Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เรื่องเหนือสามัญวิสัย_อิทธิปาฏิหาริย์-เทวดา

เรื่องเหนือสามัญวิสัย_อิทธิปาฏิหาริย์-เทวดา

Published by sadudees, 2017-01-10 00:54:10

Description: เรื่องเหนือสามัญวิสัย_อิทธิปาฏิหาริย์-เทวดา

Search

Read the Text Version

๔๖ เร่ืองเหนอื สามญั วิสยัเพื่อนรวมสังสารวัฏ และในฐานะที่โดยเฉลี่ยเปนผูมีคุณธรรมในระดับสูง พรอมทั้งใหมีทาทีแหงการไมวุนวายไมกาวกายแทรกแซงกนั โดยตา งกเ็ พยี รพยายาม ทํากิจของตนไปตามหนา ที่ ทาทีแหงการไมรบกวนและไมชวนกันใหเสียเชนนี้ ถาสังเกต ก็จะพบวาเปนสิ่งที่ปรากฏชัดเจนในประเพณีความสัมพันธแบบชาวพุทธระหวางมนุษยกับเทวดา เพราะมีเรื่องราวเลากันมามากมายในคัมภีรตางๆ เฉพาะอยา งยิง่ อรรถกถาชาดกและอรรถกถาธรรมบท ตามประเพณนี ้ี เทวดาท่ีชว ยเหลือมนษุ ยกม็ ีอยูเหมอื นกัน แตลักษณะการชวยเหลือ และเหตุที่จะชวยเหลือตางออกไปจากแบบกอน คือ เทวดาท่ีชวยเหลือมาชวยเองดว ยคุณธรรมคือความดีของเทวดาเอง มิใชเพราะการเรียกรองออนวอนของมนุษย และเทวดาก็มิไดเรียกรองตองการหรือการออนวอนนน้ั ทางฝายมนุษยผ ูไดร ับความชวยเหลือกท็ ําความดไี ปตามปกติธรรมดาดว ยคณุ ธรรมและความสาํ นกึ เหตุผลของเขาเอง มไิ ดคํานึงวาจะมีใครมาชวยเหลือหรือไม และมิไดเรียกรองขอความชวยเหลือใดๆ สวนตัวกลางคือเหตุใหมีการชวยเหลอื เกิดขน้ึ กค็ ือความดีหรือการทําความดีของมนุษย มิใชการเรียกรองออนวอน

อิทธปิ าฏหิ ารยิ -เทวดา ๔๗หรอื อามิสสินวอนใดๆ เทวดาองคเดน ทีค่ อยชว ยเหลือมนุษยต ามประเพณีน้ีไดแกทาวสักกะที่เรียกกันวา พระอินทร คติการชวยเหลือของพระอินทรอยางนี้ นับวาเปนวิวัฒนาการชวงตอท่ีเชื่อมจากคติแหงเทวานุภาพของลัทธิศาสนาแบบเดิม เขาสูคติแหงกรรมของพระพุทธศาสนา๔๕ แมจะยังมิใชเปนตัวแทบริสุทธิ์ตามหลกั การของพระพทุ ธศาสนา แตก ็เปนคติที่ววิ ัฒนเ ขา สคู วามเปนพุทธ ถงึ ข้ันทยี่ อมรับเปนพทุ ธได สาระสําคัญของคติน้ีก็คือ มนุษยท่ีดียอมทําความดีไปตามเหตุผลสามัญของมนุษยเอง และทําอยางม่ันคงแนวแนเต็มสตปิ ญญาจนสดุ ความสามารถของตน ไมคาํ นึงถึง ไมรีรอ ไมเ รยี กรองความชว ยเหลอื จากเทวดาใดๆ เลย เทวดาทดี่ ียอ มใสใ จคอยดูแลชวยเหลือมนุษยท่ีดีดวยคุณธรรมของเทวดาเอง เมื่อมนุษยผูทําดีไดรับความเดอื ดรอ น หากเทวดายงั มคี วามดอี ยบู าง เทวดาก็จะทนดไู มไ หวตอ งลงมาชว ยเอง๔๖ พดู งา ยๆ วา มนษุ ยก ท็ าํ ดโี ดยไมคาํ นงึ ถึงการชวยเหลือของเทวดา เทวดากช็ วยโดยไมค าํ นึงถึงการออ นวอนของมนษุ ย ถา ใครยงั หว งยงั หวงั ยงั เยอื่ ใยในทางเทวานภุ าพอยู ก็อาจจะทอ งคติตอ ไปนีไ้ วป ลอบใจวา \"การเพียรพยายามทาํ ดี

๔๘ เรอื่ งเหนอื สามัญวสิ ยัเปนหนาที่ของมนุษย การชว ยเหลอื คนทาํ ดเี ปนหนาทข่ี องสวรรค เราทาํ หนาที่ของมนษุ ยใหดที ี่สดุ กแ็ ลวกนั \"๔๗ ถามนุษยไมเพียรทําดี มัวแตออนวอนเทวดา และถาเทวดาไมใสใ จชว ยคนทําดี มัวแตร อการออ นวอนหรือคอยชว ยคนท่อี อนวอน ก็คอื เปนผูท ําผิดตอหนาที่ เมอื่ มนุษยแ ละเทวดาตา งขาดคณุ ธรรม ปฏิบตั ิผิดหนา ที่ ก็จะประสบความหายนะไปดว ยกนั ตามกฎธรรมดาทีค่ วบคุมทง้ั มนษุ ยแ ละสวรรคอยอู ีกช้ันหน่งึ

อทิ ธปิ าฏหิ ารยิ -เทวดา ๔๙สรุปวิธีปฏิบัตทิ ีถ่ ูกตอ ง ตอ เร่ืองเหนือสามญั วสิ ยัเขา ใจพัฒนาการแหงความสัมพันธ ๓ ขั้น ชุมชนหรือสังคมตามหลักการของพระพุทธศาสนาประกอบดวยผูค นมากมายซ่งึ กําลังกา วเดินอยู ณ ตําแหนง แหง ท่ีตา งๆ บนหนทางสายใหญส ายเดียวกนั ซึ่งนาํ ไปสูจดุ หมายปลายทางเดียวกัน และคนเหลานั้นกาวออกมาจากจุดเริ่มตนที่ตางๆกัน พูดอีกอยางหน่ึงวา สัตวทั้งหลายเจริญอยูในขั้นตอนตางๆแหง พัฒนาการในอริยธรรม เม่ือมองดูการเดินทางหรือพัฒนาการน้ันในแงที่เกี่ยวกับเรือ่ งเทวดา ก็จะเหน็ ลําดับขนั้ แหงพฒั นาการ เปน ๓ ขนั้ คอื ข้ันออนวอนหวังพ่ึงเทวดา ข้ึนอยูรวมกันดวยไมตรีกับเทวดาและข้ันไดรบั ความเคารพบชู าจากเทวดา ขน้ั ที่ ๑ จัดวา เปนข้นั กอ นพฒั นา ข้ันที่ ๒ คอื จดุ เรมิ่ ตน ของชมุ ชนแบบพทุ ธหรอื ชุมชนอารยะ

๕๐ เร่ืองเหนอื สามัญวสิ ัย ข้ันที่ ๓ เปนระดับพัฒนาการของผูเขาถึงจุดหมายของพระพุทธศาสนา ขอ ควรยาํ้ ก็คอื คนผูใดผหู น่ึงจะไดช อ่ื วาเปน ชาวพทุ ธกต็ อ เมื่อเขากา วพน จากขั้นออนวอนหวงั พึง่ เทพเจาเขา สูข้ันอยูรว มกันดว ยไมตรีซ่ึงเขาจะดําเนินชีวิตดวยความเพียรพยายามกระทําการตามเหตุผลเลิกมองเทวดาในฐานะผูมีอํานาจท่จี ะตองวิงวอนประจบเอาใจเปล่ียนมามองในฐานะเปนญาติมิตรดีงามที่ควรเคารพนับถือมีเมตตาตอกัน๔๘ ไมค วรมวั่ สุมคลุกคลีกนั ไมควรรบกวนกาวกายกนั และไมค วรสมคบกันทาํ สง่ิ เสยี หายไมชอบดว ยเหตุผล เมื่อมองพัฒนาการน้ันในแงท่ีเก่ียวกับอิทธิปาฏิหาริย(รวมถงึ อํานาจศกั ดิส์ ทิ ธเิ์ รนลับอนื่ ๆ) ก็จะมีลําดับ ๓ ขน้ั เหมอื นกนัคอื ขน้ั หวังพึ่ง ขัน้ เสรมิ กําลงั และขนั้ เปน อิสระสนิ้ เชิง ขน้ั ที่ ๑ เปนขน้ั รอคอยอํานาจภายนอกดลบนั ดาล ทําใหหมกมุนฝกใฝ ปลอยทิ้งเวลา ความเพยี รและการคดิ เหตุผลของตน จดั เปนขน้ั กอนพัฒนาหรือนอกชมุ ชนอารยะ ข้ันท่ี ๒ คือข้ันท่ีทําอิทธิปาฏิหาริยไดเองแลว และใชอทิ ธิปาฏิหารยิ น้ันเพ่อื เสรมิ กาํ ลังในการทาํ ความดีอยา งอนื่ เชน ใน

อิทธิปาฏิหารยิ -เทวดา ๕๑การชวยเหลือผูอื่นจากภัยอันตราย และเปนเครื่องประกอบของอนุสาสนปี าฏิหารยิ  ถา เปน สิ่งมงคลศักดิ์สทิ ธ์อิ ยา งอืน่ ๔๙ ขั้นท่ี ๒นี้ก็อนุโลมไปถึงการมีสิ่งเหลานั้นในฐานะเปนเคร่ืองเสริมกําลังใจหรือเปนเพอื่ นใจใหเ กิดความอุนใจ ทําใหเพียรพยายามทําความดีงามไดแข็งแรงยิ่งข้นึ มคี วามม่ันใจในตนเองมากย่งิ ขึ้น หรือเปนเคร่ืองเตือนสติและเรงเราใหประพฤติส่ิงท่ีดีงาม ข้ันน้ีพอจะยอมรับไดวาเปนการเริ่มตนเขาสูระบบชีวิตแบบชาวพุทธ แตทานไมพยายามสนบั สนุน เพราะยงั อาจปะปนกบั ข้ันท่ี ๑ ไดง าย ควรรีบกาว ตอใหผานพนไปเสีย ควรระลึกอยูเสมอถึงคุณสมบัติของอุบาสกท่ดี ขี อ ที่ ๓ วา \"ไมถ อื มงคลต่นื ขาว มุงกรรม คดิ มงุ เอาผลจากการกระทาํ ไมมุงหามงคล\"๕๐ ข้ันท่ี ๓ คอื การมีชวี ิตจติ ใจเปนอิสระ ดาํ เนินชวี ติ ทโ่ี ปรงเบาแทโดยไมตองอาศัยอิทธิปาฏิหาริย หรือสิ่งอ่ืนภายนอกมาเสริมกาํ ลงั ใจของตนเลย เพราะมีจิตใจเขม แขง็ เพยี งพอ สามารถบังคับควบคุมจิตใจของตนไดเอง ปราศจากความหวาดหวน่ั กลวัภัย อยางนอยก็มีความม่ันใจในพระรัตนตรัยอยางบริบูรณเปนหลกั ประกัน ขัน้ ที่ ๓ นี้ จดั เปนขัน้ เขาถึงพระพุทธศาสนา

