Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แนวทางการรวบรวมพยานหลักฐานประกอบสำนวน

แนวทางการรวบรวมพยานหลักฐานประกอบสำนวน

Published by researchsao, 2020-03-09 00:22:16

Description: แนวทางการรวบรวมพยานหลักฐานประกอบสำนวน

Keywords: แนวทางการรวบรวมพยานหลักฐาน,หลักฐานประกอบสำนวน,รวบรวมพยานหลักฐาน

Search

Read the Text Version

แนวทาง การรวบรวมพยานหลักฐาน ประกอบสานวน สานกั วจิ ัย ตุลาคม ๒๕๖๒

คานา ตามท่ีสานักงานการตรวจเงินแผ่นดินมีหน้าท่ีในการตรวจสอบการใช้จ่ายเงิน ทรัพย์สินของ หน่วยรับตรวจ หากตรวจพบข้อบกพร่องเน่ืองจากการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติ คณะรัฐมนตรี สานักงานฯ ต้องแจ้งผลการตรวจสอบซึ่งแสดงถึงข้อบกพร่อง พร้อมข้อเสนอแนะเพื่อให้หน่วย รับตรวจดาเนนิ การในส่วนท่ีเก่ียวข้อง ได้แก่ การแจ้งให้แก้ไขและควบคุมหรือกากับมิให้เกิดข้อบกพร่อง หรือ ใหด้ าเนนิ การเพ่ือให้มีการชดใช้ค่าเสียหายหรือดาเนินการทางวินัย รวมถึงการแจ้งคณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามการทุจรติ แห่งชาติกรณพี บพฤติการณอ์ นั มลี ักษณะของการทุจริตต่อหน้าที่ โดยต้องส่งรายงานการ ตรวจสอบที่ประกอบด้วยข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพยานบุคคล พยานวัตถุ พยานเอกสาร หรือพยานผู้เชี่ยวชาญ ที่แสดงให้เห็นว่ามีการกระทาที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย ระเบยี บ ขอ้ บงั คบั มตคิ ณะรัฐมนตรีอย่างไร สานักวิจัย จึงจดั ทาแนวทางการรวบรวมพยานหลกั ฐานประกอบสานวน เพื่อประกอบการศึกษา ทาความเข้าใจเรื่องพยานหลักฐาน หน้าท่ีและอานาจของสานักงานการตรวจเงินแผ่นดินและหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องในการดาเนินการตามข้อเสนอแนะของสานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ตลอดจนคาวินิจฉัยของ คณะกรรมการความรับผิดทางแพ่ง คาวินิจฉัยของสานักงาน ก.พ. ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา คาพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวเน่ืองกับการปฏิบัติหน้าท่ีของสานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งจะนาไปสู่การรวบรวมพยานหลักฐานตามอานาจหน้าที่ที่กาหนดในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ วา่ ด้วยการตรวจเงนิ แผน่ ดนิ พ.ศ. ๒๕๖๑ กลุ่มวิจัยและนวัตกรรมการตรวจสอบ สานักวจิ ยั ตลุ าคม ๒๕๖๒

สารบัญ บทที่ ๑ บทนา หนา้ ๑ บทท่ี ๒ พยานหลักฐาน ๓ ๒.๑ ความหมาย ๓ ๒.๒ ประเภทของพยานหลกั ฐาน ๔ ๒.๓ การรบั ฟังพยานหลักฐาน ๕ ๒.๔ การชัง่ นา้ หนกั พยานหลกั ฐาน 5 2.4.1 หลกั การชัง่ นา้ หนักพยานหลักฐาน 6 2.4.2 มาตรฐานการชั่งนา้ หนกั พยานหลกั ฐาน บทที่ ๓ แนวทางการรวบรวมพยานหลกั ฐาน ๓.๑ หน้าที่และอานาจในการตรวจสอบและการแจ้งผลการตรวจสอบของผู้วา่ การฯ ๗ ๓.๒ การปฏบิ ตั ิหน้าที่ของหน่วยงานทเี่ กยี่ วข้องในการดาเนนิ การตามข้อเสนอแนะ 9 ของสานกั งานฯ ๓.๒.๑ การดาเนินการของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ๑๑ ๓.๒.๒ การดาเนนิ การของหน่วยรบั ตรวจเพ่อื ให้มีการเรยี กให้ชดคา่ เสียหายตาม ๑3 ขอ้ เสนอแนะของสานักงานฯ - แนวคาวินจิ ฉยั ของคณะกรรมการพิจารณาความรบั ผิดทางแพ่ง ๑5 - แนวปฏบิ ตั ิของกระทรวงการคลังเก่ียวกับผลการตรวจสอบของสานักงานฯ ๑7 - แนวคาพพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ ๑7 ๓.๒.๓ การดาเนนิ การทางวนิ ัยของหน่วยรบั ตรวจตามขอ้ เสนอแนะของสานักงานฯ ๒3 - คาวินจิ ฉยั ของสานกั งาน ก.พ. ๒5 - ความเหน็ ของคณะกรรมการกฤษฎีกา ๒5 - แนวคาพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ๒8 ๓.๓ แนวทางการรวบรวมพยานหลักฐานประกอบสานวนของสานักงานฯ ๓2 บทที่ ๔ กรณีศึกษา ๓7 กรณีศึกษาที่ ๑ การควบคมุ งานและการตรวจการจา้ ง ๔3 กรณศี ึกษาที่ ๒ การตรวจรบั พัสดแุ ละการเบิกจ่ายเงิน ๔6 กรณีศึกษาที่ ๓ การรบั เงินและการนาเงนิ สง่ ๕๐ กรณีศึกษาท่ี ๔ การเบิกจา่ ยเงนิ ๕๓ กรณศี ึกษาท่ี ๕ การอนุมัติเงินยืมและการเรง่ รดั ติดตามทวงเงินยมื บรรณานุกรม ๕๖

สารบัญแผนภาพ หนา้ ๑0 แผนภาพท่ี แผนภาพที่ ๑ กระบวนการตรวจสอบของสานักงานฯ ท่เี ช่ือมโยงกับการดาเนินการ ของหน่วยงานอ่ืน แผนภาพที่ ๒ ความเชอื่ มโยงกับหน่วยงานอืน่ ท่ีเกีย่ วข้อง กรณีสานกั งานฯ ตรวจพบ ๑2 พฤติการณ์อันมีลักษณะของการทุจรติ แผนภาพท่ี ๓ ความเช่อื มโยงของการตรวจสอบของสานักงานฯ กับหนว่ ยรบั ตรวจ ๑4 และหนว่ ยงานอื่น กรณสี านกั งานฯ ตรวจพบวา่ มีการปฏบิ ตั ิหน้าทไี่ ม่เป็นไปตาม กฎหมาย ระเบยี บ แล้วเกิดความเสียหายเกิดแกร่ ฐั หรอื หนว่ ยรบั ตรวจ

สารบัญตาราง ตารางที่ หนา้ ตารางท่ี 1 : การรวบรวมพยานหลักฐานกรณผี คู้ วบคมุ งานหรือคณะกรรมการตรวจการจา้ ง 38 ปฏบิ ัติหนา้ ท่ไี ม่ถูกต้องฯ ตารางที่ 2 : ประเด็นท่ี (1.1) ผูร้ บั จา้ งขดุ ลอกแม่น้าด้วยเคร่ืองจกั ร (โป๊ะ) ทง้ั โครงการหรือไม่ 39 ตารางที่ 3 : ประเดน็ ท่ี (1.2) มีการนาดินท่ีขดุ ไปปรับแตง่ พื้นทีต่ ามท่ีกาหนดในสญั ญา 41 จรงิ หรอื ไม่ ตารางที่ 4 : การรวบรวมพยานหลกั ฐานกรณีคณะกรรมการตรวจรบั พัสดุตรวจรบั งาน 43 ไม่ถูกตอ้ งก่อใหเ้ กิดความเสยี หายแกห่ นว่ ยงาน ตารางที่ 5 : การรวบรวมพยานหลกั ฐานกรณีเบกิ จ่ายเงินไม่ถกู ต้องแล้วก่อใหเ้ กิด 45 ความเสียหายแก่ราชการ ตารางท่ี 6 : การรวบรวมพยานหลกั ฐานกรณีรบั เงนิ แล้วไม่ออกใบเสร็จรบั เงนิ ทาใหเ้ กิด 46 ความเสียหาย ตารางที่ 7 : การรวบรวมพยานหลักฐานกรณีรบั เงนิ แล้วไมน่ าเงนิ สง่ โดยมชิ อบเปน็ เหตุ 48 ใหเ้ กิดความเสยี หายแกร่ าชการ ตารางที่ 8 : การรวบรวมพยานหลักฐานกรณีเบกิ จ่ายเงนิ ไม่ถูกต้องและก่อให้เกิด 51 ความเสยี หายแก่หนว่ ยงาน ตารางท่ี 9 : การรวบรวมพยานหลกั ฐานกรณีการอนุมัตเิ งนิ ยมื ไม่ถกู ต้อง 53 ตารางท่ี 10 : การรวบรวมพยานหลักฐานกรณีการไม่เร่งรัดหรอื ติดตามทวงเงนิ ยมื 54 ภายในเวลาท่ีกาหนด

บทท่ี ๑ บทนา ความสาคญั และความเป็นมา โดยท่ีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๖๑ กําหนดให้สํานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) โดยผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน มีหน้าท่ีและอํานาจในการ ตรวจสอบเก่ยี วกับการจดั เก็บรายได้ การรับ การใช้จ่าย การใช้ประโยชน์ การเก็บรักษาและการบริหารเงิน ทรพั ยส์ นิ สทิ ธิและผลประโยชน์ของหน่วยรบั ตรวจว่าเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และแบบแผนการปฏิบัติราชการหรือไม่ หากผลการตรวจสอบพบว่ามีข้อบกพร่องก็ต้องแจ้งข้อบกพร่อง พร้อมข้อเสนอแนะให้ผู้รับตรวจแก้ไขและควบคุมหรือกํากับมิให้เกิดข้อบกพร่องข้ึนอีก หากผลการตรวจสอบ พบว่าการกระทําดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายจะต้องแจ้งให้ผู้รับตรวจดําเนินการเพ่ือให้มีการชดใช้ ค่าเสียหายหรือดําเนินการทางวินัย ส่วนกรณีผลการตรวจสอบปรากฏพยานหลักฐานอันควรเช่ือได้ว่ามี พฤติการณ์อันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ จงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อํานาจขัดต่อกฎหมาย และผู้ว่าการฯ ไม่มี อาํ นาจดําเนนิ การใดได้ จะแจง้ คณะกรรมการปอู งกันและปราบปรามการทุจริตแหง่ ชาติ (ป.ป.ช.) ดําเนินการ ตามหน้าท่ีและอํานาจ หรือหากเป็นการตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของ รฐั และพบขอ้ บกพรอ่ งข้างตน้ ก็ต้องแจ้งหน่วยงานท่เี กยี่ วข้องดําเนนิ การดงั กลา่ วเชน่ กัน ท้งั น้ี ในการดาํ เนินการของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ถือว่ารายงานและเอกสารหลักฐานท่ี ผู้ว่าการฯ จัดส่งให้เป็นส่วนหนึ่งของสํานวนการไต่สวนหรือสอบสวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ด้วย เชน่ เดียวกบั กรณที คี่ ณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) จะพิจารณาวินิจฉัยโทษทางปกครองแก่ผู้กระทํา ผิดกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ คตง. ก็ต้องใช้รายงานการตรวจสอบของผู้ว่าการฯ เป็นหลัก เชน่ กนั แม้สํานักงานการตรวจเงินแผ่นดินจะแจ้งผลการตรวจสอบพร้อมข้อเสนอแนะเพ่ือให้ หน่วยงานท่ีเก่ียวข้องดําเนินการตามหน้าที่และอํานาจแล้วก็ตาม แต่มิได้หมายความว่าหน้าที่และอํานาจ ของสาํ นกั งานฯ จะสิ้นสุดเพียงนน้ั เนอื่ งจากพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๖๑ ยังกําหนดหน้าที่ของสํานักงานฯ ในการติดตามผลการดําเนินการของหน่วยรับตรวจตาม ข้อเสนอแนะของสาํ นักงานฯ ด้วยว่า มีการดําเนินการตามขอ้ เสนอแนะหรือไม่ เพียงใด โดยเฉพาะเมื่อมีการ พบข้อบกพร่องเน่ืองจากการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และได้แจ้งผลการตรวจสอบให้ผู้รับตรวจ ดําเนินการให้มีการชดใช้ค่าเสียหายหรือดําเนินการทางวินัยแล้ว แต่หากผู้รับตรวจไม่ดําเนินการตาม ข้อเสนอแนะภายในเวลาที่ผู้ว่าการฯ กําหนดโดยไม่มีเหตุอันควร ผู้ว่าการฯ ก็เสนอให้คณะกรรมการฯ ลงโทษ ทางปกครองแกผ่ ูร้ บั ตรวจได้ จากลักษณะของการตรวจสอบและการติดตามผลดังกล่าว เห็นว่า รายงานการตรวจสอบ ของสํานกั งานฯ มีความสําคญั ในฐานะท่ีเป็นการเสนอข้อมูลข้อบกพร่องของหน่วยรับตรวจเพ่ือให้หน่วยงาน ที่เก่ียวข้องทราบและนําข้อบกพร่องไปแก้ไขหรือดําเนินการตามกฎหมายกับเจ้าหน้าท่ีผู้เกี่ยวข้องเพื่อให้ เป็นไปตามขอ้ เสนอแนะของสาํ นกั งานฯ ตอ่ ไป รายงานการตรวจสอบท่ีประกอบด้วยข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย พยานหลักฐานที่พิสูจน์ ถึงการปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย และข้อเสนอแนะเพ่ือให้หน่วยรับตรวจดําเนินการต่อไปนั้น ในบางกรณีความผิดก็มิได้ระบุข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานที่แสดงว่าผู้ใดเป็นผู้กระทําความผิด หรือมี การกระทําการอันไม่ชอบด้วยกฎหมาย ระเบียบอย่างไร หรือในบางกรณีก็ไม่สอดคล้องกับหลักการทั่วไป แนวทางการรวบรวมพยานหลกั ฐานประกอบสานวน หนา้ ๑

ของกฎหมาย ซ่ึงอาจแสดงถึงความไม่เป็นมืออาชีพและไม่มีมาตรฐานในการตรวจสอบ ทําให้เกิดข้อโต้แย้ง จากหน่วยรับตรวจในภายหลัง และในบางกรณีไม่อาจนํารายงานการตรวจสอบและข้อเสนอแนะไป ดําเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสํานักงานฯ ได้ จึงได้มีการรวบรวมความรู้เกี่ยวกับพยานหลักฐาน หลักการรับฟังพยานหลักฐาน การชั่งนํ้าหนักพยานหลักฐานซ่ึงแม้จะใช้ในการดําเนินกระบวนการยุติธรรม โดยท่ัวไป เช่น การดําเนินการของพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการและศาล แต่เน่ืองจากเป็นหลักการ ทั่วไปท่ีหน่วยงานของรัฐสามารถนํามาปรับใช้ให้สอดคล้องกับอํานาจหน้าที่ได้ด้วย เช่น การดําเนินการ สอบสวนทางวินัยตามแนวทางของสํานักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สํานักงาน ก.พ.) หรือการ สอบสวนของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม หรือแม้แต่การตรวจสอบของสํานักงานฯ เองก็ตาม นอกจากนี้ ได้นําคําวินิจฉัยของสํานักงาน ก.พ. คําวินิจฉัยของคณะกรรมการความรับผิดทางแพ่ง ความเห็น ของคณะกรรมการกฤษฎกี า คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ีส่วนใหญ่เป็นผลสืบเนื่อง มาจากการตรวจพบ ข้อบกพร่องอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยรับตรวจและหรือเป็นข้อสังเกตท่ีเป็นประโยชน์ต่อการ รวบรวมพยานหลักฐานประกอบสํานวนการตรวจสอบ หรือการจัดทําข้อเสนอแนะของสํานักงานฯ ซึ่งควร จะต้องสอดคลอ้ งกับหลกั การของกฎหมายท่ีหน่วยรับตรวจถือปฏิบัติ โดยในบทสุดท้าย ได้นําเสนอตัวอย่าง การรวบรวมพยานหลักฐานจากสํานวนการตรวจสอบของสํานักงานฯ ท่ีพบว่าเป็นความผิดท่ีเกิดขึ้นบ่อย ๆ ไว้ดว้ ย เพือ่ เป็นแนวทางในการศึกษาทําความเขา้ ใจวา่ ในแตล่ ะความผดิ ทีป่ รากฏในสาํ นวนการตรวจสอบนั้น ควรรวบรวมพยานหลักฐานใดประกอบบ้าง เพ่ือนําไปปรับใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานท่ีเป็นมาตรฐาน เดียวกันและให้หน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องสามารถนําข้อเท็จจริง พยานหลักฐานและข้อเสนอแนะจากการ ตรวจสอบไปดาํ เนนิ การตามหนา้ ที่และอาํ นาจไดอ้ ยา่ งถกู ต้อง วัตถุประสงค์ (๑) เพอ่ื รวบรวมความรเู้ กี่ยวกับพยานหลักฐาน (๒) เพื่อทราบแนวคําวินิจฉัยของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงแนวคําพิพากษาของศาล ปกครอง ในส่วนท่ีเก่ียวกบั การปฏิบตั หิ นา้ ท่ตี รวจสอบของสาํ นักงานการตรวจเงินแผน่ ดนิ (๓) เพ่ือสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับการรวบรวมพยานหลักฐานให้เป็นรูปธรรมและให้เกิด การพัฒนาอยา่ งต่อเนือ่ ง ขอบเขตการใช้ สําหรับเจ้าหน้าท่ีผู้มีหน้าที่ตรวจสอบเพื่อประกอบการศึกษาและนําไปประยุกต์ใช้ในการ รวบรวมพยานหลักฐานประกอบการตรวจสอบใหเ้ หมาะสมต่อไป แนวทางการรวบรวมพยานหลักฐานประกอบสานวน หนา้ ๒

บทท่ี ๒ พยานหลกั ฐาน ๒.๑ ความหมาย “พยานหลักฐาน” โดยท่ัวไป หมายถึง สิ่งท่ีพิสูจน์ว่ามีข้อเท็จจริงใดข้อเท็จจริงหน่ึงเกิดข้ึน ไม่ว่าจะเป็นการ พิสูจนด์ ้วยบคุ คล เอกสาร วตั ถุหรือส่ิงอืน่ ใด สาํ หรับ “พยานหลักฐาน” ในความหมายของกฎหมาย หมายถึง ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ท่ีคู่ความ นําสืบพิสูจน์ความจริงอันเป็นประเด็นแห่งคดี และเป็นพยานหลักฐานที่ศาลยอมรับ แต่ “พยานหลักฐาน” ตามความเข้าใจโดยท่ัวไป อาจไม่ใช่พยานหลักฐานตามความหมายของกฎหมาย เพราะแม้เป็นข้อเท็จจริง ที่ยืนยันถึงส่ิงที่เกิดข้ึนได้ แต่หากไม่มีความเก่ียวข้องในประเด็นหรือเกี่ยวข้องกับคดีก็ไม่เป็นพยานหลักฐาน ตามความหมายของกฎหมาย หรือแม้จะเป็นพยานหลักฐานในประเด็นหรือเกี่ยวข้องกับประเด็นในคดี แต่หากเป็นพยานหลักฐานที่ศาลไม่ยอมรับให้นําเข้ามาสืบในคดี ก็ไม่เป็นพยานหลักฐานตามความหมาย ของกฎหมาย ๒.๒ ประเภทของพยานหลักฐาน พยานหลักฐานท่ีนํามาพิจารณาในการดําเนินคดีของศาล หรือในหน่วยงานของรัฐท่ีมีหน้าท่ี เก่ียวกับการสอบสวน สืบสวน หรือการดําเนินการทางวินัย เช่น ก.พ. อาจประกอบด้วยพยานบุคคล พยาน วัตถุ และพยานเอกสาร พยานหลกั ฐานท่ีใช้กนั เป็นการท่วั ไป มี ๔ ประเภท ๒.๒.๑ พยานเอกสาร หมายถึง ข้อความใด ๆ ท่ีบันทึกไว้ไม่ว่าในวัสดุใด ๆ ท่ีสามารถ ส่ือความหมายของส่งิ ทบ่ี นั ทึกไว้ให้เข้าใจได้ ไม่ว่าจะเป็นตัวอักษร ตัวเลข เครื่องหมายหรืออ่ืนใด การอ้างเอกสาร เป็นพยานจงึ เป็นการอา้ งถึงขอ้ ความหรือความหมายทีป่ รากฏในวัสดุนัน้ ๆ การอา้ งพยานเอกสาร หากเป็นศาลจะต้องอ้างต้นฉบับ เว้นแต่กรณีหาต้นฉบับไม่ได้ ก็ใช้สําเนาเอกสารที่มีการรับรองความถูกต้องแทนได้ ซ่ึงในการปฏิบัติราชการท่ัวไปมักจะใช้สําเนาเอกสาร ทีเ่ จ้าหน้าทร่ี ับรองความถูกตอ้ งมาเป็นพยานหลกั ฐาน ๒.๒.๒ พยานบุคคล หมายถึง พยานหลักฐานที่เกิดจากบุคคลที่รู้เห็นเหตุการณ์โดยตรง และมาให้ถอ้ ยคําในเหตกุ ารณท์ ี่ไดร้ ้เู หน็ น้ัน ถอ้ ยคําหรือขอ้ เท็จจริงทบ่ี ุคคลกล่าวอ้างจึงถือเปน็ พยานหลักฐาน การอา้ งบคุ คลเป็นพยานจะตอ้ งพิจารณาถึงความสามารถในการรับรู้ การจดจําและ ความสามารถในการถ่ายทอดข้อเท็จจริงท่ีเกิดข้ึน ความน่าเชื่อถือของพยานบุคคลจึงข้ึนอยู่กับหลายปัจจัย เชน่ เป็นผู้รเู้ ห็นเหตุการณ์อย่างชัดแจ้งหรือไม่ หรือมีอคติหรือมีเหตุโกรธเคืองหรือขัดแย้งกันมาก่อนหรือไม่ เหตกุ ารณน์ ้ันเกิดขึ้นมานานแล้วหรือไม่ เนื่องจากถ้าระยะเวลาผ่านพ้นไปเป็นเวลานานการจดจําเหตุการณ์ ของพยานบคุ คลอาจบกพร่อง การที่พยานเอกสารเกิดจากการจัดทําของบุคคล ดังนั้น การอ้างเอกสารเป็นพยาน จงึ ต้องมกี ารสอบถ้อยคาํ พยานบุคคลผู้ทําเอกสารมายืนยันข้อความในเอกสารด้วย เช่น ประเด็น “การตรวจรับ พสั ดคุ รบถ้วนหรือไม”่ นอกจากจะตอ้ งนาํ ใบตรวจรับพัสดมุ าเป็นพยาน ยังต้องมีการสอบถ้อยคําคณะกรรมการ ตรวจรับพัสดุซึ่งเป็นผู้ทําเอกสารมายืนยันข้อความในใบตรวจรับพัสดุด้วยว่า การที่คณะกรรมการตรวจรับ พสั ดเุ ขียนขอ้ ความรบั รองในใบตรวจรับพัสดุว่า “ได้ตรวจรับพัสดุถูกต้องครบถ้วนแล้ว” น้ัน คณะกรรมการ ตรวจรับพัสดุได้มีการตรวจรับพัสดุจริงหรือไม่ ในวันเวลาใด ท่ีไหน มีวิธีการอย่างไร และมีพัสดุครบถ้วน ตามจํานวนที่ระบุในรายงานจรงิ หรอื ไม่ เป็นตน้ แนวทางการรวบรวมพยานหลักฐานประกอบสานวน หนา้ ๓

๒.๒.๓ พยานวัตถุ หมายถึง ส่ิงของใด ๆ ที่อ้างอิงเพ่ือตรวจดูรูปร่างหรือลักษณะ ของสงิ่ ของ เพื่อประโยชน์ในการพสิ ูจนข์ ้อเทจ็ จริง พยานวัตถุเป็นพยานหลักฐานที่มีความชัดเจนในตัวเอง เนื่องจากสามารถดูได้เอง โดยสภาพ ไม่ต้องผ่านกระบวนการแปลความหมายหรือคําอธิบายอ่ืนใด การพิจารณาว่าพยานวัตถุใด น่าเชื่อถือหรือไม่ มักจะต้องพิจารณาประกอบกับถ้อยคําพยานบุคคลท่ีรู้เห็นเหตุการณ์หรือเกี่ยวข้องกับ พยานวัตถนุ ้นั หรอื บางครง้ั ตอ้ งมพี ยานผู้เชี่ยวชาญมาใหค้ วามเห็นประกอบ ทั้งน้ี ต้องพิจารณาว่าพยานวัตถุ และถ้อยคําของพยานบุคคลหรือความเห็นของพยานผู้เชี่ยวชาญมีความเช่ือมโยงกันอย่างสมเหตุสมผล หรอื ไมป่ ระกอบด้วย สําหรับการอ้างพยานเอกสารและพยานวัตถุ มีความแตกต่างกันท่ีวัตถุประสงค์ ของการอ้างอิง ถ้าอ้างเพื่อดูข้อความท่ีปรากฏในเอกสารน้ันก็เป็นพยานเอกสาร แต่ถ้าอ้างเพื่อให้ดูรูปร่าง ลกั ษณะของวตั ถุกเ็ ปน็ พยานวตั ถุ ๒.๒.๔ พยานผู้เชี่ยวชาญ (Expert witness) หมายถึง การนําบุคคลซ่ึงมีความรู้ ความเช่ยี วชาญในศาสตรต์ า่ ง ๆ มาให้ถ้อยคําหรือใหค้ วามเหน็ เปน็ หนงั สือในเรื่องท่ีต้องใช้ความรู้เฉพาะด้าน ไม่ว่าจะเป็นประสบการณจ์ ากการศกึ ษาหรือการทาํ งานดา้ นน้นั จนชาํ นาญและจะตัดสินปัญหาได้ก็แต่เฉพาะ ผเู้ ชีย่ วชาญท่มี ีความร้เู ร่ืองนนั้ ๆ บุคคลธรรมดาไม่สามารถตัดสินใจได้โดยใช้เพียงความรู้ ความสามารถหรือ ประสบการณ์ในชวี ิตประจาํ วันท่วั ๆ ไป เช่น การตรวจสอบเพอื่ วิเคราะห์ลักษณะของดินในโครงการขุดลอก คลอง เพ่ือทราบว่าดินที่มีการนําไปขายมาจากแหล่งเดียวกับดินท่ีอยู่ในโครงการท่ีขุดลอกหรือไม่ ซ่ึงอาจ ต้องใช้เคร่ืองมือในการตรวจพิสูจน์ประกอบกับการให้ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญในด้านน้ัน ๆ เพื่อประกอบ ผลการตรวจพสิ จู น์ ปกติพยานผู้เช่ียวชาญจะเป็นคนกลางท่ีคอยให้ความเห็นตามหลักวิชาซ่ึงมีความ น่าเชื่อถือ ทั้งด้านวิชาการและเหตุผล แต่อาจต้องพิจารณาพยานหลักฐานอื่นประกอบด้วย เน่ืองจากไม่ใช่ พยานท่รี ู้เห็นเหตกุ ารณจ์ ริง ๒.๓ การรบั ฟงั พยานหลักฐาน การรับฟังพยานหลกั ฐาน เปน็ การพจิ ารณาว่ามพี ยานหลักฐานใดบ้างท่ีสามารถใช้พิสูจน์ให้ เห็นได้ว่ามีการทําผิดจริง การรับฟังพยานหลักฐานจึงเป็นการรับฟังเพ่ือพิสูจน์ถึงข้อเท็จจริงที่เกิดข้ึน แต่หาก เป็นขอ้ กฎหมายไมต่ ้องมกี ารสบื พิสูจน์ดว้ ยพยานหลกั ฐานแต่จะวนิ ิจฉัยดว้ ยหลักของกฎหมาย นอกจากน้ี มีข้อพิจารณาดว้ ยว่า - พยานหลักฐานท่ีรบั ฟังได้ต้องเปน็ พยานหลกั ฐานท่ีได้มาโดยชอบดว้ ยกฎหมาย - พยานหลักฐานที่รับฟังได้ต้องเป็นพยานหลักฐานที่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงท่ีเกิดข้ึน หมายถึง เป็นพยานหลักฐานที่เกี่ยวกับองค์ประกอบความผิด และเป็นพยานหลักฐานท่ีแสดงถึงลักษณะ วิธีการ รูปแบบของการกระทําความผิดนั้น ๆ หากเป็นพยานเอกสารต้องเป็นเอกสารต้นฉบับและเป็น เอกสารทถ่ี ูกต้องแท้จริง เว้นแต่ในบางกรณีที่กฎหมายกําหนดให้ใช้สําเนาเอกสารได้แต่ต้องมีการรับรองความ ถกู ต้องของเอกสารมาดว้ ย - พยานหลักฐานที่ต้องห้ามมิให้รับฟัง เช่น พยานหลักฐานท่ีได้มาจากการถูกจูงใจ ขู่เข็ญ หลอกลวง ให้คํามั่นสัญญาหรือโดยมิชอบด้วยกฎหมายอื่นใด หรือพยานหลักฐานที่ฟุมเฟือย หรือ พยานหลกั ฐาน ทไี่ ม่เกยี่ วกบั ประเด็น แนวทางการรวบรวมพยานหลักฐานประกอบสานวน หนา้ ๔

