Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พุทธวจน 8_ อินทรียสังวร

พุทธวจน 8_ อินทรียสังวร

Published by sadudees, 2017-01-10 00:53:23

Description: พุทธวจน 8_ อินทรียสังวร

Search

Read the Text Version

“อนิ ทรยี สงั วร” (ตามดู! )ไมตามไป....อินทรยี ภาวนาช้นั เลศิอานนท ! อารมณอันเปนที่ชอบใจ – ไมเปนที่ชอบใจเปนที่ชอบใจและไมเปนที่ชอบใจ อันบังเกิดขึ้นแกภิกษุนั้นยอมดับไปเร็วเหมือนการกระพริบตาของคน อุเบกขายังคงดำรงอยู.อานนท ! นี้แล เราเรียกวา อินทรียภาวนาชั้นเลิศในอริยวินัย…อุปริ. ม. ๑๔/๕๔๒ – ๕๔๕/๘๕๖ – ๘๖๑. กวา ๖๐ พระสตู ร แหงความสอดรับกันในคำตถาคต

“ธรรมวาที ย่อมไม่กล่าวขัดแย้งกะใครๆ ในโลก” ภิกษุทั้งหลาย ! เราย่อมไม่กล่าวขัดแย้งกะโลก แต่โลกต่างหากย่อมกล่าวขัดแย้งต่อเรา ภิกษุทั้งหลาย ! ผู้เป็นธรรมวาที ย่อมไม่กล่าวขัดแย้งกะใครๆ ในโลก ภิกษุทั้งหลาย ! สิ่งใดที่บัณฑิตในโลกสมมติ (รู้เหมือน ๆ กัน) ว่าไม่มี แม้เราก็กล่าวสิ่งนั้นว่าไม่มี ภิกษุทั้งหลาย ! สิ่งใดที่บัณฑิตในโลกสมมติว่ามี แม้เราก็กล่าวสิ่งนั้นว่ามี ภิกษุทั้งหลาย ! อะไรเล่า ที่บัณฑิตในโลกสมมติว่าไม่มี และเราก็กล่าวว่าไม่มี ภิกษุทั้งหลาย ! รูป ที่เที่ยง ที่ยั่งยืน ที่เที่ยงแท้ ที่ไม่มีการแปรปรวนเป็นธรรมดา บัณฑิตในโลกสมมติว่าไม่มี แม้เราก็กล่าวว่าไม่มี ภิกษุทั้งหลาย ! อะไรเล่า ที่บัณฑิตในโลกสมมติว่ามี และเราก็กล่าวว่ามี ภิกษุทั้งหลาย ! รูป ที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีการแปรปรวนเป็นธรรมดา บัณฑิตในโลกสมมติว่ามี แม้เราก็กล่าวว่ามี ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๖๙/๒๓๙.

“อนิ ทรียสังวร” (ตามดู! )ไม่ตามไป....

พุทธวจน “อนิ ทรียสงั วร” (ตามดู! ไมต่ ามไป....)สื่อธรรมะนี้ จัดทำเพื่อประโยชน์ทางการศึกษาสู่สาธารณชน เป็นธรรมทาน ลิขสิทธิ์ในต้นฉบับนี้ได้รับการสงวนไว้ ไม่สงวนสิทธิ์ในการจัดทำจากต้นฉบับเพื่อเผยแผ่ในทุกกรณี ในการจัดทำหรือเผยแผ่ โปรดใช้ความละเอียดรอบคอบ เพื่อรักษาความถูกต้องของข้อมูลขอคำปรึกษาด้านข้อมูลในการจัดทำเพื่อความสะดวกและประหยัด ติดต่อได้ที่ คุณศรชา โทรศัพท์ ๐๘๑-๕๑๓-๑๖๑๑ หรือ คุณอารีวรรณ โทรศัพท์ ๐๘๕-๐๕๘-๖๘๘๘ พิมพ์ครั้งที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๓ จำนวน ๑๐,๐๐๐ เล่ม ออกแบบปก คณะสงฆ์วัดนาป่าพง ศิลปกรรม วิชชุ เสริมสวัสดิ์ศรี ที่ปรึกษาศิลปกรรม จำนงค์ ศรีนวล, ธนา วาสิกศิริ จัดทำโดย มูลนิธิพุทธโฆษณ์ (เว็บไซต์ www.buddhakos.org) ดำเนินการพิมพ์โดย บริษัท คิว พริ้นท์ แมเนจเม้นท์ จำกัด โทรศัพท์ ๐๒-๘๐๐-๒๒๙๒ โทรสาร ๐-๒๘๐๐-๓๖๔๙

ลำดับเนื้อหา ผลเสียของการปลอยจิตใหเพลินกับอารมณตัวอยางพุทธวจน ที่ทรงตรัสไมใหปลอยจิตใหเพลินกับอารมณจติ ทเ่ี พลนิ กบั อารมณ ละไดด ว ยการมอี นิ ทรยี สงั วร (การสาํ รวมอนิ ทรยี ) ความสําคัญแหงอินทรียสังวร ความหมายและลักษณะของการมีอินทรียสังวร รูปแบบการละความเพลินในอารมณโดยวิธีอื่น ผลที่สุดของการละความเพลินในอารมณ ขอย้ำเตือนจากพระตถาคต