๕๒ เรอ่ื งเหนอื สามัญวิสยักา วเขา สขู น้ั ของการมีชีวิตอิสระ เพ่ือเปน ชาวพทุ ธทแ่ี ท ในการนาํ คนใหพัฒนาผานขนั้ ตา ง เหลา นี้ งานสําคัญก็คอืการส่ังสอนแนะนํา และผูที่ถือกันวาเปนหลักในการทําหนาท่ีน้ีก็คือพระภิกษุสงฆ การพัฒนาหรอื กา วหนา ในทาง จะไปไดชา หรือเร็ว มากหรือนอยยอมข้นึ ตอปจ จยั ทั้งฝายผแู นะนําสั่งสอนและคนท่รี ับคําสอน ผูสอนยอ มมีความสามารถมากนอยตางกัน คนทฟ่ี งก็เปนผูกาวเดินออกจากจุดเร่ิมตนตางๆ กัน มีความพรอมหรือความแกกลา แหง อินทรียไมเหมอื นกัน จรงิ อยู จดุ หมายของการสอนและการกาวเดินยอมอยู ณ ข้ันท่ีสาม ถาผูสอนมีความสามารถชาํ นาญในอนุสาสนี และคนรับคาํ สอนพรอมอยูแลว ก็อาจใชแ ตเ พยี งอนสุ าสนีอยางเดยี ว พากา วครง้ั เดียวจากขั้นที่ ๑เขาสูข นั้ ท่ี ๓ ทันที ย่ิงเชี่ยวชาญในอนุสาสนีมาก ก็ยิง่ สามารถชว ยใหค นรับคําสอนเปน ผูพ รอมขึน้ ดวยและกา วเรว็ ไดด ว ย แตพ ระทุกรปู มิใชจ ะเกงอนสุ าสนเี หมือนกันหมด การผอนปรนจงึ เกิดมีข้ึน ตามปกติ ในการนําคนกาวออกมาและเดินหนาไปสูขั้นตางๆ น้นั ผสู อนจะตอ งเขาไปหาใหถงึ ตวั เขา ณ จดุ ท่เี ขายืนอยูหรือไมก็ตองหาอะไรหยิบย่ืนโยนไปใหเพื่อเช่ือมตัวใหถึงกัน แลว

อิทธปิ าฏิหาริย- เทวดา ๕๓จึงดงึ เขาออกมาได เมอื่ ผสู อนไมม ีความสามารถ ปราศจากเครอ่ื งมือสื่อโยงชนดิ พเิ ศษ กต็ องเขาไปใหถ งึ ตวั เขา แลวพาเขาเดนิ ออกมาดว ยกนั กับตน โดยเรม่ิ จากจุดท่ีเขายืนอยนู ัน้ เอง คงจะเปนดวยเหตุเชน นี้ จงึ มีการผอ นปรนในรปู ตางๆ ซอยละเอยี ดออกไปอนั จัดรวมเขาในขนั้ ท่ีสองของการพัฒนา หลักการของการผอนปรนนี้ก็คือการใชสิ่งท่ีเขายึดถืออยูเดิมน่ันเองเปนจุดเริ่มตน วิธีเร่ิมอาจทําโดยแกะสิ่งที่เขายึดหรือเกาะติด อยนู ้นั ออกจากฐานเดมิ แลวหนั เหบา ยหนา มาสูทศิ ทางที่ถูกตอง พรอมท้ังใชส่ิงที่เขายึดเกาะอยนู ้นั เปน เคร่ืองจูงเขาออกมาจนพนจากที่นั้น วิธีการนี้เห็นไดจากพุทธบัญญัติเกี่ยวกับการเหยียบผืนผา เรื่องมีวาคราวหนึ่งเจาชายโพธิ (โพธิราชกุมาร)สรางวังแหงหนึ่งเสร็จใหม จึงนิมนตพระสงฆมีพระพุทธเจาเปนประมุขไปฉันที่วังนั้น เจาชายไดใหปูลาดผาขาวท่ัวหมดถึงบันใดข้นั ที่ ๑ เมือ่ พระพทุ ธเจา เสด็จถงึ วังก็ไมท รงเหยียบผา จนเจาชายโปรดใหมวนเก็บผืนผาแลวจึงเสด็จขึ้นวัง และไดทรงบัญญัติสิกขาบทไวหามภิกษุเหยียบผืนผา ตอมาหญิงผูหน่ึงซ่ึงแทงบุตรใหมๆ ไดนมิ นตพระมาบานของตน แลวปูผาผืนหนึ่งลง ขอรองให

๕๔ เรื่องเหนอื สามัญวสิ ยัพระภิกษุท้ังหลายเหยียบเพ่ือเปนมงคล ภิกษุเหลานั้นไมยอมเหยียบ หญิงน้ันเสียใจ และติเตียนโพนทะนาวาภิกษุท้ังหลายความทราบถึงพระพทุ ธองค จงึ ไดท รงวางอนุบญั ญตั ิ อนญุ าตใหภิกษุทั้งหลายเหยียบผืนผาไดในเม่ือชาวบานขอรอง เพ่ือเปนมงคลแกพวกเขา๕๑ พทุ ธบญั ญัตนิ น้ี าจะเปน สาเหตหุ รือขอ อางอยางหน่ึง ทีท่ าํใหพระสงฆไดโอนออนผอนตามความประสงคของชาวบานเกี่ยวกบั พธิ กี รรมและสิง่ ที่เรยี กวา วตั ถุมงคล๕๒ ตา งๆ ขยายกวา งออกไปเปด รับเคร่อื งรางของขลงั และสิง่ ศกั ด์สิ ทิ ธอ นื่ เขา มามากมาย จนบางสมยั รสู กึ กนั วาเกิดขอบเขตอนั สมควร๕๓ อยางไรกต็ าม ถาเขาใจหลักการที่กลาวมาขางตนดีแลว และปฏิบัติตามหลักการน้ันดวย ปฏิบัติใหตรงตามพุทธบัญญัติน้ีในแงท่ีวาทําตอเมื่อเขาขอรองดวย ความผดิ พลาดเสียหายและความเฟอเฝอเลยเกดิ ก็คงจะไมเ กดิ ขน้ึ สวนทางดานเทวดา ความผอนปรนในระดับพัฒนาการขนั้ ที่ ๒ กเ็ ปด โอกาสใหชาวพทุ ธผูอยูในสภาพแวดลอ มซงึ่ นบั ถอืบูชาเทวดามาแตเดิม แสดงความเอ้ือเฟอเก้ือกูลแกเทวดาไดตอ

อิทธปิ าฏิหาริย- เทวดา ๕๕ไป ถงึ จะทําพลีกรรมแกเ ทวดา ก็สนบั สนุน๕๔ เพียงแตมีขอ แมว าตองทําฐานสงเคราะหอนุเคราะหแสดงเมตตาจิตตอกัน มิใชจะออ นวอนหรอื ขอผลตอบแทน เมอื่ ไปอาศยั อยู ณ ถนิ่ ฐานใดกต็ ามทําการบํารุงถวายทานแกทานผูทรงศีลแลว ก็ตั้งจิตเผ่ือแผอุทิศสว นบญุ ไปใหแกเ ทวดาทงั้ หลายในทีน่ ้นั ดวย เทวดาทงั้ หลายไดรบั ความเออื้ เฟอ แลว กจ็ ะมไี มตรีจติ ตอบแทน \"เทวดาท้ังหลาย ไดรับการบชู า (ยกยอ งใหเกยี รติ) จากเขาแลว ยอ มบูชาเขา ไดร ับความนบั ถือจากเขาแลว ยอ มนับถอื เขา และยอ มเอน็ ดเู ขาเหมือนแมเอ็นดูลูก\"๕๕ อยางไรก็ดี ไมตรีจิตตอบแทนจากเทวดาที่วาน้ีเปนเรื่องของเทวดาเอง ผูอุทิศกุศลไมตองไปคิดหวังเอา หนาที่ของเรามีเพยี งตงั้ จิตเมตตาแผค วามดีใหเทา น้ัน สําหรับคนท่ีมีความเขาใจในหลักการน้ีเปนอยางดีแลวเม่ือเขานึกถึงเทวดา ก็จะนึกถึงดวยจิตใจที่ดีงาม มีแตความปรารถนาดี เม่ือทําความดีหรือทําส่ิงใดที่ดีงามเปนบุญเปนกุศลจะแผบุญกุศลน้ันไปใหแกเทวดาดว ย ก็ไมม ขี อ เสียหายอะไร มีแตจะสงเสริมคุณภาพจิตของตนเอง และแผความดีงามรมเย็นใหกวางออกไปในโลก เมอื่ ยงั กาวไมพ นจากพัฒนาการขนั้ ท่ี ๒ สขู ้นั

