อิทธิปาฏหิ ารยิ -เทวดา ๙๗ นําอยางน้ันหมายความวา พวกมนุษยมีอุปการะแกพวก เทวดา เทวดา (ผูไดร ับพล)ี จึงควรมีความกตัญู ชวยคุม ครองรกั ษาพวกมนุษย (ขทุ ทฺ ก.อ.๑๘๕; สุตตฺ .อ.๒/๑๓)๕๙ สัจกิริยา ทางออกที่ดีสําหรับผูยังหวังอํานาจดลบันดาล ดู บันทกึ พิเศษทายบท๖๐ พระพทุ ธ เปนมนุษยห รอื เทวดา ดู บนั ทกึ พเิ ศษทายบท๖๑ พงึ สงั เกตวา ศพั ทธรรมทีห่ มายถงึ การฝก ฝนอบรม มีมากมาย เชน ทมะ ภาวนา วนิ ย (-วินตี ) สิกขา เปน ตน แตนาเสียดายวา ในสมยั ตอ ๆ มา ความหมายของบางคาํ ไดแ ปรเปล่ียนจาก เดิมผิดไปไกล
ภาคผนวก ประเดน็ เสรมิ เพือ่ ยา้ํ ความเขา ใจ∗∗ จากหนังสือ สถานการณพระพุทธศาสนา: กระแสไสยศาสตร โดย พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต)
ประเดน็ ท่ี ๑ สรปุ หลกั การสําคญั ของพระพทุ ธศาสนาคอื อะไร หลักการสาํ คัญของพระพทุ ธศาสนากค็ ือ การท่ีเราตองทาํกรรมดวยความเพียรพยายาม และจะตอ งฝกฝนพฒั นาตนเพ่ือจะทํากรรมใหดยี ่ิงๆ ขนึ้ ไป แทนท่จี ะคิดวาเราจะขอใหใครชว ย เราจะไปออนวอนเทพเจาองคไหนใหทําใหเรา ก็หันมาถามตัวเองน่ีแหละวาเราจะตองทําอะไร และเราจะตองแกไขปรับปรุงตัวเราอยางไร เพอื่ ใหก ารกระทาํ ของเราไดผลดียง่ิ ขน้ึ น้คี ือหลกั การของพระพุทธศาสนา ท่ถี ามวาจะตอ งทาํ อะไร ก็คอื หลกั กรรม และท่ีถามวา เราจะตอ งแกไขปรบั ปรงุ พฒั นาตัวเราอยางไร ก็คือ หลกั สิกขา นน่ั เอง ยิง่ กวา นน้ั ในกระบวนการที่เราจะตอ งทาํ กรรมดวยความเพียรพยายาม และมกี ารศกึ ษาฝกฝนพัฒนาตนตลอดเวลาน้ี ทา นยงั ย้ําดวยหลักอัปปมาทะอีกวา จะตอ งมีความไมประมาท จะตอ ง
๑๐๒ เรอื่ งเหนอื สามัญวิสยัใชเ วลาแตละขณะท่ีผานไปใหเ ปนประโยชนทีส่ ุด จะตองเรง รัดทาํความเพียรจะผัดเพ้ียนไมได จะทอดท้ิงปลอยปละละเลยไมไดอันนี้หลักพระพุทธศาสนาย้ําในเรื่องท่ีวาจะตองทําความเพียรพยายามตลอดเวลา ถา เราปฏิบตั ิตามหลักสิกขา และมคี วามไมประมาทอยูเสมอแลว เราก็จะเปนบุคคลที่มีความเพียรพยายามในการสรางสรรค มีการแกไขปรับปรุงตัวพัฒนาตนเองอยูเสมอกาวข้นึ สูห ลักพึง่ ตนได และดาํ เนนิ ชวี ิตดว ยปญญา ซ่งึ เปน ลักษณะชวี ิตของชาวพุทธ ชาวพุทธทราบดีอยูแลววา ในพระพุทธศาสนาน้ีไมมีการบงั คับ ศรัทธาตอ งประกอบดว ยปญญา ไมใ ชเ กดิ จากการบังคับไมมกี ารบังคับใหเชอื่ หรอื ใหน ับถอื ไมม เี ทพเจามาหา มมาสั่ง เมอื่ไมมีใครมาบงั คบั เราใหท ําหรือไมใหทํา ไมม ีใครมาลงโทษหรอื ใหรางวลั การทจ่ี ะทําอะไรใหถ กู ตองดีงาม หรือการทจ่ี ะปฏบิ ตั ิตามธรรม จึงอยทู ่ตี วั เราเอง จะตองมีจติ สาํ นึกในการศกึ ษา คือการท่ีระลึกตระหนักอยูเสมอวา เราจะตองเรียนรูฝกฝนพัฒนาตนใหมีชวี ติ ทด่ี งี ามยงิ่ ขน้ึ ไป ดว ยความรบั ผดิ ชอบตอ ธรรมคอื กฎธรรมชาติแหงความเปนไปตามเหตปุ จจยั ถาขาดจติ สาํ นกึ ในสิกขานเี้ สยี แลว
อิทธิปาฏิหารยิ - เทวดา ๑๐๓ก็หมดพลังกาว ชาวพุทธก็ยอมรวงหลนหลุดออกไปจากธรรมสูเทพและไสยโ ดยงา ย คอื ตกไปจากพระพทุ ธศาสนานั่นเอง ทีน้กี ห็ นั มาดวู า ตามสภาพปจ จบุ นั เราไดเ ปน อยา งน้ันหรอืไม ถาเราเปนชาวพทุ ธจรงิ เราก็จะเรยี กรองการกระทาํ ของตัวเองเราจะไมถายโอนภาระไปใหกับสิ่งภายนอก ไมมัวรอใหส่ิงภายนอกมาสรา งผลท่ีตองการใหดวยการออนวอน พระพุทธเจา ไดดงึเรามาแลว จากเทพมาสธู รรม มาสูหลกั กรรม มาสหู ลักสกิ ขา มาสูความไมป ระมาท และมาสกู ารพ่ึงตนได อันนเ้ี ปน หลกั การท่ีเสนอใหใชส าํ รวจ
๑๐๔ เร่อื งเหนอื สามญั วสิ ยั ประเด็นท่ี ๒ เหตใุ ดพระพุทธเจา จึงทรงรบั เกียจอทิ ธิปาฏิหารยิ และอาเทศนาปาฏหิ าริย คิดดูงายๆ ถาพระพุทธเจาทรงใชอิทธิปาฏิหาริย คนท้ังหลายก็จะชื่นชมความเกง กลา สามารถของพระองค ซ่งึ เขาเองทาํอยางน้ันไมได เมื่อเขาทําไมได เขาก็ตองพ่ึงพาอาศัยขนึ้ ตอ พระองคเรื่อยไป เม่ือเขาคอยรอพึ่งพาอาศัย เขาก็ปลอยเวลาเสยี ไปไมไ ดทาํ สง่ิ ทค่ี วรทาํ และโดยเฉพาะท่ีสําคัญคือไมไดพฒั นาตนเองเวลาผานไป เคยเปนอยางไร ก็เปนอยอู ยางนั้น นอกจากน้ัน เขาไมสามารถรูวาฤทธิ์นั้นเกิดไดอยางไรทานผูนน้ั ทําฤทธ์ไิ ดอ ยางไร เขากอ็ ยูก บั ความหลงเรอื่ ยไป และจงึเปนทางของการหลอกลวง คนอื่นที่เปนนักเลนกลก็ไดชองตรงน้ีและควรสังเกตดว ยวา คนจํานวนมากท่ีเขามาทางนี้ จะมีสตฉิ กุ ใจ
อิทธปิ าฏหิ ารยิ - เทวดา ๑๐๕ฉุกคิดนอยลงๆ เม่ือเพลินหมกมุนไป ก็ยิ่งไมใชปญญา เห็นแปลกๆ แผลงๆ ดนู า อัศจรรย ก็เชอ่ื กน็ ับถือ ก็ต่ืนกันไป ยงิ่ โนมไปในทางที่จะสรางนิสัยเห็นแกงาย ไมใชปญญาแกปญหา ขาดความคดิ วจิ ัย ถูกหลอกลวง และลมุ หลงไดงาย เมือ่ เปนกนั อยา งนี้ท้ังบคุ คลและสังคมกย็ ง่ิ หมกจม ไมพัฒนา พระพุทธเจาสอนคนใหพ ง่ึ ตนได ใหเ ขาพฒั นาตนเองจนเปน อิสระ ไมต อ งขน้ึ ตอพระองค คนที่ชอบอทิ ธปิ าฏิหารยิ จะตอ งมาข้ึนกบั ผูแสดงฤทธ์เิ รอื่ ยไป ไมรจู ักพงึ่ ตนเอง ไมพ ัฒนา ไมเ ปนอิสระ แตถาใชอนุสาสนีปาฏิหาริยก็ทําใหเขาเกิดปญญารูเห็นความจรงิ ดวยตนเอง และทําสงิ่ นน้ั ๆ ไดด ว ยตัวเขาเอง แลวเขาก็เปนอิสระ เขาพงึ่ ตนเองได แมแตถาใครชอบอิทธิปาฏิหาริย พระพุทธศาสนาก็สอนใหเขาทาํ อิทธปิ าฏิหารยิ น ้ันใหไ ดด วยตนเอง ไมใชไปหวังพงึ่ อิทธ-ิปาฏิหาริยของคนอน่ื อยา งไรกต็ าม พระพทุ ธเจา ตอ งการใหค นมีปญญาเห็นความจริง อิทธิปาฏิหาริยไมเปนเครื่องหมายท่ีจะวัดความเปน พระอรหันต คนท่มี อี ทิ ธิปาฏิหารยิ จ ะเรยี กไดแ ควา เปน ผูวิเศษ ความเปนผูวิเศษไมทําใหเกิดปญญารูธรรม ไมทําใหหมด