สารบญั ๑ ๑๕คํานาํผลเสียของการปลอยจิตใหเพลินกับอารมณ ๑๖ ๒๐กอใหเกิดอนุสัยทั้ง ๓ ๒๒ไมอาจที่จะหลุดพนไปจากทุกข ๒๔เพลินอยูกับอายตนะ เทากับ เพลินอยูในทุกข ๒๙ลักษณะของการอยูอยางมีตัณหาเปนเพื่อนไมอาจถึงซึ่ง ความเจริญงอกงาม ไพบูลย ในธรรมวินัย ๓๑ตัวอยางพุทธวจน ท่ีทรงตรัสไมใหปลอยจิต ๓๒ใหเพลินกับอารมณ ๓๓ ๓๔ละความเพลิน จิตหลุดพน ๓๕ความพอใจ เปนเหตุแหงทุกข ๓๗เมื่อคิดถึงส่ิงใด แสดงวาพอใจในส่ิงนั้น ๓๙ภพแมช่ัวขณะดีดนิ้วมือก็ยังนารังเกียจ ๔๑ตัณหา คือ “เช้ือแหงการเกิด”เมื่อมีความพอใจ ยอมมีตัณหาตัณหา คือ เคร่ืองนําไปสูภพใหม อันเปนเหตุเกิดทุกข

สิ้นความอยาก ก็ส้ินทุกข ๔๓มีความเพลิน คือมีอุปาทาน ผูมีอุปาทานยอมไมปรินิพพาน ๔๕ในอริยมรรคมีองค ๘ ๔๙ทรงตรัสวา “เปนเร่ืองเรงดวนท่ีตองเรงกระทาํ ” ๕๑ตองเพียรละความเพลินในทุก ๆ อิริยาบถ ๕๔ความเพียร ๔ ประเภท (นัยที่ ๑) ๕๖ความเพียร ๔ ประเภท (นัยท่ี ๒) ๕๘จติ ท่ีเพลนิ กบั อารมณ ละไดด วยการมอี ินทรยี สงั วร ๖๑(การสาํ รวมอนิ ทรีย) ๖๒เม่ือมีสติ ความเพลินยอมดับ ๖๕กายคตาสติ มีความสาํ คัญตออินทรียสังวร ๖๕- ลักษณะของผูไมตั้งจิตในกายคตาสติ ๖๗- ลักษณะของผูตั้งจิตในกายคตาสติ ๗๐อินทรียสังวร ปดกั้นการเกิดข้ึนแหงบาปอกุศล

ความสาํ คัญแหงอินทรียสังวร ๗๓อินทรียสังวร เปนเหตุใหไดมาซึ่งวิมุตติญาณทัสสนะ ๗๔ผไู มส าํ รวมอินทรียค อื ผูประมาท ผูสาํ รวมอนิ ทรียคือผูไ มประมาท ๗๕ความไมประมาท เปนยอดแหงกุศลธรรม ๗๗ผูมีอินทรียสังวร จึงสามารถเจริญสติปฏฐานทั้ง ๔ ได ๗๙อาสวะบางสวนสามารถละไดดวยการสาํ รวม ๘๐อาสวะบางสวนสามารถละไดดวยการบรรเทา ๘๑ผลที่ไดเพราะเหตุแหงการปดก้ันอาสวะ ๘๒ความหมายและลักษณะของการมีอินทรียสังวร ๘๓ความหมายแหงอินทรีย ๘๔ลักษณะของผูสํารวมอินทรีย ๘๕ผูท่ีถึงซึ่ง ความเจริญงอกงาม ไพบูลย ในธรรมวินัย ๘๖

รูปแบบการละความเพลินในอารมณโดยวิธีอื่น ๘๙กระจายซ่ึงผัสสะ ๙๐ตามแนวแหงสัมมาสังกัปปะ ๙๔ยอมยุบ ยอมไมกอ ยอมขวางท้ิง ยอมไมถือเอา ซ่ึง... ขันธ ๕ ๙๙เห็นประจักษตามความเปนจริง ๑๐๖พึงเห็นวา ชีวิตน้ันแสนสั้น ๑๐๘ผลท่ีสุดของการละความเพลินในอารมณ ๑๑๑ผูไดช่ือวา อินทรียภาวนาชั้นเลิศ ๑๑๒ผูเขาไปหาเปนผูไมหลุดพน ผูไมเขาไปหายอมหลุดพน ๑๑๔เพราะไมเพลิน จึงละอนุสัยท้ัง ๓ ได ๑๑๖ยอมหลุดพนไปจากทุกข ๑๒๐ลักษณะของบุคคลส่ีประเภทกก ๑๒๕ขอยาํ้ เตือนจากพระตถาคต ๑๒๗ความไมประมาท ยังกุศลธรรมท้ังหลายใหเกิดขึ้น ๑๒๘พินัยกรรม ของพระสังฆบิดากกกกกกกกกก ๑๒๙บันทึกทายเลม ๑๓๑





อินทรียสังวร ๑คาํ นาํมนุษยเปนสัตวที่ส่ือสารกันดวยระบบภาษาที่ซับซอน ทั้งโครงสรางและความหมายวจีสังขาร ท่ีมนุษยปรุงแตงข้ึนนั้น มีความวิจิตรเทียบเทาดุจความละเอียดของจิตท้ังน้ี เพราะ จิตเปนตัวสรางการหมายรูตาง ๆ (จิต เปนเหตุในการเกิดของนามรูปและนามรูปซึ่งจิตสรางขึ้นน้ัน เปนเหตุในการดํารงอยูไดของจิต)ถอ ยคาํ หน่ึง ๆ ในภาษาหนงึ่ ๆ เม่อื นาํ ไปวางไวใ นบริบทตา ง ๆ กนั ก็มีความหมายตางกนัยงิ่ ไปกวา น้ัน ถอ ยคาํ หนง่ึ ๆ ในบริบทเดยี วกนั สามารถถกู เขา ใจตา งกนั ในความหมายไดข้นึ อยกู ับการหมายรเู ฉพาะของจติ ผูรบั สาร ซ่ึงก็มอี นุสัยในการปรุงแตงแตกตา งกันไปความหยาบละเอียดในอารมณ อันมีประมาณตาง ๆ แปรผันไปตามการหมายรูน้ัน ๆการสื่อความใหเขาใจตรงกัน จึงไมใชเรื่องงาย แมเรื่องราวในระดับชีวิตประจําวันแมในระหวางบุคคลที่มีความสัมพันธใกลชิด เชน ในครอบครัวเดียวกันก็ตามการผิดใจกันท่ีมีเหตุมาจากการส่ือความหมายท่ีไมตรง ก็มีใหเห็นเปนเร่ืองปกติกับกรณีของปรากฏการณทางจิต ซ่ึงมีมิติละเอียดปราณีตที่สุดในระบบสังขตธรรมใครเลา จะมคี วามสามารถในการบัญญตั ิระบบคําพูด ที่ใชถ ายทอดบอกสอนเรือ่ งจติ น้ีใหออกมาไดเปน หลักมาตรฐานเดียว และใชส อ่ื เขาใจตรงกันได โดยไมจาํ กัดกาลเวลา













