Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ผลบุญคือ กำลังชีวิต

ผลบุญคือ กำลังชีวิต

Published by thiwadon jirapunyo, 2021-09-24 11:55:01

Description: พระภาสกร ภูริวฑฺฒโน (ภาวิไล).

Search

Read the Text Version

ที่กลาวมาน้ี... สําหรับบางทานที่ไมไดมีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร หรือทางฟสิกสมา อาจจะฟงแลวเขาใจยาก แตจริงๆ แลว กําลังจะบอกวา นักวิทยาศาสตรทางฟสิกสมีความเชื่อวา ในโลกน้ี... มีแตเพียงสสารกับ พลังงาน และทั้งสสารกับพลังงาน ก็คือของอยางเดียวกัน แตนักฟสิกสก็ยัง หาคาํ ตอบไมไดวา “แลว ชวี ติ เลา มันคืออะไร?” ครั้นมาศึกษาทาง ชีววิทยา บาง คําตอบท่ีไดเกี่ยวกับชีวิตก็คือ “เพราะมีรางกาย ถึงมีจิตใจ จิตใจและความนึกคิด เปนเพียงผลที่เกิด จากความซับซอนของระบบประสาทเทาน้ัน” คําตอบเชนน้ี ถามใจเราดูสิ วา ยอมรับไดไหม ทนี ี้ ขอใหทา นลองพจิ ารณาแนวคดิ เรอื่ งชวี ติ ตอไปนี้ “ชีวิต... ก็คือรูปแบบหนึ่งของพลังงาน เปนหนึ่งหนวยของ พลังงาน ทีส่ ามารถรู และส่งั สมความรไู วได” หนึ่งหนวยของพลังงานนี้ เราไมสามารถที่จะบอกไดวา มันมีขนาด แคไหน มหี นาตาเปนอยางไร แตหนึ่งหนวยของพลังงานนแี่ หละ ทม่ี ันเริ่มตน เรียนรู เปล่ียนแปรสภาพจากพลังงานแทๆ คือพลังงานบริสุทธ์ิ พลังงานท่ี โงเงา ไมใชช วี ิต แลววิวฒั นาการสง่ั สมความรขู ้ึนมา จนกระทงั่ กลายเปน ชวี ิต เพ่ือใหภาพชัดเจนข้ึน ขอใหมาดูภายในรางกายของเรา ถาเราเรียน ชีววิทยาหรือวิทยาศาสตรการแพทย เมื่อสํารวจลงไปในระดับจุลภาค ดวย กลองจุลทรรศน เราจะเห็นวารางกายนี้ ประกอบดวยหนวยชีวิตขนาดเล็ก ที่สุดที่เรียกวา “เซลล” จํานวนมากมายมหาศาล รวมตัวกันทําหนาที่ตางๆ ภายในรา งกาย เซลลแตละเซลล จัดวาเปนหนวยหนึ่งของชีวิต ยกตัวอยางเซลล ประสาท ซ่ึงประกอบดวยแกนแกนคือนิวเคลียส ผนังเซลล และอะไรก็ แลวแต ที่มีอยูภายในเซลล กับทั้งสายใยประสาทที่ยืดยาวออกไปจากผนัง เซลล ซงึ่ ทําหนาทถ่ี ายทอด หรือรับสงกระแสประสาท สมดุลโลก สมดุลใจ สมดลุ ธรรม 89 เรื่องอจนิ ไตย

จะเห็นวา มันกิน คือสามารถรับสารอาหารจากภายนอก เขาไปสูตัว ของมันได มันถาย คือ ปลอยของเสีย ออกมาจากตัวของมันได มันทํางาน คือรับสงกระแสประสาท ประจุไฟฟาชนิดตางๆ ได ส่ิงที่สามารถทําหนาท่ี หรอื ทํางานได แนน อน จะตองมอี ะไรบางอยา งทีม่ าควบคุมบงการ เปนไปไดไหมที่จะกลาววา เซลลแตละเซลลน้ัน ลวนมีสิ่งท่ี คลายคลึงกับจติ ของ เรานี้ ควบคุมบงการอยู รางกายโดยรวมของเรา ก็มีจิตของเรา เปนผูควบคุมบงการ แลวสิ่ง ที่ควบคุมบงการการทํางานของเซลลเหลานั้น มันคืออะไร เปนไปไดไหม... ท่มี ันคือ... สง่ิ ที่กาํ ลงั จะพัฒนาไปสคู วามเปน จิต เปนไปไดไหม ที่มันคือ “ก่ึงธาตุรู” หรือหนึ่งหนวยของพลังงาน ทก่ี าํ ลังพฒั นาขึ้นมาจากความเปน “พลังงานบรสิ ุทธ์ิ” ท่ีปราศจากความรูใดๆ (จิตเดิมแท ในความหมายของพุทธมหายาน) แลวก็รูมากข้ึนๆ จนถึงระดับ หน่งึ ท่สี ามารถควบคมุ บงการเซลลเ หลา น้ันได พระภาสกร ภูรวิ ฑฺฒโน (ภาวไิ ล) 90 ผลบุญคือกําลังชีวติ

เซลลของตนไม เซลลในรางกายของสัตวตางๆ ถูกควบคุมบงการ โดยสิ่งท่ีผูเขียนบัญญัติเรียกวา “กึ่งธาตุรู” ทําไมถึงบัญญัติเรียกวาเปนเพียง “ก่ึงธาตุรู” ก็เพราะวาก่ึงธาตุรูเหลานั้น มันไมสามารถดํารงชีวิตอยูอยาง โดดเดี่ยว เปนอิสระโดยเอกเทศได มันตองอยูกันเปนหมู เปนพวก อยูเปน อาณานคิ ม ท่ีภาษาอังกฤษเรยี กวา โคโลนี (Colony) ทํางานเชื่อมโยงเกื้อหนุน ระหวา งกัน และกึง่ ธาตรุ ูเหลาน้ีแหละ ทมี่ ีววิ ฒั นาการตอ ไป เรยี นรมู ากขน้ึ ๆ จากเซลลเดิมตายไป ก็ไปอุบัติในเซลลท่ีเกิดขึ้นใหม ซึ่งเปนเซลล เสนเลือด เซลลกลามเนื้อ เซลลสมอง หรือเซลลอวัยวะอ่ืนๆ โดย ทดแทน เรียนรูกันไปเรื่อยๆ ทายที่สุดก็จะมีวิวัฒนาการขึ้นไป กระท่ังสามารถ ควบคุมบงการสิ่งมีชีวิตประเภทที่มีเซลลเดียวขนาดเล็กจิ๋ว ชนิดที่ สามารถดํารงชีวิตอยูรอดเปนอิสระในโลกภายนอกไดดวยตนเอง เชน อะมีบา พารามเี ซียม หรือโปรโตซัว อะไรตางๆ เปนตน ตอนน้ีแหละ ท่ีมันได เปน “ธาตุรู” แตเ ปน ธาตุรชู นดิ เริ่มแรก เปน ธาตุรูปฐมภูมิ หรือ จิตปฐมภูมิ ท่ีมคี วามพรอ มท่จี ะมีววิ ัฒนาการ พัฒนาตอ ๆ ขนึ้ ไป ธาตรุ ูช นดิ เริ่มแรก หรือจติ ปฐมภมู ิน้นั เริ่มตนจากทสี่ ามารถควบคุม บงการรางกายของมัน ซ่ึงก็คือเซลลๆ เดียว อันมีอวัยวะตางๆ ที่ประกอบไป ดวยสสารและพลังงาน (ภาพแสดงถึงสวนประกอบของเซลล) ซึ่งแนนอน การดํารงชีวิตอยูในโลกน้ี ยอมหนีไมพนจากภาวะแหงความกระทบกระทั่ง และการเบยี ดเบียนซึง่ กันและกัน คร้ันเมื่อถูกเบียดเบียน อยางเชน มีชีวิตรูปแบบอ่ืนที่มีอํานาจ มากกวา มาทําราย มาจับมันกินเปนอาหาร มันก็จะแสวงหาวิธีท่ีจะอยูรอด มนั เรยี นรมู ากข้นึ ฉลาดข้ึน ซับซอนข้ึน มันจึงมีวิวัฒนาการ อยางเชนสรางขน ข้ึนมารอบๆ ตัว เพื่อที่จะรับความรูสึกใหรวดเร็วข้ึน จึงทําใหหนีไปไดเร็วข้ึน แลวมันดิ้นรนไปเพื่ออะไร ทําไมตองหนี ก็เพราะมันหนีทุกข หนีเพ่ืออยูรอด เพราะสตั วท ้งั หลายยอมถอื วา ความสุข คอื การมชี วี ติ รอด สมดุลโลก สมดลุ ใจ สมดลุ ธรรม 91 เรอ่ื งอจินไตย

พระภาสกร ภรู ิวฑฒฺ โน (ภาวิไล) 92 ผลบุญคอื กําลังชวี ติ

มันวิวัฒนาการไตเตาข้ึนมา จากธาตุรูท่ีสามารถควบคุมบงการได เพียงแคสัตวเซลลเดียว ซ่ึงมีความสลับซับซอนตํ่า และพัฒนาข้ึนไป จน สามารถควบคุมสัตวที่มีความสลับซับซอนมากขึ้นเรื่อยๆ เชน ควบคุม แมงกะพรุน ปลา สัตวคร่ึงบกครึ่งนํ้า สัตวเลื้อยคลาน สัตวเล้ียงลูกดวยนม จนกระทงั่ ไตเ ตา ข้นึ ไปจนถึงความเปนคน แนนอน ถาหากมันยังมีวิวัฒนาการมาไมถึง พึ่งพัฒนาข้ึนมาเปน เพียงแคแมงกะพรุน มันจะมีสิทธ์ิไหม ท่ีจะไปควบคุมบงการสิ่งมีชีวิตท่ีมี ความสลับซับซอนอยางเชนมนุษยได ยอมเปนไปไมได มันตองคอยๆ ไตเตา พัฒนาการเรียนรูของมันข้ึนไปเปนลําดับ ซ่ึงจําเปนที่จะตองอาศัยระยะเวลา หรือรอบของการเวียนวายตายเกิดอยางมหาศาล จนกวาจะสามารถสั่งสม ความรูหรือสติปญญา มากเพียงพอที่จะควบคุมบงการชีวิต ชนิดท่ีมีรูปแบบ สลบั ซับซอ นเชน มนษุ ยไ ด สมดลุ โลก สมดลุ ใจ สมดลุ ธรรม 93 เรือ่ งอจนิ ไตย

แตธาตุรู จิต หรือวิญญาณ ที่เคยควบคุมบงการสิ่งมีชีวิต หรือสัตวที่ มีความสลับซับซอนสูง อาจจับพลัดจับพลู ตกตํ่า ลดระดับลงมาควบคุม บังคบั บัญชาสัตวท ม่ี ีความสลับซบั ซอนตํา่ ก็ได ยกตวั อยา งเชน ถาเราเปรียบเทียบกับเหตกุ ารณทผี่ านมาแลว ในยุค ไอ.เอม็ .เอฟ. มีบางไหม ทีเ่ ศรษฐีพนั ลานตองตกยาก คือยากจนลงมา จนตอง ไปขายกว ยเตีย๋ ว... ก็มี... ทีน้ีถาเราเปรียบเทียบระหวางคนขายกวยเตี๋ยวสอง คน คนหนึ่ง พอก็ขายกวยเตี๋ยว ปูก็ขายกวยเตี๋ยว ไมมีความรูอะไรนอกจาก การขายกวยเตี๋ยว สวนอีกคนหนึ่งก็คือ อดีตเศรษฐีพันลาน ยืนลวกกวยเตี๋ยว อยูไ มห า งกนั สองรานขายกว ยเต๋ยี วเหมอื นกนั ถามวา คนท้ังสองจะมีความคิดเหมือนกัน ในระดับเดียวกันหรือไม แลวถาวันหน่ึง เหตุปจจัยหรือองคประกอบครบถวน คนที่เคยเปนเศรษฐี พันลา น จะกลบั ไปยนื อยูใ นฐานะเศรษฐีพันลา นไดไหม...? ยอมได... แตลูกพอคาขายกวยเต๋ียว ที่ยังยืนลวกกวยเต๋ียว ตั้งแตรุนคุณปู คุณพอ จนมาถึงเขานั้น ถามวา จะมีสิทธ์ิขึ้นไปยืนอยูในฐานะเศรษฐีพันลาน เหมือนเชนคนที่เคยเปนเศรษฐีพันลานไหม ก็ไมมีทางเปนไปได เพราะรอบ ของความรูมันไมพอ แคคิดระดับลานสองลาน ก็ยังคิดไมคอยจะออกเลย แลวจะใหไปคิดระดับพันลาน มีหวังปวดหัวตายแน น่ันคือรอบของการ เรียนรู มันไมเสมอกนั จิต หรือธาตุรู ท่ีอุบัติในสัตวชั้นท่ีสูงกวา อาจจะตกตํ่ามาอุบัติอยูใน ภาวะแหงสัตวช้ันท่ีตํ่ากวาได แตท่ีสุดเม่ือมันสามารถวิวัฒนาการ ไตเตาข้ึน ไปจนถึงความเปนมนุษยไดเมื่อใด มันจึงจะสามารถปรุงแตงสรางภพ คือ เจตนาของจิต อันจะนําพาใหไปปฏิสนธิ เกิดในสุคติโลกสวรรค เปนพรหม เทพเทวดา เพราะความเปนพรหมเทพเทวดาน้ัน ลวนมาจากจินตนาการใน ใจของมนุษย เพื่อเสวยผลจากการสลายขอมูลในสวนที่มีเจตนาเปนกุศล สวนนรก เปรต อสุรกาย ก็เชนเดียวกัน ก็เปนจินตนาการของมนุษย เพ่ือ เสวยผลจากการสลายขอ มลู ในสว นท่มี เี จตนาเปนอกุศล พระภาสกร ภูริวฑฒฺ โน (ภาวไิ ล) 94 ผลบุญคอื กาํ ลังชีวติ

ฉะนั้นนรกและสวรรค ของสัตวท่ีไมเคยมีวิวัฒนาการมาถึงความ เปนมนุษย ยอมจะไมมี แลวถาจะเปรียบเทียบวา อะไรคือนรกและสวรรค ของมัน นรกของมัน ก็ควรจะไดแก การท่ีสัตวนั้นตองตกต่ําไปอุบัติเกิดข้ึน ในภาวะแหงสัตวชั้นที่ตํ่ากวา หรือมีความสลับซับซอนนอยกวาที่มันเคยมี ววิ ัฒนาการขึ้นไปถึง สว นสวรรคของมนั กค็ วรไดแ ก การที่สตั วน ัน้ สามารถไป เกิดในขน้ั สงู สุดของววิ ัฒนาการของมนั นั่นเอง พรหมเทพเทวดา สัตวนรก เปรต อสุรกาย คือผลจากจินตนาการ ของมนุษย หรือสัตวท่ีเคยถึงความเปนมนุษยเทานั้น แมในบางครั้ง จะมี เทวดาท่ีเนรมิตกายเปนสัตวอยูบาง เชน เอราวัณเทพบุตร ผูทําหนาที่เปน ชางทรงถวายพระเกียรติใหแกพระอินทร แตน่ันเปนเพียงความบีบคั้นจาก ผลกรรมของทา นเอง สมดุลโลก สมดลุ ใจ สมดุลธรรม 95 เรอ่ื งอจนิ ไตย

ในนรกก็เชนเดียวกัน พวกสัตวนรกบางจําพวก ปรากฏเปนคร่ึงคน คร่ึงสัตวในนรก ก็เพราะกรรมบังคับ กัมมชรูป บังคับใหปรากฏเปนสุนัข ท้งั ๆ ทีว่ ิญญาณนัน้ กเ็ ปน วญิ ญาณของผทู ี่เคยเปนมนุษย การเกิดเปนเทวดา เปนการเกิดในภพของจิต แบบโอปปาติกะ- กําเนิด เกิดมาสมบูรณเปนหนุมเปนสาวเต็มรูปแบบทันที เกิดเปนเทพบุตร สุดหลอ เทพนารีสุดสวย แลวจะหลอจะสวยกันไปทําไม...? ก็เพ่ือความสุข มันสรางเทาท่ีมันพอใจ ไมใหดูทุเรศ เพราะความทุเรศน้ัน ยอมไมสามารถ นําความสุขมาใหได เราเช่ือวา ถาหนาตาเราดี หลอ สวย เราจะสามารถเอา ความหลอความสวยของเรา เปน เหย่ือลอ ลา เอาความสขุ มาใหไ ด ถา เราหลอ คนทีส่ วยๆ จะตองชอบเรา ถา เราสวย คนที่หลอๆ ก็ควร ชอบเรา เราเอาส่ิงน้ีมาเปนเหย่ือลอ เราอยากไดรางกายท่ีงดงาม เพ่ือเอามา เปนเหย่ือลอความสุข น่ันคือ สิ่งท่ีเราปรารถนาแทจริง คือความสุขตาม คุณคา ท่ีเรา (โง) ตั้งคาเอาไวตา งหาก เมื่อเราวิวัฒนาการไตเตาจนมาถึงจุดน้ี เราจะเวียนวายตายเกิดใน ๓๑ ภพภูมิ ต้ังแตพรหมโลก ทั้งรูปพรหมและอรูปพรหม สวรรคท้ัง ๖ ช้ัน โลกมนุษย สัตวเดรัจฉาน เปรต อสุรกาย แลวก็สัตวนรก ซ่ึงท้ังมนุษย และ สัตวเดรัจฉานนั้น จัดวาอยูในโลกธาตุเดียวกัน เพราะตางก็อาศัยธาตุท้ัง ๔ คือ ดิน น้ํา ลม ไฟ เชน เดียวกัน ซึ่งนอกจากความเปนมนุษยและสัตวเดรัจฉานแลว สัตวในภพภูมิ อืน่ ๆ ลว นแตเปนการเสวยผลทางจิต จากขอมูลที่ไมเปนกลาง ที่เคยมีเจตนา เปนกศุ ล หรอื อกศุ ล โดยตรง ใจซึ่งถูกครอบงําดวย โลภะ-ความโลภ โดยมีตัณหาราคะ ความ ทุรนรานทะยานอยากในกาม เปนแรงขับ ก็เปนเหตุใหตองไปเกิดเปน เปรต-สตั วท่ีมีแตค วามอดอยากหวิ โหยเปนสภาวะ พระภาสกร ภรู ิวฑฒฺ โน (ภาวไิ ล) 96 ผลบญุ คือกาํ ลงั ชีวิต

ใจซ่ึงถูกครอบงําดวย โมหะ-ความหลง ชนิดท่ีเห็นผิดเปนชอบ แบบลุมหลงมัวเมาลามก เห็นดีเปนช่ัว เห็นชั่วเปนดี เห็นของทรามเปนของ ประณีต เห็นของประณีตเปนของทราม ก็เปนเหตุใหตองไปเกิดเปน อสุรกาย - สัตวที่มีควายยินดีพอใจในการเสพส่ิงสกปรก อันบุคคลทั้งหลาย เหน็ วาเปนสิ่งปฏกิ ูล ใจซึ่งถูกครอบงําดว ย โทสะ-ความโกรธ และปฏฆิ ะ-ความครุน ขนุ เคือง ริษยา อาฆาตแคน เปนใจท่ีมีภาวะเรารอน เผาลน หมนไหม ก็เปนเหตุ ใหต องไปเกดิ เปน สัตวนรก - สัตวที่ตองไปเสวยทุกขเวทนาอยางแสนสาหัส ในนรกภมู ิ ใจซ่ึงถูกครอบงําดวย โมหะ-ความหลง จนเปนเหตุใหเกิดความ ไมต ัง้ มัน่ ในศลี ผไู มต ั้งมน่ั ในศีลยอมขาดความแกลวกลา ผไู มแ กลว กลา ยอม หวั่นไหวขลาดกลวั ใจทีม่ ีภาวะเชน น้ี กเ็ ปน เหตุใหตองลดระดับลงไปเกิดเปน สัตวเดรัจฉาน-ซ่ึงเปนภาวะแหงชีวิต อันถูกครอบงําดวยความกลัว ดํารง ชวี ิตอยดู ว ยความหวาด ระแวงภัย วันๆ หน่ึง ใจของเรากระเพ่ือมข้ึนลงมากนอยแคไหน บางทีก็คิดดี มีจิต เมตตา กรุณา ปรารถนาใหคนท้ังหลายรวมทั้งตนเองดวย มีความสุข และพนไปจากทุกข หรือบางคราวจิตก็มี มุทิตา โมทนาสาธุ พลอยยินดีกับ ความดีของใครๆ ที่ทําความดีในบารมี ๑๐ หรือในบางครั้งก็ใชปญญา พิจารณาหาเหตุผลในอารมณตางๆ ที่มากระทบ จนกระท่ังเห็นชัดในความ เปนจริง สามารถปลงวางไดเปน อเุ บกขา ขณะที่คิดดีอยางที่กลาวมานี้ เปนผู มใี จประเสริฐ คือเปน พรหม เมอ่ื ใดทีม่ คี วามละอายและเกรงกลวั ตอ บาป เมือ่ น้ันใจเปน เทวดา เมอ่ื ใดท่ีมีเจตนาไมเ บยี ดเบยี นตนเองและผอู ่นื ก็เปน มนษุ ย ใจของเราบันทึกขอมูลไปวันหน่ึงๆ ไมรูเทาไร และขอมูลเหลานี้ ลวนมอี ทิ ธพิ ลตอชีวิตของเรา สมดลุ โลก สมดุลใจ สมดุลธรรม 97 เร่อื งอจินไตย

ในขณะท่ีเรามีชีวิตอยู บางคราวถูก ไฟโทสะ คือความโกรธ เขามา แผดเผาใหเ รา รอ น อยางทีเ่ ขาเรียกวา “ตกนรกท้ังเปน” ซ่งึ ในขณะท่ีเรามีชีวิต อยูน้ัน ถึงจะตกนรก ก็เปนเพียงนรกในใจ ซึ่งคนทั้งหลาย ก็ดูเหมือนจะไม ยห่ี ระสักเทาใด แตอยาประมาท เพราะถา หากรางกายนี้เกิดแตกดับไปเมื่อไร แลวถึงจังหวะตองไปเสวยผลในนรกคราใด คราวนี้แหละ ที่มันจะกลายเปน นรกจริงๆ แลว ตอ งตกนรกจรงิ ๆ จะเอาไหม...? ปญหาก็คือ แลวเราจะระวังรักษาใจของเราอยางไร การรักษาใจ ของเราน้ัน ทําไดโดยการครองใจ ใหอยูในหลักของพรหมวิหาร ๔ ดวยใจที่ เปนกุศล และมองโลกในแงด.ี .. ประการที่ ๑ เมตตา ความรัก ความปรารถนาใหมีความสุข ถามวา เรารักตัวเองใชไหม เราอยากใหตัวเราเองมีความสุข ใชไหม คนอื่นเขาก็รัก ชวี ิต ปรารถนาอยากใหตัวเขาไดรับความสุข เชนเดียวกัน ถาเรารักตัวเรา คือ อยากใหตัวเรามีความสุข ถารักเขา ก็อยากใหเขามีความสุข นี่คือความหมาย ท่ีแทจรงิ ของคําวา รกั ความรกั ความเมตตา จะตององิ เขา กบั ความสขุ เสมอ ฉะนั้น พอมีศาสนาใดที่ชอบอา งถึงความรกั ใครๆ กพ็ ากันนิยม บาง ศาสนาถึงกับขายความรักอยา งเดียวเลยก็มี เพราะอะไร ก็เพราะใครๆ ก็ชอบ ความสขุ หรอื วามีใครทีไ่ มชอบความสขุ บาง... ถามหนอย... ประการท่ี ๒ กรุณา ความสงสาร ความปรารถนาที่จะใหพนไปจาก ทุกข... ฉันสงสารตัวเอง ก็แปลวา ฉันอยากใหตัวเองพนทุกข ฉันสงสารคุณ กแ็ ปลวา ฉนั อยากใหค ณุ พน ทกุ ข ถาบอกวา “นองสงสารคุณพ่ีจังเลย” แปลวาอะไร แปลวา “นอง อยากใหคุณพพี่ น ทกุ ขจ งั เลย” ใชไหม แลวท่ีวา “อยากใหคุณพี่พนทุกขจังเลย” แปลวาอะไร แปลวา “อยากใหค ณุ พมี่ ีความสุขจังเลย” ใชไ หม คําวาพน ทกุ ข ก็คือมสี ุขใชไ หม กแ็ ปลวา “นอ งรกั คุณพ่จี งั เลย” พระภาสกร ภูรวิ ฑฺฒโน (ภาวิไล) 98 ผลบญุ คอื กาํ ลังชีวิต

น่ีอยางไร จากความสงสาร กลายเปนความรัก ก็เพราะเหตุวา มันก็ คือของอยางเดียวกัน เหมือนกับเหรียญๆ เดียวกัน แตมีสองดาน คือดานหัว กบั ดานกอย จะเห็นไดวา ความรัก มักจะเกิดเพราะความสงสาร เพราะฉะนั้น จงเตือนตนไว อยาไดสงสารใครงายๆ ใจแข็งเขาไวๆๆ มันมาตื๊อเราทุกวัน มาคอยเราทกุ วนั มาสง เราทกุ วนั อยา ไดสงสารมนั เชยี ว สงสารมันเมื่อไร ก็จะ รักมนั เมือ่ นนั้ ... เม่อื ไมอ ยากจะรกั กอ็ ยา ไปสงสาร... ประการท่ี ๓ มุทิตา ความพลอยยินดี การที่เราจะมีความมุทิตา พลอยยนิ ดกี บั ตนเองและผอู ืน่ ได เพราะอะไร เพราะเรามั่นใจ และยอมรับใน กฎเกณฑข องธรรมชาติ กลาวคือ “กฎแหงกรรม” มั่นใจและยอมรับวา ทําดี ตองไดดี ทําชั่ว ตองไดชั่ว เม่ือใครทํา ความดี เขาจะตองไดดีอยางแนนอน เม่ือใครเขากําลังไดรับผล อันเปน ความสุข ความเจริญ หรือความกาวหนาใดๆ อยู นั่นตองเปนเพราะวา เขา เคยสรางคุณงามความดี อันเปน ตนเหตุมาแลว ในอดีต โมทนาสาธกุ ับเขา ทเ่ี ขาเคยทําความดมี าแลว ในอดีต โมทนาสาธุกับเขา ทเ่ี ขากําลังทําความดอี ยใู นปจ จุบัน ถา เรามีมุทติ าจิตอยอู ยางน้ี ใจของเราจะเปนกุศลไหม แนนอน ยอม เปนกุศล แทนที่จะเห็นเขาไดดี แลวไปนินทาวารายเขา เชน นี่เปนเพราะมัน เลียเจานายเกง มันถึงไดดิบไดดี อยางน้ันคือ ริษยา ไมอยากเห็นเขาไดดีกวา เปนลักษณะของจิตท่มี กี ิเลสเศราหมอง ขออยา ไดทํา ประการสุดทาย คือประการที่ ๔ อุเบกขา ความปลงใจวางเฉย เม่ือ เมตตาไมไหว กรณุ ากไ็ มได จะมทุ ิตาพลอยยนิ ดี ก็หาความดีมาโมทนาไมเจอ แลวมันจะเหลืออะไร มันก็ยอมเปนไปตามกรรม เพราะกรรมใหผลเปน ยตุ ิธรรม สมดลุ โลก สมดุลใจ สมดุลธรรม 99 เรือ่ งอจนิ ไตย

ฉะน้ันกรณีของศักด์ิ ปากรอ เม่ือถึงเวลาท่ีเขาจะตองถูกนําตัวไป ลงโทษลงทัณฑ มันก็เปนไปตามกรรมของเขา แตขอที อยาไดเผลอไปดีใจ อยาไปซ้ําเติมวา โดนไดเสียก็ดี อยางนี้ไมไดนะ มันเปนอกุศลจิต เขาเรียกวา โมทนาบาป โชครายทันที กลายเปนวาเราไปมีสวนรวมดวย ฉะน้ันในกรณี อยางน้ี ใหพิจารณาวา เออ... เขาเปนไป ตามกรรมของเขาแลว เขาทําเหตุมา จึงจะตองรับผล เพราะ กรรมใหผลเปนยุติธรรม ใจที่มีปญญา เห็นตาม ความเปนจริงแลวเชนน้ี จึงปลงใจเปน “อุเบกขา” วางเฉย วางใจเปนกลางได ดว ยความเขาใจ และนอ มยอมรบั ในสัจธรรม อารมณอ่ืนๆ ท่ีนอกเหนือไปจากน้ี หามเด็ดขาดเลย โกรธ เกลียด เคียดแคน ชิงชัง อิจฉา ริษยา ขจัดท้ิงไปใหหมด ขยะอารมณ มะเร็งอารมณ ท้งิ ไปใหห มด... ไมเอาอกี แลว ใหเหลือแตเพียงอารมณของใจ ในพรหมวิหาร คือเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เทานี้ก็เหลือท่ีจะพอ เพ่ือเปนการปกปองรักษา ใหขอมูลท่ีจะ ไหลเขามาสูใจเราน้ัน ใหเปนบวก เปนกุศลอยูเสมอ ยิ่งสามารถปลงใจ วาง เฉยเปน อุเบกขา ดว ยปญ ญาที่เหน็ แจง ได กจ็ ะยง่ิ ประเสริฐขึ้นไปอกี ฉะน้ัน เม่ือเราพิจารณากระแสแหงวิวัฒนาการ อันเปนไปตาม ครรลองของธรรมชาติ เราจะเห็นชีวิตในรูปแบบตางๆ มากมายมหาศาล ลองดูท่ีรังมดรังปลวก ไมใชวามดหรือปลวกทุกตัวจะเคยเปนคน บางสวน อาจจะเคยวิวัฒนาการถึงความเปนคน แลวก็ตกตํ่าลงมาจนกลายเปนปลวก บางสวนอาจจะเคยพัฒนาขึ้นไปเปนสัตวที่สูงกวาปลวก แลวก็ตกตํ่ากลับลง มาเปนปลวกอีก บางสว นกอ็ าจจะพ่ึงเริ่มวิวัฒนาการข้ึนมาถึงความเปนปลวก จากรูปแบบของชีวิตทต่ี า่ํ กวา ... แลวมันจะวิวฒั นาการไปถงึ ไหนกัน...? จาก สสาร ส่ิงท่ีไมมีชีวิต หรือ “พลังงานโง” ที่ปราศจากความรู ใดๆ แลวเร่ิมส่ังสม เรียนรู คอยๆ วิวัฒนาการขึ้นมา จนเปน “กึ่งธาตุรู” จาก กงึ่ ธาตุรู กว็ วิ ัฒนาการมาเปน “ธาตุรปู ฐมภูม”ิ ... พระภาสกร ภรู วิ ฑฺฒโน (ภาวไิ ล) 100 ผลบุญคอื กาํ ลงั ชวี ิต

จาก ธาตุรูปฐมภูมิ ก็วิวัฒนาการข้ึนมาจนเปน “ธาตุรู ที่เปนจิตของ มนษุ ย” จากธาตุรชู นดิ ที่เปนจิตของมนุษย ก็วิวัฒนาการตอข้ึนไป จนถึงท่ีสุด ของธาตรุ ู คอื “ธาตุรทู เ่ี ปน อิสระส้นิ เชงิ คือ จติ ของพระอรหันต” ในเมื่อการเกิดขึ้นของสรรพวัตถุ สรรพสัตว สรรพชีวิต ตลอดจนถึง มวลมนุษยในโลกน้ีน้ัน ลวนเปนไปตามครรลองของธรรมชาติ ฉะนั้นจึงเปน การสรปุ ไดวา “ไมมีพระเจา ผสู รา ง” แตถา หากวา มีใครทค่ี ดิ จะเรยี กธรรมชาติ และกฎของธรรมชาติวาเปนพระเจา ก็ไมขัดคอ แตก็ขอย้ําอยางหนักแนนใน ท่ีนี้วา “ไมมีพระเจา” ชนิดที่เปนตัวเปนตน มีรูปราง หรือคิดเปนตุเปนตะได แบบมนุษย ยอมไมมีทางเด็ดขาด เพราะส่ิงเหลานี้ มันก็เปนเพียงแค “กลไก ของธรรมชาติ” ก็เทา นนั้ เอง มองอีกมุมหนึ่ง ประหนึ่งวาเราเองก็เปนพระเจา เพราะกึ่งธาตุรูที่มี อยูในตัวเรา บางสวนก็วิวัฒนาการตอไป จนกลายเปนชีวิตใหม เปนธาตุรู ปฐมภูมิ แลววิวัฒนาการตอขึ้นไปเรื่อยๆ ฉะนั้น พวกเราเองน่ันแหละ คือ ผสู ราง เราทุกคนคอื พระเจา เพราะเปนผูใหก ําเนดิ ชวี ิตใหมๆ ได ฉะน้ัน ความคิดแบบพระเจาพระองคเดียวเปนผูสราง จึงเปน ความคิดท่ีไมคอยจะฉลาดสักเทาใด แตก็ชวยไมได เพราะโลกน้ี ยอมมีท่ีวาง สําหรับคนไม. .. เสมอ... ศาสนาท้ังหลายในโลก ก็คือที่อยูที่อาศัยของใจ... ใจอยูตรงไหน เปนสุข คิดอยางไรเปนสุข มันก็กลายเปนศาสนาขึ้นมา... ฉันคิดอยางนี้ ศรัทธาอยางน้ี เช่ืออยางนี้ แตฉันก็มีความสุข เม่ือเปนเชนนั้น พอใจเชนนั้น ยนื กรานเชน น้ัน กค็ งยังตองรอการพัฒนาในโอกาส ตอ ๆ ไป... แตกลไกของธรรมชาติก็เปนเชนนั้นเอง มันเกิดการเรียนรู และมี วิวัฒนาการข้ึนไป จนทายที่สุด เมื่อถึงความเปนมนุษย ทองเที่ยวไปในภพ นอยใหญ ข้ึนลงอยูกับพรหมโลก สวรรค มนุษย เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย และนรกชนั้ ตางๆ ทีร่ อ นเรา เผาไหม สมดุลโลก สมดลุ ใจ สมดุลธรรม 101 เรื่องอจินไตย

จนกระท่ังมีปญญาพิจารณาเห็นทุกขเห็นโทษ เกิดความเบ่ือหนาย จนถึงที่สุด ไมรูวาจะมาโงเงาทุกขรอนกับเรื่องเหลานี้ทําไม แมไดไปเกิดเปน เทวดา ก็เสวยสุขเด๋ียวเดียว เปนพรหม ก็เสวยสุขเดี๋ยวเดียว เปนมนุษย ก็ยัง เสวยสุขเด๋ียวเดียว แลวจะเปนไปเพ่ืออะไร...? ทายสุด มันก็จะดีดออก... ดีดออกจากวงจรแหงความรูผิดเห็นผิดทั้งหมด ที่เคยมีอุปาทานยึดถือใน ความเปนตัวตนเราเขา ท้ิงความเปนตัวกูของกู กลายเปนหนึ่งหนวยของ พลงั งานทเี่ ปน อิสระและทรงพลงั ดวยอํานาจปญ ญา ความรแู จง รูจบ บารมีทั้งหลายก็คือ การรู นั่นเอง รูในทาน ในศีล ในเนกขัมมะ ใน ปญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา นั่นคือพลังของการรู แลว รูแตกตางกันไหม ระดับพระพุทธเจา ทานจะตองรูมากกวาเรา ซ่ึงเปนสาวก สาวิกาอยางแนนอน เพราะฉะนั้น เวลาท่ีใครมีนิมิตไปเห็นพระพุทธเจาใน วาระตางๆ จึงไดเห็นพระองคปรากฏใหญโตมโหฬาร นั่นเพราะพลังแหง ความรูของพระองคนั้นเหลือประมาณ จะปรากฏใหเห็นอยางไรก็ได แต ความยดึ ม่ันในอตั ตาตัวตนเราเขาของพระองคทา นน้ัน ยอ มจะไมม ี หนึ่งหนวยของพลังงานท่ีพัฒนาไปสูความเปนอิสระแลว ยอมไม ตองการที่อยู ยอมบอกตําแหนง ขนาด ความสูง ตํ่า ดํา ขาวไมได แลวความ เปนตัวเปนตนจะอยทู ี่ไหน ทานทั้งหลายมีจิตไหม คุณมีจิตไหม ถาคุณมีจิต คิดนึกไตรตรองได ไหน... เอาจิตของคณุ วางใสม ือใหดูหนอยไดไ หม กไ็ มได แลวมนั มีน้ําหนัก มี สวนสูง บอกความเปนตัวเปนตนไดไหม ก็ไมได แตก็ยังมีอยู ใชไหม ใช... มันไมเคยสาบสูญหายไป จากทฤษฎีหรือกฎการอนุรักษของพลังงาน ก็คือ พลังงานยอมไมสูญหายไปจากโลก... จิต หรือธาตุรู ก็ไมสูญหายไป เชนเดียวกัน มันยังมีอยู แตไมไดเปนอัตตาตัวตน ไมสามารถอางอิงในความ เปนตัวเปนตนได พนจากภาวะท่ีเรียกวาเปนตัวตนเราเขา ไมมีความสําคัญ มน่ั หมาย วา ตวั ตนของฉัน ตองเปน อยา งนัน้ อยา งนี้ ช่อื น้ันชอื่ นี้ พระภาสกร ภูริวฑฒฺ โน (ภาวิไล) 102 ผลบญุ คือกําลงั ชวี ิต

เราเวียนวายตายเกิดมาแลวก่ีชาติ บางคนแคชาติน้ี ก็มีต้ังหลายชื่อ มันกค็ อื สัญญาอุปาทาน ท่ีเรายึดถือไวชวงหนึ่งเพื่อการใชงานเทาน้ัน แลวเรา ก็เปล่ียนบทบาทความเปนตัวตนของเราไป ฉะนั้นอัตตาตัวตนที่แทจริงของ เราน้นั มนั ยอมไมม ี วิวัฒนาการสูงสุดของชีวิตทางกายภาพ ก็คือการไดพัฒนาความรู จนสามารถเกิดเปนมนุษย วิวัฒนาการสูงสุดของชีวิตทางจิต ก็คือการเขาถึง พระนิพพาน กลายเปนพลังงานอิสระ ซ่ึงฉลาด ฉลาดจนไมยอมมารวมกับ ของหยาบ คือ ธาตุ ๔ ดนิ น้ํา ลม ไฟ อกี พระนิพพานจึงเปนความวาง วางจากความเห็นผิดในความเปน อัตตาตัวตนเราเขา และวางจากกิเลสท้ังหลาย นิพพานจึงเปนบรมสุข เพราะ ไมม ีอะไรท่จี ะมากอใหเกิดความทุกขไ ดอ ีก ฉะนั้น เม่ือไมมีความยึดถือในอารมณท้ังภายนอกและภายใน แลว อะไรจะเลา ทจ่ี ะมากระทบกระทง่ั กันจนกอ ทกุ ขไ ดอีก มันกไ็ มม.ี .. ทายที่สุดของวิวัฒนาการ ก็คือการเขาถึงพระนิพพาน ชีวิตทุกๆ ชีวิต ทายท่ีสุด หากมีเหตุปจจัยใหสามารถเรียนรูจนแจมแจง และจบกิจใน อริยสัจ ๔ ได และก็จะไปถึงพระนิพพานเหมือนกัน แตกตางกันท่ีจะชา หรือ จะเรว็ มากนอ ยตางกนั เทา น้นั ในอนาคต สสารตรงน้ี อิฐ หิน ดิน ทราย ตรงน้ี มันก็อาจแปรสภาพ ไปเปนพลังงาน จากพลังงานแลวก็วิวัฒนาการข้ึนไปเปนชีวิต เปนกึ่งธาตุรู เปนธาตุรูปฐมภูมิ แลววิวัฒนข้ึนไปอีก จนถึงความเปนมนุษย จนวันหนึ่ง ขางหนา กอ็ าจรูแ จง จนจบกิจ กลายเปน พระอรหันตเจา เปนพระพทุ ธเจา ดูเขาไปสิ คนท่ีเรารักในอนาคต อาจจะอยูที่น่ี ในหิน ดิน ทราย โตะ เกาอ้ี เหลา นี้ ตราบใดท่เี รายงั โงเงา ลุมหลง ยดึ มั่นถือมัน่ เวียนวายตายเกิดอยู ก็อาจจะตอ งไปหลงรกั ในกอ นหินดินทรายเหลา น้ี เขา สกั วัน สมดุลโลก สมดุลใจ สมดุลธรรม 103 เรื่องอจนิ ไตย

อีกนัยหน่ึง กวาท่ีเราจะมาถึงวันนี้ เราเวียนวายตายเกิดมาแลวไมรู เทาไร จะหวงหวงอะไรกันนักกันหนา ปานน้ี... คนที่เราเคยรัก เคยหลง มากมายกายกอง ทานอาจบรรลุมรรคผลนพิ พานลว งหนาไปกอนตง้ั นานแลว อาจจะดูเราอยูดวยความสลดสังเวชวา ทําไมถึงยังโงเงาอยู เม่ือไรถึงจะมา เมอื่ ไรจงึ จะหายโงสกั ที เอาละ ทั้งหมดท่ีพูดมาน้ี ก็เพ่ือจะใหเห็นธรรมชาติของชีวิต วามันมี ขบวนการอยา งไร มีวิวัฒนาการมาอยางไร แลวเราจะมาถึงจดุ น้ไี ดอยา งไร เมื่อไรก็ตามท่ีความเห็นผิดที่ยึดเราไวกับโลกน้ี ถูกทําลายดวย ความเห็นถูก การปรุงแตงขอมูลท้ังปวง ถูกปรุงแตงไปในทางที่ถูกตอง จนกระทั่งสละอุปาทานความยึดมั่นท้ังหลายออกไปได วันน้ัน เราก็จะถึง ความเปนอิสระอยางแทจริง ก็ขอใหทานท้ังหลาย ไดมีวิวัฒนาการไปใหถึง ทีส่ ุด คือบรรลุพระนพิ พานโดยเร็ว เพ่ือจะไดพน ไปจากทกุ ขท ้งั ปวง ขอจงไดรับความสาํ เร็จ ทุกทาน ทุกคนเทอญ เจริญพร... เอวัง พระภาสกร ภูริวฑฒฺ โน (ภาวไิ ล) 104 ผลบญุ คือกาํ ลงั ชวี ติ

คําถามวัดผล การอธบิ ายหลกั กฎแหงกรรม ดว ยทฤษฎี สมดุลโลก สมดลุ ใจ สมดลุ ธรรม ๑. กอนที่ทานจะอานหนังสือ สมดุลโลก สมดุลใจ สมดุลธรรม ทานมี ความเขาใจในเรือ่ งของกฎแหงกรรมเปนอยางไร ? ๒. หลงั จากที่ทา นไดอ า นหนังสอื เลมนแ้ี ลว ทา นมคี วามเขาใจในเรื่องของ กฎแหงกรรมดขี ้ึนไหม ? อยางไร ? ๓. หลังจากท่ีทานไดอานแลว ทานมีความเห็นในเรื่องของการใหทาน และผลของทาน เปน ประการใด ? ๔. ทานคิดวาการรักษาศีล จะมีสวนสนับสนุนหรือขัดขวางตอการรับผล ของกรรมหรอื ไม ? ๕. หลังจากอานหนังสือ สมดุลโลก สมดุลใจ สมดุลธรรมแลว ทานมี ความต้ังใจในการรกั ษาศลี เพมิ่ ข้นึ หรอื ไม อยางไร ? ๖. หลังจากอานหนังสือแลว ทานมีความเห็นอยางไร ในเรื่องของการ เวียนวายตายเกิด โลกหนา สวรรค นรก และภพภมู ติ างๆ ? ๗. กอนอานหนังสือเลมน้ี ทานมีความม่ันใจเพียงใด ตอการปฏิบัติเพ่ือ มรรค ผล นิพพาน ? ๘. หลังจากอานหนังสือน้ีแลว ทานคิดวา มรรค ผล นิพพาน เปนธรรมที่ เขาถึงไดในยคุ ปจจบุ นั นี้ หรือไม ? ๙. บัดนี้ทานมีเปาหมายสูงสุด เพ่ือกระทํา มรรค ผล นิพพาน ใหแจงใน ชาตปิ จ จบุ ันนแ้ี ลว หรอื ยงั ? สมดลุ โลก สมดลุ ใจ สมดุลธรรม 105 คาํ ถามวดั ผล

พระภาสกร ภรู ิวฑฒฺ โน (ภาวไิ ล) 106 ผลบญุ คือกาํ ลงั ชวี ติ

“พิธขี ออโหสกิ รรมใหญ เพ่อื ความไมประมาท” ตามนยั ของ พระอาจารยน พพร อาทิจฺจวํโส พระอาจารยน พพร อาทิจจฺ วโํ ส ไดแนะนาํ แกศิษยท ั้งหลายวา สาเหตุ หนง่ึ ที่ทําใหการปฏบิ ตั ธิ รรมเนน่ิ ชา ไมก าวหนาในเวลาที่ควรน้ัน อาจเปน เพราะวา ในอดีตเราอาจจะเคยประมาทพลาดพลั้ง กระทําลวงเกินตอ ทา นผูรู ผูม พี ระคณุ ผูทรงพระคณุ ความดี และบารมธี รรมทง้ั หลาย โดยเฉพาะอยา งย่ิง ในพระรตั นตรัย คอื พระพุทธ พระธรรม และพระอรยิ สงฆ ผูเปน อปั ปมาโณ บุคคล ยิง่ เราทาํ กรรมช่ัวกระทบกระทง่ั ผูรู ผทู รงพระคณุ ความดี มบี ารมธี รรม ระดับสงู มากข้นึ ไปเพียงใด ผลวิบากทจ่ี ะสะทอนกลบั มา กย็ อมรนุ แรงมาก ขึน้ ไปเทา นัน้ โดยเฉพาะอยางยิ่งจะปดบงั ตาปด บังใจเรา ไมใหเ กดิ ปญญารู ทั่วถึงธรรมตามเปน จรงิ ได เพ่ือเปนการเปดทาง และสรางเหตุใหเราสามารถบรรลุเขาถึงธรรม ไดโดยงาย และเพ่ือใหเกิดสัปปายะ ความสบายรวดเร็วในการปฏิบัติธรรม ทั้งยังเปนความไมประมาท ท่ีพระพุทธเจาทั้งหลายทรงยกยองสรรเสริญ จึง ควรที่เราท้ังหลายจะไดมีการทําพิธี “ขออโหสิกรรม เพ่ือความไมประมาท” ตอ กรรมทงั้ หลายท้งั ปวงทีเ่ ราทานอาจจะไดเคยลวงเกนิ ตอ ทา นฯ มา ใครจะรูวาในอดีต หรือภพชาติที่ผานพนไปแลวนั้น เราอาจจะเคย พลาดพล้ังลวงเกินไปอยางใดบาง จึงควรที่เราทานท้ังหลายจะไดปฏิบัติตาม ที่พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจาทรงตักเตือนพุทธบริษัท เปนปจฉิมโอวาทวา “สังขารท้ังหลาย มีความเส่ือมไปเปนธรรมดา ทานท้ังหลายจงยังกิจทั้งปวง อันเปนประโยชนต นและประโยชนทา น ใหบริบูรณด วยความไมป ระมาทเถดิ ” สมดุลโลก สมดลุ ใจ สมดลุ ธรรม 107 พิธีขออโหสกิ รรมใหญ

ดังน้ัน โดยตั้งใจทําพิธี “ขออโหสิกรรม” ในกรรมทั้งหลายท่ีเราอาจ เคยกระทําไวเหลาน้ัน เพ่ือยังความไมประมาท ทรมานกิเลส และพัฒนาให เรากลาหาญตอความจริง และเหตุผลที่ถูกตองชอบธรรม โดยความออนนอม เปนเหตุใหเปนบุคคลที่พึงประสงค เปนที่รัก ทั้งยังเปนการบรรเทาโทษ และ ทกุ ขภยั ใหล ดนอยลงดวย ดังทเี่ ราจะไดกลาวคาํ ขมา ขออโหสิกรรมตอไป หมายเหตุ ทานพระอาจารยนพพรฯ ไดเมตตาแนะนําใหทําพิธีนี้ ในวันพระใหญ เชน วิสาขบูชา มาฆบูชา หรือในวันมหาปวารณา (ออกพรรษา) โดยนยั ทีว่ า เปน วันทพ่ี ระทง้ั หลาย ทา นมาประชมุ พรอ มเพรียงกัน พรอมท่ีจะ วากลา วตกั เตอื น ใหอ ภัย ใหอโหสิกรรม แกก นั และกัน ชมุ นมุ เทวดา (สัคเค กาเม...)1 นะโม ๓ จบ ไตรสรณาคมณ (พทุ ธงั สรณัง คัจฉามิ...) สมาทานศีล (ปาณาตปิ าตา...) โมทนาสาธุๆๆ กับ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา ทกุ ๆ พระองค โมทนาสาธๆุ ๆ กบั พระธรรมเจา ทกุ ๆ พระองค โมทนาสาธุๆๆ กบั พระอริยสงั ฆเจา ทกุ ๆ พระองค โมทนาสาธๆุ ๆ กับ พระปจเจกพทุ ธเจา ทกุ ๆ พระองค โมทนาสาธๆุ ๆ กับ พระอคั รสาวกเจา ทกุ ๆ พระองค โมทนาสาธๆุ ๆ กบั พระอสีตมิ หาสาวกเจา ทกุ ๆ พระองค โมทนาสาธๆุ ๆ กบั พระอรหนั ตสาวกเจา ทกุ ๆ พระองค ขอพระบรมพุทธานุญาติ ขอพระองคทรงประทานพระวโรกาส ใหขาพระพุทธเจาและคณะ พรอมดวยพรหมเทพเทวดาท้ังหลาย สรรพสัตว ทง้ั หลาย สรรพเจา กรรมนายเวรทัง้ หลาย ไดท ําพธิ ขี ออโหสกิ รรม 1 หาไดจากหนงั สอื สวดมนต หรือมนตพิธี ท่วั ๆ ไป ผลบุญคือกาํ ลังชีวติ พระภาสกร ภรู ิวฑฒฺ โน (ภาวิไล) 108

ในกรรมท้ังหลายท้ังปวง ที่ขาพเจาท้ังหลาย ไดเคยประมาทลวงเกิน แกองคพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจา พระธรรมเจา พระอริยสังฆเจา ทานผู ทรงพระคุณความดี และบารมีธรรมทั้งหลาย ดวยกายก็ดี ดวยวาจาก็ดี หรือแมดวยใจก็ดี นับแตอดีตทุกอสงไขยทุกกัปทุกกัลป จนถึงปจจุบันชาติ เพ่ือความหมดเวรสิ้นกรรม เพ่ือมรรค ผล นิพพาน และความวิมุติหลุดพน ไดโ ดยงา ย ในฉับพลันนด้ี วยเทอญ. นะโม ๓ จบ ๑. สัมมาสัมพุทโธ ปะมาเทนะ + ทวฺ ารตั ตะเยนะ กะตงั สัพพัง อะปะราธงั ขะมะตุ โน ภนั เต. ๒. สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ปะมาเทนะ + ... ๓. สปุ ะฏปิ นโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ ปะมาเทนะ + ... ๔. รตั นะตะเย ปะมาเทนะ + ... ๕. สังโฆ อริยสังโฆ ปะมาเทนะ + ... ๖. เถเร มะหาเถเร ปะมาเทนะ + ... ๗. ทานบารมี ทานอุปบารมี ทานปรมัตถบารมี ศีลบารมี ศีลอุปบารมี ศีลปรมัตถบารมี เนกขัมมะบารมี เนกขัมมะอุปบารมี เนกขัมมะ- ปรมัตถบารมี ปญญาบารมี ปญญาอุปบารมี ปญญาปรมัตถบารมี วริ ยิ ะบารมี วิริยะอปุ บารมี วิริยะปรมัตถบารมี ขันติบารมี ขันติอุปบารมี ขันติปรมัตถบารมี สัจจะบารมี สัจจะอุปบารมี สัจจะปรมัตถบารมี อธิษฐานบารมี อธิษฐานอุปบารมี อธิษฐานปรมัตถบารมี เมตตาบารมี เมตตาอุปบารมี เมตตาปรมัตถบารมี อุเบกขาบารมี อุเบกขาอุปบารมี อเุ บกขาปรมตั ถบารมี ญาณะสัมปนโน ปะมาเทนะ + ... ๘. ญาณวิมุติบารมี ญาณวิมุติอุปบารมี ญาณวิมุติปรมัตถบารมี ญาณะ- สัมปนโน ปะมาเทนะ + ... สมดุลโลก สมดลุ ใจ สมดลุ ธรรม 109 พิธีขออโหสิกรรมใหญ

๙. มรรค-ผล-นิพพาน บารมี มรรค-ผล-นิพพาน อุปบารมี มรรค-ผล- นพิ พาน ปรมตั ถบารมี ญาณะสมั ปน โน ปะมาเทนะ + ... ๑๐. ครุ ุ อาจะรเิ ย ปะมาเทนะ + ... ๑๑. มาตาปต ะเร ปะมาเทนะ + ... โมทนาสาธุ โมทนาสาธุ โมทนาสาธุ ขอใหพระสัมมาสัมพุทธเจาทุกๆ พระองค พระธรรมเจาทุกๆ พระองค พระอริยสังฆเจาทุกๆ พระองค พระปจเจกพุทธเจาทุกๆ พระองค พระอัครสาวกเจาทุกๆ พระองค พระอสีติมหาสาวกเจาทุกๆ พระองค พระ- อรหันตสาวกเจาทุกๆ พระองค บารมีธรรมทั้งหลาย อุปชฌา ครู อาจารย ท้ังหลาย บิดามารดา และทานผูมีพระคุณทั้งหลาย ญาติสนิท มิตรสหาย ท้ังหลาย สรรพเจากรรมนายเวรท้ังหลาย สรรพสัตว สรรพวิญญาณทั้งหลาย นับแต ๑๖ อสงไขยแสนกัลปจนถึงปจจุบันชาติ จงเมตตาใหอโหสิกรรมแก ขาพเจา และใหอโหสิกรรมแกก ันและกนั เทอญ • ขอจงอโหสๆิ ๆ • ขอใหห มดเวรสิน้ กรรมๆๆ • ขอใหกรรมทง้ั หลายทง้ั ปวงจงเปน อโหสๆิ ๆ • ขอใหวบิ ากกรรมชว่ั ท้งั หลายท้ังปวง จงยตุ ิการสงผลๆๆ • ขอใหว บิ ากกรรมดที งั้ หลายทง้ั ปวง จงสง ผลสําเร็จๆๆ • นบั แตบดั นีเ้ ปนตน ไป ตราบเทา เขาสูพระนิพพานดวยเทอญ. • โมทนาสาธๆุ ๆ • ขอใหสาํ เรจ็ มรรค ผล นิพพาน ในชาติปจ จบุ ันน้เี ทอญ. พระภาสกร ภูรวิ ฑฺฒโน (ภาวิไล) 110 ผลบญุ คอื กาํ ลงั ชีวติ

พิธปี ระกาศใหอ โหสิกรรม “ขาพระพุทธเจาทั้งหลาย ขออาราธนา พระสัมมาสัมพุทธเจาทุกๆ พระองค พระธรรมเจาทุกๆ พระองค พระอริยะสังฆเจาทุกๆ พระองค พระปจเจกพุทธเจาทุกๆ พระองค พระอรหันตสาวกเจาทุกๆ พระองค ทานทาวพระยายมราช ทานทาวจตุโลกบาล และพระสยามเทวาธิราชทุกๆ พระองค ขอจงโปรดเมตตากรุณา เสด็จมาเปนสักขีพยาน และรวมโมทนา ในการใหอโหสิกรรม แกกันและกัน และแกผูเคยลวงเกิน ตอขาพระพุทธเจา มาแลว ท้งั หลายทั้งปวง ในทกุ กปั ทกุ กัลป ทกุ อสงไขย จนถงึ ปจ จบุ นั ชาต.ิ .. ขาพระพุทธเจาทั้งหลาย ขอประกาศใหอโหสิกรรม แกตัวขาพเจาเอง ตลอดจนถึง พอแมพ่ีนอง ปูยาตายาย ลุงปานาอา บุตรธิดา ภรรยาสามี ลูกหลานเหลนท้ังหลาย ญาติมิตรสหายท้ังหลาย หมูคณะผูรวมงานทั้งหลาย คูแขงคูคา คูรักคูแคน คูบุญคูกรรมท้ังหลาย ครูบาอาจารยทั้งหลาย อุปชฌายอาจารยทั้งหลาย ตลอดจนพรหมเทพเทวดา มนุษย สรรพสัตว สรรพวิญญาณ สรรพเจากรรมนายเวร ท้ังหลายทั้งปวง ทุกทานทุกพระองค ท่เี คยเขน ฆา ทํารายรังแก ปลนจ้ีลักขโมย เบียดบังยักยอก ขมขืน ผิดประเวณี โกหกหลอกลวง ตมตุน คดโกง ตระบัดสัตย หักหลัง ทรยศ อกตัญู เสียดสี ดาวา บังคับฝนใจ ใหกินเหลาเมายา ทั้งแกตัวขาพเจาเอง หรือแมในบุคคล และส่ิงท่ีขาพเจารักหวงแหน ไมวาในชาตินี้ภพนี้ หรือในภพชาติใดๆ ก็ตาม ในทกุ กัปทกุ กลั ป ทกุ อสงไขย ทั้งเจตนาหรือไมเจตนา ทั้งตอหนาและลับหลัง ทั้งที่รูและไมรู อันเปนเหตุใหขาพเจาทั้งหลาย ทุกขกายก็ดี ทุกขใจก็ดี ขาพเจา ขออโหสกิ รรม และใหอโหสกิ รรมแกทานทั้งหลายทั้งปวง จนหมดส้ิน ตง้ั แตบดั น้ี ตราบเทา เขาสูพ ระนพิ พาน สมดุลโลก สมดุลใจ สมดลุ ธรรม 111 พิธขี ออโหสิกรรมใหญ

การอาฆาตพยาบาท สาปแชง จองเวรจองกรรมใดๆ ท่ีขาพเจาได เคยประกาศไว หรือผูกใจเก็บไว ในชาตินี้ภพน้ี หรือในภพชาติใดๆ ก็ตาม ขาพเจาใหอโหสิกรรม ยกเลิก ใหเปนโมฆะทั้งส้ิน เพื่อใหหมดเวรสิ้นกรรม ตอกนั และกัน นับแตบ ัดนี้ ตราบจนถึงพระนพิ พาน ขอใหเราทานท้ังหลาย ที่อยูพรอมหนากันในท่ีน้ี ตลอดจนพอซื้อแม ซื้อ พอเกิดแมเกิด พรหมเทพเทวดา ที่ปกปกรักษาขาพเจาทั้งหลาย จง ทราบวา บัดนี้ขาพเจาท้ังหลาย ไดใหอโหสิกรรม แกกันและกันแลว และจะ ไมเอาการกระทาํ ทง้ั หลายในอดตี มาเปนเหตุ ทาํ ราย ทําลาย หรือเบียดเบียน ซึ่งกัน และกนั อกี ตอไป ขาพระพุทธเจาทั้งหลาย ขอโมทนาความดี กับ สมเด็จพระสัมมา- สัมพุทธเจาทุกๆ พระองค พระธรรมเจาทุกๆ พระองค พระอริยะสังฆเจา ทุกๆ พระองค พระปจ เจกพทุ ธเจา ทกุ ๆ พระองค พระอรหันตสาวกเจาทุกๆ พระองค ทา นทาวพระยายมราช ทา นทา วจตุโลกบาล และพระสยาม- เทวาธิ ราชทุกๆ พระองค ท่ีโปรดเมตตากรุณา เสด็จมาเปนสักขีพยาน ในการให อโหสิกรรม ของขา พระพุทธเจาท้ังหลาย โมทนาสาธุ ๆๆ ดวยอานิสงสแหงการใหอโหสิกรรมน้ี ขอใหเจากรรมนายเวร ทั้งหลายท้ังปวงของขาพเจา จงกรุณาใหอโหสิกรรมแกขาพระพุทธเจา โดยงา ยเทอญ โมทนาสาธุ ๆๆ • ขอใหกรรมทัง้ หลายท้ังปวงจงเปนอโหสิ (๓ ครัง้ ) • ขอใหวบิ ากกรรมช่ัวท้ังหลายท้ังปวง จงยุติการสง ผล (๓ ครงั้ ) • ขอใหว บิ ากกรรมดที งั้ หลายทง้ั ปวง จงสงผลสําเร็จ (๓ ครง้ั ) โมทนาสาธุ ๆๆ • ขอใหข า พเจา พรอ มดวยพรหมเทพเทวดา สรรพสัตวสรรพวิญญาณ สรรพเจากรรมนายเวรทั้งหลายท้ังปวง จงสําเร็จมรรค ผล นิพพาน ในชาตปิ จจบุ ัน โดยเรว็ พลนั เทอญ. พระภาสกร ภูรวิ ฑฒฺ โน (ภาวิไล) 112 ผลบญุ คอื กําลังชีวติ

คาํ สมาทานศีล และหิริโอตตปั ปะ ศีลนํามาซึ่งความสุข ศีลนํามาซ่ึงโภคทรัพย ศีลนํามาซ่ึงพระนิพพาน ผูใด ประสงคค วามเจรญิ ในชวี ติ พึงดํารงความเปนปกติ ดวยตงั้ เจตนาแนวแน สมาทาน วิรัติรักษาศีล ๕ ดวยตนเองทุกเชา-คํ่า และในระหวางวันใหมีใจจดจออยูกับศีล คอยตรวจดูวา ตนไดเผอเรอลวงศีลขอใดบางหรือไม ถาไม ก็จงโมทนาสาธุกับ ตนเอง ที่รักษาศีลไวไดเปนอันดี ถาระลึกไดวาพลาด ทําผิดศีลไป ใหรูตัวและ สํานึกผิด ขออโหสิกรรมตอผูไดรับความเดือดรอนเสียหายจากการกระทําของเรา แลวทบทวนสมาทานศลี ใหมทง้ั ๕ ขอ ทุกครง้ั ไป บทสมาทานศีล ๕ และหริ ิโอตตัปปะ (ยอ ) พทุ โธ ธัมโม สงั โฆ ศีลขอ ๑ ไมฆาสัตว, ศีลขอ ๒ ไมลักทรัพย, ศีลขอ ๓ ไมประพฤติผิดในกาม, ศลี ขอ ๔ ไมพดู เท็จ, ศลี ขอ ๕ ไมด ม่ื สรุ าและของมนึ เมา บัดนข้ี าพเจา... ตงั้ ใจรักษาศีลแลว, บัดนข้ี าพเจา ... คือผมู ีศีล, ขา พเจา ผูม ศี ีล ละอาย ตอการทําความชั่ว, กลัว ตอ ผลของบาปกรรม, ขาพเจา ผูมีศลี มีหิรโิ อตตัปปะ, มีกายเปน มนุษย มีใจเปน เทวดา, เปนมนุสสเทโว, เขา ถึงความเปน สหาย กบั เหลาเทวดาทง้ั หลาย, ขอเทวดาท้งั หลาย ผูเปน สหายของขา พเจา จงปกปองคมุ ครองรักษา ใหขา พระพทุ ธเจา... และ... (อธิษฐานตามอัธยาศัย และสมควรแกเ หต)ุ เชน …จงเดินทางโดยสวสั ดิภาพ …จงไดรับความสําเร็จในการติดตอ การงาน …จงขายดิบขายดมี กี าํ ไรในการคา …จงเขา ถงึ มรรค ผล นพิ พาน ในชาติปจ จุบันโดยเร็วพลนั เทอญ. พระภาสกร ภรู วิ ฑฺฒโน (ภาวิไล) ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ สมดุลโลก สมดุลใจ สมดลุ ธรรม 113 ศรัทธารวมพมิ พ

ศรทั ธารว มกองทนุ ธรรมวหิ าร พิมพหนังสือผลบญุ ฯ เผยแผเปน ธรรมทาน คร้ังท่ี ๒๒ รายละ 36,500 บาท ๑๑๑))) ยอดเงนิ เหลือจากการพมิ พ Karma คร้งั ท่ี ๕ ครัง้ ที่ ๒ รายละ 15,000 บาท คณะผูรว มโครงการมหาทานกับ ธ.ธรรมรกั ษ รายละ 12,000 บาท มูลนธิ ิเตมิ น้าํ ใจใหสงั คม รายละ 10,000 บาท ๑) ดร.สุธี-คุณหญิงพยอม สิงหเ สนห ลกู หลาน ๒) ธราเทพ- จรราาุฑยยาลลทะะปิ -55,ด,70.00ช00.อบบภาาิฐททา๑ม๑)ณ)ภโี วูวชงดตศิทิ ว๓วภิ )งาษมเวนทันตพรหี เัสกดษินมสณขุ อยธุ ยา ๒) กนกรตั น ปย ะเนตธิ รรม ครอบครัว ๓) สริ ิกร อมฤตวารนิ ครอบครัว ๔) สนุ ทรี จรรโลงบตุ ร ครอบครวั ๕) มยุรี สรุ ิยพงษ ๖) อธิชา ฉนั ทวานชิ ๗) วรชาติ-รวีรัตน- ณัฏฐชยั คูหริ ัญรตั น ๘) นฐั วุธ โรจนพนั ธกลุ ๙) ปรชี า ตรรกพงศ ๑๐) พษิ ณุ สวางเนตร ๑๑) บัญชา จงไพศาล, ฟอง หงไทย 4,500 ๑๑)) รายละ 4,000 บาท ศมริาลิภยัรณปจ เลจศิทุ อธรไุ รณวงศ, วิบลู ย วิสทุ ธิไกรสหี  และลกู ๆ รายละ บาท รายละ 3,000 บาท ๑) พไิ ล สาทรสัมฤทธิ์ผล 222,,,570000000บบบาาาททท๑๑๑)) เส)พมพชพรรละจคนิ สรดวุ ศู ราิรรศปิณรรเนี ยิจาตัดตยี ยานศุ าสตร รายละ เลขาเจาคณะจงั หวดั เชียงใหม รายละ รายละ วัดศรโี สดา ๒) บุญราศี สวัสดิสุข ๓) อ.ฉัตรดนัย บุญเรอื ง ภาควิชาฟสกิ ส และวสั ดศุ าสตร คณะวทิ ยาศาสตร ม.เชียงใหม ๔) พงศธร-วิไลภรณ มนพู พิ ัฒนพงศ ๕) นราวดี- ณัฐธนนท จิวากานนั ต ๖) เกษมสุข-อรญั ญา นิมมานเกียรติกุล และลูก ๗) สายศกั ด์-ิ อษุ า อังควะนิช ๘) สทิ ธิชยั จลุ สิงห ครอบครวั ๙) งามพร พัฒนพริ ุฬหกิต ๑๐) รรนาาติ ยยิกลลฤะะต11ย,,76ก00ิต00ตบบศิ าารททวี ร๑๑น))นั โสทยาค,ยคีฝ–มนยสตวุนั ั้งพตใทุจ์ิ บตธญุ ร๐งช๓,ุมวใรจชอาตทุ ิ ศิโฆควรนิ อู วาิพจาฒั รยนศ าสตรแหง ตวั เลข 11,,530000บบาาทท๑๑) บ) งัออรรนชุชวนลม้ิบเุญทียมเจริญ รายละ ๒) จนท รพ.ละแม , อบต.สวนแตง รายละ อ.ละแม จ.ชมุ พร พระภาสกร ภูรวิ ฑฒฺ โน (ภาวิไล) 114 ผลบุญคอื กาํ ลงั ชีวิต

รายละ 11,,200000บบาทาท๑)๑น) ิวคตั นั สศมรขันราตชี สอ งดาว ๒) บญุ ครบ-แสนสขุ สุวรรณเทน ๓) รายละ วิภานนั ท- มงคลชัย-ด.ญ.ธญั พร-ด.ช.ธนโชติ สาระรตั น ๔) ณฐั วี สสี ัน ๕) ชนานาถ บุญธนนิตย ๖) กญราพตนิ ริ ธักุษก,ารณุณชิ พสมกั ตยั รเ อ๗ื้อ)ธรตรังมกวยุ ิทยแาซผ๑ู ๐ค)รอฐบิตคารรยีัว-เลวศิฒุ อิพดุ นั มธพ-ุ ฤกธนษวาฒั ๘น) สรัณยุ ๙) ผอ ง เคเอ ๑๑) บญุ เลิศ-น้าํ หน่ึง ศรปี ระเสรฐิ ยิ่ง ๑๒) กนกนันท ธานินทรปฐมรฐั ๑๓) ธนกฤต เพชรโลหะกลุ ๑๔) เพลนิ พศิ วิสูง ๑๕) เอ่ียมชยั จรรยาเมธากุล ๑๖) พ.อ.ณฏั ฐ เทียนทองดี ๑๗) ตรงใจ ทรรพวสุ ๑๘) พัชรนิ ทร ทรงเจรญิ ๑๙) ปฐมพร แพฟน ๒๐) พวงรตั น สองเมอื ง ๒๑) กรพนิ ธุ การณุ พักตร ๒๒) ราศี จนั ทรางกูร และบุตร ๒๓) สุชาติ ฉตั รวัฒนากลุ ครอบครวั ๒๔) สุวทิ ย วิบลู ยเ ศรษฐ ๒๕) กัลยากร ปุณยปภาวาณชิ ย, ฉด่ํา.ญผวิ.ปร๒ยิ ๖า)กรลดัจุลดศาวกั ัลดยศิ์ - รพีสลกพุลัฒ๒น๘ )อศรา.กมิตเรตอื คิ งุณสกดลุ ร.๒ร๗ะว)ี-อศไุ รศวนิ รนัรณท ภาวิไล ครอบครวั ๒๙) อ.วัฒนา-ศิริเพญ็ ภาวไิ ล ครอบครัว ๓๐) รศ.นพ.ดาํ รง-จนั ทริ า ภาวไิ ล ครอบครวั รายละ 900 บาท ๑) อ.ดิลกา ไตรไพบลู ย 800 บาท ๑) รายละ 600 บาท น๑ง)เยคาวรออบินคลรอวั งศ๒ัก)ดคส์ิ งณาะวเงทษค, โนทโศลวยรกีรษารเกปษญตญรามแก.รว าช๒ภฏั) ลเําอปชาไงลฟ รายละ แอสชวั รนั ซ บจก. ๓) เกรยี งศกั ดิ์ ครัดทัพ ๔) คณะศรทั ธา กฟผ. 500 อบมั าพทร๑ส)ัพพโรส้มิ ๖พ)ร,บ๒ุญ)ขสนรษิ อฐย มวกุรวดิทา,ยา๓น)นภทคั ๗ธีม)าศรศาคิชสณุ องงาดมาวพ๔งศ)ศ มีลลวฤตั ดรี รายละ ๕) วงศธ ัม ๘) สมศกั ดิ์-มนธิดา แสงเรืองเอก ๙) จริ าทพิ ย บญุ ธนนิตย ๑๐) สุกัญญา โชตกิ สถติ ๑๑) นพิ นธ-ปยะนารถ ตัง้ ไพบูลย ๑๒) กันทมิ า รัชฎาวรรณพงษ ๑๓) วรวุฒิ-บุญขนษิ ฐ วรวิทยานนท ๑๔) คมสันติ์ บญุ ชมุ ใจ Phra Max Visudho Klein ๑๕) ยุพาศรี ศริ ิโพธิส์ กุล ๑๖) สดุ า หงษทอง ๑๗) พิเชษฐ- ขจติ ศรี เมตตาจติ ร ๑๘) จรูญศกั ด-์ิ โสภา-ณพงศ- ณชนก ลีวฒุ นิ นั ท ๑๙) รตั นาภรณ คชพรรณ ๒๐) สมเกยี รต-ิ ศยามล นติ ิพงศส ุวรรณ ๒๒วง๕๑ศ))ธอติภรโิมู รรณิทจศันพน,ง ษวติทสรเะุทลกธคลูิรรัก๒งุษ๙๒๒)๒๖)บ)รดพิลาไิ เรลลาี่ยชคนแู าสแบงพา๒ลคโ๗ลอ) ิโ๒นว๓ลิตูช)ิพ่นั กรฤใบบษจเณตกยา.,บ๒ชญุ๘า)ชนูคล๒ร-๔อลบ)ิตคปาร-รวั ะดมส.าญงนค.สั ล โสลลถดโติ ทา, ภูรีวรานนท ครอบครัว รายละ 400 บาท ๑) ชาญแข-ปย ธดิ า-เบญจาภา-รชั พนั ธุ ชชั วาลย ๒) เสาวนยี  สฤษดชิ ยั นนั ทา สมดลุ โลก สมดลุ ใจ สมดุลธรรม 115 ศรทั ธารว มพิมพ

รายละ 300 บาท ๑) ทองไทย สิงหสุข ครอบครวั ๒) เรณู โฆวาสินธุ, พิชญส ิน-ี พชั รภทั ร บุญเจมิ ๓) ไมระบนุ าม ๔) พัสวี ศภุ มาตย ๕) พรพิมล ภาณทุ ตั ครอบครัว รโ๖ตา)กยทสลุภอะงาคพ20ําร0๑เ๐ทบ)วาาจทนเรฤ๑-มอ)าติ ฉรริยันกาทลุ ปน๗าาจ)สริยพัคารโนสอนบ๒ทค)ร๑วั ๑ชมุ\")รพวะิมรว-ินลศ\"แภุ ล๘ละ)คักพรษอาณบณคีกศรอัวิรนปคระําภดาี ๓๙)) พรทิพย พรทิพย ราชสองดาว ๔) ปญชลดิ า วะนะสขุ ๕) ภนาดร ศลี ะวงศเ สรี ๖) ธวลั รัตน ศลี ะวงศเ สรี ๗) เอือ้ อังกูร จริ ะธนพรชัย ๘) ผุสดี เพิ่มธรรมสิน, ลาํ เภาพันธ ลรี พนั ธ ๙) ชาญรพ- ธรCรสัตานมaยตพsใลsจิกล,-ะาPธล1hชัน-0iยั ยฉm0วพตั าkบนรรaณาิชeสทoกรุวุลงCร๑ครa) ๑ณsศsป๓รห,ใีา)Mงจรสมอiสkนิยี ๑ุวaทชั๐ทMรร)อ,าaงธrออัชiจนeนิธุนรันทSพรตรaมิจ, Cาออบรaินดุวณsรทมsพุโส๑ส๑พิถ๖ภ๔าัฒ)ณพ)นสราพชธ๑ธยันง๑นศสา)ี เิทขท๑ตัธจพ๕์ิตฑุ )-๒ิโาภยภC)าทูมhนสยัrิ ุวุชiรsชิาัตtตญoนิp ารhสณอeินนิrเกหS๑ยีวe๒ราaงตn),ิ ครอบครัว ๓) ศราวฒุ -ิ รชั ดาพร สายรอด ๔) ถิรดา ทลั ดาํ มุล ๕) มัทยาภรณ จนั ทศร ๖) กจิ วฒั นาถวลิ ๗) สญั ชัย สัพโส ๘) พัชราวไล-พัชราภรณ แกว ปล่งั , วา ทร่ี อ ยตรนี กุ ลู ชูแกว ๙) ณัฐพงศ วชิ ยั ชมพ,ู สธุ ดิ า คาํ ปน ปู ๑๐) ศรีเพญ็ สิงหแกว ๑๑) ณฐั ภัทร- ณัฐฐกิ านต ครูบา ๑๒) คริษฐา-ดสิ พงษ-พนิ ธิรา-เมริษา ยอดมณฑป ๑๓) นพ.สมรัตน จารลุ ักษณานันท ๑๔) แลนซ เบรกเดน ๑๕) รงั สรรค ศรดี าวเรือง ๑๖) กนกนาถ พพิ ฒั นมงคล, นพสทิ ธ-ิ์ อทิ ธพิ งค เธียรไชยวรรณ ๑๗) สมาน มธรุ ส ๑๘) มารวย, ชว ยสวัสดี ๑๙) จําลอง ภมู ิวเิ ศษ ๒๐) อารยิ า ปาจรยิ านนท ๒๑) อรณุ หมอนองิ ๒๒) กญั กร ตีระไชย ๒๓) ยุทธพล ดาํ รงชืน่ สกุล ๒๔) มานพ กปต กยั ๒๕) แดง-เกศมณี ใจจันทร ๒๖) สุพิชญาภัค ศรพี ระจันทร ๒๗) วิไล อนสุ รณน รการ ๒๘) เฉลมิ ศร-ี สณมัฐศวุฒกั ดิ สิ์ ลมิม้ร,ศวริ ริลรกั ษษมณน ๒วง๙ศ)ส วุ อรภริชณา ต๓๒ส)จั จนะติ วยงษา ช๓ริน๐ท) รศาุภวฒุกาิ ๓ญ๓จน) สติรันิพตรรราณภรกณลอ ๓มจ๑ิต) ๓๔) เบญจวลั ย จนั ทรปรรณิก ๓๕) กนกพร อณุ เอกลาภ ๓๖) นธิ ิมา ไชยยานนท ๓๗) ฉตั รชยั วิบลู ยส ิทธโิ ชค ๓๘) สมชาย คํ้ายงั ๓๙) ธรัชตฐา ธนสุธพี ันธุ ๔๐) กนกรัตน ดา นกุลชยั ๔๑) ผจก. ธ.กสิกรไทย พนั ธุทิพย ๔๒) จรูญ-ทัศนยี  ตาทอง ๔รา๓ย)ลพะ ีร5ะ0พบลาทคะ๑ช)าบปญุระชสางตคิ ๔ภ๔ูม)ิวิเพศลษ.ต๒.)วรี ชะัยศวกั ัฒดนิ์ ล- อพมิชวยงาษภ ร๔ณ๕-)ธชัญวธลรติ บวญัิมลญศตั ลิ ศิ ปรสี กลุ รวมเปนเงินทั้งสิน้ 260,000.00 บาท ไดหนังสอื เปน จํานวน 28,000 เลม พระภาสกร ภูรวิ ฑฺฒโน (ภาวิไล) 116 ผลบญุ คอื กําลังชีวติ

ประวัตผิ ูเขยี น ชอ่ื : พระภาสกร ภาวไิ ล ฉายา ภูริวฑฺฒโน ชอื่ เดมิ นิรนั ดร ภาวไิ ล วนั เดือน ปเ กดิ : วนั พฤหัสบดที ่ี ๒๘ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๐๔ ณ แคนเบอรา ออสเตรเลยี : เปนบตุ รของ ศ.กติ ติคณุ ดร.ระวี ภาวไิ ล และนางอุไรวรรณ ภาวิไล บรรพชา อปุ สมบท : พ.ศ. ๒๕๑๕, ๒๕๑๗ บรรพชาสามเณรภาคฤดรู อน ณ วัดชลประทานรังสฤษฏ นนทบรุ ี โดยมพี ระธรรมโกศาจารย (ปญญานนั ทภิกขุ) เปนพระอุปช ฌาย : วันจนั ทรท่ี ๒๖ กมุ ภาพันธ พ.ศ. ๒๕๓๙ อปุ สมบท ณ วดั คุณแมจันทร แขวงประเวศ กทม. โดยมี สมเดจ็ พระญาณวโรดม (ประยูร สนตฺ งกฺ โุ ร) วดั เทพศริ ินทราวาส กทม. เปนพระอปุ ช ฌาย การศึกษา : พ.ศ. ๒๕๒๒ สําเรจ็ ชนั้ มธั ยมศึกษาปที่ ๕ จากโรงเรยี นสาธติ จฬุ าฯ : พ.ศ. ๒๕๒๖ สาํ เรจ็ ชั้นปริญญาตรี วทิ ยาศาสตรบ ณั ฑติ สาขาฟสกิ ส จากคณะวทิ ยาศาสตร จุฬาลงกรณมหาวทิ ยาลยั : พ.ศ. ๒๕๔๒ สอบไลไดน กั ธรรมชั้นเอก สํานักเรยี นจังหวัดเชยี งใหม ประสบการณ : พ.ศ. ๒๕๓๐-๒๕๓๘ ผจู ดั การบริษัทพิคเจอร โพรเจค จํากัด ใหบ รกิ าร ถายภาพบคุ คล และภาพโฆษณา ปจจุบนั : พ.ศ. ๒๕๔๔-ปจ จบุ นั ผอู ํานวยการธรรมสถาน มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม : พ.ศ. ๒๕๕๓-ปจจบุ นั ประธานมูลนธิ ิธรรมวหิ าร พระภาสกร ภูริวฑฒฺ โน ภาวไิ ล : เสนอวทิ ยานพิ นธ “การศกึ ษาวเิ คราะหกฎแหงกรรม และยทุ ธวธิ นี าํ เสนอแก คนรุน ใหม” ม. มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วทิ ยาเขตเชียงใหม สมดุลโลก สมดุลใจ สมดุลธรรม 117 ประวัติผเู ขยี น

ขอความเมตตาจากทา นผูอาน โปรดตอบคําถามวดั ผล การอธิบายกฎแหงกรรม หรอื ใหคาํ วจิ ารณ และขอเสนอแนะเกี่ยวกับหนังสอื เลมนี้ มายงั พระภาสกร ภรู ิวฑฺฒโน (ภาวไิ ล) ธรรมสถานมหาวิทยาลยั เชียงใหม (วัดฝายหิน มช.) 67 หมู 1 บ.ฝายหิน ถ.สเุ ทพ ต.สุเทพ อ.เมอื ง จ.เชียงใหม 50200 โทร. (053) 943684 E-mail: [email protected] โมทนาสาธุ โมทนาสาธุ โมทนาสาธุ พระภาสกร ภูรวิ ฑฺฒโน (ภาวิไล) 118 ผลบุญคือกาํ ลงั ชีวิต




Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook