Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ผลบุญคือ กำลังชีวิต

ผลบุญคือ กำลังชีวิต

Published by thiwadon jirapunyo, 2021-09-24 11:55:01

Description: พระภาสกร ภูริวฑฺฒโน (ภาวิไล).

Search

Read the Text Version

เพราะโลกเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใด โลกยอมคืนกลับมาสูเรา เทากบั ความเปลีย่ นแปลงที่โลกไดรบั เสมอ ทําอยางไร จึงจะทําใหโลกเปลี่ยนแปลงไปในทางบวกไดมากๆ นั่น คือคําถามท่ีเราจะตองหาคําตอบ ตองหานาบุญท่ีดีเอาเอง แมแตการทําบุญ ในส่ิงที่เปนสาธารณะประโยชน ที่กอประโยชนตอชุมชน ก็ไดผลบุญมาก... ทาํ บุญสรางโรงเรยี นดีไหม สรางโรงพยาบาลดไี หม... ดี... ดีเพราะอะไร เพราะโรงพยาบาลนั้น ชวยรักษาพยาบาล ตออายุ ใหชีวิตกับคนท้ังหลาย แตก็ยังดีไมเต็มรอย ที่ไมเต็มรอย เพราะขึ้นอยูวา ไปตอชีวิตใครเขา ถาตอชีวิตคนท่ีดีมีคุณประโยชน เขาก็ไปทําความดี ไปทํา ประโยชนตอ แตถาไปตอชีวิตคนช่ัวหรือโจรเขา แลวเขาไปทําความชั่วตอ เราก็จะพลอยมีสว นดว ย ฉะนั้นความดีที่เกิดจากการสรางโรงพยาบาล ไปตอชีวิตท้ังคนดี และคนช่ัว มันก็เลยหักลางกัน ความดีจึงออนกําลัง ไมคอยเต็มที่ เพราะเหตุ ทนี่ าบุญนนั้ ยังไมใชดีแท ฉะน้ันปจจัยจึงอยูท่ีวา เรานั้นไดนาบุญประเภทไหน อยางไร... ในพระไตรปฎกมีเรื่องเลาวา มีเทวดาอยู ๒ องค องคหนึ่งทําบุญใน พระพุทธศาสนา ในสมัยท่ีโลกน้ีมีพระพุทธศาสนาเกิดขึ้น คือยังมีพระ อรยิ บคุ คล ผเู ปน นาบญุ ท่ีแทจรงิ ดํารงอยู สมดุลโลก สมดุลใจ สมดุลธรรม 39 สมดลุ โลก

ผลก็คือ เมื่อจุติจากความเปนมนุษย มาปฏิสนธิเปนเทวดาแลว ก็มี อานิสงสใหเปนเทวดาท่ีมีศักด์ิใหญ มีทิพยวิมาน ทิพยสมบัติ แลบริวารอีก มากมาย ท้ังยงั มรี ศั มเี ปลงสวา งไปไกล แตเทวดาอีกองคหนึ่ง ซึ่งไดเคยทําบุญอยางใหญโต ในสมัยที่ ปราศจากพระพทุ ธศาสนา ซึ่งแนนอนวา ในสมัยน้ันไมมีพระอริยบุคคลอยาง แนนอน1 เมื่อไมมีนาบุญที่ดีพอ ผลท่ีเกิดขึ้น แมจะไดรับอานิสงสของความดี ไปเกิดเปนเทวดาเหมือนกัน แตถึงเวลาที่มีการประชุมในเทวสภา อยางเชน การมาฟงธรรมของพระพุทธเจา ก็ตองถอยไปอยูทายแถว ดวยมีศักดิ์ศรี บารมีสูเขาไมไ ด นีเ้ ปนกรณีตวั อยาง ท่ผี านมามีสองประเดน็ ท่สี าํ คัญ ๑) เราตองรักษาศีล โดยไมทําบาป หรือส่ิงที่เปนการกระทบโลก ในทางลบ จึงไมต องรบั ผลในทางลบ คือความโชครา ย หรอื ความซวย ๒) เราตองพยายามทําบุญ คือความดี โดยมีนาบุญท่ีดี มาขยายบุญ ของเราใหกระทบโลกมากยิ่งข้ึน เราจึงไดรับผลในทางบวก คือความโชคดี หรือเฮงย่งิ ขน้ึ 1 ยุคทว่ี างเปลา จากพระพทุ ธเจา อาจมีพระปจเจกพุทธเจา มาตรัสรไู ด แตกย็ ากท่จี ะ ไดพ บเจอ พระภาสกร ภูรวิ ฑฺฒโน (ภาวิไล) 40 ผลบุญคือกําลังชีวติ

จะทาํ อยา งไร กับกรรมชัว่ ท่เี ราเคยทาํ เอาไว ? นอกจากประเด็นท้ังสองดังกลาวแลว มีอีกประเด็นหน่ึงท่ีสําคัญ เปนประเด็นที่ ๓ น่ันคือ กรรมชั่วที่เราทานท้ังหลาย ไดเคยกระทําไวในอดีต ซึ่งเราไมสามารถยอนเวลากลับไปในอดีต แลวบอกวา “หยุด! อยาทํานะ อยาไปฆาเขา อยาไปขโมยของๆ เขา อยาไปผิดลูกเมียเขา อยาโกหกเขา อยากินเหลา” เรากลับไปหยุดสิ่งท่ีเราทําไปแลวไมได เพราะส่ิงเหลาน้ันเรา ไดท ําไปแลว และสง ผลกระทบโลกไปแลว สมมุติวา โยมผูชายคนหน่ึง กับอาตมา ซ่ึงเรียนมาดวยกัน โดยสมัย ที่เปนนักเรียน อาตมาไดทํารายชกตอยเขาไว ทําใหเขาไมพอใจ มาถึงวันน้ี อาตมาไดบวชถวายชีวิตในพระพุทธศาสนา รักษาศีล ๒๒๗ โดยมีผากาสาว- พสั ตรเ ปนอาภรณ ถาวันนี้อาตมาอนุญาตใหเขาชกตอยทํารายคืน และทานเปนโยม ผูชายคนนั้น ทานจะชกตอย ทําราย เอาคืนกับอาตมาไหม? คงไมทํา... แลว ทําไมถึงไมทํา นั่นเปนเพราะบทบาท หนาที่ และคุณคาของบุคคลที่ได เปล่ียนแปลงไป ไมใ ชหรอื ? อีกตัวอยางหน่ึง สมมุติวา โยมผูหญิงสองคนน้ีเปนเพ่ือนกันมา ตั้งแตเปนนักเรียน ในสมัยนั้นโยมคนหน่ึงแกลงเพ่ือนแรงไปหนอย ผลัก เพื่อนหกลมกระแทกพ้ืน ฟนรวงไปหน่ึงซ่ี เปนเหตุใหเพ่ือนโกรธแคนมาก ถึงกับประกาศวา “จะตองแกแ คนใหไ ด” เวลาผานไปแลว ๒๐ กวาป ความแคนก็ยังฝงใจ คร้ันถึงปจจุบัน ปรากฏวา โยมผูหญิงที่แกลงเพื่อนแรงไปหนอยนั้น ปจจุบันเปนถึง สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของไทย (ภรรยาทานนายกรัฐมนตรี) และสมมุติวา วันนี้มีการเลี้ยงฉลองทานนายกรัฐมนตรีคนใหม มีตํารวจอารักขาเต็มไป หมด ในขณะเดียวกัน โยมผูหญิงอีกทานหนึ่ง ซ่ึงเคยถูกผลักลมจนฟนหัก สมัยท่เี ปนนักเรียน กม็ าในงานเลีย้ งดว ย แตม าในฐานะนักขาว สมดุลโลก สมดลุ ใจ สมดลุ ธรรม 41 สมดุลโลก

ครั้นนักขาวหญิง เจอกันเขากับเพ่ือนเกา ซึ่งปจจุบันเปนสุภาพสตรี หมายเลขหนึ่ง ขอถามวา จะไปทักทายกบั ทา นผหู ญงิ อยา งไร จะเดนิ เขา ไปแก แคน ผลักใหลมกระแทกพ้ืนจนฟนรวงดีไหม ? หรือจะพูดวา “ทานผูหญิงขา ยินดดี วยคะ จําดิฉันไดไหมคะ เราเคยเปนเพ่ือนกัน สมัยที่อยูโรงเรียน” ทาน ผูหญิงถามวา “ออ ไมคิดจะแกแคนแลวหรือ” นักขาวตอบ “โถ! ไมเปนไร หรอกคะ เรื่องเลก็ ๆ นอ ยๆ สมัยเด็กๆ นะ ดิฉันลืมไปหมดแลวคะ ” แตถาสมมุติวา โยมผูหญิงที่เปนฝายแกลงเพ่ือนแรงไปหนอยนั้น ไมไดเปนสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง แตดันเปนนักขาวเหมือนกัน แถมทํางาน กับสํานักขาวที่เปนคูแขงกันดวย คราวนี้ถาเจอกัน จะตบตีกันจนฟนกระเด็น ไหม แนนอน เพราะราคาเดยี วกัน คา ตัวเทากนั แลวอะไรเลาที่เปล่ียนไป ที่เปลี่ยนไปก็คือ คุณคาของบุคคล ที่มี ตอโลกหรือตอสังคม เม่ือคุณคาเปล่ียนไป ผลกรรมที่เคยใหญโต ก็กลับ กลายเล็กลงได แทนท่ีจะถูกผลักคืนจนหกลมฟนกระเด็น ก็กลับเปนการ ทกั ทาย จ๋ีๆ จา ๆ กันใหญ เพราะอะไร เพราะคา ตัวเปล่ียนไป จํากรณีของ องคุลิมาล ทเ่ี กริ่นไวต ้ังแตแรกไดไหม องคุลิมาล นั้นฆา คนไปมากเทาไร ? องคุลิมาล ฆาคนไปมากกวาพันคน เพราะอาจารยส่ังให ไปฆาคนใหครบหน่ึงพันคน แตรอบแรก ฆาไปมากๆ ก็เกิดสับสน จนจํา ไมไดวาฆาไปแลวเทาไร ภายหลังจึงนับใหม โดยตัดเอาน้ิวมือของเหยื่อมา รอยเปนพวงมาลัย จนไดฉายาวา “โจรองคุลิมาล” ซ่ึงแปลวา “โจรผูมีน้ิวเปน มาลัย” ฉะน้ัน เหยื่อผูประสบเคราะหกรรมจาก โจรองคุลิมาล ตองมีมากกวา พันคนแนๆ เพราะถงึ วนั ทพ่ี ระพุทธเจาเสด็จไปโปรดนั้น ก็ยังขาดอยูเพียงนิ้ว เดยี ว จะครบจาํ นวนพันน้ิวแลว ในกรณีของ องคุลิมาล น้ี ถาถูกจับไดในฐานะที่เปนโจร คือถูก พระเจาปเสนทิโกศล เอากองทหารมาลอมจับ ถามวา... จะเกิดอะไรขึ้นกับ โจรองคุลมิ าล ? พระภาสกร ภูริวฑฒฺ โน (ภาวิไล) 42 ผลบุญคือกําลังชวี ติ

แนนอน ส่ิงที่จะเกิดขึ้นกับ องคุลิมาล ก็คือ กรรมของการฆาคนพัน กวา คน บวกดวยดอกเบ้ียของการฆาคนทั้งหลายเหลานั้น... อาว! แลวอยูดีๆ ก็มดี อกเบี้ยงอกขึน้ มา น่ีหมายความวาอยา งไร ? ลองนึกดู ถาวันนี้ทานอยูที่สหรัฐอเมริกา แลวพลาดพล้ังขับรถชน คนตาย จะเกิดอะไรขึ้น ศาลอเมริกันจะเปรียบเทียบปรับ โดยดูวา หากผูตาย น้ันมีชีวิตอยูต อ ไป ควรมีอายุไดสักเทาไร และจะสรางรายไดใหกับครอบครัว ของเขาเทาไร เวลาปรับ จะคิดเรียบรอยเลยวา รายไดท่ีหายไปเพราะคนๆ น้ี ตายจากไป จนถึงอายุสักหกเจ็ดสิบปนี่เทาไร เขาก็จะปรับเปนเงินเทาน้ัน นี่อยางไร เขาบวกดอกเบยี้ เสรจ็ เรียบรอย กรรมทั้งหลายจึงมีดอกเบ้ีย เพราะเหตุคือความเสียหาย หรือ การกระทบโลก อนั งอกเงยขนึ้ ตามกาลเวลาที่ลวงไปน่นั เอง อยา ลืมวา องคลุ มิ าลฆาคนไปมากมาย ผูท่ีลมหายตายจากไป ควรจะ หารายได คือเงินทองเขาบานเขาครอบครัว ย่ิงตายจากไปนานเทาไร ครอบครวั ก็ยิง่ สญู เสยี มากข้ึนเทานนั้ อนั นีค้ อื ดอกเบ้ยี ท่ตี องบวกเขาไปดวย ดังนั้นถาองคุลิมาลถูกจับไดในฐานะโจร จะตองถูกทารุณกรรม ใหสาสมกับการฆาฟนทํารายคนไปพันกวาคน บวกดวยดอกเบี้ยของกรรม เหลาน้ัน แลวองคุลิมาลในฐานะนักโทษ จะตองพบกับอะไร... ถูกโบยตี เฆี่ยนดวยแส เอาไฟลน แลเน้ือ เกลือทา ตัดหัว เสียบประจาน เรียกวา ทารุณสดุ ๆ ใหสาสมกับกรรมช่วั ทฆ่ี าคนไปพันกวา คน รวมทัง้ ดอกเบี้ย เรอื่ งกรรมมีดอกเบยี้ น้ี ตอ งเนนใหชัดเจน เพราะสามารถนําไปตอบ คาํ ถามท่ชี วนสงสยั ในเรอ่ื งของกฎแหงกรรมไดเ ปนอยางดี เชน ในหนังสือกฎแหงกรรมของ ท. เลียงพิบูลย ไดเลาไววา มีอยูกรณี หน่งึ คุณแมจดั งานบวชลกู ชาย แตเงินไมพอใสซองทําบุญกับพระอันดับที่มา รวมสวด จึงขอยืมเงินเพ่ือนมาหนึ่งบาท คิดวาหลังจากบวชลูกชายเสร็จแลว จะใชค ืนให แตยงั ไมท นั คืน กด็ วนตายเสยี กอน และดว ยเหตทุ ตี่ ิดหนี้ คางเงิน เขาอยูเพียงแคบาทเดียว ทําใหตองกลับไปเกิดเปนวัวเปนควาย ทํางานหนัก ตลอดชีวติ ใชห น้ีเขา สมดลุ โลก สมดุลใจ สมดลุ ธรรม 43 สมดุลโลก

ทําไม... ติดหน้ีเพียงเล็กนอย บาทสองบาท แตเวลาใชคืน ตอง กลบั ไปเกิดเปนวัวเปน ควาย ทํางานชดใชหน้ี ฟงดูนาสงสยั ถามาวิเคราะหจากหลัก “ดอกเบ้ียของกรรม” คือ กวาจะเวียนวาย ตายเกิด กลับมาเจอกันอีกรอบหนึ่ง ไมรูวาวันเวลา ผานลวงไปแลวเทาไร ไมรูวาก่ีตอก่ีชาติ อาจเปนแสนเปนลานป กวาจะไดเกิดมาเจอกัน ระยะเวลา เปนแสนๆ ป เงินบาทเดียว อาจมีดอกเบี้ยงอกเงย จนกระท่ังตองไปเกิด เปนวัวเปน ควายใชหนเี้ ขา ก็เปน ได องคุลิมาล จัดวาเปนคนที่โชคดีท่ีสุดคนหน่ึงในประวัติศาสตร ของ มนษุ ยชาติเลยก็วา ได โชคดอี ยางน้ี... ขณะท่อี งคลุ มิ าลกําลงั เปนโจร ทําความช่ัว คนที่ทําความช่ัว กําลังทํา ผิดศีล ก็คือคนทุศีล คนทุศีลนั้นมีคาตัวเทาไร เทากับ ๑ แตครั้นเมื่อถึงคราว องคุลิมาล กําลังไดรับผลของกรรม ซ่ึงเปนขณะที่ไดบวชเปนพระภิกษุใน พระบวรพุทธศาสนาแลว และบรรลุธรรมเปนพระอรหันตแลวดวย คาตัว ขององคลุ ิมาลจงึ เพิม่ ข้ึน จาก ๑ ขึ้นไปเปน ๑ ลานลาน ฉะน้ันผลวิบากท่ีเกิดจากการฆาคนไปพันกวาคน บวกกับดอกเบ้ีย ของกรรมของการฆาคนเหลานั้น แตทานมีคาตัวในความเปนพระอรหันต เทากับ ๑ ลานลาน แลวเอามาหารกับผลวิบาก ฉะน้ันผลลัพธท่ีเหลืออยู... จงึ เหลอื เพียงเศษกรรม คือ ถกู ปาหวั แตก เทานั้น กรรม = กรรม + ดอกเบ้ยี เวลา (ของการฆาคนไป ๑,xxx คน) (ของการฆา คนไป ๑,xxx คน) ๑ ลานลา น ๑ (คา ตวั ของพระอรหันต) (คา ตวั คนทศุ ีล) พระภาสกร ภรู วิ ฑฒฺ โน (ภาวไิ ล) 44 ผลบญุ คอื กําลงั ชีวิต

น่ีคือคําตอบวา เหตุใดพระองคุลิมาล เมื่อเดินไปบิณฑบาตใน หมูบานแลว หากมีใครขวางปานกหนูหรือหมูหมา แมไมมีเจตนาท่ีจะ ขวางปา ไปยังทาน ก็มักจะลอยมาตกกระทบศีรษะทาน จนหัวแตกเลือดอาบ กลับวัด นี่เปนเศษกรรมท่ีหลงเหลือจากการฆาคนพันกวาคน บวกดอกเบี้ย แลว แตม คี า ตัวลานลานมาหาร จงึ เหลอื ผลลพั ธแ คหัวแตก ถาเปนพระอรหันตที่มาจากปุถุชนคนธรรมดา ซึ่งอาจเคยทําผิดศีล เชน ฆาเปดฆาไกบาง เล็กๆ นอยๆ ตัวสองตัว อะไรตางๆ ครั้นพอพัฒนา ข้ึนมาจนถึงความเปนพระอรหันต มีคาตัว ๑ ลานลาน ลองคิดดูวา กรรมของ ทานที่เคยฆาไกไป ๒ ตัว บวกดอกเบ้ียกรรมของการฆาไก ๒ ตัวน้ัน หารดวย ๑ ลานลาน แนนอนผลของมันยอมเขาไปใกลศูนย คือ จุด ศูนยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ไก ๒ ตัวบวกกับดอกเบี้ย ซึ่งสามารถปดเศษไดเลย วาเทากับศูนย น่ันคือ กรรมของการฆาไก ๒ ตัวนั้น เกือบไมแสดงผลเลย ซึ่ง โดยสัมพัทธแลว จะถือวา เปน ศนู ยก ไ็ ด เรื่องกรรม ในสวนของ สมดุลโลกน้ันเปนสัมพัทธ เพื่อให เห็นภาพตรงนี้ชัดขึ้น ดูตรงนี้ สมมุติ วาเรายืนอยูดีๆ แลวก็มีเด็กนอยว่ิง มาเตะกนเรา เราจะโมโหเด็กไหม... ที่บังอาจลบหลูผูใหญ ฉะน้ันเอ็งตอง เจออยางน้ี เราคิดในใจวา จะตองเตะ เด็กนอยคนนี้ ใหกระเด็นกล้ิง หลุนๆๆ เปนลูกฟุตบอล และเราก็ ไดว่ิงตามไปจนทัน จับตัวเด็กนอย เอาไว แลวต้ังทาจะเตะเด็กนอยให สมแคน สมดลุ โลก สมดลุ ใจ สมดุลธรรม 45 สมดลุ โลก

แตใ นบัดดล ทีเ่ รากาํ ลังเตะเด็กนอยอยางสุดแรงสุดกําลัง อยางท่ีเรา ตองการจะเตะ แต อาว! ไหนกลายเปนยักษไปแลว เมื่อเด็กนอยกลายเปน ยักษไปแลว เด็กนอยจะเจบ็ ไหม? โดยสัมพัทธแลวเด็กก็ไมเจ็บ ท้ังๆ ที่เรายังเตะหนักและแรงเทาเดิม เพราะเดก็ นอ ยไดกลายเปนยักษแ ลว จึงไมร ูสึกเจ็บ กรณีองคุลิมาลก็เชนกัน จาก ๑ กลายเปน ๑ ลานลาน คาตัวเปลี่ยนไป เปน ลานลา นน่ี มันกค็ ือจากเดก็ แลว กลายเปน ยกั ษน ่ันเอง ชัดเจนไหม ? ยอนกลับมาดูตัวเราบาง ขณะที่เราทําความช่ัว ทําผิดศีล ๕ เราคือ ผูทุศีล คาตัวเราคือ ๑ ใชไหม ไมวาจะฆาเขา ขโมยเขา โกงเขา อะไรตางๆ ถาถึงวันที่กรรมชั่วยอนกลับมาใหผล แตขณะนั้นเราไดสมาทานศีล ๕ แลว คาตัวของเราในขณะท่ีมีศีล จึงเทากับกัลยาณชน คือมีคาเพิ่มข้ึนเปน ๑๐๐ เทาของปุถุชน เอา ๑๐๐ น้ีแหละ มาหารผลกรรม นั่นคือ กรรม + ดอกเบ้ีย มี ๑๐๐ มาเปนตัวหาร จึงทําใหผลกรรมน้ัน ลดลงไปถึงรอยเทา ทานวาคุมคา ไหมละ กบั การสมาทานวิรตั ใิ นศลี ถาวันนั้นกรรมบวกดอกเบ้ีย จะสงผลใหถึงตาย แตเราไดสมาทาน ศีลไวแลว เราจึงมี ๑๐๐ เปนตัวหาร กรรมน้ันก็อาจสงผลไดเพียงแคพิการ ถาวันน้ันกรรมบวกดอกเบี้ย จะสงผลใหพิการ เราอาจจะแคบาดเจ็บสาหัส สามารถรกั ษาใหหายได ถาเราจะตองบาดเจ็บสาหัสชนิดที่ยังรักษาใหหายได เราอาจจะแคแขนขาหักใสเฝอกกลับบานได ถาเราจะตองแขนขาหักใสเฝอก เราอาจจะแคถลอกปอกเปก ถาเราจะตองถลอกปอกเปก ก็อาจจะแคฟกช้ํา ดําเขยี ว ถา เราจะตองฟกช้าํ ดําเขียว กอ็ าจเปนเพียงแครอยแมวขวน หรือไมก็ ไมเปนอะไรเลย น่ีไง คุมหรือเปลาละ กับการสมาทานศีล อยางท่ีอาตมภาพ ไดเ สนอแนะไวต ง้ั แตแรก... พุทโธ ธัมโม สังโฆ... ศีลขอ ๑ หามฆาสัตว ศีลขอ ๒ หามลัก ทรัพย ศีลขอ ๓ หามประพฤติผิดในกาม ศีลขอ ๔ หามพูดเท็จ ศีลขอ ๕ หา มดืม่ สุราและของมึนเมา... พระภาสกร ภรู วิ ฑฒฺ โน (ภาวไิ ล) 46 ผลบญุ คือกําลังชีวติ

ฟงดูเหมือนเด็กๆ ไมเทเลย แตมีคามหาศาล คานั้นเริ่มตนจากใจ ของเรา เปล่ียนคาตัวของเราจาก ปุถุชน คือ ๑ รอย ข้ึนไปเปน กัลยาณชน คาตัว ๑ หม่ืน นี่อยางไร จากผูไมรักษาศีล เปนผูรักษาศีล คาตัวเพ่ิมขึ้นตั้ง ๑๐๐ เทา ถากรรมเดิมจะมาสงผลในขณะท่ีเราเปนปุถุชน แตเราไดสมาทานศีล ๕ ยกระดับขนึ้ มาเปนกัลยาณชนแลว เราจึงมี ๑๐๐ ไวมาหารผลกรรม คุมเหลือ คุม นะ จะบอกให. .. แลวทําไมตองสมาทานศีล ๔ กอนทานเหลา ท่ีใหสมาทาน เพราะ เห็นวา ยังมีความดีอยูต้ัง ๔ ขอ ยอมกรองผลกรรมไปไดในระดับหน่ึงใชไหม ๔ ใน ๕ ขอ อาจจะไดต้ัง ๘๐ ก็ได ดังน้ันมี ๘๐ เอามาหาร ก็ยังดีกวาไมมีอะไร มาหารเลย มีคนถามวา กรณขี องพระโมคคัลลานะ ที่ถูกหมูโจรกลุมรุมทุบตีเอา จนตาย ทําไมเม่ือทานไดธรรมะเปนพระอรหันตแลว มีคาตัวต้ัง ๑ ลานลาน เอามาหารผลกรรม ทําไมยังตองถกู ทบุ ตถี งึ แกค วามตาย อยอู ีกเลา ... ขอตอบโดยหลักวา เปนผลมาจากกรรมในอดีตชาติ ท่ีทานเคยมี เจตนาท่ีจะทํามาตุฆาตปตุฆาต ปลอมตัวเปนโจรมาทํารายทุบตีบิดามารดา ของตนจนเจียนตาย ซึ่งถาถึงตาย ก็จะเปนอนันตริยกรรม อันใหผลรุนแรง ทส่ี ุด ซงึ่ แมใ นชาตสิ ุดทา ยนี้ ที่ทา นมารบั ผลวิบากของกรรมนัน้ คาตัวของทา น คือ ๑ ลานลาน ก็จริงอยู แต ๑ ลานลานน้ัน เมื่อนํามาหารกับผลวิบากของ กรรม ที่ไดมีเจตนาท่ีจะทํามาตุฆาตปตุฆาตในอดีตชาติ แมจะไมสําเร็จเปน อนันตรยิ กรรม แตกย็ งั สง ผลรุนแรง ขนาดที่หารดวยคาตัวของความเปน พระอรหันต คอื ๑ ลา นลา นแลว ก็ยังตองเอารางกายของทาน แมในชาติสุดทาย มาใหหมูโจรทุบตี จนแหลก เหลว ถึงกบั ตองละสังขารเขา สพู ระนิพพาน หมดสิน้ วิบากกรรมตอกันในชาติ สดุ ทาย อยา งไรก็ตาม พระโมคคัลลานะก็เปนพระอรหันต เปนผูมีโชค เปนผู รอดแลว จากปวงทกุ ขแหงการเวยี นวายตายเกดิ สมดลุ โลก สมดลุ ใจ สมดลุ ธรรม 47 สมดลุ โลก

ตามประวัติ ทานสามารถเหาะหนีพวกโจรไปไดตั้งสองสามคร้ัง แต ทานพิจารณาเห็นวา กรรมน้ันทานเปนผูกอไว สมควรตองเสวยผล ทานจึง ยอมรบั และเสวยผลกรรมของทานไป แตอยางพวกเรานั้น ไมเคยฆาพอฆาแม หรือทําอนันตริยกรรมแต อยางใด มีแตกรรมเล็กๆ นอยๆ ถาโชคดีมีบุญวาสนา ไดบรรลุธรรมเปน พระอรหันต เอา ๑ ลานลานมาหาร ผลวิบากท่ีเหลือจึงนอยเสียจนถือไดวา เทากับศูนย ดังนั้นเราจึงพบวา พระอรหันตสวนใหญ กรรมของทานจึงดู เหมือนวา จะไมส งผลวิบากอีกเลย กรรมของพระอรหันต อยางท่ีทานบอกวาเปนอโหสิกรรมนั้น จงึ เปนอโหสิกรรมโดย “สัมพัทธ” ประหนึง่ วาเจา หนีท้ ัง้ หลายไดย กหน้ใี ห แตในความเปนจริง เจาหน้ีทั้งหลาย สวนใหญก็ยังไมไดยกหนี้ให แตดวยมีคาตัว คือคุณคาแหงความเปนพระอรหันต ๑ ลานลาน มาเปน ตัวหาร ผลกรรมดังกลาวนั้นจึงไดเบาบาง จืดจางลง จนถือไดวาเปน อโหสกิ รรม ชนดิ ที่ยตุ ิการใหผ ล ทานท้ังหลาย เมื่อเรารักษาศีล ไมสรางกรรมช่ัวใหม ผลวิบากจาก กรรมชั่วใหมก็ไมเกิดข้ึน แตกรรมชั่วเกาที่เราไดกอไวแลวในอดีต ก็ยัง ตามมาสง ผลอยู ทานสังเกตไหม เมื่อวิบากของกรรมชั่วในอดีตสงมาถึง ถาเราเปนผู ท่ีต้ังอยูในศีล ศีลก็จะทําหนาท่ี กรองผลของกรรมเหลาน้ันใหลดนอยลง อยางนอยก็เอา ๑๐๐ มาหาร แมผานไปไดบาง ก็เพียงแค ๑ ในรอยเทาน้ัน จงึ สงผลกระทบไดน อ ยลง นี่คือสาเหตุท่ี “ศีล” เปนส่ิงท่ีจําเปน ไปเจอพระที่ไหน ทานเรียกให สมาทานศีลกอนทุกที ท่ีตองยุงยากเชนนั้น ก็ดวยทานปรารถนาจะใหสิ่งท่ีดี แกเรา ใหเรามีศีลเปนรากฐานของชีวิต ใหเรามีความพรอมตอการทํา ความดีอน่ื ๆ พรอมดวยความไมมีรอยรว่ั หรือรโู หวข องชวี ิต พระภาสกร ภรู วิ ฑฺฒโน (ภาวิไล) 48 ผลบุญคอื กาํ ลงั ชวี ิต

แกกรรม น้นั ทําไดหรือไม ถาเรามีโอกาสทําบุญอันสมควร ท่ีสงผลใหเกิดการกระทบโลกใน ทางบวกมากๆ เราจะสามารถเอาผลสะทอน ท่ีเกิดจากการกระทบโลกใน ทางบวกดังกลาวนั้น มาแกไขความโชครายหรือความซวย อันเกิดแตการ กระทบโลกในฝายลบ ท่ีเราเคยทําความช่วั เอาไวน้นั ไดห รอื ไม ? หรือถาถามใหเขาใจงายๆ ก็คือถามวา “การแกกรรมนั้น ทําได หรือไม” อาตมาก็ขอยอนถามทานวา แลวเวลาคนเราเปนหนี้สิน ติดคางเงิน ทองกันนนั้ เราใชหน้ีเหลานน้ั คืนไดหรอื ไม แนน อนถา มีเงนิ พอ ก็ใชค ืนได สมมตุ วิ าวนั นี้ อาตมายืมเงินโยม ๑ รอยบาท เมอ่ื ยืมเงินมา อาตมาก็ เปน หน้.ี .. วนั น้ีอาตมาจงึ เปน ฝา ยติดหนโี้ ยม ๑ รอยบาท อีกหนึ่งเดือนพบกัน อาตมาเอาเงิน ๑๓๐ บาท มาใชคืนให ซ่ึงโยมก็พอใจ เพราะไดดอกเบ้ีย ๓๐ บาท หลวงพกี่ พ็ อใจ เพราะหมดหน้ีแลว ถามวา ความเปนหน้ีของอาตมานั้นหมดไปไหม ถาหนี้หมดได กรรมก็หมดได ครั้งแรกที่อาตมาขอยืมเงินน้ัน นับวาเปนกรรมคร้ังที่หนึ่ง สวนการนําเงินตนพรอมดอกเบี้ยไปคืนน้ัน นับวาเปนกรรมคร้ังท่ีสอง แตผล ของกรรม คือการกระทําคร้ังที่สองน้ัน ไปหักลางกับผลของกรรมคร้ังแรก ที่กอใหเกิดความเปนหน้ี ฉะน้ัน ในเมื่อหน้ีเงิน สามารถชดใชไดดวยเงิน หน้ีกรรมในลกั ษณะอ่นื ยอ มตองมีวิธีชดใช หรอื แกกรรมไดน ่นั เอง สมดลุ โลก สมดลุ ใจ สมดลุ ธรรม 49 สมดลุ โลก

ถาเราเคยทําความไมถูกตองเอาไว และความไมถูกตองนั้นสงผล กระทบตอโลกหรือผูอ่ืน แนนอนวาวันหนึ่งขางหนา ผลของกรรมนั้น พรอม กับดอกเบี้ยของกรรมที่เกิดข้ึน ยอมจะสงผลมาสนองตอเรา ซึ่งถาเรารูตัว ลวงหนา วาวันน้ันวันนี้ ถึงวันท่ีเราจะตองใชหนี้กรรมน้ันแลว ถารูลวงหนาทัน เราตองรีบขวนขวายสรางกรรมดี เพื่อกอใหเกิดผลของกรรมดี ท่ีมีขนาด พอเพียงหรือมากกวาผลของกรรมช่ัว ท่ีเรากําลังจะไดรับ ตรงน้ี... มันถึงจะ หักลางกันได แตต อ งทันเวลาดว ย เพราะฉะนั้น การทํากรรมดีของเรา ตองแรง เร็ว และสงผลได ทันเวลา โดยมีขนาดพอเพียง หรือมากกวาขนาดของความสูญเสียท่ีเราจะ ไดรบั น่ันกค็ อื การทาํ กรรมดีใหม มาแกผลทเี่ กดิ จากกรรมเกา แลวแกท อี่ ะไร ตอ งแกท ผี่ ล ไมใ ชที่เหตุ เราไมสามารถจะบอกวา เรา ไมเคยยืมเงินโยม หรือไมเคยทํากรรมชั่วท่ีลวงไปแลวเหลาน้ัน แตเรา สามารถท่ีจะทํากรรมใหม แลวใหมีผล มาแกผลของกรรมเกาได อยางน้ี ชัดเจนไหม พระภาสกร ภรู ิวฑฒฺ โน (ภาวไิ ล) 50 ผลบุญคือกําลงั ชีวติ