๑๐๖ เรอ่ื งเหนือสามญั วิสัยกเิ ลสหรือหมดความทกุ ขได หันมาดูสภาพในเมืองไทยปจจุบันนี้ เรากาํ ลงั จะเอาเรอื่ งอิทธิปาฏิหาริย หรือความเปนผูวิเศษมาเปนเคร่ืองวัดความเปนพระอรยิ ะไปแลว เพราะฉะนัน้ จึงเปนสภาพทจี่ ะตอ งมาตรวจสอบทบทวนกัน
อทิ ธิปาฏิหาริย- เทวดา ๑๐๗ ประเด็นท่ี ๓ พระสมัยกอนก็ใหของขลงั วตั ถุมงคล พระสมัยนี้กใ็ ห ตา งกันอยางไร และสรปุ แลวคนไทยนบั ถือ พระพทุ ธศาสนาเปน หลกั หรือไสยศาสตรเปนหลัก เรอ่ื งการทําของขลังสิ่งศกั ด์ิสิทธใ์ิ หแ กชาวบาน หลายทานพจิ ารณาแลวกบ็ อกวา พระเกา ๆ สมยั กอนก็เปน เหมือนกนั น่ี ทานกใ็ หเ หมอื นกัน กเ็ ลยตองขอโอกาสพูดวา ไมเหมือนกัน พระสมยั เกาของเรากม็ กี ารใหของขลงั เหมือนกัน มพี ระท่ีเรานับถือวาศกั ด์ิสิทธ์ิ อาจจะเรยี กวาเกง ทางไสยศาสตรกไ็ ด ทานมีเวทมนตอะไรตา งๆ แตค วามนบั ถอื สมัยกอ นพรอมท้ังพฤตกิ รรมของพระสงฆเหลา นน้ั กบั สมยั นี้ ไมเหมือนกัน ถอยหลังไปแคสกั๔๐-๕๐ ปเ ทานน้ั จะตางจากสมัยนี้ จะขอเลา เรอ่ื งตวั บคุ คลมาเปน ตวั อยา งกแ็ ลว กนั ตวั อยา งน้ี
๑๐๘ เรือ่ งเหนือสามัญวิสยัขอนาํ เรอื่ งหลวงพอ ของกระผมเองมาเลา คอื หลวงพอ วดั บา นกรา ง วัดบานกรางนั้นเปนวัดหนึ่งท่ีมีช่ือในเรื่องพระขลงั หลายทานรูจักพระขุนแผนวัดบานกราง หลวงพอวัดบานกรางท่ีผมจะเลานเ้ี ปน อปุ ชฌายตอนกระผมบวชเณร ถา ทา นอยบู ัดนี้ก็อายเุ กินรอยไปแลว แตท านถงึ มรณภาพไปแลวเมอ่ื อายปุ ระมาณ ๙๐ ปทานเปนที่นับถืออยางกวางขวางวาเปนผูท่ีขลังมาก ชาวบานมีเรอ่ื งเดือดเนอื้ รอนใจ ถกู ผเี ขา ถกู ทาํ คณุ ไสย กม็ าหาทา น ทานก็ชวยแกไขให หลวงพอ วดั บา นกรางเปนทน่ี บั ถือมาก จนกระทั่งวา เวลาทานจะทําอะไร คนก็พรอมเพรียงกันมาใหแรงงานเต็มท่ี แมกระท่งั จะยายวดั คอื ยายเสนาสนะอาคารทั้งวดั ไปตง้ั ในท่ีใหม ก็ไมตองร้ือออก แตใชกําลังคนมือเปลายกกุฏิและหอสวดมนตเปน ตนเดนิ ไปวางในทีท่ ่ตี องการ เชน ยกหอสวดมนตใ หญ ญาติโยมก็ใหชางมาตดั เสาไว แลวกเ็ อาไมไผข นั ขนาบเสา และผูกเพิ่มในระหวางใหถี่พอใหคนลงไปยืนยกไมไผชองละคน พอถึงวันนัดประชาชนก็มาเต็มหมด เม่ือพรอมกันแลวก็ใหสัญญาณ คนจาํ นวนพันกย็ กหอสวดมนต ยกหอระฆงั ยกกุฏิไปทัง้ หลงั เดินไป
๑๑๔ เรือ่ งเหนอื สามญั วิสยัพระสงฆจึงตองยอมรับคนเหลาน้ีตามที่เขาเปนอยูแลวเขาไปสั่งสอนแนะนาํ เขาดวยเมตตากรณุ า คอยๆ ชวยใหเ ขาพัฒนากําลังใจและปญ ญาข้นึ มา เมอื่ เขาพัฒนาขนึ้ เขากจ็ ะละเลิกความเชื่อถอื เหลา น้ันไปไดเ อง ขอ สาํ คญั อยูทพ่ี ระจะตอ งยอมเหนื่อยยอมอดทน มเี มตตากรุณา ตง้ั ใจคอยใหธ รรม ไมละทงิ้ หนาที่ธรรมทานน้ี ในระหวางน้ันก็คอยปด ชองความหวั่นใจใหเขาไปตามความจําเปน พระบางองคอาจจะสอนเกงจริงจนทําใหคนจํานวนมากมีกําลังใจเขาถึงปญ ญา ชนิดขามพน สง่ิ เหลานี้ไปไดทีเดียวเลย แตในหมชู าวบา นกย็ ังจะมคี นท่อี อนกําลงั ใจออ นปญ ญา ท่ีตอ งปดชอ งหวน่ั ใจอยนู ัน่แหละ เรอื่ งฤทธ์เิ ดชก็จงึ ยังมีอยู เพียงแตวาตวั พระเองจะตองไมเสียหลัก ฤทธ์เิ ดชจะตองถกู มองเปน เรอ่ื งเบ็ดเตล็ด และตองเปนเคร่อื งส่อื ธรรมจะใหเดน ขึน้ มาบังธรรมไมไ ดเ ปนอนั ขาด ประการทสี่ อง กค็ อื พระเคร่อื งของขลังวัตถุมงคลเหลา นั้นสมัยกอ นไมมีราคา ไมมคี าเปนเงนิ ทอง จะใหก็ใหย ากอยางท่วี าเชน ใหตอ เมอ่ื เห็นวาประพฤติดี แลวก็ใหเปลาๆ ขอนมี้ าเทียบกบัปจจุบันจะเห็นวาเปนอยางไร ปจจุบันน้ีมีราคาเปนเงินเปนทอง
อทิ ธปิ าฏิหาริย-เทวดา ๑๑๕จนบางทจี ะกลายเปน สนิ คา ประการทสี่ าม กค็ อื เปน สงิ่ เรยี กรอ งขอ กาํ หนดทางศลี ธรรมเวลาจะใหท า นจะบอกวา เธอตอ งเวน ความชว่ั อนั นนั้ ตอ งเวน ความชวั่ อันนี้ ตอ งประพฤติปฏิบัตติ วั ใหดอี ยา งนน้ั ๆ พระจึงจะคมุ ครอง เมอ่ื ประมาณ ๕๐ ปมาแลว ทอี่ าํ เภอศรีประจันต มีทา นขนุ ผูห นึง่ เกง มากในการปราบโจร ช่ือขนุ ศรปี ระจันตร กั ษา เล่ืองลอืกันวา ทา นขนุ มีของดหี นังเหนียวอยูยงคงกระพัน วนั หนงึ่ ทา นขนุ ศรฯี ไปปราบโจรแตถ กู ยงิ ตาย อา ว! ทาํ ไมละชาวบานลือกันแซดวา ตอนน้ันไมทราบเกิดอะไรขึ้นทานขุนศรีฯโกรธโจรขึน้ มาก็เผลอไปดา แมโ จร พอดาแมโ จรปบ โจรยิงมาปงเดยี ว ตายเลย เขาบอกวา อยางนน้ั อันนเ้ี ปนตัวอยาง ความเช่ือในของขลังส่ิงศักดิ์สิทธ์ิตองมากับคุณธรรมความดี ตองเรยี กรอ งศลี ธรรม เวลาน้เี ปนอยา งไร ไมม กี ารเรยี กรอ งศีลธรรม มีแตเ รยี กรองโชคลาภอยา งเดยี ว ตองการโชคลาภก็เอาเงนิ ไปเชา/ซอ้ื เอามา เปนอนั วา แคน ้ีกจ็ ะไดโชคลาภ ก็หมดเร่อื งกัน ศีลธรรมไมตองประพฤติ กลายเปนสิ่งศักด์ิสิทธิ์ท่ีซ้ือไดดวยเงิน แลวแถมไมมีคุณคาทางศีลธรรมจริยธรรม ตรงกันขามกับ
๑๑๖ เรือ่ งเหนอื สามญั วสิ ัยสมยั กอนหมดเลย วปิ ริตผนั แปรกนั ไป ประการตอ ไป วตั ถมุ งคลเหลา นี้ สมัยกอ นเปนของหายากพรอมกับพวงเอาคุณคาอยางสูงทางจิตใจไวกับตัวดวยแตม าสมัยน้ี กลายเปนของหางายเกลื่อนกลาด มันตรงขามกับสมัยกอนสมยั กอ นนนั้ กวาจะไดท แี สนยาก ครูอาจารยทา นตอ งเห็นวา เราประพฤติดีและถึงโอกาสที่สมควรจึงให นอกจากนั้นยังมีคุณคาความหมายสาํ คญั อกี คือเปนเครื่องผูกพันทางจติ ใจ หนง่ึ ผูกพันบคุ คลท่ีมีของดีนั้นไวก ับพระพทุ ธศาสนา ใหระลกึ ถงึ พระพทุ ธเจาและคาํ สอนของพระองค แตไ มแ คนน้ั สอง เวลานึกถึงพระทอี่ ยูท่ีคอตัวเองก็ระลึกรูตระหนักแกใจวา พระองคน้ีหลวงพอพระอุปชฌายให นึกถึงพระอุปชฌายอาจารยแ ละคาํ สั่งฝากของทานตอมาลูกศิษยคนนี้โตมีครอบครัวแกลงมอบใหลูกใหหลาน ลูกหลานเวลานกึ ถงึ พระที่หอ ยคออยกู น็ กึ ถึงพระพทุ ธเจา ดว ย นกึ ถงึปูยา ตายายดวย เปนเคร่ืองผกู พันกับบรรพบุรุษของตน พรอ มท้ังนํ้าใจและคณุ ธรรมทีท่ านสั่งสอนมา ทัง้ หมดนไี้ ปดว ยกันหมดเลยแตปจจุบันคุณคาเหลานี้กําลังจะหมดไปหายไป เวลาน้ีความหมายอะไรเหลานีแ้ ทบจะไมเหลอื อยูเลย
อิทธิปาฏิหาริย-เทวดา ๑๑๗ เพราะฉะน้ัน แมว า สมัยกอ นก็มขี องขลงั พระเครือ่ งเปน ตนแตของขลังสิ่งศักด์ิสิทธิ์ท่ีมีอยูในปจจุบันน้ีก็ไมเหมือนกันแลว กับท่ีมีในสมัยกอน มันวิปลาสคลาดเคลือ่ นออกไปแลว เพราะฉะนั้นถาเราจะมสี งิ่ เหลา นี้ ก็ควรจะมใี หถ กู ตอ ง ใหไ ดหลักของโบราณอยา ไปดถู ูกคนโบราณวาไมไ ดค วาม นกึ วา ทา นกม็ ีของขลงั ส่ิงศักดิ์สิทธิไ์ สยศาสตร แตท จ่ี ริงเราแพทานแนน อน ทา นมหี ลกั แตเ ราไมมีหลักเลย เราไมสามารถและไมคิดจะใชสิ่งเหลานี้มาเปนสื่อนําเขาสูธรรม ฝายหนึ่งก็คิดจะหาลาภ อีกฝายหน่ึงก็หวังจะไดโชคลาภ อยใู ตครอบงาํ ของระบบผลประโยชนกนั หมด ถา หากวา สงิ่ ศกั ดสิ์ ทิ ธข์ิ องขลงั เหลา นยี้ งั เปน เครอื่ งเรยี กรอ งขอกําหนดทางศีลธรรมอยู มันก็ยังมีคุณคาทางพระพุทธศาสนาอยู นอกจากน้ันยังเปนสื่อนําหรือโยงเราเขาสูธรรมะดวย โดยเฉพาะในเวลาที่ทานใหของดีและทานถือเปนโอกาสที่จะสั่งสอนธรรมน้ัน คนที่จะเอาของดจี ะตั้งใจฟงธรรมท่ที านสอนอยา งจริงจงัเพราะฉะน้นั ถาเราจะใชสงิ่ เหลานี้ก็ควรจะตอ งใชใ หถ กู ตอ ง ท่ีวามานี้เปนเรื่องที่ขอนํามาเลาใหเห็นวา สภาพความคลาดเคล่ือน ท้ังจากหลักการของพระพุทธศาสนา ท้ังจาก
๑๑๘ เร่อื งเหนือสามัญวิสยัประเพณนี ิยมในสงั คมไทยของเราเอง ไดเ ปน ไปถึงขนาดไหนแลวมันจึงทาํ ใหส งั คมของเราวิปริตผนั แปรไป เรื่องท่ีพูดในตอนนี้ เปนการใหชวยกันพิจารณาตอบคําถามวา “เวลานี้ คนไทยนบั ถอื พระพุทธศาสนาเปนหลกั หรือนบัถือไสยศาสตรเปนหลัก” ซ่ึงรวมทั้งคําถามวา “สมัยกอนก็มีของขลัง สมยั น้ีก็มขี องขลัง ตางกันอยา งไร?” ไดพ ูดมายืดยาว เนอื่ งจากเปน เรื่องสาํ คญั จงึ ขอสรปุ ไวด ว ย ถา คนไทยนบั ถือพระพทุ ธศาสนาเปนหลกั ไสยศาสตรเปนเพยี งสงิ่ พว งแฝงมา สงั คมจะมพี ฤตกิ ารณด ังนี้ ๑. ความนับถือหลักการของพระพุทธศาสนา และการสอนธรรมจะปรากฏเดนเปน พ้นื สว นของขลังส่งิ ศกั ดิส์ ทิ ธ์ิ เทพไสยจะมีเพียงพวงแฝงหรือแอบอยู และใชเพียงเปนเคร่ืองปดชองความหวนั่ ใจ ทาํ นองคติเอาฤทธิไ์ วปราบฤทธ์ิ ๒. การใหหรือการปฏิบัติเก่ียวกับของขลังเปนตนนั้น จะเนน ทกี่ ารกาํ กบั ขอ ปฏบิ ตั ทิ างศลี ธรรม หรอื ใชเ ปน สอ่ื สกู ารสอนธรรม ๓. ของขลงั เปนตน เปนของใหเปลา ไมมรี าคา เพราะเปนส่อื คณุ คาทางนามธรรม
อิทธิปาฏิหาริย- เทวดา ๑๑๙ ๔. เปนของใหยาก และหายาก ไมเกลื่อนกลาด และผนวกอยกู ับคณุ คาทางจิตใจ เชนโยงไปถงึ บรรพบุรษุ บุรพการี ถาพฤติการณเปนไปในทางตรงขา มจากน้ี กแ็ สดงวา คนไทยนับถือไสยศาสตรเปน หลกั พุทธศาสนาเปน เพยี งส่ิงประกอบเลือนลางอยู คอื ๑. การเช่ือถือปฏิบัติทางไสยศาสตรและการหวังพ่ึงอาํ นาจล้ลี บั ปรากฏเดนเปน พ้นื ในสงั คม ชาวพุทธไมร หู ลกั การของพระพุทธศาสนา การสอนธรรมเพียงแอบๆ อยู ๒. ของขลังสิ่งศักดิ์สิทธ์เิ ปนเร่ืองของการสนองกิเลส ในการหาผลประโยชน ความกลัวภัย และการแกง แยงดน้ิ รนตอ สกู ันของมนุษยป ุถุชน ไมเปนส่ือดงึ คนขน้ึ สูค ณุ ธรรมความดีงาม และการพัฒนาชีวติ ของตน ไมม กี ารกาํ กบั ศีลธรรม ๓. เปน ของมรี าคา หรอื มงุ ท่ีเงนิ ทอง ของตอบแทน แมกระท่ังเปน การซือ้ ขาย ๔. เปนของหางาย มีเกลือ่ นกลาด จนอาจกลายเปนความศกั ด์ิสทิ ธ์ทิ ่ซี ้อื ไดด วยเงิน ดอ ยคณุ คาทางจติ ใจ อกี เรอื่ งหนง่ึ การทต่ี อ งยอมรบั ความจรงิ วา ความเชอื่ ถอื เกยี่ ว
๑๒๐ เรอ่ื งเหนือสามัญวิสยักับอํานาจล้ีลับและหวังพึ่งส่ิงศักด์ิสิทธิ์เทพไสยเหลานี้จะมีอยูตอไป เพียงแตใหเปนส่ิงแฝงแอบอยหู รือเปน เรื่องเบ็ดเตลด็ โดยใหพระพทุ ธศาสนาเปนหลกั อยู กค็ วรพอใจ ขอ นม้ี เี หตผุ ลสาํ คัญ คอื ๑. เปน นสิ ยั ของปถุ ชุ น เมอ่ื มชี วี ติ อยภู ายใตส ภาพแวดลอ มและความเปนไปท่ีตนเองไมรูทั่วถึงและบังคับไมได มีความเขมแข็งและปญ ญาไมพอ ยังมีความหวาดหว่ันตอส่งิ ท่ีไมร ูและไมอาจคาดหมาย จงึ มคี วามโนม เอยี งที่จะหวงั พง่ึ อาํ นาจเรนลบั ภายนอกจะพน ไปไดม ากหรอื นอย กอ็ ยทู ฝ่ี า ยธรรมจะทําหนา ท่ีไดเพยี งใด ๒. ความเชื่อผีสางสิ่งศักดิ์สิทธ์ิและลัทธิพราหมณมีอยูกอนพระพทุ ธศาสนาเขา มา และอยใู นสังคมไทยคูเคยี งมากบั พระพุทธศาสนา จนถึงปจจุบัน เปนความจริงตามสภาพประวัติศาสตรและวฒั นธรรม ๓. หลกั การของพระพทุ ธศาสนาไมม กี ารบงั คบั ศรทั ธา ไมใชกําลงั หรือวิธบี บี บังคับ โดยถือตามหลักธรรมชาติของมนุษยวาปญ ญาเปน สิง่ ยัดเยียดใสใ หก ันไมไ ด จึงตอ งยอมรบั เขาตามทีเ่ ขาเปนอยู แลวเขาไปชวยเหลือแนะนําส่ังสอนดวยเมตตากรุณาใหเขาพัฒนาข้ึนมา
อิทธปิ าฏหิ าริย-เทวดา ๑๒๑ ประเด็นท่ี ๔ สรปุ การนับถืออํานาจดลบนั ดาลภายนอกตา งจากการนบั ถอื พระพทุ ธศาสนาโดยสาระสาํ คญั อยา งไร การนบั ถืออํานาจเรนลับดลบันดาลแบบนน้ั ทําใหคนหวังพ่ึงสงิ่ ภายนอก ไมเ พยี รพยายามทําการดวยตนเอง มัวแตคิดออนวอนเอาอกเอาใจส่งิ ศกั ดสิ์ ิทธิ์ หรือรอคอยฤทธ์ิเดชของคนอ่ืน ตัวเองไมมีอะไรดขี ึน้ ไมว า จะเปน สตปิ ญ ญาหรอื ความสามารถ หรือคุณธรรมความดี มีแตจมลงถอยลง เลยไมไดฝกฝนพัฒนาตนอยา งดีกไ็ ดแ คเ ขาหลกั ท่วี า ศาสนาชวยเปน ทีพ่ ง่ึ ท่ียดึ เหน่ียวจิตใจเอาพอปลอบใจอุนใจ แตพระพุทธศาสนาไมใชมีไวเพียงเปนที่พ่ึงท่ียึดเหนี่ยวจิตใจ ถาเปน เชนน้ัน พระพทุ ธศาสนาก็ไมตองเกิดข้นึ เพราะอินเดยีกอนพุทธกาล เขามีท่ีพ่ึงทยี่ ึดเหนยี่ วจิตใจอยูแลว และมีมานาน
๑๒๒ เรอ่ื งเหนือสามญั วสิ ัยแลว แตท่พี ระพทุ ธศาสนาตอ งเกดิ ขึน้ ก็เพราะปญหาจากท่พี ง่ึ ที่ยึดเหนย่ี วจิตใจน่แี หละ ที่วาศาสนาเปนที่พึ่งท่ียึดเหนี่ยวจิตใจนั้น จะตองถามตอไปวา ยึดเหน่ยี วแบบดึงลง หรอื ยึดเหน่ยี วแลว ดงึ ขึ้น ศาสนาสิ่งศักด์ิสทิ ธิฤ์ ทธานุภาพอะไรๆ น้ัน เม่อื เชอื่ ถอื หวงั พง่ึ แลว ถา เปนอยา งทว่ี าเมอื่ ก้ีกค็ อื ดึงลง ทําใหหลงใหลหมกจมอยูใ นโลภ โกรธหลง คนอนิ เดียกอนพุทธกาลมัวแตออนวอนเซน สรวงบชู ายญั คดิแตข อและรอคอยเทพเจา ดลบนั ดาล คดิ วา จะใหเ ทวดาองคไ หนชว ยแทนที่จะถามตัวเองวา เราจะตองทาํ อะไร และเราจะตองแกไขปรบั ปรงุ ตวั เราและพฒั นาการกระทาํ ของเราอยา งไร เลยไมไ ปไหน พระพทุ ธเจา มาทรงสัง่ สอน ประกาศศาสนาชนิดเปน ท่ีพึง่ที่ยึดเหน่ียวแบบดึงข้ึน คือ เม่ือเขานับถือหรือเช่ือแลว ก็จะใหกาํ ลัง และแสงสวาง นําเขาขึ้นพนออกมาจากความมดื ความหลง และปวงกเิ ลส ใหเ ขาฝก ฝนพัฒนาตน มคี ณุ ธรรมมากขึน้ มีปญ ญามากข้ึน ชว ยกนั เองในหมูมนุษยไ ดดขี ้นึ จนมนุษยพ ึง่ ตนเองได มอี ิสรภาพ และสรางโลกที่เปน อัพยาปช ฌะ แปลวา ไมม ีการเบยี ดเบียน คือรมเยน็ มสี นั ติสุข
อทิ ธปิ าฏหิ ารยิ - เทวดา ๑๒๓ พระพุทธเจาเปนบุคคลแบบอยางแหงมนุษยที่ไดพัฒนาคือไดฝกตนเตม็ ทแี่ ลว จนกระทั่งไดเปน พุทธะ เราต้งั เอาพระองคไวเปน ตนแบบ สําหรับระลกึ แลว จะไดเ ตือนใจเรา ทําไมพระพุทธเจาจึงเปนองคแรกในพระรัตนตรัย เพราะวา เมอ่ื ระลึกถึงพระพทุ ธเจา กเ็ ตือนใจเราทนั ที ใหระลึกถึงความเปนมนุษยของเราที่เราก็มีเหมือนกับพระพุทธเจา หลักศรทั ธาในพระพุทธศาสนาขอแรกคือ ตถาคตโพธิสทธฺ า แปลวา ความศรัทธาเช่ือในพระปญญาตรัสรูของตถาคต แปลอีกทีหน่ึงวาความเช่ือในปญญาที่ทาํ ใหม นษุ ยตรสั รกู ลายเปน พุทธะ ก็คอื เช่อืในศกั ยภาพของมนุษยน น่ั เอง เม่ือมนุษยเชื่อในศักยภาพของตนเองแลว ระลึกถึงพระพุทธเจา ก็ต่ืนตัวขึ้นมาและเกิดความม่ันใจในศักยภาพของตนที่เปนมนุษยนั้น พรอมกันน้ันก็เกิดความสํานึกตระหนักในหนาที่ของเราขึน้ มาวา เราจะตอ งสกิ ขาฝก ฝนพัฒนาตน ยิ่งกวา นน้ั เรายงัไดปฏิปทาของพระพุทธเจาและพระโพธิสัตวมาเปนกําลังใจในการฝก ตนนน้ั และยงั แถมไดว ธิ ปี ฏิบตั ิตลอดจนประสบการณข องพระพุทธเจาท่ีพระองคปฏิบัติมาแลวโดยเราไมตองลองผดิ ลองถูก
๑๒๔ เร่ืองเหนอื สามัญวสิ ยัอกี เราไดเ ปรียบกวา พระองคคอื เอาประโยชนจ ากความรสู ําเรจ็ รปูของพระองคมาเลย ชาวพุทธตองเปนคนเขมแข็ง มีศรัทธาชนิดที่ม่ันใจในศักย-ภาพของความเปนมนุษยที่จะดีเลิศประเสริฐไดดวยการฝกและหวังผลจากการกระทํา พยายามพฒั นาตัวใหพ ่ึงตนได หลกั การแหงกรรมก็ดี สิกขาก็ดี ความไมประมาทก็ดี ลว นทาํ ใหเกดิ ความเขมแข็งท่ีจะกาวตอไปท้ังน้ัน แลวยังมีคติแหงการบําเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตวมาหนุนอีก พระพุทธเจาทรงเปนตัวอยางของบคุ คลที่มีความเขม แขง็ เร่อื งราวตา งๆ ของพระพุทธเจาและพระโพธิสัตวท่ีมีอยูมากมายน้ัน ลวนเปนเรื่องของการบําเพ็ญเพียรและการพยายามแกปญหาดวยปญญา ทานเลาเรื่องเหลานไ้ี ว ก็เพ่ือใหเปนเครื่องหนุนกําลังใจของชาวพุทธ ชาวพุทธจะตองมีความเขมแข็งในการทําความดี สรางสรรคและพัฒนาตัวตอไปเหมือนอยางพระโพธิสัตว ไมใชคอยขอความชวยเหลือจากพระโพธิสัตวห รือเทพเจา ทง้ั หลาย ชาวพุทธตองม่ันในธรรม คือในหลักการแหงความจริงความถูกตองดีงาม และความรูในธรรมดาของธรรมชาติที่ส่ิงทั้ง
อิทธิปาฏิหาริย- เทวดา ๑๒๕หลายเปนไปตามเหตปุ จจยั เม่อื ถูกธรรมแลว ก็ไมห วั่นไหว แมต อเทพเจา หลักการของพระพุทธศาสนาในเรื่องน้ีชัดเจนมาก คือธรรมสูงสุด แมพ ระพุทธศาสนาจะไมป ฏิเสธเทวดา แตถ อื วา ธรรมตองเหนือเทพ ตามปกติชาวพุทธจะอยูรวมกับสรรพสัตว รวมทั้งเทพเทวาอยางเพื่อนรวมโลก ดวยเมตตามีไมตรีปรารถนาดีตอกัน ไมออนวอนหวังผลประโยชนจากกนั ตา งคนตางพัฒนาตนยิง่ ข้ึนไปแตถ ามีกรณขี ดั แยง กัน เกิดปญ หาตอกัน ตองเอาธรรมตดั สนิ ถามนษุ ยถ ูกธรรม เทพตอ งยอม ในคมั ภีรพ ุทธศาสนามีเร่ืองราวเลาไวมาก เพือ่ สนับสนนุ คตนิ ี้ ใหช าวพุทธเขม แขง็ ยนื หยดั อยูใ นธรรม แมเมือ่ มนษุ ยมาอยรู ว มกัน ปกครองกนั เอง กต็ องใหท ุกคนถือธรรมเปนใหญ ที่เรยี กวา ธรรมาธปิ ไตย เวลาน้ีนา กลวั วาคนในสังคมโนมไปทางท่ีจะถือเงิน อามิส หรือผลประโยชนเปนใหญ กลายเปน ธนาธปิ ไตย ถาเปน อยางน้นั ประชาธิปไตยจะอยูไมได เพราะระบอบประชาธิปไตยของสังคมจะอยูไดดวยดี ตอเมอื่ ประชาชนมคี ณุ สมบัติแหงธรรมาธปิ ไตย
๑๒๖ เรื่องเหนือสามัญวิสยั การถือธรรมเปนใหญ ยกธรรมเปน มาตรฐานสงู สดุ เปนหลักการใหญข องพระพทุ ธศาสนา รวมแลวเม่ือเรานับถือพระพุทธเจาเปนองคพระรัตนตรัยเราก็ไดประโยชนทีเดียวถึง ๔ ประการ แลว การระลึกถงึ พระพทุ ธเจากโ็ ยงเราเขาสูธรรมวา เธอจะฝก ฝนพัฒนาตนตามธรรม ตองเขา ถึงตวั ความจริงในธรรมชาติ ตองปฏบิ ัติใหถ กู ตอ งตามกฎแหงธรรมชาติ คือความเปนไปตามเหตุปจจัย เปนอันวาเราจะตองปฏิบัติฝกตนตามธรรมนั้น ธรรมก็มาเปนหลักในการดําเนินชีวิตคือเปนสรณะของเรา ชีวิตของเราก็กลายเปนชีวิตแหงการฝกฝนพฒั นา คือ เปนชวี ติ แหง สิกขาเขา สมู รรคาแหง อริยะ เพ่ือเราจะไดทําตัวใหเปนอยางพระอริยะทั้งหลายที่ทานไดฝกฝนตามอยางพระพุทธเจาจนไดเปนพยานแหงการตรัสรูของพระองคโดยมารวมเปนสงฆ และเราก็มีหนา ที่ตอ งสรา งสังฆะคอื สงฆอ นั น้ีขึน้ มาดวย โดยการฝก ฝนพัฒนาตนใหเ ขา ไปรว มในสงั คมแหง การศกึ ษาดวยการเปน เสกขชน ซงึ่ จะพัฒนาย่ิงข้ึนไปสูจ ุดหมายแหงสันติสุขและอสิ รภาพทสี่ มบูรณใ นทีส่ ดุ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132