Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การพยาบาลเด็กและวัยรุ่นที่มีปัญหาระบบประสาท

การพยาบาลเด็กและวัยรุ่นที่มีปัญหาระบบประสาท

Published by sirinna tatsaneeyarat, 2021-05-26 16:04:53

Description: เด็กและวัยรุ่น
ระบบประสาท
กล้ามเนื้อและกระดูก

Search

Read the Text Version

การพยาบาลเดก็ และวยั รุ่นทมี่ ี ปัญหาระบบประสาท กระดูกและกล้ามเนื้อ อ.ศิรินทร์ณา ทศั นียรัตน์

วตั ถุประสงค์การเรียนรู้ ✓1.อธิบายหลกั และวธิ ีการประเมินเดก็ ที่มีปัญหาทางระบบประสาทได้ ✓2.อธิบายสาเหตุ พยาธิสภาพ อาการและอาการแสดง การวินิจฉยั การรักษาเด็กท่ี มีปัญหาทางระบบประสาทและกลา้ มเน้ือและกระดูกได้ ✓3.อธิบายสาเหตุ พยาธิสภาพ อาการและอาการแสดง การวนิ ิจฉยั การรักษาเดก็ โรคติดเช้ือของสมองได้ ✓ 4. วางแผนการพยาบาลเดก็ ปัญหาระบบประสาท กระดูกและกลา้ มเน้ือได้

Cerebrospinal fluid: CSF • น้าหล่อเล้ียงสมองและไขสนั หลงั • พบใน subarachnoid space, ventricular system • 70% สร้างจาก choroid plexus และ 30% จาก ependymal cells • ในเดก็ มี ประมาณ 50 ml , 125-150 ml ในผใู้ หญ่







CSF functions • ลดแรงกระแทกจากภายนอกที่จะมาสู่สมอง ป้องกนั การ กระทบกระเทือน • ทาให้ functional brain weight ลดลง จาก 1,500 เหลือ 500 g • ลด pressure ท่ีบริเวณฐานของสมอง • แลกเปล่ียนสารระหวา่ งเลือดกบั ในสมอง : อาหาร ออกซิเจน ของเสีย • ช่วยในการขนส่ง hormone ต่างๆ ภายในสมอง • หล่อเล้ียงสมองและไขสนั หลงั ใหช้ ุ่มช่ืน

การประเมินอาการทาง การประเมนิ ด้านร่างกาย ระบบประสาทในเดก็ การประเมนิ ด้านจติ สังคมและจิต วญิ ญาณ

การประเมนิ ด้านร่างกาย 1 ประวตั :ิ การคลอดของเดก็ การเจบ็ ป่ วยหลงั คลอด อารมณ์ของครอบครัว การเล้ียงดู 2 การตรวจร่างกาย ลกั ษณะทวั่ ไป สญั ญาณชีพ ศีรษะ ตา หู ปากและฟัน ระบบประสาทและ กล้ามเนื้อ

การประเมนิ ความผิดปกตขิ องระบบประสาทและกล้ามเนือ้ • 1) Muscle tone เป็นการประเมินระบบมอเตอร์ โดยการตรวจดูความตึงตวั ของกลา้ มเน้ือ ประเมินตา้ นต่อการเคลื่อนไหวท่ีผปู้ ่ วยตอ้ งออก แรง ประเมินวา่ มีแรงตา้ นจากกลา้ มเน้ือแขนขา ของผปู้ ่ วยอยใู่ นระดบั ใด มีแรงตา้ นมากจน กลา้ มเน้ือตึง (spasticity) แรงตา้ นลดลงกวา่ ปกติ จนกลา้ มเน้ืออ่อนปวกเปี ยก (flaccidity หรือ paralysis) ถา้ กลา้ มเน้ือมีความตึงตวั พอดีถือวา่ ปกติ (normal)

การประเมนิ ความผิดปกตขิ องระบบประสาทและกล้ามเนือ้ • 2) Babinski’s sign ทดสอบโดยใชอ้ ุปกรณ์ ปลายทู่ เช่นกญุ แจ ดา้ มปากกา ขีดริมฝ่าเทา้ ต้งั ตน้ ท่ีสน้ เทา้ กึงนิ้วเทา้ ถา้ ผลบวกจะพบ นิ้วเทา้ กางออก ถา้ นิ้วหวั แม่เทา้ กระดกข้ึน ในเดก็ อายุ 1-2 ปี ถือวา่ ปกติ ถา้ อายเุ กิน 2 ปี ไดผ้ ลบวกแสดงวา่ มี upper motor neurone lesion

การประเมินความผดิ ปกตขิ องระบบประสาทและกล้ามเนือ้ • 3) Brudzinski’s sign ทดสอบโดยใหเ้ ดก็ นอนหงายใชม้ ือชอ้ นหลงั ศีรษะคางชิดอก ทาการทดสอบในเดก็ ที่มีการติดเช้ือเยอ่ื หุม้ สมองอกั เสบ เดก็ จะทาไม่ได้ ถา้ มีการติดเช้ือ เกิดข้ึนแลว้ โดยคอแขง็ (stiff neck) และเดก็ จะแสดงอาการเจบ็ ปวดโดยจะงอเข่าและ สะโพกทนั ที ผลกาตรวจจึงเป็น positive

การประเมนิ ความผดิ ปกตขิ องระบบประสาทและกล้ามเนือ้ • 4) Kernig’s sign ทดสอบโดยใหเ้ ดก็ นอน หงายและงอเขา่ ท้งั สองขา้ ง ยกตน้ ขาใหต้ ้งั ฉากกบั ลาตวั ทีละขา้ งแลว้ ลองเหยยี ดขาขา้ ง น้นั ออก เดก็ ปกติจะสามารถยกขาต้งั ฉาก แลว้ เหยยี ดเขา่ ตรงได้ แต่เดก็ ท่ีติดเช้ือของ เยอื่ หุม้ สมองอกั เสบจะทาไม่ไดเ้ พราะมี อาการปวด ผลกาตรวจจึงเป็น positive

การประเมินความผิดปกตขิ องระบบประสาทและกล้ามเนือ้ • 5) Tendon reflex เป็นการตรวจปฏิกิริยาตอบสนองทางระบบ ประสาท โดยใชไ้ มเ้ คาะเข่าเอน็ เคาะตรงเอน็ ที่ยดึ กลา้ มเน้ือใหต้ ิด กบั ขอ้ กระดูกแลว้ สงั เกตดู reflex ที่เกิดจากการยดึ กลา้ มเน้ือต่างๆ (biceps เป็นกลา้ มเน้ือท่ีอยดู่ า้ นหนา้ ของตน้ แขน มีหนา้ ท่ีงอ ขอ้ ศอกหงายมือ ส่วน triceps เป็นกลา้ มเน้ือมดั ใหญ่อยดู่ า้ นหลงั ของตน้ แขน มีหนา้ ที่เหยยี ดขอ้ ศอก ปลายแขน) โดยใชค้ อ้ นเคาะ เอน็ เคาะตรงเหนือขอ้ พบั แขน เหนือขอ้ ศอก ส่วนกลา้ มเน้ือขา และกลา้ มเน้ือน่อง ซ่ึงตอ้ งใชไ้ มเ้ อน็ เคาะ เคาะตรงใตก้ ระดูกสะบา้ (patellar tendon) และตรงเอน็ ร้อยหวาย ค่าปกติคือ 2+ ถา้ reflex เร็วคอื ได้ 4+ แสดงวา่ มีความผดิ ปกติของระบบประสาท

การประเมนิ ความผดิ ปกตขิ องระบบประสาทและกล้ามเนือ้ • 6) การประเมินระดบั การรู้สติ ประเมินความผดิ ปกติของการรู้สติดว้ ย Glasgow coma scale โดย การเรียกชื่อผปู้ ่ วย ถามวนั เวลา สถานท่ี ประเมินโดยการสัมผสั และทาใหเ้ จบ็ ใชใ้ นกรณีที่ ประเมินโดยใชค้ าพดู แลว้ ผปู้ ่ วยไม่ตอบสนองต่อคาพดู คาถามใดๆเลย การสมั ผสั ทาโดยการจบั ตรงหวั ไหล่แลว้ เขยา่ ตวั เบาๆ พร้อมเรียกชื่อผปู้ ่ วย ส่วนการกระตุน้ ความเจบ็ ปวดดว้ ยการใช้ ปลายปากกากดแรงๆ ตรงโคนเลบ็ การบีบตรงกลา้ มเน้ือ bicep หรือตรงเอน็ ร้อยหวาย

การประเมินความผิดปกตขิ องระบบประสาทและกล้ามเนือ้ • ระดบั ความรู้สึกตวั แบ่งระดบั ความรู้สึกตวั ออกเป็น 5 ระดบั ดงั น้ี • ระดบั รู้สึกตวั ดี (Alert) สามารถตอบสนองต่อส่ิงกระตุน้ ไดถ้ ูกตอ้ งและรวดเร็วเหมาะสมกบั วยั ของผปู้ ่ วย เช่น ทาตามคาสง่ั ไดถ้ ูกตอ้ ง ทนั ที รู้จกั ตนเองและส่ิงแวดลอ้ มไดด้ ี ไม่วา่ จะเป็นบคุ คล เวลา หรือสถานท่ี • ง่วง (Drowsy) ผปู้ ่ วยมีความรู้สึกตวั เลวลงเลก็ นอ้ ย จะง่วงหลบั แต่เม่ือปลุกตื่นและตอบคาถามได้ หรือ อาจจะมีการผดุ ลุกผดุ นง่ั เอะอะ (Irritability) ไม่ใหค้ วามร่วมมือในการรักษาพยาบาลแสดงอาการสบั สนใน บางคร้ัง • ซึม (Stuporous) ผปู้ ่ วยจะมีอาการซึมลง จะหลบั เป็นส่วนใหญ่ ปลุกไม่ค่อยต่ืน บางคร้ังตอ้ งเขยา่ แต่ยงั สามารถตอบสนองต่อความเจบ็ ปวดไดอ้ ยา่ งมีความหมาย เช่น หยกิ ที่แขนกเ็ อามือมาปัดไดถ้ ูกตอ้ ง • ใกลห้ มดสติ (Semi coma) ผปู้ ่ วยจะหลบั อยตู่ ลอดเวลา ไม่ตอบสนองต่อการเขยา่ หรือคาสงั่ มีการ ตอบสนองต่อความเจบ็ ปวดอยา่ งไม่มีจุดหมาย เช่น หยกิ บริเวณเลบ็ มือกม็ ีการขยบั ไปท้งั ตวั • หมดสติ (Coma) ผปู้ ่ วยจะไม่รู้สึกตวั ไม่ตอบสนองต่อส่ิงกระตุน้ อื่น ๆ นอกจากความเจบ็ ปวดที่รุนแรง โดยอาจมีอาการเกร็ง (Decortication, Decerebration) หรือผปู้ ่ วยอาจไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ เลย

Glasgow Coma Score พฤติกรรม คะแนน Glasgow Coma Scale Pediatric Coma Scale อายุ > 1 ปี Pediatric Coma Scale อายุ > 5 ปี ลืมตาไดเ้ อง ทารก เมื่อใชเ้ สียงเรียก การลืมตา 4 เมื่อทาใหเ้ จบ็ ลืมตาไดเ้ อง ลืมตาไดเ้ อง 3 ไม่ลืมตา การเคล่ือนไหว 2 ทาตามคาส่งั ได้ เมื่อสง่ั เม่ือเสียงดงั 1 ปัดป้องตาแหน่งที่เจบ็ ได้ 6 ชกั แขนขาหนีเม่ือเจบ็ มาก เม่ือเจบ็ เม่ือเจบ็ 5 เกร็งงอแขนเมื่อเจบ็ มาก (Decortication) 4 เกร็งบิดแขนบิดเขา้ ขา้ งในเมื่อเจบ็ มาก (Decerebration) ไม่ลืมตา ไม่ลืมตา 3 ไม่เคล่ือนไหว 2 ทาตามคาสัง่ ได้ ทาตามคาสั่งได้ 1 ปัดป้องตาแหน่งท่ีเจบ็ ได้ ปัดป้องตาแหน่งที่เจบ็ ได้ ชกั แขนขาหนีเม่ือเจบ็ มาก ชกั แขนขาหนีเมื่อเจบ็ มาก เกร็งงอแขนเม่ือเจบ็ มาก (Decortication) เกร็งงอแขนเม่ือเจบ็ มาก(Decortication) เ ก ร็ ง บิ ด แ ข น บิ ด เ ข้ า ข้ า ง ใ น เ มื่ อ เ จ็ บ ม า ก เกร็งบิดแขนบิดเขา้ ขา้ งในเม่ือเจบ็ มาก (Decerebration) (Decerebration) ไม่เคล่ือนไหวเลย ไม่เคลื่อนไหวเลย การส่ือภาษา 5 พดู รู้เรื่องดี พดู เป็นคา ๆ หรือวลี ไดเ้ หมาะสม ยมิ้ เลียนเสียงหรือร้องไห้ ไดเ้ หมาะสม 4 พูดสับสน 3 เปล่งเสียงพดู เป็นคา ๆ ที่จบั ความไม่ได้ เปล่งเสียงพดู เป็นคา ๆแต่จบั ใจความไม่ได้ ร้องไหแ้ ละสามารถปลอบได้ 2 เปล่งเสียงท่ีไม่เป็นคาพูด 1 ไม่เปล่งเสียงเลย ร้องไห้ และ/หรือส่งเสียง ร้องดงั ๆ อยา่ งไม่เหมาะสม ร้องไห้ และ/หรือส่งเสียง ร้องดงั ๆ อยา่ งไม่เหมาะสม ส่งเสียงคราง (Grunts) ส่งเสียงคราง (Grunts) ไม่เปล่งเสียงเลย ไม่เปล่งเสียงเลย

Glasgow Coma Score ระดบั ความหมาย คะแนน 15 ระดบั ความรู้สึกตวั เป็นปกติ สามารถระบุบุคคล เวลา สถานที่ ไดถ้ ูกตอ้ ง ไม่มีอาการ ทางสมองที่รุนแรง 9-14 ผปู้ ่ วยไม่หมดสติ แต่มีความผดิ ปกติทางสมองบางประการ 8 ร้อยละ 90 ผปู้ ่ วยหมดสติ 3-7 หมดสติ ไม่ลืมตา ไม่พดู ไม่ทาตามคาสง่ั 3 หมดสติในระดบั ที่รุนแรงที่สุด ลึกที่สุด

การประเมนิ ความผดิ ปกตขิ องระบบประสาทและกล้ามเนือ้ • 7) อาการทางตา สังเกตไดจ้ าก • 7.1) รูม่านตา (Pupil) ใหผ้ ปู้ ่ วยลืมตา หรือในรายที่ไม่รู้สึกตวั เปิ ดเปลือกตาของผปู้ ่ วยข้ึน ตรวจ ขนาดแต่ละขา้ งเปรียบเทียบกนั เสียก่อนวา่ มีขนาดเท่าใดและเทา่ กนั หรือไม่ ซ่ึงปกติจะมีลกั ษณะ กลม ขนาดเสน้ ผา่ ศูนยก์ ลาง 2-3 มิลลิเมตร จากน้นั สงั เกตปฏิกิริยาต่อแสงของรูม่านตาโดยฉายไฟ ไปที่รูม่านตาขา้ งใดขา้ งหน่ึง การฉายไฟใหค้ ่อย ๆ ฉายจากทางหางตามาหยดุ ตรงกลางสกั ครู่ แลว้ ผา่ นเลยไปทางหวั ตา ประเมินใหไ้ ดว้ า่ รูม่านตาแต่ละขา้ งหดลงอยา่ งรวดเร็วทนั ทีหรือไม่เม่ือส่อง แสงเขา้ ตา ซ่ึงถา้ เป็นเช่นน้นั แสดงวา่ ปกติ ปฏิกิริยาต่อแสงมีไดต้ ้งั แต่ ❑ มีปฏิกิริยาต่อแสง (React To Light) : ปกติ ❑มีปฏิกิริยาชา้ (Sluggish) : ผดิ ปกติ ❑ไม่มีปฏิกิริยาต่อแสง (No React To Light) : ผดิ ปกติ

การประเมนิ ความผดิ ปกตขิ องระบบประสาทและกล้ามเนือ้ • 7.2) การกลอกตา ปกติการกลอกตาน้นั ควบคุมโดยประสาทสมองคู่ที่ 3, 4 และ 6 ดงั น้นั การท่ี ผปู้ ่ วยมองไปทางดา้ นใดดา้ นหน่ึง หรือกลอกลูกตาไม่ไดด้ งั ปกติ จึงเกิดจากอมั พาตของกลา้ มเน้ือ ตามมดั ใดมดั หน่ึงซ่ึงใชใ้ นการกลอกตา ❑ในกรณีท่ีผปู้ ่ วยรู้สติและทาตามส่ังได้ ใหใ้ ชว้ ิธีบอกใหผ้ ปู้ ่ วยมองตาตามปากกาหรือนิ้วมือของ ผตู้ รวจเลื่อนจากตาแหน่งที่มองตรง ๆ สู่ทิศทางต่าง ๆ ❑ในกรณีที่ผปู้ ่ วยเป็ นทารกหรือเด็กเล็กท่ีทาตามคาส่ังไม่ไดน้ ้นั ให้ผูต้ รวจสังเกตขณะท่ีผูป้ ่ วย กลอกตาเอง ถา้ พบวา่ มีการกลอกตาไม่สมมาตรกนั ยอ่ มแสดงวา่ มีพยาธิสภาพเกิดข้ึน

การประเมินความผดิ ปกตขิ องระบบประสาทและกล้ามเนือ้ ❑ในรายท่ีผปู้ ่ วยไม่รู้สติใหใ้ ชก้ ารตรวจรีเฟลก็ ซ์ การกลอกตาเนื่องจากหนั ศีรษะ (Oculocephalic Reflex หรือ Doll’s Eye Reflex) กระทาโดยเปิ ด เปลือกตาของผปู้ ่ วยและหนั ศีรษะของผปู้ ่ วยไป ดา้ นใดดา้ นหน่ึง ในคนปกติลูกตาจะกลอกไปดา้ น ตรงขา้ มกบั ศีรษะที่หนั แสดงวา่ Doll’s Eye ให้ ผลบวก แต่ถา้ พบวา่ ยงั คงมองตรงในแนวก่ึงกลาง ขณะท่ีศีรษะหนั ไปเร่ือย ๆ (Nagative Doll’s Eye Reflex) แสดงวา่ มีแรงเบียดดนั หรือกดอยทู่ ี่ สมองส่วน Midbrain หรือส่วนท่ีอยเู่ หนือ Pons

การประเมนิ ความผดิ ปกตขิ องระบบประสาทและกล้ามเนือ้ 8) ปฏกิ ริ ิยาการเคล่ือนไหว • การตรวจการเคล่ือนไหวของร่างกายข้นั แรกน้นั ควรประเมินใหไ้ ดเ้ สียก่อนวา่ ผปู้ ่ วยสามารถเคลื่อนไหว ตามคาสง่ั ซ่ึงบ่งถึงการเคลื่อนไหวภายใตอ้ านาจจิตใจ (Voluntary Movement) ไดห้ รือไม่ โดยการออกคาสงั่ ใหป้ ฏิบตั ิตาม เช่น ใหผ้ ปู้ ่ วยบีบมือผตู้ รวจ ข้นั ต่อมาจึงตรวจประเมินกาลงั กลา้ มเน้ือแขนขาแต่ละขา้ งของ ผปู้ ่ วยเปรียบเทียบกนั เช่น ใหผ้ ปู้ ่ วยออกแรงขา (แขน) ตา้ นแรงดนั ของผตู้ รวจการเคลื่อนไหว และความ แขง็ แรงของกลา้ มเน้ือ • ในกรณีท่ีผปู้ ่ วยเป็นทารกหรือเดก็ เลก็ หรือผปู้ ่ วยที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวไดต้ ามสง่ั ผตู้ รวจจาเป็นตอ้ ง ประเมินกาลงั กลา้ มเน้ือแขนขาแต่ละขา้ งดว้ ยการใชว้ ธิ ีสมั ผสั และทาใหเ้ จบ็ เป็นส่ิงกระตุน้ ใหผ้ ปู้ ่ วย เคลื่อนไหว ทารกประเมินจาก Reflex Moro, Grasp, Babinski เดก็ โตตรวจโดยใชแ้ รงตา้ น และแรงดึง ตา้ นแรงของผตู้ รวจ

การประเมินความผดิ ปกตขิ องระบบประสาทและกล้ามเนือ้ • 9) การเปลย่ี นแปลงของสัญญาณชีพ ❑การเปล่ียนอุณหภูมิ ในกรณีท่ี Hypothalamusไดร้ ับอนั ตรายทาใหก้ ารทางานของ Heat- Regulating Center ขาดประสิทธิภาพ อุณหภูมิของร่างกายอาจสูงข้ึนหรือต่าลงได้ ❑การเปลี่ยนแปลงของชีพจร การจบั ชีพจรจะตอ้ งสงั เกตท้งั อตั ราจงั หวะและความแรงของชีพ จร ชีพจรเป็นกลไกการปรับตวั เพือ่ ใหห้ วั ใจสูบฉีดโลหิตไปเล้ียงสมองใหเ้ พียงพอ ❑การเปลี่ยนแปลงของการหายใจ ตอ้ งสังเกตอตั ราการหายใจ ความลึก ชนิด และจงั หวะของ การหายใจ ลกั ษณะของการหายใจข้ึนอยกู่ บั ระดบั Brain Stem ท่ีถูกกด เช่น Central Neurogenic Hyperventilation คือ การหายใจเร็วลึก แสดงถึงมีการทาลายบริเวณ Midbrain หรือ Pons ตอนบน

การประเมินความผดิ ปกตขิ องระบบประสาทและกล้ามเนือ้ ➢การหายใจแรงเร็วสลบั การหยดุ หายใจ (Cheyne – Stroke Respiration) ➢การหายใจเขา้ เตม็ ท่ีแลว้ หยดุ นิ่งนานกวา่ หายใจออกและหยดุ น่ิงอีกคร้ังก่อนหายใจเขา้ (Apneustic Breathing) ➢การหายใจไม่สม่าเสมอ ต้งั อตั ราเร็วและความลึก (Ataxia Breathing) B.P. Pulse Temperature อาจบ่งถึง การมีความดนั ในกะโหลกศีรษะสูง ❑การเปลี่ยนแปลงความดนั โลหิต หากสมองขาดเลือดไปเล้ียง ร่างกายจะปรับตวั ใหค้ วามดนั โลหิต สูงข้ึน เพื่อรักษาการไหลเวยี นใหป้ กติ

การประเมนิ ความผดิ ปกตขิ องระบบประสาทและกล้ามเนือ้ • การประเมินด้านจิตสังคมและจติ วญิ ญาณ • 1.การรับรู้ ความคิดและเชาวน์ปัญญา ประเมินตามระดับความรุนแรงและสาเหตุของปัญหา พฤติกรรมและการแสดงออก จะช่วยบอกถึงความตอ้ งการและปัญหาของเด็กท่ีมีความผิดปกตขิ อง สมองทาใหเ้ กิดการเปล่ียนแปลงทางพฤติกรรมและอารมณ์ • 2.ความเครียดและการเผชิญความเครียด ครอบครัวอาจมีความรู้สึกผิดปกติและกล่าวโทษตนเอง พยายามคน้ หาสาเหตุที่ทาใหเ้ ดก็ พิการทาใหม้ ีผลต่อการเล้ียงดู • 3. ระบบการช่วยเหลือและสนบั สนุน ประเมิน ประเมินวิธีการปฏิบตั ิ

ภาวะชักและโรคลมชัก (Seizure and Epilepsy ) • Seizure (อาการชกั ) คือภาวะท่ีมีการเปล่ียนแปลงอยา่ งรวดเร็วของคลื่นไฟฟ้าสมอง โดยมีการปล่อย คลื่นไฟฟ้าที่ผดิ ปกติ (epileptiform discharge) จากเซลลป์ ระสาทในสมอง อาการชกั เป็นอาการ แสดงออกหรือมีความรู้สึกที่ผดิ ไปจากปกติท่ีเกิดข้ึนทนั ที โดยอาการแสดงจะข้ึนกบั ตาแหน่งของ สมองที่ทางานผดิ ปกติ • Epilepsy (โรคลมชกั ) ภาวะที่เกิดอาการ Seizure ต้งั แต่ 2 episodes ข้ึนไป โดยไม่ไดเ้ กิดจากสาเหตุ ภายนอกเช่น การติดเช้ือในสมอง อุบตั ิเหตุทางสมอง โดยอาการชกั ที่เกิดข้ึน 2 episodes ตอ้ งห่าง กนั ไม่นอ้ ยกวา่ 24 ชวั่ โมง เรียกภาวะดงั กล่าววา่ “โรคลมชกั ” เพราะผปู้ ่ วยโรคน้ีมีโอกาสชกั อีกคร้ัง ในระยะเวลาต่อไปอีก 2 ปี ไดร้ ้อยละ 70-80

ภาวะชักและโรคลมชัก (Seizure and Epilepsy ) • Convulsion (อาการเกร็งและ/หรือกระตุก) หมายถึง อาการแสดงทาง motor ผดิ ปกติ แสดงอาการดว้ ยการเกร็ง กระตุก เกิดจาก Seizure หรือสาเหตุอ่ืน เช่น syncope, breath holding spell, cyanotic spell เป็นตน้ • Status epilepticus หมายถึง การชกั ต่อเนื่องนานมากกวา่ 30 นาที หรือการชกั หลาย คร้ังในช่วงเวลานานกวา่ 30 นาที โดยผปู้ ่ วยไม่รู้สึกตวั เป็นปกติขณะหยดุ ชกั

ภาวะชักและโรคลมชัก (Seizure and Epilepsy ) • สาเหตุของอาการชักทพี่ บบ่อยในเด็ก • 1. ภาวะติดเช้ือที่กะโหลกศีรษะ เช่น เยอ่ื หุม้ สมองอกั เสบ สมองอกั เสบ • 2. ภาวะเลือดออกในกะโหลกศีรษะ • 3. ภาวะผดิ ปกติทาง metabolism เช่น Hypocalcemia, Hypoglycemia • 4. ภาวะผดิ ปกติทางไต เช่น Uremia • 5. เน้ืองอกในกะโหลกศีรษะ • 6. โรคบาดทะยกั • 7. ภาวะไขส้ ูงในเดก็ เลก็ • 8. ความผดิ ปกติของสมองโดยกาเนิด เช่น Hydrocephalus

ลักษณะเฉพาะของภาวะชัก • 1. Partial seizure คือการชกั ที่เกิดจากความผดิ ปกติของคลื่นไฟฟ้าสมองเฉพาะที่ จะพบมี อาการเตือน (aura) ตรวจพบความผดิ ปกติของระบบประสาทเฉพาะท่ีหลงั ชกั (post-ictal focal neurological deficit) และผลการตรวจคลื่นสมอง พบคลื่นไฟฟ้าสมองผดิ ปกติเฉพาะที่ สามารถ แบ่ง partial seizure ไดเ้ ป็น • 1.1 Simple partial seizure ผปู้ ่ วยไม่เสียการรู้ตวั ขณะท่ีมีอาการชกั อาจแบ่งเป็นกลุ่มตาม อาการผดิ ปกติดงั น้ี • ดา้ นการเคล่ือนไหว เช่น jerking, rigidity, spasm, head turning • การรับความรู้สึก คือมีความรู้สึกผดิ ปกติ เช่น มีการไดก้ ล่ินแปลกๆ ไดย้ นิ เสียง การมองเห็น การไดก้ ล่ิน รส หรือสมั ผสั ท่ีผดิ ปกติ

ลักษณะเฉพาะของภาวะชัก • ระบบประสาทอตั โนมตั ิ เช่น มีอาการคลื่นไสอ้ าเจียน หนา้ แดง เหง่ือออก ขนลุก • ดา้ นอารมณ์จิตใจ (psychic symptom) เช่นรู้สึกกลวั หรือโกรธ มองเห็นหรือไดย้ นิ เสียงท้งั ท่ี ไม่มีอยจู่ ริง (hallucination) รู้สึกคุน้ เคยท้งั ท่ีไม่เคยไปสถานท่ีน้นั มาก่อน (deja vu) • 1.2 Complex partial seizure ผปู้ ่ วยจะเสียการรู้ตวั ขณะท่ีมีอาการชกั โดยผปู้ ่ วยอาจรู้ตวั ดีมา ก่อนและตามดว้ ยอาการไม่รู้ตวั หรือมีการเสียการรู้ตวั ต้งั แต่แรก ลกั ษณะการชกั อาจมีการ เคลื่อนไหวแบบ automatism ซ่ึงเป็นการทาอะไรซ้าๆ โดยไม่มีความหมาย เช่น ปากขมุบ ขมิบ เค้ียวปาก เลียริมฝีปากหรือการเคลื่อนไหวซ้าๆของมือ

ลักษณะเฉพาะของภาวะชัก • 2. Generalized seizure คือการชกั ท่ีเกิดจากความผดิ ปกติของคล่ืนไฟฟ้าสมองพร้อมกนั ท้งั 2 ดา้ น สามารถแบ่งไดเ้ ป็น • 2.1 Generalized tonic-clonic seizure ผปู้ ่ วยจะมีอาการหมดสติเกร็งท้งั ตวั ตามดว้ ยการกระตุก เป็นจงั หวะ • 2.2 Absence ผปู้ ่ วยมีอาการเหม่อ ตาลอย อาการจะเกิดข้ึนและสิ้นสุดอยา่ งรวดเร็ว • 2.3 Myoclonic มีลกั ษณะกระตุกเป็นระยะเวลาส้นั ๆ เกิดข้ึนอยา่ งรวดเร็วคลา้ ยสะดุง้ (sudden, brief muscle contraction) • 2.4 Clonic มีลกั ษณะกระตุกเป็นจงั หวะ • 2.5 Tonic มีลกั ษณะกลา้ มเน้ือเกร็งอยา่ งรุนแรง • 2.6 Atonic มีลกั ษณะสูญเสียความตึงตวั ของกลา้ มเน้ือที่เกิดข้ึนทนั ที 3. Unclassified epileptic seizure เป็นการชกั ที่ไม่สมารถจดั กลุ่มไดเ้ น่ืองจากขอ้ มูลไม่พอเพียงหรือ เน่ืองจากการไม่สมบูรณ์ของสมอง เช่นการชกั ชนิด subtle ใน neonatal seizure เป็นตน้

ภาวะชักจากไข้สูง (Febrile Seizure/ Febrile Convulsion) • การชกั ที่สมั พนั ธ์กบั ไข้ โดยไม่เกิดจากการติดเช้ือในสมอง หรือความผดิ ปกติทางเกลือแร่ของ ร่างกายในเดก็ อายมุ ากกวา่ 1 เดือนที่ไม่มีประวตั ิชกั โดยไม่มีไขม้ าก่อน • เป็นกลุ่มอาการทางคลินิก ซ่ึงไม่ทราบสาเหตุกลไกในการเกิดที่แน่ชดั แต่เชื่อวา่ เกิดจากดา้ น พนั ธุกรรม โดยมีอาการเฉพาะช่วงอายนุ อ้ ย

ภาวะชักจากไข้สูง (Febrile Seizure/ Febrile Convulsion) • อาการและอาการแสดง • ไข้ มากกวา่ หรือเท่ากบั 39 ºC • ลกั ษณะการชกั ท่ีพบมากคือ generalized tonic-clonic ระยะเวลาชกั เป็นเวลาส้นั ๆ ไม่เกิน 1- 2 นาที • ช่วงเวลาท่ีชกั ร้อยละ 21 ชกั ก่อนตรวจพบไขห้ รือภายในเวลา 1 ชว่ั โมงของไข้ ร้อยละ 57 ชกั ใน 1-24 ชว่ั โมงของไข้ ร้อยละ 22 ชกั หลงั จากมีไข้ 24 ชว่ั โมง อาจมีการชักซ้าภายใน 24 ช่ัวโมง

การพยาบาลผู้ป่ วยเดก็ ทม่ี อี าการชัก • 1. ประเมินและบนั ทึกลกั ษณะการชกั ลกั ษณะของใบหนา้ ตา ขณะชกั ระดบั การรู้สติ ของ ผปู้ ่ วยก่อนระหวา่ งและหลงั การชกั ระยะเวลาท่ีชกั ท้งั หมดจานวนคร้ังหรือความถี่ของการชกั ท้งั หมดเพอื่ วางแผนการพยาบาลไดถ้ ูกตอ้ งและรวดเร็ว • 2. ขณะชกั จดั ใหผ้ ปู้ ่ วยตะแคงหนา้ เพ่อื ใหน้ ้าลายไหลออกจากปาก ไม่สาลกั เขา้ ไปในทางเดิน หายใจ และลิ้นไม่ตกอุดหลอดลม รวมท้งั ดูแลทางเดินหายใจใหโ้ ล่งอยเู่ สมอ • 3. ดูแลดูดเสมหะออกจากปากและจมูกบ่อยๆเพือ่ ใหท้ างเดินหายใจโล่ง • 4. จดั ใหผ้ ปู้ ่ วยนอนราบ ใชผ้ า้ น่ิมๆเช่นผา้ ห่มหรือผา้ เชด็ ตวั หนุนบริเวณใตศ้ ีรษะเพือ่ ป้องกนั ศีรษะกระแทกกบั พ้นื เตียง

การพยาบาลผปู้ ่ วยเดก็ ท่ีมีอาการชกั • 5. Observe vital signs ทุก 4 ชว่ั โมง เพื่อประเมินลดลง อณุ หภูมิและการหายใจ • 6. ดูแลเช็ดตวั ลดไขด้ ว้ ยน้าอุ่นนาน 10–15 นาที ทกุ 2 ชว่ั โมงเวลามีไขส้ ูงเกิน 38 องศาเซลเซียส เพราะไขส้ ูงจะกระตุน้ ใหเ้ กิดการชกั ซ้าไดอ้ ีก • 7. ดูแลส่ิงแวดลอ้ มขา้ งเตียงใหส้ ะอาดเหมาะแก่การพกั ผอ่ นเผอ่ื ลดเมตาบอลิซึม ของร่างกาย • 8. ดูแลให้ Oxygen, สารน้า, และยาตามแผนการรักษา

การป้องกนั ภาวะแทรกซอ้ นจากภาวะชกั • 1. การป้องกนั การบาดเจบ็ และขาดออกซิเจนขณะชกั ดูแลผปู้ ่ วยใหไ้ ดร้ ับความปลอดภยั เม่ือมี อาการชกั เกิดข้ึน เปิ ดทางเดินหายใจโดยจดั ใหผ้ ปู้ ่ วยตะแคงหนา้ ไปขา้ งใดขา้ งหน่ึงเป็นอนั ดบั แรก ป้องกนั ไม่ใหเ้ สมหะอุดตนั คลายเส้ือผา้ ใหห้ ลวม ปลดกระดุมออก อยา่ ผกู มดั ผปู้ ่ วย ระวงั ผปู้ ่ วยตกเตียง โดยอยใู่ กลช้ ิดผปู้ ่ วยตลอดเวลา ดูดน้าลาย เสมหะในช่องปากออกใหห้ มด อยา่ พยายามใส่ mouth gag เขา้ ไปในปากขณะชกั จะทาใหเ้ กิดบาดแผลในปากหรือฟันหกั ได้ ถา้ มี อาการหายใจลาบาก เขียว หอบเหนื่อยควรใหอ้ อกซิเจน

การป้องกนั ภาวะแทรกซอ้ นจากภาวะชกั • 2. สงั เกตและบนั ทึกระยะเวลาขณะชกั ต้งั แต่เริ่มชกั จนกระทง่ั หยดุ ชกั ลกั ษณะท่าทาง การเคลื่อนไหวขณะชกั เช่นมือเกร็ง กาแน่น ปากสนั่ กระตุก ปากเบ้ียว การเปลี่ยนแปลงรู ม่านตา ปัสสาวะและอุจาระราด ตลอดจนการหายใจและระดบั การรู้สติ • 3. สงั เกตผปู้ ่ วยภายหลงั ชกั เก่ียวกบั การรู้สติ การรู้เวลา บุคคล สถานที่ ทกั ษะการ เคลื่อนไหว การพดู ความรู้สึก เปล่ียนเส้ือผา้ ใหส้ ุขสบาย ใหผ้ ปู้ ่ วยพกั ผอ่ นไม่รบกวน ผปู้ ่ วย • 4. ใหก้ าลงั ใจผปู้ ่ วยและครอบครัวเพ่ือลดความวติ กกงั วลและใหค้ าแนะนาเร่ืองการดูแล ขณะชกั และภายหลงั ชกั

การป้องกนั ภาวะแทรกซอ้ นจากภาวะชกั • 5. ใหย้ ากนั ชกั (Anticonvulsant) ตามแผนการรักษา และติดตามการออกฤทธ์ิของยาและ ผลขา้ งเคียง ไดแ้ ก่ Diazepam (valium), Phenobarbital (gardinal sodium), Paradehyde • 6. เตรียมช่วยแพทยเ์ จาะหลงั ในกรณีท่ีผปู้ ่ วยชกั จากไขส้ ูง อายตุ ่ากวา่ 18 เดือนเพือ่ แยกภาวะ ติดเช้ือในระบบประสาท ส่งน้าไขสนั หลงั ตรวจทางหอ้ งปฏิบตั ิการ • 7. กรณีท่ีผปู้ ่ วยเป็น Status epilepticus ชกั นานเกิน 30 นาที จะเกิดภาวะพร่องออกซิเจนและ ใหย้ ากนั ชกั ตามแผนการรักษา ควรจดั ท่านอนใหศ้ ีรษะสูง ดูแลทางเดินหายใจใหโ้ ลง่ เมื่อกลบั บา้ นแนะนาใหร้ ับประทานยาสม่าเสมอ มาตรวจตามแพทยน์ ดั ทุกคร้ัง

สมองพกิ าร (Cerebral Palsy: CP) • ความผดิ ปกติของสมองส่วนท่ีใชค้ วบคุมกลา้ มเน้ือ ทาใหเ้ กิดความผดิ ปกติเก่ียวกบั ท่าทาง การทรงตวั การเคลื่อนไหว (motor disorders) • เด็กสมองพิการส่วนใหญ่พบร่วมกบั ความผดิ ปกติอ่ืนๆ ไดแ้ ก่สติปัญญา การรับรู้ การส่ือสาร การรับความรู้สึก พฤติกรรม หรือโรคลมชกั

สมองพกิ าร (Cerebral Palsy: CP) • สาเหตุ • 1. ระยะก่อนคลอด เป็นสาเหตุของสมองพิการร้อยละ 10 ไดแ้ ก่ การมีเลือดออกทางช่องคลอดของมารดาช่วง ระหวา่ งการต้งั ครรภเ์ ดือนท่ี 6-9 มารดาขณะต้งั ครรภข์ าดสารอาหาร มารดามีภาวะชกั หรือปัญญาอ่อน การเกิด ก่อนกาหนด การเกิดน้าหนักตวั น้อย มารดาขณะต้งั ครรภ์มีการใชย้ าบางชนิดทาให้สมองเด็กมีการพฒั นา ผดิ ปกติ มารดาไดร้ ับอุบตั ิเหตุหรือเกิดการติดเช้ือขณะต้งั ครรภ์ เช่น หดั เยอรมนั herpes zoster เป็นตน้ • 2. ระยะคลอด เป็นสาเหตุของสมองพิการร้อยละ 30 ไดแ้ ก่ สมองขาดออกซิเจน ไดร้ ับอนั ตรายจากการคลอด คลอดยาก รกพนั คอ คลอดท่ากน้ การใชค้ ีมดึงเดก็ เป็นตน้ • 3. ระยะหลงั คลอด เป็ นสาเหตุของสมองพิการร้อยละ 5 ไดแ้ ก่การไดร้ ับการกระทบกระเทือนท่ีศีรษะ ตวั เหลืองเมื่อแรกเกิด เส้นเลือดท่ีสมองมีความผิดปกติ การขาดออกซิเจนจากการจมน้า การติดเช้ือบริเวณสมอง เช่น เยอื่ หุม้ สมองอกั เสบ ฝีท่ีสมอง เป็นตน้ การไดร้ ับสารพษิ เช่น สารตะกวั่ ยาฆ่าแมลง เป็นตน้

สมองพกิ าร (Cerebral Palsy: CP) • พยาธิสภาพ • Spastic diplegia พบไดท้ ้งั ในทารกเกิดครบกาหนดและก่อนกาหนด เกิดจากพยาธิสภาพท่ี pyramidal tract ในตาแหน่งต่างๆเช่น ที่ตาแหน่ง periventricular area ซ่ึงพบไดบ้ ่อยในเดก็ เกิดก่อนกาหนดเน่ืองจากเป็นบริเวณ ที่มีโอกาสขาดเลือดไปเล้ียงไดง้ ่าย (watershed area) พยาธิสภาพในตาแหน่งน้ีคือ periventricular leukomalacia (PVL) • Spastic hemiplegia มกั พบในทารกเกิดครบกาหนดท่ีมีน้าหนกั แรกเกิดปกติ เป็ นความผิดปกติของการ ไหลเวยี นของเลือด ปัจจยั ช่วงก่อนเกิด เช่น thromboembolism ภาวะเลือดแขง็ ตวั เร็วกวา่ ปกติ (hypercoagulable states) มีความผิดปกติของหลอดเลือด มีการอุดตนั เส้นเลือดจากผลของรกหรือทารกในครรภ์ เป็ นตน้ ปัจจยั ช่วงหลงั เกิด เช่นภาวะติดเช้ือในกระแสเลือด การแข็งตวั ของเลือดผิดปกติ (disseminated intravascular coagulation : DIC) thrombophilic disorders การอุดตนั หรือตีบของหลอดเลือดดา หวั ใจพิการแต่กาเนิด เป็ นตน้ บางรายอาจมีสมองฝ่ อ (periventricular atrophy) หรือมีการพฒั นาของสมองผดิ ปกติ (cerebral dysgenesis)

สมองพกิ าร (Cerebral Palsy: CP) • พยาธิสภาพ • Spastic quadriplegia เป็นชนิดท่ีมีความรุนแรงท่ีสุดของภาวะสมองพกิ ารที่มีกลา้ มเน้ือหดเกร็ง มกั พบในทารกเกิดครบกาหนดและตวั เลก็ กวา่ อายคุ รรภ์ บริเวณที่เกิดการขาดเลือดไปเล้ียงไดบ้ ่อยคือ parasaggital cortical และ subcortical area ซ่ึงเป็นผลจากปัจจยั ก่อนเกิด เช่นการพฒั นาของสมอง ผดิ ปกติ (cerebral dysgenesis) หรือติดเช้ือ บางรายเกิดจากปัจจยั ระหวา่ งและหลงั เกิด หรือก่อนและ ระหวา่ งเกิดร่วมกนั ส่วนหน่ึงพบในทารกแรกเกิดท่ีมีน้าหนกั ตวั นอ้ ยมาก (extremely low birth weight)

สมองพกิ าร (Cerebral Palsy: CP) • พยาธิสภาพ • Dyskinetic / choreoathetoid / extrapyramidal CP มกั พบในทารกเกิดครบกาหนดท่ีมีภาวะขาดอากาศหายใจ ระหวา่ งคลอดอยา่ งรุนแรง (severe birth asphyxia) เป็นผลจากการตายของเซลลป์ ระสาทที่เฉพาะเจาะจง (selective neuronal necrosis) ในบริเวณ hippocampus, thalamus, basal ganglia, reticular formation และเซลล์ Perkinje ใน cerebellum หรือเกิดจาก kerniterus ซ่ึงเป็นผลจากระดบั bilirubin ที่สูงทาใหเ้ กิดรอยโรคบริเวณ globus pallidus ท้งั สองขา้ ง ทาใหเ้ กิด athetoid CP ส่วน metabolic genetic disorders (mitochondrial disorder and glutaric aciduria) ทาใหเ้ กิดรอยโรคบริเวณ basal ganglia และ thalamus ทาใหเ้ กิด extrapyramidal CP • Ataxic CP มกั พบในทารกเกิดครบกาหนด พยาธิสภาพอยทู่ ่ี cerebellar pathway ทาใหม้ ีอาการ ataxia ของแขน ขาและตวั

การพยาบาลเดก็ สมองพกิ าร • การเคลื่อนไหวร่างกายบกพร่อง • 1. ดูแลเรื่องการเคล่ือนไหวของร่างกายท่ีบกพร่อง โดยการกระตุน้ ใหเ้ ดก็ นง่ั คลาน เดิน ตามวยั ของเดก็ • 2. จดั หาของเล่นที่จะกระตุน้ ใหเ้ ดก็ เกิดการเคล่ือนท่ีหรือการเคลื่อนไหว นาของเล่นที่เขยา่ มี เสียงไพเราะ • 3. ช่วยเดก็ ในการใชอ้ ุปกรณ์เสริมต่างๆ เช่นอุปกรณ์ช่วยเดินสาหรับเดก็ ที่จาเป็นตอ้ งใช้ อุปกรณ์เสริม • 4. ส่งเดก็ ไปทากายภาพบาบดั เพอ่ื ป้องกนั ความพกิ ารอื่นๆ • 5. ใหย้ าคลายกลา้ มเน้ือในเดก็ ที่มีอาการเกร็ง

การพยาบาลเดก็ สมองพกิ าร • การดูแลตนเองบกพร่อง • 1. กระตุน้ ใหเ้ ดก็ ดูแลตนเองตามความสามารถ ถา้ เดก็ ทาไม่ไดต้ อ้ งช่วยเหลือใหเ้ กิดความสุข สบาย • 2. ระวงั การเกิดภาวะอุดก้นั ทางเดินหายใจ ในเดก็ ที่มีน้าลายหรือเสมหะมาก • 3. ช่วยเหลือเดก็ ในการรับประทานอาหาร จดั อาหารท่ีมีแคลอรีสูงใหพ้ อเพยี ง • 4. แนะนาเร่ืองการฝึกการขบั ถ่ายโดยใชว้ ิธีท่ีแตกต่างกนั ตามความสามารถของเดก็

การพยาบาลเดก็ สมองพกิ าร • พฒั นาการล่าช้า • 1. ส่งเสริมพฒั นาการในแต่ละดา้ นโดยใชข้ องเล่นหรือกิจกรรมที่ใหเ้ ดก็ ไดแ้ ละมีส่วนร่วม มากที่สุดตามความสามารถชองเดก็ • 2. แนะนาบิดามารดา ญาติ หรือผดู้ ูแลเดก็ ในการดูแลส่งเสริมพฒั นาการเดก็ อยา่ งสม่าเสมอ และต่อเนื่อง • 3. ติดตามและประเมินพฒั นาการเป็นระยะๆ

ศีรษะบวมนา้ (Hydrocephalus) การมีน้าไขสนั หลงั เพมิ่ มากข้ึนในกะโหลกศีรษะ บริเวณ Ventricleของสมอง และช้นั ใต้ arachnoid อาจมีสาเหตุดงั น้ี 1. ส่วนใหญม่ กั เกิดเนื่องจาก Papilloma ของ Choroid Plexus ของ External Ventricle 2. มีการอุดตนั ของทางเดินน้าไขสนั หลงั ระหวา่ งจุดท่ีผลิตและจุดที่ดูดซึม เกิดจาก ผดิ ปกติแต่กาเนิด เน้ืองอก การติดเช้ือ เช่น เยอื่ หุม้ สมองอกั เสบ ทาใหก้ ารยดึ ติดกนั นาไปสู่การอุดตนั • 3. ลดการดูดซึมของน้าไขสนั หลงั จากการอกั เสบจาก Congenital Hypoplasia ของ Arachnoid Villi แต่กาเนิด หลงั มีการติดเช้ือบริเวณ Arachnoid • ถา้ มีทางผา่ นของน้าระหวา่ ง Ventricle และ Spinal cord ความผดิ ปกติเรียก Communication หรือ Extraventricular Hydrocephalus • ถา้ ทางผา่ นของน้าถูกก้นั ความผดิ ปกติเรียกวา่ Obstructive หรือ Intraventricular Hydrocephalus

ศีรษะบวมนา้ (Hydrocephalus) • อาการและอาการแสดง ❑ศีรษะโตเมื่อเทียบกบั ลาตวั รอบศีรษะโตกวา่ รอบอกเกิน 2-5 ซม. กระหม่อมหนา้ กวา้ ง ตึง กระดูกกะโหลกศีรษะแยกออก ทาใหข้ นาด ของศีรษะขยาย ❑หนา้ ผากโปนเด่น หนงั ศีรษะแยกออก เดก็ เลก็ กระหม่อมหนา้ โป่ งตึง ❑ Sun Set Eye หรือ Setting Sun Sign ❑ซึม อาเจียน เบ่ืออาหาร เล้ียงไม่โตดูดนมลาบาก ตวั ผอม ❑ สนั่ ร้องเสียงแหลม ❑แขนขา เคลื่อนไหวลดลง

ศีรษะบวมนา้ (Hydrocephalus) • การวินิจฉัย 1. เปรียบเทียบรอบศีรษะกบั ขนาดปกติของเดก็ แต่ละวยั โดยการวดั รอบศีรษะจะเพิ่มรวดเร็ว 2. ถ่ายภาพรังสีกะโหลกศีรษะจะเห็นการแยกของ Suture และกระดูกกะโหลกศีรษะบาง 3. Transillumination จะเห็นการแบกของ Suture และกระดูกกะโหลกศีรษะบาง 4. CT Scan หรือ Ventriculography จะเห็น Ventricle ขยาย

แนวทางการรักษาเดก็ ทมี่ ภี าวะศีรษะบวมนา้ • การรักษาข้ึนกบั สาเหตุและขนาดศีรษะ 1. ถา้ ศีรษะโตไม่มากนกั เกิดจากการมีเยอื่ หุม้ สมองอกั เสบจากแบคทีเรีย เจาะหลงั ใส่ยา กอ็ าจให้ ความดนั ของน้าไขสนั หลงั ปกติ 2. ถา้ ศีรษะโตมากข้ึนเร่ือย ๆ ตอ้ งผา่ ตดั − เอาส่วนท่ีอุดตนั ออก เช่น เน้ืองอก − ทา Shunt ใหน้ ้าไขสนั หลงั จาก Ventricle ไปสู่บริเวณท่ีมีการไหลเวยี นปกติเช่นจาก Lateral Ventricle ไปสู่ Cistena Magna แลว้ ดูดซึมที่ Subarachnoid Space วธิ ีน้ีเรียก ventriculocisternostomy หรือ Torkildsen Shunt


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook