มหาสติปฏฐานสูตร (ฉบับปรับปรงุ ใหม ๒๕๕๐) โดย ดังตฤณ
สารบญั๐๐ บทตงั้ ของวธิ ีเจริญสติ ----------------------------------------------------------------------------------- ๒๐๑ รูลมหายใจ ------------------------------------------------------------------------------------------------ ๔๐๒ รูอิริยาบถ ------------------------------------------------------------------------------------------------- ๗๐๓ รูความเคลอ่ื นไหวตา งๆ------------------------------------------------------------------------------ ๑๓๐๔ เห็นกายโดยความเปน ของสกปรก ----------------------------------------------------------------- ๑๕๐๕ เห็นกายโดยความเปน ธาตุ -------------------------------------------------------------------------- ๑๙๐๖ เห็นกายโดยความเปนของสูญ ---------------------------------------------------------------------- ๒๑๐๗ รสู ุขทกุ ข ------------------------------------------------------------------------------------------------๒๔๐๘ รูสภาพจิต-----------------------------------------------------------------------------------------------๒๗๐๙ กาํ จัดตัวการท่ที ําใหขาดสติ-------------------------------------------------------------------------- ๓๓๑๐ เทาทนั ความเกดิ ดับของขนั ธ ๕--------------------------------------------------------------------- ๓๖๑๑ เทา ทันความไมใ ชต ัวตนของผสั สะ ----------------------------------------------------------------- ๓๙๑๒ สาํ รวจความพรอมบรรลุธรรม-----------------------------------------------------------------------๔๒๑๓ รจู กั ความจรงิ ในมุมมองของอรยิ ะ ------------------------------------------------------------------๔๗๑๔ ผลแหงการเจรญิ สติ----------------------------------------------------------------------------------- ๕๑ ๑
๐๐ บทต้ังของวธิ เี จรญิ สติ บทตง้ั น้มี ไี วเพอ่ื ใหทราบวา จะเอาประโยชนอ ะไรจากการเจริญสติตามวธิ ีของพระพทุ ธเจาตลอดจนเขาใจชดั ๆกันแตแ รกวาการเจรญิ สติคอื การเอาสติไปรอู ะไรบาง จะไดไ มไขวเ ขวออกนอกทางในภายหลงั วธิ เี จรญิ สตขิ องพระพุทธเจา นนั้ เปนไปเพอ่ื พบบรมสุขอันมหศั จรรย การจะรจู กั รสสขุ อันมหัศจรรยน ้ัน จิตตอ งแปรสภาพเปน ดวงไฟใหญล างผลาญเชอื้ แหงทกุ ขใหส ิน้ ซาก ไมห ลงเหลอื สวนใหก ลบั กาํ เรบิ เกดิ เปน ทุกขท างใจขึน้ ไดอ กี จติ ท่สี วา งเปนไฟใหญล า งกิเลสน้นั คือภาวะแหง การบรรลมุ รรคผล เราไมอ าจบรรลุมรรคผลดวยการควบคุมดนิ ฟาอากาศหรอื รา งกายภายนอกใหเ ปน ไปในทางใดๆ ทางเดียวทจี่ ะทาํ ไดคอืเจรญิ สติ เพอ่ื พฒั นาจิตใหอยูในสภาพท่ีมกี ําลัง มคี วามผองใส เปน อิสระไมหลง ‘ตดิ กับ’ เหยื่อลอทง้ั หลาย กระทัง่ แกก ลา พอจะยกระดบั ปฏวิ ตั ติ นเอง หมนุ ทวนกลบั จากวงั วนอุปาทานขึ้นสสู ภาพหลุดพน ทีเ่ ดด็ ขาด หลดุ พน จากอะไร? หลดุ จากส่ิงทน่ี ึกวาเปนตัวเรา หลดุ พนจากความเกาะเกย่ี วทไ่ี รแ กนสารทั้งปวง ส่ิงทพี่ ระพทุ ธเจาทรงใหม สี ตริ นู ั่นแหละ คอื สิง่ ท่เี รากําลงั เกาะเกี่ยว โดยนึกวา เปน เราหรอื สาํ คัญมนั่ หมายวา เปน ของเรา ส่ิงท่พี ระพทุ ธเจาทรงใหมีสติรมู อี ยู ๔ ประการ ไดแ ก ๑) กายในกาย หมายถึงใหรูสว นใดสวนหนงึ่ ของความเปน กาย เชน ขณะนี้หลงั งอหรอื หลงั ตรง รูเพยี งเทาน้ีกไ็ ดชื่อวา มีสติเห็นองคป ระกอบหนงึ่ ของกายแลว และเม่อื รูเชนนั้นไดก ใ็ หต ามรตู ามดูตอไป วาจะมีสง่ิ ใดใหเ หน็ ภายในขอบเขตของกายไดอ ีก เชน ในกายนง่ั หลงั ตรงหรือหลังงอนี้ กาํ ลังตองการลากลมเขา หรือระบายลมออก หรอื หยุดท้ังลมเขา และลมออกสงดั นิง่ อยู ถา เพียรรูกายในกายไดเสมอๆ ก็ยอ มเกิดสติเหน็ ตามจริงวา กายไมใ ชเรา ไมวา จะสวนยอ ยหรอื สว นใหญโ ดยรวม เราจะรูสึกอยางทีก่ ายปรากฏใหร สู ึก ไมใ ชหลงยดึ วา กายเปน เราอยางท่ีกิเลสมนั บงการใหย ึด และในความไมยึดกายนั่นเอง จิตยอ มคลาย มคี วามผอ งใสไมเปนทตี่ ัง้ ของความโลภโมโทสันและความเศราโศกทงั้ หลาย ๒) เวทนาในเวทนา ๒
หมายถงึ ใหทราบความรูส ึกหนง่ึ ๆ เชน ขณะนกี้ ําลังสบายหรอื อึดอัด รูเพียงเทาน้ีกไ็ ดช่อื วามีสติเห็นหน่ึงในความรูสึกแลว และเมอ่ื รูเชนนน้ั ไดก ใ็ หเ ฝาตามรูตามดตู อไป วา จะมสี ิ่งใดใหเห็นภายในขอบเขตของความรูส กึ สุขทุกขไดอกี ไมจ าํ กดั วาตอ งดูภาวะใดภาวะหนึ่งของเวทนาเพียงอยางเดียว ถา เพียรรเู วทนาในเวทนาไดเ สมอๆ ก็ยอมเกิดสติเห็นตามจริงวา เวทนามอี ยูห ลากหลายและเหลาเวทนากไ็ มใชเ รา ไมวา จะสบายหรอื อดึ อัดเพียงใด เราจะรูสึกอยา งทเี่ วทนาปรากฏใหรสู กึไมใ ชห ลงยดึ วา ความสบายเปน ของเรา กับทงั้ ไมห ลงยดึ วา ความอึดอัดเปนเรอ่ื งท่ีตองรีบกาํ จัดท้งิ ไปจากเรา และในความไมย ึดเวทนานัน่ เอง จติ ยอ มคลาย มีความผอ งใสไมเ ปน ที่ตงั้ ของความโลภโมโทสนั และความเศรา โศกท้งั หลาย ๓) จิตในจติ หมายถงึ ใหรูภ าวะของจิตในขณะหนึง่ ๆ เชน ขณะนีก้ าํ ลงั สงบนิ่งหรอื ขัดเคืองราํ คาญ รูเ พยี งเทานี้ก็ไดช อื่ วา มสี ตเิ ห็นภาวะของจติ ขณะหน่ึงแลว และเม่ือรเู ชนน้ันไดกใ็ หเฝา ตามรูตามดตู อ ไป วาจะมสี ิง่ ใดใหเ ห็นภายในขอบเขตของความเปนจิตไดอ กี ไมจ ํากดั วา ตอ งดูภาวะใดภาวะหน่งึ ของจิตเพยี งอยา งเดียว ถา เพียรรจู ิตในจติ ไดเ สมอๆ กย็ อมเกิดสตเิ ห็นตามจรงิ วา จติ มอี ยหู ลากหลาย และบรรดาจติก็ไมใ ชเ รา ไมวา จะอยูในภาวะสงบนิง่ หรอื อยใู นภาวะขัดเคืองราํ คาญ เราจะรูสกึ อยางทจ่ี ติ ปรากฏสภาพใหร ูสกึ ไมใชห ลงยึดวา ความสงบน่ิงควรเปน สภาพด้ังเดิมของจิตเรา กับทงั้ ไมหลงยึดวา ความขัดเคืองรําคาญตอ งไมเกิดขน้ึ กับจติ ของเรา และในความไมยดึ จติ น่ันเอง จติ ยอมคลาย มคี วามผอ งใสไมเ ปนทต่ี งั้ ของความโลภโมโทสันและความเศราโศกท้งั หลาย ๔) ธรรมในธรรม หมายถงึ ใหรสู ภาพธรรมตา งๆในแตล ะขณะ เชน ขณะนี้ระลอกความคิดผดุ ข้ึนหรอื ดับลง รูเพียงเทานกี้ ็ไดช ่ือวา มสี ติเหน็ สภาพธรรมในแตล ะขณะแลว และเมอื่ รเู ชนน้นั ไดกใ็ หเ ฝาตามรตู ามดูตอไป วาจะมสี ง่ิ ใดใหเ ห็นภายในขอบเขตของสภาพธรรมตา งๆไดอีก ไมจํากดั วาตองดูภาวะใดภาวะหนงึ่ ของสภาพธรรมเพียงอยางเดยี ว ถา เพยี รรูธรรมในธรรมไดเ สมอๆ กย็ อมเกิดสตเิ หน็ ตามจรงิ วา ธรรมมอี ยหู ลากหลาย และปวงธรรมกไ็ มใ ชเ รา ไมวาส่ิงที่ผุดข้ึนขณะน้หี รอื สงิ่ ท่ีลบั ลว งไปแลว เราจะรูสกึ อยางทธี่ รรมปรากฏสภาวะใหรูสกึ ไมใ ชห ลงยดึ วาส่ิงใดสง่ิ หนึง่ ทีผ่ ดุ ข้ึนเปน เรา กบั ทัง้ ไมห ลงยึดวา ส่งิ ทลี่ บั ลว งไปแลว เคยเปน เรา และในความไมยึดธรรมนน่ั เอง จิตยอ มคลาย มคี วามผองใสไมเปนที่ตั้งของความโลภโมโทสนั และความเศรา โศกท้งั หลาย ๓
จากความรสู ึกวากาย เวทนา จติ ธรรมไมใชเ รา จะพฒั นาจนกลายเปน ความรชู ดั วา ไมม สี ่งิใดเปน เรา และเมอ่ื รชู ดั อยางตอเน่อื งยอ มคลายจากอาการยดึ ท้ังปวง เมื่อคลายจากอาการยึดท้งั ปวงยอ มลิม้ รสความวาง วา ยอดเยยี่ มกวารสทง้ั ปวงปานใด ๐๑ รูลมหายใจขั้นแรกของการฝกมีสตอิ ยกู บั กาย การเรม่ิ ปฏิบตั ทิ ่งี ายที่สดุ คือการเขาไปรสู ง่ิ ท่มี ตี ดิ ตวั อยแู ลว และปรากฏใหรูอยตู ลอดเวลาไมตอ งดดั แปลง ไมต องสรางใหม นนั่ ก็ไดแกล มหายใจ การฝกมีสติอยูก ับลมหายใจนับเปน บาทฐานของการฝกมสี ติอยกู ับกายเสมอๆ ลมหายใจเปนสง่ิ ทเ่ี กดิ ข้ึนแลวดับลงอยูตลอดเวลา ทวา เพยี งบางขณะเทา น้นั ท่ีเราเขา ไปรสู กึถึงลมหายใจ เชน เมอื่ เหนอ่ื ยหอบตองหายใจถี่ หรือเมอ่ื ถอนใจโลงอกเมือ่ เรอ่ื งรายๆผา นไปเสยี ไดนอกน้ันลมหายใจมกี ็เหมอื นไมม ี เพราะไมเคยเปน ท่สี นใจรบั รู การฝกรลู มหายใจใหไ ดเร่อื ยๆนับเปน ความแปลกใหม แนน อนวา แรกๆเมอื่ ยังไมคนุ กอ็ าจทําไมค อยถกู จบั จดุ ไมคอ ยถนดั หรือกระท่งั อดึ อดั ได ตอเม่ือฝกส่ังสมประสบการณจนกระท่งั เร่ิมมีใจรกั ทจ่ี ะอยกู ับลมหายใจ เหน็ ลมหายใจเปนเครื่องเลน ของสติ ถงึ เวลานน้ั สติจะตงั้ รอู ยูอยางผอ นคลาย และกลายเปนศนู ยก ลางของความรูสกึ ตวั อยา งสาํ คญั การฝกรลู มหายใจทําไดอ ยา งเปนขั้นเปน ตอนดงั นี้ ๑) ตั้งกายตรงดาํ รงสติม่นั เมื่อเรมิ่ ฝกชว งแรกสุดควรอยูในท่ีสงัดสบาย มีสตไิ มเ หนอื่ ยลา ขอใหสังเกตวา ถา สว นหลังตัง้ตรงจะชวยสนบั สนนุ ใหเ กดิ ความรูสึกถึงลมหายใจชดั เจนกวา เม่ือหลังงอ กลา วอยางยน ยอ เพ่อื ใหจํางายคือเมอื่ ใดอยูในที่ปลอดคน ขอใหส ังเกตวากาํ ลงั หลงั ตรงหรอื หลังงอ เพียงเทาน้นั กจ็ ะเกดิสตพิ รอมรตู วั ข้นึ มาระดบั หนึง่ แลว และถาสตินนั้ ดนั หลงั ใหต ้งั ตรงโดยไมฝน ก็นบั เปน สติพรอ มรสู ึกถงึ ลมหายใจในทันที จะปด ตาหรือเปด ตาไมสําคญั สาํ คญั ท่ีใหแนใจวาจติ ไมซดั สา ยเพราะการเคลื่อนของดวงตาเปนพอ ๒) มสี ตหิ ายใจออก ลากลมหายใจเขา สบายๆ แตอ ยาเพิ่งกําหนดรู เพราะถารีบต้งั สติกําหนดลมเขา เสยี แตแ รกคนสว นใหญจะใหค วามสาํ คญั กบั สายลมเขาจนกลายเปน เพง จบั แรงเกนิ ไป จงึ อึดอัดคัดแนน หรือมี ๔
กายกาํ เกร็งดว ยความคาดหวงั เรงรัดใหเกดิ ความสงบทันที แตห ากลากลมหายใจเขาจนสุดแบบผอนพกั แลว จึงกาํ หนดสตริ ูลมขณะผอ นออก ก็จะไมร ีบรดี ลมจนทองเกรง็ และรสู ึกวา ลมหายใจเปนสงิ่ถกู เห็นไดงา ย ขอใหจ าํ ไววา ถาสบายขณะรสู กึ ถงึ ลมหายใจออก แปลวา มสี ตขิ ณะหายใจออกแลว ๓) มสี ติหายใจเขา เมอื่ ผอนลมหายใจออกหมด ขอใหส ังเกตวา รา งกายตอ งการหยุดลมนานเพยี งใด เมือ่ สงั เกตจะทราบวา รา งกายไมไดต อ งการลมเขาทนั ที แตจ ะมีชว งหยดุ พกั หน่ึง เม่อื รูส ึกถึงชวงพักลมนน้ั ไดตามจริง กจ็ ะเกดิ ความผอนคลายสบายใจ และสาํ คัญท่ีสดุ คือพอรางกายตอ งการลมเขาระลอกตอไป กจ็ ะเกิดสตริ ูข ้ึนเอง โปรดจาํ ไวว าการรีบดึงลมเขา กอ นความตอ งการของกายไมถ อืวา เปนสติ แตน บั เปนความอยาก และขอใหส งั เกตดวยวา อาการทางกายท่ีเก้ือกูลกันกบั ลมเขา ไดด ีทสี่ ดุ คืออาการทีห่ นาทอ งคอยๆพองออกทีละนอ ยกระท่ังลมสดุ ปอด ๔) รทู ั้งลมยาวและลมสนั้ ชว งลมหายใจแรกๆที่กําหนดสติรู ขอใหสงั เกตวา จะมคี วามลากเขา ยาว ผอ นออกยาวไดอยางสบาย ลมยาวเปนส่ิงถกู รไู ดง าย แตเ มื่อชักลมยาวไดเพยี งคร้งั สองครัง้ รางกายก็จะตองการลมส้ันลง ซง่ึ กต็ องตง้ั สตมิ ากกวา เดิมจงึ รูไ ด สติจะขาดตอนหรอื ไมจงึ มักอยูทชี่ วงลมสน้ั หากยังรักษาสติไวไดกจ็ ะเกิดความรตู อเนอื่ ง เมือ่ ฝก จนไมมคี วามอยากบังคบั เอาแตล มยาว กับทง้ั ไมเหมอ ลอยขณะหายใจสน้ั ก็นับวา ฝก ขอ นีไ้ ดสําเร็จ อบุ ายงา ยๆคือควรรูสกึ ถงึ ชวงลมหยดุ ใหด ๆี อยารีบรอ นเรงรัดลมเขา ใหกายเปน ผบู อกวา จะเอาลมเขา เม่ือไร สมควรยาวหรือส้ันแคไหน เทา นี้จะชว ยไดม าก ๕) เหน็ วาจติ เราเปน ผรู ลู ม ใหสาํ รวจเสมอๆวาเราเพงจอ งลมแรงเกินไปหรือเปลา หากเพง ไปขางหนาแรงเกนิ พอดี ก็จะพบวาความรับรทู ง้ั หมดมขี นาดเทาๆกับลมหายใจ เปนความรับรแู นน ๆคบั แคบไมสบาย แตห ากเฝา รอู ยเู บอ้ื งหลงั กจ็ ะพบวาความรบั รูม ีขอบเขตกวางเกนิ ลมหายใจเขา ออก เชน รสู ึกถงึทาทางทน่ี ัง่ อยดู ว ยวา กาํ ลงั หลังงอหรอื หลังตรง ในสภาพจติ ท่ีรับรสู บายๆไดเ กนิ ลมหายใจน้นั เราจะเหน็ ตนเองเปน ผรู ทู ่ัวถึง คือทราบลมแบบตางๆอยางเทา เทียมกนั ไมเพงเฉพาะขาเขา ไมรชู ัดเฉพาะตอนยาวเหมอื นเมือ่ กอ น ๖) ระงับความกวัดแกวงทางกาย ใหเ ทา ทนั เมอ่ื มคี วามกระดุกกระดิกทางกาย ไมวา สว นใดสว นหนึง่ เมือ่ เทาทนั อาการกระดุกกระดกิ สว นใดสว นหน่ึง กย็ อมเห็นกายโดยรวมวา มคี วามนง่ิ ในความนิ่งนน้ั รูอ ยเู หน็ อยู ๕
วา ลมกําลังออก กําลงั เขา หรือกาํ ลังหยุดอยู เหมือนกายเปนฐานทตี่ งั้ อนั มน่ั คงของลมหายใจท่ีเริ่มประณีต จติ ก็จะพลอยระงับไมก วัดแกวงตามกายย่ิงๆขึ้นไปดวย ๗) เพยี รตอเน่อื งจนเกิดภาวะรชู ัด เมือ่ ทาํ มาตามลําดบั จะรูสกึ ตืน่ ตวั ขึน้ เรอ่ื ยๆ กายกับจติ ทาํ งานรับกนั กระท่งั เกิดภาวะรูช ดัเปรยี บเหมือนชา งกลึงผชู กั เชอื กอยา งฉลาดและขยนั เม่อื ชกั ยาวกร็ ชู ดั วา ชกั ยาว เมอ่ื ชักส้นั ก็รูชัดวาชักสน้ั สติทต่ี อ เนอ่ื งข้นึ เร่อื ยๆยอ มกอใหเกดิ พลังรับรไู มข าดสาย ถึงจงั หวะน้ีจะรูสกึ วา เรามีสองตัวตัวหนึ่งเปนรปู ธรรมคือลมเขา ออกปรากฏชัดอยตู รงหนา สว นอกี ตัวหน่งึ เปน นามธรรมคอื จิตทต่ี ่นื ตวัเต็มไปดวยความพรอ มรูกระจา งใสอยทู ุกขณะ ๘) พจิ ารณาลมโดยความไมเที่ยง ใหพ จิ ารณาลมหายใจโดยความเปน ของไมเทีย่ ง เชนมันมาจากภายนอก เขา มาสภู ายในแลวตอ งคืนกลบั ออกไปสูความวา งภายนอกเหมอื นเดิม หรอื อาจมองวา ลมเขา ออกขณะกอ นก็ชุดหน่งึ ลมเขาออกขณะนก้ี อ็ กี ชุดหน่งึ ไมเหมือนกนั เปน คนละตวั กัน เห็นอยา งไรใหพ ินิจไปเรอ่ื ยๆอยา งนนั้ แกน สาํ คญั ของการเหน็ คือรสู ึกชดั วาลมหายใจไมเท่ียง ไมใชอ นั เดิมแลว กแ็ ลวกัน ๙) พิจารณาความระงบั กเิ ลสเพราะรลู มอยู เมื่อรจู กั ลมหายใจของตนเองดีพอ เราจะรสู กึ ถึงลมหายใจของคนอนื่ แมเพียงมองดวยหางตาและเหน็ วาไมต างกนั เลยกบั ของเรา น่นั คอื มอี อกแลว มเี ขา มเี ขา แลว มอี อก สกั แตเปนภาวะพดั ไหวครูหน่ึงแลว หยุดระงับลงเหมือนๆกันหมด ถึงตรงนเ้ี ราจะเกิดภาวะความรสู กึ ข้ึนมาอีกแบบหนึง่แตกตา งไปจากสามญั น่นั คือลมหายใจมีอยูก ็สกั วาเพอื่ ระลึกรู และตราบใดท่จี ติ อยูใ นอาการสกั แตระลกึ รู ตราบน้ันยอมไมเกิดอาการทะยานอยาก ปราศจากความถอื ม่นั ในอะไรๆในโลกช่ัวคราว เพียงดวยขน้ั แรกของการฝก มสี ตอิ ยกู ับกายน้ี เราก็จะไดความเช่ือม่นั ขึน้ มาหลายประการประการแรกคอื ไมต อ งออกเดนิ ทางไปไหน เพยี งกําหนดใจเขามาภายในกาย ดูแตล มหายใจ กย็ ตุ ิความทะยานอยากอนั เปน เหตุแหงทุกขไ ดแ ลว ประการที่สอง เม่ือดลู มหายใจเปน เราจะไดร าวเกาะของสติชนั้ ดที มี่ ีติดตวั อยูต ลอดเวลาตราบใดยังมีลมหายใจ ตราบนน้ั เราไดแหลงเจรญิ สติเสมอ ไมตองเปลืองแรงเดินทางไปไหน และอีกประการทีส่ าํ คัญและไมค วรนบั เปน ประการสุดทา ย เราจะไดความเขาใจวา ที่ลมหายใจมีความเหมาะสมสาํ หรบั ผเู รมิ่ ตน ฝก เจรญิ สติ ก็เพราะเราสามารถใชเ ปนเครอ่ื งตรวจสอบสติไดอ ยางชดั เจน วากําลงั อยูก บั ปจจุบนั อยา งถกู ตองหรอื ผิดพลาด เนื่องจากลมหายใจมีไดเ พียงสามจังหวะ คอื เขา ออก และหยดุ ไมมนี อกเหนอื ไปจากนี้ หากขณะหน่งึ ๆเราบอกไมถกู วา ลมกาํ ลังอยู ๖
ในจงั หวะไหน ก็แปลวา สติของเราขาดไปแนๆ และเมอื่ รูวาสติขาด กจ็ ะไดร ตู อวาควรนาํ กลบั มาต้ังไวต รงไหนดวย ๐๒ รอู ริ ิยาบถข้ันท่สี องของการฝกมีสติอยูก ับกาย เพียงดวยการมีสตริ คู วามไมเทย่ี งของลมหายใจ เราไมอ าจละอปุ าทานในตวั ตนไดท ง้ั หมดเพราะลมหายใจไมใชส ิ่งเดยี วท่ถี กู ยึดมน่ั วา เปนของเรา พระพทุ ธเจา จงึ ตรัสวานอกจากฝกรูลมหายใจแลว ยงั มีการฝก อยา งอนื่ อยอู กี ซึ่งอนั ดับตอ ไปกไ็ ดแ กอิริยาบถ ปกตคิ นเราจะรูส กึ วามีรา งกายก็ตอเมอ่ื คางคาอยูในทา ใดทา หนึ่งนานเกินไป กระทง่ั ตอ งระบายความอดึ อดั เม่อื ยขบดว ยการปรับเปลย่ี นทาทางเสียใหมใหส บายข้นึ กวา เดิม นอกนนั้ แมรางกายมกี ็เหมือนไมม ใี นการรบั รูข องเรา ทอี่ ยูๆ จะใหสามารถระลึกถงึ รา งกายไดเรอ่ื ยๆนั้น มิใชว ิสยั ธรรมชาติ ตอเม่ือฝก รลู มหายใจไดผ ลมาแลว เราจะมีความรูส ึกเขามาในกายอยา งเปนไปเองโดยไมตองบังคับ กลาวคือทนั ทที ่ีรสู กึถึงลมหายใจเขา ออกอยา งสบายเด๋ยี วน้ี รางกายในทา ทางปจ จุบันก็จะพลอยปรากฏใหร ูไปดว ยเดย๋ี วนเ้ี ชน กนั ความรสู ึกวามีหัว มตี วั มแี ขนขา ปรากฏเปน ทา ทางหน่ึงๆโดยปราศจากความเพง เล็งหรอื เครยี ดเกรง็ นัน่ แหละ เรียกวาการรอู ิริยาบถ ขอใหเ ขา ใจดๆี ดว ยวาการกม ลงมองเห็นดวยตาเปลา วารางกายปรากฏในทาใด หาใชการรูอิรยิ าบถไม การรูอ ิรยิ าบถตอ งใชใจรูเทา นน้ั ไมใชใชส ายตามองเห็น เมอ่ื ฝกรอู ริ ิยาบถใหม ากแลว เราจะไดฐ านของการมสี ติอยา งถกู ตอ ง แมตอ ยอดไปรอู ะไรอกีแคไ หนก็แนใจไดว า ไมห ลงคิดไปเอง ทง้ั นเ้ี พราะการรอู ิรยิ าบถคือการรขู องจรงิ ในปจจบุ นั ไมม ที างเปนอน่ื เชน ถา นั่งอยางมีสติยอ มไมมที างรสู ึกวา กาํ ลังยนื และเมื่อรูชดั ตามจริงวา กาํ ลงั นง่ั กย็ อมรูตามจริงดวยวา นัง่ อยางสบายหรอื อดึ อดั นั่งอยา งฟุงซา นหรอื สงบ นง่ั อยางคดิ ดหี รือคดิ รา ย เปนตน เบื้องตน ขอใหส งั เกตวาลมหายใจท่ยี าวและน่มิ นวลน้ัน ทาํ ใหเรารูส ึกวากายเปน ของโปรงเบา เกดิ สตอิ ยกู บั กายอยางงายดายเหมือนเปนไปเอง สวนลมหายใจทสี่ ั้นและหยาบจะทาํ ใหเรารูสึกวา กายเปนของทบึ หนกั แมพยายามตงั้ สติอยกู ับกายกล็ าํ บาก เห็นไมช ดั เหมือนอยูกลางหมอกควนัดาํ จะใหมองฝาออกไปเหน็ อะไรนั้นยาก ๗
เม่อื เฝาสงั เกตความสัมพันธร ะหวางลมกบั กายโดยไมค าดหวังอะไร ในทสี่ ุดจะเกดิ ความเพลิดเพลิน สติไมไปไหน เฝา แตเห็นความจริงทปี่ รากฏอยู เชน ลมยาวกายโปรง ลมสน้ั กายทบึและหากรูล มไดส บายๆก็พลอยรกู ายไดส บายๆ แตถ า เพง จอ งลมมากกายกพ็ ลอยอดึ อดั คัดแนนตามไปดว ย เปน ตน หลงั จากดลู มจนรูอ ิรยิ าบถได เราก็จะสามารถเขา ถึงการฝก ทพ่ี ระพุทธเจาตรัสแนะไวอ ยางงา ยดาย นน่ั คอื เมื่อเดินกร็ ูว า เดนิ เม่อื ยนื ก็รวู ายนื เมื่อนงั่ กร็ วู า น่ัง เมอื่ นอนก็รวู า นอน เมื่ออยใู นทาทางอยา งไรก็รูว า อยูใ นทา ทางอยางนั้น แจกแจงโดยละเอียดไดดงั น้ี ๑) เมอ่ื เดินกร็ วู า เดนิ ทา ทางในการเดนิ ท่สี นับสนนุ ใหเกิดสติคอื หัวตง้ั ตรง ตวั ตั้งตรง สองขาเตะไปขางหนาสลับกนั โดยมสี มั ผัสท่ีฝา เทากระทบพนื้ เกดิ ข้นึ อยตู ลอดเวลาท่ีดําเนินไป ฉะนนั้ หากมสี ตเิ ดนิอยางรวู า เดนิ กย็ อ มตอ งรูสกึ ถงึ ฝาเทา กระทบพ้ืนไมขาด เพราะเทา กระทบพน้ื เปนสัมผสั ท่ีเกดิ ขึ้นจริงโดยไมต องใชจ ินตนาการ การเดินไมใชเ รอ่ื งยาก ไมต อ งฝกกเ็ ดินกนั ได แตทจ่ี ะรอู าการเดินใหถ ูกตองตามจรงิ นน้ัจําเปนตอ งฝก กนั มฉิ ะนน้ั ระหวางเดนิ มักจินตนาการไปตา งๆ เชนจนิ ตนาการไปวา เรากําลงั เดนิ อยูดว ยบุคลิกสงบสํารวม เรากาํ ลังเดนิ ดวยทา ทีที่นา เกรงขาม เรากําลังเดนิ อยา งมีความสขุ ลนเหลอืเรากําลังเดนิ ไปสมู รรคผลนพิ พานท่รี ออยูไ มก่กี า วขา งหนา หรอื ในทางตรงขามคือจนิ ตนาการไปวาเรากําลังเดินอยางคนทอดอาลยั ตายอยาก เรากาํ ลังเดนิ อยา งคนแพท่ไี มม ีวันชนะ เรากาํ ลงั เดินอยา งคนทไ่ี มมที างไปถงึ จุดหมาย ฯลฯ การแกะเอาจติ ออกมาจากจินตนาการ กลบั สูโลกความจรงิ ทีก่ าํ ลงั ปรากฏอยูเ ฉพาะหนา ก็ตองอาศยั ของจริงเชนสัมผสั กระทบระหวางเทากบั พืน้ เม่อื ใดมสี ตอิ ยูกับสัมผัสกระทบตามจรงิเมื่อนน้ั จนิ ตนาการจะหายไป และจินตนาการหายไปนานข้ึนเทา ใด ใจเราก็จะอยูใ นภาวะรูจริงไมผดิ เพยี้ นนานขน้ึ เทานัน้ นจ่ี งึ เปนที่มาของการเดินจงกรม นักเจรญิ สติตงั้ แตส มยั พุทธกาลเปน ตน มาจะใหเวลากับการเดินจงกรม เพือ่ ใหแ นใจวา สติไมห ายไปไหนเปนเวลานานพอ ซง่ึ เมื่อบม เพาะกาํ ลงั สตใิ หแขง็ แรงดีแลว ตอ ไปไมวา เดินที่ไหน ใกลไ กลเพยี งใด กจ็ ะเปนโอกาสของการเจรญิ สติไดหมด จงกรมคอื การเดนิ กลับไปกลับมาบนทางเทาทีจ่ ะหาได อาจเปน ในรม หรอื กลางแจง อาจส้นัเพยี งสบิ กา วหรอื ยาวถึงหา สบิ กาว ความยาวและสภาพของทางจงกรมไมสําคัญไปกวา วธิ ีรเู ทา ๘
กระทบอยา งถกู ตอง การจะรเู ทากระทบอยา งถกู ตองนั้น เรมิ่ แรกควรเนนทใี่ จอนั เปดกวา งสบาย ทาํ นองเดยี วกบัเดนิ เลนชมสวน ขอใหเ อามอื ไพลห ลงั เงยหนา มองตรงแบบไมจดจองเพง เลง็ จดุ ใดจดุ หน่ึง กาวเทาแบบเดียวกับทอดนองเดนิ เพอื่ ความผอ นคลาย แตในการเดนิ อยา งผอนคลายนัน่ เองใหก าํ หนดรูผสั สะระหวางเทา กับพน้ื ไปดว ย ขอใหส งั เกตวาถาเทา เกรง็ จะรกู ระทบไมชัด แตถ าเทาออ นและวางเหยยี บพ้ืนไดเตม็ ฝา เทา จะรสู ึกถึงกระทบไดชัด ยิ่งรูตอ เนือ่ งนานเทา ใดเทากย็ ง่ิปรากฏชัดขน้ึ เรอ่ื ยๆเทานนั้ ท่ีเทา จะออ นและวางเหยยี บไดเ ตม็ ฝา เทาน้นั ตอ งไมมีความเรง รอน ไมมีความเพง เลง็เครงเครยี ด ไมม ีความฟงุ ซา นซัดสายออกนอกตัว ใจตองออนโยนอยกู บั เรื่องเฉพาะหนา คอื เทากระทบกา วตอ กาวอยา งเดียว หากกาํ ลังฟุง ซานจดั ขอใหลองเดินดวยอัตราเร็วขนึ้ กวา ปกติ การรูสมั ผัสกระทบถๆ่ี ตามจรงิจะชวยลดคลนื่ ความฟุงลงมาได เทาจะลดความกระดางลง และแมกายเคลอ่ื นไปขา งหนา อยา งเร็วก็ไมมีความกาํ เกร็งทสี่ ว นใดสว นหน่ึง เมอ่ื รสู กึ ถึงเทากระทบพ้นื ชัดเจนอยา งสบาย ตลอดกายชว งบนปลอดโปรง ดแี ลว กค็ อ ยลดระดบั ความเรว็ ลงมาเปน ปกติเหมอื นทอดนอ งเชนเคย จังหวะกลับตวั ท่ีปลายทางจงกรมก็สาํ คัญ หากรีบเรง กลบั ตัวแบบไมทนั รเู ทา กระทบจะมีผลเสยี ระยะยาว เชนทาํ ใหเ ควง งง หรอื ทาํ ใหสติขาดลอยไปทีละนอ ยรอบตอรอบ ทางท่ีดีคือเมอื่ หยดุทป่ี ลายทางควรใหเทาเสมอกนั แนใ จวา รูส กึ ถึงฝา เทาท่เี หยยี บยนื หยดุ น่งิ ชวั่ ขณะนน้ั แลวจงึ กลบัหลงั หันโดยแบงออกเปนขวาหนั สองครัง้ เทา ขวานําเทา ซาย แตละการขยับเทา ยกเหยียบใหรูสึกถึงสัมผัสกระทบไมต า งจากกาวเดินธรรมดา การฝก เดนิ จงกรมในท่เี ฉพาะเปนเรือ่ งดี แตจ ะดยี ิ่งขึน้ ถา เราทาํ ทกุ กาวในชวี ติ ประจาํ วนั ใหเหมือนเดนิ ในทางจงกรม เพราะสติรเู ทา กระทบจะนําไปสูความรตู ัววากําลังเดิน และความรตู วั วากําลงั เดินจะนําไปสคู วามรูอริ ยิ าบถตา งๆอยา งทว่ั ถึงในทสี่ ุด ๒) เมอ่ื ยนื ก็รวู ายืน ทาทางในการยืนทส่ี นับสนนุ ใหเ กิดสติคอื หวั ตั้งตรง ตวั ตัง้ ตรง สองขาต้ังตรง ฝาเทา วางราบสัมผสั พ้ืนใหร ูสึกชดั ตลอดเวลาทย่ี ังทรงกายยืนอยู หากเปนการยืน ณ จุดหยดุ ของทางเดินจงกรม ฝา เทา ทสี่ ัมผสั แนบพน้ื น่ันเองจะเปน ศูนยก ลางการรูวา กาํ ลงั ยืน การรทู ายนื โดยไมตองจนิ ตนาการเกดิ ข้นึ เร่ิมจากการรูน ํ้าหนักตัวทงั้ หมดท่กี ดลงบนฝาเทา นน่ั เอง สวนอน่ื ๆ ๙
ของกายเชน ขา ตัว แขน และหัว จะปรากฏในความรสู ึกตามมาเอง ในชีวติ ประจําวนั ตามปกตนิ น้ั เราไมคอ ยยืนตวั ตรงทรงกายแขง็ ท่อื อยู แตม กั ยนื ขาตรงขางหน่งึ พกั ขาขา งหน่ึงสลับซายขวา เทาอาจหางบา ง ชดิ บา ง ยนื เตม็ เทา บาง ยืนไมเ ต็มเทา บา ง การฝก รทู ายนื จึงควรสังเกตจากความรสู ึกตา งระหวา งฝาเทา เทา ไหนกาํ ลงั รับนา้ํ หนักกดอยูก ใ็ หร ู เทาแยกกนั อยหู างหรอื อยูใกลกใ็ หรู การเจาะจงเพง เลง็ ลงไปทฝี่ า เทา จะทําใหร ูส ึกวาตวั หนกั และเหน็ คับแคบอยูแคท เี่ ทา แตหากรสู ัมผัสทฝ่ี าเทาแบบสบายๆ ใจเปด กวางโปรงเบาแลว จะรูสึกถงึ หัว ตัว และแขนขาปรากฏพรอมไปกบั ความรูสกึ ทีเ่ ทา ดว ย ในชวงเริ่มฝก สติ หากตอ งยนื นงิ่ กับที่เปนเวลานาน การรูทา ยืนอยา งเดยี วจะไมพ อ ควรอยา งยิ่งท่จี ะรลู มหายใจไปดว ย หลักการงายๆคอื หายใจออกก็รูวายืน หายใจเขาก็รูว ายืนหมายความวา เราไมไดเอาสตไิ ปจดจองส่ิงใดสง่ิ หน่ึงโดยเฉพาะ เมอ่ื หายใจออกเรารวู าลมระบายออกจากกายในทายืน เมื่อหายใจเขา เรารวู า ลมถูกลากเขาสกู ายในทายืน การตง้ั มุมมองเพ่ือเกิดการรบั รเู ชน น้ี หากทาํ อยา งถูกตอ งเปน ทีส่ บายแลว จะสง ผลใหท ายนืปรากฏในความรสู กึ ชัดเจนเสมอกันท้ังขณะหายใจออกและหายใจเขา เคร่ืองยืนยนั วา สตเิ จริญคือสามารถรสู บายอยกู บั ทา ยืนไดแ จม ชัดขน้ึ เรื่อยๆ ๓) เมือ่ นัง่ ก็รวู านงั่ ทาทางในการนั่งทส่ี นบั สนนุ ใหเ กิดสติคอื หัวตง้ั ตรง ตัวตง้ั ตรง สองขาหอยลงจากเกาอี้ ฝาเทาวางราบสมั ผสั พน้ื หากเปนการนงั่ เจริญสตริ ลู มหายใจ สว นหลงั จะเปน ศนู ยกลางการรับรูวา กาํ ลงั นง่ั เพยี งสังเกตอยเู ร่อื ยๆวาหลงั ตรงหรือหลังงอ และสว นหวั กําลงั ตัง้ อยูหรอื เอยี งเอนไปทางใด ก็นับวาเรมิ่ เกิดสติรอู ิรยิ าบถนัง่ ตามท่กี ําลงั ปรากฏอยูจ รงิ ๆแลว ในชวี ติ ประจําวันตามปกตนิ นั้ ไมบ อยท่เี ราจะน่ังหลังต้ังคอตรง แตม กั นงั่ หลังงอหรือคอเอยี งมากบางนอยบา ง ซง่ึ อาการทางกายดงั กลาวจะไมคอ ยสนับสนุนใหเกดิ สติรวู ากําลงั น่ัง ดงั น้ันเพื่อจะเริ่มฝก รูอิริยาบถน่ังใหไ ดเสมอๆ เราจงึ ตองหมนั่ ถามตวั เองบอ ยๆวา กําลงั หลงั ตรงหรือหลังงอ คอตรงหรือคอเอยี ง เบื้องตน เราอาจรูสกึ วา กาํ ลงั นัง่ มีอาการแชอ ยูเฉยๆไมเ ห็นมีอะไร นัน่ เปน เพราะเราสงั เกตในชว งเวลาทกี่ ายคงคา งในอาการนั่งทาเดียว ตอเม่ือมีสตนิ านพอ กระทัง่ จบั จดุ ไดวา เราตอ งยืดและ ๑๐
งอหลังสลับกนั เรื่อยๆ ในทส่ี ุดกจ็ ะเห็นขนึ้ มาขณะหน่งึ วากายไมเ ทย่ี ง แมอ ิริยาบถเดยี วกันก็มคี วามเปล่ียนแปลง ตง้ั อยทู า หน่ึงไมนานก็ตองเสอื่ มไป เพื่อแปรไปสูทาอน่ื และเชน กนั อิรยิ าบถนงั่ ในชีวติ ประจาํ วนั ถกู รคู วบคูไปกับลมหายใจดว ยได คือเม่ือหายใจออกรวู า ลมระบายจากทานง่ั เม่ือหายใจเขา กร็ ูว า ลมถกู ลากเขาสทู านัง่ เมื่อฝก รูเชน น้ี ไมว านั่งอยูอยา งไรทา น่ังน้นั ๆกจ็ ะปรากฏใหระลกึ ไดเ สมอ โดยไมเ กิดความรสู กึ อดึ อดั เพราะฝน เพง จองแตอ ยา งใด ๔) เม่ือนอนกร็ ูว า นอน ทา ทางในการนอนทีส่ นับสนนุ ใหเกิดสตคิ ือหงายหนาเหยยี ดตัวตรง แผนหลงั วางราบกบั ท่ีนอน เมอ่ื มีสตนิ อนอยางรูวานอนในทานี้ กย็ อ มตองรสู ึกถงึ ทา ยทอย แผน หลงั และแขนขาอนั กําลงั สัมผัสท่นี อนอยู ยามนอนเปนชว งท่ีเกิดสมั ผสั มากทสี่ ดุ โดยไมตองใชจ นิ ตนาการใดๆ ทานอนที่ถกู สขุ ลกั ษณะควรมีทัง้ ตะแคงและหงายสลบั กนั การนอนทา ใดทาหนึง่ นานๆอาจมีผลใหล มหายใจตดิ ขดั ฉะนนั้ ตราบเทาทยี่ งั คงสตไิ มห ลบั ไปเสียกอน เรากต็ อ งตามรูไปวากาํ ลงั นอนหงายหรือนอนตะแคง มิฉะน้นั กจ็ ะกลายเปนการนอนตามความเคยชนิ คือนอนอยางหลงฟุงซานแบบเอาแนไ มไ ดวา จะคิดถงึ เรื่องใด พยากรณย ากวาจะเปนสุขหรอื เปน ทุกขแ คไหนกบั ความฟงุ ซา นกอนหลบั การฝกรอู ิรยิ าบถนอนอยางผิดพลาดอาจเกดิ ผลขางเคียงอนั ไมพ ึงประสงค กลา วคอื ถา จดจอ เพงเลง็ ทานอนมากเกินไปจนเกิดแรงดนั เหมือนตอนคิดเครยี ด ก็จะสง ผลกระทบใหน อนหลบั ไมสนิท ตาแข็งคา ง ตนื่ นอนดวยความเหนด็ เหน่อื ยเหมอื นขาดการพักผอ นอยา งเพียงพอ คนสวนใหญเ มือ่ ฝก สติรอู ริ ยิ าบถนอนนั้น จะเนน สวนหวั อันเปน ทต่ี งั้ ของความฟุงซา นกอ นหลับ ฉะนั้นหากรูอริ ยิ าบถนอนแลว เกิดความหนกั หวั ก็ใหบอกตนเองวาอริ ิยาบถนอนไมไดมีแตสมั ผัสระหวา งทายทอยกับทนี่ อนใหร ู แตยงั มีสมั ผัสสวนหลงั และสว นแขนขาอยดู วย หากระลึกถงึสัมผัสทกุ สว นพรอ มกนั ไดสบายๆ จะพบวา ความหนกั หัวหายไป อบุ ายทีด่ ีคือรลู มหายใจประกอบไปดว ย ถารูวา หายใจออกจากทา นอนแบบไหน หายใจเขา สทู านอนแบบใด โดยมกี ายเบา รูส กึ ถงึ ทายทอย แผนหลัง และแขนขา โดยไมกระจกุ เพงคบั แคบอยูทใ่ี ดทีห่ น่ึง ไมห นกั หวั ไมอ ึดอดั แนนอก นนั่ ถือวารูอ ิริยาบถนอนอยา งถกู ตอ ง ๑๑
และจะสง ผลดีขนึ้ เร่อื ยๆ ทงั้ กับความกาวหนา ในการเจรญิ สติ และกบั สุขภาพกายใจทไ่ี ดรับการพกั ผอ นอยา งสบาย ๕) เมื่ออยูในทาทางอยา งไรกร็ ูวาอยูในทา ทางอยา งนัน้ คนเรามีอวยั วะหลายสิบชนิ้ องคป ระกอบตางๆทางกายผสมกันใหทา ทางไดซ บั ซอน เชนนงั่ ไขวหาง ครึ่งน่งั ครึง่ นอน ยนื เอนหลังพงิ ฝา ทาํ กายบริหารออกทา ออกทางตา งๆ ฯลฯ จะมีทาทางอยา งไรไมสําคัญ สาํ คัญท่ใี หรูทาทางในสภาพนัน้ ๆเสมอ จึงเรียกวา เปน ผูรูอริ ยิ าบถเตม็ ขน้ั การฝก รตู ามท่ีพระพุทธองคทรงแนะไวใ นขอ นี้ บอกกบั เราอยางหนึ่ง คือทาทางตายตวัสําหรบั การฝก สตนิ ัน้ ไมม ี มีแตตอ งเอาสตไิ ปตามทา ทางทั้งหลายใหท นั เมอื่ เร่ิมตน ปฏบิ ตั ิใหมๆ นกั เจรญิ สตสิ ว นใหญมักกังวลกบั เรอ่ื งทา ทางท่ีเหมาะสมสาํ หรบั การปฏบิ ตั ิ ความจรงิ การอยูในอิริยาบถทส่ี าํ รวมก็เปน ประโยชน แตเ ราตอ งทาํ ความเขาใจใหถ ูกจรงิ ๆวาพระพทุ ธเจาทา นให ‘รทู ั้งหมด’ ไมใชเ ลอื กตงั้ สติรเู ฉพาะทา ทางทถ่ี นดั หรือชอบใจเปน พิเศษ อยา ไปคิดเจาะจงวา ตองมี ‘ทา ปฏบิ ัต’ิ เฉพาะกจิ เพราะหากตั้งความเขา ใจไวเชน น้ัน ในทสี่ ดุ จะเหมือนการเจริญสตติ องเลอื กเวลา เลอื กทาทางเสยี กอ น การฝกรอู ริ ยิ าบถใหถูกตองนน้ั ถอื เปน พ้นื ฐานสําคัญอยา งมากสําหรบั การเจรญิ สตขิ ั้นตอ ๆไป เพราะนอกจากจะทาํ ใหแนใจวาเราอยกู ับความจรงิ ท่ีกาํ ลังปรากฏเฉพาะหนาแลว ยังเปนเคร่อื งประกันวา เราจะไมเพง เล็งเขา มาในกายใจดว ยความเจาะจงคบั แคบ อันกอ ใหเกดิ ความมนึ งงสงสัยวา กําลงั รจู ริงหรือรไู มจริง รถู ูกหรือรผู ดิ ทเี่ ปนเชนน้ันเพราะธรรมดาเม่ือคนเราพยายามกําหนดรูส่ิงใดสงิ่ หนึ่ง เชนความสขุ ความทุกขหรอื สภาวะของจิต กม็ ักเพง เลง็ เหมอื นตั้งใจมองภาพดวยการเคลือ่ นตวั เขาไปชดิ ใกลจนเกนิ ไปกระทัง่ สายตาจดจองอยูก บั จุดเลก็ ๆ ไมอ าจเห็น ไมอาจอธิบายไดถกู วาภาพท้งั หมดเปน อยางไรตอ เมอ่ื ทําความเขา ใจวามองภาพใหเ หน็ ตอ งต้งั ระยะหา งระดับหนงึ่ และมองคลุมไปทั้งหมด จงึ คอ ยเกดิ ความมนั่ ใจวา เปนภาพอยา งไร ควรต้งั ชื่อเปน ‘ตัวตน’ หรือ ‘ไมใ ชต วั ตน’ กนั แน เมือ่ เกิดสตริ ูช ดั เทาทันไปทกุ อิริยาบถเร่อื ยๆ เรายอมรสู ึกประจกั ษข นึ้ มาเอง หมดความสงสัยวา จะตอ งตามรูอริ ิยาบถไปทําไม เพราะอิรยิ าบถจะแสดงตวั ออกมาเรอ่ื ยๆวา ไมอ าจดาํ รงสภาพอยใู นทาใดทาหน่งึ ต้ังอยูครแู ลวตองแปรเปน อนื่ เสมอ ไมวาจะของเราหรอื ของคนอื่น ตกอยภู ายใตความไมเ ที่ยงเหมือนกนั หมด ๑๒
และตราบเทาทรี่ อู ยเู ชนน้ัน ใจเราจะพลอยคลายจากความถือมั่นทงั้ ภายนอกและภายในไปดวย ความรูอยูเ สมอๆวาอริ ยิ าบถไมเ ท่ียงนน่ั เอง จะเหน่ยี วนําใหจ ิตมาอยกู บั เน้ือกบั ตวั มากขน้ึ พงึใจที่จะไมอ อกไปไหนมากขนึ้ ตามกาํ ลังสติที่เจรญิ ขน้ึ วนั ตอวนั ๐๓ รูค วามเคลื่อนไหวตา งๆขั้นทสี่ ามของการฝกมีสติอยกู บั กาย แมฝก มสี ติอยูกบั กายผา นอริ ิยาบถตา งๆ กระท่ังรางกายปรากฏดจุ หนุ กลท่ถี ูกเราเฝา ดจู ากเบื้องหลงั ก็ขอใหส งั เกตวาจงั หวะที่ขยบั เปลีย่ นจากอริ ิยาบถเดมิ หันซายแลขวา กลอกตาหรอื ยดื ตวัไปตา งๆ กจ็ ะเกดิ ความรูสึกวากิรยิ านั้นๆเปนตวั เราในทนั ที อริ ยิ าบถเดิมที่ถกู ดอู ยูหายไปแลว ดงั นน้ั แครอู ิริยาบถยังไมพ อ เราตอ งรูครอบคลุมไปถึงความเคล่ือนไหวปลีกยอ ยตา งๆดว ยเพื่อปดโอกาสการเกดิ อปุ าทานวา ‘ตวั เราขยับ’ แตใหทกุ การเคลือ่ นไหวเปนทต่ี ั้งของการระลึกรูวา‘รา งกายขยับ’ ซึ่งหากทําไดกจ็ ะนับวาเปน ผมู คี วามรูสกึ ตวั (สมั ปชญั ญะ) ตามพทุ ธบญั ญัติ กลาวอยา งยนยอในเบ้ืองตน เราจะฝก ทาํ ความรูส กึ ตวั ดวยการสังเกตความเคลื่อนไหวปลกี ยอ ยตา งๆทางกาย ซ่งึ ตอ งทําความเขาใจใหดี เพราะเมือ่ เริ่มตน ฝกน้ัน นกั เจรญิ สตสิ ว นใหญจ ะกําหนดเพงเล็งไปยงั อวัยวะทีก่ าํ ลงั เคล่ือนไหว เชนเม่ือยนื่ มือไปหยิบแกวนํ้าขึ้นมาดมื่ ก็จะตั้งสตสิ ติอยา งเจาะจงลงไปท่ีมือหรือแขน จติ จึงรับรูไดเ พียงในขอบเขตแคบๆแคมือหรือแขน อนั นน้ั ไมนับเปนความรูสึกตวั ทจี่ ะพฒั นากา วหนาขึ้นได ท่ีเปนเชน น้ันเพราะตามธรรมชาตขิ องจิตแลว เม่ือเพง เล็งสงิ่ ใดยอ มยึดสงิ่ น้ัน เพง มือกร็ สู ึกวา นั่นมือของเรา เพง แขนก็รูสกึ วานั่นแขนของเรา เรากาํ ลงั ยน่ื มอื ไปหยิบแกว นาํ้ ขึน้ ด่ืม ตอ ใหผ สมความคิดลงไปวามอื ไมใชเรา แขนไมใ ชเรา ใจทีม่ อี าการ ‘เพง ยดึ ’ อยูก บ็ อกตวั เองวาใชอยดู ี หากฝกมาตามขนั้ ตอนกจ็ ะไมพ ลาด กลา วคอื มีอิริยาบถเปน หลักต้ังเสียกอน จากนั้นจึงคอยรตู อ ไปวาภายในอิรยิ าบถนน้ั ๆมอี วยั วะใดเคล่อื นไหว เชน เมื่อนั่งก็รูวา นงั่ แลว คอยรูสกึ ตวั วาในทานัง่ นัน้ มีการยืดแขนออกไปขางหนาเพือ่ จบั แกวน้าํ เปนตนความเขา ใจตรงน้มี ีสวนสําคญั มาก ถาทราบแตแรกวา รูส กึ ตวั อยา งไรจึงถกู ทาง ย่งิ เจรญิ สติจิตกจ็ ะยง่ิ เงยี บลงและเปดกวา งสบายขึน้ เพยี งในเวลาไมก วี่ ันกเ็ หมอื นมสี ตริ สู กึ ตวั ไดเองเร่ือยๆ แตห ากไมเขา ใจหรือเขาใจผดิ นกึ วาการรูอิริยาบถและความเคลือ่ นไหวตา งๆคอื การเพงจอง ณ ตาํ แหนงใดตําแหนง หนึง่ ของกาย ก็อาจตอ งเสยี เวลาเปน สบิ ปเ พอ่ื ยา่ํ อยกู บั ที่ เห็นกายเปนกอนอะไรทึบๆ และ ๑๓
ไมอาจผา นเขา ไปรูสิ่งละเอยี ดกวานนั้ ไดเ ลย หลักการทาํ ความรูสึกตวั ตามสตู รมีดังน้ี ๑) ทาํ ความรสู กึ ตวั ในการกา ว ในการเดนิ จงกรมหรอื เดินเทาธรรมดาในระหวางวัน หากตั้งสตริ ูเทากระทบไปเรอื่ ยๆแลวตอนแรกจะรแู คเทา กระทบแปะๆ แตเมอ่ื ยังระลกึ รอู ยูก ับเทา กระทบไมข าดสายกระทงั่ สตไิ มแ วบหายไปไหน นานเขา เราจะรับรลู ะเอยี ดขน้ึ เอง คือเหน็ แขงขาสลบั กนั กา วเดนิ อยางสม่ําเสมอ อนั ทจี่ ริงเราไมไดย า ยสตมิ าจดจออยกู บั การสลับขายางกา ว สติของเรายงั ตั้งไวท เ่ี ทากระทบตามเดิม แตค วามรูส กึ ตวั ขยายขอบเขตออกไปเองตามธรรมชาติของจิตท่เี ปดกวางข้นึ ไมเพงเลง็ คบัแคบเหมอื นชว งเรม่ิ ตน ความรูสึกตวั ในการกาวเดินอาจไมส มาํ่ เสมอ แตขอใหส งั เกตวา ยิ่งความรสู ึกตัวเกดิ ถี่ข้ึนเทา ใด จติ กจ็ ะไวตอ การรบั รคู วามเคล่อื นไหวสวนอน่ื ของกายมากขึน้ เทา น้ัน จะนับวาการทาํ ความรสู กึ ตัวขณะกา วเดินเปน แมแ บบทดี่ กี ็ได ๒) ทําความรสู กึ ตัวในการแลและการเหลยี ว การแลและการเหลยี วเกดิ ขน้ึ ไดใ นทกุ อิริยาบถ แมเดินจงกรมกต็ องมชี วงทเี่ ราอยากผินหนามองรอบขา ง หากไมต ง้ั ใจจะสังเกตไวลว งหนา กม็ ักเผลอแบบเลยตามเลย ปลอ ยใจเหมอ ตามสายตาแตถ าต้งั ใจสงั เกตไวกอนก็จะรสู กึ ตวั เชนทราบวาขณะเดินหรือยนื นิ่งอยูนนั้ ลูกนยั นต ากลอกไปแลวหรือใบหนา เหลียวซายแลขวาไปแลว อาการรสู ึกตวั เชน นั้นจะปดชอ งไมใหเ กดิ การเหมอ ลอยไดอยา งดี ๓) ทําความรูสึกตวั ในการงอและการเหยียด การงอและการเหยยี ดมกั เกิดขนึ้ ในอริ ยิ าบถน่งั และอริ ยิ าบถยนื บอ ยๆ เชนหยิบของเกบ็ เขาท่ี ยกมอื เกาศีรษะ และยกแกว นํ้าขึ้นดื่ม เปน ตน นน่ั หมายความวาถา ฝก รสู ึกตวั ในการงอและการเหยียดได เราก็จะมโี อกาสเจรญิ สตกิ ันทั้งวนั ทีเดียว ๔) ทาํ ความรูสกึ ตัวในการใสเ สอ้ื ผา การใสเสอื้ ผา มกั เกิดขน้ึ ในอิริยาบถยนื และมีความเคลอ่ื นไหวปลกี ยอ ยมากมาย จึงกลายเปนแบบฝก ทมี่ ีความซบั ซอนขนึ้ แตขอเพียงเราจับหลกั ไดคอื ไมล ืมทายนื แมตอ งยนื สองขาบาง สลับยืนขาเดยี วบา ง ก็จะสามารถรสู กึ ตัวไดต ลอดเวลาจนใสเ ส้อื ผา เสร็จ ๑๔
๕) ทําความรสู ึกตวั ในการกิน ดืม่ เคีย้ ว และลม้ิ การกนิ และการด่ืมมักเกดิ ขึ้นในอริ ยิ าบถนัง่ และมีความเคล่ือนไหวปลกี ยอ ยมากมายเชนกนัต้งั แตอ าปาก หบุ ปาก ขบเค้ียว ตลอดจนกลืนลว งผา นลําคอลงทองไป การกลืนแตละคร้ังก็มีรายละเอยี ดแตกตา งกนั เชนอาหารหรือนาํ้ เปน กอนเลก็ หรอื กอนใหญ เปนตน เม่ือรกู จ็ ะเห็นความแตกตา งเหลา นั้น แตถ าไมร กู ็คลา ยจะเหมอื นๆกันไปหมด ๖) ทาํ ความรสู ึกตวั ในขณะถายอุจจาระและปส สาวะ การถายของเสียมักเกิดขนึ้ ในอริ ิยาบถนัง่ หรือยนื ชวงเขาสวมมักเปน จงั หวะทเ่ี ราเผลอเหมอไมมอี ะไรทํากันมากทส่ี ดุ เพราะดูเหมือนไมเหมาะกับการตามรวู ธิ ถี า ยของเสียออกจากกาย แตห ากเราตอ งการมสี ตอิ ยกู ับกายเสมอๆ ก็จาํ เปน ตองรูแมขณะแหง กิจกรรมชนิดน้ี โดยเหน็ ต้งั แตข องเสียเรมิ่ จะออกจากกาย จนกระท่ังลว งพน กายไปทีเดยี ว เราจะไดรวู ารางกายมกี ลา มเนอื้ ภายในจัดการขับถา ยของเสยี โดยใหค วามรสู ึกอยางไร ๗) ทําความรสู ึกตวั ในขณะหลับและต่ืน การหลบั และต่ืนมักเกดิ ขน้ึ ในอริ ยิ าบถนอน ขณะใกลก า วลงสคู วามหลับ สตเิ หมอื นจะดับไปใชก ารอะไรไมได ตอ เมื่อเจรญิ สติรกู ระทั่งแขง็ แรงพอจะรแู มจวนเจียนมอยหลบั จะพบวาแมยามตื่นเรากต็ ืน่ ดวยความรสู ึกตวั ไปดวย และถา รสู ึกตวั ยามตน่ื ไดท ุกวัน เราจะทราบชัดวาการเจริญสติเริม่ ตนกันไดต ้งั แตล มื ตาตน่ื นอนทเี ดยี ว ๘) ทาํ ความรูส ึกตัวในการพูดและน่ิง การพดู คยุ มักเกดิ ขึน้ ในอิรยิ าบถน่งั และยนื ปกตคิ นเรามสี ตอิ ยูกบั เรอื่ งท่อี ยากพดู อยากฟงซึ่งแตกตา งกนั กับความรูสกึ ตวั ในขอน้ี เพราะเราจะพดู หรือฟง ทั้งรูวากาํ ลังนงั่ หรอื ยนื หากฝก ไดก็แปลวา เรามโี อกาสเจรญิ สตแิ มทาํ ธรุ ะในชวี ติ ประจําวนั ไมจ าํ เปน ตองปลกี ตวั จากสังคมเสมอไป การฝก ทําความรูสึกตวั ทไ่ี ดผล จะเหมอื นกายใจเร่มิ แบง แยกจากกัน ตวั หนง่ึ แสดงทาทางกระดุกกระดกิ อกี ตวั หน่งึ เฝา ดเู ฉยๆโดยไมรูสึกวาอาการกระดกุ กระดกิ เปนตวั ตน ถึงจุดนนั้ เราจะพบวาความถอื ม่ันทัง้ ภายนอกและภายในยงิ่ นอยลงเรือ่ ยๆ จติ เร่ิมต้ังม่ันแข็งแรงจนอาจเขาไปรเู ห็นธรรมชาตลิ ะเอยี ดออ นทีแ่ ตกอนไมเคยสามารถสัมผสั นับวา พรอ มกับการเจริญสตขิ นั้ สงู ยง่ิ ๆขน้ึ ไปไมจ ํากัดแลว ๐๔ เห็นกายโดยความเปน ของสกปรกขัน้ ท่ีส่ีของการฝก มสี ติอยกู บั กาย ๑๕
ปกติกายจะเปน ตวั แทนของเรา คอื ถารสู ึกถึงความมีกายเม่อื ใด เม่อื น้ันกายกจ็ ะเหนย่ี วนาํใหม ั่นหมายวาน่ีแหละตวั เรา กระท่งั กายปรากฏชดั อยางท่ีมันเปนจรงิ ๆ คอื สักแตม ลี มหายใจเขาออก สักแตปรากฏตง้ั เปนอริ ิยาบถหนึง่ ๆ สักแตม คี วามเคลือ่ นไหวหนงึ่ ๆ เกิดข้ึนแลวแปรไปเรอ่ื ยๆความม่นั หมายวา กายเปนตวั เราจึงคอ ยลดระดบั ลง นอกจากนน้ั การฝก สติยังบมเพาะกาํ ลงั ความสามารถท่จี ะรไู ดม ากข้นึ เราจะรสู ึกวา แคร ะลกึถึงความเคลอื่ นไหวของกายนับเปน เร่ืองเลก็ ไปเสยี แลว ภาวะทางกายท่กี ําลังตง้ั อยูเดย๋ี วนี้ ยงั มีรายละเอยี ดนา เรยี นรนู า ตดิ ตามอกี มาก นั่นเองเปนโอกาสอันดีที่เราจะคน ลึกลงไป เพราะตามธรรมชาติแลว ยิ่งรจู กั กายดขี ึ้นเทาไร ใจจะย่ิงถอนออกมาจากความเขาใจผดิ วากายเปนเรามากขน้ึ เทานั้น ความจริงในกายอนั ใดทีค่ วรรูเปนอันดับแรก? ความจริงนน้ั ไดแ ก ‘กายนเี้ ปนของสกปรก’น่นั เอง เพราะรูกายโดยความเปนเชน นั้นแลว จติ ตตี วั ออกหา งจากกายไดอ ยางรวดเรว็ กเ็ มอ่ื เปน ความจริงท่กี ายนส้ี กปรก แลว เหตุใดใจเราจงึ ถกู หอหุม อยดู วยความหลงผดิ สาํ คญัมนั่ หมายวา กายเปน ของสะอาด ของหอม ของนาใคร นา ช่ืนชมอภริ มยเ ลา? เหตผุ ลมีอยู ๒ ประการใหญๆ ไดแก ๑) ความตรกึ นกึ ทางกาม อารมณเ พศจะทาํ ใหเ รามองขามขอรังเกียจเก่ียวกบั กลิน่ จากหนอเหมน็ แนวเหมน็ ตา งๆ กบัทัง้ อยากกระโจนเขาหา ยอมเสยี เงินเสียทอง หรอื กระท่งั ยอมเหน่อื ยยากลาํ บากแทบตอ งทิ้งชวี ิตเพยี งเพ่อื ใหไ ดส ัมผสั หนอเหมน็ แนวเหมน็ ของเพศตรงขา ม น่ีคือฤทธ์ขิ องความกําหนัดยนิ ดี ความกําหนัดยินดใี ครเสพกามมสี าเหตุมาจากความตรกึ นึกเปน สําคญั ถาเพยี งหมั่นรูสติเฝา ตามดกู ายตามจรงิ เหน็ ความเส่อื ม เหน็ ความสกปรกในกายน้ี ไมปลอยใหความตรกึ นกึ ทางกามกาํ เรบิ กเ็ พียงพอจะทาํ ใหจ ิตใสใจเบา ไมเมามืดดวยความรูส กึ ทางเพศไดแลว ๒) การทําความสะอาด ทกุ วนั เราเคยชินกบั การชําระลางรางกายทุกสว น กระทง่ั เวลาสวนใหญม ีตัวแหงสบายไรกล่นิ ชินเขา กห็ ลงนึกทึกทกั วา กายน้สี ะอาดอยเู อง ไมใชส ง่ิ เหม็นเนานา รังเกียจแตอยา งใด ชว งที่กายถงึ เวลาสกปรก กม็ ักเปน ชว งทเี่ ราเลือกอาบน้ําสะสางนนั่ เอง ดังนัน้ ขณะอยูในหองน้ําจงึ ควรพิจารณาดูใหร ูสกึ ถงึ ความจริงไปดว ย เพอื่ ปลกุ สตใิ หตืน่ ข้ึนยอมรับสภาพได ๑๖
ถูกตองตรงจริงเสยี ที ขณะอาบนา้ํ ใหทําความรสู กึ ตวั เมอื่ มสี ตทิ ราบวากาํ ลงั อยูในอิรยิ าบถใด ทา ทางเคลื่อนไหวแบบไหน เราก็จะสามารถรูสึกถงึ กายสวนท่ีเกี่ยวขอ งได ขอใหพจิ ารณาดงั น้ี ขณะสระผม เสนผมและหนงั ศีรษะจะปรากฏใหร ูส ึกผา นฝามือท่ขี ย้อี ยู ขณะฟอกสบู ผิวหนังจะปรากฏใหรสู กึ ผา นมือทลี่ ูบถู เพียงใสใ จพิจารณาประกอบเขา ไปกจ็ ะรวู า เสน ผมและผวิ หนงั เปน สิ่งสกปรก เพราะถาไมสกปรกจะตอ งทําความสะอาดทาํ ไม แลวกเ็ ห็นๆอยูว าน้ําท่ีเคยสะอาดกลบักลายเปนน้ําดาํ เมื่อถกู ใชล า งตัว ขณะแปรงฟน ฟนจะปรากฏใหรูสึกผานมอื ทีจ่ บั แปรง ฟน ทําหนา ที่ขบเคย้ี วซากพืชและศพสตั วมามาก ไมมีทางที่จะสะอาดอยูได ขณะชายโกนหนวดหรือหญงิ โกนขนรกั แร เสน ขนจะปรากฏใหร สู กึ ผา นอุปกรณก ารโกน ขนเปน สิง่ ท่งี อกเงยแทงทะลุผา นผวิ หนังสกปรกออกมาเรียงกัน เม่อื โผลจากผิวหนังสกปรก เสน ขนยอมมสี ว นแหง ความสกปรก เปน เรอื่ งรกทร่ี บกวนใหเรากําจดั ทงิ้ รํา่ ไป ขณะตดั เล็บ เล็บจะปรากฏใหรสู กึ ผานกรรไกรตดั เลบ็ เมอ่ื ตดั แลวจะสง กล่นิ ออนๆ ฟองตวั เองวา มาจากความสกปรก และถกู ตดั ทง้ิ ใหก ลายเปน ขยะของโลกอีกกองหนง่ึ ทั้งที่เดิมเปนเสมือนเครื่องประดับของรา งกายแทๆ การพิจารณาผม ขน เล็บ ฟน หนังดังกลาว เปนเพยี งตวั จดุ ชนวนให ‘เกดิ ความรูสกึ ’ วา กายสกปรก เรายงั พจิ ารณาใหลกึ เขา ไปในกายได โดยเรมิ่ จากอุจจาระปสสาวะ ซง่ึ เราเคยฝกทําความรสู ึกตวั ขณะขบั ถายพวกมนั มาแลว อจุ จาระเปน สง่ิ ทีท่ ุกคนยอมรบั วานารงั เกยี จ เราสามารถเหน็ ดวยตา ไดก ล่นิ ดวยจมกู เมื่อมนัถูกปลดปลอยออกมากองขางนอกกาย ดงั น้นั พอทาํ ความรสู กึ ตวั ขณะขับถาย รูสกึ ถึงกายในทานง่ั เราก็อาจเห็นกายเหมอื นถงุ ใสอ ทึ ตี่ องปลอ ยสว นเกนิ ใหเ ลด็ ไหลออกมาจากทวารหนักวันละรอบเปนอยางนอ ย หากไมม สี วมมารองรบั กายกจ็ ะสําแดงความเรยี่ ราดเลอะเทอะ สงกล่ินฟุงกระจายเปน แน ความรูสกึ ตวั ขณะขับถา ยยงั มปี ระโยชนย ่ิงไปกวานน้ั เพราะขณะขบั ถายอยางรสู กึ ตวั นั่นเองเราจะคอยๆเห็นความจริงลกึ ข้นึ เชน เกดิ สตทิ ราบวา อจุ จาระเปน สง่ิ นาขยะแขยง ดงั นนั้ ภายใน ๑๗
ชอ งทอ งอนั เปนทมี่ าของอจุ จาระ ก็คงไมแ คลว ตอ งมีความโสโครกนา ขยะแขยงดวยเชน กนั กลาวไดว าอุจจาระเปน ตวั เชอื่ มโยงระหวา งภายในกับภายนอก ทําใหเราตระหนักวากายมิไดส กปรกเพยี งดวยคราบเหง่อื คราบไคลฉาบผวิ ดา นนอก แทจ รงิ ดา นในยง่ิ ขนดั แนนยดั เยยี ดดว ยสงิ่ เหนา เหมน็ หนกั กวาสวมทีไ่ มไดรับการทาํ ความสะอาดมาช่วั นาตาป แตล ะวนั เราแคใชส บูแชมพูดบั กล่ินท่เี ลด็ รอดออกมาแบบกลบเกล่อื นเปน คราวๆไปเทา นนั้ โคตรเหงา ของความสกปรกไมไดถูกชาํ ระสะสางเลยแมแตนอย หากหมกมนุ ฝงใจอยูก ับความสกปรกโดยขาดสติ ก็อาจกลายเปน ความขยะแขยงชงิ ชงั เกินทน ตรงนขี้ อใหเขาใจวาถา มีความสขุ ข้ันพ้ืนฐานจากสตริ ลู มหายใจ รูอิริยาบถ ตลอดจนรคู วามเคล่อื นไหวตางๆเปนอยางดี ก็จะรูสกึ เหมือนมองซากเนา ออกมาจากหอ งที่สะอาด สวา ง และสงบเงียบ ปราศจากความนา คล่นื เหยี นกระวนกระวายแตอ ยา งไร บางคร้ังจิตอาจรูช ัดในอวัยวะสกปรกชนิ้ ใดชน้ิ หนึ่ง แลว ไดก ลน่ิ อวัยวะนัน้ ๆราวกบั ยกขึ้นดมก็ขอใหท ราบวา น่นั เปน การขยายขอบเขตความสามารถรบั รขู องจิต ไมใ ชวาประสาทจมูกผดิ ปกติแตอยางใด หากนักเจริญสติฝก ไดถ งึ ระดับน้นั ก็มักมีกําลงั สติมากพอจะกาํ หนดอยูแลว วา จะเพกิ เฉยหรือจะกลบั มาจดจอเพอื่ จุดประสงคเ ชน ดบั ราคะเฉพาะหนา ยง่ิ เมอ่ื จติ ตีตวั ออกหางจากกาย เหน็ กายเปน ส่ิงสกปรกสวนเกินมากขน้ึ เทาไร จติ กจ็ ะยงิ่สงบระงบั กระท่ังเกิดสตแิ ละความสวา งอยา งใหญ รสู ึกถึงกายนีโ้ ดยไมต องพึง่ ประสาทหยาบ จิตสามารถรเู ห็นแหวกเขา ไปภายใน กายทง้ั กายปรากฏในความรับรรู าวกับเปนถุงยาวๆที่มปี ากสองขาง ดา นบนเอาไวใสข องดี ดา นลา งเอาไวถ า ยของเสยี และเหน็ ในถงุ นั้นยดั ทะนานอยดู ว ยเสน เอน็โครงกระดกู ไขกระดกู มาม หวั ใจ ตบั พงั ผดื ไต ปอด ลาํ ไสใหญ ลาํ ไสเลก็ อาหารใหม อุจจาระปส สาวะ ดี เสลด หนอง เลือด เหงอ่ื มันขน น้าํ ตา มนั เหลว นํ้าลาย นา้ํ มกู ไขขอ การรเู ห็นเขา ไปในกายน้ี ขอใหทราบวามิใชจนิ ตนาการรางเลอื น กับทัง้ มใิ ชความนึกคดิ ถงึอวัยวะภายใน แตเปน การรจู ากฐานสมาธทิ จี่ ติ สวา งเปนหน่งึ เหน็ เครอื่ งในไดราวกบั ชาํ แหละออกดูสดๆ แตล ะคนเหน็ ตางกนั ไดไมจ ํากัด กับทั้งไมจาํ เพาะวา ตอ งเกดิ การเหน็ ขณะอยใู นอริ ิยาบถใดอริ ิยาบถหน่งึ อาจขณะยนื ลมื ตาอาบนา้ํ หรอื ขณะนอนหลับตากอ นหลบั ก็ไดท งั้ ส้ิน เมอื่ ฝกกอ็ ยาคํานงึ วา เหน็ จริงหรอื เหน็ ไมจรงิ สาระทต่ี อ งคํานงึ คอื เหน็ แลว สลดสังเวชไหมระงบั ราคะไดเ ฉียบขาดแคไ หน เหน็ กายผูอ่นื เปน ของสกปรกไดเทา เราแบบไมเลอื กหนา หรอื เปลาถา ระงบั กเิ ลสทางเพศได และมจี ติ เปนอสิ ระจากกาย เบาสบายและตัง้ ม่ันไดนานข้ึนเร่ือยๆ น่นั แหละขอใหถอื วา ลถุ งึ จุดประสงคของการฝก ขนั้ นี้แลว ๑๘
๐๕ เหน็ กายโดยความเปนธาตุข้ันท่ีหา ของการฝกมสี ตอิ ยูกบั กาย การฝกเห็นกายโดยความเปน ของสกปรกนั้น ชว ยถา ยถอนจิตออกจากความยึดตดิ ถือมั่นในกาย ทําใหเ ราเหน็ กายเปนอน่ื กจ็ รงิ แตต วั ความรงั เกยี จเองยงั มิใชความรแู จงแทงตลอด เรายังกําจัดความหลงผดิ เก่ียวกับกายไดไมห มด เม่ือไมหมดก็ตองฝก เพื่อกําจดั ตอ ไปใหหมด ความหลงผดิ เก่ยี วกบั กายอยา งไรอกี ? ขอใหด จู ากที่ยังอาจมีความรสู ึกวา ความสกปรกน้นัคอื ‘ตัวเรา’ อยู ซงึ่ นั่นก็แปลวา เรายังมองวากายเปนตวั แทนของเรา เมอ่ื กายสกปรกตวั เราก็สกปรกไปดวย ทํานองเดยี วกับเมอ่ื ครงั้ ยังไมฝกเห็นตามจริงวา กายสกปรก กห็ ลงนกึ วาตวั เราสะอาด ตวั เราสงา งามเหนือสัตวอ ืน่ พดู งายๆวามองกายเปน อยา งไร ก็รูส ึกวา ตวั เราเปน อยา งนัน้ ไปเสียหมด ในขน้ั นีเ้ ราจะฝกมสี ตอิ ยูกับกายโดยเหน็ สักแตวาเปน ธาตุ เห็นใหซ ้ึงถงึ ความจริงวา ธาตุไมใ ชบ ุคคล ไมมีความเปน บคุ คลอยใู นธาตุ ทาํ นองเดียวกับท่เี ราไมเ คยรูส ึกวา แผน ดิน ผนื นํา้ กองไฟ และสายลมรอบดาน เปนบคุ คล เปน หญิงชาย เปนตวั เรา เปน ตัวเขา หรอื เปน ใครท้ังน้ัน กอนเร่มิ ปฏิบตั ิเราตอ งทําความเขาใจวา กายสักแตเ ปน การประชุมของธาตุดนิ น้าํ ไฟ ลมธาตหุ ยาบเหลา น้ีมาประชมุ กันชัว่ คราวเปน รูปหลอกตา แตละธาตุมสี ภาวะของตนเองตางไปจากธาตอุ ่นื จําแนกเปนขอๆไดด ังน้ี ๑) ธาตดุ ิน มีสภาวะแข็ง เปนของหยาบ สวนของกายทเี่ ขาขายธาตุดนิ ไดแก ผม ขน เล็บ ฟน หนัง เน้อืเอ็น กระดกู ไขกระดกู มันสมอง มา ม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไสใ หญ ไสนอย อุจจาระ หรอืของแข็งหยาบใดๆอันเกี่ยวกบั กาย เชนคาํ ขา วทก่ี าํ ลังเค้ยี วกลืน กจ็ ัดเปน ธาตุดินเชนกนั ๒) ธาตนุ ํ้า มสี ภาวะเอบิ อาบ เปล่ยี นรปู ไดตามแตจะถกู บรรจเุ ขาไปทไ่ี หน สวนของกายทีเ่ ขา ขา ยธาตุนาํ้ ไดแก เสลด น้ําลาย นา้ํ เหงอื่ นา้ํ ตา น้ําปสสาวะ นาํ้ มูก นาํ้ เลอื ด น้ําเหลอื ง นาํ้ หนอง ดี มนั ขนเปลวมันเหลว ไขขอ หรอื ของเอบิ อาบใดๆอันเกี่ยวกับกาย เชนน้ําทกี่ าํ ลังลว งผา นลําคอ กจ็ ดั เปนธาตนุ ้าํ เชน กนั ๓) ธาตุไฟ ๑๙
มีสภาวะรอน แผไ ปในธาตอุ ่นื ๆแลวมผี ลใหอ ุณหภมู สิ งู ขน้ึ ได สว นของกายท่เี ขา ขายธาตุไฟไดแ ก ไออนุ อันแสดงถึงการมชี ีวติ ไอรอ นท่ยี งั กายใหกระวนกระวาย ไอรอ นทีย่ ังกายใหท รุดโทรมและไอรอนท่เี ผาอาหารใหยอ ยไป หรอื ของรอ นใดๆอันเกี่ยวกับกาย เชนไอรอนจากแสงแดดทีท่ าํ ใหเน้ือตัวอนุ ขนึ้ กจ็ ดั เปน ธาตุไฟเชนกนั ๔) ธาตุลม มสี ภาวะพดั ไหวไปมา เคลอ่ื นจากจุดหนึ่งไปยงั อีกจดุ หน่งึ ไมแนนอน สว นของกายทเี่ ขาขา ยธาตลุ มไดแก ลมหายใจ ลมในทอ ง ลมในลําไส ลมแลน ไปตามอวัยวะนอยใหญ ลมพัดขึ้น ลมพัดลงหรอื ของพัดไหวใดๆอันเกย่ี วกบั กาย เชน ลมท่เี ปา ออกจากปาก ก็จัดเปน ธาตลุ มเชน กนั เมื่อทาํ ความเขาใจและแยกแยะสวนตา งๆของกายโดยความเปนธาตุทง้ั สี่กนั แลว ขั้นตอ มาคือการ ‘เหน็ ’ บรรดาธาตเุ หลา นนั้ ดว ยใจ เพ่ือความรชู ัดวา จะเปน ธาตใุ นกายหรอื นอกกายก็เหมอื นๆกนั ใจจะบอกตวั เองถกู วาน่ันไมใชเรา ไมมีเราอยใู นธาตเุ หลา นน้ั ขอใหคํานงึ ถึงความจรงิ วา กายนี้มีความเปนทป่ี ระชุมของธาตทุ ง้ั ๔ อยแู ลว ฉะนนั้ เมอื่ ใดท่ีมสี ติเหน็ กาย เมื่อนั้นกค็ อื โอกาสแหงการเห็นธาตุ ๔ ไดห มด อิงอาศยั จากขน้ั กอ นๆหนากไ็ ดเพราะลว นมีกายเปนท่ีต้งั ของสติทั้งสิ้น เชน ๑) ขณะรูล มหายใจ เมื่อรูล มหายใจอยางตอ เนอ่ื งเปน อตั โนมัติ ใหพิจารณาวา ใจเราต้งั มนั่ ไมมคี วามหวน่ั ไหวเปน ฝายรู สว นลมหายใจทเ่ี ขามาและออกไป มีลักษณะพัดไหวไมตา งจากสายลมภายนอก ไมใ ชบคุ คล ไมใชเ รา ไมใ ชใ คร เทา นกี้ ็ไดชอ่ื วา เห็นกายโดยความเปนธาตลุ มแลว ๒) ขณะรอู ิรยิ าบถ เม่อื รูอริ ยิ าบถอยา งคงเสนคงวา ใหพจิ ารณาวา ใจเปนของโปรง เปน ฝายรู สวนกายเปน ของทบึ เปนฝา ยถูกรู เคาโครงสัณฐานของกายทเี่ รารสู กึ อยู นับแตหัว ตวั แขนขา ลวนคงรปู อยไู ดด ว ยความเปนของแขง็ ของแข็งไมใชบุคคล ไมใ ชเรา ไมใ ชใ คร เม่ือรูอยูเหน็ อยูด วยจติ อันตง้ั มั่น ไมร ูสกึวา มบี คุ คลอยใู นโครงรา ง เทานกี้ ไ็ ดช อื่ วา เหน็ กายโดยความเปนธาตดุ นิ แลว ไมจ าํ เปนตองจินตนาการใหเ กนิ เลยกวา ทก่ี าํ ลงั รสู ึกอยจู รงิ ๆ ๓) ขณะรูความเคล่ือนไหวตา งๆ เม่ือรูความเคลอื่ นไหวปลกี ยอยท่ีเกดิ ขึน้ ในอริ ยิ าบถใหญในปจจุบนั ก็ฝก สังเกตวา ความเคลอื่ นไหวนน้ั ๆแสดงธาตอุ ะไรใหเรารูไดบาง เชน การเหยียดและการงอทาํ ใหเรารสู กึ ถงึ การยดื หด ๒๐
ของกลา มเน้อื ตรงนัน้ คือสว นของธาตุดิน การกลืนนํ้าลายหรอื การกะพริบตาทาํ ใหเ รารสู กึ ถึงความลน่ื ของน้ํา ตรงน้นั คือสว นของธาตุนํา้ ความตรากตรําขนาดมีผลใหอ ณุ หภูมิในรางกายสูงขน้ึ ทําใหเรารสู กึ ถงึ ความรอนภายใน ตรงน้นั คอื สวนของธาตไุ ฟ ไมใ ชบ คุ คล ไมใชเ รา ไมใ ชใ คร ผูทฝ่ี กรสู ึกตัวมาอยา งดีจะเหน็ ธาตไุ ดเสมอ ๔) ขณะเหน็ กายโดยความเปน ของสกปรก เมื่อเหน็ กายโดยความเปน ของสกปรก โดยเฉพาะในขนั้ ท่ีจิตตั้งมัน่ อยา งใหญ สามารถเหน็อวัยวะภายในไดด ุจชาํ แหละดู ทง้ั กระดูก กอนเนอื้ และนาํ้ เลอื ดน้ําหนองที่สง กลน่ิ คาวอยู เมอ่ื ดูดวยใจทว่ี างเฉยเหมอื นเปนของอ่ืน เศษเลือดเศษเน้ือในนมิ ติ นน้ั จะเหน็ ไมตางอะไรกับเน้ือสดที่เขาวางขายตามตลาดสด ไมเ ห็นมีความเปน บคุ คลหรือตวั ตนอยูในเลอื ดเนื้อเลยสักชนิ้ ความเหน็ ดวยใจที่นิ่ง วา ง สวา งน้ีเอง คอื ภาวะขน้ั สงู ของการรูก ายวาสกั แตเ ปน ธาตุ ขอใหร ะลึกเสมอวาการเห็นกายสกั แตเปน ธาตุจรงิ ๆนน้ั ตองอาศยั ‘ใจเหน็ ’ ขณะทมี่ คี วามรสู ึกตัวตามปกติ ไมใ ชห ลบั ฝนเหน็ เปนตวั อะไรแปลกประหลาด เพราะทต่ี ้ังของอปุ าทานคอื กายนอ้ี ันคงรูปยามต่ืน ไมใ ชกายอันปรากฏอยใู นฝน ยามหลับชว่ั ครูชวั่ คราว การเหน็ กายโดยความเปน ธาตุแตล ะคร้งั จะสะสมความรสู ึกเหินหา งและวางเฉยในกาย จิตอยูสว นจติ กายอยูสว นกาย ความรูสกึ ของเราจะไมอยากเอากาย ไมตอ งการเปนพวกเดียวกบั กายโปรง เบาเปนอิสระ แมกายกาํ ลงั นงั่ กเ็ หมือนจิตไมไดน่งั อยกู ับกาย แตแ ยกเปนตางหากออกมารูออกมาดูวาธาตุ ๔ นั่งอยู และน่ันกค็ อื ความพรอ มจะสละความหลงผดิ ติดยดึ กายใหเ ดด็ ขาดในขน้ัสดุ ทา ยตอไป ๐๖ เห็นกายโดยความเปน ของสูญข้ันสุดทายของการฝกมสี ตอิ ยูกบั กาย การฝก เห็นกายโดยความเปน ธาตนุ น้ั ละความรูสกึ วามีตวั ตนอยูใ นกายไดกจ็ ริง แตเ รายงัอาจหลงเขา ใจผดิ อยูวา เหลา ธาตมุ คี วามต้งั มั่น ทั้งน้กี ็เพราะโดยธรรมชาติของดิน นาํ้ ไฟ ลมนั้นรวมกนั คงรปู อยไู ด และคมุ ไวในสภาพนา จดจาํ วาเปน มนษุ ยค นหนง่ึ เกอื บรอ ยป ยาวนานพอจะหลอกใหเ ราหลงนึกวา กายมีความตง้ั มน่ั ได ฉะนั้นแมไมรสู กึ ถงึ ความมีบุคคลในกายแลว จติ กอ็ าจเผลอหลงไปยดึ กายเปนหลกั ที่พ่ึงไดอยู เพื่อใหจติ เลกิ ยดึ กายใหถงึ ทสี่ ดุ ข้ันสดุ ทา ยของการฝกมีสตอิ ยูก ับกายจงึ ควรเหน็ กายโดยความเปน ของสูญ ไมต า งอะไรกับฟองสบทู พ่ี รอมแตกออก พอรซู ้ึงวา ทีแ่ ทกายนต้ี อ งดบั ไปเปน ๒๑
ธรรมดา ความรูสึกวา กายนีเ้ ปนหลักทีพ่ ่งึ ทม่ี ัน่ คงก็ยอมดบั ลงสนิทเชนกัน เพือ่ ทราบชดั วา กายเปน ของสญู กอ นอื่นเราตอ งทาํ ความเขาใจผา นความจริงทเี่ ห็นดวยตาเปลา น่ันคือคนเราตองตาย เกดิ เทา ไรตายเทา น้ัน ความรูทน่ี า สนใจเกยี่ วกับธรรมชาติของการตายก็คอื รา งกายจะกลายเปนซากศพ หากไมมีการขัดขวางกระบวนการทางธรรมชาตดิ ว ยวิธฉี ดี ยากันศพเนา ศพจะตอ งเนาเปอ ยผพุ งั ในไมชา การใชต าเปลา มองศพของจรงิ ในระยะตา งๆ ต้งั แตสภาพคลา ยคนนอนหลับธรรมดา แลวเริ่มทอ่ื เพราะการแข็งตวั ของกลามเนือ้ ชนิดไมอาจกลบั ยดื หยุนไดอีก ไปจนกระท่งั น้ําเลือดน้ําหนองไหลเยิ้ม แลวจบลงดว ยการเปอยปนผุพงั ไปไมเ หลือแมแตโครงกระดกู นับวาเปน เครอ่ื งกระตนุความรบั รูและเหนี่ยวนําจิตใหเ กิดนิมติ เทยี บเคยี งเขามาในกายตนไดอ ยางรวดเร็ว หากมโี อกาสดศู พสภาพตา งๆไดจึงควรดู แตห ากยังรูสกึ สยดสยองเกินจะรบั กอ็ าจฝก มสี ติอยูกับกายจนจติ เห็นทะลุทะลวงเขา ไปเหน็ ส่งิ ทซ่ี อ นเรนอยูใตผ ิวหนงั เสยี กอ น แลวจะไมต องอาศยั ความใจถงึ ในการฝก ข้ันสดุ ทายอกี ตอไป นักเจริญสติทม่ี ีความรสู กึ ตวั ดีน้ัน เพียงการสดับรบั รวู า ความจรงิ สุดทายของกายเปนอยา งไร กเ็ พยี งพอที่จะเหน่ียวนาํ ใหจ ติ เห็นจรงิ ตามน้นั แลว โดยไมจาํ เปนตองเคน นกึ ใหเหนื่อยแตอยา งใด ผูฝกยอ มทราบวา กระบวนการเนาเปอ ยผพุ งั ไมไ ดเ กิดขน้ึ จรงิ กบั กายหยาบ สิ่งทีเ่ ห็นเปนเพยี งการแสดงของ ‘กายละเอียด’ หรอื นิมิตเหนือจริงซึง่ บันดาลขึ้นดว ยอาํ นาจทางใจ หนาท่ีสาํ คัญของนิมติ คือแสดง ‘ความจริงขน้ั สงู สดุ ’ เก่ยี วกบั กายใหเราประจกั ษและคลายความถอื มั่นเสยี ได ความจรงิ ข้นั สงู สดุ ของกายที่เรยี กกันวา ‘กระบวนการเนา ’ มี ๙ ประการดงั นี้ ๑) กายนจ้ี ะตองเปนศพพพุ องมีนํา้ เหลืองไหลเปน ธรรมดา พอขาดลมหายใจและไออุน เชื้อโรคในรางกายทม่ี ีอยมู ากก็จะทาํ ปฏกิ ิรยิ ากบั เนอื้ เยอ่ื จนเกดิกาซข้นึ มา ทาํ ใหเ นอ้ื หนงั ข้ึนสีเขยี วภายในหน่งึ วัน โดยมากเร่ิมจากทอ งนอยดา นขวากอน แลว อดืพองทงั้ ตัวเมอ่ื กาซลามไปท่ัวรา ง จากนั้นแรงดันของกา ซจะเพิม่ ขึ้นเรือ่ ยๆ ภายในสามวนั จะดนั ล้นิออกมาจกุ ปาก และดนั ลกู นัยนต าใหทะลกั ออกมานอกเบา แถมดวยกล่นิ เหม็นเนารนุ แรงเกนิ ทน นอกจากน้นั การยุติชวี ติ จะทาํ ใหก ารไหลเวยี นของเลอื ดยตุ ติ าม นํา้ เหลืองจะคอยๆซมึ จากเสนเลอื ดออกมาขังอยตู ามชองโพรงตางๆ เชนชอ งอกและชอ งทอง และลนออกมาทางปาก ทางจมกู ฉะน้นั ไมว าจะเปน ศพของสาวสวยหรอื หนมุ หลอปานใด ก็จะนา เกลียดนากลวั ไมช วนใหอยาก ๒๒
แตะแมดว ยเทา ประสบการณค ร้ังแรกมกั เกดิ ข้ึนเมอื่ นอนเจริญสติ ระลกึ ถงึ กายโดยความเปนของเนา เปอยแลว หลบั ไป เกดิ นมิ ิตฝน รูสกึ คลา ยนอนตามปกตแิ ลว กลายเปน ศพกะทนั หนั มนี า้ํ เหลอื งไหล รา งบวมเปงข้นึ เรอื่ ยๆ สง กล่ินคละคลงุ ถา ไมเตรยี มใจวางเฉยไวกอ นหลับก็อาจตกใจตื่นดวยความหวาดผวา แตหากฝก เตรียมวา เจอเม่อื ไรเฉยเมือ่ นน้ั ก็อาจประคองจิตใหดูไปเร่อื ยๆได การฝกทน่ี บั วา ไดผลจรงิ ๆตอ งทาํ ไดเ ปนปกตแิ มลืมตาตน่ื อยู เพราะจิตเปน สมาธิมนั่ คงดีแลว เพียงระลึกถงึ กายอนั ปรากฏตามปกตอิ ยางนี้ พอนึกถึงคราบไคลทเ่ี กาะเนอื้ หนังภายนอก นกึออกวา ภายใตผ วิ หนงั มนี ํ้าเลือดน้ําเหลืองบรรจอุ ยู จากน้ันเพยี งระลกึ วารา งน้ีตองเนา เปอยเม่ือขาดลมหายใจและไออุน ทันใดกอ็ าจรูสกึ ราวกบั เกิดแผลพุพองข้ึนท่วั ตวั น้าํ เลอื ดน้าํ เหลืองไหลเยิ้มออกมาจากแผลเดย๋ี วน้นั โดยไมน ึกหวาดกลัวแมแ ตนอ ย ตรงขา มกลับจะสนกุ ดว ยซา้ํ เพียงนมิ ติ ในขอ แรกนป้ี รากฏได นิมติ ขอ อ่นื ๆก็จะตามมาเองโดยไมต องจงใจกําหนดเนอ่ื งจากนิมิตถกู สรา งขึ้นจากญาณหยั่งรคู วามจริงเกยี่ วกับการเนา เปอ ยของกาย กระบวนการเนาเปอ ยทเ่ี หลอื ยอ มแสดงตัวออกมาเอง ขอใหเ ขาใจวา ถาจติ ไมใหญ ไมสวา งตง้ั ม่ันมากพอ ยงั ตอ งเคนนึกอยู ก็จะเปน เพยี งจนิ ตนาการ ไมจัดเปน ความหยง่ั รตู ามลําดบั แตอ ยา งใด ๒) ศพนีจ้ ะตอ งถูกสตั วกดั แทะเปน ธรรมดา เม่ือตายกลายเปน ศพก็ยอ มสงกลิ่นแบบศพ แมค นธรรมดายังรับกลน่ิ ไมไ ด แตสัตวเ ชนแมลงวันรบั ได และจะตามกลน่ิ คาวมาถงึ ศพภายในเวลาไมเกินหนง่ึ ชั่วโมง ตวั เมยี จะวางไขไวใ นสวนทชี่ ืน้ เชนรูจมกู ลกู นยั นต า ชองปาก หรือตามบาดแผล หลังจากนั้น ๑๒ ช่ัวโมงจะมีตัวหนอนฟก ออกจากไข กลายเปน ดกั แด แลว แปรสภาพเปน ฝูงแมลงวันย้วั เยย้ี อกี ที ยง่ิ ถาวางไวกลางทงุ โลงก็จะเห็นแรงกาหมามดมารุมท้งึ ดุจงานเลี้ยงมอื้ ใหญไ มจํากดั แขก ๓) ศพนีจ้ ะเหลอื เพยี งโครงกระดูกผกู ดว ยเสน เอ็นฉาบเลือดเนอื้ เปนธรรมดา เมอื่ ถูกสัตวแ ทะกนิ เน้อื หนงั ขาดแหวง กย็ อ มเผยใหเห็นแกน ของกายคือโครงกระดกู ซ่งึเบอื้ งแรกจะยงั มีทัง้ เลือดและเนอ้ื หนังติดอยบู างสวน นอกจากนนั้ ยงั มเี สนเอน็ รอยรดั ยึดโครงกระดกูใหร วมอยดู วยกันไมไปไหนดว ย ๔) ศพน้ีจะเหลือเพยี งโครงกระดูกผกู ดว ยเสนเอน็ ฉาบเลอื ดเปน ธรรมดา เนอ้ื เปน สง่ิ ทจ่ี ะสญู หายไปกอ น แตอ าจยังเกรอะกรงั ดว ยคราบเลอื ดเปอ นกระดกู และมเี สนเอน็ ผกู ยดึ อยู ๒๓
๕) ศพน้จี ะเหลอื เพียงโครงกระดูกผกู ดว ยเสน เอน็ เปนธรรมดา เลอื ดจะหายไป แตโ ครงกระดูกยังคมุ เปนรูปไดเพราะมีเสนเอ็นยดึ อยู ๖) โครงกระดูกนีจ้ ะกระจดั กระจายเปน ธรรมดา เสน เอน็ เปนสงิ่ ทห่ี มดสภาพกอนกระดกู เมอ่ื ขาดเสน เอ็นรอ ยรัดแลว ความจริงท่วี ากระดูกแตล ะทอ นตอ งแยกยายกันไปคนละทศิ คนละทางจึงปรากฏใหดู ๗) โครงกระดกู น้ีจะมสี ีขาวดุจสสี งั ขเปน ธรรมดา เม่อื ไมเหลือแมเสนเอ็น กย็ อ มปรากฏเพยี งสขี าวโพลนของกระดูกชดั ไมตา งจากเปลือกหอยทะเลกาบเดี่ยว ๘) โครงกระดูกนีจ้ ะกองเรยี งรายมอี ายุไดเ กนิ ปเปน ธรรมดา กระดูกทีถ่ ูกวางตากอากาศไว ไมถ กู ดินโคลนทบั ถมจนแรธาตซุ มึ เขา ไปอดุ โพรง จะยงั คงสภาพเปนกระดูกอยเู กินปไดไ มน าน กเ็ ริ่มเขาสูภ าวะผพุ ัง ๙) โครงกระดกู นจ้ี ะผุพังปน เปนผงแหลกละเอยี ดเปน ธรรมดา ถึงข้ันนี้จะไมม ีเหลือแมโครงรูปกระดูก สักแตวากลายเปนผงอะไรกองหน่งึ ในทางปฏบิ ตั ิ บางคนนง่ั หลบั ตามีสตอิ ยูกบั กายจนเกิดสมาธิอยา งใหญ พอกําหนดจดุ ใดจดุหน่งึ เชน ผวิ หนงั กอ็ าจเหน็ หนังลอกออกเปนช้นิ ๆ เห็นโครงกระดกู ตง้ั อยู แลวถลมลมครนื กลายเปนผง เหลือเพยี งจติ ผสู งั เกตการณสวางจาเดนดวงอยู ปราศจากรูปนมิ ิตและความอาลยั ไยดใี นกายแลว ครูหน่งึ โครงกระดกู จึงคอยกลบั มารวมกนั เลอื ดเน้ือคอ ยหนาขน้ึ กระท่งั สดุ ทา ยปรากฏรปู หลอกวา เปนมนุษยด ังเดมิ อยางนกี้ ็จัดวา เปนความสาํ เรจ็ ในการเหน็ กายเปนของสญู เชนกัน สาระคือเมื่อเห็นไดเปนปกติ ไมตอ งคิด ไมตอ งจนิ ตนาการ แมกายยงั คงตงั้ อยใู หจับตอ งไดกไ็ มอาจหลอกจติ อกี ตอ ไปวา ส่ิงน้ตี ้งั มัน่ มแี ตจ ะรสู ึกอยตู ลอดวา กายน้เี ปนของวา ง กายนเ้ี ปนของเปลา กายน้เี ปน ของสูญ เชน เดยี วกันกบั กายของทกุ คนบนโลกนัน่ เอง ๐๗ รูสขุ ทุกขหลกั การฝกมสี ติอยูกบั เวทนา นบั แตเ รมิ่ ฝกรูลมหายใจ มาจนกระทง่ั เหน็ กายโดยความเปนของสูญ เราจะพบความจรงิประการหนึง่ คอื จติ เราผละจากกายมาหาความรสู ึกภายในอยูเรอ่ื ยๆ ซึ่งทันทที จี่ ติ กลบั มาเกาะ ๒๔
ความรูสึกภายใน ความรสู กึ วาเปน เราก็จะปรากฏเต็มตวั ขนึ้ มาทันที นน่ั เพราะขาดท่ีต้ังของสติ ไมรูจะตงั้ สตไิ วต รงไหน มโนภาพความเปน บคุ คลทกี่ ําลังปรากฏอยแู มใ นยามนี้ มไิ ดถ ูกสรา งข้นึ ดว ยความมกี ายเพียงอยา งเดยี ว แตย งั ประกอบดว ยความรสู กึ เปนสุขเปนทกุ ข ถา สขุ ก็รสู ึกวา มตี วั เราดีๆ ถาทกุ ขก ็รูสกึ วา มตี วั เราแยๆ ถา เฉยกร็ สู กึ วา มีตวั เราธรรมดาๆ ตราบเทาทีย่ งั หลงเห็นสงิ่ ใดส่ิงหน่ึงวาเปนตวั เรา ก็ตองฝก รกู นั ตอไปจนกวา จะเกดิ ปญญาเหน็ แจง ไมอ าจหยดุ การฝกเพียงแคม ีสติอยูกับกายเทา นนั้ ความรูสึกเปน สงิ่ ทเ่ี กิดข้ึนอยตู ลอดเวลา แตใ ชว า จติ จะเขา ไปเสพรสความรูสกึ อยเู สมอหลักการฝกมสี ตอิ ยกู บั ความรสู กึ นนั้ เราจะดวู า เมื่อใดจติ ไมอ ยากรูกายหรือสิง่ อ่ืน ผละจากความรใู นกายและส่งิ อ่นื มาเสพความรสู กึ แทน เชน เม่ือจงกรมรอู ิริยาบถเดินจนเมอ่ื ยลา มาเอนลงนอนผอ นพกั อยา งสบาย จิตยอมถูกดงึ ดูดใหห ันเหความสนใจจากกายมาเสพสุขประดจุ ปลาพบนํา้ หรือเมื่อมีสติรอู ิรยิ าบถนอนอยูดีๆเกดิ ปวดอจุ จาระจนเปน ทุกขเตม็ กล้นั จติ ยอ มถูกกระชากลากดึงใหม าผูกอยูกับความทุกขแ นนหนาราวกับนกั โทษในเคร่อื งทรมาน เปนตน การทจี่ ติ ไมไ ยดสี ง่ิ อ่นื เอาแตเสพความรสู กึ นัน่ แหละคือบทฝกของเรา เรียงตามลาํ ดับจากงา ยไปหายากดังน้ี ๑) เมอื่ เสพสขุ ก็รวู า เสพสขุ ความสุขคือความเบาสบาย หรอื ชืน่ กายชน่ื ใจอยกู บั สภาพนายนิ ดเี ปน พิเศษ ความสุขมีประโยชนต รงทีเ่ อือ้ ใหเ กดิ สติงา ย แตก ็มีโทษคอื ชวนใหห ลงติดเหมอื นจมปลักสุขทีเ่ กดิ ขึ้นโดยอาศยั เหย่ือลอ แบบโลกๆเรียกวา ‘สุขแบบมีอามสิ ’ เชน เห็นรปู สวย ฟงเสียงเพราะหรือทซ่ี บั ซอนกวา นั้น เชน ไดข องขวญั สมปรารถนา เลน เกมชนะ อา นหนงั สือถกู ใจ หมกมุน กับความคดิ เก่ยี วกบั ตวั ตนอนั นา สนกุ เปนตน เราจะพบวาเมือ่ จติ เสพสขุ ประเภทนอ้ี ยู ยอมเกิดความหลงโลก มคี วามตดิ ใจวัตถหุ รือความคิดอันเปน เครื่องลอ จติ ไมเ ปนอสิ ระในตนเอง สวนสุขทีเ่ กิดจากการเจริญสติ เรยี กวา ‘สุขแบบไมมีอามสิ ’ เชน เม่อื รลู มยาวจะเปนสุขแบบสดช่นื เมือ่ รอู ิรยิ าบถใหญนอ ยจะเปน สขุ เพราะกายใจโปรงเบา เมื่อเหน็ วากายสกปรกจะเปน สุขจากการระงบั ความกระสับกระสา ยทางกามารมณ เมือ่ เหน็ วา กายไมม ีภาวะบคุ คลจะเปนสุขจากการเลกิสาํ คญั ผดิ วานเ่ี รานัน่ เขา เมือ่ เห็นวากายเปน ของสญู จะเปนสขุ จากอิสระไรพ นั ธะกบั กาย เราจะพบวาเมอื่ จิตเสพสุขเหลา นอ้ี ยู ยอ มเกดิ ความปลอ ยวางโลก เลกิ ติดใจวัตถภุ ายนอก แตย ังอาจตดิ ใจกับรสแหงความวา งและความสวางอันเยือกเย็นภายในไดอ ยู ๒๕
ตอ เม่อื รูตวั วา จิตกําลงั เสพสขุ เห็นชดั วารสสขุ ไมเ ท่ียง เสพไดระยะหนง่ึ กม็ อี นั ตอ งเสอ่ื มลงไรความเปนบคุ คล จติ จึงเลกิ ตดิ ใจเสยี ได ๒) เม่อื เสพทกุ ขก ร็ วู าเสพทกุ ข ความทุกขค อื ความอึดอดั กดดัน หรอื ระคายกายระคายใจอยกู ับสภาพแยๆ ความทกุ ขม โี ทษตรงท่ีกดสตใิ หพรา เลอื น แตก็มีประโยชนคอื ผลกั ใหอยากพนไปเสยี ทุกขท่เี กดิ ขนึ้ โดยอาศยั เหยอื่ ลอ แบบโลกๆเรียกวา ‘ทกุ ขแบบมอี ามิส’ เชน เจอหนา คนท่ีเกลียดกนั ไดย ินเสียงหนวกหู หรือทซ่ี ับซอนกวา นนั้ เชน ไมไ ดข องตามปรารถนา เลนเกมแพ ตอ งทนอานหนงั สอื ยากๆ ตอ งครนุ คดิ ถึงเรื่องหนักอก เปน ตน เราจะพบวาเมือ่ จิตเสพทุกขประเภทนอ้ี ยูยอมเกิดความดน้ิ รน อยากหนีไปหาส่ิงอื่นที่ใหค วามสบายกวา กนั จิตใจเรารอนเรยี กหาอสิ รภาพไมเลิก สวนทุกขที่เปน ผลขางเคยี งจากการเจรญิ สติ เรียกวา ‘ทกุ ขแ บบไมม อี ามิส’ เชน ไมสามารถตงั้ จติ เปนสมาธิตามปรารถนา หรือกระทง่ั เพยี รเพ่อื มรรคผลแลว ยังไมเ ห็นวี่แววสาํ เร็จเสียที ไมทราบตอ งทนรออกี นานเพียงใด เราจะพบวา เมอ่ื จิตเสพทกุ ขป ระเภทนีอ้ ยู ยอมเกดิ ความอยากหนีสภาวะของตวั เองในขณะนนั้ ๆ แตเ ปนความอยากพนอนั เกดิ จากแรงดนั ของกเิ ลส ยังไมใ ชค วามใครพนดวยปญญา สังเกตจากที่อาจเกิดความทอถอยใครเลิกเจรญิ สติ ไมใ ชมีกําลังใจฮึกหาญทจี่ ะเจรญิสติย่งิ ๆข้นึ ตอเม่อื รูต วั วาจติ กาํ ลงั เสพทุกข เห็นชัดวา รสทกุ ขไมเ ทีย่ ง เสพไดร ะยะหนึง่ ก็มอี ันตอ งเสื่อมลง ไรค วามเปน บุคคล จติ จงึ เลิกกระวนกระวายเสยี ได ๓) เม่อื เสพความไมสุขไมทุกขกร็ วู าเสพความไมสขุ ไมท กุ ขความไมส ขุ ไมท กุ ขค ือเฉยๆชนิ ๆ ไมสบายแตก็ไมอดึ อัด ไมชวนใหยนิ ดียนิ รายกบั ภาวะเฉพาะหนาน่เี ปน สภาพความรูส กึ ท่ีเกดิ ขน้ึ บอ ยท่ีสุด แมไ มทําอะไรเลยกเ็ กิดข้นึ ได หากเทาทันวา เมอ่ื ใดจิตเร่ิมหลงเขา มาเสพความรสู ึกชนิดน้ี ไมย อมแชจมกับความรสู ึกชนิดนี้ กแ็ ปลวา มโี อกาสเจรญิ สติไดแ ทบทั้งวัน ความเฉยๆชนิ ๆแบบมีอามิสคือใชช วี ิตอยกู ับโลกตามปกติ เสพสมบตั ทิ คี่ นุ เคยจนไมร ูสึกพเิ ศษอกี แลว หรอื แมนั่งๆนอนๆอยูเ ฉยๆในหวั วา งเปลา จากความคดิ นกึ ดีรา ยกน็ ับวาใช เราจะพบวาเม่อื จิตเสพความรสู ึกประเภทนีอ้ ยู ยอมเกิดความเฉ่อื ย เนอื ย ไรค วามยนิ ดยี ินรา ย อาจนําไปสู ๒๖
ความเบื่อและคดิ หาสง่ิ แปลกใหมม าแทนที่ สว นความเฉยๆชนิ ๆแบบไมม อี ามสิ เกดิ จากการเจริญสตไิ ดระดับหนงึ่ เปนปกติ ไมรูสึกวากาวหนา หรอื ถอยหลงั ไมอ ่มิ ใจหรอื ใจแหง เราจะพบวาเม่อื จติ เสพความรสู กึ ประเภทนี้อยู ยอ มเอียงไปทางเกยี จครา น ขาดกําลังใจมุงมัน่ เจริญสติใหด ีย่ิงๆข้ึน ตอ เม่ือรตู วั วาจิตกําลังเสพความรสู ึกเฉยๆชินๆ เห็นชดั วาความเฉยๆชนิ ๆไมเ ทีย่ ง เสพไดระยะหนง่ึ กม็ ีอันตอ งเส่อื มไป ไรค วามเปน บุคคลอยใู นความเฉยๆชนิ ๆและในอาการเสพ จติ จึงหลุดจากความเนอื ยนายมาสูค วามกระตือรือรน เสียได หลงั จากฝก รูสขุ ทกุ ขเ ฉยไปเร่อื ยๆ ในทส่ี ุดเราจะใหคา ความรูสกึ ทง้ั หลายเสมอกนั ตรงที่ตางก็เปนเพียงความรูสึก แมเ กดิ ความรสู ึกอยา งไรข้ึนมา เราก็จะไมเ ขา ไปเปนความรสู กึ นนั้ ๆ ความรสู กึถูกเห็นเปนเพยี งปรากฏการณที่เกดิ ข้นึ วบู หนึ่งแลว ดบั ลงตามเหตกุ ระตุน ไมม ใี ครเกดิ ไมม ีใครดับไปดว ยเลย อนง่ึ เมื่อเร่ิมฝก อาจมกี ารพยายามจําแนกความรูสึกออกเปน ประเภทๆ เหมอื นเกิดเสียงคอยพากยก าํ กบั ไปดว ย ตอ เมื่อคนุ แลว วา จะรสู ขุ ทกุ ขอ ยา งไร กจ็ ะเงียบเสยี งพากยไ ปเอง ทตี่ รงน้ันคือการมสี ติรูน ามธรรมอยา งแทจรงิ พูดงา ยๆวาสติเขา ไปชนกบั ความรูส กึ ตรงๆโดยปราศจากเครอ่ื งกน้ั รงุ รังใดๆ ๐๘ รูสภาพจิตหลกั การฝกมีสตอิ ยกู บั จติ กายเปนของจับตองได แตรตู วั เองไมได ตอ งมจี ติ ทาํ หนา ท่ีรู กายจงึ ปรากฏวา มีอยู และเชน กัน แมความรูสกึ สุขทุกขเปน ของจับตองดว ยมอื ไมได ก็ถกู รไู ดดวยจิต สรุปคืออะไรๆไมวารูปหรอื นามจะไมปรากฏวา มเี ลย หากขาดธรรมชาติอนั เปน ผรู ูสรรพส่งิ คอื จิตน้ี เมือ่ จิตเปน ผรู อู ะไรๆท้งั ปวง จติ จึงเปนทีต่ ง้ั สําคัญของความรสู กึ ในตวั ตน ทกุ คนตางหลงสําคญั ไปวา จติ คือตน ตนคอื จติ และตราบใดท่ียงั ไมเ หน็ วาจติ ปรวนแปรไปอยูเสมอ ตราบน้ันความสาํ คัญผดิ วา จติ เปนตวั เราก็จะยงั คงฝง รากอยางไมอาจถา ยถอน ตอ ใหส าํ เรจ็ สมาธิขัน้ สูง เกดิญาณรูเหน็ มากมาย มคี วามรสู ึกอยเู หนือโลกียะ ก็ยังคงสําคญั ไปอยูดีวาจติ อนั สงู สง คอื ตัวของตนท่ีแท ๒๗
เม่อื เปนเชนนนั้ การฝก ท่ีผานๆมาเพียงรูก ายและสุขทกุ ขจงึ ไมพ อ ตองรตู อ ใหค รอบคลุมถึงจติ ดวย หลักการฝก มสี ตอิ ยกู ับจิตจะเนน การเหน็ ความไมเหมอื นเดิมของจติ และเบื้องตน เพือ่ ใหเ ห็นวา จติ อยทู ่ไี หน ก็ตองอาศยั ความเขา ใจขน้ั พืน้ ฐานคือ ‘จติ เทา นั้นที่เปอ นกิเลสได’ ดว ยความเขาใจนี้จะชว ยใหเ ราเกดิ จุดสงั เกตคอื กิเลสอยตู รงไหน จติ กต็ อ งอยูต รงนนั้ และแมกเิ ลสหายไปที่ตรงไหน จติ ท่วี างจากกเิ ลสชวั่ คราวกต็ อ งอยูตรงนนั้ ดวย การรเู ชน นี้ แทจรงิ กค็ ือการเห็นจิตเกดิ ดับเปน ดวงๆ ซง่ึ ไมไดห มายความวาเราเหน็ จิตเปนนิมติ ทรงกลมสขี าวดาํ ใดๆ ช่ัวขณะทีร่ สู กึ ตามจริงวาจิตมีกเิ ลส กค็ อื การเห็นอกุศลจิตดวงหน่ึงและชว่ั ขณะทีร่ ูสึกตามจรงิ วาจติ ปลอดจากกเิ ลส กค็ ือการเห็นกุศลจิตอีกดวงหนึง่ ดว ยการตามรตู ามดูอยเู ชน น้ี ในทส่ี ดุ เราจะพบวา ธรรมชาตขิ องจติ นน้ั ดวงหน่งึ เกิดขน้ึ ดวงหน่ึงดบั ไปตลอดวันตลอดคนื หากจะหลงยดึ วา กายเปน ตวั ตน ยงั จะดกี วาสาํ คญั มนั่ หมายวาจิตเปน ตัวตน เพราะกายยังคงรปู เดมิ ๆใหเหน็ นานกวาจติ มากนกั การฝก รูจิตตอ ไปนไ้ี ลจากหยาบไปหาละเอียด เม่ือกเิ ลสหยาบๆหายไป จติ กม็ คี ณุ ภาพสูงขึ้น การฝก เบอ้ื งสูงกส็ ังเกตเปรียบเทียบความตา งระหวา งจิตที่ประณตี ย่งิ ๆขนึ้ น่นั เอง ๑) เม่อื จติ มีราคะกร็ ูว า จติ มีราคะ เมอ่ื จิตปราศจากราคะกร็ ูว า จติ ปราศจากราคะ ราคะคือความกําหนดั ความยินดีในกาม ความติดใจ หรือความยอมใจติดอยูในวตั ถกุ ามเราจะรสู กึ ตวั วา จติ มรี าคะไดกต็ อเม่อื ศกึ ษาไวกอนวา จิตมรี าคะเปนอยางไร และตกลงกับตวั เองไวล วงหนาวาจะดขู ณะเกดิ ราคะเปอ นจิต ไมเชน น้นั ธรรมดาของมนษุ ยและสตั วทง้ั หลายจะไมร ูสกึ ตัวเลยวา จติ มีราคะ เมอ่ื เกิดราคะยอมถูกดงึ ดดู ใหต ิดไวก บั วัตถุกามโดยไมส นใจอะไรทัง้ สิ้น ทางมาของราคะมกั เกดิ จากการไดเห็นรูปลักษณทางเพศอันตองตาหรอื ยวนใจ การเห็นรปูแลว รสู ึกถูกดงึ ดูดใหจดจอ นน่ั เองคือจิตมรี าคะ อกี ทางมาหนงึ่ คือการผดุ ความคดิ ทางเพศขึน้ มา แลวเรายนิ ดตี รึกนกึ ตอ กระทง่ั เกิดอาการกระโจนเขา ไปวายวนในหว งจนิ ตนาการทางกามารมณ อาการน้นั เองคือจติ มีราคะ หากรสู ึกตัวในทันทที จ่ี ิตมีราคะ ราคะจะถกู แทนท่ีดว ยสติ เราจะเห็นทนั ทวี า ราคะหายไปเชน ตาจะถอนจากอาการจดจองรูปภายนอก หรอื ใจจะถอยออกมาจากหวงจนิ ตนาการทางกามารมณ กลบั เขา มารูสกึ ถงึ ความวา งจากราคะอันเปน ภายใน ขณะแหง การรูค วามวา งจากราคะนัน้ เอง คือการรวู า จติ ปราศจากราคะ แตหากสตเิ กดิ ไมท นั เพราะไมต ้ังใจดักสังเกตไวล ว งหนา ราคะท่ีมีในจติ จะเหมอื นหว งนํา้ ท่ี ๒๘
ลามเปยกไปถึงกาย และกอ ใหเ กดิ อารมณเพศท่เี หนียวแนน เหมือนกายใจถูกตรึงไวใ หต ิดอยูกบัราคะอยางยากจะระงับ อันนหี้ ากเคยเจรญิ สตเิ ห็นกายโดยความเปนของสกปรกมากอน กเ็ หมอื นมีเครอื่ งมือถอนใจออกจากกามไดไมยาก มิฉะนั้นกต็ องหา มใจกนั ตรงๆ ซึ่งกอ็ าจกอใหเ กิดความเกบ็กด หรือไมก ็ปลอ ยใจเลยตามเลย ซึ่งกเ็ ปน การถลาํ ลม จมปลักอยูก บั เหตแุ หงทกุ ขก ันตอไป ๒) เม่อื จติ มีโทสะก็รวู าจติ มีโทสะ เมอ่ื จิตปราศจากโทสะกร็ วู า จติ ปราศจากโทสะ โทสะคอื ความขัดเคือง ไมยนิ ดใี นส่งิ ทเี่ ขา มากระทบกายใจ อยากผลักไสใหพ น ตวั หรืออยากกระแทกใหเจบ็ ปวด หรืออยากทําลายใหสูญสน้ิ ไป ปกติเม่อื เกิดโทสะน้นั คนท่วั ไปมักมีความยับย้ังชง่ั ใจอยูร ะดบั หนงึ่ คอื ไมพ ูดจาหรือลงไมลงมือประทษุ รา ยใครทันที ความยบั ยั้งชั่งใจนั้นเองสง ผลใหเ กดิ สตริ ูตวั อยา งออนๆ คอื รวู าขณะนีจ้ ติ มีโทสะอยู แตก ารรูส กึ ตัวของคนธรรมดาวา มีโทสะอยใู นจิตน้นั เปนไปดวยอาการควบคมุตนเองมิใหห ลุดคําพดู หรอื การกระทําท่ีเกนิ เลยออกไป หาใชความรูส กึ ตวั แบบนกั เจริญสติไม การรสู กึ ตัวของนกั เจรญิ สตนิ ้ัน ประกอบพรอ มดวยความเขา ใจข้นั พนื้ ฐาน วากายน้ใี จนีไ้ มเทีย่ ง ไมใ ชต วั ตน นอกจากน้ันยังมีการฝก สติ เคยรูกายและรูท ุกขม ากอน กระทง่ั เกิดสตติ ดิ ตวั ระดับหนง่ึ แลว ฉะนนั้ ในวูบแรกของการเกิดโทสะ จติ ยอ มไมถลําไปอยกู ับความรอนของโทสะเตม็ ท่ี ความรอนของโทสะจะเกดิ ข้นึ เพียงแผว พอใหระลึกไดว า ขณะน้ีจติ มโี ทสะออ นๆ เมื่อเกิดสติเทา ทันวาขณะนจ้ี ติ มโี ทสะ โทสะยอมปรากฏเปนสว นเกนิ เปน ของแปลกปลอมเปน ของอ่นื นอกจากจิต ความรเู ทา ทนั เชน นัน้ ยอมทาํ ใหส ตเิ กดิ ขึ้น และกลบั มารอู ยูก บั ความเยน็ อนัมาจากจติ ท่ผี อ งแผว จากโทสะ แตห ากไมเกิดสติเทา ทันวา จติ มโี ทสะ แมน ักเจริญสตกิ พ็ ลาดพลงั้ ได ปลอ ยใหโ ทสะกาํ เริบลุกลามไปเปน ความรอ นทางกายและวาจาได ซ่งึ ถึงจะเกิดสตขิ นึ้ ในชว งนน้ั กค็ งไมเห็นโทสะหายไปในทันที แตเปน ไปไดท่ีจะรสู กึ วา แรงอดั หรอื ความเผาผลาญของโทสะมีหนักบา งเบาบางสลบั กันหากเฝารเู ฝา ดูสักระยะหนง่ึ จงึ คอยเห็นวาโทสะระงบั ลง ๓) เม่ือจติ มีโมหะกร็ วู าจติ มีโมหะ เมอ่ื จติ ปราศจากโมหะก็รวู าจติ ปราศจากโมหะ โมหะคอื ภาวะที่ทาํ ใหจ ิตไมรคู วามจริง ไมทราบวา อะไรถกู อะไรผดิ กลา วโดยสรุปคอื โมหะเปรียบเหมอื นมา นหมอกหอหุมคลุมจติ ใหข าดสติ ขาดความสามารถในการรูตามจริง ๒๙
มแี ตพระอรหันตท ี่จติ ไมถ ูกเคลอื บคลุมดว ยโมหะไดอกี ท่ีเหลือนอกจากนั้นลว นยังมีโมหะดว ยกันทั้งสิ้น ซ่ึงก็มีทั้งโมหะระดบั หยาบ เชน เหน็ กงจกั รเปน ดอกบวั นกึ วาทาํ ชั่วเปน เร่อื งนายกยองแลวกม็ ที ้งั โมหะระดับละเอยี ด คือไมรูวากายน้เี ปนทุกข ใจนเี้ ปนทกุ ข หาใชต วั ตนอันนา ยึดเปน ท่มี น่ัไม การจะรวู า จิตมโี มหะไมใ ชเ ร่อื งยากสําหรบั นกั เจริญสติ เพราะเมื่อสตแิ ข็งแรงพอยอมไมถ ูกโมหะหยาบๆครอบงําโดยงาย อกี ทงั้ มีความปลอดโปรง โลง ใจเสมอๆ เมือ่ จิตโปรง แลว รูก ายก็ยอ มเหมือนกายโปรงใส ดงั นนั้ ขณะใดกายปรากฏเปนของทึบ กจ็ ะทราบวาตนเหตุไมไ ดมาจากกาย แตเปน เพราะจิตทึบดวยโมหะตางหาก ดว ยจิตของนกั เจรญิ สติทแี่ กรอบนั้น พอมานหมอกโมหะเริ่มเคลอื่ นมาปกคลุมจติ เรายอมทราบชดั ในทนั ทีกอ นจิตมดื มิดหมดท้ังดวง เหมือนกระจกใสอยู พอมีฝามาเกาะก็เห็นงา ยและเชด็ลางออกเสยี ทัน ซงึ่ การเชด็ ลา งทางจิตนนั้ ก็เพียงดวยการรูเทาทัน ตวั รเู ทา ทันจะเหมือนสายลมเปาเมฆหมอกใหส ลายหายไปเอง โดยทั่วไปเราจะเร่ิมรสู กึ ถึงจิตจริงๆเมื่อโมหะสลายตวั ไป คลายคนตนื่ นอนซึ่งนกึ ไดว า ทเี่ พิ่งผา นหายไปเปน เพียงฝน การตื่นข้ึนในความจรงิ คือรูว า กายใจนไ้ี มม ีบคุ คล ไมมหี ญิงชาย ไมมเี ราเขามแี ตจิตท่ีถกู กระตนุ ใหเกิดราคะ โทสะ โมหะไมขาดสายเทา น้ัน พอราคะ โทสะ โมหะสลายไปแมช วั่ครู ก็จะเปนชวั่ ขณะทีจ่ ติ เหน็ วาตนเปน เพียงผูรู ผไู รร ูป ผเู ปน อสิ ระ ผไู มหลงยึดนิมิตแหง รปู นามใดๆ ๔) จิตหดหกู ็รูว า จติ หดหู เมือ่ จิตฟุง ซานกร็ ูวา จิตฟุงซาน ความหดหูคืออาการซึมทอ่ื หรือหอ เหยี่ วไมช ื่นบาน มคี วามหยดุ กบั ท่ี ชาเฉ่ือยกบั ที่ อาการเหมอลอยหรอื ขีเ้ กยี จเคลื่อนไหวจัดเปน ความหดหูอยา งออ น สว นความซึมเศรา หมดอาลัยตายอยากสิน้ หวังในชวี ติ นับเปน ความหดหูขนาดหนกั ความฟุง ซานคอื อาการท่ีจิตไมส งบ มคี วามพลานไป ซดั สา ยไป อาการคดิ วกวนไมเ ปน เรอ่ื งนับเปน ความฟงุ ซานอยา งออ น สว นความตน่ื เตน หรอื เครยี ดจดั นบั เปน ความฟงุ ซา นขนาดหนกั ท้ังความหดหแู ละความฟงุ ซา นตางเปนสภาพจติ ทีเ่ อามาใชการยาก เพราะจบั อะไรไมค อยติด และภาวะหดหกู ับภาวะฟงุ ซานก็เปน ภาวะทลี่ ากจงู กนั มา เชนถาปลอยใจเหมอ ลอยหรอื แชจ มกับอารมณเบือ่ สกั พัก จะเกดิ ความฟุงซานราํ คาญใจ และพอฟงุ ซานราํ คาญใจจนเหนอื่ ย กก็ ลับออ นเพลียเนือยนาย ไมอ ยากคดิ ไมอยากทําอะไรนอกจากจมอยกู ับความหดหไู ปเร่อื ยๆ วนไปเวยี นมาอยูอยางน้ี ๓๐
สาํ หรบั ผูทีผ่ านการเจรญิ สตมิ าจนมีกาํ ลังพอใช พอนึกข้นึ ไดว าจิตเรมิ่ ซึมลงหรือกระเจิงไป ก็จะเกิดสติรูสกึ ตวั สภาพแยๆจะถกู ตัดตอนทันที กลา วคอื สตจิ ะเปล่ียนจติ จากหดหูเ ปน สดชน่ื ขึน้หรอื เปลยี่ นจากฟุง ซานเปน สงบระงับลง สามารถกลบั มาเจริญสติตอ ได แตสําหรับผทู กี่ ําลงั สติยังออ น การจะมสี ติรทู ันความหดหูหรอื ความฟุงซานเพ่อื ใหหลดุออกมานนั้ คงยาก ถาหดหหู นกั ตองแกด ว ยการเคล่อื นไหวในแบบทจี่ ะเกิดความกระตือรือรน ตางๆเชน เรง ความเพยี รในการจงกรมหรอื ออกกําลังหนักๆใหไดเหงื่อ แตถาฟุงซา นจดั กต็ อ งแกด วยการสรา งปจจยั ของความสงบตา งๆ เชน เขาหาบรรยากาศวเิ วก ลากลมหายใจยาวๆ ผอ นลมหายใจชา ๆ และหยดุ หายใจนานเทา ทรี่ างกายตอ งการระงับลม เปนตน ๕) เม่อื จติ เปน สมาธิกร็ วู าจติ เปนสมาธิ เมื่อจิตไมเ ปน สมาธิก็รูวา จติ ไมเปนสมาธิ สมาธคิ ือความสงบนิ่งไมฟุงซาน และทีส่ าํ คัญคือน่งิ อยา งตื่นรู ไมใ ชน ิง่ แบบหดหูซ มึ เซากลา วแบบรวบรดั คอื ถา จิตมีอาการรูสิ่งใดสง่ิ หนึ่ง โดยไมก วดั แกวง ไมแสสายไปทางอนื่ แมเพียงชว่ั ขณะ กจ็ ดั เปนสมาธิไดแ ลว ขอใหเขาใจดีๆวา สมาธไิ มใ ชการจงใจหยุดคดิ ไมใชก ารพยายามบังคบั ใหน ง่ิ ทื่อ และโดยเฉพาะอยา งย่งิ ไมใ ชก ารฝน ใจเพง เลง็ สงิ่ ใดสิ่งหนึง่ ตวั อยางทเี่ หน็ ไดช ัดคือเมอ่ื ทาํ การงานใดๆดวยความจดจอ ใจเราจะน่ิงและรบั รูสง่ิ ที่กําลงั ทําอยางชัดเจน เหมอื นหูตากวางขวางกวา ปกติ นนั่ แหละคอื ความตัง้ มน่ั เปนสมาธิทง้ั ยังคดิ อา นทําการได แตสมาธแิ บบโลกๆเชน นนั้ แคชว ยใหเรารเู ห็นออกนอกตัว แตไมรเู รอ่ื งกายใจตวั เองเลยแมกระทง่ั จิตเปน สมาธอิ ยู กไ็ มรูว าลกั ษณะของจติ เปน อยา งไร ทราบแคเ ราอยูในภาวะพรอมจะทํางานเทา นั้น ขอใหส ังเกตวา ขณะทาํ งานอยางเปน สมาธิ ใจเราจดจออยกู บั งานกจ็ รงิ แตจะไมเ พง เลง็ จดุใดจุดหนงึ่ คบั แคบ น่ันเปนทาํ นองเดียวกบั เมื่อเจรญิ สตจิ นเกดิ สมาธิ ใจเราจะตั้งรูส บายๆ เปด กวา งไมเ จาะจงจุดใดจดุ หนงึ่ คบั แคบเชนกนั การมสี ตใิ นขอ น้ี เพียงแคใ หจติ รูวาตวั เองแนนง่ิ ไมแ สส ายก็พอ อยา ใหกลายเปน เพง บงั คับจะประคองความนง่ิ ไวนานๆ คลายเอาปลายนิว้ ไปแตะผนังเพ่อื ทราบความเรยี บของผนัง ไมใชอ อกแรงกดผนงั จนมอื เกร็งแนนไป หลงั จากเฝาสงั เกตรวู าขณะใดจติ เปน สมาธิ ขณะใดจิตไมเปนสมาธไิ ปพกั หน่ึง นอกจากเห็นความไมเที่ยงของสมาธจิ ิตแลว เราจะมคี วามฉลาดเก่ยี วกบั จิตเพมิ่ ขน้ึ ดวย อยา งเชน จะสงั เกตเหน็วาสมาธิมหี ลายแบบ แบบท่จี ติ แข็งกระดา งก็มี แบบนุมนวลสวา งไสวก็มี แบบรคู บั แคบก็มี แบบรู ๓๑
กวา งขวางก็มี แบบรสู กึ วาจติ มสี ิ่งหอ หมุ กม็ ี แบบรูส กึ วา จิตไมมีสง่ิ หอหุม กม็ ี นอกจากนน้ั เราจะพบดว ยวา ความรูสึกทางกายแตกตา งไปเร่อื ยๆตามคณุ ภาพของจติ ถาจติ ยงั เลก็ แข็งกระดาง ไมตั้งมน่ั กายก็ปรากฏเปน ของใหญ มีความหยาบ ดยู ากเหมือนภาพลม ลุกแตถ าจิตใหญข นึ้ ต้ังม่นั เปน ปกแผน นุม นวลออ นควรแกการเจริญสติ กายก็ปรากฏเปน ของเลก็ มีความละเอียด ดูงายเหมือนภาพใสน่ิง กลา วอีกนยั หนึ่งคือเราอาจอาศัยความชดั เจนของการเห็นกายใจเปน เคร่ืองวัดได วา จติ กาํ ลังเปน สมาธิทเี่ ปยมคณุ ภาพหรือดอยคุณภาพ ๖) เม่ือจิตเปน มหคั คตะกร็ ูว าจติ เปน มหคั คตะ เมอ่ื จติ ไมเ ปนมหคั คตะกร็ วู า จิตไมเปน มหคั คตะ มหคั คตะคือความตงั้ มนั่ เปน หนึง่ ของจิต มีความยิ่งใหญ ขน้ั ตนอยางนอยตอ งมปี ต สิ ขุ เอบิอาบซาบซาน เยอื กเย็นวเิ วกต้ังแตห ัวจดเทา รศั มจี ติ สวา งจา ออกไปทุกทิศทางเสมอกัน เปน สภาวจติ อีกแบบทตี่ า งไปอยา งสิน้ เชงิ จากจติ สามัญทน่ี ึกๆคดิ ๆอยู เม่อื สามารถนิง่ อยางรู เราจะรูส กึ ถงึ ความวา งทนี่ าพอใจยินดี ความพอใจยินดีน้นั อาจกลายเปนความตดิ อยู หลงอยู มัวปลืม้ อยู แตห ากมสี ติ มคี วามเขาใจ ประกอบการเทียบเคยี งจนเหน็ จริง วา จติ ไมอาจเปน มหคั คตะไดต ลอดเวลา แมต งั้ อยูนานก็ตอ งเสื่อมลง ช่ัวขณะทเ่ี สื่อมจากความเปน มหคั คตะอยางมสี ตริ ู เราจะคอยๆถอนความตดิ ใจยนิ ดเี สยี ไดทีละครงั้ ทลี ะหน จนท่สี ุดเหลือแตค วามเห็นแจม ชดั วามหคั คตะจิตเปนเพียงภาวะปรุงแตง ชว่ั คราว คาดหวังพึ่งพาถาวรมไิ ด ๗) เมือ่ มจี ิตอื่นย่ิงกวาก็รวู ามีจติ อื่นยงิ่ กวา เม่อื ไมมีจิตอน่ื ย่งิ กวา ก็รูวาไมมจี ติ อน่ื ย่งิกวา ความยงิ่ หยอ นของจติ กค็ ือความตางระหวา งจิตหยาบกบั จติ ประณตี นั่นเอง ระหวา งเสนทางแหง การเจรญิ สติยอ มมจี ติ ขนึ้ และจติ ตก เมื่อเคยจิตดแี ลวเปลีย่ นเปน เสยี ก็รูไดวา ภาวะจติ ปจจบุ นัเปนของดอย ยงั มีจิตทเี่ หนอื กวา น้ี หรอื ถาเจรญิ สตจิ นชาํ นาญ รูลกั ษณะจิตตนไดราวกับตาเห็นรูป ก็จะเริม่ มองจติ คนอื่นออก เห็นนิมติ ลกั ษณะจิตของเขาเหมอื นของเราเอง ตรงนัน้ กอ็ าจเปน โอกาสใหเทียบเคยี งได วาจติ ทลี่ ะเอยี ดกวา ประณีตกวา สะอาดบริสทุ ธิ์กวาเราเปน อยา งไร ในทางปฏบิ ตั แิ ลว นกั เจรญิ สติยอมรวู าจติ ตง้ั มั่นเปนอยา งไร จิตผองใสเปน อยางไร จติ เปนอิสระจากอุปาทานหยาบๆเปนอยา งไร จิตเปนอิสระจากอปุ าทานละเอยี ดๆเปน อยางไร ทั้งนีม้ ิใชเพื่อใหยดึ มั่นแตจติ ดๆี วานา มนี า เอา แตเ พื่อใหเหน็ ความเสอ่ื ม ความเจริญ และตระหนักวา เรายงั มีกิจตอ งทํายิ่งๆข้นึ ไปหรือไม ตลอดจนละความประมาทวาไดด แี ลว ไมตองเจริญสติอกี แลว อกี ดว ย ๓๒
๘) เมื่อจิตหลดุ พนก็รูว าจติ หลุดพน เม่อื จิตไมห ลุดพน ก็รูวา จติ ไมห ลดุ พน ความหลดุ พนในทน่ี ีห้ มายเอาการพนจากกเิ ลส พน จากอุปาทาน พนจากความไมร ู หากตามรสู ภาพจิตมาครบทกุ ขอ ขางตน ถงึ จดุ หนง่ึ เราอาจเห็นกายนีต้ ั้งอยใู นทาหน่งึ เห็นจติ น้ปี รากฏอยูในสภาพหนง่ึ แลว รูแ จงขึ้นมาวา ความรูสกึ ในตวั ตนนมี้ เี พราะจิตยงั ไมหลดุ พน ตอ เม่ือเจรญิ สตจิ นจติถอยหาง และกระทั่งพรากออกมาจากอาการยึดม่นั กายใจอยางสน้ิ เชิง นัน่ เองจงึ ถงึ ความหลดุ พนอยา งเดด็ ขาด ปจ จุบนั ยงั ไปไมถ งึ ก็เพราะกําลังยงั ไมพ อเทานัน้ ผมู ีจติ เหน็ จติ เปนผใู กลต อการหลดุ พน เพราะจติ เปนทตี่ งั้ สําคัญท่สี ดุ ของความรสู ึกในตัวตนเมือ่ รสู ภาพจิตตางๆจนเหน็ ความไมเท่ียงของจิต ก็เหมอื นไมเ หลอื ท่ีตงั้ ใหอุปาทานอีกตอ ไป ไมวา จะเกดิ อะไรขน้ึ ประทบั ใจส่งิ ใดแคไ หน ก็จะเห็นวาสกั แตเ ปน ความรสู กึ หนง่ึ หรอื เปนปรากฏการณท างจิตครง้ั หนงึ่ หาไดมคี วามนาประทบั ใจอยูจริงไม เพยี งตางวนั ความรูส กึ กต็ างไปแลว มาถึงตรงนีเ้ ราจะพรอมดูกายใจโดยสักวา เปนสภาวธรรม เปน ของอื่น ของแปลกปลอมไมใชเรา ไมใชบุคคล จะเปน รปู ก็ดี นามกด็ ี ของใหญก ็ดี ของยอ ยก็ดี ทงั้ หมดทง้ั ปวงสกั แตเ กดิ ขึ้นแลวดับลงใหระลึกวา ไมใ ชเราเทา น้นั ๐๙ กําจัดตัวการท่ีทําใหข าดสติขนั้ แรกของการฝก มีสติอยกู ับสภาวธรรม ถา ผานการฝก สตมิ าถงึ ขนั้ น้ี เราจะเร่ิมเห็นรําไรวา ตวั เองมสี ิทธ์ิทําลายอุปาทานในกายใจไดแน เพราะกายใจถูกถอดแยกทลี ะชน้ิ เหมือนปอกกาบกลวยทีละกาบ จนเกือบจะเห็นอยรู อมรอ วาแกน แทห ามีสงิ่ ใดไม นอกเสยี จากความวางเปลา หาตวั ตนเปน ชนิ้ เปนอนั ใหจ บั ตองไมไ ดเ ลย เมอื่ จวนเจียนจะรคู วามจริง กําลังใจและความกระตอื รอื รนยอ มตองเกิดขึ้น และคาํ ถามสาํ คัญทม่ี กั อยใู นใจนกั เจริญสตชิ ว งนี้ก็คอื ทําอยางไรจะมีสตไิ ดต ลอดเวลา? การขาดสตไิ มไ ดห มายถึงแคตอนเหมอ ลอยหรือแสส า ยคิดโนนคดิ นเี่ รอ่ื ยเปอ ย ยงั มคี ล่ืนรบกวนสตอิ กี หลายชนิดซึ่งเราควรทําความรูจกั และเขา ใจวธิ ีจดั การใหด ี ไมควรเลยี้ งไวเ ปน ตวั ถว งความเจริญเปลาๆ การมุงม่ันกาํ จัดอปุ สรรคในการเจรญิ สติ จะเปนตัวพสิ จู นว าทเ่ี ราทาํ มาท้งั หมดน้นัเอาจรงิ หรอื แคท ําเลน ๆ อปุ สรรคสาํ คญั ของการเจรญิ สติไดแ ก ๓๓
๑) ความติดใจในกาม ความตดิ ใจในกามเกิดจากรสชาตินายนิ ดี ชวนใหอ ยากเอาอีก ความรูสึกถวลิ หาไมเ ลกิ นนั่แหละฟองวา ตดิ ใจในกาม และตราบใดทยี่ ังตดิ ใจในกาม ตราบนัน้ ยอ มมิใชวสิ ยั ทจี่ ะรูสึกวา กายไมนา ยนิ ดี กายไมเ ทย่ี ง กายไมใ ชเรา อยางไรก็ตองสําคญั ม่นั หมายวากายนายนิ ดี กายเท่ยี ง กายคือตัวเรา ความติดใจในกามเกดิ จากการตรึกนึกถึงกาม ดังน้ันถาเร่มิ ตรึกนึกถึงกามแลวรวู าตรึกนกึ ถึงกาม สติทีข่ าดไปก็จะคืนกลับมา ไมต รึกนกึ ถึงกามตอ และจะเห็นอีกดวยวาความตดิ ใจในกามหายไป ก็เหลอื แตความวา ง ความแหงสะอาดจากกาม เหมือนข้ึนจากหนองน้าํ สกปรกเสยี ได แตห ากกําลงั ของสตยิ ังออ น ความตดิ ใจในกามยงั ไมห ายไป ก็ตอ งอาศัยคปู รบั ของความตดิใจในกาม นั่นคือการระลึกถงึ กายโดยความเปน ของสกปรก ไลจากผม ขน เลบ็ ฟน หนัง ไปจนกระท่งั ของโสโครกเนาเหมน็ ท่ีอยูขา งใน ดงั ทีเ่ คยผา นมาแลว เมือ่ ฝก มสี ติอยูกบั กาย ๒) ความผกู ใจเจ็บ ความผูกใจเจบ็ เกดิ จากการกระทบกระทั่งนาขัดเคือง ชวนใหอ ยากเอาคนื ความรสู กึ ข้งึเคยี ดไมเลกิ นน่ั แหละตวั ฟอ งวาเราผูกใจเจ็บอยู และตราบใดที่ยงั ผูกใจเจ็บ ตราบนน้ั ยอ มมิใชวสิ ยั ท่ีจะรูตามจรงิ วา ความทุกขเ ปน สิ่งนาอดึ อัด ความทกุ ขไ มเทยี่ ง ความทกุ ขไ มใ ชเ รา อยา งไรกต็ อ งสําคัญมัน่ หมายวา ความทกุ ขเปน ของตั้งมน่ั แกะไมหลดุ ความทกุ ขค อื ตัวเรา ถา เร่มิ ผกู ใจเจบ็ แลวรวู า ผูกใจเจบ็ สติที่ขาดไปกจ็ ะคนื กลบั มา ไมต รกึ นึกถึงเรื่องนาขัดเคืองตอ และจะเหน็ อีกดว ยวา หลังจากอาการผูกใจเจบ็ หายไป ก็เหลือแตค วามวา ง ความโปรง สบายหายหนกั หายเจ็บใจ เหมอื นตอนหายปว ยแลว กลบั มกี ําลงั วงั ชาสดใสกนั ใหม แตหากกาํ ลงั ของสติยงั ออ น ความตรึกนกึ ถึงเร่อื งนาขดั เคืองไมหายไป กต็ องอาศยั คูปรับของความผกู ใจเจ็บ นัน่ คอื การแผเ มตตา เร่ิมตน ดวยการทําความรสู กึ ตวั ตามจรงิ เห็นวา ผกู ใจแลวใจตัวเองน่ันแหละทีอ่ ดึ อัดคดั แนน หรือกระทงั่ เรา รอนทรมาน หากหายจากโรคทางใจพรรณนีเ้ สยี ไดคอยโลงกายโลง ใจหนอ ย วิธีหายจากโรคพยาบาทก็คอื ใชย าชื่อวา ‘อภยั ’ อันไมอ าจซอ้ื หาจากไหน ตอ งปรงุ ดวยใจ ซ่งึกแ็ คเหน็ เขา มาทจ่ี ติ ใหไ ด ดูวาเพียงวบู หนึ่งของการคดิ อภยั จิตจะคลายออกจากอาการยึด เปล่ยี นจากแนน หนกั คับแคบ เปน โปรง เบาและเปด กวางเหมือนคลม่ี านดาํ เผยฟา ใส เม่ือสภาพจติ ทีโ่ ปรงโลงปรากฏขึ้น ส่งิ ท่ีตามมาเปนธรรมดาคอื ความปรารถนาสันติสขุ แกท ุกฝาย ทั้งเราท้งั เขาเม่อื เหน็ ธรรมชาติของการเกิดความรสู กึ ดๆี เชนน้ัน กใ็ หใสใจอยูกบั รสสขุ ของภาวะแหงจติ ไปเร่อื ยๆ ๓๔
เพียงเทาน้ีกไ็ ดช่ือวา อยูใ นอาการแผเมตตาแลว ๓) ความงว งเหงาซมึ เซา ความงวงเหงาซมึ เซาเกดิ จากความเกยี จคราน ความมัวเมาในรสอาหาร และการต้งั จิตไวกบั ความรสู ึกหดหู ขอใหท ราบวาความงวงเหงาซึมเซาในที่นี้แตกตา งจากความงว งเพราะเพลยี ที่ทํางานมาอยางหนักและตอ งการการพกั ผอ นบาง ความงวงเหงาซึมเซาในทน่ี เี้ จืออยดู วยความขี้เกยี จ ยงั ไมถ ึงเวลาพกั ก็อยากพกั ยงั ไมถงึ เวลานอนก็อยากนอน สําหรับนักเจริญสตยิ อมเห็นเปนหมอกมัวเคลอื บคลุมจติ ใหเจรญิ สตทิ า มกลางหมอกมัวแนนทบึ ยอ มมใิ ชวิสัย ถาเร่ิมซึมเซาแลว รวู าซึมเซา สติท่ีขาดไปก็จะคืนกลบั มา ไมซ มึ เซาตอ และจะเห็นอกี ดวยวาหลงั จากความซมึ เซาหายไป จะกลายเปน สดช่นื กระปร้กี ระเปรา แมเมอ่ื เซื่องซมึ อีกก็รไู ดอกี ยง่ิ สัง่สมความเคยชินทจี่ ะรูมากขึ้นเทาไร ก็จะกลบั สดช่นื ไดม ากและรวดเร็วขึ้นเทา น้นั แตหากกําลงั ของสติยังออ น ความซึมเซาไมหายไป กต็ องอาศยั คูปรบั ของความซึมเซา นน่ัคอื คดิ เรง ความเพียร อาจจะเดินจงกรมเรว็ ๆ ออกกาํ ลงั กายหนกั ๆ เคล่ือนไหวกระทํากจิ ในชวี ติ ประจาํ วันดว ยความทะมดั ทะแมง ขอเพียงดึงจติ ออกมาจากความแชจ มหมกตวั น่ิงได ก็นบั วา ดีทง้ั น้ัน ๔) ความฟงุ ซา นรําคาญใจ ความฟงุ ซานราํ คาญใจเกดิ จากความไมส งบของจติ กลา วคือถามเี รอื่ งรบกวนจิต หรือเปน ผูไมช อบใจในความผาสุกสงบทางใจ กโ็ นม เอยี งทจี่ ะดนิ้ รนซดั สายไปไดเ รือ่ ย ถา เรมิ่ ฟุงซา นแลวรวู าฟุงซาน สติที่ขาดไปกจ็ ะคืนกลบั มา ไมฟุงซา นตอ และจะเหน็ อีกดวยวา หลังจากความฟุง ซา นหายไป จะกลายเปนสงบวเิ วก เมือ่ ฟงุ อกี กพ็ รอ มจะรวู า ฟงุ อกี โดยไมก ระจดักระจายเปนขเี้ ถาถกู เปาดังเคย แตหากกาํ ลังของสติยังออน ความฟุง ซานไมห ายไป ก็ตอ งอาศยั คปู รับของความฟุงซา นนัน่ คือความสงบแหง จติ ซึง่ กต็ องอาศยั ทงั้ สงิ่ แวดลอ มท่เี บาบางจากความวุนวาย การเลอื กเสพสมาคมกับผูมีจิตอนั ระงับจากความเรา รอ น สวดมนตใ หเ สยี งอนั เปนมงคลจากปากดงั กลบเสยี งอัปมงคลในหวั ตลอดจนปด ตาทําความรูสกึ ถึงสายลมหายใจที่ลากยาว แชมชา เปนตน ๕) ความลังเลสงสยั ความลงั เลสงสัยในท่ีนีม้ ุง เอาแงของการไมป ลงใจในการเจรญิ สติ และเหตทุ ส่ี งสยั กเ็ พราะไมใสใจโดยแยบคาย เชน คาใจในวิธปี ฏบิ ตั แิ ละผลการปฏิบตั ิ ไมแนใ จวา ที่ตวั เองทําอยูถกู หรอื ผดิ ๓๕
ไดผ ลอยา งหนง่ึ แลว จะตองทําเชนใดตอไป ถา เริม่ สงสัยแลวรวู า สงสัย สตทิ ี่ขาดไปกจ็ ะคืนกลบั มา ไมสงสัยตอ และจะเหน็ อกี ดว ยวาหลังจากความสงสัยหายไป จะกลายเปน ความเชอ่ื มนั่ เมอื่ สงสัยอีกกพ็ รอมจะรวู า สงสยั อีก โดยไมไขวเขวไปไหนไกล แตหากกาํ ลงั ของสตยิ ังออน ความสงสัยไมห ายไป ก็ตอ งอาศัยคูปรบั ของความสงสยั น่นั คอืการทาํ ความเขาใจใหกระจา ง ซ่งึ ก็อาจตองอาศัยครูบาอาจารยหรอื ตาํ รบั ตาํ ราชว ย การดน เดาหรอืเสย่ี งผดิ เสีย่ งถูกท้ังไมแ นใ จ รังแตจ ะกอผลเสียไปเรอื่ ยๆในระยะยาวได เมื่อทาํ ความรจู กั และสามารถเทา ทนั บรรดาตวั การทที่ าํ ใหสตขิ าด เราก็จะเปนผูม ีสตอิ ยูเสมอ แมไมถงึ ขนาดทกุ วนิ าทีตลอด ๒๔ ชว่ั โมง ก็สมควรเรียกวาเปน ผูข วนขวายเจรญิ สตทิ ้งั วนั มีสตอิ ยูเกือบตลอดเวลาแลว ๑๐ เทา ทันความเกิดดบั ของขันธ ๕ขนั้ ท่สี องของการฝกมีสติอยกู บั สภาวธรรม เมือ่ ปราศจากตัวการทาํ ใหข าดสติ สตยิ อมเจรญิ ขึ้นจนเหมือนรสู ึกตวั อยูเสมอ ถึงจุดนน้ั แมโมหะยังกลบั มาปกคลุมจติ ได เรากจ็ ะไมถกู หลอกใหห ลงไดสนิทเหมอื นเดมิ อีกแลว มมุ มองใหมๆจะเกดิ ขึ้น เชน เหน็ วาขณะแหง การมีโมหะปกคลุมจติ จะเกดิ มโนภาพอยา งหนึ่งขึน้ ในใจ มโนภาพน้นัใหความรูสึกวา ‘มตี วั เรา’ และ ‘เปนอะไรอยา งหนึ่ง’ กายเปนฐานสาํ คัญของมโนภาพบคุ คล เพราะมนั ผกู ใจใหย ึดวามีตวั เรา เราเปนชาย เราเปนหญิง เราเปนคนรปู งาม เราเปน คนข้ีเหร เราเปน คนเสยี งดี เราเปน คนเสยี งแย ฯลฯ อยา งไรกต็ าม ความรสู กึ ทางใจจะเปนตวั การปรงุ แตงมโนภาพใหแ ตกตางไปเรื่อยๆอยา งเชนถา กายเปนชายบกึ บนึ ลํา่ สนั แตใ จมคี วามกลับกลอก โลเล เกียจคราน มุง ทาํ ส่งิ ใดไมคอยสําเร็จ ก็จะเกิดมโนภาพของคนออนแอเปน หลัก ซง่ึ ขดั แยง กบั มโนภาพของความเปน ชายผูบ กึ บนึล่ําสนั อยา งยงิ่ ตอ เมอื่ ฝก ตน ไมกลับไปกลบั มา พดู แลว ทาํ ตามทพ่ี ดู ขยนั ขันแข็ง ก็จะคอ ยๆประสบความสําเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ มโนภาพของคนแขง็ แรงก็จะเกิดขน้ึ และเสมอกันกบั มโนภาพของชายผู ๓๖
มกี ายบึกบึน ในทส่ี ุดก็กลายเปนความกลมกลนื ไมรูสกึ ขัดแยง กับตวั เองอกี ตอไป ทีก่ ลาวมาเปน เพยี งตัวอยา งใหเ ห็นงา ย ความจริงมโนภาพแทนตวั ตนของแตละคนนัน้ เปนกระบวนการปรงุ แตงท่ีซบั ซอนเขาใจยาก แตหากเหน็ ตนตอการปรงุ แตง เปนขณะๆ ทุกอยางก็จะปรากฏเปนของตืน้ ลง การมสี ติเห็นกายใจตามจรงิ วาไมใชบ คุ คล จะทําใหม โนภาพความเปนอะไรๆหายไปชั่วขณะ ซงึ่ เราทกุ คนจะเขา สูภาวะสรปุ เดยี วกัน คอื กายใจหลอกใหน กึ วาเราเปนอยา งท่กี ายใจเปน จนกวา จะเห็นเปน ขณะๆวากายใจเปลยี่ นแปรไปเรอื่ ยๆ ฝก มาถึงขน้ั นี้ สตจิ ะมคี วามไวสงู เหน็ ภาวะกายใจครบ จึงสมควรทเี่ ราจะมองกายใจแบบแยกแยะวา มอี งคประกอบเปน ๕ หมวดหมู แตล ะหมวดหมไู ดช ื่อวาเปนหน่ึงขนั ธ รวมเรยี กวาขนั ธ๕ ซ่ึงเมื่อทําความรจู ักอยางดีแลว ก็จะไดไ มขาดสติไปสงสยั วาเรากาํ ลงั รเู หน็ สิ่งใดกันแน เพราะเราจะจําแนกกายใจไดไมเ กิน ๕ ขันธ ดวยการเหน็ เปนขณะๆวา … ๑) อยา งนรี้ ปู อยางนีค้ วามเกดิ ข้ึนแหงรูป อยางนี้ความดบั แหง รูป รูปในทน่ี ี้หมายถึงธาตุ ๔ ดิน นํ้า ไฟ ลม อันประชุมข้ึนเปนกาย ลมหายใจจัดเปนรปู เพราะเปน ธาตลุ ม และแมอ ิรยิ าบถตา งๆก็จดั เปน รปู เพราะอาศัยธาตุ ๔ ในการเกดิ อิรยิ าบถ แตคนทว่ั ไปที่ไมม โี อกาสพิจารณาความจริงน้ี เมือ่ หายใจกเ็ กดิ มโนภาพบคุ คลกาํ ลงั หายใจ เมอื่ เคลื่อนไหวกเ็ กดิมโนภาพบคุ คลกําลังเคล่ือนไหว ตอ เม่ือรูช ดั วา หายใจ ดวยความเขาใจวา มีแตธ าตลุ มเขา สกู ายและออกจากกาย ไมม ีบุคคลเขา มา ไมมบี ุคคลออกไป มโนภาพบคุ คลผกู ําลงั หายใจก็จะหายไป เหน็ แตว า รปู มันหายใจเขาออกไมใชตวั เราหายใจเขา ออก น่ีเรยี กวาเปนการรูความเกดิ ดับแหง รปู และเมอื่ ใดที่รชู ดั วากายนี้เคลอ่ื นไหวหรอื หยดุ นิ่ง ดวยความเขา ใจวา เพราะธาตุ ๔ ประชมุกันเคล่ือนไหว มโนภาพบคุ คลกําลงั เคลอ่ื นไหวจะหายไป เห็นแตวา รูปมันเคลื่อนไหว ไมมตี ัวเราเคล่ือนไหว ทา ทางหนึง่ เกดิ ขน้ึ แลว ตองเปลีย่ นเปน ทาทางอื่นเปน ธรรมดา นก่ี เ็ รียกวา เปน การรูความเกดิ ดับแหง รปู เชน กนั ๒) อยา งน้ีเวทนา อยา งนี้ความเกดิ ขึ้นแหงเวทนา อยางน้คี วามดบั แหง เวทนา เวทนาคือความรสู ึกสขุ ทุกข หรอื เฉย สาํ หรบั คนทว่ั ไปนนั้ เมือ่ เปนสขุ จะเกดิ มโนภาพบุคคลผูย ิ้มแยม จิตใจปลอดโปรง โลงสบาย แตเมื่อเปน ทกุ ขจ ะเกดิ มโนภาพบคุ คลผรู อ นรมุ กลุม ใจ ตอ เมือ่ ฝก รจู นเห็นวาเวทนาคือเวทนา ไมใ ชบ คุ คล มโนภาพบคุ คลผูเ ปนทุกขเ ปน สุขก็ ๓๗
หายไป เห็นเพยี งวาถากายระงบั ไมก วดั แกวงและไมกาํ เกร็ง กจ็ ะเกิดความสขุ ทางกาย ถาใจสงบรูและเปดกวา ง ก็จะเกดิ ความสุขทางใจ แตถา กายกระสบั กระสา ยหรอื กาํ เกร็ง กจ็ ะเกดิ ความทุกขทางกาย ถา ใจซัดสา ยหรอื ปด แคบ ก็จะเกิดความทุกขท างใจ เปนเหตุเปน ผลทางธรรมชาตแิ คน ้ี และไมวาสุขทกุ ขจะกินเวลายาวนานเพยี งใด ก็ตอ งถึงกาลสนิ้ สุดลงเปน ธรรมดา ไมไดม บี ุคคลตวั ตนเราเขาต้งั อยใู นหว งสขุ หว งทุกขไ หนเลย เหน็ แตว าเวทนามนั สขุ เวทนามันทกุ ข เวทนามันเฉย เชน นี้นับเปน การเหน็ เวทนาเกิดดบั แลว ๓) อยา งนี้สัญญา อยา งนค้ี วามเกดิ ขน้ึ แหง สัญญา อยา งน้คี วามดบั แหงสญั ญา สญั ญาคือความจําได หรอื ความสําคัญมัน่ หมายวาอะไรเปน อะไร เชน ตาเหน็ รปู แลว จําไดวา สเี ขียวหรอื สแี ดง คนทวั่ ไปจะเหน็ สญั ญาเกิดขนึ้ ชัดตอ เม่ือพยายามเคน นึกชื่อคนหรอื ช่อื สถานที่เมือ่ นึกช่ือออกกจ็ ะเกิดมโนภาพบุคคลผนู กึ ออก อนั ที่จริงสญั ญาเกิดขึน้ ตลอดเวลา อยา งเชนน่ังอยแู ลวความคิดตา งๆผุดขึน้ มาเอง ช่วั ขณะท่ีจําไดห มายรูว า เปนเร่ืองใด เกี่ยวขอ งกบั ใคร ก็เขา ขา ยเปน สัญญาเชน กัน หรือแมไมคดิ ถงึ เรื่องใดแตส าํ คัญวามีตัวเราน่ังอยู เทานีก้ น็ บั เปน ‘อัตตสัญญา’ แลว ตอ เมื่อเจริญสตจิ นจิตเงียบวา งไดบา ง แลว เหน็ วา อยูๆความคิดผุดขนึ้ ทา มกลางความวางโดยคลื่นความคิดผุดกอ น แลว ตามมาดว ยความจาํ ไดวา นั่นเกย่ี วกบั เรอ่ื งอะไร ก็จะเหน็ ถนดั วา น่ันสกั แตเ ปนสญั ญาระลอกหนง่ึ ดจุ เดยี วกบั พยับแดดที่หลอกใหน กึ วามคี า มคี วามหมาย ทัง้ ที่ตรงนัน้ ไมมีอะไรใหจบั ตอ งไดเลย เชนน้ีมโนภาพบคุ คลผูนกึ ออกจําไดจะหายไป เหน็ แตวา สญั ญามันจําไดไมใชตวั เราจําได ผุดขนึ้ แลว หายวับไป นี่เรยี กวาเปน การเห็นสญั ญาเกิดดบั แลว ๔) อยา งน้ีสังขาร อยา งนคี้ วามเกิดขน้ึ แหง สังขาร อยา งน้คี วามดับแหงสงั ขาร สงั ขารคอื ตวั การปรงุ แตงใจใหเ ปนกุศลหรอื อกศุ ล คิดดีหรือคดิ ชว่ั เขา ขา งสวา งหรือขางมืดคนทว่ั ไปจะเหน็ สงั ขารเกิดขนึ้ ชัดตอเม่ือตอ งใชกาํ ลังใจในการทําบญุ หรอื กอบาปเปน พิเศษ กระทง่ัเกิดมโนภาพนักบญุ อันสวา งเบา หรือมโนภาพคนบาปอนั มืดหนกั พอฝกเหน็ วา สงั ขารไมใ ชบ คุ คล เปนเพยี งปฏกิ ิรยิ าทางใจท่โี ตตอบกบั ส่งิ กระทบ มโนภาพของนักบญุ หรอื คนบาปก็จะหายไป เห็นแตวา คดิ ดีเพราะปญ ญาเปนผคู ดิ ไมใชเราคดิ และเม่อืคิดรายก็เพราะกิเลสมันคิด ไมใ ชเ ราคดิ เชน กัน คิดดกี บั คิดรายอาจแขง กนั เกดิ ดับสลับกนั ภายในนาทีเดยี ว เหมอื นมีสองคนสูกนั อยู ถาเหน็ เชน น้ีก็นับเปน การเห็นสังขารเกิดดบั แลว ๕) อยา งน้วี ญิ ญาณ อยา งนี้ความเกิดขึน้ แหงวญิ ญาณ อยางนคี้ วามดบั แหงวิญญาณ ๓๘
วิญญาณคอื ความรับรทู เี่ กดิ ขน้ึ ตามประสาทสัมผสั รวมท้ังมโนสมั ผสั คอื รูวากําลงั เห็นรูปดวยตา ไดยินเสยี งดว ยหู ไดก ลิ่นดวยจมกู ไดล้มิ รสดว ยลน้ิ ไดแตะวตั ถุดว ยกาย ไดทราบดว ยใจคนทัว่ ไปจะรสู ึกวามเี ราเหน็ มีเราไดย นิ มเี ราไดก ลน่ิ มีเราลิม้ มีเราแตะตอง มีเราเปน ผทู ราบเสมอ ตอ เมอื่ เจริญสติจนจติ ต้ังม่นั รบั สัมผัสกระทบตา งๆไดชดั ในขณะแหงการรบั สมั ผสั หนึง่ ๆนนั่ เอง มโนภาพผเู สพสัมผสั จะหายไป รวู าตามันเหน็ ไมใชเ ราเหน็ รูวา หูมนั ไดย ิน ไมใชเราไดยิน รูวาจมูกมันไดก ลน่ิ ไมใชเ ราไดก ลิ่น รวู า ลนิ้ มนั ลม้ิ ไมใ ชเ ราลิม้ รวู ากายมันแตะตอ ง ไมใชเ ราแตะตองกบั ท้ังรูวา ใจมนั ทราบ ไมใชต ัวเราทราบ ถารอู ยางน้กี ็นับวา เปนการเห็นวญิ ญาณเกดิ ดับแลว เม่ือถอดแยกทต่ี ั้งของอุปาทานในตวั ตนออกหมด ตัวตนยอมปรากฏเปนของกลวง ของวา งเปลา ของที่ไมม ี ประดจุ พื้นท่ยี นื ทะลุหาย และไมเ หลอื ส่ิงใดเปนท่พี ง่ึ ของตวั ตนไดอ ีก นั่นแหละคอืสาระสูงสดุ ของการฝก เทาทนั การเกดิ ดับของขนั ธ ๕ ๑๑ เทาทันความไมใชตวั ตนของผัสสะขัน้ ทส่ี ามของการฝกมีสติอยกู ับสภาพธรรม หลังจากฝกสติเทาทนั ความเกิดดับของขนั ธ ๕ ไดระยะหนง่ึ อปุ าทานวานีก่ ายมนษุ ย น่ใี จมนุษยจ ะลดลงเร่ือยๆ เห็นแตว านกี่ ข็ ันธ นนั่ ก็ขันธ เกิดแลวดับตามเหตุผลอนั สมควร ขนั ธห น่ึงดบัไป ขนั ธใหมเ กดิ ข้นึ สบื แทน ไมน าสมมุติเรียกวา เปน กายใจของใคร จงึ สรปุ ไดว าไมเ คยมีใครเกิดมาไมเ คยมีใครตายไปสกั คนเดยี ว แมน าทีน้ี เรากก็ ําลังเห็นอะไรตางๆดวยสงิ่ ทไ่ี มใ ชต วั เรา ดงั นน้ั ถา คดิ วา เคยรเู ห็น หรือคดิ วาเคยมีอะไรมาเทาไร กล็ วนเปน ความเขา ใจผดิ ไปท้ังส้ิน ทัง้ หลายทงั้ ปวงเลอะเลอื นแลว สาบสูญไปทั้งสนิ้ สิ่งท่จี ริงมอี ยา งเดียวคือเรากาํ ลังถกู หลอกใหค ดิ วาขันธ ๕ เปนเราไปเร่ือยๆ ทวาแมชาํ แหละ ‘ฐานท่ีตง้ั ของอุปาทาน’ ออกมาเปน ชนิ้ ๆแลว กิเลสก็ยงั ไมถูกทําลายลงทันที ทง้ั นเี้ พราะพวกเรายงั ‘อยากมตี วั ตน’ เอาไวเสพผัสสะอนั นาชอบใจอยู ดังนัน้ ส่ิงทต่ี อ งทาํ ตอไปคอื เทา ทนั ผัสสะกระทบทั้งหลาย เพ่อื เผาความอยากมีตวั ตนใหเหอื ดแหงไป เมอื่ ความอยากมีตวั ตนเหือดแหง ไป สตยิ อมเดน ชัดโดยปราศจากมลทินยอ นกลับมาเหน็ ความปรากฏแหง กายใจและผสั สะท้งั หลาย เปนเพียงพันธนาการผกู มัดเราไวก ับภาระอนั หนกั อึ้ง สมควรทจี่ ะปลดเปล้ืองพนั ธนาการลงเสียที ๓๙
เพอ่ื ใหงา ยและปฏิบตั ไิ ดจริงในเบอื้ งตน กอ นอื่นควรตง้ั ขอ สังเกตวาเรากําลัง ‘ติดใจ’ อะไรอยูบาง จะเปนบคุ คล การละเลน วัตถุ หรือสง่ิ อื่นใดแมก ระท่งั สถานทบ่ี าํ เพ็ญภาวนาอนั สงบวิเวกนา ชน่ืใจกต็ าม เม่ือยอมรบั กับตวั เองตามซอ่ื วาติดใจสงิ่ ใดอยู ก็ใหสงั เกตความตางของจติ คอื ขณะใดเจรญิสติไดผ ล จิตจะปลอดโปรง ปราศจากส่งิ หอหมุ ไรพันธะรอยรัด ไมม ียางเหนียวยดึ เหน่ยี วเกาะกมุแตเ วลาใดใจประหวัดคิดถงึ หรอื จะเอาตวั เขา ใกลส ่งิ ทต่ี ดิ อยู ความปลอดโปรง จะหายไป คลายมีบางสิง่ เขา โจมจบั ใจแบบปบุ ปบ ฉบั พลัน ตั้งสตริ เู ทาทนั ไดย าก ตองเตรียมดลู ว งหนาจึงเหน็ เราจะรสู กึ ถึงพลงั ดงึ ดูดจากเปา หมายภายนอก ลอใหจติ ทะยานยืน่ ออกไปเกาะเกย่ี วเหนีย่ วรดั ซึ่งหากปลอ ยใจเพียงช่วั ขณะเดยี ว สตจิ ะขาดหาย เพราะจิตโดนผกู มดั อยางเหนยี วแนน ดวยอาํ นาจเสนหข องผสั สะน้นั ๆ แตห ากมีอาํ นาจของสติคานกันไดกบั อํานาจเสนห ข องผสั สะ เราจะรอู ยเู หน็ อยวู าจติ มอี าการทะยานยื่นออกไปยดึ เปาหมาย และดวยสตินัน่ เอง อาการยึดจะเกดิ ขนึ้ เพียงขณะเดียวแลว ปลอยออก และรูสึกถึงความเปนอสิ ระของจิตทพี่ น จากการเกาะกุม เม่ือเห็นไดค รัง้ หนงึ่ กจ็ ะสามารถเห็นครั้งตอไป และถาเหน็ ชดั ๆหลายรอบเขา ความรูที่สําคัญจะเกิดข้ึน นัน่ คอื กิเลสไมไ ดเ กดิ ขึ้นเองลอยๆ ตอ งมผี ัสสะกระทบอยา งใดอยา งหนง่ึ นาํ มากอนเสมอ อาจเปนความคดิ ความเกาๆก็ได เมอ่ื เกดิ ผสั สะลอใจแตล ะครงั้ แลว เราปลอ ยใจใหถลาํ ไปกเิ ลสก็จะพอกพูนขนึ้ เรอื่ ยๆ แตถ า ตัง้ สติรไู ดทัน ใจก็จะถอนขึ้นจากหลม กิเลสทลี ะเลก็ ทลี ะนอย ครั้งแรกๆอาจยากเหมอื นฝด ฝน แตครัง้ ตอๆไปจะงายข้ึนทุกที เหมอื นเปนอัตโนมัติ ทั้งนีท้ งั้ นน้ั ตอ งยอมรบั ความจรงิ ดวยวา กาํ ลงั สติของเราเทา ทนั ผสั สะไดเ พียงบางชนดิ ไมใ ชทกุ ชนดิ อยางเชนแหลง รวมผสั สะลอ ใจ อนั ไดแกบุคคลอันเปนทีน่ าปรารถนา นาสมั ผสั ย่วั ยวนใหเกดิ กามารมณ หากไมมที างสู หรือสูไมไดก ็อยา ไปสู ใหอ ยหู า งไปเลย ชวงใดยอมเขาใกลแ หลง รวมผัสสะทีร่ อ นแรง ยอมช้ีวา ชว งน้นั เรายังไมเ ตม็ ใจไปใหถ ึงความหลดุ พนจริงจงั แนนอนวา ไมใชบ าปผิดตามคดีโลก แตถ ือเปน ความผิดตอ นิพพาน เมือ่ สตเิ จริญเต็มกาํ ลัง เราจะเหน็ ละเอยี ดลออกระทง่ั ขณะแหง การเกดิ ความยดึ ตดิ ในทันทีท่ีไดเ ห็น ไดยนิ ไดกล่นิ ไดล ้มิ ไดส มั ผสั และไดรสู ึก แยกแยะไดด งั น้ี ๑) ในการไดเ หน็ ๔๐
ดวยสตทิ ่ีคมชดั เราจะทราบวา มกี ารเลง็ ตาเกดิ ข้นึ กอน จากนั้นรูปจึงปรากฏชดั ขึน้ ซึง่ ถาเปนรูปทตี่ องตา นาพงึ ใจสําหรบั เรา ความยึดติดก็เกดิ ขึน้ เปนเหตใุ หใ ครจดจอ อยากมีตวั ตนไวเล็งแลรปู น้นั นานๆ ๒) ในการไดยิน ดวยสตทิ คี่ มชดั เราจะทราบวา มกี ารเง่ียหูเกิดข้ึนกอ น จากนั้นเสยี งจึงปรากฏชัดข้นึ ซ่ึงถาเปน เสียงทน่ี า ฟง สําหรับเรา ความยึดติดก็เกดิ ขนึ้ เปน เหตใุ หใครจ ดจอ อยากมตี วั ตนไวเ งยี่ หูฟงเสียงนนั้ นานๆ ๓) ในการไดกล่นิ ดวยสตทิ ี่คมชดั เราจะทราบวามกี ารสูดดมเกดิ ข้นึ กอ น จากนน้ั กลิ่นจงึ ปรากฏชดั ขน้ึ ซงึ่ ถาเปน กล่ินทหี่ อมหวนนา เคลบิ เคลม้ิ สําหรบั เรา ความยดึ ติดกเ็ กดิ ขน้ึ เปนเหตุใหใ ครจดจอ อยากมีตัวตนไวส ูดดมกลน่ิ นัน้ นานๆ ๔) ในการไดลม้ิ ดวยสตทิ ี่คมชดั เราจะทราบวามีการล้มิ เกดิ ขน้ึ กอน จากนัน้ รสจึงปรากฏชดั ข้ึน ซ่งึ ถาเปน รสทเี่ อรด็ อรอยสําหรับเรา ความยึดติดก็เกดิ ข้นึ เปน เหตใุ หใ ครจ ดจอ อยากมตี วั ตนไวล้มิ รสนัน้ นานๆ ๕) ในการสัมผัส ดวยสตทิ ี่คมชดั เราจะทราบวา มกี ารกําหนดรสู กึ ทางกายเกดิ ขนึ้ กอ น จากนั้นสัมผัสแตะตอ งจงึ ปรากฏชัดขนึ้ (อยา งเชนน่ังนานๆจะลมื วา พนื้ ทน่ี ่งั มีความแข็งหรือออ นนิม่ จนกวาจะกําหนดดูสว นของรางกายซ่งึ สัมผัสกบั ที่น่ังอยู จึงทราบวาแข็งหรอื น่ิมเพยี งใด) ถา เปนสัมผสั ทนี่ า เพลิดเพลนิสําหรบั เรา ความยดึ ติดก็เกิดขึน้ เปนเหตใุ หใ ครจดจอ อยากมีตัวตนไวแนบสนทิ อยกู ับสมั ผัสน้นันานๆ ๖) ในการรับรู ดว ยสตทิ ี่คมชดั เราจะทราบวามีการกาํ หนดใจเกดิ ขน้ึ กอ น จากน้ันสงิ่ กระทบใจจงึ ปรากฏชัดขึ้น ส่งิ กระทบใจนน้ั อาจเปนความนกึ คิด ความรสู กึ ทางจิต นิมิตฝน นมิ ิตสมาธิ ความวา งของอากาศไปจนกระท่งั สญุ ตาภาพแหง นิพพาน ถาสภาพธรรมทถ่ี กู รูน ้นั นา ยินดสี าํ หรับเรา ความยดึ ตดิ ก็เกดิ ขนึ้ เปนเหตุใหใ ครจดจอ อยากมตี ัวตนไวร ับรูสภาพธรรมนน้ั นานๆ ผสั สะอันนา ชอบใจทง้ั ปวง เวน ไวแ ตน พิ พานแลว ยอมยังใหเ กดิ ความอยากมตี ัวตนเพ่ือสองเสพไมเลกิ รา และตราบเทา ที่ยังอยากมีตัวตน ตราบนน้ั จะมนี มิ ติ แหงตวั ตนปรากฏขนึ้ เสมอ ท้งั ใน ๔๑
แบบท่เี ปน นามธรรม และทง้ั ในแบบทเี่ ปน รปู ธรรม ไมมีทางที่เราจะพน ทุกขต ราบเทา ที่ยังยอมถูกผูกมัดไวดว ยตน เหตแุ หง ทุกข การสละความนาตดิ ใจของผัสสะภายนอก จะทาํ ใหเ ราเขา มามีความสุขกบั โลกภายในมากข้นึ เหน็ ความไรสาระแกน สารของอาการทะยานอยากชดั ขน้ึ ไมวา รูปรางหนาตาของเพศตรงขามจะสะดุดตาเพียงใด ไมวา ดนตรีจะไพเราะเพราะพรงิ้ ถูกใจขนาดไหน ขอเพยี งมองมาทใ่ี จอนั เปนอิสระจากทกุ ข ก็จะพบวาไมค ุมเลยกบั การยอมกนิ เหย่ือลออันโอชะเหลานน้ั ๑๒ สํารวจความพรอมบรรลธุ รรมขน้ั ท่ีสี่ของการฝก มีสติอยกู บั สภาวธรรม เมือ่ เจรญิ สตติ ามแบบฉบบั ของพระพทุ ธเจา ตามลาํ ดบั โดยไมเลิกลมกลางคัน นักเจริญสติรูสกึ ถงึ ความเปน ไปไดที่จะบรรลธุ รรม ดวยการมีปกตเิ หน็ วากายใจไมใชบคุ คล ไมแ มก ระทั่งอยากไดมรรคผลเพอ่ื ตนเอง เพราะอุปาทานวามีตนลดนอ ยถอยลงทุกที อยา งไรกต็ าม ความรสู ึกเขา ใกลมรรคผลมหี ลายแบบ แบบไมร ูอะไรเลยแตน กึ วารกู ม็ ี แบบยํ้าหลอกตัวเองใหเ ชอื่ วาเขา ใกลภาวะบรรลุธรรมเขาไปทกุ ทกี ม็ ี แบบสําคญั ผดิ คดิ วา ภาวะของจติบางอยางเฉยี ดมรรคเฉยี ดผลก็มี ตัวความรสู กึ จึงไมใ ชเ ครอื่ งประกนั ที่ดี ตรงขาม อาจลวงเราใหไขวเ ขว มวั หลงเมากิเลสรปู แบบใหมกไ็ ด เราจึงควรมหี ลักเกณฑทชี่ ดั เจนไวตรวจสอบคณุ ภาพของจติ วาพรอ มบรรลธุ รรมจรงิ และเปน หลกั เกณฑช นิดที่เราสามารถเทยี บวดั ไดด ว ยตนเอง อาศัยประสบการณภ ายในมาตดั สินวา ใชหรอื ไมใ ช ดังน้ี ๑) มีสตเิ ปนอัตโนมัติ สตคิ อื ความสามารถในการระลกึ รไู ด และไมใ ชอ ะไรทส่ี ูงสงพสิ ดารเกินจนิ ตนาการ เอาแคงายๆอยา งเชนตอนนี้กายน่ังอยรู ูไหมวา กายนงั่ อยู ถารกู ็น่นั แหละ ปากทางไปนิพพาน อยา งไรก็ตาม สตชิ นดิ ท่พี รอ มจะพาไปถึงมรรคถึงผลไดจริงนัน้ หมายถึงรอู ยูเร่ือยๆ เปลย่ี นทานั่งกร็ ู เปลย่ี นจากสบายเปน อึดอดั ก็รู เปลีย่ นจากสงบเปน ฟงุ ก็รู เปล่ียนจากจิตดีๆเปนจติ ตกก็รูเปลย่ี นจากปลอดโปรงเปนกระโจนออกไปหาเหย่อื ลอ ทางหตู ากร็ ู กลาวโดยยนยอ ไมวาอะไรเกิดขนึ้ กับกายใจก็รูอยูอยางเปน อตั โนมัติ ไมใ ชเ วลาสว นใหญเผลอ เหมอ หรือหลงลืมไปวา กายใจเปนอยา งไร ๔๒
ย่ิงไปกวา นั้น เราตองทราบดวยวาถาสติเปนอัตโนมตั จิ รงิ ก็ตองไมใชเคน กําลงั เพอ่ื เพงเลง็อยา งหนกั หนวง เพราะยงิ่ ตง้ั ใจออกแรงเพง มากขน้ึ เทา ไร ตัวตนและมโนภาพแบบนักเพง ก็ย่ิงเขมขนข้ึนเทา นัน้ คาํ วา ‘เปนอตั โนมตั ิ’ ในที่นต้ี อ งหมายถึงสติท่มี าเอง เปนไปเองตามธรรมชาติ ไมมีการฝน ไมม ีการพยายามเกินกวากาํ ลงั ทมี่ ีอยู ถา ทําความเขา ใจกันเน่ินๆตั้งแตเร่มิ ฝก เจริญสติ สติกจ็ ะเปนอัตโนมัติไดไ มยาก เชน สงั เกตดูจะทราบวา เราออกแรงเพียงนอ ยนิด ก็สามารถรูสกึ ถงึ ลมหายใจเขา ออกไดแลว ไมใชต องฝนจดจองลมหายใจเสยี มากมาย ยง่ิ ออกแรงกําหนดรูนอยลงเทาไร ลมหายใจกย็ ่ิงชัดเจนข้ึนเทาน้นั ดว ยซํ้า การออกแรงเพียงนอ ย แตส ามารถรไู ดอยา งตอ เนอื่ ง กบั ท้งั ไมเก่ยี งงอนวาตองเปนเฉพาะส่งิใดสิง่ หนึง่ ทช่ี อบ มอี ะไรใหร ูก็รู จะนําไปสูการมสี ตแิ บบเบาแรง สบายกายสบายใจ และพัฒนาเปนความเคยชนิ ท่ีจะรูไปทุกสง่ิ ทีก่ าํ ลงั ปรากฏเดน ไมว าลมหายใจ อริ ิยาบถ สุขทกุ ข สภาพจิต ตลอดจนสภาวธรรมหยาบและละเอยี ดทงั้ ปวง กลา วอยา งเจาะจง สตทิ ี่แทต อ ง ‘รตู ามทป่ี รากฏ’ ไมใช ‘รแู คส่ิงท่อี ยากใหปรากฏ’ หลายคนจะเกิดสติกต็ อ เมอ่ื ใจสบาย โปรงโลง แตต อนอึดอดั คดั แนนจะไมย อมรับ และพยายามเรยี กรอ งหาภาวะท่ดี ีขึ้นแบบทนั ทที ันใดเดยี๋ วนน้ั อยางนี้เรยี กรตู ามอยาก ไมใชร ตู ามจริง สรปุ คือถา เจรญิ สตมิ าเรอ่ื ยๆ ก็จะไมเปนผหู ลงลืมเหมอลอย ไมออกแรงเพงเครง เครยี ด และไมเรยี กรองเอาแตส ภาพดๆี ท่ีถูกใจ แตจะสะสมสตอิ ยางคอยเปนคอ ยไปจนเปน อัตโนมตั ขิ นึ้ มาเองในวนั หนึง่ และเมือ่ สตเิ ปน อตั โนมตั แิ ลว ก็นบั วาเราไดหวั หนา ขบวน นาํ ความพรอ มบรรลธุ รรมขอ อ่นื ๆตามมาเปน ลําดับ ๒) มีการพจิ ารณาสิง่ ถูกรดู ว ยปญญา เม่อื สติเปน อัตโนมัตดิ แี ลว กไ็ ดช ่อื วาเทาทนั สิ่งที่กาํ ลงั เกดิ ขน้ึ ตามจรงิ และการมีความสามารถลว งรสู ่งิ ท่เี กิดขนึ้ ตรงหนา ไดต ามจริงนนั้ กจ็ ะพลอยไดช ือ่ วาเปนสมั มาทฏิ ฐิเปน ผมู คี วามเห็นชอบ เปนผทู รงปญ ญาเยยี่ งพทุ ธแท ขอ นบี้ อกเราวา สตทิ ถี่ กู ยอมนาํ มาซงึ่ ปญญาดว ย กลาวคอื เมือ่ มีสติยอมเอาภาวะตรงหนาเปนตวั ตัง้ เสมอ ไมว า เปนกายหรอื เปนใจ ไมว า เปน ดีหรอื เปน ราย กับท้ังเทาทนั ไมว า ตอนเกิดหรอืตอนดบั ซง่ึ ก็พาใหเกิดปญ ญา รูว าภาวะตรงหนาไมเทย่ี ง ไมใ ชตัวตน ขณะท่สี ตชิ นดิ ‘รูอะไรไปอยางน้นั เอง’ ไมอาจพาเราไปถงึ ความมีปญญาได ยกตัวอยา งเชน บางคนบอกวา ตนสามารถรสู ึกตวั ไดเ ร่อื ยๆ จะขยับเคล่ือนไหวทา ไหนรูหมด ๔๓
เทาทันไปหมด อนั นนั้ กอ็ าจจะจริงอยู ทวาเขารูดว ยอาการ ‘ยดึ ม่นั ’ วากายของเขาขยบั กายของเขาจงึ ดูเปน สิ่งคงทีอ่ ยู ตอเมอ่ื เขารสู ึกตวั ดว ยอาการ ‘เหน็ จรงิ ’ วาธาตขุ นั ธมนั ขยบั กายของเขาจึงปรากฏตามจรงิ วาเปลย่ี นทา ทางไปเร่ือยๆ เปล่ยี นลมเขา ออกไปเรอื่ ยๆ เปลีย่ นไออุนไปเร่อื ยๆ กลาวแบบเฉพาะเจาะจงใหเ ห็นภาพชัดขึน้ การมีสตริ วู า กายขยับนนั้ นักยมิ นาสตกิ จัดวาเหนอื กวาคนธรรมดาท่ัวไปหลายเทา แตกไ็ มม ใี ครบรรลธุ รรมเพยี งเพราะเลนยมิ นาสตกิ เกง ทั้งนี้เพราะจิตยงั ถกู หลอกวา ‘มีตวั เราขยับ’ หรอื ‘กายเรายืดหยนุ วอ งไวเหนือคนอ่นื ’ อยเู สมอ สําหรบั ผูฝก เจริญสตมิ าตามลําดบั ยอมผา นการเห็นวาลมหายใจไมเ ทีย่ ง อริ ิยาบถไมเทยี่ งกายเปนของสกปรก กายเปน ธาตุ และกายเปนของสูญ ไมมีบุคคล ไมมีตวั ใครอยใู นกายนี้ ดังน้ันถาส่ิงทก่ี ําลงั ปรากฏเดน คอื การขยับกายเคลอ่ื นไหว กบั ทง้ั มสี ติรกู ารขยบั กายนั้นโดยอตั โนมัติ กจ็ ะเกิดปญญาอยางใดอยา งหนึง่ ระหวา งเหน็ ลมหายใจไมเทย่ี ง เห็นอิรยิ าบถไมเ ท่ียง หรือเห็นความไมม ีบคุ คลอยใู นกายนี้ นัน่ เองเปน เหตุใหเหน็ ตามจริงวา ไมมีเราขยบั มแี ตธาตขุ นั ธข ยับ การมีทั้งสติและปญ ญา ยอ มทาํ ใหน ักเจรญิ สติไมหลงยดึ เอาภาวะใดภาวะหนงึ่ ท่ตี นชอบใจมาเปน เกณฑวัดวา ตนใกลจ ะถงึ มรรคผล ดงั เชน ท่หี ลงยึดกนั มากกวาอยา งอื่นเห็นจะเปน ความรสู กึวางๆ พอวา งๆกม็ กั เหมาวา น่ันคอื วางจากความรสู กึ ในตวั ตน จึงพยายามกลบั ไปสคู วามรสู ึกวางชนดิ นนั้ ทา เดยี ว ไมส นใจภาวะทางกายใจทเ่ี กดิ ข้ึนจริงตอ หนา ตอตาเลย ในท่สี ุดยอมติดอยูกบัความรูส ึกเฉียดมรรคเฉยี ดผลอยูอ ยา งน้ันไปจนชั่วชวี ติ ทงั้ ทย่ี ังอยูอีกหาง ตอ งเจรญิ สติเพ่อื รตู ามจริงอกี มาก อน่งึ การพิจารณาธรรมอาจหมายถึงความสามารถในการรับมอื กับกเิ ลสเฉพาะหนาไดอยางทว งทันดวย เชน เม่ือเกดิ ราคะกลา รแู ลววา ราคะเปนสภาวะเดน ใหเห็นชดั ในปจ จบุ ัน แตร าคะยงั ไมห ายไปเพียงดว ยการตั้งสติรนู น้ั ก็เปลย่ี นแผนรับมอื กเิ ลสเสียใหม อาจระลกึ ถงึ กอ นเสลดในลําคอ ซงึ่ ท้ังลนื่ ทั้งเหนยี ว ท้ังเหมน็ หากเชย่ี วชาญในการนกึ รสู กึ ถงึ ความสกปรกไดชดั กย็ อมถอนราคะไดท ันสถานการณ น่นี ับเปนตวั อยา งของปญ ญาพิจารณาสง่ิ ถูกรเู พื่อใหเกดิ ธรรมอนั ควร ๓) มคี วามเพียรพจิ ารณาธรรม เมอ่ื ปญญาในการเห็นสภาพธรรมตา งๆเกดิ ข้นึ เต็มที่ สิง่ ท่ีจะตามมาเปน ธรรมดาคอื ความเพยี รไมยอหยอน เพราะพบแลววา หลักสาํ คญั ของการเจริญสตมิ ีอยนู ิดเดยี ว นัน่ คือ ‘มีอะไรใหด ูกด็ ูใหหมด’ ไมใชเลือกดูแตท ดี่ ๆี หรอื ทพ่ี อใจจะดูทา เดียว พอเกดิ ปญ ญาเหน็ จริงวาควรดใู หหมด เราจะไมมีขออางในการเวน สติ แมแ ตขณะท่รี ไู ดน อยทส่ี ดุ อยา งเชน ยามข้เี กียจ ยามเหมอ ยามฟงุ ซา น เราก็ถูกฝก ใหร สู กึ ตวั วากาํ ลังขเ้ี กยี จ กําลังเหมอ ๔๔
กําลงั ฟงุ ซาน โดยเหน็ วา ภาวะเหลา นนั้ เปน สงิ่ ถูกรู ไมใชบ คุ คล ไมใชต วั เรา เกิดไดก็ดับไดถ า มีภาวะอนั เปน ปฏิปก ษม าแทนที่ นกั เจรญิ สติมกั ปก ใจเชื่อผิดๆ นกึ วา ความเพียรหมายถึงการยํา่ ทาํ อะไรซ้ําๆอยูก บั ทใ่ี หตอ เนื่องนานๆ เชน การนง่ั สมาธิหลายๆชว่ั โมงโดยไมพ กั น้นั เปน ตวั วัดวาเพียรพยายามแกก ลา ทั้งทีร่ ะหวา งน่ังหลบั ตาอาจเตม็ ไปดวยความฟงุ ซานจบั อะไรไมต ดิ จดั เปนความเพยี รท่ีสูญเปลา ไมเก้อื กูลใหส ตเิ จริญขึ้นเลย ผลของการเพยี รนานแบบผดิ ๆนนั้ คือการเหนือ่ ยหนาย เขด็ ขยาด ทอ แทเ พราะไมเ หน็ความกาวหนา จงึ ไมอ ยาก ‘บําเพญ็ เพยี ร’ อกี เลย แตหากความเพียรยนื พ้นื อยูบนการพิจารณาธรรมโดยไมเกีย่ งงอนวา เปนภาวะใด เชน ขณะน้รี ูสกึ พราเลอื น ไมพ รอมจะตั้งสติ กท็ ําความรจู กั อาการพราเลือนสกั นิดหนึง่ ดวู ามันมสี ภาพใหร สู ึกอยางไร แลวจะแปรไปเปนแบบไหนอกี เทาน้ีกถ็ อื เปนสวนหนึง่ ของความเพียรแลว ผูมีความเพยี รพิจารณาทุกสภาพธรรม ยอมราเรงิ ในการเห็นสภาวะตา งๆในขอบเขตกายใจวา เกิดขึน้ แลว ตองดบั ไปจริงๆทกุ สภาพ แตผเู พียรจะเอาแตส ภาพธรรมทีน่ า พอใจ ยอ มหดหแู บบไมรูต วั เพราะพบกับความลม เหลวไมไดอยา งใจรํา่ ไป ๔) มคี วามอมิ่ ใจในการเทา ทนั สภาวธรรม เม่ือความเพียรพจิ ารณาธรรมแกก ลาเต็มกาํ ลงั สง่ิ ทีเ่ กดิ ตามมาเปน ธรรมดาคอื ความอิม่ ใจและความอ่ิมใจในทีน่ ี้กม็ ิใชล ักษณะเดยี วกบั ความสมหวงั นา ช่ืนมน่ื แบบโลกๆ เพราะเปน ความอิ่มใจอันปราศจากเหย่อื ลอ แบบโลกๆ กับทง้ั มใิ ชค วามปลาบปลมื้ กบั การนึกวา จะไดมรรคผลรําไรในอนาคตอันใกล เพราะใจเราจะพออยกู ับสตทิ มี่ าถงึ แลว เด๋ียวนี้ ไมใ ชมรรคผลท่ียงั มาไมถงึ เบ้อื งหนา ความเทา ทนั ธรรมจะทาํ ใหเ ราตระหนกั วา ความอ่ิมท่ีแทน น้ั ไมใชก ายไดกินมากเทา ใด กับทัง้ ไมใ ชใจสมอยากเพียงไหน แตเปนความพอ เปนความหยดุ อยาก เปน การยุตอิ าการไขวค วา เหยื่อลอ ภายนอกทั้งสิน้ ท้งั ปวง ถงึ ขัน้ นี้ เราจะมีชวี ติ อยดู ว ยความรูส ึกอกี แบบหนึ่ง คอื เปน ผเู หน็ ทรพั ยภายในนา ปลื้มใจกวาทรพั ยภ ายนอก ยงิ่ จิตเปนอิสระจากการเกาะเก่ียวเทา ไร ก็เหมอื นทรัพยภ ายในยิ่งเออ ทน ลน อกมากขน้ึ เทาน้นั หากปราศจากความอิ่มใจในขนั้ น้ีแลว ใจเรายอมทะยานออกไปไขวควาเหยือ่ ลอ ภายนอกไมร จู บรสู น้ิ ไมส ่ิงใดกส็ งิ่ หนง่ึ ไมค นใดกค็ นหนงึ่ เปนตองกระชากความรูสกึ ของเราใหยื่นไปยดึ ไดเสมอ ไมว ันนก้ี ็วันหนา ๔๕
๕) มีความสงบระงับเยอื กเย็น เม่อื อมิ่ เอมเปรมใจเต็มที่ ถงึ ขน้ั ไมอ ยากไดอ ะไรนอกจากมสี ติรนู นั้ ยอ มตามมาซึ่งความสงบระงบั เยอื กเยน็ เปน ธรรมดา กายขยบั เทา ที่จําเปนตอ งขยบั ใจเกิดปฏกิ ริ ิยาเทา ที่จาํ เปนตอ งเกิดปฏกิ ริ ิยา พนจากสภาพคนอยูไมสขุ นัง่ นิ่งไมเ ปน ใจเยน็ ไมได กอนอ่ืนตอ งทาํ ความเขาใจวา ความสงบระงบั มีหลายระดับ ระดับทกี่ ายหมดความกระสบั กระสายเพราะนอนหลับสบายก็มี ระดับทีก่ ายใจผอนพกั หลังสะสางการงานยงุ เหยิงเสรจ็ สนิ้ ก็มี ระดับท่จี ติ ใจสงบสุขเพราะเรือ่ งรายผานไปก็มี ระดับทีก่ ายใจหยุดกระโจนไปหากามก็มี ระดบั ท่จี ติดับความเรา รอ นของเพลงิ พยาบาทลงดว ยนาํ้ ใจอภัยไดก ็มี แตความสงบระงบั ท่ีกลา วมาท้ังหมด ยังดอ ยคุณภาพนกั เมื่อเทยี บกบั ความสงบระงบั ในขน้ันี้ เพราะในขนั้ น้ีจติ อิ่มใจในธรรมจนไมอยากกลบั ไปหากิเลส อยากตีตวั ออกหา งจากกิเลส และเมอ่ืจติ ไมเอากเิ ลส กิเลสยอมปรากฏเปน ของอืน่ เปน ของแปลกปลอมจากสติผรู ผู ูเห็น ยากท่จี ะกดดนักายใจกระสบั กระสา ยไดอ ีก เครอื่ งช้ีวา เรามาถึงความสงบระงับจริง คอื การปราศจากแรงด้นิ ใดๆ ลองสังเกตดงู ายๆตอนที่เปลยี่ นจากความสงบระงบั เปน ฟุงซา น หากรําคาญตวั เอง อยากสงบใหไ ดอ ยา งใจทันทีตลอดจนออกแรงกดจติ ใหนิง่ ตามเดมิ อันน้ันเปนตวั บอกวายงั มีแรงดิน้ อยากสงบอยู ยังไมใชข องจรงิ แตห ากฟงุ แลวรูทันวาฟงุ โดยไมอ นิ งั ขงั ขอบ ไมดนิ้ รนใดๆ กระทง่ั ความฟุง แสดงความไมเ ทย่ี งดว ยการระงับไปเอง อยางนี้จึงเรียกวา ของจรงิ เพราะแมแ ตแ รงดนิ้ ท่จี ะสรางความสงบกไ็ มม ี ๖) มีความตงั้ มัน่ เม่ือจิตระงบั ความกระเพ่ือมไหว เหมือนแผน นํา้ กวางใหญส งบราบคาบจากใจกลางถึงขอบฝง ส่ิงทเี่ กิดตามมาเปน ธรรมดาคอื ความตั้งม่ันแหง จติ และไมใ ชต ง้ั มัน่ ทอ่ื ๆแบบไมร อู ะไรเลย แตเปน ความตง้ั มน่ั อยูอยางรเู ห็น ทราบวา กายใจสกั แตเปน สภาวะไรบ คุ คล เกดิ ภาวะหน่ึงแลวตอ งเส่อื มจากภาวะนัน้ เปน ธรรมดา เพอ่ื เขา ใจ ‘ความตั้งม่นั แหง จติ ’ ในท่นี ีอ้ ยางแทจ ริง ก็สมควรอาศัยการเปรยี บเทยี บกับชว งกอ นเจรญิ สติ คอื ตง้ั แตเ ราเกิดมา จะมคี วามตง้ั มั่นชนดิ หนง่ึ อยเู องโดยธรรมชาติ น่ันคอื ตั้งมั่นในความรสู ึกอยวู า กายใจนีค้ อื เรา ตอ เมอ่ื เจริญสติกระทงั่ กายใจไมก ระสบั กระสาย สงบระงบั เยือกเยน็ บรบิ รู ณ จงึ ถึงความตงั้มน่ั อยกู บั ความรูสกึ วากายใจน้ไี มใ ชเรา ไมว าขยบั ทาไหน เกิดปฏกิ ริ ยิ าทางใจหนกั เบาเพียงใด ก็ลว นเปนภาวะแหง รปู เปน ภาวะแหง นามไปท้ังสิ้น ๔๖
ความตงั้ ม่นั อนั ปลอดโปรง ไรอ ุปาทาน จะทาํ ใหจติ ปรากฏเดน ดวง มีความเปน ใหญ รูลกั ษณะของตวั เองมากกวา กาย เครือ่ งกระทบภายนอกนอยใหญไ มม ีอทิ ธพิ ลพอจะทาํ ใหห วน่ั ไหวเสยี การทรงตวั ลดระดบั ความสามารถรบั รูตามจรงิ เลย ๗) มีความเปน กลางวางเฉย เม่ือจิตตงั้ มนั่ จนความยนิ ดยี นิ รา ยทงั้ หลายหายเงยี บ ส่ิงทีเ่ กิดตามมาเปน ธรรมดาคอื ความรับรูอยางเปนกลางวางเฉย อะไรๆสักแตเปน สภาวธรรม สกั แตเปน นิมิตหลอกใจ ไมใ ชบุคคล ไมควรเกบ็ มาเปน อารมณ ควรรบั รอู ยเู งียบๆถงึ การผา นมาแลวจากไปของสรรพส่ิง จติ ตตี ัวออกหา งจากความถือวามี ถือวาเปน เหน็ ใครตายกร็ วู าแคภ าวะแหง รปู หนึง่ ดับไป หรอื แมเ ห็นความคดิ แยๆผุดขนึ้ ในหัวกร็ วู าแคภ าวะแหงสงั ขารขนั ธเ กิดขน้ึ ไมม ีบคุ คลอยใู นทีไ่ หนๆทงั้ ภายในและภายนอก ความมใี จรูอยางเปน กลางเต็มที่ ก็คือปลอ ยวางถึงขีดสดุ น่นั เอง และการปลอ ยวางถงึ ขีดสุดนน่ั เอง เปน คณุ ภาพของจิตท่ีพรอมจะถึงฌานในแบบมรรคผล เม่อื ถึงความพรอ มบรรลุมรรคผล จิตจะคลา ยฟองสบทู ีพ่ รอมแตกตวั หายวบั โดยไมไ ยดีกับการมีการเปนของตน มโนภาพบุคคลเหลอื นอ ยเต็มที และนมิ ติ แสดงความไมใชต วั ตนของกายใจก็ปรากฏชดั ขึ้นเรอื่ ยๆ เราเจรญิ สติมาท้งั หมดก็เพื่อสรางเหตใุ หเกิดไฟลา งผลาญกิเลส และเพือ่ ดูวาจติ พรอมจะลกุโพลงเปน ไฟลา งกเิ ลสไหม กด็ ไู ดจ ากการมสี ติรเู ฉพาะหนา มีความเพยี รพจิ ารณาธรรมจนอ่ิมใจ สงบระงับ ตั้งมั่นเปนสมาธริ ูเหน็ กายใจอยา งเปนกลางวางเฉยนัน่ เอง ๑๓ รจู กั ความจริงในมุมมองของอริยะขั้นสดุ ทา ยของการฝกมีสติอยกู ับสภาวธรรม การเจริญสตทิ ่ีผา นมาเปนไปเพือ่ ประโยชนอะไร? คาํ ตอบคือเปนไปเพอ่ื เห็นความจรงิ ท่ีเหลาอริยะเหน็ แลวความจริงทเ่ี หลาอริยะเห็นคอื อะไร? คาํ ตอบคอื ความจริงเก่ียวกบั ทุกขและการดับทกุ ข เมอื่ เจรญิ สติมาถึงข้ันทีพ่ รอ มบรรลมุ รรคผล เรายอ มทราบวากายใจอันถูกสอ งสํารวจมาอยา งดบิ ดีแลว นแ่ี หละ คือทตี่ ง้ั ของความจรงิ เก่ยี วกบั ทกุ ขและการดบั ทกุ ข ดังน้ี ๔๗
๑) ทกุ ข ทกุ ขคือขนั ธ ๕ เพราะขนั ธ ๕ คือที่ตงั้ ของอุปาทานวามีเราเกดิ มา มีเราแกลง มเี ราตายไป มีเราพลัดพรากจากบุคคลอันเปนท่ีรกั มีเราเผชิญเร่ืองนา ขัดเคือง มเี ราอยากไดแลว ไมไ ดอ ยางใจตลอดจนมเี รารองไหค รา่ํ ครวญดว ยความเศรา โศกอยู ตอเมือ่ รูเหน็ ขนั ธ ๕ ตามความเปน จริง คอื เกดิ แลวตองดบั ลงเปน ธรรมดา ไมน าพอใจ ไมควรยึดถอื ขนั ธ ๕ จงึ ปรากฏตอ ใจโดยความเปนกอ นทกุ ข ไมใชบคุ คล ไมใชตวั ตนเราเขา ผมู ีคุณสมบัตพิ รอมจะบรรลมุ รรคผล ยอ มรูส ึกอยวู าไมเ คยมีเราเกิดมา ไมม ีเราแกล ง และจะไมมเี ราตายไป ไมม ีเราพลัดพราก ไมมีเราเผชญิ เรอ่ื งนาขดั เคือง ไมม ีเราเปน ผไู มไ ดอ ยา งใจ ไมมเี รารอ งไหคร่าํ ครวญดวยความเศรา โศก มีแตข นั ธ ๕ แสดงความจรงิ อยวู า รูปไมเทยี่ ง เวทนาไมเท่ยี ง สญั ญาไมเทีย่ ง สงั ขารไมเท่ียง วิญญาณไมเทยี่ ง ไมควรถอื วา ขันธเ หลา น้นั เปนเราเลย ผใู กลบรรลุมรรคผลยอมเหน็ ตามจรงิ วา ทุกขเ ปน ส่ิงทคี่ วรรใู หรอบ ๒) เหตุใหเ กดิ ทุกข เหตุใหเกดิ ทกุ ขค อื ความอยากเสพผสั สะท่ีนา เพลิดเพลินยินดี เพราะความอยากเสพผสั สะนนั่ เอง เปรยี บเสมอื นยางเหนียว หรอื แรงดงึ ดูดจากแมเ หล็กทล่ี อใจใหอยากมีตวั ตน ไมอยากท้งิขันธ ๕ ไป อยากเอาแตขันธ ๕ ทช่ี อบใจ แลวเมอื่ ไมไดอยา งใจเสมอไปก็เปน ทกุ ขทรุ นทรุ ายกนั ตัวผัสสะไมไ ดเ ปนปญหา ความอยากเสพผัสสะตา งหากท่ีใช อยา งเชนเคยเห็นรปู รา งหนาตายวนใจ ถาถอนตาแลว ไมต ดิ ใจกแ็ ลว ไป แตถ าตดิ ใจก็กระวนกระวายอยากเหน็ อีก หรอื อยา งความคิดอนั เปนคลื่นกระทบใจ ทผ่ี ุดข้นึ แลว สลายตวั ไปตามทางของมันอยทู กุ ขณะ แตอาการเสพตดิความคดิ ทําใหเ ราไมอ ยากใหม ันหายไป กลัววา ถา ไมม คี วามคิดจะไมฉ ลาด หรือกระท่ังกลวั วา ถาความคิดสาบสญู แลว จะไมม ีเราหลงเหลอื อยู รวมแลว คนเราจึงกลวั ตาย กลวั ไมไ ดเหน็ กลัวไมไ ดย นิกลัวไมไ ดคิดแบบทช่ี อบใจอีกแลว ตอเม่ือเจริญสติรเู หน็ ผสั สะกระทบเปนขณะๆ จงึ ทราบวา ภาพเสยี งและความรสู ึกนกึ คิดทั้งหลายหายไปทกุ ขณะอยแู ลว นาทกี อ นกับนาทนี ี้เปน คนละตวั กันแลว จะหวงหรือไมหวงทกุ ผัสสะก็ตอ งหายไปอยดู ี หนว งเหน่ียวไวใ หเปนของเราจริงไมไ ดเ ลย ผูมคี ณุ สมบัตพิ รอ มจะบรรลุมรรคผล ยอ มเห็นความตดิ ใจในผสั สะทง้ั ๖ โดยความเปนเครื่องรอยรัด สมควรละเสยี เพราะเมอื่ ละไดกเ็ หมอื นทาํ ลายโซแหง ความหลงผดิ สาํ เร็จ ขนั ธ ๕ ยอม ๔๘
ปรากฏในการรับรไู มตางกับกอ นเสลดในปากทค่ี วรถม ทิ้ง ไมนา เสยี ดาย ไมน าหวงไวส ักนิดเดยี ว ผใู กลบรรลมุ รรคผลยอมเหน็ ตามจรงิ วา เหตใุ หเ กิดทกุ ขเ ปนสงิ่ ควรละใหส ้นิ ๓) ความดบั ทุกข ความดบั ทกุ ขค ือการสละคนื ความอยากเสพผสั สะไดจริงอยางสิ้นเชิง เพราะหลงั จากสละคนืความอยากไดหมดจด เทากบั ดับเหตแุ หงความดนิ้ รนกระวนกระวายไดสนทิ ขนั ธ ๕ นน้ั ไมวาจะอยใู นสภาพแสนดนี า เพลดิ เพลนิ เพยี งใด อยางไรกเ็ ปน มหันตทกุ ขโ ดยตวั ของมนั เองเสมอ ดงั ทีผ่ ูใกลบ รรลมุ รรคผลเห็นตามจรงิ อยแู ลว สวนการสงบจากขนั ธ ๕ นั้น แมจะยงั ไมป ระจักษดว ยใจวาเปน เชน ไร ผใู กลบรรลุมรรคผลก็ยอ มมีความเขาใจตรงตามจริงวา นั่นแหละบรมสขุ เปรียบเหมือนเหน็ วาไฟรอน แมไฟยังลกุ โพลงอยกู ็ยอ มเขา ใจวา สงบจากไฟเสยี ไดส ้นิ เชงิจงึ ชอื่ วาเย็นสนิท ผูมคี ุณสมบัตพิ รอมจะบรรลมุ รรคผล ยอมไมผูกพันกบั ผสั สะใดๆแมร สสุขอันนาพิศวงของสมาธิ ใจสละคนื หมด ไมเ อาความรสู ึกนกึ คิด ไมเ อาตวั ตน มแี ตมงุ จะทาํ ท่ีสุดทุกขท าเดยี ว และเขายอ มถงึ ซ่งึ ความสําเรจ็ โดยไมเ น่ินชา ทะลขุ นั ธ ๕ ออกไปเหน็ ดว ยจติ อันเปน ฌานวาความดบั ทกุ ขเปน เชนไร ผใู กลบรรลุมรรคผลยอ มเหน็ ตามจรงิ วา ความดบั ทกุ ขเปนส่งิ ท่คี วรประจกั ษใ หแ จม แจง ๔) ขอ ปฏิบัตใิ หถ งึ ความดบั ทุกข ขอปฏบิ ตั ใิ หถ งึ ความดบั ทกุ ขค ือการดําเนนิ ชวี ติ เย่ยี งอรยิ บคุ คลผูบรรลุมรรคผล เมื่อรูความจรงิ อยางอริยะ คิดอยา งอริยะ พูดอยางอรยิ ะ กระทําอยางอริยะ มสี ตริ ูอยา งอรยิ ะ และจิตต้งั มน่ั เปนสมาธอิ ยา งอรยิ ะ วนั หนึง่ ยอมกลายเปนอริยะ ดังนนั้ ถาเราสงสยั วาทําไมเจริญสตแิ ลว สติไมเจริญหรอื สตเิ จรญิ แตไ มบรรลมุ รรคผลเสยี ที ก็สมควรใชข อ ปฏบิ ตั ขิ องเหลา อริยะเปนเกณฑในการสาํ รวจตรวจตรา วาวธิ ีดําเนนิ ชวี ติ ของเราเขา ทางตรงหรือยัง การดําเนนิ ชีวติ เยยี่ งอริยะประกอบดว ยองค ๘ ประการดังนี้ ๑. รูความจริงอยางอรยิ ะ คอื รวู า อะไรคอื ทกุ ข รวู า อะไรคือเหตุแหงทุกข รวู า อะไรคือความดบั ทกุ ข และรวู า การดําเนินชวี ติ อยา งไรจึงดบั ทุกขได ผรู ูความจริงอยา งอรยิ ะไดชอ่ื วาเปนสัมมาทฏิ ฐิ ซงึ่ อาจหมายถงึ สมั มาทฏิ ฐิระดบั รับฟงแลว จดจํา หรอื สมั มาทฏิ ฐิระดบั การตรกึ นึกใหเขาใจ ตลอดจนเกดิ สัมมาทฏิ ฐิบรบิ ูรณด ว ยการเจรญิ สตแิ ลวบรรลมุ รรคผล ๔๙
Search