ฉะน้ันกรรมตองแกได แกโดยวิธีไหน แกโดยการทํากรรมใหม ท่ีสงผลในทิศทางที่สวนกลับ ในขนาดที่เทากับความสูญเสียท่ีจะไดรับ จากกรรมเกา เอามาสัมพัทธหักลางกัน หักลางกันไดเมื่อไร เมื่อนั้นก็เปน อนั จบ การใชหนี้กรรม ก็หลักการเดียวกันกับการใชหน้ีเงินนั่นแหละ หนี้ เงนิ ตองจา ยดวยเงิน สมมุติวาอาตมาติดหน้ีโยม ๑๐๐ บาท แตแทนท่ีอาตมา จะเอาเงินมาคืน ๑๐๐ บาท อาตมาดันเอากระเบื้องหลังคาวัด มาตีเปนมูลคา เทากับเงิน ๑๐๐ บาท แลวเอามาตั้งไวตรงน้ี โยมจะเอาไหม ไมเอา มันคนละ เรื่อง ฉันจะเอากระเบ้ืองไปทําไม ในเมื่อฉันไมไดตองการนี่ เห็นไหม มันคน ละชอ งทางกนั ฉะน้นั เวลาแกไข จะแกไขใหไดผลตรงที่สุด ก็ตองตรงชองทาง กัน สามารถเปรียบเทียบกันได ย่ิงตรงกันไดมากเทาไร ยอมไดผลมาก เทา น้ัน ยิง่ ยักเยื้องกนั เทาไร ยิ่งยงุ ยากมากขน้ึ เทา นัน้ แลวถาเปนหนี้ชีวิตละ จะแกอยางไร เมื่อเปนหนี้ชีวิต ก็ตองใชดวย ชีวิต หนี้ทรัพย ตองใชดวยทรัพย ปญหาก็คือ แลวเราจะเอาชีวิตที่ไหน ไปใช หนี้เลา สมมุติวาอาตมาเคยฆาเขาไว ธรรมดาคนทั้งหลายที่เกิดมาในโลก ยอมต้ังความหวังความปรารถนาแหงชีวิตไวเปนประการตางๆ ในเม่ือชีวิต ถูกพรากไป ความหวังความปรารถนาที่เขาวาดหวังไว ยอมถูกพรากทําลาย สิ้นไปดว ย แลว ใครจะไมแ คน เวลาทถ่ี ูกทําลายความหวงั แนนอน แคน แนๆ เอาอยางน้ีดีกวา อาตมาปลอยปลาใหหน่ึงตัว ไปซื้อปลาในตลาด ปลาเปน ๆ นะ ทอ่ี ยหู นาเขียง แลวปลอยปลา อทุ ิศสวนกศุ ลให พอใจหรือยงั ... จะพอใจไดอยางไร ใครจะไปยอม เพราะอะไร เพราะผูท่ีถูกฆาตาย นน้ั เขาตายในขณะท่เี ปนคน ไมใ ชเปนปลาสักหนอย หนอยแน ปลอยปลาให แคต ัวเดียว มันจะมีความหมายอะไร... สมดลุ โลก สมดุลใจ สมดลุ ธรรม 51 สมดุลโลก

แตถาเรามองอีกมุมหนึ่ง ในฐานะท่ีเปนปลา ถูกขังอยูในกะละมัง มีเพ่ือนๆ ปลาอยูอีกหลายตัว แมคาใจยักษเอามือเอื้อมมา โอะ! หลบทัน เห็นนางยักษจับเพ่ือนไป แลวเอาไมทุบหัวเพื่อนเราจนด้ินพราด ถามวา... กลัวไหม? - กลัว กลัวจนตัวสั่นหวั่นไหวไปหมด เดี๋ยวตองถึงคราวเราแน เม่ือครูยังโชคดีที่ไมพลาด เอะ! นั่นอะไร พระทานมาทําอะไร ทานชี้เราดวย หรือวาทานจะเอาเราไปทําตมยํากิน รูตัวอีกทีหน่ึง อุย! ทานชวยเอาเรามา ปลอยน่ี ดใี จจังเลย กระดกี๊ ระดา ฉนั รอดแลว ฉันมีชีวติ รอดแลว ตอนนี้เกิดอะไรข้ึน ปลาตัวหน่ึงมีความสุข เพราะไดรับการ ปลดปลอยใหรอดชีวิต มันจะดีอกดีใจสุดขีดขนาดไหน มีความสุขขนาดไหน ถาเราเอาความสุขของปลาหน่ึงตัว ที่มีโอกาสรอดชีวิตนี้ เอามาชดใชหน้ี กรรม ของการพรากชวี ติ เขา คนทีเ่ ราไดฆา ไปนน้ั เขาจะยอมไหม... ตอให พูดบรรยายซาบซึ้งเทาใด ก็ไมยอม เพราะอยางไรนั่นมันก็ปลาอยูดี แตนี่ คนนะ คนโวย... ไมใ ชป ลา... แตไมหมดหนทางเสียทีเดียว เรามีเทคนิค ถามวาพระอรหันตน้ัน ทานมีคาตัวเทาไร ตอบวา ๑ ลานลาน เม่ือเอาบุญของการปลอยปลาหนึ่งตัว ไปคูณกับคาตัว คือคุณความดีของพระอรหันต โดยถวายการปลอยปลา ให พระอรหันตทานโมทนา แลวจึง ผาติกรรม (เอาส่ิงอ่ืนใดท่ีมีคาเสมอ หรือ เหนือกวา มาแลกเปลีย่ นสงฆ) เอาปลานัน้ ไปปลอย ความสขุ ของปลาหน่งึ ตวั ที่รอดชีวติ จงึ เปรียบเสมือนวาเปนความสุข ของปลาจํานวน ๑ ลานลานตัวท่ีรอดชีวิตดวย แลวโนมเอาความสุข เทากับ ปลาลานลานตัวท่ีถูกปลอยใหรอดชีวิตนั้น ไปใชหน้ีกรรมที่เคยฆาฟนเขาไว นึกถึงปลาตั้งลานลานตัวท่ีมีความสุข ความสุขขนาดน้ันอาจทําใหเขาใจออน ขึ้นมาบาง แทนที่จะมาเอาชีวิตเรา ก็ลดลงมาเปนพิการ แขนขาขาดสักขาง หนึ่ง ซึ่งในแงของอาตมาแลว เสียขาหรืออวัยวะ ก็ยังดีกวาเสียชีวิต เปนการ ผอนหนกั ใหเปน เบา พระภาสกร ภรู ิวฑฒฺ โน (ภาวิไล) 52 ผลบญุ คอื กาํ ลังชวี ติ

เราจะพบวา หมอดูท้ังหลาย มักแนะนําใหเราไปสะเดาะเคราะห ตามที่ตางๆ โดยวิธีปลอยโคปลอยกระบือ ปลอยนกปลอยปลา หรือทําบุญท่ี เปนการตอชีวิตผูอื่น แลวทําไปเพ่ืออะไร ก็เพ่ือเอามาชดใชหนี้ชีวิต และตอ ชวี ิตตนเอง ฉะน้นั เราจงึ สามารถตอ อายุตน โดยการชวยตอ อายใุ หก บั ผูอ ืน่ ในสมัยพุทธกาล มีสามเณรรูปหนึ่ง ซึ่งผูมีความรูทางโหราศาสตร ไดพยากรณไววา สามเณรรูปน้ีไดหมดอายุขัยลงแลว จะตองตายแนๆ ตาม ตําราแลวจะตองไมรอดไปถึงวันพรุงน้ี สามเณรไดยินเชนนั้นก็เกิดความ สลดใจ คอตกเดินกลับบาน วันนี้เราคงจะตองตายแนๆ แลว เดินไป เดินไป เอะ! น่ันอะไร โถปลาตัวนอยๆ พากันมาติดอยูในปลักควายที่กําลังงวด ใกล จะแหงหมดอยแู ลว ดวยมีจิตเมตตาสงสาร สามเณรจึงแวะวิดนํ้า ชวยชอนปลาไปปลอย ที่แหลงน้ํา ไหนๆ เราเองก็จะตองตายอยูแลว ขอทําความดีเสียหนอย ตกลง วันรุงข้ึน เหตุการณพลิกผันหมดเลย หมอดูเกงอยางไร ก็ทํานายพลาดหมด เพราะอะไร เพราะวาบุญท่ีสามเณรไปตออายุปลา เปนเหตุใหผลความดีนั้น ตวี กกลับมาเปนบวก จงึ เปน การตออายขุ องตนเอง เพราะฉะนั้นการแกกรรม ตองแกใหถูกชองทาง เราตองทําบุญ หรือทําความดีในสัดสวนท่ีเทากับ หรือมากกวาความซวยท่ีเราจะไดรับ เพอื่ เอามาหกั ลา งกนั แตข อเนน วา “ตองตรงชองทาง” กนั ดวย สมดลุ โลกก็จะยตุ ลิ งตรงนี้ เราสามารถทาํ ชีวติ ของเราใหม ีความสุข โดยการรักษาศีล ทําทานในนาบุญทีด่ ี อุทิศสว นกุศลไปใชห น้เี จากรรมนายเวร หรือทําบุญทําทาน โดยสรา งกรรมดี ใหเทาทนั กบั กรรมชั่วเกา ทกี่ าํ ลงั จะมาสง ผล แลวก็ ตวั ใครตัวมัน... เอวงั ... สมดุลโลก สมดุลใจ สมดุลธรรม 53 สมดลุ ใจ

ผลบญุ คือกําลังชีวติ บทวิดีทัศน เรอ่ื ง สมดุลโลก สมดลุ ใจ สมดุลธรรม สมดุลใจ สมดุลโลก คือปฏิกิริยาการรักษาสมดุลของโลก หรือสิ่งแวดลอม ทม่ี ตี อการกระทําทางกายภาพของเรา สมดุลใจ คือ ปฏิกิริยาการรักษาสมดุลของใจหรือธาตุรู ที่มีตอ ขอมูล หรือวิญญาณ ความรู ทีม่ ันรับรูม น่ั หมายบันทกึ ไวใ นใจ การอธิบายกฎแหงกรรมดวยหลักสมดุลโลกน้ัน สามารถตอบขอ สงสัยเก่ียวกับเรื่องของกฎแหงกรรม ไดเพียงคร่ึงเดียวเทาน้ัน คือสวนที่เปน ปฏิกิริยาระหวางตัวเรา อันไดแกจิตและกายของเรา กับโลก คือส่ิงแวดลอม ภายนอกของเรา ซึ่งอาจกลาวไดว า “หลักสมดลุ โลกนัน้ ยังไมใชกฎแหงกรรมตัวจริง เปนเพียงกฎวา ดวยปฏกิ ิรยิ าภายนอก ระหวา งเรากบั โลกเทาน้ัน” ไดกลาวมาแตแรกแลววา การกระทําของเราทั้งหลายนั้น มีอยูสาม ลกั ษณะ คือ ประการท่ี (๑) มีการคดิ แลวจึงมี การกระทํา ประการท่ี (๒) แมไมคดิ แตม ี การกระทํา ประการที่ (๓) มีการคิด แต ไมไ ดก ระทาํ พระภาสกร ภรู วิ ฑฒฺ โน (ภาวิไล) 54 ผลบุญคอื กําลงั ชีวติ

ถาดูทางซีกซายมือ จะเห็นวามีการคิด ๒ ครั้ง คือ ประการท่ี (๑) มี การคิด แลวจงึ มีการกระทาํ และประการที่ (๓) มีการคดิ แตไมไดก ระทํา เมื่อมีการคิด หรือเจตนาการปรุงแตงเกิดขึ้น ใจของเราก็จะเปนผู ไดรับผลกระทบ จากการคิดหรือเจตนาน้ันโดยตรง ใจของเรามีสภาวะ เปลี่ยนแปลงไป เพราะการท่ีเราคิดพิจารณาตางๆ ใจของเราจึงเปนท้ัง ผูสรา ง และผรู ับความเปลี่ยนแปลงท่ีเกดิ ขน้ึ นน้ั ๆ ใจเปนของมหัศจรรย มหัศจรรยเพราะตลอดเวลาท่ีมีรางกายอยู มันจะรับรูสิ่งตางๆ ภายนอก ผาน อายตนะ-เครื่องรับรู ที่มีมากับรางกาย นนั้ ๆ มันรับรูผานตา ผานหู ผานจมกู ผานลิ้น ผานประสาทสัมผสั ของผิวกาย โดยมีตาไวเพ่ือรับรูรูป มีหูรับรูเสียง มีจมูกรับรูกลิ่น มีลิ้นรับรูรส มีกาย ประสาทสําหรับรับรู โผฏฐัพพะ-สิ่งสัมผัสทางกาย คือ เย็น รอน ออน แข็ง ท้งั หลาย สมดุลโลก สมดลุ ใจ สมดุลธรรม 55 สมดุลใจ

ใจนี้อาศัยรางกาย ท่ีมีตา หู จมูก ลิ้น และประสาทสัมผัสทางกาย เปนอุปกรณ เพื่อรับรูอารมณภายนอก คือ รูป เสียง กล่ิน รส และโผฏฐัพพะ สัมผัสทางกายเหลานั้น เขามาสูใจ ใหใจไดรับรู และไมไดเปนการรับรูเฉยๆ มันใช สัญญา-ความจําไดหมายรู ดึงเอาความรูเดิม ท่ีเคยมีตอส่ิงเหลาน้ัน หรือใกลเคียงกับสิ่งเหลาน้ัน มาเปนขอมูลในการบัญญัติ ตัดสิน ตอส่ิงที่มัน ไดรับรูเขาไปใหมดวยวา ส่ิงนั้นคืออะไร มีคุณภาพขนาดไหน จะนําความสุข หรือความทุกขม าให ชอบ ไมช อบ เกลียด ไมเกลยี ดอยางไร นอกจากสิ่งภายนอกท่ีใจรับรูผานอายตนะแลว ใจยังสามารถใช สัญญา ความจําไดหมายรู นําเอาสิ่งภายใน คือ วิญญาณ ความรู ท่ีใจได จดจําบันทึกเอาไว ออกมาคิดนกึ ปรงุ แตง ตัดสินใหมอ กี ดว ย มันอาศัยอะไรมาตัดสิน มันอาศัยสิ่งท่ีมันเคยจดจํา เคยตัดสิน เคยตง้ั คุณคา เคยตรี าคา เคยกาํ หนดรสนิยมไวแลว ในใจ เอามาใชตัดสิน... ตามองเห็นรูป ระลึกไดวา รูปน้ีตรงกับรสนิยมของฉัน ใจจึงตัดสินวา รูปนีส้ วยจงั เห็นแลวชอบ ดูแลวมีความสุข... หูไดยินเสียง ระลึกไดวาเสียงน้ีตรงกับรสนิยมของฉัน ใจก็ตัดสินวา แหม! เสียงนี้เพราะจัง ฟงแลวชอบ ฟงแลวมีความสุข แตครั้นมาไดยินเสียง เล่ือย เสียงสวาน เสียงกอสราง เสียงอึกทึกที่เสียดแทงหนวกหูเหลานั้น เสียง เหลา นไี้ มต รงกบั รสนยิ มของฉัน ใจกต็ ัดสนิ วา ฉันไมชอบ ฉันไมพ อใจ แตอยางไรก็ตาม ไมวาใจมันจะรับรู ไตรตรอง ตัดสิน ชอบใจ หรือไมชอบใจอยางไร ส่ิงท่ีรับรูไปแลว จะถูกบันทึกไวที่ใจ เปนวิญญาณ ความรูใหมเขาสูใจ ทุกอยางที่ใจรับรู มันรับรูแลวบันทึกไวท้ังส้ิน ใจบันทึก เกบ็ ไวหมด เกบ็ ไวท ้งั หมดจริงๆ พระภาสกร ภูรวิ ฑฺฒโน (ภาวไิ ล) 56 ผลบุญคอื กําลังชวี ติ

ในทางพระอภิธรรม ซ่ึงเปนหลักการลวนๆ ทางพระพุทธศาสนา กลาวไววา จิตคือธาตุรู หนาท่ีของจิตก็คือการรู มันจะรูสิ่งท่ีเรียกวาอารมณ ผานเคร่ืองมือตางๆ ๖ ชองทาง คือผานตา หู จมูก ล้ิน กาย และใจ โดยมี สัญญา-ความจําไดหมายรู ที่ระลึกจากวิญญาณ-ความรู ความจดจําในเรื่อง เดิมๆ เกาๆ จากใจ เขาไปสูใจ เรียกวาขุดเรื่องเกาเอามาเลาใหมน่ันเอง โดย อาศัยทั้ง ๖ ชองทางน้ีเอง ที่จิตจะ เกิดดับๆ สลับกันรับรูตลอดเวลา รับรู ทีละเร่อื ง ๆ ในแตล ะรอบของการเกิดขนึ้ ตง้ั อยู และดบั ไปของจติ ฉะน้ัน “หนึ่งขณะจิต” ก็คือ ๑ รอบของการเกิดข้ึน ตั้งอยู และ ดับไปแหงดวงจิต ซึ่งแตละขณะท่ีจิตเกิดขึ้น ต้ังอยู และดับไปน้ัน มันจะ รบั รูเพยี งหน่ึงเรอื่ งหรอื หนึง่ อารมณเ ทา น้ัน จิตจะเกิดดับๆ รับอารมณในอัตราความเร็วที่สูงมาก เพียงช่ัวเวลา แคลัดน้ิวมือเดียว เพียงประมาณเศษหนึ่งสวนสี่วินาที จิตไดเกิดดับๆ ตอ เนื่องกันมาแลว ลานลา นขณะจิต สมดุลโลก สมดลุ ใจ สมดลุ ธรรม 57 สมดุลใจ

อุปมาเหมือนไฟกระพริบ ที่เกิดดับๆ ตอเนื่องกัน โดยทุกคร้ังที่มัน เกิดขนึ้ ตง้ั อยู และดบั ไปน้ัน มนั กร็ ับรูอ ารมณ หนงึ่ อารมณ ลองนึกดูวา ในเมื่อจิตเกิดขึ้นหน่ึงลานลานดวง ในเวลาแคลัดน้ิวมือ หรือประมาณเศษหน่ึงสวนส่ีวินาที ฉะน้ันเพียงหนึ่งวินาที จิตจะเกิดดับรับรู ไปแลว ส่ีลานลานเรื่อง และมันเกิดดับรวดเร็วมาก จนเรามักจะเขาใจผิด คิดวา จติ นนั้ เปน สงิ่ ที่ตง้ั คงทอ่ี ยูโดยตลอด ไมม กี ารกระพรบิ เกดิ ดับ ในชีวิตประจําวันของเรา ไฟนีออน หรือฟลูออเรสเซนทน้ัน มันเกิด ดบั ๆ กระพริบอยูตลอดเวลา ดวยอัตราความถ่ี ๕๐ คร้ัง/วินาที หน่ึงวินาทีมัน กระพริบไปแลว ๕๐ คร้ัง มันกระพริบเร็วมาก จนตาเรามองไมทัน จนดู เหมือนกับวา มันสวา งนงิ่ อยูเฉยๆ ท้งั ท่ใี นความเปน จรงิ มันกาํ ลังกระพรบิ อยู แลวอะไรจะเกดิ ขน้ึ ตราบใดท่ีเรายงั มีรางกายอยู จิตของเราจะ เกิด ดับรบั รรู วดเร็วมาก มันรบั รูอารมณหนึง่ เสร็จไปแลว ความรูหรืออารมณใหม ก็เขามาแทนที่ ทุกครั้งที่มีความรูใหมเขามา มันจะบันทึกเปน วิญญาณ ความรูใหม เขามาซอนทับกับวิญญาณความรูเดิมท่ีมีอยู ผลักดันวิญญาณ ความรเู ดมิ ทผ่ี านมาแลว ใหจ มเขาไปในสว นลกึ ของจิต ย่ิงข้นึ ๆ เขา ไปทกุ ที พระภาสกร ภรู ิวฑฺฒโน (ภาวไิ ล) 58 ผลบญุ คอื กาํ ลังชีวติ

แตกระน้ัน จิตก็ไมไดมีขนาดใหญขึ้นแตอยางใด เพราะวาแมแต จติ เองนน้ั ก็หาไดม ีขนาดทเ่ี ปน สัดสว นใหสามารถวดั ได แตในภาพที่จะใชอธิบายตอไปนี้ เราสมมุติแทนจิตดวยรูปหัวใจ จะเห็นวา ความรูท่ีเขามาใหม จะมาถึงและอยูท่ีผิวนอกสุดของรูปหัวใจ ความรูที่ผานเขามาแลว จะจมลึกลงไป ลึกลงไปๆๆๆๆๆ อยางไมมีท่ีสิ้นสุด แตตราบใดก็ตามท่ีเรายังมีชีวิต ยังเวียนวายตายเกิดอยู ความรูเหลานี้ ก็ยัง ประเดประดังตอเนื่องเขามาเร่ือยๆ และสะสมไวในจิต โดยไมรูจักเต็มเสีย ดว ย น่คี อื ความมหัศจรรยของจติ มหัศจรรยในความเปนธาตรุ ู ทไ่ี มรูจกั เต็ม ๒๐ กวาปที่แลว มีภาพยนตรโทรทัศนเร่ือง The Six Sense พระเอก เปนนักจิตวทิ ยาทสี่ ะกดจติ ได ตอนหนึ่ง เกิดมกี รณีฆาตกรรมขึ้นในภัตตาคาร พยานจํารูปพรรณคนรายไมได เพราะขณะเกิดเหตุ กําลังพูดคุยอยูกับคนรัก อยางสนุกสนาน แมวาเหตุการณนั้นจะอยูในคลองจักษุ แตก็ไมไดใสใจ เพราะมัวแตสนใจคนรักที่นั่งอยูตรงหนา เขาก็เอาพยานคนนั้นมาสะกดจิต ยอนกลับไปในวนั นั้น ในเวลาทก่ี าํ ลังนง่ั คยุ กนั อยใู นภตั ตาคาร... สมดลุ โลก สมดุลใจ สมดลุ ธรรม 59 สมดุลใจ

แลวถามวา ภาพที่ปรากฏในคลองจักษุในขณะที่เกิดเหตุน้ัน มองเห็นใครนั่งอยู แลวใครท่ีเขามาเอาปนมาจอยิงหัว มีรูปรางลักษณะ หนา ตาเปน อยา งไร จริงอยู ในขณะที่เกิดเหตุ พยานไมไดสนใจ หรือมีเจตนาที่จะจดจํา รูปพรรณสัณฐาน ลักษณะของคนราย แตทุกอยางที่ผานคลองจักษุมา จิตจะ บนั ทึกไวท ้งั หมด แลวบนั ทึกไวท ่ไี หน กใ็ นจติ ของพยานคนนั้นน่ันเอง ฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอยาง ท้ังท่ีใสใจ หรือไมใสใจ แตไดอาศัย อายตนะเปนชอ งทางรบั รู จิตจะรับรแู ละบนั ทึกไวท ัง้ สน้ิ แลวถาถามวา จิตรับรูและจดจํารายละเอียดมากมายขนาดน้ัน ไดอยางไร ก็อยาลืมวา ในเมื่อจิตนั้นเกิดดับๆ ไดรวดเร็วถึงสี่ลานๆ ขณะจิต ในหน่ึงวินาที ฉะนั้น มันจึงเพียงพอตอการรับรู และบันทึกทุกสิ่งทุกอยาง ท่ีผา นคลองอายตนะเขามาสูใจ น่ีคือความมหัศจรรยของจิตอีกกรณีหน่ึง มหัศจรรย ของจิต ในความเปนธาตุรู ทีส่ ัง่ สมความรไู วอ ยางละเอยี ดลออ ถาใครไดศึกษาพุทธประวัติ กอนที่พระพุทธเจาจะตรัสรู พระองค ทรงได ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ญาณระลึกชาติไมมีที่ส้ินสุด ถามวาระลึก มาจากไหน ก็ระลึกมาจากใจของพระพุทธองคน่ันแหละ ใจของพระองคทรง บนั ทึกเรื่องตางๆ เหลานน้ั เอาไว ต้ังแตพระองคทรงเร่ิมตนเวียนวายตายเกิด มา จนกระท่ังถึงวันที่พระองคทรงตรัสรู พระองคสามารถระลึกรูยอนหลัง กลับไปไดท ั้งหมด น่ันหมายความวา ขอมูลหรือเหตุการณทั้งหลาย ท่ีเราดําเนินชีวิต ผานมาแลว ไมเคยถูกลบไปจากใจ แตปญหาก็คือ ถึงไมเคยลบ แตเรามี ปญ ญาที่จะขุดคนขึ้นมาไดไหม ไหนลองนึกดูสิวา เม่ือวันอาทิตยที่แลวเวลาบายสามโมง ทานทํา อะไรกันอยู... ก็เหมือนๆ กัน ในฐานะปุถุชน มันก็จําไดบางไมไดบาง ดวยมี เรือ่ งอ่ืนๆ ที่เกิดขึ้นภายหลัง มาแยงความสนใจ แยง ความสําคัญไป พระภาสกร ภูริวฑฺฒโน (ภาวไิ ล) 60 ผลบุญคอื กาํ ลังชีวติ

แตพระพุทธองคทรงมีกําลังจิตที่สูงมาก ทายท่ีสุดจากการส่ังสม พระบารมี ออกผนวช ปฏิบัติ และตรัสรธู รรมของทาน จงึ เปน เหตใุ หพ ระองค ทรงมีพลังจิตมหาศาล สามารถยอนกลับเขาไปสํารวจ สิ่งท่ีจิตของพระองค ทานรับรู และบันทึกไวไดท้ังหมด พระองคทรงไลเรียงไดหมดวา ทรงผาน ชวี ติ มาอยา งไรบาง น่ีคือ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ญาณรูอดีตทั่วตลอด ชนิดท่ี เปน วสิ ยั เฉพาะของพระพทุ ธเจาเทา นั้น สําหรับผูที่ระลึกอดีตไดบาง เปนบางชาติบางตอน แตไมทั่วตลอด ท้ังหมด บาลีใชคําวา อตีตังสญาณ แปลวา ญาณรูอดีตที่ลวงไปแลว ซึ่ง ท้ังหมดนี้ เปนผลมาจากคุณสมบัติของจิตเอง ท่ีทําการบันทึกส่ังสมความรู หยั่งลึกลงไปในจิต แลวกระบวนการบันทึกของจิตเปนอยางไร ขอยกตัวอยางเวลาที่เรา เห็นรูป จิตมีรูปเปนอารมณ หรือที่เรียกวามี “รูปารมณ” เกิดขึ้น เราก็จะได คิดนึกปรุงแตงไปในรปู นัน้ แลวคิดนึกปรงุ แตง อยางไร (๑) เทียบหาบัญญตั ิ วารปู นัน้ ตรงกบั ส่ิงทม่ี ีบัญญัตเิ รยี กวาอะไร (๒) เทียบหาคุณภาพ วารูปนั้นดีงามทรามช่ัวแคไหน มีประโยชนหรือวา มโี ทษ ตอตนอยา งไร (๓) เกิดการคิดนึกปรุงแตงเจตนา เปน บุญ-บาป, ดี-ช่ัว, กุศล-อกุศล ถาเจตนาในอารมณน้ันเปนไปตาม “กุศลกรรมบถ ๑๐” ก็จัดเปน บุญ เปนกุศล เปนกรรมดี แตถาเจตนาในอารมณน้ันเปนไปตาม “อกุศลกรรมบถ ๑๐” ก็จัดเปน บาป เปน อกุศล เปน กรรมช่ัว (๔) ผลจากการคิดนึกปรุงแตงตัดสินทางใจ ท่ีมีตอรูปน้ันๆ จึงกอใหเกิด เวทนา-ความรูสึกทางใจ ท่ีมีตอรูปนั้นๆ วา เห็นแลวสุขใจ (โสมนัส) หรือเห็นแลวทุกขใจ (โทมนัส) หรือเห็นแลวก็ยังเฉยๆ ไมทุกขไมสุข อยางไร (อทุกขมสุข) ซ่ึงก็คือ ถูกใจบาง ไมถูกใจบาง... พอใจบาง หรือไมพอใจบาง... ชอบ หรอื ไมชอบ... หรือไมกเ็ ฉยๆ ไปเลย สมดลุ โลก สมดลุ ใจ สมดลุ ธรรม 61 สมดุลใจ

(๕) ถาชอบ ถาพอใจ ถาถูกใจ ก็กอใหเกิดความโลภ (โลภะ) เปน กามตัณหา-ความปรารถนาตองการทะยานอยาก ในรูปน้ันๆ หรือ กามราคะ-ความกาํ หนัดยนิ ดี ตดิ ใจ ในรูปนนั้ ๆ (๖) ยิ่งมีการปรุงแตงตอไปในความปรารถนาตองการ (กามตัณหา) หรือ ความกําหนัดติดใจ (กามราคะ) ในรูปน้ันๆ ก็ย่ิงจะมีความปรารถนา ตองการ หรือกําหนัดยินดีที่ซับซอนขึ้น กลายเปน ภวตัณหา-ความ ทะยานอยากในภพ อยากเปนน่ันเปนนี่ อยากเกิด อยากมี อยากให ยั่งยืนอยูตลอดไป แลวเพ่ืออะไร ก็เพื่อความเกื้อกูล และไดมางาย ซึ่ง รปู หรือสิ่งอันเปนทีต่ ้งั แหงกามตัณหา หรอื กามราคะนัน่ เอง... (๗) แตถาเกิดไมช อบ ไมพ อใจ ไมถกู ใจ มนั กพ็ ลิกเปน วิภวตัณหา- ความ ทะยานอยากในความไมมี ไมเปน ความตองการท่ีจะพรากพนไป จากภาวะทตี่ นไมช อบ ไมพ อใจ ไมถ ูกใจนน้ั ๆ (๘) แตในเมื่อ ยังไมสามารถท่ีจะพรากพนไปตามใจปรารถนาได ปฏิฆะ- ความกรุน ครุน ขุนของหมองใจ, โทสะ-ความคิดประทุษราย ปรารถนาใหสิ่งน้ัน ภพน้ัน แตกหักทําลาย ดับสูญ สลายไป, โทมนัส- ความเสยี ใจ เปน ทกุ ขใ จ ก็จะเกิดขนึ้ ... (๙) ถายังไมได มนสิการ คือใสใจ หรือตัดสินความรูสึก ที่มีตอสิ่งน้ัน หรือรูปนั้น ก็จะมีเวทนาเปนกลางๆ ท่ีบาลีเรียกวา อทุกขมสุข ดวย อํานาจ โมหะ-ความหลง ท่ียังไมแจงในรูปนั้นๆ คือ ไมรูไมเขาใจตอ รูปนั้นๆ หรือถาเทียบหาบัญญัติ และคุณภาพแลว แตจิตมีสมาธิมาก หนักแนนสูง รูปารมณที่กระทบ ไมสามารถกอความหวั่นไหวตอใจได ใจจึงสามารถอุเบกขา ขมระงับในอารมณเหลาน้ัน จิตก็จะมีเวทนา เปนกลางๆ ที่บาลีเรียกวา อทุกขมสุข ดวยอํานาจของสมาธิ ซึ่งใน ภาวะนั้น โมหะ ความหลง มืดบอด และ มิจฉาทิฏฐิ-ความเห็นผิดใน คุณภาพ หรือคุณคา ที่มีอยูเดิมในรูปารมณนั้น ก็ยังไมไดรับการ แกไขใหถูกตอง จึงมี โมหะและมิจฉาทิฏฐิ ในรูปารมณน้ันอยูเชนเดิม ไมเ ปลี่ยนแปลง พระภาสกร ภรู ิวฑฒฺ โน (ภาวไิ ล) 62 ผลบญุ คอื กาํ ลงั ชีวิต

สมดลุ โลก สมดลุ ใจ สมดลุ ธรรม 63 สมดลุ ใจ

(๑๐) แตเม่ือใดท่ีมีการเขาไปตัดสินดวยปญญา ที่เห็นความเปนจริงแหง สภาวะธรรม อันเปนไปตาม กฎไตรลักษณ, กฎแหงกรรม, อริยสัจ ๔, หรือปฏิจจสมุปบาท จิตก็มีเวทนาเปนกลางๆ ท่ีบาลีเรียก อทุกขมสุข ดวยอํานาจแหงสมาธิ ท่ีประกอบดวยปญญารูแจงในสิ่งนั้นๆ จึง สามารถอุเบกขาวางเฉยไดด ว ยอาํ นาจแหง ปญญา ขณะเดียวกัน ก็เปน การเพิ่ม สัมมาทิฏฐิ - ความเห็นท่ีถูกตองตามความเปนจริง ใน อารมณน้นั ๆ ยงิ่ ๆ ข้นึ ไป ถาพิจารณาใหดี จะเห็นวา โมหะ-ความหลง ก็คือความมืดบอด หรือ ความไมร แู จงในอารมณต างๆ แตถาเปน มิจฉาทิฏฐิ-ความรูผิดเห็นผิดในอารมณนั้น ตราบใดก็ ตามท่ียังมีอยู เม่ือใดมีการกระทบกับอารมณ อันเปนที่ต้ังแหงมิจฉาทิฏฐิน้ัน จิตกจ็ ะเกิดโลภะ-ความโลภ หรือโทสะ-ความโกรธขึ้น ย่ิงเกิดโลภะและโทสะ มากขึ้นเทาใด มันก็ย่ิงเพิ่ม อุปาทาน-ความยึดถือ ซ่ึงสงผลยอนไปเสริม มิจฉาทิฏฐ-ิ ความเหน็ ผิด ใหหนักหนามากขนึ้ เทานัน้ ฉะนั้นส่ิงที่เรียกวา “อวิชชา” - ความไรซึ่งความรูที่ถูกตองน้ัน จึงมี ทั้ง โมหะ-ความหลงมืดบอด และมิจฉาทิฏฐิ-ความเห็นผิดรูผิด ในอารมณ ทงั้ สองอยางรวมกนั เพ่ือความเขาใจชัดเจน จึงสรุปสั้นๆ วา สิ่งท่ีเรียกวา อวิชชา คือ ความไรซึ่งวิชชา ไรซึ่งความรูท่ีถูกตองตามความเปนจริง ของสรรพสิ่งใน ธรรมชาติ และอวิชชาน้ันจะมีสว นประกอบที่สาํ คญั ๒ ประการ คอื (๑) โมหะ -ความไมรู หรือความหลงมดื บอด (๒) มิจฉาทิฏฐิ -ความรู ความเห็น ที่รูเห็นมาผิดๆ ไมตรงกับความ เปนจริงของสรรพสิ่งในธรรมชาติ หรือกลาวเปนสํานวนวา คือ “คุณคา จอมปลอม ท่จี ิตสรางขน้ึ และกําหนดใหแ กสรรพส่งิ ทีเ่ ขา ไปเกยี่ วขอ งดวย” พระภาสกร ภรู วิ ฑฺฒโน (ภาวิไล) 64 ผลบญุ คอื กาํ ลังชีวติ

ทุกๆ คร้ังท่ีจิตมีสังขาร การปรุงแตงอารมณ และกอเจตนาอัน เปนไปตามกุศลกรรมบถบาง หรือท่ีเปนไปในทางตรงกันขาม คือ อกศุ ลกรรมบถบา ง แมเ วทนาท่เี กดิ ข้ึนตามมา จะเปน โสมนัส - ความสขุ ใจ หรือ โทมนัส - ความทกุ ขใจ หรือเปน อทุกขมสขุ - คือเปน กลางๆ ไมส ุขไมท ุกขก ็ตาม แตเวทนานั้นก็มิไดเปนปจจัยหลัก ท่ีกําหนดความผองแผว หรือ ความเศราหมองของจิต เพราะ จิตจะผองแผว หรือเศราหมองน้ัน ข้ึนอยู กับเจตนาของอารมณป จจุบนั ทีก่ ําลังดําเนนิ อยู ถา เจตนาน้นั เปนไปตามกศุ ลกรรมบถ ก็จะมีคาเปนบวก (+) คือเปน บุญเปน กศุ ล จัดวาเปน “กรรมขาว” แตถาเปนไปในทางตรงกันขาม คืออกุศลกรรมบถ ก็จะมีคาเปนลบ (-) คอื เปนบาปเปนอกศุ ล ก็จดั วา เปน “กรรมดํา” เจตนาท่ีมีคาเปนบวก (+) ลบ (-), บุญ-บาป, กุศล-อกุศล, กรรมขาว- กรรมดําน้ีเอง ท่ีถูกสัญญา-ความจําไดหมายรู บันทึกเปน วิญญาณ คือ ความรูเขาสูใจ แลวทับถมจมลึก ซอนลงไปเปนช้ันๆ ตามลําดับกอนหลังของ การปรงุ แตง ที่ผานมา และเปน ตวั การสาํ คัญท่กี ําหนดชะตาชวี ติ ของเรา สมดลุ โลก สมดุลใจ สมดุลธรรม 65 สมดุลใจ

อยางไรก็ตาม ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู อายตนะภายใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ของเรายังเปดรับรูตอโลกภายนอกอยู ขอมูล ส่ีลานๆ ขอมูล ที่เกิดดับในเวลาแคหนึ่งวินาที จึงหล่ังไหลถั่งโถมเขามาปรุงแตง และบันทึก เขาสูใจ มันรวดเร็วและมากมายเสียจนทําใหอิทธิพลของวิญญาณ คือความรู เกาๆ ท่ีผานมาแลวนั้น ดูคลายกับจะไมมีคาอันใด แตเมื่อใดก็ตาม ที่ความ ตายมาถึง ขณะท่ีอายตนะ คือตา หู จมูก ล้ิน กาย ถูกทําลายสลายไป จนไมมี เคร่ืองมือคือ ตา หู ฯ สําหรับรับรูภายนอกอีก น่ีสิเดือดรอน เดือดรอน อยางไร ตอนน้ีจะขอนาํ ทานไปสู “สมดลุ ใจ” ทฤษฎีสมดุลใจ ทฤษฎีสมดุลใจ มีอยูวา ทุกๆ ขอมูลท่ีใจรับรู แลวปรุงแตงเปน เจตนาบันทึกเขาสูใจ หากเจตนานั้นไมเปนกลาง ไดแกเปนบวก คือเปนบุญ เปนกุศล หรือเปนลบ คือเปนบาปเปนอกุศล จิตจะพยายามปรับขอมูลที่ไม เปน กลางเหลา นัน้ ใหก ลับมาเปนกลาง หรือกลา วไดวา สมดุลใจ คือ ปฏิกิริยาการรักษาสมดุลของใจหรือธาตุรู ที่มีตอ ขอ มลู หรอื สญั ญาทมี่ ันจําไดและหมายรเู อาไว ขอมูลอะไรก็ตามท่ีจิตบันทึกไว โดยมีการปรุงแตงเจตนา ทั้งท่ี เปนบุญ เปนกุศล ตามกุศลกรรมบถ ๑๐ และที่เปนบาป เปนอกุศล ตาม อกุศลกรรมบถ ๑๐ จิตจะพยายามปรับขอมูลเหลาน้ัน ใหกลับมาสูความ เปนกลางเสมอ ทฤษฎีสมดุลใจนี้จะเห็นไดชัด ในขณะที่คนเราเขาสูความตาย เพราะคนใกลตาย จะมีอาการที่เรียกวา เขาข้ันตรีทูต เม่ือเขาขั้นตรีทูต อายตนะคือตา หู จมูก ล้ิน และกายประสาท จะทยอยกันดับ คือเส่ือม หมด สภาพไป ไมสามารถรบั รูอารมณต า งๆ จากภายนอกได พระภาสกร ภูริวฑฺฒโน (ภาวิไล) 66 ผลบญุ คือกาํ ลังชีวติ

เม่ือจิตไมสามารถรับรูอารมณผานอายตนะภายใน ท่ีเนื่องดวย กายได ในขณะท่ี ธรรมชาติของจิตซึ่งเปนธาตุรู ตองเกิดดับรับรูอารมณ อยูตลอดเวลา มันจึงตองหันกลับมารับรูธรรมารมณจากขอมูลเดิม คือใช สัญญา-ความจาํ ไดห มายรู เขาไปรับรู วิญญาณ-ความรูเดมิ ๆ ที่มอี ยูในใจ ขณะที่บุคคลเขาสูข้ันตรีทูต คือตาดับ หูดับ จมูก ล้ิน และกาย ประสาท ทยอยกันดับไปน้ัน จิตจะหวน่ั ไหวและหาทย่ี ึดเหนี่ยว เพราะจิตยอม รแู ลว วา ขณะน้ันมนั กาํ ลงั จะตาย แลวทาํ ไมถึงรวู า กําลงั จะตาย นัน่ เปนเพราะจิตเคยผานการเวียนวาย ตายเกิดมานับภพนับชาติไมถวน ประสบการณแหงความตาย จึงฝงลึกใน ดวงจิต สงผลใหหวาดหว่ันตอความตายอยูเสมอ ฉะนั้นเม่ือมันรูวาจะตาย มันก็หว่ันไหว และหาที่ยึดเหน่ียว เปรียบเหมือนบุคคล ถูกบังคับใหยาย บานเรือนกะทันหัน ยอมจะตองพยายามแสวงหาที่พักพิงใหม เชนโทรศัพท ตดิ ตอหาเพ่ือน หาคนรูจ กั ทพี่ อจะใหท พ่ี ักพงิ ได เม่ือจิตไมสามารถรับรูผานอายตนะที่เน่ืองดวยกาย คือตา หู จมูก ลิ้น และกายประสาทได จิตก็จะกลับเขาไปสํารวจในจิตเองวา สิ่งท่ีมันเคยมี สัญญา-ความจําไดและหมายรู จดจําบันทึกเปน วิญญาณ-ความรู เอาไวใน จิตน้ัน มเี รือ่ งราวอะไรบาง ปญ หามันอยูท ่ตี รงน้ี ถาโชคดี ขณะที่แมเฒากําลังพะงาบๆ ใกลตาย แตยังพอมีสติรับรู ไดอยู ลูกหลานที่คอยดูใจ ไดบอกใหระลึกถึงบุญกุศลที่เคยทําไว เชนเคย ทําบุญตักบาตรทุกเชา มีเณรนอยรับบาตรเปนประจํา เปนภาพชีวิตที่ ประทับใจ ลกู หลานก็บอกใหแมเฒายดึ ภาพน้ันไวใหได เม่ือถึงข้ันตรีทูต อายตนะที่เนื่องดวยกายพากันดับลง แตจิตของ แมเฒายังสามารถยึดอารมณอันเปนกุศล อารมณสุดทายที่เขามาสูใจ มีคา เปนบวก ปรุงแตงเจตนาใหเปนบุญกุศล ถาจุติจิตเกิดข้ึน คือตายไปใน อารมณนั้น จิตจะไปปฏิสนธิ คือเกิดใหมในภพภูมิหรือมิติที่เปนสุข เชน สวรรคชั้นตา งๆ สมดลุ โลก สมดุลใจ สมดุลธรรม 67 สมดลุ ใจ

และแลว จิตก็จะเริ่มขบวนการสลายขอมูลท่ีเปนบวกเหลาน้ัน ดวย การไปสรางสวรรคสมบัติ ทิพยวิมานตางๆ ใหจิตไดเสวยอารมณ นี่คือส่ิงที่ เรยี กวา “จติ สรา งรปู ” น่ันเอง แตถาผูใด กอนตาย ไปนึกถึงเร่ืองเนาๆ ท่ีเคยทําไมถูกตองเอาไว เร่ืองติดหนี้เขาแลวยังไมไดชดใช เรื่องที่ทําใหจิตขุนมัว โมโห... ดีไมดี จิต เกิดปรุงแตงเจตนาเปนอกุศล เกิดความเศราหมอง จุติจิตเกิดข้ึน คือตายไป ในขณะนั้น ก็จะไปปฏิสนธิเกิดใน อบายภูมิ-ภูมิท่ีปราศจากความเจริญ ๔ คือตกนรก หรือไมก ็เปน เปรต อสุรกาย หรือสัตวเ ดรัจฉาน จากทฤษฎีสมดุลใจ ท่ีกลาววา ทุกๆ ขอมูลท่ีใจรับรู แลวปรุงแตง เปนเจตนาบันทึกเขาสูใจ หากเจตนานั้นไมเปนกลาง ไดแกเปนบวก คือเปน บุญเปนกุศล หรือเปนลบ คือเปนบาปเปนอกุศล จิตจะพยายามปรับขอมูลท่ี ไมเ ปนกลางเหลา นน้ั ใหก ลบั มาเปน กลาง ทฤษฎีสมดลุ ใจ ในกรณีของ คนท่ัวไปทย่ี งั ไมตาย แมวันน้ีที่เรายังไมตาย คือจิตใจและรางกายยังดํารงอยู ทฤษฎี สมดุลใจก็ยังดําเนินไปตามปกติของมัน คือมีความพยายามท่ีจะสลายขอมูล ที่ไมเปนกลางเหมือนกัน เพียงแตวาสลายอยางไรๆ ก็ไมเทาทันกับขอมูล ใหม ท่ีทะลักทะลายเขามา เพราะเพียงเสี้ยววินาทีนั้น จิตไดเกิดดับๆ รับรู เรอื่ งใหมๆ ไปถงึ ลานๆ เร่ืองแลว แตอยางไรก็ตาม ส่ิงท่ีจิตไดปรุงแตงรับรูผานไปแลวเหลานั้น มันก็ ยังมีผล เพราะคาประมวลรวมของใจ หรือท่ีเรียกเปน ภาษาคณิตศาสตร วา คาอินทิเกรต (integrate) ของใจ ท่ีประมวลผลอันเกิดจากความคิด นึก ปรุงแตงของเราที่ผานมาแลว ไดกลายเปนอุปนิสัยความเคยชิน ท่ีสงผลตอ การตดั สนิ โลก หรอื อารมณท ่ีเขา มากระทบใหม พระภาสกร ภรู ิวฑฺฒโน (ภาวไิ ล) 68 ผลบุญคือกําลงั ชีวติ

ยกตัวอยางเชน ชายหนุมสองคนน่ังอยูดวยกัน มีหญิงสาวเดิน นวยนาดผานไป ชายหนุม คนแรกบอกวา โมทนาสาธุ เธอคงเคยทําความดี เปนผมู ีศลี ในอดีต วนั น้ีเธอจึงมีรูปโฉมงดงาม โมทนาสาธุๆๆ อยางนี้ จิตเปน กุศลไหมละ แตอีกคนหนึ่งบอก เฮย! จะขมขืนนังคนนี้ตรงไหนดี อะไรเกิดขึ้น จิตเปนอกุศล คิดในแงราย ท้ังๆ ที่ชายหนุมทั้งสองคนนั้น ไดเห็นภาพอยาง เดยี วกนั แตท ําไมทงั้ สองคน จึงปรงุ แตง ตดั สินใจไมเ หมือนกัน น่ันเพราะคาประมวลรวมของใจที่แตกตางกัน ถาที่ผานมาในอดีต สวนใหญคิดนึกปรุงแตงหนักไปในทางที่ช่ัว เปนอกุศล มันก็ประมวลและ ตัดสินไปในทางช่ัว แตถาสวนใหญเคยคิดนึกปรุงแตงหนักไปในทางท่ีดี เปน กุศล มันกป็ ระมวลและตดั สนิ ไปในทางดี อยูที่วา คุนเคย ฝกฝน คิดนึก ปรุงแตงกันมาอยางไร เคยฝกใจ ใหค ิดแบบไหนมา เพ่ือเปรียบเทียบใหเห็นภาพ ลองสมมุติวาใจของเราทําดวยโลหะ เอาวาทําดวยเหล็กก็แลวกัน ถาท้ิงเหล็กรูปหัวใจน้ีไว จนเกิดสนิมข้ึนเขรอะ ขรุขระไปหมด ถาหากเราตองการจะเอาสนิมออก เราจะทําอยางไร แนนอน ถามีตะไบ ก็เอาตะไบฝนใชไหม ถามีกระดาษทราย ก็ขัดถูกันเขาไป ถามี เปาแลนสําหรับเปาพนไฟ ก็พนไฟเขาใส จนกวาสนิมจะระเบิดออก การที่ จะตองฝน ตองขัด ตองพนไฟเผาผลาญ ไหมลนตางๆ ก็เพ่ือใหสนิมที่มา เกาะตดิ อยู ไดถูกชําระหลุดออกไป การสลายขอมูลที่เปนลบก็เชนกัน จิตตองสรางภาพใหเหมาะสม สอดคลองกับการขัดเกลา ขัดสี เผาไหม ขับไลขยะอารมณ ที่มีคาเปนลบ เหลาน้ันใหออกไปจากใจ โดยวิธีไหน ก็โดยวิธีสรางภาพ ท่ีจิตเคยมีสัญญาวา สง่ิ นั้นส่งิ น้ี สามารถกอใหเกิดความทุกขทรมานแกมัน จิตจึงจินตนาการสราง นรกขึน้ มา สมดุลโลก สมดุลใจ สมดุลธรรม 69 สมดุลใจ

นรกท่ีถูกใจสรางขึ้นนั้น ยอมเปนจริงสําหรับคนที่ตกนรก เพราะ เปนประสบการณตรง สมั ผัสตรง ที่เขา สจู ติ ของคนๆ นัน้ ในทางกลับกัน สวรรคก็เชนเดียวกัน สวรรคท่ีถูกใจสรางข้ึน เพ่ือ สลายความไมเปนกลางของขอมูลที่เปนบวก ก็เปนจริงของคนท่ีข้ึนสวรรค เปนประสบการณตรง ทสี่ มั ผสั ตรงเขา สูจิตของคนๆ น้ัน นี้ก็เปนไปในทํานอง เดียวกัน นึกถึงความฝน ในขณะที่เรากําลงั นอนหลบั และฝนไป และถาคนื นัน้ เราฝนราย ฝนวาตองว่ิงหนีผี หนีปศาจจนตับแลบ โอย ไมไหวแลว... เหนื่อย จังเลย... แตในขณะที่เรากําลังฝนนั่นแหละ อีกสวนหน่ึงของใจก็ยังรูอยูวา น่ีเรากําลังหลับฝนอยูนะ เพราะใจเราไมไดฝนเต็มรอย บางชวงก็อยูนอกฝน รับรูอาการที่หลับนอน สามารถเปลี่ยนอิริยาบถ พลิกตัวไปมา เพื่อคลาย ความเมื่อยขบได บางชวงก็กลับเขาไปในความฝน จิตว่ิงเขาว่ิงออก ทํางาน รับรูหลายหนาที่ แตอยางไรก็ดี เราก็ยังมั่นใจวา เราสามารถท่ีจะต่ืนข้ึนมาได เสมอ ถาตอ งการ ใชไหม...? เอาละ ในฝนน้ัน ว่ิงหนีผี เหนื่อยมาก เหน่ือยเหลือเกิน ผีมันก็ยัง ตามมาอยู ไมเอาแลว ไมไหว ตื่นเสียทีๆ ถาเราอยากจะต่ืน แตตื่นไมสําเร็จ ทําอยางไรก็ตื่นไมได จะทําอยางไร ถามวา ขณะนั้น ฝนจะเปนจริงหรือไม ความทุกขทรมานในฝนนั้น ใครเปนผูรับ ใจของเราเปนผูรับไมใชหรือ ทุกข ทรมานเกิดท่ใี คร กเ็ กดิ ข้ึนทีใ่ จของเรามใิ ชหรอื เชนเดียวกันในซีกโลก ในความเปนจริง ถาตรงน้ีมีเตาอั้งโลติดไฟ แดงฉานอยู พระภาสกรมาถึง ก็เอามอื ลวงลงไปควานถานแดงๆ จนเนื้อหนัง ไหมพอง ถามวาใครท่ีเจ็บปวด ใครท่ีทุกขรอน ก็พระภาสกรคนนี้... แลวใคร เลาที่เปนผูรับรู กายรับรูไดหรือไม ไมได... ผูท่ีรับรู ก็คือใจ ใจท่ีอาศัยกายน้ี แลวรูสึกหวงแหนกายน้ี ทนไมไดท่ีกายน้ีจะถูกไฟเผาไหมปวดแสบปวดรอน ใจดวงน้ีคือผูทุกขทรมาน เมื่อเปนเชนน้ี ถามวา คนอื่นจะเจ็บปวดแสบรอน แทนเราไดไ หม กเ็ ปนไปไมไ ด พระภาสกร ภูริวฑฒฺ โน (ภาวไิ ล) 70 ผลบญุ คอื กําลังชีวติ

เทียบกับคนที่ตกนรก นี่คือการตกนรกบนโลกมนุษย ลองเอามือ ควานลงไปในถานแดงดูสิ มันก็แสบรอน ปวดราวทรมาน จากกาย มาถึงใจ ใจท่ีถูกทรมานในนรกก็เชนเดียวกัน ภาพของนรกท่ีถูกใจ สรางขึ้นจาก จินตนาการ โดยการสะสมวิญญาณ คือความรูของแตละคน ซึ่งมาจาก สภาพแวดลอมทางสังคม และวัฒนธรรมท่ีไมเหมือนกัน นรกไทย นรกจีน นรกแขก จึงไมเหมือนกัน พระอรหันตจี้กงพาไปชมนรก ก็ไมปรากฏวาจะ เหมอื นกนั เปะ กับนรกของพระมาลัย สมดุลโลก สมดุลใจ สมดลุ ธรรม 71 สมดุลใจ

สวรรคของทานจี้กง เทวดาก็แตงชุดจีนรุมราม ลอยไปลอยมา สวรรคของพระมาลัย เทวดาเปนเทวดาไทย ใสชฎา แตงตัวเหมือนลิเก ครั้น มาดูเทวดาฝร่ังบาง ตามรูปขางโบสถในศาสนาคริสต เทวดาฝร่ัง ก็ตองมีปก มีแสงเรืองเปนวงกลมเหนือศีรษะ ท่ีแตกตางกันเชนน้ีเพราะอะไร เพราะจิต มันสรางภาพ เทากับท่ีเคยมีสัญญาอุปาทานวา น่ีคือความสุข นั่นคือความ ทุกข ใหสอดคลอ งกับการสลายของขอ มูลทีส่ ั่งสมมา ถาเปนขอมูลท่ีเปนบวก มันก็สลายขอมูลนั้นดวยการเสวยสุขใน สวรรค ทจ่ี ิตของมนั ปรงุ แตง ข้ึน แตถาขอมูลเปนลบ ท่ีเปรียบเสมือนสนิมท่ีขึ้นเขรอะบนหัวใจเหล็ก ก็ตองขัดถูแผดเผามันออกไป ดวยการเสวยนรก จิตของมันก็สรางภาพนรก ขึน้ มา เพื่อใหส อดคลองกบั ภาวะของการสลายขอ มูลทีเ่ ปน ลบเหลาน้ัน กระบวนการสลายขอมูล เปนกฎธรรมชาติของจิต แตการที่จะ สรา งภาพอยางไรใหส อดคลองน้นั เกดิ จากจินตนาการ นี้คือสาเหตุที่ นรก สวรรค ในแตละวัฒนธรรมจึงไมเหมือนกัน ถา คนที่มาจากยานเดียวกนั แลว จติ ไปปฏิสนธิอุบัติในภพภูมิเดียวกัน ก็นาจะ พบเห็นกันได เยย่ี มวมิ านของกันและกันได เหมอื นกบั ในโลกมนษุ ยน้ี บานของทานมีหองนอนไหม หองนอนของแตละทานเหมือนกัน ทุกอยางเลยหรือ แนนอน ยอมไมเหมือนกัน แตละคนยอมจะปรุงแตง หองนอนของตน เทาที่ตนพอใจ แลวเราขอดูหองนอนของคนอ่ืนไดไหม ได... ถา เขายนิ ยอมใหด ู แตย ึดเปน เจา ของแทนเขาไดไ หม ยอ มไมไ ด. .. เหมือนกัน ถาเราตกนรก อยูในขุมนรกใกลๆ กัน เคยเปนคนไทย เหมือนกัน มีวิถีชีวิตคลายๆ กัน ก็เห็นนรกของเขาไดเหมือนกัน คงจะ คลายคลึงกัน เพราะอยูในมิติท่ีใกลเคียงกัน นรกไทย นรกจีน นรกฝรั่ง สวรรคไทย สวรรคจีน สวรรคฝรั่ง ก็ลวนเปนผลจากการปรุงแตง หรือ จนิ ตนาการของจิต ทง้ั ทีเ่ ปน กศุ ลหรือเปนอกศุ ล พระภาสกร ภูริวฑฒฺ โน (ภาวิไล) 72 ผลบญุ คอื กาํ ลงั ชวี ิต

ถา อยใู นระดับที่พอๆ กัน สมมตุ วิ า เรามมี ิเตอรไปวัดวา มันสุขเทาไร หรอื ทกุ ขเ ทาไร แมภาพท่ีปรากฏจะไมเหมือนกัน แตเข็มมิเตอรน้ัน ก็ยอมจะ ชี้ไปพอๆ กัน ภาพท่ีปรากฏไมเหมือนกันน้ัน ก็เพราะปรุงแตงจินตนาการ จากประสบการณที่ไมเหมอื นกัน การตาย ก็เหมือนการเปล่ียนบานใหม ถูกขับ ถูกยาย พอใจหรือ ไมพอใจก็ตองยาย บานนี้จะเส่ือมสลาย ตองหาบานใหม ปญหาคือ ถาถูกชี้ หนาบอกวา ตองยายบานเด๋ียวนี้ วนั น้ี หา มอยบู า นเดิมแลวนะ เราจะหวั่นไหว ไหม โดยธรรมชาติเราคงตองหว่ันไหว ตองแสวงหาที่อยูใหม ตองโทรไปหา เพ่ือนฝูง หาทย่ี ดึ เหนีย่ ว เชน เดยี วกนั เม่ือเขาขั้นตรีทูต ตาดับ หูดับ จมูกดับ ล้ินดับ สัญญาณ ความตายใกลเขามา ส่ิงท่ีจะทําคืออะไร วิ่งเขาไปในคลังเก็บขอมูลของใจ เขา ไปคนดูวา มีอะไรที่เราพอจะใชเปนเครื่องพักพิงไดบาง เขาไปในคลังเก็บ ขอมลู ท่ใี จสะสมเอาไว ปรากฏวา ควานไปควานมาก็เจอขอมูล... ขอมูลทั้งหลายท่ีเรา เก็บเอาไว โดยเฉพาะขอมูลที่เปนบวกหรือลบ มันเปรียบไดกับตั๋วหนัง ต๋ัวหนังหน่ึงใบ ดูหนังไดนานถึงสองช่ัวโมง เพียงขณะจิตเดียว คือเศษหนึ่ง สวนส่ีลานลานวินาที ก็ไดตั๋วหนังมาแลวหน่ึงใบ ซ่ึงดูหนังไดนานถึงสอง ชั่วโมง แตไมใชทั้งหมดของขอมูลที่เรารับรูไวจะตองเปนบวกหรือลบ เฉพาะที่มีเจตนา อันเปนไปในกุศลกรรมบถ อกุศลกรรมบถ หรือท่ีเปน ฌานสมาบัติเทา นัน้ ทเ่ี ราตองเขา ไปแกไ ข ปรบั สภาพใหเ ปนกลาง อนันตริยกรรม : ในชีวิตเราอาจเคยทําผิดพลาด จงใจทําปนลั่นใส หัวพอตาย นั่นเปน “อนันตริยกรรม” กรรมใหญหลวง ซึ่งประทับไวในจิต อยางรุนแรง ฉะน้ันในหองที่เก็บขอมูลของจิตเรา จึงมีตั๋วดูหนังใบใหญเปน พเิ ศษ ชนิดท่มี ีสีสะทอนแสงโดดเดน สมดุลโลก สมดุลใจ สมดลุ ธรรม 73 สมดุลใจ

คร้ันเมื่อถึงคราวท่ีใกลจะตาย ถึงข้ันตรีทูต จิตกลับเขาไปในหองท่ี เก็บขอมูล เพ่ือหาอะไรเปนท่ียึดเหน่ียว แนนอน มันก็จะไปควาตั๋ว สุดเท เดน หรู สะทอ นแสงใบนั้นมาเปนใบแรก แลวก็เอามาปรุงแตง เปนใบสุดทาย ของชีวิต จุติ-ตายจากภูมิมนุษย ดวยจิตเศราหมอง แลวไป ปฏิสนธิแบบ โอปปาติกะกําเนิดในนรกอเวจี น่ีคือ อนันตริยกรรม-กรรมใหญหลวงใน ฝายอกุศล ที่เขาบอกวา ถาทําอนันตริยกรรมเชนน้ีไวแลว ในอนาคตชาติ ถัดไป ยอมลงนรกลูกเดียว เพราะกรรมชนิดนี้รุนแรง ใหผลชนิดท่ีไมมี ทางท่ีจะคลายออกได หรอื ลบเลือนไปจากใจในชาตนิ น้ั ๆ ได อาจิณณกรรม : แนนอน ถาเราเปนลูกที่ดีของพอแม พอแมเราขาย เปดขายไก ตอนเชา เราชวยเชือดคอเปดไก ใหพอแมเอาไปขาย เชามา เราก็ เชอื ดๆๆๆ ตลอดชีวิตของเรา มีขอ มูลเรื่องเชือดคอเปด คอไกม ากมาย ฉะนั้นในหองที่เก็บขอมูลของเรา จึงเต็มไปดวยขอมูลของเร่ืองน้ี หาตรงไหนๆ ก็เจอ ครน้ั ถึงคราวท่ีเราใกลจะตาย เขาขั้นตรีทูต จิตกลับเขาไป ในหองที่เก็บขอมูล เพ่ือหาอะไรเปนท่ียึดเหน่ียว ขอมูลเรื่องเชือดคอเปด คอไก ตรงไหนๆ ก็มีเต็มไปหมด โอกาสที่จะสุมเจอ มีมากไหม น่ีแหละที่เขา เรียกวา “อาจิณณกรรม” กรรมท่ีเราทําบอยๆ ทําถ่ีๆ โอกาสที่กรรมนั้นจะ พลิกมาเปน “อุปปชชเวทนียกรรม” - กรรมสงทาย ใหผลในภพที่จะไป เกิด คือภพหนา พาใหเราตกนรก กม็ โี อกาสสงู แตถาเราทําความดีบอยๆ เชน คุณยายรอตักบาตรกับเณรนอย ทุกๆ วัน อ่ิมใจกับภาพเณรนอยท่ีมารับบิณฑบาตดวยความสํารวม เห็นแลว ใจเปน กศุ ล มปี ติ ประกอบดวยเมตตา มีความสขุ เหลอื เกนิ จิตของคุณยายจึงมีขอมูลท่ีปรุงแตงเจตนาเปนกุศล วาดวยการได ตักบาตรกับเณรนอยทุกๆ วัน ขอมูลอันเปนกุศลน้ี จึงมีมากมายเต็มหอง เก็บขอมูลไปหมด โอกาสท่ีจิตสุดทายจะจับอารมณอันเปนกุศลได จึงมี คอนขางสูง ดวยอานิสงสท ่ีตกั บาตรกบั เณรนอ ยเปน ประจํานั่นเอง พระภาสกร ภรู ิวฑฒฺ โน (ภาวิไล) 74 ผลบุญคือกาํ ลังชีวติ

อีกตัวอยางหนึ่ง คือกรณีของเจาพอเมืองหลวง คุณแคลว ธนิกุล ซึ่งถูกกลุมมือปนลอมยิงจนเสียชีวิตคารถยนต ตามเนื้อขาวน้ัน ที่ขางตัวของ คุณแคลวมีปนส้ันตกอยูหน่ึงกระบอก ซ่ึงคาดวาคุณแคลวคงคิดจะตอสู ปองกันตัว เม่ือคิดจะตอสูปองกันตัว ภาวะของจิตขณะนั้น นาจะเปนอยางไร อกุศลใชไหม ในเม่ือมึงคิดจะฆากู กูก็จะฆามึง ชาติเสือตองไวลาย ขณะที่คิด จะฆา เขา จติ เปนอกศุ ล เปน โทสะ-คือจิตโกรธใชไหม แตถาใครจําภาพขาว ในหนังสือพิมพเดลินิวสได คุณแคลวตายใน ขณะท่ีอมอะไรไวในปาก อมพระสมเด็จ จิตสุดทายยึดเหนี่ยวพระสมเด็จเปน ที่พ่ึง คุณแคลวโชคดีมากท่ีมีพระสมเด็จติดตัว แมจะเอาชีวิตไมรอด แตคุณ แคลว กร็ อด คอื รอดจากนรก เพราะหลังจากที่คุณแคลวตายวันเดียว เขาทราย กาแลคซ่ี ขึ้นเวที ชกมวยปองกันตําแหนงเอาไวได มีการมอบรางวัลบนเวที มีผูเห็นคุณแคลว ปรากฏตัวอยูบนเวที ผานจอโทรทัศน หลังจากนั้นอีกหนึ่งวัน หนังสือพิมพ ไทยรัฐลงขาววา มีผูเห็นคุณแคลวแตงชุดสากล เดินเขาไปในสมาคมมวย แหง ประเทศไทยฯ แลวถัดมาหลายป หลวงปูโงน โสรโย เขียนหนังสือเรื่อง พระพ่ีนาง สุพรรณกัลยา เลาวา ครั้งหน่ึงทานไปกิจนิมนตในกรุงเทพ แลวรถที่นัดไวไม มารับ ปรากฏวาคุณแคลว เอารถลีมูซีนมารับทานไปสงท่ีวัด น่ันคือ... ผีคุณ แคลว เอารถลีมูซีนผี มารับทาน ไปสงวัด เปนการยืนยันวา คุณแคลวไมได ตกนรก แตเ ปนเทวดา จงึ สามารถแสดงฤทธ์สิ รา งกศุ ลเชนน้นั ได นี่อยางไร ขณะจิตสุดทายที่เปนกุศล ระลึกยึดเหน่ียวในพระสมเด็จ มพี ุทธานุสติ เปนอารมณ จงึ มีสทิ ธ์ทิ ี่จะเสวยผลจากขอมลู ทีเ่ ปน บวกกอน แตในตัวอยางนี้ นานเทาใดจึงจะใชขอมูลที่เปนกุศลหมดไป ก็ก่ี วินาทีที่ระลึกถึงพระสมเด็จ เพียงแคหน่ึงวินาที จิตเกิดดับไปแลว สี่ลานลาน ขณะ หน่ึงวินาที ก็ไดตั๋วมาต้ังสี่ลานลานใบ ตั๋วหนึ่งใบ ดูหนังไดสองช่ัวโมง ถามวาคณุ แคลวจะเปน เทวดาไดนานแคไ หน สมดลุ โลก สมดุลใจ สมดุลธรรม 75 สมดุลใจ

ทานคูณเอาเองก็แลวกัน เพราะเพียงแควินาทีเดียวเทาน้ัน ที่จิตจับ อารมณอ นั เปน กุศล ก็สงใหเปนเทวดาไดเนิ่นนาน ใชขอมูล คือต๋ัวหนังทีละใบ ทีละใบ... ใบท่ีหน่ึง ดูหนังเรื่อง “เทวดาพาสุข” ดูนาน ๒ ชั่วโมงจบ เอาต๋ัว ถัดไปขึ้นมาดูตอ ก็เรื่องเดิมอีก “เทวดาพาสุข” ดูไปสี่ลานลานรอบ ก็เร่ือง เดิมตลอด “เทวดาพาสุข” ยาวนานเหลือเกิน แตพอหมดตั๋วเม่ือไร คราวนี้ละ เดอื ดรอ น ในกรณีของคุณแคลว กอนขาดใจตาย ท่ีเอาพระสมเด็จ อมไวในปาก ไมทราบวาระลึกถึงพระสมเด็จไดนานแคไหน แตเม่ือเสวยสุขในสวรรค คือ ใชต วั๋ หนังเร่ือง “เทวดาพาสุข” หมดเมื่อไร ก็ตองเจอกับขอมูล หรือต๋ัวหนังที่ บันทึกไวกอนหนา คือขณะท่ีโกรธแคนศัตรู ชักปนจะตอสู “มึงคิดฆากู กูก็จะ ฆามึง มึงตองตาย” เห็นไหม ขอมูลอะไร ความโกรธ แคน ความหมนไหม ขุน มวั อารมณใ จอยางน้ี กเ็ ทากบั จองตวั๋ หนงั ไวอกี เชน กนั แตคราวน้ีเปนหนัง สยองขวัญ เรื่อง “ไฟนรกสุดขอบฟา” ซ่ึงขึ้นอยูวา ความโกรธแคนนั้น เกิดขึ้น นานแคไหน ก่ีวินาที คูณเขากับอัตราการเกิดดับรับรูของจิตในหน่ึงวินาที คือราวส่ีลานลานขณะจิต แลวคูณดวยเวลาที่ใชในการเสวยผล ของแตละ ขณะจิต อยางท่ีเปรียบเทียบกับต๋ัวหนัง คือต๋ัว ๑ ใบ ดูหนังไดนาน ๒ ชั่วโมง เรากจ็ ะรเู วลาทั้งหมดท่เี ขาตอ งใชในการดูหนงั เร่ือง “ไฟนรกสดุ ขอบฟา ” แตปญ หากค็ ือ เราไมรูวา ๑ ขณะจิต ที่จิตรับรูและมีเจตนา ในขอมูล น้ัน จะสงผลใหตองไปเสวยผล ไปชดใชเน่ินนานเทาใด และจะแตกตางกัน ไหม ถาไปเสวยผลอยูในมติ ทิ ีม่ ีความละเอียดสุขมุ ลมุ ลกึ แตกตา งกัน... จึงสรุปในกรณีของคุณแคลววา โดยเหตุที่อมพระสมเด็จไวในปาก จิตสุดทายจึงมีพุทธานสุ ติเปน อารมณ ไดไปเสวยผลในภพอันเปนสุข คือเปน เทวดาในสวรรคก อ น พระภาสกร ภรู วิ ฑฒฺ โน (ภาวิไล) 76 ผลบญุ คือกําลงั ชวี ิต

แตหากเสวยผลเพลิน ไมไดประกอบบุญกุศลเพ่ิม ครั้นหมดกําลัง ของขอมูล หรือต๋ัวหนังเร่ือง “เทวดาพาสุข” แลว ยอมจะกลายเปนเทวดา ตกสวรรค ทะลุเลยโลกมนุษย ลงไปอุบัติขึ้นในนรกโดยทันที ตามประเภท หรือหนังท่ีจองเอาไวก อ น คือ “ไฟนรกสุดขอบฟา” ถาเปนนักปฏิบัติกรรมฐาน ท่ีชอบนั่งสมาธิ ปฏิบัติในทางสมถะ ภาวนา เวลาท่จี ิตลงฐานเปนสมาธิ ไดฌานขั้นตางๆ มีความสงบ นิ่งลึก ด่ืมดํ่า แนวแนเปนอารมณเดียว อยูในฌานน้ันนานๆ โยคีบางคนอยูไดนานถึง ๗ วัน ๗ คืน ตลอดชวงเวลาน้ัน ไดตั๋วเรื่องเดียวกันเกือบทั้งหมด ต๋ัวหน่ึงใบ ดูหนังได ๒ ช่ัวโมง คํานวณหาจํานวนขณะจิต ที่เกิดขึ้นในชวงเวลา ๗ วัน แลวเอามาคูณดู จะทราบเวลาของการเกิดเปนพรหม อันเน่ืองจากการ เขาฌานทําสมาธินั้นๆ ฉะนั้น การเกิดในพรหมโลก เสวยผลของฌาน มันจึง เนิน่ นาน ก็เพราะเหตุนี้เอง ตอจากนี้จะตอบคําถามท่ีวา ทําไมเวลาในภพภูมิของจิต มันถึงได ยาวนานนกั ทําไมตัว๋ หนังหน่งึ ใบ มันจึงดูหนังไดนานถงึ ๒ ชว่ั โมง เพราะขณะ จติ เดยี ว ท่ีรบั ตวั๋ หนงั เขามานน้ั มันแคเ ศษหนง่ึ สว นสลี่ า นลา นวินาที แตพอถึง เวลาเอาต๋ัวไปใช กลับตองดูหนังนานถึง ๒ ช่ัวโมง ทําไมมันถึงแตกตางกัน มากมาย แลวอัตราขยายของเวลานี้ มนั จะมาจากไหน ลองพิจารณา ทฤษฎีสัมพัทธภาพของ อัลเบิรต ไอนสไตน ท่ีวา “อะไรก็ตามที่เดินทางเร็วกวาแสง เวลาของมันจะยืดออก” ส่ิงเดียวที่เรา รูวา เดินทางเร็วกวาแสงแนๆ ก็คือจิตน่ีเอง จิตนั้น นึกถึงปุบ ก็ไปถึงปบ นน่ั คอื อะไร น่ันคอื เวลาในภพของจิตน้นั มันจะขยายออกดวยอัตราท่ีแนนอน หนึ่งอัตรา ซ่ึงเราก็ไมรูวาเปนเทาไร แตสมมุติเอาวา เปรียบเสมือนตั๋วหนัง ๑ ใบ เอาไปดหู นัง (และตองแสดงรว มดวย) ไดน าน ๒ ชั่วโมง กแ็ ลวกนั สมดุลโลก สมดลุ ใจ สมดุลธรรม 77 สมดุลใจ

แลวการไดเกิดเปนมนุษยเลา มันจะยากขนาดไหน กวาท่ีเราจะเจอ ต๋ัวหนังของความเปนมนุษย ซ่ึงก็คือขณะจิตท่ีมีเจตนา ในความไม เบียดเบียนตนเองและผูอ่ืน ท่ีเรียกวา “ความเปนผูมีศีล” ศีล ๕ ศีลแหงความ เปน ปกติ ซึ่งขณะจิตชนดิ นเ้ี ทานั้น จงึ จะเหมาะสมแกการไดเกดิ มาเปนมนุษย แตอยาลืมวา เม่ือใชขอมูลหรือต๋ัวหนังใบอ่ืนๆ ไปแลว จนมาถึง ขอมูลหรือต๋ัวหนังของความเปนมนุษย ถาในขณะนั้น ยังไมมีแดนเกิด หรือ พอแมที่เหมาะสม การไดเกิดเปนมนุษยอยางแทจริงก็เกิดข้ึนไมได ตองเกิด แบบโอปปาติกะ ในภพภูมิของจิต ท่ีเสมอกันกับภูมิจิตของมนุษย อยางท่ีมี ศัพทเรียกวา “สัมภเวสี” เปนผูลองลอยแสวงหาแดนเกิด คือพอและแมกัน ตอไป ซึ่งคําวาสัมภเวสีนี้ ความหมายอยางกวางคือ ทุกชีวิต ตราบใดท่ียัง เวียนวายตายเกิดอยู ยังไมถึงพระนิพพาน ก็นับวาเปนสัมภเวสีไดท้ังส้ิน แต ในความหมายท่ีแคบลงไป หมายถึงเฉพาะผูท่ีแสวงหาแดนเกิดในความเปน มนษุ ยแ ละเดรัจฉานเทา นั้น การจะไดเกิดจริงๆ หรือไมนั้น ก็ขึ้นอยูวา มีโลกมนุษยใหเราเกิด หรือไม มีพอกับแม ท่ีมีวิบากกรรมตองมาใชกรรมรวมกับเราหรือไม พอกับ แมน้ันตองไมเปนหมัน ไมคุมกําเนิด มีเพศสัมพันธกัน มีการรวมตัวของ โครโมโซมหรือดีเอ็นเอของท้ังสองฝาย ถามีครบ ก็มีโอกาสเกิด ถาไมมี ก็ตัว ใครตัวมัน ตองรอเวลาไปกอน แตก็คงไมนาน เม่ือคิดเทียบกับเวลาในมิติ ของจติ ซึ่งยาวนานกวากนั มาก การไดเกิดเปนมนุษย เปนของยากมาก ยากแคไหน ทางสมดุลใจ ก็ไดกลาวไปแลว ทีนี้มาดูทางโลกบาง ถาเราไดศึกษาวิชาวิทยาศาสตร ใน ปจจุบันนี้นักดาราศาสตรฟสิกส ไดเสนอทฤษฎีเก่ียวกับการอุบัติเกิดขึ้น ของ เอกภพหรือจักรวาล คือ ทฤษฎีเอกภพเกิดจากการระเบิดครั้งใหญ (Big Bang Universe) และทฤษฎีเอกภพสลับ (Oscillating Universe) ซึ่งเชื่อวา เอกภพหรือจักรวาลปจจุบันน้ัน เกิดจากการระเบิดคร้ังใหญในอดีต เม่ือ ประมาณ ๑๕,๐๐๐ ลานปม าแลว พระภาสกร ภรู วิ ฑฺฒโน (ภาวิไล) 78 ผลบญุ คือกําลงั ชีวิต

ท้ังน้ีเพราะพบหลักฐานวา กลุมดาว หรือกาแลคซ่ีทุกกลุม กําลัง เคลอ่ื นทถ่ี อยหางออกไปดวยความเร็วสงู ตลอดเวลา แตกระนน้ั การขยายตัว ของจักรวาลยอมมีจุดจบ กลุมดาวหรือ กาแลคซี่ ที่กําลังวิ่งหางออกไป ในทุก ทิศทุกทาง ดวยความเร็วสูงในขณะนี้ ทายสุด ดวยอิทธิพลของสนามแรง โนมถวง ท่ีขึ้นอยูกับความหนาแนนเฉลี่ยของมวลสารในเอกภพ หากความ หนาแนนของมวลสาร มีเกินกวาจุดวิกฤตคาหน่ึง จะเกิดสนามแรงดึงดูด มหาศาล ท่ีมีพลังมากพอที่จะดึงเอา กาแลคซ่ี ท่ีกําลังว่ิงออกไปอยูในขณะนี้ ใหมีความเร็วชาลงจนหยุดน่ิง แลวถอยหลังหลนกลับมายังจุดเริ่มตนอีก ซ่ึงในที่สุด กลุมดาวกาแลคซ่ี จะชนกันจนเกิดการระเบิดครั้งใหญ ทฤษฎีเอก ภพสลับกลาววา วัฏจักร ทวนซํ้าของการเกิดเอกภพเชนนี้ เกิดขึ้นทุก ๘๐,๐๐๐ ลานป หมายความวา จักรวาลจะเกิดดับ เกิดดับ สลับกันไปทุกชวง ๘๐,๐๐๐ ลานป น่ันหมายความวา หากทฤษฎีนี้เปนความจริง อีกประมาณ ๖๕,๐๐๐ ลานปขางหนา จักรวาลของเราก็จะถงึ จดุ จบ แลวกจ็ ะเกดิ ขึน้ ใหมอีก เอกภพ หรอื จกั รวาลปจ จบุ ัน เกิดจากการระเบดิ คร้ังใหญในอดีตเม่ือประมาณ ๑๕,๐๐๐ ลานปลวงมาแลว หลังจากนั้นประมาณ ๘,๐๐๐ ลานป จึงเกิดกาแลคซี่ขึ้น จนกระท่ังประมาณ ๕,๐๐๐ ลา นปทผี่ านมา จงึ ไดเ กดิ ระบบสุรยิ ะจักรวาลของเรา สมดลุ โลก สมดุลใจ สมดลุ ธรรม 79 สมดุลใจ

สวนกําเนิดของชีวิตนั้น จากหลักฐานซากดึกดําบรรพที่มีอยู พบวา เม่ือประมาณ ๕๐๐ ลานปท่ีผานมา ชีวิตไดเริ่มกอเกิดข้ึนอยางมากมายบน โลกของเรา เร่ิมจากในทะเล แลวจึงขยับขยายขึ้นมาสูแผนดิน และมี วิวัฒนาการตอเน่ืองมาจนถึงยุคไดโนเสาร คือเมื่อประมาณ ๒๐๐ ลานปท่ีแลว ท่ีไดโนเสารไดเร่ิมครองโลก จนกระท่ังสูญพันธุไปเม่ือประมาณ ๖๕ ลานป ที่ผานมา สวนสัตวเล้ียงลูกดวยนม เริ่มปรากฏวิวัฒนาการขึ้น เม่ือประมาณ กวา ๑๐๐ ลานปที่แลว คือในชวงทายของยุคไดโนเสาร และวิวัฒนาการ สบื สายจนมาถงึ ปจจุบนั สวนมนุษยน้ัน ตามหลักฐานที่มีอยูเช่ือวา บรรพบุรุษของมนุษยเริ่ม เกิดข้ึนเม่ือประมาณ ๕ ลานปลวงมาแลวเทานั้น ฉะนั้นเมื่อเทียบระยะเวลา ต้ังแตเอกภพหรือจักรวาลนี้ไดอุบัติขึ้น กับชวงเวลาท่ีมีมนุษย เกิดขึ้นมารับรู โลกและจักรวาลน้ัน มันตางกันเหลือประมาณ คือระหวาง ๑๕,๐๐๐ ลานป กับ ๕ ลานป ตางกันถึงสามพันเทา น่ันบงชี้วา โอกาสในการเกิดเปนมนุษย โดยเฉพาะในทางโลกแหงวตั ถนุ ้ี กช็ า งเปน ความลําบากยากเยน็ เสยี จริงๆ เพราะในชวงเวลาส้ันๆ ของเอกภพน้ีเอง ที่เกิดมีสุริยะจักรวาลข้ึน และในสุริยะจักรวาล ก็มีดาวเคราะหดวงนอยๆ ดวงหนึ่ง คือโลกมนุษย ที่ คอยๆ เย็นลง จนมีสภาพท่ีเหมาะสมแกการกอเกิดของสิ่งมีชีวิต ท่ีจะ วิวัฒนาการตอไป จนถึงความเปนมนุษย จึงจะมีโลกอันเปนท่ีเหมาะสมให เกดิ มาเปนมนุษยได แลวจังหวะนั้นเอง ก็ตองเปนจังหวะท่ีพอดีๆ กับการท่ีจิตของเรา ไปเสวยผลของขอมูล หรือตั๋วหนังตรงชวงนี้ ที่มีภาวะของภูมิ คือเจตนาใน ขณะน้ันเทากับศีล ๕ คือความไมเบียดเบียน ทั้งตอตนเองและผูอ่ืน อันเปน คุณธรรมของความเปนมนุษยพอดี และไดหยอนตัวลงมาเกิด กับพอแมที่มี กรรมเกี่ยวของกับเรามาแตอดีต ไดอยางพอดิบพอดี ถึงจะมีโอกาสไดเกิด เปน มนุษยอ ยา งแทจริง พระภาสกร ภูริวฑฒฺ โน (ภาวิไล) 80 ผลบุญคือกําลังชวี ิต

สมดลุ โลก สมดลุ ใจ สมดลุ ธรรม 81 สมดลุ ใจ

ฉะนั้นการไดเกิดเปนมนุษย จึงเปนของท่ีเรียกวา โคตร ของโคตร ของโคตร มหายากส มีการเปรียบเทียบไววา ถามีหวงตาเดียว ลองลอยอยู กลางคล่ืนลมในมหาสมุทร โอกาสที่เตาตาบอด ชนิดที่ ๑๐๐ ป จะโผล ขน้ึ มาหายใจทผี่ วิ นาํ้ ครงั้ หนึง่ จะโผลข น้ึ มาทตี่ รงกลางของหวงตาเดียวน้ัน ยากเย็นขนาดไหน โอกาสที่จะไดเกิดเปนมนุษย มันก็ยากขนาดน้ัน หรือ ยิง่ กวานัน้ เสยี อีก แลว ทานวา จริงไหม ? แตกระนั้น หลายคนก็ยังมีขอกังขาใจวา ถาหากการเกิดเปนมนุษย นั้นยากจริง ไฉนทุกวันน้ี มองไปทางไหน ก็เจอแตผูคนมากมายเกลื่อนกลน ไปหมด แถมบางสมัย บางประเทศยังมีปญหาประชากรลนโลกเสียดวยซ้ํา ขอแกวา สรรพสัตว สรรพวิญญาณ สรรพชีวิต ในโลก ในจักรวาลน้ี มีอยู มากมายเหลือคณานับ จิตวิญญาณหรือธาตุรูนั้น เกิดและพัฒนาขึ้นมาอยู ตลอดเวลา ขอไดโปรดพิจารณารังมด รังปลวก หรือไขปลา ดูวา จํานวนชีวิต ทเ่ี กิดตายๆ หมุนเวียนในสังสารวฏั นี้ มนั มากมายขนาดไหน ฉะน้ัน เมื่อมองโดยปจเจกบุคคล การไดชาติเกิดเปนมนุษยน้ัน สุดแสนจะยากเย็นแสนเข็ญอยางท่ีกลาวแลวเพียงไร แตดวยจํานวนอัน มโหฬารของชีวิต ทําใหดูเหมือนวา การไดเกิดเปนมนุษยน้ัน มันไมนาจะ ยากเยน็ จนเกินไป แตในความเปนจริง เราคือผูมีโชค โชคดีเหลือเกินท่ีไดมีโอกาส เกิดมาเปนมนุษย โชคดีอยางที่สุดท่ีมีพอและแมมาเปนแดนเกิดใหแกเรา โชคดีมหาศาล ที่ไดเกิดอยูในชวงของเวลาอันนอยนิดของเอกภพ ที่มีความ เหมาะสมเกือ้ กูลตอการเกิด และอบุ ตั ิขึน้ ของมนุษยชาติ ฉะนั้น... เมื่อเราไดมีโอกาสเกิดมาเปนมนุษยแลว จึงไมควร ประมาท... เรงทําความดี อยา ใหเสยี เวลา อยา ใหเ สียชาตเิ กดิ ... พระภาสกร ภูริวฑฒฺ โน (ภาวิไล) 82 ผลบุญคือกําลงั ชีวิต

