Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Pocket-E-book-วิชาการพยาบาลผู้ใหญ่-2

Pocket-E-book-วิชาการพยาบาลผู้ใหญ่-2

Published by alisa7818, 2020-06-10 07:35:54

Description: Pocket-E-book-วิชาการพยาบาลผู้ใหญ่-2

Search

Read the Text Version

สารบัญ Pocket E-book เร่ือง หน้า สรปุ บทเรยี น แนวคิด ทฤษฎี หลกั การพยาบาลในวัยผ้ใู หญท่ ่ีมีภาวะ 1 การเจบ็ ป่วยเฉยี บพลนั วกิ ฤต การพยาบาลผู้ใหญ่ 2 การพยาบาลผู้ป่วยระยะทา้ ยของชวี ิตในภาวะวกิ ฤต 7 การพยาบาลผปู้ ่วยท่ีมีภาวะวกิ ฤตริ ะบบหายใจ 15 NURNS09 การพยาบาลผูท้ มี่ ีภาวะวิกฤติจากปญั หาปอดทางานผดิ ปกติ 33 และการฟน้ื ฟสู ภาพปอด การจดั การเกย่ี วกับทางเดนิ หายใจและการพยาบาลผู้ป่วยท่ี 47 ใชเ้ ครื่องช่วยหายใจ การพยาบาลผู้ป่วยที่มภี าวะวกิ ฤตและฉุกเฉินของหลอดเลอื ดหัวใจ 67 กล้ามเนื้อหวั ใจ การพยาบาลผู้ป่วยโรคลน้ิ หัวใจ 77 การพยาบาลผู้ป่วยภาวะหัวใจเตน้ ผดิ จังหวะ Cardiac 85 arrhythmia,Cardiaa dysrhythmia การพยาบาลผู้ปว่ ยท่ีมีความผดิ ปกตขิ องระบบประสาทและไขสนั หลงั 87 การพยาบาลผปู้ ว่ ยระบบทางเดินปสั สาวะในระยะวิกฤต 99 การพยาบาลผปู้ ่วยท่ีมีภาวะช็อก(shock ) 109 การชว่ ยฟน้ื คนื ชพี 119

หนว่ ยที่ หลกั การสาคญั ของพยาบาลผูป้ ว่ ย 1 1.คานึงถึงความปลอดภยั ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานทัง้ ร่างกาย การเจ็บปว่ ยภาวะ เฉียบพลนั วิกฤต หมายยถึง จิตใจ จิตวญิ ญาณของผู้ปว่ ยและครอบครัว ภาวะการเจบ็ ป่วยท่ีคกุ คามกับชีวติ ต้องการได้รับการ 2.ยอมรบั ความเปน็ บคุ คลทง้ั คนของผ้ปู ่วย ยอมรับเกยี รติศักดิ์ศรี ช่วยเหลือได้ทันท่วงที หากไม่ไดร้ บั การรักษาทถ่ี ูกตอ้ ง ความมคี ณุ ค่าของคนทัง้ คน อาจทาใหเ้ สียชีวติ หรอื เกดิ ความพิการได้ ต้องได้รับ การดแู ลทง้ั ทางดา้ นร่างกาย จติ ใจ และจติ วิญญาณ ลกั ษณะทางคลินิกของผู้ป่วยในภาวะ เฉียบพลนั วิกฤต การพยาบาลภาวะวกิ ฤต (critical care nursing ) หมายถงึ การพยาบาลเฉพาะทางที่ดแู ลบคุ คลท่ีมีปัญหาคกุ คามต่อชวี ิต 1..ผ้ปู ว่ ยภาวะวกิ ฤตจะมปี ัญหาทางร่างกายทคี่ ุกคามชีวติ เป็นภาวะท่เี กดิ ร่วมกับ โดนมกี ารเฝ้าระวงั อยา่ งอาการใกล้ชิด เพอ่ื การป้องกันการเกิด ภาวะใดภาวะหน่ึง ไดแ้ ก่ ภาวะแทรกซ้อน หรืออนั ตรายทอี่ าจเกดิ ต่อชีวิตผ้ปู ่วย ท้งั ด้าน 2.ภาวะแทรกซ้อนหลงั ผา่ ตดั เชน่ เลอื ดออกมาก การติดเช้ือ ไตวายเฉียบพลัน ร่างกาย จติ ใจ และจติ วญิ ญาณ เพอ่ื ใหผ้ ู้ป่วยรอดชีวติ และ 3.ภาวะวิกฤตจากโรคเรอ้ื รังทีม่ กี ารกาเรบิ ของโรค เชน่ ภาวะหายใจวายในผ้ปู ว่ ย ทม่ี กี ารอดุ ก้นั ของทางเดินหายใจเรอื้ รัง สามารถปรบั ตวั เข้าส่ภู าวะปกตไิ ด้ 4.อุบัตเิ หตหิ รอื เกดิ ภยันตราย เช่นไฟไหม้ บาดเจ็บท่ีสมอง ท่ีไขสนั หลงั มกี าร ล้มเหลวของอวยั วะหลายระบบ (MODS) 5.การแพ้ยา สารเคมหี รอื ไดร้ ับสารพิษ 6.โรคมะเร็งลุกลามไปอวัยวะสาคัญ หวั ใจ สมอง ปอด ไต

ปัญหา สมรรถนะของพยาบาลในการดแู ลผปู้ ่วยผปู้ ว่ ย ผู้ป่วยมักมีปญั หาซับซอ้ น มจี านวนผู้ป่วยมากขึ้น มโี รคติดเช้ืออบุ ัตซิ า้ สภาการพยาบาลปี 2552 ไดใ้ หค้ วามหมายสมรรถนะของพยาบาลวชิ าชีพอย่างเชน่ และตดิ เชอื้ อบุ ตั ใิ หม่ ผสู้ งู อายเุ พิ่มข้ึน มกี ารบาดเจ็บเพิม่ ขน้ึ ความรคู้ วามสามารถจติ คติมคี วามรับผิดชอบเปน็ ผู้รว่ มงานท่ีมปี ระสทิ ธภิ าพมศี ักยภาพใน การพฒั นาตนเอง โดยเฉพาะการเกดิ อุบตั เิ หตุ ปญั หาการขาดบคุ ลากรทางการแพทย์ มีผูป้ ่วยด้วยโรคหวั ใจมากขึ้นและมอี ตั ราการตายสูงเปน็ อนั ดับ1 สมรรถนะของพยาบาลในการดูแลผู้ปว่ ยภาวะเจบ็ ปว่ ยเฉยี บพลันวิกฤต อย่างเช่น การประเมินสภาพและการวินจิ ฉัยการวางแผนการปฏิบัตกิ ารดแู ลทั้งทางรา่ งกายและจติ การดแู ลผทู้ มี่ ีภาวะการเจบ็ ป่วยเฉยี บพลนั วกิ ฤตในปจั จุบนั การประเมินผลการมีจริยธรรมและการรายงานอุบตั กิ ารณ์ท่เี กิดขึน้ 1. ลดการใช้การแพทย์ท่เี สย่ี งอนั ตรายในอดีต กรอบแนวคดิ ในการดูแลผู้ป่ วย 2. ลดความเข้มงวดในการเย่ยี มของญาติ และครอบครัว 3. การติดเช้อื ดือ้ ยาเพมิ่ มากข้ึน โรงพยาบาลใหญ่ ๆ นิยมใช้ FASTHUG and BANDAIDS คดิ ค้นโดยดร.วนิ เซนต์ มี 7 ข้อ ตอ่ มา 4. มกี ารทางานรว่ มกันของสหสาขาวิชาชีพ Georde ได้พัฒนากรอบแนวคดิ เพม่ิ เตมิ เพ่อื ให้ครอบคลมุ ทุกมิติจงึ กลายเป็น FASTHUG and BANDAIDS เพม่ิ เปน็ 15 ข้อ ซ่ึงต่อมา Vincent และ Hatton ได้ ปรบั ปรุงเคร่ืองมอื ใหช้ ว่ ยจาไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ จึงทาการปรับใหเ้ ปน็ FAST HUGS BID ซึง่ ได้ทาการปรบั เปลย่ี นเล็กนอ้ ยและเปน็ ประโยชนใ์ นการระบุและแกไ้ ขปัญหาใน ผ้ปู ่วยระยะหลังผา่ ตัดในห้อง ICU ไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ

แนวคดิ การพยาบาลผปู้ ว่ ยภาวะการเจ็บป่วยเฉยี บพลนั แนวปฏิบัตทิ างการพยาบาลผ้ปู ่วยภาวะการเจ็บปว่ ย วิกฤต FAST HUGS BID เฉยี บพลันวิกฤต ABCDE care Bundle F feeding การใหอ้ าหารและนา้ แนวคดิ ABCDE care Bundle ตัง้ อยบู่ นพน้ื ฐานสาคญั 3 ประการคอื สะดวก A analgesia เปน็ การจดั การความเจ็บปวด ในการสือ่ สารระหว่างทีมสขุ ภาพ เป็นมาตรฐานการพยาบาล ลดการใช้ยานอนหลบั S Sedation การจัดการอาการงว่ งซึมหรอื ผลจากยานอนหลบั การใชเ้ คร่ืองช่วยหายใจซึง่ อาจทาให้เกิดภาวะแทรกซอ้ นด้านร่างกายได้ (ICU Tromboembolic prevention ผ้ปู ว่ ยได้รบั ยาปอ้ งกนั ล่มิ เลอื ดอดุ ตันอาจเกิด delirium) ภาวะแทรกซ้อนและผลเสียตอ่ ไต Head of the bed elevation การจดั ทา่ นอนศีรษะสูงไม่ขัดกับภาวะของโรคเพราะจะ ซึ่งประกอบดว้ ย ช่วยปอ้ งกันการสาลกั และลดการติดเช้ือ U Ulcer : stress ulcer ป้องกันการเกดิ แผลและมีเลอื ดออกในทางเดินอาหาร -A awakening trials โดยการประเมินการดูแลและสง่ เสรมิ ให้ผู้ปว่ ยตืน่ รู้สึกตวั โดย G glucose control การควบคมุ ระดับน้าตาล ลดยานอนหลับ S Spontanous breathing trials การจัดการและสง่ เสรมิ ใหห้ ายใจไดด้ ว้ ยตนเอง B bowel care การจดั ระบบขบั ถ่ายอจุ จาระ -B breathing trails ให้ผปู้ ่วยหายใจเอง I Indwelling catgeter removal การถอดสายต่างๆ D De escalation antibiotics ไดก้ ารใช้ยาปฏิชวี นะเทา่ ท่จี าเป็น -C Co oraination ทางานรว่ มกนั กบั สหวิชาชพี -D delirium การประเมินภาวะสบั สนการบรหิ ารยา การรกั ษาแบบไมใ่ ชย้ า -E early mobilization and ambulation การให้มีการเคลื่อนไหวรา่ งกายทา กายภาพบาบัด

หน่วยท่ี การพยาบาลผู้ป่ วยระยะท้าย ลกั ษณะของผปู้ ่ วยระยะทา้ ยใน ICU 3 ของชีวติ ในภาวะวกิ ฤต 1.ได้รับการรักษาดว้ ยเครื่องมอื หลายชนดิ เพ่อื ให้ปลอดภยั และเกิดภาวะ ผู้ป่วยระยะทา้ ย หมายถงึ ผู้ป่วยทีเ่ จบ็ ป่วยและไม่ แทรกซ้อนน้อยทส่ี ดุ สามานถรกั ษาให้หายได้ มคี วามเจบ็ ปวด ทุกข์ 2.เกดิ จากอวยั วะทางานล้มเหลว ทรมาน เช่น ผู้ป่วยติดเตียง ช่วยเหลือตนเองไมไ่ ด้ หรอื โรคภัยต่างๆ ผู้ป่วยที่ตอ้ งใชเ้ ครอ่ื งชว่ ยหายใจ 3.ผ้ปู ว่ ยมีโอกาสรอดน้อย 4.ผ้ปู ว่ ยมกั มีอาการเปลย่ี นแปลงไปในทางที่แยล่ ง บริบทของผปู้ ่ วยระยะทา้ ยในหอผปู้ ่ วย ไอซียู จะใหบ้ ริการแก่ผปู้ ่ วยวฤิ กติท่ีเจบ็ ป่ วยอยา่ ง แนวทางการดูแลผู้ป่ วยระยะทา้ ยใน ICU รุนแรง มีภาวะคุกคามต่อชีวติ และมีโอกาสหายสูง 1.ดแู ลผปู้ ่วยแบบองคร์ วม ตามมารตฐานวิชาชพี และเนน้ ดา้ นจิตวญิ ญาณ 2.ดูแลญาติผปู้ ่วยเปน็ อย่างดี ใหต้ รงกบั ความเช่ือ ศาสนาของผปู้ ่วยและญาติ 3.ดูแลด้านจติ ใจของพยาบาลเอง เพื่อให้พร้อมในการดแู ลผปู้ ว่ ยและญาติ

ลกั ษณะของผปู้ ่วยเรอ้ื รังระยะทา้ ย หลักการดูแลผู้ปว่ ยเรือ้ รังระยะท้ายในมติ ิจติ วิญญาณ 1.ผูป้ ่วยมปี ญั หาของโรคซับซ้อน มกั มีอาการเปลยี่ นแปลงไปในทางที่แย่ลง 2.ร่างกายทาหนา้ ท่ีไดล้ ดลง ผู้ป่วยมคี วามทุกขท์ รมาน 1.ให้ความรกั ความเห็นอกเห็นใจ โดยจากญาติจะชว่ ยลดความกลวั ของผ้ปู ่วย 3.ผู้ปว่ ยมกั มคี วามวิตกกังวล ซึมเศร้า หมดหวงั และมภี ารกจิ ที่ยังคา้ งคา 2.ชว่ ยให้ผปู้ ่วยยอมรับความตาย มเี วลาในการเตรยี มตัวเตรียมใจ 3.ให้ขอ้ มูลที่เปน็ จริง ให้เวลา อดทน และยอมรบั พฤติกรรมของผู้ปว่ ยและญาติ แนวทางการดูแลผู้ปว่ ยเรอ้ื รังระยะท้าย 4.ชว่ ยให้จิตใจผู้ป่วยสงบ จะทาใหเ้ ผชิญกบั ความเจบ็ ปวดได้ดขี น้ึ 5.ช่วยแกป้ ญั หาท่ีผ้ปู ่วยคา้ งคาใจ และช่วยให้ปลอ่ ยวางส่งิ ต่าง ๆ ให้มากท่สี ุด 1.ให้คาแนะนาผู้ปว่ ยและญาติ ในการตอบสนองความต้องการของร่างกายและ 6.ประเมินความปวด และให้ยาแก้ปวดตามแผนการรักษา การจัดสิ่งแวดลอ้ ม 7. จัดสิง่ แวดลอ้ มและสร้างบรรยากาศท่เี อ้อื ต่อความสงบ ใหญ้ าตไิ ด้กลา่ วอาลา 2.มีสัมพนั ธภาพท่ดี กี บั ผู้ปว่ ย เขา้ ใจปฏิกริ ิยาของผู้ป่วยตอ่ ความเจ็บปว่ ยและความตาย 3.มีความอดทน มกี ารสังเกตทดี่ ี รับฟังปัญหาของผ้ปู ่วยและญาติ 4.เปิดโอกาสใหค้ รอบครัวมีส่วนรว่ มในการดแู ลผู้ป่วย โดยเฉพาะในช่วงวาระสุดทา้ ย 5.ใหก้ าลังใจญาตผิ ปู้ ่วยแมจ้ ะสญู เสียผปู้ ว่ ยไปแล้ว

การพยาบาลผู้ป่ วยด้วยหัวใจความเป็ นมนุษยย ลักษณะของการเป็นผ้ดู แู ลผูป้ ่วยระยะท้าย ดว้ ยหัวใจความเปน็ มนุษย์ ความสาคญั 1.การให้การพยาบาลผู้ป่วยดว้ ยความรกั ความเมตตา จะช่วยให้ ผปู้ ว่ ยฟน้ื ฟูสภาพเรว็ อาการดีข้ึน การเอาใจเขามาใสใ่ จเรา เข้าใจและยอมรับพฤติกรรมของผูป้ ว่ ยและ ญาติ มีความรู้สกึ เมตตา มีความอดทน อยากช่วยเหลือผู้ปว่ ยซึ่งจะเน้นด้านจิต 2.การให้การดูแลแบบองคร์ วม ใชค้ วามรัก ความเมตตา จะช่วยให้ผปู้ ่วยพน้ จาก วญิ ญาณ โดยผูด้ ูแลตอ้ งมคี วามรคู้ วามเข้าใจในธรรมชาติของบคุ คลทั้งส่วนของ ความเจ็บปวดทกุ ขท์ รมานท่กี าลงั เผชญิ อยู่ ร่างกาย จิตสงั คม และจิตวิญญาณ เข้าใจวัฒนธรรม ประเพณี ศาสนาทผ่ี ู้ปว่ ย นับถอื มที กั ษะการสือ่ สาร ฟังและสังเกตทีด่ ี ซ่ึงจะตอ้ งการทางานเปน็ ทีม 3.การดแู ลทค่ี านงึ ถงึ สทิ ธแิ ละความแตกต่างทางวัฒนธรรม และใช้ครอบครวั เปน็ ศนู ย์กลาง หลกั การดูแลผู้ป่วยดว้ ยหัวใจความเปน็ มนษุ ย์ 1.การใหบ้ ริการดจุ ญาติมิตรและมคี วามเท่าเทียมกนั 2. การดแู ลทงั้ ร่างกายและจติ ใจเพ่อื คงไว้ซ่ึงศักดศ์ิ รคี วามเป็นมนุษย์ 3.การมีความเมตตากรุณา เออื้ อาทร เอาใจเขามาใส่ใจเรา และเอาใจใสใ่ น คณุ ค่าของความเปน็ มนษุ ย์ 4.การใหผ้ รู้ ับบรกิ ารมสี ว่ นรว่ มในการดูแลตนเอง