๘ ตามดู ไมตามไปดวยอาการอยางน้ีแล ทภ่ี กิ ษเุ ปนผูมีปกตพิ ิจารณาเห็นจิตในจติ (จิตเฺ ต จติ ตฺ านุปสสฺ ี วิหรติ)อันเปน ภายในอยูบาง, ในจิตอันเปน ภายนอกอยบู า ง, ในจติ ทงั้ ภายในและภายนอกอยบู าง;และเปนผูมีปกติพิจารณาเห็นธรรมเปนเหตุ เกิดข้ึนในจิตอยูบาง,เห็นธรรมเปนเหตุเสื่อมไปในจิตอยูบาง,เห็นธรรมเปนเหตุทั้งเกิดขึ้นและเส่ือมไปในจิตอยูบาง;ก็แหละสติ(คือความระลึก) วา “จิตมีอยู” ดังน้ี ของเธอนั้นเปนสติที่เธอดาํ รงไวเพียงเพ่ือความรู เพียงเพื่อความอาศัยระลึก.ท่ีแทเธอเปนผูที่ตัณหาและทิฏฐิอาศัยไมได และเธอไมยึดมั่นอะไร ๆ ในโลกน้ี.ภกิ ษทุ ้ังหลาย ! ภิกษชุ ือ่ วา เปนผูม ีปกติตามเหน็ จิตในจติ อยู แมด วยอาการอยางนี.้- มหาสติปฏฐานสูตร มหาวาร. สํ. ๑๐/๓๓๑/๒๘๙.

อินทรียสังวร ๙จะเห็นไดวา พระพุทธเจามิไดใหเราฝกตามดูตามรูเรื่องราวในอารมณไปเรื่อย ๆและ การตามดตู ามรูซ่ึงจติ (จติ ฺตานปุ สสฺ นา) จะตอ งเปนไปภายใต ๘ คูอาการนเ้ี ทานน้ัสมมุติสถานการณตัวอยาง เชน ในขณะที่เรากาํ ลังโกรธอยูในกรณีนี้ หนาท่ีของเรา ที่ตองทําใหได คือ “รูชัดซ่ึงจิตอันมีโทสะ วา จิตมีโทสะ”ไมใ ชไปตามดูตามรโู ทสะ (หรอื รูใ นอารมณทจ่ี ติ ผูกติดอย)ู ในจิตอันมีโทสะขณะนั้นปญ หามอี ยูวา โดยธรรมชาตขิ องจติ มนั รูไ ดอ ารมณเ ดียวในเวลาเดียว (one at a time)ในขณะท่เี รากาํ ลังโกรธอยนู ้ัน เราจงึ ตอ งละความเพลินในอารมณท ท่ี ําใหเ ราโกรธเสียกอ นไมเ ชนนัน้ เราจะไมมีทาง “รชู ดั ซ่งึ จิตอนั มโี ทสะ วา จิตมโี ทสะ” ไดเลยมีผัสสะ จติ รับรอู ารมณ มสี ติ ละความเพลิน รูชัดซง่ึ จติในระหวา งขั้นตอนขา งตน ถา เราสามารถเหน็ ธรรมเปน เหตเุ กดิ ข้ึนหรือเสอื่ มไปในจติ ไดการเห็นตรงนี้ เรียกวา วิปสสนา ซึ่งเปนจุดประสงคของการเจริญสติปฏฐานทั้งสี่โปรดสงั เกตุ สติปฏ ฐานสี่ ทุกหมวด จบลงดวยการเห็นธรรมอันเปนเหตุเกิดขึ้นและเสื่อมไปขนั้ ตอนของสติท่ีเขาไปตัง้ อาศัยในฐานท้งั สี่ เปน เพยี งบนั ไดข้นั หนง่ึ เทานัน้ ไมใ ชจ ดุ หมาย

๑๐ ตามดู ไมตามไปเมอ่ื ผัสสะถูกตองแลว ๆ หากเราหลงเพลนิ “รสู กึ ” ตามไปเร่อื ย ๆ น่ีคอื อนสุ ยั (ตามนอน)หากละความเพลินในอารมณแลวมาเห็นจิตโดยอาการ ๘ คขู างตนน่คี ืออนปุ สสนา(ตามเหน็ )และ ถามีการเห็นแจงในธรรมเปนเหตุเกดิ ขึ้นและเหตุเสือ่ มไปในจติ นี่คือ วิปสสนา (เห็นแจง )ถาหากวา เราไมสามารถรูชัดซ่ึงจิตโดยอาการอยางใดอยางหน่ึงใน ๘ คูขางตนไดใหด งึ สติกลับมารูท ่ีฐานคือกาย เชน อิริยาบถ หรือ ลมหายใจ พลิกกลบั เปน กายานุปส สนาอยามักงายไปคดิ คาํ ข้นึ ใหม เพือ่ มาเรียกอารมณท ่จี ิตหลงอยใู นขณะนน้ั เพราะนัน่ คือจุดเรม่ิของการเบ่ยี งออกนอกมรรควิธี (ไปใชค าํ อธบิ ายอาการของจิตท่นี อกแนวจากพุทธบัญญัติเปน ผลใหหลงเขา ใจไดว า กาํ ลังดูจติ ท้ังๆ ท่ีกาํ ลังเพลินอยูใ นอารมณ ขาดสติ แตห ลงวา มีสต)ินี้ เปนเพียงตัวอยางของการตามเห็นในกรณีจติ ตานุปสสนา คือ ใชจิตเปน ฐานทีต่ ้ังของสติในกรณีของ กายานปุ ส สนา เวทนานุปส สนา ธรรมานปุ สสนา พึงศึกษาในลักษณะเดียวกันคือปฏบิ ัติตามพุทธวจนในกรณีนนั้ ๆ ใหถ กู ตอ งครบถว น ทัง้ โดยอรรถะ และโดยพยัญชนะพระพุทธเจามองเห็นธรรมชาตใิ นจติ ของหมูสัตว ในแบบของผูท่ีสรา งบารมีมาเพื่อบอกสอนการบัญญตั มิ รรควิธี จึงเปนพุทธวิสัย หนาท่ีของเราในฐานะพุทธสาวกมีเพยี งอยางเดยี ว คอืปฏบิ ัติตามพุทธบัญญัตโิ ดยระมัดระวังอยา งทีส่ ดุ (มคฺคานุคา จ ภกิ ขฺ เว เอตรหิ สาวกา ฯ)เม่ือเขาใจความหมายของการตามเหน็ (อนุปสฺสนา) และการเห็นแจง (วปิ สฺสนา) แลวทนี ้ี จะมวี ธิ อี ยางไร ทจี่ ะทําใหอ ตั ราสว น Ratio ของ วิปส สนา ตอ อนุปส สนา มคี าสงู ท่สี ดุ(คือ เนนการปฏิบัติที่ไดประสิทธิภาพมากท่ีสุด เพื่อความลัดสั้นสูมรรคผล)

อินทรียสังวร ๑๑ตัวแปรหลักที่เปนกุญแจไขปญหาน้ี คือ สมาธิตราบใดทจ่ี ิตยังซดั สา ยไป ๆ มา ๆ ท้ังการอนุปสสนาก็ดี และการวิปส สนาก็ดี ตา งกท็ าํ ไดย ากพระพุทธเจาจึงทรงรบั สั่งวา ใหเราเจรญิ สมาธิ เพือ่ ใหธรรมท้ังหลายปรากฏตามเปนจริงภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลายจงเจริญสมาธิ.ภิกษุมีจิตต้ังมั่นแลว ยอมรูชัดตามเปนจริง.ก็ภิกษุยอมรูชัดตามเปนจริงอยางไร ?ยอมรูชัดซึ่งความเกิดและความดับแหงรูปความเกิดและความดับแหงเวทนาความเกิดและความดับแหงสัญญาความเกิดและความดับแหงสังขารความเกิดและความดับแหงวิญญาณ.- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๗-๑๘//๒๗.

๑๒ ตามดู ไมตามไปนอกจากนแี้ ลว พระพทุ ธองคยังทรงแนะนําเปน กรณพี ิเศษ สาํ หรบั กรณที ่ีจิตต้ังม่นั ยากเชน คนท่คี ดิ มาก มีเรือ่ งใหวติ กกงั วลมาก ยํ้าคดิ ยา้ํ ทํา คดิ อยตู ลอดเวลา หยุดคดิ ไมไ ดหรอื คนทเ่ี ปน hyperactive มบี ุคลิกภาพทางจติ แบบ ADHD ซึ่งมปี ญ หาในการอยูน ่ิงทรงแนะนําวิธีแกไขอาการเหลาน้ี โดยการเจริญทําใหมาก ซึ่งอานาปานสติสมาธิภิกษุทั้งหลาย ! ความหว่ันไหวโยกโคลงแหง กายก็ตาม ความหว่ันไหวโยกโคลงแหง จติ ก็ตามยอมมีไมได เพราะการเจริญทาํ ใหมากซ่ึงอานาปานสติสมาธิ- มหา. สํ. ๑๙/๔๐๐/๑๓๒๕.เม่ือถงึ ตรงน้ี แมจะไมเอยถึง เรากค็ งจะเห็นไดชัดแลววา ความสงบแหง จิต (สมถะ) นั้นจะตอ งดําเนินไปควบคู และเกื้อหนุนกบั ระดับความสามารถในการเห็นแจง (วปิ สสนา)ซ่ึงพระพุทธองคเองไดตรัสเนนยา้ํ ในเรื่องนี้ไวโดยตรงดวยภิกษุท้ังหลาย. ! ธรรมท่ีควรกระทาํ ใหเจริญดวยปญญาอันย่ิง เปนอยางไรเลา?สมถะ และ วิปส สนา เหลานเ้ี รากลาววา เปน ธรรมท่ีควรกระทําใหเ จริญดวยปญญาอันยง่ิ .- จตุกฺก. อํ. ๒๑/๓๓๔/๒๕๔.

อินทรียสังวร ๑๓ธรรมทีค่ วรกระทาํ ใหเ จรญิ ดว ยปญญาอันยง่ิ มสี องอยาง คอื ท้งั สมถะ และวปิ สสนาน่นั หมายความวา ทง้ั สมถะ และวปิ สสนา เปนสิ่งทีต่ องอาศัยปญญาอันย่ิงในการไดมาดังนนั้ ใครก็ตามทมี่ คี วามสามารถในการทาํ จิตใหต ั่งมั้นได บคุ คลนั้นมปี ญญาอนั ยงิ่ใครกต็ ามท่จี ิตตง้ั มน่ั แลวสามารถเห็นแจง ในธรรมอนั เปนเหตุ บคุ คลนน้ั มปี ญ ญาอนั ยิง่สําหรับบางคนที่อาจจะเขาใจความหมายไดดีกวา จากตัวอยางอุปมาเปรียบเทียบพระพุทธองคไดทรงยกอุปมาเปรียบเทียบไวในฌานสูตร วาเหมือนกับการฝกยิงธนูเมื่อพิจารณาแลว จะพบวา มีตัวแปรตาง ๆ ท่ีเกี่ยวของ ซึ่งจะตองปรับใหสมดุลยเชน ความน่ิงของกาย วิธีการจับธนู การเล็ง นาํ้ หนัก และจังหวะในการปลอยลูกศรอุปมาน้ี พอจะทําใหเราเห็นภาพไดดี ในการเจริญสมถะวิปสสนา ดวยปญญาอันย่ิงวาการเห็นแจงในธรรมอันเปนเหตุน้ัน จะตองอาศัยความสมดุลยตาง ๆ อยางไรบางหากจะพูดใหส้ันกระชับที่สุด การตามดูไมตามไปน้ี แทจริงแลว คือ การไมตามไปเพราะเมื่อไมต าม (อารมณอ นั มีประมาณตา ง ๆ) ไป มนั ก็เหลือแคการตามดทู ี่ถกู ตองหลักการไมตามไปนี้ ก็คือ หลักการละนันทิ ซึ่งเปนเรื่องเดียวกันกับหลักอินทรียสังวรภิกษุมคิ ชาละ ฟง ธรรมเรื่องการละนันทิ แลวหลกี จากหมูไปอยูผูเดียวก็บรรลอุ รหตั ผลความเรว็ ในการละนันทิ ยังถกู ใชเปนเคร่อื งวัดความกาวหนาในการปฏิบัติจติ ภาวนา(ดูความเชื่อมโยงไดในเรื่อง อินทรียสังวร, การไมประมาท, อินทรียภาวนาชั้นเลิศ)

๑๔ ตามดู ไมตามไปหนังสือ ตามดู ไมตามไป เลมน้ี จัดทาํ ขึ้น เพ่ืออาํ นวยความสะดวกแกชาวพุทธโดยการคดั เลอื กพุทธวจน ที่เก่ียวของกบั การเจริญสติ เปน จาํ นวนกวา ๖๐ พระสูตรซึ่งมีเนอ้ื หาสอดรับเช่อื มโยงคลองเกลียวถงึ กัน เพือ่ ใหเ ราไดศ กึ ษาใหเ ขาใจถงึ มรรควิธีทีถ่ ูกตอ งทุกแงมมุ ในความหลากหลายภายใตความเปนหนึ่ง จากพุทธบัญญัตโิ ดยตรงขอใหบุญบารมีท่ีไดสรางมา ของชาวพุทธผูท่ีกําลังถือหนังสือเลมนี้อยู จงเปนเหตุปจจัยใหทานคนพบคําตอบโดยแจมแจง ในขอสงสัยเร่ืองการปฏิบัติท่ีทานอาจจะติดของอยูและสาํ หรับบางทานที่เขาใจคลาดเคลื่อน ปฏิบัติคลาดเคลื่อนไปบาง มาแตทีแรกก็ขอใหไดพบ ไดเขาใจในสิ่งที่ถูก และนําไปใชขยับปรับเปลี่ยนใหตรงทางไดโดยเร็วสําหรับทานท่ีไมเคยรูอะไรมากอนเลย ก็ถือเปนบุญกุศลท่ีไดพบแผนท่ีฉบับนี้แตแรก ------------------------------------------------------------------------------------------ คณะผูจัดพิมพหนังสือเลมน้ี ขอนอบนอมสักการะ ตอ ตถาคต ผูอรหันตสัมมาสัมพุทธะ และ ภิกษุสาวกในธรรมวินัยน้ี ต้ังแตคร้ังพุทธกาล จนถึงยุคปจจุบัน ที่มีสวนเก่ียวของในการสืบทอดพุทธวจน คือ ธรรม และวินัย ที่ทรงประกาศไว บริสุทธิ์บริบูรณดีแลว คณะศิษยพระตถาคต

ผลเสียของการปล่อยจิต ให้เพลินกับอารมณ์

๑๖ ตามดู ไมตามไป กอใหเ กดิ อนสุ ัยท้ัง ๓ภิกษุทั้งหลาย !เพราะอาศัย ตา ดวย รูปท้ังหลาย ดวย จึงเกิด จักขุวิญญาณการประจวบพรอมแหงธรรม ๓ ประการน่ัน คือ ผัสสะ;เพราะมีผัสสะเปนปจจัย...เพราะอาศัย หู ดวย เสียงท้ังหลาย ดวย จึงเกิดโสตวิญญาณการประจวบพรอมแหงธรรม ๓ ประการน่ัน คือ ผัสสะ;เพราะมีผัสสะเปนปจจัย...เพราะอาศัย จมูก ดวย กล่ินทั้งหลาย ดวย จึงเกิดฆานวิญญาณการประจวบพรอมแหงธรรม ๓ ประการน่ัน คือ ผัสสะ;เพราะมีผัสสะเปนปจจัย...เพราะอาศัย ล้ิน ดวย รสทั้งหลาย ดวย จึงเกิดชิวหาวิญญาณการประจวบพรอมแหงธรรม ๓ ประการน่ัน คือ ผัสสะ;เพราะมีผัสสะเปนปจจัย...

อินทรียสังวร ๑๗เพราะอาศัย กาย ดวย โผฏฐัพพะท้ังหลาย ดวย จึงเกิดกายวิญญาณการประจวบพรอมแหงธรรม ๓ ประการน่ัน คือ ผัสสะ;เพราะมีผัสสะเปนปจจัย...เพราะอาศัย ใจ ดวย ธรรมารมณท้ังหลาย ดวย จึงเกิดมโนวิญญาณการประจวบพรอมแหงธรรม ๓ ประการน่ัน คือ ผัสสะ;เพราะมีผัสสะเปนปจจัยจึงเกิดเวทนา อันเปนสุขบาง เปนทุกขบาง ไมใชทุกขไมใชสุขบาง.บุคคลน้ันเมื่อ สุขเวทนา ถูกตองอยูยอมเพลิดเพลิน ยอมพราํ่ สรรเสริญ เมาหมกอยู;อนุสัยคือราคะ ยอมตามนอน แกบุคคลน้ัน (ตสฺส ราคานุสโย อนุเสติ)เมื่อ ทุกขเวทนา ถูกตองอยูเขายอมเศราโศก ยอมระทมใจ ยอมคร่ําครวญยอมตีอกร่ําไห ยอมถึงความหลงใหลอยู;อนุสัยคือปฏิฆะ ยอมตามนอน (เพ่ิมความเคยชินให) แกบุคคลนั้น.

๑๘ ตามดู ไมตามไปเมื่อ เวทนาอันไมใชทุกขไมใชสุข ถูกตองอยูเขายอมไมรูตามเปนจริงซ่ึงสมุทยะ (เหตุเกิด) ของเวทนาน้ันดวยซ่ึงอัตถังคมะ (ความดับไมเหลือ) แหงเวทนานั้นดวยซ่ึงอัสสาทะ (รสอรอย) ของเวทนานั้นดวยซึ่งอาทีนวะ (โทษ) ของเวทนานั้นดวยซึ่งนิสสรณะ (อุบายเครื่องออกพนไป) ของเวทนาน้ันดวย;อนุสัยคืออวิชชา ยอมตามนอน (เพิ่มความเคยชินให) แกบุคคลน้ัน.บุคคลน้ันหนอ(สุขาย เวทนาย ราคานุสย อปฺปหาย)ยังละราคานุสัย อันเกิดจากสุขเวทนาไมได;(ทุกฺขาย เวทนาย ปฏิฆานุสย อปฺปฏิวิโนเทตฺวา)ยังบรรเทาปฏิฆานุสัย อันเกิดจากทุกขเวทนาไมได;(อทุกฺขมสุขาย เวทนาย อวิชฺชานุสย อสมูหนิตฺวา)ยังถอนอวิชชานุสัย อันเกิดจากอทุกขมสุขเวทนาไมได;

อินทรียสังวร ๑๙(อวิชฺช อปฺปหาย วิชฺช อนุปฺปาเทตฺวา)เมื่อยังละอวิชชาไมได และยังทําวิชชาใหเกิดขึ้นไมไดแลว,(ทิฏเว ธมฺเม ทุกฺขสฺสนฺตกโร ภวิสฺสตีติ)เขาจักทาํ ที่สุดแหงทุกข ในทิฏฐธรรม (รูเห็นไดเลย) นี้ได นั้น;(เนต าน วิชฺชติ ฯ)ขอนี้ ไมเปนฐานะที่จักมีได.อุปริ. ม. ๑๔/๕๑๖/๘๒๒.

๒๐ ตามดู ไมตามไป ไมอาจท่จี ะหลุดพนไปจากทุกขภิกษุทั้งหลาย !ผูใด เพลิดเพลินอยู ใน รูปผูนั้น เทากับเพลิดเพลินอยู ใน ส่ิงที่เปนทุกข...ผูใด เพลิดเพลินอยู ใน เวทนาผูน้ัน เทากับเพลิดเพลินอยู ใน สิ่งที่เปนทุกข...ผูใด เพลิดเพลินอยู ใน สัญญาผูน้ัน เทากับเพลิดเพลินอยู ใน สิ่งท่ีเปนทุกข...ผูใด เพลิดเพลินอยู ใน สังขารท้ังหลายผูน้ัน เทากับเพลิดเพลินอยู ใน ส่ิงที่เปนทุกข...ผูใด เพลิดเพลินอยู ใน วิญญาณผูน้ัน เทากับเพลิดเพลินอยู ใน สิ่งท่ีเปนทุกข

อินทรียสังวร ๒๑เรากลาววา“ผูใด เพลิดเพลินอยู ใน ส่ิงท่ีเปนทุกขผูนั้น ยอมไมหลุดพนไปไดจากทุกข” ดังน้ี.ขนฺธ. สํ. ๑๗/๓๙/๖๔.

๒๒ ตามดู ไมตามไป เพลนิ อยูกับอายตนะ เทา กับ เพลนิ อยใู นทกุ ขภิกษุทั้งหลาย !ผูใด เพลิดเพลินอยู ใน จักษุผูน้ัน เทากับ เพลิดเพลินอยู ใน สิ่งท่ีเปนทุกข...ผูใด เพลิดเพลินอยู ใน โสตะผูน้ัน เทากับ เพลิดเพลินอยู ใน ส่ิงที่เปนทุกข...ผูใด เพลิดเพลินอยู ใน ฆานะผูนั้น เทากับ เพลิดเพลินอยู ใน ส่ิงท่ีเปนทุกข...ผูใด เพลิดเพลินอยู ใน ชิวหาผูนั้น เทากับ เพลิดเพลินอยู ใน สิ่งท่ีเปนทุกข...ผูใด เพลิดเพลินอยู ใน กายะผูนั้น เทากับ เพลิดเพลินอยู ใน สิ่งท่ีเปนทุกข...ผูใด เพลิดเพลินอยู ใน มนะผูน้ัน เทากับ เพลิดเพลินอยู ใน สิ่งท่ีเปนทุกข









อินทรียสังวร ๒๗มิคชาละ !ภกิ ษุผูไมป ระกอบพรอ มแลว ดว ยการผกู จิตตดิ กับอารมณดว ยอาํ นาจแหงความเพลินน่ันแล เราเรียกวา “ผูมีการอยูอยางอยูผูเดียว”(ในกรณีแหงเสียงทั้งหลายอันจะพึงไดยินดีดวยหู,กล่ินทั้งหลายอันจะพึงดมดวยจมูก,รสทั้งหลายอันจะพึงล้ิมดวยล้ิน,โผฏฐัพพะทั้งหลายอันจะพึงสัมผัสดวยผิวกาย,และธรรมารมณทั้งหลายอันจะพึงรูแจงดวยใจ, ก็ทรงตรัสอยางเดียวกัน)มิคชาละ ! ภิกษุผูมีการอยูดวยอาการอยางน้ีแมอยูใ นหมบู า น อนั เกลอ่ื นกลนไปดวยภกิ ษุ ภิกษณุ ี อุบาสก อบุ าสิกาทงั้ หลายดวยพระราชา มหาอาํ มาตยของพระราชาทั้งหลายดวยเดียรถีย สาวกของเดียรถียท้ังหลาย ก็ตามถึงกระน้ัน ภิกษุน้ันเราก็เรียกวา ผูมีการอยูอยางอยูผูเดียวโดยแท

๒๘ ตามดู ไมตามไปขอน้ันเพราะเหตุไรเลา ? ขอน้ันเพราะเหตุวาตัณหาน่ันแล เปนเพ่ือนสองของภิกษุน้ัน;ตัณหานั้น อันภิกษุนั้น ละเสียไดแลวเพราะเหตุนั้น ภกิ ษนุ ั้นเราจึงเรียกวา “ผมู กี ารอยอู ยา งอยผู เู ดียว” ดังนี้ แล.สฬา. สํ. ๑๘/๔๓–๔๔/๖๖-๖๗.

อินทรียสังวร ๒๙ ไมอาจถงึ ซึง่ ความเจรญิ งอกงาม ไพบูลย ในธรรมวินยัภกิ ษุท้ังหลาย ! คนเลย้ี งโคท่ปี ระกอบดว ยความบกพรอง ๑๑ อยางเหลานี้แลวไมเหมาะทจ่ี ะเล้ียงโคและทําฝูงโคใหเ จรญิ ได. ความบกพรองน้นั คืออะไรกนั เลา ?คือ คนเล้ียงโคในกรณีน้ี ... เปนผูไมเข่ียไขขาง, เปนผูไมปดแผล, ...ภกิ ษุทั้งหลาย ! ฉันใดก็ฉันนน้ั ภิกษุผปู ระกอบดวยองคค ุณ ๑๑ อยางเหลานีแ้ ลวไมควรท่ีจะถึงความเจริญงอกงามไพบลู ย ในธรรมวินัยน้ี. องคคุณนั้นคืออะไรกันเลา ?คือ ภิกษุในกรณีนี้ ... เปนผูไมเข่ียไขขาง, เปนผูไมปดแผล ...ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุเปนผูไมเข่ียไขขาง เปนอยางไรกันเลา ?ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในกรณีน้ีไมอดกลั้น (อธิวาเสติ)ไมละ (น ปชหติ)ไมบรรเทา (น วิโนเทติ)ไมทาํ ใหสิ้นสุด (น พฺยนฺตีกโรติ)ไมทาํ ใหหมดสิ้น (น อนภาวงฺคเมติ)

๓๐ ตามดู ไมตามไปซ่ึงความตรึกเก่ียวดวยกาม (กามวิตก) ท่ีเกิดขึ้นแลวซึ่งความตรึกเกี่ยวดวยความมุงราย (พยาบาทวิตก) ที่เกิดข้ึนแลวซ่ึงความตรึกเก่ียวดวยการเบียดเบียน (วิหิงสาวิตก) ที่เกิดขึ้นแลวซึ่งบาปอกุศลธรรมท้ังหลาย ที่เกิดขึ้นแลวภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุเปนผูไมเขี่ยไขขาง เปนอยางนี้แล.ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุเปนผูไมปดแผล เปนอยางไรกันเลา ?ภิกษุท้ังหลาย ! ภิกษุในกรณีน้ีเห็นรูปดวยตา, ฟงเสียงดวยหู, ดมกลิ่นดวยจมูก,ลิ้มรสดวยลิ้น, ถูกตองโผฏฐัพพะดวยกาย, รูธรรมารมณดวยใจ,แลว กม็ จี ติ ยึดถือเอา ท้งั โดยลกั ษณะที่เปน การรวบถอื ทง้ั หมด (โดยนมิ ติ )และ การถือเอาโดยการแยกเปนสวน ๆ (โดยอนุพยัญชนะ)ส่ิงอันเปนอกุศล คือ อภิชฌาและโทมนัส จะพึงไหลไปตามผูท่ีไมสํารวม ตา หู จมูก ล้ิน กาย ใจ เพราะการไมสาํ รวมอินทรียใด เปนเหตุเธอไมปฏิบัติเพื่อปดก้ัน อินทรียเหลานั้นไวเธอไมรักษา และไมสาํ รวม ตา หู จมูก ล้ิน กาย ใจภิกษุท้ังหลาย ! ภิกษุเปนผูไมปดแผล เปนอยางน้ีแล.(ในท่ีน้ี ยกมาใหเ ห็นเพยี ง ๒ จากท้ังหมด ๑๑ คณุ สมบตั ิ)มู. ม. ๑๒/๔๑๐/๓๘๔-๕.

ตัวอยางพุทธวจนที่ทรงตรัสไมใหปลอยจิต ใหเพลินกับอารมณ

๓๒ ตามดู ไมตามไป ละความเพลิน จติ หลุดพนสมฺมา ปสฺส นิพฺพินฺทติเม่ือเห็นอยูโดยถูกตอง ยอมเบ่ือหนายนนฺทิกฺขยา ราคกฺขโยเพราะความสิ้นไปแหงนันทิจึงมีความส้ินไปแหงราคะราคกฺขยา นนฺทิกฺขโยเพราะความสิ้นไปแหงราคะจึงมีความส้ินไปแหงนันทินนฺทิราคกฺขยา จิตฺต สุวิมุตฺตนฺติ วุจฺจตีติเพราะความส้ินไปแหงนันทิและราคะกลาวไดวา “จิตหลุดพนแลวดวยดี” ดังนี้.สฬา. สํ. ๑๘/๑๗๙/๒๔๕-๖.

อินทรียสังวร ๓๓ ความพอใจ เปน เหตุแหงทุกข“ทุกขใด ๆ ท่ีเกิดข้ึนแลวในอดีตทุกขท้ังหมดน้ัน มีฉันทะเปนมูล มีฉันทะเปนเหตุเพราะวา ฉันทะ (ความพอใจ) เปนมูลเหตุแหงทุกขทุกขใด ๆ อันจะเกิดข้ึนในอนาคตทุกขท้ังหมดน้ัน ก็มีฉันทะเปนมูล มีฉันทะเปนเหตุเพราะวา ฉันทะ (ความพอใจ) เปนมูลเหตุแหงทุกขและทุกขใด ๆ ที่เกิดขึ้นทุกขทั้งหมดน้ัน ก็มีฉันทะเปนมูล มีฉันทะเปนเหตุเพราะวา ฉันทะ (ความพอใจ) เปนมูลเหตุแหงทุกข”.สฬา. สํ. ๑๘/๔๐๓/๖๒๗.(ในเนอ้ื ความพระสูตร ทรงชีใ้ หเ ห็นถงึ เหตุของทุกขใ นปจ จบุ ัน ซ่ึงก็คือ ฉนั ทะเปนความรูท่เี ห็นกนั ได แลว จงึ ไดสรุปใหเหน็ ไปถงึ นยั ยะโดยอดีตกับอนาคต)

๓๔ ตามดู ไมตามไป เมื่อคิดถึงสิง่ ใด แสดงวาพอใจในสิ่งนัน้ภิกษุทั้งหลาย !ถาบุคคลยอมคิดถึงสิ่งใดอยู (เจเตติ)ยอมดําริถึงสิ่งใดอยู (ปกปฺเปติ)และยอมมีจิตฝงลงไปในส่ิงใดอยู (อนุเสติ)สิ่งน้ันยอมเปนอารมณเพ่ือการตั้งอยูแหงวิญญาณ.เมื่ออารมณ มีอยู,ความต้ังข้ึนเฉพาะแหงวิญญาณ ยอมมี;เม่ือวิญญาณน้ัน ต้ังข้ึนเฉพาะ เจริญงอกงามแลว,ความเกิดข้ึนแหงภพใหมตอไป ยอมมี;เม่อื ความเกิดขน้ึ แหง ภพใหมตอ ไป มี,ชาตชิ รามรณะโสกะปริเทวะทุกขะโทมนสั อปุ ายาสทั้งหลายจึงเกิดข้ึนครบถว นตอไป:ความเกิดขึ้นพรอ มแหงกองทกุ ขท ัง้ สน้ิ นี้ ยอมมี ดวยอาการอยา งน.ี้นิทาน. สํ. ๑๖/๗๘/๑๔๕.

อินทรียสังวร ๓๕ ภพแมช ัว่ ขณะดีดนว้ิ มอื ก็ยงั นารังเกียจภิกษุทั้งหลาย !คูถ แมนิดเดียว ก็เปนของมีกลิ่นเหม็น ฉันใด,ภิกษุทั้งหลาย !สิ่งท่ีเรียกวา ภพ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน,แมมีประมาณนอยชั่วลัดนิ้วมือเดียว ก็ไมมีคุณอะไรท่ีพอจะกลาวได.เอก. อํ. ๒๐/๔๖/๒๐๓.(พระสูตรตอไป ทรงตรสั ถงึ มตู ร นาํ้ ลาย หนอง โลหิต ดว ยขอ ความเดยี วกัน)



อินทรียสังวร ๓๗ ตัณหา คอื “เชือ้ แหง การเกดิ ”วัจฉะ ! เรายอมบัญญัติความบังเกิดขึ้นสาํ หรับสัตวผูที่ยังมีอุปาทานอยู (สอุปาทานสฺส)ไมใชสาํ หรับสัตวผูท่ีไมมีอุปาทานวจั ฉะ ! เปรยี บเหมือน ไฟท่มี เี ช้ือ ยอมโพลงขนึ้ ได (อคคฺ ิ สอุปาทาโน ชลติ)ท่ีไมมีเชื้อ ก็โพลงข้ึนไมไดอุปมาน้ีฉันใด อุปไมยก็ฉันนั้นวัจฉะ ! เรายอมบัญญัติความบังเกิดขึ้นสาํ หรับสัตวผูที่ยังมีอุปาทานอยูไมใชสําหรับสัตวผูท่ีไมมีอุปาทาน

๓๘ ตามดู ไมตามไป“พระโคดมผูเจริญ ! ถาสมัยใด เปลวไฟ ถูกลมพัดหลุดปลิวไปไกล,สมยั นั้นพระโคดมยอมบัญญัตซิ ึ่งอะไรวา เปนเช้ือแกเปลวไฟนั้นถาถือวามันยังมเี ช้อื อยู ?”วัจฉะ ! สมัยใด เปลวไฟ ถูกลมพัดหลุดปลิวไปไกลเรายอมบัญญัติเปลวไฟนั้น วา มีลมน่ันแหละเปนเชื้อวจั ฉะ ! เพราะวา สมัยน้ัน ลมยอ มเปน เชื้อของเปลวไฟนนั้ .“พระโคดมผเู จรญิ ! ถา สมยั ใด สัตวท อดทิ้งกายน้ี และยังไมบังเกดิ ขึ้นดว ยกายอ่นื ,สมัยนั้นพระโคดม ยอมบัญญัติ ซง่ึ อะไร วา เปนเช้ือแกส ัตวน ้ัน ถาถือวา มันยังมีเชื้ออยู ?”วัจฉะ ! สมัยใด สัตวทอดทิ้งกายน้ี และยังไมบังเกิดข้ึนดวยกายอ่ืนเรากลาว สัตวนี้ วา มีตัณหาน่ันแหละเปนเชื้อเพราะวา สมัยน้ัน ตัณหายอมเปนเชื้อของสัตวนั้น แล.สฬา. สํ. ๑๘/๔๘๕/๘๐๐.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook