95 เม่ือกรุงศรีอยุธยาแตก นายสุดจินดาหุ้มแพรไดไ้ ปสมคั รเป็ นทหารของพระเจา้ ตากที่เมือง จนั ทบุรีและไดร้ ับการแต่งต้งั เป็ นพระมหามนตรี ช่วยทาํ สงครามขบั ไล่พม่าออกจากกรุงศรีอยุธยา เม่ือสมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราชทรงต้งั กรุงธนบุรีแลว้ พระมหามนตรีก็ไดต้ ิดตามมารับราชการที่ กรุงธนบุรี ความสามารถทางการทหารของพระมหามนตรีก็ได้ติดตามมารับราชการกา้ วหน้า เร่ือยมา ต่อมาพระมหามนตรีไดเ้ ป็ นแม่ทพั ปราบชุมนุมเจ้าพิมายร่วมกบั สมเด็จเจา้ พระยามหา กษตั ริยศ์ ึก (ดาํ รงตาํ แหน่งพระราชวรินทร์ในขณะน้นั ) และไดร้ ับการเลื่อนบรรดาศกั ด์ิเป็ นพระยา อนุชิตราชาต่อมาใน พ.ศ. 2313 ไดเ้ ลื่อนบรรดาศกั ด์ิเป็ นพระยายมราชแทนพระยายมราชคนเดิมที่ เสียชีวิตไป หลงั จากปราบปรามชุมนุมต่าง ๆ ไดท้ ้งั หมด พระยายมราชก็ไดร้ ับเลื่อนบรรดาศกั ด์ิ เป็นเจา้ พระยาสุรสีห์พิษณุวาธิราช หรือเจา้ พระยาสุรสีห์ ครองเมืองพิษณุโลกดูแลควบคุมหวั เมือง ผ่ายเหนือ แสดงให้เห็นถึงความไวว้ างพระราชาหฤทยั ของสมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราชที่มีต่อ พระยาสุรสีห์ เจา้ พระยาสุรสีห์มีบทบาทสําคญั ในสงครามอีกหลายคร้ังตลอดรัชสมยั ของสมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราช เช่น ศึกเมืองพิชยั ศึกอะแซหวุน่ ก้ี ศึกตีเมืองเวียงจนั ทน์ จนเม่ือสมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราชสวรรคต สมเด็จเจา้ พระยามหากษตั ริยศ์ ึกปราบดาภิเษกข้ึนเป็ นปฐมกษตั ริยแ์ ห่ง ราชวงศ์จักรี ทรงแต่งต้ังเจ้าพระยาสุรสีห์ข้ึนเป็ นพระมหาอุปราช กรมพระราชวงั บวรมหา สุรสิงหนาท ตาํ แหน่งกรมพระราชวงั บวรสถานมงคล (วงั หนา้ ) เจ้าพระยาสุรสีห์ ยงั มีสมญาณนามว่า “พระยาเสือ” แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญ ความเขม้ แขง็ เดด็ ขาด และความเป็นนกั รบคู่พระทยั ของกษตั ริยท์ ้งั สองรัชกาล พระบรมราชานสุ าวรีย์ กรมพระราชวงั บวรมหาสุรสิงหนาท (เจ้ าพระยาสุรสีห์ )
96 กจิ กรรมท้ายเร่ือง ใหผ้ เู้ รียนตอบคาํ ถามต่อไปน้ีใหถ้ ูกตอ้ ง 1.) บุคคลสาํ คญั ในธนบุรีไดแ้ ก่ใครบา้ ง ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… 2.) สมเด็จเจา้ พระยามหากษตั ริยศ์ ึกมีความสาํ คญั ต่ออาณาจกั รธนบุรีอยา่ งไร ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… 3.) พระยาเสือเป็ นสมญานามของใคร เหตุใดจึงมีสมญานามเช่นน้นั ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………… ------*------
97 เรื่อง การเสื่อมของอาณาจักรธนบุรี ในปลายสมยั ธนบุรี คนร้ายกลุ่มหน่ึงท่ีกรุงเก่า (กรุงศรีอยุธยา) ถือโอกาสคบคิดกนั ปลุก ปั่นยุยงราษฎรให้ก่อการกบฏเขา้ ปลน้ จวนเจา้ เมืองกรุงเก่า จบั เจา้ เมืองและกรมการเมืองประหาร สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงมีรับส่ังให้พระยาสรรค์ข้ึนไปสอบสวน แต่พระยาสวรรค์ กลบั ไปเขา้ กบั พวกกบฏและยกพวกมายดึ พระราชวงั ท่ีกรุงธนบุรีในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2324 บงั คบั ใหส้ มเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราชทรงพระผนวช และคุมพระองคไ์ วท้ ี่อุโบสถ์วดั แจง้ แลว้ พระยา สรรคก์ ็ต้งั ตนเป็ นผสู้ ําเร็จราชการแผน่ ดิน นาํ เงินในพระคลงั ออกมาแจกจ่ายพวกพอ้ งของตน ใน ระหวา่ งน้นั ขนุ นางช้นั ผูใ้ หญ่ คือ สมเด็จเจา้ พระยามหากษตั ริยศ์ ึกและเจา้ พระยาสุรสีห์ ยกกองทพั ไปตีเขมรพระยาสรรคจ์ ึงยดึ อาํ นาจไดส้ าํ เร็จ พระยาสุริยาอภัย (ทองอินทร์) เจ้าเมืองนครราชสีมารู้ข่าวกบฏ จึงยกกําลังมาระงับ เหตุการณ์ที่กรุงธนบุรี ขณะน้นั กรมขนุ อนุรักษส์ งครามที่ทาํ ความผิดและถูกสมเด็จพระเจา้ ตากสิน มหาราชสง่ั ใหก้ กั ขงั ไว้ ไดร้ ับการปล่อยตวั จากพระยาสรรค์ จึงเขา้ ขา้ งกบฏสู้รบกบั ฝ่ ายพระยา สุริยอภยั ปรากฏวา่ กรมขนุ อนุรักษส์ งครามเป็นฝ่ ายพา่ ยแพ้ พระยาสุริยอภยั ควบคุมสถานการณ์ไวไ้ ด้ สมเดจ็ เจา้ พระยามหากษตั ริยศ์ ึกไดข้ ่าวเกิดการจลาจลในกรุงธนบุรี จึงยกทพั กลบั มาถึงกรุง ธนบุรีในวนั ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 เม่ือมาถึงก็ไดส้ อบสวนเร่ืองราวความยุง่ ยากที่เกิดข้ึนและที่ ประชุมขนุ นางไดล้ งความเห็นวา่ ให้สาํ เร็จโทษพระเจา้ ตากสินมหาราชเสีย วนั รุ่งข้ึนสมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราชกถ็ ูกสาํ เร็จโทษ เป็นอนั สิ้นสุดสมยั ธนบุรี
98 กจิ กรรมท้ายเรื่อง ใหผ้ เู้ รียนตอบคาํ ถามต่อไปน้ีใหถ้ ูกตอ้ ง การสิ้นสุดของสมยั กรุงธนบุรีเกิดเหตุจลาจลในปลายรัชกาลของสมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราช คืออะไร ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ------*------
99 แบบทดสอบท้ายบทท่ี 4 ใหผ้ เู้ รียนทาํ เคร่ืองหมาย ( X ) ลงในคาํ ตอบขอ้ ที่ถูกที่สุดเพยี งขอ้ เดียว 1. บุคลใดเป็นผสู้ ถาปนากรุงธนบุรี ก. เจา้ พระยาจกั รี ข. สมเดจ็ พระเจา้ อูท่ อง ค. สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช ง. สมเดจ็ พระเจา้ ตากสินมหาราช 2. กรุงธนบุรีมีพระมหากษตั ริยก์ ่ีพระองค์ ก. 1 พระองค์ ข. 2 พระองค์ ค. 3 พระองค์ ง. 4 พระองค์ 3. อาณาจกั รกรุงธนบุรี มีอายรุ วมกี่ปี ก. 10 ปี ข. 15 ปี ค. 20 ปี ง. 25 ปี 4. พระเจา้ ตากสินมหาราชทรงเลือกกรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวงแทนกรุงศรีอยธุ ยาเนื่องจากสาเหตุใด ก. ท่ีต้งั กรุงธนบุรีอยใู่ กลท้ ะเลมีประโยชนด์ า้ นความปลอดภยั ข. กรุงศรีอยธุ ยาไดร้ ับความเสียหาย เกินจะซ่อมแซมได้ ค. สภาพแวดลอ้ มกรุงธนบุรีคลา้ ยกรุงศรีอยธุ ยา ง. ถูกทุกขอ้ 5. พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช มีพระนามเดิมวา่ อยา่ งไร ก. สิน ข. แขก ค. ทองดว้ ง ง. ทองเหมน็ 6. บุคลคลใดท่ี ไม่ใช่ บุคคลสาํ คญั ในสมยั กรุงธนบุรี ก. พระยาพชิ ยั ดาบหกั ข. สมเด็จเจา้ พระยามหากษตั ริยศ์ ึก ค. สมเดจ็ พระเจา้ ตากสินมหาราช ง. สมเด็จพระพุทธเลิศหลา้ นภาลยั
100 7. ระบบการปกครองสมยั กรุงธนบุรีเป็นการปกครองแบบใด ก. ยกเลิกจตุสดมภ์ ข. ไม่มีการปกครองหวั เมือง ค. รับรูปแบบการปกครองสมยั อยธุ ยาตอนตน้ ง. รับรูปแบบการปกครองสมยั อยธุ ยาตอนปลาย 8. ชนชาติมีการคา้ ขายกบั กรุงธนบุรีมากที่สุด ก. ชาวจีน ข. ชาวญ่ีป่ ุน ค. ชาวฮอลนั ดา ง. ชาวโปรตุเกส 9. พระเจา้ ตากสินตีชุมนมไหนเป็นชุมนุมแรก ก. ชุมนุมเจา้ พิมาย ข. ชุมนุมเจา้ พระฝาง ค. ชุมนุมเจา้ พระยาพิษณุโลก ง. ชุมนุมเจา้ นครศรีธรรมราช 10. สภาพความวนุ่ วายในสมยั ตอนปลายกรุงธนบุรีเกิดจากอะไร ก. ชุนนางบางคนก่อกบฏ ข. ถูกพม่าบุกโจมตีอยา่ งหนกั ค. ราษฎรประสบภาวะอดอยาก ง. พระมหากษตั ริยถ์ ูกรอบปลงพระชนม์
101
102 บทที่ 5 พฒั นาการของชาตไิ ทยสมัยรัตนโกสินทร์ การสถาปนาอาณาจักรกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อคร้ังยังดํารงพระยศเป็ น สมเด็จเจา้ พระยามหากษตั ริยศ์ ึกภายหลงั ท่ีไดท้ รงเลิกทพั กลบั จากกรุงกมั พูชาเพราะในกรุงธนบุรี เกิดการจลาจลเม่ือถึงกรุงธนบุรีบรรดาขุนนางนอ้ ยใหญ่ท้งั หลายก็พากนั อ่อนนอ้ มยอมสวามิภกั ด์ิ เรียกร้องให้แกไ้ ขวิกฤติการณ์ พร้อมกนั น้นั ก็พากนั อนั เชิญให้พระองค์เสด็จข้ึนครองราชยส์ มบตั ิ เป็ นพระเจา้ แผ่นดินไทยสืบต่อไป เมื่อวนั ท่ี 6 เมษายน พ.ศ.2325 รัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จกั รี (นบั เป็นวนั เริ่มตน้ แห่งราชวงศจ์ กั รี ทางราชการจึงกาํ หนดให้วนั ท่ี 6 เมษายน ของทุกปี เป็ นวนั จกั รี เพ่ือระลึกถึงวนั แห่งการสถาปนาราชวงศจ์ กั รี) ภายหลงั เมื่อเหตุการณ์เขา้ สู่ภาวะปกติแล้ว รัชกาลที่ 1 ทรงเห็นว่าก่อนจะประกอบพิธี ปราบดาภิเษกเป็ นกษตั ริย์เห็นว่าควรจะยา้ ยราชธานีไปอยู่ฟากตะวนั ออกของแม่น้ําเจ้าพระยา เสียก่อน โดยบริ เวณท่ีทรงเลือกท่ีจะสร้างพระราชวงั น้ัน เคยเป็ นสถานีการค้าขายกับชาว ต่างประเทศในแผน่ ดินสมเด็จพระนารายณ์-มหาราช มีนามเดิมวา่ “บางกอก” ซ่ึงในขณะน้นั เป็ นท่ี อยอู่ าศยั ของชาวจีนเม่ือไดท้ รงชดเชยค่าเสียหายให้พอสมควรแลว้ ทรงให้ชาวจีนยา้ ยไปอยูต่ าํ บลสาํ เพง็ แลว้ โปรดเกลา้ ฯใหส้ ร้างร้ัวไมแ้ ทนกาํ แพงข้ึนและสร้างพลบั พลาไมข้ ้ึนชว่ั คราว หลงั จากน้นั ใน เดือนมิถุนายน พ.ศ.2325 ขณะที่พระองค์ทรงมีพระชนมายุได้ 45 พรรษา ได้ทรงประกอบพิธี ปราบดาภิเษกข้ึนเป็ นปฐมกษตั ริยแ์ ห่งราชวงศ์จกั รี ทรงพระนามว่า “พระบาทสมเด็จพระบรม ราชาธิราชรามาธิบดีฯ” แต่ในสมยั ปัจจุบนั ผคู้ นนิยมเรียกพระนามวา่ “พระบาทสมเดจ็ พระพุทธ ยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช” และทรงสถาปนาตาํ แหน่งวงั หนา้ (กรมพระราชวงั บวรสถานมงคล) และ ตาํ แหน่งวงั หลงั (กรมพระราชวงั บวรสถานพิมุข) พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงไดร้ ับอญั เชิญข้ึนครองราชยใ์ นวนั ท่ี 6 เมษายน พ.ศ. 2325 แต่ในขณะน้นั ยงั ไม่ไดส้ ร้างพระราชวงั ใหม่ จึงทรงประทบั ในพระราชวงั เดิม ไปก่อน ต่อมาเม่ือก่อสร้างพระบรมมหาราชวงั และราชธานีแห่งใหม่ทางฝั่งตะวนั ออกของแม่น้าํ เจา้ พระยาเสร็จในปี พ.ศ. 2328 ก็โปรดฯ ให้มีการสมโภชน์พระนครและกระทาํ พิธีปราบดาภิเษก ข้ึนเป็ นพระมหากษัตริย์อีกคร้ัง และพระราชทานนามพระนครใหม่น้ีว่า “กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ มหินทรายธุ ยา มหาดิลกภพนพรัตน์ ราชธานีบุรีรมย์อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตาลสถิต สักกทิตติยวิษณุกรรมประสิ ทธ์ิ ” หรื อที่คนยุคปัจจุบันนิยมเรียกว่า “กรุงรัตนโกสินทร์ ” นนั่ เอง (คร้ันในสมยั แผน่ ดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั (รัชกาลที่ 4) ทรงเปลี่ยนสร้อยท่ีว่า “บวรรัตนโกสินทร์” เป็ น “อมรรัตนโกสินทร์” นอกน้นั คงเดิม) และใน บริเวณพระบรมมหาราชวงั ไดส้ ร้างวดั พระแกว้ (วดั พระศรีรัตนศาสดาราม) เป็ นวดั ท่ีใชป้ ระกอบ
103 พระราชพิธีทางศาสนา เป็นวดั ท่ีไม่มีพระสงฆจ์ าํ พรรษาอยแู่ ละเม่ือสร้างพระนครเสร็จสมบูรณ์ไดม้ ี การอัญเชิ ญพระแก้วมรกตมาประดิษฐานที่วัดน้ี และได้พระราชทานนามให้ใหม่ว่า พระพทุ ธมหามณีรัตนปฏิมากร เพอื่ ใหส้ อดคลอ้ งกบั นามของพระนครใหม่ สาเหตกุ ารย้ายราชธานีจากกรุงธนบรุ ีมาตงั้ ท่ีกรุงรัตนโกสินทร์ กรุงธนบุรีเป็ นเมืองที่มีการสร้างป้อมปราการเอาไวท้ ้งั สองฝ่ังแม่น้าํ โดยเอาแม่น้าํ ผา่ กลาง (เรียกวา่ เมืองอกแตก) เหมือนเมืองพิษณุโลกมีประโยชน์ตรงที่อาจเอกเรือรบไวใ้ นเมืองเม่ือเวลาถูก ขา้ ศึกมาต้งั ประชิดแต่การรักษาเมืองคนขา้ งในจะถ่ายเทกาํ ลงั เขา้ รบพุ่งรักษาหนา้ ท่ีไดไ้ ม่ทนั ท่วงที เพราะตอ้ งขา้ มแม่น้าํ แต่แม่น้าํ เจา้ พระยาท้งั กวา้ งและลึกจะทาํ สะพานขา้ มก็ไม่ไดท้ าํ ให้ยากแก่การ รักษาพระนครเวลาขา้ ศึกบุกกรุงธนบุรีอยู่ในท้องคุ้งน้ํา ทาํ ให้น้าํ กดั เซาะตลิ่งพงั ได้ง่ายบริเวณ พระราชวงั เดิมของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชคับแคบ มีวดั ขนาบท้งั สองข้าง คือ วดั แจ้ง (วดั อรุณราชวราราม) กบั วดั ทา้ ยตลาด (วดั โมฬีโลกยาราม) ทาํ ให้ยากแก่การขยายพระราชวงั ให้ กวา้ งออกไป เหตุผลของการเลือกทาเลทตี่ ้ังฝ่ังตะวนั ออกของแม่นา้ เจ้าพระยา 1. ทางฝ่ังกรุงเทพฯเป็นท่ีชยั ภูมิเหมาะสมเพราะเป็นหวั แหลมถา้ สร้างเมืองแต่เพียงฟากเดียว จะไดแ้ ม่น้าํ ใหญ่เป็ นคูเมืองท้งั ดา้ นตะวนั ตกและดา้ นใต้ เพียงแต่ขุดคลองเป็ นคูเมืองแต่ดา้ นเหนือ และดา้ นตะวนั ออกเทา่ น้นั ถึงแมว้ า่ ขา้ ศึกจะเขา้ มาโจมตีกพ็ อตอ่ สู้ได้ 2. เน่ืองดว้ ยทางฝ่ังตะวนั ออกน้ี พ้ืนท่ีนอกคูเมืองเดิมเป็ นพ้ืนที่ลุ่มที่เกิดจากการต้ืนเขิน ของทะเล ขา้ ศึกจะยกทพั มาทางน้ีคงทาํ ได้ยาก ฉะน้ันการป้องกนั พระนครจะไดม้ ุ่งป้องกนั เพียง ฝั่งตะวนั ตกแตเ่ พยี งดา้ นเดียว 3. ฝ่ังตะวนั ออกเป็นพ้ืนท่ีใหม่ สนั นิษฐานวา่ ชุมชนใหญใ่ นขณะน้นั คงจะมีแต่ชาวจีนที่เกาะ กลุ่มกนั อยจู่ ึงสามารถขยายออกไปไดอ้ ยา่ งกวา้ งขวาง และขยายเมืองไดเ้ รื่อยๆ
104 กจิ กรรมท้ายเรื่อง ใหผ้ เู้ รียนตอบคาํ ถามตามหวั ขอ้ ที่กาํ หนดใหต้ ่อไปน้ี 1. ใหผ้ เู้ รียนวเิ คราะห์พฒั นาการการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์มาพอสังเขป ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. 2. เพราะเหตุใดพระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงไดย้ า้ ยราชธานีมาอยบู่ ริเวณฝ่ัง ตะวนั ออกของแม่น้าํ เจา้ พระยา ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................
105 พฒั นาการด้านต่างๆ สมัยรัตนโกสินทร์ 1. พฒั นาการด้านการเมืองการปกครอง การปกครองของไทยได้มีพัฒนาการมาเป็ นลําดับ โดยจัดระเบียบการปกครอง เพ่ือเสถียรภาพของบา้ นเมืองและประโยชน์ของประชาชน โดยแบ่งการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ออกเป็ น 2 สมยั คือ สมยั รัตนโกสินทร์ก่อนการปฏิรูปการปกครอง (รัชกาลที่ 1-5) และ สมยั รัตนโกสินทร์ยคุ ปฏิรูปการปกครอง (รัชกาลท่ี 5-7) ระบอบการปกครองในสมยั รัตนโกสินทร์ได้มีการพฒั นารูปแบบตามสถานการณ์ท้งั ภายในและภายนอกประเทศ ดงั น้ี 1. ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สมัยรัตนโกสิ นทร์ ตอนต้นยังคงปกครองโดยระบอบราชาธิ ปไตยหรื อระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระมหากษตั ริย์เปรียบประดุจองค์สมมุติเทพที่สูงส่ง และศักด์ิสิทธ์ิ ในรูปแบบของพระราชพิธีขนบธรรมเนียมประเพณีในราชสํานัก พระองค์จะทรงไวซ้ ่ึงอาํ นาจ สูงสุดทางการเมืองการปกครอง พระมหากษตั ริยท์ รงมีฐานะเป็ นเจา้ ของแผน่ ดินเป็ นเจา้ ชีวิตของ ปวงประชาราษฎรอย่างไรก็ตามพระมหากษัตริ ย์ทรงใช้พระราชอํานาจในกรอบของ ทศพิธราชธรรมทรงปกครองตามหลกั จกั รวรรดิวตั ร พระองคย์ งั ทรงทาํ นุบาํ รุงสนบั สนุนการสร้าง ความเจริญต่างๆโดยมีพระราชวงศ์ และขนุ นางเป็ นผดู้ าํ เนินการ จนถึงสมยั รัชกาลที่ 5ไดท้ รงปฏิรูป การปกครองท้งั ส่วนกลางและส่วนภูมิภาคโดยดึงอาํ นาจบริหารเขา้ สู่ศูนยก์ ลาง ทาํ ให้ฐานะของ พระมหากษตั ริยม์ ีความมนั่ คงข้ึนการปกครองระบอบราชาธิปไตยของไทยมีการพฒั นาสืบต่อมา จนถึงสมยั รัชกาลที่ 7จนไดม้ ีการเปล่ียนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย 2. ระบอบประชาธิปไตย ในสมยั รัชกาลท่ี 7 พ. ศ. 2475 คณะราษฎรไดย้ ึดอาํ นาจเปล่ียนแปลงการปกครองโดยอา้ ง ถึงสาเหตุความไม่ยุติธรรมและไม่เสมอภาคจากระบบการปกครองแบบเดิม พระบาทสมเด็จ พระปกเกลา้ เจา้ อยูห่ ัวไดพ้ ระราชทานรัฐธรรมนูญฉบบั แรกเพื่อใช้เป็ นหลกั ในการปกครอง เมื่อ วนั ที่ 10 ธนั วาคม พ. ศ. 2475 ประเทศไทยจึงเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย แบบมีพระมหากษตั ริยท์ รงอยูภ่ ายใตร้ ัฐธรรมนูญ โดยพระมหากษตั ริยท์ รงใช้อาํ นาจอธิปไตยฐาน องคก์ ร 3 ฝ่ าย คือ บริหารผา่ นทางรัฐบาล นิติบญั ญตั ิผา่ นทางรัฐสภา และตุลาการผา่ นทางศาล แต่ ยงั คงมีการแยง่ ชิงอาํ นาจทางการเมืองมาโดยตลอดเป็ นผลใหม้ ีการยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบบั เก่า และ จดั ร่างฉบบั ใหมท่ ดแทนเรื่อยมา ใน พ. ศ. 2550 ประเทศไทยไดป้ ระกาศใชร้ ัฐธรรมนูญมาแลว้ เป็ น จาํ นวน 18 ฉบบั
106 1. สมัยรัตนโกสินทร์ก่อนปฏริ ูปการปกครอง(รัชกาลที่ 1-5) การบริหารปกครองยงั คงลกั ษณะเดียวกบั สมยั อยธุ ยา แต่มีการปรับให้สอดคลอ้ งกบั สถานการณ์ คือ 1.1 การปกครองส่วนกลาง การจดั การปกครองท้งั ฝ่ ายทหารและพลเรือน อยู่ในความ รับผดิ ชอบของอคั รมหาเสนาบดี 2 ตาํ แหน่ง คือ สมุหพระกลาโหม (เจา้ พระยามหาเสนา) และสมุ หนายก (เจา้ พระยาจกั รี) โดยมีกรมจตุสดมภ์ท้งั 4 คือ เวียง วงั คลงั และนา ซ่ึงมีเสนาบดีเป็ นผู้ ควบคุมการบริหารราชการแผน่ ดิน ดงั น้ี กรมเวยี งหรือกลมเมืองมีหนา้ ที่ปกครองทอ้ งท่ีภายในเขตราชธานี และเมืองใกลเ้ คียงดูแล ปราบปรามโจรผูร้ ้าย และพิจารณาตดั สินคดีความที่เป็ นมหันตโทษ และดูแลกลมเล็กๆ ในสังกดั เสนาบดกี รมเวยี ง คือ พระนครบาล กรมวังมีหน้าที่รับผิดชอบกิจการของราชสาํ นกั และแบ่งเบาพระราชภาระต่างๆ ขององค์ พระมหากษตั ริย์ รวมท้งั การตดั สินคดีความท่ีเก่ียวขอ้ งกบั คนในสังกดั ด้วย เสนาบดีกรมวัง คือ พระธรรมาธิกรณ์ กรมคลงั หรือ กรมพระคลงั มีหนา้ ท่ีรับผดิ ชอบพระราชทรัพยท์ ี่ไดม้ าจากภาษีอากรการคา้ ต่างประเทศ การติดต่อกบั คณะทูต รวมท้งั การพิจารณาตดั สินคดีความของชุมชนชาวต่างชาติกรม ยอ่ ยในสงั กดั กรมพระคลงั ท่ีสาํ คญั คือ กรมพระคลงั สินคา้ กรมท่าซ้าย กรมท่าขวา และกรมท่ากลาง เสนาบดีกรมคลงั คือ พระโกษาธิบดี กรมนา มีหน้าท่ีตรวจสอบและส่งเสริมการทาํ ไร่นาของราษฎร การเก็บรวบรวม ขา้ วไว้ ในฉางหลวง เพือ่ ใชเ้ ป็นเสบียงอาหารเม่ือเกิดสงคราม การออกกรรมสิทธ์ิที่นาแก่ราษฎร รวมท้งั การ พจิ ารณาตดั สินคดีความของราษฎรที่มีกรณีพิพาทเก่ียวกบั ท่ีนา พระโค กระบือ เสนาบดีกรมนา คือ พระเกษตรธิบดี สมยั รัชกาลที่ 2 ทรงแต่งต้งั เจา้ นายท่ีไวว้ างพระทยั ใหก้ บั ราชการ กรมต่างๆอีกช้ันหน่ึง เช่น กรมหลวงพิทกั ษ์มนตรีกาํ กบั มหาดไทย กรม หมื่นเจษฎาบดินทร์ กาํ กบั กรมคลงั และกลมหมื่นศกั ดิพลเสพ กาํ กบั กรม พระกลาโหมเท่ากับเป็ นการรักษาสมดุลระหว่างเจ้านายกับขุนนาง ขณะเดียวกันเป็ นการมอบหมายให้เจ้านายช่วยปฏิบัติราชการสร้าง คุณประโยชน์ให้แก่บา้ นเมืองดว้ ย ในรัชกาลท่ี 3 ก็ไดท้ รงแต่งต้งั เจา้ นาย ใหก้ าํ กบั ราชการสืบตอ่ มาเหมือนกบั สมยั รัชกาลท่ี 2 เช่น เจา้ ฟ้ากรมขุนอิศ สมเดจ็ พระยาบรมมหาศรี รานุรักษ์ กาํ กบั มหาดไทย กรมหมื่นสุรินทรรักษ์ กาํ กบั กรมพระนครบาล สุริยาวงศ์ (ช่วง บนุ นาค)เป็น (กรมเมือง) ผ้สู าเร็จราชการแผ่นดินใน 1.2 การปกครองหัวเมือง การปกครองแบ่งตามลาํ ดบั ข้นั เร่ิมจาก สมยั ต้นรัชกาลท่ี 5 หมู่บา้ น ตาํ บล แขวง และเมืองซ่ึงแบ่งเป็ นช้ันจตั วา ตรี โท เอกและราช
107 ธานี พระมหากษตั ริยท์ รงมอบหมายให้เสนาบดีสําคญั คือ สมุหพระกลาโหม ดูแลหวั เมืองฝ่ ายใต้ และภาคตะวนั ตก สมุหนายก ดูแลหวั เมืองฝ่ ายเหนือและอีสาน เสนาบดีกรมพระคลงั ดูแลหวั เมือง ชายทะเลตะวนั ออกท้งั น้ีเสนาบดีท้งั 3 ตาํ แหน่งคือสมุหพระกลาโหมสมุหนายกและเสนาบดีกรม คลงั จะทาํ หนา้ ที่บงั คบั บญั ชาหัวเมืองท่ีไดร้ ับมอบหมายท้งั การเกณฑ์และทาํ ทะเบียนไพร่พล การ จดั เกบ็ ภาษีอากรส่งมายงั เมืองหลวง การปราบปรามโจรผรู้ ้าย และการตดั สินคดีความ ส่วนเจา้ เมือง ต่างๆ จะบริหารในระบบกินเมืองคือ เจา้ เมืองมีอาํ นาจในการควบคุมท้งั ไพร่พลและผลประโยชน์ ทางเศรษฐกิจ 1.3 การปกครองส่วนประเทศราช สมยั น้ียงั คงยึดระเบียบปฏิบตั ิเช่นเดียวกบั สมยั อยธุ ยา คือ ประเทศต้องส่งต้นไม้เงินตน้ ไมท้ อง ตามกาํ หนดเวลาและตามขนาดน้าํ หนักท่ีกาํ หนดไว้ พระมหากษตั ริยไ์ ทยทรงไวซ้ ่ึงพระราชอาํ นาจในการแต่งต้งั และถอดถอนเจา้ ประเทศราช ตลอดจน การเกณฑแ์ รงงานและส่วยบรรณาการมาช่วยราชการ ถา้ เมืองใดขดั ขืนถือวา่ เป็ นกบฏประเทศราช ในสมยั รัตนโกสินทร์ ได้แก่ ล้านนา หลวงพระบาง เวียงจนั ทน์ จาํ ปาศกั ด์ิ เขมร และรัฐมลายู (ไทรบุรี กลนั ตงั ตรังกานู และปะลิส) 2. สมยั รัตนโกสินทร์ยุคปฏิรูปการปกครอง (รัชกาลท่ี 5-7) เมื่อรัชกาลท่ี 4 เสด็จข้ึนครองราชย์ อิทธิพลของชาติตะวนั ตกไดแ้ ผ่ขยายอาํ นาจคุกคาม ภูมิภาคเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั จึงทรงปรับปรุงบา้ นเมืองให้ ทนั สมยั เพื่อป้องกนั มิให้ชาติตะวนั ตกดูถูกไทย และถือเป็ นขอ้ อา้ งในการยึดครองได้ โดยทรง เปล่ียนแปลงขนบธรรมเนียมประเพณีไทยท่ีล้าสมยั เช่น ให้ขุนนางที่จะเขา้ เฝ้าตอ้ งสวมเส้ือให้ เรียบร้อย เม่ือเสด็จเลียบพระนครโปรดเกลา้ ฯ ให้ราษฎรเขา้ เฝ้าถวายพระพรไดใ้ กล้ชิด ให้ราษฎร ถวายฎีการ้องทุกขไ์ ดท้ ุกวนั โกน (ก่อนวนั พระ) เดือนละ 4 คร้ัง เปลี่ยนแปลงวิธีการแต่งต้งั พระมหา ราชครู ซ่ึงทาํ หน้าที่ดา้ นการพิจารณาคดีความในศาลโดยให้เลือกต้งั กนั เอง ท่ีสําคญั คือ ทรงออก หนงั สือราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้หนงั สือราชการต่างๆ มีความถูกตอ้ งชดั เจนการประกาศข่าวสาร ราชการต่างๆ แก่ราชการจะไดไ้ ม่คลาดเคลื่อนและทบทวนได้ ในสมยั รัชกาลที่ 5 การบริหารราชการที่ใช้ปฏิบตั ิสืบต่อกันมาในสมัยรัตนโกสินทร์ ตอนตน้ เริ่มก่อปัญหาโดยเฉพาะความไม่คล่องตวั ในราชการ ในช่วงเวลาที่ไทยตอ้ งปรับตนเองให้ ทนั สมยั และเขม้ แขง็ เม่ือเผชิญหนา้ กบั การคุกคามของมหาอาํ นาจตะวนั ตก พระบาทสมเด็จพระจุ ลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปฏิ รู ปการปกครองแผ่นดิ นคร้ ังใหญ่ เพ่ือสร้างเสถียรภาพแห่งราชบลั ลงั ก์และราชอาณาจกั ร โดยพระองคท์ รงดาํ เนินการปฏิรูปแบ่งเป็ น 2 ระยะ และมีการปรับปรุงเพมิ่ เติมในสมยั รัชกาลที่ 6 และรัชกาลท่ี 7 มีประเดน็ สาํ คญั ดงั น้ี 2.1 ช่วง พ.ศ. 2411 - พ. ศ. 2430 เป็ นระยะเวลาท่ีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยู่หัว ทรงมีฐานะทางการเมืองไม่ม่ันคง เพราะมีสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์
108 (ช่วง บุนนาค) เป็ นผูส้ ําเร็จราชการแทนพระองคอ์ ยู่ รัชกาลท่ี 5 เร่ิมพยายามดึงอาํ นาจการบริหาร คืนจากกรมขนุ นางท้งั น้ีเพ่อื สร้างความเป็นอนั หน่ึงอนั เดียวกนั ของรัฐขจดั ความแตกแยกในกลุ่มชน ช้นั ปกครองและระหวา่ งราชธานีกบั หวั เมืองการวางพ้ืนฐานการดาํ เนินงานแบบเดียวกนั ทวั่ ประเทศ ไดแ้ ก่ การปกครองส่วนกลาง รัชกาลที่ 5 ทรงต้งั สภาที่ปรึกษาราชการแผน่ ดิน (Council of State) สมาชิก เป็ นขนุ นางระดบั พระยา รวม 12 คน มีหนา้ ท่ีถวายคาํ ปรึกษาราชการที่สาํ คญั รวมท้งั พิพากษาคดีพิเศษ และสภาท่ีปรึกษาส่วนพระองค์ (Privy Council) สมาชิกประกอบดว้ ย พระบรม วงศานุวงศ์ และขุนนางระดบั ต่างๆ รวม 49 นาย มีหน้าที่ถวายคาํ แนะนาํ ขอปรึกษาส่วนพระองค์ นอกจากน้ีทรงริเริ่มการปฏิรูปดา้ นเศรษฐกิจ คือ ต้งั หอรัษฎากรพิพฒั น์เป็ นหน่วยงานเดียวในการ รวบรวมรายไดจ้ ากภาษีอากร และจดั ระเบียบการรับ-จ่ายเงินที่เป็นรายไดข้ องประเทศ รายจ่ายที่เป็ น เบ้ียหวดั เงินเดือนขา้ ราชการและการทาํ นุบาํ รุงประเทศใหช้ ดั เจน นอกจากน้ี ยงั ไดม้ ีการยกเลิกธรรม เนียมหมอบคลานเปล่ียนเป็ นยืนหรือเดินแทนธรรมเนียมการถวายบงั คมและกราบไหว้ เปล่ียนเป็ น โคง้ ศีรษะ และจดั ระเบียบการแต่งกายของพระบรมวงศานุวงศ์ และขนุ นางเมื่อเขา้ เฝ้าฯในโอกาส ต่างๆ การปกครองหัวเมือง รัชกาลที่ 5 ทรงปฏิรูปการปกครองหวั เมืองต่างๆที่เดิมมีลกั ษณะกิน เมืองท่ีเจา้ เมืองมีอาํ นาจมากและมกั สืบทอดการปกครองต่อไปยงั ลูกหลานโดยเฉพาะเมืองประเทศ ราชบางเมืองมีลกั ษณะเป็ นเมืองท่ียอมรับอาํ นาจของอาณาจกั รท่ีเขม้ แข็งกวา่ 2 หรือ 3 อาณาจกั ร พร้อมๆ กนั ทาํ ใหจ้ กั รวรรดินิยมตะวนั ตกใชเ้ ป็ นขอ้ อา้ งยึดครองได้ พระองคจ์ ึงโปรดเกลา้ ฯ แต่งต้งั ขา้ หลวงไปประจาํ หวั เมืองเร่ิมตน้ ท่ีเมืองเชียงใหม่ นบั เป็ นการเริ่มตน้ ควบคุมหวั เมืองจากส่วนกลาง และลดอาํ นาจเจา้ เมืองลง 2.2 ช่วง พ.ศ. 2430 - พ.ศ. 2453 ระยะน้ีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงมี พระราชอาํ นาจโดยสมบูรณ์ ดงั น้นั จึงมีการนาํ มาตรการต่างๆ มาปฏิรูปการปกครองอยา่ งเร่งด่วน พร้อมกบั การปรับปรุงดา้ นเศรษฐกิจและสังคม การปกครองส่ วนกลาง พ. ศ. 2430 มีการจดั เพ่ิมกลุ่มราชการอีก 6 กรมจาก 6 กรมเดิม บริหารประเทศร่วมกนั ในรูปของเสนาบดีสภา กระทรวงท้งั 12 กระทรวงโดยมีรัชกาลที่ 5 ทรงเป็ น องค์ประธานใน พ.ศ. 2435มีการยกฐานะของกรมเหล่าน้ีข้ึนเป็ นกระทรวงรวม 12 กระทรวง กระทรวงคือมหาดไทย กลาโหม ต่างประเทศ วงั นครบาล พระคลงั มหาสมบตั ิ เกษตรพานิชการ โยธาธิการ ธรรมการ ยทุ ธนาธิการ ยุติธรรมและมุรธาธร การปฏิรูประยะน้ีแบ่งกิจการพลเรือนและ ทหารออกจากกันโดยเด็ดขาด ยกเลิกตาํ แหน่งอคั รมหาเสนาบดีและตาํ แหน่งจตุสดมภ์ท้งั 4 นอกจากน้ียงั ปรับปรุงสภาท่ีปรึกษาในพระองค์ เป็ นองคมนตรีสภา โดยส่งมอบหมายให้สอบสวน งานราชการตา่ งๆ เช่น ชาํ ระความถวายฎีกา และทรงปรับปรุงลูกขนุ ณ ศาลหลวง เป็ นรัฐมนตรีสภา สาํ หรับเป็นท่ีปรึกษาราชการแผน่ ดินในส่วนเก่ียวกบั กฎหมายและการตีความราชประเพณี
109 การปกครองหัวเมืองเป็ นแบบมณฑลเทศาภิบาล ในพ.ศ.2437 ไดจ้ ดั ระบบเทศาภิบาล อยา่ งเป็นทางการ โดยรวมหวั เมืองหลายหวั เมืองเป็ นมณฑลมีสมุทเทศาภิบาล เป็ นผปู้ กครองข้ึนกบั กระทรวงมหาดไทยเพยี งแห่งเดียว เช่น มณฑลลาวเฉียง (ที่บญั ชาการมณฑลอยทู่ ี่เชียงใหม่) มณฑล ลาวพวน (ท่ีบญั ชาการมณฑลอยทู่ ่ีอุดรธานี) มณฑลลาวกาว (ท่ีบญั ชาการมณฑลอยทู่ ่ีอุบลราชธานี) การปกครองแบบระบอบเทศาภิบาลเป็ นการปกครองแบบรวมอาํ นาจเข้าสู่ศูนยก์ ลาง โดยยกเลิกระบบกินเมืองแบบเก่า แต่ละมณฑลจะแบ่งแยกออกเป็ นเมือง อาํ เภอ ตาํ บลและหมู่บา้ น เป็นผลใหก้ ารปกครองเป็นเอกภาพและมีขอบเขตการปกครองชดั เจน การปกครองส่ วนท้องถ่ินแบบสุขาภิบาล ในรัชสมยั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจา้ อยหู่ วั โปรดเกลา้ ฯ ใหจ้ ดั ต้งั การปกครองส่วนทอ้ งถ่ินเป็นแบบสุขาภิบาล ตามพระราชบญั ญตั ิการ ปกครองทอ้ งถ่ิน ร.ศ. 116 ไดใ้ ห้สิทธ์ิแก่ราษฎรที่จะเลือกผูป้ กครองของตนเองในระดบั หมู่บา้ น และตาํ บล เพ่ือให้ช่วยกันดูแลท้องถิ่นของตนเอง เช่นการกาํ จัดส่ิงสกปรกโสโครก การทาํ นุ บาํ รุงรักษาความสะอาด รวมท้งั การใช้รายได้แผ่นดินที่เก็บจากภาษีโรงเรือนในทอ้ งถิ่นของ สุขาภิบาลการปกครองแบบสุขาภิบาลแห่งแรก คือ สุขาภิบาลท่าฉลอม (สมุทรสาคร) ตาม พระราชบญั ญตั ิสุขาภิบาลตราข่ึนใน ร.ศ. 127 กาํ หนดใหม้ ีสุขาภิบาลเมืองและสุขาภิบาลตาํ บล 2.3 สมัยรัชกาลที่ 6 มีการจดั ระเบียบแกไ้ ขการบริหารในบางส่วน ไดแ้ ก่ ก า ร ป ก ค ร อ ง ส่ ว น ก ล า ง มี ก า ร ปรับเปลี่ ยนกระทรวงต่าง ๆ โดยจัดต้ัง กระทรวงใหม่เพ่ิมคือ พาณิชย์ ทหารเรือ ยุบ ก ร ะ ท ร ว ง น ค ร บ า ล โ อ น ง า น ม า ข้ึ น กับ กระทรวงมหาดไทย และเปล่ียนชื่อกระทรวง โยธาธิการเป็ นกระทรวงคมนาคมกระทรวง ธรรมการเป็ นกระทรวงศึกษาธิการ นอกจากน้ี รัชกาลท่ี 6 ทรงริเร่ิมทดลองการปกครองแบบ พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจ้าอย่หู ัวทรงจัดตั้งเมืองจาลอง ป ร ะ ช า ธิ ป ไ ต ย ใ น ก ลุ่ ม เ ส น า บ ดี แ ล ะ ข้า ร า ช “ดสุ ิตธานี” ขึน้ เพื่อเป็นการทดลองก่อนท่ีจะเป็น บริพารโดยการจดั ต้งั เมืองจาํ ลอง “ดุสิตธานี” ระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้ จริ ง ในเขตพระราชวงั ดุสิต การปกครองระบบเทศาภิบาล พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยูห่ วั โปรดเกลา้ ฯ ให้มี การเปลี่ยนแปลงระบบเทศาภิบาล โดยให้สมุหเทศาภิบาลข้ึนตรงต่อพระมหากษตั ริย์ ต้งั มณฑล ใหม่โดยแยกจากมณฑลเดิมและจดั ต้งั มณฑลภาคข้ึน โดยรวมมณฑลเทศาภิบาล 2-3 มณฑลเป็ น ภาคให้อุปราชภาคปกครองบังคับบัญชาข้ึนตรงต่อพระมหากษัตริ ย์ นอกจากน้ี ยังมีการ เปล่ียนแปลงใชค้ าํ วา่ จงั หวดั แทนเมืองดว้ ย
110 2.4 สมัยรัชกาลท่ี 7 ไดโ้ ปรดเกลา้ ฯ ใหม้ ีการปรับปรุงการบริหารราชการแผน่ ดินบางส่วน ดงั น้ี การปกครองส่วนกลาง พระองค์ทรงแต่งต้งั อภิรัฐมนตรีสภา ทาํ หน้าท่ีเป็ นสภาท่ีปรึกษา ราชการส่วนพระองค์ เช่นเดียวกบั รัชสมยั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยูห่ วั ทรงต้งั ข้ึนโดย ทรงเลือกพระบรมวงศานุวงศ์ 5 พระองคเ์ ป็ นอภิรัฐมนตรี โดยทรงมอบหมายให้อภิรัฐมนตรีสภา เขา้ ร่วมประชุมในการประชุมในเสนาบดีสภาทุกคร้ัง และโปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ สนาบดีกระทรวงต่างๆ ส่งเร่ืองราชการท่ีจะทูลเกลา้ ฯ ถวายใหเ้ ขา้ พจิ ารณาในที่ประชุมอภิรัฐมนตรีสภาก่อน นากจากน้นั ยงั ทรงแต่งต้งั รัฐมนตรีสภาทาํ หน้าที่พิจารณาถวายคาํ ปรึกษาเร่ืองกฎหมาย ต่างๆ รัฐมนตรีสภาประกอบดว้ ย เสนาบดีหรือผแู้ ทน และผทู้ ่ีโปรดเกลา้ ฯ แต่งต้งั ข้ึนอีกไม่นอ้ ยกวา่ 12 คน ส่วนเสนาบดีสภา ประกอบดว้ ย เสนาบดีท่ีรับผิดชอบกระทรวงต่างๆ โปรดเกล้าฯ ให้ ประชุมอยา่ งนอ้ ยสัปดาห์ละคร้ัง โดยมีพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั เป็นประธาน การปกครองหัวเมืองแบบระบบเทศาภิบาล ในสมยั รัชกาลที่ 7 โปรดเกลา้ ฯ ไดย้ ุบมณฑล อุปราชภาค และให้สมุหเทศาภิบาลข้ึนตรงต่อกระทรวงมหาดไทยเหมือนเดิม การปกครองระบบ เทศาภิบาลน้ียกเลิกภายหลงั เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 การปกครองส่วนท้องถ่ินแบบเทศบาล รัชกาลที่ 7 ทรงปรับปรุงการจดั การปกครองแบบ สุขาภิบาล เพื่อฝึ กฝนใหป้ ระชาชนรู้จกั การใชส้ ิทธิเลือกต้งั และรู้จกั ใชส้ ิทธิในการปกครองตนเอง โดยให้กระทรวงมหาดไทยร่างพระราชบญั ญตั ิเทศบาลข้ึน แต่ไม่แลว้ เสร็จจนกระท้งั เปลี่ยนแปลง การปกครองเสียก่อน การเตรียมการปกครองระบอบประชาธิปไตย พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยู่หวั ทรง มีพระราชดาํ ริท่ีจะพระราชทานรัฐธรรมนูญมาต้งั แตเ่ สด็จข้ึนครองราชย์ โดยโปรดเกลา้ ฯ ใหพ้ ระยา ศรีวสิ ารวาจา (เทียนเล้ียง ฮุนตระกูล) ตาํ แหน่งปลดั ทูลฉลองกระทรวงต่างประเทศ และเรยม์ อนด์ บี.สตีเวนส์ (Reymond B. Stevens) ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศ ช่วยกนั ร่างรัฐธรรมนูญ แลว้ เสร็จเมื่อ พ.ศ. 2474 และไดบ้ นั ทึกความเห็นวา่ ยงั ไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม เพราะประชาชนส่วน ใหญย่ งั ไมพ่ ร้อมท่ีจะมีส่วนในการปกครองตนเอง 2. พฒั นาการด้านเศรษฐกจิ สภาพเศรษฐกิจไทยในระยะแรกของสมยั รัตนโกสินทร์ไม่ต่างจากสมยั อยุธยาคือเป็ น เศรษฐกิจแบบด้งั เดิม ถึงแมจ้ ะประสบปัญหาเศรษฐกิจในช่วงเสียกรุงศรีอยุธยาคร้ังท่ี 2 เม่ือ พ.ศ. 2310 แต่พระมหากษตั ริย์ในสมยั ธนบุรีและสมยั รัตนโกสินทร์ตอนต้นสามารถบูรณะฟ้ื นฟูจน กลบั มาเป็ นปกติดว้ ยความร่วมมือช่วยเหลือของประชาชนและพ่อคา้ ชาวจีนจนถึงสมยั รัชกาลที่ 4 ภายหลงั สนธิสญั ญาเบาวร์ ิง นโยบายเศรษฐกิจไดเ้ ร่ิมเปล่ียนแปลงเขา้ สู่ระบบสากลและมีการปฏิรูป โครงสร้างทางเศรษฐกิจในสมยั รัชกาลที่ 5 ซ่ึงเป็ นการจดั ระบบเศรษฐกิจตามแบบอย่างตะวนั ตก
111 โดยมีการวางระเบียบการปฏิบตั ิใหม่ในดา้ นการเงิน การคลงั และการผลิต ทาํ ใหป้ ระเทศไทยมีการ พฒั นาเศรษฐกิจต่อไปไดซ้ ่ึงการพฒั นาทางดา้ นเศรษฐกิจสามารถจาํ แนกได้ ดงั น้ี 1. การผลติ เพ่ือการบริโภคภายในประเทศ 1.1 เกษตรกรรม อาชีพหลกั ของราษฎร คือ การทาํ นา ทาํ สวนและพืชไร่ ต้งั แต่สมยั ธนบุรีไดม้ ีการขยายพ้ืนที่ทาํ นา ในบริเวณชานพระนคร เช่น ทุ่งบางกะปิ สามเสน และบางกอก โดยทางราชการจะออกโฉนดตรา แดงให้แก่ราษฎร เพื่อใช้เป็ นหลกั ฐานแสดงกรรมสิทธ์ิการครอบครองท่ีดินเป็ นผลให้การทาํ นา ไดผ้ ลดีจนรัฐสามารถเก็บอากรค่านาถือเป็ นรายไดส้ ูงสุดในสมยั รัชกาลที่ 2 ทางการเรียกเก็บอากร คา่ นาเป็นขา้ วเปลือกไร่ละ 2 ถงั หรือเป็นเงินไร่ละสลึง นอกจากน้ีบางปี ยงั มีขา้ วเปลือกเหลือมากจน ทางการสามารถนาํ ไปจาํ หน่ายได้ ถึงสมยั รัชกาลที่ 3 ทางการไดเ้ รียกเกบ็ อากรฆา่ นาจากกลุ่มขนุ นาง ในสมยั รัตนโกสินทร์ยงั มีการทาํ สวนผลไมต้ ่างๆ เช่น มะม่วง มะพร้าว มะขาม ขนุน กลว้ ย ส้ม หมากพลูและทาํ ไร่ ในพ้ืนท่ีฝ่ังธนบุรีเช่นพริกไทยดาํ ฝ้ายถว่ั และออ้ ยซ่ึงเป็ นพืชเศรษฐกิจที่เริ่ม นาํ มาปลูกในสมยั รัชกาลที่ 2 บริเวณแขวงนครชยั ศรี ชลบุรี ฉะเชิงเทรา เพ่ือผลิตน้าํ ตาลทรายขาว จดั ส่งเป็นสินคา้ ออกมากข้ึนในสมยั รัชกาลที่ 3 1.2 หัตถกรรม ระยะน้ีคงมีการผลิตสินคา้ จาํ พวกเคร่ืองใชแ้ ละงานฝี มือในลกั ษณะของอุตสาหกรรมใน ครัวเรือนและอยูร่ วมกนั เป็ นหลกั แหล่งเช่น บา้ นช่างหล่อ (งานประติมากรรม) บา้ นบุ (งานลงหิน) บา้ นขมิ้น บางเชือกหนงั ทางฝั่งธนบุรี ทางฝ่ัง บางกอก มีบา้ นลาน (บางขุนพรหม) บา้ นบาตรบา้ น ดอกไม้ ( เพลิง) ยา่ นตี ทองส่วน เครื่องป้ันดินเผา จาํ พวกหมอ้ ไห ตุ่ม จะผลิตแถบปทุมธานีและ ล่องมาขายในพระนครบริเวณบา้ นหมอ้ และนางเลิ้ง 2. รายได้และเงนิ ตรา 2.1 รายได้ ในสมยั รัตนโกสินทร์ตอนตน้ รายไดข้ องแผน่ ดินมาจากการเก็บภาษีอากร ไดแ้ ก่ ( 1) จังกอบ หรือภาษีผา่ นด่าน ซ่ึงเก็บโดย ชกั ส่วนสินคา้ หรือเก็บตามขนาด ของยานพาหนะ เช่น คิดตาม ความกวา้ งของปากเรือ เรียกวา่ ภาษีปากเรือ (2) อากร เก็บจากราษฎร ท่ีประกอบอาชีพต่างๆ เช่น ทาํ นา ทาํ สวน ทาํ ไร่ การประมง (3) ฤชา หรือ คา่ ธรรมเนียม ในกิจการที่ราชการ เรียกเก็บจากราษฎร เช่น การออก โฉนด เงินค่าปรับไหม (4) ส่วย คือส่ิงของที่ไพร่จ่ายให้ราชการทดแทนการมารับราชการหรือจ่ายเป็ นตวั เงินแทนรวมท้งั เคร่ืองราชบรรณาการ ท่ีประเทศราชส่งใหร้ าชธานี
112 (5) ค่าผูกปี้ คือเงินค่าธรรมเนียมเรียกเก็บจากชาวจีน (ขาย) ที่มาประกอบอาชีพ ต่างๆในดินแดนไทย รายไดส้ ําคญั สมยั รัตนโกสินทร์ตอนตน้ คือ รายได้จากการคา้ ต่างประเทศ ซ่ึงส่วนใหญ่ เป็นการคา้ ผกู ขาดโดย พระคลงั สินคา้ ภาษีสินคา้ ขาเขา้ ภาษีสินคา้ ขาออก ภาษีปากเรือ และการแต่ง เรือสาํ เภาหลวงออกไปคา้ ขายกบั จีนและหวั เมืองต่างๆ ในสมยั รัชกาลท่ี 1 รายจากการเก็บภาษีอากร ไมพ่ อคา่ ใชจ้ ่าย ในสมยั รัชกาลท่ี 2 จึงไดจ้ ดั เก็บภาษีอากรนดั ใหม่เพ่ิมข้ึน เช่น งาชา้ ง รังนก ฝัง ดีบุก พริกไทย หลงั การทาํ สนธิสัญญา พาณิชยแ์ ละไมตรีกบั องั กฤษ และสหรัฐอเมริกาในสมยั รัชกาลท่ี 3 ทางการไดเ้ พิ่มภาษีอากรอีกหลายอยา่ ง เช่น หวย เกลือ น้าํ มนั มะพร้าว ฝ้าย น้าํ ตาลทราย ซ่ึงส่วน ใหญ่ เป็นการจดั เกบ็ ในระบบเจา้ ภาษีนายอากร ซ่ึงเป็นการประมูลผกู ขาดการเก็บภาษีสินคา้ ประเภท ต่างๆ ทาํ ใหท้ างการสามารถขจดั ยุ่งยากในการเก็บภาษี แต่ทาํ ให้เกิดความเดือดร้อน แก่ราษฎร เพราะเป็ นอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพ และสินคา้ มีราคาแพง อยา่ งไรก็ตามในสมยั รัชกาลที่ 2 และรัชกาล ท่ี 3ไดม้ ีการยกเลิกอากร บางอยา่ งท่ีเป็ นภยั ต่อราษฎรและขดั กบั หลกั พระพุทธศาสนา เช่น ภาษีฝิ่น อากร คา่ น้าํ และอากรฟองตนุ (ไขเ่ ต่า) 2.2 เงินตรา ระยะแรกยงั คงใช้เงินพดดว้ ง ซ่ึงเป็ นเงินตราของไทย ใช้มาต้งั แต่สมยั อยุธยา ทาํ จากแร่ เงินตราประทบั ตราประจาํ รัชกาล คือ รัชกาลที่ 1 เป็นตราตรีศูล กบั บวั อุณาโลม รัชกาลท่ี 2 ตราจกั ร กบั ครุฑ รัชกาลท่ี 3 ตราปราสาทกบั จกั ร รัชกาลที่ 4 ตรามงกุฎกับจกั ร สมยั น้ีเริ่มผลิตเหรียญ กษาปณ์ (เงินเหรียญ) ดา้ นหน่ึงเป็ นตรามหามงกุฎ อีกดา้ นเป็ นรูปจกั รกบั ตรีศูล ในสมยั รัชกาล ที่ 5 ประกาศเลิกใชเ้ งินพดดว้ งเป็นส่ือกลางในการคา้ ขายใน พ.ศ. 2447 3. ระบบเศรษฐกจิ ในสมัยปฏิรูปประเทศ สนธิสัญญาพาณิชยแ์ ละไมตรีกบั ชาติตะวนั ตกในสมยั รัชกาลที่ 4 ส่งผลกระทบต่อภาวะ เศรษฐกิจของไทย คือ ไทยตอ้ งยกเลิกการคา้ ผกู ขาด โดยกรมพระคลงั สินคา้ และการเก็บภาษีการคา้ ที่ซ้าํ ซอ้ น เปล่ียนเป็ นการเก็บภาษีขาเขา้ เพียงร้อยละ 3 ส่วนภาษีขาออกจะทาํ การตกลงเป็ นกรณีใน รัชกาลที่ 5 ทรงดาํ เนินพระราโชบายปฏิรูปดา้ นเศรษฐกิจ จดั ระเบียบการคลงั ให้เป็ นระบบเพ่ือความ สอดคลอ้ งกบั นโยบายหลกั ในการปฏิรูปประเทศสมยั รัชกาลท่ี 6 และรัชกาลที่ 7 เกิดปัญหาด้าน เศรษฐกิจเน่ืองจากรายจ่ายมากกว่ารายรับ และจากภาวะเศรษฐกิจตกต่าํ ทว่ั โลก รัชกาลที่ 7 ทรง พยายามแกไ้ ข ดว้ ยการตดั ทอนรายจา่ ย เช่น การดุลขา้ ราชการ ออกจากตาํ แหน่งเป็ นจาํ นวนมาก การ ยุบรวมหน่วยงานละกาํ หนดภาษีประเภทใหม่ การปฏิรูปเศรษฐกิจในสมยั น้ีจาํ แนกเป็ นดา้ นต่างๆ ดงั น้ี
113 3.1 การจัดระเบียบด้านการเงนิ การคลงั 3.1.1 นโยบายด้านการเงิน สมัยรัชกาลที่ 5 มีการปรับปรุ งระบบเงินตรา และผลิตเหรี ยญกษาปณ์ให้เป็ น มาตรฐานสากลรวมท้งั แกไ้ ขปัญหาเงินปลอม ทางการเร่ิมผลิตธนบตั ร ซ่ึงนิยมใชใ้ นรัชกาลต่อมา นอกจากน้ียงั ไดป้ ระกาศใชม้ าตรฐานทองคาํ และต้งั เงินทุนสาํ รองเพื่อรักษาอตั ราแลกเปลี่ยน ของ เงินบาทไทยการต้งั ธนาคาร ระยะแรกเป็ นสาขาของธนาคารต่างชาติ เช่น ธนาคารเอชเอสบีซี ((HSBC) ซ่ึงเป็ นธนาคารพาณิชยแ์ ห่งแรกในไทย ธนาคารแห่งแรกของไทย คือ บุคคลภั ย์ (Book club) ซ่ึงต่อมาไดข้ ยายกิจการเป็ นธนาคารชื่อแบงคส์ ยามกมั มาจล หรือธนาคารไทยพาณิชยใ์ น ปัจจุบนั ได้ส่งเสริมให้ราษฎรรู้โดยต้งั ธนาคารออมสิน รวมท้งั จดั ต้งั กิจการสหกรณ์แห่งแรก คือ สหกรณ์วดั จนั ทร์ไม่จาํ กดั สินใช้ ที่จงั หวดั พิษณุโลก 3.1.2 นโยบายด้านการคลงั การปฏิรูปทางเศรษฐกิจที่สําคญั อีกดา้ น คือ การวางมาตรฐานดา้ นการคลงั ใหเ้ ป็ นระบบ ขจัดความซ้ําซ้อนในด้านการดําเนินงาน ตลอดจนวางแนวทางการปฏิบตั ิท่ีเป็ นแบบเดียวกัน ทว่ั ประเทศ ไดแ้ ก่ การต้งั หอรัษฎากรพิพฒั น์ เป็ นหน่วยงานที่รวบรวมรายไดภ้ าษีอากรของแผน่ ดิน เร่งรัดการจดั เก็บภาษี และวางแผนการใช้จ่ายเงินมายกฐานะเป็ นกระทรวงพระคลงั มหาสมบตั ิ มีหนา้ ท่ีจดั ระเบียบควบคุม การรับจา่ ยของกระทรวงตา่ งๆ รายจ่ายที่เป็นเบ้ียหวดั เงินเดือนขา้ ราชการ และการทํานุบํารุ งประเทศรวมท้ังได้จัดต้ังหน่วยงานที่มีหน้าท่ีจัดเก็บภาษีอากร ได้แก่ กรมสรรพากรใน และกรมสรรพากรนอก มีหนา้ ท่ีในการ จดั เก็บภาษีอากรในกรุงเทพและหวั เมือง ต่างๆ กรมศุลกากรมีหนา้ ท่ี ในการเก็บภาษีสินคา้ ขาเขา้ ขาออก และภาษีอากรทว่ั ไป กรมทะเบียน ที่ดิน ทาํ หนา้ ที่จดั เก็บอากรท่ีดิน กรมสรรพสามิตทาํ หนา้ ที่จดั เกบ็ ภาษีสุรา 3.2 การเปลยี่ นแปลงลกั ษณะการผลติ การผลิตก่อนสนธิสัญญาเบาวร์ ่ิง ส่วนใหญ่เป็ นการผลิตเพื่อบริโภคในครอบครัว มีการ แลกเปล่ียนผลผลิตไม่มากนกั การผลิตในยคุ ปฏิรูป เริ่มเป็ นการผลิตเพื่อการส่งออก ส่วนใหญ่ยงั คง เป็ นผลิตผล ด้านการเกษตร และทรัพยากรธรรมชาติเพ่ือนําไปแปรรูปใช้ในอุตสาหกรรมข้นั พ้นื ฐานส่งผลใหม้ ีรายไดเ้ ขา้ ประเทศเพ่ิมข้ึน ทางการไดใ้ หก้ ารสนบั สนุนในประเด็นตา่ งๆดงั น้ี 3.2.1 การเพม่ิ ผลผลติ ด้านเกษตรกรรม ภายหลงั สนธิสัญญาเบาวร์ ิง สินคา้ ส่งออกท่ีสําคญั คือขา้ ว ซ่ึงเริ่มออกในสมยั รัชกาลท่ี 4 เม่ือขา้ วไทยจาํ หน่ายไดร้ าคาดี และรัชกาลที่ 5 ยกเลิกทาสและระบบไพร่ประชาชนจึงหนั มาทาํ นา เพือ่ การส่งออกกนั มากข้ึน ทาํ ใหม้ ีการบุกเบิกขยายพ้ืนท่ีเพราะปลูก โดยเฉพาะในภาคกลาง ท้งั การ สนบั สนุนใหห้ น่วยงานรัฐ และเอกชนขุดคลองใหม่และขุดลอกคลองเก่า สร้างประตูก้นั น้าํ เพ่ือเอ้ือ ประโยชนต์ อ่ การเพาะปลูก และการคมนาคม คลองผดุงกรุงเกษม คลองมหาสวสั ด์ิ คลองเจดียบ์ ูชา คลองภาษีเจริญ คลองรังสิต คลองเปรมประชากร คลองเชียงรากนอ้ ย จดั ต้งั กรมชลประทาน เพื่อ
114 ควบคุมการขุดคลอง การบาํ รุงรักษาคลอง การใช้น้าํ ของเกษตรกร ซ่ึงเป็ นผลทาํ ให้การคา้ ขา้ ว ขยายตวั เพ่มิ ข้ึน 3.2.2 การส่งเสริม ด้านอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมในยุคปฏิรูปส่วนใหญ่ เป็ นอุตสาหกรรมข้นั พ้ืนฐาน คือ การนาํ ทรัพยากร ในประเทศมาผลิตเพื่อส่งออก เจา้ ของกิจการส่วนใหญ่เป็ นชาวจีน เช่น โรงสีขา้ ว การส่งขา้ วเป็ น สินคา้ ส่งออก เป็ นผลใหเ้ กิดโรงสีขา้ วข้ึนเป็ นจาํ นวนมากในเขตพระนคร และใกลเ้ คียง โดยเฉพาะ จากคลองผดุงกรุงเกษมลงไปเนื่องจากใกลเ้ ขตท่าเรือคลองเตย โรงเล่ือยจกั ร สัมปทานการทาํ ไมอ้ ยู่ ในเขตภาคเหนือจึงมีการล่องซุงลงมา ตามลาํ น้าํ เจา้ พระยา เพ่ือบรรทุกข้ึนเรือท่ีท่าเรือคลองเตย ไม้ ซุงบางส่วนมีการแปรรูปเป็ นไมก้ ระดานโดยโรงเล่ือยจกั รจะต้งั อยบู่ ริเวณริมฝั่งแม่น้าํ เจา้ พระยาใน เขตกรุงเทพ โรงงานน้าํ ตาลทรายขาว อยใู่ นบริเวณที่เป็นแหล่งปลูกออ้ ย แถบนครชยั ศรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี อูต่ ่อเรือสมยั ใหม่ มีท้งั ของหลวงและของเอกชน เป็ นเรือกลไฟและเรือเหล็กจะอยูบ่ ริเวณริม ลาํ น้าํ เจา้ พระยาทางดา้ นใตเ้ หมืองแร่ ส่วนใหญ่เป็นเหมืองดีบุก บริเวณทางใต้ ซ่ึงทางราชการไดเ้ ห็น ความสาํ คญั ของกิจการเหมืองแร่ จึงต้งั กรมราชโลหกิจและภูมิพิทยาข้ึน โดยมีหนา้ ที่ในการควบคุม การทาํ เหมืองแร่ 4. การส่งเสริมด้านการค้าและพาณชิ ยกรรม รายไดจ้ ากการคา้ เป็ นรายไดห้ ลกั ของประเทศ ในช่วงสมยั น้ี ไทยกา้ วเขา้ สู่ยุคการปรับตวั ใหท้ นั สมยั จึงมีการส่ังสินคา้ เขา้ มากกวา่ ส่งออกเป็นผลใหไ้ ทยเริ่มเสียดุลการคา้ ส่วนนโยบายการคา้ ก็เปลี่ยนไปจากสมยั ก่อน โดยไทยได้ทาํ สนธิสัญญาการคา้ กบั ประเทศต่างๆ และมีการต้งั กงสุล ประจาํ ต่างประเทศเพื่อส่งเสริมการคา้ ระหว่างไทยประเทศ น้นั ๆ ท่าเรือสาํ คญั ของไทยท่ีส่งสินคา้ ไปจาํ หน่ายต่างประเทศคือ ท่าเรือคลองเตย ซ่ึงการส่งเสริมดา้ นการคา้ และพาณิชยกรรม สามารถ สรุปไดด้ งั น้ี 4.1 การค้าภายใน ตลาดและร้านคา้ จาํ หน่ายสินคา้ จะอยูต่ ามเส้นทางการคา้ ทางบกเป็ นส่วนใหญ่ เนื่องจาก การขยายพระนคร และการตดั ถนน การสร้างเส้นทางรถไฟ เพื่อความสะดวก ในการคมนาคม พอ่ คา้ ชาวจีนและชาติอ่ืนๆ ไดต้ ้งั ร้านคา้ ตามตึกแถว ริมถนนตดั ใหม่ ยา่ นการคา้ จึงกระจายไปทางบก แผนที่ตลาดน้าํ 4.2 การค้าภายนอก สมยั น้ีการคา้ ทางบกสําเภา กบั จีนซบเซาลง ส่วนการคา้ กบั ชาติตะวนั ตกรุ่งเรือง โดยมีการ นาํ สินคา้ ใหม่ และสินคา้ ฟ่ ุมเฟื อย จากยุโรปและเอเชีย เขา้ มาจาํ หน่าย เช่น เครื่องเรือน เคร่ืองแกว้ เคร่ืองถว้ ยชาม เคร่ืองประดบั เส้ือผา้ เคร่ืองจกั ร เครื่องมือ สุรา ยา รถ ทาํ ใหพ้ อ่ คา้ ชาวจีนบางส่วน ไดเ้ ปล่ียนไปเป็นตวั แทนจาํ หน่ายสินคา้ ยโุ รป พอ่ คา้ ชาวตะวนั ตก
115 4.3 การสร้างสาธารณูปโภค ในยุคปฏิรูปทางราชการยงั ไดส้ ร้างสาธารณูปโภคที่เพ่ือประโยชน์ ต่อการพฒั นาเศรษฐกิจ เช่น การตดั ถนน และสร้างสะพานในกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั ทรงพระ กรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ร้างถนน ตามวิทยาการของตะวนั ตก เป็ นทางสัญจรไดแ้ ก่ ถนนเจริญกรุง ถนนบาํ รุงเมืองและถนนเฟื่ องนคร ต่อมาในสมยั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั ได้มี การสร้างถนนเพิ่มข้ึนอีกหลายสายในเขตพระนคร เพ่ือให้การติดต่อคมนาคมทางบกทาํ ไดส้ ะดวก รวดเร็ว เช่น ถนนราชดาํ เนิน เยาวราช พาหุรัด สามเสน พญาไท นอกจากน้ี ยงั มีการสร้าง สะพาน ถาวรขา้ มคลองเช่ือมถนนตดั ใหม่ เช่น สะพานผา่ นพิภพลีลาวาด ผ่านฟ้าลีลาศ มฆั วานรังสรรค์ และสะพานชุด “เฉลิม” อีกหลายแห่งเป็ นผลใหเ้ ขตเมืองขยายออกไปทางท้งั ทางเหนือ ตะวนั ออก และทางใต้ ส่วนการติดต่อกบั หวั เมืองต่างๆ น้นั มีการสร้างทางรถไฟ ท้งั สายตะวนั ออกเฉียงเหนือ สายเหนือและสายใต้ โดยมีกรมรถไฟหลวง ควบคุมดูแลในการสร้างทางรถไฟ นอกจากน้ี ยงั มีการ ต้งั กรมไฟฟ้า และประปา ซ่ึงช่วยอาํ นวยประโยชน์แก่พ่อคา้ และประชาชนได้เป็ นอย่างดีส่วน หน่วยงานท่ีเพื่อประโยชน์ทางดา้ นเศรษฐกิจ เช่น กรมไปรษณียแ์ ละกรมโทรเลข ดูแลรับผิดชอบ ดา้ นการส่ือสารของประเทศ ทาํ ให้ การติดต่อคา้ ขายของตวั แทนบริษทั แม่ และยุโรปและเอเชีย สะดวกข้ึน อีกหน่วยหน่ึงคือกรมแผนที่ ซ่ึงดูแล รับผิดชอบในการระบุบริเวณป่ าไม้ เหมืองแร่และ การออกโฉนดที่ดิน 3. พฒั นาการด้านสังคม สภาพสงั คมไทยสมยั รัตนโกสินทร์ตอนตน้ ยงั คงมีโครงสร้างและวถิ ีการดาํ เนินชีวติ ทาํ นอง เดียวกันสมัยอยุธยา คือ เป็ นสังคมชนช้ันที่มีมูลนายเป็ นหัวหน้าควบคุมราษฎรตามลําดับ เพื่อประโยชน์ในการเรียกเกณฑ์แรงงานในการสร้างบา้ นเมืองและป้องกนั ขา้ ศึกในยามสงคราม โดยราษฎรทุกคนจะไดร้ ับการเรียกคุม้ ครองตามกฎหมาย และมีศกั ดินาเป็ นเครื่องกาํ หนดบทบาท สิทธิ หน้าท่ี และความรับผิดชอบแตกต่างกันไปตามฐานะในสังคม สังคมไทยเริ่มมีการ เปล่ียนแปลงขนบธรรมเนียมประเพณี และปรับปรุงบา้ นเมือง ในสมยั รัชกาลท่ี 4 เพื่อใหท้ นั สมยั ตามแบบตะวนั ตก ส่วนพระราโชบายของรัชกาลที่ 5 คือ การพฒั นาสังคมไทยไปพร้อมกบั การ ปฏิรูปประเทศ ซ่ึงยงั คงไดร้ ับการปรับปรุงในสมยั ตอ่ มา ส่งผลถึงวถิ ีชีวติ ในปัจจุบนั สังคมไทยสมยั รัตนโกสินทร์ตอนตน้ (รัชกาลท่ี 1- 3 พ.ศ. 2325 - 2394)สังคมไทยในสมยั รัตนโกสินทร์ตอนตน้ ยงั คงมีลกั ษณะเช่นเดียวกนั สังคมไทยสมยั อยุธยา และสมยั ธนบุรี เป็ นสังคม ศกั ดินา มีการแบง่ ชนช้นั ของคนในสงั คมแบง่ ออกเป็น 6 กลุ่ม 1. พระมหากษัตริย์ ทรงเป็ นประมุขสูงสุดของอาณาจกั รทรงเป็ นเสมือน \"เจา้ ชีวิต\" และ \"เจา้ แผน่ ดิน\" ของบรรดาผคู้ นและแผน่ ดินในสงั คมไทย
116 2. พระราชวงศ์ หมายถึง บรรดา \"เจา้ นาย\" ซ่ึงมีลกั ษณะเป็ นเครือญาติของพระมหากษตั ริย์ บางทีเรียกว่า \"พระบรมวงศานุวงศ์\" มี 2 ประเภท คือ สกุลยศ กับ อิสรยศสกุลยศ คือ เจ้าฟ้า พระองคเ์ จา้ และ หมอ่ มเจา้ อิสริยศ คือ กรมหม่ืน กรมขนุ กรมหลวง กรมพระ และกรมสมเด็จพระ 3. ขนุ นาง คือ กลุ่มบุคคลที่รับราชการแผน่ ดิน มีศกั ดินา ยศ ราชทินนาม และตาํ แหน่งเป็ น เครื่องช้ีบอกถึงอาํ นาจและเกียรติยศ ยศของขนุ นางมี 8 ลาํ ดบั ไดแ้ ก่ พนั หม่ืน ขนุ หลวงพระ พระยา เจา้ พระยา และสมเด็จเจา้ พระยา 4. พระสงฆ์ เป็ นกลุ่มบุคคลท่ีไดร้ ับความเคารพนบั ถือจากสังคมและคนทุกชนช้นั ไม่ถูก เกณฑแ์ รงงานเหมือนไพร่สามญั ชน และไม่มีศกั ดินาเหมือนชนช้นั อื่น ๆ 5. ไพร่ คือ ราษฎรสามญั ชนท่ีเป็ นชายฉกรรจ์ในสังกดั ของมูลนาย ไพร่มี 2 ประเภท คือ ไพร่หลวง คือ ไพร่ของพระมหากษตั ริยท์ ี่พระราชทานให้แก่กรมกองต่าง ๆ ถา้ ไพร่หลวงคนใดส่ง เงินหรือส่ิงของมาแทนการเขา้ เวรรับราชการจะเรียกวา่ \"ไพร่ส่วย\"ไพร่สม คือ ไพร่ในสังกดั ของมูล นาย (พระบรมวงศานุวงศ์ หรือ ขนุ นาง) 6. ทาส คือ กลุ่มคนที่มีฐานะต่าํ สุดในสงั คมไทย ไม่มีกรรมสิทธ์ิในชีวิตของตนเอง มีหนา้ ที่ รับใช้แรงงานให้นายโดยไม่ไดร้ ับค่าจา้ งตอบแทน นายเงินเจา้ ทาสจะลงโทษแต่ห้ามมิให้ถึงตาย ทาสมีศกั ดินาได้ 5ไร่ ทาสเพิ่มจาํ นวนข้ึนมากส่วนใหญ่เกิดจากการมีหน้ีสินจนตอ้ งขายตวั เอง หรือ บุตรภรรยาลงเป็นทาส เช่น ไดร้ ับอนุญาตจากนายเงินเจา้ นายของทาสให้บวชเป็ นพระสงฆ์ หรือตก เป็นภรรยาและลูกกบั เจา้ ของทาส 3.1 พฒั นาการด้านคุณภาพของราษฎร บา้ นเมืองและสังคมมีความเจริญรุ่งเรืองเพียงใด ตอ้ งพิจารณาจากองค์ประกอบสําคญั อีกดา้ นหน่ึงคือ คุณภาพของประชากร ในสมยั รัตนโกสินทร์พระมหากษตั ริยท์ ุกพระองคท์ รงมีพระ ราโชบายบําบัดทุกข์ บํารุ งสุขให้แก่ราษฎร รวมท้ังสนับสนุนให้ประชาชนทุกหมู่เหล่ามี ความสามารถในการดาํ รงชีพอยา่ งสุขสมบูรณ์ และช่วยพฒั นาบา้ นเมืองใหเ้ จริญรุ่งเรืองมีเสถียรภาพ มน่ั คง นโยบายสาํ คญั ของการพฒั นาคุณภาพของราษฎร ไดแ้ ก่ 3.1.1 การส่งเสริมการศึกษา การศึกษาของไทยแต่เดิมมกั จะอยู่ที่บา้ น วดั และวงั ผูท้ ่ีไดร้ ับการศึกษาส่วนใหญ่เป็ นกลุ่ม ชนช้นั สูง ส่วนสามญั ชนบิดามารดาจะนาํ บุตรชายไปฝากตวั กบั พระท่ีวดั เพื่อเรียนภาษาไทยและ การคาํ นวณเบ้ืองตน้ หลงั จากน้นั จึงเรียนวิชาชีพจากครอบครัว ส่วนเด็กหญิงไม่ค่อยได้มีโอกาส ศึกษาวชิ าหนงั สือไดแ้ ตฝ่ ึ กฝนวิชาแม่บา้ นแม่เรือนอยกู่ บั ครอบครัว หากมีโอกาสจึงจะไดเ้ ขา้ รับการ อบรมท้งั กิริยามารยาทและวชิ าสาํ หรับกุลสตรีในวงั การปรับปรุงประเทศใหเ้ จริญกา้ วหนา้ ทนั สมยั ตามแบบชาติตะวนั ตกน้นั รัฐบาลตอ้ งพฒั นา คนให้มีความรู้ความสามารถที่จะนาํ แนวคิดวิทยาการของชาติตะวนั ตกมาใช้ประโยชน์ให้เกิด
117 ประสิทธิผลราษฎรจาํ เป็ นตอ้ งได้รับการศึกษาท้งั ภาษาและวิทยาการแผนใหม่ที่เป็ นระบบ การ พฒั นาดา้ นการศึกษาจาํ แนกเป็นส่วนต่างๆ ดงั น้ี 1.) ต้ังโรงเรียนการศึกษาข้ันพื้นฐานแบบตะวันตก เร่ิมจากรัชกาลที่ 4 โปรดเกลา้ ฯ ใหม้ ี มิชชนั นารีหญิงมาสอนภาษาองั กฤษแก่พระราชโอรส พระราชธิดาและฝ่ ายใน พ.ศ. 2414 รัชกาล ที่ 5 โปรดเกลา้ ฯ ใหต้ ้งั โรงเรียนหลวงสอนวชิ าภาษาไทยและภาษาองั กฤษในวงั สาํ หรับเจา้ นายและ บุตรหลานขุนนาง เพราะทรงตระหนกั ถึงความจาํ เป็ นที่จะตอ้ งพฒั นาคนไทยให้มีความรู้ท้งั แบบ ไทยและวิทยาการตะวนั ตกจึงจาํ เป็ นต้องเรียนรู้ ภาษาองั กฤษเสียก่อนอน่ึง พระองค์ยงั ทรงมีพระ บ ร ม ร า โ ช บ า ย ท่ี จ ะ ใ ห้ ร า ษ ฎ ร มี ค ว า ม รู้ แ ล ะ สติปัญญาเฉลียวฉลาด สามารถใชว้ ชิ าความรู้ให้ เป็ นประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพและการใช้ ชีวิตในสังคม อนั จะเป็ นการพฒั นาคุณภาพของ ตน จึงทรงต้งั โรงเรียนลักษณะเดียวกันสําหรับ ราษฎรข้ึน รูปภาพสมเดจ็ พระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีพระบรมราชินีนาถ ได้ พระราชทานกาเนิดโรงเรียนราชินี เม่ือวนั ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2447 เป็ นโรงเรียนหลวงอาศยั สถานที่ของวดั ต่าง ๆ เริ่มจากวดั มหรรณพารามเม่ือ พ.ศ. 2427 หลงั จากน้นั ได้ ขยายไปตามวดั อ่ืน ๆ รวมท้งั ตามหวั เมืองต่าง ๆ นอกจาก โรงเรียนหลวงแลว้ ยงั มีโรงเรียนของพวกมิชชนั นารี โรงเรียนวชิราวธุ เป็นโรงเรียนที่พระบาทสมเดจ็ พระ โปรเตสแตนส์และบาทหลวงคาทอลิกซ่ึงเริ่มมาต้งั แต่ มงกฎุ เกล้าเจ้าอย่หู ัวทรงสร้ างขึน้ โดยทรงวางแนวการ สมยั รัชกาลท่ี 4 เช่นโรงเรียนอสั สมั ชญั กรุงเทพคริสเตียน จัดการศึกษาตามแบบฉบับโรงเรียนประจาของอังกฤษ เซนตค์ าเบรียล สําหรับการศึกษาของสตรีไทย ริเร่ิมโดยมิชชนั นารีอเมริกนั เช่น โรงเรียนแหม่มโคลด์ หรือโรงเรียนกุลสตรีวงั หลงั วฒั นาวิทยาลยั ใน พ.ศ. 2423 ซ่ึงรัชกาลที่ 5 ทรงสนบั สนุนให้ต้งั โรงเรียนสําหรับสตรี คือ โรงเรียนสุนันทาลยั เพ่ือเป็ นอนุสรณ์แก่สมเด็จพระนางเจา้ สุนนั ทากุมารี รัตน์แต่งต้งั ไดไ้ ม่นานก็เลิกล้มไป ต่อมาสมเด็จพระนางเจา้ เสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ โปรดเกล้า ฯ ให้ต้งั โรงเรียนสุนนั ทาลัยต้งั เป็ นโรงเรียนราชินี นอกจากน้ี ยงั ทรงสนับสนุนให้ จดั สร้างโรงเรียนสตรีตามจงั หวดั ต่าง ๆ ดว้ ย
118 อน่ึง ในรัชกาลท่ี 5 ยงั โปรดใหจ้ ดั ต้งั โรเรียนสําหรับเด็กชายโดยจดั หาครูชาวต่างประเทศ มาดาํ เนินการ เช่น โรงเรียนสวนกุหลาบ โรงเรียนราชวิทยาลยั และในสมยั รัชกาลท่ี 6 ทรงต้งั โรงเรียนวชิราวธุ วทิ ยาลยั 2.) ต้ังโรงเรียนฝึ กหัดคนเข้ารับราชการ รัชกาลท่ี 5 ทรงโปรดเกล้า ฯ ให้ต้งั โรงเรียน ในบริเวณพระตาํ หนักสวนกุหลาบ สําหรับฝึ กสอนทหารมหาดเล็ก เรียกว่า โรงเรียนมหาดเล็ก ต่อมาไดเ้ ปลี่ยนเป็นโรงเรียนขา้ ราชการพลเรือน และพฒั นาเป็ นจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ในรัชกาล ท่ี 6 นอกจากน้ี กรมกองต่าง ๆ ไดจ้ ดั ต้งั โรงเรียนเพ่ือผลิตบุคลากรเฉพาะทางเขา้ รับราชการใน หน่วยงานของตน เช่น โรงเรียนไปรษณียโ์ ทรเลข โรงเรียนแผนท่ี โรงเรียนกฎหมาย โรงเรียนราช แพทยาลยั โรงเรียนพยาบาลผดุงครรภ์ โรงเรียนฝึกหดั ครู โรงเรียนนายร้อย – นายเรือ โรงเรียนป่ าไม้ 3.) ต้ังกรมศึกษาธิการ ทาํ หน้าที่ดูแลเร่ืองการศึกษาท้งั จดั ทาํ หลกั สูตรแบบเรียนวดั ผล การศึกษา จดั หาและผลิตครูโดยไดร้ ับการยกฐานะข้ึนเป็ นกระทรวงเมื่อ พ.ศ. 2435 มีชื่อ เรียกว่า กระทรวงธรรมการ ต่อมาสมยั รัชกาลท่ี 6 ไดเ้ ปลี่ยนชื่อเป็ น กระทรวงศึกษาธิการ สมยั น้ีไดม้ ีการ ตราพระราชบญั ญตั ิเกี่ยวกบั การจดั การศึกษาไวห้ ลายฉบบั เช่น พระราชบญั ญตั ิโรงเรียนราษฎร์ พ.ศ. 2461 พระราชบญั ญตั ิประถมศึกษา พ.ศ. 2464 จดั กิจกรรมเสริมวชิ าการสําหรับนกั เรียน เช่น ลูกเสืออนุกาชาด และยงั ทรงเนน้ การศึกษาดา้ นวชิ าชีพและศิลปะต่าง ๆ ท่ีสาํ คญั คือ ขยายการศึกษา ข้นั อุดมศึกษา นอกจากน้ี รัชกาลที่ 5 ยงั ทรงริเริ่มส่งพระโอรสและเจา้ นายไปศึกษาวิชาการในยุโรป รวมท้งั พระราชทานทุนเล่าเรียนหลวง (King,sScholarship) แก่สามญั ชนให้โอกาสไปศึกษาใน ตา่ งประเทศ 3.2 การปรับปรุงด้านการแพทย์และสาธารณสุข เดิมการรักษาโรคภยั ไขเ้ จ็บของชาวไทย ใช้แพทยแ์ ผนไทย คือ สมุนไพร การนวด หรือ วิธีไสยศาสตร์ ถึงสมยั รัชกาลท่ี 3 มิชชั่นนารี อเมริกานาํ ความเจริญทางวิทยาการตะวนั ตกมาเผยแพร่การแพทย์แผนใหม่ริเริ่มเข้ามาแทนท่ี การแพทยแ์ ผนโบราณโดยเฉพาะในรัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราโชบายจะปรับปรุงการสาธารณสุข เพื่อใหร้ าษฎรมีสุขอนามยั ที่ดี โดยนาํ วิธีการของตะวนั มาเป็ นแบบอยา่ งในการปรับปรุงสภาพชีวิต ความสะดวกปลอดภยั จากโรคภยั ไขเ้ จบ็ ต่าง ๆ การพฒั นางานสาธารณสุขต้งั แต่รัชกาลที่ 5 ไดแ้ ก่ 3.2.1 การต้ังโรงพยาบาล โรงเรียนแพทย์ โอรถศาลา และสภากาชาด รัชกาลท่ี 5 ทรงมีพระราชประสงค์จะสร้างสถานรักษาพยาบาลแก่ราษฎรซ่ึงมีท้งั แบบ แพทยแ์ ผนไทยและแพทยแ์ ผนตะวนั ตก คณะกรรมการไดเ้ ลือกทาํ เลสร้างโรงพยาบาลท่ีบริเวณวงั หลงั โดยได้รับวสั ดุและเงินอุดหนุนจากงานพระเมรุสมเด็จพระเจา้ บรมวงศ์เธอ เจา้ ฟ้าศิริราช กกุธภณั ฑ์ ในพ.ศ. 2431 ซ่ึงได้รับพระราชทานนามว่า ศิริราชพยาบาล ต่อมาคณะกรรมการ
119 เห็นสมควรใหเ้ ปิ ดสอนวชิ าแพทยแ์ ผนตะวนั ตกควบคู่กบั แพทยแ์ ผนไทยข้ึนเพ่ือผลิตแพทยช์ าวไทย ใหช้ ่ือวา่ โรงเรียน ศิริราชแพทยากร ตอ่ มาเปล่ียนเป็น โรงเรียนราชแพทยาลยั โรงพยาบาล เป็นโรงพยาบาลที่ได้รับพระมหากรุณาธิคณุ จากพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอย่หู ัว สถาปนาขึน้ ใน พ.ศ. 2431 ต่อมามีการเปิ ดสอนวิชาแพทย์วิชาแพทย์ท่ีเรียกว่า โรงเรียนแพทยากร ปัจจุบันคือ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล โรงพยาบาลศิริราชไดข้ ยายการดาํ เนินงาน นอกเหนือจากการรักษาพยาบาล เช่น รับปลูก ฝีดาษป้องกนั โรคไขท้ รพษิ รัฐบาลไดต้ ้งั โรงพยาบาลเพมิ่ อีกหลายแห่ง ไดแ้ ก่ โรงพยาบาลคนเสีย จริตที่ปากคลองสาน โรงพยาบาลบูรพา โรงรักษาพยาบาลฝร่ังของหมอเฮาส์ โรงพยาบาลเทพศิริ นทร์ (โรงพยาบาลกลาง) นอกจากน้ี ยงั จดั ต้งั โอสถศาลาและสภาอุณาโลมแดง ซ่ึงเริ่มจากช่วงวกิ ฤตการณ์ ร.ศ.112 ผรู้ ิเร่ิมการก่อต้งั สภาอุณาโลมแดง คือ ท่านผหู้ ญิงเปล่ียน ภาสกรวงศ์ ภรรยาของเจา้ พระยาภาสกร วงศ์ เสนาบดีกระทรวงธรรมการ ปัจจุบนั คือ สภากาชาดไทย 3.2.2 การป้องกนั โรคระบาด ในสมยั รัชกาลที่ 2 เม่ือ พ.ศ. 2363 และในสมยั รัชกาลท่ี 3 เม่ือ พ.ศ.2392 เกิดอหิวาตกโรค ระบาดคร้ังใหญ่ผูค้ นลม้ ตายเป็ นจาํ นวนมาก รัชกาลท่ี 2 จึงโปรดให้ประกอบพระราชพิธีอาพาธ พินาศเพ่ือป้องกนั อหิวาตกโรค โดยใหย้ งิ ปื นใหญ่ขบั ไล่ความอปั มงคล และอญั เชิญพระพุทธมหา มณีรัตนปฏิมากรพร้อมดว้ ยพระบรมสารีริกธาตุออกแห่ไปทวั่ พระนคร นิมนตพ์ ระภิกษุประพรม น้าํ มนต์ไปตามทาง ให้ทุกคนหยุดงานรักษาศีล สวดมนต์ภาวนาอยู่ในแต่ในบ้าน จนที่สุดโรค กค็ อ่ ยๆ สงบลง รัชกาลท่ี 5 เกิดอหิวาตกโรคระบาดคร้ังใหญ่ใน พ.ศ. 2424 พระองคโ์ ปรดให้จดั การรักษาพยาบาลแบบตะวนั ตกแทน การทาํ พิธีทางศาสนา โดยพระองคเ์ จา้ องคเ์ จา้ สายสนิทวงศ์ อธิบดี กรมหมอ ได้ปรุงยาฝรั่งรักษาโรค รวมท้งั จดั หาน้าํ สะอาดมาด่ืม กิน อนั เป็นที่มาของโครงการจดั ทาํ น้าํ ประปาในระยะตอ่ มา หมอบรัดเลย์ เป็นมิชชันนารีชาวอเมริ กา
120 โรคระบาดร้ายแรงอีกโรคหน่ึง คือ กาฬโรครัชกาลที่ 5 ทรงว่าจ้างนายแพทย์ชาว ต่างประเทศใหม้ าบาํ บดั และหาวิธีป้องกนั เพื่อไม่ใหร้ าษฎรตอ้ งเสียชีวิต และพยายามกาํ จดั พาหนะ ของโรค คือ ขยะมูลฝอย หนู สร้างส้วม รวมท้งั รักษาความสะอาดบา้ นเรือน แมน่ ้าํ ลาํ คลอง ส่วนฝี ดาษหมอบรัดเลยไ์ ด้นาํ พนั ธ์หนองฝี ที่ชาติตะวนั ตกใช้ไดผ้ ลมาทดลองปลูกฝี ใน เมืองไทยต้งั แต่สมยั รัชกาลท่ี 3 และในสมยั รัชกาลท่ี 5 พยายามต้งั โรงผลิตหนองฝี ในเมืองไทย แต่ มาประสบผลสาํ เร็จในรัชกาลตอ่ มา 3.3.3 การต้ังกรมสุขาภบิ าล พ.ศ. 2440 รัชกาลที่ 5 โปรดเกลา้ ฯ ให้ตราพระราชกาํ หนดสุขาภิบาลกรุงเทพฯ ร.ศ. 116 ซ่ึงสุขาภิบาลมีหน้าท่ีในการขจดั บ่อเกิดของโรคระบาด เช่น กาํ จดั ขยะมูลฝอย จดั ส้วมสําหรับ ประชาชน ขนยา้ ยสิ่งโสโครก และควบคุมการสร้างบา้ นเรือน การสุขาภิบาลในหวั เมืองต่าง ๆ เร่ิมท่ี ตาํ บลท่าฉลอม จงั หวดั สมุทรสาคร ตามพระราชบญั ญตั ิจดั การสุขาภิบาลหวั เมือง ร.ศ. 127 รวมท้งั มี การประกาศและตรากฎหมายเกี่ยวกบั สุขาภิบาลอีกหลายฉบบั เช่น การทาํ ความสะอาดพระนคร การเผาศพตามวดั ต่าง ๆ ห้ามทิ้งซากสัตวล์ งในที่สาธารณะ ห้ามขีดเขียนตามกาํ แพง การทาํ ลาย ขยะมูลฝอยและพระราชบญั ญตั ิป้องกนั สัญจรโรค 3.3.4 การห้ามสูบฝ่ิ น พระมหากษัตริ ย์ในสมัยรัตนโกสินทร์ทรงห่วงใยในสุ ขภาพพลานามัยของอาณา ประชาราษฎร์ โดยมีพระราชาดาํ ริท่ีจะยกเลิกการบริโภคท่ีเป็ นพิษภยั ทาํ ใหร้ ่างกายเส่ือมโทรม และ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บา้ นเมือง เช่น ประกาศห้ามการสูบฝ่ิ นซ่ึงเป็ นสารเสพติดให้โทษ ท้งั ๆ ที่ส่งผลกระทบตอ่ รายไดท้ ี่ไดจ้ ากภาษีฝิ่ น แต่ก็ทรงคาํ นึงถึงประโยชน์สุขของราษฎรเหนือสิ่งอื่นใด ในสมยั รัชกาลที่ 3 ไดป้ ระกาศห้ามจาํ หน่ายฝิ่ น จนเกิดเหตุการณ์กบฏอ้งั ย่ีลุกลามในหัวเมือง ชายทะเลภาคตะวนั ออกและภาคกลางบางส่วน เนื่องจากชาวจีนเหล่าน้ีมีผลประโยชน์จากการ ลกั ลอบคา้ ฝ่ิ นแต่ที่สุดในรัชกาลที่ 4 จาํ ตอ้ งยอมผอ่ นผนั ตามขอ้ เรียกร้องขององั กฤษ อนุญาตให้ จาํ หน่ายฝ่ินไดอ้ ีก แต่ในรัชกาลที่ 5 พระองคท์ รงเห็นโทษท่ีรุนแรงจากการสูบฝ่ิ น รวมท้งั เกิดความเสียหาย ทางเศรษฐกิจของประเทศต่อการคุกคามแทรกแซงขององั กฤษ ดงั น้ัน รัฐบาลจึงตดั สินใจออก ประกาศหา้ มสูบฝิ่นและผสมฝ่ินเป็นยาตามพระราชบญั ญตั ิกาํ หนดโทษผูท้ าํ ฝ่ิ นเถ่ือนในท่ีสุดโรงฝิ่ น ในกรุงเทพฯ กส็ ามารถยกเลิกไปได้ 4. พฒั นาการด้านความสัมพนั ธ์ระหว่างประเทศ สาํ หรับลกั ษณะความสัมพนั ธ์ระหวา่ งประเทศของไทยในสมยั รัตนโกสินทร์สามารถแบ่ง ออกไดเ้ ป็นช่วงๆดงั น้ี 1. ความสัมพนั ธ์ระหว่างประเทศของไทยสมยั รัตนโกสินทร์ตอนต้น ( พ.ศ. 2325 – 2394 )
121 การดาํ เนินนโยบายต่างประเทศของไทยระหว่าง พ.ศ. 2325 – 2394 จะมุ่งเน้นไปที่การ รักษาความมน่ั คงของอาณาจกั ร และผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ โดยแบง่ เป็น 1.1 ลกั ษณะความสัมพนั ธ์กบั รัฐที่อยใู่ กลเ้ คียงในทวปี เอเชีย มีท้งั การขยายอิทธิพลเขา้ ไป ครอบครองเพ่อื เป็นพนั ธมิตร การทาํ สงคราม และแบบรัฐบรรณาการ 1.1.1 ความสัมพนั ธ์กบั ลา้ นนา ในสมยั รัชกาลท่ี 1 – รัชกาลที่ 3 เป็ นพนั ธมิตรท่ีดี ต่อกนั เช่น รัชกาลท่ี 1 ทรงส่งกองทพั ไปช่วยลา้ นนาขบั ไล่พม่า ท้งั ยงั ทรงสถาปนาพระยากาวิละที่ รบชนะพม่าใหเ้ ป็นพระเจา้ เชียงใหม่ โดยปกครองดูแลหวั เมืองเหนือท้งั หมด เป็นตน้ 1.1.2 ความสมั พนั ธ์กบั พมา่ อยใู่ นลกั ษณะทาํ สงครามสู้รบกนั โดยไทยทาํ สงคราม กบั พม่ารวมท้งั สิ้น 10 คร้ัง สงครามคร้ังที่มีความสาํ คญั ที่สุด คือ สงครามเกา้ ทพั ใน พ.ศ. 2328 แต่ เม่ือพมา่ เผชิญหนา้ กบั การคุกคามของลทั ธิจกั รวรรดินิยมตะวนั ตก คือ องั กฤษ ในเวลาต่อมาก็ไม่ได้ ยกทพั มาสู้รบกบั ไทยอีก 1.1.3 ความสัมพนั ธ์กบั หวั เมืองมอญ สมยั รัชกาลที่ 1 และรัชกาลท่ี 2 ความสมั พนั ธ์จะอยใู่ นลกั ษณะการผกู ไมตรีและอุปถมั ภพ์ วกมอญ เช่น ในสมยั รัชกาลที่ 1 ไดท้ รงส่ง กาํ ลงั ไปช่วยพระยาทวายรบกบั พม่าที่เขา้ มายึดครอง หลงั จากปิ ดลอ้ มเมืองอยูไ่ ดช้ ว่ั ระยะเวลาหน่ึง ก็โปรดเกลา้ ฯ ให้ยกทพั กลบั และพาครอบครัวชาวมอญมายงั กรุงเทพฯ ดว้ ย หรือรัชกาลที่ 2โปรด เกลา้ ฯ ใหช้ าวมอญไปต้งั ชุมชนอยทู่ ่ีเมืองนนทบุรี ปทุมธานี และเมืองนครเข่ือนขนั ธุ์ (พระประแดง) ผลดีจากความสัมพนั ธ์ดงั กล่าว นอกจากจะไดผ้ ูค้ นเพ่ิมข้ึนและความจงรักภกั ดีแลว้ ไทยยงั ไดร้ ับ อิทธิพลทางดา้ นวฒั นธรรมบางประการจากชาวมอญดว้ ย อยา่ งไรก็ดี ในสมยั รัชกาลท่ี 3 เมื่อเมือง มะริด ทวาย ตะนาวศรี ตกเป็นขององั กฤษ ไทยกไ็ มเ่ ขา้ ไปยงุ่ เก่ียวกบั หวั เมืองมอญอีก 1.1.4 ความสัมพันธ์กับเขมรอยู่ในลักษณะการทาํ สงครามเพื่อขยายอาํ นาจ เขา้ ครอบครอง เพราะไทยตอ้ งการใหเ้ ขมรเป็ นรัฐกนั ชนระหวา่ งไทยกบั ญวน โดยในสมยั รัชกาลที่ 1 ไดท้ รงแต่งต้งั กษตั ริยป์ กครองเขมร แต่ในสมยั รัชกาลที่ 2 เขมรไดเ้ อาใจออกห่างไทยโดยหันไป ฝักใฝ่ กบั ญวนแทน จนกระทง่ั ในสมยั รัชกาลท่ี 3 โปรดเกลา้ ฯ ให้ส่งกองทพั ไปขบั ไล่ญวนออกจาก เขมร แลว้ ใหต้ ีลงไปจนถึงไซ่ง่อน ในที่สุดไทยกบั ญวนก็ไดร้ ่วมกนั แกไ้ ขขอ้ พิพาทร่วมกนั โดยให้ เขมรส่งบรรณาการแก่ไทยและญวนอยา่ งเท่าเทียมกนั ปัญหาระหวา่ งไทยกบั ญวนเรื่องเขมรจึงยตุ ิลง 1.1.5 ความสัมพนั ธ์กบั ลา้ นชา้ ง (ลาว) มีท้งั การขยายอิทธิพลเขา้ ไปครอบครอง การผกู มิตรไมตรี และบางคร้ังก็ทาํ สงครามต่อกนั โดยในสมยั รัชกาลท่ี 1 ลา้ นชา้ งเกิดความแตกแยก ภายใน ทาํ ให้ไทยขยายอิทธิพลเขา้ ไปไดง้ ่ายข้ึนผสมผสานกบั การผูกมิตรไมตรีเพื่อให้เกิดความ จงรักภกั ดี คร้ันในสมยั รัชกาลที่ 3 เจา้ อนุวงศแ์ ห่งเวียงจนั ทน์ไดค้ ิดกบฏ ทางไทยจึงไดย้ กกองทพั ไปปราบ ลาวจึงตกเป็นประเทศราชของไทยเร่ือยมา จนกระทงั่ ตอ้ งเสียให้แก่ฝร่ังเศสไปในภายหลงั ต่อมา
122 1.1.6 ความสัมพนั ธ์กบั ญวน ส่วนใหญ่จะเป็ นการทาํ สงครามต่อกนั เพื่อแย่งชิง เขมร โดยที่ไม่มีฝ่ ายใดชนะเด็ดขาด ภายหลงั เม่ือญวนเกิดขอ้ พิพาทกบั ฝรั่งเศส จึงได้เปิ ดเจรจา กบั ไทย ทาํ ให้ยุติสงครามระหว่างกันได้ และหลังจากญวนได้ตกเป็ นอาณานิคมของฝร่ังเศส แลว้ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งไทยกบั ญวนก็ไดย้ ตุ ิลงอยา่ งเป็นทางการ 1.1.7 ความสัมพนั ธ์กบั หัวเมืองมลายู มีท้งั การขยายอิทธิพลเขา้ ไปครอบครอง การผูกมิตรไมตรี และบางคร้ังก็ทาํ สงครามต่อกนั โดยในสมยั รัชกาลท่ี 1– รัชกาลที่ 3 ไดม้ ีการก่อ กบฏหลายคร้ังในหัวเมืองมลายู แต่ไทยก็สามารถปราบไดท้ ุกคร้ัง หลงั จากน้นั ก็ดาํ เนินนโยบาย ลดอาํ นาจการปกครองของสุลต่านแต่ละเมืองให้น้อยลง พร้อมกนั น้ันก็ทาํ นุบาํ รุงหัวเมืองไทย ตอนบน เช่น สงขลา พทั ลุง พงั งา และตรังใหเ้ ขม้ แขง็ เพ่อื ปราบการก่อกบฏของหวั เมืองมลายู 1.1.8 ความสัมพนั ธ์กบั จีน เป็นไปในลกั ษณะแบบรัฐบรรณาการ ซ่ึงนอกจากไทย จะไดป้ ระโยชน์จากการคา้ ขายกบั จีนแลว้ ยงั ไดร้ ับอิทธิพลทางวฒั นธรรมจีนหลายประการดว้ ย 2. ลกั ษณะความสัมพนั ธ์กบั ชาติตะวนั ตก ในช่วงแรกจะเป็ นเร่ืองของการติดต่อคา้ ขาย ในช่วงหลงั จะเป็นดา้ นการเมือง พร้อมกบั การเผยแผศ่ าสนาของคณะมิชชนั นารี โดยชาติตะวนั ตกท่ี มีบทบาทสาํ คญั มีดงั น้ี 2.1.1 ความสัมพนั ธ์กบั โปรตุเกส โปรตุเกสเป็นชาติตะวนั ตกชาติแรกท่ีเดินทาง มาเจริญสมั พนั ธไมตรีกบั ไทย โดยจะเป็นเร่ืองการผกู ไมตรีทางการทูตและการติดตอ่ คา้ ขาย 2.2.2 ความสัมพนั ธ์กบั องั กฤษ ในช่วงแรกจะเป็ นความสัมพนั ธ์ทางการทูตและ การคา้ แต่ช่วงหลงั จะมีความสัมพนั ธ์ทางการเมืองดว้ ย โดยในสมยั รัชกาลที่ 2 องั กฤษไดส้ ่งจอห์น ครอวเ์ ฟิ ร์ด เป็ นทูตเขา้ มาเจริญสัมพนั ธไมตรีกบั ไทยเรื่องการคา้ แต่ไม่ประสบความสําเร็จ ต่อมา ในสมยั รัชกาลที่ 3 องั กฤษไดส้ ่งร้อยเอกเฮนรี เบอร์นีย์ เขา้ มาทาํ สนธิสัญญาทางพระราชไมตรีและ การพาณิชยก์ บั ไทยเมื่อ พ.ศ. 2369 ผลของสนธิสัญญา ทาํ ให้องั กฤษไดร้ ับผลประโยชน์ทางการคา้ เพราะไทยยอมเปล่ียนแปลงระบบจดั เก็บภาษีใหเ้ ป็ นการเก็บค่าปากเรืออยา่ งเดียวตามความตอ้ งการ ขององั กฤษ และในช่วงปลายสมยั รัชกาลท่ี 3 องั กฤษไดส้ ่งเซอร์เจมส์บรูค เขา้ มาแกไ้ ขสนธิสัญญา เบอร์นียก์ บั ไทย แตไ่ ม่ประสบความสาํ เร็จ 2.2.3 ความสัมพนั ธ์กบั สหรัฐอเมริกา จะเป็ นความสัมพนั ธ์ทางการค้าและ ความสัมพนั ธ์ทางดา้ นวฒั นธรรม โดยผา่ นคณะมิชชนั นารีท่ีเขา้ มาเผยแผค่ ริสตศ์ าสนา ชาวอเมริกนั เริ่มเขา้ มาคา้ ขายกบั ไทยในสมยั รัชกาลท่ี 2 และเพ่ิมมากข้ึนในสมยั รัชกาลที่ 3 ทาํ ให้ไทยไดร้ ับ อิทธิพลทางวฒั นธรรมดว้ ย เช่น การจดั ทาํ หนงั สือ เอกสาร หนงั สือพิมพ์ ความรู้ทางการแพทย์ สมยั ใหม่ เช่น การฉีดวคั ซีนป้องกนั อหิวาตกโรค การปลูกฝีป้องกนั ไขท้ รพิษ เป็นตน้ 2. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยสมัยปรับปรุงประเทศให้ทันสมัย (พ.ศ. 2394 - 2453 )
123 นบั ต้งั แต่สมยั รัชกาลที่ 4 จนถึงสิ้นสุดสงครามโลกคร้ังที่ 2 เป็ นช่วงที่ไทยตอ้ งเผชิญกบั ลทั ธิล่าอาณานิคมของมหาอาํ นาจตะวนั ตก ดงั น้นั ไทยจึงตอ้ งอาศยั ความสัมพนั ธ์ระหว่างประเทศ เพื่อรักษาเอกราชและอธิปไตยของชาติมิให้ตกเป็ นอาณานิคมของมหาอาํ นาจตะวนั ตก รวมท้งั เพอ่ื ใหไ้ ดผ้ ลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สาํ หรับลกั ษณะความสัมพนั ธ์มีอยหู่ ลายลกั ษณะ เช่น การยอม ประนีประนอม การผกู มิตรไมตรี การเผชิญหนา้ ทางการทหาร การยอมเสียสละประโยชน์บางส่วน เป็นตน้ โดยมีรายละเอียด ดงั น้ี 2.1 ลักษณะความสัมพนั ธ์ระหว่างประเทศในสมยั รัชกาลท่ี 4 อยู่ในลกั ษณะการยอม ประนีประนอมกบั ชาติยโุ รป โดยเฉพาะองั กฤษกบั ฝร่ังเศส 2.1.1 ความสัมพนั ธ์กบั องั กฤษ เมื่อองั กฤษส่งเซอร์จอห์น เบาวร์ ิง เป็ นทูตเขา้ มาเจรจา การคา้ กบั ไทยใน พ.ศ. 2398 จนท้งั สองฝ่ ายไดล้ งนามในสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีและการ พาณิชยร์ ่วมกนั ท่ีเรียกว่า “สนธิสัญญาเบาวร์ ิง” แมไ้ ทยจะรักษาเอกราชไว้ได้ รวมท้งั เศรษฐกิจ มีความเจริญรุ่งเรือง แตไ่ ทยกต็ อ้ งเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตใหก้ บั องั กฤษ 2.1.2 ความสัมพนั ธ์กบั ฝรั่งเศส ในสมยั รัชกาลที่ 4 ไทยตอ้ งยอมผอ่ นปรนกบั ฝร่ังเศส เก่ียวกบั เขมร เพื่อป้องกนั มิใหฝ้ ร่ังเศสใชป้ ัญหาเขมรเป็ นขอ้ อา้ งในการเขา้ มาโจมตีและยดึ ครอง ดินแดนไทย ในท่ีสุดไทยไดเ้ จรจากบั ฝรั่งเศส ทาํ ใหไ้ ทยตอ้ งเสียดินแดนเขมรส่วนในใหก้ บั ฝรั่งเศส และฝร่ังเศสยอมรับวา่ ไทยมีกรรมสิทธ์ิเหนือเมือง เสียมราฐและเมืองพระตะบอง 2.2 ลกั ษณะความสัมพนั ธ์ระหวา่ งประเทศในสมยั รัชกาลท่ี 5 มีอยูห่ ลายลกั ษณะเพ่ือรักษา เอกราชของชาติเอาไว้ เช่น การเผชิญหนา้ ทางการทหาร ดงั เช่น การทาํ สงครามป้องกนั อาณาเขตกบั ฝรั่งเศส จนเกิดกรณี ร.ศ. 112 การใช้วิธีถ่วงดุลอาํ นาจ ดงั เช่นรัชกาลท่ี 5 ทรงเจรจากบั องั กฤษ เพ่ือถ่วงดุลอาํ นาจกับฝร่ังเศส การผูกมิตรไมตรีกับชาติอื่นๆ ดังเช่น รัสเซีย รวมท้งั การสร้าง เกียรติภูมิใหเ้ ป็นที่รู้จกั และยอมรับจากนานาชาติ ดว้ ยการที่รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสยุโรปถึง 2 คร้ัง เป็ นตน้ 3. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยสมัยสงครามโลกคร้ังท่ี 1และสงครามโลกคร้ังที่ 2 สงครามโลกคร้ังท่ี 1 ซ่ึงเกิดข้ึนในทวีปยโุ รปเป็ นการสู้รบระหวา่ งฝ่ ายมหาอาํ นาจกลางกบั ฝ่ ายสมั พนั ธมิตร ช่วงแรกไทยวางตวั เป็นกลางแต่ภายหลงั ก็ไดเ้ ขา้ ร่วมกบั ฝ่ ายสัมพนั ธมิตร และเป็ น ฝ่ ายไดร้ ับชยั ชนะ ไทยไดเ้ รียกร้องกบั ชาติมหาอาํ นาจตะวนั ตกในการขอเจรจาแกไ้ ขสนธิสัญญา ในเรื่องการศาลและภาษีอาการท่ีเสียเปรียบ ซ่ึงก็ประสบความสาํ เร็จดว้ ยดีในช่วงสงครามโลกคร้ัง ที่ 2 ก็เช่นเดียวกนั ไทยไดด้ าํ เนินความสัมพนั ธ์ระหวา่ งประเทศหลายลกั ษณะแลว้ แต่สถานการณ์ บีบบังคบั เช่น การดาํ เนินนโยบายเป็ นกลาง การถ่วงดุลอาํ นาจ การผูกมิตรไมตรี การเจรจา ประนีประนอม การทาํ สงคราม เป็นตน้ โดยระยะแรก ไทยใชน้ โยบายวางตวั เป็ นกลาง แต่เมื่อญ่ีป่ ุน เปิ ดสงครามทางเอเชียบูรพาและขอยกพลข้ึนบกในประเทศไทยเพ่ือจะผา่ นไปโจมตีมลายู สิงคโปร์
124 พมา่ และจีน ซ่ึงเป็นอาณานิคมขององั กฤษ รัฐบาลไทยตอ้ งยอมใหญ้ ี่ป่ ุนยกกองทพั ผา่ นประเทศไทย ได้ และภายหลงั ไทยไดเ้ ขา้ ร่วมรบกบั ญ่ีป่ ุนดว้ ยการประกาศสงครามกบั สหรัฐอเมริกาและองั กฤษ โดยหวงั วา่ ญี่ป่ ุนจะช่วยเหลือใหไ้ ทยไดด้ ินแดนที่เคยเสียไปในสมยั รัชกาลท่ี 5 กลบั คืนมา จากการตดั สินใจของรัฐบาลไทยในขณะน้นั ไดท้ าํ ใหค้ นไทยท่ีรักชาติในหลายแห่งซ่ึงมิได้ เห็นพอ้ งกบั รัฐบาลไดร้ ่วมกนั จดั ต้งั ขบวนการเสรีไทยข้ึนมา เพ่ือปลดปล่อยประเทศไทยให้หลุดพน้ จากการครอบงําของญี่ป่ ุน แต่เมื่อญ่ีป่ ุนเป็ นฝ่ ายแพ้สงคราม รัฐบาลไทยได้พยายามสร้าง ความสมั พนั ธ์กบั ประเทศตา่ งๆ ในลกั ษณะของการประนีประนอมและการเจรจาต่อรองทางการทูต ซ่ึงทาํ ใหป้ ระเทศไทยสามารถรักษาเอกราชไวไ้ ดจ้ นถึงทุกวนั น้ี 4. ความสัมพนั ธ์ระหว่างประเทศของไทยสมัยสงครามเยน็ จนถึงปัจจุบนั ภายหลังสงครามโลกคร้ังที่ 2 สิ้นสุดลง โลกได้ตกอยู่ในสภาวะสงครามเย็น ซ่ึงเป็ น สงครามอุดมการณ์ทางการเมืองและการปกครองระหวา่ งกลุ่มประเทศในโลกเสรีประชาธิปไตย และกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์ ซ่ึงต่างฝ่ ายก็แข่งขนั กนั ขยายอิทธิพลไปยงั ทวปี ต่างๆ ดงั น้นั ลกั ษณะ ความสัมพนั ธ์ระหว่างประเทศของไทยในช่วงน้ี จึงใช้การผูกมิตรไมตรีกบั ประเทศโลกเสรีต่างๆ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ขณะเดียวกนั ก็ต่อตา้ นคอมมิวนิสต์อยา่ งเปิ ดเผย โดยเฉพาะกบั สหภาพ โซเวียต สาธารณรัฐประชาชนจีน และเวียดนาม ดังเช่น การส่งทหารไทยไปเข้าร่วมรบกับ สหรัฐอเมริกาและพนั ธมิตรในสงครามเวียดนาม แต่ต่อมาเมื่อสหรัฐอเมริกาหวนกลบั ไปสร้าง ความสัมพนั ธ์อนั ดีกบั สาธารณรัฐประชาชนจีน ดงั น้นั ไทยจึงไดเ้ ปล่ียนแปลงลกั ษณะความสัมพนั ธ์ ระหวา่ งประเทศเสียใหม่ ดว้ ยการผกู มิตรไมตรีกบั ประเทศคอมมิวนิสต์ เช่น การที่ไทยให้การับรอง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนแทนสาธารณรัฐจีน (ไต้หวนั ) หรือให้การรับรองรัฐบาล คอมมิวนิสต์เขมรแดงของนายเขียว สัมพัน ท่ีเข้ายึดกรุ งพนมเปญใน พ.ศ. 2518 เป็ นต้น ขณะเดียวกนั กอ็ าศยั พ่ึงพาสหรัฐอเมริกาท้งั ทางดา้ นการทหาร เศรษฐกิจ และวทิ ยาการเทคโนโลยี จนกระทงั่ สิ้นสุดสงครามเยน็ ไทยไดม้ ุ่งพฒั นาประเทศดว้ ยการร่วมมือกบั ประเทศเพ่ือน บา้ นและนานาประเทศ ท้งั ในดา้ นการเมือง เศรษฐกิจ และวฒั นธรรม ดงั เช่น ไทยไดร้ ่วมกบั สมาชิก กลุ่มอาเซียนทาํ ขอ้ ตกลงเร่ืองการจดั ต้งั เขตการคา้ เสรีอาเซียนหรืออาฟตา (Asian Free Trade Area – AFTA) เพ่ือส่งเสริมการคา้ ระหวา่ งกนั ในกลุ่มเม่ือ พ.ศ. 2535 และใน พ.ศ. 2537 ไทยไดเ้ ขา้ เป็ น สมาชิกขององคก์ ารการคา้ โลก (World Trade Organization – WTO) รวมท้งั มีส่วนร่วมในการรักษา สันติภาพในติมอร์ตะวนั ออกและอิรักในนามขององคก์ ารสหประชาชาติร่วมกบั ประเทศสมาชิก อ่ืนๆ ดว้ ย เป็นตน้
125 กจิ กรรมท้ายเรื่อง ใหน้ กั ศึกษาตอบคาํ ถามต่อไปน้ีใหถ้ ูกตอ้ ง 1. การจดั ระเบียบการปกครองของชาวไทยในสมยั รัตนโกสินทร์ตอนตน้ มีลกั ษณะอยา่ งไร ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. พระมหากษตั ริยไ์ ทยในราชวงศจ์ กั รีไดเ้ สริมสร้างความเจริญมนั่ คงของชาติอยา่ งไร ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ภายหลงั จากการทาํ สินธิสัญญาเบาวร์ ิงไดส้ ่งผลตอ่ เศรษฐกิจอยา่ งไร ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................
126 บทบาทของพระมหากษตั ริย์ไทยในราชวงศ์จักรี รัชกาลท่ี 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระราชประวตั ิ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (20 มีนาคม พ.ศ. 2279 - 7 กนั ยายน พ.ศ. 2352) เป็ นพระมหากษตั ริย์ ไทยพระองคแ์ รกในราชวงศจ์ กั รี เป็ นบุตรของ พระอกั ษรสุนทร (ทองดี) ขา้ ราชการกรมอาลกั ษณ์ สืบเช้ือสายมาจากเจา้ พระยา โกษาธิบดี(ปาน) เสนาบดีกรมพระคลงั ในสมยั พระบาทสมเด็จ พระนารายณ์มหาราช พระราชชนนีมีพระนามวา่ ท่านหยก หรือ ดาวเรือง เป็ นธิดาเศรษฐี เสด็จพระราชสมภพเม่ือวนั พุธ เดือน 4 แรม 5 ค่าํ ปี มะโรงอฐั ศก เวลา 3 ยาม ตรงกบั วนั ท่ี 20 มีนาคม พ.ศ. 2279 มีพระนามเดิมวา่ ด้วง หรือ ทอง พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ดว้ ง ปราบดาภิเษกเป็นปฐมกษตั ริยแ์ ห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวนั ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 ในรัชสมยั พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั บรมโกศขณะมีพระชนมายไุ ด้ 46 พรรษา และทรงยา้ ยราชธานีจากฝั่ง ธนบุรีมาอยูฝ่ ่ังพระนคร และโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ร้างพระบรมมหาราชวงั เป็ นท่ีประทบั มีพระเชษฐา พระเชษฐภคินี และพระอนุชาธิราช รวมท้งั หมด 5 คน คือ 1. พระเชษฐภคินี ช่ือ “สา” (ต่อมาไดร้ ับสถาปนาเป็ นพระเจา้ พี่นางเธอกรมสมเด็จพระเทพ สุดาวดี) 2. พระเชษฐา ชื่อ “ขนุ รามนรงค”์ (ถึงแก่กรรมก่อนที่จะเสียกรุงศรีอยธุ ยาแก่พม่าคร้ังท่ี 2) 3. พระเชษฐภคินี ช่ือ “แกว้ ” (ต่อมาไดร้ ับสถาปนาเป็ นพระเจา้ พ่ีนางเธอกรมสมเด็จพระศรี สุดารักษ)์ 4. พระนามเดิมพระองคช์ ื่อ “ดว้ ง” (พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) 5. พระอนุชาธิราช ชายช่ือ “บุญมา” (ต่อมาไดร้ ับสถาปนาเป็ นกรมพระราชวงั บวรมหา สุรสิงหนาท สมเด็จพระอนุชาธิราช) พระราชกรณยี กจิ ทสี่ าคญั พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงสถาปนากรุงเทพมหานคร(หรือกรุง รัตนโกสินทร์) เป็ นราชธานี คาํ วา่ \"กรุงเทพมหานคร\" แปลวา่ \"พระนครอนั กวา้ งใหญ่ดุจเทพนคร\" ชื่อเต็มว่า “กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรี รมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพมิ านอวตารสถิต สักกะทตั ติยวษิ ณุกรรมประสิทธ์ิ” และทรง สถาปนาราชวงศจ์ กั รีปกครองราชอาณาจกั รไทยเมื่อวนั ท่ี 6 เมษายน พ.ศ. 2325 (วนั จกั รี)ภายหลงั
127 การเสด็จเสวยราชยแ์ ลว้ พระองคท์ รงมีพระราชกรณียกิจท่ีสาํ คญั ยงิ่ คือ การป้องกนั ราชอาณาจกั ร ใหป้ ลอดภยั และทรงฟ้ื นฟูวฒั นธรรมไทยอนั เป็ นมรดกตกทอดมาต้งั แต่สมยั สุโขทยั และอยธุ ยา การ ที่ไทยสามารถปกป้องการรุกรานของขา้ ศึกจนประสบชยั ชนะทุกคร้ัง แสดงใหเ้ ห็นถึงความเขม้ แขง็ ของพระองคใ์ นการบญั ชาการรบอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ สงครามกบั พม่าใน พ.ศ. 2328 ที่เรียกวา่ \"สงครามเกา้ ทพั \" นอกจากน้ีพระองคย์ งั พบวา่ กฎหมายบางฉบบั ที่ใชม้ าต้งั แต่สมยั อยธุ ยาไม่มีความยุติธรรม จึงโปรดเกลา้ โปรดกระหม่อมให้มีการตรวจสอบกฎหมายท่ีมีอยทู่ ้งั หมด เสร็จแลว้ ใหเ้ ขียนเป็นฉบบั หลวง 3 ฉบบั ประทบั ตราราชสีห์ คชสีห์ และบวั แกว้ ไวท้ ุกฉบบั เรียกวา่ \"กฎหมายตราสามดวง\" สําหรับใชเ้ ป็ นหลกั ในการปกครองบา้ นเมืองพระบาทสมเด็จพระพุทธยอด ฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จสวรรคต เม่ือวนั ท่ี 7 กนั ยายน พ.ศ. 2352 ขณะมีพระชนมพรรษา 72 พรรษา รัชกาลที่ 2 พระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลิศหล้านภาลยั พระราชประวตั ิ พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ พุ ท ธ เ ลิ ศ ห ล้ า น ภ า ลั ย (24 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2310 - 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367 ครองราชย์ 7 กนั ยายน พ.ศ. 2352 - 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367) พระมหากษตั ริย์ ไทยพระองค์ที่ 2 ในราชวงศ์จกั รี มีพระนามเดิมวา่ ฉิม (สมเด็จ พระเจา้ ลูกยาเธอเจา้ ฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร) พระราชสมภพเมื่อ วนั ที่ 24 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2310 เป็ นพระราชโอรสพระองคท์ ่ี 4 ใน พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและสมเด็จพระ อมรินทราบรมราชินี เมื่อสมเด็จพระราชบิดา ทรงปราบดาภิเษก พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหล้านภาลยั เป็ นปฐมกษตั ริยใ์ นราชวงศ์จกั รี ทรงไดร้ ับการสถาปนาเป็ น เจา้ ฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรเสวยราชสมบตั ิเมื่อปี มะเส็ง ปี พ.ศ. 2352 - 2367 ขณะมีพระชนมายไุ ด้ 42 พรรษา หลงั พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จสรรคต เจา้ ฟ้าอิศรสุนทรไดส้ ืบ ทอดบลั ลงั คใ์ นทนั ทีพร้อมดว้ ยพระนามชวั่ คราววา่ สมเด็จพระเจ้าอย่หู ัว กรมพระราชวงั บวร
128 พระราชกรณยี กจิ ทสี่ าคัญ พระราชกรณยี กจิ ด้านความมน่ั คง พระองคท์ รงโปรดเกลา้ ฯ ให้ครัวมอญที่อพยพเขา้ มาในราชอาณาจกั รไปต้งั ภูมิลาํ เนาอยู่ท่ี แขวงเมืองปทุมธานี เมืองนนทบุรี และเมืองนครเขื่อนขนั ธ์ นับว่าเป็ นประโยชน์ของชาติไทย นอกจากน้ีทรงโปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ กณฑไ์ พร่มารับราชการ 1 เดือน และลาพกั อยูก่ บั ครอบครัว 3 เดือน ทาํ ให้ไพร่มีเวลาอยู่กบั ครอบครัวมากข้ึน รวมถึงมีการตรากฎหมายห้ามมิให้สูบและซ้ือขายฝ่ิ น โดยกาํ หนดบทลงโทษอยา่ งหนกั พระราชกรณียกจิ ด้านศิลปวัฒนธรรม ในดา้ นการทาํ นุบาํ รุงศิลปวฒั นธรรมของชาติพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลา้ นภาลยั ทรง มีพระอจั ฉริยภาพในงานศิลปะหลายสาขา ท้งั ทางดา้ นประติมากรรม ดา้ นการดนตรี แต่ที่โดด เด่น ที่สุดเห็นจะเป็ นในด้านวรรณคดี จนอาจเรียกได้ว่ายุคนี้เป็ นยุคทองของวรรณคดีไทยสมัยกรุง รัตนโกสินทร์ ละครรํารุ่งเรืองถึงขีดสุด ด้วยพระองค์ทรงเป็ นกวีเอก และทรงพระราชนิพนธ์ วรรณคดีไวห้ ลายเล่มดว้ ยกนั เช่น รามเกียรต์ิตอนลกั สีดา วานรถวายพล พิเภกสวามิภกั ด์ิ สีดาลุยไฟ นอกจากน้ียงั มีพระราชนิพนธ์เรื่องอิเหนาที่ไดร้ ับการยกยอ่ งจากวรรณคดีสโมสรในสมยั รัชกาลที่ 6 วา่ เป็นยอดกลอนบทละครรํา ส่วนบทละครนอก พระ บาทสมเด็จพระพุทธเลิศ หล้านภาลัยทรงพระราชนิพนธ์ข้ึนมา 5 เรื่ องด้วยกัน ได้แก่ ไ ชย เชษ ฐ์ สังข์ทอง ม ณี พิชัย ไกรทอ ง แล ะ คาวี พระองคย์ งั ไดท้ รงพระราชนิพนธ์บทเห่เรือ เรื่องกาพยเ์ ห่ ชมเครื่องคาว หวาน ซ่ึงมีความไพเราะและแปลกใหม่ไม่ซ้ํา แบบกวที า่ นใด เน้ือเร่ืองแบ่งออกเป็ น 5 ตอน คือ เห่ชมเคร่ือง คาว เห่ชมผลไม้ เห่ชมเครื่องคาวหวาน เห่ครวญเขา้ กบั นกั ขตั ฤกษ์ และบทเจา้ เซ็น ซ่ึงบทเห่น้ีเขา้ ใจกนั วา่ เป็ นการชมฝี พระ หตั ถ์ในดา้ นการทาํ อาหารของสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรม ราชินีน่ันเอง นอกจากพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า สังข์ทอง หหนึ่งในวรรณคดีที่รัชกาลที่ 2 นภาลยั ที่ทรงเป็ นยอดกวีเอกแลว้ ในยุคสมยั น้ียงั มียอดกวีที่มี ทรงพระราชนิพนธ์ ชื่อเสี ยงอีกลายคน เช่น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรม พระปรมานุชิตชิโนรส, สมเด็จพระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร, นายนริทร์ธิเบศ,และ สุนทรภู่ เป็นตน้
129 รัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หวั พระราชประวตั ิ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (31 มีนาคม พ.ศ. 2330 - 2 เมษายน พ.ศ. 2394) เป็ นพระมหากษตั ริยไ์ ทย รัชกาลที่ 3 แห่งราชวงศจ์ กั รีเป็ นพระราชโอรสพระองคใ์ หญ่ในพระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย และพระองค์แรกที่ประสูติในเจ้าจอม มารดาเรียม (ภายหลงั ได้รับสถาปนา เป็ นสมเด็จพระศรีสุลาไลย) ทรงมีพระนามเดิมวา่ ทบั เสด็จพระราชสมภพเม่ือวนั จนั ทร์ท่ี 31 พระบาทสมเดจ็ พระน่ังเกล้าเจ้าอย่หู ัว มีนาคม พ.ศ. 2330 เสวยราชสมบตั ิเมื่อวนั อาทิตยเ์ ดือน 9 ข้ึน 7 ค่าํ ปี วอก ซ่ึงตรงกบั วนั ท่ี 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367 สิริดาํ รงราชสมบตั ิได้ 27 ปี ทรงมีเจา้ จอมมารดาและเจา้ จอม 5 คน มีพระราชโอรสธิดาท้งั สิ้น 51 พระองค์ เสด็จสวรรคต เมื่อวนั พุธท่ี 2 เมษายน พ.ศ. 2394 สิริพระชนมายุ 64 พรรษา พระราชกรณียกจิ ทสี่ าคญั พระบาทสมเด็จพระนงั่ เกลา้ เจา้ อยูห่ ัว เสด็จข้ึนครองราชยเ์ มื่อ พ.ศ. 2367 พระราชกรณียกิจ ของพระองคท์ ี่ทรงมีตอ่ บา้ นเมืองลว้ นมีประโยชนน์ านปั การ โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งดา้ นความมนั่ คงของ ราชอาณาจกั ร ด้านความเจริญรุ่งเรืองทางด้านการค้าระหว่างประเทศ และความเจริญรุ่งเรือง ทางดา้ นศิลปกรรม ด้านความมนั่ คง พ ร ะ อ ง ค์ไ ด้ท ร ง ป้ อ ง กัน ร า ช อ า ณ า จัก ร ด้ว ย ก า ร ส่ ง ก อ ง ทัพ ไ ป ส กัด ทัพ ข อ ง เ จ้า อนุ ว ง ศ์ แห่งเวยี งจนั ทน์ ไม่ใหย้ กทพั เขา้ มาถึงชานพระนครและขดั ขวางไม่ให้เวยี งจนั ทน์เขา้ ครอบครองหวั เมืองอีสานของสยาม นอกจากน้ี พระองคท์ รงประสบความสาํ เร็จในการทาํ ใหส้ ยามกบั ญวนยตุ ิการ สู้รบระหวา่ งกนั เกี่ยวกบั เร่ืองเขมรโดยที่สยามไม่ไดเ้ สียเปรียบญวนแต่อยา่ งใด ด้านการค้าระหว่างต่างประเทศ พระองค์ทรงสนับสนุนส่งเสริมการค้าขายกับต่างประเทศ ท้ังกับชาวเอเชียและชาว ยโุ รป โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ การคา้ กบั จีนมาต้งั แต่เม่ือคร้ังพระองคท์ รงดาํ รงพระอิสสริยศเป็ นกรมหม่ืน เจษฎาบดินทร์ ส่งผลให้พระคลังสินคา้ มีรายไดเ้ พิ่มมากข้ึน นอกจากน้ี มีการแต่งสําเภาท้งั ของ ราชการ เจา้ นาย ขุนนางช้นั ผูใ้ หญ่ และพ่อคา้ ชาวจีนไปคา้ ขายยงั เมืองจีนและประเทศใกล้เคียง รวมถึงการเปิ ดค้าขายกับมหาอํานาจจะวันตกจนมีการลงนามในสนธิสัญญาระหว่างกัน คือ สนธิสญั ญาเบอร์นี พ.ศ. 2369 และ 6 ปี ต่อมาก็ไดเ้ ปิ ดสัมพนั ธไมตรีกบั สหรัฐอเมริกาและมีการ
130 ทาํ สนธิสัญญาต่อกนั ใน พ.ศ. 2375 นบั เป็ นสนธิสัญญาฉบบั แรกที่สหรัฐอเมริกาทาํ กบั ประเทศทาง ตะวนั ออก ส่งผลใหไ้ ทยไดผ้ ลประโยชนท์ างเศรษฐกิจอยา่ งมาก ด้านศิลปกรรม พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกลา้ ฯ ใหบ้ ูรณปฏิสังขรณ์พระปรางคว์ ดั อรุณราชวรารามจนแลว้ เสร็จ และทรงมีรับส่ัง ให้สร้ างเรื อสําเภาก่อด้วยอิฐในวัดยาน นาวา เพื่อให้ประชาชนได้รู้ว่าเรือสําเภาน้ันมี รูปร่างลักษณะอย่างไร เพราะทรงเล็งเห็นว่า ภายหนา้ จะไม่มีการสร้างเรือสาํ เภาอีกแลว้ เรื อสาเภาจีนที่วัดยานนาวา สําหรับวรรณกรรม พระองคโ์ ปรดเกลา้ ฯ ให้นกั ปราชญร์ าชบณั ฑิตจารึกวรรณคดีท่ีสาํ คญั ๆ และวิชาแพทยแ์ ผนโบราณลงบนแผน่ ศิลา แลว้ ติดไวต้ ามศาลารายรอบพระอุโบสถ รอบพระมหา เจดียบ์ ริเวณวดั พระเชตุพนวมิ ลมงั คลาราม เพ่อื ใหป้ ระชาชนไดศ้ ึกษาหาความรู้ รัชกาลที่ 4 พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชประวตั ิ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (18 ตุลาคม พ.ศ. 2347 - 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411) พระมหากษตั ริยไ์ ทยพระองค์ท่ี 4 แห่งราชวงศจ์ กั รี มีพระนามเดิมวา่ \"เจา้ ฟ้ามงกุฎ สมมติเทวาวงศ์ พงษอ์ ิศรกษตั ริย\"์ เป็ นพระราชโอรสองคท์ ่ี 43 และเป็ นลาํ ดบั ท่ี 2 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลา้ นภาลยั และสมเด็จพระศรีสุ ริเยนทราบรมราชินีเสด็จพระราชสมภพในวนั พฤหัสบดี ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2347 ทรงมีพระอนุชาร่วมพระมารดา คือ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอย่หู ัว พระบาทสมเด็จพระปิ่ นเกลา้ เจา้ อยู่หวั เมื่อพระชนมายุครบ 20 พรรษา ไดอ้ อกผนวชมีฉายาว่า วชิรญาณเถระ พระองค์เสด็จสวรรคต เม่ือวนั พฤหัสบดี ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 รวมพระชนมพรรษา 64 พรรษา วดั ประจาํ รัชกาล คือ วดั ราชประดิษฐสถิตมหา สีมารามราชวรวหิ าร พระราชกรณียกจิ ทสี่ าคญั พระราชกรณียกจิ ด้านวรรณคดพี ุทธศาสนา พระองค์ทรงเอาพระทยั ใส่ทาํ นุบาํ รุงเป็ นอย่างดี พระราชนิพนธ์ส่วนใหญ่เป็ นประเภทร้อย แกว้ บทพระราชนิพนธ์ที่สําคญั ไดแ้ ก่ชุมนุมพระบรมราโชบาย 4 หมวด คือ หมวดวรรณคดี
131 โบราณคดี ธรรมคดี และตาํ ราตาํ นานเรื่อง พระแกว้ มรกต เรื่องปฐมวงศท์ รงริเริ่มให้มีการคน้ ควา้ ศิลาจารึกในประเทศไทยข้ึนเป็นคร้ังแรก คือ จารึกหลกั ท่ี 1 ของพอ่ ขนุ รามคาํ แหงและจารึกหลกั ท่ี 4 ของพระยาลิไทย พระราชกรณยี กจิ ด้านพระพทุ ธศาสนา พระองคท์ รงฟ้ื นฟูพระพุทธศาสนาใหร้ ุ่งเรือง โดยทรงต้งั ธรรมยตุ ติกาวงศข์ ้ึน เป็ นนิกายใหม่ ในพระพุทธศาสนา ท่ีมีความเคร่งครัดในพระธรรมวนิ ยั และระเบียบแบบแผนดา้ นพระพุทธศาสนา พระองค์ไดก้ าํ หนดให้มีการทาํ บุญวนั วิสาขบูชาข้ึนในวนั เพญ็ เดือน 6 ดว้ ยเป็ นวนั สําคญั ทาง พระพุทธศาสนาจดั ใหม้ ีการเวยี นเทียนรอบพระอุโบสถ แสดงธรรมเทศนา และทรงพระราชนิพนธ์ คาถาไวส้ าํ หรับสวดในพิธีน้ีดว้ ย และไดท้ รงกาํ หนดวนั มาฆบูชาข้ึนมาอีกวนั ในวนั เพญ็ เดือน 3 ที่ กาํ หนดว่าด้วยเป็ นวนั ท่ีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา้ ได้ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ในที่ประชุม สาวกถึง 1,250 รูป ที่มาประชุมโดยมิไดน้ ดั หมาย ซ่ึงลว้ นแต่เป็นพระอรหนั ตท์ ้งั สิ้น ซ่ึงเรียกวา่ “จาตุ รงคสนั นิบาต” พระราชกรณยี กจิ ด้านความสัมพนั ธ์กบั ต่างประเทศ ดว้ ยเหตุท่ีทรงสนพระทยั ในวิทยาการตะวนั ตกมาต้งั แต่ก่อนข้ึนครองราชย์ จึงทรงคุน้ เคย กบั ชาวตะวนั ตกโดยเฉพาะองั กฤษเป็ นอยา่ งมาก ท้งั ยงั เก่ียวขอ้ งกบั เสนาบดีสกุลบุนนาคเช่นพระยา ศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ผกู้ ราบบงั คมทูลเชิญเสด็จข้ึนครองราชยน์ ้นั ก็เป็ นผสู้ นิทสนมและนิยม องั กฤษ เช่นน้ีในรัชสมยั ของพระองค์จึงเปิ ดความสัมพนั ธ์กบั ประเทศตะวนั ตกอย่างกวา้ งขวาง มี การทาํ สัญญากบั ต่างประเทศถึง 10 ประเทศ ทรงยึดนโยบาย \"ผอ่ นส้ัน ผอ่ นยาว\" มาใชก้ บั ประเทศ มหาอาํ นาจเป็ นพระองคแ์ รกในสมยั รัตนโกสินทร์ อนั ทาํ ใหไ้ ทยสามารถดาํ รงเอกราชอยูไ่ ดจ้ นทุก วนั น้ี พระองคไ์ ดส้ ่งคณะทูตไทยโดยมีพระยามนตรีสุริยวงศเ์ ป็ นราชทูต เจา้ หม่ืนสรรเพช็ ภกั ดีเป็ น อุปทูต หมื่นมณเฑียรพิทกั ษเ์ ป็ นตรีทูต นาํ พระราชสาส์นไปถวายสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย แห่งองั กฤษนบั เป็ นความคิดริเร่ิมให้มีการเดินทางออกนอกประเทศได้ เนื่องจากแต่เดิมกฎหมาย ห้ามมิให้ เจา้ นาย พระราชวงศ์ ขา้ ราชการผูใ้ หญ่เดินทางออกจากพระนคร เวน้ เสียแต่ไปในการ สงครามกบั กองทพั พระองค์โปรดเกลา้ ให้ชาวต่างประเทศรับราชการเป็ นกงสุลไทย เช่น เซอร์ จอห์น เบาริง อคั รราชทูตของสมเดจ็ พระราชินีนาถวกิ ตอเรียแห่งสหราชอาณาจกั ร สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย แห่งประเทศอังกฤษ เข้ามาทําสนธิสัญญากับประเทศไทยเป็ นชาติแรก เมื่อ พ.ศ. 2398 ไดพ้ ระราชทานบรรดาศกั ด์ิเป็ น \"พระยาสยามานุกูลกิจ สยามมิตรมหายศ\" เป็ นกงสุลไทยประจาํ กรุงลอนดอน
132 พระราชกรณยี กจิ ด้านการปรับปรุงประเทศ ในรัชสมยั พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั มีการขยายตวั ทางเศรษฐกิจมากเน่ืองจาก มีการติดต่อค้าขายกับชาวต่างประเทศมากข้ึน ทําให้บ้านเมืองในขณะน้ันดูแคบไปมาก พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั จึงมีพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ สร้างถนนข้ึนมาหลายสาย เช่น วนั ที่ 5 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2404 ทรงโปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ จา้ พระยาศรีสุริยวงศ์ เป็ นแม่กอง พระอินทราธิบ ดีสีหราชรองเมือง เป็นนายงานดาํ เนินการก่อสร้างถนนเจริญกรุง ใหเ้ ป็นถนนสายหลกั สายแรก และ สร้างถนนบาํ รุงเมือง สร้างถนนเฟ่ื องนคร และการขดุ คลองภาษีเจริญ เป็นตน้ พระราชกรณียกจิ ด้านวทิ ยาศาสตร์ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยูห่ วั ทรงเป็ นนกั ดาราศาสตร์ไทย ทรงการคาํ นวณการเกิด สุริยุปราคาเต็มดวงไดอ้ ยา่ งแม่นยาํ ในวนั ท่ี 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 ล่วงหนา้ 2 ปี และไดเ้ สด็จพระ ราชดาํ เนินพร้อมเชิญทูตฝรั่งเศสและสิงคโปร์ทอดพระเนตรสุริยุปราคาคร้ังน้นั นอกจากน้ี พระ ปรี ชาสามารถของพระองค์ในด้านวิทยาศาสตร์น้ัน ยังทําให้ พระองค์ได้รับการยกย่องเป็ นสมาชิกกิตติมศกั ด์ิของสัตววิทยา สมาคมแห่งสหราชาอาณาจกั รอีกดว้ ย วนั ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2525 รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสู ลานนท์ ประกาศยกย่องพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจา้ อยูห่ ัวเป็ น \"พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย\" และอนุมตั ิให้วนั ที่ 18 สิงหาคมของทุกปี เป็นวนั วทิ ยาศาสตร์แห่งชาติ พระราชกรณียกจิ ด้านโหราศาสตร์ นอกจากน้ีแลว้ ยงั ทรงเป็ นนกั โหราศาสตร์อีกดว้ ย ทรงแต่ง พระบรมรูปประดิษฐาน ณ อาคาร ตาํ ราทางโหราศาสตร์ท่ีเรียกวา่ \"เศษพระจอมเกลา้ \" ซ่ึงเป็ นอีกหน่ึง อทุ ยานวิทยาศาสตร์ พระจอม ตาํ ราท่ีไดร้ ับการยอมรับว่าแม่นยาํ และทรงไดร้ ับการยกยอ่ งเชิดชู เกล้า จังหวัดประจวบคีรีขนั ธ์ เกียรติวา่ ทรงเป็น \"พระบิดาแห่งโหราศาสตร์ไทย\" พระราชกรณยี กจิ การเปลย่ี นช่ือประเทศ ในปี พ.ศ. 2498 พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หัว ทรงมีพระราชดาํ ริเห็นว่า ควร เปล่ียนชื่อจากชื่อเดิม กรุงศรีอยุธยา เป็ น สยาม เนื่องจากกรุงศรีอยุธยาเป็ นชื่อของราชธานีเดิม เม่ือ เปล่ียนที่ต้งั ราชธานีแลว้ ควรมีการเปล่ียนชื่อใหม่ เพอ่ื เป็นการแสดงใหร้ ู้วา่ มีการยา้ ยเมืองหลวงมาใน สถานที่ใหม่แล้ว และในเวลาน้ันมีต่างประเทศเข้ามาเจริ ญสัมพันธไมตรี หลายประเทศ พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั จึงประกาศชื่อประเทศข้ึนใหม่ มีนามวา่ สยาม
133 รัชกาลท่ี 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอย่หู ัว พระราชประวตั ิ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (20 กนั ยายน พ.ศ. 2396 – 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453) เป็ นพระมหากษตั ริย์ สยาม รัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศจ์ กั รี ทรงมีพระนามเดิมวา่ สมเด็จ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ เป็ นพระราชโอรสพระองค์ที่ 4 ใน พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยูห่ ัว และเป็ นพระองค์แรก ในสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี โดยมีพระขนิษฐาและ พระอนุชาร่วมพระมารดาเดียวกัน 3 พระองค์ได้แก่สมเด็จ เจา้ ฟ้าหญิงจนั ทรมณฑลโสภณภควดีสมเด็จเจา้ ฟ้าชายจาตุรนต์ รัศมี กรมพระจกั รพรรดิพงศ์ และสมเด็จเจา้ ฟ้าชายภาณุรังสี สว่างวงศ์เสด็จพระราชสมภพเมื่อวนั องั คาร ที่ 20 กนั ยายน พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอย่หู ัว พ.ศ. 2396 เสวยราชสมบตั ิยาวนานเป็ นเวลา 43 ปี โดยไดร้ ับ การถวายพระราชสมัญญานามว่า พระปิ ยมหาราช แปลว่า มหาราชผู้ทรงเป็ นท่ีรัก และว่า \"พระพุทธเจา้ หลวง\" และเสด็จสวรรคต เม่ือวนั อาทิตย์ ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 ดว้ ยโรคพระ วกั กะ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั มีพระอคั รมเหสีทรงพระนามวา่ สมเด็จพระศรีพชั รินทราบรมราชินีนาถ ประสูติเม่ือวนั ที่ 1 มกราคม พ.ศ.2406 ในพระบรมมหาราชวงั มีพระนามเดิม วา่ พระเจา้ ลูกเธอพระองคเ์ จา้ เสาวภาผอ่ งศรีเป็ นพระราชธิดาในสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยูห่ ัวและ เจา้ จอมมารดาเป่ี ยม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยูห่ ัวมีพระราชโอรส และพระราชธิดา ท้งั สิ้น 97 พระองค์ มี 9 พระองคท์ ี่ประสูติในอคั รมเหสี พระราชกรณียกจิ ทส่ี าคัญ พระราชกรณยี กจิ ด้านการปฏริ ูปประเทศ พระราชกรณียกิจการเลิกทาส ถือเป็ น พ ร ะ ร า ช ก ร ณี ย กิ จ ที่ สํ า คั ญ ที่ สุ ด ข อ ง พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ จุ ล จ อ ม เ ก ล้ า เจา้ อยหู่ วั เน่ืองจากผทู้ ่ีเป็ นทาสไดร้ ับความเป็ นอยู่ ที่ลําบากยากแค้นและมีจาํ นวนมากถึง 1 ใน 3 ของประชาชนท้งั ประเทศ ดังน้ันพระองค์จึงมี พ ระ ร า ช ป ระ ส ง ค์ใ น ก า รเ ลิ ก ท า ส ใ ห้ สํา เ ร็ จ จ ง พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอย่หู ัว ได้ โดยทรงตราพระราชบญั ญตั ิทาส ร.ศ.124 เพ่ือ โปรดเกล้าฯ ให้มกี ารเลิกทาส
134 ปลดปล่อยทาสอยา่ งมีระเบียบแบบแผนตามกฎหมายโบราณ แยกทาสเอาไวท้ ้งั หมด 7 แบบ คือ 1. ทาสสินไถ่ หมายถึง คนหรือคนที่นาํ ลูกภรรยาของตนมาขายตวั เป็นทาส 2. ทาสในเรือนเบยี้ หมายถึง ลูกของทาสที่เกิดในเรือนเจา้ เงิน 3. ทาสได้มาแต่บดิ ามารดา หมายถึง ทาสที่เป็นมรดกตกทอดมาจากบิดามารดา 4. ทาสท่านให้ หมายถึง ทาสที่มีคนยกให้ 5. ทาสช่วยมาแต่ทัณฑ์โทษ หมายถึง ทาสที่นายเงินช่วยเหลือมาจากคดีความ 6. ทาสทเี่ ลีย้ งไว้เมื่อเกดิ ทพุ ภิกขภัย หมายถึง ทาสที่นาํ ตวั มาขายเพือ่ แลกขา้ ว 7. ทาสเชลยศึก หมายถึง ทาสท่ีไดม้ าจากการชนะสงคราม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงทราบว่าทาสน้ีมีมาต้งั แต่สมยั โบราณจนถือ เป็นประเพณีแลว้ เจา้ นายขนุ นาง หรือเสนาบดีที่เป็ นใหญ่มกั มีทาสเป็ นขา้ รับใชท้ ่ีไม่อาจสร้างความ เป็ นไทแก่ตัว พระองค์จึงทรงใช้พระวิริยะอุตสาหะอย่างหนักในการทาํ ให้ทาสหมดไปจาก แผน่ ดิน โดยมีพระราชดาํ ริกบั เสนาบดีและขา้ ราชบริพารเกี่ยวกบั วิธีท่ีจะปลดปล่อยทาสให้ไดร้ ับ ความเป็ นไท ด้วยวิธีการละมุนละม่อมโดยข้ันแรกพระองค์ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตรา พระราชบญั ญตั ิพิกดั เกษียณอายุของลูกทาส กาํ หนดโทษผูซ้ ้ือและขายทาส รวมท้งั ออกกฎหมาย บงั คบั ใหเ้ จา้ นายช้นั ผใู้ หญท่ ่ีมีทาสอยใู่ นครอบครองปลดปล่อยทาสใหเ้ ป็นอิสระ ซ่ึงทรงใชเ้ วลานาน กวา่ 30 ปี ในการท่ีไม่ใหม้ ีทาสหลงเหลืออยูใ่ นอาณาจกั รไทย โดยไม่มีการสูญเสียเลือดเน้ือเลย ซ่ึง แตกต่างกับอีกหลายๆ ชาติ ท่ีเมื่อประกาศเลิกทาสก็เกิดการคัดค้าน และต่อต้านจนทาํ ให้เกิด เหตุการณ์นองเลือดข้ึน เม่ือบา้ นเมืองมีความเจริญกา้ วหน้าข้ึน ในปี พ.ศ. 2431 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวได้ทรงเปล่ียนแปลงแบบแผนการปกครองจากเดิมท่ีเป็ นการบริหารจากเจ้านายช้ัน ผใู้ หญ่ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหว้ างระเบียบการปกครองข้ึนใหม่ โดยแยกหน่วยราชการ ออกเป็ นกรมกองต่างๆ มีหนา้ ที่รับผิดชอบเฉพาะไม่กา้ วก่ายกนั ซ่ึงในคร้ังแรกน้นั ทรงกาํ หนดกรม ข้ึนมาใหม่ 6 กรม ไดแ้ ก่ 1. กรมพระคลงั มีหนา้ ที่ดูแลเกี่ยวกบั การเก็บภาษีรายไดจ้ ากประชาชนและนาํ มาบริหารใช้ งานดา้ นต่างๆ 2. กรมยุติธรรม มีหน้าที่ดูแลเก่ียวกับคดีความที่ต้องตัดสินต่างๆ ท้ังคดีอาญาและคดี เพง่ รวมถึงควบคุมดูแลศาลอาญา ศาลแพง่ และศาลอุทธรณ์ทวั่ ท้งั แผน่ ดิน 3. กรมยุทธนาธิการ มีหนา้ ที่ตรวจตรารักษาการณ์ในกรมทหารบก ทหารเรือ และกิจกรรม ที่เกี่ยวขอ้ งกบั ทหาร 4. กรมธรรมการ มีหน้าท่ีดูแลเก่ียวกับกิจการของพระสงฆ์ คือ หน้าที่สั่งสอนอบรม พระสงฆแ์ ละสอนหนงั สือใหก้ บั ประชาชนทว่ั ไป
135 5. กรมโยธาธิการ มีหนา้ ที่ดูแลตรวจตราการก่อสร้าง การทาํ ถนน ขุดลอกคูคลอง และงาน เก่ียวขอ้ งกบั การก่อสร้าง 6. กรมมุรธาธิการ มีหน้าที่ดูแลรักษาพระราชลัญจกร พระราชกาํ หนดกฎหมาย และ หนงั สือที่เกี่ยวกบั ราชการท้งั หมด รวมถึงกรมท่ีต้งั อยกู่ ่อนหนา้ น้นั 6 กรม รวมเป็น 12 กรม ไดแ้ ก่ 7. กรมมหาดไทย* มีหนา้ ท่ีดูแลบงั คบั บญั ชาหวั เมืองฝ่ ายเหนือ และเมืองลาวซ่ึงเป็ นเมือง ประเทศราช 8. กรมพระกลาโหม* มีหน้าที่บงั คบั บญั ชาหัวเมืองปักษใ์ ต้ ฝ่ ายตะวนั ออก ตะวนั ตก และ เมืองมลายู(การที่ให้กรมท้งั สองบงั คบั หวั เมืองคนละดา้ นน้นั เพ่ือเป็ นการง่ายต่อการควบคุมดูแล พ้นื ที่น้นั ๆ ใหไ้ ดผ้ ลเตม็ ที่) 9. กรมท่า มีหนา้ ท่ีดูแลงานที่เก่ียวขอ้ งกบั การต่างประเทศ 10. กรมวงั มีหนา้ ท่ีดูแลรักษาการณ์ต่างๆ ในพระบรมมหาราชวงั 11. กรมเมือง มีหน้าท่ีดูแลรักษากฎหมายอาญาที่เกี่ยวกบั ผูก้ ระทาํ ผิด กรมน้ีมีตาํ รวจ ทาํ หนา้ ที่ในการดูแลรักษาความสงบ และจบั กมุ ผกู้ ระทาํ ผดิ มาลงโทษ 12. กรมนา มีหน้าท่ีคล้ายคลึงกบั กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในปัจจุบนั คือ มีหน้าที่ หลกั ในการดูแลควบคุมการเพาะปลูก คา้ ขาย และป่ าไม้ เพราะเมืองไทยมีอาชีพเกษตรกรรมเป็ น อาชีพหลกั พระราชกรณยี กจิ ด้านการไปรษณยี ์โทรเลข พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจา้ อยู่หัว ทรงเห็นการส่ือสารเป็ นเร่ืองสําคญั และจาํ เป็ นอยา่ ง มากต่อไปในอนาคต พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้ กระทรวงกลาโหมดาํ เนินการก่อสร้างวางสายโทร เลขสําหรับสายโทรเลขสายแรกของประเทศเริ่ ม ก่ อ ส ร้ า ง ใ น ปี พ . ศ . 2418 จ า ก ก รุ ง เ ท พ ฯ - สมุทรปราการ ระยะทาง 45 กิโลเมตร และไดว้ างสาย กิจการไปรษณีย์ในพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอย่หู ัว ใต้น้ําต่อยาวออกไปจนถึงประภาคารที่ปากแม่น้ํา โปรดเกล้าฯ ให้จัดต้งั การไปรษณีย์ขึน้ เป็นคร้ังแรก เจา้ พระยาสําหรับบอกข่าวเรือเขา้ - ออก ต่อมาไดว้ างสายโทรเลขข้ึนอีกสายหน่ึงจากกรุงเทพฯ - บางปะอิน และขยายไปทว่ั ถึงในเวลาตอ่ มา สําหรับกิจการไปรษณีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยูห่ ัวโปรดเกลา้ ฯ ให้จดั ต้งั การไปรษณียข์ ้ึนเป็นคร้ังแรกในวนั ท่ี 2 กรกฎาคม พ.ศ.2424 มีท่ีทาํ การเรียกวา่ ไปรษณียาคาร ต้งั อยู่
136 ริมแม่น้าํ เจา้ พระยา และเปิ ดดาํ เนินการอย่างเป็ นทางการคร้ังแรกในวนั ท่ี 4 สิงหาคม พ.ศ.2426 หลงั จากน้นั จึงโปรดเกลา้ ฯ ใหก้ รมโทรเลขรวมเขา้ กบั กรมไปรษณียช์ ื่อวา่ กรมไปรษณียโ์ ทรเลข พระราชกรณยี กจิ ด้านการโทรศัพท์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระวิสัยทศั น์ท่ีก้าวไกล และพระปรีชา สามารถอยา่ งมากในการพฒั นาประเทศ โดยกระทรวงกลาโหมไดน้ าํ โทรศพั ทอ์ นั เป็ นวทิ ยาการใน การส่ือสารที่ทนั สมยั เขา้ มาทดลองใชเ้ ป็ นคร้ังแรกในปี พ.ศ. 2424 จากกรุงเทพฯ - สมุทรปราการ เพ่อื แจง้ ข่าวเรือเขา้ - ออกที่ปากน้าํ ต่อมากรมโทรเลขไดม้ ารับช่วงต่อในการวางสายโทรศพั ทภ์ ายใน กรุงเทพฯ ซ่ึงใชเ้ วลา 3 ปี จึงแลว้ เสร็จพร้อมเปิ ดให้บริการกบั ประชาชน และพฒั นามาจนกระทงั่ ทุก วนั น้ี พระราชกรณยี กจิ ด้านการกฎหมาย กฎหมายในขณะน้นั มีความลา้ สมยั อยา่ งมาก เนื่องจากใชม้ าต้งั แตส่ มยั รัชกาลท่ี 1 และยงั ไม่ เคยมีการชาํ ระข้ึนใหม่ให้เหมาะสมกบั ยุคสมยั ทาํ ให้ต่างชาติใช้เป็ นขอ้ อา้ งในการเอาเปรียบไทย เร่ืองการทาํ สนธิสัญญาเกี่ยวกบั การข้ึนศาลตดั สินคดีที่ไม่ให้ชาวต่างชาติข้ึนศาลไทย โดยต้งั ศาล กงสุลพิจารณาคดีคนในบงั คบั ตา่ งชาติเอง แมว้ า่ จะมีคดีความกบั ชาวไทยกต็ าม ดงั น้นั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั จึงทรงโปรดเกลา้ ฯ สร้างประมวลกฎหมาย อาญาข้ึนใหม่เพื่อให้ทนั สมยั ทดั เทียมกบั อารยประเทศ ในปี พ.ศ. 2440 พระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงโปรดเกลา้ ฯ ใหจ้ ดั ต้งั โรงเรียนกฎหมายแห่งแรกของประเทศไทย เพ่ือเป็ น สถานที่สาํ คญั ท่ีผลิตนกั กฎหมายท่ีมีความรู้ความสามารถในการพฒั นาประเทศ ต่อมาในปี พ.ศ. 2451 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้ตรา กฎหมายลกั ษณะอาญา ร.ศ. 127 อนั เป็ นลกั ษณะกฎหมายอาญาฉบบั แรกที่นาํ ข้ึนมาใช้ อีกท้งั ยงั โปรดเกลา้ ฯ ใหม้ ีการต้งั กรรมการข้ึนมาชุดหน่ึง พิจารณาทาํ กฎหมายประมวลอาญาแผน่ ดินและการ พาณิชย์ ประมวลกฎหมายวา่ ดว้ ยพิจารณาความแพง่ และพระธรรมนูญแห่งศาลยตุ ิธรรมแตย่ งั ไม่ทนั สาํ เร็จดีกส็ ิ้นรัชกาลเสียก่อน เม่ือสร้างประมวลกฎหมายข้ึนมาใชแ้ ลว้ บทลงโทษแบบจารีตด้งั เดิมจึง ถูกยกเลิกไปโดยสิ้นเชิงในรัชกาลของพระองค์เอง เพราะมีกฎหมายใหม่เป็ นบทลงโทษ ที่เป็ น หลกั การพิจารณาที่ดีและทนั สมยั กวา่ เดิมดว้ ย
137 รัชกาลที่ 6 พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยู่หวั พระราชประวตั ิ พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอย่หู ัว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (1 มกราคม พ.ศ. 2423 – 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468) เป็ นพระมหากษตั ริย์ รัชกาลท่ี 6 แห่งพระบรมราชจกั รีวงศ์ เป็ นพระราชโอรส พระองคท์ ี่ 2 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยูห่ วั และ สมเดจ็ พระศรีพชั รินทรา บรมราชินีนาถ เสด็จพระราชสมภพ เมื่อวนั เสาร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2423 เสวยราชสมบตั ิเมื่อวนั เสาร์ท่ี 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 และเสด็จสวรรคตเม่ือวนั ท่ี 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 รวมพระชนมพรรษา 45 พรรษา เสดจ็ ดาํ รงราชสมบตั ิรวม 15 ปี พระราชกรณยี กจิ ทสี่ าคญั พระบรมราชานสุ าวรีย์แห่ง แรก สร้างแล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. พระราชกรณยี กจิ ด้านการศึกษา พระองคท์ รงริเร่ิมสร้างโรงเรียนข้ึนแทนวดั ประจาํ รัชกาล ไดแ้ ก่ 2485 ที่สวนลมุ พินี โรงเรียนมหาดเล็กหลวง (ปัจจุบนั คือ โรงเรียนวชิราวธุ วิทยาลยั ) ท้งั ยงั ทรงสนบั สนุนกิจการของโรงเรียนราชวิทยาลยั ซ่ึงพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาข้ึนในปี พ.ศ. 2440 (ปัจจุบนั คือ โรงเรียน ภ.ป.ร. ราชวิทยาลยั ในพระบรมราชูปถมั ภ์) และ ในปี พ.ศ. 2459 ไดท้ รงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ให้ประดิษฐานโรงเรียน ขา้ ราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจา้ อยู่หัว ข้ึน เป็ น “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั ” ซ่ึงเป็ นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของ ประเทศไทย
138 พระราชกรณยี กจิ ด้านศิลปวฒั นธรรมไทย ทรงต้งั กรมมหรสพ เพือ่ ฟ้ื นฟูศิลปวฒั นธรรมไทย และยงั ไดท้ รงสร้างโรงละครหลวงไวใ้ น พระราชวงั ทุกแห่ง นอกจากน้ี ยงั ทรงสนพระราชหฤทยั ดา้ นจิตรกรรมและสถาปัตยกรรมไทย ทรง ส่งเสริมให้มีการแต่งหนังสือ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบญั ญตั ิวรรณคดี สโมสร สําหรับในดา้ นงานหนงั สือพิมพ์ ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ให้ตราพระราชบญั ญตั ิสมุด เอกสาร พ.ศ. 2465 ข้ึน พระราชกรณยี กจิ ด้านการต่างประเทศ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยู่หัวไดท้ รงมีพระบรมราชโองการประกาศสงคราม กบั ประเทศฝ่ ายเยอรมนั ในสงครามโลกคร้ังท่ี 1 เมื่อวนั ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2460 โดยประเทศไทย ไดเ้ ขา้ ร่วมกบั ประเทศฝ่ ายสัมพนั ธมิตร ซ่ึงประกอบดว้ ยประเทศองั กฤษ ฝร่ังเศส และรัสเซียเป็ น ผนู้ าํ พร้อมท้งั ไดท้ รงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ่งทหารไทยอาสาสมคั รไปร่วมรบในสมรภูมิยุโรป ด้วย ผลของสงครามประเทศฝ่ ายสัมพนั ธมิตรได้ชัยชนะ ทาํ ให้ประเทศไทยมีโอกาสเจรจากบั ประเทศมหาอาํ นาจหลายประเทศ ในการแกไ้ ขสนธิสัญญาที่ไม่เป็ นธรรม เช่น สนธิสัญญาสิทธิ สภาพ นอกอาณาเขต สนธิสัญญาจาํ กดั อาํ นาจการเก็บภาษีของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกลา้ เจา้ อยหู่ วั และ สนธิสัญญาจาํ กดั อาํ นาจกลางประเทศไทย พระราชกรณยี กจิ ด้านการแพทย์และการสาธารณสุข ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ให้ต้งั โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์และวชิรพยาบาล และทรงเปิ ด การประปากรุงเทพฯ เมื่อวนั ท่ี 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2457 พระราชกรณยี กจิ ด้านกจิ การเสือป่ าและลกู เสือ ทรงจดั ต้งั กองเสือป่ าเม่ือวนั ท่ี 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2454 และทรงจดั ต้งั กองลูกเสือกองแรก ข้ึนที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง (วชิราวธุ วทิ ยาลยั ในปัจจุบนั ) ดา้ นการฝึ กสอนระบอบประชาธิปไตย ทรงทดลองต้งั \"เมืองมงั \" หลงั พระตาํ หนกั จิตรลดาเดิม ทรงจดั ให้เมืองมงั มีระบอบการปกครอง ของตนเองตามวถิ ีทางประชาธิปไตย รวมถึงเมืองจาํ ลอง \"ดุสิตธานี\" ในพระราชวงั ดุสิต (ต่อมาทรง ยา้ ยไปท่ีพระราชวงั พญาไท) พระราชกรณยี กจิ ด้านการสร้างชาตนิ ิยม การใช้พุทธศักราช พ.ศ.2455 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยูห่ วั ทรงพระกรุณาโปรด เกลา้ ฯ ใหใ้ ชพ้ ุทธศกั ราช เป็นศกั ราชในราชการ เพราะทรงพระราชดาํ ริวา่ การใชร้ ัตนโกสินทร์ศก ไมส่ ะดวกสาํ หรับเหตุการณ์ในอดีตก่อนต้งั ศกั ราช การเปลยี่ นเวลา พระองคท์ รงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ให้ประกาศนบั เวลาในราชการโดยทรง กาํ หนดใหเ้ ปล่ียนวธิ ีนบั เวลาแบบโมงยามมานบั แบบสากลนิยม คือ แบ่งวนั หน่ึงเป็ น 24 ภาค แต่ละ ภาคเรียกวา่ นาฬิกา และใหถ้ ือวา่ เวลาเท่ียงคืนเป็นเวลาเปล่ียนวนั ใหม่
139 การใช้คานาหน้านาม ในปี พ.ศ.2460 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยู่หวั ไดท้ รงพระ กรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาคาํ นําหน้านามกาํ หนดให้ใช้คาํ นําหน้านามอย่าง อารยประเทศ นน่ั คือ ใหม้ ีคาํ วา่ เด็กชาย เดก็ หญิง นาย นาง และนางสาวนาํ หนา้ ชื่อ การพระราชทานนามสกุลในปี พ.ศ. 2456 ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหใ้ ชน้ ามสกุล และ ไดร้ ับพระราชทานนามสกุลถึง 6,432 สกลุ โดยนามสกลุ แรกท่ีทรงพระราชทานคือ สุขมุ การสร้างธงไตรรงค์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดท้ รงโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ร้างธงชาติข้ึนใหม่ แทนธงช้าง ดว้ ยทอดพระเนตรเห็นผูช้ ักธงกลบั หัวชา้ ง ลงว่าเป็ นสิ่งไม่เหมาะสม จึงไดท้ รงออกแบบธงใหม่ให้ เป็น 3 สี แดง ขาว น้าํ เงิน มีความหมายแทน ชาติ ศาสนา พระมหากษตั ริย์ โดยพระราชทานนามวา่ ธงไตรรงค์ ธงไตรรงค์ การสร้างหอสมุด พระองค์ทรงมีพระราชดาํ รัส วา่ “ชาติใดไม่มีหนงั สือ ไมม่ ีตาํ นานนบั วา่ เป็นเหมือนคนป่ า” ดงั น้นั พระองคจ์ ึงทรงโปรดเกลา้ ฯ ให้ เปิ ดหอสมุดสาํ หรับเขตพระนคร เม่ือพ.ศ. 2459 ซ่ึงไดพ้ ฒั นามาเป็น หอสมุดแห่งชาติ ในปัจจุบนั รัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชประวตั ิ พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ ป ร มิ น ท ร ม ห า ป ร ะ ช า ธิ ป ก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2436 - 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2484) เป็ นพระมหากษตั ริยส์ ยาม รัชกาลท่ี 7 ในราชวงศ์จักรี เสด็จ พระราชสมภพเม่ือวันพุธ ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2436 เป็ นพระราชโอรสพระองค์ที่ 76 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยูห่ วั เป็ นพระองคท์ ่ี 9 ในสมเด็จพระศรีพชั รินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราช พระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจ้าอย่หู ัว ชนนีพนั ปี หลวง ข้ึนเสวยราชสมบตั ิเป็ นพระมหากษตั ริย์ เมื่อวนั ท่ี 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 และทรงสละราชสมบตั ิเมื่อวนั ท่ี 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 (นบั ศกั ราชแบบเก่า) รวมดาํ รงสิริราชสมบตั ิ 9 ปี เสด็จสวรรคต เม่ือวนั ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 รวม พระชนมพรรษา 47 พรรษา พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยู่หัวทรงอภิเษกสมรสกบั สมเด็จพระนางเจา้ รําไพพรรณี พระบรมราชินี (หม่อมเจา้ หญิงรําไพพรรณีสวสั ดิวตั น์) ไม่มีพระราชโอรสและพระราชธิดา แต่มี พระราชโอรสบุญธรรมคือ พระวรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ จิรศกั ด์ิสุประภาต
140 พระราชกรณียกจิ ทส่ี าคญั พระราชกรณยี กจิ ด้านการทานุบารุงบ้านเมือง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง สะพานปฐมบรม ราชานุสรณ์ ข้ึน ดว้ ยทรงระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ผู้สถาปนากรุ งรัตนโกสิ นทร์ สะพานแห่งน้ีเป็ น สะพานปฐมบรมราชานสุ รณ์ สะพานพุทธ สะพานข้ามแม่น้ําเจ้าพระยา เชื่อมระหว่างฝั่งพระ นครกับฝ่ังธนบุรี พร้อมกับทรงชักชวนประชาชนชาวไทยร่วมกันสร้างพระบรมรูปของ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ท่ีบริเวณเชิงสะพานแห่งน้ีดว้ ย โดย พระองค์ เสด็จไปทาํ พิธีเปิ ดดว้ ยพระองคเ์ องในวนั ท่ี 6 เมษายน พ.ศ. 2475 และโปรดเกล้าฯ ให้มีมหรสพ สมโภชเป็นการเฉลิมฉลองท่ีกรุงเทพฯ มีอายคุ รบ 150 ปี ดว้ ย และพระราชทานนามสะพานแห่งน้ีวา่ สะพานปฐมบรมราชานุสรณ์ พระราชกรณยี กจิ ด้านการปกครอง พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงจดั ระเบียบการบริหารงานบุคคลของชาติ ดว้ ยการ ตราพระราชบญั ญตั ิระเบียบขา้ ราชการพลเรื อน พ.ศ. 2471 ข้ึนบงั คบั ใช้ โดยจะมีกลุ่มคนที่เรียกว่า คณะกรรมการขา้ ราชการพลเรือน คอยดูแลการบรรจุแตง่ ต้งั การเคล่ือนยา้ ย รวมท้งั ควบคุมให้อยูใ่ น ระเบียบวินยั ของราชการ และโปรดเกลา้ ฯ ใหม้ ีการสอบแข่งขนั บุคคลเขา้ บรรจุเป็ นขา้ ราชการพล เรือนเป็ นคร้ังแรก ซ่ึงแตกต่างจากเดิมที่ใครประสงค์จะเขา้ รับราชการก็ไปฝากตวั แก่หัวหน้าส่วน ราชการน้นั โดยตรง พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เป็นพระมหากษตั ริยท์ ่ีเล่ือมใสในการปกครองระบอบ ประชาธิ ปไตย พระองค์ทรงพย าย ามท่ีจะปรับปรุ งแก้ไขระ บอบการปกครองจาก สมบูรณาญาสิทธิราชยม์ า เป็ นระบอบประชาธิปไตย โดยหลงั จากเสด็จข้ึนครองราชยแ์ ลว้ ก็โปรด เกลา้ ฯ ให้สถาปนาคณะอภิรัฐมนตรีข้ึน เพ่ือเป็ นที่ปรึกษาในการบริหารราชการแผน่ ดินแทนท่ีจะ ทรงตดั สินพระราช หฤทัยแต่เพียงพระองค์เดียว นอกจากน้ียงั ทรงฟ้ื นฟูการประชุมเสนาบดี ให้มีความสําคญั และทรงแนะนาํ ให้รู้จกั การทาํ งานเป็ นคณะและรับผิดชอบร่วมกันท้งั ยงั ทรง แต่งต้ัง สภากรรมการองคมนตรี เพ่ือเป็ นที่ปรึ กษาข้อราชการและฝึ กหัดการประชุมแบบ รัฐสภา สําหรับ การปูพ้ืนฐานในการปกครองตนเองของประชาชนก็ได้โปรดเกล้าฯ ให้ร่าง พระราชบญั ญตั ิเทศบาลข้ึน แต่กฎหมายดงั กล่าวไดร้ ่างเสร็จเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แลว้ นอกจากน้ียงั โปรดเกลา้ ฯ ให้ท่านผูร้ ู้ร่างรัฐธรรมนูญข้ึนเพื่อเตรียมพระราชทานแก่ประชาชน
141 ในโอกาสฉลอง กรุงเทพมหานครครบรอบ 150 ปี แต่ไดม้ ีพระบรมวงศานุวงศบ์ างพระองคไ์ ดท้ รง ทูลคดั คา้ นวา่ ยงั ไมส่ มควรแก่เวลา จึงตอ้ งรอคอยการพระราชทานรัฐธรรมนูญไวก้ ่อน วนั ท่ี 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จไป ประทบั ที่พระราชวงั ไกลกงั วล “คณะราษฎร” นาํ โดย พนั เอกพระยาพหลพลพยหุ เสนาก็ไดเ้ ขา้ ยึด อํานาจการปกครองแผ่นดินท่ีกรุ งเทพมหานคร โดยเข้าควบคุมพระบรมวงศานุวงศ์บาง พระองค์ และขา้ ราชการตาํ แหน่งสาํ คญั ๆ ไวเ้ ป็ นตวั ประกนั แลว้ ส่งหนงั สือไปกราบบงั คมทูลเชิญ เสดจ็ นิวตั ิกลบั พระนครเพื่อเป็นพระมหากษตั ริยภ์ ายใตร้ ัฐธรรมนูญการปกครองท่ีคณะราษฎรไดท้ าํ ข้ึน ซ่ึงแมว้ ่าพระองค์จะไดท้ รงเตรียมพระราชทานอาํ นาจอธิปไตยน้ีแก่ประชาชนอยู่แลว้ แต่เม่ือ คณะราษฎรแสดงออกถึงความปรารถนาอนั แรงกลา้ เช่นน้ี พระองคก์ ็มิไดท้ รงถือทิฐิมานะ โดยทรง ละพระบรมเดชานุภาพ ยอมรับการเป็ นพระมหากษตั ริยภ์ ายใตร้ ัฐธรรมนูญ และหลงั จากเสด็จพระ ราชดาํ เนินกลบั คืนสู่พระนครแลว้ ก็ไดพ้ ระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รสยามฉบบั แรก เม่ือวนั ที่ 10 ธนั วาคม พ.ศ. 2475 พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ ป ก เ ก ล้ า เจ้าอยู่หัวไม่ได้ขัดเคืองพระราชหฤทัย ทรงยอมรับการเปล่ียนแปลงอยา่ งเต็มพระ ร า ช ห ฤ ทัย ท ร ง มี พ ร ะ ร า ช ดํา รั ส ว่า “ข้าพเจ้ามีความเต็มใจทจ่ี ะสละอานาจอัน เป็ นของข้าพเจ้าอยู่แต่ เดิมให้แก่ราษฎร พระราชดารัสพระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจ้าอย่หู ัว โดยทว่ั ไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยนิ ยอมยกอานาจ ทง้ั หลายของข้าพเจ้าให้แก่ผ้ใู ด คณะใดโดยเฉพาะ เพอื่ ใช้อานาจน้ันโดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียง อันแท้จริงของประชาราษฎร” ต่อมาในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2476 ได้เกิดสงครามกลางเมืองที่เรียกกนั ว่า กบฏบวรเดชข้ึน โดยพระองคเ์ จา้ บวรเดชกบั พระยาศรีสิทธิสงคราม รวมกาํ ลงั ทหารหวั เมืองมุง่ เขา้ ตีกรุงเทพมหานคร ตามคาํ แถลงการณ์ที่จะเขา้ มาช่วยพระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยู่หวั ใหท้ รงหลุดพน้ จากอาํ นาจ ของคณะราษฎร เหตุการณ์ในคร้ังน้ีมีการปราบปรามดว้ ยอาวุธ ทาํ ให้เกิดการสู้รบระหวา่ งคนไทย ดว้ ยกนั เอง และมีผูเ้ สียชีวิตดว้ ยกนั ท้งั สองฝ่ าย เหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนน้ีเป็ นท่ีสะเทือนพระราชหฤทยั ของพระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยู่หัวเป็ นอย่างมาก จึงทรงตดั สินพระราช หฤทยั เสด็จไป ประทบั ที่ประเทศองั กฤษ ดว้ ยเหตุผลเพ่ือไปรักษาพระเนตรเม่ือวนั ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2476 และใน วนั ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 พระองคจ์ ึงไดพ้ ระราชทานพระราชหตั ถเลขาสละราชสมบตั ิ
142 พระราชกรณียกจิ ด้านประเพณแี ละวฒั นธรรม พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจา้ อยู่หัวทรง เป็ นผูร้ ิเร่ิมในการสร้างค่านิยมให้ชายไทยมี ภรรยาเพียงคนเดียว ซ่ึงเป็ นการเปล่ียนแปลงรูปแบบของสังคมไทยแต่โบราณท่ีชายไทยมกั นิยมมี ภรรยาหลายคนโดยชอบด้วยกฎหมาย โดยโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญตั ิแก้ไขเพิ่มเติม กฎหมายลกั ษณะผวั เมีย พ.ศ. 2473 และทรงริเร่ิมใหม้ ีการจดทะเบียนสมรส ทะเบียนหยา่ ทะเบียน รับรองบุตร อนั เป็นการปลูกฝังคา่ นิยมใหม่ทีละนอ้ ยตามความสมคั รใจ นอกจากน้ียงั ทรงปฏิบตั ิตน เป็นแบบอยา่ งโดยมีพระบรมราชินีเพยี งพระองคเ์ ดียว และไมม่ ีสนมนางในใดๆ ท้งั สิ้น รัชกาลท่ี 8 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหดิ ล พระราชประวตั ิ พระบาทสมเด็จพระเจ้ าอยู่หัวอานันทมหิดล(20 กนั ยายน พ.ศ. 2468 – 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489) พระมหากษตั ริย์ ลาํ ดบั ที่ 8 แห่งราชวงศ์จกั รีเป็ นพระโอรสพระองค์แรกของ สมเด็จเจา้ ฟ้ามหิดล อดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ ( สมเดจ็ พระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก) กบั หมอ่ มหลวงสังวาลย์ มหิดล ณ อยุธยา (สมเด็จพระศรีนค รินทราบรมราชชนนี) มีพระเชษฐภคินีและพระอนุชาร่วม พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู ัวอานันทมหิดล พระชนกชนนีอีก 2 พระองค์ ไดแ้ ก่ สมเด็จพระเจา้ พ่ีนางเธอ เจา้ ฟ้ากลั ยาณิวฒั นา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และสมเด็จพระเจา้ นอ้ งยาเธอ เจา้ ฟ้าภูมิพลอ ดุลยเดช (ภายหลงั ทรงข้ึนครองราชสมบตั ิเป็ นพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช) พระราชสมภพเมื่อวนั ท่ี 20 กนั ยายน พ.ศ. 2468 พระนามเดิมวา่ พระวรวงศเ์ ธอพระองคเ์ จา้ อานนั ท มหิดล ขณะท่ีพระองค์มีพระชนมายุ 9 พรรษา เมื่อวนั ท่ี 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 และประทบั อยู่ท่ี ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ดงั น้ัน จึงมีการแต่งต้งั คณะผูส้ ําเร็จราชการแทนพระองค์เพื่อทาํ หน้าที่ บริหารราชการแผน่ ดินจนกวา่ พระองคจ์ ะทรงบรรลุนิติภาวะ พระองค์เสด็จนิวตั ิพระนครคร้ังแรกภายหลังทรงราชย์เม่ือวนั ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 และคร้ังที่สองเม่ือวนั ท่ี 5 ธันวาคม พ.ศ. 2488 ก่อนกาํ หนดการเสด็จพระราชดาํ เนินกลบั ไป ทรงศึกษาต่อที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพียง 4 วนั พระองคเ์ สด็จสวรรคตดว้ ยทรงตอ้ งพระแสงปื น เม่ือวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ณ ห้องพระบรรทม พระที่น่ังบรมพิมาน ภายใน พระบรมมหาราชวงั รวมระยะเวลาที่ทรงครองสิริราชสมบตั ิท้งั สิ้น 12 ปี
143 พระราชกรณยี กจิ ทส่ี าคญั พระราชกรณยี กจิ ด้านการปกครอง พ ร ะ อ ง ค์ ไ ด้เ ส ด็ จ พ ร ะ ร า ช ดํา เ นิ น ไ ป ใ น พ ร ะ ร า ช พิ ธี พระราชทานรัฐธรรมนูญฉบบั ใหม่ในวนั ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 และเปิ ดประชุมสภาผูแ้ ทนในวนั ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2489 นอกจากน้ี ยงั เสด็จพระราชดําเนินทรงเยี่ยมราษฎรใน จงั หวดั ตา่ งๆ และทรงเยย่ี มชาวไทยเช้ือสายจีนเป็ นคร้ังแรก ณ สํา เพง็ พระนคร พร้อมดว้ ย สมเด็จพระเจา้ นอ้ งยาเธอ เจา้ ฟ้าภูมิพลอ ดุลยเดช เมื่อวนั ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ซ่ึงเป็ นช่วงท่ีเกิดความ ขดั แยง้ กนั ระหว่างชาวไทยและชาวไทยเช้ือสายจีนจนเกือบเกิด พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหา สงครามกลางเมือง เม่ือพระองคท์ รงทราบเรื่อง มีพระราชดาํ ริวา่ อานันทมหิดล พร้อมด้วยสมเดจ็ พระเจ้า หากปล่อยความขุ่นข้องบาดหมางไว้เช่นน้ี จะเป็ นผลร้าย น้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดลุ ยเดช เสดจ็ ตลอดไป จึงทรงตดั สินพระทยั เสด็จพระราชดาํ เนินสาํ เพง็ ซ่ึงใช้ เยี่ยมชาวไทยเชื้อสายจีนเป็ นคร้ังแรก ระยะเวลาประมาณ 4 ชว่ั โมง และพระองคท์ รงพระราชดาํ เนิน ณ สาเพง็ พระนคร เม่ือ พ.ศ. 2489 ดว้ ยพระบาทเป็ นระยะประมาณ 3 กิโลเมตร การเสด็จพระราช ดาํ เนินสาํ เพง็ ในคร้ังน้ีจึงเป็นการประสานรอยร้าวที่เกิดข้ึนใหห้ มดไป พระราชกรณียกจิ ด้านการศึกษา ในการเสด็จนิวตั ิพระนครในคร้ังท่ี 2 พระองค์ทรงได้ ประกอบพระราชกรณียกิจที่เกี่ยวขอ้ งกบั การศึกษาของประเทศ โ ด ย เ ส ด็ จ พ ร ะ ร า ช ดํา เ นิ น ท อ ด พ ร ะ เ น ต ร กิ จ ก า ร ข อ ง ห อ ส มุ ด แห่งชาติ รวมท้งั เสด็จพระราชดาํ เนินไปทรงเย่ียมสถานศึกษา หลายแห่ง เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โรงเรี ยนเทพศิริ นทร์ ซ่ึงเป็ นโรงเรียนที่ทรงศึกษาขณะทรงพระเยาว์ นอกจากน้ี พระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลท่ี 8 ใน พระองคย์ งั ไดเ้ สด็จพระราชดาํ เนินพระราชทานปริญญาบตั รเป็ น คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ คร้ังแรกของพระองค์ ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั เม่ือวันท่ี 13 เมษายน พ.ศ. 2489 และอีกคร้ังที่ หอประชุมราชแพทยาลัย ศิริ ราช พยาบาล มหาวิทยาลยั แพทยศาสตร์ เมื่อวนั ท่ี 23 เมษายน พ.ศ. 2489 โดยในการพระราชทาน ปริญญาบตั รคร้ังน้ี มีพระราชปรารภให้มีการผลิตแพทยเ์ พิ่มมากข้ึน เพื่อให้เพียงพอที่จะช่วยเหลือ ประชาชน โรงเรียนแพทยแ์ ห่งท่ี 2 จึงไดถ้ ือกาํ เนิดข้ึนที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ซ่ึงในปัจจุบนั คือ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั
144 รัชกาลท่ี 9 พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู วั ภูมิพลอดุลยเดช พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู ัวภมู ิพลอดลุ ยเดช พระราชประวตั ิ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 -13 ตุลาคม พ.ศ. 2559) เป็ นพระมหากษตั ริยไ์ ทย รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จกั รี เป็ นพระราชโอรสองคท์ ่ี 3 ในสมเด็จเจา้ ฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ (สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดช วกิ รม พระบรมราชชนก) กบั หม่อมหลวงสังวาลย์ มหิดล ณ อยุธยา (สมเด็จพระศรีนครินทราบรม ราชชนนี)ทรงเป็ นพระอนุชาธิราชในพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั อานันทมหิดล เสด็จพระราช สมภพเม่ือวนั ท่ี 5 ธนั วาคม พ.ศ.2470 ทรงมีพระนามเดิมวา่ พระวรวงศเ์ ธอพระองคเ์ จา้ ภูมิพลอดุลย เดช เสด็จสู่พระราชสมบตั ิต้งั แต่วนั ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 เป็ นพระมหากษตั ริยไ์ ทยผเู้ สวยราชย์ ยาวนานที่สุด พระองคท์ รงเป็ นที่สรรเสริญในประเทศไทยเก่ียวกบั พระราชดาํ ริในเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียง พระองค์ยงั ทรงเป็ นเจ้าของสิทธิบตั รส่ิงประดิษฐ์ งานพระราชนิพนธ์ และงานดนตรี จาํ นวนหน่ึงดว้ ย สํานกั งานทรัพยส์ ินส่วนพระมหากษตั ริยน์ ้นั ใชส้ ินทรัพยเ์ พื่อสวสั ดิการสาธารณะ เช่น เพื่อพัฒนาเยาวชน แต่ได้รับการยกเว้นมิต้องจ่ายภาษีและให้เปิ ดเผยการเงินต่อ พระมหากษตั ริย์ แต่พระองคเ์ ดียวขณะที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชก็ได้ ทรงอุทิศพระราชทรัพยไ์ ปในโครงการพฒั นาประเทศไทยหลายต่อหลายโครงการ โดยเฉพาะ ในทางเกษตรกรรม ส่ิงแวดล้อม สาธารณสุข การส่งเสริมอาชีพ ทรัพยากรน้าํ สวสั ดิการทาง คมนาคม และสวสั ดิการสาธารณะอนุสรณ์ นบั แต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2557 พระองคเ์ สด็จแปรพระราชฐานไปประทบั รักษาพระอาการ พระโรคไขห้ วดั และพระปัปผาสะอกั เสบ ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช ตลอดมา แต่พระอาการประชวรไดท้ รุดลงตามลาํ ดบั จนเสด็จสวรรคตเมื่อวนั พฤหสั บดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 15:52 น. สิริพระชนมายุ 88 ปี 313 วนั
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169