สมดลุ ธรรม การพนไปจากวัฏสงสาร จากที่กลาวมาแลวทั้งหมด เราจะไดคําตอบวา อะไรคือสาเหตุ ท่ีทํา ใหเราตองมาเวียนวายตายเกิดอยูทุกวันนี้ นั่นเปนเพราะขอมูลจํานวน มหาศาลในจิตของเรา ท่ีเราส่ังสมขึ้นดวยเจตนา ทั้งเจตนาที่เปนกุศลบาง หรอื อกุศลบาง วุน วายไปหมด มนั มีมากมายเหลือเกิน... แลวตราบใดก็ตาม ที่เรายังมีความยึดถืออยูวา น่ีคือตัวเรา น่ีคือ ของๆ เรา น่ีคือ วิญญาณ-ขอมูลความจดจํา ท่ีมีสัญญาบันทึกเอาไวของเรา ตราบน้ัน พันธนาการแหง อุปาทาน-ความยึดถือ ในอัตตาความเปนตัวตน ของเรา กจ็ ะผูกมัดเราไว กบั การทีจ่ ะตองไปเสวยผลจากขอมูล ซ่ึงก็คือเจตนา หรือกรรมทไ่ี ดก ระทํามาแลว ในอดีตนนั่ เอง แลว อุปาทาน-ความยึดถือในความเปน ตัวตนเราเขา อยทู ่ีไหน ก็อยู ที่ วิญญาณ-ความรูความจดจํา ที่เคยมี สัญญา-ความจําไดหมายรู นํามา บนั ทกึ ไวในจิตทัง้ ปวง อนั เปน ประสบการณ ที่ชวี ติ นน้ั ๆ ไดดาํ เนนิ มา แลวมีอุปาทานความยึดถือเกิดข้ึนวา นี่คือประสบการณชีวิตของฉัน นีค่ อื ฉนั ความรูที่ผานมาท้ังหลาย นี่คือตัวฉัน ถายังยึดถืออยูอยางน้ี วาขอมูล ทั้งที่เปนบวกและลบ ที่เรากอเจตนาดําเนินมาทั้งหมดน้ัน คือของเรา คือ ความเปนตัวเรา แลวถามวา ขอมูลของเจตนา ที่มีอยูมากมายมโหฬารถึง ขนาดน้ัน จะมีวนั ใชห มดหรือ? ไมมีทาง ใชเทาไรก็ไมมีวันหมด เพราะเพียงชาตินี้ เราเก็บขอมูล เอาไวแลวเทาไร หนึ่งวินาที เกิดดับรับรูขอมูลไปมากถึง สี่ลานลานขอมูล ถาเราเกณฑเอามาเพียงแค ๑๐ เปอรเซ็นตของขอมูล ใหเปนขอมูลที่ ประกอบดวยเจตนา ก็จัดวามโหฬารแลว แลวตลอดชีวิตของเราละ ขอมูล ของเจตนาท่ีสะสมมามากมายกา ยกอง จะทาํ อยา งไร ? สมดุลโลก สมดลุ ใจ สมดลุ ธรรม 83 สมดลุ ธรรม

มันก็นาสนใจตรงน้ี เพราะเม่ือใดก็ตาม ที่ไดเกิดมาเปนมนุษย มีรางกายประกอบดวยอายตนะภายใน คือเคร่ืองรับรูท้ัง ๕ อันไดแก ตา หู จมูก ล้ิน และกายประสาท เราก็เร่ิมตนรับรู และปรุงแตงใหมๆ จวบจนมี วญิ ญาณ ความรู ขอ มูลใหมๆ มาบันทึกเพ่มิ เขา สูใจ... แลวขอมูลเกาหายไปไหน ขอมูลเกาไมไดหายไป แตสงผลโดย องครวม กลายเปนสันดานและวาสนา ท่ีใชปรุงแตงตัดสินตออารมณ ภายนอก ซงึ่ ก็คือโลกนน่ั เอง ยกตัวอยางทารกสองคนนอนอยูในเปล ทัง้ สองคนใหความสนใจตอ โลก และตัดสินโลกไมเทากัน ทารกคนแรกเห็นใครเขา ก็หัวเราะกิ๊กๆ ก๊ักๆ ดีใจไปหมด เปนเด็กนารัก สามารถเอาไปถายแบบ ถายภาพยนตรโฆษณา สินคา ได แตทารกอีกคนหน่ึง ตะเบ็งเสียงรองไหอยูนั่นแหละ เห็นอะไรก็ดูจะ เกลยี ดชังไมช อบใจไปเสียหมด ไหน... ใครที่บอกวา เด็กทารกเปนผูบริสุทธ์ิ เด็กทารกน้ันบริสุทธิ์ ดูเหมือนไรเดียงสา เพียงเพราะไมสามารถใชเคร่ืองมือ คืออวัยวะไดเต็มท่ี มันกเ็ ทานั้นเอง ถาทารกสามารถพูดไดบน ได มหี วงั บน จนเราหชู า น่ีเปนเพราะ คาประมวลรวม (Integrate) ของใจ คือสันดานและ วาสนาน้ัน มันไดมีการสั่งสมมากอนแลว จากภพชาติในอดีตที่ผานมา ซ่ึงจะ สงผลใหเกิดการตัดสินตอโลกท่ีไมเสมอกัน ฉะนั้นการท่ีมีผูพูดวา เด็กทารก น้นั เกิดมาพรอมกบั ความเปน ผมู ีใจบริสุทธิน์ ัน้ ยอมไมเ ปนความจริง ถาอยางนั้น ทําอยางไร เราจึงจะสามารถหลุดพนไปจาก วัฏจักร ของการเวยี นวา ยตายเกิด...? ตอบวา เมื่อใดก็ตาม ท่ีเราสามารถทําลาย อวิชชา-ความไมรูตาม เปนจริง อันเปนท่ีมาของ มิจฉาทิฏฐิ-ความเห็นผิด, โมหะ-ความหลง และ อุปาทาน-การใหคุณคาที่ไมเปนจริง ที่เปนไปใน ขันธ ๕ ท้ังภายในและ ภายนอก อนั กอใหเกดิ อตั ตวาทปุ าทาน-ความยึดถือในตัวตนเราเขา... พระภาสกร ภูริวฑฺฒโน (ภาวไิ ล) 84 ผลบญุ คือกาํ ลังชีวติ

ซง่ึ ความเปนตัวตนเราเขานเี้ อง ทป่ี รากฏแตกตางกนั ตามสภาวะของ วิญญาณ คือความรู หรือขอมูลที่บันทึกส่ังสมไวในจิต ไมวาจะเปนบวก ลบ บญุ บาป กศุ ล หรอื อกศุ ลทง้ั ปวง... เม่ือนน้ั เราจะสามารถหลุดพนจากวัฏจักรของการเวียนวายตายเกิด สูภาวะความเปน ธาตรุ ู ท่เี ต็มอม่ิ อิสระบริบูรณ กลาวคอื พระนิพพาน แตถาหากเรายังปรารถนาท่ีจะเปนเทวดา เพื่อที่จะเสวยสุขในสุคติ โลกสวรรคอยู หรือปรารถนาในความเปนพรหม เพ่ือเสวยผลในพรหมโลก อยู แนนอน นรก เปรต อสุรกาย และความเปนสัตวเดรัจฉาน ก็ยังมีที่วาง สาํ รองเอาไวสาํ หรับเราอยูเ สมอ เพราะอะไร เพราะตราบใดท่ีเรายังมีความเห็นผิด ที่ยึดถือในความ เปนตัวตนเราเขา ยังพอใจในการเสวยผลจากขอมูล ท่ีประกอบดวยเจตนา ในสวนที่เปนกุศลอยู ขอมูลอ่ืนๆ ท่ีประกอบดวยเจตนาในสวนท่ีเปนอกุศล เลา จะทิ้งมนั ไปไดอ ยางไร เพราะไมวาขอมูลท่ีเปนกุศล หรือเปนอกุศล มันก็มีสถานะ เชนเดียวกัน คือลวนเปนวิญญาณ กลาวคือความรู ท่ีจิตไดบันทึกเอาไว นั่นหมายความวา ถาจะรับ ก็ตองรับท้ังหมด ถาจะทิ้ง ก็ตองทิ้งทั้งหมด ท่ีจะ เลือกเอาเพียงสว นใดสวนหนง่ึ แลวไมเอาสว นอื่น ยอมเปน ไปไมได แตที่สุด ดวยการปฏิบัติตามพระธรรมคําสอน อันเปนผลจากการ ตรัสรูของพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจา ซ่ึงมีการปฏิบัติ เปนไปในวิถีแหง มรรคมีองค ๘ หรือ มัชฌิมาปฏิปทา-ทางสายกลาง อันสามารถประมวลเปน ไตรสิกขา คือศีล สมาธิ ปญญานั้น ดวยความเด็ดเด่ียว ม่ันคง และซ่ือตรงตอ ธรรม เราจึงสามารถทําลาย สังโยชน-กิเลสท่ีรอยรัดเราไวกับการเวียนวาย ตายเกิดในสังสารวัฏได… ถาเราสามารถตัดสังโยชนเบ้ืองต่ํา ๓ ประการ กลาวคือ (๑) สักกายทิฐิ ความเห็นผิด ท่ีเปนไปในกาย (๒) วิจิกิจฉา ความ ลังเลสงสัย ในพระรัตนตรัย (๓) สีลัพพตปรามาส ความเห็นผิดยึดมั่นในศีล พรต อันเปนสภาพไมปกติในการดําเนินชวี ิต สมดุลโลก สมดุลใจ สมดลุ ธรรม 85 สมดลุ ธรรม

ทานผูสามารถตัดสังโยชนท้ังสามขอน้ีได ยอมเปน ผูมีศีลบริสุทธิ์ บริบูรณ เปนคุณสมบัติ จัดเปนพระอริยบุคคลข้ัน พระโสดาบัน แมจะยัง ตองเวียนวายตายเกิดอยู ก็เหลืออยางสูงเพียง ๗ ชาติเทาน้ัน ก็จะสามารถ พัฒนา พนจากการเวยี นวา ยตายเกดิ เขา สพู ระนพิ พานได และประการสําคัญคือ เปนคุณธรรมซ่ึงปดอบาย ไมเปดโอกาสใหผู เขาถึงความเปนพระโสดาบันแลวนั้นไปสูภพเบ้ืองต่ํา กลาวคือ นรก เปรต อสรุ กาย และความเปนสัตวเดรัจฉานอีก ท่ีเปนเชนน้ี เพราะอํานาจของความ บริสุทธิ์แหงศีล ดวยไมมีเจตนาอีกเลย ในการท่ีจะลวงศีล และเจตนาในศีลน้ี กจ็ ะมอี ํานาจครอบงําใจ จนไมเปด โอกาสใหจ ิตปรงุ แตงตกตํ่าไปมากกวา น้ีได ฉะน้ันเม่ือถึงวาระสุดทายของชีวิต จิตของพระโสดาบันยอมมีศีล เปนบาทฐาน ภพในภายภาคหนาของพระโสดาบัน จึงไมมีทางที่จะต่ําไปกวา ความเปน มนุษย ดีกวาน้ัน คือเปนผูมีสมาธิ สามารถกําราบสังโยชนเบ้ืองกลางอีก ๒ ขอ กลาวคือ (๔) กามราคะ ความโลภ ความปรารถนาทะยานอยากในกาม และ (๕) ปฏิฆะ ความโกรธ ความครนุ ขุนแคน ขัดเคืองใจ ถาสามารถกําราบใหเบาบางลง แตยังไมขาดสูญเสียทีเดียว ก็เปน พระสกิทาคามี จะมาเกิดใหมอีกเพียงชาติเดียว แลวจะทําความรูแจงจนถึง พระนพิ พาน ในชาติแหงการเกดิ ใหมน นั้ ถาอํานาจสมาธิมีกําลังมาก จนเปนผูบริบูรณในสมาธิ สามารถ กําราบสังโยชนเบื้องกลาง คือ กามราคะ และปฏิฆะ จนส้ินสูญไปจากใจได สนิท ไมฟนคืนไดอีก จนถึงขณะจิตสุดทายในภพชาติน้ัน ก็จะเปนผูถึงความ เปน พระอนาคามี เม่ือจุติ คือสิ้นชีวิตจากชาติท่ีไดสําเร็จเปนพระอนาคามี แลวนัน้ กจ็ ะไปปฏสิ นธิแบบโอปปาติกะกําเนิด เปนรูปพรหมในช้ันสุทธาวาส แลวทาํ ความเพยี รภาวนาตอไปในสุทธาวาสนัน้ ไมไปอุบัติในภพภูมิอื่นใดอีก จนกวา จะเขา ถงึ พระนพิ พาน... พระภาสกร ภรู ิวฑฒฺ โน (ภาวไิ ล) 86 ผลบุญคอื กําลังชีวิต

และท่ีสุดของท่ีสุด คือความเต็มรอบแหงศีล สมาธิ และปญญา ในวิถี แหงอริยมรรคมีองค ๘ ซ่ึงมี สมถะวิปสสนา เปนภาคปฏิบัติ พิจารณาขันธ ๕ ในความเปนไปภายใตก ฎพระไตรลักษณ จนสามารถขจัดกิเลสท้ังปวงไดเปน สมจุ เฉทปหาน ถงึ ความเปน พระอรหันต ที่กลาวมานี้ คือหนทางแหงความปลอดภัย สําหรับผูที่ไมประมาท ในชีวิต เพราะอะไร? เพราะแนนอนวา วันนี้ ท่ีเราวาเรามีความสุข มันเปน ขณะท่ีเรากําลังใชผลแหงขอมูล อันเปนผลมาแตกุศลเจตนาในอดีต แตใคร เลยจะรูวา วันขางหนาเราอาจจะตองเสวยกับความทุกขอยางแสนสาหัสก็ได ถาขอมูลที่ใชอยู มันไดเคล่ือนมาจนถึง ขอมูลท่ีเปนลบ อันเปนผลมาแต อกศุ ลเจตนาในอดตี กอ นหนานน้ั ... แลว ทานไมกลวั หรืออยา งไร เร่อื งอจินไตย... วิวฒั นแ หงชวี ติ จึงเกิดคําถามวา แลวเราเกิดมาทําไม เพ่ืออะไร เปนโตะ เปนเกาอี้ จะดีกวาไหม จะไดไมตองเจ็บปวย ไมตองทุกขทรมาน เปนพ้ืน เปนอิฐ เปน ผนงั เปนกําแพง ไมดีกวาหรือ จะไดไมตองทนทุกขยากลําบากเหมือนกันกับ พวกเรา ทย่ี ังตองซัดเซ พเนจร เวยี นวา ยตายเกิดกนั อยไู มส ้ินสดุ ... ก็ตอบวา เราคือสวนหนึ่งของธรรมชาติ เกิดขึ้นตามครรลองของ ธรรมชาติ ฉะนั้นเพ่ือความเขาใจที่ชัดเจนในสวนน้ี จึงขอนําส่ิงท่ีเรียกวา อจินไตย มาเลาสูกันฟง แตก็ขอใหทานฟงเอาไว เหมือนกับฟงนิยาย วิทยาศาสตร เพื่อประโยชนในการตอภาพของความจริงโดยรวมของ ธรรมชาตแิ ละชวี ิต ซ่งึ บางสวนกย็ ังขาดหายไปนน้ั ใหเ กดิ ความชดั เจนย่งิ ขนึ้ เร่ืองอจินไตย พระศาสดาทรงกลาววา เปนเรื่องท่ีไมควรคิด เพราะคิดแลวอาจเปนเหตุใหบาได แตที่จะนํามาพูดกับทานทั้งหลาย เพราะจริงอยู เร่ืองบางเร่ือง ที่สมัยกอนถือวาไมควรคิด ดวยเหตุท่ียังไมมี ศาสตร หรือวทิ ยาการความรทู นี่ าเชื่อถือ มารองรบั อยา งเพยี งพอ สมดลุ โลก สมดุลใจ สมดลุ ธรรม 87 เร่ืองอจนิ ไตย

แตถึงปจจุบัน ความเจริญกาวหนาทางวิทยาศาสตรไดรุดหนากาว ไปไกล มีการคนพบทางวิทยาศาสตรมากมาย จึงนับวาเปนฐานรองรับอยาง เพียงพอ ตอการคิดพิจารณาท่ีกวางขวางยิ่งข้ึน ยกตัวอยางเชน ทฤษฎีการ เกิดขึ้นของจักรวาล ซ่ึงมนุษยในปจจุบันจะรูสึกวา ยอมรับได เพราะมีหลัก คณิตศาสตร และการคนพบทางวทิ ยาศาสตรม ารบั รอง ทา นไมส งสยั กนั บา งหรอื วา ทานเกดิ มาทาํ ไม ชีวิตของทานมีมา เพื่อ ประโยชนอะไร มาดกู ัน... ตอไปนีใ้ หถือวา เปนนิยายนะ... นี่อะไร “สสาร” เราสัมผัส รับรู มองเห็นไดไหม ปจจุบันนี้ วิทยาศาสตรสมัยใหมไดพิสูจนแลววา สสาร และพลังงาน เปนของอยาง เดียวกัน และสามารถแปรเปลยี่ นไปมาระหวางกนั ได ทา นจาํ ทฤษฎีน้ไี ดไหม ทฤษฎกี อ งโลกของ อลั เบริ ต ไอนส ไตน E = mc2 ; เม่ือ c เปนคาคงที่ คือคาความเร็วของแสง และ m คือขนาดของ มวล ซ่ึงเปนตัวแปร ฉะน้ันขนาดของพลังงาน คือ E จึงเปนปฏิภาคโดยตรง กบั ขนาดของมวล คือ m ซึง่ เปน ตวั แปรใชไหม นัน่ ก็หมายความวา “พลังงาน” กบั “วตั ถุ” คือส่งิ ๆ เดียวกัน” ถาใครจํากรณีที่สหรัฐฯ นําระเบิดปรมาณูไปถลมเมืองฮิโรชิมา และ นางาซากิ ในปลายสงครามโลกครั้งที่ ๒ ได ยูเรเนียมที่มีมวลจนถึงข้ันวิกฤต กอใหเกิดปฏิกิริยาลูกโซ ปลดปลอยพลังงานมหาศาลออกมา ทําลายลาง เมืองฮโิ รชมิ าและเมืองนางาซากิ จนราบเปน หนา กลอง นอกจากน้ี ยังมีอีกทฤษฎีหน่ึงที่มารองรับทฤษฎีน้ัน กลาววา ใน ระดับอนุภาค หรือเล็กลงไปอีก ส่ิงที่เรียกวา “แสง” มันจะประพฤติตัวเอง เปนทั้ง พลงั งาน และเปนทัง้ อนภุ าค ดวย เขาเรยี กวา “ทฤษฎีควนั ตัม” พระภาสกร ภูริวฑฺฒโน (ภาวิไล) 88 ผลบุญคือกําลงั ชวี ิต


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook