้ พึงสงั เกต: คาํ ถามเจาะจงสามารถถามได้ หากผูใ้ หข้ อ้ มูลยินดีท-ีจะตอบ เชน่ *คณุ มีประสบการณแ์ บบนDีกบั ตวั คณุ เองจริงๆใช่รึเปล่า? 8
*คําถามตรง (Direct questions) นักวิจยั สามารถใชค้ าํ ถามตรงเพ-ือใหเ้ กิดความชดั เจนในประเด็นท-ีกาํ ลงั สนทนา หรือเพ-ือใหเ้ กิดความ กระจา่ งในเร-ืองท-ีสนทนา *ตอนท0ีคณุ กล่าวถึงวิธีการรกั ษาของแพทยท์ ี0ดําเนินการกบั คณุ คณุ หมายถึงการรกั ษา แบบนนDั เป็ นการรกั ษาทางบวกหรือทางลบ? *คณุ เคยมีประสบการณเ์ กี0ยวกบั การถกู แบ่งแยกจากคนอื0นๆในชุมชนรึเปล่า? 9
*คําถามออ้ ม (Indirect questions) คาํ ถามออ้ มเป็นคาํ ถามท-ีนักวิจยั สามารถใชเ้ พ-ือเล-ียงท-ีจะถามตรง เพราะหากใชค้ าํ ถามตรงอาจจะ ไมไ่ ดข้ อ้ มูลตามความเป็นจริง หรืออาจจะไมไ่ ดค้ าํ ตอบ ตวั อยา่ งเชน่ คาํ ถามท-ีสะทอ้ นถึงแนวคิด ทศั นคติ และตวั ตนของผูถ้ ูกสมั ภาษณต์ อ่ ประเด็นท-ีกาํ ลงั สนทนา (projective question) *คณุ คิดว่าโดยทวั0 ไปแลว้ ผูช้ ายควรจะทาํ อย่างไรเม0ือเกิดความรนุ แรงในครอบครวั ? 10
*คําถามโครงสรา้ ง (Structuring questions) คาํ ถามชนิดนVีจะชว่ ยใหผ้ ูถ้ ูกสมั ภาษณไ์ ดพ้ ูดตอ่ ไปไดใ้ นคาํ ถามตอ่ ไป ดงั นVันนักวิจยั ควรทบทวนประเด็นท-ี กาํ ลงั พูด เพ-ือใหผ้ ูถ้ ูกสมั ภาษณส์ ามารถพูดเช-ือมตอ่ ไปไดใ้ นประเด็นคาํ ถามตอ่ ไป ดงั ตวั อยา่ งตอ่ ไปนVี *พวกเรากาํ ลงั พดู เก0ียวกบั วิธีการในการดแู ลลูกนอ้ ยของคณุ ตอนนDีฉนั อยากใหค้ ณุ เล่า เกี0ยวกบั วิธีการใหน้ มแม่ กรณุ าเล่าใหฉ้ นั ฟังถึงวิธีการใหน้ มแม่ของคณุ ไดไ้ หมคะ? 11
*คําถามตีความ (Interpreting questions) นักวิจยั อาจจะตอ้ งการคาํ ถามท-ีชว่ ยในการตีความหมายในส-ิงท-ีผูถ้ ูกสมั ภาษณใ์ หข้ อ้ มูล ซ-ึงนักวิจยั อาจจะทบทวนคาํ ตอบและเอย่ ถามตอ่ ขอ้ พึงสงั เกตุ: คาํ ถามตีความมกั จะถูกใชเ้ ม-ือนักวิจยั ตอ้ งการความชดั เจนจากคาํ ตอบท-ีไดร้ บั ดงั ตวั อยา่ งนVี *คณุ หมายความว่าสิ0งนDีคือวิธีการที0คณุ ถกู กระทาํ โดยผูค้ นที0อย่แู ถวละแวกบา้ นคณุ ใช่ไหม? 12
*ความเงียบ (Silence) ความเงียบจะเกิดขVึนเม-ือมีการหยุดพกั ชว-ั คราวในระหวา่ งการสมั ภาษณ์ ความเงียบนVีจะทาํ ใหผ้ ูถ้ ูก สมั ภาษณไ์ ดม้ ีเวลาในการสะทอ้ นถึงส-ิงท-ีตนไดพ้ ูดไปแลว้ และส-ิงท-ีตนกาํ ลงั จะพูดตอ่ ไป เม-ือผูถ้ ูก สมั ภาษณม์ ีขอ้ มูลท-ีสาํ คญั ท-ีจะพูด เขาจะหยุดพูดและเงียบสกั พกั หน-ึงกอ่ นท-ีจะพูดตอ่ ไป ความเงียบและการหยุดพกั ชว-ั คราวนVัน เป็นสญั ญาณใหผ้ ูถ้ ูกสมั ภาษณร์ ูว้ า่ นักวิจยั ตอ้ งการเปิดโอกาส ใหต้ รึกตรองในคาํ ตอบ 13
ส8ิงท8ีพึงตระหนกั ในการสมั ภาษณเ์ ชิงลึก *คาํ ถามปลายเปิด (Open-ended question) *หลีกเล-ียงคาํ ถามกาํ กวมหรือคลุมเครือ *หลีกเล-ียงคาํ ถามนํา *คาํ ถาม “ทาํ ไม” ไมค่ วรถูกใชใ้ นการถามท-ีกอ่ ใหเ้ กิดความขุน่ เคือง เชน่ § ทาํ ไมคุณไมด่ า่ เขากลบั ไปเลยในตอนนัWน §ทาํ ไมคุณถึงรอดชีวิตมาไดท้ งWั ๆท=ีสถานการณต์ อนนัWนคุณไมน่ ่ารอด §ทาํ ไมคุณถึงสอบผา่ น ทงัW ๆท=ีคุณเองก็ไมใ่ ชค่ นฉลาดเลย *ควรฟงั ดว้ ยความตงVั ใจ (Active listening) *ใหค้ วามสาํ คญั กบั การเงียบของผูถ้ ูกสมั ภาษณ์ 14
ลําดบั ขนัD ตอนในการสมั ภาษณ์ *การมาถึงและการแนะนําตวั *การสรา้ งความสมั พนั ธเ์ ร1ิมตน้ ท1ีดี (rapport) *การเร-ิมตน้ ในการสมั ภาษณ์ *การจบการสมั ภาษณ์ 15
การดําเนินการสมั ภาษณ์ *การเตรียมแนวคาํ ถามในการสมั ภาษณ์ *สถานท7ีในการสมั ภาษณ์ *การบนั ทึกการสมั ภาษณ์ *การถอดเทปจากการสมั ภาษณ์ 16
การวิจัยแบบสนทนากลุ่ม (FOCUS GROUP DISCUSSION) รองศาสตราจารย์ ดร. สุภาภรณ์ สุดหนองบวั คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร 1
การสนทนากลุ่มคืออะไร? qเป็ นวธิ ีการเชิงคุณภาพที4มีวตั ถุประสงคใ์ นการพรรณนาและเขา้ ใจถึง การรบั รู้ การตีความ และความเช4ือของกลุ่มคนที4ถูกเลือกมาเพื4อแสดง แนวคิดและความเขา้ ใจเก4ียวกบั ประเด็นการวจิ ยั qการสนทนากลุ่มจะประกอบไปดว้ ยกลุ่มบุคคล L-NO คน ท4ีมาจาก สงั คมเดียวกนั และมีพP ืนฐานทางวฒั นธรรมเดียวกนั หรือ เป็ นกลุ่มคนที4 มีประสบการณแ์ ละความตระหนักคลา้ ยกนั qการสนทนากลุ่ม เป็ นการสมั ภาษณร์ ่วมกบั การสนทนาร่วมกนั เก4ียวกบั ประเด็นเฉพาะ โดยมี ผูด้ าํ เนินรายการ (moderator) เป็ นผู้ ขบั เคลื4อนการสนทนากลุ่ม เพ4ือใหผ้ ูร้ ่วมสนทนารูส้ ึกสบายไมเ่ กร็ง และ การสนทนากลุ่มควรอยรู่ ะหวา่ ง N-[ ชวั4 โมง 2
คุณลักษณะท8ีสาํ คัญของการสนทนากลุ่ม 1. เป็ นการสนทนาเชิงลึกในกลุ่มคนจาํ นวนนอ้ ย 2. เป็ นการมุง่ เนน้ เฉพาะประเด็นที4สนใจ โดยเปิ ดโอกาสใหผ้ ูเ้ ขา้ ร่วม สนทนาไดถ้ กในรายละเอียดของประเด็นนPัน 3
คุณลักษณะที8สาํ คัญของการสนทนากลุ่ม (ต่อ) 3. การสนทนากลุ่มนPันขP ึนอยกู่ บั ปฏิกิริยาระหวา่ งกลุ่มมากกวา่ การ สมั ภาษณก์ ลุ่มและการประสบความสาํ เร็จในการสนทนากลุ่มนPันจะ เกิดขP ึนไดก้ ็ต่อเม4ือ ผูเ้ ขา้ ร่วมสนทนานPันสามารถสนทนาระหวา่ งกนั ทุก คน มากกวา่ ที4จะมีแคค่ นใดคนหนึ4งตอบคาํ ถามของผูด้ าํ เนินรายการ (moderator) เพียงผูเ้ ดียว 4. ปฏิกิริยาของกลุ่มเป็ นคุณลกั ษณะอยา่ งหนึ4งของการสนทนากลุ่ม ทPงั นP ีขP ึนยกู่ บั กระบวนการของกลุ่มนPันไดเ้ อP ือใหผ้ ูเ้ ขา้ รว่ มสนทนากลุ่มได้ แสดงทศั นะของตนเองไดม้ ากนอ้ ยแคไ่ หน 4
คุณลักษณะที8สาํ คัญของการสนทนากลุ่ม (ต่อ) 5. ผูด้ าํ เนินรายการ (moderator) โดยส่วนใหญ่มกั จะเป็ นผูว้ จิ ยั ซึ4ง จะมีบทบาทในการแนะนําตวั และหวั ขอ้ ในการสนทนา นอกจากนP ียงั เป็ นผูท้ ี4จะตอ้ งกระตุน้ ใหผ้ ูเ้ ขา้ ร่วมสนทนาไดถ้ กประเด็น กระตุน้ ใหม้ ี ปฏิกิริยาระหวา่ งกลุ่ม บอกทิศทางการสนทนา 6. ผูด้ าํ เนินรายการ (moderator) จะตอ้ งแสดงบทบาทหลกั ในการ ที4จะไดร้ บั ขอ้ มลู ท4ีดีและแมน่ ยาํ จากการสนทนากลุ่ม 7. ผูเ้ ขา้ ร่วมสนทนา (participant) โดยปกติจะมีการแลกเปลี4ยน ประสบการณท์ Pงั ทางสงั คม วฒั นธรรม เชน่ อายุ เพศ เชP ือชาติ ศาสนา และการศึกษา หรือมีการแลกเปล4ียนกนั ในดา้ นประเด็น เฉพาะหรือความตระหนักในเร4ืองใดเร4ืองหนึ4ง 5
ทาํ ไมจะตอ้ งทาํ สนทนากลุ่ม? qการสมั ภาษณก์ ลุ่ม (focus group Interview) เป็ นเครื4องมือ วจิ ยั ที4มีประโยชน์ในกรณีท4ีผูว้ จิ ยั ไมม่ ีความรูอ้ ยา่ งลึกซP ึงเก4ียวกบั ผูเ้ ขา้ ร่วม วจิ ยั หรือกลุ่มอาสาสมคั รในการวจิ ยั (participants) qกลุ่มท4ีผูว้ จิ ยั เลือกมาทาํ การสนทนานPัน จะมีประโยชน์ก็ต่อเม4ือผูว้ จิ ยั มี การเขา้ ถึงองคค์ วามรูแ้ ละประสบการณใ์ นตวั พวกเขาเหล่านPัน qการสนทนากลุ่มมีความเหมาะสมกบั การศึกษาวจิ ยั ในประเด็นที4 เปราะบาง (sensitive) หรือ ในกลุ่มประชากรเปราะบาง (sensitive populations) เน4ืองจากประชากรกลุ่มนP ีจะรูส้ ึกผ่อนคลายหากไดม้ ี การแสดงทศั นะจากประสบการณท์ 4ีคลา้ ยคลึงกนั 6
ทาํ ไมจะตอ้ งทาํ สนทนากลมุ่ ? (ตอ่ ) qการสนทนากลุ่มสามารถใชใ้ นกรณีที4มีความตอ้ งการขอ้ มลู ที4แจม่ ชดั จากกลุ่มบุคคลท4ีเขา้ ถึงยาก (difficult subjects) เชน่ กลุ่มคนท4ีมี ความเสี4ยงสูง เป็ นตน้ q การสนทนากลุ่มจะถูกใชใ้ นกรณีที4ตอ้ งการพลงั เสียงจากภาค ประชาชนท4ีดอ้ ยโอกาส หรือประชาชนกลุ่มเส4ียง เชน่ คนจน ชนกลุ่ม นอ้ ย กลุ่มสตรี หรือกลุ่มผูต้ ิดเชP ือเอดส์ เป็ นตน้ 7
การสนทนากลุ่ม ถูกใชใ้ นประเด็นต่อไปนI ี vการศึกษาท)ีเจาะลึกถึงประเด็นดา้ นสุขภาพ vการทดสอบความคิดและการยอมรบั โปรแกรมใหมห่ รือสิ)งใหม่ vการแกไ้ ขปัญหาท)ีเฉพาะเจาะจง vการประเมินโปรแกรมดา้ นสุขภาพ 8
การสนทนากลุ่มไม่ควรใช้ ในกรณีใด? qการสนทนาไมม่ ีความเหมาะสมกบั สถานการณ์ น5ัน qผูเ้ ขา้ ร่วมสนทนามีความลาํ บากใจในการสนทนา เก>ียวกบั ประเด็นน5ัน qตอ้ งการขอ้ มลู ทางสถิติ 9
ควรจะใชเ้ วลาในการสนทนากลุ่มนานเพียงใด? การสนทนากลุ่มไมค่ วรนานเกิน 2 ชวั> โมง ส่วนใหญ่การ สนทนากลุ่มจะใชเ้ วลาประมาณ 1-1.30 ชวั> โมง 10
ทาํ ไมจึงไม่ควรใชเ้ วลานานเกิน ในการสนทนากลุ่ม qผูเ้ ขา้ ร่วมสนทนาอาจรูส้ ึกเหนื)อย เพราะการจดจอ่ อยกู่ บั ประเด็นเดียวในการถกเป็ นเวลา 2 ชวั) โมง จะทาํ ใหผ้ ูเ้ ขา้ ร่วม สนทนารูส้ ึกอ่อนลา้ qผูเ้ ขา้ ร่วมสนทนาอาจหมดแนวคิดท)ีจะสนทนาต่อ ซ)ึงจะ กอ่ ใหเ้ กิดความเบ)ือหน่ายตามมา qผูเ้ ขา้ ร่วมสนทนาอาจเบี)ยงเบนไปทาํ กิจกรรมอ)ืนท)ีสาํ คญั กวา่ เชน่ ขอออกจากวงสนทนาเพ)ือไปเขา้ หอ้ งนRํา ไปเลR ียงลกู ไป ทาํ กบั ขา้ ว หรือไปทาํ งานอ)ืนๆ 11
ผูเ้ ขา้ ร่วมสนทนา (PARTICIPANTS) qเป็ นกลุ่มท>ีเหมือนหรือคลา้ ยคลึงกนั qมีการแลกเปล>ียนประสบการณร์ ะหวา่ งกนั qมีความคุน้ เคยกนั หรือแปลกหนา้ กนั 12
ควรมีจาํ นวนกี8กลุ่ม และผูเ้ ขา้ ร่วมสนทนา จาํ นวนเท่าไร จึงจะเพียงพอ? qโดยทวั4 ไป ผูเ้ ขา้ รว่ มสนทนาจะมี 6-10 คนต่อหน4ึงกลุ่มต่อครPงั แต่ บางครPงั ก็มี 12 คน อยา่ งไรก็ตาม สนทนากลุ่มจะไดผ้ ลดีก็ต่อเมื4อมี 4-12 คน qความอิ4มตวั ของขอ้ มลู จะเกิดขP ึนเม4ือ ขอ้ มลู ท4ีถกนPันไมม่ ีขอ้ มลู เพิ4มเติม หรือไมม่ ีประเด็นใหมเ่ กิดขP ึน 13
คุณลักษณะของผูด้ าํ เนินรายการ (MODERATOR) üเป็นคนท(ีรบั รูไ้ ดถ้ ึงความตอ้ งการของผูเ้ ขา้ ร่วมสนทนา üมีความเป็นกลาง ตอ้ งไมใ่ ชผ่ ูต้ ดั สินวา่ ส(ิงท(ีผูเ้ ขา้ ร่วมสนทนาพูดนCัน ถูกหรือผิด üเคารพและใหเ้ กียรติผูเ้ ขา้ ร่วมสนทนาทุกคน üเปิดใจยอมรบั ความคิดเห็นของทุกคน üมีความรูใ้ นประเด็นท(ีสนทนาเป็นอยา่ งดี üมีทกั ษะการฟงั ท(ีดี üมีทกั ษะการเป็นผูน้ ําท(ีดี üมีทกั ษะการสงั เกตการณท์ (ีดี üมีความอดทนและยืดหยุน่ 14
ผูจ้ ดบันทึกการสนทนา (NOTE-TAKER) üผูจ้ ดบนั ทึกจะจดประเด็นที4สาํ คญั ที4เกิดขP ึนในการสนทนา และอื4นๆที4 อาจจะมีความสาํ คญั ต่อการวเิ คราะหแ์ ละแปลผลขอ้ มลู üผูจ้ ดบนั ทึกจะจดการปฏิกิริยาการตอบสนองของผูเ้ ขา้ ร่วมสนทนา พรอ้ มทPงั สงั เกตและบนั ทึกการตอบสนองท4ีเป็ น อวจั นะภาษา (non- verbal responses) ซึ4งสิ4งนP ีจะชว่ ยใหเ้ ขา้ ใจความรูส้ ึกของผูเ้ ขา้ ร่วม สนทนาต่อประเด็นนPัน 15
ตวั อย่าง FGD TAKING NOTE ประเด็น ผใู้ หข้ อ้ มูล คาํ พดู ของผใู้ หข้ อ้ มูล การสงั เกตุ (หมายเลข) วนั ที&.....เดือน..........ปี ......... สถานที&:……………………. เรม&ิ สนทนากลมุ่ เวลา………………….น. P1 (ญ) ใสเ่ ส< ือสีเหลือง นงั & ตดิ กบั Moderator P2 (ญ) ใสเ่ ส< ือสีเขียว 16
17
การวิจยั แบบเทคนิ คเดลฟาย (DELPHI TECHNIQUE) รองศาสตราจารย์ ดร. สุภาภรณ์ สุดหนองบวั คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร 1
ความสาํ คญั และท.ีมาของการวิจยั แบบเดลฟาย • เป็ นเทคนิคการทาํ นายที.พฒั นาข4ึนโดยนกั คิดนกั วิจยั ของ Rand Corporation คือ Helmer, Dalkey และ Rescher • เดลฟายเทคนิคเป็ นเทคนิคการํานายท.ีไดร้ ับความนิยมอย่างมากเกือบทุกวงการ เช่น ดา้ นธุรกิจ การเมือง การทหาร เศรษฐกิจ การสาธารณสุข การศึกษา ฯลฯ • เป็ นเทคนิคการสื.อสารระหว่างกลุ่มผูเ้ ชี.ยวชาญ ช่วยให้ผูเ้ ชี.ยวชาญแต่ละคนไดร้ ับสารและแลกเปลี.ยนความเชี.ยวชาญระหว่างกนั โดยไม่มีการเผชิญหน้ากนั • เป็ นการศึกษาความคิดเห็นของกลุ่มผูเ้ ช.ียวชาญอย่างเป็ นระบบ โดยการขอให้ผูเ้ ช.ียวชาญแต่ละคนทาํ การคาดการณ์ว่าแนวโน้ม หรือเหตุการณ์แต่ละอย่างจะเกิดข4ึนเมื.อใด หรือทาํ การคาดการณ์ว่าจะเกิดข4ึนภายในเวลาที.กาํ หนด เช่น อีก 10 ปี ขา้ งหน้าจะมี เหตุการณ์หรือมีแนวโน้มใดจะเกิดข4ึนบา้ ง 2
คุณลกั ษณะของเทคนิ คเดลฟาย 1. ผูเ้ ชี.ยวชาญแต่ละคนสามารถแสดงความคิดเห็นไดอ้ ย่างเป็ นอิสระ โดยไม่ให้ความเห็นของผูอ้ .ืนมีอิทธิพลหรือมีผลกระทบต่อ การพิจารณาตดั สินใจของตน เพราะผูเ้ ชี.ยวชาญแต่ละคนไม่ทราบว่าใครบา้ งท.ีถูกเลือกเขา้ ร่วมโครงการ ท4งั น4ีเพราะไม่มีการเปิ ดเผย รายชื.อให้กลุ่มผูเ้ ชี.ยวชาญทราบ 2. เป็ นการเสาะแสวงหาความคิดเห็นของกลุ่มผูเ้ ชี.ยวชาญดว้ ยแบบสอบถาม ดงั น4นั ผูเ้ ชี.ยวชาญทุกคนจึงจาํ เป็ นตอ้ งตอบ แบบสอบถามครบทุกข4นั ตอน 3. การตอบแบบสอบถามน4นั ผูเ้ ชี.ยวชาญมีโอกาสท.ีจะกลน.ั กรองความคิดเห็นของตนอย่างละเอียด รอบคอบ และเพ.ือให้มนั. ใจ ในการตดั สินใจ จึงมีการถามย4าํ หลายรอบ 4. ความน่าเช.ือถือไดข้ องคาํ ตอบและความสาํ เร็จของการวิจยั ข4ึนอยู่กบั แบบสอบถาม และความรอบรู้ของผูเ้ ชี.ยวชาญท.ีตอบ แบบสอบถาม 5. การใชส้ ถิติวิเคราะห์ความคิดเห็นของกลุ่มผูเ้ ชี.ยวชาญ โดยทว.ั ๆไปจะใชส้ ถิติเกี.ยวกบั การวดั แนวโน้มเขา้ สู่ส่วนกลางและวดั การกระจาย 3
สรปุ ลกั ษณะโดยรวมของเทคนิ คเดลฟาย ลกั ษณะของเทคนิคเดลฟายจะคลา้ ยกบั การสาํ รวจ แต่ต่างกนั ตรงที>เดลฟายจะส่งคาํ ถามให้ผูเ้ ชี>ยวชาญตอบหลาย รอบ (3 รอบหรือมากกว่า) เพื>อให้ผูเ้ ช>ียวชาญมีโอกาสพิจารณาคาํ ตอบท>ีเป็ นความคิดเห็นของตนอีกครLังหน>ึง ในขณะท>ีการสาํ รวจจะไม่มีการป้อนขอ้ มูลยอ้ นกลบั แต่จะใชก้ ารส่งคาํ ถามเพียงครLังเดียว 4
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151