๕๖ เร่ืองเหนือสามญั วิสยัที่ ๓ อยูตราบใด หากยังรักษาความสมั พันธใหอ ยูภ ายในหลกั การแหงความอยูรว มกนั ดวยดนี ไี้ ด ไมถ ลํากลบั ไปสูการประจบเอาใจหรือเรยี กรองออนวอน การกระทาํ ตา งๆ กจ็ ะรกั ษาตัวมนั เองใหอยูภายในขอบเขตที่จะไมเกิดผลเสียหายท้ังแกชีวิตแกสังคม อีกท้ังจะไดผลดีทางจติ ใจเปน กําไรอกี ดว ยวธิ ปี ฏบิ ัติทถ่ี ูกตอ งตอ สิ่งเหนอื สามญั วสิ ยั เทา ท่ีบรรยายมาอยางยืดยาวในเรือ่ งน้ี ก็เพียงเพือ่ ใหเ หน็วิธีปฏิบัติที่ถูกตองสมควรตอสิ่งเหนือวิสามัญวิสัย โดยไมขัดกับหลกั การของพระพทุ ธศาสนา ซงึ่ มุง ใหเกดิ ประโยชนท ้งั แกชีวิตของบคุ คลและแกสังคม ขอสรุปอกี ครัง้ หนึ่งวา วิธีปฏิบตั ติ อ เทวดาและอทิ ธปิ าฏหิ ารยิ ต ลอดจนมงคลฤทธต์ิ า งๆ เปน เรอ่ื งไมย งุ ยากอยา งใดถา เราประพฤติถกู ตองตามธรรมอยแู ลว กด็ าํ เนินชวี ติ ไปตามปกติ เมือ่ เราอยใู นสงั คมนี้ ก็ยอ มไดย ินไดฟ งเกี่ยวกบั เทวดาบางส่ิงศักดส์ิ ิทธ์ิ อทิ ธิฤทธ์บิ า ง บางครงั้ เราก็ระแวงวา สิ่งเหลานน้ั มีจริงหรือวาไมมีจริง ถามีจะทําอยางไรเปนตน พึงม่ันใจตนและเลิกกังวล ฟุงซานอยางนัน้ เสยี แลว ดาํ เนินวิธปี ฏิบัตทิ ไ่ี มผิดทกุ กรณี

อทิ ธปิ าฏิหาริย- เทวดา ๕๗ซ่ึงเปนวธิ ปี ฏิบตั สิ ําเรจ็ ไดทใ่ี นใจน้ีเอง คอื สาํ หรบั เทวดาเราพงึ มีทาทีแหงเมตตา ทําใจใหออนโยนตอสรรพสัตว ตั้งจิตปรารถนาดีหวังใหสัตวทั้งหลายรวมทั้งเทวดาดวยท่ีเปนเพื่อนรวมโลกทั้งปวงตางอยเู ปนสขุ เคารพความดขี องกันและกัน และในสงั คมน้ี เราคงตองพบกับคนทง้ั สองประเภทคอื ผูท่ีฝก ใฝหมกมนุ หวังพ่ึงเทวดา และผทู ีไ่ มเ ชื่อถือมจี ิตกระดา งขึ้งเคยี ดเหยยี ดหยามทงั้ ตอ เทวดาและผูนับถอื เทวดา ตา งววิ าทขัดแยง กนัเรามโี อกาส กพ็ ึงชกั จูงคนทั้งสองพวกนั้นใหม าอยู ณ จดุ กลางท่ีพอดี คือความมีจิตเมตตาออนโยนตอเทวดาและตอกันและกันพรอมน้ันในดานกิจหนาท่ีของตน เราพึงกระทําดวยความเพียรพยายามเต็มความสามารถไปตามเหตุผล ถา ยงั หว งการชว ยเหลือของเทพเจา ก็พึงวางจิตวา ถา ความดขี องเราเพยี งพอและเทพเจาท่ดี ีงามมีนาํ้ ใจสจุ รติ มีอยู ก็ปลอ ยใหเปน เรือ่ งของเทพเจา เหลาน้ันทานจะพิจารณาตัดสินใจเอง สวนตัวเราน้ันจะตั้งจิตม่ัน เพียรพยายามทํากิจของตนไปจนสุดกําลังสติปญญาความสามารถและจะฝกฝนตนใหเจริญกาวหนายิ่งขึ้นไปท้ังในทางปญญาและคุณธรรมจนขามพนเขาสพู ฒั นาการข้นั ทสี่ าม ซง่ึ เปน อสิ ระและสม

๕๘ เร่ืองเหนอื สามัญวิสัยควรเปน ท่เี คารพบูชาของเทวดาได (มิใชหมายความวา จะใหต ง้ั ใจประพฤติดีเพ่ือใหเทวดาเคารพบูชา หรือใหกระดางกระเดื่องตอเทวดาซึง่ จะกลายเปน มานะอหงั การไป แตห มายความวา เราทําความดีของเราไปตามเหตุผลของเรา เปนเร่ืองของเทวดาเขาเคารพเอง เพราะเทวดานน้ั มคี วามดีที่จะเคารพความดขี องคนดี) สวนเรือ่ งอทิ ธิปาฏิหาริยแ ละสง่ิ มงคลศักดส์ิ ิทธิท์ ั้งหลาย ก็พึงปฏบิ ัตอิ ยา งเดยี วกัน เปลี่ยนแตเ พียงทาทแี หงเมตตามาเปนทาทแี หง ความมีพลงั จิต สรา งฤทธแ์ิ ละมงคลใหเ กดิ มีเปน ของตนเองฤทธ์ิท่ีควรสรางไดตั้งแตเบื้องตนก็คือความเพียรพยายามบากบั่นเขมแข็ง พรอมทั้งความหนักแนนในเหตุผลซ่ึงเปนแรงบันดาลความสําเร็จแหงกิจหนา ที่ มงคลก็คอื คณุ ธรรมและความสามารถตางๆ ที่ไดปลูกฝงสรางขึ้นอันเสริมสงและคุมนําไปสูความสุขความเจรญิ และความเกษมสวสั ด๕ี ๖ ทางดานพระภกิ ษุผสู มั พนั ธก บั ประชาชนในฐานะผูนาํ ทางจติ ใจ เมอ่ื จะตอ งเกี่ยวของกับสงิ่ เหลาน้ีพึงเตรียมใจระมัดระวังถือเหมือนดังเขาผจญภัยโดยไมประมาท สําหรับผูเกงกาจทางอนุสาสนี ก็ไมสกู ระไร อาจอาศยั ความเชยี่ วชาญในเชงิ สอน นาํ

อทิ ธปิ าฏหิ าริย- เทวดา ๕๙ชาวบานกาวสูพัฒนาการข้ันสูงๆ ไดโดยรวดเร็ว แตก็มีขอควรระวงั อยบู าง เพราะบางทา นสามารถใชอ นุสาสนีทําใหค นเลกิ เชื่อถอื สงิ่ ทีเ่ ขาเคยยึดถอื อยูเดมิ ได แตหยดุ แคน ั้นหรอื ไมอ าจช้แี นะใหเขาเกิดปญญามองเหน็ ทางถูกตองทีจ่ ะเดินตอ ไป ทําใหชาวบานมีอาการอยา งท่วี า ศรัทธาก็หมด ปญ ญากไ็ มม ี ตกอยใู นภาวะเควงควา ง เปนอันตรายทั้งแกช วี ิตของเขาเองและแกส งั คม สวนทา นทไี่ มถ นัดในเชงิ สอนเชนนน้ั และจะเขา ไปใชส ิ่งที่เขายึดอยูเปนจุดเร่ิมตน มีขอที่จะตองตระหนักมั่นไวในใจหลายอยาง๕๗ สําหรับอิทธิปาฏิหาริย เปนอันตัดไปได เพราะมีพุทธบัญญัตหิ ามไวแลววาไมใหพ ระสงฆแ สดงแกช าวบา น คงเหลืออยูแตมงคลหรือส่ิงที่จะใหเกิดมงคล เบื้องแรกที่สุดจะตองกําหนดแนวแนเปนเคร่ืองปองกันตวั ไวก อนวา จะตอ งไมใชส ิง่ เหลานเี้ ปนเครื่องมอื เลีย้ งชีวติ แสวงหาลาภ ซงึ่ เปนมจิ ฉาชพี และเปนความบกพรองเสียหายในดานศีล ตอจากนั้น มีขอ เตอื นสํานึกในทางปฏิบตั โิ ดยตรงคอื ตองระลึกไวเสมอวา ขอท่ี ๑ การทเี่ ขาไปเก่ยี วขอ งกับสง่ิ เหลา นน้ั กเ็ พอ่ืชวยประชาชนใหเ ปนอสิ ระจากสง่ิ เหลา นนั้ เชน เกี่ยวขอ งกบั ฤทธ์ิ

๖๐ เร่ืองเหนือสามัญวสิ ัยเพื่อชวยใหเ ขาเปนอสิ ระจากฤทธิ์ และเพ่อื ความเปนอิสระตามขอท่ีหนึ่งนี้ ขอ ท่ี ๒ จงึ ตามมาวา เม่ือเรมิ่ จดุ ตั้งตน ณ ท่ีใด จะตอ งพาเขาเดินหนาจากจุดน้ันเร่ือยไป จนกวาจะถึงจุดหมายคือความเปนอิสระ จะถอยหลังไปจากจดุ นน้ั อีกไมได และตามนัยของขอ ท่ีสองนี้ จะปรากฏผลในทางปฏิบัติวา ความฝกใฝหมกมุนในส่ิงเหลานี้จะตองลดลง หรืออยางนอยไมเพ่ิมมากขึ้น หรือกําหนดออกไปอีกเปนทาทีของการปฏิบัติไดวาจะไมสงเสริมความฝกใฝหมกหมุนในส่ิงเหลานี้ใหแพรหลายขยายตัว จะมีแตการควบคุมใหอยูในขอบเขตและการทําใหลดนอยลง คือเปล่ียนขั้นพฒั นาการเขาสขู ้ันท่ี ๒ ใหห มด นอกจากน้ี ควรพยายามเนนใหปฏิบัติตามพุทธานุญาตท่ีวาทําตอเมื่อเขาขอ ซ่ึงจะเปนการกระชบั ขอบเขตใหร ัดตัวเขามาอีก ขอ ที่ ๓ ซึ่งไมอ าจลมื ไดคอื ตองใหอนุสาสนชี นิดนําออกเสนอในเมอื่ ไดโ อกาส เพือ่ ทั้งเรงรัดและกาํ ชบั ใหเปนไปตามจุดมงุ หมาย ทางดานประชาชนที่กาํ ลังพฒั นาขา มจากข้นั ท่ี ๑ สขู น้ั ที่๒ การผอนปรนหรือโอนออนผอนตามจะมีไดอยางมากท่ีสุด ก็เพียงเทาท่อี ยใู นขอบเขตซงึ่





อทิ ธปิ าฏหิ ารยิ - เทวดา ๖๓ส่ิงท่ีใชรวมในพุทธศาสนากับในศาสนาเดิมยังมีมาก และส่ิงนั้นบางทีกเ็ ปนส่ิงเดียวกันแทๆ เชน มงคลและพลี เปน ตน ตา งแตทา ทีแหง ความเขา ใจสาํ หรับชน้ี ํา และจํากดั ขอบเขตของการปฏบิ ัติ ถาเกิดเหตุเพียงแควาเผลอลืมทาทีของการวางจิตใจน้ีเสียเทาน้ันพฤติกรรมของผูปฏิบัติก็อาจพลิกกลับเปนตรงขามไดทันที คือหลนจากสมาชิกภาพในชุมชนพุทธ ถอยกลับไปอยูนอกชุมชนอารยะ (นา กลวั วาจะไดเปน กันมาเสยี อยางน้ีหลายครัง้ แลว) ดงันน้ั คาํ วา \"เดนิ หนา \" จงึ เปน ขอเตือนสํานึกสําคญั ที่จะตองมาดว ยกนั เสมอกบั ความสาํ นกึ ในทา ทีท่เี ปน ขอบเขตของการปฏิบัต๕ิ ๙ เม่ือใดเดนิ ทางกาวหนาถึงขั้นท่ี ๓ เมื่อน้ันจงึ จะปลอดภัยแท เพราะไดเขาอยูในชุมชนอารยะเปนโสดาบันขึ้นไป ไมมีการถอยหลังหรอื ลงั เลใดๆ อีก มีแตจ ะเดนิ หนา อยางเดียว เพราะเขาถงึ ความหมายของพระรตั นตรัย ม่ันใจในความเปน ไปตามเหตผุ ลจนมีศรัทธาที่ไมหว่ันไหว ไมตอ งอางองิ ปจจยั ภายนอก ไมวา สิง่ศักดิ์สิทธิ์หรือเทวฤทธ์ิใดๆ และไมมีกิเลสรุนแรงพอท่ีจะใหทําความช่ัวรายหรือใหเกิดปญหาใหญๆ เปนปมในใจท่ีจะตองระบาย กับทั้งรูจักความสุขอันประณีตซ่ึงเกิดจากความสุขสงบ

๖๔ เรอื่ งเหนือสามญั วสิ ยัผองใสภายในแลว จึงมีความเขมแข็งมั่นคงในจริยธรรมอยางแทจรงิ ภาวะท่ีมีคณุ ธรรมมคี วามสุข และเปนอสิ ระ ซ่ึงอทิ ธิพลภายนอกไมอาจมาครอบงําชักจูงไดเพียงเทาน้ี เปนความประเสริฐเพียงพอท่ีเทพเจาเหลาเทวดาจะบูชานบไหว๖๐ และพอที่จะใหชีวิตของผนู ั้นเปน อดุ มมงคลคอื มงคลอนั สูงสุดอยูแ ลว ในตวั มนษุ ยเ ปน ยอดแหงสตั วท ฝ่ี ก ได เรียกอยา งสมยั ใหมว า มีศกั ยภาพสูง สามารถฝก ไดท งั้ ทางกาย ทางจิต และทางปญ ญาใหว เิ ศษ ทาํ อะไรๆ ไดป ระณตี วจิ ติ รพสิ ดารแสนอศั จรรย อยา งแทบไมนาเปนไปได๖๑ การมัวเพลนิ หวงั ผลจากฤทธานุภาพและเทวา-นภุ าพดลบนั ดาล ก็คือการตกอยูในความประมาท ละเลยปลอ ยใหศักยภาพของตนสูญไปเสียเปลา และจะไมรูจักเติบโตในอริยมรรคา สวนผูใดไมประมาทไมรีรอ เรงฝก ฝนตนไมห ยดุ ยง้ั ผูนั้นแหละจะไดทั้งอิทธิฤทธิ์และเทวฤทธ์ิ และจะบรรลุสิ่งเลิศลํ้าท่ีท้ังฤทธานุภาพและเทวานภุ าพไมอาจอํานวยใหได

อิทธิปาฏหิ าริย-เทวดา ๖๕ บันทกึ พิเศษทายบท สาํ หรับผสู นใจเชงิ วิชาการ บนั ทึกท่ี ๑ : อทิ ธปิ าฏิหาริยใ นคัมภรี  การแสดงอิทธิปาฏิหาริยของพระพุทธเจาเทาที่พบในพระไตรปฎ กคอื ● ทรมานหวั หนา ชฎลิ ชอ่ื อรุ เุ วลกสั สป (ทรมาน มาจาก ทมนะแปลวา ฝก คอื ทําใหห มดทฏิ ฐิมานะ หันมายอมรับถือปฏบิ ตั ิส่งิ ที่ถูกตอง ไมใชท ําใหเ จ็บปวด) - วินย.๔/๓๗-๕๑/๔๕-๖๐; ● ทรมานพกพรหม - ม.มู.๑๒/๕๕๑-๕/๕๙๐-๗; ส.ํ ส.๑๕/๕๖๖/๒๐๘; ● ทรมานพรหมอีกองคหนง่ึ - ส.ํ ส.๑๕/๕๗๓/๒๑๑;

๖๖ เรอ่ื งเหนือสามัญวสิ ยั ● แกความเห็นของสุนักขัตต และแกคําทาของอเจลกชื่อปาฏกิ บุตร - ท.ี ปา.๑๑/๔-๑๒/๖-๒๙; ● ทรมานโจรองคุลิมาล - ม.ม.๑๓/๕๒๔/๔๗๙; ● ทําใหพระภิกษุพวกหนึ่งประหวั่นใจแลวมาเฝาเพ่ือพระองคจ ะตรัสสอน - ส.ํ ข.๑๗/๑๖๗/๑๑๗; ● ทําใหจําเพาะบางคนเห็นมหาบุรุษลักษณะในท่ีเรนลับ- ท.ี สี.๙/๑๗๐/๑๓๖; ๑๗๕/๑๓๙; ม.ม.๑๓/๕๘๗/๕๓๑; ๖๐๘/๕๕๓ = ขุ.ส.ุ ๒๕/๓๗๖/๔๔๓; ● แผเมตตาใหชางรายนาฬาคีรีมีอาการเช่ือง (ไมใชอทิ ธิปาฏหิ ารยิ โดยตรง) - วินย.๗/๓๗๘/๑๘๙; ● ผจญอาฬวกยกั ษ (ไมใชแสดงฤทธโิ์ ดยตรง) - ส.ํ ส.๑๕/๘๓๘/๓๑๔; ขุ.ส.ุ ๒๕/๓๑๐/๓๕๙; ● เร่อื งท่ีมาในอรรถกถาเชน ยมกปาฏิหารยิ  แกคาํ ทาของพวกเดยี รตถีย - ที.อ.๑/๗๗; ธ.อ.๖/๖๒; ชา.อ.๖/๒๓๑; (ทั้งนีอ้ ิงบาลีใน - ข.ุ ปฏ.ิ ๓๑/๐/๔; ๒๘๔/๑๘๒ และ วนิ ย.๗/๓๑/๑๔); ● ทรงนาํ พระภิกษุใหม ๕๐๐ รูป เทย่ี วชมธรรมชาตใิ นปาหิมพานตแกความคดิ ถงึ ครู ักคูครอง - ชา.อ.๘/๓๓๕; เปน ตน

อิทธิปาฏหิ าริย-เทวดา ๖๗การแสดงอิทธปิ าฏหิ ารยิ ของพระสาวกทพี่ บในบาลี คอื ● พระปณโฑลภารัทวาช แกคําทา เหาะข้ึนไปเอาบาตรบนยอดไผ (ตน บญั ญตั ไิ มใ หภ กิ ษแุ สดงอทิ ธปิ าฏหิ ารยิ แ กช าวบา น)- วินย.๗/๓๑/๑๔; ● พระมหาโมคคัลลานป ราบมาร - ม.ม.ู ๑๒/๕๕๙/๖๐๑; ● พระปลินทวัจฉะนําบุตรของอุปฐากกลับคืนจากโจร -วนิ ย.๑/๑๗๓/๑๒๕; ● พระปลินทวัจฉะอธิษฐานวังพระเจาพิมพิสารเปนทองเพอื่ ชว ยแกช าวบา นจากขอ หาโจรกรรม - วนิ ย.๒/๑๓๙/๑๑๙-๑๒๑; ● พระทัพพมัลลบุตรใชนว้ิ เปน ประทปี สอ งทางนาํ พระภกิ ษุทงั้ หลายไปยงั เสนาสนะตา งๆ - วนิ ย.๑/๕๔๑/๓๖๙; ๖/๕๙๓/๓๐๖; ● พระสาคตะใชฤทธิใ์ หช าวบา นเห็น ทาํ ใหตอ งแสดงฤทธิ์ใหชาวบา นดตู อพระพกั ตรเพื่อใหช าวบาน ใจ สงบพรอ มทีจ่ ะฟงธรรม - วนิ ย.๕/๑/๓; ● พระสาคตะปราบนาคของชฎิล (ตนบัญญัติหามภิกษุดม่ื สุรา) - วนิ ย.๒/๕๗๕/๓๘๓; ● พระเทวทัตทําใหเจาชายอชาตศัตรูเลื่อมใส - วินย.

๖๘ เร่อื งเหนือสามญั วสิ ยั๗/๓๔๙/๑๖๔; ● พระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานกลับใจหมูภิกษุศิษยพระเทวทัตดวยอนุสาสนีปาฏิหาริยที่ควบดวยอิทธิปาฏหิ าริยและอาเทศนาปาฏหิ ารยิ  - วินย. ๗/๓๙๔/๑๙๘; ● พระมหกะบนั ดาลใหม ีลมเยน็ แดดออ น และฝน ชวยพระเถระที่กําลงั เดนิ ยามรอนจัด จิตตคฤหบดีเห็นจงึ ขอใหทาํ ฤทธิ์ใหด ู และทา นไดบ ันดาลใหเกิดไฟ - ส.ํ สฬ.๑๘/๕๕๖/๓๕๗; ● พระมหาโมคคัลลานบันดาลใหเวชยันตปราสาทสั่นสะเทอื นเพ่ือเตอื นสํานึกใหพ ระอนิ ทรไ มมวั เมาประมาท - ม.ม.ู ๑๒/๔๓๗ /๔๖๘; ● พระมหาโมคคัลลานบันดาลใหมิคารมาตุปราสาทสั่นสะเทือนเพ่ือเตอื นสาํ นกึ ของพวกภกิ ษผุ ูจัดจา นฟุง เฟอ - ส.ํ ม.๑๙/๑๑๕๕/๓๔๖; ● พระอภิภูสาวกของพระสิขีพุทธเจาแสดงธรรมโดยไมใหคนเห็นตัว ใหเ สียงไดยนิ ไปไดพ นั โลกธาตุ - ส.ํ ส.๑๕/๖๑๖/๒๒๙;อง.ฺ ติก.๒๐/๕๒๐/๒๙๑; ขุ.ปฏ.ิ ๓๑/๖๘๖/๕๙๖; สวนเร่ืองทเ่ี ลาในอรรถกถามมี ากมาย เชน

อิทธิปาฏหิ ารยิ -เทวดา ๖๙ ● พระจลุ ลบนั ถกบนั ดาลใหเ หน็ ตวั ทา นเปน พนั องค - อง.ฺ อ.๑/๒๒๘,๒๓๕; ธ.อ.๒/๗๔; วิสุทธฺ .ิ ๒/๒๑๙ (องิ บาลี ข.ุ ปฏิ. ๓๑/๖๘๕/๕๙๒); ● พระมหาโมคคัลลานท รมานนนั โทปนนั ทนาคราช -ชา.อ.๗/๓๕๖; วิสทุ ฺธ.ิ ๒/๒๓๓; ● พระปณุ ณะชว ยพอ คา ชาวเรอื จากการทาํ รา ยของอมนษุ ย- ม.อ.๓/๗๓๑-๔ (เพิม่ ความจากปณุ โณวาทสูตร, ม.อ.ุ ๑๔/๗๖๔/๔๘๕ และมีเรอ่ื งพระพทุ ธเจาเสดจ็ สุนาปรันตชนบท เปนทีม่ าของพระพุทธบาท ๒ แหง); ● สามเณรสงั กจิ จะชวยภิกษุ ๓๐ รูปโดยอาสาใหโจรจับตวั ไปบชู ายัญแทน และกลบั ใจโจรไดห มด - ธ.อ.๔/๑๑๑; ● สมุ นสามเณรปราบพญานาค - ธ.อ.๘/๘๙; ● พระสนุ ทรสมทุ รเหาะหนหี ญงิ นางโลม - ธ.อ.๘/๑๕๒;ฯลฯเร่ืองฤทธข์ิ องคนอนื่ มมี าในบาลีบา งบางแหง เชน ● พรหมสัมมาทิฏฐิทรมานพรหมมิจฉาทิฏฐิ - สํ.ส.๑๕/๕๘๖/๒๑๕;

๗๐ เรื่องเหนอื สามญั วิสยั ● ฤาษีชื่อโรหิตัสสะมีฤทธ์ิเหินเวหาดวยคามเร็วดังวายา งเทา เดยี วกข็ า มมหาสมทุ รไปแลว เหาะไปตลอด ๑๐๐ ปไ มห ยดุเลย กไ็ มถ งึ ทสี่ ดุ โลก ตายเสยี กอ น - ส.ํ ส.๑๕/๒๙๗/๘๘; อง.ฺ จตกุ กฺ .๒๑/๔๕/๖๑; ● พระอินทรแปลงเปนชางหูกมาถวายบิณฑบาตแกพระมหากสั สป - ขุ.อ.๒๕/๘๐/๑๕๕; สวนในอรรถกถามเี รือ่ งมากมาย โดยมากเปน การกระทําของเทวดา ยกั ษ วทิ ยาธร ฤาษี ดาบสตา งๆ ผมู บี ทบาทมากทานหนึง่ คือพระอินทร ซึ่งมกั แปลงกายบา ง ไมแ ปลงกายบาง ลงมาชวยคนดีบา ง ทดสอบความดีของคนดีบา ง ดังเชนแปลงเปนหนูมากัดเชือกรัดครรภปลอมของนางจิญจมาณวิกา - ธ.อ.๖/๔๕;ชา.อ.๖/๑๓๐; อติ .ิ อ.๑๑๓ และพบไดทั่วๆ ไปในอรรถกถาชาดก ; นอกจากน้ันมีกลาวถึงเปนกลาง มิใชเปนเหตุการณเฉพาะครั้งเฉพาะคราว เชน ● เปนเหตุหน่งึ ของแผน ดินไหว - ท.ี ม.๑๐/๙๘/๑๒๖; ● แสดงความสาํ คญั ของมโนกรรม - ม.ม.๑๓/๗๐/๖๓; ● เหตุใหอ ธษิ ฐานตน ไมเปนดินก็ได เปน นํ้ากไ็ ด เปนตน -

อิทธปิ าฏหิ ารยิ - เทวดา ๗๑องฺ.ฉกฺก.๒๒/๓๑๔/๓๘๐ ; ● กลาวถึงคนที่เปนโลกาธิปไตยเรงปฏิบัติธรรม เพราะกลวั วา สมณพรหมณแ ละเทวดาผมู ฤี ทธจ์ิ ะลว งรจู ติ ของตน - อง.ฺ ตกิ .๒๐/๔๗๙/๑๘๘

๗๒ เร่อื งเหนอื สามญั วสิ ยั บันทกึ ที่ ๒ : การชวยและการแกลงของพระอนิ ทร การชวยเหลือของพระอินทรนั้น ดูเหมือนจะมิใชเกิดจากเพียงคุณธรรมเทานั้น แตแทบจะถือเปนหนาที่ทีเดียวเพราะมีขอกําหนดกํากับอยูดวย คือ การท่ีอาสนรอนเปนสัญญาณเตือนเรื่องอาสนรอนน้ีก็นาจะเปนหลักฐานอยางหน่ึงที่แสดงถึงชวงตอของความเปลี่ยนแปลงจากการถูกบีบคั้นดวยแรงตบะหรือการบําเพ็ญพรตแบบเกา หันมาเนนในแงท่ีคุณธรรมความดีของคนเปน แรงเรงเรา แทน และพระอินทรในระยะชว งตอน้ี กย็ ังเก่ยี วขอ งกับพลังบีบบังคับที่เกิดจากตบะแบบเกาอยูดวย ในสถานการณบีบบังคับแบบเกานั้น การปฏิบัติของพระอินทรก็มักจะเปนไปในรูปของการแขงขัน ชิงชัยชิงอาํ นาจกับมนุษยแบบโลกๆ ที่ติดมากับระบบเกา เชน พยายามหาทางทาํ ลายตบะของมนุษยเปน ตนซึ่งเห็นไดชัดวาไมใชวิธีการแหงคุณธรรมตามคติของพระพุทธ

อทิ ธิปาฏหิ ารยิ -เทวดา ๗๓ศาสนา (เชน โลมสกัสสปชาดก, ชา.อ.๕/๓๘๐; อลัมพสุ าชาดก,ชา.อ.๗/๓๙๖; นฬินกิ าชาดก, ชา.อ.๘/๑) สวนเรื่องที่เขาสูคติของพระพทุ ธศาสนามากบางนอ ยบา งมมี ากมายหลายเรือ่ งเชนใน ● มหาสุวราชชาดก, ชา.อ.๕/๓๕๑; ● กณั หชาดก, ชา.อ.๕/๔๒๙; ● อกติ ตชิ าดก, ชา.อ.๖/๑๙๗; ● สรุ ุจชิ าดก, ชา.อ.๖/๓๐๕; ● สีวิราชชาดก, ชา.อ.๗/๓๗; ● สมั พุลาชาดก, ชา.อ.๗/๓๐๒; ● กสุ ชาดก, ชา.อ.๘/๑๓๓; ● เตมยิ ชาดก, ชา.อ.๙/๒; ● เวสนั ดรชาดก, ชา.อ.๑๐/๔๕๙; ● เรื่องพระจกั ขุบาล, ธ.อ.๑/๑๖; ● เร่ืองสามเณร, ธ.อ.๘/๑๒๙ ฯลฯ อนง่ึ พึงสังเกตดว ยวา ตามเรอ่ื งในชาดกเหลานี้ เมอื่ พระอินทรจะชวยน้ัน มิใชจะชวยงายๆ โดยมากมักจะมีบททดลองกอน เพ่ือทดสอบวามนุษยท่ีทําดีนั้น มีความแนวแนมั่นคงใน

๗๔ เรือ่ งเหนือสามัญวิสัยความดีน้ันแทจ รงิ หรอื ไม อีกเร่ืองหนึ่งที่ถอื วาแสดงคตพิ ุทธศาสนาอยา งสาํ คัญ จดั เขาในทศชาติ คอื มหาชนกชาดก ตามเรื่องวา เมอ่ืเรือแตกกลางทะเล คนทั้งหลายหวาดกลัว รองไหวอนไหเ ทวดาตางๆ พระโพธิสตั วผ เู ดยี ว ไมรอ งไห ไมคร่าํ ครวญ ไมว อนไหวเทวดา คิดการตา งๆ ตามเหตผุ ล และเพียรพยายามสดุ กําลงั ในท่ีสุดมณิเมขลาเทพธิดารักษาสมุทรมาชวยเองตามหนาที่ของเทวดา (ชา.อ.๙/ ๕๙) อนึ่ง นอกจากตรวจดูเองแลว พระอินทรยังมีทาวโลกบาลเปนผูชวย คอยสงบรวิ ารมาตรวจดคู วามประพฤติของชาวโลกไปรายงานใหท ราบดว ย (อง.ฺ ติก.๒๐/๔๗๖/๑๘๐; อง.ฺ อ.๒/๑๕๖).

อทิ ธปิ าฏหิ าริย-เทวดา ๗๕ บันทกึ ท่ี ๓ : สจั กริ ิยา ทางออกทีด่ สี าํ หรับผยู ังหวงั อาํ นาจดลบนั ดาล สาํ หรับชาวพทุ ธในระยะพฒั นาขน้ั ตน ผูย ังหว ง หรือยงั มีเยื่อใยที่ตัดไมคอยขาดในเรื่องแรงดลบันดาลหรืออํานาจอัศจรรยตางๆ ประเพณีพุทธแตเดิมมายังมีวิธีปฏิบัติที่เปนทางออกใหอีกอยา งหนึ่ง คอื \"สัจกิริยา\" แปลวา การกระทําสัจจะ หมายถึงการอางพลังสัจจะหรือการอางเอาความจริงเปนพลังบันดาล คือยกเอาคุณธรรมท่ีตนไดประพฤติปฏิบัติบําเพ็ญมาหรือมีอยูตามความจริง หรอื แมแตส ภาพของตนเองทเ่ี ปน อยูจ ริงในเวลานน้ั ข้นึมาอางเปนพลังอํานาจสําหรับขจัดปดเปาภยันตรายท่ีไดประสบในเมือ่ หมดทางแกไ ขอยา งอ่ืน วิธกี ารนไ้ี มก ระทบระเทือนเสยี หายตอความเพียรพยายาม และไมเปนการขอรองวิงวอนตออํานาจดลบนั ดาลจากภายนอกอยางใดๆ ตรงขา ม กลบั เปนการเสริมย้ําความม่ันใจในคุณธรรมและความเพียรพยายามของตน และทําใหมีกําลังใจเขมแข็งยิ่งขึ้น อีกท้ังไมตองยุงเก่ียวกับวัตถุหรือพิธีท่ี

๗๖ เรอื่ งเหนอื สามัญวสิ ัยจะเปน ชอ งทางใหขยายกลายรูปฟน เผอื ออกไปได สัจกิริยาพบบอยในคัมภีรพุทธศาสนารุนอรรถกถาเฉพาะอยางยิ่งชาดก นับเปนวิธีปฏิบัติที่ใกลจะถึงความเปนพุทธอยางแทจ รงิ ดังหลักฐาน (หลายเรอ่ื งมีลักษณะนาจะเหลือเชือ่ แตคงเปน ธรรมดาของวรรณคด)ี ; ● พิสจู นความเปนลูก - ชา.อ./๑/๒๐๖; ● ทาํ ใหต น ออ กลวง เพอ่ื ชว ยฝงู ลงิ ใหด มื่ นาํ้ ไดโ ดยปลอดภยั- ชา.อ.๑/๒๕๙, ม.อ.๓/๑๖๙; ● ลูกนกขอใหต นพนภัยไฟปา - ชา.อ.๑/๓๑๙; ● ชวยใหช นะสกา - ชา.อ.๒/๘๗; ● ใหเด็กหายจากพษิ งู - ชา.อ.๕/๔๖๐; ● ใหเรอื พนภยั จากทะเลราย - ชา.อ.๖/๗๓; ● ใหป ระดานกพน จากทีก่ กั ขัง - ชา.อ.๖/๓๓๖; ● บรจิ าคพระเนตรแลว กลับมพี ระเนตรขน้ึ ใหม - ชา.อ.๗/๔๘ (อางใน มลิ ินทฺ . ๑๗๐); ● ใหผูไ ปสละชวี ติ แทนบดิ าปลอดภัย (มีแงอ งิ เทวดาบาง)- ชา.อ.๗/๒๑๒;

อิทธปิ าฏหิ าริย-เทวดา ๗๗ ● อา งความซอื่ สัตยตอสามี ทําใหสามีหายจากโรคเรื้อน -ชา.อ.๗/๓๑๑; ● พระมเหสขี อใหมโี อรส - ชา.อ. ๙/๒; ● ใหพ นจากการจองจาํ เพราะถกู ใสความ - ชา.อ.๙/๕๔; ● ใหลกู หายจากพิษลกู ศร - ชา.อ. ๙/๑๕๒; ● ใหสวามีท่ีกาํ ลังจะถกู บชู ายัญพนภยั - ชา.อ.๑๐/๑๓๓; ● นางโสเภณใี หแ มคงคาไหลกลบั - มลิ ินฺท.๑๗๓; ● พระเจา อโศกของกงิ่ มหาโพธโิ ดยไมต อ งตดั - วนิ ย.อ.๑/๙๕; ● ใหพนจากการถูกลงโทษใหชางเหยียบในกรณีถูกใสความวาเปนโจร - ที.อ.๒/๔๑๒; (แต ชา.อ.๑/๓๐๑ วาเปนอานภุ าพแหง เมตตา) ; ● ลูกอางใจจริงของแมใหพนภัยควายปาไล - ม.อ.๑/๒๗๖; ส.ํ อ.๒/๑๘๖; สงคฺ ณี อ. ๑๘๔; ● องคลุ ิมาลประสงคความสวัสดีแกหญงิ ครรภแก - ม.อ.๓/๓๑๓ (อางบาลี ม.ม.๑๓/ ๕๓๑/๔๘๕) ; ● ราชามหากัปปนะขามแมนํ้าดวยมา - สํ.อ.๒/๒๙๙;องฺ.อ.๑/๓๔๘;





๘๐ เรือ่ งเหนือสามัญวิสยัอยานับถือใหสูงกวาความสามารถของมนุษยท่ีตนมีอยูก็แลวกันเทวดาจะสูงเทาใดก็ได แตท่ีสูงสุดนั้นคือมนุษย คือทานผูเปนศาสดาของเทวะและมนุษยทั้งหลาย หรอื ถาไมคลองใจที่จะนึกถึงภาพเทพเจาที่ตนเคยเคารพเทิดทูนมากราบไหวมนุษย ก็อาจจะมองมนุษยผูสูงสุดใหมอีกแนวหน่ึงวา เปนผูไดพัฒนาตนจนถึงภาวะสูงสุดพนไปแลวทั้งจากความเปนเทพเจาและความเปนมนุษย โดยขอใหพิจารณาพุทธพจนดังตอไปน้ี (ขอความมีลักษณะเลนถอยคํา จึงแปลรักษาสํานวนเพื่อผูศึกษามีโอกาสพิจารณา) ครั้งหน่ึง เมื่อพระพุทธเจากาํ ลงั เสดจ็ พทุ ธดําเนินทางไกลพราหมณผูหนึ่งไดเดินทางไกลทางเดียวกับพระองค มองเห็นรูปจักรทีร่ อยพระบาทแลว มคี วามอัศจรรยใ จ ครั้นพระองคเสด็จลงไปประทบั น่ังพกั ทีโ่ คนไมต น หนึ่งขา งทาง พราหมณเ ดินตามรอยพระบาทมา มองเห็นพุทธลักษณาการท่ีประทับน่ังสงบลึกซึ้งนาเลื่อมใสย่ิงนกั จึงเขาไปเฝา แลวทลู ถามวา \"ทานผูเ จริญคงจักเปนเทพเจา \" พระพทุ ธเจา ตรสั ตอบวา \"แนะ พราหมณ เทพเจา เรากจ็ ักไมเ ปน \" ทูลถามตอ ไปวา \"ทานผเู จรญิ คงจกั เปนคนธรรพ\" ตรัส

อทิ ธิปาฏหิ ารยิ -เทวดา ๘๑ตอบวา \"คนธรรพเ รากจ็ ักไมเปน\" \"ทา นผูเ จริญคงจักเปน ยักษ\" \"ยักษเรากจ็ ักไมเ ปน\" \"ทา นผเู จริญคงจกั เปนมนษุ ย\" \"มนษุ ยเราก็จกั ไมเ ปน \" ทลู ถามวา \"เม่อื ถามวาทา นผเู จริญคงจกั เปนเทพ ทา นก็กลาววา เทพเราก็จักไมเปน เมื่อถามวาทานผูเจริญคงจักเปนคนธรรพ… เปนยกั ษ…เปน มนุษย ทานกก็ ลา ววา จกั ไมเ ปน เมอื่เชนนั้นทานผูเจริญจะเปนใครกันเลา\" ตรัสตอบวา \"นี่แนะพราหมณ อาสวะเหลาใดที่เมื่อยังละไมไดจะเปนเหตุใหเราเปนเทพเจา…เปนคนธรรพ...เปนยักษ...เปนมนุษย อาสวะเหลาน้ันเราละไดแ ลว ถอนรากเสียแลว หมดส้ิน ไมม ีทางเกดิ ข้ึนไดอ ีกตอ ไปเปรยี บเหมือนดอกอุบล ดอกปทุม ดอกบณุ ฑรกิ เกดิ ในนํา้ เจรญิในนํ้า แตตั้งอยูพ นนํ้า ไมถูกนํา้ ฉาบติด ฉันใด เราก็ฉันนัน้ เหมอื นกนั เกิดในโลก เตบิ โตขน้ึ ในโลก แตเปน อยเู หนอื โลก ไมตดิ กล้วัดวยโลก ฉันน้นั ; นีแ่ นะพราหมณ จงถือเราวา เปน ‘พุทธ’ เถดิ \"(อง.ฺ จตุกกฺ .๒๑/๓๖/๔๘)

๘๒ เรือ่ งเหนือสามัญวิสัย เชงิ อรรถ๑ น โสเธนฺติ มจจฺ ํ อวิติณณฺ กงฺขํ (ขุ.สุ.๒๕/๓๑๕/๓๗๔)๒ หลักขอ นี้ รวมอยูในเกณฑว นิ ิจฉัยความหมายและคณุ คา ของ พทุ ธธรรม ซงึ่ เปน อีกบทหนึง่ ตา งหากในหนงั สอื พุทธธรรมฉบบั สมบูรณ๓ ที.ปา.๑๑/๒-๓/๓-๔; พึงเทียบกับพุทธพจนท่ีแสดงสิ่งที่ทรง พยากรณแ ละไมท รงพยากรณ ใน ม.ม.๑๓/๑๕๐-๑๕๒/๑๔๗- ๑๕๓ ดวย๔ ขุ.สุ.๒๕/๓๑๕/๓๗๔ (คําวา การบําเพ็ญพรตหมายจะเปน เทวดานนั้ แปลตาม สุตฺต.อ.๒/๖๖ รปู ศพั ทเปน อมรา ถาแปล ตามรปู ศัพท กไ็ ดค วามเพียงวา เทวดาท้งั หลาย กด็ ี)๕ คาํ ช้ีแจงเกย่ี วกับอิทธปิ าฏิหารยิ  ในฐานะเปน อภญิ ญา พรอม ท้ังหลักฐานอางอิงท้ังหลาย ไดแสดงไวแลวอยางมากมายใน ตอนกอน ๆ๖ ที.สี.๙/๓๓๙-๓๔๒/๒๗๓-๖; ที.ปา.๑๑/๒๒๘/๒๓๒; อง.ฺ ติก. ๒๐/๕๐๐/๒๑๗; ขุ.ปฏ.ิ ๓๑/๗๑๘-๗๒๑/๖๑๖-๘

อทิ ธิปาฏหิ าริย-เทวดา ๘๓๗ ดู เกวัฏฏสูตร, ที.ส.ี ๙/๓๓๘-๓๕๐/๒๗๓-๒๘๓๘ ดู องฺ.ติก.๒๐/๕๐๐/๒๑๗-๒๒๐๙ ท.ี ปา.๑๑/๙๐/๑๒๒; อธิบายใน ขุ.ปฏ.ิ ๓๑/๖๙๐/๕๙๙๑๐ ดู วัตถปุ ระสงคข องการปฏบิ ัติเชนนใี้ น องฺ.ปฺจก.๒๒/๑๔๔/ ๑๘๙; ฤทธ์ปิ ระเภทนเี้ ปนพวกเมตตาเจโตวิมุตติ ซง่ึ ถึงขนั้ เปน สุภวิโมกข เกิดจากเจริญโพชฌงคประกอบดวยเมตตาก็ได (ส.ม.๑๙/๕๙๗/๑๖๔); เปน ผลของการเจรญิ สตปิ ฏ ฐาน ๔ กไ็ ด (ส.ม.๑๙/๑๒๕๓-๑๒๖๒/๓๗๖-๙); เปน ผลของการเจรญิ สมาธิ ก็ได (ส.ม.๑๙/๑๓๓๒-๖/๔๐๑-๓); บางแหง เรียกผูป ฏบิ ตั ไิ ด เชนนว้ี า อริยชนผูเจรญิ อินทรยี แ ลว (ม.อุ.๑๔/๘๖๓/๕๔๖)๑๑ วนิ ย.๗/๓๓/๑๖; อรรถกถาอธบิ ายวา ทรงหา มแตวกิ พุ พนฤทธ์ิ (ฤทธิ์ผันแผก คือเปลี่ยนจากรูปรางปกติ เชน แปลงตวั เปน ตางๆ เนรมิตใหเ ห็นสง่ิ ตาง ๆ พูดแตไมใหเ หน็ ตัว ใหเห็นตวั ทอ นเดียว เปนตน ) ไมห า มอธิษฐานฤทธ์ิ (เชน อธษิ ฐานตวั เปนหลายคน เดนิ น้ํา ดาํ ดิน เปนตน ) ดู วินย.อ.๓/๓๓๗ แตค ํา อธิบายนีด้ ไู มนา นยิ ม๑๒ ขุ.ปฏ.ิ ๓๑/๗๑๘-๗๒๒/๖๑๖-๖๒๐

๘๔ เรอ่ื งเหนอื สามญั วิสัย๑๓ อง.ฺ ตกิ .๒๐/๕๘๔/๓๗๕; อง.ฺ ทสก.๒๔/๒๑๗/๓๕๓๑๔ อิทธิมทะ (เปนพวกเดียวกับเมาความรู เมาศีล เมาฌาน เปนตน) ดู อภ.ิ ว.ิ ๓๕/๘๔๙/๔๖๘)๑๕ วสิ ุทธิ.๑/๑๑๒,๑๒๒๑๖ แตอยาลืมวา การตั้งใจใชความประพฤติศีลและวัตรเปน เครื่องชักจูงผูกหมูชนไวกบั ตน เพ่ือผลในทางชอื่ เสยี ง ความ ยกยอ งสรรเสริญ หรือลาภ กเ็ ปน สง่ิ ทพี่ ระพทุ ธเจาทรงติเตยี น มากเชน เดยี วกนั๑๗ ของขลงั สิ่งศักดิ์สิทธิ์ อํานาจลึกลบั นั้น รวมถึงสิ่งที่ทานเรยี กวา ตริ ัจฉานวิชาบางอยา งดวย (ตริ จั ฉานวิชา คือ วชิ าทข่ี วางตอ ทางสวรรคนิพพาน หรอื วชิ าภายนอกทไี่ มเขากบั จุดหมายของ พระศาสนา โดยมากเปนวิชาจําพวกการทํานายทายทกั และ การรักษาโรคตาง ๆ ซ่ึงจะจัดเปนความบกพรองเสียหายใน ดานศีล หากภิกษุนํามาใชเปนเครื่องมือหาเล้ียงชีพหรือหา ลาภสักการะ ติรัจฉานวิชา เปนคนละอยางกันกับ อทิ ธิปาฏิหาริย, ติรจั ฉานวชิ า มาใน ที.สี.๙/๑๙-๒๕/๑๑-๑๕ และกลาวซํ้าไวอีกหลายสูตรในพระไตรปฎกเลม ๙ นัน้ , มี

อิทธปิ าฏหิ าริย- เทวดา ๘๕ สิกขาบทหามเรียนหามสอนใน วินย.๓/๓๒๒/๑๗๗; ๗/๑๘๔/๗๑ อธบิ ายใน ท.ี อ.๑/ ๑๒๑; นทิ .ฺ อ.๒/๑๑๗ เปน ตน)๑๘ อยาลมื วา หลักพึ่งตนเอง เปนตวั ของตัวเอง นี้ ทานใหส มดลุ ย ดวยหลกั การเคารพ หรือคารวธรรม ท่ีกลา วแลว ในตอนกอน และพึงสังเกตวา ผูเ ปนอิสระแลว อยางแทจ ริง กลบั เปนผเู ชอื่ ฟงคําส่ัง มีวินัยอยางย่ิง (การเช่ือฟงกับความเช่ือท่ีเรียกวา ศรัทธามีแงตางกัน การเช่ือฟงหรือปฏิบัติตามคําสั่งอยางมี วินัยนั้นเกิดจากศรัทธาอยางหนึ่ง เกิดจากปญญาอยางหน่ึง พระอรหันตปฏิบตั ิตามคําสัง่ รักษาระเบยี บวนิ ยั ดวยปญญา).๑๙ อิทธปิ าฏหิ าริยใ นคมั ภรี  ดู บนั ทึกพิเศษทา ยบท๒๐ อามิสฤทธิ์ (ความสําเร็จหรือความรุงเรืองทางวัตถุ, วัตถุรุง เรือง หรอื วตั ถเุ ปนแรงบนั ดาล) และ ธรรมฤทธ์ิ (ความสาํ เร็จ หรือความรุงเรืองแหงธรรม, ธรรมรุงเรือง หรือธรรมเปนแรง บันดาล) มาใน องฺ.ทุก.๒๐/๔๐๓/๑๑๗; อน่ึง ความมีรูป โฉมงามผิวพรรณผุดผอง ความมีอายุยืน ความมีสุขภาพดี ความมเี สนหผ ูคนชอบชมอยูใ กล ก็เรยี กวาเปนฤทธิ์เชนกัน (ดู ท.ี ม.๑๐/๑๗๑/ ๒๐๔; ม.อ.ุ ๑๔/๔๙๖/๓๓๐)

๘๖ เรื่องเหนอื สามญั วสิ ยั๒๑ ที.สี.๙/๓๔๓/๒๗๗ และ ส.ส.๑๕/๒๙๗/๘๘; อง.ฺ จตุกฺก.๒๑/ ๔๕/๖๑ (เคยอา งแลวทัง้ สองเรื่อง)๒๒ วนิ ย.๗/๓๕๐/๑๖๔ (เคยอา งแลว); อยา งไรกด็ ี ถา ความคดิ รายรุนแรงขึ้น ฤทธิ์ก็เสื่อมได เพราะฤทธิ์ตองอาศัยฌาน สมาบัติเปนฐาน และผูจะเขาฌานสมาบัติได ตองทาํ จิตให บรสิ ทุ ธ์ผิ อ งใส ปราศจากนวิ รณ.๒๓ คาํ วา เทวดา หรอื เทพ ใชค ลมุ ถึงพรหมทั้งหลายดว ย โดยแบง เปน เทวดาชนั้ กามาวจร (ผูยงั เก่ยี วขอ งกบั กาม บางทีเรียกวา ฉกามาพจรสวรรค หรือสวรรคช น้ั ทยี่ ังเกี่ยวของกบั กาม ๖ ชัน้ คอื จาตุมหาราชกิ า ดาวดึงส ยามา ดุสติ นมิ มานรดี และ ปรนมิ มิตวสวตั ด)ี ตอจากน้ันมีเทพช้นั รปู าวจร (รูปพรหม) ๑๖ ชัน้ และสงู สุดมีเทพชนั้ อรูปาวจร (อรูปพรหม) (ดู สงคฺ ห.๒๙ เปนตน )๒๔ ดู อง.ฺ นวก.๒๓/๒๒๕/๔๐๙๒๕ ข.ุ อติ ิ.๒๕/๒๖๑-๒/๒๘๙-๒๙๐.๒๖ องฺ.อฏก.๒๓/๑๑๙/๒๒๙๒๗ ดู เคา อง.ฺ อ.๓/๓๔๕

อิทธิปาฏหิ ารยิ -เทวดา ๘๗๒๘ อบายภมู ิ มี ๔ คือ นรก ดิรัจฉาน เปรต และอสรุ กาย (ขุ.อติ .ิ ๒๕/๒๗๓/๓๐๑ เปน ตน ).๒๙ ใน อง.ฺ อฏ ก.๒๓/๑๖๑/๓๑๔ มพี ทุ ธพจนว า ตอ เมอ่ื พระพทุ ธเจา ทรงมีอธิเทวญาณทสั สนะครบ ๘ ปรวิ ัฏฏ (รอบทั้ง ๘ ดานคอื ๑. จาํ โอภาสได ๒. เหน็ รูปท้งั หลาย ๓. สนทนากันไดก บั เทวดาเหลา น้ัน ๔. รูวาเทวดาเหลานั้นมาจากเทพนกิ ายไหน ๕. รูวาเทวดาเหลาน้ันจุติจากที่น้ีไปเกิดท่ีน้ันดวยวิบากของ กรรมใด ๖. รูวา เทวดาเหลานน้ั มอี าหารอยา งไร เสวยสุข ทุกข อยางไร ๆ ๗. รูว า เทวดาเหลา นั้นมีอายุยืนยาวเทา ใด ๘. รวู า พระองคเคยอยูรวมกับเทวดาเหลาน้ันหรือไม) จึงจะทรง ปฏิญาณไดวาทรงบรรลุแลวซ่ึงอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ, อธิเทวญาณทัสสนะน้ีนาจะแปลวา ญาณทัสสนะของพระผู เหนือกวาเทพ หรือญาณทัสสนะที่ทําใหทรงเปนผูเหนือกวา เทพ (เทยี บคาํ แปลกับ ข.ุ จ.ู ๓๐/๖๕๔/๓๑๒; นิท.ฺ อ.๒/๓๒๘ สุตฺต.อ.๒/๕๓๐) เพราะทําใหทรงรูจักเทวดาดียิ่งกวาที่พวก เทวดารูจกั ตนเอง (เชน พระพรหมไมร ูอายุของตน จึงเขา ใจตน เองผิดวาไมเกดิ ไมตาย) อธเิ ทวญาณทัสสนะนี้ เปน สว นหนึ่ง

๘๘ เรอ่ื งเหนือสามญั วสิ ยั ของทิพยจักษุ (ดู ม.อ. ๓/๓๐๕) จงึ เปนคุณสมบตั ิจําเปนอยาง หนง่ึ สาํ หรบั ความเปนสัมมาสัมพทุ ธะ เชน เดียวกบั ตถาคตพล ญาณขออ่ืน ๆ แตไมจาํ เปนสําหรับการบรรลุอรหัตตผลหรอื นิพพาน (แตเดิมมาตั้งแตกอนพุทธกาล ความนับถือเทวดา เปนของสามัญและฝงรากลึก ดังน้ัน การจะแสดงความ ประเสริฐของมนุษยไดก็ตองใหเห็นวามนุษยสามารถจะทาํ ตน ใหเ หนือกวาเทวดาไดอยางไร).๓๐ ส.ส.๑๕/๕๘๖/๒๑๕๓๑ ม.ม.ู ๑๒/๔๓๗/๔๖๘๓๒ ส.ํ ส.๑๕/๘๖๔/๓๒๒๓๓ โลกมนุษยไมสะอาดมีกล่ินเปนที่รังเกียจแกเทวดา (ดู ที.ม. ๑๐/ ๓๐๖/๓๖๒; ขทุ ฺทก.อ.๑๒๙; สตุ ตฺ .อ.๒/๘๖)๓๔ ข.ุ ชา.๒๗/๕๐๕/๑๒๘; ชา.อ.๔/๒๒๗-๒๓๔๓๕ ธ.อ.๕/๑๐; ชา.อ.๑/๓๓๙๓๖ ดู เร่ืองพระโกณฑธาน, องฺ.อ.๑/๒๘๔; ธ.อ.๕/๔๗๓๗ เชน ขุททก.อ.๒๖๑; สตุ ฺต.อ.๑/๒๔๖; ธ.อ.๒/๑๒๘๓๘ เชน ปพภารวาสตี ิสสเถรวัตถุ, ธ.อ.๘/๑๒๓

อทิ ธิปาฏิหารยิ -เทวดา ๘๙๓๙ ไดกลาวขางตนแลววาจะพูดไปตามเรอ่ื งราวในคมั ภรี  ไมแปล ความหมายทางนามธรรม๔๐ เขตอาํ นาจของมาร เรยี กวา มารไธย (มารเธยยฺ ); ดู ม.อ.๑/ ๔๕; สตุ ฺต.อ.๑/๕๔๔๑ ดู ชา.อ.๑/๑๑๓; พุทธ.อ.๕๒๑๔๒ ดู ม.มู.๑๒/๕๕๖/๕๙๗๔๓ องฺ.จตกุ ฺก.๒๑/๑๕/๒๒๔๔ ดู ข.ุ อติ .ิ ๒๕/๒๖๐/๒๘๘; ข.ุ เถร.๒๖/๓๗๙/๓๕๙; ข.ุ เถรี.๒๖/ ๔๗๑/๔๘๙๔๕ การชวยและการแกลงของพระอินทร ดู บนั ทกึ พเิ ศษทายบท๔๖ เทียบกบั สภาพปจ จบุ ัน นาสังเกตวา มนุษยใ นบดั นีด้ เู หมือน จะหนกั ในการออนวอนมาก ถาเพยี รพยายามกอนจึงออนวอน กพ็ อทาํ เนา แตท ม่ี มี าก กลับเปน วา ตนไมไดพากเพียรอะไร ก็ ไปบวงสรวงออนวอนเทวดา สวนเทวดาเลากร็ อการออ นวอน กอนจงึ มา และใครออนวอนก็มาชว ยคนน้ัน ไมต อ งคํานงึ วา เขาทําดหี รือไม ทจี่ ะทดลองทดสอบความดกี อนเปนอันไมตอ ง พดู ถึง ถาเปนอยา งน้ี ลองมาทายกนั วาเทวดาที่ลงมาจะเปน

๙๐ เรือ่ งเหนอื สามัญวิสยั เทวดาแบบไหน นา เกรงไหมวา เทวดาใฝล าภ และเทวดาสวม รอยจะมากันมาก หรอื ไมก็เทวดาใจออ น ที่มัวมาขลุกขลยุ กบั มนษุ ยจ นพาเสียไปดว ยกนั๔๗ ถา จะใหถกู แท ควรวา \"การเพยี รพยายามทําดี เปน คณุ ธรรม ของมนษุ ย การชว ยเหลือคนทําดีเปนคณุ ธรรมของสวรรค\" แต ใชคาํ วาหนา ที่ เพราะฟงงา ยและกําชบั การปฏบิ ัติมากกวา๔๘ มขี อ สงั เกตวา ชาวไทยพทุ ธสมยั เกา ที่เชือ่ ผีสางเทวดา เมอ่ื จะ ทําการใดที่อาจกระทบกระเทือนเทวดา เขาพูดวาใหบอก กลาวเทวดาหรือบอกกลาวพระภูมิเจาที่ ขอนี้อาจเปนหลัก ฐานอยางหนึ่งที่แสดงถึงการปรับตัวเขาสูแนวทางของพระ พุทธศาสนา เปลี่ยนจากการเซนสรวงสังเวยอยางพราหมณ แตการบวงสรวงบนบาน กลับมาเฟองฟูใหมในสมัยปจจุบัน ทั้งนี้นาจะเปนเพราะวาในเมื่อคนไมเขาใจทาทีแบบพุทธตอ เทวดา ก็จงึ มแี ตค น ๒ พวกเถียงกนั อยคู อื พวกวา เทวดามี กบั พวกวา เทวดาไมมี จะเถียงกันอยา งไรกต็ าม พวกทเี่ ชอ่ื วามีก็ ยังมีอยู และที่มากก็คือพวกท่ีระแวงไวกอนวามี พวกที่วามี และระแวงวามี ก็ไมร ูว ธิ ปี ฏิบัตอิ ยางอนื่ นอกจากการบวงสรวง

อทิ ธปิ าฏิหารยิ -เทวดา ๙๑ ออนวอน ดังน้ัน ท้ังท่ีมีการดุวาใหเลิกบวงสรวงออนวอน เทวดา แตการบวงสรวงออนวอนบนบานนั้น ก็กลับยิ่งแพร หลายงอกงามย่ิงข้ึน ขอสังเกตนี้จะเปนจริงหรือไมขอใหผูมี โอกาสชวยกนั คนควา มาบอกกันตอ ไป.๔๙ คําวาส่งิ ศกั ด์ิสิทธิ์ นา จะเปน คาํ ที่คลมุ เครือและกวา งเกินไป ใน บรรดาส่ิงของจําพวกน้ี สวนทพี่ อจะอา งพทุ ธานญุ าตไดคงจะ มีแตมงคลอยางเดยี ว ดงั น้ัน ในวงการพุทธนา จะจํากดั ไมใ ช คําวาสง่ิ ศักดิ์สิทธ์ิ ใชแตค ําวามงคล เพื่อขีดวงใหแ คบเขา และ งา ยแกก ารตะลอ มเขา สธู รรม (แตม งคลเอง เดยี๋ วน้ี กใ็ ชก นั พรา ).๕๐ องฺ.ปจฺ ก.๒๒/๑๗๕/๒๓๐๕๑ วินย.๗/๑๒๐-๔/๔๖-๕๐; ม.ม.๑๓/๔๘๖/๔๔๐; อรรถกถา (วนิ ย.อ.๓/๓๔๕; ม.อ.๓/๒๙๙; ธ.อ.๖/๓) ขยายความวา เจา ชายโพธิไมทรงมีโอรสหรือธิดา ไดทรงใหปลู าดผาคร้ังนั้นโดย ต้ังความปรารถนาวาถาจะทรงไดโอรสก็ขอใหพระพุทธองค ทรงเหยียบผานั้น พระพุทธเจาทรงทราบวาเจาชายจะไมมี โอรสธิดาจึงไมทรงเหยียบ และไดทรงบัญญัติสิกขาบทหาม ภิกษุทั้งหลายเหยียบผืนผา เพราะทรงประสงคจะอนเุ คราะห

๙๒ เรือ่ งเหนอื สามัญวิสัย ภิกษุสงฆในภายหลัง เพราะในพุทธกาลมีภิกษุที่รูจิตผูอ่ืนอยู มาก ภกิ ษุเหลา น้นั ยอ มเหยยี บหรือไมเ หยียบไดต รงตามความ คิดของชาวบานเจาของผาน้ัน แตนานไปภิกษุหลังพุทธกาล ทําไปโดยไมรูไมเขาใจ ชาวบานก็จะติเตียนเอาวาพระสมัยนี้ ไมเกงเหมือนอยางสมัยกอน จึงทรงบัญญัติสิกขาบทไวเปน การชว ยคุมครองภกิ ษุรนุ หลังท้ังหลาย และอธบิ ายตอไปวา ใน กรณีท่หี ญงิ แทง ไปแลว หรอื มีครรภแก เขาขอเพ่ือเปนมงคลจงึ เหยียบได ถาพิจารณาตามแนวของอรรถกถา อาจมองเห็น ความตอไปวา กรณีของเจาชายโพธเิ ปนการบนบานขอลกู จึง ทรงบัญญตั ไิ มใหเหยยี บ สวนกรณขี องหญิงแทงบุตร เปนการ ขอเพื่อเปนสริ ิมงคลเทา นัน้ จงึ ทรงอนญุ าตใหเ หยยี บ อยางไรก็ ดี ถาไมดอู รรถกถา พิจารณาอยา งพน้ื ๆ ตามเรือ่ งในบาลี จะ สันนิษฐานความไดใหมที่ดูจะสมเหตุผลอยูมากวา ท่ีไมทรง เหยยี บผาท่วี งั ของเจาชายโพธิ กเ็ พราะทรงรักษามรรยาท พระ องคเสด็จมาถงึ ยังไมไ ดล า งพระบาท จงึ ไมท รงเหยียบ เพราะ ไมประสงคจะใหผาเปอนสกปรก (มีอนุบัญญัติตอไปดวยวา ถาภกิ ษลุ างเทา แลว อนญุ าตใหเ หยียบได) สวนกรณีของหญงิ




Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook