พทุ ธวจั น ฉบับ...ตามรอยธรรม ภิกษุทง้ั หลาย ! เธอทั้งหลายจงเพียรเผากเิ ลส อยา ไดเ ปนผปู ระมาท อยาเปนผทู ีต่ อ งรอ นใจ ในภายหลงั เลยน่ีแล เปนวาจาเครอ่ื งพราํ่ สอนเธอทั้งหลาย ของตถาคต
พระธรรม พระพุทธอานนท ! ความคดิ อาจมีแกพวกเธออยา งนีว้ าธรรมวนิ ยั ของพวกเรามีพระศาสดาลวงลบั ไปแลว พวกเราไมม พี ระศาสดาดงั นี้อานนท ! พวกเธออยาคิดดงั น้นั อานนท ! ธรรมก็ดี วินยั กด็ ี ทีเ่ ราแสดงแลว บัญญัตแิ ลว แกพวกเธอทง้ั หลาย ธรรมวนิ ยั นน้ัจักเปน ศาสดาของพวกเธอท้งั หลายโดยกาลลวงไปแหง เรา( มหาปรินพิ พานสตู ร มหา. ที. ๑๐/๑๕๙/๑๒๘. ) พทุ ธวจั น
พทุ ธวจั น ( ธรรมวินัยจากพทุ ธโอษฐ ) ฉบบั ...ตามรอยธรรม“จดั ทาํ เพื่อเปน ธรรมทาน ไมส งวนสทิ ธ์ิในการพมิ พห รอื เผยแผ”-----------------------------------------------------------------------------พิมพค ร้งั ท่ี : ๘ / เมษายน ๒๕๕๒พมิ พท ่ี : บริษัท คิว พรน้ิ ท แมเนจเมนท จาํ กัดโทรศัพท : ๐๒-๘๐๐-๒๒๙๒, ๐๘๔-๙๑๓-๘๖๐๐
เนื้อแทที่ไมอ ันตรธาน ภิกษุทั้งหลาย ! พวกภิกษุบริษัทในกรณีนี้, สุตตันตะเหลาใดท่ีกวีแตงข้ึนใหม เปนคํารอยกรองประเภทกาพยกลอน มีอักษรสละสลวย มีพยัญชนะอันวิจิตร เปนเร่ืองนอกแนว เปนคํากลาวของสาวก, เมื่อมผี ูนําสุตตันตะเหลาน้ันมากลาวอยู; เธอจักไมฟงดว ยดี ไมเงีย่ หฟู ง ไมต้งั จิตเพื่อจะรูท่ัวถึง และจักไมสําคัญวาเปนสิ่งทตี่ นควรศกึ ษาเลาเรยี น. ภกิ ษุทงั้ หลาย ! สว นสุตตันตะเหลาใดท่ีเปน คําของตถาคตเปนขอความลึก มีความหมายซึ้ง เปนช้ันโลกุตตระ วาเฉพาะเร่ืองสุญญตา, เมือ่ มีผูนาํ สุตตนั ตะเหลาน้ันมากลาวอยู; เธอยอมฟงดวยดี ยอมเงี่ยหูฟง ยอมตั้งจิตเพ่ือจะรูท่ัวถึง และยอ มสาํ คัญวาเปน ส่ิงท่ีตนควรศึกษาเลาเรียน จึงพากันเลาเรียนไตถาม ทวนถามแกกันและกันอยูวา “ขอนี้เปนอยางไร ? มีความหมายก่ีนัย ?” ดังนี้. ดวยการทําดังนี้ เธอยอมเปดธรรมท่ถี กู ปด ไวไ ด, ธรรมทย่ี งั ไมป รากฏ เธอกจ็ ะทําใหป รากฏได, ความสงสัยในธรรมหลายประการทน่ี า สงสยั เธอก็บรรเทาลงได. ภิกษุท้ังหลาย ! ภิกษุบริษัทเหลาน้ี เราเรียกวา บริษัทท่ีมีการลุลวงไปได ดวยการสอบถามแกกันและกันเอาเอง, หาใชดวยการชี้แจงโดยกระจางของบุคคลภายนอกเหลาอื่นไม; จัดเปนบรษิ ัทท่ีเลศิ แล.( บาลี พระพุทธภาษิต ทกุ . อ˚. ๒๐/๙๒/๒๙๒, ตรัสแกภกิ ษุท้ังหลาย. ) พุทธวจั น
ผูช ีข้ มุ ทรพั ย !อานนท ! เราไมพยายามทาํ กะพวกเธอ อยา งทะนถุ นอมเหมือนพวกชา งหมอ ทําแกหมอ ทย่ี ังเปยก ยงั ดบิ อยู อานนท ! เราจกั ขนาบแลว ขนาบอีก ไมมีหยดุ อานนท ! เราจกั ช้โี ทษแลว ช้โี ทษอกี ไมมหี ยุด ผูใดมีมรรคผลเปนแกนสาร ผนู ั้นจกั ทนอยูได.( มหาสุญฺ ตสุตฺต อุปร.ิ ม. ๑๔/๒๔๕/๓๕๖. ) พุทธวัจนคนเรา ควรมองผูมปี ญญาใดๆ ทคี่ อยชี้โทษ คอยกลา วคาํ ขนาบอยเู สมอไป วา คนนั้นแหละ คอื ผูช้ีขมุ ทรัพย,ควรคบบณั ฑิตทีเ่ ปนเชน น้ันเมอ่ื คบหากบั บัณฑิตชนิดนน้ั อยูยอมมีแตดที าเดียว ไมม เี ลวเลย.( ปณฑิตวคคฺ ธ. ข.ุ ๒๕/๒๕/๑๖. ) พทุ ธวจั น
ทรงแสดงเรื่องท่เี ปนไปไดยาก เกี่ยวกับพระองคเอง ภกิ ษุท้งั หลาย ! สมมติวามหาปฐพีอันใหญห ลวงน้ี มนี ํ้าท่วั ถึงเปน อันเดียวกนั ทัง้ หมด; บุรษุ คนหนง่ึ ทง้ิ แอก(ไมไผ !) ซ่ึงมีรูเจาะไดเพียงรูเดียว ลงไปในน้ําน้ัน; ลมตะวันออกพัดใหลอยไปทางทิศตะวันตก, ลมตะวันตกพัดใหลอยไปทางทิศตะวันออก, ลมทิศเหนือพัดใหลอยไปทางทิศใต, ลมทิศใตพัดใหลอยไปทางทิศเหนืออยูดงั นี.้ ในน้ํานั้นมีเตาตัวหนึ่งตาบอด ลวงไปรอยๆปมันจะผุดขนึ้ มาครั้งหน่ึงๆ. ภิกษุท้ังหลาย ! เธอทั้งหลายจะสําคัญความขอน้ีวาอยางไร : จะเปนไปไดไหมที่เตาตาบอด รอยปจึงจะผุดข้ึนมาสกั คร้งั หนง่ึ จะพึงย่ืนคอเขา ไปในรู ซ่งึ มอี ยเู พยี งรูเดยี วในแอกนั้น ? “ขอ น้ี ยากท่ีจะเปนไปได พระเจาขา ! ที่เตาตาบอดนั้นรอยปผุดขึ้นเพียงคร้ังเดียว จะพึงยื่นคอเขาไปในรู ซ่ึงมีอยูเพียงรเู ดยี วในแอกนั้น”. ภิกษุทั้งหลาย ! ยากท่ีจะเปนไปไดฉันเดียวกัน ท่ีใครๆจะพึงไดความเปนมนุษย; ยากที่จะเปนไปไดฉันเดียวกัน ที่ตถาคตผูอรหันตสัมมาสัมพุทธะ จะเกิดข้ึนในโลก; ยากที่จะเปนไปไดฉันเดียวกัน ท่ีธรรมวินัยอันตถาคตประกาศแลวจะรงุ เรืองไปทวั่ โลก.
ภกิ ษทุ ้ังหลาย ! แตวา บดั น้ี ความเปน มนษุ ย ก็ไดแลว ;ตถาคตผอู รหันตสมั มาสัมพทุ ธะ ก็บงั เกดิ ข้นึ ในโลกแลว; และธรรมวนิ ยั อนั ตถาคตประกาศแลว กร็ ุงเรอื งไปทวั่ โลกแลว . ภกิ ษทุ ั้งหลาย ! เพราะเหตนุ ัน้ ในกรณนี ้ี พวกเธอพงึกระทําโยคกรรมเพ่อื ใหร วู า “นี้ ทุกข; น้ี เหตใุ หเ กิดทกุ ข;นี้ ความดบั แหง ทุกข; นี้ หนทางใหถ งึ ความดบั แหงทุกข”ดงั นี้เถิด.( บาลี มหาวาร. ส˚. ๑๙/๕๖๘/๑๗๔๔, ตรสั แกภ กิ ษุทั้งหลาย. ) พทุ ธวัจน
พระพทุ ธเจา ทง้ั ในอดตี , อนาคต และในปจจุบนั ลวนแตตรัสรอู รยิ สจั สี่ ภิกษุทง้ั หลาย ! พระอรหนั ตสมั มาสัมพทุ ธเจาองคใดๆไดต รสั รตู ามเปน จรงิ ไปแลว ในกาลยดื ยาวนานฝา ยอดีต, ทา นทงั้ หลายเหลานัน้ ไดต รัสรูตามเปนจรงิ ซึ่งความจริงอันประเสรฐิสี่อยา ง. ภิกษุทงั้ หลาย ! พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจาองคใ ดๆจกั ไดต รัสรูต ามเปนจรงิ ตอ กาลยดื ยาวนานฝายอนาคต, ทา นทง้ั หลายเหลา นัน้ กจ็ กั ไดตรสั รตู ามเปนจริง ซง่ึ ความจรงิ อนัประเสริฐส่ีอยา ง. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! แมพ ระอรหันตสมั มาสัมพุทธะ ผูต รัสรูตามเปน จรงิ อยู ในกาลเปนปจ จุบันนี้ กไ็ ดต รัสรูอ ยซู ่งึ ความจรงิ อันประเสริฐสอ่ี ยา ง. ความจริงอนั ประเสรฐิ สีอ่ ยางนั้นเหลาไหนเลา ?
ส่ีอยางคือ : ความจริงอันประเสริฐคือทุกข, ความจริงอันประเสริฐคือเหตุใหเกิดทุกข, ความจริงอันประเสริฐคือความดับไมเหลือของทุกข, และความจรงิ อันประเสรฐิ คือทางดําเนินใหถึงความดับไมเ หลอื ของทกุ ข. ภกิ ษุทัง้ หลาย ! เพราะเหตุน้นั ในกรณนี ้ี พวกเธอพงึ ทําความเพยี รเพือ่ ใหร ตู ามเปน จริงวา “นเ้ี ปน ทุกข, น้ีเปนเหตุใหเกิดทุกข, น้ีเปนความดับไมเหลือของทุกข, และน้ีเปนทางดําเนินใหถ ึงความดบั ไมเ หลอื ของทกุ ข;” ดังนี้เถิด.( - มหาวาร. ส˚. ๑๙/๕๔๓/๑๗๐๔. ) พุทธวัจน
พระพทุ ธองค ทรงพระนามวาอรหันตสัมมาสัมพุทธะ ก็เพราะไดตรสั รู อริยสจั สี่ ภกิ ษุทง้ั หลาย ! ความจรงิ อนั ประเสริฐสอี่ ยางเหลานี้ ส่อี ยา งเหลา ไหนเลา ? ส่ีอยา งคือ ความจริงอนั ประเสริฐคือความทกุ ข,ความจริงอนั ประเสริฐคอื เหตุใหเกดิ ทกุ ข, ความจริงอันประเสริฐคือความดับไมเ หลอื ของทุกข, และความจริงอันประเสรฐิ คือทางดําเนนิ ใหถงึ ความดับไมเหลือของทกุ ข: นแี้ ลความจริงอันประเสรฐิ สีอ่ ยาง. ภกิ ษทุ ้ังหลาย ! เพราะไดต รสั รูตามเปนจรงิซ่ึงความจริงอันประเสริฐสอี่ ยา งเหลา นี้ ตถาคตจึงมีนามอันบัณฑติ กลาววา “อรหนั ตสัมมาสมั พทุ ธะ”. ภกิ ษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนน้ั ในกรณีนี้ พวกเธอพงึทําความเพยี รเพื่อใหร ูตามเปนจริงวา “นเ้ี ปน ทกุ ข, นี้เปนเหตุใหเ กิดทุกข, นีเ้ ปน ความดับไมเ หลอื ของทุกข, และนเ้ี ปน ทางดําเนินใหถ ึงความดบั ไมเหลอื ของทุกข;” ดังนเ้ี ถดิ .( - มหาวาร. ส˚. ๑๙/๕๔๓/๑๗๐๓. ) พุทธวัจน
จงสงเคราะหผ ูอ่ืนดวยการใหรูอริยสัจ ภกิ ษทุ ั้งหลาย ! พวกเธอเอ็นดูใคร และใครถือวาเธอเปนผูที่เขาควรเช่ือฟง เขาจะเปนมิตรก็ตาม อํามาตยก็ตาม ญาติหรือสายโลหิตก็ตาม; ชนเหลานั้น อันเธอพึงชักชวนใหเขาไปต้ังม่นั ในความจริงอันประเสริฐสปี่ ระการ ดวยปญญาอันรูเฉพาะตามท่ีเปนจริง ความจริงอันประเสริฐสี่ประการอะไรเลา ?สี่ประการคือ ความจริงอันประเสริฐคือทุกข, ความจริงอันประเสริฐคือเหตุใหเกิดแหงทุกข, ความจริงอันประเสริฐคือความดับไมเหลือแหงทุกข, และความจริงอันประเสริฐคือทางดําเนนิ ใหถ ึงความดบั ไมเ หลือแหง ทกุ ข. ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุน้ันในเร่ืองนี้ เธอพึงประกอบโยคกรรมอันเปนเครื่องกระทําใหรูวา “ทุกขเปนอยางน้ี, เหตุใหเกิดข้ึนแหงทุกขเปนอยางนี้, ความดับไมเหลือแหงทุกขเปนอยางนี้, ทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกขเปน อยางน้,ี ” ดังน้ี.( - มหาวาร. ส˚. ๑๙/๕๔๔/๑๗๐๖. ) พุทธวจั น
อรยิ สัจสโี่ ดยสังเขป ( ทรงแสดงดวยความยดึ ในขันธหา ) ภิกษุท้ังหลาย ! ความจริงอันประเสริฐมีสี่อยางเหลานี้, สี่อยางเหลาไหนเลา ? ส่อี ยางคือ ความจริงอันประเสริฐคือทุกข,ความจริงอันประเสริฐคือเหตุใหเกิดทุกข, ความจริงอันประเสริฐคือความดับไมเหลือของทุกข, และความจริงอันประเสริฐคือทางดําเนนิ ใหถงึ ความดับไมเหลอื ของทุกข. ภิกษุทั้งหลาย ! ความจริงอันประเสริฐคือทุกข เปนอยางไรเลา ? คําตอบคือ ขันธอันเปนท่ีตั้งแหงความยึดม่ันถือมั่นหาอยาง. หาอยางน้ันอะไรเลา ? หาอยางคือขันธอันเปนท่ีต้ังแหงความยึดม่ันถือม่ัน ไดแก รูป เวทนา สัญญาสังขาร และวิญญาณ. ภิกษุท้ังหลาย ! อันนี้เรากลาววา ความจริงอันประเสรฐิ คอื ทุกข. ภิกษุท้ังหลาย ! ความจริงอันประเสริฐคือเหตุใหเกิดทุกขเปนอยางไรเลา ? คือตัณหาอันใดนี้ ที่เปนเคร่ืองนําใหมีการเกิดอกี อันประกอบดวยความกําหนัด เพราะอํานาจความเพลินมักทําใหเพลินอยางยิ่งในอารมณนั้นๆ ไดแก ตัณหาในกาม,ตัณหาในความมีความเปน, ตัณหาในความไมมีไมเปน. ภิกษุทั้งหลาย ! อันน้ีเรากลาววา ความจริงอันประเสริฐคือเหตุใหเกิดทุกข.
ภิกษุท้ังหลาย ! ความจริงอันประเสริฐคือความดับไมเหลือของทุกข เปน อยา งไรเลา ? คือความดับสนิทเพราะความจางคลายดับไป โดยไมเหลือของตัณหาน้ัน ความสละลงเสยี ความสลัดทิ้งไป ความปลอยวาง ความไมอาลัยถึงซ่ึงตัณหาน้ันเอง อันใด. ภิกษุท้ังหลาย ! อันนี้เรากลาววาความจริงอันประเสรฐิ คือความดบั ไมเ หลือของทกุ ข. ภิกษุท้ังหลาย ! ความจริงอันประเสริฐคือทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของทุกข เปนอยางไรเลา ? คือหนทางอันประเสริฐประกอบดวยองคแปด นั่นเอง, ไดแกสิ่งเหลาน้ีคือความเห็นชอบ, ความดําริชอบ, การพูดจาชอบ, การงานชอบ,การเลี้ยงชีพชอบ, ความเพียรชอบ, ความระลึกชอบ,ความตงั้ ใจมั่นชอบ. ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้เรากลาววา ความจริงอนั ประเสรฐิ คอื ทางดาํ เนนิ ใหถ งึ ความดบั ไมเ หลอื ของทกุ ข.ภิกษุท้ังหลาย ! เหลา นแี้ ลคือความจริงอันประเสรฐิ ส่อี ยาง. ภิกษุท้ังหลาย ! เพราะเหตุนั้นในกรณีน้ี พวกเธอพึงทําความเพียรเพ่อื ใหรูต ามเปนจริงวา “น้ีเปนทุกข, น้ีเปนเหตุใหเกิดทุกข, น้ีเปนความดับไมเหลือของทุกข, น้ีเปนทางดําเนินใหถงึ ความดบั ไมเ หลือของทุกข,” ดงั นเ้ี ถดิ .( - มหาวาร. ส˚. ๑๙/๕๓๔-๕/๑๖๗๘-๑๖๘๓. ) พุทธวจั น
การรูอริยสัจส่ี ทาํ ใหม ีตาสมบูรณ ภิกษุทั้งหลาย ! บุคคล ๓ จําพวกน้ีมีอยู หาไดอยูในโลก.สามจําพวกอยางไรเลา ? สามจําพวกคือ คนตาบอด(อนฺโธ),คนมีตาขางเดียว(เอกจกขฺ )ุ , คนมีตาสองขาง (ทวฺ จิ กขฺ ุ). ภกิ ษุท้งั หลาย ! คนตาบอดเปนอยางไรเลา ? คือคนบางคนในโลกน้ี ไมม ีตาที่เปนเหตใุ หไดโภคทรพั ยที่ยงั ไมไ ด หรอื ทําโภคทรัพยทไี่ ดแ ลวใหท วมี ากขึ้น นอ้ี ยางหนึ่ง; และไมมีตาท่ีเปนเหตุใหร ธู รรมทเี่ ปน กุศลและอกศุ ล - ธรรมมีโทษและไมม ีโทษ- ธรรมเลวและธรรมประณตี - ธรรมฝายดําและธรรมฝายขาวนี้อกี อยา งหนึง่ . ภิกษุทั้งหลาย ! น้แี ล คนตาบอด (ทั้งสองขาง). ภิกษุท้ังหลาย ! มีคนตาขางเดียวเปนอยางไรเลา ? คือคนบางคนในโลกนี้ มีตาท่ีเปนเหตุใหไดโภคทรัพยท่ียังไมไดหรือทําโภคทรพั ยท ่ีไดแ ลว ใหท วีมากขึ้น น้อี ยางหนง่ึ ; แตไมมีตาที่เปน เหตุใหรธู รรมที่เปน กศุ ลและอกศุ ล - ธรรมมีโทษและไมมีโทษ - ธรรมเลวและธรรมประณีต - ธรรมฝายดําและธรรมฝายขาว นี้อกี อยา งหนึ่ง. ภกิ ษุทงั้ หลาย ! นี้แล คนมตี าขางเดยี ว.
ภิกษุทั้งหลาย ! คนมีตาสองขางเปนอยางไรเลา ? คือคนบางคนในโลกนี้ มีตาท่ีเปนเหตุใหไดโภคทรัพยที่ยังไมไดหรือทาํ โภคทรพั ยท่ไี ดแลวใหท วีมากขนึ้ น้อี ยางหน่ึง; และมีตาท่ีเปนเหตุใหรูธรรมที่เปนกุศลและอกุศล - ธรรมมีโทษและไมมีโทษ - ธรรมเลวและธรรมประณีต - ธรรมฝายดําและธรรมฝายขาว น้ีอีกอยา งหนง่ึ . ภกิ ษุท้ังหลาย ! น้ีแล คนมตี าสองขาง. ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุมีตาสมบูรณ (จกฺขุมา) เปนอยางไรเลา ? คือภิกษุในกรณีน้ี ยอมรูชัดตามความเปนจริงวา“นี้ความทุกข, นี้เหตุใหเกิดแหงทุกข, นี้ความดับไมเหลือแหงทุกข, นี้ทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข”ดังน.ี้ ภกิ ษุท้งั หลาย ! นี้แล ภกิ ษุมตี าสมบูรณ.( - ตกิ . อ˚. ๒๐/๑๖๒, ๑๔๗/๔๖๘, ๔๕๙. ) พุทธวจั น
การสนทนากับพระอานนท เรอ่ื งกลั ยาณมติ ร มหาราชะ ! ครั้งหนึ่ง ตถาคตพักอยูท่ีนิคมแหงพวกศากยะชื่อวานครกะ ในแควนสักกะ. มหาราชะ ! คร้ังน้ันแล ภิกษุอานนทไดเขาไปหาตถาคตถงึ ทอ่ี ยู อภวิ าทแลวนั่งลง ณ ท่ีควร. มหาราชะ!ภิกษุอานนทไดกลาวคําน้ีกะตถาคตวา “ขาแตพระองคผูเจริญ !ความมีมิตรดี ความมีสหายดี ความมีเพื่อนผูแวดลอมดีนเ้ี ปน กงึ่ หนง่ึ ของพรหมจรรย พระเจา ขา !” ดังน.ี้ มหาราชะ ! เมื่อภิกษุอานนทไดกลาวอยางนี้แลว ตถาคตไดกลาวกะเธออยางน้ีวา “อานนท ! เธออยากลาวอยางนั้นเลย,อานนท ! ขอนเ้ี ปนพรหมจรรยท้งั หมดทง้ั สิ้นทเี ดยี ว คอื ความมีมิตรดี ความมสี หายดี ความมเี พือ่ นผแู วดลอมด,ี อานนท !พรหมจรรยท้ังส้ินน้ัน เปนส่ิงท่ีภิกษุผูมีมิตรดีพึงหวังได. เมื่อเปนผูมีมิตรดี มีสหายดี มีเพ่ือนผูแวดลอมดี เธอน้ันจักทําอริยมรรคมีองคแปดใหเจริญได จักกระทําใหมากซึ่งอริยมรรคมอี งคแปดได” ดงั น.ี้( บาลี สคา. ส˚. ๑๕/๑๒๗/๓๘๒, พทุ ธวจั นตรสั แกพ ระเจาปเสนทโิ กศล ทีเ่ ชตวัน ใกลเมืองสาวัตถี. )
กลั ยาณมิตรของพระองคเ องอานนท! ภกิ ษผุ ูช่ือวา มีมิตรดี มีสหายดี มีเพ่อื นดี ยอมเจริญทําใหมากซึง่ อริยมรรคประกอบดว ยองคแ ปด โดยอาการอยางไรเลา ? อานนท ! ภิกษุในศาสนานี้ ยอมเจริญทําใหมากซ่ึงสัมมาทิฐิ, สัมมาสังกัปปะ, สัมมาวาจา, สัมมากัมมันตะ,สัมมาอาชีวะ, สัมมาวายามะ, สัมมาสติ, สัมมาสมาธิอันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ อันนอมไปเพ่ือการสลดั ลง. อานนท ! อยา งนี้แล ช่ือวาภิกษุผูมีมิตรดี มีสหายดีมเี พอื่ นดี เจริญทาํ ใหมากซึ่งอริยมรรคประกอบดวยองคแ ปด. อานนท ! ขอน้นั เธอพึงทราบดว ยปรยิ ายอนั น้ีเถดิ คือวาพรหมจรรยน้ีท้ังหมดนั้นเทียว ไดแก ความเปนผูมีมิตรดี มีสหายดีมีเพ่ือนดี ดังนี้. อานนท ! จริงทีเดียว, สัตวท้ังหลายผูมีความเกิดเปนธรรมดา ไดอาศัยกัลยาณมิตรของเราแลวยอมหลุดพนจากการเกิด.... ผูมีความแกชรา, ความเจ็บปวย,ความตาย, ความโศก, ความครา่ํ ครวญ, ความทกุ ขกาย,ความทุกขใจ และความคับแคนใจเปนธรรมดา.... ครั้นไดอาศัยกลั ยาณมิตรของเราแลว ยอ มหลดุ พนจากความแกชรา, ความเจ็บปวย, ความตาย, ความโศก, ความคร่ําครวญ, ความทกุ ขก าย, ความทกุ ขใจ และความคับแคน ใจ. อานนท ! ขอ นน้ั เธอพึงทราบดว ยปริยายอันน้เี ถดิ คือวาพรหมจรรยน้ีท้ังหมดน้ันเทียว ไดแก ความเปนผูมีมิตรดี มีสหายดีมีเพ่ือนดี ดังนี.้ พทุ ธวจั น( บาลี โกสลส˚ยตุ ต สคา. ส˚. ๑๕/๑๒๗/๓๘๓,ตรสั แกพระอานนท แลว ทรงนาํ มาเลาแก พระเจา ปเสนทโิ กศล )
ขยายความแหง อริยมรรคมีองคแ ปด ภิกษุท้ังหลาย ! ก็อริยสัจคือหนทางเปนเครื่องใหถึงความดับไมเ หลือแหง ทุกขนน้ั เปนอยา งไรเลา ? คือหนทางอนั ประกอบดวยองคแปดอันประเสริฐนี้เอง, องคแปดคือ ความเห็นชอบ,ความดํารชิ อบ, การพูดจาชอบ, การงานชอบ, การเล้ียงชีพชอบ,ความเพยี รชอบ, ความระลึกชอบ, ความตง้ั ใจมน่ั ชอบ. ภิกษุท้ังหลาย ! ความเห็นชอบเปนอยางไร ? ภิกษุทงั้ หลาย ! ความรูใ นทกุ ข, ความรูในเหตใุ หเ กดิ ทุกข, ความรูในความดับไมเหลือแหงทุกข, ความรูในหนทางเปนเครื่องใหถงึ ความดับไมเ หลอื แหงทุกข อันใด, นเี้ ราเรยี กวา สัมมาทฐิ ิ. ภิกษุท้ังหลาย ! ความดําริชอบเปนอยางไร ? ภิกษุทั้งหลาย ! ความดําริในการออก(จากกาม), ความดําริในการไมพ ยาบาท, ความดาํ ริในการไมเบียดเบียน, นี้เราเรียกวาสัมมาสังกปั ปะ. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! การพูดชอบเปนอยางไรเลา ? ภิกษุท้งั หลาย ! การเวนจากการพูดเท็จ, การเวนจากการพูดยุใหแตกกัน, การเวนจากการพูดหยาบ, การเวนจากการพูดเพอเจอ,นี้เราเรียกวา สัมมาวาจา.
ภิกษุทั้งหลาย ! การงานชอบเปนอยางไร ? ภิกษุทั้งหลาย ! การเวนจากการฆาสัตว, การเวนจากการถือเอาสงิ่ ของทเ่ี จาของไมไดให, การเวน จากการประพฤติผิดในกามท้ังหลาย, นี้เราเรียกวา สัมมากัมมันตะ. ภิกษุท้ังหลาย ! การเลี้ยงชีพชอบเปนอยางไร ? ภิกษุทั้งหลาย ! อรยิ สาวกในศาสนาน้ี ละมิจฉาชีพเสีย สําเร็จความเปนอยูดวยสัมมาชีพ, นี้เราเรยี กวา สมั มาอาชีวะ. ภิกษุทั้งหลาย ! ความเพียรชอบเปนอยางไร ? ภิกษุทง้ั หลาย ! ภกิ ษุในศาสนานี้ ยอ มปลูกความพอใจ ยอมพยายามยอมปรารภความเพียร ยอมประคองจิต ยอมตั้งจิตไวเพ่ือความไมบังเกดิ ขึ้นแหง อกุศลธรรมทงั้ หลายอันลามก ท่ยี งั ไมไดบังเกิด; ยอมปลูกความพอใจ ยอมพยายาม ยอมปรารภความเพียรยอมประคองจิต ยอมต้ังจิตไว เพื่อการละเสียซึ่งอกุศลธรรมท้ังหลายอันลามก ที่บังเกิดข้ึนแลว; ยอมปลูกความพอใจ ยอมพยายาม ยอมปรารภความเพียร ยอมประคองจิต ยอมต้ังจิตไวเพ่ือการบังเกิดข้ึนแหงกุศลธรรมท้ังหลาย ท่ียังไมไดบังเกิด;ยอมปลูกความพอใจ ยอมพยายาม ยอมปรารภความเพียรยอมประคองจิต ยอมต้ังจิตไว เพ่ือความย่ังยืน ความไมเลอะเลือน ความงอกงามยิ่งขึ้น ความไพบูลย ความเจริญความเต็มรอบแหงกุศลธรรมทั้งหลาย ท่ีบังเกิดขึ้นแลว.ภกิ ษทุ ้งั หลาย ! นเ้ี ราเรยี กวา สมั มาวายามะ.
ภิกษุทั้งหลาย ! ความระลึกชอบเปนอยางไร ? ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในศาสนาน้ี เปนผูมีปรกติพิจารณา เห็นกายในกาย อยู, มีความเพียรเปนเคร่ืองเผากิเลส มีความรูสึกตัวท่ัวพรอม มีสติ นําความพอใจและความไมพอใจในโลกออกเสียได;เปนผูปรกติพิจารณา เห็นเวทนาในเวทนาท้ังหลาย อยู, มีความเพียรเปนเครื่องเผากิเลส มีความรูสึกตัวท่ัวพรอม มีสติ นําความพอใจและความไมพอใจในโลกออกเสียได; เปนผูปรกติพิจารณา เห็นจิตในจิต อยู, มีความเพียรเปนเคร่ืองเผากิเลสมีความรูสึกตัวทั่วพรอม มีสติ นําความพอใจและความไมพอใจในโลกออกเสียได; เปนผูปรกติพิจารณา เห็นธรรมในธรรมท้ังหลาย อยู, มีความเพียรเปนเครื่องเผากิเลส มีความรูสึกตัวทั่วพรอม มีสติ นําความพอใจและความไมพอใจในโลกออกเสียได.ภิกษุทงั้ หลาย ! น้เี ราเรยี กวา สมั มาสติ. ภิกษุท้ังหลาย ! ความตั้งใจม่ันชอบเปนอยางไร ? ภิกษุท้ังหลาย ! ภิกษุในศาสนาน้ี เพราะสงัดจากกามท้ังหลายเพราะสงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย ยอมเขาถึง ฌานที่หน่ึงอันมีวิตกวิจาร มีปติและสุข อันเกิดแตวิเวก แลวแลอยู; เพราะวติ กวิจารราํ งับลง, เธอเขา ถงึ ฌานทส่ี อง อันเปน เครอื่ งผองใสแหงใจในภายใน ใหสมาธิเปนธรรมอันเอกผุดขึ้น ไมมีวิตกไมมีวจิ าร มีแตปต แิ ละสุข อนั เกิดแตส มาธิ แลวแลอยู; เพราะปติจางหายไป, เธอเปน ผูเ พงเฉยอยไู ด มสี ติ มคี วามรูสึกตัวท่ัวพรอม
และไดเสวยสุขดวยนามกาย ยอมเขา ถงึ ฌานท่ีสาม อนั เปนฌานท่พี ระอรยิ เจาท้ังหลาย กลา วสรรเสรญิ ผไู ดบรรลุวา “เปนผูเฉยอยไู ด มสี ติ มีความรูสึกตัวท่ัวพรอม” แลวแลอยู; เพราะละสุขและทุกขเสียได และเพราะความดับหายไปแหงโสมนัสและโทมนัสในกาลกอน, เธอยอมเขาถึง ฌานที่ส่ี อันไมทุกขและไมสุข มีแตสติอันบริสุทธิ์ เพราะอุเบกขา แลวแลอยู;ภกิ ษุทัง้ หลาย ! นี้เราเรยี กวา สมั มาสมาธิ. ภิกษุทั้งหลาย ! น้ีเราเรียกวา อริยสัจคือหนทางเปนเคร่ืองใหถึงความดับไมเหลือแหง ทกุ ข.( - มหา.ท.ี ๑๐/๓๔๘/๒๙๙. ) พุทธวจั น
โลกจะไมวางจากพระอรหันต สุภัททะ ! ในธรรมวินัยใด ท่ีไมมีอริยมรรคมีองคแปดสมณะท่ีหน่ึง (พระโสดาบัน) ก็หาไมไดในธรรมวินัยนั้น ; แมสมณะที่สอง (พระสกทาคามี) ก็หาไมได ; แมสมณะที่สาม(พระอนาคามี) ก็หาไมได ; แมสมณะท่ีสี่ (พระอรหันต) ก็หาไมไดใ นธรรมวินยั นัน้ . สุภัททะ ! ในธรรมวินัยน้ีแล ท่ีมีอริยมรรคมีองคแปดสมณะท่ีหน่ึง ก็หาไดในธรรมวินัยนี้ ; แมสมณะที่สอง ก็หาได ;แมส มณะทส่ี าม กห็ าได ; แมส มณะทีส่ ี่ กห็ าไดในธรรมวนิ ยั นี.้ สุภทั ทะ ! ถาภิกษทุ ัง้ หลายเหลานี้ จะพึงอยูโดยชอบไซรโลกกจ็ ะไมวางจากพระอรหนั ตทง้ั หลาย แล.( บาลี พระพุทธภาษติ มหาปรินพิ พานสตู ร มหา.ท.ี ๑๐/๑๗๕/๑๓๘, พทุ ธวจั นตรสั แกสภุ ัททปริพพาชก ทสี่ าลวนั แหงเมอื งกุสนิ ารา ณ ราตรที ป่ี รินพิ พาน. )
ความเหมอื นและความแตกตางระหวา งสมั มาสัมพุทธะกับปญ ญาวิมุตตภิกษทุ ้ังหลาย ! ตถาคตผูอรหนั ตสัมมาสัมพุทธะ หลุดพนแลวจากรูปเพราะความเบื่อหนาย ความคลายกําหนัด ความดับและความไมยึดมั่น จึงไดนามวา“สัมมาสัมพุทธะ”.ภิกษุท้ังหลาย!แมภ กิ ษผุ ูปญญาวิมุตต ก็หลุดพนแลวจากรูป เพราะความเบ่ือหนาย ความคลายกําหนัด ความดับ และความไมยึดมั่น จึงไดนามวา“ปญญาวิมุตต” (ในกรณีแหง เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณกไ็ ดตรสั ไว มีขอ ความแสดงหลกั เกณฑอยา งเดยี วกันกับในกรณแี หง รปู ทีก่ ลาวแลว ) ภิกษุท้ังหลาย ! เม่ือเปนผูหลุดพนจากรูปเปนตน ดวยกันทั้งสองพวกแลว , อะไรเปนความผิดแผกแตกตางกัน อะไรเปนความมุงหมายที่แตกตางกัน อะไรเปนเครื่องกระทําใหแตกตางกันระหวางตถาคตผูอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธะ กบั ภกิ ษุผปู ญ ญาวมิ ตุ ต ? ภิกษุทั้งหลาย ! ตถาคตผูอรหันตสัมมาสัมพุทธะ ไดทํามรรคทีย่ งั ไมเกดิ ใหเ กดิ ขึ้น, ไดทํามรรคที่ยังไมมีใครรู ใหมีคนรู,ไดทาํ มรรคทย่ี งั ไมม ใี ครกลาว ใหเปน มรรคทีก่ ลา วกนั แลว, ตถาคตเปน มัคคัญู(รูมรรค), เปนมัคควิทู(รูแจงมรรค), เปนมัคคโกวิโท(ฉลาดในมรรค); ภกิ ษุท้งั หลาย ! สว นสาวกทงั้ หลายในกาลนี้เปนมคั คานคุ า(ผเู ดินตามมรรค) เปนผูตามมาในภายหลัง.ภิกษุท้ังหลาย ! นี้แล เปนความผิดแผกแตกตางกัน เปนความมงุ หมายที่แตกตางกัน เปน เครอื่ งกระทาํ ใหแ ตกตางกันระหวางตถาคตผอู รหนั ตสัมมาสัมพุทธะ กบั ภกิ ษุผปู ญญาวิมุตต.( - ขนฺธ. ส˚. ๑๗/๘๑/๑๒๕. ) พุทธวจั น
ไมไ ดทรงประพฤตพิ รหมจรรย เพ่ือใหเขานับถอื ภิกษุท้ังหลาย ! พรหมจรรยน้ี เราประพฤติมิใชเพ่ือหลอกลวงคนใหนับถือ มิใชเพ่ือเรียกคนมาเปนบริวาร มิใชเพื่ออานิสงสเปนลาภสักการะ และเสียงสรรเสริญ มิใชเพ่ืออานิสงสจะไดเปนเจาลัทธิ หรือเพื่อคานลัทธิอ่ืนใดใหลมลงไปและมิใชเพ่ือใหมหาชนเขา ใจวา เราไดเปนผูวิเศษอยางน้ันอยางน้ีกห็ ามิได. ภิกษุท้ังหลาย ! ที่แท พรหมจรรยนี้ เราประพฤติเพื่อสํารวม เพื่อละ เพื่อคลายกําหนดั เพือ่ ดบั สนิทซึ่งทุกข แล.( บาลี จตุกกฺ . อ˚. ๒๑/๓๓/๒๕, ตรสั แกภ ิกษทุ งั้ หลาย. ) พทุ ธวจั น
ทรงสอนเฉพาะแตเ รื่องทกุ ข กบั ความดบั สนทิ ของทุกข ภิกษุท้ังหลาย ! ท้ังท่ีเรามีถอยคําอยางน้ี มีการกลาวอยางน้ีสมณะและพราหมณบางพวก ยังกลาวตูเราดวยคําเท็จเปลาๆปลี้ๆ ไมมีจริงใหเปนจริงวา “พระสมณโคดมเปนคนจูงคนใหเดินผิดทาง ไปสูความฉิบหาย ยอมบัญญัติลัทธิความสูญเปลาความวินาศ ความไมมีของสัตว คน ตัวตน เราเขา ข้ึนสั่งสอน”ดังน้ี. ภิกษุทั้งหลาย ! สมณะและพราหมณบางพวกเหลาน้ันกลาวตูเราดวยคําเท็จ เปลาๆปล้ีๆ ไมมีจริงใหเปนจริง โดยประการทเี่ ราไมไดก ลา ว หรอื จะกลาวอยางนนั้ ก็หามไิ ด. ภิกษุท้ังหลาย ! ในกาลกอนก็ตาม ในกาลบัดน้ีก็ตามเราบัญญัติสอนแตเร่ืองความทุกข และความดับสนิทไมมีเหลือของความทกุ ข เทา นัน้ . ภิกษุทั้งหลาย ! ในการกลา วแตเ รอ่ื งความทุกข และความดับสนิทไมมีเหลือของความทุกขเชนนี้ แมจะมีใครมาดาวา ถากถางกระทบกระเทียบ เสียดสี, ตถาคตก็ไมมีความขุนแคน โกรธเคืองเดือดรอนใจ เพราะเหตุน้ันแตประการใด. ภิกษุทั้งหลาย ! ในเร่ืองเดียวกันนั้นเอง แมจะมีใครมาสักการะ เคารพ สรรเสริญบูชา, ตถาคตก็ไมมีความรูสึกเพลิดเพลิน ชื่นชม หรือเคล้ิมใจไปตาม. ถา มีใครมาสักการะ เคารพ สรรเสริญ บูชา, ตถาคตยอมมีความคิดอยางนี้วา กอนหนาน้ีเรามีความรูสึกตัวท่ัวถึงอยางไรบัดนี้เราก็ตองทาํ ความรูสกึ ตวั ทั่วถึงอยา งนั้น ดังนี้.(บาลี อลคทั ทปู มสูตร ม.ู ม. ๑๒/๒๗๘/๒๘๖, ตรัสแกภกิ ษทุ ง้ั หลายทเ่ี ชตวนั ) พทุ ธวจั น
คาํ ของพระองค ตรงเปน อันเดยี วกนั หมด ภิกษุท้ังหลาย ! นบั ตงั้ แตราตรี ทีต่ ถาคตไดต รัสรูอ นุตตร-สัมมาสัมโพธิญาณ จนกระท่ังถึงราตรี ท่ีตถาคตปรินิพพานดวยอนุปาทเิ สสนพิ พานธาตุ, ตลอดเวลาระหวางนัน้ ตถาคตไดกลา วสอน พรํ่าสอน แสดงออกซึ่งถอยคําใด; ถอยคําเหลานั้นทง้ั หมด ยอมเขากันไดโ ดยประการเดยี วท้ังสิ้น ไมแยงกันเปนประการอื่นเลย. ภิกษุทั้งหลาย ! (อนึ่ง) ตถาคตกลาวอยางใด ทําอยางน้ัน,ทําอยางใด กลาวอยา งนน้ั .( บาลี อิตวิ .ุ ข.ุ ๒๕/๓๒๑/๒๙๓, ตรสั แกภ ิกษทุ ้ังหลาย. ) พุทธวัจน
หลกั ท่ีทรงใชในการตรัส ( ๖ อยาง ) ราชกุมาร ! (๑) ตถาคตรูชัดซึง่ วาจาใด อันไมจริง ไมแทไมประกอบดวยประโยชน และไมเ ปนท่รี ักท่ีพึงใจของผูอน่ืตถาคตยอ มไมก ลา ววาจานัน้ . (๒) ตถาคตรูช ดั ซงึ่ วาจาใด อันจรงิ อันแทแตไ มประกอบดวยประโยชน และไมเ ปน ทรี่ ักท่พี ึงใจของผอู ่ืนตถาคตยอมไมก ลา ววาจานน้ั . (๓) ตถาคตรชู ดั ซ่ึงวาจาใด อันจรงิ อนั แทอนั ประกอบดว ยประโยชน แตไมเปนท่รี กั ท่พี ึงใจของผอู ื่นตถาคตยอ มเลอื กใหเหมาะกาล เพอ่ื กลา ววาจานน้ั . (๔) ตถาคตรูชดั ซึ่งวาจาใด อนั ไมจ รงิ ไมแ ทไมประกอบดว ยประโยชน แตเ ปนทรี่ กั ที่พงึ ใจของผอู ืน่ตถาคตยอมไมกลา ววาจานั้น. (๕) ตถาคตรูช ดั ซ่ึงวาจาใด อันจริง อันแทแตไ มป ระกอบดวยประโยชน แมเปนทร่ี ักทพี่ งึ ใจของผูอ ื่นตถาคตยอ มไมกลา ววาจานัน้ . (๖) ตถาคตรชู ดั ซ่ึงวาจาใด อนั จรงิ อนั แทอนั ประกอบดว ยประโยชน และเปนทร่ี ักท่ีพงึ ใจของผูอื่นตถาคตยอ มเปน ผรู ูจกั กาละท่เี หมาะสม เพ่อื กลา ววาจานนั้ . ขอนีเ้ พราะเหตไุ รเลา ? ราชกมุ าร ! เพราะตถาคตมีความเอน็ ดใู นสตั วทั้งหลาย.( บาลี ม.ม. ๑๓/๙๑/๙๔, ตรสั แกอภยราชกมุ าร ทเ่ี วฬุวนั . ) พทุ ธวจั น
สิง่ ทตี่ รัสรูแตไมท รงนํามาสอน มีมากกวา ที่ทรงนาํ มาสอนมากนัก พระผมู ีพระภาคเจาทรงกําใบไมสีสปา ท่ีรวงอยูตามพ้ืนดินข้ึนมาหนอยหน่ึงแลวตรัสแกภิกษทุ ัง้ หลายวา : ภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลายเขาใจวาอยางไร, ใบไมสีสปาที่เรากําข้ึนหนอยหนึ่งน้ีมาก หรือวาใบไมสีสปาที่ยังอยูบนตนเหลาน้ันมีมาก ? “ขา แตพระองคผเู จริญ ! ใบไมท ่พี ระผมู ีพระภาคทรงกําข้ึนหนอยหนึ่งนั้นเปนของนอย สวนใบไมท่ียังอยูบนตนสีสปาเหลาน้นั ยอมมมี าก” ภิกษุทั้งหลาย ! ฉันใดก็ฉันนั้น ธรรมะสวนที่เรารูยิ่งดวยปญ ญาอันยง่ิ แลว ไมก ลาวสอนนน้ั มีมากกวา สวนท่ีนํามาสอน.ภิกษุทั้งหลาย ! เหตุไรเลา เราจึงไมกลาวสอนธรรมะสวนนั้นๆ ?ภิกษุท้ังหลาย ! เพราะเหตวุ า ธรรมะสวนนั้นๆ ไมประกอบอยูดว ยประโยชน ไมเปนเง่ือนตนแหงพรหมจรรย, ไมเปนไปเพื่อความหนาย ไมเปนไปเพื่อความคลายกําหนัด ไมเปนไปเพอ่ื ความดับ ไมเ ปนไปเพ่ือความสงบ ไมเปนไปเพ่ือความรูยิ่ง ไมเปนเพ่ือความรูพรอม ไมเปนไปเพื่อนิพพาน, ฉะน้ันเราจงึ ไมกลาวสอน.
ภิกษทุ ้งั หลาย ! ธรรมะอะไรเลาเปนธรรมะทีเ่ รากลาวสอน ?ภิกษุท้ังหลาย ! ธรรมะท่ีเรากลาวสอน คือขอท่ีวา ความทุกขเปนอยางน้ีๆ, เหตุเปนท่ีเกิดของความทุกขเปนอยางนี้ๆ,ความดับสนิทของความทุกขเปนอยางน้ีๆ, ขอปฏิบัติเพ่ือถึงความดบั สนทิ ของความทุกขเปนอยางน้ีๆ. ภิกษุทั้งหลาย !เพราะเหตุไรเลา ธรรมะสวนน้ีเราจึงนํามากลาวสอน ? ภิกษุท้ังหลาย ! เพราะวาธรรมะสวนน้ี ประกอบอยูดวยประโยชนเปน เงื่อนตน แหงพรหมจรรย เปน ไปเพ่ือความหนาย เปนไปเพอ่ื ความคลายกําหนดั เปนไปเพ่ือความดบั เปน ไปเพ่ือความสงบ เปน ไปเพ่ือความรูย่ิง เปน ไปเพ่ือความรูพรอม เปนไปเพ่ือนิพพาน, เพราะเหตนุ ้ันแล เราจงึ นาํ มากลา วสอน.( บาลี มหาวาร. ส˚. ๑๙/๕๔๘/๑๗๑๒, พทุ ธวัจนตรสั แกภกิ ษทุ ้งั หลาย ทป่ี าไมส สี ปา ใกลเ มืองโกสัมพี )
ถา มัวรอใหรูเร่อื งทไ่ี มจําเปน เสียกอ น กต็ ายเปลา มาลงุ กยะบุตร ! เปรียบเหมือนบรุ ุษผหู นง่ึ ถูกลกู ศรอันกําซาบดวยยาพษิ อยางแรงกลา, มิตร อมาตย ญาติสาโลหติจัดการเรียกแพทยผาตัดผูชํานาญ. บุรุษอยางนั้นกลาวอยางนี้วาถาเรายงั ไมรจู ักตัวบุรุษผูยิงเราวาเปนกษัตริย พราหมณ เวสสศูทร ช่ือไร โคตรไหน ฯลฯ, ธนูที่ใชยิงนั้นเปนชนิดหนาไมหรือเกาทณั ฑ ฯลฯ เสียกอนแลว, เรายังไมตอ งการจะถอนลูกศรอยูเพียงนั้น. มาลุงกยะบุตร ! เขาไมอาจรูขอความท่ีเขาอยากรูนั้นไดเลย ตองตายเปน แท ! อุปมาน้ีฉันใด ; อุปไมยก็ฉันน้ันเหมือนกัน, บุคคลผูน้ันกลาววา เราจักยังไมประพฤติพรหมจรรยในสํานักของพระผูมีพระภาคเจา จนกวาพระองคจักแกปญหาทิฐิสิบประการแกเ ราเสียกอน, และตถาคตก็ไมพยากรณปญหานั้นแกเขา เขาก็ตายเปลา โดยแท. มาลุงกยะบุตร ! ทานจงรูซึ่งส่ิงท่ีเราไมพยากรณไว โดยความเปนส่ิงท่ีเราไมพยากรณ, รูซึ่งสิ่งท่ีเราพยากรณไว โดยความเปนส่ิงท่ีเราพยากรณ, อะไรเลาที่เราไมพยากรณ ? คือความเห็นสิบประการวา โลกเท่ียง โลกไมเที่ยง โลกมีที่สิ้นสุดโลกไมมที สี่ นิ้ สดุ ฯลฯ (เปน ตน ), เปน ส่ิงที่เราไมพ ยากรณ.
มาลุงกยะบตุ ร ! อะไรเลาทีเ่ ราพยากรณ ? คือสจั จะวา“ นเ้ี ปนทุกข, นี้เปนเหตุใหเกิดทุกข, นี้เปนความดับไมเหลือของทกุ ข, และนี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของทกุ ข ” ดงั น้ี : น้ีเปน สิง่ ที่เราพยากรณ. เหตุใดเราจึงพยากรณเลา ? เพราะส่ิงๆนี้ ยอมประกอบอยูดวยประโยชน เปนเงื่อนตนของพรหมจรรย เปนไปพรอมเพ่ือความหนายทุกข ความคลายกําหนัด ความดับ ความราํ งบั ความรยู ่ิง ความรูพ รอม และนิพพาน.( - ม. ม. ๑๓/๑๔๗, ๑๕๑/๑๔๙-๑๕๐, ๑๕๒. ) พทุ ธวจั น
คําสอนที่ทรงสั่งสอนบอ ยมาก “พระโคดมผเู จรญิ ทรงนําสาวกทงั้ หลายไปอยา งไร ? อนึ่งอนสุ าสนีของพระโคดมผูเ จริญ ยอ มเปนไปในสาวกทง้ั หลาย สวนมาก มสี วนแหงการจําแนกอยางไร ?” อัคคิเวสสนะ ! เรายอมนําสาวกทั้งหลายไปอยางน้ี, อน่ึงอนุสาสนีของเรา ยอมเปน ไปในสาวกท้ังหลาย สวนมาก มีสวนแหงการจําแนกอยา งนีว้ า : “ภิกษุท้ังหลาย ! รูปไมเที่ยง เวทนาไมเที่ยง สัญญาไมเท่ยี ง สังขารไมเท่ียง วิญญาณไมเท่ียง. ภิกษุท้ังหลาย !รูปไมใชตัวตน เวทนาไมใชตัวตน สัญญาไมใชตัวตนสังขารไมใชตัวตน วิญญาณไมใชตัวตน. สังขารท้ังหลายท้ังปวงไมเ ที่ยง; ธรรมท้งั หลายทง้ั ปวงไมใ ชตัวตน.” ดังน้ี อัคคิเวสสนะ ! เรายอมนําสาวกท้ังหลายไปอยางนี้, อนึ่งอนุสาสนีของเรา ยอ มเปน ไปในสาวกทง้ั หลาย สวนมาก มีสวนแหงการจําแนกอยา งนี,้ ดังน้ี( บาลี จูฬสัจจกสูตร มู.ม. ๑๒/๔๒๖/๓๙๖, พทุ ธวจั นตรัสแกส จั จกนิครนถบตุ ร ทีก่ ฏู าคารศาลา ปา มหาวัน ใกลเมืองเวสาลี )
ลาํ ดับการหลดุ พน เมอ่ื เหน็ ไตรลักษณ ภิกษุทั้งหลาย ! รูปเปนสิ่งที่ไมเที่ยง, ส่ิงใดไมเท่ียง ส่ิงน้ันเปน ทุกข, สง่ิ ใดเปนทุกข ส่งิ นน้ั เปน อนัตตา, สงิ่ ใดเปนอนัตตาส่ิงน้ัน น่ันไมใชของเรา ไมใชเปนเรา ไมใชตัวตนของเรา :เธอทั้งหลายพึงเห็นขอนั้นดวยปญญาโดยชอบ ตรงตามท่ีเปนจริงอยางน้ี ดวยประการดังน้ี. ( ในกรณีแหง เวทนา สัญญา สังขาร และวญิ ญาณ กต็ รสั อยา งเดียวกนั กับในกรณีแหงรูป ทกุ ประการ ). ภิกษุท้ังหลาย ! เมื่อบุคคลเห็นขอน้ัน ดวยปญญาโดยชอบตรงตามท่เี ปน จริงอยางน้ี, ปุพพันตานุทิฏฐิ* ท้ังหลาย ยอมไมมี;เมื่อปุพพันตานุทิฏฐิไมมี, อปรันตานุทิฏฐิ ** ทั้งหลาย ยอมไมมี;เม่ืออปรันตานุทิฏฐิไมมี, ความยึดม่ันลูบคลําอยางแรงกลายอมไมมี; เมื่อความยึดม่ันลูบคลําอยางแรงกลาไมมี, จิตยอมจางคลายกําหนดั ในรูป ในเวทนา ในสญั ญา ในสงั ขาร ในวิญญาณ;ยอ มหลดุ พน จากอาสวะท้ังหลาย เพราะไมมีความยดึ ม่ันถอื ม่นั . เพราะจติ หลุดพนแลว จติ จงึ ดาํ รงอยู ; เพราะเปนจติ ท่ดี ํารงอยู จิตจงึ ยนิ ดีราเริงดว ยดี ; เพราะเปนจิตทยี่ ินดีราเริงดวยดี จิตจึงไมหวาดสะดงุ ; เมอ่ื ไมหวาดสะดุง ยอมปรนิ ิพพานเฉพาะตน นน่ั เทยี ว.เธอน้ันยอมรูชัดวา “ชาตินี้สิ้นแลว พรหมจรรยไดอยูจบแลว, กิจที่ควรทํา ไดทําเสร็จแลว, กิจอื่นท่ีจะตองทําเพ่ือความเปนอยางนี้ มิไดมอี กี ” ดงั นี้.( - ขนฺธ. ส˚. ๑๗/๕๗/๙๓. ) พทุ ธวจั น*ความเห็นท่ปี รารภขนั ธใ นเบือ้ งตน หรอื ความเห็นที่เปน ไปในสว นของอดตี**ความเหน็ ท่ีปรารภขันธในเบ้อื งปลาย หรือความเหน็ ทเ่ี ปนไปในสวนของอนาคต
ผไู มเ ขา ไปหา ยอมหลดุ พน ภิกษุท้ังหลาย ! ผูเขาไปหา เปนผูไมหลุดพน; ผูไมเขาไปหาเปนผูหลุดพน . ภิกษุทั้งหลาย ! วิญญาณซ่ึงเขาถือเอารูปตั้งอยู ก็ต้ังอยูได,เปนวิญญาณที่มีรูปเปนอารมณ มีรูปเปนท่ีต้ังอาศัย มีนันทิเปนทีเ่ ขา ไปสองเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลยได;ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! วญิ ญาณซึ่งเขา ถือเอาเวทนาต้ังอยู ก็ตั้งอยูได,เปนวิญญาณท่ีมีเวทนาเปนอารมณ มีเวทนาเปนท่ีตั้งอาศัย มีนันทิเปนที่เขา ไปสอ งเสพ กถ็ งึ ความเจรญิ งอกงาม ไพบูลยได;ภิกษุทั้งหลาย ! วิญญาณซ่ึงเขาถือเอาสัญญาตั้งอยู ก็ตั้งอยูได,เปนวิญญาณท่ีมีสัญญาเปนอารมณ มีสัญญาเปนที่ตั้งอาศัย มีนนั ทิเปนทเี่ ขา ไปสอ งเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลยได;ภิกษุท้ังหลาย ! วิญญาณซึ่งเขาถือเอาสังขารตั้งอยู ก็ตั้งอยูได,เปน วญิ ญาณที่มสี ังขารเปน อารมณ มีสังขารเปนท่ีต้ังอาศัย มีนันทิเปน ที่เขา ไปสองเสพ กถ็ ึงความเจรญิ งอกงาม ไพบูลยได. ภิกษุทงั้ หลาย ! ผูใดจะพึงกลาวอยางน้ีวา “เราจักบัญญัติซง่ึ การมา การไป การจุติ การอุบัติ ความเจริญ ความงอกงามและความไพบูลยของวิญญาณ โดยเวนจากรูป เวนจากเวทนาเวนจากสัญญา และเวนจากสังขาร” ดังนี้น้ัน, นี่ไมใชฐานะท่ีจักมีไดเ ลย.
ภิกษทุ ้งั หลาย ! ถา ราคะในรูปธาตุ ในเวทนาธาตุ ในสัญญาธาตุ ในสังขารธาตุ ในวิญญาณธาตุ เปนสงิ่ ที่ภิกษุละไดแลว ; เพราะละราคะได อารมณส ําหรบั วิญญาณกข็ าดลง ทต่ี ง้ั ของวญิ ญาณกไ็ มม ,ี วิญญาณอนั ไมม ที ่ีต้ังนั้นก็ไมง อกงาม หลุดพน ไปเพราะไมถูกปรงุ แตง , เพราะหลดุ พน ไปก็ตง้ั มน่ั , เพราะต้งั มน่ั ก็ยินดีในตนเอง, เพราะยินดใี นตนเองก็ไมหวั่นไหว, เมือ่ ไมหวั่นไหวกป็ รนิ ิพพานเฉพาะตน. ยอ มรูช ัดวา “ชาตินี้สน้ิ แลว พรหมจรรยไดอยูจบแลว,กจิ ทีค่ วรทํา ไดทําเสรจ็ แลว, กิจอ่ืนที่จะตองทํา เพ่ือความเปนอยางน้ี มไิ ดมอี กี ” ดงั นี้.( - ขนธฺ . ส˚. ๑๗/๖๖/๑๐๕. ) พทุ ธวจั น
มนุษยเ ปน อันมาก ไดย ึดถอื เอาทพี่ ึ่งผดิ ๆ มนุษยท้ังหลายเปนอันมาก ถูกความกลัวคุกคามเอาแลวยอมถอื เอาภเู ขาบา ง ปาไมท่ีศักด์ิสิทธ์ิบาง สวนศักดิ์สิทธ์ิบางรุกขเจดียบาง วาเปนที่พ่ึงของตนๆ: น่ันไมใชท่ีพ่ึงอันทําความเกษมใหไดเลย, น่ันไมใชที่พ่ึงอันสูงสุด; ผูใดถือเอาส่ิงน้ันๆเปนทีพ่ ึง่ แลว ยอมไมหลุดพนไปจากทุกขท ้ังปวงได สวนผูใดที่ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ เปนท่ีพึ่งแลวเห็นอริยสัจท้ังส่ีดวยปญญาอันถูกตอง คือ เห็นทุกข,เห็นเหตุเปนเคร่ืองใหเกิดขึ้นของทุกข, เห็นความกาวลวงเสียไดซึ่งทุกข, และเห็นมรรคประกอบดวยองคแปดอันประเสริฐ ซ่ึงเปนเคร่ืองใหถึงความเขาไปสงบรํางับแหงทุกข: น่ันแหละคือท่ีพ่ึงอันเกษม, น่ันคือที่พึ่งอันสูงสุด, ผูใดถือเอาท่ีพึ่งน้ันแลวยอ มหลดุ พน ไปจากทุกขท ้ังปวง ไดแท.( - ธ. ขุ. ๒๕/๔๐/๒๔. ) พทุ ธวจั น
จงเจริญสมาธิ จักรูอริยสัจตามเปนจรงิ ภิกษุท้ังหลาย ! พวกเธอท้ังหลาย จงเจริญสมาธิเถิด.ภิกษุท้ังหลาย ! ภิกษุผูมีจิตเปนสมาธิแลว ยอมรูไดตามเปนจริง.รไู ดต ามเปน จริงซึง่ อะไรเลา ? รูไดตามเปนจริงซ่ึงความจริงอันประเสริฐวา “นี้เปนทุกข, นี้เปนเหตุใหเกิดทุกข, นี้เปนความดบั ไมเหลือของทุกข, และน้ีเปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของทุกข ” ดังนี้. ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอทั้งหลาย จงเจริญสมาธเิ ถดิ . ภิกษุท้ังหลาย ! ภิกษุผูมีจิตเปนสมาธิแลว ยอมรูไดต ามเปนจรงิ . ภิกษทุ ัง้ หลาย ! เพราะเหตุนนั้ ในกรณนี ี้ พวกเธอพึงทําความเพียรเพ่ือใหรูตามเปนจริงวา “น้ีเปนทุกข, น้ีเปนเหตุใหเกิดของทุกข, น้ีเปนความดับไมเหลือของทุกข, นี้เปนทางดําเนินใหถ ึงความดบั ไมเหลือของทกุ ข; ” ดังน้ีเถดิ .( - มหาวาร. ส˚. ๑๙/๕๒๐/๑๖๕๔. ) พทุ ธวจั น
ทรงมหี ลกั เกณฑก ารฝก ตามลาํ ดับ (อยางยอ) ดูกอนพราหมณ ! ในธรรมวินัยน้ี เราสามารถบัญญัติกฎเกณฑแหงการศึกษาตามลําดับ การกระทําตามลําดับ และการปฏบิ ัติตามลําดบั ไดเหมอื นกัน. พราหมณ ! เปรียบเหมือนผูชํานาญการฝกมา ไดมาชนิดท่ีอาจฝกไดมาแลว ในขั้นแรกยอมฝกใหรูจักการรับสวมบังเหียนกอน แลวจึงคอยฝกอยางอ่ืนๆใหยิ่งข้ึนไป ฉันใด; พราหมณเอย !ตถาคตคร้ันไดบุรุษท่ีพอฝกไดมาแลว ในขั้นแรกยอมแนะนําอยางน้ีกอนวา “มาเถิดภิกษุ ! ทานจงเปนผูมีศีล สํารวมดวยดีในปาติโมกข ถึงพรอมดวยมรรยาทและโคจร มีปรกติเห็นเปนภัยแมในโทษที่เล็กนอย จงสมาทานศึกษาในสิกขาบททั้งหลายเถิด”ดงั นี.้ พราหมณ ! ในกาลใด ภิกษุนั้น เปนผูมีศีล (เชนท่ีกลาวน้ัน)ดแี ลว ตถาคตยอมแนะนําใหย่ิงข้ึนไปอีกวา “มาเถิดภิกษุ ! ทานจงเปน ผูสํารวมในอินทรียท ้ังหลาย: ไดเ หน็ รูปดวยตาแลว จักไมถอื เอาโดยนมิ ติ (คอื รวบถือทงั้ หมด วา งามหรือไมงามแลวแตกรณี)จักไมถือเอาโดยอนุพยัญชนะ (คือแยกถือเอาแตบางสวน วาสวนใดงามหรือไมงามแลวแตกรณี), บาปอกุศล กลาวคืออภิชฌาและโทมนัส มักไหลไปตามอารมณ เพราะการไมสํารวมจักขุอินทรียใดเปนเหตุ เราจักสํารวมอินทรียน้ันไว เปนผูรักษา
สํารวมจักขุอินทรีย,” ดังนี้. (ในกรณี โสตินทรียคือหู ฆานินทรียคือจมูกชวิ หาอนิ ทรยี คือลน้ิ กายนิ ทรยี ค อื กาย และมนินทรยี ค ือใจ ก็มีขอ ความนยั เดยี วกัน ) พราหมณ ! ในกาลใด ภิกษนุ ้นั เปนผสู าํ รวมอนิ ทรีย (เชนที่กลาวน้ัน) ดีแลว ตถาคตยอมแนะนําใหย่ิงขึ้นไปอีกวา “มาเถิดภิกษุ ! ทานจงเปนผูรูประมาณในโภชนะอยูเสมอ จงพิจารณาโดยแยบคายแลวจงึ ฉัน ไมฉ นั เพ่ือเลน เพ่ือมัวเมา เพ่ือประดับตกแตง, แตฉันเพียงเพื่อใหกายนี้ต้ังอยูได เพ่ือใหชีวิตเปนไป เพื่อปองกนั ความลําบาก เพ่ืออนุเคราะหพรหมจรรย, โดยคิดวา เราจกั กาํ จดั เวทนาเกา(คือหิว)เสยี แลว ไมทําเวทนาใหม(คืออิ่มจนอึดอัด)ใหเกิดข้ึน, ความท่ีอายุดําเนินไปได ความไมมีโทษเพราะอาหาร และความอยผู าสุกสาํ ราญจกั มแี กเ รา” ดงั นี้. พราหมณ ! ในกาลใด ภิกษุน้ัน เปนผูรูประมาณในโภชนะ(เชนท่ีกลาวน้ัน) ดีแลว ตถาคตยอมแนะนําใหยิ่งขึ้นไปอีกวา“มาเถิดภิกษุ ! ทานจงประกอบความเพียรในธรรมเปนเครื่องตน่ื (ไมห ลับ ไมงวง ไมม นึ ชา). จงชําระจิตใจใหหมดจดส้ินเชิงจากอาวรณิยธรรมทั้งหลาย ดวยการเดิน การน่ัง ตลอดวันยันค่ําไปจนสิ้นยามแรกแหง ราตรี. คร้ันยามกลางแหงราตรี สําเร็จการนอนอยางราชสหี (คือตะแคงขวา เทาเหลื่อมเทา) มีสติสัมปชัญญะในการลุกขึ้น. คร้ันถึงยามทายแหงราตรี ลุกข้ึนแลว ชําระจิตใจใหหมดจดจากอาวรณิยธรรม ดวยการเดิน การนง่ั อีกตอไป” ดังนี้. พราหมณ ! ในกาลใด ภิกษุนั้น เปนผูประกอบความเพียรในธรรมเปนเครือ่ งตน่ื (เชนทีก่ ลา วนนั้ )ดแี ลว ตถาคตยอ มแนะนํา
ใหย ่ิงขน้ึ ไปอกี วา “มาเถิดภิกษุ ! ทานจงเปน ผูประกอบพรอ มดว ยสติสมั ปชัญญะ รตู วั รอบคอบในการกา วไปขา งหนา การถอยกลับไปขางหลัง, การแลดู การเหลียวดู, การคู การเหยียด,การทรงสงั ฆาฏิ บาตร จีวร, การฉัน การด่ืม การเค้ียว การลิ้ม,การถายอจุ จาระ ปส สาวะ, การไป การหยุด, การนั่ง การนอน,การหลบั การตื่น, การพดู การนิง่ ” ดังน.้ี พราหมณ ! ในกาลใด ภิกษุน้ัน เปนผูประกอบดวยสติสัมปชัญญะ(เชนท่ีกลาวนั้น)ดีแลว ตถาคตยอมแนะนําใหย่ิงขึ้นไปอีกวา “มาเถิดภิกษุ ! ทานจงเสพเสนาสนะอันสงัดคือปาละเมาะ โคนตนไม ภูเขา ซอกหวย ทองถํ้า ปาชา ปาชัฏท่ีแจง ลอมฟาง(อยางใดอยางหน่ึง). ในกาลเปนปจฉาภัตตกลับจากบิณฑบาตแลว นั่งคูบัลลังกต้ังกายตรงดํารงสติเฉพาะหนา, ละ อภิชฌาในโลก มีจิตปราศจากอภิชฌา คอยชําระจิตจากอภิชฌา; ละพยาบาท มีจิตปราศจากพยาบาท เปนผูกรุณา มีจิตหวังความเก้ือกูลในสัตวทั้งหลาย คอยชําระจิตจากพยาบาท; ละ ถีนะมิทธะ มุงอยูแตความสวางในใจ มีจิตปราศจากถีนะมิทธะ มีสติสัมปชัญญะรูสึกตัว คอยชําระจิตจากถีนะมิทธะ; ละ อุทธัจจะกุกกุจจะ ไมฟุงซาน มีจิตสงบอยูภายใน คอยชําระจิตจากอุทธัจจะกุกกุจจะ; ละ วิจิกิจฉา ขามลวงวิจิกิจฉาเสียได ไมตองกลาววา ‘น่ีอะไร น่ีอยางไร’ ในกุศลธรรมท้ังหลาย(เพราะความสงสัย) คอยชําระจิตจากวิจิกิจฉา”ดงั น.ี้
ภกิ ษนุ นั้ ครัน้ ละนิวรณห าประการ อันเปนเครอื่ งเศราหมองของจิต ทําปญญาใหถอยจากกําลงั เหลานี้ จึงบรรลุฌานที่หนึ่งมวี ติ กวิจาร มปี ตแิ ละสขุ อนั เกิดแตวเิ วก แลวแลอย;ู เพราะสงบวติ กวจิ ารเสยี ได จึงบรรลุฌานทีส่ อง เปน เครอื่ งผอ งใสแหงใจในภายใน เปนทีเ่ กิดสมาธแิ หงใจ ไมม วี ิตกไมมวี ิจาร มแี ตป ติและสุขอันเกดิ แตส มาธิ แลว แลอย;ู เพราะความจางหายไปแหงปติ ยอ มอยูอุเบกขา มสี ติสัมปชญั ญะ เสวยสุขดว ยนามกายบรรลุฌานทส่ี าม อันเปน ฌานทพี่ ระอรยิ เจา กลา ววาผูไดฌานน้ี“เปน ผอู ยูอเุ บกขา มีสติอยูเปนสุข” แลวแลอย;ู และเพราะละสขุ และทุกขเสียได เพราะความดบั หายไปแหง โสมนัสและโทมนสัในกาลกอ น จงึ ไดบ รรลุฌานทสี่ ่ี อนั ไมท ุกขไ มสขุ มแี ตความทมี่ ีสตเิ ปนธรรมชาตบิ รสิ ุทธิ์ เพราะอุเบกขา แลว แลอยู. พราหมณเอย ! ภิกษุเหลาใดท่ียังเปนเสขะ(คือยังตองทําตอไป) ยังไมบรรลุอรหัตตมรรค ยังปรารถนานิพพานอันเปนที่เกษมจากโยคะ ไมม อี ื่นย่ิงไปกวา อย,ู คาํ สอนทีก่ ลาวมานี้แหละเปนคําสอนสําหรับภิกษุท้ังหลายเหลานั้น. สวนภิกษุเหลาใดเปนอรหันตสิน้ อาสวะแลว จบพรหมจรรยแลว, ธรรมทั้งหลาย(ในคําสอน)เหลาน้ี เปนไปเพ่ือความอยูเปนสุขในปจจุบันและเพ่อื สติสมั ปชญั ญะแกภ กิ ษทุ ั้งหลายเหลาน้ีดวย.( บาลี คณกโมคคลั ลานสตู ร อปุ ร.ิ ม. ๑๔/๘๒/๙๔, พทุ ธวจั นตรัสแกพราหมณช อ่ื คณกโมคคลั ลานะ ที่บพุ พาราม ใกลก รงุ สาวตั ถ.ี )
ทรงเปนพ่เี ลี้ยงใหแ กสาวกชั่วระยะจาํ เปน ภิกษุทงั้ หลาย ! เปรียบเหมือนเด็กที่ยังออน ยังไดแตนอนหงาย เม่ือพี่เล้ียงเผลอ ไดควาช้ินไมหรือกระเบื้องกลืนเขาไปพ่ีเล้ียงเห็นแลว ก็จะพยายามหาวิธีเอาออกโดยเร็ว. เม่ือเอาออกไมไดโดยงาย ก็ประคองศีรษะเด็กดวยมือซาย งอน้ิวมือขวาลวงลงไปเก่ียวข้ึนมา แมจะถึงโลหิตออกก็ตองทํา, ขอน้ีเพราะเหตุไรเลา ? เพราะเหตุวา แมเด็กนั้นจะไดรบั ความเจบ็ ปวดกจ็ ริง แตพ่ีเลี้ยงที่หวังความปลอดภัยแกเด็ก หวังจะชวยเหลือเด็ก มีความเอ็นดูเด็ก ก็ตองทําเชนนั้น เพราะความเอ็นดูนั้นเอง.คร้ันเด็กเติบโตข้ึน มีความรูเดียงสาพอควรแลว พ่ีเล้ียงก็ปลอยมือ ไมจํ้าจ้ีจํ้าไชในเด็กน้ันเกินไป ดวยคิดวาบัดนี้ เด็กคุมครองตวั เองไดแ ลว ไมอ าจจะไรเดยี งสาอีกแลว ดงั น้ี, ขอ นีฉ้ นั ใด; ภิกษุทั้งหลาย ! ขอน้ีก็เชนกัน : ตราบใดท่ีภิกษุยังมิไดทํากิจในกุศลธรรมทั้งหลาย อันตนจะตองทําดวยศรัทธา ดวยหิริดวยโอตตปั ปะ ดวยวิริยะ และดวยปญญา, ตราบน้ันเรายังจะตองตามคุมครองภิกษุนั้น. แตเมื่อใดภิกษุน้ัน ไดทํากิจในกุศลธรรมท้ังหลาย อันตนจะตองทําดวยศรัทธา ดวยหิริ ดวยโอตตัปปะ ดวยวิริยะ ดวยปญญา สําเร็จแลว, เราก็หมดหวงในภิกษุนั้น ดวยคิดวาบัดน้ี ภิกษุน้ีคุมครองตนเองไดแลว ไมอาจจะประพฤติหละหลวมอีกตอ ไปแลว ดังนี.้( บาลี ปจฺ ก. อ˚. ๒๒/๖/๗, ตรัสแกภ ิกษุทง้ั หลาย. ) พทุ ธวัจน
ทรงฆา ผทู ไ่ี มร ับการฝก นีแ่ น เกสิ ! ทานเปนคนเช่ียวชาญการฝกมา มีชื่อดัง เราอยากทราบวา ทานฝกมา ของทานอยา งไรกัน ? “ขาแตพระองคผูเจริญ ! ขาพระองคยอมฝกมาชนิดที่พอฝก ได ดวยวิธีละมุนละไมบาง, ดวยวิธีรุนแรงบาง, ดวยวิธีท้ังละมุนละไมและรุนแรงรวมกันบาง, (แลวแตวามานั้นเปนมาที่มีนสิ ัยเชนไร) เกสิ ! ถา มา ของทานไมรับการฝก ท้ังดวยวิธีละมุนละไมทั้งดว ยวธิ ที ร่ี ุนแรง และทงั้ ดวยวิธีทีล่ ะมนุ ละไมและรุนแรงรวมกันเลา ทา นทาํ อยา งไรกบั มาน้ัน ? “ขาแตพระองคผูเจริญ ! ขาพระองคยอมฆามานั้นเสีย เพ่ือมใิ หเสียชอ่ื เสียงแกสกลุ แหงอาจารยของขา พระเจาขา. ก็พระผูมีพระภาคเจาเลา ยอมเปนสารถี ฝกบุรุษที่ควรฝกไมมีใครยิ่งไปกวา, พระผูมีพระภาคเจา ทรงฝกบุรุษที่ควรฝกดวยวิธีอยางไรพระเจา ขา ?” เกสิ ! เรายอมฝกบุรุษที่ควรฝก ดวยวิธีละมุนละไมบางดวยวิธีรุนแรงบาง ดวยวิธีทั้งละมุนละไมและรุนแรงรวมกันบางเหมือนกัน.
เกสิ ! ในสามวิธีน้ัน วิธีฝกท่ีละมุนละไม คือเราพร่ําสอนเขาวา กายสจุ รติ เปนอยางนๆ้ี ผลของกายสุจริตเปนอยางนี้ๆ,วจีสุจริตเปนอยางนี้ๆ ผลของวจีสุจริตเปนอยางน้ีๆ, มโนสุจริตเปนอยางน้ีๆ ผลของมโนสุจริตเปนอยางนี้ๆ, เทวดาเปนอยางน้ๆี , มนษุ ยเปนอยางนี้ๆ ดังน.้ี เกสิ ! ในสามวธิ นี น้ั วธิ ีฝกที่รุนแรง คือเราพร่ําบอกเขาวา กายทุจริตเปนอยางนี้ๆ ผลของกายทุจริตเปนอยางนี้ๆ,วจีทุจริตเปนอยางนี้ๆ ผลของวจีทุจริตเปนอยางน้ีๆ, มโนทุจริตเปน อยา งนี้ๆ ผลของมโนทุจริตเปนอยางน้ีๆ, นรกเปนอยางนี้ๆ,กําเนิดเดรัจฉานเปน อยางนีๆ้ , เปรตวสิ ยั เปน อยางนีๆ้ . เกสิ ! ในสามวิธีนั้น วิธีฝกทั้งละมุนละไมและรุนแรงรวมกันนั้น คือเราพรํ่าบอกพรํ่าสอนเขาวา กายสุจริต-ผลของกายสุจริตเปนอยางน้ีๆ, กายทุจริต-ผลของกายทุจริตเปนอยา งน้ๆี ; วจสี ุจริต-ผลของวจีสุจริตเปนอยางน้ีๆ วจีทุจริต-ผลของวจีทจุ รติ เปน อยา งนีๆ้ ; มโนสุจริต-ผลของมโนสุจริตเปนอยางนี้ๆ มโนทุจริต-ผลของมโนทุจริตเปนอยางน้ีๆ; เทวดาเปนอยางนีๆ้ , มนุษยเปนอยางนีๆ้ , นรกเปนอยางน้ีๆ, กําเนิดเดรจั ฉานเปน อยางนีๆ้ , เปรตวสิ ยั เปน อยางน้ๆี .
“ขาแตพระองคผูเ จรญิ ! ถา บรุ ษุ ทีค่ วรฝก นัน้ ไมร บั การฝกทั้งดวยวิธีละมุนละไม ทั้งดวยวิธีที่รุนแรง และท้ังดวยวิธีที่ละมุนละไมและรุนแรงรวมกันเลา พระผูมีพระภาคเจาจะทรงทําอยางไร ?” เกสิ ! ถาบุรุษท่ีควรฝก ไมยอมรับการฝกดวยวิธีทั้งสามแลว เรากฆ็ าเขาเสีย. “ขา แตพระองคผ เู จรญิ ! ก็ปาณาติบาต ยอมไมสมควรแกพระผูมีพระภาคมิใชหรือ ? แลวพระผูมีพระภาคก็ยังตรัสวา เกสิ !เรากฆ็ า เขาเสยี ?” เกสิเอย ! ปาณาติบาตยอมไมสมควรแกเราจริง แตวาเม่ือบุรษุ ทีค่ วรฝก ไมยอมรับการฝกดวยวิธีทั้งสามแลว ตถาคตก็ไมถือวา คนคนนั้น เปน คนทีค่ วรวา กลาวสัง่ สอนอีกตอไป; ถึงแมเ พื่อนผูประพฤติพรหมจรรยรวมกัน ซ่ึงเปนผูรู ก็จะไมถือวาคนคนน้ันเปน คนทีค่ วรวากลาวสั่งสอนอีกตอไปดวย. เกสิ ! น่ีแหละคือวธิ ีฆาอยางดใี นวินัยของพระอริยเจา, ไดแกการที่ตถาคตและเพื่อนผูประพฤติพรหมจรรยรวมกัน พากันถือวา บุรุษนี้เปนผทู ไ่ี มค วรวา กลา วสง่ั สอนอีกตอ ไป ดังน้ี.( บาลี เกสวี รรค จตกุ กฺ . อ˚. ๒๑/๑๕๐/๑๑๑, พุทธวจั นตรสั แกค นฝก มา ชือ่ เกสผี ูเ ชี่ยวชาญ. )
ตถาคตเปนเพยี งผบู อกทางเทานน้ั “ก็สาวกของพระโคดมผูเจริญ เมื่อพระโคดมไดกลาวสอนพร่ําสอนอยูอยางนี้ ทุกๆองคไดบรรลุนิพพาน อันเปนผลสําเร็จถึงที่สุดอยางยิ่ง หรือวาบางองคไมไดบรรลุ ?” พราหมณคณกโมคคลั ลานะ ทูลถาม. พราหมณ ! สาวกของเรา แมเรากลาวสอน พรํ่าสอนอยูอยางนี้ นอยพวกท่ีไดบรรลุนิพพาน อันเปนผลสําเร็จถึงที่สุดอยา งย่ิง, บางพวกไมไ ดบ รรล.ุ “พระโคดมผูเ จรญิ ! อะไรเลาเปนเหตุ อะไรเลาเปนปจจัย,ท่ีพระนิพพาน ก็ยังตั้งอยู, หนทางเปนที่ยังสัตวใหถึงนิพพานกย็ งั ต้ังอยู, พระโคดมผูชักชวน (เพื่อการดําเนินไป) ก็ยังตั้งอยู,ทําไมนอยพวกท่บี รรลุ และบางพวกไมบ รรลุ ?” พราหมณ ! เราจักยอนถามทานในเร่ืองนี้ ทานจงตอบตามควร, ทา นเปนผูเช่ียวชาญในหนทางไปสูเมืองราชคฤห มิใชหรือ,มีบุรุษผูจะไปเมืองราชคฤห เขามาหาและกลาวกับทานวา “ทานผูเจริญ ! ขา พเจา ปรารถนาจะไปเมืองราชคฤห ขอทานจงบอกทางไปเมืองราชคฤห แกขาพเจาเถิด” ทานก็จะกลาวกะบุรุษนั้นวา“มาซิทาน, ทางนี้ไปเมอื งราชคฤห ไปไดครูหนึ่งจักพบบานช่ือโนนแลวจกั เหน็ นิคมชอ่ื โนน จักเห็นสวนและปานา รนื่ รมย จักเหน็
ภมู ิภาคอันนา รื่นรมย สระโบกขรณนี ารน่ื รมย ของเมืองราชคฤห”ดังน้ี. บุรุษนั้น อันทานพรํ่าบอกพรํ่าชี้ใหอยางนี้ ก็ยังถือเอาทางผิดกลับหลังตรงขามไป, สวนบุรุษอีกคนหนึ่ง (อันทานพรํ่าบอกพร่ําชี้อยางเดียวกัน) ไปถงึ เมอื งราชคฤหไดโ ดยสวัสด.ี พราหมณ ! อะไรเลาเปนเหตุ อะไรเลาเปนปจจัย, ที่เมืองราชคฤห ก็ยังตง้ั อยู, หนทางสําหรบั ไปเมอื งราชคฤห ก็ยังตั้งอยู,ทานผูช้ีบอก ก็ยังตั้งอยู, แตทําไมบุรุษผูหนึ่งกลับหลังไปผิดทาง,สวนบุรษุ ผหู นงึ่ ไปถึงเมืองราชคฤหโ ดยสวัสดี ? “พระโคดมผูเจริญ ! ในเรื่องนี้ขาพเจาจักทําอยางไรไดเลา,เพราะขา พเจา เปนเพยี งผบู อกทางเทาน้ัน”. พราหมณ ! ฉันใดก็ฉันน้ัน, ที่พระนิพพาน ก็ยังต้ังอยู, ทางเปนเครื่องถึงพระนิพพาน ก็ยังต้ังอยู, เราผูชักชวน ก็ยังตั้งอยู,แตสาวกของเรา แมเรากลาวสอน พรํ่าสอนอยูอยางนี้ นอยพวกไดบรรลุนิพพาน อันเปนผลสําเร็จถึงท่ีสุดอยางยิ่ง, บางพวกไมไดบรรลุ. พราหมณ ! ในเร่ืองนี้เราจักทําอยางไรไดเลา, เพราะเราเปน เพียงผูบ อกทางเทา น้ัน.( บาลี คณกโมคคัลลานสตู ร อุปร.ิ ม. ๑๔/๘๕/๑๐๑, พุทธวจั นตรสั แกพ ราหมณชอื่ คณกโมคคลั ลานะ ท่ีบุพพาราม ใกลกรงุ สาวัตถี. )
ทอ นไมท่ีลอยออกไปไดถงึ ทะเล ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอไดเห็นทอนไมใหญนั้น ซ่ึงลอยมาโดยกระแสแมนํา้ คงคา หรือไม ? “ไดเ หน็ แลว พระเจา ขา” ภกิ ษุท้ังหลายกราบทูล. ภิกษุทั้งหลาย ! ถาทอนไมนั้น จะไมเขาไปติดเสียท่ีฝงในหรอื ฝงนอก, ไมจมเสียในทามกลางนา้ํ , ไมขึ้นไปติดแหง อยูบนบก,ไมถูกมนุษยจับไว, ไมถูกอมนุษยจับไว, ไมถูกเกลียวนํ้าวนวนไว,ไมผุเนาเสียเองในภายในไซร, ทอนไมเชนท่ีกลาวน้ี จักลอยไหลพุงไปสูทะเล เพราะเหตุวา ลําแมน้ําคงคาโนมนอม ลุมลาด เอียงเทไปสทู ะเล. ขอนฉ้ี ันใด; ภิกษุท้ังหลาย ! แมพวกเธอทั้งหลายก็ฉันนั้น: ถาพวกเธอไมเขาไปติดเสียที่ฝงใน, ไมเขาไปติดเสียท่ีฝงนอก, ไมจมเสียในทามกลาง, ไมขึ้นไปติดแหงอยูบนบก, ไมถูกมนุษยจับไว,ไมถ ูกอมนษุ ยจับไว, ไมถูกเกลียวน้ําวนวนไว, ไมผุเนาเสียเองในภายในไซร, พวกเธอก็จะเลื่อนไหลไปสูนิพพาน เพราะเหตุวาสัมมาทิฐิมธี รรมดาทโ่ี นมนอ ม ลุมลาด เอยี งเทไปสนู พิ พาน. คร้ันสิ้นกระแสพระดํารัสแลว, ภิกษุรูปหนึ่ง ไดกราบทูลถามพระผูมีพระภาคเจาวา “ขาแตพระองคผูเจริญ ! อะไรเลาเปนฝงใน หรือฝงนอก ? อะไรชื่อวาจมในทามกลาง ? อะไรช่ือวาขนึ้ ไปติดแหง อยบู นบก ? อะไรชื่อวาถูกมนษุ ยจ ับไว ? อะไรช่ือวาถูกอมนุษยจับไว ? อะไรช่ือวาถูกเกลียวนํ้าวนวนไว ? อะไรชื่อวาเนา เสียเองในภายใน ?
ภิกษุท้ังหลาย ! คําวา “ฝงใน” เปนช่ือของ อายตนะภายใน ๖. คําวา “ฝงนอก” เปนชือ่ ของ อายตนะภายนอก ๖.คําวา “จมเสียในทามกลาง” เปนชื่อของ นันทิราคะ (ความกําหนัดดวยความเพลิน). คําวา “ขึ้นไปติดแหงอยูบนบก”เปนชื่อของ อัสมิมานะ (ความสําคัญวาเรามีเราเปน). คําวา “ถูกมนุษยจับไว” ไดแกภิกษุในกรณีน้ีเปนผูระคนดวยพวกคฤหัสถเพลดิ เพลินดว ยกัน, โศกเศราดวยกัน, มีสุขเมื่อคฤหัสถเหลานั้นมีสขุ , เปนทุกขเม่ือคฤหัสถเหลานั้นเปนทุกข, ประกอบการงานในกิจการที่บงั เกิดขึ้นแกค ฤหสั ถเหลาน้ันดว ยตน, ภิกษนุ ี้ เราเรยี กวา ผูถูกมนุษยจับไว. คําวา “ถูกอมนุษยจับไว” ไดแกภิกษุบางรูปในกรณีน้ีประพฤติพรหมจรรย โดยต้ังความปรารถนาเทพนกิ ายชน้ั ใดช้นั หนึง่ วา “ดว ยศลี น้ี หรอื วัตรนี้ หรือวาดวยตบะนี้ เราจกั ไดเ ปนเทวดาผูม ีศกั ดาใหญ หรือเปนเทวดาผูมีศักดานอ ยอยา งใดอยางหนึ่ง” ดังน้ี, ภิกษุนี้ เราเรียกวา ผูถูกอมนุษยจับไว. คําวา “ถูกเกลียวนํ้าวนวนไว” เปนชื่อของกามคุณ ๕.“ภิกษุเปนผูเนาเสียเองในภายใน” คืออยางไรเลา ? คือภิกษุบางรูปในกรณีน้ีเปนคนทุศีล มีความเปนอยูลามก ไมสะอาดมีความประพฤติชนิดที่ตนเองนึกแลว ก็กินแหนงตัวเอง มีการกระทําท่ีตองปกปดซอนเรน ไมใชสมณะก็ปฏิญญาวาเปนสมณะไมใชคนประพฤติพรหมจรรย ก็ปฏิญญาวาเปนคนประพฤติพรหมจรรย เปนคนเนาใน เปยกแฉะ มีสัญชาติหมักหมม เหมือนบอทเี่ ทขยะมลู ฝอย. ภิกษนุ ี้ เราเรียกวา ผูเนาเสียเองในภายใน แล.( บาลี พระพุทธภาษติ สฬา. ส˚. ๑๘/๒๒๓/๓๒๒, พุทธวจั นตรัสแกภ กิ ษทุ ้ังหลาย ทรี่ มิ ฝงแมน ํา้ คงคา. )
กระดองของบรรพชติ ภิกษุท้ังหลาย ! เร่ืองเคยมีมากอน: เตาตัวหน่ึงเท่ียวหากินตามริมธารในตอนเย็น, สุนัขจิ้งจอกตัวหน่ึง ก็เท่ียวหากินตามรมิ ธารในตอนเยน็ เชนเดียวกัน, เตา ตัวน้ันไดเ ห็นสุนัขจิ้งจอกซ่ึงเทีย่ วหากิน(เดินเขามา)แตไกล, คร้ันแลวจึงหดอวัยวะทั้งหลายมีศีรษะเปนท่ีหา เขาในกระดองของตนเสีย เปนผูขวนขวายนอยน่ิงอยู. แมสุนัขจิ้งจอกก็ไดเห็นเตา ตัวที่เที่ยวหากินน้ันแตไกลเหมือนกัน, ครั้นแลวจึงเดินตรงเขาไปท่ีเตา คอยชองอยูวา“เมื่อไรหนอ เตาจักโผลอวัยวะสวนใดสวนหน่ึงออก ในบรรดาอวัยวะทั้งหลาย มีศีรษะเปนท่ีหา แลวจักกัดอวัยวะสวนน้ันคราเอาออกมากินเสีย” ดังนี้. ภิกษุท้ังหลาย ! ตลอดเวลาท่ีเตาไมโผลอวัยวะออกมา สุนัขจิ้งจอกก็ไมไดโอกาส ตองหลกี ไปเอง ; ภกิ ษุทงั้ หลาย ! ฉนั ใดก็ฉนั นนั้ : มารผใู จบาป ก็คอยชองตอพวกเธอท้ังหลายติดตอไมขาดระยะอยูเหมือนกันวา “ถาอยางไรเราคงไดช อง ไมท างตา ก็ทางหู หรือทางจมูก หรือทางล้ิน หรือทางกาย หรือทางใจ” ดังน้ี. ภิกษุท้ังหลาย ! เพราะฉะนั้นในเรื่องนี้ พวกเธอทั้งหลาย จงเปนผูคุมครองทวารในอินทรียทั้งหลายอยูเถิด; ไดเห็นรูปดวยตา, ไดฟงเสียงดวยหู, ไดดมกล่ินดว ยจมกู , ไดล ิม้ รสดวยล้นิ , ไดสัมผัสโผฏฐัพพะดวยกาย,หรือไดรูธรรมารมณดวยใจแลว จงอยาไดถือเอาโดยลักษณะที่เปนการรวบถือท้งั หมด, อยา ไดถ อื เอาโดยลกั ษณะท่ีเปน การแยกถือ
Search