“อนิ ทรยี สงั วร” (ตามดู! )ไมตามไป....อินทรยี ภาวนาช้นั เลศิอานนท ! อารมณอันเปนที่ชอบใจ – ไมเปนที่ชอบใจเปนที่ชอบใจและไมเปนที่ชอบใจ อันบังเกิดขึ้นแกภิกษุนั้นยอมดับไปเร็วเหมือนการกระพริบตาของคน อุเบกขายังคงดำรงอยู.อานนท ! นี้แล เราเรียกวา อินทรียภาวนาชั้นเลิศในอริยวินัย…อุปริ. ม. ๑๔/๕๔๒ – ๕๔๕/๘๕๖ – ๘๖๑. กวา ๖๐ พระสตู ร แหงความสอดรับกันในคำตถาคต
“ธรรมวาที ย่อมไม่กล่าวขัดแย้งกะใครๆ ในโลก” ภิกษุทั้งหลาย ! เราย่อมไม่กล่าวขัดแย้งกะโลก แต่โลกต่างหากย่อมกล่าวขัดแย้งต่อเรา ภิกษุทั้งหลาย ! ผู้เป็นธรรมวาที ย่อมไม่กล่าวขัดแย้งกะใครๆ ในโลก ภิกษุทั้งหลาย ! สิ่งใดที่บัณฑิตในโลกสมมติ (รู้เหมือน ๆ กัน) ว่าไม่มี แม้เราก็กล่าวสิ่งนั้นว่าไม่มี ภิกษุทั้งหลาย ! สิ่งใดที่บัณฑิตในโลกสมมติว่ามี แม้เราก็กล่าวสิ่งนั้นว่ามี ภิกษุทั้งหลาย ! อะไรเล่า ที่บัณฑิตในโลกสมมติว่าไม่มี และเราก็กล่าวว่าไม่มี ภิกษุทั้งหลาย ! รูป ที่เที่ยง ที่ยั่งยืน ที่เที่ยงแท้ ที่ไม่มีการแปรปรวนเป็นธรรมดา บัณฑิตในโลกสมมติว่าไม่มี แม้เราก็กล่าวว่าไม่มี ภิกษุทั้งหลาย ! อะไรเล่า ที่บัณฑิตในโลกสมมติว่ามี และเราก็กล่าวว่ามี ภิกษุทั้งหลาย ! รูป ที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีการแปรปรวนเป็นธรรมดา บัณฑิตในโลกสมมติว่ามี แม้เราก็กล่าวว่ามี ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๖๙/๒๓๙.
“อนิ ทรียสังวร” (ตามดู! )ไม่ตามไป....
พุทธวจน “อนิ ทรียสงั วร” (ตามดู! ไมต่ ามไป....)สื่อธรรมะนี้ จัดทำเพื่อประโยชน์ทางการศึกษาสู่สาธารณชน เป็นธรรมทาน ลิขสิทธิ์ในต้นฉบับนี้ได้รับการสงวนไว้ ไม่สงวนสิทธิ์ในการจัดทำจากต้นฉบับเพื่อเผยแผ่ในทุกกรณี ในการจัดทำหรือเผยแผ่ โปรดใช้ความละเอียดรอบคอบ เพื่อรักษาความถูกต้องของข้อมูลขอคำปรึกษาด้านข้อมูลในการจัดทำเพื่อความสะดวกและประหยัด ติดต่อได้ที่ คุณศรชา โทรศัพท์ ๐๘๑-๕๑๓-๑๖๑๑ หรือ คุณอารีวรรณ โทรศัพท์ ๐๘๕-๐๕๘-๖๘๘๘ พิมพ์ครั้งที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๓ จำนวน ๑๐,๐๐๐ เล่ม ออกแบบปก คณะสงฆ์วัดนาป่าพง ศิลปกรรม วิชชุ เสริมสวัสดิ์ศรี ที่ปรึกษาศิลปกรรม จำนงค์ ศรีนวล, ธนา วาสิกศิริ จัดทำโดย มูลนิธิพุทธโฆษณ์ (เว็บไซต์ www.buddhakos.org) ดำเนินการพิมพ์โดย บริษัท คิว พริ้นท์ แมเนจเม้นท์ จำกัด โทรศัพท์ ๐๒-๘๐๐-๒๒๙๒ โทรสาร ๐-๒๘๐๐-๓๖๔๙
ลำดับเนื้อหา ผลเสียของการปลอยจิตใหเพลินกับอารมณตัวอยางพุทธวจน ที่ทรงตรัสไมใหปลอยจิตใหเพลินกับอารมณจติ ทเ่ี พลนิ กบั อารมณ ละไดด ว ยการมอี นิ ทรยี สงั วร (การสาํ รวมอนิ ทรยี ) ความสําคัญแหงอินทรียสังวร ความหมายและลักษณะของการมีอินทรียสังวร รูปแบบการละความเพลินในอารมณโดยวิธีอื่น ผลที่สุดของการละความเพลินในอารมณ ขอย้ำเตือนจากพระตถาคต
สารบญั ๑ ๑๕คํานาํผลเสียของการปลอยจิตใหเพลินกับอารมณ ๑๖ ๒๐กอใหเกิดอนุสัยทั้ง ๓ ๒๒ไมอาจที่จะหลุดพนไปจากทุกข ๒๔เพลินอยูกับอายตนะ เทากับ เพลินอยูในทุกข ๒๙ลักษณะของการอยูอยางมีตัณหาเปนเพื่อนไมอาจถึงซึ่ง ความเจริญงอกงาม ไพบูลย ในธรรมวินัย ๓๑ตัวอยางพุทธวจน ท่ีทรงตรัสไมใหปลอยจิต ๓๒ใหเพลินกับอารมณ ๓๓ ๓๔ละความเพลิน จิตหลุดพน ๓๕ความพอใจ เปนเหตุแหงทุกข ๓๗เมื่อคิดถึงส่ิงใด แสดงวาพอใจในส่ิงนั้น ๓๙ภพแมช่ัวขณะดีดนิ้วมือก็ยังนารังเกียจ ๔๑ตัณหา คือ “เช้ือแหงการเกิด”เมื่อมีความพอใจ ยอมมีตัณหาตัณหา คือ เคร่ืองนําไปสูภพใหม อันเปนเหตุเกิดทุกข
สิ้นความอยาก ก็ส้ินทุกข ๔๓มีความเพลิน คือมีอุปาทาน ผูมีอุปาทานยอมไมปรินิพพาน ๔๕ในอริยมรรคมีองค ๘ ๔๙ทรงตรัสวา “เปนเร่ืองเรงดวนท่ีตองเรงกระทาํ ” ๕๑ตองเพียรละความเพลินในทุก ๆ อิริยาบถ ๕๔ความเพียร ๔ ประเภท (นัยที่ ๑) ๕๖ความเพียร ๔ ประเภท (นัยท่ี ๒) ๕๘จติ ท่ีเพลนิ กบั อารมณ ละไดด วยการมอี ินทรยี สงั วร ๖๑(การสาํ รวมอนิ ทรีย) ๖๒เม่ือมีสติ ความเพลินยอมดับ ๖๕กายคตาสติ มีความสาํ คัญตออินทรียสังวร ๖๕- ลักษณะของผูไมตั้งจิตในกายคตาสติ ๖๗- ลักษณะของผูตั้งจิตในกายคตาสติ ๗๐อินทรียสังวร ปดกั้นการเกิดข้ึนแหงบาปอกุศล
ความสาํ คัญแหงอินทรียสังวร ๗๓อินทรียสังวร เปนเหตุใหไดมาซึ่งวิมุตติญาณทัสสนะ ๗๔ผไู มส าํ รวมอินทรียค อื ผูประมาท ผูสาํ รวมอนิ ทรียคือผูไ มประมาท ๗๕ความไมประมาท เปนยอดแหงกุศลธรรม ๗๗ผูมีอินทรียสังวร จึงสามารถเจริญสติปฏฐานทั้ง ๔ ได ๗๙อาสวะบางสวนสามารถละไดดวยการสาํ รวม ๘๐อาสวะบางสวนสามารถละไดดวยการบรรเทา ๘๑ผลที่ไดเพราะเหตุแหงการปดก้ันอาสวะ ๘๒ความหมายและลักษณะของการมีอินทรียสังวร ๘๓ความหมายแหงอินทรีย ๘๔ลักษณะของผูสํารวมอินทรีย ๘๕ผูท่ีถึงซึ่ง ความเจริญงอกงาม ไพบูลย ในธรรมวินัย ๘๖
รูปแบบการละความเพลินในอารมณโดยวิธีอื่น ๘๙กระจายซ่ึงผัสสะ ๙๐ตามแนวแหงสัมมาสังกัปปะ ๙๔ยอมยุบ ยอมไมกอ ยอมขวางท้ิง ยอมไมถือเอา ซ่ึง... ขันธ ๕ ๙๙เห็นประจักษตามความเปนจริง ๑๐๖พึงเห็นวา ชีวิตน้ันแสนสั้น ๑๐๘ผลท่ีสุดของการละความเพลินในอารมณ ๑๑๑ผูไดช่ือวา อินทรียภาวนาชั้นเลิศ ๑๑๒ผูเขาไปหาเปนผูไมหลุดพน ผูไมเขาไปหายอมหลุดพน ๑๑๔เพราะไมเพลิน จึงละอนุสัยท้ัง ๓ ได ๑๑๖ยอมหลุดพนไปจากทุกข ๑๒๐ลักษณะของบุคคลส่ีประเภทกก ๑๒๕ขอยาํ้ เตือนจากพระตถาคต ๑๒๗ความไมประมาท ยังกุศลธรรมท้ังหลายใหเกิดขึ้น ๑๒๘พินัยกรรม ของพระสังฆบิดากกกกกกกกกก ๑๒๙บันทึกทายเลม ๑๓๑
อินทรียสังวร ๑คาํ นาํมนุษยเปนสัตวที่ส่ือสารกันดวยระบบภาษาที่ซับซอน ทั้งโครงสรางและความหมายวจีสังขาร ท่ีมนุษยปรุงแตงข้ึนนั้น มีความวิจิตรเทียบเทาดุจความละเอียดของจิตท้ังน้ี เพราะ จิตเปนตัวสรางการหมายรูตาง ๆ (จิต เปนเหตุในการเกิดของนามรูปและนามรูปซึ่งจิตสรางขึ้นน้ัน เปนเหตุในการดํารงอยูไดของจิต)ถอ ยคาํ หน่ึง ๆ ในภาษาหนงึ่ ๆ เม่อื นาํ ไปวางไวใ นบริบทตา ง ๆ กนั ก็มีความหมายตางกนัยงิ่ ไปกวา น้ัน ถอ ยคาํ หนง่ึ ๆ ในบริบทเดยี วกนั สามารถถกู เขา ใจตา งกนั ในความหมายไดข้นึ อยกู ับการหมายรเู ฉพาะของจติ ผูรบั สาร ซ่ึงก็มอี นุสัยในการปรุงแตงแตกตา งกันไปความหยาบละเอียดในอารมณ อันมีประมาณตาง ๆ แปรผันไปตามการหมายรูน้ัน ๆการสื่อความใหเขาใจตรงกัน จึงไมใชเรื่องงาย แมเรื่องราวในระดับชีวิตประจําวันแมในระหวางบุคคลที่มีความสัมพันธใกลชิด เชน ในครอบครัวเดียวกันก็ตามการผิดใจกันท่ีมีเหตุมาจากการส่ือความหมายท่ีไมตรง ก็มีใหเห็นเปนเร่ืองปกติกับกรณีของปรากฏการณทางจิต ซ่ึงมีมิติละเอียดปราณีตที่สุดในระบบสังขตธรรมใครเลา จะมคี วามสามารถในการบัญญตั ิระบบคําพูด ที่ใชถ ายทอดบอกสอนเรือ่ งจติ น้ีใหออกมาไดเปน หลักมาตรฐานเดียว และใชส อ่ื เขาใจตรงกันได โดยไมจาํ กัดกาลเวลา
๘ ตามดู ไมตามไปดวยอาการอยางน้ีแล ทภ่ี กิ ษเุ ปนผูมีปกตพิ ิจารณาเห็นจิตในจติ (จิตเฺ ต จติ ตฺ านุปสสฺ ี วิหรติ)อันเปน ภายในอยูบาง, ในจิตอันเปน ภายนอกอยบู า ง, ในจติ ทงั้ ภายในและภายนอกอยบู าง;และเปนผูมีปกติพิจารณาเห็นธรรมเปนเหตุ เกิดข้ึนในจิตอยูบาง,เห็นธรรมเปนเหตุเสื่อมไปในจิตอยูบาง,เห็นธรรมเปนเหตุทั้งเกิดขึ้นและเส่ือมไปในจิตอยูบาง;ก็แหละสติ(คือความระลึก) วา “จิตมีอยู” ดังน้ี ของเธอนั้นเปนสติที่เธอดาํ รงไวเพียงเพ่ือความรู เพียงเพื่อความอาศัยระลึก.ท่ีแทเธอเปนผูที่ตัณหาและทิฏฐิอาศัยไมได และเธอไมยึดมั่นอะไร ๆ ในโลกน้ี.ภกิ ษทุ ้ังหลาย ! ภิกษชุ ือ่ วา เปนผูม ีปกติตามเหน็ จิตในจติ อยู แมด วยอาการอยางนี.้- มหาสติปฏฐานสูตร มหาวาร. สํ. ๑๐/๓๓๑/๒๘๙.
อินทรียสังวร ๙จะเห็นไดวา พระพุทธเจามิไดใหเราฝกตามดูตามรูเรื่องราวในอารมณไปเรื่อย ๆและ การตามดตู ามรูซ่ึงจติ (จติ ฺตานปุ สสฺ นา) จะตอ งเปนไปภายใต ๘ คูอาการนเ้ี ทานน้ัสมมุติสถานการณตัวอยาง เชน ในขณะที่เรากาํ ลังโกรธอยูในกรณีนี้ หนาท่ีของเรา ที่ตองทําใหได คือ “รูชัดซ่ึงจิตอันมีโทสะ วา จิตมีโทสะ”ไมใ ชไปตามดูตามรโู ทสะ (หรอื รูใ นอารมณทจ่ี ติ ผูกติดอย)ู ในจิตอันมีโทสะขณะนั้นปญ หามอี ยูวา โดยธรรมชาตขิ องจติ มนั รูไ ดอ ารมณเ ดียวในเวลาเดียว (one at a time)ในขณะท่เี รากาํ ลังโกรธอยนู ้ัน เราจงึ ตอ งละความเพลินในอารมณท ท่ี ําใหเ ราโกรธเสียกอ นไมเ ชนนัน้ เราจะไมมีทาง “รชู ดั ซ่งึ จิตอนั มโี ทสะ วา จิตมโี ทสะ” ไดเลยมีผัสสะ จติ รับรอู ารมณ มสี ติ ละความเพลิน รูชัดซง่ึ จติในระหวา งขั้นตอนขา งตน ถา เราสามารถเหน็ ธรรมเปน เหตเุ กดิ ข้ึนหรือเสอื่ มไปในจติ ไดการเห็นตรงนี้ เรียกวา วิปสสนา ซึ่งเปนจุดประสงคของการเจริญสติปฏฐานทั้งสี่โปรดสงั เกตุ สติปฏ ฐานสี่ ทุกหมวด จบลงดวยการเห็นธรรมอันเปนเหตุเกิดขึ้นและเสื่อมไปขนั้ ตอนของสติท่ีเขาไปตัง้ อาศัยในฐานท้งั สี่ เปน เพยี งบนั ไดข้นั หนง่ึ เทานัน้ ไมใ ชจ ดุ หมาย
๑๐ ตามดู ไมตามไปเมอ่ื ผัสสะถูกตองแลว ๆ หากเราหลงเพลนิ “รสู กึ ” ตามไปเร่อื ย ๆ น่ีคอื อนสุ ยั (ตามนอน)หากละความเพลินในอารมณแลวมาเห็นจิตโดยอาการ ๘ คขู างตนน่คี ืออนปุ สสนา(ตามเหน็ )และ ถามีการเห็นแจงในธรรมเปนเหตุเกดิ ขึ้นและเหตุเสือ่ มไปในจติ นี่คือ วิปสสนา (เห็นแจง )ถาหากวา เราไมสามารถรูชัดซ่ึงจิตโดยอาการอยางใดอยางหน่ึงใน ๘ คูขางตนไดใหด งึ สติกลับมารูท ่ีฐานคือกาย เชน อิริยาบถ หรือ ลมหายใจ พลิกกลบั เปน กายานุปส สนาอยามักงายไปคดิ คาํ ข้นึ ใหม เพือ่ มาเรียกอารมณท ่จี ิตหลงอยใู นขณะนน้ั เพราะนัน่ คือจุดเรม่ิของการเบ่ยี งออกนอกมรรควิธี (ไปใชค าํ อธบิ ายอาการของจิตท่นี อกแนวจากพุทธบัญญัติเปน ผลใหหลงเขา ใจไดว า กาํ ลังดูจติ ท้ังๆ ท่ีกาํ ลังเพลินอยูใ นอารมณ ขาดสติ แตห ลงวา มีสต)ินี้ เปนเพียงตัวอยางของการตามเห็นในกรณีจติ ตานุปสสนา คือ ใชจิตเปน ฐานทีต่ ้ังของสติในกรณีของ กายานปุ ส สนา เวทนานุปส สนา ธรรมานปุ สสนา พึงศึกษาในลักษณะเดียวกันคือปฏบิ ัติตามพุทธวจนในกรณีนนั้ ๆ ใหถ กู ตอ งครบถว น ทัง้ โดยอรรถะ และโดยพยัญชนะพระพุทธเจามองเห็นธรรมชาตใิ นจติ ของหมูสัตว ในแบบของผูท่ีสรา งบารมีมาเพื่อบอกสอนการบัญญตั มิ รรควิธี จึงเปนพุทธวิสัย หนาท่ีของเราในฐานะพุทธสาวกมีเพยี งอยางเดยี ว คอืปฏบิ ัติตามพุทธบัญญัตโิ ดยระมัดระวังอยา งทีส่ ดุ (มคฺคานุคา จ ภกิ ขฺ เว เอตรหิ สาวกา ฯ)เม่ือเขาใจความหมายของการตามเหน็ (อนุปสฺสนา) และการเห็นแจง (วปิ สฺสนา) แลวทนี ้ี จะมวี ธิ อี ยางไร ทจี่ ะทําใหอ ตั ราสว น Ratio ของ วิปส สนา ตอ อนุปส สนา มคี าสงู ท่สี ดุ(คือ เนนการปฏิบัติที่ไดประสิทธิภาพมากท่ีสุด เพื่อความลัดสั้นสูมรรคผล)
อินทรียสังวร ๑๑ตัวแปรหลักที่เปนกุญแจไขปญหาน้ี คือ สมาธิตราบใดทจ่ี ิตยังซดั สา ยไป ๆ มา ๆ ท้ังการอนุปสสนาก็ดี และการวิปส สนาก็ดี ตา งกท็ าํ ไดย ากพระพุทธเจาจึงทรงรบั สั่งวา ใหเราเจรญิ สมาธิ เพือ่ ใหธรรมท้ังหลายปรากฏตามเปนจริงภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลายจงเจริญสมาธิ.ภิกษุมีจิตต้ังมั่นแลว ยอมรูชัดตามเปนจริง.ก็ภิกษุยอมรูชัดตามเปนจริงอยางไร ?ยอมรูชัดซึ่งความเกิดและความดับแหงรูปความเกิดและความดับแหงเวทนาความเกิดและความดับแหงสัญญาความเกิดและความดับแหงสังขารความเกิดและความดับแหงวิญญาณ.- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๗-๑๘//๒๗.
๑๒ ตามดู ไมตามไปนอกจากนแี้ ลว พระพทุ ธองคยังทรงแนะนําเปน กรณพี ิเศษ สาํ หรบั กรณที ่ีจิตต้ังม่นั ยากเชน คนท่คี ดิ มาก มีเรือ่ งใหวติ กกงั วลมาก ยํ้าคดิ ยา้ํ ทํา คดิ อยตู ลอดเวลา หยุดคดิ ไมไ ดหรอื คนทเ่ี ปน hyperactive มบี ุคลิกภาพทางจติ แบบ ADHD ซึ่งมปี ญ หาในการอยูน ่ิงทรงแนะนําวิธีแกไขอาการเหลาน้ี โดยการเจริญทําใหมาก ซึ่งอานาปานสติสมาธิภิกษุทั้งหลาย ! ความหว่ันไหวโยกโคลงแหง กายก็ตาม ความหว่ันไหวโยกโคลงแหง จติ ก็ตามยอมมีไมได เพราะการเจริญทาํ ใหมากซ่ึงอานาปานสติสมาธิ- มหา. สํ. ๑๙/๔๐๐/๑๓๒๕.เม่ือถงึ ตรงน้ี แมจะไมเอยถึง เรากค็ งจะเห็นไดชัดแลววา ความสงบแหง จิต (สมถะ) นั้นจะตอ งดําเนินไปควบคู และเกื้อหนุนกบั ระดับความสามารถในการเห็นแจง (วปิ สสนา)ซ่ึงพระพุทธองคเองไดตรัสเนนยา้ํ ในเรื่องนี้ไวโดยตรงดวยภิกษุท้ังหลาย. ! ธรรมท่ีควรกระทาํ ใหเจริญดวยปญญาอันย่ิง เปนอยางไรเลา?สมถะ และ วิปส สนา เหลานเ้ี รากลาววา เปน ธรรมท่ีควรกระทําใหเ จริญดวยปญญาอันยง่ิ .- จตุกฺก. อํ. ๒๑/๓๓๔/๒๕๔.
อินทรียสังวร ๑๓ธรรมทีค่ วรกระทาํ ใหเ จรญิ ดว ยปญญาอันยง่ิ มสี องอยาง คอื ท้งั สมถะ และวปิ สสนาน่นั หมายความวา ทง้ั สมถะ และวปิ สสนา เปนสิ่งทีต่ องอาศัยปญญาอันย่ิงในการไดมาดังนนั้ ใครก็ตามทมี่ คี วามสามารถในการทาํ จิตใหต ั่งมั้นได บคุ คลนั้นมปี ญญาอนั ยงิ่ใครกต็ ามท่จี ิตตง้ั มน่ั แลวสามารถเห็นแจง ในธรรมอนั เปนเหตุ บคุ คลนน้ั มปี ญ ญาอนั ยิง่สําหรับบางคนที่อาจจะเขาใจความหมายไดดีกวา จากตัวอยางอุปมาเปรียบเทียบพระพุทธองคไดทรงยกอุปมาเปรียบเทียบไวในฌานสูตร วาเหมือนกับการฝกยิงธนูเมื่อพิจารณาแลว จะพบวา มีตัวแปรตาง ๆ ท่ีเกี่ยวของ ซึ่งจะตองปรับใหสมดุลยเชน ความน่ิงของกาย วิธีการจับธนู การเล็ง นาํ้ หนัก และจังหวะในการปลอยลูกศรอุปมาน้ี พอจะทําใหเราเห็นภาพไดดี ในการเจริญสมถะวิปสสนา ดวยปญญาอันย่ิงวาการเห็นแจงในธรรมอันเปนเหตุน้ัน จะตองอาศัยความสมดุลยตาง ๆ อยางไรบางหากจะพูดใหส้ันกระชับที่สุด การตามดูไมตามไปน้ี แทจริงแลว คือ การไมตามไปเพราะเมื่อไมต าม (อารมณอ นั มีประมาณตา ง ๆ) ไป มนั ก็เหลือแคการตามดทู ี่ถกู ตองหลักการไมตามไปนี้ ก็คือ หลักการละนันทิ ซึ่งเปนเรื่องเดียวกันกับหลักอินทรียสังวรภิกษุมคิ ชาละ ฟง ธรรมเรื่องการละนันทิ แลวหลกี จากหมูไปอยูผูเดียวก็บรรลอุ รหตั ผลความเรว็ ในการละนันทิ ยังถกู ใชเปนเคร่อื งวัดความกาวหนาในการปฏิบัติจติ ภาวนา(ดูความเชื่อมโยงไดในเรื่อง อินทรียสังวร, การไมประมาท, อินทรียภาวนาชั้นเลิศ)
๑๔ ตามดู ไมตามไปหนังสือ ตามดู ไมตามไป เลมน้ี จัดทาํ ขึ้น เพ่ืออาํ นวยความสะดวกแกชาวพุทธโดยการคดั เลอื กพุทธวจน ที่เก่ียวของกบั การเจริญสติ เปน จาํ นวนกวา ๖๐ พระสูตรซึ่งมีเนอ้ื หาสอดรับเช่อื มโยงคลองเกลียวถงึ กัน เพือ่ ใหเ ราไดศ กึ ษาใหเ ขาใจถงึ มรรควิธีทีถ่ ูกตอ งทุกแงมมุ ในความหลากหลายภายใตความเปนหนึ่ง จากพุทธบัญญัตโิ ดยตรงขอใหบุญบารมีท่ีไดสรางมา ของชาวพุทธผูท่ีกําลังถือหนังสือเลมนี้อยู จงเปนเหตุปจจัยใหทานคนพบคําตอบโดยแจมแจง ในขอสงสัยเร่ืองการปฏิบัติท่ีทานอาจจะติดของอยูและสาํ หรับบางทานที่เขาใจคลาดเคลื่อน ปฏิบัติคลาดเคลื่อนไปบาง มาแตทีแรกก็ขอใหไดพบ ไดเขาใจในสิ่งที่ถูก และนําไปใชขยับปรับเปลี่ยนใหตรงทางไดโดยเร็วสําหรับทานท่ีไมเคยรูอะไรมากอนเลย ก็ถือเปนบุญกุศลท่ีไดพบแผนท่ีฉบับนี้แตแรก ------------------------------------------------------------------------------------------ คณะผูจัดพิมพหนังสือเลมน้ี ขอนอบนอมสักการะ ตอ ตถาคต ผูอรหันตสัมมาสัมพุทธะ และ ภิกษุสาวกในธรรมวินัยน้ี ต้ังแตคร้ังพุทธกาล จนถึงยุคปจจุบัน ที่มีสวนเก่ียวของในการสืบทอดพุทธวจน คือ ธรรม และวินัย ที่ทรงประกาศไว บริสุทธิ์บริบูรณดีแลว คณะศิษยพระตถาคต
ผลเสียของการปล่อยจิต ให้เพลินกับอารมณ์
๑๖ ตามดู ไมตามไป กอใหเ กดิ อนสุ ัยท้ัง ๓ภิกษุทั้งหลาย !เพราะอาศัย ตา ดวย รูปท้ังหลาย ดวย จึงเกิด จักขุวิญญาณการประจวบพรอมแหงธรรม ๓ ประการน่ัน คือ ผัสสะ;เพราะมีผัสสะเปนปจจัย...เพราะอาศัย หู ดวย เสียงท้ังหลาย ดวย จึงเกิดโสตวิญญาณการประจวบพรอมแหงธรรม ๓ ประการน่ัน คือ ผัสสะ;เพราะมีผัสสะเปนปจจัย...เพราะอาศัย จมูก ดวย กล่ินทั้งหลาย ดวย จึงเกิดฆานวิญญาณการประจวบพรอมแหงธรรม ๓ ประการน่ัน คือ ผัสสะ;เพราะมีผัสสะเปนปจจัย...เพราะอาศัย ล้ิน ดวย รสทั้งหลาย ดวย จึงเกิดชิวหาวิญญาณการประจวบพรอมแหงธรรม ๓ ประการน่ัน คือ ผัสสะ;เพราะมีผัสสะเปนปจจัย...
อินทรียสังวร ๑๗เพราะอาศัย กาย ดวย โผฏฐัพพะท้ังหลาย ดวย จึงเกิดกายวิญญาณการประจวบพรอมแหงธรรม ๓ ประการน่ัน คือ ผัสสะ;เพราะมีผัสสะเปนปจจัย...เพราะอาศัย ใจ ดวย ธรรมารมณท้ังหลาย ดวย จึงเกิดมโนวิญญาณการประจวบพรอมแหงธรรม ๓ ประการน่ัน คือ ผัสสะ;เพราะมีผัสสะเปนปจจัยจึงเกิดเวทนา อันเปนสุขบาง เปนทุกขบาง ไมใชทุกขไมใชสุขบาง.บุคคลน้ันเมื่อ สุขเวทนา ถูกตองอยูยอมเพลิดเพลิน ยอมพราํ่ สรรเสริญ เมาหมกอยู;อนุสัยคือราคะ ยอมตามนอน แกบุคคลน้ัน (ตสฺส ราคานุสโย อนุเสติ)เมื่อ ทุกขเวทนา ถูกตองอยูเขายอมเศราโศก ยอมระทมใจ ยอมคร่ําครวญยอมตีอกร่ําไห ยอมถึงความหลงใหลอยู;อนุสัยคือปฏิฆะ ยอมตามนอน (เพ่ิมความเคยชินให) แกบุคคลนั้น.
๑๘ ตามดู ไมตามไปเมื่อ เวทนาอันไมใชทุกขไมใชสุข ถูกตองอยูเขายอมไมรูตามเปนจริงซ่ึงสมุทยะ (เหตุเกิด) ของเวทนาน้ันดวยซ่ึงอัตถังคมะ (ความดับไมเหลือ) แหงเวทนานั้นดวยซ่ึงอัสสาทะ (รสอรอย) ของเวทนานั้นดวยซึ่งอาทีนวะ (โทษ) ของเวทนานั้นดวยซึ่งนิสสรณะ (อุบายเครื่องออกพนไป) ของเวทนาน้ันดวย;อนุสัยคืออวิชชา ยอมตามนอน (เพิ่มความเคยชินให) แกบุคคลน้ัน.บุคคลน้ันหนอ(สุขาย เวทนาย ราคานุสย อปฺปหาย)ยังละราคานุสัย อันเกิดจากสุขเวทนาไมได;(ทุกฺขาย เวทนาย ปฏิฆานุสย อปฺปฏิวิโนเทตฺวา)ยังบรรเทาปฏิฆานุสัย อันเกิดจากทุกขเวทนาไมได;(อทุกฺขมสุขาย เวทนาย อวิชฺชานุสย อสมูหนิตฺวา)ยังถอนอวิชชานุสัย อันเกิดจากอทุกขมสุขเวทนาไมได;
อินทรียสังวร ๑๙(อวิชฺช อปฺปหาย วิชฺช อนุปฺปาเทตฺวา)เมื่อยังละอวิชชาไมได และยังทําวิชชาใหเกิดขึ้นไมไดแลว,(ทิฏเว ธมฺเม ทุกฺขสฺสนฺตกโร ภวิสฺสตีติ)เขาจักทาํ ที่สุดแหงทุกข ในทิฏฐธรรม (รูเห็นไดเลย) นี้ได นั้น;(เนต าน วิชฺชติ ฯ)ขอนี้ ไมเปนฐานะที่จักมีได.อุปริ. ม. ๑๔/๕๑๖/๘๒๒.
๒๐ ตามดู ไมตามไป ไมอาจท่จี ะหลุดพนไปจากทุกขภิกษุทั้งหลาย !ผูใด เพลิดเพลินอยู ใน รูปผูนั้น เทากับเพลิดเพลินอยู ใน ส่ิงที่เปนทุกข...ผูใด เพลิดเพลินอยู ใน เวทนาผูน้ัน เทากับเพลิดเพลินอยู ใน สิ่งที่เปนทุกข...ผูใด เพลิดเพลินอยู ใน สัญญาผูน้ัน เทากับเพลิดเพลินอยู ใน สิ่งท่ีเปนทุกข...ผูใด เพลิดเพลินอยู ใน สังขารท้ังหลายผูน้ัน เทากับเพลิดเพลินอยู ใน ส่ิงที่เปนทุกข...ผูใด เพลิดเพลินอยู ใน วิญญาณผูน้ัน เทากับเพลิดเพลินอยู ใน สิ่งท่ีเปนทุกข
อินทรียสังวร ๒๑เรากลาววา“ผูใด เพลิดเพลินอยู ใน ส่ิงท่ีเปนทุกขผูนั้น ยอมไมหลุดพนไปไดจากทุกข” ดังน้ี.ขนฺธ. สํ. ๑๗/๓๙/๖๔.
๒๒ ตามดู ไมตามไป เพลนิ อยูกับอายตนะ เทา กับ เพลนิ อยใู นทกุ ขภิกษุทั้งหลาย !ผูใด เพลิดเพลินอยู ใน จักษุผูน้ัน เทากับ เพลิดเพลินอยู ใน สิ่งท่ีเปนทุกข...ผูใด เพลิดเพลินอยู ใน โสตะผูน้ัน เทากับ เพลิดเพลินอยู ใน ส่ิงที่เปนทุกข...ผูใด เพลิดเพลินอยู ใน ฆานะผูนั้น เทากับ เพลิดเพลินอยู ใน ส่ิงท่ีเปนทุกข...ผูใด เพลิดเพลินอยู ใน ชิวหาผูนั้น เทากับ เพลิดเพลินอยู ใน สิ่งท่ีเปนทุกข...ผูใด เพลิดเพลินอยู ใน กายะผูนั้น เทากับ เพลิดเพลินอยู ใน สิ่งท่ีเปนทุกข...ผูใด เพลิดเพลินอยู ใน มนะผูน้ัน เทากับ เพลิดเพลินอยู ใน สิ่งท่ีเปนทุกข
อินทรียสังวร ๒๗มิคชาละ !ภกิ ษุผูไมป ระกอบพรอ มแลว ดว ยการผกู จิตตดิ กับอารมณดว ยอาํ นาจแหงความเพลินน่ันแล เราเรียกวา “ผูมีการอยูอยางอยูผูเดียว”(ในกรณีแหงเสียงทั้งหลายอันจะพึงไดยินดีดวยหู,กล่ินทั้งหลายอันจะพึงดมดวยจมูก,รสทั้งหลายอันจะพึงล้ิมดวยล้ิน,โผฏฐัพพะทั้งหลายอันจะพึงสัมผัสดวยผิวกาย,และธรรมารมณทั้งหลายอันจะพึงรูแจงดวยใจ, ก็ทรงตรัสอยางเดียวกัน)มิคชาละ ! ภิกษุผูมีการอยูดวยอาการอยางน้ีแมอยูใ นหมบู า น อนั เกลอ่ื นกลนไปดวยภกิ ษุ ภิกษณุ ี อุบาสก อบุ าสิกาทงั้ หลายดวยพระราชา มหาอาํ มาตยของพระราชาทั้งหลายดวยเดียรถีย สาวกของเดียรถียท้ังหลาย ก็ตามถึงกระน้ัน ภิกษุน้ันเราก็เรียกวา ผูมีการอยูอยางอยูผูเดียวโดยแท
๒๘ ตามดู ไมตามไปขอน้ันเพราะเหตุไรเลา ? ขอน้ันเพราะเหตุวาตัณหาน่ันแล เปนเพ่ือนสองของภิกษุน้ัน;ตัณหานั้น อันภิกษุนั้น ละเสียไดแลวเพราะเหตุนั้น ภกิ ษนุ ั้นเราจึงเรียกวา “ผมู กี ารอยอู ยา งอยผู เู ดียว” ดังนี้ แล.สฬา. สํ. ๑๘/๔๓–๔๔/๖๖-๖๗.
อินทรียสังวร ๒๙ ไมอาจถงึ ซึง่ ความเจรญิ งอกงาม ไพบูลย ในธรรมวินยัภกิ ษุท้ังหลาย ! คนเลย้ี งโคท่ปี ระกอบดว ยความบกพรอง ๑๑ อยางเหลานี้แลวไมเหมาะทจ่ี ะเล้ียงโคและทําฝูงโคใหเ จรญิ ได. ความบกพรองน้นั คืออะไรกนั เลา ?คือ คนเล้ียงโคในกรณีน้ี ... เปนผูไมเข่ียไขขาง, เปนผูไมปดแผล, ...ภกิ ษุทั้งหลาย ! ฉันใดก็ฉันนน้ั ภิกษุผปู ระกอบดวยองคค ุณ ๑๑ อยางเหลานีแ้ ลวไมควรท่ีจะถึงความเจริญงอกงามไพบลู ย ในธรรมวินัยน้ี. องคคุณนั้นคืออะไรกันเลา ?คือ ภิกษุในกรณีนี้ ... เปนผูไมเข่ียไขขาง, เปนผูไมปดแผล ...ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุเปนผูไมเข่ียไขขาง เปนอยางไรกันเลา ?ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในกรณีน้ีไมอดกลั้น (อธิวาเสติ)ไมละ (น ปชหติ)ไมบรรเทา (น วิโนเทติ)ไมทาํ ใหสิ้นสุด (น พฺยนฺตีกโรติ)ไมทาํ ใหหมดสิ้น (น อนภาวงฺคเมติ)
๓๐ ตามดู ไมตามไปซ่ึงความตรึกเก่ียวดวยกาม (กามวิตก) ท่ีเกิดขึ้นแลวซึ่งความตรึกเกี่ยวดวยความมุงราย (พยาบาทวิตก) ที่เกิดข้ึนแลวซ่ึงความตรึกเก่ียวดวยการเบียดเบียน (วิหิงสาวิตก) ที่เกิดขึ้นแลวซึ่งบาปอกุศลธรรมท้ังหลาย ที่เกิดขึ้นแลวภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุเปนผูไมเขี่ยไขขาง เปนอยางนี้แล.ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุเปนผูไมปดแผล เปนอยางไรกันเลา ?ภิกษุท้ังหลาย ! ภิกษุในกรณีน้ีเห็นรูปดวยตา, ฟงเสียงดวยหู, ดมกลิ่นดวยจมูก,ลิ้มรสดวยลิ้น, ถูกตองโผฏฐัพพะดวยกาย, รูธรรมารมณดวยใจ,แลว กม็ จี ติ ยึดถือเอา ท้งั โดยลกั ษณะที่เปน การรวบถอื ทง้ั หมด (โดยนมิ ติ )และ การถือเอาโดยการแยกเปนสวน ๆ (โดยอนุพยัญชนะ)ส่ิงอันเปนอกุศล คือ อภิชฌาและโทมนัส จะพึงไหลไปตามผูท่ีไมสํารวม ตา หู จมูก ล้ิน กาย ใจ เพราะการไมสาํ รวมอินทรียใด เปนเหตุเธอไมปฏิบัติเพื่อปดก้ัน อินทรียเหลานั้นไวเธอไมรักษา และไมสาํ รวม ตา หู จมูก ล้ิน กาย ใจภิกษุท้ังหลาย ! ภิกษุเปนผูไมปดแผล เปนอยางน้ีแล.(ในท่ีน้ี ยกมาใหเ ห็นเพยี ง ๒ จากท้ังหมด ๑๑ คณุ สมบตั ิ)มู. ม. ๑๒/๔๑๐/๓๘๔-๕.
ตัวอยางพุทธวจนที่ทรงตรัสไมใหปลอยจิต ใหเพลินกับอารมณ
๓๒ ตามดู ไมตามไป ละความเพลิน จติ หลุดพนสมฺมา ปสฺส นิพฺพินฺทติเม่ือเห็นอยูโดยถูกตอง ยอมเบ่ือหนายนนฺทิกฺขยา ราคกฺขโยเพราะความสิ้นไปแหงนันทิจึงมีความส้ินไปแหงราคะราคกฺขยา นนฺทิกฺขโยเพราะความสิ้นไปแหงราคะจึงมีความส้ินไปแหงนันทินนฺทิราคกฺขยา จิตฺต สุวิมุตฺตนฺติ วุจฺจตีติเพราะความส้ินไปแหงนันทิและราคะกลาวไดวา “จิตหลุดพนแลวดวยดี” ดังนี้.สฬา. สํ. ๑๘/๑๗๙/๒๔๕-๖.
อินทรียสังวร ๓๓ ความพอใจ เปน เหตุแหงทุกข“ทุกขใด ๆ ท่ีเกิดข้ึนแลวในอดีตทุกขท้ังหมดน้ัน มีฉันทะเปนมูล มีฉันทะเปนเหตุเพราะวา ฉันทะ (ความพอใจ) เปนมูลเหตุแหงทุกขทุกขใด ๆ อันจะเกิดข้ึนในอนาคตทุกขท้ังหมดน้ัน ก็มีฉันทะเปนมูล มีฉันทะเปนเหตุเพราะวา ฉันทะ (ความพอใจ) เปนมูลเหตุแหงทุกขและทุกขใด ๆ ที่เกิดขึ้นทุกขทั้งหมดน้ัน ก็มีฉันทะเปนมูล มีฉันทะเปนเหตุเพราะวา ฉันทะ (ความพอใจ) เปนมูลเหตุแหงทุกข”.สฬา. สํ. ๑๘/๔๐๓/๖๒๗.(ในเนอ้ื ความพระสูตร ทรงชีใ้ หเ ห็นถงึ เหตุของทุกขใ นปจ จบุ ัน ซ่ึงก็คือ ฉนั ทะเปนความรูท่เี ห็นกนั ได แลว จงึ ไดสรุปใหเหน็ ไปถงึ นยั ยะโดยอดีตกับอนาคต)
๓๔ ตามดู ไมตามไป เมื่อคิดถึงสิง่ ใด แสดงวาพอใจในสิ่งนัน้ภิกษุทั้งหลาย !ถาบุคคลยอมคิดถึงสิ่งใดอยู (เจเตติ)ยอมดําริถึงสิ่งใดอยู (ปกปฺเปติ)และยอมมีจิตฝงลงไปในส่ิงใดอยู (อนุเสติ)สิ่งน้ันยอมเปนอารมณเพ่ือการตั้งอยูแหงวิญญาณ.เมื่ออารมณ มีอยู,ความต้ังข้ึนเฉพาะแหงวิญญาณ ยอมมี;เม่ือวิญญาณน้ัน ต้ังข้ึนเฉพาะ เจริญงอกงามแลว,ความเกิดข้ึนแหงภพใหมตอไป ยอมมี;เม่อื ความเกิดขน้ึ แหง ภพใหมตอ ไป มี,ชาตชิ รามรณะโสกะปริเทวะทุกขะโทมนสั อปุ ายาสทั้งหลายจึงเกิดข้ึนครบถว นตอไป:ความเกิดขึ้นพรอ มแหงกองทกุ ขท ัง้ สน้ิ นี้ ยอมมี ดวยอาการอยา งน.ี้นิทาน. สํ. ๑๖/๗๘/๑๔๕.
อินทรียสังวร ๓๕ ภพแมช ัว่ ขณะดีดนว้ิ มอื ก็ยงั นารังเกียจภิกษุทั้งหลาย !คูถ แมนิดเดียว ก็เปนของมีกลิ่นเหม็น ฉันใด,ภิกษุทั้งหลาย !สิ่งท่ีเรียกวา ภพ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน,แมมีประมาณนอยชั่วลัดนิ้วมือเดียว ก็ไมมีคุณอะไรท่ีพอจะกลาวได.เอก. อํ. ๒๐/๔๖/๒๐๓.(พระสูตรตอไป ทรงตรสั ถงึ มตู ร นาํ้ ลาย หนอง โลหิต ดว ยขอ ความเดยี วกัน)
อินทรียสังวร ๓๗ ตัณหา คอื “เชือ้ แหง การเกดิ ”วัจฉะ ! เรายอมบัญญัติความบังเกิดขึ้นสาํ หรับสัตวผูที่ยังมีอุปาทานอยู (สอุปาทานสฺส)ไมใชสาํ หรับสัตวผูท่ีไมมีอุปาทานวจั ฉะ ! เปรยี บเหมือน ไฟท่มี เี ช้ือ ยอมโพลงขนึ้ ได (อคคฺ ิ สอุปาทาโน ชลติ)ท่ีไมมีเชื้อ ก็โพลงข้ึนไมไดอุปมาน้ีฉันใด อุปไมยก็ฉันนั้นวัจฉะ ! เรายอมบัญญัติความบังเกิดขึ้นสาํ หรับสัตวผูที่ยังมีอุปาทานอยูไมใชสําหรับสัตวผูท่ีไมมีอุปาทาน
๓๘ ตามดู ไมตามไป“พระโคดมผูเจริญ ! ถาสมัยใด เปลวไฟ ถูกลมพัดหลุดปลิวไปไกล,สมยั นั้นพระโคดมยอมบัญญัตซิ ึ่งอะไรวา เปนเช้ือแกเปลวไฟนั้นถาถือวามันยังมเี ช้อื อยู ?”วัจฉะ ! สมัยใด เปลวไฟ ถูกลมพัดหลุดปลิวไปไกลเรายอมบัญญัติเปลวไฟนั้น วา มีลมน่ันแหละเปนเชื้อวจั ฉะ ! เพราะวา สมัยน้ัน ลมยอ มเปน เชื้อของเปลวไฟนนั้ .“พระโคดมผเู จรญิ ! ถา สมยั ใด สัตวท อดทิ้งกายน้ี และยังไมบังเกดิ ขึ้นดว ยกายอ่นื ,สมัยนั้นพระโคดม ยอมบัญญัติ ซง่ึ อะไร วา เปนเช้ือแกส ัตวน ้ัน ถาถือวา มันยังมีเชื้ออยู ?”วัจฉะ ! สมัยใด สัตวทอดทิ้งกายน้ี และยังไมบังเกิดข้ึนดวยกายอ่ืนเรากลาว สัตวนี้ วา มีตัณหาน่ันแหละเปนเชื้อเพราะวา สมัยน้ัน ตัณหายอมเปนเชื้อของสัตวนั้น แล.สฬา. สํ. ๑๘/๔๘๕/๘๐๐.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152