๒.๔ การชงั่ น้าหนักพยานหลักฐาน เป็นการนําพยานหลักฐานที่รับฟังได้มาวิเคราะห์ช่ังนํ้าหนักว่า พยานหลักฐานใดมีความ น่าเช่ือถือและสามารถใช้พิสูจน์การกระทําความผิดได้มากน้อยเพียงใด โดยใช้ดุลพินิจพิจารณาว่า พยานหลักฐานนั้นมีความสมเหตุสมผลพอที่วิญญูชนจะเช่ือได้ว่าข้อเท็จจริงท่ีพิจารณานั้นเป็นความจริง หรอื ไม่ 2.4.1 หลักการชั่งน้าหนักพยานหลักฐาน ต้องพิจารณาตามลําดับ คือ ต้องรับฟัง พยานหลักฐานท่ีมีน้ําหนักมากก่อน เช่น พยานเอกสาร พยานวัตถุ พยานบุคคลที่ไม่มีส่วนได้เสียเกี่ยวกับ เร่อื งนั้น พยานบุคคลท่ีให้การตรงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป กรณีไม่มีพยานท่ีมีนํ้าหนักมากก็จะรับฟังพยานท่ีมี นา้ํ หนกั นอ้ ยกว่า เช่น การรบั ฟังพยานบอกเล่าซึง่ มนี ํา้ หนักน้อย แต่ต้องรับฟังประกอบกับพยานหลักฐานอ่ืน ด้วยซ่ึงหากพสิ ูจน์ข้อเทจ็ จรงิ ไดช้ ัดเจนขนึ้ สามารถรบั ฟงั พยานบอกเลา่ ประกอบพยานหลักฐานอ่ืนได้ แต่ต้อง มีความสมเหตสุ มผลที่วิญญชู นท่วั ไปสามารถเขา้ ใจไดด้ ว้ ย การช่ังนํา้ หนกั พยานหลักฐาน แบ่งเปน็ (1) การช่ังน้ําหนักพยานเอกสาร พยานเอกสารที่มีนํ้าหนักมากจะต้องเป็นพยาน เอกสารท่ีมีการตรวจสอบความถูกต้องแท้จริงของเอกสารมาแล้ว แต่หากมิใช่เอกสารท่ีแท้จริงแล้วก็ไม่อาจ รับฟังเป็นพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความผิดได้ ซึ่งโดยปกติจะมีการนําพยานบุคคลมาให้ถ้อยคําเกี่ยวกับ เอกสารนนั้ ด้วย เพ่อื ให้ทราบวา่ เอกสารน้นั เกีย่ วขอ้ งกับประเดน็ อยา่ งไร (2) การช่ังนํ้าหนักพยานบุคคล ต้องพิจารณาถึงความสามารถในการรับรู้การจดจํา ตลอดจนการถ่ายทอดเหตุการณ์โดยพิจารณาจากสภาพร่างกาย จิตใจ และสภาพแวดล้อม ที่มีผลต่อการ รับรู้ การจดจํา และการถ่ายทอดข้อเท็จจริงนั้นด้วย ปกติถ้อยคําของพยานบุคคลมักไม่สมบูรณ์เพราะการ รับรู้ การจดจําเหตุการณ์จะมีความบกพร่องตามระยะเวลาที่ผ่านพ้นไป ถ้อยคําของพยานบุคคลที่มาให้ ถ้ อ ย คํ า ใ น ทั น ที จึ ง ย่ อ ม จ ะ ค ล า ด เ ค ล่ื อ น น้ อ ย ก ว่ า จึ ง เ ป็ น พ ย า น ห ลั ก ฐ า น ท่ี มี นํ้ า ห นั ก ม า ก ก ว่ า แ ล ะ เ ป็ น พยานหลกั ฐานทรี่ ับฟังไดม้ ากกวา่ (3) การชั่งน้ําหนักพยานวัตถุ อาจมีการตรวจดูวัตถุพยานด้วยตัวเองหรือให้ ผู้เชี่ยวชาญตรวจและให้ความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณา แต่พยานบุคคลหรือพยานผู้เชี่ยวชาญที่ให้ ความเหน็ นนั้ จะต้องมคี วามเชอ่ื มโยงกบั พยานวตั ถอุ ย่างมีเหตมุ ผี ล (4) การชั่งนํ้าหนักพยานผู้เช่ียวชาญ ต้องพิจารณาคุณสมบัติ ความรู้ความเช่ียวชาญ ในเร่ืองท่ีเกี่ยวข้องกับประเด็นที่มาให้ถ้อยคําเป็นสําคัญ หากเป็นผู้มีความรู้ความเช่ียวชาญด้านนั้นจริงก็จะ เปน็ พยานที่มนี ํา้ หนักมากและเปน็ พยานทร่ี ับฟังได้มากกว่า หลักการหน่ึงของการช่ังน้ําหนักพยานหลักฐาน คือ หลักของความเป็นอันหนึ่งอันเดียว ซึ่งหมายถึง ข้อเท็จจริงใดที่เกิดข้ึนย่อมมีข้อเท็จจริงเดียวเสมอ ดังนั้น หากปรากฏว่ามีพยานหลักฐานหลาย อย่าง มที ้ังสอดคล้องและขดั แยง้ กัน หรือมีความก้ํากึ่งทง้ั สอดคล้องและขัดแย้ง ต้องพิจารณาด้วยเหตุผลโดย เปรยี บเทียบพยานหลักฐานทม่ี ี โดยถือวา่ หากขอ้ เทจ็ จริงหรือพยานหลกั ฐานขัดแย้งกันในสาระสําคัญหรือมี ความก้ําก่ึงกันจนไม่อาจช้ีชัดได้ว่าควรรับฟังข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานใดให้เป็นที่ยุติได้ ก็ต้องถือว่า ข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานน้ันไม่น่าเชื่อถือ แต่หากข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานท่ีมีอยู่มีความ สอดคล้องกันอย่างสมเหตุสมผล แม้จะขัดแย้งกันบ้างที่มิใช่ส่วนสาระสําคัญก็ต้องถือว่าเป็นข้อเท็จจริงหรือ พยานหลักฐานท่ีอาจรับฟังได้ การช่ังนํ้าหนักพยานหลักฐานต่าง ๆ จึงข้ึนอยู่กับดุลพินิจของผู้มีอํานาจ พิจารณาวินิจฉัยเป็นสําคัญ โดยใช้สามัญสํานึกในการพิจารณาว่าพยานหลักฐานนั้นมีนํ้าหนักน่าเชื่อถือ หรือไม่ แนวทางการรวบรวมพยานหลกั ฐานประกอบสานวน หนา้ ๕

2.4.2 มาตรฐานการช่งั น้าหนกั พยานหลกั ฐาน มาตรฐานการชั่งนํ้าหนักพยานหลักฐาน หมายถึง มาตรฐานหรือระดับข้ันตํ่าท่ีผู้มี หน้าทพ่ี สิ ูจน์ต้องพิสจู น์ขอ้ เทจ็ จรงิ ให้ถึงระดับนั้น ทน่ี ิยมใช้มีสองระดบั (1) ระดับการพิสูจน์จนปราศจากข้อสงสัย กรณีน้ีใช้กับการดําเนินกระบวนพิจารณา คดีอาญาซง่ึ มกี ารพิสูจนค์ วามผิดหลายชน้ั ต้ังแตช่ ้ันพนักงานสอบสวน ชั้นพนกั งานอัยการ และชั้นศาลแต่ละ ช้ันมีมาตรฐานการพิสูจน์ต่างกัน โดยในชั้นพนักงานสอบสวน เป็นการพิสูจน์ในระดับต่ําเพื่อรวบรวมพยาน หลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการกระทําความผิดเพ่ือทําสํานวนส่งอัยการ ชั้นส่ังฟูองของพนักงานอัยการซึ่งรับ สํานวนมาจากพนักงานสอบสวน กฎหมายมิได้กําหนดระดับการพิสูจน์ชัดเจน กําหนดแต่เพียงให้มีความเห็น วา่ ควรสงั่ ฟูองหรือไม่ ซ่ึงพนักงานอัยการจะพิจารณาว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอท่ีจะพิสูจน์ความผิดหรือไม่ มีเหตยุ กเวน้ โทษหรือยกเวน้ ความผดิ หรือไม่ แล้วส่งสาํ นวนฟอู งต่อศาล ส่วนในชัน้ วนิ จิ ฉยั โดยศาล ศาลจะต้อง พสิ ูจนจ์ นสิ้นสงสัยวา่ มีการกระทําความผดิ จริงและเป็นการกระทําของจําเลย มิฉะน้ันต้องยกฟูอง ดังนั้น ใน กระบวนพิจารณาคดีอาญาเรอ่ื งเดียวกนั จงึ มรี ะดบั การพสิ จู น์แต่ละชนั้ ที่แตกต่างกนั ตามอํานาจหนา้ ท่ี (2) ระดบั การพสิ ูจนว์ ่าพยานหลักฐานใดมีนํา้ หนักนา่ เชื่อถือกว่า เป็นระดับการพิสูจน์ ท่ีใช้ในคดีแพ่งโดยมีเกณฑ์พิจารณาว่า พยานหลักฐานของฝุายใดมีนํ้าหนักน่าเช่ือถือมากกว่ากัน โดยนําพยาน หลักฐานมาวิเคราะห์ถึงข้อเท็จจริงและเปรียบเทียบกับพยานหลักฐานอ่ืนว่า ข้อเท็จจริงท่ีมีพยานหลักฐาน ต่าง ๆ มาสนับสนุนนั้น มีความสอดคล้องด้วยกันหรือสอดคล้องกับเหตุการณ์ที่ควรจะเป็นเพียงใด โดยอาศัย ประสบการณ์และความรู้ในเร่ืองนั้น ๆ ประกอบการวินิจฉัยช่ังน้ําหนักความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานท่ี สามารถนาํ ไปสรุปข้อเทจ็ จริงได้ โดยทั่วไปการชง่ั นํ้าหนกั พยานหลกั ฐานไมม่ กี ฎเกณฑ์กําหนดตายตัว แต่จะเป็นการใช้ ดุลยพนิ จิ ประกอบกบั ความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ เพื่อประมวลหรือวิเคราะห์ว่าพยานหลักฐาน มีความน่าเช่ือถือมากน้อยเพียงใด สามารถใช้พิสูจน์ข้อเท็จจริงได้หรือไม่ โดยต้องเปรียบเทียบกับจิตสํานึก ของบุคคลทั่วไป ซ่ึงแม้แต่ศาลก็ชั่งน้ําหนักพยานหลักฐานโดยเลือกนําพยาน หลักฐานท่ีน่าเช่ือถือที่สุดมา วิเคราะห์ถึงข้อเท็จจริง และเปรียบเทียบว่าพยานหลักฐานใดมีความสอดคล้องกันบ้างหรือไม่ มากน้อย เพียงใด แนวทางการรวบรวมพยานหลกั ฐานประกอบสานวน หนา้ ๖

บทที่ ๓ แนวทางการรวบรวมพยานหลกั ฐาน ในการปฏิบัติหน้าท่ีของผู้ตรวจสอบ นอกจากจะต้องนําหลักการเกี่ยวกับพยานหลักฐาน ตา่ ง ๆ มาใช้ในการรวบรวมพยานหลักฐานประกอบสํานวนเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่แสดงถึงการปฏิบัติหรือไม่ ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบอย่างไรแล้ว ยังต้องคํานึงถึงหน้าท่ีและอํานาจในการตรวจสอบอีกด้วย ซ่ึงพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๖๑ กําหนดให้ผู้ว่าการฯ มีหน้าที่และอํานาจในการตรวจเงินแผ่นดินและแจ้งผลการตรวจสอบอันเป็นข้อบกพร่องพร้อมด้วย ข้อเสนอแนะเพ่ือให้หน่วยรับตรวจทราบและนําไปดําเนินการต่อไปตามหน้าท่ีที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกรณี การตรวจสอบการปฏิบตั ิตามกฎหมาย ระเบียบ ซ่ึงหากพบข้อบกพร่องเน่ืองจากการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบยี บ ข้อบังคบั มติคณะรัฐมนตรีหรอื แบบแผนการปฏิบัติราชการ จะแจ้งข้อบกพร่องพร้อมข้อเสนอแนะ ให้หนว่ ยรบั ตรวจแก้ไขและควบคมุ หรือกํากบั มิใหเ้ กดิ ข้อบกพร่อง หรอื หากมีความเสียหายแก่หน่วยงานด้วย ก็ให้ดําเนินการเพ่ือให้มีการชดใช้ค่าเสียหายหรือดําเนินการทางวินัยกับเจ้าหน้าท่ีผู้รับผิดชอบ หรือกรณีมี พยานหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่ามีพฤติการณ์เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ก็ให้แจ้งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ดําเนินการ ในสว่ นทเ่ี กี่ยวขอ้ ง กรณีท่ีสํานักงานฯ ตรวจพบข้อบกพร่องเน่ืองจากการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ มติ คณะรัฐมนตรีแต่ไม่เกิดความเสียหาย สํานักงานฯ จะจัดทําข้อเสนอแนะพร้อมส่งสําเนารายงานการตรวจสอบ เพื่อให้หน่วยรับตรวจดําเนินการแก้ไขข้อบกพร่องหรือควบคุมกํากับให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ที่ถือ ปฏิบัติ หากเป็นกรณตี รวจพบขอ้ บกพรอ่ งที่กอ่ ใหเ้ กิดความเสียหาย สํานักงานฯ จะจัดทําข้อเสนอแนะพร้อมส่ง สําเนารายงานการตรวจสอบเพอ่ื ใหห้ น่วยรับตรวจดาํ เนนิ การเรียกให้ชดใช้ค่าเสียหายตามพระราชบัญญัติความ รับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ และหรือดําเนินการทางวินัยกับเจ้าหน้าที่ผู้ต้องรับผิดชอบตาม กฎหมายหรือระเบียบท่ีเก่ียวข้องกับการดําเนินการทางวินัย เช่น ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ พลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ หรือกรณีตรวจพบว่ามีพยานหลักฐานอันควรเช่ือได้ว่ามีพฤติการณ์เป็นการทุจริตต่อ หน้าท่ี สํานักงานฯ จะต้องส่งสําเนารายงานการตรวจสอบเพื่อให้หน่วยรับตรวจดําเนินการเรียกให้ชดใช้ ค่าเสียหาย และหรือดําเนินการทางวินัย พร้อมกับส่งสําเนารายงานการตรวจสอบและพยานหลักฐานให้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดําเนินการอีกทางหน่ึงด้วย โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะนํารายงานการตรวจสอบของ สาํ นกั งานฯ ไปเปน็ ส่วนหน่ึงของรายงานการไต่สวน ดังน้นั รายงานการตรวจสอบของสํานักงานฯ ซึ่งประกอบด้วย ข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย พร้อมพยานหลักฐานต่าง ๆ จึงมีความสําคัญและมีความเชื่อมโยงกับการดําเนินการ ต่อไปของหนว่ ยรับตรวจ รวมถงึ หนว่ ยงานทีเ่ กยี่ วข้อง เช่น กรมบัญชีกลาง คณะกรรมการ ป.ป.ช. เปน็ ต้น ๓.๑ หนา้ ทแ่ี ละอานาจในการตรวจสอบและการแจง้ ผลการตรวจสอบของผู้วา่ การฯ สําหรับหน้าที่และอํานาจในการตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ มติ คณะรัฐมนตรี แบบแผนการปฏิบัติราชการและการตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการ คลังของรัฐ ไดก้ าํ หนดไว้ในพระราชบญั ญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนญู วา่ ด้วยการตรวจเงินแผน่ ดนิ พ.ศ. ๒๕๖๑ ดังน้ี มาตรา ๗ ภายใต้บังคบั วรรคสาม ในกรณีท่ีมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการใช้จ่ายเงินแผ่นดิน มีพฤติการณ์อันเป็นการทุจริตต่อหน้าท่ี จงใจปฏิบัติหน้าท่ีหรือใช้อํานาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมาย หรืออาจทําให้การเลอื กตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม และเป็นกรณีท่ีผู้ว่าการฯ ไม่มี อํานาจจะดําเนินการใดได้ ให้ผู้ว่าการฯ แจ้งคณะกรรมการ ป.ป.ช. คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ หนว่ ยงานอื่นทีเ่ กี่ยวขอ้ ง แลว้ แตก่ รณี เพื่อทราบและดําเนินการตามหน้าท่ีและอาํ นาจตอ่ ไป แนวทางการรวบรวมพยานหลกั ฐานประกอบสานวน หนา้ ๗

ในการดาํ เนินการของคณะกรรมการ ป.ป.ช. คณะกรรมการการเลอื กต้ัง หรือหน่วยงานอ่ืน ท่ีได้รับแจ้งตามวรรคหนึ่ง ให้ถือว่าเอกสารและหลักฐานที่ผู้ว่าการฯ ตรวจสอบหรือจัดทําขึ้นเป็นส่วนหน่ึง ของสํานวนการสอบสวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. คณะกรรมการการเลือกต้ัง หรือของหน่วยงานอื่นน้ัน แล้วแต่กรณี ในกรณีที่ผู้ว่าการฯ ตรวจสอบการใช้จ่ายเงินแผ่นดินแล้วมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า เจา้ หน้าทขี่ องสาํ นักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีพฤติการณ์อันเป็นการทุจริตต่อหน้าท่ี จงใจปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อานาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ให้ผู้ว่าการฯ แจ้งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทราบ และใหม้ ีอาํ นาจดาํ เนินการไต่สวนเบื้องตน้ ตามหลักเกณฑ์และวธิ กี ารที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กําหนด การไต่สวนเบื้องต้นดังกล่าวต้องไม่กระทบต่อการปฏิบัติหน้าท่ีของเจ้าหน้าที่ของสํานักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะพนักงานไต่สวนหรือเข้าตรวจสํานวนการไต่สวนของเจ้าหน้าที่ดังกล่าว เมื่อผลการไต่สวน เบ้ืองต้นปรากฏเป็นประการใด ให้ส่งสํานวนการไต่สวนเบื้องต้นให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เพ่ือพิจารณา ดาํ เนินการต่อไป ในกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เหน็ วา่ การดาํ เนินการของผู้ว่าการฯ จะกระทบต่อการปฏิบัติ หนา้ ที่ของเจ้าหน้าท่ีของสํานักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะแจ้งให้ผู้ว่าการฯ ยุติการดําเนินการและส่งเร่ือง ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อดําเนนิ การต่อไป มาตรา ๘๕ ในกรณีท่ีผลการตรวจสอบปรากฏว่ามีข้อบกพร่องเนื่องจากเจ้าหน้าท่ีของ หน่วยรับตรวจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี หรือแบบแผนการปฏิบัติ ราชการ ให้ผู้ว่าการฯ มีหนังสือแจ้งข้อบกพร่องพร้อมท้ังข้อเสนอแนะให้ผู้รับตรวจทราบเพื่อดําเนินการ แก้ไขและควบคุมหรือกํากับมิให้เกิดข้อบกพร่องขึ้นอีก แต่ผู้ว่าการฯ ต้องรับฟังคําชี้แจงและเหตุผลหรือ ความจําเป็นของหนว่ ยรบั ตรวจประกอบดว้ ย ในกรณีตามวรรคหน่ึง ถ้าก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐหรือหน่วยรับตรวจท่ีไม่เก่ียวกับ กฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ ให้ผู้ว่าการฯ แจ้งให้ผู้รับตรวจพิจารณาดําเนินการเพ่ือให้มีการ ชดใช้ค่าเสียหายแก่รัฐหรือหน่วยรับตรวจหรือดําเนินการทางวินัย แล้วแต่กรณี และเม่ือผู้รับตรวจดําเนินการ เปน็ ประการใดแล้วใหแ้ จ้งให้ผ้วู า่ การฯ ทราบ ในกรณีที่ผลการตรวจสอบประกอบกับคําชี้แจงของหน่วยรับตรวจปรากฏว่า กฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี หรือแบบแผนการปฏิบัติราชการใดไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ หรือการปฏิบัติตามจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อราชการหรือประชาชน ให้เป็นหน้าที่ของผู้ว่าการฯ ท่ีจะเสนอแนะต่อหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องเพ่ือปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี หรือแบบแผนการปฏิบัติราชการให้เหมาะสมต่อไป ในกรณีเช่นนั้น การดําเนินการของหน่วยรับตรวจ ทบ่ี กพร่องใหเ้ ปน็ อนั พับไป เวน้ แต่เปน็ กรณที จุ รติ มาตรา ๙๕ ในการตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลัง ของรัฐหากข้อบกพร่องที่ตรวจพบไม่มีลักษณะเป็นการทุจริต และไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรอื หนว่ ยรับตรวจ ผูว้ ่าการฯ จะแจง้ ให้ผู้รบั ตรวจทราบเพอื่ กํากบั ดแู ลมใิ ห้เกิดขอ้ บกพร่องอกี ก็ได้ ในกรณีท่ีข้อบกพร่องท่ีตรวจพบมีลักษณะเป็นการทุจริต ให้ผู้ว่าการฯ ส่งเรื่องให้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดาเนินการตามหน้าท่ีและอานาจต่อไป และให้นําความในมาตรา ๘๘ วรรคสอง มาใช้ บังคบั ดว้ ยโดยอนุโลม ในกรณีทีข่ อ้ บกพร่องที่ตรวจพบมีลักษณะก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐหรือหน่วยรับตรวจ หรือมีลักษณะเป็นการจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ ให้ผู้ว่าการฯ แนวทางการรวบรวมพยานหลกั ฐานประกอบสานวน หนา้ ๘

แจ้งให้ผู้รับตรวจพิจารณาดําเนินการเพื่อให้มีการชดใช้ค่าเสียหายต่อรัฐหรือหน่วยรับตรวจต่อไป หรือ ดาํ เนนิ การทางวินัยแล้วแตก่ รณี และเมื่อผ้รู ับตรวจดําเนินการแล้วใหแ้ จ้งให้ผู้ว่าการฯ ทราบ ในกรณีท่ีผู้รับตรวจไม่ดําเนินการตามที่ได้รับแจ้งตามวรรคสามภายในเวลาอันสมควร ผวู้ ่าการฯ จะแจง้ ใหด้ ําเนินการภายในระยะเวลาที่กําหนดกไ็ ด้ มาตรา ๙๖ ผู้รับตรวจผู้ใดไม่ดําเนินการภายในเวลาท่ีผู้ว่าการฯ กําหนดตามมาตรา ๘๕ วรรคสอง หรือมาตรา ๙๕ วรรคส่ี โดยไม่มีเหตุอันสมควร ผู้ว่าการฯ จะเสนอต่อคณะกรรมการให้ลงโทษ ทางปกครองแกผ่ ้รู บั ตรวจผู้นนั้ ก็ได้ ในการเสนอเพื่อให้ลงโทษตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้ว่าการฯ สรุปข้อเท็จจริง และพฤติการณ์ที่ เป็นเหตุอนั ควรลงโทษทางปกครอง พรอ้ มทัง้ ขอ้ เสนอแนะเกยี่ วกบั โทษทสี่ มควรลงด้วย จากบทบัญญัติข้างต้น กล่าวได้ว่า เม่ือผู้ว่าการฯ ตรวจสอบการใช้จ่ายเงินของหน่วย รับตรวจตามหน้าท่ีและอํานาจแล้วพบข้อบกพร่องเน่ืองจากเจ้าหน้าที่ของหน่วยรับตรวจไม่ปฏิบัติตาม กฎหมาย ระเบียบ ซึ่งรวมถึงกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ จะสามารถแจ้งข้อบกพร่อง พรอ้ มข้อเสนอแนะให้หน่วยงานท่ีเกีย่ วข้องดาํ เนินการไดใ้ น ๓ ลกั ษณะ คอื (๑) กรณีพบข้อบกพร่องเน่ืองจากการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติ คณะรัฐมนตรี ซ่ึงรวมถึงการตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ แล้วพบ ข้อบกพร่องท่ีไม่มีลักษณะของการทุจริต ให้แจ้งข้อบกพร่องพร้อมข้อเสนอแนะให้หน่วยรับตรวจแก้ไขและ หรอื ควบคุมหรอื กากบั มใิ หเ้ กิดข้อบกพร่องอกี (๒) กรณีพบข้อบกพร่องเนื่องจากการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติ คณะรัฐมนตรี แต่ไม่เกี่ยวกับกฎหมายวินัยการเงินการคลังของรัฐแล้วเกิดความเสียหาย หรือเป็นการ ตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐแล้วพบข้อบกพร่อง ท่ีมีลักษณะ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐหรือจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ ให้แจ้ง ข้อบกพร่องพร้อมข้อเสนอแนะ ให้หน่วยรับตรวจดาเนินการเรียกให้ชดใช้ค่าเสียหายหรือดาเนินการทาง วินยั แลว้ แต่กรณี (๓) กรณีมีหลักฐานอันควรเช่ือได้ว่าการใช้จ่ายเงินแผ่นดินมีพฤติการณ์อันเป็นการทุจริต ต่อหน้าที่ จงใจปฏิบัตหิ นา้ ท่ีหรอื ใชอ้ าํ นาจขัดต่อบทบัญญตั แิ ห่งรัฐธรรมนญู หรือกฎหมาย หรืออาจทําให้การ เลือกต้ังมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม และผู้ว่าการฯ ไม่มีอํานาจดําเนินการใดได้ รวมถึงกรณีการ ตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ แล้วพบข้อบกพร่องที่มีลักษณะเป็น การทุจรติ ให้ส่งเร่ืองให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดาเนินการตามหน้าท่ีและอานาจต่อไป ๓.๒ การปฏิบตั ิหน้าทข่ี องหนว่ ยงานทีเ่ กย่ี วข้องในการดาเนินการตามข้อเสนอแนะของ สานักงานฯ กรณีผู้ว่าการฯ ตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี ตามประเด็นการตรวจสอบ มีการรวบรวมพยานหลักฐานแล้วพบข้อบกพร่องซ่ึงมีลักษณะท่ีก่อให้เกิด ความเสียหาย ต้องแจ้งหน่วยรับตรวจโดยส่งรายงานการตรวจสอบให้หน่วยรับตรวจดําเนินการให้มีการ ชดใช้ค่าเสียหายหรือดําเนินการทางวินัย หรือกรณีเป็นข้อบกพร่องที่มีหลักฐานอันควรเช่ือได้ว่าการใช้ จ่ายเงินแผ่นดินมีพฤติการณ์อันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ จงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อํานาจขัดต่อบทบัญญัติ แหง่ รฐั ธรรมนูญหรอื กฎหมาย ใหส้ ง่ เร่ืองให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดําเนินการตามหนา้ ท่แี ละอาํ นาจ น้นั เม่อื หนว่ ยรบั ตรวจทราบจากผลการตรวจสอบของสํานักงานฯ ว่ามีเจ้าหน้าท่ีไม่ปฏิบัติตาม กฎหมาย ระเบียบ แล้วก่อให้เกิดความเสียหาย หน่วยรับตรวจจะต้องดําเนินการเรียกให้ผู้ต้องรับผิดชอบ แนวทางการรวบรวมพยานหลักฐานประกอบสานวน หนา้ ๙

ชดใช้ค่าเสยี หายตามพระราชบญั ญตั ิความรบั ผิดทางละเมดิ ของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งหากเป็นความผิด ทางวินัยด้วยก็ต้องดําเนินการทางวินัยตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ หรือ ดําเนินการตามกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวกับการดําเนินการทางวินัยที่หน่วยงานนั้นถือปฏิบัติอีกทางหน่ึง หากผู้รับตรวจไม่ดําเนินการเพ่ือให้มีการชดใช้ค่าเสียหายหรือดําเนินการทางวินัยภายในเวลาท่ีผู้ว่าการ ฯ กําหนดและเป็นกรณีที่เกิดความเสียหายซ่ึงไม่เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ รวมถึง กรณีท่ีมีข้อบกพร่องและก่อให้เกิดความเสียหาย หรือมีการจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงิน การคลังของรัฐ และผู้ว่าการฯ แจ้งให้ผู้รับตรวจพิจารณาดําเนินการเพื่อให้มีการชดใช้ค่าเสียหายหรือ ดําเนินการทางวินัยภายในเวลาอันควรแล้ว แต่ผู้รับตรวจไม่ดําเนินการภายในเวลาโดยไม่มีเหตุอันสมควร ผู้ว่าการฯ จะเสนอคณะกรรมการการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ลงโทษทางปกครองแก่ผู้รับตรวจผู้นั้นก็ได้ กระบวนการตรวจสอบของสํานักงานฯ จึงมีความเช่ือมโยงกับการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานอื่น ปรากฏ ตามแผนภาพท่ี ๑ กระบวนการตรวจสอบ - กาหนดประเด็นการตรวจสอบ - รวบรวมพยานหลักฐาน - จดั ทารายงานการตรวจสอบ กรณีพบข้อบกพร่องแต่ไม่เกิด กรณพี บขอ้ บกพร่องและเกดิ ความ กรณพี บพฤตกิ ารณท์ จุ รติ ความเสยี หายแก่หนว่ ยงาน เสยี หายแกห่ น่วยงาน แจ้งคณะกรรมการ ป.ป.ช. แจ้งผู้รบั ตรวจ* แกไ้ ข ควบคมุ (หรือจงใจไมป่ ฏบิ ตั ติ ามกฎหมายวา่ ดว้ ย ดําเนินการตามหนา้ ทีแ่ ละอาํ นาจ กาํ กับ มใิ ห้เกดิ ข้อบกพร่องอีก วนิ ัยการเงินการคลังของรัฐ) แจง้ ผูร้ ับตรวจให้ดําเนนิ การ แจ้งผูร้ บั ตรวจ เรยี กใหช้ ดใชค้ ่าเสยี หาย ให้ดําเนินการทางวินัย ผู้รบั ตรวจดาํ เนนิ การตาม พรบ. ความรับผดิ ผรู้ บั ตรวจดาํ เนนิ การตามกฎหมาย หรอื ระเบยี บ ทางละเมดิ ของเจา้ หนา้ ท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ เก่ยี วกับการดาํ เนนิ การทางวินยั ทห่ี นว่ ยงานถอื ปฏบิ ตั ิ ผูร้ ับตรวจไม่เรียกให้ชดใชค้ า่ เสยี หาย/ไม่ดาํ เนินการทางวนิ ยั ภายในเวลาท่ี ผู้วา่ การฯ กําหนดตาม ม.๘๕ ว.๒ หรือ ม.๙๕ ว.๔ โดยไมม่ เี หตุอันสมควร ผวู้ ่าการฯ อาจเสนอ คตง. ใหล้ งโทษทางปกครองแกผ่ ู้รับตรวจ * ผรู้ บั ตรวจ หมายถึง หวั หนา้ สว่ นราชการหรอื หัวหน้าหนว่ ยงานผรู้ ับผิดชอบในการปฏิบตั ริ าชการหรอื การบริหารของหน่วยรบั ตรวจ แผนภาพท่ี 1 กระบวนการตรวจสอบของสานักงานฯ ท่ีเช่ือมโยงกับการดาเนินการของหน่วยงานอ่ืน แนวทางการรวบรวมพยานหลกั ฐานประกอบสานวน หนา้ ๑๐

ในการดาํ เนินการของหน่วยงานที่เกย่ี วข้องจะดําเนินการตามกฎหมาย ระเบียบต่าง ๆ ดังน้ี ๓.๒.๑ การดาเนินการของคณะกรรมการ ป.ป.ช. คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหน้าท่ีและ อํานาจตามท่ีกําหนดในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการปูองกันและปราบปรามการทุจริต แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๑ ท่ีกําหนดว่า มาตรา ๒๘ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มหี น้าที่และอาํ นาจ ดงั ต่อไปนี้ (๑) ไต่สวนและมีความเห็นกรณีมีการกล่าวหาผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองตุลาการศาล รัฐธรรมนูญหรือผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ ผู้ใดมีพฤติการณ์รํ่ารวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจ ปฏิบัติหน้าท่ีหรือใช้อํานาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝุาฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม มาตรฐานทางจรยิ ธรรมอยา่ งร้ายแรง (๒) ไตส่ วนและวินิจฉยั ว่าเจา้ หน้าท่ขี องรฐั ร่ํารวยผิดปกติ กระทาความผิดฐานทุจริตต่อ หนา้ ท่หี รอื กระทาความผิดต่อตาแหน่งหน้าท่รี าชการ หรือความผิดต่อตําแหน่งหน้าทใี่ นการยุติธรรม มาตรา ๔๘ เม่ือความปรากฏต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ว่าจะมีการกล่าวหาหรือไม่ว่ามี การกระทาํ ความผดิ ทีอ่ ยู่ในหน้าทีแ่ ละอํานาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดําเนินการ ตามหน้าท่ีและอํานาจโดยพลัน โดยในกรณีท่ีจําเป็นต้องมีการไต่สวน ต้องไต่สวนและมีความเห็นหรือ วินิจฉัย ให้แล้วเสร็จภายในกําหนดเวลาท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ช. กําหนด ซ่ึงต้องไม่เกินสองปีนับแต่วันเริ่ม ดําเนินการไตส่ วน... ในกรณที ่ีคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไดร้ บั แจง้ จากผวู้ า่ การฯ ว่ามีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการ ใชจ้ ่ายเงนิ แผ่นดนิ มพี ฤติการณ์อันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ จงใจปฏิบัติหน้าท่ีหรือใช้อํานาจขัดต่อบทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย และเป็นกรณีท่ีผู้ว่าการฯ ไม่มีอํานาจจะดําเนินการใดได้ ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดําเนินการไต่สวนโดยพลัน โดยให้ถือว่าเอกสารและหลักฐานท่ีผู้ว่าการฯ ตรวจสอบหรือจัดทําขึ้น เป็นสว่ นหน่ึงของสาํ นวนการไตส่ วนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ... มาตรา ๖๐ คํากล่าวหาว่ามีการกระทําความผิดท่ีอยู่ในหน้าท่ีและอํานาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามพระราชบญั ญัติประกอบรฐั ธรรมนูญนี้ อย่างนอ้ ยต้องมรี ายละเอียด ดังต่อไปนี้ (๑) ชอ่ื และท่อี ยู่ของผู้กล่าวหา (๒) ชอ่ื หรือตําแหนง่ ของผถู้ ูกร้อง (๓) ข้อกล่าวหาและพฤติการณแ์ หง่ การกระทาผิดตามข้อกล่าวหา พร้อมพยานหลักฐาน หรอื อา้ งพยานหลักฐาน… มาตรา ๙๑ เมอื่ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนแลว้ มีมติวินิจฉัยว่าเจ้าหน้าท่ีของรัฐกระทา ความผิดฐานทุจริตต่อหน้าท่ี หรือกระทาความผิดต่อตาแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตําแหน่ง หนา้ ทใี่ นการยตุ ิธรรม หรือความผิดท่เี ก่ียวข้องกนั ใหด้ ําเนนิ การดังตอ่ ไปนี้ (๑) ถ้ามีมูลความผิดทางอาญา ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ส่งรายงาน สานวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สาเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคาวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุดภายในสามสิบวัน เพ่ือให้อัยการ สูงสุดย่นื ฟ้องคดีตอ่ ไป (๒) ถ้ามีมูลความผิดทางวินัย ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ส่งรายงาน สานวนการไต่สวน เอกสาร หลกั ฐาน และคาํ วนิ จิ ฉยั ไปยงั ผบู้ ังคบั บญั ชาหรอื ผ้มู อี าํ นาจแต่งต้งั ถอดถอนภายในสามสิบวันเพื่อให้ ดาเนินการทางวินยั ต่อไป จากหนา้ ทแ่ี ละอาํ นาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ข้างต้น กล่าวได้ว่า เม่ือมีการกล่าวหาว่า มีการกระทําความผดิ ทอ่ี ย่ใู นหนา้ ทีแ่ ละอาํ นาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. แนวทางการรวบรวมพยานหลักฐานประกอบสานวน หนา้ ๑๑

ได้รับแจ้งจากผู้ว่าการฯ ว่ามีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการใช้จ่ายเงินแผ่นดินมีพฤติการณ์อันเป็นการทุจริต ต่อหน้าที่ จงใจปฏิบัติหน้าท่ีหรือใช้อํานาจขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย และเป็นกรณีท่ีผู้ว่าการฯ ไม่มี อํานาจจะดําเนินการใดได้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะดําเนินการตามหน้าท่ีและอํานาจ ด้วยการไต่สวน และวินจิ ฉยั วา่ เจ้าหน้าที่ของรัฐทําความผิดฐานทุจริตต่อหน้าท่ีหรือต่อตําแหน่งหน้าท่ีราชการหรือไม่ หากมี มลู ตามท่ีกล่าวหาหรือที่ตามได้รับแจ้งจากสํานักงานฯ ก็จะส่งให้อัยการสูงสุดฟูองคดีต่อศาลต่อไป โดยศาล จะเป็นผูต้ ดั สนิ ชี้ขาดลําดับสดุ ทา้ ย ประเดน็ พิจารณา คอื สํานกั งานการตรวจเงินแผ่นดนิ และคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหน้าท่ี และอาํ นาจตรวจสอบเก่ียวกับประเดน็ การทจุ รติ เพียงใด กรณีน้ี พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๙๕ วรรคสอง กาํ หนดกรณีพบข้อบกพร่องท่มี ลี กั ษณะเปน็ การทจุ ริต ให้ผู้ว่าการฯ แจ้งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ดําเนินการตามหน้าที่และอํานาจ และมาตรา ๗ กําหนดกรณีท่ีมีหลักฐานอันควรเช่ือได้ว่าการใช้ จ่ายเงินแผ่นดินมีพฤติการณ์อันเป็นการทุจริตต่อหน้าท่ีจงใจปฏิบัติหน้าท่ีหรือใช้อํานาจขัดต่อบทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรืออาจทําให้การเลือกต้ังมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเท่ียงธรรม และเป็นกรณีที่ ผู้ว่าการฯ ไม่มีอํานาจจะดําเนินการใดได้ ให้ผู้ว่าการฯ แจ้งคณะกรรมการ ป.ป.ช. คณะกรรมการการเลือกต้ัง หรือหน่วยงานอ่ืนทีเ่ ก่ียวข้องแล้วแตก่ รณี เพ่อื ทราบและดําเนินการตามหน้าที่และอํานาจต่อไป ในขณะที่ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการปูองกันและปราบปรามการทุจริต แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๒๘ กําหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหน้าท่ีและอํานาจไต่สวนและวินิจฉัยว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทําความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทําความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการ ประกอบ กับมาตรา ๙๑ กําหนดวา่ เมอ่ื คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไตส่ วนแล้วมีมติวินิจฉัยว่าเจ้าหน้าท่ีของรัฐกระทําความผิด ฐานทุจริตต่อหน้าที่ ซึ่งถ้ามีมูลความผิดทางอาญา ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ส่งรายงาน สํานวนการไต่สวน เอกสารหลกั ฐาน สาํ เนาอิเลก็ ทรอนิกส์ และคาํ วินจิ ฉัยไปยังอยั การสงู สุดเพื่อให้อัยการสูงสุดยื่นฟูองคดี สํานักงานฯ จึงมีหน้าท่ีเพียงแจ้งคณะกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อตรวจพบหลักฐานข้อบกพร่องที่ มีลักษณะเป็นการทุจริตหรือมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่ามีพฤติการณ์อันเป็นการทุจริตต่อหน้าท่ี เพ่ือให้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนและวินิจฉัย โดยอาจนํารายงานการตรวจสอบของสํานักงานฯ ไปเป็นส่วนหนึ่ง ของสํานวนการไต่สวน การวินิจฉัยความผิด และส่งให้อัยการสูงสุดฟูองคดีต่อศาลต่อไปหากมีมูลความผิด อาญา ปรากฏภาพความเช่ือมโยงระหว่างการตรวจสอบของสํานักงานฯ กับคณะกรรมการ ป.ป.ช. และ หน่วยงานอน่ื ปรากฏ ตามแผนภาพที่ ๒ สตง. ตรวจพบลกั ษณะเปน็ คณะกรรมการ ป.ป.ช. กรณีไมท่ จุ ริต ศาลพิจารณา การทจุ รติ หรือพบพฤตกิ ารณ์ ไต่สวนและวินจิ ฉยั ว่า ยตุ ิเรื่อง พิพากษา อันมลี กั ษณะของการทจุ รติ เจ้าหนา้ ทข่ี องรัฐทจุ ริต ต่อหนา้ ทหี่ รอื ไม่ฯ กรณที ุจรติ ทจุ ริต สง่ อัยการสงู สดุ ส่งรายงานการตรวจสอบ ฟอู งคดี พร้อมพยานหลักฐาน แผนภาพที่ ๒ ความเชอื่ มโยงกับหน่วยงานอ่ืนทีเ่ กี่ยวขอ้ ง กรณสี านักงานฯ ตรวจพบพฤตกิ ารณอ์ นั มลี กั ษณะของการทุจริต แนวทางการรวบรวมพยานหลักฐานประกอบสานวน หนา้ ๑๒

๓.๒.๒ การดาเนินการของหน่วยรับตรวจเพ่ือให้มีการเรียกให้ชดใช้ค่าเสียหาย ตามขอ้ เสนอแนะของสานักงานฯ กรณแี จง้ ให้หนว่ ยรับตรวจดาํ เนนิ การเพื่อให้มีการชดใช้คา่ เสยี หาย หมายถึง กรณีที่หน่วยรับตรวจ ต้องดําเนินการเรียกให้ผู้ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายแก่รัฐหรือหน่วยรับตรวจ ตามพระราชบัญญัติ ความรับผดิ ทางละเมดิ ของเจ้าหนา้ ที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ซ่ึงเป็นกฎหมายท่ีใช้บังคับกับหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และหนว่ ยงานอ่นื ซ่ึงมีพระราชกฤษฎีกากาํ หนดใหเ้ ป็นหน่วยงานของรฐั การที่เจ้าหน้าท่ีของรัฐต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในทางละเมิดน้ัน เกิดได้ทั้งกรณีท่ี เจ้าหน้าท่ีทําละเมิดต่อหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ทําละเมิดต่อบุคคลภายนอก แต่จะสอดคล้องกับหน้าที่และ อํานาจตรวจสอบของสํานักงานฯ เฉพาะกรณีตรวจพบว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหน้าท่ีไม่เป็นไปตาม กฎหมาย ระเบียบฯ แล้วเกิดความเสียหายต่อหน่วยงานโดยตรง สํานักงานฯ จึงเสนอความเห็นให้หน่วยรับตรวจ ดําเนินการเพ่ือให้มีการชดใช้ค่าเสียหายได้ ซึ่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ กําหนดไว้ดงั น้ี มาตรา ๖ ถ้าการกระทําละเมิดของเจ้าหน้าที่มิใช่การกระทําในการปฏิบัติหน้าที่ เจ้าหน้าที่ ตอ้ งรบั ผิดในการน้ันเปน็ การเฉพาะตัว ในกรณีนี้ผูเ้ สียหายอาจฟูองเจ้าหนา้ ท่ไี ด้โดยตรง แต่จะฟูองหน่วยงาน ของรฐั ไม่ได้ มาตรา 8 ในกรณีท่ีหน่วยงานของรัฐต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายเพื่อการ ละเมดิ ของเจ้าหนา้ ทีใ่ หห้ นว่ ยงานของรฐั มีสิทธิเรียกให้เจ้าหน้าที่ผู้ทําละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวแก่ หน่วยงานของรัฐได้ถ้าเจ้าหน้าท่ีได้กระทําการนั้นไปดว้ ยความจงใจหรือประมาทเลนิ เล่ออย่างร้ายแรง สิทธิเรียกให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามวรรคหนึ่ง จะมีได้เพียงใดให้คํานึงถึงระดับความ ร้ายแรงแห่งการกระทําและความเป็นธรรมในแต่ละกรณีเป็นเกณฑ์ โดยมิต้องให้ใช้เต็มจํานวนของความ เสียหายก็ได้ ถ้าการละเมิดเกิดจากความผิดหรือความบกพร่องของหน่วยงานของรัฐหรือระบบการ ดาํ เนินงานส่วนรวม ใหห้ ักส่วนแหง่ ความรบั ผดิ ดงั กลา่ วออกด้วย... มาตรา ๑๐ ในกรณีท่ีเจ้าหน้าท่ีเป็นผู้กระทําละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐไม่ว่าจะเป็น หน่วยงานของรัฐที่ผู้น้ันอยู่ในสังกัดหรือไม่ ถ้าเป็นการกระทําในการปฏิบัติหน้าที่การเรียกร้องค่าสินไหม ทดแทนจากเจ้าหน้าท่ีให้นําบทบัญญัติมาตรา ๘ มาใช้บังคับโดยอนุโลม แต่ถ้ามิใช่การกระทําในการ ปฏิบัติหน้าท่ีให้บงั คบั ตามบทบญั ญัตแิ ห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย.์ .. ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเก่ียวกับความรับผิดทางละเมิด ของเจ้าหน้าท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ กําหนดเพียงว่าหากเกิดความเสียหายกับหน่วยงานให้มีการรายงานความเสียหาย ไปยงั ผบู้ งั คับบัญชา เพอื่ ดาํ เนนิ การตามข้ันตอนโดยสรปุ ดงั น้ี - กรณีมีเหตุควรเชื่อว่าความเสียหายเกิดจากการกระทําของเจ้าหน้าที่ หน่วยงานจะแต่งต้ัง คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดเพื่อให้ความเห็นเก่ียวกับผู้ต้องรับผิด และจํานวน ค่าสินไหมทดแทนทตี่ ้องชดใช้ - คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด มีหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยจะตอ้ งตรวจสอบรวบรวมพยานหลักฐานทีเ่ กีย่ วขอ้ ง รับฟังพยานบุคคลหรือพยานผู้เชยี่ วชาญ ตรวจสอบ เอกสาร วตั ถุหรอื สถานที่ แลว้ พจิ ารณาว่าความเสียหายเกิดจากการปฏิบัติหน้าท่ีหรือไม่ จงใจหรือประมาท เลินเลอ่ หรือไม่ แนวทางการรวบรวมพยานหลกั ฐานประกอบสานวน หนา้ ๑๓

- คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดเสนอความเห็นต่อผู้มีอํานาจแต่งต้ัง วา่ มใี ครเป็นผตู้ อ้ งรบั ผดิ ชอบชดใช้ค่าเสียหาย และจํานวนเทา่ ใด - หน่วยงานจะพิจารณาสํานวนการสอบสวนของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทาง ละเมิดโดยละเอียดทั้งข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย ตลอดจนพยานหลักฐานท่ีสนับสนุนและเป็นผู้วินิจฉัยว่า มีผ้รู ับผดิ ชอบชดใช้คา่ เสยี หายหรอื ไม่ เป็นจาํ นวนเทา่ ใด สําหรับความเชื่อมโยงระหว่างการตรวจสอบของสํานักงานฯ กับหน่วยงานต่าง ๆ กรณีตรวจ พบวา่ มคี วามเสียหายเกิดแก่หนว่ ยงาน ปรากฏตามแผนภาพที่ ๓ สตง. ตรวจพบและ หนว่ ยงานแต่งตั้ง คณะกรรมการสอบ หนว่ ยงานสง่ั ใหผ้ ู้ รายงานกรมบญั ชกี ลาง แจง้ ว่ามคี วามเสียหาย คณะกรรมการ ข้อเทจ็ จริงความรับผิดทาง ต้องรับผดิ ชดใช้ ตามหลักเกณฑท์ ี่ เกิดขน้ึ แกห่ นว่ ยงาน สอบข้อเทจ็ จรงิ ละเมดิ สอบขอ้ เท็จจรงิ ความรับผิดทาง รวบรวมพยานหลกั ฐาน และ คา่ เสยี หายตาม กระทรวงการคลงั กาหนด ส่งรายงานการตรวจสอบ เสนอความเหน็ เกี่ยวกับผู้ตอ้ ง ละเมดิ รบั ผิด และจํานวนความ ความเสียหายท่ี ต้องรับผดิ เสียหาย แผนภาพที่ ๓ ความเชื่อมโยงของการตรวจสอบของสานักงานฯ กบั หนว่ ยรบั ตรวจและหนว่ ยงานอ่นื กรณีสานักงานฯ ตรวจพบว่ามีการปฏิบัติหน้าท่ีไม่เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบแล้วเกิดความเสียหายแก่รัฐหรือหนว่ ยรบั ตรวจ กรณีหน่วยงานพบว่ามคี วามเสียหายเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ หน่วยงานจะต้อง ดําเนนิ การเพื่อให้มีการชดใช้คา่ เสียหายตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ โดยจะต้องพิจารณาว่า การกระทําน้ันเป็นการกระทําของเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่โดยจงใจหรือ ประมาทเลนิ เล่ออย่างรา้ ยแรง เป็นเหตใุ หเ้ กิดความเสยี หายแกห่ นว่ ยงานหรอื ไม่ ซง่ึ มขี ้อพิจารณา ดงั นี้ (๑) เป็นเจ้าหน้าทีป่ ฏิบตั หิ น้าทีห่ รอื ไม่ โดยจะพิจารณาจากหนา้ ท่ีตามทีก่ ฎหมาย ระเบียบ กาํ หนด หรือหน้าท่จี ากคําส่ังแต่งตั้งหรอื ท่ีไดร้ ับมอบหมาย (๒) เป็นการปฏบิ ตั ิหน้าที่โดย “จงใจ” หรอื ประมาทเลินเล่ออยา่ งรา้ ยแรงหรอื ไม่ การกระทําโดยจงใจ คอื การกระทําโดยรู้สํานึกถึงการกระทําว่าจะก่อให้เกิดความเสียหาย แก่บุคคลอื่นโดยไม่ได้เจาะจงให้เกิดผลเสียอย่างใดอย่างหนึ่งข้ึน และไม่ว่าความเสียหายจะมีมากน้อย เพียงใด ซึ่งมีคําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยเป็นกรณีตัวอย่างว่า การที่ผู้อํานวยการโรงเรียนซึ่งมี อํานาจดําเนินการให้เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. 2527 ต้องใช้ดุลพินิจให้ ข้าราชการทม่ี สี ทิ ธเิ บกิ คา่ เชา่ บา้ นใหเ้ ขา้ พกั อาศัยในบา้ นพักท่ีวา่ งอยู่ก่อน แต่กลับมีคําสั่งอนุมัติให้ข้าราชการ คนหนง่ึ ใช้สิทธเิ บิกค่าเช่าบา้ นข้าราชการ ท้งั ๆ ทรี่ อู้ ยแู่ ล้ววา่ มีบา้ นพกั ครวู ่างอยแู่ ละมีสภาพสมบูรณ์เหมาะท่ี จะให้เขา้ พักอาศัยได้ นอกจากนั้น ยังรู้อยู่แล้วว่าการอนุมัติต้ังแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2539 ถึงเดือนกันยายน 2541 เปน็ การอนุมัติท่ีผิดระเบียบ พฤติการณ์ดังกล่าวจึงเป็นการจงใจกระทําผิดต่อกฎหมายหรือระเบียบ ราชการและเกิดความเสยี หาย 1 อย่างไรเป็น “ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง” ศาลปกครองสูงสุด ให้ความหมายว่า หมายถึงการกระทําโดยมิได้เจตนา แต่เป็นการกระทําซ่ึงบุคคลพึงคาดหมายได้ว่าอาจก่อให้เกิดความ เสียหายข้นึ และหากใชค้ วามระมัดระวังแมเ้ พียงเล็กน้อยก็อาจปูองกันมิให้เกิดความเสียหายได้ แต่กลับมิได้ ใช้ความระมัดระวงั เชน่ ว่านน้ั เลย 2 ๑ คาพพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ. ๓๗/๒๕๕๒ หนา้ ๑๔ ๒ คาพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ. ๑๐/๒๕๕๒ แนวทางการรวบรวมพยานหลกั ฐานประกอบสานวน

กรณตี วั อย่างทศ่ี าลปกครองพิจารณาวา่ เป็น “ประมาทเลินเล่ออยา่ งร้ายแรง” เช่น - การที่ผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีหน้าท่ีควบคุมการปฏิบัติงานด้านการจัดเก็บภาษีอากรและเงิน ผลประโยชน์ของรัฐไม่จัดทําสมุดทะเบียนคุมเช็คตามระเบียบของทางราชการ เป็นการเปิดโอกาสให้ ผู้ใต้บงั คบั บญั ชาทจุ รติ ยกั ยอกเงิน ถือเปน็ การปฏบิ ตั ิหน้าทด่ี ว้ ยความประมาทเลนิ เล่ออย่างร้ายแรง 3 - ผู้บังคับบัญชาลงลายมือช่ือในใบเสร็จรับเงินค่าธรรมเนียมไว้ล่วงหน้าและไม่ทําลาย ใบเสร็จดังกล่าวกอ่ นที่จะย้ายไปดาํ รงตาํ แหนง่ อนื่ จนทาํ ใหผ้ ู้ใตบ้ ังคับบัญชานําใบเสร็จรับเงินไปเรียกเก็บเงิน เพ่ือประโยชนส์ ่วนตน ถอื ได้ว่าเป็นการกระทําโดยประมาทเลินเลอ่ อยา่ งร้ายแรง 4 (๓) เกิด “ความเสยี หาย” หรือไม่ ซึ่งความเสียหาย หมายถึง ความเสียหายท่ีเกิดจากการ ที่เจ้าหน้าท่ีผู้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ จงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงในการไม่ ปฏิบตั ิตามกฎหมาย ระเบียบแล้วทาให้เกิดความเสียหายแก่รัฐหรือหน่วยรับตรวจ โดยเป็นความเสียหายท่ี คานวณเป็นตัวเงินได้แน่นอน ไม่ว่าจะเกิดข้ึนในปัจจุบันหรือจะเกิดในอนาคตก็ตาม และความเสียหาย น้ันเปน็ ผลโดยตรงจากการกระทาละเมิดของเจ้าหน้าท่ีผนู้ น้ั สว่ นคา่ เสียหายที่เป็นเพียงการคาดหมายและ ไม่อาจพิสูจนค์ ่าเสยี หายท่ีเกดิ ข้นึ ไดแ้ นน่ อนนั้น ศาลจะไม่กาหนดให้ อย่างไรเป็นการ “จงใจ” หรือ “ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง” และเป็น “ความเสียหาย” ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ มีแนวคําวินิจฉัยของคณะกรรมการ พิจารณาความรับผิดทางแพ่ง แนวคําวินิจฉัยของกระทรวงการคลังและคําพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ซง่ึ อาจจะเป็นประโยชนต์ ่อการปฏิบัตงิ านของสํานักงานฯ ดงั น้ี แนวคาวนิ ิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาความรบั ผดิ ทางแพ่ง การเบกิ จา่ ยเงินท่ีมิใช่เพ่ือการปฏิบัติหน้าท่ีตามท่ีกฎหมายกาหนด หากมีความเสียหาย ต้องรับผิด - กรณีสํานักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบงบการเงินของเทศบาล พบว่า มีการเบิก จ่ายเงินเพ่ือจัดซ้ือเครื่องรับ ส่งวิทยุชุมชนพร้อมติดต้ัง เพ่ือใช้จัดต้ังสถานีวิทยุชุมชน จานวน ๓๓๒,๐๐๐ บาท ซึ่งมิใช่การดาเนินการตามอานาจหน้าที่ของเทศบาลตามนัยมาตรา ๕๐ (๙) แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ และเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วย การรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การฝากเงิน การเก็บเงิน และการตรวจเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๖๗ เป็นเหตุให้เทศบาลได้รับความเสียหาย เป็นเงินจํานวน ๓๓๒,๐๐๐ บาท คณะกรรมการพจิ ารณาความรบั ผิดทางแพง่ วนิ ิจฉัยวา่ การกระทาของผู้เกี่ยวข้องเป็นการ ประมาทเลนิ เลอ่ อย่างร้ายแรงและตอ้ งรบั ผิดชดใช้คา่ เสียหายในสว่ นการกระทําของแต่ละคน จากจานวน ค่าเสียหายท่ีเบิกจ่ายจริงท้ังหมด ๓๓๒,๐๐๐ บาท ดังน้ี (๑) นาย ค. รองปลัดเทศบาล ผู้เสนอโครงการ ซงึ่ มิไดต้ รวจสอบว่าเทศบาลมีอํานาจหน้าที่ในการดําเนินการดังกล่าวหรือไม่ (๒) นาง น. หัวหน้าหน่วยงาน คลัง มีหน้าที่รับผิดชอบงานคลังของเทศบาล ในฐานะผู้ตรวจฎีกาและลงนามในฎีกาเบิกจ่ายเงิน แต่มิได้ ตรวจสอบว่าสามารถเบิกจ่ายเงินได้ตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการหรือไม่ (๓) นาย ป. ปลัดเทศบาล ในฐานะผู้บังคับบัญชาช้ันต้น มีหน้าที่ควบคุมดูแลการปฏิบัติราชการของผู้ใต้บังคับบัญชาให้ เป็นไปตามกฎหมาย และระเบียบของทางราชการ กล่ันกรองและตรวจสอบก่อนเสนอผู้บังคับบัญชา ๓ คาพพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ. ๗๒/๒๕๕๒ อ. ๗๓/๒๕๕๐ อ. ๔๕๖/๒๕๕๐ หนา้ ๑๕ ๔ คาํ พิพากษาศาลปกครองกลาง ที่ ๑๒๘๗/๒๕๔๙ แนวทางการรวบรวมพยานหลักฐานประกอบสานวน

พิจารณาได้ลงนามเห็นชอบโครงการสนับสนุนจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์วิทยุชุมชนเทศบาล เสนอนายกเทศมนตรี พจิ ารณาอนมุ ัติโดยมไิ ด้ตรวจสอบว่าเทศบาลมีอาํ นาจหน้าทใี่ นการดําเนินการดังกล่าวหรือไม่ และลงนามใน ฎีกาเบิกจ่ายเงินในฐานะปลัดเทศบาล ว่าเห็นควรอนุมัติให้เบิกจ่ายได้ โดยมิได้ตรวจสอบว่ากรณีดังกล่าว สามารถเบกิ จ่ายได้ตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการหรือไม่ (๔) นาย ช. นายกเทศมนตรี ในฐานะ ผู้บังคับบัญชาช้ันสูงสุด มีหน้าท่ีกํากับดูแลการปฏิบัติราชการของผู้ใต้บังคับบัญชาให้เป็นไปตามกฎหมาย และระเบียบของทางราชการ ไดล้ งนามอนุมัติโครงการสนับสนุนจัดซ้ือวัสดุอุปกรณ์วิทยุชุมชนเทศบาล โดย มิได้ตรวจสอบว่าเทศบาลมอี าํ นาจหน้าทีใ่ นการดาํ เนินการดังกล่าวหรือไม่ และเป็นผู้ลงนามในฎีกาอนุมัติให้ เบิกจา่ ยเงนิ โดยมิได้ตรวจสอบว่ากรณดี งั กล่าวสามารถเบกิ จ่ายได้ตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ หรือไม่ ตามนัยมาตรา ๑๐ ประกอบมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ 5 กรณเี งินขาดบญั ชี เป็นเหตุให้ราชการเสียหาย คณะกรรมการเก็บรักษาเงินและนายกองค์การ บรหิ ารส่วนตาบลตอ้ งรบั ผดิ ด้วย - กรณีสํานักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาค ตรวจสอบงบการเงินทั่วไปขององค์การ บรหิ ารสว่ นตาํ บลปงี บประมาณ ๒๕๕๓ โดยตรวจนับเงินสดคงเหลือประจําวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๓ พบว่า ไม่มีเงินสดคงเหลือให้ตรวจนับ และไม่ตรงกับรายงานสถานะการเงินประจําวันท่ี ๓ ธันวาคม ๒๕๕๓ ที่แสดงยอดเงินสดคงเหลือ เป็นเงินขาดบัญชี จํานวน ๕๗๗,๔๔๖ บาท เปน็ เหตใุ ห้องคก์ ารบรหิ ารส่วนตําบล ได้รับความเสยี หาย คณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่ง วินิจฉัยให้หน่วยงานเรียกให้ผู้เกี่ยวข้องชดใช้ ค่าเสียหายโดยให้ (๑) นาง ศ. หัวหน้าส่วนการคลังองค์การบริหารส่วนตําบล มีหน้าท่ีรับผิดชอบ การบริหารงานส่วนการคลัง และปฏิบัติให้เป็นไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การฝากเงิน การเก็บรักษาเงิน และการตรวจเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน พ.ศ. ๒๕๔๗ ซึ่งรับเงินจากผู้เก็บเงินแล้ว นาง ศ. ไม่ได้นําเงินท่ีรับไว้ฝากธนาคารและไม่ได้นําเงินเข้าเก็บ รักษาในตู้นริ ภัย กลับเบยี ดบังเงินดงั กลา่ วไปใชเ้ พื่อประโยชนส์ ว่ นตน เปน็ การจงใจกระทาํ ละเมดิ เป็นเหตุให้ องค์การบริหารส่วนตําบลได้รับความเสียหาย (๒) คณะกรรมการเก็บรักษาเงิน ประกอบด้วย นาย ส. ปลัดองค์การบริหารสว่ นตําบล นาง ศ. หัวหน้าส่วนการคลัง และ นาย ง. หัวหน้าส่วนโยธา มีหน้าที่ร่วมกัน ตรวจสอบตัวเงินกับรายงานสถานะการเงินประจําวัน เมื่อปรากฏว่าถูกต้องแล้วให้นําเงินเข้าเก็บรักษาในตู้ นริ ภัยและใหก้ รรมการทกุ คนลงลายมอื ช่ือในรายงานสถานะการเงินประจาํ วันไว้เป็นหลักฐานแล้วให้หัวหน้า ส่วนการคลังเสนอผ่านปลัดองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินเพ่ือเสนอให้ผู้บริหารท้องถิ่นทราบ เมื่อ นาง ศ. จัดทํารายงานสถานะการเงนิ ประจาํ วนั ทกุ วนั แต่ไม่ไดเ้ สนอใหค้ ณะกรรมการเก็บรักษาเงินตรวจสอบจํานวน เงินและลงลายมือชื่อทุกวัน โดยจะส่งรายงานสถานะการเงินประจําวันให้กรรมการเก็บรักษาเงินลงลายมือ ช่ือหลาย ๆ วันต่อคร้ัง และจะส่งเฉพาะใบรายงานสถานะการเงินประจําวันให้กรรมการเก็บรักษาเงิน ตรวจสอบเท่านั้น การที่ นาย ส. และนาย ง. ไม่ได้ปฏิบตั หิ นา้ ท่ขี องตนเองในการตรวจสอบความถูกต้องของ ตวั เงนิ กบั รายงานสถานะการเงนิ ในปัจจุบันวา่ ถกู ต้องหรอื ไม่ แต่กลบั ลงลายมือชื่อ ในรายงานสถานะการเงิน ประจาํ วนั ท่ี นาง ศ. เสนอใหล้ งนามเทา่ นั้น เป็นการกระทาํ ดว้ ยความประมาทเลนิ เล่ออย่างร้ายแรง เป็นเหตุ ให้องค์การบริหารส่วนตําบลได้รับความเสียหาย (๓) นาย ส. ปลัดองค์การบริหารส่วนตําบล ในฐานะ ผูบ้ งั คบั บญั ชาช้ันต้น มีหน้าทีค่ วบคมุ ดแู ลการปฏิบัติงานของผู้ใต้บังคับบัญชาให้เป็นไปตามระเบียบของทาง ๕ เรอ่ื งเสร็จท่ี สรพ. ๖๗/๒๕๕๖ หนา้ ๑๖ แนวทางการรวบรวมพยานหลักฐานประกอบสานวน

ราชการ เป็นผู้ตรวจสอบความถูกต้องก่อนเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาเห็นชอบ ซ่ึงตามระเบียบ กระทรวงมหาดไทยว่าดว้ ยการรบั เงิน การเบิกจา่ ยเงนิ การฝากเงนิ การเก็บรักษาเงิน และการตรวจเงินของ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๗ แต่ไม่ได้ควบคุมตรวจสอบว่ามีการนําเงินรายรับที่จัดเก็บฝาก ธนาคารหรอื ไม่ และเมอ่ื มีการรายงานสถานะการเงินประจําวันปรากฏว่ามีเงินสดคงเหลือเป็นจํานวนมากก็ ไม่ได้ทักท้วงให้มีการนําฝากเข้าธนาคารตามระเบียบ เป็นการกระทําด้วยความประมาทเลินเล่ออย่าง ร้ายแรง เป็นเหตุให้องค์การบริหารส่วนตําบลได้รับความเสียหาย (๔) นาย พ. นายกองค์การบริหารส่วน ตาํ บล ในชว่ งระยะเวลาเกิดเหตมุ ีผู้ปฏบิ ัติหนา้ ท่ีนายก อบต. รวม ๓ คน ประกอบด้วย นาย ค. นาย ส. และ นาย พ. ซ่ึงได้ลงนามรับทราบรายงานสถานะการเงินประจําวันในช่วงเวลาเกิดเหตุแต่ละช่วงเวลาเป็นลําดับ ในฐานะเป็นผูบ้ งั คับบัญชาสงู สดุ มหี น้าทร่ี บั ผดิ ชอบงานทัง้ ปวงขององค์การบริหารส่วนตําบล กํากับดูแลและ ตรวจสอบการปฏิบัติงานของผู้ใต้บังคับบัญชาให้เป็นไปตามกฎหมาย และระเบียบของทางราชการ ซงึ่ ปรากฏว่ามเี งินสดที่ไม่ได้มกี ารนาํ ฝากธนาคารเป็นจํานวนมาก แต่บุคคลดงั กลา่ วกลับลงนามรับทราบตาม รายงานสถานะเงินคงเหลือประจําวัน โดยไม่ได้ทักท้วงหรือส่ังการให้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามระเบียบ เป็นการ กระทําด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เป็นเหตุให้องค์การบริหารส่วนตําบลได้รับความเสียหาย ตามจํานวนเงินท่ีไม่นําส่ง จํานวน ๕๗๗,๔๔๖ บาท ให้แต่ละคนรับผิดตามส่วน ตามมาตรา ๑๐ ประกอบ มาตรา ๘ แห่งพระราชบญั ญัตคิ วามรับผิดทางละเมิดของเจ้าหนา้ ท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ 6 แนวปฏิบัติของกระทรวงการคลังเก่ียวกับผลการตรวจสอบของสานักงานฯ กระทรวงการคลังแจ้งเวียนหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิด ของเจ้าหน้าท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ ให้ทราบว่า จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดท่ีมีผลมา จากการตรวจสอบของสานักงานฯ พบว่ามีหลายกรณีที่ไม่มีผู้ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย เช่น กรณีไม่มี พัสดุให้ตรวจสอบแต่พบพัสดุในภายหลัง หรือไม่มีเอกสารทางการเงินแสดงต่อสํานักงานการตรวจเงิน แผ่นดินในขณะรบั การตรวจแตพ่ บเอกสารในภายหลัง หรือกรณสี ามารถช้ีแจงได้ว่าได้ดําเนินการไปโดยชอบ ตามระเบียบ หลักเกณฑ์หรือหนังสือสั่งการในเร่ืองนั้น ซึ่งยังไม่ถือว่าเกิดความเสียหายกับหน่วยงานของรัฐ เนื่องจากหน่วยรับตรวจสามารถชี้แจงข้อเท็จจริงโดยการส่งเอกสารหรือพยานหลักฐานต่อสํานักงานฯ ได้ จึงให้หนว่ ยงานของรฐั ทไี่ ด้รบั การทักท้วงจากสํานักงานฯ ได้พจิ ารณาและตรวจสอบเอกสารหรอื พยานหลักฐาน ที่เก่ียวข้อง หากชี้แจงได้ก็ให้ช้ีแจงสํานักงานฯ ไปก่อนท่ีจะดําเนินการแต่งต้ังคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ความรับผดิ ทางละเมิด ตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทาง ละเมิดของเจา้ หน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ 7 แนวคาพพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ การไดร้ บั มอบหมายให้ปฏิบตั ิงานอ่ืนนอกเหนือหน้าท่ีท่ีปฏิบัติปกติ หากมีความเสียหาย ต้องถอื วา่ เป็นการกระทาในการปฏิบัตหิ น้าที่ และทกุ คนทเี่ ก่ียวขอ้ งตอ้ งร่วมรบั ผดิ ชดใช้คา่ เสียหาย - นาง พ. หัวหน้างานบริหารและธุรการท่ัวไป สังกัดกองห้องสมุดของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่จัดซ้ือหนังสือและวารสารต่างประเทศเข้าห้องสมุดอีกหน้าที่หน่ึง ได้ยักยอกเงิน ราชการที่จะตอ้ งใชใ้ นการจัดหาไปเปน็ ประโยชน์สว่ นตัว ซง่ึ เปน็ เงนิ งบประมาณ จํานวน ๒,๘๓๗,๕๘๑.๓๕ บาท และเป็นเงนิ รายไดข้ องมหาวิทยาลัยอกี จํานวน ๗๕๙,๗๙๓ บาท ๖ เรื่องเสร็จท่ี สรพ.๖๘/๒๕๕๖ หนา้ ๑๗ ๗ หนงั สอื กระทรวงการคลงั ที่ กค.๐๔๐๖.๒/ว.๑ ลงวนั ที่ ๘ มกราคม ๒๕๕๐ แนวทางการรวบรวมพยานหลักฐานประกอบสานวน

เมื่อผู้อํานวยการกองคลังมีอํานาจหน้าท่ีปฏิบัติงานเก่ียวกับการเงิน การงบประมาณ การบัญชี ย่อมต้องรู้และเข้าใจในกฎหมายและระเบียบมากกว่าบุคคลอื่นเนื่องจากเป็นการปฏิบัติงานใน หน้าท่ีของตน การที่ผู้อํานวยการกองคลัง นาย น. และ นาง บ. ร่วมกันอนุมัติจ่ายเช็คระบุชื่อ นาง พ. โดย ไมต่ รวจสอบความถกู ต้องว่าจะต้องสัง่ จ่ายในนามเจา้ หน้ี จึงเป็นการฝุาฝืนระเบียบแบบแผนราชการ หากได้ ตรวจสอบเพียงเล็กน้อยก็จะทราบถึงการฝุาฝืนระเบียบ การปฏิบัติหน้าท่ีของบุคคลท้ังสามเป็นช่องทางให้มีการ ยักยอกเงนิ ไป จงึ เปน็ การปฏิบตั หิ น้าท่โี ดยประมาทเลนิ เลอ่ อย่างรา้ ยแรง กรณีผู้อํานวยการกองคลังให้ความเห็น และนาย ดี ได้อนุมัติให้นาง พ. ยืมเงินรายได้ทั้งท่ี เจ้าหน้าท่ีรายงานให้ทราบว่ามีเงินคงค้างและเกินกําหนดเวลาส่งหลักฐานใบสําคัญจ่ายแล้ว การที่ นาย ส. อนุมัติให้ นาง พ. จัดซื้อวารสารโดยวิธีตกลงราคาครั้งหน่ึงเกินกว่า ๑๐๐,๐๐๐ บาท โดยมี นาย ช. และ นาง ด. ซึ่งทําหน้าที่เก่ียวกับการเงินย่อมต้องรู้กฎหมายเก่ียวกับการเบิกจ่ายเงินจากคลังดีกว่าคนอ่ืน แต่ร่วม เขยี นเชค็ สัง่ จ่ายระบชุ ื่อ นาง พ. โดยมิได้จัดให้ นาง พ. ทําสัญญายืมเงิน รวมถึงการที่ นาย จ. ซึ่งมีหน้าที่ทํา รายงานงบเดือนรู้ว่ารวบรวมใบสําคัญคู่จ่ายไม่ครบถ้วน แต่ทํารายงานว่ามีหลักฐานครบถ้วน ถือว่าบุคคล ท้ังหมดร่วมกันฝุาฝืนระเบียบแบบแผนราชการเป็นช่องทางให้เกิดการทุจริต จึงเป็นการปฏิบัติหน้าท่ีด้วย ความประมาทเลินเลอ่ รา้ ยแรง ยอ่ มตอ้ งมีส่วนรบั ผิดในความเสยี หายที่เกดิ ข้นึ ทุกคน 8 ผมู้ หี น้าที่เรง่ รดั เงนิ ยืม ไม่ปฏบิ ตั หิ น้าที่ หากเกดิ ความเสียหายกต็ ้องร่วมรบั ผิด - เมื่อนาย อ. รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ขอยืมเงินทดรองราชการจาก อบจ. แล้วมิได้นําเงินท่ีเหลือจ่ายส่งคืนให้กองคลังภายใน 30 วัน นับจากวันท่ีได้รับเงิน หัวหน้าหน่วยงานคลัง มีหน้าท่ีเสนอให้ นายก อบจ. สั่งการให้ นาย อ. ส่งใช้เงินยืมภายในกําหนดเวลาตามที่เห็นสมควร อย่างช้า ไม่เกิน 30 วัน ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การฝากเงิน การเก็บ รกั ษาเงิน และการตรวจเงนิ ขององคก์ รปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2547 ข้อ 84 (4) แต่หัวหน้าหน่วยงาน คลงั มิไดเ้ สนอให้นายก อบจ. สั่งการภายในเวลาท่ีกําหนด แม้ต่อมาหัวหน้าหน่วยงานคลังจะมีหนังสือเสนอ นายก อบจ. ว่าเห็นควรแจ้งให้สํานักปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้เร่งรัดให้นาย อ. และเจ้าหน้าที่ ผเู้ กย่ี วขอ้ งชดใชเ้ งินยมื หลายคร้ังซึ่งถอื เป็นเพยี งการเรง่ รดั และครั้งสุดท้ายได้มีหนังสือขอให้นายก อบจ. สั่ง การให้ นาย อ. ชดใช้เงินภายในเวลาที่กําหนด แต่ก็เป็นเวลาท่ีล่วงพ้นกําหนดเวลาในการใช้อํานาจตาม ระเบียบฯ กว่าสามเดือน ประกอบกับเมื่อ นาย อ. ไม่ส่งใช้เงินยืม หัวหน้าหน่วยงานคลังย่อมมีหน้าที่เสนอ ให้นายก อบจ. หักเงินเดือน ค่าจ้าง บําเหน็จบํานาญ หรือเงินอื่นใดที่ได้รับจากองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน เพ่ือชดใช้เงินยืมแต่ก็มิได้ดําเนินการ จึงถือว่าหัวหน้าหน่วยงานคลังซ่ึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ เง่ือนไขท่ีกฎหมาย ระเบียบหรือสัญญายืมเงินกําหนดไว้อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะระยะเวลาการชําระเงิน คืนซ่ึงถือเป็นสาระสําคัญ การท่ีมิได้ปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องครบถ้วนตามระเบียบ เป็นการปฏิบัติหน้าที่ท่ีไม่ ถูกตอ้ งตามระเบียบ เปน็ การประมาทเลนิ เล่ออย่างร้ายแรงเปน็ เหตุให้องคก์ ารบริหารส่วนจังหวัดได้รับความ เสียหาย โดยคํานวณจากจํานวนเงินที่ผู้ยืมเงินรับไป ต้ังแต่วันท่ีควรจะหักเงินได้จนถึงวันท่ีผู้ยืมพ้นจาก ตําแหน่งเป็นเงิน ๑๙๘,๐๐๐ บาท จึงให้หัวหน้าหน่วยงานคลังชดใช้ค่าเสียหายตามส่วนโดยคํานวณ ค่าเสียหายจากเงินท่ีอาจหักจากเงินเดือนหรือเงินอ่ืนใดของผู้ยืมก่อนพ้นตําแหน่ง ตามความเห็นของ กระทรวงการคลัง 9 ๘ คาพพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ. ๖๑๓/๒๕๕๕ หนา้ ๑๘ ๙ คาพพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ.๔๖๘/๒๕๕๘ แนวทางการรวบรวมพยานหลกั ฐานประกอบสานวน

การอนุมตั ิใชเ้ งินบริจาคเพือ่ ประโยชนแ์ ก่ทางราชการ แมจ้ ะเกดิ ความเสียหายแตไ่ มต่ ้องชดใช้ - การทผี่ ู้อํานวยการโรงเรียนได้รบั เงนิ บรจิ าคจากบรษิ ทั ก. จาํ กัด เพื่อใชใ้ นกิจกรรมพัฒนา โรงเรียนและรับเงินจาก นาย ข. ซึ่งไม่ได้ระบุวัตถุประสงค์ รวมเป็นเงินท้ังสิ้น ๒๑๐,๐๐๐ บาท โดยไมน่ าํ เงนิ บรจิ าคดังกล่าวเข้าบัญชีการเงินของโรงเรียนตามระเบียบของทางราชการ แต่กลับเก็บรักษาไว้ กับตนเอง และอนุมัติให้นําไปใช้โดยไม่ปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ ภายหลังการตรวจสอบ ของคณะตรวจสอบภายในจังหวัดและการสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิด ทางละเมดิ ผู้บังคบั บัญชาจงึ มีคําส่ังเรียกใหผ้ อู้ ํานวยการชดใช้เงนิ จํานวนดังกลา่ วคนื แก่ทางราชการ ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า แม้การใช้จ่ายจะไม่เป็นไปตามระเบียบของทางราชการ แต่หากเปน็ ประโยชน์แก่ทางราชการโดยรวมและมีพยานหลักฐานท่ีช้ีแจงได้ก็ไม่อาจถือว่าเป็นความเสียหาย ของหนว่ ยงานผรู้ ับบรจิ าค และเม่ือพิจารณาหลักฐานการขอเบิกเงินและการอนุมัติใช้จ่ายเงินแล้วเห็นว่าแม้ การใช้จ่ายเงินเป็นไปเพ่ือประโยชน์ของโรงเรียน เพียงแต่หลักฐานการเบิกจ่ายและการอนุมัติไม่สามารถ นํามาเป็นหลักฐานการจ่ายเงินตามระเบียบของทางราชการได้ก็ตาม แต่การท่ีผู้อํานวยการอนุมัติให้นําเงิน บริจาคไปใช้โดยไม่ปฏบิ ตั ิตามระเบยี บของทางราชการ ย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทําละเมิดตามมาตรา ๔๒๐ แหง่ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้อํานวยการไม่มีเจตนาท่ีจะไม่นําเงินส่งเข้าบัญชี ของทางราชการเพื่อประโยชน์ส่วนตน เพียงแต่ไม่ปฏิบัติตามระเบียบอย่างเคร่งครัดเท่าน้ัน และที่ผ่านมา การรับบริจาคเงินส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าระบบของราชการ โดยเม่ือได้รับมอบมาแล้วจะมีการเก็บรักษาไว้ใน ตู้เซฟเพ่ือใช้จ่ายตามท่ีผู้อํานวยการอนุมัติต่อไป เมื่อการอนุมัติให้นําเงินบริจาคไปใช้จ่ายของผู้อํานวยการ ล้วนแต่กอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชน์แก่ทางโรงเรยี นและเปน็ ไปตามวตั ถุประสงค์ของผู้บริจาค ประกอบกับมีหลักฐาน การใช้จ่ายเงินที่ถูกต้องชัดเจนสามารถตรวจสอบได้และไม่เบิกซํ้าซ้อนกับเงินของทางราชการที่จะทําให้ ราชการเสียหาย จึงถือได้ว่าการกระทําของผู้อํานวยการเป็นการกระทําโดยประมาทเลินเล่อธรรมดา มิใช่การกระทําโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ดังนั้น ผู้อํานวยการจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหม ทดแทนให้แก่โรงเรียน ตามมาตรา ๑๐ ประกอบกับมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิด ของเจา้ หนา้ ท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ แต่อย่างใด 10 การใช้จ่ายเงินผิดหมวดรายจ่าย เป็นเหตุให้เกิดความเสียหาย ผู้ปฏิบัติหน้าที่ต้องรับผิด แต่การคานวณคา่ ความเสียหายมิไดค้ านวณจากราคาทรัพยส์ ินท่จี ัดซ้อื - กรณีสํานักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบบัญชี พบว่า มีการจัดซื้อครุภัณฑ์หมวด ค่าใชส้ อยเปน็ คา่ จ้างติดตั้งกล้องวงจรปิดภายในบริเวณสํานักงานเทศบาล เป็นเงิน ๘๐,๐๐๐ บาท เป็นการ ปฏิบัติไม่ถูกต้องตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยวิธีการงบประมาณขององค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๑ และหนังสือสั่งการท่ีเก่ียวข้อง เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ ๘๐,๐๐๐ บาท จึงให้ หน่วยงานดําเนินการหาผู้รับผิดชอบชดใช้ความเสียหายดังกล่าว ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า กล้องวงจร ปิดมีลักษณะเป็นสิ่งของท่ีมีลักษณะคงทนถาวร มีอายุการใช้งานเกินกว่า ๑ ปี และมีราคาหน่วยหน่ึงหรือ ชดุ หน่งึ เกินกวา่ ๕,๐๐๐ บาท จงึ เป็นครุภณั ฑต์ ามการจาํ แนกประเภทรายจ่ายตามงบประมาณ ตามหนังสือ กรมการปกครอง ด่วนมาก ที่ มท ๐๓๑๓.๔/ว ๒๗๘๗ ลงวันท่ี ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ ซ่ึงจัดอยู่ใน งบประมาณรายจ่ายเพื่อการลงทุน และต้องจัดซื้อโดยตั้งงบประมาณในหมวดค่าครุภัณฑ์ ที่ดินและ ส่ิงก่อสร้าง การที่ปลัดเทศบาลสั่งการให้สํานักปลัดเทศบาลติดต้ังกล้องวงจรปิดในเขตชุมชนโดยเฉพาะ บรเิ วณสแ่ี ยก ตามนโยบายของผู้บริหารเทศบาลตามข้อส่ังการของผู้ว่าราชการจังหวัด และปลัดเทศบาลซึ่ง ๑๐ คาพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ. ๔๘๗/๒๕๕๘ หนา้ ๑๙ แนวทางการรวบรวมพยานหลักฐานประกอบสานวน

มหี นา้ ทบี่ งั คับบญั ชารองจากนายกเทศมนตรีและรับผดิ ชอบควบคุมดูแลราชการประจําของเทศบาล รวมท้ัง มีหน้าที่อ่ืนตามกฎหมายหรือตามท่ีนายกเทศมนตรีมอบหมาย ตามมาตรา ๔๘ เอกูนวีสติ แห่ง พระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ ได้เสนอผู้บริหารเพื่อพิจารณาอนุมัติจัดซื้อกล้องวงจรปิด โดยใช้เงิน งบประมาณจากสํานักปลัดเทศบาล หมวดค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ ประเภทรายจ่ายเก่ียวเนื่องกับการ ปฏบิ ัติราชการท่ไี ม่เข้าลักษณะรายจา่ ยหมวดอนื่ ๆ ตามข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๐ การตง้ั งบประมาณจึงไม่ถูกต้อง และมิได้ดําเนินการให้เป็นไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย และหนังสือส่ังการของกรมการปกครอง ซึ่งปลัดเทศบาลในฐานะเจ้าหน้าที่งบประมาณย่อมต้องทราบว่า กล้องวงจรปิดท่ีจะซ้ืออยู่ในหมวดใด เป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบท่ีเกี่ยวข้องหรือไม่ แต่กลับขอ อนุมัติจัดซ้ือในหมวดค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ จึงเป็นการไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบของ ทางราชการที่ต้องปฏิบัติหน้าท่ีราชการให้เกิดผลดีและรักษาประโยชน์ของทางราชการ เป็นการกระทําท่ี ปราศจากความระมัดระวังซึ่งบคุ คลผดู้ ํารงตําแหนง่ ปลดั เทศบาลจกั ตอ้ งมตี ามวสิ ยั และพฤติการณ์และอาจใช้ ความระมัดระวังเช่นนั้นได้ แต่หาได้ใช้เพียงพอไม่ เป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ก่อให้เกิดความ เสียหายแก่เทศบาลทต่ี ้องสูญเสยี งบประมาณ โดยไม่จําเป็นและก่อให้เกิดผลกระทบต่อวินัยการเงินการคลัง เป็นการกระทําละเมิดท่ีต้องรับผิดตามมาตรา ๑๐ ประกอบมาตรา ๘ วรรคหน่ึง แห่งพระราชบัญญัติความ รับผดิ ทางละเมดิ ของเจา้ หน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ส่วนการกาหนดค่าเสียหายกรณีน้ีเป็นการเรียกให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากการ กระทาละเมิดอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ใช่การเรียกค่าเสียหายจากราคากล้องวงจรปิดที่ต้องสูญเสีย งบประมาณในการจัดซ้ือ แม้จะเป็นการจัดซ้ือท่ีผิดหมวดงบประมาณ แต่มีการติดต้ังกล้องวงจรปิด เป็นระยะเวลากว่า ๓ ปี จึงเห็นได้ว่าเทศบาลยังได้รับประโยชน์จากกล้องวงจรปิด หากจะนาไปติดตั้งยัง สถานที่ใดก็สามารถนาไปติดตั้งได้ เมื่อคํานึงถึงระดับความร้ายแรงแห่งการกระทําและความเป็นธรรม และกรณเี ป็นการละเมดิ ทเ่ี กดิ จากเจ้าหน้าที่หลายคนซ่ึงเจ้าหน้าท่ีแต่ละคนต้องรับผิดเฉพาะส่วนของตนเท่าน้ัน การคานวณค่าความเสยี หายมิไดค้ านวณจากมลู ค่างานทีจ่ ้าง จงึ ใหห้ ักส่วนความรับผิดของหน่วยงานออก รอ้ ยละ ๕๐ ของคา่ ความเสียหายทง้ั หมดกอ่ น เหลือเปน็ ความเสยี หายจาํ นวน ๔๐,๐๐๐ บาท ให้ปลัดเทศบาล รบั ผดิ ชอบเพียงรอ้ ยละ ๒๐ ของคา่ เสียหาย ๔๐,๐๐๐ บาท คิดเป็นเงนิ จาํ นวน ๘,๐๐๐ บาท 11 การก่อสร้างท่ีไม่เป็นไปตามแบบรูปรายการทาให้ราชการเสียหาย แต่เนื่องจากถนนยัง สามารถใช้งานได้ การคานวณค่าความเสียหายจึงคานวณเฉพาะส่วนที่ใช้วัสดุไม่ครบถ้วนถูกต้อง ไม่ใช่ ความเสยี หายตามวงเงินค่ากอ่ สร้างตามสัญญา - กรณีสํานักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบการก่อสร้างถนนดินลูกรังและถนน คอนกรีตเสริมเหล็ก ของ อบจ. นครราชสีมา วงเงินค่าก่อสร้างตามสัญญา ๙๙๗,๕๘๐ บาท พบว่าการ ก่อสร้างถนน คสล. มีความหนาไม่ได้ขนาดตามแบบรูปรายการและไม่มีการทดสอบแรงอัดประลัยของ แท่งคอนกรีต จึงแจ้งให้ อบจ. นครราชสีมาดําเนินการกับผู้เกี่ยวข้องตามพระราชบัญญัติความรับผิดทาง ละเมิดของเจ้าหน้าท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งศาลปกครองถือว่ามีเหตุควรเชื่อว่ามีความเสียหายเกิดข้ึนกับ อบจ. แล้ว นายก อบจ. นครราชสีมาจึงมีอํานาจแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดได้ โดยกระทรวงการคลังพิจารณาให้ผู้ควบคุมงานและคณะกรรมการตรวจการจ้างซึ่งมิได้ปฏิบัติหน้าที่ตามท่ี ระเบียบกําหนด ชดใช้ค่าเสียหายเพียงร้อยละ ๗๕ ของวงเงินค่าก่อสร้างตามสัญญา เป็นเงิน ๗๔๘,๑๔๕ บาท เนือ่ งจากประชาชนยงั ใชป้ ระโยชน์ในถนนได้ ๑๑ คาพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ. ๓๔๔/๒๕๖๑ หนา้ ๒๐ แนวทางการรวบรวมพยานหลักฐานประกอบสานวน

ศาลปกครองสูงสุด เห็นว่า การท่ีนายก อบจ. มีคําสั่งแต่งต้ังคณะกรรมการตรวจการจ้าง โดยไม่ปรากฏว่ามีการแต่งตั้งผู้มีความรู้ความชํานาญในหลักวิชาช่างเป็นกรรมการตรวจการจ้างตามท่ีระเบียบ กาํ หนด และมีการแต่งต้งั บุคคลดังกล่าวเป็นผคู้ วบคมุ งานและคณะกรรมการตรวจการจ้างอีกหลายโครงการ ในเวลาเดียวกัน ทําให้บุคคลท้ังสามไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทําให้ อบจ. ได้รับโครงการ กอ่ สร้างถนน คสล. ทีม่ ีความหนากลางถนนไม่ไดข้ นาดตามแบบรปู รายการที่กําหนดในสัญญา เป็นการกระทํา ละเมิดที่ อบจ. มีส่วนร่วมรับผิดหรือบกพร่องด้วย ส่วนการคานวณค่าเสียหาย เมื่อผลการตรวจสอบ ข้อเท็จจริงที่ได้จากการเจาะหาความหนาของช้ันคอนกรีต ณ จุดกลางถนนไม่ได้ขนาดตามแบบรูปรายการและ พ้นระยะเวลารับประกันความชํารุดบกพร่องมาแล้วกว่า ๑๐ ปี ไม่พบว่าถนนชารุดเสียหายหรือไม่ม่ันคง แข็งแรงอันเนื่องมาจากความหนาของชั้นคอนกรีตไม่ได้ขนาดตามแบบรูปรายการ กรณีจึงยังไม่เกิด ความเสยี หายกับถนนในลักษณะทเ่ี สยี หายท้งั หมด คงเสียหายเฉพาะสว่ นความมั่นคงแข็งแรงของถนนที่ อาจลดนอ้ ยลงเนือ่ งจากขาดปริมาณคอนกรีตเพียงเล็กน้อย การคานวณค่าเสียหายจึงต้องพิจารณาจาก ปริมาณคอนกรีตที่ขาดหายไปซึ่งสามารถคานวณเป็นตัวเงินได้โดยนําความกว้างของถนน x ความยาว ของถนน x ปริมาณคอนกรีตท่ีหายไป x ราคาคอนกรีต x factor F เป็นค่าความเสียหาย จํานวน ๑๐,๙๘๑.๗๔ บาท เม่ือรวมกับการท่ีถนนมีความหนาของช้ันคอนกรีตไม่ได้ขนาด ทาให้พ้ืนผิวถนนไม่ สามารถรองรับน้าหนักรถบรรทุกและแรงกระแทกได้ ทั้งอาจเป็นเหตุให้ถนนมีอายุการใช้งานสั้นลง ซึ่งเป็น เรื่องโครงสร้างมั่นคงแข็งแรง ที่ศาลปกครองช้ันต้นกําหนดค่าเสียหายในส่วนน้ีไว้ร้อยละ ๑๐ ของวงเงินตาม สัญญาจา้ ง หรอื คิดเปน็ เงิน ๙๙,๗๕๘ บาท จึงรวมเป็นความเสียหายท่ีหน่วยงานได้รับ ๑๑๐,๗๓๙.๗๔ บาท เม่ือหักความบกพร่องของหน่วยงานออกก่อนร้อยละ ๑๐ ของความเสียหายจํานวน ๑๑๐,๐๗๓.๙๗ บาท แลว้ จะเหลือคา่ ความเสยี หายอกี ๙๙,๖๖๕.๗๗ บาท จึงให้ผู้ควบคุมงานรับผิดร้อยละ ๖๐ และคณะกรรมการ ตรวจการจ้างรับผิดรอ้ ยละ ๔๐ ของจํานวนคา่ เสียหายส่วนทเี่ หลอื ๙๙,๖๖๕.๗๗ บาท 12 การอนุมัติจ้างกอ่ สร้างโดยใช้ราคากลางทสี่ งู เกนิ ควรโดยไม่ตรวจสอบความถูกต้องก่อน เป็นเหตุให้เกิดความเสยี หาย ผอู้ นมุ ัติตอ้ งรบั ผดิ ชอบด้วย - กรณีสํานักงานตรวจเงินแผ่นดิน (ขณะน้ัน) ตรวจพบว่า คณะกรรมการกําหนดราคากลาง ไม่ได้ใช้ราคาวัสดุของสํานักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ในขณะที่จัดซ้ือจัดจ้าง ทําให้ราคาวัสดุ โครงการก่อสร้างมรี าคาสูงกว่าปกติ เป็นเหตุให้เทศบาลเสียหายต้องจ่ายค่าก่อสร้างตามสัญญาสูงข้ึน จึงขอ ใหห้ นว่ ยงานดําเนินการหาผูร้ ับผิดชอบชดใชค้ วามเสียหาย ศาลปกครองสงู สุดวนิ ิจฉัยว่า นายกเทศมนตรีมีหน้าท่ีควบคุมและรับผิดชอบในการบริหาร กิจการของเทศบาลและเป็นผู้บังคับบัญชาพนักงานเทศบาลและลูกจ้างเทศบาลตามมาตรา 48 เตรส และมาตรา 48 สตั ตรส แห่งพระราชบญั ญัตเิ ทศบาล พ.ศ. 2496 และที่แก้ไขเพ่ิมเติม ในการกําหนดราคา กลาง นายกเทศมนตรีเป็นผู้ออกคําส่ังแต่งต้ังคณะกรรมการกําหนดราคากลาง เมื่อคณะกรรมการกําหนด ราคากลางได้กําหนดราคากลางแล้ว จะต้องเสนอนายกฯ อนุมัติก่อนจึงจะดําเนินการจ้างได้ นายกฯ จึงมี หน้าทคี่ วบคุมและตรวจสอบคณะกรรมการกาํ หนดราคากลาง ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาให้กําหนดราคากลางโดย ถูกต้องตามกฎหมาย ประกอบกับสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีมีหนังสือแจ้งเวียนการกําหนดราคากลางให้ ใช้ข้อมูลในการถอดแบบคํานวณราคากลางเป็นมาตรฐานเดียวกันตามราคาวัสดุท่ีกระทรวงพาณิชย์กําหนด ดงั นั้น คณะกรรมการกาํ หนดราคากลางที่นายกฯ แต่งต้ังจึงต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีตามหนังสือเวียน ฉบับดังกล่าว ภายใต้การควบคุมตรวจสอบของนายกฯ ในขณะน้ัน การที่นายกฯ ลงนามอนุมัติจัดจ้างโดย ๑๒ คาพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ.๖๖๐/๒๕๖๑ หนา้ ๒๑ แนวทางการรวบรวมพยานหลักฐานประกอบสานวน

ละเลยไม่ตรวจสอบความเป็นมาของจํานวนเงินท่ีประมาณการเป็นราคากลางว่าถูกต้องตามหลักเกณฑ์การ คํานวณราคากลางท่ีกฎระเบียบทางราชการกําหนดไว้หรือไม่ ทําให้เทศบาลได้รับความเสียหาย ต้องจ่ายค่าจ้าง ก่อสร้างในราคาที่สูงกว่าปกติ กรณีจึงถือได้ว่านายกฯ กระทําการโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เทศบาล ซ่ึงหากนายกฯ ในฐานะผู้มีอํานาจอนุมัติได้ใช้ความระมัดระวังแม้เพียง เล็กน้อยก็อาจปูองกันมิให้เกิดความเสียหายได้ หรือหากมีข้อสงสัยในราคากลางก็ชอบที่จะซักถาม คณะกรรมการกาํ หนดราคากลาง แต่นายกฯ ก็หาไดท้ าํ ไม่ ความเสียหายส่วนหนึ่งจึงเกิดจากการกระทําด้วย ความประมาทเลินเลอ่ อย่างร้ายแรงของนายกฯ ด้วย จึงต้องร่วมรบั ผดิ ในความเสียหายท่เี กดิ ข้นึ 13 คณะกรรมการตรวจการจ้างตรวจรบั งานโดยไมไ่ ดต้ รวจงานจรงิ พจิ ารณาเพียงเอกสาร ของผู้ควบคุมงาน เมอ่ื เกิดความเสยี หายต้องรับผิดชอบ - ขณะผู้รับจ้างกําลังปฏิบัติงานตามสัญญา คณะกรรมการตรวจการจ้างไม่ได้ออกไป ตรวจงานจ้างเพราะพิจารณารายงานการปฏิบัติงานของผู้ควบคุมงานแล้วเห็นว่าไม่มีประเด็นข้อสงสัยตาม ข้อ ๔๘ (๒) ของระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุขององค์การบริหารส่วนตําบล พ.ศ. ๒๕๓๘ แต่จากรายงานการปฏิบัติงานของผู้ควบคุมงานไม่มีการจดบันทึกเพื่อรายงานการปฏิบัติงานว่า ในวันท่ี ผู้รับจ้างเข้าดําเนินการตามสัญญาจ้างมีรถบรรทุกขนดินเข้ามาจํานวนก่ีคัน แต่ละคันบรรทุกดินจํานวน กี่ลูกบาศก์เมตร การจดบันทึกและรายงานผลการปฏิบัติงานอย่างละเอียดย่อมทําให้รับทราบผลการ ปฏิบัติงานในแต่ละวันได้ว่าได้ถมดินไปแล้วก่ีลูกบาศก์เมตร อันจะเป็นพยานหลักฐานอ้างอิงเพื่อตรวจสอบ จํานวนดินในเบื้องต้นได้ว่าการดําเนินงานของผู้รับจ้างตามสัญญาจ้างคืบหน้าและเป็นไปตามข้อกําหนดใน สัญญาหรอื ไม่ หากกรรมการตรวจการจ้างใช้ความระมัดระวังในการตรวจสอบรายงานการปฏิบัติงานของผู้ ควบคมุ งานกจ็ ะเหน็ ข้อสงสัยในการรายงานการปฏิบตั ิงาน หรือออกไปตรวจงานจ้างเพ่ือดูว่าการดําเนินงาน เป็นไปตามแบบรูปรายการละเอียดและข้อกําหนดในสัญญาหรือไม่ ท้ังข้อเท็จจริงจากการตรวจสอบของ คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดและสํานักงานโยธาธิการจังหวัดซึ่งเป็นผู้เช่ียวชาญ เฉพาะด้าน ก็เป็นหลักฐานยืนยันได้ชัดเจนว่าจํานวนดินท่ีถมไม่ครบตามสัญญา ผู้รับจ้างไม่ได้ปฏิบัติตาม สญั ญาให้ถูกต้อง การตรวจการจ้างของคณะกรรมการตรวจการจ้างจึงไม่เป็นไปตามระเบียบ เนื่องจากเป็น การตรวจการจา้ งทไ่ี ม่ถูกตอ้ ง ครบถ้วนตามที่กําหนดไว้ในสัญญา หากคณะกรรมการตรวจการจ้างเห็นว่าไม่ สามารถยืนยนั ปริมาณดนิ ที่ถมถกู ต้องตามสญั ญา โดยหน้าที่ควรท่ีจะแจ้งให้ผู้เช่ียวชาญเข้าตรวจสอบในการ ตรวจรับงานร่วมได้ เพื่อปูองกันความเสียหายท่ีจะเกิดข้ึนแก่รัฐ แต่กรรมการตรวจการจ้างก็มิได้ดําเนินการ จึงเปน็ การกระทาํ ทข่ี าดความระมัดระวังและขาดการตรวจสอบที่ถูกต้องตามวิสัยและพฤติการณ์ของบุคคล ซึ่งปฏบิ ตั ิหนา้ ท่คี ณะกรรมการตรวจการจ้างที่จะต้องใช้ความระมัดระวังเช่นว่าน้ันได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอ ไม่ จึงเป็นการประมาทเลินเลอ่ อย่างร้ายแรง ทําให้หน่วยงานได้รับความเสียหาย ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหม ทดแทนแก่หน่วยงาน ตามมาตรา ๔๒๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และมาตรา ๑๐ ประกอบ มาตรา ๘ วรรคหนึง่ แหง่ พระราชบญั ญัติความรบั ผดิ ทางละเมดิ ของเจา้ หน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ 14 ๑๓ คาพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ. ๘๔๓/๒๕๕๗ หนา้ ๒๒ ๑๔ คาพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ. ๕๘๓-๕๘๔/๒๕๕๔ แนวทางการรวบรวมพยานหลักฐานประกอบสานวน

การใช้สทิ ธเิ บกิ ค่าเชา่ บา้ นไม่ถูกตอ้ ง ไม่เป็นการละเมดิ ในการปฏบิ ัติหน้าที่ - กรณี นาง ก. ดํารงตําแหน่งรองปลัดเทศบาลได้ใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้าน โดยใช้หลักฐาน การผ่อนชําระหนี้เงินกู้ของ นาย ข. คู่สมรสท่ีเป็นคู่สัญญากู้เงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์ข้าราชการกรมการ ปกครองเพียงคนเดียวเป็นหลักฐานในการใช้สิทธิ โดยนาง ก. ไม่ได้ร่วมเป็นคู่สัญญา แต่ได้ให้ความยินยอม ในการทําสัญญามาประกอบการขอเบิกเงินสวัสดิการค่าเช่าบ้านจากเทศบาล เมื่อนายกเทศมนตรีได้ต้ัง คณะกรรมการตรวจสอบสิทธิการเบิกค่าเช่าบ้านและพิจารณาอนุมัติให้ นาง ก. เบิกค่าเช่าบ้านได้ นาง ก. กใ็ ชห้ ลกั ฐานการผ่อนชาํ ระหนี้เงินกู้ของ นาย ข. มาขอเบิกค่าเช่าบ้านมาโดยตลอด ต่อมาเทศบาลมีหนังสือ แจ้งให้ชําระเงินค่าเช่าบ้านคืน เน่ืองจากเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบและหนังสือสั่งการของกระทรวง มหาดไทย แต่ นาง ก. ไม่ชําระ นายกเทศมนตรีจึงมีคําส่ังแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิด ทางละเมิด ซ่ึงคณะกรรมการฯ เห็นว่าการที่ นาง ก. ไม่ศึกษาระเบียบและหนังสือส่ังการท่ีเก่ียวข้องให้ ชัดเจน ทําให้เบิกเงินค่าเช่าบ้านโดยไม่มีสิทธิอันเป็นการกระทําโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง นายกเทศมนตรีจึงมีคําส่ังให้ นาง ก. รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติ ความรบั ผิดทางละเมดิ ของเจา้ หนา้ ท่ี พ.ศ. 2539 ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า การที่นาง ก. นาหลักฐานการชาระหน้ีเงินกู้ของคู่สมรสที่ กู้เงินเพียงคนเดียว โดย นาง ก. มิได้ร่วมเป็นคู่สัญญากู้เงินด้วยมาใช้ประกอบเป็นหลักฐานการเบิกค่าเช่า บ้าน จากเทศบาลเป็นแต่เพียงการที่ นาง ก. ใช้สิทธิเรียกเอาสิทธิประโยชน์ท่ีตนเองเข้าใจว่าพึงมีพึงได้ จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นท่ีตนอยู่ในสังกัดเท่านั้น มิใช่การกระทาในหน้าที่ตามที่กฎหมาย กาหนดให้ต้องปฏิบัติหรือที่ผู้บังคับบัญชามีคาส่ังหรือมอบหมายให้ปฏิบัติ ดังน้ัน หากการกระทําดังกล่าว ของ นาง ก. เป็นการกระทาํ ละเมดิ ต่อเทศบาล ก็ไม่อาจจะถือว่าเป็นการกระทาละเมิดในการปฏิบัติหน้าท่ี นายกเทศมนตรีจึงไม่อาจอาศัยอํานาจตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของ เจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ออกคําส่ังให้นาง ก. ชําระเงินเป็นค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิดได้ จึงพิพากษา เพกิ ถอนคาํ สั่งทใ่ี ห้ นาง ก. รบั ผดิ ชดใช้ค่าสนิ ไหมทดแทนแก่เทศบาล 15 ๓.๒.๓ การดาเนนิ การทางวนิ ัยของหน่วยรบั ตรวจตามขอ้ เสนอแนะของสานักงานฯ การดําเนินการทางวินัย หมายถึง การดําเนินกระบวนการตามขั้นตอนท่ีกฎหมายกําหนด เมื่อข้าราชการถูกกล่าวหาว่ากระทําผิดวินัย ได้แก่ การสืบสวนหรือสอบสวน การพิจารณาความผิดและ กําหนดโทษ การสั่งลงโทษหรืองดโทษ หรือการดําเนินการต่าง ๆ ระหว่างการสอบสวนพิจารณาความผิด เช่น ให้พักราชการหรือให้ออกจากราชการไว้ก่อน ท้ังนี้ การดําเนินการทางวินัยมีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุม ความประพฤติของข้าราชการให้ดํารงตนให้สมศักด์ิศรีของตําแหน่งหน้าที่ท่ีได้รับมอบหมาย ส่วนการพิจารณา โทษทางวินัยหน่วยงานจะพิจารณาตามระดับความร้ายแรงแห่งพฤติการณ์ รวมถึงหน้าท่ีความรับผิดชอบ ของผูก้ ระทาํ ผิด เมื่อสาํ นกั งานฯ แจง้ ผลการตรวจสอบใหห้ น่วยรบั ตรวจทราบกรณมี ีเจ้าหน้าที่ไม่ปฏิบัติตาม กฎหมายระเบยี บฯ ซึง่ รวมถงึ กฎหมายวา่ ดว้ ยวนิ ยั การเงนิ การคลังของรฐั และหรืออาจก่อใหเ้ กิดความเสียหาย แก่หน่วยรบั ตรวจ เพ่ือให้หน่วยรับตรวจดาํ เนนิ การทางวนิ ยั กับผู้เกย่ี วข้อง หน่วยรบั ตรวจจะตอ้ งดําเนนิ การ ตามกฎหมายหรือระเบยี บท่ีเกี่ยวกบั การดาํ เนนิ การทางวินยั เช่น พระราชบัญญตั ิระเบยี บข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ กําหนดวา่ ๑๕ คาพพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ. ๕๕/๒๕๕๗ หนา้ ๒๓ แนวทางการรวบรวมพยานหลกั ฐานประกอบสานวน

มาตรา ๙๐ เมื่อมีการกล่าวหาหรือมีกรณีเป็นที่สงสัยว่าข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใด กระทาผิดวินัยให้ผู้บังคับบัญชามีหน้าที่ต้องรายงานให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ ทราบโดยเร็ว และให้ผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ ดาเนินการตามพระราชบัญญัติน้ี โดยเร็วด้วยความยุตธิ รรมและโดยปราศจากอคติ... มาตรา ๙๑ เมอ่ื ได้รบั รายงานตามมาตรา ๙๐ หรือความดังกล่าวปรากฏต่อผู้บังคับบัญชา ซง่ึ มอี าํ นาจส่งั บรรจุตามมาตรา ๕๗ ให้ผู้บังคับบญั ชาซ่ึงมอี ํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ รีบดําเนินการหรือ ส่ังให้ดําเนินการสืบสวนหรือพิจารณาในเบ้ืองต้นว่ากรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่าผู้น้ั นกระทําผิดวินัยหรือไม่ ถา้ เห็นวา่ กรณไี ม่มมี ูลทค่ี วรกล่าวหาว่ากระทาํ ผิดวนิ ยั ก็ให้ยตุ เิ รอื่ งได้ ในกรณีท่ีเหน็ วา่ มมี ลู ที่ควรกลา่ วหาว่าข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทาผิดวินัยโดย มีพยานหลักฐานในเบื้องต้นอยแู่ ลว้ ใหด้ าเนนิ การตอ่ ไปตามมาตรา ๙๒ หรือมาตรา ๙๓ แลว้ แต่กรณี มาตรา ๙๒ ในกรณีที่ผลการสืบสวนหรือพิจารณาตามมาตรา ๙๑ ปรากฏว่ากรณีมีมูล ถ้าความผิดนั้นมิใช่เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง และได้แจ้งข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐานให้ ผู้ถูกกล่าวหาทราบ พร้อมทั้งรับฟังคําชี้แจงของผู้ถูกกล่าวหาแล้ว ผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอํานาจสั่งบรรจุ ตามมาตรา ๕๗ เห็นว่าผู้ถูกกล่าวหา ได้กระทําผิดตามข้อกล่าวหา ให้ผู้บังคับบัญชาส่ังลงโทษตามควรแก่ กรณโี ดยไมต่ ั้งคณะกรรมการสอบสวนก็ได้ ในกรณีตามวรรคหนง่ึ ถา้ ผ้บู งั คับบัญชาซึ่งมอี าํ นาจสง่ั บรรจุตามมาตรา ๕๗ เหน็ วา่ ผถู้ ูกกล่าวหา ไมไ่ ด้กระทําผิดตามขอ้ กล่าวหา ใหผ้ ู้บังคบั บัญชาดงั กลา่ วส่ังยตุ ิเรอ่ื ง มาตรา ๙๓ ในกรณที ผ่ี ลการสืบสวนหรือพิจารณาตามมาตรา ๙๑ ปรากฏว่ากรณีมีมูล อันเป็น ความผดิ วนิ ัยอยา่ งร้ายแรง ใหผ้ ูบ้ งั คบั บัญชาซึง่ มีอาํ นาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ แต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวน ในการสอบสวนต้องแจ้งข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐานให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบพร้อมท้ังรับฟังคําช้ีแจง ของผ้ถู ูกกล่าวหา เม่ือคณะกรรมการสอบสวนดําเนินการเสร็จ ให้รายงานผลการสอบสวนและความเห็นต่อ ผู้บังคบั บญั ชาซง่ึ มอี ํานาจสัง่ บรรจุตามมาตรา ๕๗ ถ้าผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจส่ังบรรจุตามมาตรา ๕๗ เห็นว่าผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้กระทําผิด ตามข้อกล่าวหาให้ส่ังยุติเร่ือง แต่ถ้าเห็นว่าผู้ถูกกล่าวหาได้กระทําผิดตามข้อกล่าวหา ให้ดําเนินการต่อไป ตามมาตรา ๙๖ หรือมาตรา ๙๗ แลว้ แตก่ รณี นอกจากน้ี ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเร่งรัด ติดตามเก่ียวกับกรณีเงินขาดบัญชี หรือเจ้าหน้าท่ขี องรฐั ทจุ รติ พ.ศ. ๒๕๔๖ และทีแ่ ก้ไขเพมิ่ เติม กาํ หนดว่า ข้อ ๖ เพื่อประโยชน์ของทางราชการที่จะให้การดําเนินการเป็นไปโดยรวดเร็ว ในกรณีท่ี สํานักงานการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้ตรวจพบว่าหน่วยงานของรัฐแห่งใดมีกรณีเงินขาดบัญชีหรื อเจ้าหน้าท่ี ของรฐั ทุจรติ และได้ช้ีมูลความผิดแล้ว ให้หน่วยงานของรัฐดังกล่าวดําเนินการให้มีการชดใช้เงินหรือทรัพย์สินคืน รวมทง้ั ดําเนินการทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวนิ ยั แกผ่ ู้ทเ่ี กี่ยวข้องอยา่ งเครง่ ครัดโดยไมต่ อ้ งแต่งต้ังคณะกรรมการ สบื สวนหาขอ้ เทจ็ จริงเพื่อหามูลความผิดอกี ... กล่าวได้ว่า เม่ือสํานักงานฯ ส่งรายงานการตรวจสอบให้หน่วยรับตรวจเพื่อให้ดําเนินการ ทางวนิ ยั กับเจ้าหนา้ ทผี่ ู้เกี่ยวข้องโดยระบุตัวผู้ทําผดิ และพฤติการณ์หรือข้อเท็จจริงที่แสดงว่ามีการกระทําผิด วินัย ถอื เป็นการกลา่ วหาว่ามขี ้าราชการทาํ ผดิ วินยั หากหน่วยรับตรวจเห็นว่าพยานหลักฐานที่มีอยู่นั้นฟังว่า เป็นความผิดแต่มิใช่ความผิดวินัยร้ายแรง จะแจ้งข้อกล่าวหาพร้อมทั้งรับฟังคําชี้แจงของผู้ถูกกล่าวหา หาก เห็นว่ามีการกระทําผิดตามข้อกล่าวหาจริงก็ส่ังลงโทษโดยไม่ต้ังคณะกรรมการสอบสวนก็ได้ แต่หากเห็นว่า เป็นความผิดวินัยร้ายแรงต้องแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนเพ่ือดําเนินการแจ้งข้อกล่าวหา รับฟังคําช้ีแจง แนวทางการรวบรวมพยานหลักฐานประกอบสานวน หนา้ ๒๔

ของผูถ้ กู กลา่ วหา แลว้ รายงานผลการสอบสวนและความเห็นต่อผู้บังคับบัญชา หากเป็นกรณีเฉพาะเงินขาด บัญชีหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐทุจริตที่มีผลมาจากการตรวจสอบของสํานักงานฯ โดยมีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัว ผู้ทําผดิ และพฤตกิ ารณ์ในการทําผดิ หน่วยงานกด็ าํ เนินการให้มีการชดใช้เงินหรือดําเนินการทางวินัย โดยไม่ ต้องแต่งต้ังคณะกรรมการสืบสวนหาข้อเท็จจริงอีก สําหรับพฤติการณ์ใดบ้างท่ีเป็นความผิดวินัยและหน่วย รบั ตรวจนํารายงานการตรวจสอบของสํานักงานฯ ไปดําเนินการทางวินัยต่อได้หรือไม่ เพียงใดน้ัน มีแนวคํา วินิจฉัยของสํานักงาน ก.พ. ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาและแนวคําพิพากษาของศาลปกครองท่ี จะเป็นประโยชน์ตอ่ การปฏบิ ัตงิ านของสาํ นักงานฯ ดังน้ี คาวินิจฉัยของสานกั งาน ก.พ. กรณที ่ีถอื ว่าสานกั งานฯ ชม้ี ูลความผดิ วนิ ยั ขา้ ราชการ - กรณีสานักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบบัญชีของหน่วยงาน โดยตรวจสอบสืบสวน พบว่าเจ้าหน้าท่ีจัดเก็บรายได้ทาการทุจริตนาเงินของหน่วยงานไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว เป็นเหตุให้เงินขาด บัญชี แล้วแจง้ ใหจ้ งั หวัดสง่ เร่ืองให้พนักงานสอบสวนดาเนินคดีตามกฎหมาย กับให้พิจารณาดาเนินการทาง วินัยกับผู้บังคับบัญชาและผู้เก่ียวข้องนั้น ถือได้ว่าสานักงานฯ ได้ช้ีมูลความผิดท่ีควรกล่าวหาผู้ที่เกี่ยวข้อง ว่ามีการกระทาผิดวนิ ยั ตามพระราชบญั ญตั ิระเบียบขา้ ราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๓๕ แลว้ 16 ความเหน็ ของคณะกรรมการกฤษฎีกา รายงานการตรวจสอบของสานักงานฯ ท่ีไม่ระบุข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผู้กระทาผิด เป็น ดุลพินิจของผู้รับตรวจที่จะแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงหรือคณะกรรมการสอบสวนวินัย หรือไม่ - กรณีกรุงเทพมหานครจ้างให้เอกชนขนมูลฝอยจากโรงงานกําจัดมูลฝอยไปทําลาย โดยวิธีฝังกลบจํานวน ๓ โครงการ โดยผู้รับจ้างจะได้รับค่าจ้างตามสัญญาเพียงประการเดียว มิได้ให้สิทธิ อ่ืนใดซึ่งเป็นอํานาจหน้าที่ของกรุงเทพมหานครท่ีมีอยู่ แต่สํานักงานการตรวจเงินแผ่นดินพิจารณาเห็นว่า การจา้ งเหมาเอกชนขนมลู ฝอยและนําไปทําลายโดยวิธีฝังกลบของกรุงเทพมหานครทั้ง ๓ โครงการดังกล่าว เป็นกิจการท่ีกรุงเทพมหานครมีอํานาจหน้าที่ต้องทําตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ ลักษณะของโครงการเป็นการให้เอกชนเข้ามาเป็นผู้ลงทุนในการจัดหาท่ีดิน ส่ิงก่อสร้าง เคร่ืองจักรอุปกรณ์ เพ่ือดําเนินการกําจัดมูลฝอยด้วยทุนทรัพย์ของผู้รับจ้าง รวมทั้งกรุงเทพมหานครได้ให้เอกชนใช้ท่ีดินท่ี โรงงานกําจัดมูลฝอยอ่อนนุช สถานีขนถ่ายมูลฝอยท่าแร้ง และโรงงานกําจัดขยะหนองแขมด้วย ซ่ึงทั้ง ๓ โครงการมีการลงทุนในวงเงินหรือทรัพย์สินมูลค่ามากกว่า ๑,๐๐๐ ล้านบาท การดําเนินการตามโครงการ ดังกล่าวจึงต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดําเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ ดังนั้น การอนุมัติให้จ้างเหมาโดยวิธีประกวดราคาตามนัยข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เร่ือง การพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ จึงมีเจตนาหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามนัยพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้า ร่วมงานฯ เพื่อให้อํานาจพิจารณาหรืออนุมัติเป็นของบุคคลในกรุงเทพมหานคร แล้วสามารถใช้อํานาจ กระทําการให้ผู้รับจ้างรายเดิมได้เป็นผู้มีสิทธิทําสัญญากับหน่วยงานของรัฐ พฤติการณ์น่าเชื่อว่าเป็นการ ทุจริตหรือใชอ้ ํานาจโดยมิชอบ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) มีความเห็นว่า การจ้างให้ผู้รับจ้างท้ังสามเป็น ผู้ดําเนินการ ขนมูลฝอยจากโรงงานกําจัดมูลฝอยและนําไปทําลายโดยวิธีฝังกลบอย่างถูกสุขลักษณะตามท่ี กาํ หนดในสัญญาเพือ่ รับสนิ จา้ งจากกรุงเทพมหานคร โดยไมม่ ีสทิ ธิได้รบั คา่ ตอบแทนหรอื ประโยชน์อ่ืนใดจาก ๑๖ หนงั สอื ท่ี นร ๐๗๐๙.๒/ป ๒๔๒ ลงวนั ที่ ๒๒ มถิ นุ ายน ๒๕๔๒ หนา้ ๒๕ แนวทางการรวบรวมพยานหลักฐานประกอบสานวน

การดําเนินการตามสัญญานี้อีก การจ้างเหมาตามสัญญาดังกล่าวจึงไม่มีลักษณะเป็นการที่กรุงเทพมหานคร รว่ มลงทุนกับเอกชน และมิได้มอบให้เอกชนลงทุนแต่ฝุายเดียวโดยวิธีการอนุญาต หรือให้สัมปทาน หรือให้ สิทธิในลักษณะเดียวกับการอนุญาต หรือให้สัมปทาน การดําเนินการในลักษณะดังกล่าวมิใช่การร่วมงาน หรือดําเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานฯ จึงไม่ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานฯ เมื่อยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการกระทําความผิดตามพระราชบัญญัติ วา่ ด้วยความผดิ เก่ยี วกับการเสนอราคาต่อหนว่ ยงานของรฐั ฯ แล้วหรอื ไม่ กรณนี ้ีจึงยงั ไม่อาจพิจารณาว่าจะมี ผลทําให้สัญญาเป็นโมฆะหรือไม่ ส่วนกรณีที่สํานักงานการตรวจเงินแผ่นดินทักท้วงตามมาตรา ๔๖ แห่ง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๔๒ ท่ีกําหนดไว้ว่า เม่ือ คตง. พิจารณาตรวจสอบว่ามีพฤติการณ์น่าเช่ือว่าเป็นการทุจริตหรือมีการใช้อํานาจหน้าท่ี โดยมิชอบก่อให้เกิด ความเสยี หายแกเ่ งนิ หรือทรัพย์สินของราชการแล้ว คตง. ต้องแจ้งให้ผู้รับตรวจหรือกระทรวงเจ้าสังกัด หรือ ผู้บังคับบัญชาหรือผู้ควบคุมกํากับหรือรับผิดชอบของหน่วยรับตรวจ แล้วแต่กรณี ดําเนินการตามกฎหมาย หรอื ตามระเบียบแบบแผนทร่ี าชการหรอื ทหี่ นว่ ยรับตรวจกําหนดไว้แก่เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ และผู้รับตรวจ ตอ้ งแจ้งให้ คตง. ทราบถึงการดําเนินการภายในทกุ เกา้ สิบวนั เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า คตง. พิจารณาแจ้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในฐานะ เป็นผู้รับตรวจว่า พฤติการณ์น่าเชื่อว่าเป็นการทุจริตหรือมีการใช้อานาจหน้าที่โดยมิชอบ ก่อให้เกิด ความเสียหายแก่เงินหรอื ทรพั ย์สนิ ของราชการ พร้อมท้ังสง่ รายงานการตรวจสอบมาด้วย โดยมิได้มีการ ระบุตัวเจ้าหน้าท่ีผู้กระทาความผิด ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครซึ่งเป็นผู้รับตรวจและเป็นผู้บังคับบัญชา จะแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงหรือคณะกรรมการสอบสวนวินัยหรือไม่ ก็ย่อมขึ้นอยู่กับ ดุลพินิจที่จะพิจารณาดา เนินการตามกฎหมายหรือตามระเบียบ แบบแผนที่ราชการหรือท่ี กรุงเทพมหานครกาหนดไว้แก่เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบต่อไป และจะต้องแจ้งให้ คตง. ทราบภายในทุกเก้า สิบวัน ท้ังนี้ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา ๔๖ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าว ส่วน พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการปูองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ไม่มีบทบัญญัติ ใดบัญญัติว่า เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ดําเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงข้อกล่าวหาใดแล้ว ผู้บังคับบัญชาของ ข้าราชการผู้ถูกกล่าวหาน้ัน ต้องยุติหรือไม่ต้องดําเนินการทางวินัยตามกฎหมายท่ีเก่ียวข้อง คงมีบัญญัติไว้ใน มาตรา ๙๒ แหง่ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการปูองกันและปราบปรามการทุจริตฯ ว่า เมื่อ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พจิ ารณามีมติแล้วว่าผู้ถูกกล่าวหาผู้ใดได้กระทําความผิด ให้ส่งรายงานและเอกสาร ทมี่ ีอยู่เพอื่ ผู้บังคบั บัญชาพจิ ารณาโทษทางวนิ ัยตามฐานความผิดท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติ โดยไม่ต้อง แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอีก เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ได้มีมติตามมาตรา ๙๒ แห่ง พระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรัฐธรรมนูญวา่ ด้วยการปูองกนั และปราบปรามการทจุ ริตฯ การดําเนินการทางวินัยก็ ยอ่ มอยใู่ นดลุ พินจิ ของผู้บังคบั บัญชาท่ีจะต้องพจิ ารณาดําเนนิ การตามกฎหมายต่อไป 17 รายงานการตรวจสอบของสานักงานฯ ที่ระบุข้อเท็จจริง ผู้กระทาความผิด พฤติการณ์ และพยานหลักฐานเก่ียวกับการกระทาความผิดในเบ้ืองต้นแล้ว ผู้รับตรวจต้องดาเนินการทางวินัยกับ เจ้าหนา้ ทโ่ี ดยไมต่ ้องแต่งตงั้ คณะกรรมการสืบสวนหาขอ้ เท็จจริงอกี - กรณีสํานักงานการตรวจเงินแผ่นดินมีหนังสือถึงสํานักข่าวกรองแห่งชาติ โดยอาศัยอํานาจ ตามมาตรา ๔๖ แหง่ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๔๒ แจ้งผลการ ตรวจสอบข้อเท็จจริงและเสนอให้ดําเนินการทางวินัยและทางอาญากับคณะกรรมการกําหนดร่างขอบเขต ๑๗ ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา เร่ืองเสร็จท่ี ๑๖๗/๒๕๕๑ หนา้ ๒๖ แนวทางการรวบรวมพยานหลักฐานประกอบสานวน

ของงาน (TOR) และคณะกรรมการประกวดราคาโครงการจ้างปรับปรุงตกแต่งอาคารสํานักงานของสํานัก ข่าวกรองแห่งชาติ ด้วยวิธีการอิเล็กทรอนิกส์ กรณีมีพฤติการณ์น่าเช่ือว่าเป็นการทุจริตหรือมีการใช้อํานาจ โดยมิชอบและให้ดําเนนิ การทางวนิ ัยแก่ขา้ ราชการอนื่ อีก ๒ ราย คณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นสรุปได้ว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๔๒ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๖๑ ไมไ่ ดก้ าํ หนดให้หนว่ ยรบั ตรวจทไ่ี ดร้ ับแจ้งผลการตรวจสอบของสํานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ต้องดาํ เนนิ การรอ้ งทกุ ขก์ ล่าวโทษตอ่ พนกั งานสอบสวน เดมิ มเี พียงมาตรา ๔๖ แห่งพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๔๒ กําหนดให้ คตง. แจ้งต่อพนักงานสอบสวนเพื่อ ดาํ เนินคดใี นกรณที ี่ตรวจสอบพบวา่ มพี ฤติการณน์ า่ เชอ่ื วา่ เปน็ การทุจริตหรือมีการใช้อํานาจหน้าที่โดยมิชอบ เท่านนั้ แต่เมือ่ ปจั จุบนั มาตรา ๗ และมาตรา ๙๕ วรรคสอง แหง่ พระราชบญั ญตั ิประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การตรวจเงนิ แผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๖๑ กําหนดว่าในกรณีที่สํานักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบแล้วพบว่า เป็นกรณีทุจริต ให้ผู้ว่าการฯ ส่งเร่ืองให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดําเนินการตามหน้าท่ีและอํานาจต่อไป ซึ่ง สํานักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้แจ้งผลการตรวจสอบตามกรณีที่หารือน้ีไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อให้ดําเนินการตามหน้าที่และอํานาจต่อไปแล้ว กรณีจึงเป็นการดําเนินการที่ครบถ้วนตามขั้นตอนที่ บทบัญญัติดงั กลา่ วกาํ หนดแล้ว เมอ่ื เรือ่ งอยรู่ ะหวา่ งการดําเนนิ การของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซ่ึงเป็นองค์กร ท่ีมีหน้าท่ีและอํานาจในการไต่สวนและพิจารณาส่งเร่ืองให้อัยการดําเนินคดีอาญา จึงไม่มีเหตุให้สํานักข่าว กรองแห่งชาตซิ ่งึ เปน็ หน่วยรับตรวจตอ้ งร้องทกุ ขก์ ลา่ วโทษตอ่ พนกั งานสอบสวนเพ่ือดาํ เนินคดอี าญาอีก นอกจากน้ี เห็นว่า การดาเนินการทางวินัยของสานักข่าวกรองแห่งชาติตามผลการ ตรวจสอบของสานักงานการตรวจเงินแผ่นดินนั้น ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการ ตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๖๑ ไม่มีบทบัญญัติข้อใดกาหนดให้หน่วยรับตรวจต้องดาเนินการทางวินัย โดยผกู พันขอ้ เท็จจรงิ ตามผลการตรวจสอบของสานกั งานการตรวจเงินแผ่นดิน การดาเนินการทางวินัย ของสานกั ขา่ วกรองแห่งชาติในกรณีดังกล่าวจึงตอ้ งเป็นไปตามกฎหมายและระเบยี บที่เก่ียวข้อง ซึ่งได้แก่ มาตรา ๙๑ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ท่ีกําหนดว่าในกรณีที่ เห็นว่ามีมูลท่ีควรกล่าวหาว่าข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทาผิดวินัย โดยมีพยานหลักฐานใน เบื้องต้นอยู่แล้วให้ดาเนินการทางวินัยตามมาตรา ๙๒ และมาตรา ๙๓ ต่อไป ซึ่งจะเห็นได้ว่ามิได้บังคับ ให้ในทกุ กรณตี อ้ งสืบสวนหรอื พิจารณาในเบ้ืองต้นว่าเป็นกรณีมีมูลท่ีควรกล่าวหาตามมาตรา ๙๑ วรรคหน่ึง หากเป็นกรณีทมี่ พี ยานหลกั ฐานในเบ้ืองตน้ อยู่แลว้ ก็ยอ่ มดําเนนิ การทางวินัยต่อไปได้ทันที ประกอบกับข้อ ๖ วรรคหน่ึง แห่งระเบียบสานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเร่งรัดติดตามเกี่ยวกับกรณีเงินขาดบัญชีหรือ เจ้าหน้าท่ีของรัฐทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๖ กาหนดว่า กรณีที่สานักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบพบว่า เจ้าหนา้ ทข่ี องรัฐทุจรติ และไดช้ ้มี ลู ความผดิ แล้ว ใหห้ นว่ ยงานของรัฐดาเนินการทางแพ่ง ทางอาญา หรือทาง วินัยแก่ผู้ที่เก่ียวข้องอย่างเคร่งครัด โดยไม่ต้องแต่งต้ังคณะกรรมการสืบสวนหาข้อเท็จจริงอีก ดังน้ัน เม่ือปรากฏว่า ผลการตรวจสอบของสานักงานการตรวจเงินแผ่นดินดังกล่าวได้ระบุถึงพ ฤติการณ์ น่าเชื่อว่ามีการทุจริต และได้ระบุชัดเจนถึงตัวเจ้าหน้าที่ที่กระทาผิดว่าได้แก่ผู้ใด พร้อมท้ัง พยานหลักฐานในเบ้ืองต้นเก่ียวกับการกระทาผิดแล้ว สานักข่าวกรองแห่งชาติก็ย่อมมีหน้าท่ีต้อง ดาเนินการทางวินัยตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายและระเบียบดังกล่าว โดยไม่ต้องแต่งตั้งคณะกรรมการ สืบสวนหาข้อเท็จจริงอีก อย่างไรก็ดี ในกรณีท่ีปรากฏว่าข้อเท็จจริงท่ีเกิดข้ึนเป็นไปตามผลการตรวจสอบ ของสํานักงานการตรวจเงินแผ่นดินดังกล่าวแล้ว แต่สํานักข่าวกรองแห่งชาติละเลยข้อเท็จจริงน้ันและไม่ ดําเนินการทางวินยั ตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องก็อาจเข้าข่ายละเลยการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบอัน แนวทางการรวบรวมพยานหลกั ฐานประกอบสานวน หนา้ ๒๗

เป็นความผิดทางอาญาหรือเป็นการช่วยเหลือผู้กระทําความผิดอันอาจเป็นความผิดทางวินัย ซึ่งสํานักงาน การตรวจเงินแผ่นดินอาจแจ้งให้สํานักงาน ป.ป.ช. ดําเนินการตามหน้าท่ีและอํานาจต่อไป ท้ังนี้ แนว ความเห็นดังกล่าวมิได้ขัดหรือแย้งกับความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เร่ืองเสร็จท่ี ๑๖๗/๒๕๕๑ ท่ีให้ ความเห็นสรุปได้ว่า ในกรณีที่ผลการตรวจสอบของสํานักงานการตรวจเงินแผ่นดินระบุเพียงแต่พฤติการณ์ น่าเช่ือว่ามีการทุจริตโดยมิได้มีการระบุตัวเจ้าหน้าท่ีผู้กระทาความผิด หน่วยรับตรวจที่ได้รับแจ้งผลการ ตรวจสอบดังกล่าวก็ย่อมมีดุลพินิจที่จะต้ังคณะกรรมการสืบสวนหาข้อเท็จจริงหรือคณะกรรมการสอบสวน ทางวนิ ัยตามกฎหมายและระเบียบท่ีเก่ียวขอ้ งตอ่ ไปได้ 18 แนวคาพิพากษาศาลปกครองสูงสุด แม้เป็นหน้าท่ีที่ได้รับมอบหมายอีกหน้าท่ีหน่ึง หากปรากฏว่ามีการทุจริตนาเงินของ หนว่ ยงานไปใชป้ ระโยชน์ก็ถอื เป็นการปฏบิ ตั ิหนา้ ที่และเปน็ ความผิดวนิ ยั ร้ายแรง - กรณี นาง ก. ตาํ แหน่งนกั วชิ าการการเงนิ และบญั ชี สํานกั วิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งหน่ึง ได้รับมอบหมายให้ทําหน้าท่ีเบิกเงินจากบัญชีเงินฝากกองทุนมหาวิทยาลัย ได้เบิกเงินจากธนาคาร ๒๐๐,๐๐๐ บาท เพ่ือจ่ายให้นักวิจัยสองรายตามโครงการวิจัยของมหาวิทยาลัย แต่ นาง ก. โอนเงินให้ นักวิจัยแล้ว ๑ ราย ส่วนอีกรายไม่ได้โอนให้ทันที กลับนําเงินไปฝากเข้าบัญชีธนาคารส่วนตัวกว่า ๕๐ วัน เมือ่ มีการทวงถามจงึ โอนเงินใหน้ ักวจิ ัย ศาลปกครองสูงสุด วินิจฉัยว่า นาง ก. ตําแหน่งนักวิชาการการเงินและบัญชี ได้รับ มอบหมายจากผู้บังคบั บัญชาให้มหี น้าทรี่ ับผิดชอบงานกองทุนมหาวิทยาลัยอีกหน้าท่ีหน่ึง โดยนาง ก. เป็นผู้ เบกิ เงนิ จากบัญชเี งินฝากกองทุนเพื่อสง่ ให้นักวิจัย ถือว่าการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวอยู่ในความรับผิดชอบของ นาง ก. โดยตรง การท่ี นาง ก. เบิกเงินกองทุนไปจ่ายให้นักวิจัยเพียง ๑ คน ไม่จ่ายให้นักวิจัยอีกคนหนึ่ง แต่กลับนําฝากเข้าบัญชีตนเองโดยที่ระเบียบของมหาวิทยาลัยไม่กําหนดให้ทําได้ ถือว่า การนําเงินราชการ ฝากเข้าบญั ชตี นเอง เป็นการดําเนนิ การนอกเหนอื ทีร่ ะเบียบกําหนด นอกจากน้ี ไม่ปรากฏว่านาง ก. มีความ พยายามที่จะติดต่อเพ่ือโอนเงินให้กับนักวิจัย หรืออาจใช้วิธีเก็บรักษาเงินเข้าบัญชีกองทุนไว้ก่อนหรือใช้วิธี ซื้อตั๋วแลกเงินหรือแคชเชียร์เช็คของธนาคารสั่งจ่ายในนามนักวิจัย แต่กลับนําเงินเข้าบัญชีส่วนตัวนานกว่า ๕๐ วนั เมื่อถูกทวงถามจึงนําเงินให้นักวิจัย แสดงให้เห็นถึงเจตนาท่ีแท้จริง อีกท้ังงานการเงินและบัญชีของ กองทุนเป็นงานส่วนพิเศษท่ีมิได้มีปริมาณมากจนเกินภาระ และ นาง ก. จบการศึกษาเก่ียวกับการเงินและ บัญชีและดํารงตําแหน่งนักวิชาการการเงินและบัญชี มีหน้าท่ีเก่ียวกับงานการเงินและบัญชีย่อมเป็นผู้มี ความรู้ความเชี่ยวชาญในการเบิกจ่ายเงินเป็นอย่างดี การนําเงินฝากเข้าบัญชีตนเองและนําไปใช้ประโยชน์ใน ช่วงเวลาดังกลา่ วหลายคร้ังเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าท่ีราชการโดยมิชอบเพ่ือให้ตนเองได้รับ ประโยชน์ท่ีมิควรได้ เป็นการทุจริตตอ่ หน้าท่ีราชการและเป็นความผิดวนิ ยั รา้ ยแรง 19 การชดใช้ค่าเสียหายภายหลังจากการทุจริตต่อหน้าที่ ไม่ทาให้ความผิดวินัยร้ายแรง เปลย่ี นแปลงไป - กรณี นาย ก. ดํารงตําแหน่งเภสัชกร 8 วช. ประจําสํานักงานสาธารณสุขจังหวัด ได้รับแต่งตั้ง ให้เป็นเจ้าหน้าที่พัสดุ มีหน้าท่ีดําเนินการจัดหาจัดซ้ือยาและเวชภัณฑ์ ถูกกล่าวหาว่ากระทําผิดวินัยอย่าง รา้ ยแรง โดยมมี ลู เนือ่ งมาจากสํานักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาค (ขณะนั้น) ตรวจสอบการจัดซื้อยาและ เวชภัณฑ์จากเงินงบประมาณท่ีไดร้ ับจัดสรรจากส่วนกลาง พบว่า ในการดําเนินการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ที่ ๑๘ ความเหน็ คณะกรรมการกฤษฎีกา เร่ืองเสร็จที่ ๙๔๔/๒๕๖๑ หนา้ ๒๘ ๑๙ คาพพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ.๓๓๔/๒๕๕๗ แนวทางการรวบรวมพยานหลกั ฐานประกอบสานวน

มิใช่ยา นาย ก. และผู้เก่ียวข้องมีพฤติการณ์น่าเช่ือว่าทุจริตและไม่ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทาง ราชการเป็นเหตุให้ทางราชการได้รับความเสียหาย คือ มีการเบิกจ่ายเงินให้กับผู้ขายไปก่อนทั้งท่ีการจัดส่ง เวชภัณฑ์ยังไม่ครบถ้วน คณะกรรมการตรวจรับลงนามตรวจรับโดยท่ีไม่ได้มีโอกาสตรวจนับ มีการจัดทํา หลักฐานอันเป็นเท็จ มีการจัดซื้อจากผู้ขายรายเดียวกันท่ีมีราคาสูงกว่าและมีลักษณะเป็นการแบ่งซ้ือให้ วงเงินในใบส่งั ซอื้ แต่ละฉบบั ไมเ่ กินวงเงินสําหรับการจดั ซื้อโดยวธิ ตี กลงราคา ปลัดกระทรวงสาธารณสุขจึงมีคําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน นาย ก. และบุคคลที่ เก่ียวข้อง และมีคําสั่งลงโทษไล่ นาย ก. ออกจากราชการ นาย ก. เห็นว่าการดําเนินการตามท่ีถูกกล่าวหา มีผู้เกี่ยวของหลายคนและมีหลายขั้นตอน นาย ก. เป็นเพียงผู้รับคําส่ังให้ปฏิบัติโดยทํารายการจัดซื้อ คือ รวบรวมเอกสารตดิ ต่อประสานงานและเสนอนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพิจารณา แต่ผู้บังคับบัญชาได้รับ การลงโทษเพยี งปลดออกและข้าราชการอีกสามคนถูกลงโทษเพียงภาคทัณฑ์ อีกทั้งการกระทําไม่ถึงกับเป็น เหตุให้ทางราชการเสียหายอย่างร้ายแรง เพราะต่อมาหน่วยงานก็ได้รับสินค้าครบถ้วนตามสัญญาแล้ว นอกจากน้ีในทางคดีอาญาพนักงานสอบสวนก็มีความเห็นควร “ส่ังไม่ฟูอง” การวินิจฉัยจึงควรรอผลการ พิจารณาของพนักงานอยั การก่อน ศาลปกครองสูงสดุ ไดแ้ ยกพิจารณา ๒ ประเดน็ คือ สําหรับประเด็น คําส่ังลงโทษไล่ผู้ฟูองคดีออกจากราชการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ หาก ตอ่ มาหน่วยงานไดร้ บั สินคา้ ครบถ้วนตามสัญญาแล้ว ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า ความมุ่งหมายของการ ดาเนินการทางวินัยแก่ข้าราชการก็เพ่ือควบคุมความประพฤติให้ข้าราชการดารงตนให้สมศักด์ิศรีของ ตาแหน่งหนา้ ท่ีทีไ่ ดร้ บั มอบหมายและในการพิจารณาโทษทางวินัยผู้บังคับบัญชาย่อมต้องพิจารณาตาม ระดับความร้ายแรงของการกระทาหรือพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหา ตลอดจนหน้าที่ความรับผิดชอบ ของผู้กระทาผิดแต่ละคนเพ่ือให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกกล่าวหา เม่ือผลการสอบสวนมีพยานหลักฐาน เช่ือได้ว่า นาย ก. กระทาความผิดตามที่ถูกกล่าวหาจริง โดย นาย ก. ได้ทําหลักฐานอันเป็นเท็จโดยลง ลายมือชื่อในใบส่งของว่าเป็นผู้รับท้ังหมดโดยที่ยังไม่มีของให้ตรวจรับ ได้รวบรวมเอกสารเกี่ยวกับการเบิก จ่ายเงนิ ส่งใหง้ านการเงนิ เพื่อเบกิ จา่ ยเงนิ ใหแ้ กผ่ ู้ขายไปกอ่ นทีจ่ ะไดร้ บั สนิ ค้าครบถ้วน มีการปรับเปล่ียนราคา สิ่งของโดยได้ออกใบส่งของใหม่และได้เปลี่ยนราคารายการต่าง ๆ ให้สูงข้ึนเพ่ือเบิกจ่ายเงินให้แก่ผู้ขายอัน แสดงถึงการปฏิบัติหน้าท่ีราชการเพ่ือให้ตนเองหรือผู้อ่ืนได้ประโยชน์ที่มิควรได้ นอกจากนี้ ยังได้จัดซ้ือยา และเวชภัณฑ์ในลักษณะแบ่งซื้อโดยแยกใบส่ังซื้อยาและเวชภัณฑ์ที่เป็นชนิดเดียวกันจากผู้ขายรายเดียวกัน หรอื ผู้ขายท่จี ดทะเบยี นการค้าไวห้ ลายชอื่ แต่เปน็ เจา้ ของเดยี วกัน เพ่ือให้วงเงินในใบส่ังซ้ือแต่ละฉบับไม่เกิน วงเงนิ สําหรับการจดั ซ้ือโดยวิธตี กลงราคา ซง่ึ การจัดซื้อดังกล่าวสามารถจัดซ้ือโดยวิธีสอบราคาหรือประกวด ราคาได้ทันตามกําหนดเวลา จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบสานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 ทาให้ราชการได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง ไม่ว่าต่อมาในภายหลังหน่วยงานจะได้รับ สินค้าครบถ้วนหรือไม่ก็ตามพฤติการณ์ของ นาย ก. เป็นการทาผิดวินัยอย่างร้ายแรงฐานปฏิบัติหน้าท่ี ราชการโดยมิชอบเพ่ือใหต้ นเองหรือผู้อ่ืนได้ประโยชนท์ ี่มคิ วรได้ เป็นการทุจริตตอ่ หน้าท่รี าชการและฐาน ปฏิบัติหน้าท่ีราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบอันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ ราชการอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 82 วรรคสาม และมาตรา 85 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบ ข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 ซึ่งมาตรา 104 วรรคหน่ึงให้ผู้บังคับบัญชาลงโทษปลดออกหรือไล่ออก ตามความร้ายแรงแห่งกรณี ดังน้ัน การที่ผู้บังคับบัญชามีคําสั่งลงโทษไล่ นาย ก. ออกจากราชการ จึงเป็น การใช้ดุลพินิจท่ีเหมาะสมตามความร้ายแรงแห่งกรณีตามมาตรา 104 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติ ดงั กล่าวและเป็นคําสั่งทช่ี อบด้วยกฎหมาย แนวทางการรวบรวมพยานหลกั ฐานประกอบสานวน หนา้ ๒๙

สําหรับประเด็น การออกคําสั่งลงโทษทางวินัยจะต้องรอผลการพิจารณาของพนักงานอัยการ ก่อนหรือไม่ ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า การดําเนินคดีอาญากับการดําเนินการทางวินัยมีวัตถุประสงค์ท่ี แตกต่างกัน ซึ่งการดําเนินคดีอาญามีวัตถุประสงค์ท่ีจะควบคุมแก้ไขมิให้บุคคลกระทําการอันกฎหมาย บัญญตั ิวา่ เป็นความผิดและกําหนดโทษไว้โดยนําตัวผู้กระทําผิดมาลงโทษตามกฎหมายและโทษทางอาญามี ผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ดังนั้น กระบวนการและขั้นตอนของการสอบสวนเพ่ือลงโทษ ผูก้ ระทาํ ผิดทางอาญา จึงตอ้ งมพี ยานหลักฐานโดยชัดแจง้ มเิ ช่นนน้ั แลว้ ต้องยกประโยชน์แหง่ ความสงสัยให้ผู้ ถกู กลา่ วหา สว่ นการดาํ เนนิ การทางวนิ ัยเป็นมาตรการที่มุ่งจะปูองปรามมิให้เจ้าหน้าท่ีของรัฐกระทําการฝุา ฝนื ขอ้ ห้ามตามท่ีกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ ข้อกําหนด รวมทั้งขนบธรรมเนียมของทางราชการกําหนดไว้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาระเบียบวินัยของเจ้าหน้าที่ให้เป็นผู้เหมาะสมและสมควรแก่ความไว้วางใจของ สาธารณชนที่จะใช้อํานาจรัฐในการจัดทําบริการสาธารณะเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน เม่ือ พยานหลักฐานจากการสอบสวนฟังได้ว่า นาย ก. กระทําความผิดตามท่ีถูกกล่าวหาจริง ทั้งไม่มีบทบัญญัติ กฎหมายใดกําหนดให้การดําเนินการทางวินัยต้องฟังผลการดําเนินคดีอาญา ดังน้ัน การลงโทษทางวินัยแก่ นาย ก. จึงไม่จาํ ตอ้ งรอผลการพิจารณาของพนักงานอัยการ 20 การจัดซื้อพัสดุไมจ่ าต้องพจิ ารณาราคาต่าสดุ เพยี งอย่างเดยี ว แตต่ อ้ งคานึงถึงประโยชน์ ของราชการโดยรวมเปน็ สาคัญ - กรณีสํานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (ขณะน้ัน) ตรวจสอบจัดซื้อรถยนต์บรรทุกขนาด 1 ตัน (ดีเซล) พร้อมหลังคาไฟเบอร์กลาส จํานวน 75 คัน เพื่อนําไปใช้ในกิจการของสํานักงาน คณะกรรมการการเลือกต้ัง (กกต.) ประจําจังหวัด แล้วเห็นว่าการดําเนินการดังกล่าวขัดต่อระเบียบสํานัก นายกรฐั มนตรวี า่ ดว้ ยการพสั ดุ พ.ศ. 2535 เน่ืองจากไม่จัดซ้ือรถยนต์จากผู้ท่ีเสนอราคาต่ําสุดซึ่งเสนอราคา โดยชอบตามเงื่อนไขท่ีกําหนดในเอกสารประกวดราคา และมีการกระทําอันน่าเชื่อว่าเข้าข่ายความผิดตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 จึงให้ประธาน กรรมการการเลือกต้ังพิจารณาดําเนินการตามกฎหมายและทางวินัยแก่ เลขาธิการคณะกรรมการการ เลือกตง้ั (เลขาธิการ กกต.) และแจ้งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ดําเนินการตามหน้าที่และอํานาจด้วย หลังจาก นนั้ สํานักงาน ป.ป.ช. แจง้ ผลการพิจารณาต่อ กกต. ว่า ไม่ปรากฏพยานหลักฐานที่รับฟังได้ว่าการใช้อํานาจ ของเลขาธิการ กกต. มพี ฤติการณ์หรือเปน็ การกระทาํ โดยวิธีการอน่ื ใดเป็นเหตุให้บริษัท ข ไม่มีโอกาสเข้าทํา การเสนอราคาอย่างเป็นธรรม หรือเพ่ือเอื้ออํานวยแก่ผู้เข้าเสนอราคารายใดให้เป็นผู้มีสิทธิทําสัญญากับ สํานักงาน กกต. ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเก่ียวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 หรือมีการกระทําความผิดฐานทุจริตหรือกระทําความผิดต่อหน้าที่ตามพระราชบัญญัติ ประกอบรฐั ธรรมนูญ วา่ ดว้ ยการปูองกนั และปราบปรามการทจุ รติ แหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 ข้อกล่าวหาไม่มีมูล คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงยตุ ิเรือ่ ง ในการดําเนินการสอบสวนต่อมาน้ัน คณะกรรมการสอบสวนฝุายเสียงข้างมาก เห็นว่า เลขาธิการ กกต. ไม่ได้กระทําผิดต่อตําแหน่งหน้าท่ีตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงาน ของรัฐ พ.ศ. 2542 และไม่ได้กระทําความผิดวินัยอย่างร้ายแรงฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าท่ี โดยมชิ อบเพ่ือให้ตนเองหรอื ผูอ้ ืน่ ได้รับประโยชน์ท่ีมิควรได้ อันเป็นการทุจริตต่อหน้าท่ี ตามข้อ 55 วรรคสาม ของระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการบริหารงานบุคคล พ.ศ. 2542 เพียงแต่เป็นการกระทํา ทฝ่ี ุาฝืนขอ้ 50(1) และ ขอ้ 51 ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 ซึ่งยังไม่เกิด ๒๐ คาพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ.๘๗๔/๒๕๕๖ หนา้ ๓๐ แนวทางการรวบรวมพยานหลักฐานประกอบสานวน

ความเสียหายแก่สํานักงาน พฤติการณ์จึงเป็นการกระทําผิดวินัยไม่ร้ายแรง ฐานไม่ต้ังใจปฏิบัติหน้าท่ีให้ เกิดผลดีหรือความก้าวหน้าแก่สํานักงานด้วยความอุตสาหะ เอาใจใส่ และระมัดระวังรักษาผลประโยชน์ ของสํานักงานและฐานไม่ถือปฏิบัติตามระเบียบและแบบธรรมเนียมของสํานักงาน เห็นสมควรลงโทษ ตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 4 เดือน ส่วนฝุายเสียงข้างน้อยเห็นว่า การกระทําของเลขาธิการ กกต. เป็น ความผิดวนิ ัยอยา่ งรา้ ยแรง แต่โดยทไ่ี มป่ รากฏพยานหลกั ฐานใดแสดงว่าเลขาธิการ กกต. แสวงหาหรือได้รับ ประโยชน์ใดจากการกระทําดังกล่าว จึงเห็นควรลงโทษปลดออก ประธานกรรมการการเลือกตั้งจึงมีคําส่ัง ปลดเลขาธกิ าร กกต. ออกจากราชการ แต่คณะกรรมการการเลือกต้ังเสียงข้างมากพิจารณาแล้วเห็นว่าการ ลงโทษไม่เหมาะสมกับความผิด จึงมีมติลงโทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 4 เดือน แต่เน่ืองจากในขณะที่ มีคําสั่งเลขาธกิ าร กกต. พ้นจากตาํ แหนง่ ไปแล้วเพราะเหตคุ รบวาระ จึงให้งดโทษตดั เงินเดอื น ศาลปกครองสูงสุดได้พิจารณา ข้อ 50 ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 ที่กําหนดให้คณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาพิจารณาผลโดยคัดเลือกสิ่งของท่ี ตรวจสอบแล้วถูกต้องตามเง่ือนไขในเอกสารประกวดราคา ซ่ึงมีคุณภาพและคุณสมบัติเป็นประโยชน์ ตอ่ ทางราชการแล้วเสนอให้ซ้ือจากผู้เสนอราคาซ่ึงเสนอราคาต่ําสุดแล้ว เห็นว่าบทบัญญัติดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ ให้พิจารณาถึงคุณภาพและคุณสมบัติของส่ิงของท่ีเป็นประโยชน์ต่อทางราชการเป็นสําคัญย่ิงกว่าการพิจารณา จากราคาต่ําสุดแต่เพียงอย่างเดียว อีกทั้งในประกาศประกวดราคาได้มีข้อกาหนดให้ สานักงานคณะกรรมการ การเลือกต้งั ทรงไวซ้ ึง่ สิทธิท่จี ะไม่รับราคาตา่ สดุ หรอื ราคาหนง่ึ ราคาใดหรอื ราคาที่เสนอท้ังหมดก็ได้ และอาจ พิจารณาเลือกซ้อื ในจานวนหรอื ขนาดหรือเฉพาะรายการหนึ่งรายการใด หรืออาจจะยกเลิกการประกวดราคา โดยไมพ่ ิจารณาซ้อื เลยกไ็ ด้ สุดแต่จะพิจารณา ทั้งน้ีเพื่อประโยชน์ของสานักงานเป็นสาคัญ และให้ถือว่าการ ตดั สินของสาํ นักงานเป็นเด็ดขาด ผู้เสนอราคาจะเรียกรอ้ งคา่ เสียหายใด ๆ มิได้ ดังน้ัน เลขาธิการ กกต. จึงมี สิทธิท่ีจะพิจารณาคัดเลือกส่ิงของท่ีเป็นประโยชน์ต่อทางราชการมากที่สุดและมิใช่เป็นกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลง สาระสําคญั ในรายละเอียดหรอื เงอื่ นไขทกี่ าํ หนดไว้ในเอกสารประกวดราคาซ่ึงทําให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบ ระหว่างผู้เข้าเสนอราคาด้วยกัน อันเป็นท่ีเหตุที่จะต้องพิจารณายกเลิกการประกวดราคาตามข้อ 53 ของระเบยี บสํานกั นายกรัฐมนตรวี า่ ดว้ ยการพัสดุ พ.ศ. 2535 เมื่อข้อเท็จจ ริ งป รา กฏว่ าค ณะกรร มกา รพิ จ าร ณา ผ ลการ ป ระกว ด รา คา เ สีย งข้า งน้ อย เสนอให้ยกเลิกการประกวดราคา โดยเห็นว่าการจัดซื้อรถยนต์จากบริษัท ก จะมีความเหมาะสมและเป็น ประโยชน์แก่สํานักงานมากกว่าบริษัท ข รวมท้ังสามารถส่งมอบรถได้อย่างรวดเร็ว การท่ีเลขาธิการ กกต. ไม่ยกเลกิ การประกวดราคา แต่อนุมตั ใิ ห้จดั ซื้อรถยนต์จากบรษิ ัท ก จึงเป็นไปตามเงื่อนไขที่กําหนดในประกาศ ประกวดราคาและเป็นการดําเนินการเพื่อประโยชน์ของสํานักงาน อีกทั้งยังจัดซ้ือในราคาท่ีต่ํากว่าบริษัท ข จึงไม่เกิดความเสียหายแก่ราชการ การกระทําของเลขาธิการ กกต. จึงไม่เป็นความผิดวินัยฐานไม่ตั้งใจ ปฏิบัติหน้าท่ีให้เกิดผลดีหรือความก้าวหน้าแก่สํานักงานและความอุตสาหะเอาใจใส่และระมัดระวังรักษา ผลประโยชน์ของสํานักงานตามข้อ 56 วรรคหนึ่ง ของระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการบริหารงาน บุคคล พ.ศ. 2542 และฐานไม่ถือปฏิบัติตามระเบียบและธรรมเนียมของสํานักงานตามข้อ 62 ของ ระเบียบเดยี วกัน คําส่ังลงโทษทางวินัยเลขาธิการ กกต. จงึ เป็นคาํ ส่ังท่ไี ม่ชอบด้วยกฎหมาย 21 คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดคดีนี้ รับฟังเป็นแนวทางในการตรวจสอบได้ว่า (๑) ในการ พิจารณาการจัดซื้อย่อมต้องพิจารณาประโยชน์ของราชการโดยรวมเป็นหลัก มิจําต้องรับพิจารณาผู้เสนอ ราคาที่เสนอราคาตํ่าสุดเพียงอย่างเดียว ท้ังน้ี หากมีข้อกําหนดให้ทําได้ (๒) คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่จาต้อง ๒๑ คาพพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ.๗๕๙/๒๕๕๙ หนา้ ๓๑ แนวทางการรวบรวมพยานหลักฐานประกอบสานวน

พิจารณาวินิจฉัยตามผลการตรวจสอบของสานักงานฯ จึงยุติเรื่องในกรณีที่ไม่ปรากฏพยานหลักฐานจากการ ตรวจสอบของสานกั งานฯ ทจ่ี ะรับฟังได้ว่ามีพฤติการณ์หรือการกระทาท่ีเป็นเหตุให้ผู้เสนอราคารายใดรายหน่ึง ไม่มโี อกาสเข้าทาการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม หรือเพื่อเอ้ืออานวยแก่ผู้เข้าเสนอราคารายใดให้เป็นผู้มีสิทธิ ทาสัญญากับหน่วยงานอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเก่ียวกับการเสนอราคา ต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 หรือมีการกระทาความผิดฐานทุจริตหรือกระทาความผิดต่อหน้าที่ ตามพระราชบัญญตั ิประกอบรฐั ธรรมนูญว่าดว้ ยการป้องกนั และปราบปรามการทจุ รติ พ.ศ. 2542 ๓.๓ แนวทางการรวบรวมพยานหลกั ฐานประกอบสานวนของสานักงานฯ ด้วยหนา้ ทีแ่ ละอํานาจของสํานักงานฯ ท่ีกล่าวมาข้างต้นตลอดจนคําวินิจฉัยของหน่วยงาน ท่ีเกย่ี วข้องหรือคําพพิ ากษาศาล รวมถึงข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับการตรวจสอบของสํานักงานฯ เห็นว่า ในการ ตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ หรือตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐแล้วพบ ขอ้ บกพรอ่ ง มีขอ้ สงั เกตทค่ี วรพิจารณา ดังนี้ - กรณีข้อบกพร่องที่ตรวจพบมีลักษณะหรือมีพฤติการณ์เป็นการทุจริต ต้องส่งเรื่องให้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดําเนินการตามหน้าที่และอํานาจนั้น สํานักงานฯ จะรวบรวมพยานหลักฐานเพียงใด จึงจะสอดคล้องกับหน้าท่ี กรณีน้ี พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๖๑ กําหนดไว้สรปุ ได้วา่ กรณตี รวจพบข้อบกพรอ่ งที่มีลักษณะเป็นการทุจริต หรือมีหลักฐานควรเชื่อได้ว่าการใช้ จ่ายเงินมีพฤติการณ์อนั เป็นการทุจริตตอ่ หนา้ ที่และผวู้ ่าการฯ ไม่อาจดําเนินการใดได้ให้ผู้ว่าการฯ ส่งเร่ืองให้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาดําเนินการตามหน้าที่และอํานาจ ซึ่งหมายถึง คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหน้าท่ีในการไต่สวน วินิจฉัยความผิดเก่ียวกับการทุจริตและส่งสํานวนให้อัยการสูงสุดฟูองคดีต่อศาลหาก พบว่ามีมูลความผิดจริง ดังน้ัน หากสานักงานฯ ตรวจพบลักษณะหรือพฤติการณ์การทุจริต จึงมีหน้าที่ เพียงรวบรวมพยานหลักฐานตามองค์ประกอบความผิดให้ครบถ้วนว่า (๑) เป็นเจ้าหน้าที่ (๒) มีหน้าท่ี (๓) มขี อ้ เท็จจริงหรือพฤติการณ์ท่ีมลี ักษณะของการทุจริต และ (๔) มีความเสียหายเกิดข้ึนจริงและระบุ เป็นตัวเงินได้ชัดเจน เพื่อส่งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนและวินิจฉัยความผิด ดังนั้น มาตรฐานการ พสิ ูจน์ข้อเทจ็ จริงที่จะสอดคล้องกบั การปฏิบัติหน้าที่ของสํานักงานฯ ตามท่ีกฎหมายกําหนด คือ การพิสูจน์ ขอ้ เทจ็ จรงิ โดยมพี ยานหลกั ฐานแสดงได้ว่า “มีลักษณะเป็นการทุจริตหรือมีพฤติการณ์อันเป็นการทุจริต ต่อหน้าที่” ในขณะท่ีระดับการพิสูจน์จนสิ้นสงสัยเป็นหน้าที่ของหน่วยงานท่ีมีหน้าท่ีในการวินิจฉัย ความผิด หมายถึง คณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งเปรียบได้กับระดับการพิสูจน์ข้อเท็จจริงในการดําเนิน กระบวนการทางอาญาที่พนักงานสอบสวนมีหน้าท่ีต้องสอบสวนรวบรวมข้อเท็จจริงเพื่อส่งสํานวนให้อัยการ สงั่ ฟอู ง โดยมีศาลเป็นผู้ใชด้ ลุ พินิจในการชง่ั นาํ้ หนกั พยานหลักฐานในระดบั การพิสูจน์จนส้นิ สงสัย ส่วนระดับการพิสูจน์ข้อเท็จจริงด้วยพยานหลักฐานแต่ละระดับนั้นได้กล่าวไว้ในบทท่ี ๑ แล้วว่า การ ชั่ งนํ้ าหนั กพยาน หลั กฐ าน เป็ นการนํ าพยานหลั กฐ านที่ รั บฟั งได้ มาชั่ งน้ํ าหนั กว่ าพยานหลั กฐ าน ใดมีความน่าเชื่อถือและสามารถใช้พิสูจน์ความผิดได้ ซ่ึงเป็นเรื่องของการใช้ดุลพินิจทั่ว ๆ ไป ไม่มีกฎเกณฑ์ กําหนดตายตัว จึงต้องใช้ความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ในการประมวลหรือวิเคราะห์ว่า พยานหลักฐานมคี วามน่าเชือ่ ถือมากนอ้ ยเพียงใด สามารถใชพ้ สิ ูจน์ข้อเทจ็ จรงิ ได้หรือไม่ เม่ือเทียบกับจิตสํานึก ของบุคคลทั่วไป - กรณีพบข้อบกพร่องที่มีลักษณะก่อให้เกิดความเสียหาย พระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๘๕ และมาตรา ๙๕ กําหนดให้ผู้ว่าการฯ แจง้ ให้ผ้รู ับตรวจพจิ ารณาดําเนินการเพื่อให้มีการชดใช้ค่าเสียหายต่อรัฐหรือหน่วยรับตรวจ หรือดําเนินการ ทางวินัยแล้วแต่กรณี ซึ่งหมายถึง การดําเนินการตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ แนวทางการรวบรวมพยานหลักฐานประกอบสานวน หนา้ ๓๒

พ.ศ. ๒๕๓๙ หรือกฎหมายหรือระเบียบท่ีเก่ียวกับการดําเนินการทางวินัยที่หน่วยรับตรวจถือปฏิบัติ เช่น พระราชบัญญตั ริ ะเบยี บข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ การดําเนินการของหนว่ ยรับตรวจตามพระราชบัญญตั คิ วามรบั ผดิ ทางละเมดิ ของเจ้าหน้าท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ เพ่ือให้มีการชดใช้ค่าเสียหายนั้น ศาลปกครองได้วางแนวคําวินิจฉัยว่า “ความเสียหาย” ต้อง เปน็ ความเสยี หายที่เกิดข้นึ จรงิ และสามารถคานวณได้ หน่วยงานจงึ เรียกให้ผตู้ ้องรับผดิ ชดใช้ค่าเสียหาย นั้นได้ สํานักงานฯ จึงควรนําแนวคําวินิจฉัยดังกล่าวมาปรับใช้กับการตรวจสอบให้เป็นแนวทางเดียวกันว่า กรณีมีข้อบกพร่องแล้วก่อให้เกิดความเสียหายสํานักงานฯ ก็ควรรวบรวมข้อมูลหรือพิสูจน์ความเสียหายที่ เกดิ ขึน้ จริงและสามารถคํานวณไดม้ าประกอบการจัดทาํ รายงาน - กรณพี บขอ้ บกพรอ่ งที่มีลกั ษณะก่อใหเ้ กดิ ความเสยี หาย แล้วแจ้งให้หน่วยงานที่เก่ียวข้อง ดําเนินการทางวินัยน้ัน เทียบเคียงได้กับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา ท่ีว่า “ไม่มีบทบัญญัติใด กําหนดให้หน่วยรับตรวจต้องดําเนินการทางวินัยโดยผูกพันข้อเท็จจริงตามผลการตรวจสอบของสํานักงาน การตรวจเงินแผ่นดิน การดําเนินการทางวินัยของหน่วยรับตรวจต้องเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบท่ี เก่ียวข้อง โดยเฉพาะหากเป็นความผิดวินัยตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ที่ กําหนดว่าในกรณีที่เห็นว่ามีมูลท่ีควรกล่าวหาว่าข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทําผิดวินัย โดยมี พยานหลักฐานในเบอื้ งต้นอยู่แล้วให้ดําเนินการทางวินัยตามมาตรา ๙๒ และมาตรา ๙๓ ต่อไป แต่หากเป็น กรณตี ามระเบียบสาํ นกั นายกรฐั มนตรวี ่าด้วยการเร่งรัดติดตามเก่ียวกับกรณีเงินขาดบัญชีหรือเจ้าหน้าท่ีของ รัฐทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๖ ข้อ ๖ ท่ีกําหนดว่า กรณีที่สํานักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบพบว่าเจ้าหน้าที่ ของรฐั ทจุ ริตและได้ชี้มูลความผิดแล้ว ให้หน่วยงานของรัฐดําเนินการทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัยแก่ผู้ ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยไม่ต้องแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนหาข้อเท็จจริงอีก” ดังนั้น หากผลการ ตรวจสอบของสานักงานฯ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๖๑ ได้ระบถุ ึงพฤติการณ์น่าเชอ่ื ว่ามกี ารทุจรติ และได้ระบุตัวเจ้าหน้าที่ที่กระทาผิดว่าได้แก่ผู้ใด พร้อมทั้งพยานหลักฐานในเบ้ืองต้นเกี่ยวกับการกระทาผิดแล้วหน่วยรับตรวจก็ย่อมมีหน้าท่ีต้อง ดาเนินการทางวินัยตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายและระเบียบดังกล่าว โดยไม่ต้องแต่งต้ังคณะกรรมการ สบื สวนหาขอ้ เท็จจริงอกี 22 แตใ่ นกรณีท่ีผลการตรวจสอบของสํานักงานการตรวจเงินแผ่นดินระบุเพียงแต่ พฤติการณ์น่าเชื่อว่ามีการทุจริตโดยมิได้มีการระบุตัวเจ้าหน้าที่ผู้กระทาความผิด หน่วยรับตรวจที่ได้รับแจ้ง ผลการตรวจสอบดังกล่าวก็ย่อมมีดุลพินิจท่ีจะต้ังคณะกรรมการสืบสวนหา ข้อเท็จจริงหรือคณะกรรมการ สอบสวนทางวนิ ัยตามกฎหมายและระเบียบที่เก่ยี วขอ้ งต่อไปได้ 23 จากการศึกษารวบรวม วิเคราะห์ข้อมูลท่ีกล่าวมาประกอบกับพิจารณาข้อกฎหมาย ข้อสงั เกตขา้ งตน้ ตลอดจนพิจารณากระบวนการตรวจสอบของสํานักงานฯ แล้ว เห็นว่าเพ่ือให้การรวบรวม พยานหลักฐานเป็นแนวทางเดียวกัน ควรดําเนินการตามแนวทางการรวบรวมพยานหลักฐานประกอบ สาํ นวน ตามขนั้ ตอนดงั นี้ (๑) พิจารณากําหนดประเด็นการตรวจสอบ โดยพิจารณาจากข้อร้องเรียนหรือข้อตรวจ พบท่คี าดวา่ เป็นการไมป่ ฏิบัตติ ามกฎหมาย ระเบียบเรอื่ งใดเร่อื งหนึ่ง (๒) พิจารณาข้อกฎหมายที่กําหนดเป็นความผิด โดยแยกองค์ประกอบความผิดที่เป็น สาระสาํ คัญเป็น ๔ สว่ น คอื ๒๒ ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จท่ี ๙๔๔/๒๕๖๑ หนา้ ๓๓ ๒๓ ความเหน็ ของคณะกรรมการกฤษฎีกา เร่ืองเสร็จที่ ๑๖๗/๒๕๕๑ แนวทางการรวบรวมพยานหลักฐานประกอบสานวน

(๒.๑) เป็นเจา้ หน้าท่ี (๒.๒) มีหนา้ ท่ี (๒.๓) ขอ้ เท็จจรงิ หรอื พฤติการณใ์ นการทาํ ผิด (๒.๔) ความเสียหายทเี่ กดิ ข้ึนจรงิ และระบุเป็นตวั เงินไดช้ ัดเจน (ถา้ มี) (๓) รวบรวมพยานหลักฐานตามองค์ประกอบความผิดแต่ละข้อ เพื่อแสดงว่าแต่ละ องคป์ ระกอบความผิดควรมีพยานหลกั ฐานใดมาสนับสนุน เชน่ (๓.๑) เป็นเจ้าหนา้ ที่หรือไม่ ให้พิจารณา (3.1.1) เจ้าหน้าท่ีทั่วไป เช่น ข้าราชการ ลูกจ้าง พนักงานท่ีได้รับการแต่งต้ัง ให้ ปฏิบตั ิราชการ พิจารณาจากบตั รประจาํ ตัวขา้ ราชการหรือลูกจ้าง (3.1.2) ผู้บริหารท้องถ่ิน พิจารณาจากประกาศผลการเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่น ของ กกต. (๓.๒) มหี นา้ ทีห่ รือไม่ พิจารณาจาก (3.2.1) คําส่ังมอบหมายเปน็ ลายลักษณอ์ ักษร (3.2.2) คาํ สงั่ มอบหมายด้วยวาจา (ต้องมพี ยานอื่นประกอบ) (3.2.3) หนา้ ทีต่ ามที่กฎหมาย ระเบยี บตา่ ง ๆ กาํ หนด (3.2.4) หน้าท่ีทก่ี าํ หนดตามมาตรฐานกําหนดตาํ แหนง่ (job description) (๓.๓) มขี ้อเท็จจรงิ หรือพฤตกิ ารณ์ในการทาํ ผิดอย่างไร (3.3.1) ตอ้ งระบถุ ึงข้อเท็จจริงหรือพฤตกิ ารณ์ในการทาํ ผิดว่ามีข้อเท็จจริงหรือ มพี ฤติการณท์ ่ีเกดิ ขนึ้ จรงิ และเปน็ ความผิดอยา่ งไร และ (3.3.2) ต้องรวบรวมพยานหลักฐานสนับสนุนข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์ในการ ทําผดิ นัน้ (๓.๔) ความเสียหาย ต้องคํานวณจากความเสียหายท่ีเกิดข้ึนจริงอันเนื่องมาจากการทําละเมิด ในการปฏิบัติหน้าท่ี เพ่ือให้หน่วยงานที่เก่ียวข้องดําเนินการตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิด ของเจ้าหน้าท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ ตอ่ ไปได้ (๔) รวบรวมพยานหลักฐานตามองค์ประกอบความผิดให้สอดคล้องกับลักษณะของข้อ ตรวจพบ เพื่อให้ทราบถึงผู้ทําผิด พฤติการณ์ในการทําผิดและความเสียหายท่ีเกิดขึ้น (ถ้ามี) และควรเปิด โอกาสให้เจ้าหน้าท่ีของหน่วยรับตรวจชี้แจงเหตุผลและแสดงพยานหลักฐานด้วย ทั้งน้ี การรวบรวม พยานหลักฐานควรดาํ เนนิ การตามแนวทาง ดงั นี้ (๔.๑) การรวบรวมพยานหลักฐานกรณีพบข้อบกพร่องเนื่องจากไม่ทําตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ แต่ไม่เกิดความเสียหายแก่ราชการ ต้องรวบรวมพยานหลักฐานตามองค์ประกอบความผิด ทเี่ ป็นสาระสําคญั ๓ ประการ คือ (๑) เปน็ เจา้ หน้าท่ี (๒) มีหน้าท่ี (๓) พฤตกิ ารณ์ในการทําผดิ (๔.๒) การรวบรวมพยานหลักฐานกรณีพบข้อบกพร่องเนื่องจากไม่ปฏิบัติตาม กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับและก่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ ซึ่งรวมถึงกรณีที่เกิดความเสียหายแก่ ราชการ แต่มีการชดใช้ค่าเสียหายแล้ว ต้องรวบรวมพยานหลักฐานตาม องค์ประกอบความผิดท่ีเป็น สาระสําคัญ ๔ ประการ คือ (๑) เป็นเจ้าหน้าท่ี (๒) มีหน้าท่ี (๓) พฤติการณ์ในการทําผิด และ (๔) ความ เสยี หายที่เกดิ ขึน้ จริงและระบุเป็นตัวเงินได้ชัดเจน แนวทางการรวบรวมพยานหลกั ฐานประกอบสานวน หนา้ ๓๔

กรณีสํานักงานฯ ตรวจสอบแลว้ พบว่าหนว่ ยงานไมม่ ีพสั ดุหรือไม่มีเอกสารทางการเงิน มาแสดงเป็นเหตุใหห้ น่วยงานได้รับความเสยี หายซงึ่ ตอ้ งหาผู้รับผิดชอบชดใช้ แต่หน่วยงานกลับนําพัสดุหรือ เอกสารทางการเงนิ มาแสดงเพิม่ เติมในภายหลัง ถือว่าไม่เกิดความเสียหายกับหน่วยงาน ดังนั้น เพื่อปูองกัน การกระทําดังกลา่ วจึงให้เจ้าหน้าท่ีตรวจสอบขอให้หน่วยรับตรวจยืนยันเป็นหลักฐานหรือดาเนินการโดย วิธีการอ่ืนใดในขณะหรือก่อนตรวจสอบแล้วเสร็จ เพ่ือแสดงว่าหน่วยงานไม่มีพัสดุหรือเอกสารอื่นใดที่ เกีย่ วข้องกับการตรวจสอบที่จะนามาแสดงเพมิ่ เติมในภายหลงั อกี (๔.๓) การรวบรวมพยานหลักฐานกรณีพบข้อบกพร่องท่ีมีลักษณะทุจริตหรือมี พฤติการณ์เป็นการทุจริต ต้องรวบรวมพยานหลักฐานตามองค์ประกอบความผิดที่เป็นสาระสําคัญ ๔ ประการ คือ (๑) เป็นเจา้ หนา้ ท่ี (๒) มีหนา้ ท่ี (๓) พฤตกิ ารณ์ในการทําผดิ และ (๔) ความเสียหายท่ีเกิดข้ึน จรงิ และระบเุ ปน็ ตวั เงินได้ชดั เจน (๕) การแจ้งผลการตรวจสอบให้ผู้รับตรวจหรือหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง สํานักงานฯ จะส่ง รายงานการตรวจสอบและพยานหลักฐานให้ผู้รับตรวจหรือหน่วยงานที่เก่ียวข้อง หรือไม่ และแสดง ขอ้ เทจ็ จรงิ เพยี งใด ใหด้ ําเนินการ ดังนี้ (๕.๑) กรณีตรวจพบข้อบกพร่องเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ แต่ไม่เกิดความเสียหายแก่ราชการ ให้ส่งสาเนารายงานการตรวจสอบท่ีปรากฏข้อเท็จจริงตาม พยานหลักฐาน ที่แสดงถงึ ผ้กู ระทาํ ผิดและพฤติการณ์ในการทาํ ผดิ โดยไมต่ อ้ งส่งพยานหลักฐานให้ผู้รบั ตรวจ (๕.๒) กรณีตรวจพบข้อบกพร่องเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และก่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ ซ่ึงรวมถึงกรณีเกิดความเสียหายแก่ราชการและมีการชดใช้ ค่าเสยี หายคืนแล้ว ให้ดําเนินการ ดังน้ี (๕.๒.๑) การแจ้งผู้รับตรวจให้ดําเนินการทางวินัยกับผู้ต้องรับผิดชอบ ให้ส่ง สาํ เนารายงานการตรวจสอบท่ีปรากฏข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานทีแ่ สดงถึงผู้กระทําผิดและพฤติการณ์ใน การทําผดิ เช่นเดียวกับกรณีตรวจพบว่ามีเงินขาดบัญชีหรือเจ้าหน้าที่ทุจริต ต้องมีข้อเท็จจริงท่ีระบุตัวผู้ทา ความผิดและพฤติการณ์ในการทาความผิด จึงถือเป็นการช้ีมูลความผิดท่ีหน่วยรับตรวจต้องดาเนินการ ทางวนิ ัยโดยไม่ตอ้ งแตง่ ตั้งคณะกรรมการสืบสวนหาขอ้ เทจ็ จริง (๕.๒.๒) การแจ้งผู้รับตรวจให้ดําเนินการเรียกให้ชดใช้ค่าเสียหาย ให้ส่งสําเนา รายงานการตรวจสอบที่ปรากฏข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานที่สามารถระบุตัวผู้กระทําผิด พฤติการณ์ใน การทําผดิ และความเสียหายท่ีเกดิ ข้นึ จรงิ และระบเุ ป็นตัวเงนิ ไดช้ ดั เจน (๕.๓) กรณีตรวจพบข้อบกพร่องที่มีลักษณะหรือมีพฤติการณ์เป็นการทุจริต ให้ส่งสําเนารายงานการตรวจสอบที่ปรากฏข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานท่ีแสดงถึงผู้กระทําผิดและ พฤติการณ์ในการทําผิด ให้ผู้รับตรวจดําเนินการเรียกให้ชดใช้ค่าเสียหายและหรือดําเนินการทางวินัยกับ เจ้าหน้าท่ีผู้รับผิดชอบ โดยไม่ต้องส่งพยานหลักฐานให้ผู้รับตรวจ ในขณะเดียวกันให้ส่งสําเนารายงานการ ตรวจสอบข้างต้นพร้อมพยานหลักฐานตามองค์ประกอบความผิดท่ีมีลักษณะอันควรเชื่อได้ว่าเป็นการ ทจุ ริต หรือมพี ฤตกิ ารณ์อนั เปน็ การทุจริตต่อหน้าท่ี (ไม่ถึงขนาดต้องรวบรวมพยานหลักฐานที่พิสูจน์จนสิ้น สงสัยว่าใครเป็นผู้ทาผิด) เพื่อให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดําเนินการไต่สวนและวินิจฉัยความผิดเบ้ืองต้น หากคณะกรรมการ ป.ป.ช. วนิ ิจฉัยวา่ มีมูลความผิดทางอาญาจะส่งรายงานการไต่สวนพร้อมพยานหลักฐาน นั้นให้อัยการสงู สดุ ฟูองคดีต่อไป เมื่อแจ้งผู้รับตรวจให้ดําเนินการทางละเมิดหรือทางวินัยแล้วแต่กรณีแล้วจะต้องเปิด โอกาสให้ผู้รับตรวจชแี้ จงเหตุผลและแสดงพยานหลักฐาน และต้องมีการติดตามผลการดําเนินการของ ผู้รับ แนวทางการรวบรวมพยานหลักฐานประกอบสานวน หนา้ ๓๕

ตรวจโดยทําเป็นหนังสือแจ้งเตือนหรือเร่งรัดให้ผู้รับตรวจดําเนินการ หากผู้รับตรวจไม่ดําเนินการภายใน เวลาที่ผู้ว่าการฯ กําหนดโดยไม่มีเหตุอันควร สํานักตรวจสอบต้องแนบรายงานการตรวจสอบซึ่งอย่างน้อย ต้องประกอบด้วยข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย พร้อมพยานหลักฐานของแต่ละองค์ประกอบความผิดท่ีเป็น สาระสําคัญ ๔ ประการ คือ (๑) เป็นเจ้าหน้าที่ (๒) มีหน้าท่ี (๓) พฤติการณ์ในการทําผิด และ (๔) ความ เสียหายที่เกิดข้ึนจริงและระบุเป็นตัวเงินได้ชัดเจน พร้อมทั้งสําเนาหนังสือแจ้งเตือนหรือเร่งรัดให้ผู้รับตรวจ ดําเนินการทุกฉบับ เพื่อสํานักวินัยการเงินการคลัง พิจารณาดําเนินการเสนอผู้ว่าการฯ เพื่อให้ผู้ว่าการฯ เสนอ คตง. พิจารณาลงโทษทางปกครองกับผรู้ ับตรวจต่อไป แนวทางการรวบรวมพยานหลักฐานประกอบสานวน หนา้ ๓๖

บทที่ 4 กรณีศกึ ษา สําหรับกรณีศึกษาท่ีนําเสนอเป็นตัวอย่างเป็นผลจากการตรวจสอบการไม่ปฏิบัติตาม กฎหมาย ระเบียบและหรือตรวจพบพฤติการณ์ที่เอ้ือประโยชน์ให้กับผู้หน่ึงผู้ใดแล้วก่อให้เกิดความเสียหาย แก่ราชการ เป็นการทําผิดที่เกิดบ่อยครั้ง เช่น การควบคุมงาน การตรวจการจ้าง การตรวจรับพัสดุ การรับเงิน การนาํ เงินส่ง การเบิกจ่ายเงิน ตลอดจนการอนุมัติเงินยืมและการเร่งรัดติดตามทวงเงินยืม ซ่ึงมีการรวบรวม พยานหลักฐานมาครบถ้วน ดังน้ัน เพื่อประโยชน์ในการศึกษาทําความเข้าใจและการปฏิบัติท่ีสอดคล้องกับ แนวทางการรวบรวมพยานหลักฐานประกอบสํานวนข้างต้น จึงเสนอกรณีศึกษาซึ่งประกอบด้วยข้อเท็จจริง โดยย่อ ประเด็นพิจารณาและการรวบรวมพยานหลักฐานตามองค์ประกอบความผิดท่ีเป็นสาระสําคัญ คือ (๑) เป็นเจ้าหน้าที่ (๒) มีหน้าท่ี (๓) พฤติการณ์ในการทําผิด และ (๔) ความเสียหายท่ีเกิดขึ้นจริงและระบุเป็น ตัวเงินได้ชัดเจน เพื่อทราบว่าแต่ละองค์ประกอบความผิดควรมีพยานหลักฐานใดมาพิสูจน์สนับสนุนบ้าง โดยได้เพิ่มขั้นตอนท่ีควรปฏิบัติให้สอดคล้องกับหน้าท่ีและอํานาจตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าดว้ ยการตรวจเงนิ แผน่ ดิน พ.ศ. ๒๕๖๑ ไวด้ ว้ ย ดังกรณีศกึ ษาต่อไปน้ี กรณศี กึ ษาท่ี ๑ การควบคมุ งานและการตรวจการจา้ ง ขอ้ เทจ็ จรงิ โดยย่อ กุยบรุ ี ในการจ้างขุดลอกแม่นํ้าของ กรม ก. กําหนดให้ผู้รับจ้างต้องขุดลอกแม่นํ้าด้วยเคร่ืองจักร (โปะฺ ) และนําดินขุดไปปรับแตง่ บรเิ วณพนื้ ท่ีท่ีกาํ หนด ซ่งึ ค่าใช้จ่ายในการขุดลอกแม่น้ําด้วยเครื่องจักร (โปฺะ) และค่าปรบั แตง่ ดนิ ขุดได้กาํ หนดรวมไวใ้ นราคากลางแล้ว ผู้ควบคมุ งานได้ทํารายงานเสนอคณะกรรมการตรวจการจ้างว่าไปควบคุมงานทุกวัน ผู้รับจ้าง ทาํ งานเสร็จเรยี บร้อยโดยขดุ ลอกแมน่ า้ํ ดว้ ยเครอ่ื งจักรตลอดเวลาการดําเนนิ การของผู้รับจ้าง คณะกรรมการ ตรวจการจ้างได้ตรวจสอบการทํางานของผู้รับจ้างในวันที่ผู้รับจ้างส่งมอบงานเพียงคร้ังเดียว โดยอ้างว่า ตรวจสอบการขุดลอกแม่นํ้าและวัดขนาดพ้ืนที่ปรับแต่งดินขุดแล้วพบว่าเป็นไปตามแบบรูปรายการ แล้วรายงาน ตอ่ หัวหนา้ ส่วนราชการวา่ ผรู้ ับจา้ งทํางานถูกต้องครบถ้วนตามท่ีกาํ หนดในสัญญาเห็นควรเบกิ เงนิ ใหก้ ับผู้รบั จ้าง ข้อเท็จจริง พบว่ามีการประกาศให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติ (ภัยแล้ง) นํ้า ในแม่น้าํ แห้งขอดตั้งแต่ก่อนดาํ เนินโครงการจนภายหลังการขุดลอกแม่น้ําแล้วเสร็จ ผู้รับจ้างไม่สามารถนํา เครื่องจักรมาดําเนินการได้ทั้งโครงการ และไม่พบการนําดินขุดไปปรับแต่งบริเวณใด คณะกรรมการ ตรวจการจ้างและผู้ควบคุมงานให้ถ้อยคําไม่ตรงกันเกี่ยวกับบริเวณพื้นที่ปรับแต่งดินขุด นอกจากน้ี มีหลักฐานแสดงว่าผู้ควบคุมงานและคณะกรรมการตรวจการจ้างร่วมกันอนุมัติให้หน่วยงาน ราชการแห่ง หน่ึงนําดนิ ที่ขุดลอกไปใช้ประโยชน์ แต่หน่วยงานราชการดังกล่าวยืนยันว่าไม่มีการนําดินไปใช้ประโยชน์ตามท่ี ขอ แต่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้รับจ้างนําดินที่ขุดลอกไปขายให้กับประชาชนในพื้นที่ จึงมีการเก็บตัวอย่าง ดินในโครงการไปพิสูจน์ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เปรียบเทียบกับดินที่คาดว่าซื้อมาจากผู้รับจ้าง โดยนาํ ตัวอย่างดินไปตรวจพิสูจน์และมีพยานผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นประกอบว่าดินที่นําไปตรวจสอบนั้น มาจากแหล่งเดียวกันจริง ในขณะที่ผู้ควบคุมงานและคณะกรรมการตรวจการจ้างทําใบควบคุมงานและ ใบตรวจการจ้างว่าผู้รับจ้างได้ดาํ เนินการถูกต้องครบถ้วนตามสัญญาแล้ว ประเด็นพิจารณา คอื ผคู้ วบคมุ งานและคณะกรรมการตรวจการจา้ งปฏบิ ตั ิหนา้ ท่ถี ูกต้อง ตามกฎหมาย ระเบียบหรือไม่ เป็นเหตใุ หเ้ กิดความเสียหายแกร่ าชการหรอื ไม่ แนวทางการรวบรวมพยานหลกั ฐานประกอบสานวน หนา้ ๓๗

การรวบรวมพยานหลักฐานกรณีผู้ควบคุมงานหรือคณะกรรมการการตรวจการจ้างปฏิบัติหน้าท่ีไม่ถูกต้อง ตามกฎหมาย ระเบียบท่ีเก่ียวข้อง เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ โดยให้แยกพิจารณาตาม องค์ประกอบความผดิ ว่าแต่ละองค์ประกอบควรมีพยานหลักฐานใดมาสนบั สนนุ รายละเอยี ดตามตารางที่ 1 ตารางที่ 1 : การรวบรวมพยานหลักฐานกรณผี คู้ วบคมุ งานหรือคณะกรรมการตรวจการจา้ งปฏบิ ัตหิ น้าทไ่ี ม่ถกู ต้องฯ องค์ประกอบความผิด พยานหลกั ฐาน (๑) เปน็ เจ้าหน้าท่ี - คําสง่ั แต่งตง้ั ผ้คู วบคมุ งาน หมายถงึ ผูค้ วบคมุ งาน และคณะกรรมการตรวจการจา้ ง - คาํ สง่ั แต่งต้ังคณะกรรมการตรวจการจา้ ง (๒) มีหน้าที่ หน้าทตี่ ามระเบียบฯ - กฎหมายหรือระเบยี บเกีย่ วกับการพัสดุ ท่ีกําหนดในส่วน ของหนา้ ทผ่ี ู้ควบคมุ งานและคณะกรรมการตรวจการจ้าง หน้าที่ตามคาํ สัง่ ทีไ่ ดร้ บั มอบหมาย - คําสั่งแต่งตั้งผู้ควบคุมงานและคณะกรรมการตรวจ การจา้ ง (๓) พฤติการณ์ พยานเอกสาร การที่ผู้ควบคุมงาน ไม่ได้ไปควบคุมงานทุกวันแต่ทํา - ภาพถา่ ยกอ่ นดาํ เนินโครงการ รวมถึงภาพถ่ายขณะ/หลัง บันทึกการคุมงานโดยรายงานว่าผู้รับจ้างขุดลอกแม่น้ําด้วย ดําเนนิ การแลว้ เสร็จ เครือ่ งจักร (โปฺะ) ทั้งโครงการ และรวู้ า่ ผรู้ ับจ้างมิไดน้ าํ ดินไป - ใบแสดงปริมาณงานและราคา ปรับแต่งพื้นที่ตามท่ีกําหนด ซ่ึงควรต้องเสนอให้ผู้บังคับ - เอกสารการขออนุมตั จิ ้าง บญั ชาผา่ นคณะกรรมการตรวจการจา้ งเพ่ือพจิ ารณาปรบั ลด - สัญญาจ้าง เอกสารแนบท้ายสญั ญา ค่างาน ในขณะท่ีคณะกรรมการตรวจการจ้างได้รับรอง - แบบรปู รายการกอ่ สร้าง ในใบตรวจรับงานว่าผู้รับจ้างทํางานถูกต้องครบถ้วนตาม - หนงั สือขออนมุ ัตเิ ปลย่ี นแปลงงาน (ถา้ มี) สัญญา ทั้งทรี่ ้วู ่าผ้รู บั จา้ งทางานไมค่ รบถ้วนตามสัญญาแต่ - บญั ชลี งเวลาปฏิบตั ิราชการของหนว่ ยงานหรอื หนังสือ มีการเร่งรัดเบิกจ่ายเงินให้ผ้รู ับจ้างไปกอ่ น ขออนุมัติเดินทางไปราชการตา่ ง ๆ ของผคู้ วบคุมงาน - รายงานการปฏิบัติงานประจําวนั รายงานผลงาน ก่อสร้างประจาสัปดาห์ ประจาเดอื น - บันทึกการควบคุมงาน - รายงานผลการตรวจการจ้าง - หลกั ฐานการขออนมุ ตั ิเบิกจา่ ยเงนิ - ใบเสรจ็ รับเงนิ ของผู้รับจ้าง - ข้อสงั เกตตามแบบบนั ทึกสังเกตการณ์งานตรวจสอบ - เอกสารการคาํ นวณค่าความเสียหายโดยหน่วยรับตรวจ และ/หรือสาํ นกั งานการตรวจเงนิ แผ่นดิน ตามค่างานใน ส่วนท่ีไม่ได้ใช้เคร่ืองจักร และค่าขนดินขุดที่มิได้ขนไป ปรบั แตง่ พ้นื ที่ที่กําหนด - หลักฐานการชี้แจงแสดงเหตุผลและพยานหลักฐานของ ผู้ควบคมุ งานและคณะกรรมการตรวจการจ้าง พยานบคุ คล - เจ้าหน้าทพี่ ัสดุ - ผูส้ าํ รวจออกแบบโครงการ - พยานบุคคลทเ่ี กี่ยวขอ้ ง เช่น ผู้รับซื้อดนิ - ผู้รบั จา้ ง หรือผู้คมุ งานฝาุ ยผู้รบั จา้ ง แนวทางการรวบรวมพยานหลักฐานประกอบสานวน หนา้ ๓๘

องคป์ ระกอบความผดิ (ตอ่ ) พยานหลกั ฐาน (ตอ่ ) สอบถ้อยคํา ผู้กระทําผิด หมายถึง ผู้ควบคุมงาน และ คณะกรรมการตรวจการจา้ ง พยานวัตถุ - ตัวอย่างดินท่ีเก็บจากร่องนํ้าหรือตะกอนธารนํ้าใน โครงการฯ และตวั อยา่ งดนิ ทเี่ กบ็ ในบรเิ วณทีม่ กี ารซือ้ ขาย พยานผเู้ ชี่ยวชาญ - ผู้เช่ียวชาญจากกรมทรัพยากรธรณี เพื่อให้ความเห็น ประกอบผลการวเิ คราะห์ทางเคมีและองค์ประกอบของ ธาตุดิน (๔) เกดิ ความเสียหายแกร่ ฐั - เอกสารการคํานวณคา่ เสียหายจากค่างานที่ผู้รับจา้ งมิได้ (๕) พยานเอกสารอ่นื ๆ ขุดลอกแม่นํ้าด้วยเครื่องจักร และค่างานที่ผู้รับจ้างมิได้ นาํ ดินขดุ ไปปรับแต่งพื้นที่ตามสญั ญา - รายงานผลการดําเนินการทางวินัย ทางละเมิดของ หนว่ ยงานต้นสังกัด กรณีผู้ควบคุมงานและคณะกรรมการ ตรวจการจ้างปฏบิ ัตหิ นา้ ที่ไม่ถูกต้อง (ถา้ มี) แนวทางการช่งั นํา้ หนักพยานหลกั ฐาน เนื่องจากสํานวนน้ีมกี ารแสวงหาพยานหลกั ฐานหลายประเภท จนสามารถพิสูจน์ได้ชัดเจน ถึงการกระทาํ ความผิดพรอ้ มพยานหลกั ฐานสนบั สนุน ซงึ่ มี ๒ ประเดน็ ยอ่ ย คือ (๑.๑) ผู้รับจ้างขุดลอกแม่น้ํา ด้วยเครื่องจักร (โปฺะ) ท้ังโครงการหรือไม่ (๑.๒) ผรู้ บั จา้ งนําดินทข่ี ุดไปปรับแต่งพนื้ ที่ตามท่ีกําหนดในสัญญา หรือไม่ ซ่ึงหากผู้รับจ้างดําเนินการไม่ครบถ้วนตามสัญญาทั้งสองเร่ืองจริง แสดงว่าผู้ควบคุมงานและ คณะกรรมการตรวจการจ้างปฏิบัติหน้าท่ีไม่ครบถ้วนถูกต้องหรือไม่ หรือมีพยานหลักฐานหรือข้อเท็จจริงใด ขัดกับพยานเอกสารของผู้ควบคุมงานและคณะกรรมการตรวจการจ้างที่รายงานว่าผู้รับจ้างทํางานถูกต้อง ครบถว้ นตามสัญญาแล้วหรือไม่ ซ่ึงมีการพิสจู น์ในแต่ละประเดน็ ย่อย ดงั นี้ ๑.๑ กรณผี รู้ ับจ้างขุดลอกด้วยเครอื่ งจกั ร (โปฺะ) ทง้ั โครงการหรอื ไม่ การรวบรวมพยานหลักฐาน ในกรณีนี้ เพียงเพื่อพิสูจน์ว่าผู้รับจ้างมีวิธีการขุดดินในโครงการอย่างไร ดําเนินการตลอดโครงการหรือไม่ ความเสียหายเปน็ จาํ นวนเทา่ ใด ซ่ึงพยานหลกั ฐานจะประกอบด้วย ตามตารางที่ 2 ตารางท่ี 2 : ประเด็นท่ี (1.1) ผ้รู ับจา้ งขุดลอกแมน่ ้าด้วยเครือ่ งจักร (โปะ๊ ) ท้ังโครงการหรอื ไม่ ประเดน็ ท่ี (1.1) ผูร้ ับจ้างขุดลอกด้วยเครื่องจักร ทั้งโครงการหรอื ไม่ (1) พยานเอกสาร - ประกาศของจังหวัดท่ีกําหนดให้บริเวณพื้นที่โครงการ เป็น พน้ื ทีป่ ระสบภยั พบิ ตั ิ (ภยั แล้ง) ในระหว่างก่อนและ หลงั ดําเนินโครงการ - ภาพถา่ ยก่อนและหลังดําเนนิ การ - สัญญาจ้าง - แบบรปู รายการก่อสรา้ ง - ใบแสดงปริมาณงาน - เอกสารการควบคุมงาน - หลกั ฐานการชี้แจงแสดงเหตุผลและพยานหลักฐานของ ผคู้ วบคมุ งานและคณะกรรมการตรวจการจา้ ง แนวทางการรวบรวมพยานหลกั ฐานประกอบสานวน หนา้ ๓๙

ประเดน็ ที่ (1.1) ผ้รู ับจา้ งขดุ ลอกดว้ ยเครอื่ งจกั ร (ตอ่ ) ทัง้ โครงการหรอื ไม่ (ตอ่ ) (2) พยานบุคคล - ผู้สํารวจพื้นท่โี ครงการ (3) ความเสียหาย - ชาวบา้ นผู้เหน็ เหตกุ ารณ์ - ผรู้ ับจ้าง สอบถ้อยคาํ ผู้กระทําผิด หมายถึง ผคู้ วบคุมงานและ คกก. ตรวจการจา้ ง คํานวณความเสยี หายท่เี กิดขึ้นจริง จากปริมาตรดินขุด ท่ีผู้รับจ้างต้องขุดลอกโดยใช้เครื่องจักรตามที่กําหนดใน สัญญา หักด้วยปริมาตรดินขุดที่ผู้รับจ้างขุดหรือไม่ขุดด้วย เครือ่ งจกั รจรงิ คูณคา่ ใชจ้ ่ายต่อปรมิ าตรดนิ ต่อหนว่ ยตามท่ี กาํ หนดในสญั ญา แนวทางการช่งั นํ้าหนักพยานหลักฐาน สาํ หรับประเด็นนี้ พยานเอกสาร คือ สัญญา แบบรปู รายการกอ่ สร้าง ใบแสดงปริมาณงานและราคา ถอื เปน็ เกณฑ์ ในการตรวจสอบการทํางานของผู้รับจ้างว่าต้องทํางานตามสัญญาอย่างไรบ้าง โดยมีพยานเอกสารท่ีเป็นบันทึก การควบคุมงานของผู้ควบคุมงานรับรองว่าผู้รับจ้างขุดลอกแม่น้ําด้วยเครื่องจักรตลอดโครงการตามสัญญาจริง หรือไม่ ในเบื้องต้นต้องรับฟังว่าผู้รับจ้างทํางานครบถ้วนถูกต้องตามสัญญา แต่เมื่อมีข้อมูลปรากฏว่าผู้รับจ้าง ทํางานไมถ่ กู ตอ้ งครบถ้วนตามสัญญา จึงต้องพิสูจน์ด้วยพยานหลักฐานว่ามีพยานเอกสารหรือหลักฐานใดแสดง ว่าผู้รับจ้างทาํ งานไม่ครบถ้วน ผู้ควบคมุ งานและคณะกรรมการตรวจการจ้างปฏิบัติหน้าที่ไม่ถูกต้องบ้าง ดงั นี้ เมื่อพิจารณาประกาศของจังหวัดที่กําหนดให้บริเวณพื้นที่โครงการเป็นพ้ืนท่ีประสบภัยพิบัติ (ภยั แลง้ ) ระหวา่ งกอ่ นและหลังดาํ เนนิ โครงการ เพยี งลําพังก็เป็นพยานหลักฐานที่มีน้ําหนักน้อย เพราะไม่ทราบ แน่ชัดว่าปริมาณน้ําบรเิ วณโครงการมเี พยี งใด ผรู้ บั จา้ งสามารถใช้โปฺะดําเนินการได้ทั้งโครงการหรือไม่ จึงยัง ไม่พอรบั ฟงั ได้ว่าผูร้ ับจ้างดาํ เนนิ การขุดลอกแม่นํ้าด้วยเครื่องจักรตลอดโครงการหรือไม่ เพียงแต่พอรับฟังได้ วา่ นา้ํ ในแมน่ ้าํ มีปริมาณน้อย พยานบคุ คล กรณนี ้ีมพี ยานซึ่งเป็นชาวบ้าน ๓ รายให้ถ้อยคําขัดแย้งกันเอง และการให้ถ้อยคํา ของพยานบุคคลเปน็ ความทรงจํา การรับรู้เหตุการณ์ที่อาจมีความไม่ชัดเจนไม่แน่นอน ประกอบกับสํานักงานฯ เข้าสอบถ้อยคําพยานบุคคล และตรวจสอบสังเกตการณ์เม่ือเวลาผ่านไปกว่า ๑ ปี สภาพของพื้นท่ี เปลี่ยนแปลงไป จึงไม่สามารถรับฟังได้ว่าผู้รับจ้างขุดลอกแม่น้ําโดยใช้เคร่ืองจักร (โปฺะ) ทั้งโครงการจริงหรือไม่ จงึ เปน็ พยานทมี่ นี ํ้าหนักนอ้ ยเช่นกนั แต่เมอ่ื ผู้สาํ รวจโครงการ กรรมการตรวจการจ้างซึ่งเป็นประธานกรรมการ กาํ หนดราคากลางซ่งึ มีหนา้ ทีใ่ นการคาํ นวณปริมาณงาน และเป็นผู้ท่ีเห็นสภาพพ้ืนที่จริงก่อนดําเนินโครงการ ให้ถ้อยคํารับว่า สภาพเดิมของแม่นํ้ามีนํ้าน้อย ไม่สามารถขุดลอกแม่น้ําโดยใช้เคร่ืองจักร (โปฺะ) จึงรับฟัง ประกอบพยานหลักฐานท่ีกล่าวมาได้ว่าน้ําในแม่น้ํามีปริมาณน้อยขนาดท่ีผู้รับจ้างไม่สามารถขุดลอกโดยใช้ เครอื่ งจักร (โปะฺ ) ได้ ส่วนคารับสารภาพของผู้ควบคุมงานที่ว่าผู้รับจ้างมิได้ดําเนินการขุดลอกแม่น้ําโดยใช้ เครอื่ งจักร (โปฺะ) ทั้งโครงการ แตไ่ ดจ้ ัดทํารายงานการควบคุมงานเพ่ือให้สอดคล้องกับรายละเอียดที่กําหนด ในสัญญา ตลอดจนคารับสารภาพของผู้รับจ้างซ่ึงเป็นผู้ท่ีกระทําความผิดและให้ถ้อยคําอันเป็นผลร้ายกับ ตนเอง เป็นพยานหลักฐานท่ีให้ข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสําคัญและเป็นพยานหลักฐานที่มีน้ําหนักมากที่แสดงว่า ผูร้ บั จา้ งมิได้ขุดลอกดินด้วยเครือ่ งจกั รทงั้ โครงการจริง แนวทางการรวบรวมพยานหลักฐานประกอบสานวน หนา้ ๔๐

สว่ นแนวทางการคํานวณค่าเสียหาย คํานวณจากปริมาตรดินขุดที่ผู้รับจ้างต้องขุดลอกโดย ใช้เคร่ืองจักรตามท่ีกําหนดในสัญญา หักด้วยปริมาตรดินขุดท่ีผู้รับจ้างขุดด้วยเครื่องจักร คูณค่าใช้จ่ายต่อ ปริมาตรดินต่อหน่วยตามท่ีกําหนดในใบแสดงปริมาณงานและราคา เป็นความเสียหายท่ีเกิดแก่ราชการ เนื่องจากผ้รู ับจ้างมไิ ด้ปฏบิ ตั ติ ามทก่ี าํ หนดในสัญญาจรงิ โดยสรุป เม่ือรับฟังข้อเท็จจริงว่าน้ําในแม่น้ํามีน้อยมาก ขนาดที่ผู้รับจ้างไม่สามารถดําเนิน การขุดลอกแม่นํ้าโดยใช้เคร่ืองจักร (โปฺะ) ได้ทั้งโครงการ โดยพิจารณาพยานหลักฐานต่าง ๆ เช่น เอกสาร ประกาศพื้นที่ประสบภัยพิบัติของจังหวัด พยานชาวบ้าน 3 คน ผู้สํารวจโครงการ กรรมการตรวจการจ้าง ซึ่งเป็นประธานกําหนดราคากลาง ซึ่งเป็นพยานแวดล้อมแต่ให้ข้อเท็จจริงไปในทิศทางเดียวกันมาพิจารณา ประกอบกับคาํ รับสารภาพของผู้ควบคุมงานและผู้รับจ้าง เห็นว่าเป็นข้อเท็จจริงท่ีมีความสอดคล้องกันจึงทํา ให้พยานหลักฐานท้ังหมดท่ีกล่าวมาเป็นพยานหลักฐานท่ีมีน้ําหนักพอท่ีจะรับฟังได้ว่า ผู้รับจ้างมิได้ ดาํ เนนิ การขดุ ลอกแมน่ ้าํ ด้วยเครอ่ื งจักรท้ังโครงการจรงิ ๑.๒ กรณีผู้รับจ้างนําดินที่ขุดไปปรับแต่งพื้นที่ตามที่กําหนดในสัญญาหรือไม่ การรวบรวม พยานหลักฐานกรณีน้ีเพ่ือพิสูจน์ว่าผู้รับจ้างทํางานครบถ้วนตามสัญญาและเป็นไปตามท่ีผู้ควบคุมงานและ คณะกรรมการตรวจการจ้างรายงานหรอื ไม่ รายละเอยี ดตามตารางที่ 3 ตารางท่ี 3 : ประเด็นท่ี (1.2) มีการนาดินท่ขี ดุ ไปปรบั แตง่ พนื้ ทตี่ ามท่ีกาหนดในสัญญาจริงหรอื ไม่ ประเด็นที่ (1.2) มกี ารนาดินทขี่ ดุ ไปปรับแต่งพ้ืนท่ี ตามทกี่ าหนดในสัญญาจริงหรอื ไม่ (1) พยานเอกสาร - สญั ญา - แบบรปู รายการกอ่ สรา้ ง - ใบแสดงปรมิ าณงาน - ประกาศของจังหวัดท่ีกําหนดให้บริเวณพ้ืนที่โครงการเป็น พ้ืนที่ประสบภัยพิบัติ (ภัยแล้ง) ในระหว่างก่อนและหลัง ดําเนินโครงการ - เอกสารการควบคุมงาน - ภาพถ่ายกอ่ นและหลงั ดาํ เนนิ การแล้วเสร็จ - หนงั สือของสว่ นราชการทีข่ ออนุญาตนําดนิ ไปใช้ประโยชน์ - หนังสือสง่ มอบงาน - รายงานผลการตรวจการจา้ ง (2) พยานบุคคล - ชาวบา้ นผเู้ หน็ เหตุการณ์ - ผรู้ ับจ้าง สอบถ้อยคํา ผู้กระทําผิด หมายถึง ผู้ควบคุมงานและ คณะกรรมการตรวจการจา้ ง (3) พยานวัตถุ พยานวตั ถุ - ตัวอย่างดินที่มีการซื้อขายและดินในโครงการฯ ที่นําไป พสิ จู น์ (4) พยานผู้เชี่ยวชาญ พยานผ้เู ชี่ยวชาญ - ความเหน็ ของผู้เชย่ี วชาญจากกรมทรัพยากรธรณี (5) พยานเอกสารอน่ื ๆ - รายงานผลการดําเนนิ การทางวนิ ัย ทางละเมิดของหน่วยงาน ตน้ สงั กัด กรณีผคู้ วบคุมงานและคณะกรรมการตรวจการจ้าง ปฏบิ ัติหน้าท่ไี ม่ถูกต้อง (ถ้ามี) แนวทางการรวบรวมพยานหลักฐานประกอบสานวน หนา้ ๔๑

แนวทางการชง่ั น้าํ หนักพยานหลักฐาน การรับฟังพยานหลักฐานในประเด็นน้ี เห็นว่า พยานบุคคลซ่ึงเป็นชาวบ้านเพียง ๑ คน ท่ีให้ถ้อยคําว่าผู้รับจ้างนําดินไปขายและไม่ได้นําไปปรับแต่งพื้นท่ี เป็นพยานบุคคลที่เห็นเหตุการณ์คนเดียว โดยลําพังจึงเป็นพยานหลักฐานท่ีมีนํ้าหนักน้อย ไม่พอรับฟังได้ว่ามีการนําดินไปขายและไม่มีการปรับแต่ง พ้ืนท่ีหน้าโครงการฯ ส่วนพยานบุคคลซ่ึงเป็นชาวบ้าน ๑๒ คน ให้ถ้อยคําสอดคล้องกันว่ามีการซื้อดินจาก โครงการจรงิ เป็นการใหถ้ ้อยคําของพยานบุคคลหลายคนทส่ี อดคล้องกันทาํ ใหม้ ีน้ําหนักมากขึ้น เมอื่ รบั ฟังประกอบคํารับสารภาพของผู้รับจ้างท่ีรับว่าได้นําดินไปแจกจ่ายให้ราษฎรจริงนั้น จึงทาํ ใหข้ อ้ เท็จจริงมีนา้ํ หนกั ชดั เจนว่าการดาํ เนนิ การโครงการดังกลา่ วมีการนําดินออกไปนอกพ้นื ที่โครงการ โดยผู้รับจ้างมิได้มีการนําดินไปปรับแต่งพื้นที่ท่ีกําหนดในสัญญา ส่วนการท่ีพยานบุคคลซ่ึงเป็นชาวบ้านให้ ถ้อยคาํ ขัดแย้งกันวา่ มีการจา่ ยเงนิ ให้กนั จริงแตจ่ ะเป็นการจ่ายเงินค่านายหน้า หรือเป็นค่ารถขนดิน หาใช่ข้อ ขัดแย้งที่เป็นสาระสําคัญของประเด็นอันจะทําให้องค์ประกอบความผิดในส่วนของการแสวงหาประโยชน์ ส่วนตัวเปลี่ยนไป เน่ืองจากพยานบุคคลเหล่าน้ันยอมรับข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสําคัญของประเด็นแล้วว่า เปน็ ผู้รบั ดนิ จากโครงการไปจริง เป็นการยืนยันว่าผรู้ บั จ้างมไิ ดน้ ําดินไปปรบั แต่งตามสัญญา แนวทางการคานวณค่าเสียหาย คํานวณจากปริมาตรดินขุดที่ผู้รับจ้างต้องนําไปปรับแต่ง พื้นที่ตามท่ีกําหนดในสัญญา หักด้วยปริมาตรดินขุดที่ผู้รับจ้างนําไปปรับแต่งพื้นที่ตามสัญญา คูณค่าใช้จ่าย ในการปรับแต่งพื้นที่ต่อปริมาตรดินต่อหน่วยตามที่กําหนดในใบแสดงปริมาณงานและราคา เป็นความ เสียหายทเ่ี กดิ แกร่ าชการเนื่องจากผู้รับจ้างมไิ ดป้ ฏบิ ตั ติ ามที่กาํ หนดในสัญญาจริง พยานวัตถุ ในกรณีนี้คือ การนําตัวอย่างดินส่งพิสูจน์ ซ่ึงเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าท่ีตรวจสอบได้ ขอความร่วมมือให้หน่วยงานท่ีมีความเชี่ยวชาญ มาเก็บตัวอย่างดินไปตรวจพิสูจน์ด้วยกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ และตรวจเปรยี บเทยี บดินในโครงการและดินทช่ี าวบา้ นซอ้ื ขาย พยานผู้เชย่ี วชาญ คือ ความเหน็ ของผู้เชีย่ วชาญทแี่ สดงความเหน็ ว่าตัวอย่างดนิ จากแหล่ง ทีซ่ อื้ ขายท่ดี ินและจากดนิ ท่อี ยู่ในโครงการซง่ึ นํามาพิสจู นด์ ว้ ยกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์เป็นดนิ ที่มาจาก แหล่งเดียวกนั ข้อสังเกต พยานหลักฐานที่มีน้ําหนักมากในกรณีนี้คือ พยานบุคคล รวมถึงพยานวัตถุ ประกอบกับถอ้ ยคําของพยานผูเ้ ชี่ยวชาญ ที่รบั ฟังไดว้ า่ ผู้รบั จ้างมิไดข้ ุดลอกแมน่ ํา้ ด้วยเครอ่ื งจักรท้ังโครงการ และมิได้นําดินขุดไปปรับแต่งพ้ืนที่ที่กําหนดให้ครบถ้วนตามสัญญาจริง จึงแสดงว่าผู้ควบคุมงานและ คณะกรรมการตรวจการจ้างในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าท่ีต้องปฏิบัติตามระเบียบเก่ียวกับการพัสดุ มิได้ ปฏิบัติหน้าท่ีให้ครบถ้วน และมีพฤติการณ์ที่เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้รับจ้างที่ทําให้ผู้รับจ้างได้รับ ประโยชน์โดยไม่ต้องถูกปรับลดค่างาน ทําให้ราชการได้รับความเสียหาย โดยคํานวณความเสียหายจาก ปริมาตรงานดินขุดท่ีผู้รับจ้างมิได้ขุดลอกและมิได้นําดินขุดไปปรับแต่งพ้ืนท่ีตามที่กําหนดในสัญญา คูณ ค่าใช้จ่ายในการทํางานต่อปริมาตรดินต่อหน่วยตามท่ีกําหนดในใบแสดงปริมาณงานและราคา การกระทํา ของผู้ควบคุมงานและคณะกรรมการตรวจการจ้างจึงเป็นการไม่ปฏิบัติหน้าท่ีให้เป็นไปตามที่กฎหมาย ระเบยี บ และไม่เปน็ ไปตามเงอื่ นไขท่ีกาํ หนดในสัญญา แนวทางการรวบรวมพยานหลักฐานประกอบสานวน หนา้ ๔๒

กรณีศกึ ษาที่ ๒ การตรวจรับพสั ดแุ ละการเบกิ จ่ายเงิน ขอ้ เทจ็ จริงโดยยอ่ เทศบาลตําบล ก. ทําสัญญาจ้างบริษัท อ. ทําผังเมือง มีการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจรับ พัสดุ ๕ ราย เมื่อผู้รับจ้างส่งมอบงานก็ไม่ปรากฏหลักฐานการลงรับหนังสือส่งมอบงานของผู้รับจ้างตาม ระบบสารบรรณและการเสนอให้ผมู้ ีอํานาจพจิ ารณาสง่ั การ คณะกรรมการตรวจรับพัสดุ ๔ คน ลงนามในใบ ตรวจรับพัสดุตามวันที่ผู้รับจ้างอ้างว่าได้ส่งมอบงานซึ่งพ้นกําหนดส่งมอบงานแล้ว โดยรับรองว่าผู้รับจ้างส่ง มอบพัสดุครบถ้วน เห็นควรเบิกจ่ายเงินให้ผู้รับจ้าง ส่วนกรรมการตรวจรับพัสดุอีกหน่ึงคนไม่ลงลายมือช่ือ ตรวจรับพัสดุ ข้อเท็จจริง พบว่าคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ ๔ คน ทําหลักฐานการตรวจรับพัสดุโดย รบั รองว่าผ้รู ับจา้ งสง่ มอบพัสดุครบถ้วนและได้ลงลายมือช่ือในใบตรวจรับพัสดุไว้ก่อน โดยรู้ว่าผู้รับจ้างยังส่ง ของไม่ครบ ส่วนกรรมการตรวจรบั พสั ดุอกี หน่ึงคนไม่ยอมลงลายมือชื่อตรวจรับพัสดุเนื่องจากทราบว่ามีการ เบกิ จา่ ยเงินให้ผรู้ บั จา้ งไปแลว้ พยานบุคคลให้ถ้อยคําสอดคล้องกันว่าในช่วงเวลาท่ีผู้รับจ้างต้องส่งมอบพัสดุ มีพัสดุมาวางไว้ท่ีหน้าสํานักงานแต่ไม่ทราบว่าถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ ส่วนในข้ันตอนการเสนอฎีกาเบิก จา่ ยเงินปรากฏวา่ เจา้ หนา้ ท่ีการเงิน ๒ คน ยอมรับว่าในการเบิกเงิน ไม่ปรากฏว่ามีหนังสือส่งมอบงานของผู้ รับจ้าง มีเพียงใบตรวจรับพัสดุท่ีคณะกรรมการตรวจรับพัสดุลงลายมือชื่อไม่ครบถ้วนแนบมาเท่าน้ัน โดย คณะกรรมการตรวจรับพัสดุ๔ คน ลงลายมือชื่อตรวจรับและรับรองว่าผู้รับจ้างส่งมอบพัสดุครบถ้วนแล้ว หัวหน้ าส่วน โยธ าซ่ึงเ ป็นหน่ วยเ บิกแล ะเป็น กรร มการ ตรวจ รับพั สดุได้ ทําบัน ทึกเ สนอ เ ป็นหลั กฐา น ประกอบการเบกิ เงนิ ให้ผู้รบั จา้ งก็เพื่อชว่ ยไม่ให้ผู้รับจา้ งตอ้ งเสียคา่ ปรับ ประเด็นพจิ ารณา คอื (๑) คณะกรรมการตรวจรับพัสดุปฏิบัติหน้าที่ถูกต้อง ครบถ้วนตามกฎหมาย ระเบียบหรือไม่ ก่อให้เกดิ ความเสียหายแกห่ น่วยงานหรือไม่ (๒) ผู้มีหน้าที่เบิกจ่ายเงินปฏิบัติหน้าที่ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบหรือไม่ ก่อให้เกิด ความเสยี หายแก่หน่วยงานหรือไม่ การรวบรวมพยานหลักฐานกรณีคณะกรรมการตรวจรับพัสดุตรวจรับงานไม่ถูกต้องก่อให้เกิดความเสียหาย แก่หน่วยงาน โดยให้แยกพิจารณาว่าแต่ละองค์ประกอบความผิดควรมีพยานหลักฐานใดมาสนับสนุน รายละเอยี ดตามตารางที่ 4 ตารางที่ 4 : การรวบรวมพยานหลักฐานกรณีคณะกรรมการตรวจรับพัสดุตรวจรับงานไม่ถูกต้องก่อให้เกิดความ เสียหายแกห่ นว่ ยงาน องค์ประกอบความผิด พยานหลกั ฐาน (๑) เปน็ เจา้ หน้าท่ี - คาํ ส่งั แตง่ ตั้งคณะกรรมการตรวจรบั พัสดุ หมายถึง คณะกรรมการตรวจรับพัสดุ ประกอบด้วย นายกองค์การบริหารส่วนตําบล หัวหน้าส่วนโยธา และ ขา้ ราชการอ่นื อกี ๒ คน (๒) มีหน้าท่ี หนา้ ทีต่ ามระเบียบฯ - กฎหมายหรือระเบียบเก่ียวกับการพัสดุ ในส่วนท่ี กาํ หนดหน้าทข่ี องคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ แนวทางการรวบรวมพยานหลักฐานประกอบสานวน หนา้ ๔๓

องคป์ ระกอบความผิด (ต่อ) พยานหลกั ฐาน (ตอ่ ) หน้าท่ตี ามคําสง่ั - ประกาศ กกต. เก่ยี วกับผลการเลอื กต้ังนายก อบต. - คาํ สัง่ แต่งตงั้ คณะกรรมการตรวจรับพัสดุ (๓) พฤตกิ ารณ์ พยานเอกสาร คณะกรรมการตรวจรบั พสั ดทุ ราบว่าผ้รู บั จา้ งยงั สง่ - เอกสารการขออนมุ ตั ดิ ําเนนิ โครงการ มอบพัสดไุ ม่ครบถว้ น แต่ลงลายมอื ช่ือในใบตรวจรับพัสดุ - สญั ญาจา้ งหรือสญั ญาซ้อื ขาย พร้อมเอกสารประกอบ เพ่ือเสนอให้มีการเบกิ จา่ ยเงินให้ผรู้ บั จ้าง โดยใช้หลักฐาน - ทะเบียนรบั หนังสือขององค์การบรหิ ารสว่ นตาํ บล การตรวจรบั พสั ดุเป็นหลกั ฐานประกอบการเบกิ จ่ายเงนิ - หนงั สือส่งมอบพสั ดุของผรู้ ับจ้าง - ใบตรวจรับพสั ดุ - บนั ทกึ การทกั ทว้ งการตรวจรบั พสั ดุ (ถ้าม)ี - บนั ทึกสงั เกตการณข์ องสํานักงานการตรวจเงินแผน่ ดนิ - ฎกี าเบกิ จ่ายเงินและเอกสารประกอบฎีกา - หลักฐานการช้ีแจงแสดงเหตผุ ลและพยานหลกั ฐานของ คณะกรรมการตรวจรบั พัสดุ พยานบคุ คล - เจ้าหน้าท่ีพัสดุ - เจ้าหนา้ ที่การเงินผเู้ บกิ เงินตามฎกี าเบกิ จ่ายเงนิ - นักบริหารการคลัง - ปลดั องคก์ ารบริหารสว่ นตําบล สอบถ้อยคํา ผู้กระทาํ ผดิ หมายถึง คณะกรรมการตรวจรับ พัสดุ (๔) เกิดความเสียหายแก่รฐั - ค่าความเสียหายคํานวณจากอัตราค่าปรับตามที่กําหนด ในสัญญา คูณจํานวนวันที่ต้องชําระเป็นค่าปรับ นับจาก วันครบกําหนดตามสัญญาถึงวันที่ส่งมอบของถูกต้อง ครบถ้วน (๕) พยานเอกสารอน่ื ๆ - รายงานผลการดําเนินการทางวินัย ทางละเมิด ของ หน่วยงานต้นสังกัดกับคณะกรรมการตรวจรับพัสดุที่ ปฏิบัติหน้าท่ไี มถ่ กู ต้อง (ถา้ มี) แนวทางการรวบรวมพยานหลักฐานประกอบสานวน หนา้ ๔๔

การรวบรวมพยานหลักฐานกรณีเบิกจ่ายเงินไม่ถูกต้องแล้วก่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ โดยให้ แยกพจิ ารณาว่าแตล่ ะองค์ประกอบความผดิ ควรมีพยานหลักฐานใดมาสนบั สนุน รายละเอยี ดตามตารางที่ 5 ตารางที่ 5 : การรวบรวมพยานหลักฐานกรณีเบกิ จา่ ยเงินไม่ถกู ต้องแลว้ ก่อใหเ้ กิดความเสยี หายแกร่ าชการ องค์ประกอบความผดิ พยานหลักฐาน (๑) เป็นเจ้าหนา้ ที่ หัวหนา้ สว่ นโยธาในฐานะหวั หน้าหนว่ ยผูเ้ บิก (๒) มีหนา้ ท่ี - คาํ ส่ังมอบหมายงานหรือการแบง่ สว่ นราชการภายใน หน้าทต่ี ามระเบียบฯ - ระเบียบเกยี่ วกับการรบั เงิน การเบิกจ่ายเงิน การฝากเงนิ การเกบ็ รกั ษาเงิน ที่กาํ หนดไวใ้ นสว่ นทเ่ี กยี่ วกบั การเบิกเงิน (๓) พฤติการณ์ พยานเอกสาร ประธานกรรมการตรวจรับพัสดุลงนามในใบตรวจรับ - บนั ทกึ ข้อความเกยี่ วกบั การขอเบกิ เงนิ จากหน่วยงานผเู้ บิก พสั ดุทง้ั ที่ทราบวา่ ผู้รบั จ้างยังสง่ มอบพสั ดไุ ม่ครบถ้วน และ - ฎกี าเบกิ จา่ ยเงินและเอกสารประกอบ เช่น สัญญา ใบแจ้งหนี้ ในฐานะที่เป็นหัวหน้าหน่วยงานผู้เบิกมีหน้าท่ีเบิกเงิน หรือเอกสารการสง่ มอบพสั ดุ เอกสารการตรวจรับพัสดุ ไดล้ งนามขอเบิกเงนิ ตามฎีกาเบกิ จา่ ยเงินโดยแนบใบตรวจ - งบรายละเอียดใบสาํ คัญประกอบฎกี า รับพัสดุท่ีรับรองว่าผู้รับจ้างส่งมอบพัสดุครบถ้วน แล้ว - ใบเสร็จรบั เงินของผรู้ บั จา้ ง เสนอฎีกาผ่านหัวหน้าส่วนการคลัง ส่วนปลัดเทศบาล - สาํ เนาเช็คจากธนาคารทม่ี กี ารเบกิ จา่ ยเงิน เสนอความเห็นว่า “เห็นควรเบิกจ่าย” โดยมีนายก - หลักฐานการช้ีแจงแสดงเหตุผลและพยานหลักฐานของ องค์การบริหารส่วนตําบลซ่ึงเป็นประธานกรรมการตรวจ ผ้เู บกิ เงิน รับพัสดุ เป็นผู้อนุมัติเป็นลําดับ ท้ังท่ีผู้รับจ้างยังส่งงานไม่ พยานบุคคล ครบ ทาํ ให้มกี ารเบกิ จา่ ยเงินใหผ้ ู้รับจา้ งไปได้ - เจา้ หน้าทกี่ ารเงิน (ผู้จดั ทาํ ฎกี า ผู้ตรวจฎกี า) - นกั บริหารการคลัง - ปลัดองค์การบริหารสว่ นตาํ บล - นายกองค์การบริหารสว่ นตําบล สอบถ้อยคาํ ผกู้ ระทําผดิ หมายถึง หวั หน้าสว่ นโยธาในฐานะ ผ้เู บกิ เงนิ (๔) เกิดความเสยี หายแกร่ ฐั - คา่ ความเสียหายคํานวณจากราคาทรัพย์สินส่วนท่ีได้รับไม่ ครบถ้วน หรือส่วนท่ีไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ โดยเทียบ จากราคาทจี่ ดั ซ้อื หรอื จา้ ง (๕) พยานเอกสารอื่น ๆ - รายงานผลการดําเนินการทางวินัย ละเมิดของหน่วยงาน กรณมี กี ารเบกิ จา่ ยเงนิ ไปโดยได้รบั พสั ดไุ ม่ครบถ้วน (ถา้ ม)ี แนวทางการรวบรวมพยานหลกั ฐานประกอบสานวน หนา้ ๔๕


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook