Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือรายวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย-ม.ต้น

คู่มือรายวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย-ม.ต้น

Description: คู่มือรายวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย-ม.ต้น

Search

Read the Text Version



ก คานา สถานศึกษาในสังกดั สํานักงาน กศน.จงั หวดั อาํ นาจเจริญ ได้ดาํ เนินการจดั ทาํ คู่มือเรียน รายวิชา ประวตั ิศาสตร์ชาติไทย รหสั วิชา สค 23049 สาระพฒั นาสังคม ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ เพื่อประกอบการจดั การเรียนการสอน หลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 สาระสําคญั ของวิชาประวตั ิศาสตร์ชาติไทย คือ การศึกษาเก่ียวกบั ประวตั ิศาสตร์ ชาติไทยต้งั แต่ยุคก่อนสมยั สุโขทยั มาจนถึงปัจจุบนั รวมถึงศึกษาเร่ืองการต้งั หลกั แหล่งในดินแดน ประเทศไทย การต้งั หลกั แหล่งสมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์ การต้งั ถิ่นฐานสมยั ประวตั ิศาสตร์ในดินแดน ประเทศไทย การต้งั ถ่ินฐานก่อนอาณาจกั รสุโขทยั ศึกษาเกี่ยวกบั การสถาปนาอาณาจกั ร พฒั นาการ ของอาณาจกั ร บทบาทและผลงานของบุคคลสําคญั และการเส่ือมของอาณาจกั รสุโขทยั อาณาจกั ร อยุธยา อาณาจักรธนบุรี อาณาจักรไทยในสมัยกรุ งรัตนโกสิ นทร์ รวมถึงบทบาทขอ ง พระมหากษตั ริยไ์ ทยในราชวงศ์จกั รีในการสร้างสรรค์ความเจริญและความมนั่ คงของชาติ เป็ น การศึกษาเรื่องราวในประวตั ิศาสตร์ที่คนไทยทุกคนควรรู้และจดจาํ ว่ากว่าจะเป็ น “สยาม” หรือ “ประเทศไทย” บรรพบุรุษตอ้ งเสียเลือดสละชีพหลายร้อยพนั คน และยงั มีพระมหากษตั ริยท์ ่ีทรง พระปรีชาสามารถทรงทาํ ยุทธหตั ถีเพื่อรักษาผืนแผน่ ดินไทยและรักษาไวซ้ ่ึงความเป็ นไทยมาจวบ จนถึงปัจจุบนั ผเู้ รียนจะไดศ้ ึกษาเรื่องราวท้งั หมดในคู่มือเรียนในเล่มน้ี สถานศึกษาในสงั กดั กศน.จงั หวดั อาํ นาจเจริญ ขอขอบพระคุณผูเ้ รียบเรียงและคณะผูจ้ ดั ทาํ ทุกท่านท่ีให้ความร่วมมือเป็ นอย่างดี หวงั เป็ นอย่างย่ิงว่าคู่มือเรียนชุดน้ีจะเป็ นประโยชน์ในการ จดั การเรียนการสอนสาํ หรับคุณครูและผเู้ รียนต่อไป สถานศึกษาในสงั กดั สาํ นกั งาน กศน.จงั หวดั อาํ นาจเจริญ มิถุนายน 2560

สารบญั ข หน้า ก ข คานา ค สารบญั ง คาอธิบายรายวชิ า รายละเอยี ดคาอธิบายรายวชิ า 1 23 บทที่ 1 การต้งั หลกั แหล่งในดินแดนประเทศไทย 45 บทท่ี 2 อาณาจกั รสุโขทยั 81 บทที่ 3 อาณาจกั รอยธุ ยา 101 บทท่ี 4 อาณาจกั รธนบุรี บทที่ 5 พฒั นาการของชาติไทยสมยั รัตนโกสินทร์ 159 162 บรรณานุกรม คณะทางาน

ค คาอธิบายรายวชิ าเลือกเสรี วชิ าประวตั ิศาสตร์ชาติไทย (ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น) รหสั สค 21049 จานวน 2 หน่วยกติ ระดบั ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น มาตรฐานการเรียนรู้ระดบั มีความรู้ ความเข้าใจ และตระหนักถึงความสําคญั เกี่ยวกบั ภูมิศาสตร์ ประวตั ิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง การปกครอง สามารถนาํ มาปรับใชใ้ นการดาํ รงชีวติ ศึกษาและฝึ กทกั ษะเกยี่ วกบั เรื่องต่อไปนี้ การต้งั หลกั แหล่งในดินแดนประเทศไทย : ความหมาย ความสาํ คญั คุณค่า ของการต้งั หลกั แหล่งสมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์ การต้งั ถ่ินฐานสมยั ประวตั ิศาสตร์ในดินแดนประเทศไทย อาณาจกั รสุโขทยั : ความหมาย ความสําคญั คุณค่าของการต้งั ถ่ินฐานก่อนอาณาจกั ร สุโขทยั การสถาปนาอาณาจกั รสุโขทยั บทบาทและผลงานของบุคคลสําคญั ในสมัยสุโขทยั พฒั นาการของอาณาจกั รสุโขทยั การเส่ือมของอาณาจกั รสุโขทยั อาณาจกั รอยุธยา : ความหมาย ความสําคญั คุณค่าของ การสถาปนาอาณาจกั รอยุธยา บทบาทและผลงานของบุคคลสําคญั ในสมยั อยธุ ยา พฒั นาการของอาณาจกั รอยธุ ยา การเสื่อมของ อาณาจกั รอยธุ ยา อาณาจกั รธนบุรี : ความหมาย ความสาํ คญั คุณค่าของ การสถาปนาอาํ นาจของสมเด็จพระ เจา้ กรุงธนบุรี บทบาทและผลงานของบุคคลสําคญั ในสมยั ธนบุรี พฒั นาการของอาณาจกั รธนบุรี การเส่ือมของอาณาจกั รธนบุรี พฒั นาการของชาติไทยสมยั รัตนโกสินทร์ : ความหมาย ความสําคญั คุณค่าของพฒั นาการ ของชาติไทยสมยั รัตนโกสินทร์ การสถาปนาอาณาจกั ร พฒั นาการดา้ นต่างๆสมยั รัตนโกสินทร์ บทบาทของพระมหากษตั ริยไ์ ทยในราชวงศจ์ กั รีในการสร้างความเจริญและความมนั่ คงของชาติ การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ เน้นให้ผูเ้ รียนไดแ้ ลกเปล่ียนเรียนรู้จากการอภิปรายกลุ่ม ศึกษาจากใบความรู้ เอกสาร ประกอบการเรียนการสอนและเอกสารท่ีเก่ียวขอ้ ง ศึกษาจากอินเตอร์เน็ต ผรู้ ู้/ผเู้ ช่ียวชาญ สื่อวดี ีทศั น์ การทาํ ใบงาน การทาํ แบบทดสอบ เรียนรู้ดว้ ยตนเอง การรายงาน การศึกษาจากแหล่งเรียนรู้ ประสบการณ์ตรงโดยใชส้ ถานการณ์จริงและฝึกปฏิบตั ิเก่ียวกบั ประวตั ิศาสตร์ชาติไทย การวดั และประเมินผล ประเมินจากแบบทดสอบ จากสภาพจริง จากการสงั เกต การอภิปราย การสัมภาษณ์ ผลการ ปฏิบตั ิงาน การมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ ความสนใจในกระบวนการเรียนรู้ ความรับผดิ ชอบ ในการปฏิบตั ิงาน

ง รายละเอยี ดคาอธิบายรายวชิ าเลือกเสรี วชิ าประวตั ิศาสตร์ชาติไทย (ระดับมธั ยมศึกษาตอนต้น) รหัส สค21049 จานวน 2 หน่วยกติ ระดับระดับมธั ยมศึกษาตอนต้น มาตรฐานการเรียนรู้ระดบั มีความรู้ ความเข้าใจ และตระหนักถึงความสําคญั เกี่ยวกับภูมิศาสตร์ ประวตั ิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง การปกครอง สามารถนาํ มาปรับใชใ้ นการดาํ รงชีวติ ท่ี หัวเร่ือง ตัวชี้วดั เนื้อหา จานวน 1 การต้งั หลกั แหล่งใน ชั่วโมง 1. มีความรู้ความเขา้ ใจความสาํ คญั เร่ืองที่ 1 การต้งั หลกั แหล่ง ดินแดนประเทศไทย 10 การต้งั หลกั แหล่งในดินแดน สมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์ 2 อาณาจกั รสุโขทยั 20 ประเทศไทย เร่ืองท่ี 2 การต้งั ถิ่นฐานสมยั 2. ตระหนกั เห็นคุณค่าความสาํ คญั ประวตั ิศาสตร์ในดินแดน ของการต้งั หลกั แหล่งในดินแดน ประเทศไทย ประเทศไทย 3. สามารถนาํ ความรู้มาปรับใช้ ในการดาํ รงชีวติ 1. มีความรู้ความเขา้ ใจความสาํ คญั เร่ืองที่ 1 การสถาปนา ของอาณาจกั รสุโขทยั อาณาจกั รสุโขทยั 2. ตระหนกั เห็นคุณคา่ ของ เรื่องท่ี 2 พฒั นาการของ อาณาจกั รสุโขทยั อาณาจกั รสุโขทยั 3. สามารถนาํ ความรู้มาปรับใช้ เรื่องที่ 3 บทบาทและผลงาน ในการดาํ รงชีวติ ของบุคคลสาํ คญั ในสมยั สุโขทยั เร่ืองท่ี 4 การเส่ือมของ อาณาจกั รสุโขทยั

จ ที่ หัวเรื่อง ตวั ชี้วดั เนื้อหา จานวน 3 อาณาจกั รอยธุ ยา ชั่วโมง 1. มีความรู้ความเขา้ ใจ เร่ืองท่ี 1 การสถาปนา 4 อาณาจกั รธนบุรี 20 5 พฒั นาการของชาติ ความสาํ คญั ของอาณาจกั รอยธุ ยา อาณาจกั รอยธุ ยา ไทยสมยั รัตนโกสินทร์ 2. ตระหนกั เห็นคุณค่า ของ เร่ืองท่ี 2 พฒั นาการของ อาณาจกั รอยธุ ยา อาณาจกั รอยธุ ยา 3. สามารถนาํ ความรู้มาปรับใช้ เรื่องท่ี 3 บทบาทและผลงาน ในการดาํ รงชีวติ ของบุคคลสาํ คญั ในสมยั อยธุ ยา เรื่องท่ี 4 การเสื่อมของ อาณาจกั รอยธุ ยา 1. มีความรู้ความเขา้ ใจ เร่ืองที่ 1 การสถาปนาอาํ นาจ 10 20 ความสาํ คญั ของอาณาจกั รธนบุรี ของสมเดจ็ พระเจา้ กรุงธนบุรี 2. ตระหนกั เห็นคุณค่าของ เรื่องที่ 2 พฒั นาการของ อาณาจกั รธนบุรี อาณาจกั รธนบุรี 3. สามารถนาํ ความรู้มาปรับใช้ เรื่องท่ี 3 บทบาทและผลงาน ในการดาํ รงชีวติ ของบุคคลสาํ คญั ในสมยั ธนบุรี เร่ืองที่ 4 การเสื่อมของอาณาจกั ร ธนบุรี 1. มีความรู้ความเขา้ ใจ เร่ืองที่ 1 การสถาปนา ความสาํ คญั ของพฒั นาการของ อาณาจกั ร ชาติไทยสมยั รัตนโกสินทร์ เร่ืองท่ี 2 พฒั นาการดา้ นต่างๆ 2. ตระหนกั เห็นคุณค่าของ สมยั รัตนโกสินทร์ พฒั นาการของชาติไทยสมยั เรื่องที่ 3 บทบาทของ รัตนโกสินทร์ พระมหากษตั ริยไ์ ทยในราชวงศ์ 3. สามารถนาํ ความรู้มาปรับใช้ จกั รีในการสร้างความเจริญและ ในการดาํ รงชีวติ ความมนั่ คงของชาติ

1

2 บทที่ 1 การต้ังหลกั แหล่งในดินแดนประเทศไทย เร่ือง การต้ังหลกั แหล่งสมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์ การสํารวจและขุดค้นทางโบราณคดี ได้พบหลักฐานการต้งั หลักแหล่งของมนุษย์ใน สมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์กระจายอยู่ในพ้ืนท่ีเกือบทุกภาคของประเทศไทย ท่ีต้งั และเครื่องมือ เครื่องใชท้ ่ีขุดพบในแต่ละทอ้ งถิ่นแสดงให้เห็นถึงพฒั นาการทางเศรษฐกิจและสังคมของชุมชนใน ช่วงเวลาท่ีแตกต่างกนั ดงั น้ี เน่ืองจากสมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์ยงั ไม่มีตวั อกั ษรใชบ้ นั ทึกเร่ืองราว นกั โบราณคดีจะศึกษา เรื่องราวสมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์ โดยอาศยั หลกั ฐานทางโบราณคดี เช่น โครงกระดูกมนุษย์ เครื่องมือเคร่ืองใช้อาวุธต่างๆ เคร่ืองมือหิน เครื่องป้ันดินเผาเครื่องประดบั ตลอดจนถ้าํ เพิงพา ภาพวาด ที่มนุษยอ์ ยอู่ าศยั และวาดไวเ้ ป็ นตน้ และเน่ืองจากสมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์ มีอายุยาวนาน มาก นกั โบราณคดีจึงตอ้ งมีการแบ่งเป็นสมยั ยอ่ ย โดยใชห้ ลกั เกณฑ์สาํ คญั คือ ความกา้ วหนา้ ในการ ทาํ เคร่ืองมือเครื่องใช้เป็ นหลกั ในการแบ่ง ซ่ึงสามารถแบ่งออกเป็ น 2 ยุคใหญ่ๆ คือ ยุคหิน กบั ยุค โลหะ 1. การต้ังถ่ินฐานในยุคหิน (ประมาณ 2,000,000 – 5,500 ปี มาแลว้ ) ขอ้ สันนิษฐานจากการ สาํ รวจดา้ นโบราณคดีพบวา่ ดินแดนประเทศไทยเป็ นเส้นทางผา่ นของมนุษยใ์ นยคุ แรก เริ่มจากเขต ภาคพ้ืนทวีป ลงไปสู่หมู่เกาะทางตอนล่าง เน่ืองจากคน้ พบเครื่องมือหินกะเทาะยุคแรกๆ ที่มีอายุ ประมาณ 3 หมื่นปี ในพ้ืนที่ 2 แห่ง คือ ภาคเหนือพบท่ีแหล่งโบราณคดีแม่ทะ จงั หวดั ลาํ ปาง และ ภาคใตพ้ บท่ีแหล่งโบราณคดีถ้าํ หลงั โรงเรียน จงั หวดั กระบี่ เครื่ องมือเคร่ื องใช้ ที่ทาจากหิ นและกระดูกสัตว์

3 บริเวณทพี่ บการต้ังหลกั แหล่งยคุ หินในประเทศไทย ได้แก่ 1. แหล่งโบราณคดีอาเภอแม่ทะ จังหวัดลาปาง พบเครื่องมือหินกะเทาะรุ่นเก่า ท่ี ทําจากหินกรวดในแม่น้ํา พบอยู่ในช้ันของหินกรวดท่ีวางตัวอยู่ใต้ช้ันหินบะชอลท์ อายุ ประมาณ 400,000 – 600,000 หรือถึง 800,000 ปี นอกจากน้ีเมื่อ พ.ศ. 2544 นายสมศกั ด์ิ ประมาณ กิจและคุณวฒั นา ศุภวนั ไดพ้ บชิ้นส่วนกะโหลกศีรษะของมนุษยโ์ ฮโมอิเลคตสั อายปุ ระมาณ 500,000 ปี 2. แหล่งโบราณคดีท่ีถา้ หลังโรงเรียน จังหวัดกระบ่ี แหล่งโบราณคดีแห่งน้ีไดถ้ ูก คน้ เม่ือ พ.ศ.2526 โดย ดร.ดกั ลาส แอนเดอร์สัน (Dr.Douglas Anderson) ไดพ้ บหลกั ฐานทาง โบราณคดีมากมาย ที่แสดงใหเ้ ห็นวา่ ถ้าํ หลงั โรงเรี ยนแห่งน้ี เคยเป็ นชุมชนของมนุษย์ สมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์ ที่นบั ว่าเก่าแก่ท่ีสุด ในประเทศไทย รวมท้งั เอเชียตะวนั ออกเฉียง ใต้ จากการขุดคน้ ทางโบราณคดี ปรากฏพบ เครื่องมือหินกะเทาะท่ีมีการตกแต่งขอบ ท้งั เครื่องมือแกนหิน และเครื่องมือสะเก็ดหิน ซ่ึง คํานวณอายุทางวิชาการได้ว่า มีอายุอยู่ใน ถา้ หลังโรงเรียนบ้านทับปริก จังหวดั กระบ่ี ช่วงเวลาราว 37,000- 27,000 ปี มาแลว้ 3. แหล่งโบราณคดีถา้ ผีแมน ลานา้ ปาย อาเภอเมือง จังหวดั แม่ฮ่องสอน เป็ นถ้าํ ที่ พบหลกั ฐาน วา่ มีมนุษยเ์ ขา้ มาอาศยั ในถ้าํ น้ี เมื่อประมาณ 11,000 -12,000 ปี มาแลว้ เนื่องจากพบวา่ มีเคร่ืองมือแบบฮวั บิเนียนท่ีทาํ จากหินกรวดแม่น้าํ นอกจากน้ียงั คน้ พบชิ้นส่วนของเมล็ดพืช จาํ พวก พริกไทย น้าํ เตา้ ถวั่ และผกั บางชนิด ท่ีทาํ ใหเ้ ขา้ ใจไดว้ า่ มนุษยใ์ นยุคน้นั ไดร้ ู้จกั ใชพ้ ืชบริโภคหรือ อาจจะรู้จกั นาํ มาเพาะปลูก นอกจากน้ียงั พบโลงศพไมท้ ่ีเป็นรูปเรือขดุ จาํ นวนมาก โลงศพรูปเรือขดุ แหล่งโบราณคดีถา้ ผีแมน จังหวัดแม่ฮ่องสอน

4 4. แ ห ล่ ง โ บ ร า ณ ค ดี บ้ า น เ ก่ า อ า เ ภ อ เมือง จังหวดั กาญจนบุรี เป็ นแหล่งโบราณคดีที่มีความสาํ คญั มาแห่งหน่ึง ในการขุดคน้ ทางโบราณคดี พบภาชนะที่สร้าง ลกั ษณะพิเศษแตกต่างจากท่ีอื่นคือ ภาชนะดินเผาสามขา มี การฝังศพในลักษณะนอนหงายเหยียดตรง และมีการวาง ภาชนะ ดิ นเผ าหล าย ใ บพ ร้ อมกับสิ่ งข องเคร่ื องมื อ หม้อสามขา แหล่งโบราณคดี เคร่ืองใช้ เช่น ขวานหินขดั แวป่ันด้าย ดินเผา และ บ้านเก่า จังหวัดกาญจนบรุ ี เคร่ืองประดบั เช่น กาํ ไล ลูกปัด ชุมชนน้ียงั ไม่มีการใชโ้ ลหะ ทาํ เครื่องมือหิน ซ่ึงส่วนมากพบขวานหินขดั และเครื่องประดบั เช่น กาํ ไล ลูกปัด ท่ีทาํ มาจากหิน และเปลือกหอยทะเล 5. แหล่งโบราณคดีบ้านโป่ งมะนาว ตาบลห้วยขุนราม อาเภอพฒั นานิคม จังหวัด ลพบุรี จากการขุดพบว่าแหล่งโบราณคดี พบโครงกระดูกมนุษยผ์ ูช้ ายผูห้ ญิงและเด็กฝังอยู่ใน ลกั ษณะวางนอนหงายเหยยี ดตรงอยา่ งเป็ นระเบียบ แต่ละศพน้นั มีการวางภาชนะดินเผา เครื่องมือ หรืออาวธุ ท่ีทาํ ดว้ ยเหล็ก เครื่องประดบั ทาํ มาจากวสั ดุชนิดต่างๆ เช่น ต่างหูทาํ ดว้ ยแกว้ ต่างหูทาํ ดว้ ยหินอ่อน แหวนสําริด เครื่องประดบั หน้าอกท่ีเป็ นแผ่นกลมแบนทาํ จากส่วนหน้าอกของเต่า ทะเล โครงกระดูกหลายชนิด มีการวางปลายเทา้ ของหมูเป็ นเครื่องเซ่นไวด้ ว้ ย นบั วา่ เป็ นสุสานของ มนุษยก์ ่อนประวตั ิศาสตร์ชุมชนบา้ นโป่ งมะนาว ในช่วงระยะเวลาแรก เม่ือประมาณ 3,500 - 3,000 ปี มาแลว้ น้นั มีมนุษยเ์ ขา้ ไปอาศยั อยู่ โดยยงั ไม่เป็ น ชุมชนที่ใหญ่นกั มีการใชข้ วานหินขดั 2. การต้งั หลกั แหล่งในยคุ โลหะ (ประมาณ แหล่งเรียนรู้โบราณคดีบ้านโป่ งมะนาว ย้อน รอยมนุษย์ยคุ ก่อนประวตั ิศาสตร์ 4,000-1,500 ปี มาแล้ว) ยคุ โลหะในประเทศไทย แบง่ เป็น 2 ยคุ ยอ่ ยๆ ดงั น้ี 1.) ยุคสาริด มนุษยร์ ู้จกั ใชโ้ ลหะสําริด (ทองแดงผสมดีบุก)ทาํ เคร่ืองมือเครื่องใช้ และเคร่ืองประดบั มีชีวิตความเป็ นอยูท่ ่ีดีข้ึนกวา่ ในยุคหิน อาศยั อยูร่ วมกนั เป็ นชุมชนใหญ่ข้ึน รู้จกั ปลูกขา้ วและเล้ียงสัตว์ (หมูและววั ) 2.) ยุคเหล็ก มนุษยร์ ู้จกั นาํ เหล็กมาหลอมทาํ อาวธุ เครื่องมือ เครื่องใช้ ๆ แต่ยงั คง ดาํ รงชีวิตดว้ ยการทาํ เกษตรกรรม มีการติดต่อขายระหว่างชุมชนต่าง ๆ ทาํ ให้ความเจริญขยายตวั อยา่ งรวดเร็ว

5 บริเวณทม่ี กี ารต้งั หลกั แหล่งในยคุ โลหะนี้ ได้แก่ 1. แหล่งโบราณคดีลุ่มน้าป่ าสัก-ลพบุรี คือ เขตชุมชนเก่าในยุคหินใหม่ที่มีความอุดม สมบูรณ์ในฐานะแหล่งเกษตรกรรม เป็นแหล่งถลุงโลหะ และสินคา้ ของป่ า เพ่อื การคา้ รวมท้งั มี ทาํ เลอยรู่ ิมลาํ น้าํ ใหญ่ใกลป้ ากอ่าว สามารถเป็ นส่ือกลางในการติดต่อระหวา่ งชุมชนชายฝ่ังทะเลกบั ชุมชนที่อยูล่ ึกเขา้ ไป ภายในไดส้ ะดวก แหล่งโบราณคดีสําคญั ไดแ้ ก่ ท่าแค พุนอ้ ย โนนป่ าหวาย หว้ ยใหญ่ หว้ ยโป่ ง และซบั จาํ ปา 2. แหล่งโบราณคดีในลุ่มแม่นา้ กลอง ชุมชนที่ท่ีขยายตวั จากบริเวณแม่น้าํ แควใหญ่ในยุคหิน ใหม่และยุคโลหะได้พฒั นาข้ึนเป็ นเมืองใกล้ชายฝ่ังมากข้ึน เพื่อขยายพ้ืนท่ีเพาะปลูก และติดต่อ คา้ ขายกบั รัฐนอกภูมิภาค พ้ืนท่ีสาํ คญั ไดแ้ ก่ แหล่งโบราณคดี เมืองคูบวั อาํ เภอเมือง จงั หวดั ราชบุรี เป็ นชุมชนสมยั สําริด แหล่งโบราณคดีบา้ นดินตาเพชร อาํ เภอพนมทวน จงั หวดั กาญจนบุรี เป็ น ชุมชนยุคเหล็ก นอกจากน้ี ยงั มีเมืองท่ีเป็ นชุมชนทางการคา้ บก คือเมืองพงตึกในลุ่มน้าํ แควจงั หวดั กาญจนบุรี และเมืองท่าชายฝั่งที่สาํ คญั ในสมยั ทวารวดี คือเมืองคูบวั อาํ เภอเมือง จงั หวดั ราชบุรี ศาสนสถานในเมืองคูบัว ตาบลคูบัว อาเภอเมืองจังหวัดราชบรุ ี 3. แหล่งโบราณคดีในแอ่งสกลนคร ประกอบด้วยกลุ่มบ้านเชียง หลักฐานสําคญั ทาง โบราณคดีท่ีแสดงวา่ แอ่งสกลนครเป็ น “แอ่งอารยธรรม” เก่าแก่ยุคแรกที่แพร่กระจายไปยงั ภูมิภาค อื่นๆ ไดแ้ ก่ เกี่ยวกบั โลหะ เสมาหิน ศิลปกรรมในถ้าํ และภาชนะดินเผาแบบตา่ ง ๆ ซ่ึงสรุปไดด้ งั น้ี 3.1 เกยี่ วกบั โลหะ คนอีสานในแอ่งสกลนครเม่ือราว 4,000 ปี ก่อนมีความรู้และความกา้ วหน้าทาง เทคโนโลยรี ะดบั สูงเพราะรู้จกั ถลุงแร่โลหะทาํ เคร่ืองมือเครื่องใช้ เช่น ใบหอก กาํ ไร (ขอ้ มือ, ขอ้ เทา้ ) ฯลฯ แร่โลหะที่รู้จกั ถลุง ไดแ้ ก่ “สําริด” (Bronze) ซ่ึงเป็ นโลหะผสมมีทองแดงและดีบุก เทคโนโลยี เกี่ยวกับโลหะพบมากมายทว่ั ไปในแอ่งสกลนคร โดยเฉพาะบริเวณแหล่งโบราณคดีบา้ นเชียง อาํ เภอหนองหาน จงั หวดั อุดรธานี 3.2 เสมาหิน เสมาหินหรือใบเสมา เป็ นทวารวดีอีสาน ท่ีมีความเก่าแก่และมีลกั ษณะพิเศษเป็ น ของตนเองโดยเฉพาะ เสมาหินยุคด้งั เดิมเป็ นคติความเชื่อ “หินต้งั ” (Megaliths) ก่อนสมยั

6 ประวตั ิศาสตร์ ใชป้ ักกาํ หนดขอบเขตศกั ด์ิสิทธ์ิ รวมท้งั การกาํ หนดประหารหรือหลกั บูชายญั ให้ ขวญั หรือวญิ ญาณสิงเขา้ สู่หินต้งั เพ่ือคอยปกป้องคุม้ ครองเผา่ พนั ธุ์ ซ่ึงเป็ นระบบความเชื่อในคตินบั ถือผบี รรพบุรุษที่สืบทอดกนั มา มีตวั อยา่ งหินต้งั ในแอ่งสกลนครอยบู่ น “ภูพระบาท” อาํ เภอบา้ นผือ จงั หวดั อุดรธานี แหล่งโบราณคดีบา้ นเปื อย หวั ดง จงั หวดั อาํ นาจเจริญ ซ่ึงเป็ นแหล่งโบราณคดีที่ สาํ คญั ท่ีพบวา่ มีการปักเสมาเป็นจาํ นวนมาก 3.3 ศิลปกรรมในถา้ มนุษยก์ ่อนประวตั ิศาสตร์น้นั นิยมเขียนภาพไวบ้ นผนงั ถ้าํ หรือหนา้ ผาหินศิลปะถ้าํ หรือภาพเขียนสีน้ี (ROCK PAINTING) ถือว่าเป็ นงานศิลปกรรมท่ีมนุษยใ์ นสมยั น้นั เขียนข้ึนเพ่ือ สะท้อนให้เห็นการดํารงชีวิต หรื อความเชื่อต่างๆ ใน พ.ศ.2467 นายเอ เอฟ จี แคร์ (A.F.G.KERR)ได้ค้นพบภาพเขียนสีคร้ังแรกท่ีถ้าํ มือแดง บ้านส้มป่ อย ตาํ บลสีบุญเรือง อาํ เภอ มุกดาหาร จงั หวดั นครพนม เป็ นภาพที่ทาํ ข้ึนโดยใชม้ ือจุ่มสีประทบั บนผนงั ถ้าํ หรือเขียนเป็ นภาพ มือ มีท้งั มือสีแดงและสีเทารวม 10 มือดว้ ยกนั และยงั มีภาพคนยืน 6 คน ต่อมาได้มีการคน้ พบ ภาพเขียนบนผนงั ถ้าํ มากข้ึน ในเขตภาคอีสาน ไดแ้ ก่ จงั หวดั อุดรธานี เลย ขอนแก่น ชยั ภูมิ และ กาฬสินธุ์ 4.4. แหล่งโบราณคดีในแอ่งโคราช ประกอบดว้ ยกลุ่มทุ่งสาํ ริด ซ่ึงอยูบ่ ริเวณที่ราบ ตอนกลางของลาํ น้าํ มูล และกลุ่มทุ่งกลุ าร้องไห้ ซ่ึงอยูใ่ นเขตพ้ืนท่ีลาํ น้าํ มูล-ชี บริเวณน้ีค่อนขา้ งแห้ง แลง้ เพราะดินเป็ นดินปนทรายไม่อุม้ น้าํ ยกเวน้ บริเวณปากน้าํ มูลซ่ึงเป็ นท่ีราบดินตะกอนอนั อุดม สมบูรณ์ แต่ชุมชนในแอ่งโคราชสามารถพฒั นาข้ึนเป็ นเมืองใหญ่ในสมยั ประวตั ิศาสตร์ไดเ้ พราะมี การผลิตเหลก็ และเกลือสินเธาวเ์ พ่ือการส่งออก ประกอบกบั พ้ืนท่ีน้ีอยูใ่ นทาํ เล ท่ีเชื่อมต่อกบั อีสาน ตอนบน เขมร ลุ่มน้าํ เจา้ พระยาไดส้ ะดวก

7 กจิ กรรมท้ายเรื่อง คาํ ช้ีแจง : ใหผ้ เู้ รียนตอบคาํ ถามต่อไปน้ีใหถ้ ูกตอ้ ง 1. นกั โบราณคดีมีการแบง่ เป็ นสมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์ โดยใชห้ ลกั เกณฑส์ าํ คญั อะไรบา้ ง ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. 2. ความกา้ วหนา้ ในการทาํ เครื่องมือเครื่องใชเ้ ป็ นหลกั ในการแบง่ ซ่ึงสามารถแบง่ ออกเป็น 2 ยคุ ใหญ่ๆ คือ ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. 3. ใหอ้ ธิบาย “การต้งั ถนิ่ ฐานในยคุ หนิ ”มาพอสังเขป ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. 4. บริเวณท่ีพบการต้งั หลกั แหล่งยคุ หินในประเทศไทย ไดแ้ ก่ ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................

8 5. การต้งั หลกั แหล่งในยคุ โลหะ แบง่ เป็น 2 ยคุ ไดแ้ ก่ พร้อมอธิบายมาพอสงั เขป ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. 6. บริเวณท่ีมีการต้งั บา้ นเมืองในยคุ โลหะน้ี ไดแ้ ก่ ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................

9 การต้ังถน่ิ ฐานสมัยประวตั ศิ าสตร์ในดินแดนประเทศไทย มีความเขา้ ใจมาช้านานแล้ววา่ ในบริเวณท่ีเป็ นประเทศไทยในปัจจุบนั เคยมีช่ือเรียกว่า \"สุวรรณภูมิ\" ตามความเขา้ ใจของชาวอินเดียท่ีเดินทางเขา้ มาติดต่อคา้ ขายแถบน้ี แต่ปัญหาที่มกั เป็ น คาํ ถามอยเู่ สมอในการศึกษาประวตั ิศาสตร์ไทยก็คือ ดินแดนสุวรรณภูมิเป็ นของชนชาติใด ชนชาติ ไทยมาจากไหน มาจากตอนใตข้ องจีน หรือมีพฒั นาการมาจากดินแดนในประเทศไทยในปัจจุบนั ปัญหาเหล่าน้ีมกั จะเป็นขอ้ สงสยั ในประวตั ิศาสตร์ไทยอยตู่ ลอดเวลา หลกั ฐานทใี่ ช้ในการศึกษาเร่ืองราวของชนชาติไทย 1. หลักฐานช้ันต้นหรือปฐมภูมิ หมายถึง บนั ทึกหรือคาํ บอกเล่าของผพู้ บเห็นเหตุการณ์ หรือผเู้ ก่ียวขอ้ งกบั เหตุการณ์ หรือผรู้ ่วมสมยั กบั เหตุการณ์ เช่น บนั ทึก จดหมายเหตุ เป็นตน้ 2. หลักฐานช้ันรองหรือทุติยภูมิ หมายถึง ผลงานการคน้ ควา้ ท่ีเขียนข้ึนหรือเรียบเรียงข้ึน ภายหลงั จากเกิดเหตุการณ์น้นั แลว้ โดยอาศยั หลกั ฐานช้นั ตน้ และเพ่ิมเติมด้วยความคิดเห็น คาํ วนิ ิจฉยั ตลอดจนเหตุผลอ่ืนๆ ประกอบ เช่น พงศาวดาร ตาํ นาน คาํ ใหก้ าร เป็นตน้ แนวคดิ ทเ่ี ชื่อว่าถิน่ กาเนิดของชนชาตไิ ทย การศึกษาเรื่องถ่ินกาํ เนิดของชนชาติไทย ได้เร่ิมข้ึนเมื่อประมาณ 100 ปี เศษมาแล้ว โดยนกั วิชาการชาวตะวนั ตก ต่อมานกั วชิ าการสาขาต่างๆ ท้งั คนไทยและชาวต่างประเทศไดศ้ ึกษา คน้ ควา้ ต่อมาเป็ นลาํ ดบั จนถึงปัจจุบนั การศึกษาคน้ ควา้ ไดอ้ าศยั หลกั ฐานต่างๆ เช่น โครงกระดูก มนุษย์ เคร่ืองมือเครื่องใช้ เอกสารจีนโบราณ หลกั ฐานทางภาษา และวฒั นธรรมทอ้ งถ่ิน ผลจากการ คน้ ควา้ ปรากฏวา่ นกั วิชาการ และผูส้ นใจเรื่องถิ่นกาํ เนิดของชนชาติไทยต่างเสนอแนวคิดไวห้ ลาย อยา่ ง แตย่ งั ไมม่ ีแนวคิดใดเป็นที่ยอมรับกนั ในปัจจุบนั ในระยะแรกๆนกั วชิ าการส่วนใหญ่เช่ือวา่ ถ่ิน กาํ เนิดของชนชาติไทยอยู่ในดินแดนประเทศจีน ต่อมาอพยพยา้ ยถ่ินกระจายออกไป และไดเ้ สนอ แนวความคิดเกี่ยวกบั ถ่ินกาํ เนิดของชนชาติไทย 5 แนวคิด ดงั น้ี 1. แนวคิดทเ่ี ช่ือว่าถ่นิ กาเนิดของชนชาตไิ ทยอย่ทู างตอนเหนือของประเทศจีนแถบ เทือกเขาอลั ไต ดร.วิลเลียม คลิฟตัน ดอดด์ หมอสอนศาสนาชาวอเมริกนั ไดน้ าํ ความเช่ือน้ีไป กล่าวไว้ ในงานเขียนเก่ียวกบั ชนชาติไทยของเขาวา่ พวกมุงซ่ึงเชื่อกนั วา่ เป็ นบรรพบุรุษของคนไทย ไดอ้ พยพโยกยา้ ยถิ่นฐานมาจากถ่ินกาํ เนิดของตนในเอเชียกลางมายงั ชายแดนดา้ นตะวนั ตกของจีน ขุนวจิ ิตรมาตรา ( สง่า กาญจนาคพนั ธ์ ) ไดแ้ สดงความคิดเห็นไวใ้ นหนงั สือหลกั ไท (พ.ศ. 2471) เช่ือว่าแหล่งกาํ เนิดของชนชาติไทยอยู่บริเวณเทือกเขาอลั ไตของเอเชียกลาง ภายหลงั จึงไดอ้ พยพมาต้งั ถิ่นฐานแถบบริเวณลุ่มแม่น้าํ เหลือง และแม่น้าํ แยงซี ต่อมาเมื่อถูกรุกราน จึงค่อย ๆ อพยพลงมาสู่สุวรรณภูมิ ต่อมามีการศึกษาทางดา้ นโบราณคดีและดา้ นภูมิศาสตร์ ทาํ ให้

10 แนว ความคิดน้ีไม่ไดร้ ับการยอมรับอีกต่อไป เพราะทางแถบบริเวณเทือกเขาอลั ไตของเอเชียกลาง น้นั เป็นเขตแหง้ แลง้ จึงไม่เหมาะสาํ หรับจะเป็นท่ีอยอู่ าศยั ของมนุษย์ แผนท่ีแสดงแนวคิดถ่ินกาเนิดของชนชาติไทยอย่ทู างตอนเหนือของประเทศจีนแถบเทือกเขาอัลไต 2. แนวคดิ ทเี่ ช่ือว่าถิ่นกาเนิดของชนชาติไทยอยู่ทางตอนเหนือของประเทศจีน บริเวณมณฑลเสฉวน แตร์รีออง เด ลา คูเปอรี ศาสตราจารยช์ าวฝร่ังเศส แห่งมหาวิทยาลยั ลอนดอน ประเทศองั กฤษ เจา้ ของแนวความคิดท่ีเช่ือวา่ คนเช้ือชาติไทยเดิมต้งั ถ่ินฐานเป็ นอาณาจกั รโบราณ บริเวณตอนกลางของจีน แถบมณฑลเสฉวน ประมาณปี ที่ 1765 ก่อนพุทธศกั ราช จีนเรียกชนชาติ ไทยวา่ “มุง้ ” หรือ “ตา้ มุง้ ” สมเด็จพระบรมมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ ทรงเสนอความเห็นไวว้ า่ คนไทยน่าจะอยแู่ ถบดินแดนทิเบตตอ่ กบั จีน (มณฑลเสฉวนปัจจุบนั ) ราว พ.ศ. 500 ถูกจีนรุกรานจึง อพยพมาอยูท่ ี่ยูนานทางตอนใตข้ องจีน แลว้ กระจายไปต้งั ถ่ินฐานบริเวณเง้ียว ฉาน สิบสองจุไท ลา้ นนา ลา้ นชา้ ง หลวงวิจิตรวาทการ ไดก้ ล่าวถึงถิ่นกาํ เนิดของคนไทยไวว้ า่ คนไทยเคยอยู่ใน ดินแดนท่ีเป็นมณฑลเสฉวน หูเปย์ อานฮุย และเจียงซี ในตอนล่างของประเทศจีน แลว้ ไดอ้ พยพมา สู่มณฑลยนู าน และแหลมอินเดีย แผนท่ีแสดงแนวความคิดถิ่นกาเนิดของชนชาติไทยอย่ใู นบริเวณตอนกลางของจีน

11 3. แนวคดิ ทเี่ ชื่อว่าถิ่นกาเนิดของชนชาตไิ ทยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน อาร์ซิบัลด์ รอสส์ คอลูน นกั สํารวจชาวองั กฤษ ไดเ้ ขียนรายงานในหนงั สือช่ือ “ไครเซ” ซ่ึงตีพมิ พใ์ นประเทศองั กฤษเม่ือ พ.ศ. 2428 ไดพ้ บคนเช้ือชาติไทยในบริเวณภาคใตข้ อง จีนต้งั แตก่ วางตุง้ ไปจนถึงมณั ฑะเลยใ์ นพม่า วลู แฟรม อเี บอร์ฮาด นกั สังคมวทิ ยาและมานุษยวทิ ยา ชาวเยอรมนั ไดก้ ล่าววา่ เผา่ ไทยอยบู่ ริเวณมณฑลกวางตุง้ ต่อมาชนเผา่ ไทยไดอ้ พยพเขา้ สู่ยูนานและดินแดนในอ่าวตงั เก๋ีย และ ไดม้ าสร้างอาณาจกั รเทียนหรือแถน ที่ยูนานซ่ึงตรงกบั สมยั ราชวงศฮ์ น่ั ของจีน เมื่อถึงสมยั ราชวงศ์ ถงั เผา่ ไทยก็สถาปนาอาณาจกั รน่านเจา้ ข้ึนท่ียนู าน แสดงแนวคิดที่เช่ือว่าถิ่นกาเนิดของชนชาติไทยอย่ทู างตอนใต้ของประเทศจีน 4. แนวความคดิ ทเี่ ช่ือว่าถน่ิ กาเนิดของชนชาตไิ ทยอยู่บริเวณดินแดนประเทศไทยใน ปัจจุบนั พอล เบเนดิกต์ นกั วิชาการชาวสหรัฐอเมริกามีแนวคิดท่ีเชื่อว่า ชนชาติไทยน่าจะ อยใู่ นดินแดนประเทศไทยปัจจุบนั ในราว 4,000 – 3,000 ปี มาแลว้ จากน้นั มีพวกตระกูลมอญ เขมร อพยพมาจากอินเดีย เขา้ สู่แหลมอินโดจีน ไดผ้ ลกั ดนั ให้คนไทยกระจดั กระจายไปหลายทาง โดย กลุ่มหน่ึงอพยพไปทางตอนใต้ของจีนในปัจจุบนั ต่อมาถูกจีนผลักดันจึงถอยร่นลงไปอยู่ใน เขตอสั สัม ฉาน ลาว ไทย ตงั เก๋ีย จึงมีกลุ่มชนที่พูดภาษาไทยกระจดั กระจายอยทู่ ว่ั ไป ศ.นายแพทย์สุด แสงวิเชียร ผู้เช่ียวชาญด้านกายวิภาคศาสตร์ มีแนวคิดท่ีเช่ือว่า ดินแดนประเทศไทยน่าจะเป็ นที่อยูข่ องบรรพบุรุษคนไทยมาต้งั แต่สมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์ และ รายงานช้นั ตน้ ถึงลกั ษณะโครงกระดูกมนุษยส์ มยั หินใหม่ท่ีพบหมู่บา้ นเก่า อาํ เภอเมือง จงั หวดั กาญจนบุรี ศึกษาเปรียบเทียบโครงกระดูกมนุษยย์ ุคหินใหม่ 37 โครง ผลการเปรียบมนุษยย์ ุคหิน ใหม่มีลกั ษณะเหมือนกบั โครงกระดูกของคนไทยปัจจุบนั สันนิษฐานว่า ดินแดนไทยในอดีตจึง น่าจะเป็นท่ีอยูอ่ าศยั ของกลุ่มชนที่เป็ น บรรพบุรุษของคนไทยในปัจจุบนั โครงกระดูกแบบใหญ่

12 ศาสตราจารย์ชิน อยู่ดี ผเู้ ช่ียวชาญทางดา้ นโบราณคดีสมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์ใน ประเทศไทย ไดเ้ สนอวา่ มีร่องรอยของผคู้ นอาศยั อยตู่ ้งั แต่ยคุ หินเก่าเรื่อยมาจนกระทงั่ ยคุ หินกลาง หินใหม่ ยุคโลหะ และเขา้ สู่สมยั ประวตั ิศาสตร์ โดยแต่ละยุคไดม้ ีการสืบเนื่องทางวฒั นธรรมสืบ ต่อมาจนถึงปัจจุบนั ดว้ ย แนวความคิดน้ีมีนกั วิชาการหลายท่านพยายามนาํ หลกั ฐานทาง ดา้ น โบราณคดีและเอกสารมาพิสูจนใ์ หเ้ ห็นจริงวา่ คนไทยน่าจะอยบู่ ริเวณน้ีมาก่อน ซ่ึงแนวความคิดน้ีใน ปัจจุบนั ยงั ไม่ถือวา่ เป็นขอ้ ยตุ ิ แผนที่แสดงแนวความคิดท่ีเช่ือว่าถ่ินกาเนิดของชนชาติไทยอย่บู ริเวณดินแดนประเทศไทย 5. แนวความคิดทเี่ ชื่อว่าถน่ิ กาเนิดของชนชาตไิ ทยอย่บู ริเวณคาบสมุทรอินโดจีนหรือ คาบสมุทรมลายู และหมู่เกาะต่างๆ ในอนิ โดนีเซีย นายแพทย์สมศักด์ิ พันธ์ุสมบุญและนายแพทย์ประเวศ วะสี นักวิชาการทาง การแพทย์ คณะนกั วจิ ยั ดา้ นพนั ธุกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น ไดท้ าํ วจิ ยั ทางดา้ นพนั ธุศาสตร์ เกี่ยวกบั หมูเ่ ลือดลกั ษณะความถ่ีของจาํ นวนยนี พบวา่ หมูเ่ ลือดของคนไทยคลา้ ยคลึงกบั ชาวเกาะชวา ที่อยทู่ างใตม้ ากกวา่ คนจีนซ่ึงอยทู่ างเหนือรวมท้งั ลกั ษณะและจาํ นวนของยนี ระหวา่ งคนไทยกบั คน จีนก็ไม่เหมือนกนั ดว้ ย จากผลงานการวิจยั เรื่อง ฮีโกลบิน อี ของนายแพทยป์ ระเวศ วะสี พบว่า ฮีโมโกลบิน อี พบมากในผูค้ นแถบเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ คือไทย เขมร มอญ ปรากฏว่า ฮีโมโกลบิน อี แทบจะไม่มีในหมู่คนจีน

13 แนวความคิดที่เช่ือวา่ ถ่ินกาํ เนิดของชนชาติไทยอยบู่ ริเวณคาบสมทุ รอินโดจีนหรือ คาบสมทุ รมลายู และหมเู่ กาะต่างๆ ในอินโดนีเซีย แคว้นโบราณในประเทศไทย (พุทธศตวรรษท่ี 12 – 19) ก่อนท่ีชนชาติไทยจะอพยพเขา้ มาต้งั ถิ่นฐานในดินแดนไทยปัจจุบนั น้นั ไดม้ ีหลายชนชาติ ต้งั หลกั แหล่งอยบู่ ริเวณน้ีมาก่อนแลว้ กลุ่มชนชาติเหล่าน้ีไดส้ ร้างสรรคค์ วามเจริญของตน รวมท้งั ถ่ายทอดอารยธรรม ภูมิปัญญาโดยอารยธรรมบางอยา่ งจากอาณาจกั รโบราณเหล่าน้ีดว้ ย 1. แคว้นในภาคกลาง อยใู่ นบริเวณลุ่มแมน่ ้าํ เจา้ พระยาตอนล่าง รวมไปถึงทางภาคตะวนั ตก และภาคตะวนั ออกของลุ่มน้าํ มีแควน้ สาํ คญั ดงั น้ี 1.1. แคว้นทวารวดี ช่วงพุทธศตวรรษท่ี 12 – 16 มีเมืองศูนยก์ ลาง 2 เมือง คือ เมือง นครไชยศรี(นครปฐมโบราณ) และเมืองละโว้ (ลพบุรี) ไดร้ ับอิทธิพลอารยธรรมอินเดีย เช่น ระบบ การปกครอง ศาสนาศิลปกรรมต่าง ๆ รับศาสนาพทุ ธนิกายหินยาน เป็นศูนยก์ ลางในการเผยแพร่ไป ยงั แควน้ อ่ืน ๆ รวมท้งั ทาํ ใหเ้ กิดศิลปะแบบทวารวดี เช่น พระพุทธรูปศิลาขนาดใหญ่ พระธรรมจกั ร ศิลากบั กวางหมอบ พระพุทธรูปปูนป้ัน พระพิมพต์ ่างๆ เสมาหิน ภาพปูนป้ันสตรีเล่นดนตรี ลูกปัด ทาํ ดว้ ยแกว้ หิน ดิน เผา 1.2. แคว้นละโว้ เม่ือแควน้ ทวารวดี เสื่อมอาํ นาจในพุทธศตวรรษที่ 16 เนื่องจาก อาณาจกั รกมั พูชาแผอ่ าํ นาจมายงั ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือและภาคกลางในประเทศไทย ละโวจ้ ึงมี ความสัมพนั ธ์ใกลช้ ิดกมั พูชา และไดร้ ับอิทธิพลคติความเช่ือ ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู และพุทธ มหายาน 1.3. แคว้นอโยธยา เมืองอโยธยาเป็ นเมืองหนึ่งในแคว้นทราวดี ต้งั อยบู่ ริเวณปาก แม่น้าํ เบ้ียฝ่ังตะวนั ออกเมืองอยธุ ยาปัจจุบนั ประมาณพุทธศตวรรษที่ 18 มีการติดต่อคา้ ขายกบั จีน อินเดีย เปอร์เซีย และมีความอุดมสมบูรณ์ทางการเกษตร ทาํ ให้อโยธยามีเศรษฐกิจดี การรับ ศิลปวฒั นธรรมจากละโวท้ าํ ใหอ้ โยธยาสามารถสร้างพระพุทธรูป “พระไตรรัตนนายก” ที่วดั พนญั เชิงใต้ ก่อนการสถาปนากรุงศรีอยธุ ยาใน พ.ศ. 1893 ถึง 26 ปี

14 1.4. แคว้นสุพรรณภูมิ มีขอบข่ายพืน้ ที่อยู่ฟากตะวนั ตกของลุ่มแม่นา้ เจ้าพระยา เจริญรุ่งเรืองในพุทธศตวรรษที่ 18 – 19 เมืองสําคญั ในแควน้ ไดแ้ ก่ “ เมืองแพรกศรีราชา” (ต้งั อยูร่ ิม แม่น้าํ นอ้ ยในจงั หวดั ชยั นาทปัจจุบนั ) เมืองราชบุรี สิงห์บุรี และเพชรบุรี มีการนบั ถือพุทธศาสนา นิกายหินยานเป็ นหลกั 2. แคว้นในภาคเหนือ ในช่วงพทุ ธศตวรรษท่ี 14 – 19 แควน้ ในภาคเหนือมีแควน้ ท่ีสาํ คญั ดงั น้ี 2.1. แคว้นโยนกเชียงแสน (พุทธศตวรรษที่ 12 – 16) เป็ นอาณาจกั รเก่าแก่ของ ชนชาติไทยมาต้งั แต่พุทธศตวรรษท่ี 12 ปัจจุบนั คือ อาํ เภอเชียงแสน จงั หวดั เชียงราย เป็ นสถาน ที่ต้งั ถ่ินฐานคร้ังแรกหลงั จากท่ีชนชาติไทยไดอ้ พยพหนีการรุกรานของจีนลงมา โดย พระเจา้ สิงหนวตั ิ โอรสของพระเจา้ พีล่อโก๊ะ ไดเ้ ป็ นผูก้ ่อต้งั อาณาจกั รโยนกเชียงแสน หรือ โยนก นาคนคร ข้ึน นบั เป็นอาณาจกั รท่ีมีความยงิ่ ใหญ่และสง่างาม จนถึงสมยั ของพระเจา้ พงั คราช จึงตก อยภู่ ายใตอ้ ารยธรรมและการปกครองของพวก “ลอม” หรือ “ขอมดาํ ” ซ่ึงเป็ นชนชาติที่อาศยั อยูใ่ น บริเวณน้ี ก่อนท่ีจะมีการก่อต้งั อาณาจกั รโยนกเชียงแสน ไดเ้ ขา้ ยดึ ครองโยนกเชียงแสน 2.2 แคว้นหริภุญชัย ช่วงพุทธศตวรรษท่ี 14 ในบริเวณท่ีราบลุ่มแม่น้าํ ปิ งตอนบน และขยายถึงท่ีราบลุ่มแม่น้าํ วงั สร้างเมืองหริภุญชัย ปัจจุบนั คือ จงั หวดั ลาํ พูน ไดร้ ับอิทธิพล วฒั นธรรมทวารวดี นบั ถือศาสนาพุทธหินยาน มีความสัมพนั ธ์ใกลช้ ิดกบั หวั เมืองมอญ ท้งั ในดา้ น เศรษฐกิจและวฒั นธรรม 2.3 แคว้นล้านนา เกิดจากการรวมตวั ของชุมชนและเมืองต่าง ๆ บริเวณแม่น้าํ ปิ ง แม่น้าํ กก และแม่น้าํ โขงจาก 2 กลุ่มชน คือ ลวั ะ หรือละวา้ และพวกไทยล้ือเป็ น “ยวน” ในปี 1839 พญามงั ราย พ่อขุนรามคาํ แหงและพญางาํ เมือง สร้าง “เมืองนพบุรีศรีนครพิงคเ์ ชียงใหม่” แควน้ ลา้ นนาจึงก่อเกิดข้ึนในปี น้ี มีเมืองเชียงใหม่เป็ นราชธานี แต่ไดส้ ิ้นอาํ นาจตกเป็ นเมืองข้ึน ของพระ เจา้ หงสาวดีบุเรงนองใน พ.ศ. 2101 3. แคว้นในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ 3.1 อาณาจักรโคตรบูร (ระหวา่ ง พุทธศตวรรษท่ี 10-15) ครอบคลุมบริเวณ ฝ่ัง แม่น้าํ โขงต้งั แต่อุดรธานี หนองคาย เวยี งจนั ทน์ นครพนม มุกดาหาร อาํ นาจเจริญ ถึงอุบลราชธานี นบั ถือ พุทธศาสนา มีการสร้างพระเจดียส์ ําคญั คือ พระธาตุพนม มีเมืองหลวงคือ มรุกขนคร ซ่ึงข้ึน ใหม่ใตเ้ มืองทา่ แขก บนฝั่งซา้ ยของแม่น้าํ โขง ตาํ นานอุรังคธาตุกล่าวถึงการสร้างโบราณสถานสาํ คญั ทางพุทธศาสนานิกายเถรวาท คือ เจดียพ์ ระธาตุพนม ที่เมืองนครพนม ในประมาณพุทธศตวรรษท่ี 13 ภายในเจดียม์ ีการบรรจุพระบรมธาตุส่วนหนา้ พระอุระของพระพุทธเจา้ ซ่ึงเรียกวา่ “พระอุรังค ธาตุ” อาณาจกั รโคตรบูร เส่ือมลงเม่ือถูกอาณาจกั รลา้ นชา้ งของลาว นาํ โดยเจา้ ฟ้างุม้ โจมตีและเกิด โรคระบาด

15 3.2 อาณาจักรอศิ านปุระ (พทุ ธศตวรรษที่ 12-18) หรืออาณาจกั รขอม รุ่งเรืองข้ึนใน สมยั พระเจา้ อิศานวรมนั เรื่องราวของอาณาจกั รอิศานปุระหรือเจนละ ปรากฏอยู่ในจดหมายเหตุ จีนราชวงศต์ ่างๆ และในบนั ทึกของราชทูตจีน ช่ือ โจว ตา้ กวน เขียนบนั ทึกเร่ืองราวของอาณาจกั ร เจนละไวใ้ นชื่อ “บนั ทึกวา่ ดว้ ยขนบธรรมเนียมประเพณีของเจนละ” สมยั พระเจา้ ชยั วรมนั ที่ 7 เป็ น ยคุ ที่อาณาจกั รขอมเป็ นปึ กแผ่นและเจริญรุ่งเรืองทางดา้ นศิลปะวิทยาการสูงสุด มีการสร้าง ศาสน สถานเป็ นปราสาทหินขนาดใหญ่ข้ึนหลายแห่ง เช่น ปราสาทนครธม ปราสาทตาพรหม ปราสาท หินพิมายจงั หวดั นครราชสีมา ปราสาทหินพนมรุ้ง ปราสาทเมืองต่าํ จงั หวดั บุรีรัมย์ ปราสาทศรีขร ภูมิ จงั หวดั สุรินทร์ 4. แคว้นในภาคใต้ ในช่วงพทุ ธศตวรรษที่ 7-23 ภาคใตข้ องไทยมีแควน้ สาํ คญั คือ 4.1 แคว้นลงั กาสุกะ อาณาจกั รลงั กาสุกะ ต้งั อยูท่ างใตข้ องอาณาจกั รตามพรลิงคใ์ น คาบสมุทรมลายู บริเวณมสั ยดิ แห่งกรือเซะ ระหวา่ งอาํ เภอเมืองปัตตานีกบั อาํ เภอยะหริ่ง และบริเวณ อาํ เภอยะรัง ทางฝ่ังตะวนั ออกของแม่น้ําปัตตานี พวกชวาเรียก “นครกีรติกามา” มีอาณาเขต ครอบคลุมถึงทางเหนือตะกวั่ ป่ าและตรัง ทางใตต้ ลอดแหลมมลายู 4.2 แคว้นตามพรลิงค์ มีอายรุ าวพุทธศตวรรษที่ 13 และไดพ้ ฒั นาต่อมาเป็ น “แคว้นนครศรีธรรมราช” แควน้ ตามพรลิงค์ ก่อเกิดข้ึนจากพ้ืนฐานการเป็ นทางผา่ นในการเดินเรือ เพ่ือการคา้ หรือการอ่ืนจากอินเดียไปจีน หรือจากจีนไปอินเดีย จึงไดร้ ับอิทธิพลอารยธรรมอินเดีย และจีนโบราณ ในช่วงพุทธศตวรรษท่ี 18 – 19 แควน้ นครศรีธรรมราชเจริญรุ่งเรืองเป็ นศูนยก์ ลาง การปกครอง การคา้ และศิลปวฒั นธรรมของภาคใต้ ดา้ นศาสนาและความเชื่อมีท้งั ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู พุทธมหายาน และพุทธหินยาน 4.3 แคว้นศรีวิชัย มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 13 ศูนย์กลางความเจริญรุ่งเรือง ทางการคา้ ทางทะเล ศูนยก์ ลางของอาณาจกั รน้ี น่าจะอยทู่ ่ีเมืองปาเล็มบงั ต้งั อยูบ่ นเกาะสุมาตรา ใน ประเทศอินโดนีเซีย ส่วนเมืองไชยา(อาํ เภอไชยา จงั หวดั สุราษฎร์ธานี) ซ่ึงพบหลกั ฐานเป็ นศิลาจารึก และพระพุทธรูปโบราณเป็ นจาํ นวนมาก จนนกั ประวตั ิศาสตร์ไทยวา่ เมืองไชยาน้ีน่าเป็ นศูนยก์ ลาง อาณาจกั รศรีวชิ ยั เป็นอาณาจกั รท่ีมีความเจริญรุ่งเรืองทางดา้ นพระพทุ ธศาสนานิกายมหายาน พบพระพทุ ธรูปอวโลกิเตศวรที่เมืองไชยา และในขณะเดียวกนั พระธรรมคมั ภีร์ในพุทธศาสนาและ ศาสนาฮินดู ศาสนาพราหมณ์ก็ไดเ้ ขา้ มาเผยแพร่เช่นกนั อาณาจกั รศรีวชิ ยั ไดเ้ ส่ือมอาํ นาจลง อาณาจกั รที่เกิดใหม่ คือ อาณาจกั รมชั ปาหิต ไดม้ ีอาํ นาจ อยใู่ นเกาะชวากข็ ยายอาณาเขตเขา้ มาครอบครองดินแดนส่วนน้ีแทนอาณาจกั รศรีวชิ ยั

16 กจิ กรรมท้ายเร่ือง คาํ ช้ีแจง : ใหผ้ เู้ รียนตอบคาํ ถามต่อไปน้ีใหถ้ ูกตอ้ ง 1. หลกั ฐานที่ใชใ้ นการศึกษาเร่ืองราวของชนชาติไทย ศึกษาไดจ้ ากอะไรบา้ ง ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. 2. การต้งั ถิ่นฐานของชุมชน นอกจากการศึกษาประวตั ิศาสตร์ อาจแบ่งหลกั ฐานไดอ้ ีก 2 ประเภท คือ พร้อมอธิบายมาพอสงั เขป ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. 3. แนวความคิดเก่ียวกบั ถิ่นกาํ เนิดของชนชาติไทย มีก่ีแนวคิดอะไรบา้ ง ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................

17 4. ผูเ้ สนอแนวคิดท่ีเชื่อว่าถิ่นกําเนิดของชนชาติไทยอยู่ทางตอนเหนือของประเทศจีนแถบ เทือกเขาอลั ไต มีบุคคลใดบา้ ง ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. 5. ผเู้ สนอแนวคิดท่ีเช่ือวา่ ถ่ินกาํ เนิดของชนชาติไทยอยทู่ างตอนเหนือของประเทศจีนบริเวณมณฑล เสฉวน มีบุคคลใดบา้ ง ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. 6. ผูท้ ี่เสนอ แนวความคิดที่เชื่อว่าถ่ินกาํ เนิดของชนชาติไทยอยู่บริเวณดินแดนประเทศไทยใน ปัจจุบนั มีบุคคลใดบา้ ง ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. 7. แควน้ โบราณในประเทศไทย (พทุ ธศตวรรษท่ี 12 – 19) ไดแ้ ก่แควน้ อะไรบา้ ง ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................

18 8. แควน้ ในภาคกลาง 4 แควน้ ไดแ้ ก่ ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. 9. แควน้ ในภาคเหนือ ในช่วงพทุ ธศตวรรษท่ี 14 – 19 ท่ีสาํ คญั ไดแ้ ก่ ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. 10. ใหอ้ ธิบายความสาํ คญั แควน้ ในภาคใต้ มาพอสังเขป ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................

19 แบบทดสอบท้ายบท เร่ือง การต้งั หลกั แหล่งในดนิ แดนประเทศไทย คาส่ัง ให้นักเรียน × ทบั เลือกข้อทถี่ ูกทสี่ ุดเพยี งข้อเดยี ว *************************************************** 1. ขอ้ ใดถูกตอ้ งมากที่สุดเก่ียวกบั การต้งั บา้ นเรือนของมนุษยย์ คุ หิน ก. ยคุ หินเก่า ยงั เร่ร่อน อาศยั อยตู่ ามถ้าํ ข. ยคุ หินใหม่ อาศยั อยตู่ ามถ้าํ หรือเพิงผา ค. ยคุ หินใหม่ สร้างที่อาศยั ดว้ ยใบไม้ และก่ิงไม้ ง. ยคุ หินกลาง อาศยั อยูต่ ามที่ดอนและเนินเขา 2. ชุมชนยคุ สาํ ริดที่ถือวา่ เก่าแก่และมีหลกั ฐานมากที่สุดในประเทศ อยทู่ ่ีใด ก. หนองโน จงั หวดั ชลบุรี ข. ถ้าํ ผหี วั โต จงั หวดั กระบี่ ค. บา้ นเชียง จงั หวดั อุดรธานี ง. บา้ นเก่า จงั หวดั กาญจนบุรี 3. พืชชนิดใดท่ีนิยมปลูกในยดุ หินใหม่ ก. ฟัก ข. ถวั่ ค. ขา้ ว ง. บวบ 4. ลกั ษณะการฝังศพของมนุษยย์ คุ หินใหมค่ ือขอ้ ใด ก. นอนงอเข่า ข. นอนตะแคง ค. นอนคว่าํ เหยยี ดตรง ง. นอนหงายเหยยี ดตรง 5. เครื่องมือเคร่ืองใชท้ ี่สาํ คญั ในสมยั สาํ ริดคืออะไร ก. ขวาน ข. ใบหอก ค. หวั ลูกศร ง. กลองมโหระทึก

20 6. ภาชนะดินเผาท่ีสาํ คญั ของแหล่งโบราณคดีบา้ นเก่าคืออะไร ก. ชาม ข. พาน ค. กระปุก ง. หมอ้ สามขา 7. ส่วนผสมของโลหะสาํ ริด คือส่วนผสมของโลหะชนิดใด ก. ตะกว่ั กบั เงิน ข. เงิน กบั ทองแดง ค. ทองแดง กบั ดีบุก ง. ตะกวั่ กบั สงั กะสี 8. อาณาจกั รแรกสุดในดินแดนไทยท่ีรับอิทธิพลของอารยธรรมอินเดียคืออาณาจกั รใด ก. ทวารวดี ข. ตามพรลิงค์ ค. ศรีวชิ ยั ง. โยนกเชียงแสน 9. อาณาจกั รตามพรลิงค์ ปัจจุบนั คือจงั หวดั ใด ก. ยะลา ข. ปัตตานี ค. สุราษฎร์ธานี ง. นครศรีธรรมราช 10. ขอ้ ใดไม่ใช่โบราณสถานที่แสดงถึงอิทธิพลของอาณาจกั รเขมรในประเทศไทย ก. ปราสาทเมืองต่าํ ข. ปราสาทหินพนมรุ้ง ค. พระปรางคส์ ามยอด ง. เจดียพ์ ระบรมบรรพต 11. หลกั ฐานทางโบราณคดีขอ้ ใดท่ีแสดงใหเ้ ห็นวา่ มนุษยใ์ นยคุ เหลก็ บริเวณภาคกลางของไทย มีการ ติดต่อกบั ชุมชนภายนอก ก. เครื่องมือหินขดั ข. เศษผา้ ฝ้ายและผา้ ป่ าน ค. เครื่องมือปลายแหลม ง. ภาชนะดินเผาเขียนสี

21 12. ศาสนาของแควน้ ตามพรลิงคท์ ี่มีอิทธิพลตอ่ อาณาจกั รสุโขทยั คืออะไร ก. พระพทุ ธศาสนาแบบลงั กาวงศ์ ข. พระพทุ ธศาสนานิกายมหายาน ค. ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูลทั ธิไศวะ ง. ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูลทั ธิไวษณพ 13. ศาสนาของแควน้ ตามพรลิงคท์ ่ีมีอิทธิพลตอ่ อาณาจกั รสุโขทยั คืออะไร ก. พระพุทธศาสนานิกายมหายาน ข. พระพทุ ธศาสนาแบบลงั กาวงศ์ ค. ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูลทั ธิไศวะ ง. ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูลทั ธิไวษณพ 14. อาณาจกั รใดที่ครอบคลุมบริเวณคาบสมุทรภาคใตข้ องไทยตลอดจนแหลมมลายู ก. ขอม ข. ศรีวชิ ยั ค. ทวารวดี ง. ตามพรลิงค์ 15. ขอ้ ใดกล่าวถูกตอ้ งเก่ียวกบั อาณาจกั รศรีวชิ ยั ก. มีกษตั ริยเ์ ป็นผหู้ ญิง ข. เป็นศูนยก์ ลางการคา้ ค. รับวฒั นธรรมจากเขมร ง. ปลูกขา้ วเป็นสินคา้ ออก 16. อาณาจกั รโคตรบูรณ์ มีศูนยก์ ลางอยทู่ ่ีจงั หวดั ใด ก. จงั หวดั สกลนคร ข. จงั หวดั นครพนม ค. จงั หวดั อุบลราชธานี ง. จงั หวดั หนองบวั ลาํ ภู 17. แนวคิดท่ีเชื่อวา่ คนไทยมีแหล่งกาํ เนิดอยบู่ ริเวณเทือกเขาอลั ไตเป็ นแนวคิดของใคร ก. ขนุ วจิ ิตรามาตรา ข. แตร์รีออง เดลา คูเปอรี ค. ดร.วิเลี่ยม คลิฟตนั ดอดด์ ง. นายแพทยส์ มศกั ด์ิ พนั ธุ์สมบุญ

22 18. ตามตาํ นานกลุ่มคนที่ช่วยสร้างเมืองหริภุญชยั จนเจริญรุ่งเรืองไดม้ าจากอาณาจกั รใด ก. อาณาจกั รละโว้ ข. อาณาจกั รศรีวชิ ยั ค. อาณาจกั รลา้ นนา ง. อาณาจกั รทวารวดี 19. จารึกท่ีพบในแควน้ หริภุญชยั ใชภ้ าษาอะไรในการบนั ทึก ก. ภาษาเขมรและภาษาทมิฬ ข. ภาษาบาลีและภาษาสนั สกฤต ค. ภาษาสันสกฤตและภาษาเขมร ง. ภาษามอญโบราณและภาษาบาลี 20. แควน้ ในขอ้ ใด ไม่ อยใู่ นภาคเดียวกนั ก. แควน้ ละโว้ ข. แควน้ ทราวดี ค. แควน้ สุโขทยั ง. แควน้ อโยธายา

23

24 บทที่ 2 อาณาจักรสุโขทยั การสถาปนาอาณาจักรสุโขทยั การที่ตอ้ งมีการศึกษาประวตั ิศาสตร์สุโขทยั เน่ืองจากอาณาจักรสุโขทัยเป็ นอาณาจักรไทยท่ีมี ความสําคัญมีความเจริญรุ่งเรือง มีตวั หนังสือไทยท่ี เรียกว่า “ลายสือไทย” เป็ นของตนเองจนพฒั นามาเป็ น ตวั หนังสือไทยในปัจจุบัน มีสถาบนั พระมหากษตั ริย์ เป็นสถาบนั หลกั ที่สาํ คญั ของสังคมสุโขทยั มีพระพุทธศาสนาเป็ นสถาบนั หลกั ในการดาํ เนินชีวิต พระปรางสามยอด ของคนไทย มีอาณาบริเวณท่ีกวา้ งขวางและมีผคู้ นดาํ รงอยู่ เป็ นปึ กแผน่ จนสามารถต้งั เป็ นอาณาจกั รที่เขม้ แข็ง การปกครองที่เหมาะสมกบั สภาพความเป็ นอยู่ ของอาณาจกั รสุโขทยั ในสมยั น้ัน ดงั น้ัน ก่อนท่ีจะมีการสถาปนากรุงสุโขทยั เป็ นราชธานีของ อาณาจกั รสุโขทยั ไดน้ ้นั สภาพแวดลอ้ มและความพร้อมของปัจจยั ที่นาํ ไปสู่การสถาปนาอาณาจกั ร สุโขทยั ก็มีความสาํ คญั ต่อประวตั ิศาสตร์สุโขทยั เช่นกนั ปัจจัยทเี่ อือ้ ต่อการสถาปนาอาณาจักรสุโขทยั 1. ขอมเสื่อมอาํ นาจลง หลังจากพระเจา้ ชัยวรมนั ที่ 7 (ครองราชย์เมื่อ พ.ศ. 1724- 1761) สิ้นพระชนมพ์ ระเจา้ อินทรวรมนั ท่ี 2 ปกครองต่อมาออ่ นแอ ขาดความเขม้ แขง็ จึงเกิดช่องวา่ ง ของอาํ นาจทางการเมืองข้ึนในดินแดนแถบน้ี เปิ ดโอกาสใหบ้ รรดาหวั เมืองต่างๆเติบโต และต้งั ตน เป็ นอิสระ 2. ความสามารถของผูน้ าํ และความสามคั คีของคนไทย ไดแ้ ก่ พ่อขุนผาเมืองเจา้ เมืองราด และพอ่ ขนุ บางกลางหาว เจา้ เมืองบางยาง ไดร้ ่วมกนั ผนึกกาํ ลงั ต่อสู้นายทหารขอม จนไดร้ ับชยั ชนะ สามารถประกาศตนเป็ นอิสระจากอิทธิพลของขอม 3. ทาํ เลที่ต้งั ของแควน้ สุโขทยั แควน้ สุโขทยั เป็นศูนยก์ ลางของอาณาจกั ร เพราะต้งั อยใู่ กล้ กบั ริมแม่น้าํ ท่ีไหลมาจากทางตอนเหนือลงสู่ตอนใตอ้ อกสู่ทะเล ไดแ้ ก่ แม่น้าํ ปิ ง วงั ยม และน่าน และมารวมตวั กนั เป็นแม่น้าํ เจา้ พระยาลงสู่อา่ วไทย ทาํ ใหช้ าวสุโขทยั สามารถคา้ ขายกบั แควน้ ตา่ งๆ ที่อยใู่ กลเ้ คียงและคา้ ขายกบั ชาวตา่ งชาติท่ีเดินทางมาทางทะเลไดท้ ้งั ทางบกและทางน้าํ ซ่ึงกลายเป็น พ้ืนฐานทางเศรษฐกิจใหก้ บั แควน้ สุโขทยั ไดเ้ ป็ นอยา่ งดี และส่งผลใหช้ ุมชนสุโขทยั ขยายตวั ออกไป มากยง่ิ ข้ึน

25 กจิ กรรมท้ายเรื่อง คาํ ส่ัง: ใหผ้ เู้ รียนบอกปัจจยั ที่เอ้ือตอ่ การสถาปนาอาณาจกั รสุโขทยั มาเป็นขอ้ ๆ ………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………

26 พฒั นาการของอาณาจักรสุโขทยั พฒั นาการด้านการเมืองการปกครองของอาณาจักรสุโขทยั ภายหลังได้มีการสถาปนาเมืองสุโขทัยเป็ นราชธานีแล้ว อาณาจกั รสุโขทยั ได้ขยาย อิทธิพลไปทวั่ เหนือดินแดนตา่ งๆ ท่ีเป็นชุมชนไทยมาก่อน จนกลายเป็ นอาณาจกั รสุโขทยั และดาํ รง อยไู่ ดต้ ิดต่อกนั ถึง 200 ปี เศษ และมีพระมหากษตั ริยใ์ นราชวงศพ์ ระร่วงปกครองสุโขทยั สืบต่อกนั มาถึง 9พระองค์ รายพระนามพระมหากษตั ริย์ไทยในราชวงศ์พระร่วงทปี่ กครองอาณาจักรสุโขทยั รายพระนามพระมหากษตั ริย์ ปี ที่เริ่มครองราชย์ ปี ท่ีสวรรคต 1. พอ่ ขนุ ศรีอินทราทิตย์ พ.ศ. 1782 ไม่ปรากฏ 2. พอ่ ขนุ บานเมือง ไมป่ รากฏ พ.ศ. 1822 3. พอ่ ขนุ รามคาํ แหง พ.ศ. 1822 พ.ศ. 1841 4. พระยาเลอไทย พ.ศ. 1841 ประมาณ พ.ศ. 1866 * 5. พระยางว่ั นาํ ภุม ประมาณ พ.ศ. 1866* พ.ศ. 1890 6. พระมหาธรรมราชาท่ี 1 (ลิไทย) พ.ศ. 1990 พ.ศ. 1911 7. พระมหาธรรมราชาท่ี 2 พ.ศ. 1911 ประมาณ พ.ศ. 1942 8. พระมหาธรรมราชาที่ 3 (ไสลือไทย) พ.ศ. 1943 พ.ศ. 1962 9. พระมหาธรรมราชาท่ี 4 (บรมปาล) พ.ศ. 1962 ประมาณ พ.ศ. 1981 * ขอ้ สนั นิษฐานของ ศ.ดร.ประเสริฐ ณ นคร ในสมยั อาณาจกั รสุโขทัยมีลกั ษณะการปกครองโดยใช้คตินิยมในการปกครองแบบ ครอบครัวหรือพ่อปกครองลูก มาเป็ นหลกั ในการบริหารประเทศ คติการปกครองสมยั อาณาจกั ร สุโขทยั เรียกว่าการปกครองแบบพ่อปกครองลูก หรือการปกครองแบบบิดาปกครองบุตร โดยใน สมยั น้นั พระมหากษตั ริยใ์ กลช้ ิดกบั ประชาชนมาก ประชาชนต่างก็เรียกพระมหากษตั ริยท์ ี่ใกลช้ ิด ประชาชนวา่ “พอ่ ขนุ ” รูปแบบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในสมยั อาณาจกั รสุโขทยั มี ลกั ษณะเด่นที่สาํ คญั ๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. พอ่ ขุนเป็ นผูใ้ ช้อาํ นาจอธิปไตยโดยมีรูปแบบปกครองประชาชนบนพ้ืนฐานของความ รัก ความเมตตาประดุจบิดาพึงมีต่อบุตร บางตาํ ราอธิบายว่าเป็ นการปกครองแบบพ่อปกครองลูก หรือแบบปิ ตุราชาประชาธิปไตย 2. ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพในการดาํ เนินชีวิตพอสมควร ดงั จะเห็นไดจ้ ากศิลาจารึก อธิบายว่า “......ใครใคร่ ค้า ค้า เอาม้ามาค้าเอาข้าวมาขาย....” จากหลกั ศิลาจารึกจะทาํ ให้เห็นว่า อาณาจกั รสุโขทยั ให้โอกาสประชาชนในการดาํ เนินชีวติ พอควร อาจกล่าวไดว้ า่ ผปู้ กครองและผูอ้ ยู่

27 ภายใตก้ ารปกครองมีฐานะเป็ นมนุษยเ์ หมือนกนั นอกจากให้เสรีภาพทางเศรษฐกิจแลว้ ยงั ไม่เก็บ ภาษีดว้ ย “เจ้าเมืองบ่เอาจังกอบ ในไพร่ล่ทู าง...” 3. มีการพิจารณาคดีโดยใชห้ ลกั ประกนั ความยตุ ิธรรม เช่นเม่ือพลเมืองผดิ ใจเป็ นความกนั จะมีการสอบสวนจนแน่ชดั จึงตดั สินโดยยตุ ิธรรม ในศิลาจารึกเขียนไวว้ า่ “ลูกเจ้าลูกขนุ แลผิดแผก แสกกว้างกัน สวนดแู ท้แลจึ่งแล่งความแก่ข้าด้วย ซ่ือ บ่เข้าผ้ลู ักมกั ผ้ซู ่อน....” 4. ทรงปกครองบา้ นเมืองแบบเปิ ดเผยบนพระแท่นในวนั ธรรมดา ส่วนวนั พระหรือวนั โกนก็ทรงจดั ให้พระมาเทศน์ เช่น “...ผิใช่วันสูดธรรม พ่อขุนรามคาแหงเจ้าเมืองศรี สัชชนาลัย สุโขทัยขึน้ นง่ั เหนือขนาดหินให้ฝงู ท่วยลกู เจ้าลูกขนุ ฝงู ท่วยถือบ้านถือเมืองคัล” การจัดระเบียบการปกครองในสมัยสุโขทยั ในสมยั สมเด็จพ่อขุนรามคาํ แหงมหาราชทรงจัดระเบียบการปกครองอาณาจกั รกรุง สุโขทัยโดยแบ่งลักษณะอาณาจักรหรือเมืองออกเป็ นช้ันๆ โดยถืออาณาจกั รกรุงสุโขทัยเป็ น ศูนยก์ ลางและไดแ้ บง่ การปกครองออกเป็น 4 ช้นั ดงั น้ีคือ ช้นั ที่ 1 ไดแ้ ก่ เมืองหลวงหรือราชธานี หมายถึงอาณาจกั รสุโขทยั เป็ นศูนยก์ ลางในการ ปกครองประเทศมีอาํ นาจเดด็ ขาดครอบคลุมออกไปถึงเมืองอุปราชและเมืองลูกหลวงหรือเมืองหนา้ ด่าน อาํ นาจการส่งั การท้งั หมดอยทู่ ่ีอาณาจกั รสุโขทยั ช้นั ท่ี 2 ไดแ้ ก่ เมืองอุปราช หรือ เมืองลูกหลวง หรือเมืองหน้าด่าน หมายถึง เมืองท่ีต้งั อยู่ รายรอบสี่ทิศรอบๆ อาณาจกั รสุโขทยั โดยจะใหโ้ อรสหรือเจา้ นายไปปกครอง ซ่ึงเมืองหนา้ ด่านแต่ ละเมืองมีระยะห่างจากเมืองหลวง โดยใชป้ ระมาณจากการเดินทางโดยทางเทา้ ใชเ้ วลาไม่เกินสอง วนั ทิศตะวนั ออก คือ เมืองสองแคว ( ปัจจุบนั คือจงั หวดั พิษณุโลก ) ทิศเหนือ คือ เมืองศรีสชั ชนาลยั ทิศใต้ คือ เมืองพระหลวง (ปัจจุบนั คือจงั หวดั พจิ ิตร) ทิศตะวนั ตก คือ เมืองชากงั ราว (ปัจจุบนั คือเมืองกาํ แพงเพชร) ช้นั ท่ี 3 ไดแ้ ก่ เมืองพระยามหานคร หมายถึงเมืองใหญ่ ๆ ที่ต้งั อยูห่ ่างราชธานีออกไปและ มีประชาชนในเมืองเป็ นคนไทยพระมหากษตั ริยจ์ ะทรงแต่งต้งั ให้เจา้ นายหรือเช้ือพระวงศ์ หรือ ขา้ ราชการช้นั ผใู้ หญไ่ ปปกครอง เมืองพระยามหานคร จดั วา่ เป็ นหวั เมืองช้นั นอก เช่น อู่ทอง ราชบุรี เพชรบุรี ตะนาวศรี เพชรบูรณ์ เป็นตน้

28 พฒั นาการด้านสังคมและวฒั นธรรมสมัยสุโขทัย ลกั ษณะชนช้ันทางสังคม ในสมยั สุโขทยั มีการวางรากฐานทางด้านสังคม การปกครอง ศาสนา ประเพณี และ ศิลปวฒั นธรรม ซ่ึงบางอยา่ งยงั คงสืบเนื่องตอ่ มา จนถึงปัจจุบนั ดา้ นสงั คม มีการแบง่ ชนช้นั ในสังคม ออกเป็นระดบั ต่างๆ ไดแ้ ก่ 1. พระมหากษตั ริย์ เป็ นประมุขของอาณาจกั ร เป็ นผบู้ าํ บดั ทุกขบ์ าํ รุงสุขของราษฎร เป็ น ผปู้ กครองประเทศ และเป็นผนู้ าํ ทพั ในยามเกิดสงคราม 2. เจา้ นายหรือขุนนาง ได้แก่ กลุ่มพระราชวงศ์และขา้ ราชการซ่ึงต่างมีหน้าที่ในการ ช่วยเหลือพระมหากษตั ริยใ์ นการปกครองบา้ นเมือง คาํ ว่า เจา้ ขุน และ ลูกเจา้ ลูกขุน แสดงให้ เห็นวา่ กลุ่มพระราชวงศเ์ ขา้ มารับหนา้ ท่ีเป็นขา้ ราชการฝ่ ายปกครอง 3. พระสงฆ์ พระพุทธศาสนาเป็ นศาสนาหลกั ในสังคมสุโขทยั วดั และพระสงฆ์เป็ น ศูนยก์ ลางของคนไม่จาํ กดั ฐานะหรือเพศ พระมหากษตั ริยเ์ ป็ นผอู้ ุปถมั ภพ์ ระพทุ ธศาสนา จึงปกป้อง คุม้ ครองและอุปถมั ภ์พระสงฆ์ดว้ ย กษตั ริย์ เจ้านายหรือขุนนาง และพระสงฆ์ จดั เป็ นชนช้ัน ปกครอง 4. ไพร่ หรือ ราษฎรสามญั ชนธรรมดา มีอิสระในการดาํ เนินชีวิต มีสิทธิภายใตก้ ฎหมายที่ กาํ หนดไว้ ไพร่ถูกเกณฑ์แรงงานไปใช้เป็ นคร้ังคราว ไพร่มีท้งั ไพร่ท่ีเป็ นของหลวง หรือของ พระมหากษตั ริย์ และไพร่ที่ข้ึนกบั เจา้ นายหรือขนุ นาง 5. ทาส หรือ ขา้ เป็ นกลุ่มคนท่ีไม่มีอิสระและเสรีภาพในการดาํ เนินชีวิตของตนเอง และ ตอ้ งเสียสละแรงงานใหก้ บั นายเงิน ศิลปวฒั นธรรม ด้านสถาปัตยกรรมและประติมากรรม หลกั ฐานท่ีแสดงอยา่ งชดั เจน ถึงความเจริญรุ่งเรือง ในดา้ นน้ี คือ รูปแบบของเจดีย์ และพระพุทธรูปที่มีอยู่เป็ นจาํ นวนมาก มีเจดียร์ ูปต่างๆ เช่น เจดีย์ ทรงกลมแบบลงั กา เจดียท์ รงเรือนธาตุแบบศรีวิชยั และเจดียท์ รงพุม่ ขา้ วบิณฑ์ หรือทรงดอกบวั ตูม ซ่ึงเป็ นเจดียร์ ูปแบบของสุโขทยั โดยเฉพาะ ส่วนการสร้างพระพุทธรูปน้นั มีท้งั พระพุทธรูปหล่อ ด้วยสําริด ทองคาํ และปูนป้ัน ในอิริยาบถต่างๆ คือ นงั่ ยืน นอน และเดิน เป็ นที่ยอมรับกนั ว่า พระพุทธรูปสมยั สุโขทยั มีลกั ษณะงดงาม เป็ นยอดของประติมากรรม ดา้ นพุทธศิลป์ ท่ีควรกล่าวถึง อีกอยา่ งหน่ึงในดา้ นศิลปวฒั นธรรมสมยั สุโขทยั คือ การทาํ เครื่องสังคโลก ซ่ึงเป็ นเครื่องป้ันดินเผา ท่ีไทยรับวิธีทาํ มาจากจีน แต่ไดด้ ดั แปลงใหเ้ หมาะสม กบั ศิลปะของไทย มีการต้งั เตาเผา ท่ีเรียกวา่ เตาทุเรียง มากกวา่ ๒๐๐ เตา และส่งเคร่ืองสงั คโลกออกไปจาํ หน่ายใหแ้ ก่ประเทศใกลเ้ คียงดว้ ย

29 ด้ านภาษา การประดิษฐ์ตัวอักษรไทย ซ่ึ ง พ่อขุน รามคําแหงมหาราช เป็ นผู้ประดิษฐ์ข้ึนเม่ือ ปี พ.ศ. 1862 คือ ลายสือไทย สันนิษฐานว่า ดดั แปลงมาจากตวั อกั ษรขอมหวดั และมอญโบราณ นับว่าเป็ นมรดกอันย่ิงใหญ่ของวฒั นธรรม สุโขทยั ลายสือไทย จนได้มกี ารพัฒนามาเป็นลาดับจนถึงอักษรไทยในปัจจบุ นั ด้านศาสนาและวัฒนธรรม พ่อขุนรามคาํ แหง ท ร ง อัญ เ ชิ ญ พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า ลัท ธิ ลัง ก า ว ง ศ์ จ า ก เ มื อ ง นครศรีธรรมราช มาปลูกฝังไวท้ ่ีเมืองสุโขทยั และทรงทาํ นุบาํ รุงให้ เจริญรุ่งเรืองแพร่หลายไปทว่ั ทุกภาคของเมืองไทย จนเป็ นมรดกตก ทอดมาจนทุกวนั น้ีท่ีสําคญั ย่ิงในสมยั สุโขทยั เพราะถือว่าเป็ น https://www.google.co.th/search?hl=th&biw ศูนย์รวม จิตใจของคนไท ย นอกจากน้ันยังมีอิทธิ พลต่อ วฒั นธรรมอื่น เช่น การปกครอง ประเพณี เริ่มแรกคนไทยใน สุโขทยั นบั ถือผสี างเทวดา ต่อมาไดม้ ีชนชาติอื่นนาํ ศาสนาท่ีมีหลกั ปฏิบตั ิ ท่ีมีแบบแผนเขา้ มาเผยแผ่ จึงไดน้ าํ ความเช่ือของ ศาสนาเหล่าน้ันมาผสมผสานกบั ความเชื่อเดิมของตน เช่น จากขอม จาก ศาสนาพราหมณ์ จากพทุ ธนิกายมหายานจากจีน พฒั นาการด้านเศรษฐกจิ สมัยสุโขทยั จากหลักฐานศิลาจารึ กหลักที่ 1 ทําให้เราทราบว่าเศรษฐกิจในสมัยสุโขทัยมีความ เจริญรุ่งเรือง ประชาชนมีความกินดีอยดู่ ี บา้ นเมืองมีความอุดมสมบูรณ์ ปัจจยั สาํ คญั ท่ีช่วยส่งเสริมใหส้ ุโขทยั สามารถพฒั นาเศรษฐกิจใหเ้ จริญกา้ วหนา้ ได้ มีหลาย ประเภทดงั น้ี 1. ภูมิประเทศ สุโขทยั ต้งั อยูบ่ ริเวณท่ีราบลุ่มแม่น้าํ ท่ีราบเชิงเขาซ่ึงเป็ นแหล่งเพาะปลูก เล้ียงสัตว์ และจบั สัตวน์ ้าํ 2. ทรัพยากรธรรมชาติ สุโขทยั มีพืชพรรณธรรมชาติต่าง ๆ อยา่ งอุดมสมบูรณ์ เช่น ป่ าไม้ สตั วป์ ่ า และแร่ธาตุต่าง ๆ 3. ความสามารถของผนู้ าํ กษตั ริยซ์ ่ึงเป็นผปู้ กครองกรุงสุโขทยั ทรงมีพระปรีชาสามารถใน การคิดริเริ่ม และดดั แปลงส่ิงแวดลอ้ มท่ีเอ้ืออาํ นวยต่อการดาํ รงชีวิตของราษฎร เช่น สร้างทาํ นบ ก้นั น้าํ ไวเ้ พ่ือเก็บกกั น้าํ ที่เรียกว่า ทาํ นบพระร่วง ส่งน้าํ ไปตามคูคลองสู่คูเมือง เพ่ือระบายน้าํ สู่ พ้นื ที่เกษตรกรรม จึงทาํ ใหป้ ระชาชนมีน้าํ ใชส้ อยอยา่ งเพยี งพอ

30 พ้ืนฐานทางดา้ นเศรษฐกิจของสุโขทยั ข้ึนอยูก่ บั อาชีพหลกั ของประชาชน 3 อาชีพไดแ้ ก่ เกษตรกรรม หตั ถกรรม และคา้ ขาย 1. เกษตรกรรม เนื่องจากสภาพทางธรรมราชของบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้าํ ดงั กล่าวน้ีไม่เอ้ืออาํ นวยต่อการ เพาะปลูก เพราะมีน้าํ นอ้ ยในหน้าแลง้ และเมื่อถึงฤดูน้าํ จะมีน้าํ ปริมาณมากไหลบ่ามาท่วมขงั เป็ น เวลานาน ทาํ ใหผ้ ลผลิตทางการเกษตรไม่อุดมสมบูรณ์ ดงั น้นั สุโขทยั จึงรู้จกั การสร้างท่ีเก็บกกั น้าํ แลว้ ต่อท่อน้าํ จากคูเมืองไปสู่สระต่าง ๆ เพ่ือระบายน้าํ ไปสู่พ้ืนที่เกษตรกรรม ทาํ ให้สามารถผลิต ผลผลิตไดอ้ ุดมสมบูรณ์ 2. หัตถกรรม หัตถกรรมที่สําคัญของสุ โขทัยส่ วนใหญ่เป็ นการผลิต เคร่ื องสังคโลก หรื อ เคร่ืองป้ันดินเผา จากหลกั ฐานการขดุ พบซากเตาเผาเคร่ืองสังคโลก หรือเตาทุเรียงเป็ นจาํ นวนมาก ทาํ ใหส้ นั นิษฐานไดว้ า่ แหล่งที่ผลิตเคร่ืองสังคโลกท่ีสาํ คญั มีอยู่ 2 แห่ง คือ กรุงสุโขทยั และเมือง ศรีสชั นาลยั และจากการพบซากเตาเผาเครื่องสังคโลกขนาดใหญ่เป็ นจาํ นวนมาก ทาํ ใหส้ ันนิษฐาน ไดว้ า่ เคร่ืองสังคโลกของสุโขทยั น่าจะเป็นสินคา้ ท่ีไดร้ ับความนิยมจากดินแดนตา่ ง ๆ ในสมยั น้นั 3. การค้าขาย การคา้ ขายในสมยั สุโขทยั เป็นการคา้ แบบเสรี ทุกคนมีอิสระในการคา้ ขาย รัฐไม่จาํ กดั ชนิดสินคา้ และไม่เกบ็ ภาษีผา่ นด่าน ที่เรียกวา่ “จงั กอบ” นอกจากจะมีการคา้ ขายภายในราชอาณาจกั รแลว้ ยงั มีการคา้ ขายและแลกเปล่ียนสินคา้ กบั อาณาจกั รต่าง ๆ ท่ีอยภู่ ายนอกอาณาจกั รสุโขทยั อีกดว้ ย เช่น เมืองหงสาวดี ตะนาวศรี ลา้ นนา กมั พูชา มะละกา ชวา และจีน เป็ นตน้ สินคา้ ออกที่สําคญั ไดแ้ ก่ เครื่องสังคโลก พริกไทย น้าํ ตาล งาช้าง หนงั สัตว์ นอแรด เป็ นตน้ ส่วนสินคา้ ส่วนใหญ่เป็ นพวกผา้ ไหม ผา้ ทอ อญั มณี เป็ นตน้ ความสัมพนั ธ์กบั ต่างประเทศของอาณาจักรสุโขทยั การที่อาณาจกั รสุโขทยั สามารถดาํ รงรักษาความมนั่ คงและสร้างสรรคค์ วามเจริญรุ่งเรือง อยู่ไดถ้ ึง 200 ปี น้นั ปัจจยั ที่สําคญั ประการหน่ึงเป็ นผลมาจากการดาํ เนินความสัมพนั ธ์ระหว่าง ประเทศท่ีเหมาะสมและสอดคลอ้ งกบั สถานการณ์ในขณะน้นั การทาํ ความเขา้ ใจถึงพฒั นาการของ สุโขทยั ทางดา้ นความสัมพนั ธ์ระหวา่ งประเทศจะทาํ ใหม้ ีความเขา้ ใจประวตั ิศาสตร์สุโขทยั มากข้ึน จุดประสงค์ในการสร้างความสัมพนั ธ์ระหว่างประเทศ กล่าวโดยภาพรวมเพื่อขยายอาํ นาจหรือขอบเขตให้กวา้ งขวางออกไป เพ่ือรักษาความ มนั่ คงและป้องกันการรุกรานจากภายนอก เผยแพร่และรับการถ่ายทอดวฒั นธรรมและรักษา สมั พนั ธไมตรีกบั รัฐอื่น

31 อาณาจกั รสุโขทยั มีการสร้างความสัมพนั ธ์กบั ต่างประเทศ ด้วยวิธีการท่ีหลากหลาย แตกต่างกนั ออกไป โดยมีความสมั พนั ธ์กบั ดินแดนตา่ ง ๆ ดงั น้ี 1. ความสัมพันธ์กับล้านนา ในสมยั พ่อขุนรามคาํ แหงมหาราช พระมหากษตั ริยข์ อง อาณาจกั รลา้ นนาไดแ้ ก่ พญามงั ราย เป็ นพระสหายสนิทกนั รวมท้งั พญางาํ เมือง แห่งเมืองพะเยา ได้ ผกู มิตรไมตรีกนั อยา่ งแน่นแฟ้น ในสมยั พ่อขุนรามคาํ แหงมหาราชและพญางาํ เมือง ยงั เสด็จข้ึนไป ช่วย พญามงั รายเลือกชยั ภูมิท่ีเหมาะสมและวางผงั เมืองแห่งใหม่ของอาณาจกั รลา้ นนา คือ เมือง นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ ในสมยั พระมหาธรรมราชาที่ 1 (พญาลิไท) อาณาจกั รสุโขทยั กบั อาณาจกั รลา้ นนา ไดม้ ีความสัมพนั ธ์ทางวฒั นธรรมทาง พระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ลทั ธิลงั กา วงศ์ โดยพระเจา้ กือนาแห่งอาณาจกั รล้านนาไดแ้ ต่งทูตมาขอพระสุมนเถระซ่ึงเป็ นพระภิกษุของ อาณาจกั รสุโขทยั ข้ึนไปสืบทอดและเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาท่ีอาณาจกั รลา้ นนา ในสมยั พระมหา ธรรมราชาที่ 2 ตรงกบั สมยั สมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี 1 (ขุนหลวงพระงวั่ ) กษตั ริยแ์ ห่งอาณาจกั ร อยธุ ยา ไดย้ กทพั ไปตีหวั เมืองหลายแห่ง พระมหาธรรมราชาท่ี 2 ทรงขอกาํ ลงั ทพั สนบั สนุนจากเจา้ เมืองล้านนาต่อมาอาณาจักรสุโขทัยมีกําลังอ่อนแอมาก เกรงว่าอาณาจักรล้านนาจะเข้ามา ครอบครองอาณาจกั รสุโขทยั พระมหาธรรมราชาที่ 2 จึงยกทพั เขา้ โจมตีอาณาจกั รลา้ นนาจนไดร้ ับ ความเสียหายมาก ส่งผลให้ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ ง สุโขทยั กบั ลา้ นนายตุ ิลง 2. ความสัมพันธ์กบั มอญ ความสัมพนั ธ์ส่วนใหญ่เก่ียวกบั พระพุทธศาสนาลทั ธิ เถรวาท ที่มอญนบั ถืออยแู่ ลว้ ในปลายพุทธศตวรรษที่ 18 พระภิกษุมอญบางรูปไดไ้ ปศึกษาพระพุทธศาสนา ในลงั กา เม่ือเดินทางกลบั มาไดไ้ ปสอนพุทธศาสนาลทั ธิลงั กาวงศท์ ี่เมืองนครศรีธรรมราช ภายหลงั ต่อมาไดแ้ พร่หลายไปยงั กรุงสุโขทยั นอกจากน้นั สุโขทยั กบั มอญยงั มีความสัมพนั ธ์กนั ทางเครือ ญาติในสมยั พอ่ ขนุ รามคาํ แหง โดยมะกะโท พอ่ คา้ มอญไดแ้ ต่งงานกบั พระราชธิดาของ พอ่ ขนุ รามคาํ แหงแลว้ หนีไปอยเู่ มืองเมาะตะมะ ภายหลงั ไดเ้ ป็นพระเจา้ แผน่ ดินมอญทรงพระนามวา่ พระเจา้ ฟ้ารั่วและสวามิภกั ด์ิตอ่ ไทย แตห่ ลงั รัชกาลเจา้ ฟ้ารั่วแลว้ มอญกแ็ ยกตวั เป็นอิสระ 3. ความสัมพนั ธ์กบั จีน ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งอาณาจกั รสุโขทยั กบั จีน มีมาต้งั แต่ สมยั พอ่ ขนุ รามคาํ แหง ส่วนใหญ่เป็นความสมั พนั ธ์ดา้ นการคา้ ระบบราชบรรณาการในสมยั พระเจา้ หงวนสีโจ๊ว แห่งราชวงศห์ งวน ไดด้ าํ เนินนโยบายส่งทูตไปเจริญสัมพนั ธไมตรีกบั ประเทศ ตา่ ง ๆ พร้อมท้งั ชกั ชวนใหส้ ่งทูตไปติดต่อและส่งเครื่องราชบรรณาการใหแ้ ก่จีน โดยความสัมพนั ธ์ ทางการทูตระหวา่ งอาณาจกั รสุโขทยั กบั จีน จีนเป็ นฝ่ ายเริ่มตน้ ส่งคณะทูตเขา้ มาคณะแรกในปี พ.ศ. 1825 นอกจากน้นั อาณาจกั สุโขทยั ยงั รับประโยชน์จากจีนโดยการรับวิทยาการเรื่องเทคนิคการทาํ เคร่ืองป้ันดินเผาแบบใหม่ คือการทาํ เครื่องสังคโลก ที่มีคุณภาพสามารถเป็ นสินค้าส่งออก นาํ รายไดม้ าสู่อาณาจกั รสุโขทยั เป็นจาํ นวนมาก 4. ความสัมพันธ์กับลังกา อาณาจกั รสุโขทยั กับลังกามีความสัมพนั ธ์กันทางด้าน พระพทุ ธศาสนา ในสมยั พอ่ ขนุ ศรีอินทราทิตย์ สุโขทยั ไดร้ ับพระพุทธศาสนาลทั ธิลงั กาวงศม์ าจาก

32 เมืองนครศรี ธรรมราช พระองค์ได้ทรงส่งราชทูตไปยังลังกาพร้อมกับราชทูตของเมือง นครศรีธรรมราช เพื่อขอพระพุทธสิหิงค์มาไวส้ ักการบูชาท่ีอาณาจกั รสุโขทยั ทาํ ให้อาณาจกั ร สุโขทยั ไดแ้ บบอยา่ งพระพุทธศาสนาลทั ธิลงั กาวงศม์ าถือปฏิบตั ิกนั ในอาณาจกั รสุโขทยั อยา่ งจริงจงั 5. ความสัมพนั ธ์กบั กมั พูชา บริเวณแวน่ แควน้ ตา่ ง ๆ ในประเทศไทยโดยเฉพาะ ภาคกลางไดม้ ีการเก่ียวขอ้ งกบั กมั พูชามาก่อนการต้งั อาณาจกั รสุโขทยั ต่อจากน้ีไดข้ ยายอิทธิพลไป ยงั บริเวณภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือเกือบท้งั หมด มีการพบร่องรอยอิทธิพล ทางดา้ นศิลปวฒั นธรรม ของขอมตามศาสนสถานท่ีประกอบดว้ ยท้งั พระปรางค์ และปราสาท เช่น พระปรางค์สามยอด จังหวัดลพบุรี ปราสาทเมืองสิ งห์ จังหวัดกาญจนบุรี อันแสดงให้เห็นอิทธิพลในทาง พระพุทธศาสนาลทั ธิมหายานท้งั สิ้น 6. ความสัมพันธ์กับเมืองนครศรีธรรมราช อาณาจกั รสุโขทยั กบั เมืองนครศรีธรรมราช เร่ิมมีความสัมพนั ธ์กนั ต้งั แต่พ่อขุนศรีอินทราทิตยไ์ ดเ้ สด็จไปเจริญสัมพนั ธไมตรีกบั พระเจา้ จนั ทร ภานุกษตั ริย์แห่งนครศรีธรรมราชและเคยโปรดเกล้าฯให้ติดต่อขอพระพุทธสิหิงค์จากลงั กามา ประดิษฐานยงั กรุงสุโขทยั และในสมยั พอ่ ขนุ รามคาํ แหง ไดน้ าํ พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทลทั ธิ ลงั กาวงศ์ จากนครศรีธรรมราชข้ึนมาเผยแผ่ยงั สุโขทยั ทาํ ให้พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทลทั ธิ ลงั กาวงศม์ น่ั คงในสุโขทยั นบั ต้งั แต่น้นั มา 7.ความสัมพนั ธ์กบั อาณาจักรอยุธยา ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งอาณาจกั รสุโขทยั กบั อาณาจกั ร อยุธยา เริ่มข้ึนในสมยั สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจา้ อู่ทอง) แห่งอาณาจกั รอยุธยา ทรงยกทพั ข้ึนมายดึ เมืองพษิ ณุโลกของอาณาจกั รสุโขทยั ทาํ ใหส้ ุโขทยั ตอ้ งส่งเครื่องบรรณาการพร้อมคณะทูต เดินทางไปเจรจาขอเมืองพษิ ณุโลกคืน ซ่ึงสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจา้ อู่ทอง) ทรงพระราชทานเมืองพิษณุโลกคืนให้แก่สุโขทยั ต่อมาสมยั ของพระมหาธรรมราชาที่ 2 พระบรม ราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพระงว่ั ) แห่งอาณาจกั รอยุธยายกทพั มาตีเมืองชากงั ราว ทาํ ให้พระมหา ธรรมราชาที่ 2 ทรงยอมอ่อนนอ้ มต่อแสนยานุภาพของอาณาจกั รอยธุ ยา นบั ต้งั แต่น้นั มาอาณาจกั ร สุโขทยั ตกเป็นเมืองประเทศราชของอาณาจกั รอยธุ ยา จนสิ้นสมยั ของพระมหาธรรมราชาท่ี 4 (บรมปาล) อาณาจกั รสุโขทยั ไดถ้ ูกผนวกเป็นส่วนหน่ึงของอาณาจกั รอยธุ ยา

33 กจิ กรรมท้ายเรื่อง คาส่ัง: ใหผ้ เู้ รียนอธิบายเก่ียวกบั รูปแบบการปกครองแบบพอ่ ปกครองลูกในสมยั อาณาจกั รสุโขทยั ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… คาสั่ง: ชนช้นั ทางสงั คมสมยั อาณาจกั รสุโขทยั แบ่งออกเป็ นก่ีชนช้นั อะไรบา้ ง ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… คาสั่ง: ใหผ้ เู้ รียนบอกปัจจยั สาํ คญั ท่ีช่วยส่งเสริมใหส้ ุโขทยั สามารถพฒั นาเศรษฐกิจให้ เจริญกา้ วหนา้ ได้ ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ………..…………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ………..…………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… คาสั่ง: ใหผ้ เู้ รียนอธิบายความสมั พนั ธ์ดา้ นพทุ ธศาสนาระหวา่ งอาณาจกั สุโขทยั กบั ลงั กา ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ………..…………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ………..…………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………

34 บทบาทและผลงานของบุคคลสาคญั ในสมยั สุโขทยั พระมหากษตั ริย์สุโขทยั ทสี่ าคัญกบั พระราชกรณยี กจิ พระมหากษตั ริย์สมยั สุโขทยั หลายพระองค์ทรงมีพระราชกรณียกิจที่เสริมสร้างความ เจริญรุ่งเรืองและความเป็ นปึ กแผ่นของอาณาจกั ร ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ราษฎรและอาณาจกั ร ปรากฏหลกั ฐานอยา่ งเด่นชดั ดงั มีรายละเอียดตอ่ ไปน้ี 1.พ่อขนุ ศรีอนิ ทราทติ ย์ พ่อขุนศรีอินทราทิตยเ์ ป็ นปฐมกษตั ริยแ์ ห่งอาณาจกั ร สุโขทยั หรือราชวงศพ์ ระร่วงมีพระนามเดิมวา่ พ่อขุนบางกลาง หาว เจา้ เมืองบางยาง พระองคท์ รงร่วมกบั พระสหายพ่อขุนผา เมือง เจา้ เมืองราด ช่วยกนั รวบรวมคนไทยยึดเมืองสุโขทยั จาก ขอม ซ่ึงเขา้ ครอบครองเมืองสุโขทยั อยขู่ ณะน้นั จนเป็ นผลสําเร็จ และต้งั เมืองสุโขทยั เป็ นราชธานี พ่อขุนบางกลางหาว ทรง ไดร้ ับการสถาปนาจากพ่อขุนผาเมืองข้ึนเป็ นกษตั ริย์ ทรงพระ นามวา่ พอ่ ขนุ ศรีอินทราทิตย์ ทรงมีพระมเหสีพระนามวา่ พระนางเสือง มีพระราชโอรสที่ครองราชยต์ อ่ จากพระองค์ อยู่ 2 พระองค์ คือ พอ่ ขนุ บานเมือง และพอ่ ขนุ รามคาํ แหง พอ่ ขนุ ศรีอินทราทิตย์ ปฐมกษตั ริยแ์ ห่งราชวงศส์ ุโขทยั 2. พ่อขุนรามคาแหง พอ่ ขนุ รามคาํ แหงทรงเป็ นพระราชโอรสของพอ่ ขุน ศรีอินทราทิตย์ และพระนางเสือง เสด็จข้ึนครองราชยส์ ืบต่อ จากพ่อขุนบานเมือง ซ่ึงเป็ นพระเชษฐา พระองคท์ รงมีพระ ปรีชาสามารถมีความเขม้ แข็งในการทาํ ศึกสงคราม ต้งั แต่ คร้ังที่ยงั มิไดข้ ้ึนครองราชย์ โดยพระองคต์ ามเสด็จพระราช บิดาไปในการทําสงคราม เพ่ือขยายพระราชอาณาเขต พ ร ะ อ ง ค์ ท ร ง ท ํา ยุ ท ธ หั ต ถี กับ ขุ น ส า ม ช น เ จ้า เ มื อ ง ฉ อ ด จนได้รับชัยชนะนับว่าเป็ นการทาํ ยุทธหัตถีคร้ังแรกใน ประวตั ิศาสตร์ของชาติไทย พอ่ ขนุ รามคาํ แหง กษตั ริยอ์ งคท์ ี่สามแห่งอาณาจกั รสุโขทยั

35 พระราชกรณยี กจิ ทส่ี าคญั ไดแ้ ก่ 1. ด้านการเมืองการปกครอง พระองคท์ รงทาํ สงครามเพ่ือขยายพระราชอาณาเขตออกไป อยา่ งกวา้ งขวางกวา่ สมยั ใดๆ ทิศตะวนั ออก ไดเ้ มืองสระหลวง สองแคว (พิษณุโลก) ลุมบาจาย (หล่มเก่า) สระคาถึงขา้ มฝ่ังแม่น้าํ โขง ถึงเวยี งจนั ทนแ์ ละเวยี งคาํ ทิศตะวนั ตก ไดเ้ มืองฉอดหงสาวดี จนสุดฝ่ังทะเลเป็นอาณาเขต ทิศเหนือ ไดเ้ มืองแพร่ เมืองน่าน เมืองพลวั่ (อาํ เภอปัว จงั หวดั น่าน) เลยฝั่งโขงไปถึงเมืองชวา (หลวงพระบาง) ทิศใต้ ไดเ้ มืองคณฑี (กาํ แพงเพชร) พระบาง (นครสวรรค)์ แพรก (ชยั นาท) สุพรรณภูมิ ราชบุรี เพชรบุรี นครศรีธรรมราชจนสุดฝั่งทะเล ทรงใชก้ ารปกครอง แบบปิ ตุราชาธิปไตย หรือ พอ่ ปกครองลูก ทรงใชห้ ลกั ทศพิธราชธรรม ในการปกครองไพร่ฟ้า ทาํ ให้ประชาชนอยู่กนั อย่างร่มเย็นเป็ นสุข โดยพระองค์ทรงสร้าง ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งพระมหากษตั ริยก์ บั ราษฎรเป็นไปอยา่ งใกลช้ ิดดุจดง่ั พอ่ ปกครองลูก นอกจากน้ียงั โปรดให้แขวนกระด่ิงไวท้ ี่ ประตูพระราชวงั ราษฎรคนใดมีเรื่องเดือดเน้ือ ร้อนใจ หรือมีทุกขร์ ้อนก็สามารถสั่นกระดิ่งท่ีพ่อ ขุนรามคาํ แหงโปรดฯ ให้แขวนไวท้ ่ีหน้าประตู พระราชวงั พระองค์จะเสด็จออกมารับฟังเรื่อง ร้องทุกข์ ตดั สินปัญหา กระดิ่งร้องทุกข์ในสมยั พ่อขนุ รามคาแหง 2. ด้านเศรษฐกจิ โปรดใหส้ ร้างทาํ นบ หรือ สรีดภงส์ สาํ หรับใชใ้ นการกกั เก็บน้าํ เพอื่ ใช้ ภายในตวั เมืองสุโขทยั และบริเวณใกลเ้ คียง ทานบพระร่วง หรือเข่ือนสรีดภงส์ เป็ นเขื่อนดินก้ันนา้ ระหว่างเขา พระบาทใหญ่และเขากิ่วอ้าย ในสมยั โบราณ เมืองสุโขทัยใช้นา้ จากเขื่อนนี้ ให้สร้างถนนพระร่วง พ่อขุนรามคาํ แหงโปรดให้สร้างถนนพระร่วงจากเมือง สุโขทยั ไปยงั เมือง ศรีสัชนาลัย เป็ นระยะทางประมาณ 50 กิโลเมตร และจากเมืองสุโขทยั

36 ตลอดไปยงั เมืองกาํ แพงเพชรเป็ นระยะทาง 70 กิโลเมตร ถนนพระร่ วงมีความสําคัญทางด้านยุทธศาสตร์การรบ การคมนาคมขนส่ง และการคา้ ขาย อีกท้งั มีการสร้างเตาสําหรับเผาถว้ ยชาม เคร่ือง ถนนพระร่วง จากอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยไปศรีสัชนาลัย เคลือบท่ีเรียกว่า เคร่ือง สังคโลก ซ่ึงในสมยั พ่อขุนรามคาํ แหงทรงได้รับวิทยาการมาจาก ประเทศจีน มีเตาเผาท่ัวอาณาจักรสุโขทัย มากกวา่ 200 เตา โดยที่เกาะนอ้ ยมีจาํ นวนเตาเผามาก ที่สุดกว่า 100 เตา ดว้ ยท่ีว่าเป็ นแหล่งท่ีมีวตั ถุดิบท่ี สามารถนาํ มาผลิตเคร่ืองป้ันดินเผาช้นั ดี เตาเผาเครื่องสงั คโลก 3. ด้านวฒั นธรรม ทรงคิดประดิษฐ์อกั ษรไทยข้ึนสําหรับใชเ้ ป็ นภาษา ประจาํ ชาติ เม่ือ พ.ศ. 1826 เรียกวา่ ลายสือไทย สันนิษฐาน หลกั ศิลาจารึก ว่า ดดั แปลงมาจาก อกั ษรขอมหวดั และมอญโบราณเม่ือ พระองค์ ทรงประดิษฐอ์ กั ษรไทยแลว้ โปรดเกลา้ ฯ ใหจ้ ารึก ตวั อกั ษรลงบนหลกั ศิลาจารึกพอ่ ขุนรามคาํ แหงหลกั ท่ี 1 นบั วา่ เป็ นหลกั ฐานท่ีสําคญั ในการศึกษา เรื่องราวทางประวตั ิศาสตร์สมยั สุโขทยั ด้านศาสนาพระองค์ทรงรับพระพุ ทธศาสนาลัทธิ ลังกาวงศ์จากเมือง นครศรีธรรมราชมาประดิษฐานในกรุงสุโขทัย ทาํ ให้พระพุทธศาสนาวางรากฐานม่นั คงใน อาณาจกั รสุโขทยั และ เผยแผส่ ู่เมืองตา่ งๆ จนกลายเป็นศาสนาประจาํ ชาติในเวลาต่อมา

37 3. พระมหาธรรมราชาที่1 (ลไิ ท) พระราชโอรสของพระยาเลอไทย ข้ึนครองราชย์ รวมระยะเวลาครองราชย์ 19 ปี (1892 – 1911) แลว้ ทรงพิจารณา เห็นว่า เกิดความแตกแยกและขาดความไว้วางใจกันใน อาณาจกั ร จึงทรงริเริ่มรวบรวมกาํ ลงั อาํ นาจ สร้างความสามคั คีเพ่ือ พฒั นาบา้ นเมืองใหม่ ทาํ ให้สุโขทยั เขม้ แข็งข้ึน พระราชกรณียกิจ ท่ีสาํ คญั ไดแ้ ก่ 1. การปกครอง พระมหาธรรมราชาลิไท ทรงเป็ น พระมหากษัตริ ย์ท่ีปกครองประชาชนในฐานะธรรมราชาหรื อ พ ร ะ ร า ช า ผู้ท ร ง ธ ร ร ม ท ร ง ยึ ด ม่ั น ใ น ห ลั ก ธ ร ร ม ข อ ง พระมหาธรรมราชาท่ี1 (ลิไท) พระพุทธศาสนาในการปกครองบา้ นเมืองคือ ทรงปกครองดว้ ย หลกั ทศพิธราชธรรม ซ่ึงมิไดม้ ุ่งเน้นท่ีพระมหากษตั ริยเ์ ท่าน้นั แต่หมายรวมถึงขา้ ราชบริพาร ที่ทาํ หนา้ ท่ีแทนพระองคใ์ นกิจการท้งั หลายอนั เก่ียวกบั การปกครอง มีการชกั ชวนสงเสริมใหป้ ระชาชน เล่ือมใสศรัทธาในหลกั ธรรมและนาํ ไปปฏิบตั ิเพอื่ ใหอ้ ยรู่ ่วมกนั อยา่ งสนั ติ 2. การป้องกันอาณาจักร ใน พ.ศ. 1893เมืองสุพรรณภูมิและเมืองละโว้ (ลพบุรี)ไดร้ วมกนั ต้ังอาณาจักรอยุธยาข้ึน มีพระเจ้าอู่ทองเป็ นกษัตริย์ประกาศเป็ นอาณาจักรอิสระไม่ข้ึนต่อ สุโขทยั และเมืองลาว ก็ไดข้ ยายอาณาเขตเขา้ มาจดแดนของอาณาจกั รสุโขทยั ทรงตระหนกั ในภยั ที่ อาจเกิดข้นั ได้ จึงไดร้ วบรวมหวั เมืองตา่ งๆ ผนึกกาํ ลงั รักษาบา้ นเมืองไวไ้ ดอ้ ยา่ งปลอดภยั นอกจากน้ี พระองคพ์ ยายามฟ้ื นฟูอาณาจกั รสุโขทยั ใหเ้ ป็ นท่ียอมรับของอาณาจกั รใกลเ้ คียง ดว้ ยการสร้างกาํ ลงั กองทพั ทาํ ศึกสงครามยกทพั ไปตีเมืองแพร่ และปราบหัวเมืองต่างๆ อาณาเขตของสุโขทยั ในสมยั ของพระองคล์ ดลงจากสมยั พอ่ ขนุ รามคาํ แหงมากกวา่ คร่ึง มีอาณาเขตดงั น้ี ทิศเหนือ ถึง เมืองแพร่ ทิศใต้ ถึง เมืองพระบาง ทิศตะวนั ออก ถึง แดนอาณาจกั รลา้ นชา้ ง ทิศตะวนั ตก ถึง เมืองฉอด 3. วรรณคดี ทรงนิพนธ์หนงั สือ เตภูมิกถา (เตภูมิกถา หรือ ไตรภูมิพระร่วง) หนงั สือเล่ม น้ี จดั เป็ นวรรณคดีล้าํ ค่าท่ีตกทอดมาถึงปัจจุบนั พระองค์ทารงนิพนธ์เพื่อนนาํ หลักธรรมของ พระพุทธศาสนามาเผยแผ่เพ่ือประพฤติปฏิบตั ิ เป็ นการปลูกฝังธรรมะให้ประชาชนรู้จกั ประพฤติ ในทางที่ชอบและดีงาม มีการนาํ สวรรคแ์ ละนรกมาแสดงเป็นรูปธรรมเพ่ือให้ประชาชนเห็นผลของ การประพฤติดี ประพฤติชว่ั ปรากฏวา่ มีอิทธิพลตอ่ การดาํ เนินชีวติ ของประชาชนมาก

38 กจิ กรรมท้ายเร่ือง 1. ใหผ้ เู้ รียนอธิบายบทบาทและผลงานบุคคลสาํ คญั ในสมยั สุโขทยั (เลือกมา 1 คน) พระราชประวตั ิ..................................................................................................................... ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… พระราชกรณียกิจที่สาํ คญั ..………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………

39 กจิ กรรมท้ายเร่ือง คาส่ัง: ใหผ้ เู้ รียนอธิบายเก่ียวกบั รูปแบบการปกครองแบบพอ่ ปกครองลูกในสมยั อาณาจกั รสุโขทยั ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… คาสั่ง: ชนช้นั ทางสงั คมสมยั อาณาจกั รสุโขทยั แบง่ ออกเป็ นกี่ชนช้นั อะไรบา้ ง ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… คาสั่ง: ใหผ้ เู้ รียนบอกปัจจยั สาํ คญั ท่ีช่วยส่งเสริมใหส้ ุโขทยั สามารถพฒั นาเศรษฐกิจให้ เจริญกา้ วหนา้ ได้ ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ………..…………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ………..…………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… คาสั่ง: ใหผ้ เู้ รียนอธิบายความสมั พนั ธ์ดา้ นพทุ ธศาสนาระหวา่ งอาณาจกั สุโขทยั กบั ลงั กา ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ………..…………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ………..…………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………

40 เรื่องการเสื่อมของอาณาจักรสุโขทัย การเสื่อมอานาจของอาณาจักรสุโขทยั นบั ต้งั แตส่ ิ้นรัชกาลพอ่ ขนุ รามคาํ แหงอาณาจกั รสุโขทยั เร่ิมออ่ นแอพระมหาธรรมราชาที่1 (พญาลิไท) ทรงใชพ้ ระพุทธศาสนาเป็ นเครื่องมือช่วยเสริมสร้างเพื่อให้อาณาจกั รสุโขทยั มีความ มนั่ คงข้ึนบา้ ง ระยะต่อมาสถานการณ์ทรุดหนกั ลง เป็ นเหตุทาํ ใหอ้ าณาจกั รสุโขทยั เส่ือมสิ้นสุดลง โดยถูกรวมเขา้ กบั อาณาจกั รอยธุ ยา ดว้ ยสาเหตุสาํ คญั ดงั น้ี 1. ข้อเสียเปรียบทางเศรษฐกิจ อาณาจกั รสุโขทยั มีที่ต้งั อยู่ห่างจากทะเลมาก ทาํ ให้ไม่มีเมืองท่าเป็ นของตนเอง และไม่ สามารถติดต่อคา้ ขายกบั ต่างประเทศโดยตรงได้ ตอ้ งอาศยั ผา่ นเมืองมอญ และไปทางใตท้ างเมือง เพชรบุรี และนครศรีธรรมราช นอกจากน้นั อาณาจกั รสุโขทยั ยงั ถูกอาณาจกั รอยุธยาปิ ดก้นั โดย สิ้นเชิงดว้ ยการให้เมืองเหล่าน้นั ประกาศเอกราชหรือถูกรวมเขา้ กบั กรุงศรีอยุธยา ทาํ ให้เศรษฐกิจ สุโขทยั ทรุดโทรม ขาดรายไดท้ ้งั การคา้ กบั ต่างประเทศ และการคา้ ระหวา่ งเมืองต่างๆ เมื่อเศรษฐกิจ ทรุดโทรมยอ่ มนาํ มาซ่ึงความเสื่อมโทรมทางการปกครองดว้ ย 2. ความแตกแยกทางการเมือง อนั เป็ นปัญหาสืบเน่ืองจากการขาดความสามคั คีภายในอาณาจกั รมีการแย่งชิงราชสมบตั ิ ระหวา่ งเจา้ นายภายในราชวงศส์ ุโขทยั ดว้ ยกนั เอง เช่น ก่อนท่ีพระมหาธรรมราชาท่ี 1 (พญาลิไท) ข้ึนครองราชสมบตั ิความห่างเหินระหว่างผูป้ กครองกบั ผูอ้ ยู่ใตป้ กครองมีมากข้ึน เนื่องจากการมี ประชากรมากข้ึน ความใกล้ชิดของกษตั ริย์ต่อราษฎรได้ลดลงไปประกอบกบั แนวความคิดการ ปกครองจากพ่อปกครองลูกไดแ้ ปรเปล่ียนเป็ นธรรมราชา เน่ืองจากสภาพแวดลอ้ มทางการเมือง นอกจากน้นั วฒั นธรรมอินเดียไดเ้ ขา้ มามีอิทธิพลทาํ ให้เกิดความห่างเหินมีมากย่ิงข้ึน จนกลายเป็ น แยกกนั อยคู่ นละส่วน อาํ นาจในการตดั สินเหตุการณ์ตา่ งๆข้ึนอยกู่ บั พระมหากษตั ริยเ์ พียงผเู้ ดียว 3.การปกครองแบบกระจายอานาจ อาณาจักรสุโขทัยเสื่อมอํานาจอย่างรวดเร็ว มาจากจุดอ่อนรูปแบบการปกครองท่ีมี โครงสร้างค่อนขา้ งเป็ นการกระจายอาํ นาจท่ีหละหลวม เจา้ เมืองต่างๆ มีอาํ นาจในการบริหารและ การควบคุมกาํ ลงั คนภายในเมืองของตนเกือบจะเต็มท่ี ราชธานีไม่สามารถควบคุมหัวเมืองไดอ้ ยา่ ง รัดกุม จึงเปิ ดโอกาสใหห้ วั เมืองเหล่าน้นั แยกตวั เป็นอิสระไดโ้ ดยง่าย 4. ปัญหาทางการเมืองภายนอก บริเวณลุ่มแม่น้าํ เจา้ พระยาตอนล่างไดม้ ีการก่อต้งั อาณาจกั รอยธุ ยาและทางตอนเหนือไดม้ ี อาณาจกั รลา้ นนาท่ีนบั ว่ามีแต่ความเก่าแก่ บีบอยู่ถึง 2 ดา้ นโดยเฉพาะอาณาจกั รอยุธยาไดเ้ ขา้ มา รุกรานชายแดนสุโขทยั หลายคร้ัง นบั ต้งั แต่ปี พ.ศ. 1914 เป็ นตน้ มา จนถึงสมยั ของพระมหาธรรม ราชาท่ี 2 แห่งอาณาจกั รสุโขทยั ตอ้ งออกมาอ่อนน้อมยินยอมเป็ นเมืองประเทศราชของอาณาจกั ร

41 อยุธยา ในปี พ.ศ.1921 เม่ืออาณาจกั รสุโขทัยตกเป็ นเมืองประเทศราชของอาณาจกั รอยุธยา พระมหากษตั ริยข์ องอาณาจกั รสุโขทยั เสด็จมาประทบั ที่เมืองสองแคว จนถึงปี พ.ศ.1962 พระมหา ธรรมราชาที่ 3 เสด็จสวรรคตท่ีเมืองสองแคว ไดเ้ กิดจราจลแยง่ ชิงราชสมบตั ิระหวา่ งพญาบานเมือง กบั พญารามคาํ แหง โดยสมเด็จพระนครินทราธิราชแห่งอาณาจกั รอยุธยาได้เสด็จข้ึนมาระงับ เหตุการณ์ ท้งั สองพระองคต์ อ้ งออกมาถวายบงั คม จึงโปรดเกลา้ ฯให้พญาบานเมืองเป็ นพระมหา ธรรมราชาท่ี 4 ครองเมืองสองแคว เม่ือสิ้นรัชกาลน้ีแลว้ ไม่ปรากฏผูจ้ ะปกครองต่อไป อาณาจกั ร สุโขทยั มีเมืองหลวงอยทู่ ่ี เมืองสองแคว จึงรวมเขา้ กบั อาณาจกั รอยุธยาในปี พ.ศ. 1981 โดยมีสมเด็จ พระราเมศวร (พระบรมไตรโลกนาถ) ข้ึนมาปกครองดูแล อาณาจกั รสุโขทยั จึงนบั วา่ ไดส้ ิ้นสุดลง สรุปได้ว่า การท่ีอาณาจกั รสุโขทยั เส่ือมอาํ นาจอย่างรวดเร็ว มีสาเหตุมาจากจุดอ่อน ใน รูปแบบการปกครองท่ีมีโครงสร้างแบบกระจายอาํ นาจ วิธีการควบคุมกาํ ลงั คนไม่กระชบั รัดกุม ทาํ เลอาณาจกั รไมเ่ หมาะสม เศรษฐกิจไมม่ งั่ คง่ั ตลอดจนการเป็ นรัฐกนั ชนระหวา่ งอาณาจกั รลา้ นนา และกรุงศรีอยธุ ยา จึงทาํ ใหอ้ าณาจกั รสุโขทยั สิ้นสุดลง https://sites.google.com

42 กจิ กรรมท้ายเรื่อง ใหผ้ เู้ รียนบอกสาเหตุของการเสื่อมของสมยั อาณาจกั รสุโขทยั โดยสงั เขป ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………

43 แบบทดสอบท้ายบท ท่ี 2 คาชี้แจง ใหผ้ เู้ รียนเลือกคาํ ตอบท่ีถูกที่สุดมาเพยี งขอ้ เดียว 1. ขอ้ ใดกล่าวไดถ้ ูกตอ้ งเกี่ยวกบั ความสาํ คญั ของการสถาปนาอาณาจกั สุโขทยั ก. ความเจริญรุ่งเรืองยาวนานท่ีสุดประวตั ิศาสตร์ชาติไทย ข. การเป็นอาณาจกั รแรกของไทยจากหลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ท่ีปรากฏ ค. การไดร้ ับการข้ึนทะเบียนจากองคก์ ารยเู นสโกใหเ้ ป็นมรดกโลกทางวฒั นธรรม ง. ความเขม้ แขง็ มนั่ คงของอาณาจกั รซ่ึงเป็นรากฐานในการพฒั นาอาณาจกั รอยธุ ยา 2. การมีทาํ เลท่ีต้งั บริเวณท่ีราบลุ่มแมน่ ้าํ หลายสายเป็นปัจจยั ที่ส่งเสริมใหเ้ กิดการสถาปนา อาณาจกั รสุโขทยั อยา่ งไร ก. การติดตอ่ คา้ ขายมีความเจริญรุ่งเรื่อง ข. การมีวถิ ีชีวติ ท่ีผกู พนั กบั แหล่งน้าํ จืด ค. การรวมกลุ่มของคนไทยทาํ ไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว ง. การสร้างความสมั พนั ธ์กบั ชุมชนใกลเ้ คียง 3. ขอ้ ใดคือลกั ษณะการปกครองของอาณาจกั รอยธุ ยาในช่วงแรก ก. แบ่งอาํ นาจ ข. คานอาํ นาจ ค. รวมศูนยอ์ าํ นาจ ง. กระจายอาํ นาจ 4. ขอ้ ใดแสดงถึงลกั ษณะการปกครองแบบ “พอ่ ปกครองลูก” ในสมยั สุโขทยั ก. พอ่ กจู ึงข้ึนชื่อกู ชื่อพระรามคาํ แหง ข. เม่ือชว่ั พ่อกู กบู าํ เรอแก่พอ่ กู กบู าํ เรอแก่แม่กู ค. ในปากประตูมีกระด่ิงอนั หน่ึงแขวนใวห้ ้นั ไพร่ฟ้าหนา้ ปก ง. ป่ าหมาก ป่ าพลู พอ่ เช้ือมนั ไวแ้ ก่ลูกมนั สิ้น 5. อาณาจกั รสุโขทยั มีอาํ นาจการปกครองเขม้ แขง็ สูงสุดในสมยั พระมหากษตั ริยพ์ ระองคใ์ ด ก. พอ่ ขนุ ศรีอินทราทิตย์ ข. พอ่ ขนุ รามคาํ แหง ค. พระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไทย) ง. พระมหาธรรมราชาที่ 3 (ไสลือไทย)

44 6. “… เพ่ือนจูงววั ไปคา้ ขี่มา้ ไปขายใครจกั ไคร่คา้ ชา้ ง คา้ ใครจกั ไคร่คา้ มา้ คา้ ใครจกั ใคร่คา้ เงือนคา้ ทอง คา้ ” จากขอ้ ความดงั กล่าวสะทอ้ นถึงลกั ษณะเศรษฐกิจของสุโขทยั อยา่ งไร ก. ราษฎรคา้ ขายไดอ้ ยา่ งเสรี ข. ราษฎรทาํ การคา้ ไดบ้ างชนิด ค. ราชการเป็ นผผู้ กู ขาดสินคา้ ง. ราชการทาํ การคา้ แขง่ กบั ราษฎร 7. พฒั นาการสมยั สุโขทยั ไดร้ ับอิทธิพลจากปัจจยั ดา้ นอารยธรรมในลกั ษณะใด ก. การรับเอาวฒั นธรรมภายนอกมาผสมผสานกบั วฒั นธรรมด้งั เดิม ข. การธาํ รงรักษาขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณีด้งั เดิมของชนชาติไทย ค. การยอมรับวฒั นธรรมของอาณาจกั รท่ีมีอิทธิพลการปกครองในอดีต ง. การแลกเปลี่ยนวฒั นธรรมกบั อาณาจกั รของคนไทยในบริเวณใกลเ้ คียง 8. ผลที่สุโขทยั ไดร้ ับจากการสร้างความสัมพนั ธ์อนั ดีกบั ลา้ นนาในระยะแรกคือขอ้ ใด ก. มีกาํ ลงั รบเพมิ่ ข้ึน ข. มีแหล่งวตั ถุดิบไดผ้ ลิตสินคา้ ค. ปลอดภยั จากการถูกตีทางเหนือ ง. เสริมสร้างอาํ นาจของกษตั ริยส์ ุโขทยั 9. ขอ้ ความจากหลกั ศิลาจารึกท่ี 1 ในขอ้ ใดแสดงถึงภูมิปัญญาดา้ นสถาปัตยกรรมและศาสนา ที่เจริฐรุ่งเรือง ก. เมืองสุโขทยั น้ีมีสี่ปากประตูหลวง ข. รอบเมืองสุโขทยั น้ี ตรีบูรไดส้ ามพนั ส่ีร้อยวา ค. กลางเมืองสุโขทยั น้ีมีพหิ าร มีพระพทุ ธรูปทอง มีพระอฎั ฐารส ง. กลางเมืองสุโขทยั น้ีมีน้าํ ตระพงั โพยสี ใสกินดี ดง่ั กินน้าํ โขงเมื่อแลง้ 10. ความเส่ือมของอาณาจกั รสุโขทยั ส่วนหน่ึงเกิดจากสาเหตุใด ก. กษตั ริยฝ์ ักใฝ่ ศาสนา ข. ผนู้ าํ แยง่ ชิงอาํ นาจ ค. การรับแนวคิดเทวราชา ง. การใหข้ นุ นางมีกองทหารของตนเอง