การพยาบาลแบบประคบั ประคอง แนวทางการพยาบาลแบบ ประคับประคอง เป็นการดแู ลผูป้ ว่ ยระยะทา้ ยทคี่ รอบคลมุ ทกุ มติ ิ ท้งั ด้านร่างกาย จิตใจ สงั คมและจติ วญิ ญาโดยเน้นป้องกนั บรรเทาความทกุ ขท์ รมาน 1. การรักษาตามอาการของโรค และเพิ่มคุรภาพชวี ติ ของผูป้ ว่ ยระยะท้ายและครอบครัวใหม้ คี วามสุข ให้แก่ผู้ปว่ ยระยะท้ายและครอบครัวต้งั แต่ระยะแรกจนกระทงั่ จาหน่าย 2.การพฒั นาคณุ ภาพชีวิตของผู้ปว่ ยและครอบครวั ให้มคี วามสขุ และ หรือเสียชีวิต บรรเทาความทกุ ข์ 3. การชว่ ยใหผ้ ู้ปว่ ยระยะทา้ ยได้รบั รู้วา่ ความตายเปน็ เรื่องปกติ และเปน็ เรื่องธรรมชาติ 4.การทางานแบบพหุวชิ าชพี เพือ่ ใหก้ ารดแู ลอยา่ งท่วั ถงึ ในทุกมิตขิ อง ปัญหา 5.การสนับสนนุ สง่ิ แวดล้อมทเี่ อ้อื ตอ่ การมคี ุณภาพชีวิตท่ดี ขี องผู้ป่วยและ ครอบครัว

หน่วยที่ การพยาบาลผปู้ ว่ ยท่ีมภี าวะ การประเมนิ ภาวะสุขภาพของการหายใจ 4 วิกฤติระบบหายใจ 1.การซกั ประวตั ิ สาเหตทุ ีท่ าใหเ้ กดิ โรคทางระบบทางเดินหายใจ -สขุ ภาพทั่วไป อาการและอาการแสดงท่ชี ว่ ยในการวินจิ ฉัยโรค ได้แก่ การไอ อาการเจบ็ หนา้ อก อาการหายใจลาบาก หายใจมีเสียง เชน่ wheezing , Hoarseness of Voice, 1.การสบู บุหร่ี Stridor, Crepitation อาการเขียนคล้า (Cyanosis) ปลายนวิ้ ปุ้ม 2.มลภาวะทางอากาศ -ประวตั สิ ุขภาพในครอบครวั 3.การติดเช้ือในทางเดินหายใจ*** -ประวัตกิ ารใชย้ า 4.การแพ้ -ประวัตกิ ารแพ้,ประวัติการสบู บหุ รี่ -ประวัตกิ ารประกอบอาชีพ 2.การตรวจรา่ งกาย 1.การดู (Inspection) -ดูลักษณะทั่วไป ขนาดรูปร่าง ความสงู สีผวิ ลกั ษณะการหายใจ ความตึงตวั ของผวิ หนัง การขยายของหนา้ อกทง้ั สองขา้ งเวลาหายใจเท่ากันหรือไม่ -ดรู ปู ร่างของทรวงอก 2.การคลา (Palpation) เช่น คลาบริเวณทก่ี ดเจ็บ (Tenderness) ,คลาหาลมใตผ้ ิวหนงั ,คลาหาการเคลอื่ นไหวของทรวงอกขณะหายใจ

3.การเคาะ (Percussion) จะเร่ิมเคาะด้านหลงั กอ่ นตามดว้ ยเคาะด้านขา้ ง และ 1.โรคปอดอุดกน้ั เรอื้ รัง Chronic Obstructive ด้านหน้า Pulmonary Disease 4.การฟงั (Auscultion) การฟังจะทาไปพร้อมกับสังเกตการหายใจเขา้ และออก ลกั ษณะเสียงผดิ ปกตไิ ด้แก่ อุบตั ิการณแ์ ละระบาดวิทยา : เปน็ โรคหนึ่งทพี่ บไดบ้ ่อยในผูส้ ูงอายุ ซ่ึงสาเหตุที่ สาคัญ ทีส่ ุดคือ การสบู บุหร่ี มกั พบว่าเกิดรว่ มกับโรคถงุ ลมโป่งพอง 1.เสยี งทีด่ ังต่อเนอ่ื งกัน ไดแ้ ก่ - Rhonchi เกิดจากลมหายใจผ่านหลอดลมใหญ่ท่ีมีมูกหรอื เยื่อบุหลอดลม สาเหตุ : 1. การสบู บหุ รี่ (เป็นสาเหตุของการเกดิ โรคมากกว่า 90%) บวม 2. มลภาวะทางอากาศ - wheezing หรอื musical sound จะฟงั ได้เสียงสูง เกิดจากลม ผา่ นหลอดลมเลก็ ๆ หรือหลอดลมที่ตบี แคบมาก 3. การขาดแอลฟา 1 แอนตทิ รพิ ซนิ - Pleural Friction ได้ยนิ ทงั้ หายใจเขา้ -ออก เกิดจากเสียงเสยี ดสี 4. การตดิ เช้ือ ของเยื่อหมุ้ ปอดท่ีอกั เสบ ลักษณะเสียง คล้ายถูน้วิ มือข้างหู 5. อายุ - Stridor ได้ยนิ ต่อเนื่องกันขณะหายใจเขา้ เกิดจากการอุดตนั ของ หลอดลมใหญ่ พยาธสิ ภาพ : เกดิ จากปอดและทางเดินหายใจไดร้ บั ส่งิ ระคายเคอื ง ซ่งึ ในผูท้ สี่ ูบบุหร่จี ะเกดิ 2. เสียงท่ีดงั ไม่ตอ่ เนอ่ื งกัน ได้แก่ การสะสมสาร oxidant ท่ปี อด เมื่อปอดและทางเดนิ หายใจได้รบั สารระคายเคือง หลอดลม จะเกดิ การหดเกร็ง การพดั โพกของขนกวกั ลดลง ต่อมมูกจะขยายเซลลม์ ากขน้ึ ทาใหม้ ีการ - Rales Coarse Crakles หรอื Coarse Crepitation เสยี งคลา้ ย สร้างเสมหะมากขน้ึ เกดิ การมเี สมหะค่ังค้างอดุ ก้ันทางเดนิ หายใจและทาให้สารลดแรงตงึ ผวิ ฟองอากาศแตก ฟังได้ทห่ี ลอดลมใหญ่ ฟังไดย้ ินเมือ่ เรมิ่ หายใจเขา้ จนถึงชว่ ง นอ้ ยลง ระบบ immune จะส่ง neutrophil,CD8, lymphocyte ,macrophage มาเพอ่ื กลางของการหายใจเข้า ทาลายส่งิ แปลกปลอม โดยจะสร้างสาร cytokine เชน่ tumor necrosis factor ,interlukin (IL), ILG,IL8 ทาให้มีการทาลายเน้ือเยือ่ ทางเดินหายใจและถงุ ลม ทาใหเ้ กดิ ถุง - Fine Crackles หรือ Fine Crepitation ไดย้ อนตอนเกือบส้ินสุด ลมโปง่ พอง ส่งผลให้การประสิทธิภาพการแลกเปลยี่ นก๊าซลดลงเนือ่ งจากทางเดนิ หายใจอดุ ระยะหายใจเขา้ เกิดจากเสยี งลมหายใจผ่านน้ามกู ในหลอดลมฝอย กั้น

การประเมนิ ภาวะสขุ ภาพ การรกั ษา :1 การรกั ษาด้วยยา ซกั ประวัติ การตรวจรา่ งกาย การตรวจพเิ ศษ 2. การรักษาดว้ ยออกซเิ จน การให้ออกซิเจนขนาดต่าๆ 2 – 3 LPM ,การใส่ทอ่ ชว่ ยหายใจ -ประวัติการสบู บุหรี่ -ประวตั ิการหายใจ จะพบ - การตรวจเลือด ดู ขอ้ วินิจฉัยทางการพยาบาล ล้มเหลว -ประวัติการเบอ่ื - ผิวกายเขยี วคล้า ค่า PaO2 , PaCO2 1.มีความบกพร่องในการแลกเปล่ยี นออกซเิ จน เนื่องจากอากาศผ่านเขา้ ออกจากปอดลดลง อาหาร - ประวัตกิ ารใช้ยา - การหายใจเกิน มีลักษณะหายใจแรง - การทดสอบ 2.ไม่สามารถทาใหท้ างเดนิ หายใจสะอาดโล่ง เน่ืองจากทางเดินหายใจมกี ารอุดก้นั อยา่ ง เก่ียวกบั ทางเดนิ ถาวรและมเี สมหะคั่งคา้ ง หายใจ - การหายใจนอ้ ยกว่าปกติ มลี ักษณะหายใจ สมรรถภาพของปอด 3.วติ กกังวลเนือ่ งจากอยูใ่ นภาวะวิกฤต แผว่ - การถ่ายภาพรังสี 4.ออ่ นเพลียเน่ืองจากเสียน้าเกลอื แรแ่ ละพลงั งานจากการหายใจอารมณห์ งุดหงิดง่าย - ลูกกระเดอื กเคลอ่ื นทีม่ ากกว่าปกติ ปอด เน่ืองจากการเจ็บปว่ ยเรอ้ื รัง - อกถังเบยี ร์ - หลอดเลือดดาท่คี อโป่งนูน - การเคาะทรวงอก จะไดเ้ สียงก้องทวั่ ทอ้ ง - การฟัง จะได้เสยี ง wheezing อาการและอาการแสดง : ชว่ งแรกอาจไม่มีอาการใด ๆ มีอาการเพียงเล็กน้อย หรือมีอาการ แยล่ งเมอ่ื โรคทวคี วามรุนแรงขนึ้ และอาการอาจกาเรบิ เป็นระยะเฉล่ียปีละ 1-2 ครั้ง และ อาจทาให้ทรดุ ปว่ ยทนั ทีทนั ใด ทง้ั น้ี ความรนุ แรงของอาการในผปู้ ่วยแต่ละรายข้ึนอยกู่ บั ความเสียหายของปอดด้วย โดยอาการของ COPD ทพี่ บได้บอ่ ย เช่น หอบเวลาต้องออกแรง ไอหรือไอเรอื้ รงั มเี สมหะเหนยี วขน้ ปริมาณมาก หายใจลาบาก มีเสยี งหวีดในลาคอ ตลอดเวลา มกี ารติดเช้อื ท่ีปอดบอ่ ย ๆ

2. โรคหอบหืด (Bronchial asthma) การประเมนิ ภาวะสขุ ภาพ อุบตั ิการณแ์ ละระบาดวทิ ยา : เป็นโรคท่ีเกดิ ข้ึนได้กบั คนทุกเพศทุกวัย มักพบว่าเริม่ เปน็ ซกั ประวตั อิ าการและ การตรวจร่างกาย การตรวจพิเศษ ต้ังแตใ่ นวยั เด็กมากกวา่ ร้อยละ 50 นอกจากนก้ี ็พบว่าเกิดมากในวยั หน่มุ สาวและวยั กลางคน อาการแสดง - ประวตั ิของบคุ คลใน - หายใจเร็วมาก - การตรวจเลอื ด ดูค่า PaO2 สาเหตุ : หลอดลมมคี วามไวต่อสง่ิ กระตุ้น ได้แก่ เกสรตน้ ไม้และหญ้า กล่ิน (อบั , ฉนุ , ครอบครวั ,การแพ้ (tachypnea) , PaCO2 น้าหอม) ไข้หวัด ขนสัตว์ ควนั บหุ ร่ี ควันจากการเผาไหม้ ฝ่นุ จากท่ีนอน ยาบางชนดิ เลน่ - ประวตั ิของอาการเกดิ ขน้ึ - lung wheezing - การทดสอบสมรรถภาพ กฬี าหนักๆ อากาศเย็น เปน็ ตน้ ทนั ที - ใชก้ ลา้ มเนอ้ื ทรวงอกใน ของปอด การหายใจ - การทดสอบการแพ้ พยาธสิ ภาพ : หลอดลมมคี วามไวตอ่ สิ่งกระตนุ้ เม่ือมีส่งิ กระตุ้นทาใหห้ ลอดลมตบี ทาให้ - Cyanosis อากาศเข้าสปู่ อดไหลดลง และกระตุ้นให้เกดิ การบวม มกี ารสรา้ งเยอ่ื เมอื กมากขน้ึ ทาใหม้ ี ความตา้ นทานในหลอดเลอื ดสงู ขึ้น ทาให้ประสิทธิภาพในการแลกเปล่ียนก๊าซลดลง ทาให้ อาการและอาการแสดง : ผ้ปู ่วยมกั มอี าการแน่นอึดอดั ในหนา้ อก หรอื หอบเหนอื่ ยร่วมกับ ปริมาณอากาศทีค่ ้างอยู่ในปอดหลังหายใจออกเตม็ ที่สงู ขึน้ และมคี า่ ออกซเิ จนในเลือดตา่ ลง หายใจมเี สยี งดังวด้ี ไอและมเี สมหะใส บางรายแน่นหนา้ อกหรือไอเปน็ หลกั ในระยะแรก คารบ์ อนไดออกไซด์สงู ขน้ึ เกดิ ภาวะเลอื ดเป็นกรด และภาวะหายใจวายได้ ผปู้ ่วยจะมีอาการไอมากในตอนกลางคนื หรือตอนเชา้ มดื ในช่วงอากาศเยน็ หรืออากาศ เปลยี่ น ในช่วงท่ไี ม่มีอาการกาเริบ ผ้ปู ว่ ยจะรสู้ กึ สบายเช่นคนปกติทวั่ ไป การรักษา : ม2ี อย่างคือ หลีกเลยี่ งสารทแ่ี พ้และใช้ยาสดู อย่างสม่าเสมอ 1. หลกี เล่ียงสารที่แพ้ 2. ยาสูดรักษาโรคหดื ท่ีจาเป็นมี 2 ประเภท คอื 2.1. ยาสดู ขยายหลอดลม 2.2. ยา สดู ลดการอกั เสบ 3. การรกั ษาโดยฉดี สารภมู แิ พ้

ขอ้ วนิ จิ ฉัยทางการพยาบาล พยาธิสภาพ : เกิดการบาดเจบ็ บริเวณปอด ทาให้ปอดเกดิ การกาซาบลดลง ทาให้ร่างกายขาด ออกซิเจน รา่ งกายจงึ กระต้นุ ให้สลายออกซเิ จนจากกล้ามเน้อื เกดิ กรดแลคติก ทาใหเ้ กดิ การ 1. มีความบกพร่องในการแลกเปลย่ี นออกซิเจน เนอ่ื งจากอตั ราการระบาย อักเสบในระบบทางเดนิ หายใจ ในกระบวนการอกั เสบจะมกี ารหลั่งสาร serotonin อากาศและการซึมซาบไมส่ มดลุ histamine bradykinin ซ่ึงสารเหลา่ นีม้ คี ณุ สมบตั ยิ อมใหน้ ้าผา่ นออกจากหลอดเลอื ด น้าจึงร่ัว ออกจากผนงั หลอดเลือดเขา้ สู่ช่องวา่ งระหวา่ งเซลล์และถงุ ลม ทาใหเ้ กดิ ปอดบวมน้า และมีการ 2. ไมส่ ามารถทาให้ทางเดนิ หายใจสะอาดโล่ง เน่อื งจากมีการอดุ ก้ันของ ทาลาย Pneumocyte type 2 ทาใหส้ าร surfactant ลดลง ปอดจงึ มีความยดื หยุ่นลดลง จงึ หลอดลม เกดิ ภาวะปอดแฟบ้ ทาให้เกิดภาวะพรอ่ งออกซิเจนในเลือดอย่างรนุ แรง ทาให้เกิดภาวะ hypercapnia ภาวะ respiratory acidosis และเกิดภาวะ Acute Respiratory Distress 3. วติ กกงั วลเนือ่ งจากอยใู่ นภาวะวกิ ฤต Syndrome ในทสี่ ุด 4. ออ่ นเพลยี เน่ืองจากเสยี น้าเกลอื แรแ่ ละพลังงานจาก การประเมนิ ภาวะสขุ ภาพ 3.ภาวะการหายใจถูกกดอย่างเฉยี บพลันในผ้ใู หญ่ (Acute Respiratory Distress Syndrome) ในระยะแรก (early warning) ระยะหลงั (late warning) อุบัตกิ ารณแ์ ละระบาดวิทยา : เป็นปญั หาที่พบบ่อยในเวชปฏิบัตทิ ่ัวไปและยงั คงเปน็ ภาวะทม่ี ี 6 -48 ชม หลงั ปอดไดร้ ับการบาดเจ็บ -PaO2 ลดลง หายใจหอบเหนื่อยอยา่ ง อตั ราการเสยี ชวี ติ ทีค่ ่อนขา้ งสูง สงั เกตอาการ รุนแรง สาเหตุ : เกิดจากการบาดเจบ็ ของปอดโดยตรง และโดยอ้อม ทงั้ จากการตดิ เชื้อและไม่ติด เชอ้ื การ ไหลเวยี นโลหิตลดลง การแลกเปลีย่ นแกส๊ และการ ระบายอากาศลดลง ได้แก่ ติด - กระสับกระสา่ ย ระดบั ความรสู้ ึกตวั ลดลง -PaCO2 ลดลงรว่ มกับ respiratory เชื้อจากไวรสั แบคทเี รีย ลิ่มของไขมันในหลอดเลือดท่ปี อด สดู คาร์บอนมอนอกไซด์ ได้รบั ออกซเิ จนเขม้ ขน้ เป็นเวลานาน ปอดไดร้ ับการกระทบกระเทือน สาลกั สง่ิ แปลกปลอมเข้าปอด - หายใจหอบเหนอ่ื ย ไอ แต่เสียงหายใจ alkalosis ตดิ เช้อื ในกระแสเลือด ยูเรียคั่ง ได้รบั การฉายแสง ปกติ -PaCO2 และ PaO2 ตา่ - PaO2 สงู ร่วมกบั respiratory acidosis -หวั ใจเตน้ เรว็ ซีด เขียว เสียงปอดมีแคร - แรงดันอากาศสูงในขณะหายใจเขา้ เกิล (crakle) และ รอนไค (rhonchi) - หัวใจเต้นเร็ว - อณุ หภมู ิร่างกายสงู

การรกั ษา : -การระบายอากาศ (ventilation) ช่วยเหลือในการหายใจหรอื การระบาย พยาธสิ ภาพ : หลอดลมมีความไวตอ่ สิ่งกระตนุ้ เมอื่ มีส่ิงกระตุ้นทาให้หลอดลมตีบ อากาศใหพ้ อเพียงต่อการแลกเปล่ยี นก๊าซ ทาใหอ้ ากาศเขา้ สู่ปอดไหลดลง และกระตุ้นให้เกดิ การบวม มีการสร้างเยอ่ื เมอื กมาก ขนึ้ ทาให้มคี วามต้านทานในหลอดเลอื ดสูงขึน้ ทาใหป้ ระสิทธภิ าพในการ -การกาซาบ (perfusion) ออกซเิ จนในเลือดอย่างเพยี งพอ ถ้ามีการแลกเปลี่ยนกา๊ ซ แลกเปลยี่ นกา๊ ซลดลง ทาใหป้ ริมาณอากาศที่ค้างอยใู่ นปอดหลงั หายใจออกเต็มที่ เพียงพอแล้ว ตอ้ งคงไวซ้ ่ึงการไหลเวยี นเลอื ดใหเ้ พยี งพอจงึ จะทาใหก้ ารกาซาบ สูงขึ้น และมคี า่ ออกซเิ จนในเลือดต่าลง คารบ์ อนไดออกไซด์สงู ขน้ึ เกดิ ภาวะเลอื ด ออกซิเจนในเลือดดี เป็นกรด และภาวะหายใจวายได้ ภาวะแทรกซ้อน : ความดนั เลอื ดในปอดหรอื หัวใจหอ้ งซา้ ยสงู ซึ่งจะสง่ ผลให้หัวใจออ่ นกาลงั 4.การพยาบาลผู้ปว่ ยภาวะล่ิมเลอื ดอุดตนั ในหลอด ลง และเป็นอันตรายต่อชีวิตได้หากไมไ่ ดร้ บั การรกั ษาทันทว่ งที เลอื ดแดงปอด (Pulmonary embolism) การวินิจฉยั : การตรวจเลอื ด เพอ่ื หาค่าดีไดเมอร์ (D-Dimer) ,การเอกซเรย์ทรวงอก อบุ ตั ิการณ์และระบาดวิทยา : เป็นโรคทเ่ี กิดข้นึ ไดก้ ับคนทกุ เพศทุกวัย มกั พบวา่ เริ่มเป็นตงั้ แต่ (CXR),การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT-Scan),การอลั ตราซาวด์,การตรวจคลน่ื ไฟฟา้ หัวใจ ในวัยเดก็ มากกว่ารอ้ ยละ 50 นอกจากนีก้ พ็ บวา่ เกดิ มากในวยั หนุ่ม สาวและวัยกลางคน เป็นตน้ สาเหตุ : สาเหตมุ าจากล่ิมเลอื ดที่อดุ ตันบริเวณหลอดเลือด ขาหลุดไปอุดกน้ั หลอดเลือดปอด อาการและอาการแสดง : ผ้ปู ว่ ยมกั จะมีอาการหายใจล้าบากหรือหายใจไม่ออก อาการเจ็บ และบางครง้ั อาจเกิดจาก การอุดตนั ของไขมัน คอลลาเจน เนอื้ เย่ือ เน้อื งอก หรือ ฟองอากาศ หนา้ อก ไอ ผูป้ ่วยอาจไอแล้วมีเลอื ดปนมากบั เสมหะหรือไอเป็นเลือด มไี ข้ วงิ เวยี นศีรษะ มี ในหลอดเลือดปอดได้เชน่ กัน เหงอื่ ออกมาก กระสบั กระส่าย หวั ใจเต้นเรว็ ผิดปกติ ชพี จรเตน้ ออ่ น ผิวมสี เี ขยี วคล้า ปวด ขาหรอื ขาบวม โดยเฉพาะบริเวณนอ่ ง หน้ามดื เปน็ ลมหรอื หมดสติ ปจั จยั ทีท่ าให้เกดิ โรค : ได้แก่ อายุ พนั ธกุ รรม การรักษา : 1.การใช้ยาตา้ นการแข็งตวั ของเลอื ด ได้แก่ Heparin Warfarin อบุ ตั ิเหตุ อาชีพ การเจ็บปว่ ย การสบู บหุ รี่ 2.การสอดท่อเขา้ ทางหลอดเลอื ดเพื่อกาจัดลมิ่ เลอื ดท่อี ุดตนั การตงั้ ครรภ์ ภาวะอว้ น การใช้ฮอรโ์ มน 3.การผา่ ตัด

5.การพยาบาลผู้ปว่ ยท่ีมีภาวะการณห์ ายใจ การประเมนิ ภาวะสขุ ภาพ ลม้ เหลว (Respiratory failure) Failure of oxygenation Failure of ventilation or สาเหตุ : 1.โรคของระบบประสาท ได้แก่ หลอดเลือดสมองแตก ตีบ ตนั (CVA) สมอง/ไขสนั หลังบาดเจ็บได้รับยาสลบ ยาพิษ ยาฆา่ แมลง มอรฟ์ ีน โรคมายแอสทเี นีย (myasthenia) perfusion เชือ้ บาดทะยกั โปลิโอ -ภาวะแรงดันออกซิเจนในเลือดแดง (PaO2) -การระบายอากาศลดลง 2.โรคของปอด/ทางเดินหายใจ ไดแ้ ก่ ปอดไดร้ บั บาดเจ็บ อกรวน (Flail chest) ทางเดนิ หายใจอุดตนั หอบหดื รนุ แรง ปอดอดุ กน้ั เรือ้ รงั ได้รับการให้เลอื ดจานวนมาก (Massive ลดลงตา่ กว่า 60 mmHg เกดิ จากการหายใจ (hypoventilation) เกดิ ภาวะ transfusion) จมน้า สูดกา๊ ซพิษและคารบ์ อนไดออกไซด์ และภาวะการหายใจถกู กดอยา่ ง เฉยี บพลัน (ARDS) ซง่ึ เปน็ สาเหตุทีพ่ บได้มากท่สี ุด ขัดข้อง/หายใจลดลง (hypoventilation) การ hypercapnia ซมึ ผ่านของเน้อื ปอดลดลง (diffusion defect) (PaCO2>45mmHg) ทาใหเ้ กดิ การไหลเวยี นของเลอื ดลดั ไปโดยไม่ผ่านถงุ ลม ภาวะรา่ งกายเป็นกรด (respiratory (intrapulmonary shunting) เลือดจึงไมไ่ ดร้ ับ acidosis) ความเปน็ กรดทาให้การ ออกซเิ จน หรอื หลอดลมส่วนปลายปิดเร็วเกนิ ไป กาซาบออกซเิ จนในเลอื ดลดลง จงึ - การกาซาบ (perfusion) การกระจายของ เกดิ ภาวะพรอ่ ง ของออกซเิ จน และ อากาศผ่านถุงลมไปท่ีหลอดเลือดแดงท่ีไหลผา่ น มกี ารคงั่ ของคารบ์ อนไดออกไซด์ ปอดไม่ได้ หรอื ผดิ สัดสว่ น V/Q มคี า่ ปกติ= 0.8 อย่างรุนแรง (CO2 narcosis) และ ภาวะดงั กลา่ วจะทาใหเ้ กิดภาวะขาดออกซเิ จนใน ทาใหเ้ กิดภาวะการหายใจลม้ เหลว เลอื ด (hypoxemia) Hypercapnia (CO2 ค่งั

การประเมนิ ภาวะสขุ ภาพ : ขอ้ วินิจฉัยทางการพยาบาล 1.รา่ งกายไดร้ ับออกซิเจนไม่เพยี งพอเนือ่ งจากการระบายอากาศและการแลกเปล่ียนก๊าซใน 1. การซกั ประวัติ ถงุ ลมลดลง 2.เส่ยี งต่อเนือ้ เย่อื ได้รบั ออกซิเจนไมเ่ พียงพอเนื่องจากการแลกเปลย่ี นกา๊ ซท่ถี งุ ลมลดลงและ 2. การตรวจรา่ งกาย มขี องเหลวซมึ ผ่านถงุ ลมมากขึ้น 3. การตรวจทางหอ้ งปฏิบตั กิ าร hyponatremia (ปกติ 135-145 mEq) จะทา้ ให้ 6.โรคอุบัตใิ หม่ อ่อนเพลีย กลา้ มเนื้ออ่อนแรง เปน็ ตะครวิ และคล่นื ไส้อาเจียน hypokalemia (้ต่ากว่า coronavirus disease starting in 2019 2.5 mEq ปกติ 3.5-5.5 mEq) จะทา้ ให้ อ่อนเพลยี ซึม สบั สน กล้ามเน้ือออ่ นแรง เป็น ตะคริวท้องอดื จงั หวะการเต้นของหวั ใจผดิ ปกติ อบุ ัติการณ์และระบาดวทิ ยา : การตดิ ต่อจากการสัมผสั กบั ละอองไอจาม (droplet) หรือสิ่งของ อาหาร ร่างกายทีป่ นเปอื้ นนา้ มูกเสมหะนา้ ลายของผ้ตู ิดเชอ้ื โดยตรงทนั ที 4. การถา่ ยภาพรังสที รวงอก อาการ : ไข้อุณหภูมิ 37.5 ไอเจ็บคอมีนา้ มูกหายใจเหนอื่ ย และอาจมีความผดิ ปกติ ทางผวิ หนงั ผืน่ บวมแดงคล้ายโรคลมพษิ คนั มจี ดุ เลือดออกหลอดเลือดอักเสบกล่มุ 5. การวัดความสามารถในการระบายอากาศ ของตุม่ นา้ คลา้ ยโรคอสี ุกอใี ส อาการและอาการแสดง : ผปู้ ่วยมักจะมีอาการหายใจล้าบากหรือหายใจไม่ออก อาการ เจบ็ หนา้ อก ไอ ผู้ป่วยอาจไอแลว้ มเี ลือดปนมากับเสมหะหรอื ไอเป็นเลอื ด มไี ข้ วิงเวยี น ศีรษะ มเี หงอื่ ออกมาก กระสับกระส่าย หัวใจเตน้ เร็วผิดปกติ ชพี จรเตน้ อ่อน ผวิ มีสีเขยี ว คล้า ปวดขาหรือขาบวม โดยเฉพาะบรเิ วณน่อง หน้ามดื เป็นลมหรอื หมดสติ การรักษา : 1.การใช้ยาต้านการแขง็ ตัวของเลือด ได้แก่ Heparin Warfarin 2.การสอดทอ่ เข้าทางหลอดเลือดเพอ่ื กาจดั ลม่ิ เลือดที่อดุ ตัน 3.การผา่ ตดั

วธิ ีปอ้ งกัน การอ่าน Arterial Blood gas (ABG) 1.สวมหนา้ กากอนามัย 2.ลา้ งมอื บอ่ ยๆด้วยแอลกอฮอลห์ รอื สบู่ 1.pH (ปกติ 7.35-7.45) ถา้ นอ้ ยกว่า 7.35 แสดงว่ามภี าวะเปน็ กรดในร่างกาย ให้พิจารณา 3.ใช้กระดาษทชิ ชูเม่อื ไอหรือจาม -PaCO2 ถ้ามากกว่า 45 mmHg แสดงวา่ มีภาวะกรดจากการหายใจ (respiratory acidosis) 4.หลกี เล่ยี งการสมั ผสั ใบหน้า -HCO3 (ปกติ 22-26 mEq) ถ้านอ้ ยกวา่ 22 mEq แสดงว่ารา่ งกายมภี าวะกรดจากเมตาบอลิค 5.หลกี เลีย่ งการไปท่คี นแออัด (metabolic acidosis 2.ค่า pH มากกว่า 7.45 แสดงวา่ มีภาวะเป็นดา่ งในรา่ งกาย ให้พิจารณา - PaCO2 น้อยกวา่ 35 mmHg แสดงวา่ มภี าวะดา่ งจากการหายใจ(respiratory alkalosis) - HCO3 มากกว่า 26 mEq แสดงว่า ร่างกายมภี าวะด่างจากเมตาบอลซิ ึม(metabolic alkalosis)

หน่วยที่ การพยาบาลผู้ทีม่ ีภาวะวกิ ฤติ พยาธสิ ภาพ : มี 3 ระยะ 5 จากปัญหาปอดทางานผิดปกติ 1.ระยะเลอื ดคัง่ พบใน 12-24 ช่ัวโมงแรก มกี ารเพมิ่ จานวนอยา่ งรวดเร็วและมปี ฏกิ ิรยิ า และการฟ้ืนฟสู ภาพปอด ตอบสนองโดยมีเลอื ดคลัง่ บริเวณที่อักเสบและมี Cellular Exudate เข้าไปในถงุ ร่มโดยมี เม็ดเลอื ดแดงเม็ดเลือดขาวแบคทเี รียและไฟบรน้ิ ระยะนอี้ าจมีเชอื้ เข้าสกู่ ระแสเลอื ดได้ 1.โรคปอดอกั เสบ pneumonia pneumonitis 2.ระยะปลอดแขง็ ตัว Hepatization เกิดในวันท่ี 2-3 ระยะแรกจะพบว่ามเี ม็ดเลือดอย่ใู น อุบัตกิ ารณแ์ ละระบาดวทิ ยา :สามารถแพรก่ ระจายโดยการไอ จาม หรือหายใจรด ถงุ ลมเป็นส่วนใหญแ่ ละหลอดลมฝอยจะขยายตวั ออกทาให้เนอื้ สตั ว์มสี ีแดงจดั เรียกว่า red กนั การสาลกั เอา สารเคมี หรือเศษอาหารเข้าไปในปอด การ แพรก่ ระจายไป hepatization ในรายทอ่ี กั เสบรนุ แรงหลอดเลือดฝอยจะมขี นาดเลก็ ลงทาให้เปน็ สีเทา ตามกระแสเลือด Gray Hepatization ตรงกบั วนั ท่ี 4 ถึง 5 ของโรค สาเหตุของโรค : เช้ือแบคทเี รยี pneumococcud ,staphylococcus ,เชอื้ ไวรัส : เช่น ไขห้ วัดใหญ่หดั Covit , เช้ือไมโครพลาสมาทาใหเ้ กดิ ปอดอกั เสบที่เรยี กว่า 3.ระยะฟืน้ ตัว Resolution ในวนั ท่ี 7 ถงึ 10 ของโรคเกิดข้นึ เม่อื ร่างกายมภี มู ิตา้ นทาน atypical pnemoniaและจะไมม่ อี าการหอบชดั เจน ,สารเคมีเชอื้ รา เกิดขน้ึ และสามารถทาลายเชอ้ื แบคทเี รยี หมด และเรม่ิ สลายตัวทาให้มีเอมไซม์ออกมา ทาลายไฟบนิ ส่วนใหญจ่ ะถูกกาจดั ออกบริเวณทีม่ ีการอักเสบโดยเซลลช์ นิดโมโนนวิ เคลียร์ ท่ีเหลอื จะหลุดออกมาเปน็ เสมหะขณะไอ ส่วนเนอ้ื เยอื่ ทม่ี กี ารอกั เสบจะมีผงั ผืดเกดิ ขนึ้ เเทน

การประเมินภาวะสขุ ภาพผปู้ ่วย : การประวตั ิอาการและอาการแสดง การตรวจร่างกาย 2. Compressive atelectasis เกิดขน้ึ จากการมีรอยโรคอยภู่ ายใน ทรวงอก ซง่ึ ทาใหเ้ กิด การตรวจทางห้องปฏิบัติการ การถา่ ยภาพรงั สีปอด แรงดันกดเบียดเนื้อปอดส่วนทอี่ ยู่ขา้ งเคียงให้แฟบลง เชน่ pleural effusion, peripheral ภาวะแทรกซ้อน : เช่นปอดแฟบ ฝีในปอดเย่ือหมุ้ สมองอักเสบ เย่อื หุ้มหวั ใจอักเสบ ข้ออกั เสบ lung mass เปน็ ต้น เฉยี บพลันโลหิตเปน็ พษิ และท่ีสาคัญคือออกซเิ จนตา่ และขาดนา้ การรกั ษา : รกั ษาเพ่อื การประคับประคองไมใ่ ห้โรคลกุ ลามและการตดิ เชอื้ ซา้ เช่น การใหย้ า 3. Passive atelectasis เกดิ จากรอยโรคภายใน pleural cavity ทาให้แรงดันใน pleural บรรเทาอาการไอขยายหลอดลมยาปฏิชวี นะและยาแกป้ วดลดไข้ space มีความเปน็ ลบลดลงหรอื เปน็ ศูนย์ ทาใหแ้ รงดึงที่ช่วยดึงเนอ้ื ปอดให้คงรปู ขยายตัวอยู่ ข้อวนิ จิ ฉัยทางการพยาบาล : หายไป เน้อื ปอดซ่ึงมี elastic recoil อยู่ กจ็ ะไมม่ แี รงตา้ น และทา้ ให้ปอด ยบุ ตวั ลงเอง 1.การหายใจไมเ่ พียงพอเนอื่ งจากปอดถกู จากัดจากการอักเสบ สาเหตุของภาวะ passive atelectasis แบบนี้ กไ็ ด้แก่ pleural effusion และ nontension 2.มคี วามบกพรอ่ งในการแลกเปล่ยี นแก๊สเน่อื งจากผนังถุงลมปอดไม่ดี pneumothorax 3.ไม่สามารถทาใหท้ างเดินหายใจโล่งเนือ่ งจากเสมหะมากและเหนยี ว 4. Adhesive atelectasis บางครัง้ ถูกเรยี กวา่ Discoid หรอื Platelike atelectasis ภาวะ 2.การพยาบาลผู้ป่วยภาวะปอดแฟบ Atelectasis ปอดแฟบชนิดนเี้ กิดจากภาวะ alveolar hypoventilation (หายใจตืน้ ) ซง่ึ มผี ลทาให้ หลอดลมสว่ นปลาย ๆ ซึง่ จะขยายออกพร้อม ๆ กับถงุ ลมไม่สามารถขยายออกได้ จงึ ยุบตัว สาเหตุ ลง 1.Obstructive atelectasis พบได้บอ่ ยท่สี ดุ อาจเกดิ จาก 1.1.Endobroncgial การอุดก้นั ของหลอดลมแบบ intraluminal เช่นหลอดลมมมี วิ คสั มากั้น 1.2.intraluminal เกิดจากความผดิ ปกติหรอื โรคทอ่ี ย่ภู ายในผนงั ของหลอดลมเอง 1.3.Extraluminal เกิดจากการกดเบยี ดของหลอดลมจากโรคท่ีอยู่ในหลอดลม

พยาธิสภาพ: การระบายอากาศในแขนงหลอดลมลดลงหรือถูกปดิ ก้นั 3.การพยาบาลผ้ปู ่วยที่มีภาวะของเหลว ถกู อุดกั้น ทาให้เกิดการระบายอากาศไมม่ ปี ระสิทธิภาพ คลัง่ ในเยื่อห้มุ ปอด plural effusion การประเมนิ ภาวะสขุ ภาพ ภาวะที่มขี องเหลวปริมาณมากเกินปกตทิ ี่เยื่อหุม้ ปอดและเย่ือห้มุ ช่องอก โดย นา้ ทเ่ี พ่มิ ขึน้ จะไปกดทับปอดทาใหป้ อดขยายตัวไม่เต็มท่ี ซกั ประวัติอาการและ การตรวจร่างกาย การตรวจพิเศษ สาเหตุ อาการแสดง -ประวัตกิ ารสูบบหุ ร,ี่ การ จะพบผวิ หนงั เขยี วคล้า -การตรวจเลอื ด ดูคา่ PaO2 ของเหลวแบบใส ของเหลวแบบข่นุ (มะเรง็ หลอดอกั เสบ หายใจล้มเหลว หายใจแรงหายใจเกนิ รอ้ ยใจ , PaCO2 -ประวัติการเบือ่ อาหาร น้อยกว่าปกติหายใจแผ่ว - การทดสอบสมรรถภาพ (โปรตีนในเลอื ดทม่ี คี า่ ต่ารวั่ ไหลออกมาในปอด) เลือดหรอื ท่อนา้ เหลอื งอดุ ตนั )*รุนแรง -ประวตั ิการใช้ยาเก่ยี วกับ นอนราบไมไ่ ดม้ ีไขช้ พี จรเตน้ ของปอด - การถ่ายภาพรังสี ทางเดนิ หายใจ เร็ว ปอด -ภาวะหัวใจลม้ เหลวทาให้ความดันตา้ นกลบั ใน -โรคปอดบวม โรคมะเร็ง ทาใหป้ อดและ หลอดเลอื ดดาทาให้เกดิ การบวมจากของเหลว เย่ือหมุ้ ปอดอักเสบ บริเวณขาและอาจจะมีนา้ ในชอ่ งเยื่อหมุ้ ปอด -ไตวาย ทาใหไ้ ม่สามารถกรองเลอื ดและ การป้องกนั ปอดแฟบ : นอนเปล่ียนท่าบอ่ ยๆ กระตุน้ ให้ลกุ นง่ั พลกิ ตะแคงตัว ฝึกการ ดว้ ย ขบั นา้ ปสั สาวะได้ ทาให้เกดิ การอกั เสบ เป่าลูกโป่ง ใหไ้ ออยา่ งมีประสิทธิภาพ -โรคตับแขง็ ทาให้การทางานของตบั ในการ ภายในช่องทอ้ งและสง่ ผลใหป้ อดอักเสบ ข้อวนิ ิจฉยั ทางการพยาบาล : กรองของเสียเสียหนา้ ท่ี สง่ ผลใหร้ ะดบั โปรตนี จนเกิดของเหลวในปอดตามมา ไมส่ ามารถทาให้ทางเดนิ หายใจโล่งไดเ้ นื่องจากปอดถกู กด ในเลือดทีต่ ่าน้ันสง่ ผลใหข้ องเหลวซึมออกมา -สาเหตอุ ่นื ๆเช่นวณั โรคภูมคิ มุ้ กันทาลาย มีความพร้อมในการแลกเปลี่ยนแก๊สน่ังจากเนื้อปลาที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนแก๊ส ออกซเิ จนลดลง นอกหลอดเลอื ด ตนเองเลอื ดคั่งในทรวงอกน้าเหลืองคั่งใน -โรคลิ่มเลือดอดุ ตันในปอด ปอด เป็นต้น -หลงั การผ่าตัดหวั ใจแบบเปดิ

อาการ : หอบหายใจถีห่ ายใจลาบากแนน่ อนราบไอแหง้ มีไข้เน่อื งจากตดิ เชื้อสะอกึ การประเมินภาวะสขุ ภาพ เจ็บหนา้ อก บางรายอาจจะไม่มอี าการเลย การซักประวัติ ตรวจร่างกาย ภาพรังสที รวงอก การรักษา : การระบายของเหลวออกจากเยอ่ื หมุ้ ปอด การเจาะ การผา่ ตดั แสดงลกั ษณะปอดบวมนา้ เชน่ เพอ่ื ค้นหา สาเหตทุ ี่ -ออกซเิ จนในเลือดลดลง -เหน็ หลอดเลือดดาในปอด จะทาใหเ้ กดิ ปอดบวม -ไอมีเสมหะเป็นฟองสีชมพู ชดั เจนในบรเิ วณ -ปอดสว่ นบนเป็นรูปคลา้ ยเขา -หายใจลาบาก (pink frothy กวาง (antler’ sign) 4.การพยาบาลผปู้ ่วยภาวะปอดบวมน้า หายใจเร็วจากการ sputum) -อาจเห็นเงาหวั ใจขนาดใหญ่ pulmonary edema พร่องออกซเิ จน -ฟังเสียงปอดพบเสียงราล กว่าเดมิ และวีด๊ -ผิวหนงั เยน็ ชืน้ มีเหง่ือออก สาเหตุ มาก ซดี จากหวั ใจ ไมใ่ ช่จากหัวใจ -เวนตรเิ คลิ ซา้ ยล้มเหลว -หลอดเลอื ดฝอยของปอดยอมให้สารน้าซมึ ผ่าน -โรคของล้ินไมตรัล ออกมาได้ -ปริมาณสารน้ามากกวา่ ปกติ -แรงดงึ ของพลาสมาลดลง เช่น อลั บูมินในเลอื ด ตา่ -ระบบถา่ ยเทน้าเหลืองถูกอดุ ตนั

พยาธสิ ภาพ : ปกติแรงดันนา้ ในหลอดเลือดแดงเลก็ จะมีความดนั มากดงั นั้นสารนา้ จึง อาการและอาการแสดง : ซง่ึ จะแตกตา่ งกันขึ้นอย่กู บั ปัจจยั หลายด้านเชน่ ปริมาณลมความ ถกู ดนั ออกนอกหลอดเลือดฝอยเขา้ สชู่ อ่ งว่างระหวา่ งเซลลใ์ นปอดและหลอดเลอื ดดา ผิดปกติของปอดอตั ราเร็วในการสะสมของลมท่รี วั่ โดยอาการท่พี บไดแ้ ก่เจบ็ หน้าอกข้าง เล็กจะมีแรงดงึ น้ามากดึงนา้ เขา้ สหู่ ลอดเลอื ดฝอยเพราะฉะนัน้ แรงดันและแรงดงึ จงึ เดียวเหน่ือยหายใจไมส่ ะดวกและการขยับตัวของทรวงอกลดลงในข้างท่ีมลี มร่วั ได้ยนิ เสยี ง ตอ้ งมกี ารทางานสมดุลกัน ผนงั ของหลอดเลือดฝอยบางมากและสารบางอยา่ งผ่าน หายใจเบาๆเคาะปอดไดย้ ินเสยี งโปร่งมากกวา่ ปกติ ออกไปการเคลอื่ นยา้ ยดงั กลา่ วข้นึ อยู่กบั แรงดนั 2 อยา่ งคือแรงดันนา้ ในหลอดเลือด และแรงดงึ นา้ ในหลอดเลือด -tension Pneumothorax เกิดจากการมลี มอยู่ในช่องปอดปรมิ าณมากความดันสงู ทาให้ เกิดการฉกี ขาดของปอดหรอื หลอดลม ทาให้ mediastinum shiftไปดา้ นตรงขา้ มกดขา้ ง 5.Trauma น้ันแฟ้บลงหลอดเลอื ดดา superior interior พับบิดงอทาใหเ้ ลือดกบั เซลลห์ ัวใจน้อยลงทา ให้เกิด hypotension กลไกการบาดเจบ็ MOI เปน็ การประเมนิ เพื่อพิจารณาถงึ ความรนุ แรงของอาการในการ ช่วยเหลือผู้ปว่ ยฉกุ เฉินโดยแบ่งออกเป็นผูบ้ าดเจบ็ Trauma และผู้เจบ็ ปว่ ย Medical การวินจิ ฉยั : -การเอกซเรยท์ รวงอก (CXR) -การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT-Scan) -การอลั Pneumothorax คอื ภาวะทีม่ ีลมในช่องเย่อื หุ้มปอด แบ่งออกเปน็ 3 ประเภท ไดแ้ ก่ ตราซาวด์ 1Spontaneous Pneumothorax ภาวะลมรั่วในชอ่ งเยื่อหุม้ ปอดซง่ึ เกดิ ขึน้ เองในผ้ปู ่วย 2latrogenic Pneumothorax ภาวะลมรั่วในช่องเย่อื หุม้ ปอดซ่งึ เกิดภายหลังการทาหตั ถการ การรกั ษา : -การระบายลมออกจากช่องเยอ่ื ห้มุ -การเจาะดดู ลมในช่องเยือ่ ห้มุ ปอด ทางการแพทย์ 3Traumatic Pneumothorax ภาวะลมรั่วในชว่ งเยอื่ ห้มุ ปอดซ่งึ เกิดในผู้ปว่ ยท่ไี ดร้ บั อุบตั ิเหตุ

Hemothorax หมายถึงภาวะทมี่ เี ลอื ดในชอ่ งเยอ่ื หมุ้ ปอด ภาวะเลอื ดออกพบไดท้ ้ังมีบาดแผล 6.Flail chest และชนิดถกู กระแทกโดยมกั เกิดร่วมกับกระดกู ซ่โี ครงหกั มกี ารฉีกขาดของหลอดเลอื ดระหวา่ ง ซโี่ ครงบาดแผลทะลเุ ชน่ ถูกยงิ หรือถกู แทงมักทาใหเ้ ลอื ดออกและตอ้ งแกไ้ ขโดยการผ่าตัด การพยาบาลผ้ปู ว่ ยท่มี ภี าวะอกรวน Flail chest เป็นภาวะท่มี กี ระดูกซี่โครงหัก 3 ซี่ซ่ึง 145 มากกวา่ 1 ตาแหนง่ ผนงั ทรวงอกจะยุบหายใจ ความดนั ลบระหว่าง 10-20mmHg เข้าและส่งออกมาหายใจออก ออกซิเจนลดลงคาร์บอนไดออกไซดเ์ พิม่ หายใจแบบ Paradoxical Respiratory เกดิ จาก Floating Segment ทาใหก้ ลไกของการ พยาธสิ ภาพ : เมื่อไดร้ บั บาดเจบ็ ท่เี ยื่อหมุ้ ปอด ความดนั ลบในโพรงเยอ่ื หมุ้ ปอดจะลดลงเรอื่ ยๆ ทาใหเ้ กิดการหายใจผิดปกติ การหายใจเข้า ผนังทรวงอกขา้ งท่ีได้รับบาดเจบ็ จะยบุ ลง การ ทาให้ปอดแฟบ ทาให้ปอดไมส่ ามารถแลกเปลี่ยนก๊าซได้ตามปกติ ทาใหร้ า่ งกายขาด O2 หายใจออก ผนังทรวงอกข้างทไ่ี ด้รบั บาดเจ็บจะโป่งพองข้นึ สง่ ผลให้เกิดภาวะShock และหมดสตไิ ด้ อาการและการดูแล : -Massive Hemothorax คอื ภาวะเลือดออกปริมาณมากในชอ่ งปอด ออกมากกวา่ 1.5 ลิตร -เจ็บหน้าอกรุนแรง ดูแลการหายใจ ให้ออกซเิ จน และออกต่อเนอื่ งมากกวา่ 2000 ซีซีตอ่ ชวั่ โมง -หายใจลาบาก ใหย้ ึดตรึงผนังทรวงอกไมใ่ ห้เคล่ือนไหว - Paradoxical Respiration หากมภี าวะของการขาดออกซเิ จนรนุ แรงใหพ้ ิจารณาใส่ทอ่ การวินจิ ฉยั : -การเอกซเรยท์ รวงอก (CXR) -การเอกซเรยค์ อมพิวเตอร์ (CT-Scan) -การอัล ชว่ ยหายใจ (ET tube) ตราซาวด์ - Hrpoxia มภี าวะขาดออกซิเจน โดยวัด SpO2 ไดต้ ่าหรือ มภี าวะ Cyanosis SpO2 ไดต้ ่า หรอื มภี าวะ Cyanosis ใหส้ ารนา้ หรือสารละลายทางหลอดเลือดดา การรกั ษา : การระบายเลอื ดออกจากช่องเยอ่ื หุ้มการเจาะดูดเลือดการผ่าตดั การปดิ พลา -ตรวจพบกดเจบ็ และคลาไดก้ ระดกู กรอบแกรบบริเวณทห่ี กั ติดตามการหายใจและSpO2 สเตอร์ 3 ดา้ น

การพยาบาลผู้ป่วยที่ใสท่ ่อระบาย การฟ้ืนฟสู ภาพปอด ทรวงอก ICD การฟน้ื ฟสู ภาพปอด การพยาบาลผู้ป่วยทีใ่ ส่ท่อระบายทรวงอก ICD 1.การจัดท่านอนและเปลีย่ นทา่ บอ่ ยๆ เพอื่ ระบายอากาศสารนา้ หรอื เลอื ดในโพรงเยือ่ หุ้มปอด 2.กระตนุ้ ใหล้ กุ นง่ั ลุกเดนิ การทางานระบบการต่อขวดละใบมีไดห้ ลายแบบทัง้ น้ขี ้นึ อยูก่ บั วตั ถปุ ระสงค์ว่าตอ้ งการ 3.พลิกตะแคงตัว ระบายอากาศหรอื สารน้ามี 4 แบบคอื 4.ฝกึ การเป่าลกู โป่ง 1 ระบบขวดเดยี วใชส้ าหรับระบายอากาศอย่างเดียว 5.กระต้นุ ใหไ้ ออย่างมีประสทิ ธภิ าพ 2 ระบบ 2 ขวดใช้สาหรับระบายอากาศและสารนา้ แต่ไม่มแี รงดดู จากภายนอก 3 ระบบ 3 ขวดเหมือนระบบ 2 ขวดแตเ่ พิ่มแรงดูดจากภายนอก 4 ระบบ 4 ขวดเพื่อมกี ารระบายอากาศได้ถ้า เครื่องดูดสุญญากาศไมท่ างานหรอื มีอาการออกมามาก

หนว่ ยที่ การจดั การเก่ียวกับทางเดนิ วงจรการทางานของเครอ่ื งชว่ ยหายใจ 6 หายใจและการพยาบาลผู้ปว่ ย แบ่งเปน็ 4 ระยะ (phase) ท่ใี ชเ้ ครอื่ งชว่ ยหายใจ 1.Trigger คอื กลไกกระตนุ้ แหล่งจา่ ยก๊าซทาใหเ้ กิดการหายใจเข้า เกิดได้จาก ความ การพยาบาลผู้ป่วยท่ใี ช้เคร่ืองชว่ ยหายใจ ดัน ปริมาตร การไหล และเวลา เครอื่ งชว่ ยหายใจเปน็ อุปกรณ์ทางการแพทย์ซึง่ ใชใ้ นการชว่ ยหายใจ ทาใหเ้ กดิ 2.Limit คือ กลไกทีด่ ารงไว้ โดยเครื่องมีการจากดั คา่ ความดัน ปรมิ าตร การไหล การไหลของอากาศเขา้ และออกจากปอด ใช้สาหรับผู้ปว่ ยท่ีไม่สามารถหายใจเองได้ ไมใ่ หเ้ กิดอันตรายตอ่ ปอดของผปู้ ่วย หรือหายใจไดแ้ ตไ่ มเ่ พียงพอตอ่ ความตอ้ งการของร่างกาย 3.Cycle คอื กลไกทเี่ ปลีย่ นจากระยะหายใจเข้าเปน็ หายใจออก อาจกาหนดด้วยความ ดัน (pressure cycle) หรือปริมาตร (volume cycle) หลกั การทางานของเครอ่ื งช่วยหายใจ 4. baseline คอื กลไกทใ่ี ช้ในการหยดุ จา่ ยก๊าซ ไม่ว่าจะกาหนดด้วยความดนั เป็นขบวนการดันอากาศเข้าส่ปู อด โดยอาศัยความดันบวก มีหลกั การเชน่ เดยี วกบั ปริมาตร หรือเวลา เมื่อสิน้ สดุ การหายใจเข้า การหายใจออกจะเร่ิมตน้ จนสิน้ สุด การเปา่ ปาก หรอื เปา่ อากาศเข้าไปในปอดของผู้ปว่ ยเมือ่ ปอดขยายตวั ได้ระดบั หนึง่ การหายใจออก baseline จึงมีค่าเป็น 0 (ศนู ย)์ แลว้ จงึ ปลอ่ ยให้อากาศระบายออก

ชนิดการทางานของเคร่ืองชว่ ยหายใจ 2.ผ้ปู ว่ ยมีปญั หาระบบไหลเวยี น จาแนกตามตัวควบคมุ การหายใจเขา้ (control variable) แบ่งเปน็ 4 ชนิด -มภี าวะช็อครนุ แรง เช่น BP 70/50 – 80/60 mmHg ,vital signs unstable และตอ้ ง 1. เครอ่ื งกาหนดอัตราการไหลตามที่กาหนด (flow control variable) ใช้ยาช่วยเพ่มิ ความดนั โลหติ (vasopressure ) 2. เครอ่ื งกาหนดปรมิ าตรตามท่กี าหนด (Volume control variable) -มภี าวะหัวใจหยุดเตน้ (cardiac arrest) 3. เครือ่ งกาหนดความดนั ถงึ จุดที่กาหนด (Pressure control variable) 4. เครอื่ งกาหนดเวลาในการหายใจเข้า (Time control variable) 3.ผู้ป่วยบาดเจ็บศีรษะ ข้อบ่งชี้ในการใชเ้ ครอื่ งชว่ ยหายใจ มเี ลอื ดออกในสมอง มพี ยาธสิ ภาพในสมองรนุ แรง หรอื ผู้ป่วยมีคา่ GCS ≤ 8 คะแนน 1. ผู้ปว่ ยมปี ัญหาระบบหายใจ 4.ผปู้ ว่ ยหลงั ผ่าตดั ใหญแ่ ละได้รับยาระงับความรู้สึกนาน -มกี ารอุดกนั้ ของทางเดนิ หายใจสว่ นบน -มีโรค asthma หรอื COPD รนุ แรง หลงั ผ่าตดั ผู้ป่วยอาจหายใจเองได้ไมเ่ พยี งพอ เช่น ผา่ ตดั ปอด หัวใจ ผา่ ตดั ทรวงอก หรือ -ผู้ป่วยมภี าวะหายใจช้า (bradypnea ) ภาวะหยุดหายใจ (apnea) ผ่าตดั ชอ่ งทอ้ ง -มีภาวะหายใจลม้ เหลว (respiratory failure) ผูป้ ่วยที่มี arterial blood gas ผดิ ปกติ - PaO2 (with supplement FiO2) < 55 mmHg - PaCO2 >50 mmHg , arterial pH < 7.25

คาศพั ทข์ องแต่ละพารามิเตอร์ทีใ่ ช้ในการ 6. Peak Inspiratory Flow (PIF) หมายถึงอัตราการไหลของอากาศเข้าส่ปู อดของ ตัง้ ค่าเครื่องชว่ ยหายใจ ผู้ป่วยสูงสดุ ในการหายใจแตล่ ะคร้ัง 7. I:E (inspiratory : expiratory) อตั ราสว่ นระหวา่ งเวลาทใ่ี ชใ้ นการหายใจเข้าต่อเวลา 1. F หรือ rate หมายถึงอัตราการหายใจควรตัง้ อตั ราการหายใจประมาณ 12-20 ครั้งต่อ ทใ่ี ชใ้ นการหายใจออก นาที 8. minute volume (MV) / VE ปริมาณอากาศทีห่ ายใจเขา้ ออกทง้ั หมดใน 1 นาทมี ี คา่ เทา่ กบั Tidal volum คณู กบั อัตราการหายใจ 2. Vt หรอื tidal volum เป็นคา่ ปริมาณอากาศทีไ่ หลเข้าหรือออกจากปอดผ้ปู ว่ ยหรือถ้า การหายใจเขา้ ออกในหนึง่ ครัง้ ของการหายใจมีหนว่ ยเปน็ ml ค่าปกติประมาณ 7-10 หลกั การต้งั เครอ่ื งช่วยหายใจ ML/kg. แบ่งออกเปน็ 2 ชนิด เช่น ผู้ป่วยหนกั 50 กิโลกรัม = 50*7ml = 350 / 50*10 = 500 = 350-500 ml 1. ชนิดช่วยหายใจ full support mode 3. Sensitivity / trigger effort เป็นค่าความไวของเคร่ืองทตี่ ้งั ไวเ้ พ่ือใหผ้ ูป้ ่วยออกแรง น้อยท่สี ุดตงั้ ประมาณ 2 lit/min 1.1 Continuous Mandatory Vantilation : CMV คอื เครอื่ งชว่ ยหายใจจากควบคุม การหายใจหรอื ชว่ ยหายใจเองท้ังหมดตามทถี่ ูกกาหนดใช้สาหรับผู้ปว่ ยท่ีมีภาวะวกิ ฤต ที่ 4. Fio2 เปน็ คา่ เปอร์เซน็ ต์ออกซเิ จนทเ่ี ปิดใหผ้ ปู้ ่วยตงั้ ค่าประมาณ 0.4 ถงึ 0.5 หรอื 40 ถึง นยิ มใช้บอ่ ย 2 วิธีคอื 50 เปอรเ์ ซน็ ตแ์ ตถ่ ้ามพี ยาธสิ ภาพรนุ แรงเชน่ ปอดอักเสบรนุ แรงจะตงั้ ออกซเิ จน 1 หรอื 100% และคอ่ ยปรบั ลดลงมา 1 ควบคมุ โดยปริมาตร volume control V-CMV Mode : เป็นการตั้งปรมิ าตร อากาศช่วงหายใจเขา้ และอัตราการหายใจเมือ่ หายใจเขา้ จนไดค้ ่าปริมาตรทก่ี าหนดไว้จงึ 5. PEEP เป็นค่าทีท่ าใหค้ วามดันในชว่ งหายใจออกสุดท้ายมแี รงดนั บวกคา้ งไว้ในถุงลม สิน้ สดุ ชว่ งหายใจเขา้ จึงมสี ่วนทตี่ า่ งจากการควบคมุ ดว้ ยความดัน ปอดตลอดเวลาชว่ ยลดแรงในการหายใจป้องกนั ปอดแฟบและเพ่มิ พื้นทแี่ ลกเปลี่ยนก๊าซ ปกตจิ ะต้ัง 3-5 เซนติเมตรนา้

2 การควบคุมดว้ ยความดัน Pressure control P-CMV Mode : เป็นการกาหนดค่า 2.3 Mode CPAP: Continuous Positive Airway Pressure / Sponstaneous ความดนั ในช่วงหายใจเข้าเวลาในการหายใจเข้าและอัตราการหายใจเม่ือหายใจเข้า คอื ผปู้ ่วยกาหนดการหายใจเอง โดยเครื่องไม่ตงั้ ค่า rate และเครอ่ื งช่วยเพม่ิ แรงดัน จนได้คา่ ความดันท่กี าหนดไวจ้ งึ สิน้ สดุ ชว่ งเวลาหายใจเข้าซ่ึงมสี ว่ นทีต่ า่ งจากการ บวกต่อเนอ่ื งตลอดเวลา เพอ่ื ใหม้ ีแรงดนั บวกค้างในปอด ชว่ ยเพ่มิ ปรมิ าตรของปอด การ ควบคุมด้วยปรมิ าตร ตง้ั CPAP หนา้ จอจะกาหนดใหต้ ้ัง PEEP น่ันเอง 1.2 Assisted / Control ventilation : A/C เปน็ วธิ ที ี่ใหผ้ ู้ป่วยหายใจกระต้นุ เคร่อื ง การพยาบาลผู้ปว่ ยขณะคาท่อชว่ ยหายใจและใช้ เครอ่ื งจึงจะเริม่ ชว่ ยหายใจโดยการกาหนดเป็นความดนั หรือปริมาตรตามทีไ่ ด้กาหนดไว้ เคร่อื งช่วยหายใจ แต่อัตราการหายใจจะกาหนดได้โดยผูป้ ว่ ยถา้ ผ้ปู ่วยไม่หายใจเครื่องช่วยหายใจตามอตั รา การหายใจทีต่ ง้ั คา่ ไว้ ใช้ในกรณผี ู้ป่วยรสู้ กึ ตวั ดสี ญั ญาณชีพคงทแ่ี ละเร่มิ หายใจไดบ้ า้ ง 1. การพยาบาลขณะค่าท่อชว่ ยหายใจ 2. ชนิดยาเคร่อื งชว่ ยหายใจ weaning mode -วัด V/S ติดตาม EKG และคา่ ความอมิ่ ตวั ของออกซเิ จน ทุก 1-2 ช่วั โมงหรอื ข้นึ อยู่กบั สภาพของผปู้ ่วย 2.1 mode SIMV : synchronized intermittent mandatory ventilation -จัดทา่ นอน 40-60 องศา เพ่ือใหป้ อดขยายตัวไดด้ ี คือ เคร่ืองช่วยหายใจตามปริมาตร (V-SIMV) หรอื ความดัน (P-SIMV) ท่ตี ั้งคา่ ไว้ และตาม -ดขู นาดท่อช่วยหายใจ เบอร์ ตาแหน่งความลกึ ลงบนั ทกึ ทกุ วัน และดูการผกู ยดึ ทอ่ ชว่ ย เวลาทีก่ าหนด ไมว่ ่าผปู้ ว่ ยหายใจเองหรอื ไม่ การตง้ั ค่ามี Tidal volume ใน V-SIMV และ หายใจไมใ่ หพ้ ลาสเตอรเ์ ล่ือนหลุด มี pressure control ร่วมกับ inspiratory time ใน P-SIMV และต้องตงั้ คา่ FiO2 , -ฟังปอดประเมินว่ามีเสียงผิดปกตหิ รือไม่ ประเมินลักษณะการหายใจและดูว่ามอี าการของ rate (อัตราการหายใจ) อาจมี PEEP 3-5 cmH2O ภาวะขาดออกซิเจนหรือไม่ เช่น ผปู้ ว่ ยริมฝีปากเขยี ว กระสบั กระสา่ ย -ตดิ ตามผลเอกซเรยป์ อด 2.2 mode PSV: Pressure support ventilation คือ เครอื่ งช่วยเพมิ่ แรงดันบวก เพื่อ ชว่ ยเพม่ิ ปริมาตรอากาศขณะผปู้ ว่ ยหายใจเอง ช่วยลดการทางานของกลา้ มเน้ือหายใจ การตงั้ ค่า (setting) จงึ ไม่กาหนด rate ตอ้ งตั้ง FiO2 และ PEEP ร่วมดว้ ย

-ตรวจสอบความดนั ในกระเปราะของทอ่ ชว่ ยหายใจ คา่ ปกติ 25-30 mmHg หรือ 20-25 2.6 ตดิ ตามผล arterial blood gas ในหลอดเลอื ดแดงเพ่ือดูคา่ ความผดิ ปกตขิ องกรดดา่ งใน mmHg เพอ่ื ปอ้ งกันการตีบแคบของกลอ่ งเสียง (วิธวี ดั แจง้ ใหผ้ ปู้ ่วยทราบ จากนน้ั ใช้ รา่ งกาย อุปกรณว์ ดั ความดันในกระเปราะทอ่ ช่วยหายใจมาตอ่ เขา้ กับสายท่ใี ส่ลมเขา้ กระเปราะ ดู ค่าความดนั ทหี่ น้าปัดเครอื่ งวดั ถ้านอ้ ยกวา่ ปกติใหบ้ บี ลกู บบี ใส่ลมเขา้ ไปในบอลลูน ถา้ 2.7 ดูแลดา้ นจติ ใจเน่ืองจากผปู้ ่วยมกั มีปญั หาเก่ียวกับความกลวั วติ กกงั วลเครยี ด แพทย์ มากกว่าปกติให้บีบน้าออกแล้ววดั ใหม่จนไดค้ า่ ปกติ แล้วจึงถอดอุปกรณ์ออก ) พยาบาลควรพูดคยุ ให้กาลังใจตอบขอ้ สงสยั บอกว่าเวลาใหผ้ ู้ป่วยและอา่ นให้ผู้ป่วยสื่อสารดว้ ย การเขยี นหรอื ใชภ้ าพ -เคาะปอดและดูดเสมหะเพอ่ื ให้ทางเดินหายใจโล่ง จากนั้นให้ประเมินการหายใจและฟัง เสียงปอด ภาวะแทรกซอ้ นจากการคาท่อชว่ ยหายใจและใช้ เครือ่ งช่วยหายใจ -ทาความสะอาดชอ่ งปากด้วยน้ายา 0.12% chlorhexidine ทกุ 8 ชม.หรอื อยา่ งนอ้ ยวัน ละ 2 ครงั้ 1. ระบบหวั ใจและหลอดเลือด อาจทาให้ความดนั โลหิตต่าเน่อื งจากใหค้ วามดันบวกสูงทาให้ เลอื ดไหลกลบั สู่หัวใจน้อย 2 การพยาบาลขณะใชเ้ ครอ่ื งช่วยหายใจ 2. ระบบหายใจ อาจเกิดการบาดเจบ็ บรเิ วณกล่องเสยี งและหลอดลมและอาจเกิดแผลอาจทา 2.1ดูแลสายท่อวงจรเคร่อื งชว่ ยหายใจไมใ่ หห้ ักพบั หรอื หลุดและหมน่ั เตมิ นา้ ในหมอ้ ใหห้ ลอดลมตบี แคบจากความดนั ในกระเปาะทส่ี งู กว่าปกติ และอาจทาให้ถงุ ลมปอดแตก อาจ นา้ เพ่อื ใหค้ วามชน้ื อยู่เสมอ หมอ้ น้าควรมีอุณหภมู ิ 37 องศา เกิดภาวะปอดแฟบ ภาวะพษิ จากออกซเิ จน ภาวะเลอื ดไมส่ มดุลของกรดหรือดา่ งภาวะปอด อักเสบจากการใช้เคร่ืองช่วยหายใจ 2.2ดแู ลให้อาหารทางสายยาง แนวทางการปอ้ งกัน คอื จดั ทา่ นอนศีรษะสงู ทาความสะอาดช่องปาก ล้างมอื ก่อนและหลงั 2.3ติดตามค่าอลั บมู ิน สัมผสั ผู้ป่วยทุกครัง้ ดแู ลใหไ้ ดร้ บั ยาป้องกันการเกดิ แผลในทางเดินอาหาร และดูแลไม่ให้ ทอ้ งอืดแนน่ และกระตนุ้ ใหผ้ ูป้ ว่ ยขยับตวั พลกิ ตะแคงตัวทุก 2 ชวั่ โมงและกระตนุ้ การไอเพอื่ ลด 2.4 ดแู ลให้ผ้ปู ่วยได้รบั สารน้าและอิเลก็ โทรไลต์ทางหลอดเลอื ดดา การคง่ั ของเสมหะ การดดู เสมหะในชอ่ งปากบอ่ ยๆ มกี ารประเมินการหยา่ เครื่องช่วยหายใจทุก วันเพื่อหยดุ ใชเ้ คร่ืองชว่ ยหายใจใหเ้ ร็วท่สี ุด 2.5 ตดิ ตาม urine output ค่าปกติ 0.5 ถงึ 1 cc และบนั ทึก

3. ระบบทางเดินอาหาร ผู้ท่ใี ชเ้ ครอ่ื งช่วยหายใจอาจมีแผลหรือเลือดออกในทางเดนิ อาหาร วธิ ีการหย่าเครื่องชว่ ยหายใจแบง่ เป็น 3 วธิ ี จากภาวะเครยี ดหรอื ขาดออกซเิ จนจึงให้ยาลดการหลงั่ กรด 4. ระบบประสาท เนอ่ื งจากเคร่ืองช่วยหายใจใหแ้ รงดนั บวกทาใหเ้ ลอื ดดาไหลกลับจาก วธิ ที ี่ 1 เป็นการหย่าเคร่ืองชว่ ยหายใจขณะท่ยี ังใช้เครอื่ งชว่ ยหายใจ โดยใช้โหมด pressure สมองน้อยลงอาจทาใหผ้ ปู้ ว่ ยมีความดนั ในกระโหลกสงู จงึ ควรจัดท่านอนศีรษะสูงไมใ่ หค้ อ support ventilation (PSV) ซึ่งเปน็ โหมดทผี่ ้ปู ่วยหายใจเอง หลกั การคอื : เครือ่ งชว่ ยหายใจ พบั และปอ้ งกนั การไอและการต้านเครอื่ ง จะช่วยให้มแี รงดนั บวกเท่าทก่ี าหนดตลอดชว่ งเวลาหายใจเขา้ การตั้งคา่ แรงดนั บวกอาจเรมิ่ จาก 5. ปญั หาด้านจติ ใจ ผู้ปว่ ยอาจมคี วามเครียดกลวั วติ กกังวลสาหรับผู้ปว่ ยที่อยใู่ นหอผู้ป่วย 14-16 แลว้ ค่อยๆปรับลดให้เป็น 6-8 เซนตเิ มตรน้าแสดงว่าผู้ปว่ ยหายใจได้และสามารถหย่า วิกฤตเกิน 3 วันอาจมีอาการ ICU syndrome พยาบาลจงึ ควรทกั ทายบอกวนั เวลาและให้ เครื่องช่วยหายใจได้ ผู้ป่วยรบั รู้ทกุ วนั และดแู ลกิจวัตรต่างๆใหผ้ ปู้ ว่ ย วธิ ที ี่ 2 เป็นการหยา่ เคร่อื งชว่ ยหายใจขณะทยี่ ังใชเ้ ครื่องช่วยหายใจ โดยใช้โหมด Synchronize Intermittent Mandatory ventilation (SIMV) มักใชร้ ว่ มกับ PSV หลักการ หลักการหย่าเครอ่ื งช่วยหายใจ คอื : ผปู้ ่วยหายใจเองบางส่วนโดยทางานประสานกนั กับการชว่ ยหายใจของเครื่อง ซงึ่ จะชว่ ย เท่ากับอัตราทีก่ าหนดไว้เชน่ ตัง้ ไว้ 10-12 ครง้ั ต่อนาทีแล้วคอ่ ยๆปรับลดจนเหลือ 5 คร้งั ต่อ เมอ่ื ผู้ปว่ ยมีประสิทธภิ าพดีขึ้นแพทย์ประเมนิ อาการมเี กณฑ์หลกั ๆดงั น้ี นาทีและกาหนดแรงดนั บวก 1.พยาธิสภาพของโรคดขี ้นึ 2. กาลงั สารองของปอดเพียงพอ tidal volum >5ml วธิ ีที่ 3 เป็นการหยา่ เครอื่ งช่วยหายใจทใ่ี หผ้ ปู้ ว่ ยหายใจเอง โดยการใชอ้ อกซิเจน T-piece 3. ผปู้ ่วยหายใจเองไดอ้ ย่างปลอดภัยและไม่มกี ารทางานของระบบอืน่ ๆล้มเหลว การเตรยี มอปุ กรณ์ 1. ชดุ อปุ กรณ์ให้ออกซเิ จน 2. นา้ กล่นั และกระบอกใส่น้ากลั่น 3. ท่อยาว 1 อันและท่อสัน้ 1 อันประกอบเขา้ กบั ขอ้ ต่อรปู ตัวT โดยแบ่งเป็น 2 ชนิด ชนิดท่ี 1 ทดลองให้ผ้ปู ว่ ยหายใจเองถา้ หายใจไดน้ านมากกว่า 30 นาทีจะมโี อกาสถอดทอ่ หายใจได้ 2 ให้ผปู้ ่วยฝึกหายใจเองหลกั การคอื ให้ผู้ปว่ ยหายใจเองเท่าทท่ี าได้แต่ไมค่ วรเหน่ือยสลบั กับการ พกั โดยใชเ้ ครื่องช่วยหายใจ

การพยาบาลผู้ปว่ ยที่หยา่ เครื่องชว่ ยหายใจ ข้อบง่ ชี้ทีต่ อ้ งยตุ ิการหย่าเครอื่ งช่วยหายใจ แบ่งเป็น 4 ระยะ 1. ระดบั ความรสู้ ึกตวั ลดลงหรอื เปลยี่ นแปลงเช่นเหงื่อออกซมึ สับสน 1 การพยาบาลก่อนหยา่ เครือ่ งช่วยหายใจ 2. อตั ราการหายใจมากกว่า 35 ครัง้ ต่อนาทีและใช้กล้ามเนอ้ื ในการหาย 3. ความดันโลหติ ค่า diastolic เพ่ิมหรือลดจากเดิมมากกว่า 20 mmHg ประเมนิ สภาพทว่ั ไป ผปู้ ่วยควรจะรู้สึกตัวดี พยาธิสภาพดีข้ึนและควรมสี ัญญาณชพี คงท่ี เช่น 4. HR เพิ่มหรือลดจากเดิมมากกว่า 20 คร้ังหรือมากกว่า 120 ครงั้ ตอ่ นาที อตั ราเตน้ ของหวั ใจ 50 - 100 ครงั้ /นาที และเต้นไม่ผดิ จงั หวะความดันโลหติ systolic 90- 5. มีการเปล่ยี นแปลง total volume นอ้ ยกว่า 200 120 diastolic 60-90 PEEP ไม่เกิน 5-8 cc, Fio >40 - 50 เปอร์เซน็ ต์ ,Osat > 90% 6. oxygen SAT นอ้ ยกว่า 90% arterial blood gas Pao2 < 60 mmHg ผปู้ ว่ ยหายใจเองได้ คา่ RSBI < 105 ค่าอเิ ล็กโทรไลต์ โพแทสเซียมมากกวา่ 3 ผูป้ ่วยมีเมตา 7. ถา้ พดู ปว่ ยไม่ผ่านการอยา่ ให้ดูสาเหตุ เชน่ เสมหะมาก หรอื เสมหะอุดกัน้ ให้ suction บอลิกปกติ อนั บมู ินมากกวา่ 2.5 ไม่มภี าวะซีดไม่ใช้ยานอนหลับ ประเมนิ cuff leak test ควรใหผ้ ปู้ ว่ ยนอนหลับติดตอ่ กันอยา่ งนอ้ ย 2 ถึง 4 ช่ัวโมง ประเมินความพรอ้ มด้านจิตใจเชน่ และชว่ ยหายใจ ผปู้ ว่ ยกงั วลหรือกลวั หายใจเองไม่ได้ ควรอธิบายใหเ้ ข้าใจเพอ่ื เกิดความม่ันใจ 3 ระยะกอ่ นถอดท่อช่วยหายใจ 2 การพยาบาลระยะหยา่ เคร่ืองช่วยหายใจ ผู้ป่วยท่อี ย่าสาเร็จ เพอื่ จะดูอาการแลว้ ขนั้ ตอนต่อไปจะถอดท่อช่วยหายใจใหผ้ ปู้ ่วยจะมีการ พูดคยุ ให้กาลังใจ จดั ทา่ นอนศีรษะสงู ดูดเสมหะสังเกตอาการเหงอ่ื แตก ซึม กระสับกระส่าย ประเมนิ และเตรยี มอุปกรณ์ก่อนถอดทอ่ ช่วยหายใจไดแ้ ก่ วดั สัญญาณชพี ทุก 15 นาทถี งึ 1 ชวั่ โมง ตอ้ งสังเกตอาการท่ตี อ้ งยุติการหยา่ เครือ่ งช่วยหายใจ ดังต่อไปนี้ 1.ประเมนิ ว่าผ้ปู ่วยความร้สู กึ ตวั ดมี ีรเี ฟล็กการกลืนการไอดี 2. ประเมินปรมิ าณเสมหะของผปู้ ว่ ย 3. วัด cuff leak test 4.ใหผ้ ปู้ ่วยงดนา้ งดอาหาร 4 ชวั่ โมงเพื่อปอ้ งกันการสาลักเข้าหลอดลมและปอด 5. เตรยี มอปุ กรณ์ใหอ้ อกซเิ จน เชน่ mask 6. เชค็ อปุ กรณใ์ ส่ทอ่ ชว่ ยหายใจใหม้ พี รอ้ มใช้

4. ระยะถอดท่อชว่ ยหายใจและการดแู ลหลงั ถอดทอ่ ชว่ ยหายใจ 5. ชอ็ คจากการแพ้ 6. โรคหอบหดื 1. บอกให้ผปู้ ่วยทราบ 7. มีภาวะกลอ่ งเสียงบวมเน่อื งจากขาดช่วยหายใจนาน 2.suction และบบี ambu bag with oxygen 100% อยา่ งน้อย 3-5 ครง้ั ให้ผปู้ ว่ ยสูดหายใจ เข้าลึก พร้อมบบี ambu bag ค้างไว้ และใช้ syringe 10 CC. ดดู ลมในกระเปาะทอ่ ช่วย อาการและอาการแสดงของภาวะทางเดินหายใจสว่ นบนอุดกนั้ หายใจออกจนหมด แลว้ จึงถอดท่อชว่ ยหายใจออก 3. หลงั ถอดท่อช่วยหายใจใหอ้ อกซิเจน mask with bag และใหผ้ ปู้ ่วยหยุดหายใจเข้าออกลกึ ๆ คือ หายใจมเี สยี งดงั ฟงั ดว้ ยหฟู ังมีเสยี งลมหายใจเบา เสียงเปล่ียน หายใจลาบาก กลืน 4. จัดทา่ นอนใหผ้ ปู้ ่วยศรี ษะสูง 45-60 องศา ลาบาก นอนราบไม่ได้ เหนอ่ื ย รมิ ฝปี ากเขยี วคลา้ ออกซเิ จนต่า 5. เช็ค vital signs oxygen SAT สงั เกตลกั ษณะการหายใจและบันทกึ ทุกๆ 15 ถงึ 30 นาทีใน ชว่ งแรกถ้าผู้ป่วยหายใจเหน่อื ยมเี สียงหายใจดังตอ้ งรายงานแพทย์ วิธีทาใหท้ างเดินหายใจโลง่ จากการอดุ ก้นั ของสง่ิ แปลกปลอมในชอ่ งปากและทางเดนิ หายใจ การพยาบาลผปู้ ่วยท่มี ีภาวะวิกฤตทางเดนิ หายใจสว่ นบน 1. การจดั ท่าควรจัดทา่ นอนตะแคงเกือบคว่าหนา้ สาเหตุของทางเดนิ หายใจสว่ นบนอดุ กน้ั 2. ใชม้ อื เปดิ ทางเดินหายใจเปน็ ส่ิงแปลกปลอมในคอให้ใช้นิ้วล้วงและกวาดออกมา 3. กาจัดสงิ่ แปลกปลอมในปากและคอโดยการเอาออก 1. บาดเจบ็ จากสาเหตตุ า่ งๆเชน่ ถกู ยงิ ถกู ทารา้ ยร่างกายไดร้ ับอบุ ัตเิ หตไุ ฟไหม้ 4. การบีบลมเข้าปอด 2. มกี ารอกั เสบติดเชือ้ บริเวณทางเดินหายใจสว่ นบนเชน่ กล่องเสยี งอักเสบ 5. การใช้อปุ กรณ์ใส่ท่อทางเดนิ หายใจ 3. มกี ้อนเนือ้ งอกมะเรง็ 6. การปอ้ งกันเสมหะอดุ กน้ั 4. สาลกั ส่ิงแปลกปลอม

การสาลักสงิ่ แปลกปลอมและมีการอดุ กั้นทางเดนิ หายใจสว่ นบน การเปดิ ทางเดนิ หายใจให้โล่ง 1.การอุดกน้ั แบบไม่สมบรู ณ์ incomplete obstruction เขียวและอาจลม้ ลงได้ การเปดิ ทางเดินหายใจใหโ้ ลง่ โดยใชอ้ ุปกรณ์oropharyngeal airway โดยการเลือกขนาด oropharyngeal airway โดยการวดั ท่บี รเิ วณมมุ ปากเป็นต่งิ หขู องผปู้ ่วย 2. การอดุ ก้ันแบบสมบูรณ์ complete obstruction อาการและอาการแสดงคอื เอามือ โดยตอนใส่จะหงายขนึ้ แล้วค่อยๆหมุนตามสรรี ะของปากเพราะถา้ หากใส่ตรงๆลิ้นจะกั้นอยู่ กมุ คอ ไมพ่ ดู ไมไ่ อได้ยนิ เสียงลมหายใจเข้าเลก็ นอ้ ย หรอื ไม่ไดย้ นิ เลย ริมฝีปากเขยี วหนา้ การเปิดทางเดนิ หายใจให้โล่งโดยใชอ้ ุปกรณ์(nasopharyngeal airway) การชว่ ยเหลือผู้ปว่ ยสาลักสิ่งแปลกปลอมหรอื มีการปิดกนั้ -แจง้ ให้ผปู้ ว่ ยทราบและจดั ทา่ ศรี ษะและใบหนา้ ในแนวตรง หล่อล่นื อุปกรณ์ดว้ ย ky gel ทางเดินหายใจสว่ นบนชนิดสมบูรณ์ เพือ่ ไม่ใหผ้ นงั จมกู บาดเจ็บและสอดเขา้ ไปในรจู มกู ข้างหนง่ึ อย่างนมุ่ นวล ระวงั เลอื ดออก -การเตรยี มอปุ กรณ์ชว่ ยหายใจด้วยหน้ากาก mask ventilation เปน็ การช่วยหายใจกรณี -abdominal thrust กรณีไม่มคี นชว่ ยเหลอื ให้โนม้ ตวั พาดเกา้ อ้แี ลว้ ดนั ทอ้ งตัวเองเข้าหา ผู้ปว่ ยมีภาวะ hypoxia และหายใจเฮอื กหรอื หยุดหายใจเพอ่ื ให้ผปู้ ว่ ยได้รบั ออกซิเจนกอ่ น พนกั งานเก้าอ้ี ใสท่ อ่ ชว่ ยหายใจ --abdominal thrust ชว่ ยใหผ้ ้ปู ่วยยนื อุปกรณ์ oropharyngeal airway /nasal , ambu,mask no 3-4 ,อปุ กรณใ์ หอ้ อกซิเจน กางขาออกเลก็ นอ้ ย และใชม้ ือกดเสยี งขน้ึ ด้านบน ,เครื่อง สาย suction -Chest thrust ช่วยในกรณที ี่ผ้ปู ว่ ยเป็นคนอ้วนหรือท้อง -Back Blow รายการยนื บริเวณดา้ นข้างของผ้ปู ว่ ยและผปู้ ่วยกลุ่มใช้มอื ตบระหวา่ งสบักท้ัง สองขา้ ง -กรณีท่ชี ว่ ยเหลือเบอ้ื งต้นแล้วสงิ่ อุดกัน้ ไมห่ ลุดออกหรือหลุดออกแตผ่ ปู้ ่วยมภี าวะหัวใจหยดุ เตน้ ใหร้ ีบทาการกดนวดหวั ใจหรือ CPR หลงั จากกดหนา้ อกใหช้ ว่ ยหายใจแตใ่ หเ้ ปิดปากดู ถ้าพบส่งิ แปลกปลอม ตอ้ งเอาออกและรบี ชว่ ยหายใจ

ข้ันตอนการชว่ ยหายใจทางหนา้ กาก การเตรียมอปุ กรณ์ใสท่ ่อชว่ ยหายใจ Endotracheal tube 1 จดั ทา่ ผู้ปว่ ยโดยวางใบหน้าผู้ป่วยแนวตรง 2 จดั ทางเดนิ หายใจให้โล่ง เตรยี มอุปกรณใ์ หพ้ รอ้ ม ไดแ้ ก่ 3 มอื ที่ไมถ่ นดั ทาC/E โดยเอานิ้วกลางนางกอ้ ยจับที่ขากรรไกรและนิว้ ชี้กับนิว้ หัวแม่มอื วาง -Endotracheal tube no 7,7.5,8 บนหนา้ กากและครอบหนา้ กากใหแ้ นน่ ไม่ให้มีลมร่ัวและใช้มือท่ีถนดั จับ ambu - Laryngoscope เช็คไฟให้สวา่ งดี 4 ตรวจดูหนา้ อกว่ามกี ารขยายและขยับขน้ึ ลงแสดงว่ามีลมเขา้ ทรวงอก - ambu , mask no 4-5 5.ดูสผี วิ ปลายมือปลายเท้า -stylet , syring 10cc 6.หลังบบี ambu ช่วยหายใจถา้ ผปู้ ่วยทอ้ งป่องมากแสดงว่าบีบลมเขา้ ท้องให้ใส่สาย -KY jelly suction ทางปากไปในกระเพาะและดูดลมออก -suction -อปุ กรณ์ชุดให้ออกซเิ จน การช่วยหายใจด้วยการใส่ Laryngeal mask airway ขั้นตอนปฏิบัติ แจ้งใหผ้ ปู้ ่วยทราบ เตรยี มอุปกรณ์ใหพ้ ร้อม ชว่ ยหายใจเพ่อื ให้ผู้ป่วยไดร้ บั กรณีผปู้ ว่ ยมีปัญหาร่างกายขาดออกซิเจนหรอื ไมร่ สู้ กึ ตวั และหยุดหายใจและไมม่ แี พทยใ์ ส่ ออกซิเจนเพียงพอ suction และเมอ่ื แพทยเ์ ปิดปากให้พยาบาลส่ง E.T ใหแ้ พทยใ์ นมือด้านขวา ท่อชว่ ยหายใจหรือกรณใี สย่ ากหรอื ท่อชว่ ยหายใจไม่ได้ จากนน้ั แพทยจ์ ะใหด้ งึ stylet ออก จากน้ันใช้ไซริงคข์ นาด 10 ซีซี ใส่ลมเขา้ ที่กระเปาะ ขน้ั ตอนการใส่ lma ขน้ั ตอน ประมาณ 5-6 ml และใชน้ ว้ิ คลาดจู ากนน้ั เอาสายออกซิเจนตอ่ กบั ambu บีบช่วยหายใจ 1 ช่วยหายใจทาง mask เพ่ือให้ออกซเิ จนสารองก่อน size lme ดกู ารขยายตัวของหน้าอก ให้สองขา้ งเท่ากัน ฟงั เสียงปอดจากน้นั ดูตาแหน่งทอ่ ชว่ ยหายใจ 2 ใชม้ ือขวาจบั LMA เหมือนจับปากกาและเอาดา้ นหลังของหนา้ กากใส่ปากผู้ปว่ ย ทมี่ ุมปากลกึ กเ่ี ซนติเมตรแล้วปิดพัตเตอร์ 3 เม่อื เสรจ็ แล้วใช้ syringe 10 ml ใสล่ มเขา้ กระเปาะ

หนว่ ยท่ี การพยาบาลผปู้ ว่ ยที่มีภาวะ Acute Coronary Syndrome มี 2 ประเภท 7 วกิ ฤตและฉกุ เฉินของหลอด เลือดหัวใจกลา้ มเน้อื หัวใจ 1. ST- elevation acute coronary syndrome ภาวะหวั ใจขาดเลือดเฉียบพลนั ทีพ่ บความผิดปกติ ST segment ยกขึน้ อย่างน้อย 2 leads ทีต่ อ่ เนือ่ งกัน หรอื เกดิ การพยาบาลผปู้ ่วยกล้ามเนือ้ หัวใจหวั ใจขาดเลอื ด left bundle branch block (LBBB) ขึ้นมาใหม่ 2. Non-ST-elevation acute coronary syndrome ภาวะหัวใจขาดเลือด Acute Coronary Syndrome เฉยี บพลนั ชนิดท่ีไมพ่ บ ST elevation มักพบลกั ษณะของคล่นื ไฟฟา้ หวั ใจเปน็ ST segment depression และ/หรือ T wave inversion รว่ ม คอื กล่มุ อาการโรคหัวใจขาดเลอื ดทีเ่ กดิ ขึน้ เฉียบพลนั พยาธิสรรี ภาพของโรคหลอดเลือดหัวใจ สาเหตุ หลอดเลือดแดงโคโรนารอี ุดตนั จากการแตกของคราบไขมัน ความไม่สมดุลของการไหลเวยี นของ (atheromatous plaque rupture) รว่ มกับมีลิม่ เลือดอุดตนั หลอดเลือดแดงหัวใจกบั ความต้องการ เลอื ดมาเล้ียงที่กลา้ มเนื้อหัวใจ อาการทสี่ าคญั เจ็บเค้นอกรนุ แรงเฉยี บพลนั หรือเจ็บขณะพกั (rest angina) นานกวา่ 20 นาที หรือเจ็บเค้นอกซง่ึ เกดิ ขึ้นใหม่หรอื รุนแรงขึน้ กวา่ เดมิ

อาการเจบ็ หนา้ อก angina pectoris Heart attack signs and symptoms อาการเจ็บหนา้ อก angina pectoris 1.อาการเจบ็ หน้าอกชนิดคงที่(Stable angina) ปจั จัย EKG changed in MI -การออกกาลงั กาย เกดิ อารมณร์ นุ แรง -ระยะเวลาทีเ่ จบ็ ประมาณ 0.5-20 นาที - ST-segment elevation มากกวา่ หรอื เท่ากับ 2.5 mm ใน ผ้ชู ายทอี่ ายุน้อยกว่า 40 -เกิดจากรหู ลอดเลือดแดงโคโรนารแี คบเกินกว่า 75% ปี และมากกวา่ หรอื เท่ากับ 2 mm ในผ้ชู ายอายุมากกว่า 40 ปี - มากกวา่ หรอื เทา่ กับ 2.อาการเจบ็ หนา้ อกชนิดไม่คงที่ (Unstable angina) 1.5 mm ของ leads V2–V3 ในผูห้ ญงิ -เจ็บนานมากกว่า 20 นาที - ST segment elevation มากกว่าหรือเท่ากับ 1 mm ใน Lead อ่นื ๆ -อมใตล้ นิ้ (Nitroglycerine) จานวน 3 เมด็ อาการไม่ดขี น้ึ

การวนิ จิ ฉัยโรคหลอดเลอื ดหัวใจ 4.ตรวจหาระดบั เอนไซมข์ องหวั ใจ (Cardiac enzyme) 5. การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะออกกาลังกาย(Exercise stress test) 1.การซักประวัตอิ ย่างละเอียดรวมทั้งปัจจัยเสย่ี งตา่ งๆ 6. การตรวจสวนหวั ใจโดยการฉดี สารทบึ แสง (Coronary angiography) 2.จากการตรวจรา่ งกาย หลักการรกั ษาผปู้ ่วยโรคหลอดเลอื ดหัวใจ - กลา้ มเน้ือหัวใจตายมากกว่า 25% จะมีอาการของหัวใจซีกซ้ายล้มเหลว นา้ ทว่ มปอด -ลดการทางานของหวั ใจ , Absolute bed rest หายใจลาบาก หายใจเหน่ือย เขยี ว เปน็ ตน้ - ลดปจั จัยเสย่ี งทที่ าใหเ้ กดิ อาการเจ็บหนา้ อก – ลดการทา งานของหวั ใจ - กล้ามเน้ือหวั ใจตายมากกว่า 40% จะมีอาการเจ็บหน้าอกรว่ มกับภาวะช็อกจากหัวใจ 1. การรักษาทางยาชนดิ ต่างๆ - ยากลุ่มไนเตรต (Nitrates) - ยาปดิ ก้นั เหงือ่ ออก ตวั เย็น เปน็ ลม เบต้า (β-adrenergic blocking drugs) - ยาต้านแคลเซยี ม (Calcium channel blockers) 3.ตรวจคลนื่ ไฟฟ้าหวั ใจ 12 ลีด (Lead) - กลา้ มเนอ้ื หวั ใจบาดเจ็บจะพบระยะห่างระหวา่ ง 2. การสวนหัวใจขยายเส้นเลือดหัวใจโคโรนารี - Percutaneous ST ยกสูง (ST Elevation) ***ตอ้ งงสามารถวินจิ ฉยั ได้ ภายใน 10 นาที transluminal coronary angiography Correlation of ECG Changes and Areas of Damage Leads with ST segment Affected myocardial Occluded coronary elevation area artery V1-V2 Septal Proximal LAD V3-V4 Anterior LAD V5-V6 Apical Distal LAD, LCx, or RCA I, aVL Lateral LCx II, Avf,III Inferior RCA or LCx

การดแู ลผปู้ ่วยทไี่ ดร้ บั ยาละลายลม่ิ เลอื ด 3 ระยะ ***หลัก 6R *** ระยะกอ่ นใหย้ า - เตรียมยา streptokinase 1,500,000 unit (1 vial) ละลายยาดว้ ย 0.9 % normal - เปิดโอกาสให้ซกั ถามและตดั สินใจรับการรกั ษา saline 5 ml - ประเมนิ การให้ยาตามแบบฟอร์มการให้ยาละลายล่มิ เลอื ด - ดูแลให้ผ้ปู ว่ ยและ/หรือญาติเซน็ ยินยอมในการใหย้ า streptokinase การพยาบาลระหว่างใหย้ า - ติดตามคา่ BP, PT, PTT, platelet count, hematocrit และ signs ofbleeding - เตรยี มอุปกรณ์โดยเตรียมอุปกรณช์ ่วยชีวิตใหพ้ ร้อมใช้งาน - ดแู ลให้ผ้ปู ่วยไดร้ บั ยาละลายลมิ่ เลือด (streptokinase) 1.5 ล้านยนู ิต ผสม0.9%NSS - ทบทวนคาส่ังของแพทย์ เพอื่ ใหแ้ น่ใจวา่ แผนการรกั ษาถูกต้อง 100 มิลลลิ ิตร หยดให้ทางหลอดเลอื ดดา ใน 1 ช่ัวโมง โดยใหย้ าผา่ นinfusion pump - ดแู ลใหผ้ ู้ปว่ ยได้รับยาละลายล่มิ เลือด (streptokinase) 1.5 ลา้ นยนู ิต ผสม0.9%NSS 100 มิลลิลิตร หยดให้ทางหลอดเลอื ดดา ใน 1 ชว่ั โมง โดยให้ยาผ่านinfusion pump - ดูแลผูป้ ว่ ยอย่างใกลช้ ิด อย่เู ป็นเพอื่ นผ้ปู ่วยอยา่ งใกล้ชิดตลอดเวลาระหว่างให้ยาเพอื่ ลด ความกลวั และความวติ กกังวล - เฝา้ ติดตามอาการตา่ งๆอยา่ งใกลช้ ิดระหว่างการใหย้ าละลายลม่ิ เลือด - v/s ทุก 15 นาที - วัดและบันทกึ สัญญาณชพี ระดับความรสู้ ึกตัวทกุ 5 - 10 นาที - Monitor EKG - ตดิ ตามการเกิดการแพ้ allergic reaction

การพยาบาลหลงั ให้ยา - ประเมินระดับความรู้สกึ ตวั โดย Glasgow Coma Scale (GCS) ทุก 5 - 10 นาทใี น 2 ช่ัวโมงแรก หลงั จากนั้นประเมนิ ทกุ 1 ชั่วโมง จนครบ 24 ชวั่ โมง - ประเมนิ สญั ญาณชีพ ทกุ 15 นาทใี น 1 ช่วั โมงแรก ทกุ 30 นาที ในชัว่ โมงท่สี อง และทุก 1 ชัว่ โมง จนสญั ญาณชพี ปกติ - Monitoring EKG ไวต้ ลอดเวลาจนครบ 72 ช่วั โมง - ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะเลอื ดออกงา่ ยหยดุ ยากของอวัยวะต่าง ๆ ใน ร่างกายทุก ระบบ - ติดตามคล่ืนไฟฟ้าหวั ใจ 12 Lead ทกุ ๆ 30 นาที - ควรส่งต่อผู้ปว่ ยเพอ่ื ทาการขยายหลอดเลอื ดหวั ใจในสถานพยาบาลท่ีมี ความพร้อมโดยเร็ว ที่สดุ ภายในช่วงเวลา 90 - 120 นาที หลงั เร่ิมใหย้ าละลายล่มิ เลือด - ทากิจวตั รประจาวันด้วยความระมดั ระวงั และเบา ๆ งดการแปรงฟันในระยะแรก - ดแู ลให้การพยาบาลดว้ ยความนมุ่ นวล - ตดิ ตามผล CBC, Hct และ coagulogram - (intake/output) ทุก 8 ชั่วโมง - ดูแลให้ยา enoxaparin i.v. then s.c. ตอ่ เน่อื งตามแผนการรักษาประมาณ 8 -10 วนั

หน่วยท่ี การพยาบาลผู้ป่ วยโรค 1.โรคลน้ิ หวั ใจไมตรัลตบี (Mitral stenosis) 8 ลิน้ หวั ใจ การตบี แคบทาใหเ้ กิดการขัดขวางการไหลของเลอื ดลงสู่หวั ใจหอ้ งล่างซา้ ยในขณะทค่ี ลายตวั ล้ินหัวใจผิดปกติเพียงลิ้นเดียวหรือมากกว่า ทาให้มีผลต่อการทางานของหัวใจส่งผลต่อ ผู้ป่วยจะมีอาการหายใจลาบากเมื่อออกแรง (DOE) , อาการหายใจลาบากเม่อื นอนราบ ระบบไหลเวียนเลือดจนกระทั่งเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวได้ โรคลิ้นหัวใจที่พบบ่อย (Orthopnea) , CO ลดลง , อาจมีภาวะหัวใจเต้นผดิ จังหวะ , ใจสนั่ , อาจเกดิ การอดุ ตนั ของ มักจะเปน็ ล้นิ หวั ใจทางดา้ นหัวใจซกี ซา้ ย คือ mitral valve และ aortic valve หลอดเลือดในรา่ งกาย ประเภทแบง่ ตามรอยโรคของเน้ือเย่อื 2.โรคลน้ิ หัวใจไมตรลั รว่ั (Mitral regurgitation or Mitral insufficiency) -ตบี (stenosis) อาการ Dyspnea on exertion (DOE)เหนือ่ ยเรว็ กว่าปกติขณะออกกาลงั กาย , Orthopnea , PND ความรู้สกึ หอบเหนื่อยขณะหลบั ไปสัก 1-2 ช่ัวโมงจนตอ้ งตน่ื ข้ึนมาหายใจ , CO ลดลง , -รว่ั (regurgitation) บวม , เจ็บบริเวณตับ -ทั้งสองอย่าง โรคล้ินหวั ใจชนดิ ต่างๆ 3.โรคลนิ้ หัวใจหัวใจเอออร์ตคิ ตบี Aortic stenosis โรคของลน้ิ หัวใจด้านซ้าย (Lt.side valvular syndrome) เกดิ การขดั ขวางการไหลของเลือดจากหวั ใจห้องลา่ งซา้ ยสเู่ อออร์ตารใ์ นช่วงการบีบตวั -Mitral valve disease MS, MR 4.โรคล้ินหัวใจเอออร์ติคร่วั Aortic regurgitation -Aortic valve disease AS, AR เกดิ การไหลยอ้ นกลับของเลือดเข้าสหู่ ัวใจหอ้ งลา่ งซา้ ยในชว่ งหวั ใจคลายตวั ส่วนใหญจ่ ะไมม่ ี อาการ เมอ่ื มอี าการมากจะพบ DOE , Angina , ถ้าเป็นมากผู้ปว่ ยจะร้สู กึ เหมือนมอี ะไรต๊บุ ๆ อ ที่คอหรอื ในหวั ตลอดเวลา -Tricuspid valve disease TS, TR โรคของลนิ้ หัวใจดา้ นขวา (Rt.side valvular syndrome) -Tricuspid valve disease TS, TR

การรกั ษาโรคลิ้นหวั ใจ ถา้ มีอาการต่อไปนี้ ให้หยดุ รับประทานยา และมาพบแพทย์ทนั ที 1.การรกั ษาทางยา เช่น Digitalis , Nitroglycerine , Diuretic มีรอยชา้ ตามตวั มาก , เลือดกาเดาไหล เลอื ดออกตามไรฟัน อาเจียน/ ไอ/ ปัสสาวะเปน็ 2. การใชบ้ อลลูนขยายล้ินหวั ใจทต่ี บี เลือด , อุจจาระเปน็ เลือดหรือเปน็ สีดา , มีบาดแผลแล้วเลือดออกมาก , เปน็ จ้าเลอื ด 3. การรักษาโดยการผ่าตัด (Surgical therapy) ทาในผู้ป่วยทม่ี ลี นิ้ หัวใจพกิ ารระดับปาน ตามตวั , มีประจาเดอื นออกมากผดิ ปกติ กลางถงึ มาก วธิ ผี ่าตัด ไม่ใชเ้ คร่อื ง , ใชเ้ ครือ่ ง การพยาบาลผู้ปว่ ยหลังผ่าตัดทาทางเบย่ี งหลอดเลอื ดหวั ใจ ล้นิ หวั ใจเทยี ม (Valvular prostheses) หลอดเลอื ดแดงโคโรนารี เป็นหลอดเลอื ดทีน่ าเลอื ดไปเล้ียงส่วนตา่ งๆ ของกล้ามเนื้อหัวใจ จะแตก 1. ลนิ้ หัวใจเทียมท่ีทาจากสิ่งสังเคราะห์ (Mechanical prostheses) แขนงออกจากส่วนตน้ ของหลอดเลือดแดงใหญเ่ อออร์ต้า (Aorta) หลกั 2 เส้น คอื ข้อเสีย เกดิ ลิม่ เลอื ดบริเวณล้ินหวั ใจเทียม , เม็ดเลือดแดงแตกทาให้เกิดโลหติ จาง 2. ล้นิ หวั ใจเทียมทีท่ าจากเน้อื เยื่อคนหรอื สัตว์ (Tissue prostheses) เช่น ลน้ิ หัวใจหมู 1. หลอดเลือดแดงโคโรนารขี วา (Right Coronary Artery : RCA) ซ่ึงจะเปน็ หลอดเลอื ดที่นา ข้อดี ไม่มีปญั หาเร่อื งการเกดิ ลม่ิ เลือด มักใช้ในผสู้ ูงอายุ ข้อเสยี มีความคงทนนอ้ ย เลอื ดไปเลี้ยงในสว่ นของหัวใจห้องบนขวา ลา่ งขวา 2. หลอดเลอื ดแดงโคโรนารซี า้ ย (Left Coronary Artery) 2.1 Left Anterior Descending Artery (LAD) ซึง่ เปน็ หลอดเลอื ดท่ีนาเลอื ดไปเล้ยี งใน ส่วนของหัวใจหอ้ งลา่ งซา้ ย ผนงั กั้นหวั ใจ รวมไปถงึ หวั ใจทางดา้ นหนา้ 2.2 Left Circumflex Artery (LCx) เปน็ หลอดเลือดทนี่ าเลือดไปเลยี้ งในสว่ นของหวั ใจ ห้องบนซ้าย (Left Atrium) ผนงั หวั ใจทางด้านข้าง รวมไปถึงออ้ มไปเลีย้ งหัวใจทางดา้ นหลัง

สาเหตุ ความดับ เบาหวาน การสูบบหุ ร่ี อายุ ไขมัน อว้ น การผ่าตัดทาทางเบย่ี งหลอดเลอื ดหัวใจ การรกั ษา เป็นการผ่าตัดรกั ษาเส้นเลอื ดหวั ใจตบี ซ่งึ การตีบของหลอดเลอื ดหัวใจโคโรนารที ี่พบได้บอ่ ย 1. การรักษาด้วยยา (Pharmacologic therapy ) คอื 2. การรกั ษาโดยใช้บอลลูนถา่ งขยายหลอดเลือดหวั ใจ (Percutaneous Coronary 1) การตบี ของเส้นเลอื ดหัวใจ 1 เส้น เรยี กวา่ Single vessel disease (SVD) Intervention (PCI)) 2) การตีบของเสน้ เลือดหวั ใจ 2 เส้น เรียกวา่ Double vessel disease (DVD) 3. การผา่ ตดั ทางเบีย่ งหลอดเลอื ดหัวใจ Coronary artery bypass graft CABG 3) การตบี ของเสน้ เลอื ดหัวใจ 3 เส้น เรยี กวา่ Triple vessel disease (TVD) การผ่าตัดทาทางเบี่ยงหลอดเลอื ดหัวใจ การรกั ษาดว้ ยยาหลงั ผา่ ตดั เปน็ การผา่ ตัดรกั ษาเส้นเลอื ดหัวใจตบี ซ่ึงการตีบของหลอดเลือดหัวใจโคโรนารีท่ีพบไดบ้ ่อย คอื 1. Antiplatelets 1) การตีบของเสน้ เลือดหัวใจ 1 เส้น เรยี กวา่ Single vessel disease (SVD) - Aspirin ขนาด 100 mg. ถงึ 325 mg.ต่อวนั ตลอดชีพ เพอ่ื ลด 2) การตีบของเส้นเลือดหัวใจ 2 เสน้ เรียกวา่ Double vessel disease (DVD) 3) การตบี ของเสน้ เลอื ดหัวใจ 3 เสน้ เรยี กว่า Triple vessel disease (TVD) ภาวะแทรกซอ้ นทางหวั ใจ - Clopidogrel75 mg. ต่อวันในผูป้ ่วยท่ีไมส่ ามารถรับยา aspirin ได้ 2. Statin therapy ใหใ้ นผูป้ ว่ ยทุกราย ยกเว้นถ้ามขี อ้ ห้าม 3. Beta blocker พจิ ารณาให้ในผ้ปู ว่ ยทกุ ราย 4. Angiotensin - Converting Enzyme Inhibiters (ACEI)

การพยาบาลก่อนการผา่ ตัด การพยาบาลผู้ปว่ ยเม่ือส่งต่อข้อมูลผปู้ ว่ ยเมื่อยา้ ยมายังหอผูป้ ว่ ย 1. การซักประวตั ผิ ปู้ ่วย โรคประจาตวั อืน่ ๆ รวมท้งั ประวัติการผา่ ตัด และประวัตกิ ารแพย้ า แพ้ การพยาบาลผ้ปู ว่ ยเมือ่ ส่งต่อข้อมลู ผู้ปว่ ยเม่อื ย้ายมายงั หอผปู้ ว่ ยไอซยี ศู ัลยกรรมหัวใจและ อาหารสารเคมีอืน่ ๆ ทรวงอก 2. การซกั ประวตั ิเกยี่ วกบั การใช้ยา 1. ประวัตผิ ู้ป่วย ขอ้ มูลพนื้ ฐาน 3. การสง่ ตรวจทางหอ้ งปฏิบตั กิ าร 2. ชนดิ ของการผา่ ตัด หรือความเรง่ ดว่ นของการผ่าตดั 4. ตรวจสอบผลการตรวจพิเศษต่างๆ 3. ความสาเร็จของการผา่ ตดั หรือภาวะแทรกซอ้ นท่เี กดิ ข้นึ ระหวา่ งการผา่ ตดั 5. ตรวจสอบสทิ ธิการรักษาของผู้ป่วย 4. ระยะเวลาในการผ่าตดั วสั ดุอุปกรณ์ทใี่ ชห้ ลอดเลือดเทยี ม 6. ผ้ปู ว่ ยและญาตเิ ซ็นใบยินยอมการเข้ารกั ษาในโรงพยาบาล และใบยินยอมการผา่ ตัด 5. ตาแหนง่ และชนิดของการผ่าตดั การปิดแผล สายสว่ นต่างๆ 7. บนั ทกึ และสง่ คาขอการผ่าตดั ผู้ป่วยไปห้องผ่าตดั 6. ชนิดของสารนา้ การให้เลือดหรือผลติ ภัณฑข์ องเลอื ดท่ผี ู้ป่วยไดร้ ับ 8. จดั เตรยี มยา เวชภณั ฑ์ก่อนไปหอ้ งผ่าตัด 7. ปรมิ าณเลอื ดทอ่ี อกขณะผา่ ตัด 8. สัญญาณชีพ การใช้เครือ่ งช่วยหายใจ และการใชอ้ ุปกรณเ์ ทยี มตา่ งๆ

หน่วยที่ การพยาบาลผปู้ ่วยภาวะหวั ใจเต้นผิด การบนั ทกึ คล่ืนไฟฟ้าหวั ใจ ECG/EKG แบบปกติ 9 จงั หวะ Cardiac arrhythmia,Cardiaa แกนตง้ั > ความดนั ถ้าคลนื่ ไฟฟ้าสงู แสดงวา่ บีบตัวมาก dysrhythmia แกนนอน > เวลา 1 ( ช่องเล็กในแนวนอนใช้เวลา 0.04 วนิ าที ถา้ 5 ชอ่ งเล็ก = 0.2 วนิ าที = 1ตารางสีเ่ หล่ียมใหญ่ สามารถคานวณอัตราการเต้นของหวั ใจใน 1 นาทีได้ โดยนบั คลืน่ กลา้ มเน้ือหัวใจประกอบดว้ ยเซลล์สาคัญ 2 ชนิด 30 ชอ่ งใหญ่ (30*0.2=6วินาท)ี แล้วคณู 10 1. ทาหนา้ ทห่ี ดตัว mechanical cell 2. ทาหนา้ ทก่ี าเนดิ กระแสไฟฟ้าและนากระแสไฟฟ้า Electrical cell ลักษณะคลื่นไฟฟ้าหัวใจปกติ (Normal waveform) คลืน่ ไฟฟ้าหวั ใจปกติ -SA node ปล่อยกระแสไฟฟ้า 60 - 100 คร้งั ต่อนาที 1. P Wave เกดิ เมื่อมกี ารบบี ของ Atrium ขวาและซา้ ย ปกตกิ ว้างไม่เกิน 2.5 มม. -AV node ปล่อยกระแสไฟฟา้ 40-60 ครง้ั ต่อนาที หรือ 0.10 วินาที -Ventricla ปล่อยกระแสไฟฟา้ ต่ากว่า 40 ครัง้ ตอ่ นาที 2. PR Interval ช่วงระหวา่ งคลื่น P และคลน่ื R คือระยะจากจดุ เริ่มต้นของคล่นื P ไปสู่ Pathway การนากระแสไฟฟา้ จดุ เร่ิมตน้ ของคลน่ื QRS ปกติใช้เวลาไมเ่ กนิ 0.20 วินาที ค่าปกติ เทา่ กับ 0.12-0.20 SA node > Internodol >AV node > Buldle branches >Purkinje fiber วินาที 3. QRS Complex : เปน็ คลนื่ ท่ีเกิดเม่อื มกี ารบบี ตวั (depolarization) ของ Ventricle ด้านขวาและซ้าย ความกว้างของคลืน่ QRS (QRS interval) 0.06-0.10 หรือ ไม่เกนิ 0.12 วนิ าที (3 มม.)

4. คลืน่ T เป็นคลืน่ ท่ตี ามหลัง QRS เกิดจากการคลายตัว (repolarization) ของ ventricle การแปลผลคลน่ื ไฟฟ้าหัวใจ ปกติสงู ไมเ่ กิน 5 มม. กวา้ งไมเ่ กนิ 0.16 วินาที 1. อัตราการเตน้ ของหัวใจ (Rate) 5. U wave เปน็ คลน่ื บวกทเ่ี กิดตามหลัง T wave ปกติไมค่ ่อยพบ วธิ ีท่ี 1 คานวณโดย HR โดยนับ R-R Interval เปน็ จานวนชอ่ งใหญ่ สตู ร อัตราการเตน้ ของหัวใจ = 300 ครั้งต่อนาที / N (RR Interval) 6. ST - T Wave (ST segment) เป็นจุดเชื่อมตอ่ ระหว่างจุดส้นิ สดุ QRS complex จนถึง - ห่างกนั 1 ช่องใหญ่= 300 /1 = 300 ครง้ั ตอ่ นาที จดุ เรมิ่ ต้นของคล่ืน T โดยจะบันทึกได้เปน็ แนวราบ (isoelectric line) สงู ข้นึ หรอื ตา่ ลงไม่เกิน - หา่ งกนั 2 ชอ่ งใหญ่= 300/2 = 150 ครั้งตอ่ นาที 1 มม. และความกว้างไม่เกนิ 0.12 วินาที วธิ ที ่ี 2 นบั R-R interval ใน 6 วินาที (30 ช่องใหญ่) แลว้ คูณด้วย 10*ใชไ้ ดใ้ นกรณที ี่ RR interval ไมส่ ม่าเสมอ) 7. QT interval : ระยะเวลาทใี่ ช้ในการ depolarization จนถงึ repolarization ของ 2. จงั หวะการเตน้ ของหัวใจ (Rhythmicity) ventricle ปกติ 0.32 - 0.48 sec (12 ชอ่ งเลก็ ) โดยวัด Pwave ตัวหนง่ึ ไปถงึ Pwave ตัวถัดไป และวดั R-R interval โดยทว่ั ไปจะสมา่ เสมอ 3. รปู รา่ งและตาแหน่ง (Waveformm configuration and Location) 8. RR Interval : ระยะเวลาระหวา่ งรอบของ ventricular cardiac cycle ใชเ้ ปน็ ตวั วดั อตั รา 1. รูปรา่ ง (configuration) ตรวจดใู นระยะ 6 วินาทีแรก 30 ชอ่ งใหญ่ การเต้นของหวั ใจห้องล่าง (ventricular rate) คา่ ปกติ 60 - 100 ครง้ั /นาที ถ้าต่ากวา่ 60 2. ตาแหนง่ (Location) คลน่ื ไฟฟา้ ทกุ ตวั อยูใ่ นตาแหนง่ ถูกตอ้ งหรือไม่ เรียกวา่ bradycardia ถ้ามากกวา่ 100 เรียกวา่ tachycardia 4. ระยะเวลาการนาสญั ญาณไฟฟา้ (Interval) วดั ช่วงระยะเวลาของการนาสัญญาณไฟฟา้ จาก SA node จนกระท่งั atrium และ ventricle บบี ตวั โดยวดั ดงั นี้ 4.1 ช่วงระหวา่ งจุดเรม่ิ ต้นคลื่น P ถึงจุดเริม่ ต้นคลื่น R ค่าปกติ 0.12-0.20

หนว่ ยท่ี การพยาบาลผู้ป่ วยทม่ี คี วามผดิ ปกติ การตรวจพเิ ศษ 10 ของระบบประสาทและไขสันหลัง -Lumbar puncture ความผดิ ปกตขิ องระบบประสาท -Magnetic Resonance Imaging; MRI -Computerized Tomography; CT การประเมนิ ภาวะสขุ ภาพ -Skull films การซกั ประวัติ ภาวะความดนั ในกะโหลกศีรษะสงู (Increased intracranial pressure; IICP) -การไดร้ บั อุบัตเิ หตุ อาการชัก การตดิ เช้ือโพรงอากาศของจมกู อักเสบ การอักเสบของหชู ั้นกลาง ฟันผุ ความดันในกะโหลกศรี ษะ brain injury>20 mmHg การตรวจร่างกาย ปจั จัย - Level of Consicous -การเกรง็ กลา้ มเนอื้ การจาม การไอ - Motor power -นอนศรี ษะต่า งอส่วนคอและขอ้ สะโพก - Glasgow coma score - hypercapnia (PCO2 > 45 mmHg) /hypoxemia (PO2 < 50 mmHg) - Pupil reaction Reflex Size : ปกติ 2-6 mm. ก่อนหดตวั รูปรา่ ง : ปกตกิ ลม (Reactivity -การดูดเสมหะบ่อยเกนิ ไป to light ปฏิกิรยิ าของรูมา่ นตาต่อแสง

อาการ การบาดเจ็บที่สมอง (Traumatic brain injury) -อุณหภมู ิร่างกายเพ่มิ ขนึ้ รูม่านตาขยายหรอื ไมม่ ปี ฏิกิริยาตอ่ แสง (ทดสอบ Light Reflex Test) สาเหตุ -ความสามารถในการเคลือ่ นไหวลดลง กล้ามเน้อื อ่อนแรง - Cushing's triad ความดนั ชพี จรกวา้ ง ชพี จรชา้ แตแ่ รง อบุ ัตเิ หตุจราจร ถกู ตี ยงิ ตกจากท่ีสูง > กะโหลกศีรษะและสมองไดร้ ับบาดเจบ็ > เกดิ ก้อน -ปวดศีรษะมาก อาเจยี นพุง่ จอประสาทตาบวม (papilledema) ซมึ ลงหรือสับสน เลอื ดในสมอง > หากรนุ แรง>เพม่ิ ความดนั ในกะโหลกศีรษะ สมองเสียหน้าท่ี การพยาบาล อาการและอาการแสดง -จัดทา่ นอนศรี ษะสงู ไมเ่ กิน 30 องศา อยู่ในแนวตรง -รอยเขียวชา้ รอบดวงตา (Raccoon’s -ห้ามจัดท่านอนคว่า/งอสะโพก > 90 องศา -มเี ลือดหรอื นา้ ไขสนั หลังออกจากจมูก (rhinorrhea) และหู -หากมเี สมหะใหด้ ูดเสมหะ -หมดสติ> 5นาที สูญเสยี ความจาก่อนและหลงั การเกิดอบุ ตั ิเห้ตุ -ไมท่ ากิจกรรมทีเ่ พิ่มความดนั ในช่องท้องและช่องอก -ปวดศรี ษะ มึนงง คลื่นไส้ อาเจียน -ดูแล Ventriculostomy drain ระบาย CSF อยา่ งมีประสิทธิภาพ -Mild or minor head injury GCS = 13-15 -ตดิ ตามอณุ หภูมิร่างกาย ลดไข้ และใช้ผา้ หม่ เยน็ Moderate head injury GCS = 9-12 Severe head injury GCS < 8

การผ่าตดั สมอง การพยาบาลผู้ป่ วยโรคหลอดเลือดสมอง 1.Craniectomy คอื การเปดิ กะโหลกศีรษะแล้วปิดกะโหลกกลับใน โรคอัมพาตอัมพฤกษ์ ภายหลงั (Pt.สมองบวม) หลอดเลือดแดงสมองแตก (Hemorrhagic stroke) 2.Craniotomy คอื การเปิดกะโหลกศรี ษะแล้วปิดกะโหลกกลบั ทนั ที (Pt.สมองไม่บวม) -เลือดออก>10 มม. > ผา่ ตดั -ให้ยารกั ษาระดบั ความดันโลหิต เย่อื หุ้มสมองอักเสบ (meningitis) -BP สูง -โร หลอดเลือดสมองโปง่ พอง อาการ - stiff neck : positive หลอดเลือดแดงสมองอดตนั (Ischemic stroke) - ไขส้ ูง ปวดศีรษะรุนแรง คลืน่ ไส้ -ใหย้ า Recombinant tissue อาเจยี น ซมึ มึนงง อาการชัก activator (rt-PA) -(Deep vein thrombsis หรือ ลมิ่ เลือดจาก การรกั ษา Atrial fibrillation ใหย้ าปฏชิ ีวนะ ยากนั ชกั ยาในกลุม่ Steroid หลัก FAST

การพยาบาลผู้ปว่ ยท่ีมีภาวะชกั (Seizure) การพยาบาลผปู้ ว่ ยท่ีมีภาวะชกั (Seizure) เกดิ การปลดปลอ่ ยคลนื่ ไฟฟา้ ออกมาจากเซลล์สมองอย่างทนั ทีทันใด ทาใหเ้ กิดการ -ก่อนชัก : ผปู้ ่วยทม่ี อี าการเตอื นกอ่ นชัก เตรียมไมก้ ดล้ิน เครอ่ื งปอ้ งกนั ล้ินตก (air เปล่ยี นแปลงหน้าที่ของสมอง ส่งผลใหส้ ตกิ ารเคลอื่ นไหว การรบั ความรู้สึก ระบบ way) ลกู สบู ยาง ถังออกซิเจน และใหผ้ ้ปู ว่ ยนอนลง ประสาทอัตโนมัติและดา้ นจติ ใจผิดปกติ -ขณะชกั : จับลงนอนกบั พ้นื หรือเตยี ง เลอื่ นสงิ่ ของท่ีเปน็ อนั ตรายออกไป วางหมอนที่ การรกั ษาผ้ปู ่วยท่ีมีภาวะชัก (Seizure) นุม่ ๆหนนุ ศรษี ะ จดั ใหต้ ะแคงหนา้ ให้นา้ ลายไหลออกสะดวก ไมค่ วรใส่ไม้กดล้ินขณะ กาลงั ชกั ไม่ควรกดหรอื ผูกมัดผปู้ ว่ ยจะทาให้เกิดแรงต้าน สงั เกตอาการชักเกิดขน้ึ -ขณะชกั ให้ valiam10 มก.เข้าเส้นชา้ ๆ เนื่องจากยากดการหายใจ เมอ่ื ใด นานเทา่ ใด ลกั ษณะการเคลอ่ื นไหวเป็นแบบใด การหายใจ ระดบั ความรสู้ ติ รู -ให้ Phenytoin (Dilantin) 500 ม.ก. หยดใหท้ างเส้นเลือดดาชา้ ๆ นาทีละ 50 ม.ก. มา่ นตา การขบั ถ่ายปัสสาวะอจุ จาระ เพราะยานีก้ ดการเตน้ ของหัวใจ -ให้ Phenobarb ขนาด 15-50 ม.ก. (เด็ก) และ 50-100 ม.ก. (ผ้ใู หญ)่ กินวนั ละ 2-3 คร้ัง หลังชกั : เคลอื่ นยา้ ยผ้ปู ่วยไปนอนในทีป่ ลอดภยั อาการถ่ายเทดี และเช็ดตัวเปล่ียน เพ่อื ควบคุมอาการชักในระยะยาว เสื้อผา้ และบันทกึ การชกั

การพยาบาลผู้ป่ วยทม่ี คี วามผิดปกตขิ อง การพยาบาล ระบบประสาทและไขสันหลัง 1.ใหย้ า H2 antagonist และ Proton Pump Inhibitor (PPI) ปอ้ งกันGI-bleeding spinal cord injury 2.ใส่ Philadelphia collar ไม่ใหก้ ระดูกคอเคลื่อนย้าย อวยั วะที่อยูต่ ่ากวา่ ระดับไขสันหลังท่ไี ด้รับบาดเจ็บจะเปน็ อัมพาตแบบออ่ นปวกเปียก ผู้ป่วยมีอาการBP ต่า หัวใจเต้นชา้ แบ่งออกเปน็ 2 ชนิด ดังน้ี 1. Complete cord injury >>tetraplegia 2. และ paraplegia 3. Incomplete spinal cord injury การประเมนิ 1.ซักประวตั ิ ปวดตึงต้นคอหรือความรสู้ ึกทแี่ ขนและขาลดลง 2.การตรวจรา่ งกาย> ABCDE 3.X-ray CT scan MRI


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook