คำชแ้ี จง ชุดเอกสารศึกษาด้วยตนเอง วิชาความรู้พ้ืนฐานด้านการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการและผู้เรียน ที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ เร่ือง การจัดกิจกรรมฟ้ืนฟูศักยภาพคนพิการหรือผู้เรียนที่มีความต้องการ จาเป็นพิเศษเล่มนี้ ได้รวบรวมเนื้อหาจากเอกสาร บทความ ของนักวิชาชีพทางการแพทย์ ทางการศึกษา พิเศษ และทางด้านการบาบัดต่าง ๆ ซ่ึงมีเน้ือหาสาระท่ีครูและบุคลากรท่ีสนใจควรทราบ เช่น ความสาคัญ ความหมาย จดุ ประสงค์และแนวทางการจดั กิจกรรมเพอ่ื การฟ้ืนฟูสมรรถภาพและพัฒนาศักยภาพของผู้เรียน ที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ เช่น กายภาพบาบัด กิจกรรมบาบัดพลศึกษาเพื่อบรรดิการ การแก้ไขการพูด ศิลปะบาบัด ดนตรีบาบัด ธาราบาบัด กิจกรรมนันทนาการและอื่น ๆ รวมท้ังการทางานแบบสหวิทยาการ ระหว่างครู ผปู้ กครอง และนักวิชาชีพต่าง ๆ เพ่ือให้ครูและผู้สนใจนาความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียน การสอน รวมถึงการพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนให้มีประสิทธิภาพสูงข้ึน พร้อมทั้งแนวทางความรู้แนะนา แกผ่ ปู้ กครองตอ่ ไป คณะทางาน
สำรบัญ หนำ้ คำนำ คำชี้แจง สำรบัญ แนวทำงกำรใช้ชดุ กำรศกึ ษำดว้ ยตนเอง หนว่ ยท่ี 1 ควำมหมำย จดุ มงุ่ หมำยและควำมสำคญั ของแนวทำงกำรจัดกจิ กรรม 1 เพอื่ กำรฟื้นฟูสมรรถภำพและพฒั นำศักยภำพของผเู้ รยี นท่มี คี วำมตอ้ งกำรพิเศษ ความหมาย.........................……………………………………………………………………….. 1 จุดมงุ่ หมาย.........................……………………………………………………………………….. 1 ความสาคัญแนวทางการจดั กิจกรรมเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพ และพฒั นา ศักยภาพของผเู้ รยี นทม่ี ีความตอ้ งการจาเป็นพิเศษ……………………………..………….. 3 หนว่ ยที่ 2 กิจกรรมเพ่อื กำรฟน้ื ฟูสมรรถภำพและพัฒนำศักยภำพของผูเ้ รยี น ท่มี คี วำมตอ้ งกำรพิเศษ………………………………………………………………………………. 5 กำยภำพบำบดั ……………………………………………………………………………………..…… 5 ความหมาย……………………………..………………………………………….………………………. 5 ความสาคญั ………………………………………………………………………………………….…….. 5 ความเปน็ มา………………………………………………………………………………….……………. 5 บทบาทหน้าที่ของนกั กายภาพบาบัด………………….………………………….………..…….. 6 วิธกี ารรักษาทางกายภาพบาบัด…………………………………………………..……….……….. 6 ภาวะโรคที่สามารถรบั การรักษาทางกายภาพบาบดั ………………………………….……… 6 ผู้เรยี นทมี่ คี วามต้องการพเิ ศษต้องไดร้ บั บรกิ ารกายภาพบาบัด………………………….. 7 เปา้ หมายในการฝึกกายภาพบาบดั ในเด็กพิการ……..………………………………………... 7 แนวทางการนากายภาพบาบัดมาใชเ้ พ่ือการฟ้ืนฟสู มรรถภาพและพัฒนาศักยภาพ ของคนพิการหรือผ้เู รยี นที่มคี วามต้องการจาเป็นพิเศษ......................................... 7 กจิ กรรมบำบัด………………………………………………………………………..…………………… 11 ความหมาย………………………….……………………………………………….……………………… 11 ความเปน็ มา…………………………………………………………………………..………….…………. 11 ผ้เู รยี นทีม่ คี วามต้องการจาเป็นพิเศษในการรับบริการกิจกรรมบาบดั ..………………… 12 บทบาทหนา้ ที่ในการบริการและรปู แบบบริการ.………………….………………..…….……. 12 จุดประสงค์ของการฝึกกจิ กรรมบาบัด……………….…………………………….…………….… 13 แนวทางการนากิจกรรมบาบัดมาใชเ้ พ่ือเพ่ือการฟื้นฟูสมรรถภาพ และพัฒนา ศกั ยภาพของผ้เู รยี นที่มีความตอ้ งการจาเปน็ พเิ ศษ…………………………..………………… 14
สำรบญั (ต่อ) หนำ้ พลศึกษำเพือ่ บรรดกิ ำร…………………………………………………..............………………... 18 ความหมายของบรรดิการทางพลศึกษา...….…………………………………………………… 18 ความมุ่งหมายของบรรดกิ ารทางพลศึกษา…………………………………….……………….. 19 ประโยชน์ของบรรดิการทางพลศกึ ษา….…………………………..…………………………….. 20 กำรแกไ้ ขกำรพูด……………………………….………………………..……………………………… 20 ความหมาย………………………………….………………………………..…………………………... 20 ความสาคญั ………………………………….………………………………..………………………….. 20 พฒั นาการทางภาษาและการพดู …….………………………………..………………………….. 20 ปัญหาและสาเหตุของความผิดปกตดิ า้ นการพูด…………………..……………………..…. 22 จุดประสงค์ของการแก้ไขการพดู ….….………………………………..………………………… 23 แนวทางการแก้ไขการพดู เพือ่ พฒั นาและฟนื้ ฟูสมรรถภาพของผู้เรียน ที่มีความต้องการจาเป็นพเิ ศษ.........….….………………………..…..…………………..……. 23 ศิลปะบำบัด………………………………….……….………………..…………………………………. 25 ความหมาย………………………………….…………………………..………...……………………... 25 ความเปน็ มา………………………………….……………………………..……..………………….….. 25 ประโยชน์ของศลิ ปะบาบดั …………….………………………………..………..………………….. 26 แนวทางการนาศิลปะบาบัดมาใช้เพ่ือเพื่อการฟ้ืนฟสู มรรถภาพ และพฒั นา ศกั ยภาพของผ้เู รียนทีม่ ีความต้องการจาเป็นพิเศษ…..…………..………….……………... 27 กระบวนการและรปู แบบของศลิ ปะบาบดั …..…………………………..……………………… 28 ดนตรบี ำบัด………………………………….……….………………..…………………………..……… 29 ความหมาย………………………………….………………………………..…………………………….. 29 ความเป็นมา………………………………….………………………………..……………….…………... 30 จดุ ประสงค์ของดนตรีบาบัด…….…….………………………………..……………………………... 30 แนวทางการนาดนตรีบาบดั มาเพ่ือการฟ้นื ฟสู มรรถภาพ และพฒั นาศักยภาพ ของผู้เรียนที่มีความต้องการจาเป็นพเิ ศษ.......………….………………..…………………..…. 31
สำรบญั (ต่อ) ธำรำบำบัด………………………………….……….………………..……………………….…………… หนำ้ ความหมาย………………………………….………………………………..…………………………. 32 ความสาคัญ………………………………….………………………………..…………………………. 32 จดุ ประสงคข์ องธาราบาบัด……...…….………………………………..…………………………. 32 แนวทางการนาธาราบาบัดมาใชเ้ พ่ือเพ่ือการฟืน้ ฟูสมรรถภาพ และพัฒนา 33 ศักยภาพของผเู้ รียนทีม่ ีความต้องการพเิ ศษ.........….….…………………………...…….. ประโยชนข์ องธาราบาบัด........…………………….…………………..…………………………. 33 34 กิจกรรมนันทนำกำร………………………………….……….………..……………………………….. 35 ความหมาย………………………………….………………………………..……………………..….. 35 ความสาคญั ………………………………….………………………………..………………………… 35 จดุ ประสงค์ของกจิ กรรมนนั ทนาการ.………………………………..…………………………. 36 ประเภทของกิจกรรมนนั ทนาการ.….....……………………………..…………………………. 37 หลักการเลือกกิจกรรมนันทนาการ.…………………………………..…………………………. 38 ประโยชน์ของการนนั ทนาการ.…………………….…………………..………………….………. 39 แนวทางการนากจิ กรรมนนั ทนาการมาใชเ้ พอื่ การฟื้นฟสู มรรถภาพ และ พฒั นาศักยภาพของผูเ้ รยี นที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ….…..………..……………... 39 41 กำรบำบดั ทำงเลือกอนื่ ๆ………………………….……….………..………………………………….. 41 การบาบดั ด้วยสตั ว์……………………….………………………………..………………..…………. 47 49 กรณศี ึกษำ……………………………………………………………………………………………………….…. 49 หน่วยท่ี 3 กำรทำงำนแบบทีมสหวิชำชีพ ระหวำ่ งครู ผปู้ กครองและนักวชิ ำชพี ...................... 50 51 ความหมาย………………………………….………………………………..…………………….……. 52 รูปแบบการทางานแบบสหวชิ าชพี ….………………………………..…………………….……. สรุปหลกั การทางานเป็นทมี สหวิชาชพี ……………………………..……………………….….. สรุปสำระสำคัญ………………………………………….…………….……….………..……………………………….. แหลง่ ข้อมลู เพ่ิมเตมิ ทต่ี อ้ งศกึ ษำ บรรณำนกุ รม แบบทดสอบท้ำยบท แบบเขยี นสะทอ้ นคิด
แนวทำงกำรใชช้ ดุ เอกสำรศกึ ษำดว้ ยตนเอง ทำ่ นทศ่ี กึ ษำเอกสำรควรปฏิบตั ดิ งั ต่อไปนี้ 1. ศกึ ษาขอบข่ายของเน้ือหา สาระสาคัญ และจุดประสงค์ 2. ศึกษาขอบข่ายของเน้ือหาและทาความเขา้ ใจเนือ้ หาอยา่ งละเอียด 3. ศึกษาแหล่งความร้เู พ่ิมเตมิ 4. โปรดระลกึ ไว้เสมอว่าการศึกษาจากเอกสารดว้ ยตนเองเป็นเพียงสว่ นหนึ่งของการพฒั นาความรู้ ด้านการศึกษาพเิ ศษเท่าน้นั ควรศกึ ษาค้นควา้ และหาประสบการณต์ รงจากแหลง่ ความรู้อน่ื ๆ เพ่มิ เตมิ
1 หนว่ ยท่ี 1 ความหมาย ความสาคัญ จุดมงุ่ หมายและแนวทางการจดั กิจกรรม เพือ่ การฟ้นื ฟสู มรรถภาพและพฒั นาศกั ยภาพของผเู้ รียนที่มีความต้องการจาเปน็ พเิ ศษ จากปรัชญาด้านมนุษยชนนิยมท่ีเน้นศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์และความเท่าเทียมทางสังคม ได้ก่อกาเนิดมากว่าศตวรรษ และมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคม ทาให้เกิดการพัฒนากฎหมาย นโยบาย และสิทธิของคนพิการในฐานะปัจเจกชน จึงได้มีการพัฒนาการจัดการศึกษาแก่คนพิการหรือบุคคล ท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษ โดยได้ดาเนินมาอย่างต่อเน่ือง เห็นได้จากจากนโยบายของภาครัฐและเอกชน ซึ่งได้มุ่งเน้นการพัฒนาความสามารถคนพิการให้เต็มศักยภาพ สามารถดารงชีวิตได้โดยอิสระ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2555) และมีสิทธิได้รับสิ่งอานวยความสะดวก สื่อ บริการ และความช่วยเหลืออ่ืนใด ทางการศึกษา ตามความจาเป็นของคนพิการแต่ละบุคคลตามท่ีได้กาหนดในกฎกระทรวงให้คนพิการ ทุกประเภทมีสิทธิได้รับความช่วยเหลือทางการศึกษา ส่ิงอานวยความสะดวก บริการ และความช่วยเหลือ อน่ื ใด พ.ศ. 2550 บรกิ ารทั้งหลายท่จี ดั โดยนักสหวิชาชีพจึงเข้ามีบทบาทช่วยเหลือบุคคลที่มีความบกพร่องหรือ พิการ เนื่องจากความหมายของคนพิการแต่ละประเภทท่ีกาหนดไว้ในพระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสาหรับ คนพิการ มาตรา 3 วรรคแรก คือ ผู้ท่ีมีข้อจากัดในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจาวัน และการ มีส่วนร่วมในสังคม บริการและความช่วยเหลืออ่ืนใดตามข้อกาหนดของกฎกระทรวงดังกล่าว จึงได้รวมบริการ ต่าง ๆ ที่มีความจาเป็นในการพัฒนาศักยภาพหรือแก้ไขข้อจากัดต่าง ๆ ของคนพิการ เช่น กิจกรรมบาบัด กายภาพบาบัด การแก้ไขการพูดและการสื่อสาร ดนตรีบาบัด จิตวิทยา เพื่อช่วยเหลือคนพิการให้สามารถ ปฏบิ ัตกิ ิจกรรมในชวี ิตประจาวนั หรือเข้าไปมสี ว่ นรว่ มทางสงั คมไดอ้ ย่างบุคคลปกติ ความหมาย พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 มาตรา 4 ได้กาหนดและ ให้ความหมายการฟื้นฟูสมรรถภาพและการส่งเสริมคุณภาพชีวิตแก่คนพิการ เพ่ือให้การสนับสนุนช่วยเหลือ คนพกิ ารทกุ ประเภทใหส้ ามารถพ่ึงพาตนเองได้ ดังนี้ การฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ หมายความว่า การเสริมสร้างสมรรถภาพหรือความสามารถ ของคนพิการให้มีสภาพท่ีดีขึ้น หรือดารงสมรรถภาพหรือความสามารถที่เคยมีหรือเหลืออยู่เดิมไว้ โดยอาศัย กระบวนการทางการแพทย์ การศาสนา การศึกษา สังคม อาชีพ หรือกระบวนการอื่นใด เพื่อให้คนพิการ ได้มีโอกาสทางานหรอื ดารงชีวติ ในสังคมอย่างเตม็ ศกั ยภาพ การส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิต หมายความว่า การฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ การจัดสวัสดิการ การส่งเสริมและพิทักษ์สิทธิ การสนับสนุนให้คนพิการสามารถดารงชีวิตอิสระ มีศักด์ิศรีแห่งความเป็นมนุษย์ และเสมอภาคกับบุคคลท่ัวไป มีส่วนร่วมทางสังคมอย่างเต็มท่ีและมีประสิทธิภาพภายใต้สภาพแวดล้อม ทีค่ นพกิ ารสามารถเขา้ ถงึ ได้
2 จุดมงุ่ หมาย จากความหมายข้างตน้ การพัฒนาและฟื้นฟสู มรรถภาพคนพิการ จงึ มีจุดม่งุ หมาย คอื 1. เสริมสรา้ งสมรรถภาพใหด้ ขี นึ้ จากเดิม 2. คงความสามารถเดิมท่ียงั เหลอื อยูห่ รอื ที่ยงั มอี ยู่ไว้ โดยมีจุดมุ่งหมายสาคัญ เพ่ือให้บุคคลพิการหรือบุคคลที่มีความต้องการพิเศษดารงชีวิตอิสระและ มีส่วนร่วมในสังคมได้มากที่สุด เพ่ืออานวยความสะดวกดังกล่าว จึงได้มีกฎกระทรวงว่าด้วยสิทธิของคนพิการ ในการได้รับสิ่ง อานวยความสะดวก ส่ือ บริการ และความช่วยเหลืออ่ืนใดทางการศึกษา พ.ศ.2550 โดยมี บรกิ าร ดงั น้ี 1. การสอนเสริม 2. การอา่ นหนังสือ เอกสารหรือข้อสอบ 3. การนาทาง 4. การผลิตส่ือ 5. การจดคาบรรยาย 6. การซอ่ มส่ือ 7. กายภาพบาบดั 8. การแกไ้ ขการพดู และการส่ือสาร 9. กิจกรรมบาบดั 10. ลา่ มภาษามือ 11. การอบรมทกั ษะพน้ื ฐาน 12. การแนะแนวการศึกษา 13. พ่เี ลีย้ งและผู้ชว่ ยเหลือ 14. ดนตรบี าบดั และดนตรีเพ่ือการพัฒนา 15. การพยาบาล 16. การซ่อมแซมและปรับปรุงแกไ้ ขอุปกรณ์เคร่อื งช่วยคนพกิ าร สอ่ื ส่งิ อานวยความสะดวก 17. ศิลปะบาบัดและศิลปะเพื่อการพัฒนา 18. การประเมินพฒั นาการ การประเมินทางจิตวิทยาและทักษะด้านตา่ ง ๆ บริการเหล่านี้ ต้องอาศัยการทางานแบบสหวิทยาการ โดยอาศัยนักวิชาชีพที่มีความรู้ความสามารถ ในสาขาน้ันเป็นผู้ให้บริการ ผู้เกี่ยวข้องท่ีจะใช้บริการเหล่าน้ี จึงต้องมีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับบทบาท ของผู้ให้บริการในสาขาตา่ ง ๆ (หน่วยท่ี 2)
3 ความสาคญั ของแนวทางการจดั กจิ กรรมเพ่อื การฟื้นฟสู มรรถภาพและพัฒนาศกั ยภาพ ของผเู้ รยี นทมี่ คี วามต้องการจาเปน็ พเิ ศษ 1. แนวคดิ การฟ้นื ฟูสมรรถภาพการจาแนกความพิการและสขุ ภาพ (International Classification of Functioning Disability and Health: ICF Model of Functional and Disability) ดังได้กล่าวมาแล้วว่า เป้าหมายของการฟ้ืนฟูและพัฒนาสมรรถภาพคนพิการ คือ การแก้ไข บาบัด ข้อจากัดของคนพิการเพื่อให้คนพิการมีส่วนร่วมในสังคมให้มากท่ีสุด โดยการเสริมสร้างสมรรถภาพให้ดีขึ้น จากเดิมและคงความสามารถเดิมไว้ จากคานิยามดังกล่าว ทาให้ผู้ที่เก่ียวข้องกับคนพิการต้องมีความเข้าใจ สภาวะความบกพร่องหรือความพิการที่ส่งผลกระทบต่อความสามารถหรือทาให้เกิดข้อจากัดต่าง ๆ ในการ มีส่วนร่วมในสังคม จึงต้องมีแนวคิดที่จะนามาอธิบายสภาวะความพิการและการมีส่วนร่วมในการทากิจกรรม ในสังคมของบุคคลพกิ าร องค์การอนามัยโลกได้จัดทาบัญชีสากลเพื่อการจาแนกความพิการและสุขภาพ (International Clas- sification of Functioning Disability and Health: ICF) ในปี ค.ศ. 2001 (พ.ศ. 2544) เพื่อนามาใช้ ในการจาแนก ประเมิน ระดับความพิการ นาไปสู่การวางแผนการบริการสาธารณสุข การวางนโยบาย ทางสังคม และการจัดการศึกษา (World Health Organization Geneva, 2001) ซึ่งเป็นการรวมปรัชญา รูปแบบทางการแพทย์และทางสังคมเข้าไว้ด้วยกัน โดยรูปแบบทางการแพทย์มองว่าความพิการมาจากโรค การบาดเจ็บ หรือภาวะทางสุขภาพ ในขณะที่รูปแบบทางสังคมมองว่าความพิการเป็นปัญหาของคนพิการ ท่ีจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่ต้องได้รับการดูแล จึงได้มีการจัดทาแนวคิดท่ีมี มุมมองทางด้านชีววิทยา ปัจเจกบุคคล และมุมมองทางสังคม ก่อให้เกิดแนวคิดการจาแนกคนพิการ รูปแบบการทาหน้าที่ การทางาน และความพิการของบคุ คล 2. แนวทางการจดั กิจกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพในสถานศกึ ษา 1. การคัดกรองเด็ก เพ่ือเข้ารับบริการโดยนักสหวิชาชีพอาจทาโดยลาพังหรืออาจทาร่วมกับทีมงานตามที่ ได้รับมอบหมายในแต่ละสถานศึกษา โดยเลือกวิธีการคัดกรองที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม ในการทากิจกรรม ของผู้รบั บรกิ าร 2. การวางแผน วางแผนการบริการให้สอดคล้องกับลักษณะความจาเป็นของผู้รับบริการ วิเคราะห์ แปลผล และนาผลการประเมินเป็นพื้นฐานในการวางแผน ตั้งเป้าประสงค์ที่ชัดเจน วัดได้ในเชิงพฤติกรรมหรือระดับ ความสามารถให้เหมาะสมกับสภาพของผู้รับบริการโดยร่วมวางแผนกับบุคลากรที่เกี่ยวข้อง เช่น ครูการศึกษาพิเศษ ผู้ปกครอง และร่วมจัดทาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program: IEP) และ/หรือจัดทาแผนการบาบัดตามขอบเขตการบริการของวิชาชีพต่าง ๆ ระบุความถ่ีและระยะเวลาของการ ให้บริการอยา่ งเป็นลายลักษณ์อกั ษรและสามารถ ตรวจสอบได้ 3. การให้บรกิ าร 3.1 การให้บริการโดยตรง (Direct Service) หมายถึง การให้บริการ โดยนักสหวิชาชีพเป็นผู้ปฏิบัติเอง เชน่ การบาบดั รายบุคคล หรือ การบาบัดกลุ่มย่อย
4 3.2 การกากับติดตาม (Monitoring Service) หมายถึง การออกแบบและการวางแผนการบาบัด แกผ่ ้รู ับบรกิ ารโดยมีบุคลากรอื่นเป็นผู้ปฏิบัติตามแผนน้ัน เช่น ผู้ปกครอง พ่ีเล้ียงภายใต้การดูแลของนักวิชาชีพ ที่เกย่ี วขอ้ ง 3.3 การให้คาปรึกษา (Consultation Service) หมายถึง การที่นักวิชาชีพให้คาปรึกษาแก่ครูประจาชั้น ครอบครัว ผู้เกี่ยวข้อง เก่ียวกับการประยุกต์ใช้เทคนิค และการใช้กิจกรรมต่าง ๆ ท่ี เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม ในสถานศกึ ษา เช่น การแนะนาในการจดั ทา่ ทาง การปรบั พฤตกิ รรมในชัน้ เรยี น 3.4 การบริการอ่ืน ๆ ท่ีเก่ียวข้อง เช่น การเย่ียมบ้านการออกชุมชนการดัดแปลงอุปกรณ์ช่วย และ อุปกรณ์เสริมตา่ ง ๆ และการปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกบั ผู้รบั บรกิ ารในแต่ละรายบคุ คล 4. การทบทวนและปรบั เปลี่ยนการบริการ การทบทวนแผนการให้บริการร่วมกับผู้รับบริการและผู้เก่ียวข้องและ ปรับเปล่ียนการให้บริการบนพ้ืนฐานความจาเป็นตามผลการพัฒนาของผู้รับบริการ โดยแจ้งให้แก่ผู้รับบริการ และผเู้ กีย่ วข้อง เชน่ การปรับเป้าประสงคก์ ารบาบัด การปรบั เทคนคิ การบาบัดต่าง ๆ เป็นต้น 5. การยุติการบาบัด การพิจารณายุติการบาบัด เมื่อผู้เข้ารับบริการบรรลุเป้าประสงค์ท่ีวางไว้หรือได้รับ ประโยชนส์ งู สุดจากการรับบริการแลว้ 6. การส่งต่อ จะพิจารณาส่งต่อผู้รับบริการไปยังแหล่งที่เหมาะสมตามความต้องการของผู้รับบริการ เพ่ือให้ ผรู้ บั บรกิ ารได้รับประโยชน์จากความเชี่ยวชาญของนักวิชาชีพหรือสถาบัน/องค์กรอื่น ๆ ที่เก่ียวข้องอย่างสูงสุด วิชาชีพสาขาต่าง ๆ ท่ีมีบทบาทช่วยเหลือคนพิการ จะมีแนวทางการจัดกิจกรรมตามบทบาทหน้าที่ของตน เช่น นักฝึกและแก้ไขการพูด จัดกิจกรรมท่ีเก่ียวข้องกับการบริหารกล้ามเนื้อในการพูด ฝึกการออกเสียง นักกายภาพบาบัดจัดกิจกรรมท่ีพัฒนาความสามารถในการใช้กล้ามเน้ือ เป็นต้น ซ่ึงจะมีรายละเอียดให้ศึกษา ในหนว่ ยตอ่ ไป
5 หนว่ ยที่ 2 กจิ กรรมเพอ่ื การฟ้นื ฟูสมรรถภาพและพฒั นาศกั ยภาพของผเู้ รียนทมี่ ีความตอ้ งการจาเป็นพเิ ศษ กิจกรรมเพ่ือการฟนื้ ฟูสมรรถภาพของผู้เรียนที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ ท่ีมคี วามจาเป็นในการ พัฒนาศกั ยภาพหรือแก้ไขข้อจากัดต่าง ๆ ของคนพิการ เช่น กายภาพบาบัด กิจกรรมบาบัด การแก้ไขการพูด และการสื่อสาร ดนตรีบาบัด เป็นต้น ทั้งน้ีเพอื่ ช่วยเหลือคนพิการให้สามารถปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจาวนั หรอื เข้าไปมีส่วนร่วมทางสงั คมได้ สาหรบั หนว่ ยที่ 2 ขอเสนอกิจกรรมหรือบริการทใี่ ช้พัฒนาคนพกิ าร ดงั นี้ กายภาพบาบดั (Physical Therapy) ความหมาย กายภาพบาบัด (Physical Therapy หรอื Physiotherapy) เปน็ วิชาชีพทางด้านวิทยาศาสตร์ สุขภาพ ทเี่ กย่ี วข้องกับการป้องกัน รักษา และจัดการเกยี่ วกับการเคล่ือนไหวทผี่ ดิ ปกตทิ เี่ กดิ ขนึ้ จากสภาพ และภาวะของ โรคที่เกิดข้ึนในทุกช่วงชีวิต กายภาพบาบัดจะกระทาโดยนักกายภาพบาบัด (PT) หรือผู้ช่วยนักกายภาพบาบัด (Physical Therapy Assistant) ภายใต้การดูแลและแนวทางของนักกายภาพบาบัด \"กายภาพบาบัด\" หมายความว่า การกระทาต่อมนุษย์เก่ียวกับการตรวจประเมิน การวินิจฉัย และการบาบัดความบกพร่องของ ร่างกายซ่ึงเกิดเน่ืองจากภาวะของโรคหรือการเคลื่อนไหวที่ไม่ปกติ การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกัน การแก้ไข และการฟ้ืนฟูความเส่ือมสภาพความพิการของร่างกายและจิตใจด้วยวิธีการทางกายภาพบาบัด หรือการใช้ เครื่องมือหรืออปุ กรณ์กายภาพบาบดั ความสาคญั ในสภาพสังคมไทยปัจจุบัน การตื่นตัวเรื่องสุขภาพกาลังเป็นท่ีนิยมกันอย่างแพร่หลาย ท้ังในเร่ือง ของ การดูแลเร่อื งความสวยงามที่มาจากภายในรา่ งกาย ควบคไู่ ปกับการสร้างสุขภาวะที่ดี โดยเริ่มต้ังแต่ อาหารการ กิน ตลอดจนการดูแลรักษาอาการเจ็บป่วยที่ปัจจุบันนิยมท่ีจะใช้วิธีการทางธรรมชาติมากกว่าท่ีจะพึ่งยารักษา หรือการผ่าตัด ซ่ึงจะเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ วิธีการดูแลรักษาร่างกายและอาการเจ็บป่วย โดยวิธีทาง กายภาพบาบัดเป็นอีกแนวทางหนึ่ง ท่ีกาลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน เน่ืองจากเป็นแนวทางที่ค่อนข้าง ปลอดภยั และสามารถนามาประยุกตใ์ ช้กับกิจวตั รประจาวนั ไดเ้ อง ความเป็นมา กายภาพบาบัดในประเทศไทยน้ันถือกาเนิดข้ึนจากหน่วยงานเล็ก ๆ ท่ีมีช่ือว่าโรงเรียนกายภาพบาบัด ซ่ึงขณะนั้นสังกัดอยู่ในภาควิชาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์และกายภาพบาบัด คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ภายใต้การดูแลของศาสตราจารย์นายแพทย์เฟื่อง สัตย์สงวน ซ่ึงเป็นผู้ก่อตั้งภาควิชาและโรงเรียนในสมัยน้ัน จนกระทั่งปัจจบุ ันมีสถาบนั ทีเ่ ปิดสอนสาขาวิชากายภาพบาบัดกว่า 14 แห่ง และผลิตนักกายภาพบาบัดออกมา สู่สังคมแล้วมากกว่า 5,000 คน ในสมัยก่อน คนส่วนใหญ่มีความเชื่อว่ากายภาพบาบัดทางานเฉพาะเพียงแต่ ดูแลฟื้นฟูสภาพผู้ป่วยหลังการผ่าตัด แต่อันที่จริงบทบาทของกายภาพบาบัดนั้นกลับไม่ได้จาเพาะ อยู่แต่เพียงการฟ้ืนฟูสมรรถภาพผู้ป่วย แต่ยังมีบทบาทในการรักษา ป้องกัน และส่งเสริมสุขภาพ ซึ่งเป็นสิ่งท่ี
6 สาคัญมาก อีกท้ังงานกายภาพบาบดั ยงั สามารถแบ่งประเภทยอ่ ยเป็นดา้ นตา่ ง ๆ พอทีจ่ ะสรุปได้ ดังน้ี 1. ดา้ นระบบกลา้ มเนอ้ื กระดูก และขอ้ ต่อ 2. ด้านระบบประสาท 3. ดา้ นระบบหวั ใจ ทรวงอก และหลอดเลือด 4. ดา้ นกายภาพบาบัดเด็ก 5. ด้านการยศาสตร์ 6. ดา้ นให้คาปรกึ ษาทางกายภาพบาบัด บทบาทหนา้ ทขี่ องนกั กายภาพบาบดั 1. ตรวจประเมินความผดิ ปกติ 2. วิเคราะห์และวางแผนการรักษา 3. เลือกและใหก้ ารรักษาด้วยวิธีการทางกายภาพบาบัดที่เหมาะสมเพ่ือให้บรรลุเป้าหมายเบื้องต้น นัก กายภาพบาบัดมีเทคนิคและวิธีการบาบัดรักษา เช่น การออกกาลังกายเพื่อเพิ่มกาลังกล้ามเน้ือและเพ่ือการ เคล่ือนไหวข้อต่อต่าง ๆ การดัดดึงและเคลื่อนไหวข้อต่อ จัดโปรแกรมการออกกาลังกายเพื่อฝึกให้เกิดความ ทนทานของระบบหัวใจและหลอดเลือดเปน็ ตน้ 4. ให้ความรแู้ ละคาแนะนาแก่ผปู้ ่วยและผเู้ กี่ยวข้อง 5. สง่ ตอ่ ผู้ป่วยแกบ่ คุ ลากรขา้ งเคียงท่สี ามารถแกป้ ัญหาได้ 6. คน้ ควา้ วิจัยเพ่อื ปรบั เปลยี่ นหรอื ประยุกต์วิธีการรักษาให้มีประสิทธภิ าพย่ิงขึน้ วิธีการรกั ษาทางกายภาพบาบดั 1. รักษาด้วยความร้อน ความเย็น คล่ืนไฟฟ้า คล่ืนแสงและคล่ืนแม่เหล็กชนิดต่าง ๆ โดยนักกายภาพบาบัด ตอ้ งทาการวเิ คราะห์ว่า กรณีผปู้ ว่ ยใดจะต้องการการรกั ษาประเภทใด มากนอ้ ยหรือ ยาวนานเท่าใด 2. รกั ษาดว้ ยมือ โดยวิธกี ารนวด ดัด ดึง ด้วยเทคนิคเฉพาะ ซ่ึงปรับตามส่วนของร่างกายที่รักษาสาเหตุ ของความผดิ ปกติ และอาการของผูป้ ว่ ย 3. รกั ษาด้วยการบริหารร่างกาย โดยนักกายภาพบาบัดต้องทาการวิเคราะห์ว่าอาการที่ผู้ป่วยเป็นน้ัน มี สาเหตุการความบกพร่องของกระดูก กล้ามเน้ือ หรือระบบประสาทส่วนใด และออกแบบท่า ความหนัก และ ความบอ่ ยของการบรหิ ารกายให้เหมาะกับผู้ปว่ ยแตล่ ะคน 4. การแนะนาทา่ ทางทเ่ี หมาะสมในการทางานและในชวี ิตประจาวัน 5. เลือกชนดิ และสอนการใชเ้ ครอ่ื งชว่ ย เชน่ ไมเ้ ท้า, walker เพื่อใหผ้ ู้ปว่ ยสามารถเคลือ่ นไหว และทา กิจวตั รประจาวนั ตา่ ง ๆ ได้ด้วยตนเอง ภาวะโรคทส่ี ามารถรบั การรกั ษาทางกายภาพบาบดั 1. โรคระบบกระดกู กล้ามเนอื้ และขอ้ ตอ่ เชน่ ผู้ปว่ ยกระดกู หัก ข้อต่อตดิ บาดเจ็บกล้ามเน้ือและเอ็นจาก เล่นกีฬาหรือการใช้งานผิดท่า ท่าทางในการทางานและชีวิตประจาวันท่ีผิด ข้อเส่ือม โดยมักจะเป็นผู้ป่วย ทมี่ าพบดว้ ยอาการปวด ชา อ่อนแรง หรอื เคลื่อนไหวส่วนตา่ ง ๆ ไม่ได้เหมอื นปกติ
7 2. โรคระบบประสาท จากโรคหรืออุบตั ิเหตขุ องสมอง ไขสันหลัง หรอื เสน้ ประสาท ผู้ป่วยจะมาดว้ ย อาการอมั พาตคร่ึงซกี อมั พาตคร่ึงท่อน กล้ามเน้ืออ่อนแรง ชา 3. โรคระบบหัวใจและระบบหายใจ ผ้ปู ว่ ยมีประสิทธภิ าพการหายใจลดลง จากโรคหรอื การผา่ ตัด ปอด หลอดลมหรอื หวั ใจ ฟนื้ ฟูสมรรถภาพในภาวะเส้นเลือดทไี่ ปเลี้ยงหัวใจตบี 4. โรคทางเด็กผู้ป่วยเด็กที่มีความผิดปกติทางสมอง และเด็กท่ีมีปัญหาของพัฒนาการ ซ่ึงจะต้องการ การกระต้นุ ให้ร่างกายเคลื่อนไหวไดอ้ ยา่ งถูกต้อง 5. ผู้สูงอายุ ซ่ึงมีความเส่ือมของระบบต่าง ๆ ของร่างกาย จึงต้องการวิธีการรักษาเฉพาะเพ่ือชะลอ ความเส่อื ม และคงสมรรถภาพกาย 6. หญงิ มีครรภแ์ ละโรคทางสตรีอ่ืน ๆ ต้ังแต่ในระยะตั้งครรภ์ระหว่างคลอดและหลังคลอดซึ่งร่างกายจะ มกี ารเปลยี่ นแปลงอย่างมากจนอาจมอี าการของระบบกระดูกกล้ามเนื้อการหายใจและอน่ื ๆ ได้ ผ้เู รียนทม่ี ีความต้องการจาเปน็ พิเศษตอ้ งได้รับบริการกายภาพบาบัด 1. เด็กท่ีมีปัญหาด้านระบบกล้ามเน้ือ กระดูก และข้อต่อ เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง โปลิโอ กระดูกหัก หรือแตกจากอุบัติเหตุ กระดูกสันหลังคด แขนขาด้วน ข้อสะโพกข้อไหล่หลุดหรือยึดติด การผิดรูปของกระดูก ส่วนตา่ ง ๆ ของร่างกาย 2. เด็กท่ีมีปัญหาทางระบบประสาท เช่น เด็กสมองพิการ (Cerebral Palsy) ภาวะน้าคั่งในกะโหลก ศรี ษะ (Hydrocephalus) เย่อื หุ้มสมองอักเสบ (Meningitis) อัมพาต เปน็ ต้น 3. เด็กท่ีมีปัญหาระบบทางเดินหายใจ เช่น มีการผิดรูปของทรวงอก การหายใจผิดปกติมีการค่ังค้าง ของเสมหะ 4. เดก็ พัฒนาการชา้ มีปัญหาด้านการเคล่ือนไหวไมส่ มวยั หรือไม่สามารถเคล่ือนไหวได้อย่างปกติ เปา้ หมายในการนากายภาพบาบัดมาใช้ในผู้เรียนที่มีความตอ้ งการจาเป็นพเิ ศษ 1. เพ่ือใหเ้ ด็กพิการสามารถควบคุมการสั่งการ การทางานของกลา้ มเนื้อสว่ นต่าง ๆ ได้ดีข้ึน 2. เพอ่ื ป้องกันและลดปัญหาเรอื่ งการยดึ ตดิ ผดิ รูป หรอื การหลุดของข้อต่อต่างๆ 3. เพอ่ื ช่วยส่งเสริมใหเ้ ดก็ พิการสามารถควบคุมการทรงตวั การลงนา้ หนัก และสามารถเคลื่อนไหว ร่างกายดว้ ยตนเองได้ดีขนึ้ 4. เพื่อกระตุ้นพัฒนาการ เพ่มิ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อท่ีอ่อนแรง เพ่ิมความตึงตวั ของกล้ามเนื้อ ทมี่ ีน้อยเกินไป ลดความตึงตัวของกล้ามเนื้อที่ขัดขวางการเคลอื่ นไหว 5. เพ่อื ให้เด็กพิการสามารถชว่ ยเหลือตนเองในการใชช้ วี ติ ประจาวันได้ แนวทางการนากายภาพบาบัดมาใชเ้ พ่อื การฟ้ืนฟสู มรรถภาพและพฒั นาศกั ยภาพของผู้เรยี น ทีม่ คี วามต้องการจาเปน็ พิเศษ กายภาพบาบัดในเด็กสมองพกิ าร เด็กสมองพิการ (Cerebral Palsy) เป็นเด็กท่ีมีความผิดปกติหรือมีความยากลาบากในการเคล่ือนไหว สว่ นต่าง ๆ ของรา่ งกายอันเน่อื งมาจากมพี ยาธสิ ภาพท่สี มอง อาการท่ีแสดงในทารกและเด็กเล็กมักเกี่ยวกับการ
8 พัฒนาการที่ล่าช้าในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะการเคล่ือนไหวซึ่งอาการเหล่านี้มักแสดงชัดเจนเม่ืออายุมากข้ึน หากไม่ได้รักษาอย่างถูกวิธีอาจทาให้เกิดปัญหาแทรกซ้อนตามมาได้อีกมากมาย เช่น กล้ามเนื้อหดส้ัน ข้อติด กระดูกสันหลงั คด เปน็ ต้น จึงควรนาเด็กมาตรวจรักษาตั้งแต่ระยะแรกเริ่มทราบว่าเด็กมีอาการผิดปกติ เพื่อฝึก พฒั นาการให้ดีขน้ึ สาเหตุและปจั จยั เกิดได้ 3 ระยะ โดยระยะก่อนคลอด มารดามีการติดเชื้อระหว่างการตั้งครรภ์ เช่น เช้ือหัดเยอรมัน หรืออาจเกิดจากโรคของมารดา เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โลหิตจาง ครรภ์เป็นพิษ หรือได้รับสารเคมี หรือมีความผิดปกติของพันธุกรรม ระยะระหว่างคลอดอาจเกิดภาวะขาดออกซิเจน ซ่ึงเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อย ในการคลอดท่ีอายุครรภ์น้อย และในระยะหลังคลอดอาจเกิดการติดเชื้อในสมองได้รับสารพิษสาลัก หรือชักได้ เดก็ สมองพกิ ารสามารถแบ่งตามกลุ่มอาการได้ดังนี้ (ศูนย์สิรินธรเพื่อการฟ้ืนฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ : 2544) 1. กลุ่มท่ีมีกล้ามเน้ือแข็งเกร็ง (Spasticity) แบ่งย่อยได้เป็นชนิดแบบครึ่งซีก (Spastic Hemiplegia) คือมีความตึงตัวของกล้ามเนื้อและการเคลื่อนไหวของร่างกายข้างใดข้างหนึ่งมากกว่าปกติ ทาให้เด็กไม่สนใจ ข้างท่ีมีปัญหาและไม่ได้ใช้งานจนเกิดความพิการ ชนิดแบบคร่ึงท่อน (Spastic Diplegia) คือมีความตึงตัวของ กล้ามเนื้อและการเคลื่อนไหวของร่างกายตลอดทั้งตัว แต่มีความรุนแรงในส่วนของลาตัวและขามากกว่าแขน และศรี ษะ จงึ ทาใหเ้ ด็กใชง้ านแขนไดด้ ีกว่าขา เม่อื เดก็ อายมุ ากขึน้ ขาจะอยใู่ นท่างอบิดหมุนเข้าด้านในและหนีบ เข้า ทาให้เด็กยืนและเดินเขย่งปลายเท้า และชนิดแบบท้ังตัว (Spastic Quadriplegia) คือมีความตึงตัวของ กล้ามเนื้อและการเคลอื่ นไหวของร่างกายทั้งตัว แขนอยู่ในทา่ บิดหมุนเข้าด้านใน มือกา ขาหนีบและบิดหมุนเข้า ดา้ นในปลายเทา้ เหยยี ด 2. กลุ่มที่มีความตึงตัวของกล้ามเน้ือเปล่ียนแปลงอย่างเฉียบพลัน (Athetosis) ลักษณะกล้ามเน้ือแขน ขามีการเปลีย่ นแปลงในลักษณะแข็งเกร็งและปวกเปียกสลับกันในทุกส่วนของร่างกาย มีการเคลื่อนไหวเกิดข้ึน อยา่ งไม่ต้ังใจ อาจเกิดขนึ้ อยา่ งรวดเรว็ และช้า ๆ ก็ได้ 3. กลุ่มท่ีการเคลื่อนไหวไม่ประสานสัมพันธ์กัน (Ataxia) เด็กมีปัญหาของการเคลื่อนไหวท่ีไม่ทางาน ประสานกันได้อย่างราบเรียบ มีปัญหาการทรงท่าต่าง ๆ ได้อย่างยากลาบาก ทาให้เด็กยืนและเดินในลักษณะ ท่มี ีฐานกว้าง 4. กลุ่มท่ีมีกล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียก (Hypotonia) เด็กมีความตึงตัวของกล้ามเน้ือตลอดลาตัวต่า ทาให้มี ปัญหาข้อตอ่ ในส่วนต่าง ๆ หลวม เม่อื จบั ใหน้ อนในทา่ นอนหงายแขนขาจะแบะออก ไม่สามารถเคลื่อนไหวต้าน แรงโนม้ ถว่ งโลกได้ เดก็ อาจมภี าวะแทรกซอ้ นอื่นร่วมด้วย เช่น หายใจลาบาก พูดช้า เด็กซีพี เหล่าน้ีมักมีปัญหา ในการทรงท่าการเคลือ่ นไหวและการทากิจวัตรประจาวันด้วยตนเอง จึงต้องได้รับการดูแลช่วยเหลืออย่างถูกวิธี จากนักกายภาพบาบัดซ่ึงเป็นผู้กระตุ้นพัฒนาการการเคล่ือนไหว เช่น การฝึกชันคอ การฝึกพลิกตะแคง พลิก คว่า-หงาย การฝกึ ต้ังคลาน การฝึกยืน การฝึกเดิน การฝึกใช้เครื่องช่วยในการเคล่ือนไหวท่ีถูกต้อง เพ่ือป้องกัน การเกิดภาวะแทรกซ้อนหรืออันตรายต่าง ๆ นอกจากน้ีผู้ปกครองต้องดูแลช่วยเหลือเด็กในการทากิจวัตร ประจาวันอย่างถกู วธิ ี (โครงการศนู ย์กายภาพบาบดั และการเคล่ือนไหว: 2550)
9 หลักการฝกึ เด็กสมองพิการ 1. สง่ เสริมมกี ารเคล่ือนไหวปกติ 2. กระตนุ้ ใหใ้ ชร้ า่ งกายทั้งสองซีก 3. ฝึกตามลาดบั ข้นั ของพฒั นาการ 4. ส่งเสริมการเรยี นรผู้ ่านการทากิจกรรมในชีวติ ประจาวัน 5. ส่งเสรมิ ความสามารถในการทรงท่า เริ่มจากท่านอน ทา่ น่งั ยืนเขา่ และท่ายืน 6. ป้องกันปัญหาขอ้ ยึดตดิ แผลกดทบั และอวยั วะผิดรูป การป้องกนั ความพิการหรือภาวะแทรกซอ้ นท่ีเกิดขึน้ 1..ป้องกันและรักษาแผลกดทับ โดยมีการปรับเปลี่ยนท่าทางบ่อย ๆ หรือทุก ๆ 2 ช่ัวโมง เช่น การพลกิ ตะแคงคว่าหงายสลับไปมา การลุกนั่ง สิ่งสาคัญคือถ้าผิวหนังบริเวณท่ีถูกกดเปล่ียนสีให้พยายามอยู่ใน ทา่ ทางทไ่ี มก่ ดบริเวณน้นั จนกว่าสีผวิ หนงั จะปกติ 2. ป้องกันการยึดติดข้อต่อโดยการเคลื่อนไหวข้อแขน ข้อขา ตรงข้ามกับทิศทางท่ีเกร็ง แต่ต้องอยู่ ในช่วงการเคล่ือนไหวทเี่ หมาะสมและคานึงถึงการเจบ็ ปวดของเด็กทุกคร้ัง วิธีการฟ้ืนฟสู มรรถภาพในชีวิตประจาวนั ของเดก็ สมองพิการ 1. การจัดท่าทาง การจัดท่าท่ีเหมาะสมจะช่วยส่งเสริมพัฒนาการที่ถูกต้อง ทาให้เด็กลดเกร็งและ ป้องกันความพิการผิดรูปหรอื ข้อตดิ ได้ 1.1 ท่านอนหงาย เป็นท่าท่ีควรหลีกเลี่ยง เพราะเด็กจะมีอาการเกร็งของกล้ามเน้ือเหยียดสูง แต่ถ้า จาเป็น ควรจัดให้ศีรษะและไหล่ก้มหรืองอมาด้านหน้า โดยใช้หมอนสามเหล่ียมรองบริเวณศีรษะและไหล่ มหี มอนรองใต้เขา่ เพือ่ ใหเ้ ข่างอเลก็ น้อย เด็กจะสามารถใชม้ ือทง้ั สองข้างทากิจกรรมต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น 1.2 ท่านอนตะแคง อาการเกร็งจะลดลง โดยจัดให้ศีรษะและไหล่ก้มหรืองอมาด้านหน้าเช่นกัน งอสะโพกและเขา่ ของขาดา้ นบน โดยมีหมอนรองรบั ควรจดั ใหเ้ ด็กนอนตะแคงท้งั ดา้ นซา้ ยและขวา 1.3 ท่านอนคว่า ควรใชห้ มอนรองบริเวณใต้อก จัดให้ไหล่ทั้งสองข้างงอยื่นมาด้านหน้าจัดให้เด็กชัน
10 คอข้ึน ลงน้าหนกั บริเวณข้อศอกหรือปลายแขน ในเด็กที่อ่อนปวกเปียกควรจัดขาให้ชิดกันและใช้หมอนหรือถุง ทรายช่วยจัดท่าเด็กท่ีมอี าการเกร็งของขา ควรวางหมอนระหว่างขาและใช้ผา้ รดั บริเวณสะโพกไมใ่ ห้งอ 1.4 ท่าน่งั อาการเกร็งเหยยี ด ทาให้ไม่สามารถนั่งงอสะโพกได้เตม็ ที่ขาท้งั สองข้างมักหนีบเขา้ หากัน อาจช่วยจับเดก็ นั่ง โดยผปู้ กครองอยดู่ ้านหลงั ของเดก็ แล้วสอดมือมาจับเขา่ หรือต้นขาท้งั สองข้างแยกออก จากกัน ใช้ต้นขาหรือลาตัวของผู้ปกครองดันลาตวั เด็กให้เอนมาดา้ นหนา้ เดก็ จะสามารถใช้มือท้งั สองข้างได้ อยา่ งอิสระ ใหจ้ ับบริเวณหัวไหลเ่ ดก็ แล้วกดลงให้แขนทั้งสองข้างย่นื มาดา้ นหนา้ การนัง่ เก้าอี้ ต้องใชผ้ า้ รัดบรเิ วณสะโพกกบั เกา้ อ้ี เพอื่ ใหส้ ะโพกงอและกนั ไมใ่ ห้เด็กเหยียดจน ตกจากเก้าอ้ี ความสูงของทีน่ ั่งควรพอเหมาะ ใหฝ้ ่าเท้าแบนราบกบั พน้ื อาจดดั แปลงท่ีนัง่ สาหรับเด็กโต โดยใช้ กล่องท่ีมีความแขง็ แรงตัดใหม้ ีรปู ร่างพอเหมาะ มีสายรดั บรเิ วณสะโพกและกน้ ไมใ่ ห้ขาหนีบเขา้ หากนั 1.5 ท่ายืน เด็กท่ีควบคุมศีรษะได้ควรจัดให้อยู่ในท่ายืนบ้าง เพื่อป้องกันข้อติดและทาให้มีการ ลงน้าหนักที่ขา เด็กจะมีอิสระในการใช้มือและสามารถมองเห็นส่ิงต่าง ๆ ได้มากขึ้น อาจดัดแปลงอุปกรณ์ ในการช่วยยืนง่าย ๆ ดงั รปู ภาพต่อไปนี้ 2. การอุ้มเดก็ สมองพกิ าร เด็กที่มีการเกร็งเหยียด เนื่องจากท่านอนหงายเด็กจะมีอาการเกร็งมาก จึงควรเร่ิมอุ้มจากท่านอน ตะแคง จัดให้เด็กงอเข่าและสะโพก อีกแขนหนึ่งจะโอบรับศีรษะและจับบริเวณต้นแขนให้ไหล่งอมาด้านหน้า อุ้มเด็กให้ชิดตัวผู้อุ้มมากที่สุด การอุ้มเด็กที่เกร็งเหยียดควรอุ้มในท่างอ การอุ้มเด็กที่เกร็งงอควรอุ้มในท่าเหยียด การอุม้ เดก็ ทเี่ กร็งและขาไขว้กัน เดก็ ที่มีอาการเกร็งหนีบขาทั้ง 2 ข้าง และอ่อนปวกเปียก ควรอุ้มเด็กในท่ากาง ขาแยกจากกนั
11 ข้อควรระวังเพิ่มเตมิ ได้แก่ การจัดศีรษะให้เด็กอยู่ในท่าก้มไม่ควรใช้มือดันด้านหลังของศีรษะ โดยตรง เดก็ จะย่ิงเกร็งต้านมากขนึ้ ควรจัดไหล่ทัง้ สองขา้ งให้งอมาด้านหนา้ ก่อน กิจกรรมบาบัด (Occupational Therapy) ความหมาย “กิจกรรมบาบัด (Occupational Therapy) หมายถึง การกระทาเกี่ยวกับความสามารถของบุคคล ท่ีมีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ การเรียนรู้ และการพัฒนาเกี่ยวกับเด็กโดยกระบวนการตรวจ ประเมิน ป้องกนั สง่ เสรมิ และฟืน้ ฟสู มรรถภาพใหส้ ามารถทากจิ กรรมต่าง ๆ ได้ เพื่อให้บุคคลดาเนินชีวิตได้ตามศักยภาพ โดยการนากิจกรรม วิธีการ และอุปกรณ์ท่ีเหมาะสมมาเป็นวิธีการในการบาบัด” (พระราชกฤษฎีกากาหนดให้ สาขากจิ กรรมบาบดั เปน็ สาขาการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2545) จากความหมายข้างต้น นักกิจกรรมบาบัดจึงเป็นผู้นากิจกรรม วิธีการ และอุปกรณ์ท่ีเหมาะสม มาพัฒนาผู้รบั บริการใหส้ ามารถกระทากจิ กรรมต่าง ๆ ได้ ความเป็นมา วิชาชพี กจิ กรรมบาบดั มีประวัตเิ ร่ิมตน้ ในประเทศแถบตะวนั ตก ตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 18 จากการ ปฏิรูป แนวคิดด้านสิทธิและเสรีภาพในยุคการปฏิวัติฝรั่งเศส โดยเร่ิมจากนายแพทย์ฟิลิปส์ ไพเนล (Philloppe Pi- nel) ได้ปลดโซ่ตรวนและการกักขังผู้ป่วยทางจิต และหันมาให้การบาบัดรักษาอย่างมีมนุษยธรรมและศีลธรรม ซึ่งเรียกว่า Moral Treatment โดยการใช้กิจกรรมดนตรี การทางาน การออกกาลังกาย เพ่ือช่วยบาบัดความ ตึงเครียด รวมถึงการให้ทากิจกรรมต่าง ๆ เพ่ือเบี่ยงเบนผู้ป่วยออกจากการหมกมุ่นในตนเอง ซ่ึงเป็นท่ีมาของคาว่า Occupation ที่มีความหมายว่ายึดครอง คือการให้ผู้ป่วยมีสมาธิยึดอยู่กับกิจกรรมท่ีทา ต่อมาในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ได้มีการนากิจกรรมด้านศิลปหัตถกรรมมาใช้กับผู้ป่วยหย่อนสมรรถภาพ ทางกาย ช่วงยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 มีผู้พิการจากสงครามเกิดขึ้นมาก จึงมีการขยายขอบเขตงาน มาในผู้ป่วยโรคกระดกู และขอ้ ผู้พกิ าร และผู้เจ็บป่วยเรื้อรัง สาหรับงานกิจกรรมบาบัดในผู้รับบริการที่เป็นเด็ก เริ่มมาจากอัตราการตายของทารกและเด็กเล็ก จากความยากจนในช่วงต้น ๆ ของ ค.ศ. 1900 ในสหรัฐอเมริกา รวมท้ังการระบาดของโรคโปลิโอ ซ่ึงทาให้ นั ก กิ จ ก ร ร ม บ า บั ด แ ล ะ นั ก ก า ย ภ า พ บ า บั ด มี บ ท บ า ท ใ น ก า ร ฟื้ น ฟู ส ม ร ร ถ ภ า พ เ ด็ ก ที่ มี ปั ญ ห า ค ว า ม พิ ก า ร ทางร่างกาย เช่น ปัญหาด้านกระดูกและข้อ ด้านระบบประสาทและโปลิโอ และได้ขยายมาถึงการดูแล เด็กพกิ ารทางสมอง (Cerebral Palsy) และเด็กพกิ ารทางสติปญั ญา (Mental Retardation) นักกิจกรรมบาบัดได้รับการจ้างงานภายใต้กฎหมายเพ่ือดูแลเด็กพิการดังกล่าว ในการทางานในโรงเรียน ของรัฐช่วงปี ค.ศ. 1940-1950 ซึ่งผู้รับบริการเด็กในช่วงแรกเป็นกลุ่มโรคทางกายหรือการเคลื่อนไหว (motor disabilities) เน่ืองจากความบกพร่องหรือความพิการทางกายของเด็ก ทาให้เด็กขาดโอกาสทางการศึกษา ผู้ปกครองจงึ ตอ้ งแสวงหาการบาบัดรักษาจากภายนอกและเสียค่าใช้จ่ายเอง เพ่ือให้เด็กพิการสามารถเข้าเรียน ได้โดยการเข้ารับการบาบัดทางการแพทย์จากนักวิชาชีพในโรงพยาบาล สหรัฐอเมริกาจึงได้มีกฎหมาย
12 ด้านการศึกษาแก่เด็กพิเศษ ชื่อ Education For All Handicapped Children Act of 1975 เป็นผลให้มีการ ต่ืนตัวในการช่วยเหลือเด็กพิเศษในทุกด้าน เพ่ือขจัดอุปสรรคด้านการศึกษา หลังจากน้ันมาจึงได้มีนักวิชาชีพ ทีเ่ ก่ียวข้องเขา้ มาพัฒนาเดก็ พกิ ารหรือเด็กพเิ ศษในสถานศึกษาสาหรบั กิจกรรมบาบดั ในประเทศไทย เร่ิมมีคร้ังแรกท่ีโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา โดยในระยะแรก งานทางกิจกรรมบาบัด จะเน้นหนักไปในทางใช้งานศิลปะและงานอาชีพในการรักษาคนไข้จิตเวชท่ีอยู่ในโรงพยาบาล และได้มีการ ขยายขอบเขตงานไปยังผู้ที่มีปัญหาทางด้านร่างกาย ในระยะแรกวิชาชีพกิจกรรมบาบัดถูกเรียกว่า อาชีวบาบัด เน่ืองจากมีการนางานอาชีพมาใช้รักษาค่อนข้างมาก ต่อมาได้มีการนาอาชีวบาบัดมาใช้รักษาผู้ป่วย ที่โรงพยาบาลศิริราช ในปี พ.ศ.2508 และมีการเปิดการสอนด้านกิจกรรมบาบัดข้ึนท่ีคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ มาจนปัจจุบัน ผเู้ รียนทีม่ คี วามตอ้ งการจาเปน็ พิเศษในการรับบรกิ ารกิจกรรมบาบัด มยรุ ี เพชรอักษร (2547) ได้อธิบายถงึ ประเภทของเด็กทมี่ ารบั บริการกจิ กรรมบาบดั สรปุ ได้ ดังน้ี 1. เด็กท่ีมีความพิการทางการเคลือ่ นไหวหรือมปี ญั หาทางระบบโครงสรา้ งของร่างกายและกลา้ มเนื้อ เชน่ เด็กสมองพิการ เดก็ ท่ีได้รบั บาดเจบ็ จากไขสนั หลัง เด็กแขนขาพกิ าร 2. เดก็ ที่มีความบกพร่องทางด้านสายตา 3. เดก็ ที่มีความบกพร่องการได้ยิน 4. เด็กท่ีมีปัญหาทางด้านการเรียนรู้หรือเด็กท่ีมีปัญหาพัฒนาการล่าช้ากว่าวัยทุกด้าน หรือด้านใด ด้านหนึ่ง เช่น เด็กกลุ่มอาการดาวน์หรือโรคทางพันธุกรรมต่าง ๆ เด็กที่มีปัญหาการเรียนรู้ เด็กที่มีปัญหา การส่ือความหมาย เด็กคลอดก่อนกาหนด เดก็ กาพร้า เดก็ ทมี่ ีภาวะแทรกซอ้ นจากโรคตา่ ง ๆ 5. เด็กที่มีปัญหาด้านจิต-อารมณ์ สังคม เช่น เด็กสมาธิส้ัน เด็กออทิสติก เด็กโมโหร้าย เด็กก้าวร้าว เด็กท่ีมีพฤตกิ รรมเบยี่ งเบน 6. เด็กที่มคี วามพิการซ้อน เช่น เด็กสมองพิการและมีปัญหาทางจิต เด็กหูหนวกท่ีมีภาวะบกพร่องทาง สติปัญญา เป็นตน้ บทบาทหน้าท่ใี นการบริการและรูปแบบการบริการในสถานศกึ ษา (services-delivery model) การให้บริการบาบัดแก้ไขปัญหาความบกพร่องของเด็ก เป็นหน้าท่ีโดยตรงของนักวิชาชีพต่าง ๆ การให้บริการกิจกรรมบาบัดแก่เด็กในบริบทสถานศึกษาจึงเป็นหน้าท่ีหลักของนักกิจกรรมบาบัด หรือ ครกู จิ กรรมบาบัด มี 3 รปู แบบ (Punwar, 2000, Johnson, 1996) ดงั น้ี 1. การให้บริการโดยตรง (direct services model) หมายถึง การให้บริการบาบัดโดยนักกิจกรรมบาบัด เป็นผู้ปฏิบัติโดยตรง เช่น การบาบัดรายบุคคล หรือการบาบัดในกลุ่มเล็ก ๆ โดยมีการนัดให้มารับการบริการ ขน้ึ กับความถีใ่ นการวางแผนการบาบัด 1.1 การบาบัดรายบุคคล (Pull out therapy) เหมาะกับเด็กที่พัฒนาการช้ามาก เด็กมีพฤติกรรม ท่ีจาเป็นต้องใช้อุปกรณ์พิเศษและเทคนิคเฉพาะในการแก้ไขปัญหา โดยความถี่และโปรแกรมการบาบัด ที่เข้มข้นจะแก้ไขปัญหาท่ีมีโดยตรงของเด็กได้ เช่น การแก้ไขปัญหาพฤติกรรมไม่อยู่น่ิง โดยใช้อุปกรณ์ ตามหลักการการบรู ณาการประสาทความรสู้ ึก
13 1.2 การช่วยเหลือนักเรียนในช้ันเรียน (Integrated therapy) ให้การกระตุ้นพัฒนาการขณะเด็ก ร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ในชั้นเรียน ใช้เทคนิคต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหาของเด็กเพื่อให้เด็กดาเนินกิจกรรม ในช้ันเรียนได้ เชน่ ปรับเปล่ียนอุปกรณ์ที่ใช้ในการทากิจกรรม ปรับสภาพแวดล้อม เด็กจะได้ประโยชน์จากการ ได้ฝึกการปรบั ตัวเขา้ กบั สภาพแวดลอ้ มจริงเมอ่ื ได้ผา่ นการฝึกแบบรายบุคคลมาก่อน 2. การกากับติดตาม (monitoring model) หมายถึง การวิเคราะห์บ่งช้ีปัญหา ออกแบบและวางแผน การรกั ษาทเี่ หมาะสมแก่นักเรยี นโดยมีบคุ ลากรอน่ื เป็นผปู้ ฏบิ ัตติ ามแผนนั้นทงั้ หมดหรือบางส่วน ภายใต้การดูแล แนะนาของนักกิจกรรมบาบัด 3. การให้คาปรึกษา (consultation model) หมายถึง การให้คาปรึกษาแก่ครูประจาชั้น ครอบครัวเด็ก และผู้เก่ียวข้อง ในการช่วยเหลือนักเรียน เช่น การวางแผนปรับปรุงเปล่ียนแปลงการ บาบัดรักษา การประยุกต์การใช้กจิ กรรมตา่ ง ๆ ทีเ่ หมาะสมกบั สภาพแวดล้อมในโรงเรยี น จุดประสงค์ของการฝกึ กิจกรรมบาบดั (Mc Narry , 2490 อ้างใน มยรุ ี เพชรอกั ษร , 2547) 1.-เพื่อมุ่งให้กิจกรรมการละเล่นแก่เด็กที่ได้รับการรักษาทางการแพทย์-ให้เกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลิน 2. เพ่ือมุ่งให้กิจกรรมการละเล่น เสริมสร้างทักษะพัฒนาด้านการเคลื่อนไหวของข้อ การเพิ่มความ แขง็ แรงของกลา้ มเนื้อและเพิ่มทกั ษะสหสมั พันธข์ องการเคลือ่ นไหวส่วนของร่างกายต่าง ๆ 3. เพ่ือมุ่งให้กิจกรรมการละเล่นช่วยเสริมสร้างทักษะการช่วยเหลือตนเอง ด้านกิจวัตรประจาวันของ เดก็ เชน่ การใหเ้ ด็กเลน่ แต่งกายตกุ๊ ตา การเล่นเลยี นแบบการทาครวั แปรงฟนั ลา้ งถ้วยชาม ฯลฯ 4. เพอ่ื ลดความวิตกกงั วลและความเครียดของเด็กดว้ ยการเข้าใจปัญหาของเด็ก กระต้นุ ใหเ้ ดก็ เกิดความมัน่ ใจในตนเอง ชว่ ยเด็กหรือกระตนุ้ ให้เด็กกระทากิจกรรมใดกิจกรรมหนึง่ ให้เกดิ ผลสาเรจ็ 5. เพอื่ กระต้นุ พฒั นาการเดก็ ทัง้ ด้านร่างกาย การเคล่ือนไหวกลา้ มเน้ือใหญ่ - เล็ก ทักษะการใช้มือ การ รับรู้ สติปัญญา ภาษา สังคม ตลอดจนการช่วยเหลือตนเองได้ทั้งเด็กปกติ เด็กพิการและเด็กที่มีความบกพร่อง ทางดา้ นสติปญั ญา 6. เสรมิ สร้างทกั ษะการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม การเข้ากลุ่มและสิ่งแวดล้อมท้ังที่เป็นบุคคลและ ส่งิ ของ 7. เพ่ือเสริมสร้างความเข้าใจอันดีของพ่อ - แม่ ที่มีต่อเด็ก ตลอดจนการช่วยแก้ปัญหาด้านต่าง ๆ ที่เกิดขน้ึ กับเดก็
14 แนวทางการนากิจกรรมบาบัดมาใช้เพื่อการฟืน้ ฟสู มรรถภาพและพฒั นาศักยภาพของผู้เรยี น ที่มคี วามต้องการจาเป็นพิเศษ การบาบัดรักษาทางกิจกรรมบาบัดได้แบ่งผู้รับบริการออกเป็น 4 กลุ่มตามช่วงอายุและแบ่งตาม ความบกพร่อง ได้แก่ ผู้ป่วยเด็ก ผู้ป่วยหย่อนสมรรถภาพทางกาย ผู้ป่วยหย่อนสมรรถภาพทางจิต ผู้สูงอายุ ในท่ีนี้ผู้รับบริการในสถานศึกษา คือ เด็ก นักกิจกรรมบาบัดจึงให้การบาบัดตามบทบาทแนวทางการให้บริการ แก่เดก็ เชน่ การกระต้นุ พัฒนาการ การเลน่ การฝึกกิจวัตรประจาวัน สมาคมนักกิจกรรมบาบัดอเมริกา (Amer- ican Occupational Therapy Association, 1989) ได้เสนอแนะและกาหนดขอบข่ายงานการบาบัดรักษาแก่ ผู้รบั บริการในสถานศึกษา ซึ่งม่งุ เนน้ รายละเอยี ดและเปา้ ประสงคใ์ นการบาบัด ดงั น้ี 1. พัฒนาความตงึ ตัวและความแขง็ แรงกล้ามเนื้อ (muscle tone strength) คอื การเพ่ิมหรือลด ความ ตึงตัวของกล้ามเนื้อ เพ่ือช่วยคงท่าทางในการทากิจกรรมการเรียน เพ่ิมการทางานของระบบหายใจท่ีมี ประสทิ ธภิ าพ ให้มีความทนทานของร่างกายในการทากิจวตั รในโรงเรียน การจัดท่าทากจิ กรรมเพื่อเพ่ิมความสมดลุ ของร่างกายในเด็กสมองพกิ ารอ่อนแรงครึง่ ซกี 2. พัฒนาด้านทักษะและรูปแบบการเคล่ือนไหว (developmental skill and motor patterns) คือ การกระตุ้นพัฒนาการทางการเคล่ือนไหวเพื่อปรับปรุงความสามารถด้านร่างกายในการทากิจกรรมต่าง ๆ ในโรงเรยี น กจิ กรรมเพอ่ื พฒั นาประสาทการรับร้กู ารเคลือ่ นไหว
15 3. กระตุ้นเร่งเร้าปฏิกิริยาอัตโนมัติ (primitive reflex / postural reactions) กระตุ้นปฏิกิริยา อัตโนมัติ (reflex) และการพัฒนาการตอบสนองในการกระทา (postural reaction) การทรงตัว (balance) สหสัมพันธ์ของร่างกาย (co-ordination) ซึ่งจาเป็นต่อการดารงตนในสภาพแวดล้อมของการเรียนส่งเสริม ด้านประสาทสัมผัสและกล้ามเนื้อ (sensory–motor functioning) โดยการกระตุ้นผ่านระบบการสัมผัส การทรงตัว การรับรู้ข้อต่อ การรับรู้ทางสายตา เพื่อให้เด็กเกิดการปรับตัวและเรียนรู้ในสภาพแวดล้อม ของการศึกษา การกระตุ้นปฏกิ ิริยาการทรงตัว การกระต้นุ ปฏกิ ริ ิยาการทรงท่า (equilibrium reaction) (postural reaction) 4. ประดิษฐ์อุปกรณ์ช่วย (adaptive equipment / assistive devices) คือ การพิจารณาดัดแปลง อุปกรณ์ช่วยในการจัดท่าทาง การดูแลรักษาตนเอง การสื่อสาร การเขียน-การอ่าน และการเคลื่อนย้ายตนเอง ให้นกั เรยี นสามารถพงึ่ ตนเองได้ อุปกรณ์สวมดินสอ และอปุ กรณ์ช่วยประคองมือ ( Universal cuff) เครอ่ื งดามมือ (Splint)
16 5. ฝึกกิจวตั รประจาวนั (activities of daily living) ฝกึ ฝนการช่วยเหลอื ตนเองในด้านต่าง ๆ เช่น การ แต่งกาย การแต่งตัว การรักษาความสะอาด การรับประทานอาหาร การเคล่ือนไหว เพ่ือให้นักเรียนจัดการ ตนเองได้อย่างเหมาะสมต่อสภาพแวดล้อมในโรงเรียน โดยการใช้เทคนิคเฉพาะในการแก้ปัญหาพ้ืนฐาน และ การใช้สอ่ื สงิ่ อานวยความสะดวก จานกนั้ ขอบให้สงู เพ่ือใหน้ ักเรียนตักอาหารโดยไมห่ กและอุปกรณช์ ว่ ยประคองมือ การปรับเปลี่ยนกระดุมเปน็ แถบหนามเตย เพื่อช่วยในการติดกระดุมในเด็กสมองพิการแบบสน่ั 6. ฝึกควบคุมอวัยวะในช่องปาก (oral-motor) ส่งเสริมพัฒนาการรูปแบบการเคล่ือนไหวของกล้ามเน้ือ ช่องปาก สาหรบั การรับประทานอาหารและการพูด การนวดปาก เพ่ือลดภาวะนา้ ลายไหลและชว่ ยปิดปาก
17 7. ฝึกการใช้กล้ามเน้ือมัดเล็กและการใช้สายตา (fine motor/visual motor) พัฒนาความคล่องแคล่ว กาลังของกลา้ มเน้อื มอื สง่ เสรมิ สหสัมพนั ธข์ องมือและตา และความสามารถในการใช้อุปกรณ์ดัดแปลงต่าง ๆ ที่ เกีย่ วขอ้ งกบั การเรียนรูท้ างวชิ าการ การฝกึ สหสัมพันธข์ องตาและมือ ฝึกกาลังกล้ามเนื้อมอื การประยกุ ตท์ ฤษฎี วิธกี าร และแนวทางการบาบัดเด็กในสถานศกึ ษา จากขอบข่ายหน้าท่ีการบริการกิจกรรมบาบัด จะเห็นได้ว่าสามารถแบ่งรูปแบบแนวทางการบาบัด ในสถานศึกษาสรุปได้ 2 หลกั ใหญ่ (Johnson, 1996) คอื 1. แนวทางการบาบัดที่แก้ไขปัญหาพื้นฐานด้านองค์ประกอบการทากิจกรรม (Corrective Approach) เช่น เทคนิคทางประสาทพัฒนาการ (neurodevelopment) เทคนิคการบูรณาการประสาทความรู้สึก (sensory integration) เทคนิคชีวกลไก (biomechanics) ยกตัวอย่างเช่น เด็กออทิสติกท่ีมีภาวะหลีกหนี การสัมผสั (tactile defensiveness) จาเป็นตอ้ งลดภาวะน้โี ดยใชเ้ ทคนิคบรู ณาการประสาทความรู้สึก โดยการ ฝึกการรบั สัมผสั แบบตา่ ง ๆ ซงึ่ วิธีน้จี าเปน็ ต้องทาโดยนักวิชาชีพท่ไี ดร้ บั การฝกึ ฝนโดยตรง 2. แนวทางการบาบัดในการชดเชยความสามารถท่ีบกพร่องหรือสูญเสียไปของเด็ก (Compensatory Approach) เช่น การสอนทักษะเฉพาะ การปรับเปล่ียนกิจกรรม การใช้เทคนิคการ ดัดแปลงส่ืออุปกรณ์ การปรับเปล่ียนสภาพแวดล้อม การใช้อุปกรณ์ช่วย เพื่อเพ่ิมความสามารถในการทากิจกรรมแก่เด็ก ยกตัวอย่างเช่น การปรับสิ่งแวดล้อมให้เด็กสายตาเลือนรางโดยการจัดไฟให้สว่าง การใช้อุปกรณ์ช่วย ติดกระดุม ( button hook) ในเด็กสมองพิการ วิธีการนี้จะเป็นประโยชน์มากในการช่วยให้เด็กพ่ึงพาตนเองได้ และเหมาะสมกับการดารงชีวิตในสถานศึกษา อกี ท้ังยงั ใหบ้ ริการได้เร็วและจานวนมากกว่าวิธีที่ 1 และเป็นวิธีท่ี นาไปปฏิบตั ิรว่ มกนั ระหวา่ งผูเ้ กยี่ วข้องได้ การบูรณาการการบาบัดไปยังช้ันเรียน (Integrating Therapy into the Classroom) จากขอบข่าย หน้าท่ีของการบริการกิจกรรมบาบัด วิธีที่จะได้ผลและมีประสิทธิภาพท่ีสุดในการช่วยเหลือเด็ก คือการนา เทคนิควิธกี ารบาบัดตา่ ง ๆ ใหเ้ ข้าถึงการดาเนินชวี ติ ของเดก็ ได้มากที่สุด จึงได้มีการพัฒนารูปแบบการช่วยเหลือ เด็กให้มงุ่ ตรงไปยังกจิ กรรมในชนั้ เรียนมากกวา่ การแยกเด็กไปบาบัด
18 พลศึกษาเพ่ือบรรดกิ าร (Adaptive Physical Education) ความเป็นมา กิจกรรมพลศึกษาเพ่ือการช่วยเหลือผู้พิการระยะแรกเร่ิม เป็นการจัดในรูปแบบของกิจกรรม การบริหารกายเพื่อพัฒนาการเคลื่อนไหว ต่อมามีการนาไปใช้สาหรับผู้ป่วยแขนขาหลังการผ่าตัด เพ่ือพัฒนา กลไกการเคลอ่ื นไหวให้ดีข้ึน โดยจัดเป็นการบริหารภายในท่าทางต่าง ๆ และมีการนาเอาแบบอย่างการเคล่ือนไหว ยิมนาสติกเข้ามาใช้ จนกระท่ัง เปอร์เฮนริคลิงค์ นักพลศึกษาชาวสวีเดนได้ ดัดแปลงท่าทางการบริหาร ที่เหมาะสมกบั สภาพของบุคคลและพัฒนาจนกลายมาเป็นกจิ กรรมการบรหิ ารกายที่มีคุณค่าต่อการพัฒนากลไก การเคลื่อนไหวท่ีเหมาะกับบุคคลที่มีขีดจากัดทางกาย ทาให้เกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลิน ผ่อนคลาย และ มีผลต่อการพัฒนากลไกการเคลื่อนไหวร่างกายสาหรับผู้พิการ จนกลายมาเป็นแบบฉบับของกิจกรรมพิเศษ เพ่อื สง่ เสริมชว่ ยเหลอื พฒั นากลไกให้กบั ผมู้ ลี กั ษณะอาการผดิ ปกตทิ างรา่ งกายและจติ ใจ ซ่งึ สรปุ แล้ว คือ การจัด กิจกรรมพลศึกษาพิเศษเพ่ือเป็นการช่วยเหลือฟ้ืนฟูสมรรถภาพและกลไกการเคล่ือนไหวสาหรับผู้ที่มีความ บกพร่องทง้ั ทางดา้ นร่างกายและจิตใจ (พีระพงศ์ : 2538) ความเป็นมาของบรรดิการทางพลศึกษา มีการจัดต้ังคณะกรรมการเกี่ยวกับวิชาบรรดิการทางพลศึกษา ของสมาคมสุขภาพพลศึกษาและสันทนาการแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ตั้งชื่อวิชาว่า Adaptived Physical Education คือ บรรดิการทางพลศึกษา สาหรับหลักสูตรทางด้านวิชาการพลศึกษาก็มีการกาหนดให้มี การเรียนการสอน การจัดโครงการพิเศษเพ่ือเด็กท่ีมีอาการผิดปกต่าง ๆ โดยมีทั้งการเรียนภาคทฤษฎีและ ภาคปฏิบตั ิแม้ตามหนว่ ยงานหรอื โรงพยาบาล ความหมายของบรรดิการทางพลศึกษา 1. โปรแกรมการออกกาลังกายเพื่อรักษาสภาวะท่ีเป็นสมุหโรค (Medical Gymnastrics) เป็นชื่อ ท่ีมีการเรยี กกนั ในประเทศต่าง ๆ ของทวีปยโุ รปและอเมริการะยะตน้ ศตวรรษท่ี 20 (วชิ ิต สุวรรณโนภาส :2531) 2. การจัดโปรแกรมพลศึกษาที่เตรียมไว้เพื่อช่วยป้องกันอวัยวะไม่ให้มีสภาพที่เลวลง (Preventive Physical Education) 3. การจัดทางพลศึกษาที่เน้นสภาวะการบารุงรักษาสภาวะข้ันต้นของระบบกระดูกกล้ามเน้ือ เพื่อ รปู ร่างทรวดทรงและกลไกการเคลื่อนไหวของร่างกาย (Orthopedic Physical Education) 4. การจัดโปรแกรมทางพลศึกษาเน้นเพื่อการแก้ไขปรับปรุงเยียวยา รักษาทรวดทรงให้คืนสู่สภาพปกติ (Corrective Remedial Physical Education) 5. การจัดโปรแกรมทางพลศึกษา ที่ต้องดัดแปลงโดยมีข้อจากัดและบังคับบางประการ เพ่ือให้ เหมาะสมกบั ความต้องการและความสามารถของเด็กพิการ (Modified, Restricted, Limited Physical Edu- cation) 6. การจัดกิจกรรมพลศึกษาเพื่อฟ้ืนฟูรักษาทรวดทรงให้มีสภาพปกติดีข้ึน (Rehabilitative Physical Education) 7. โปรแกรมทางพลศึกษาสาหรับคนพิการ (Special Physical Education) ซึ่งประกอบด้วย โปรแกรมออกกาลังกาย เพ่ือกระตุ้นการเพ่ิมสมรรถภาพให้คนพิการ โดยการปรับหรือดัดแปลงและพัฒนา
19 ข้ันตอนของการเล่นกีฬาหรือการแข่งขันกีฬา สร้างประสบการณ์การเคลื่อนไหวที่เหมาะสมสาหรับคนพิการ แตล่ ะคน 8. การจัดโปรแกรมทางพลศึกษาสาหรับผู้ท่ีมีร่างกายพิการให้มีพัฒนาการที่ดีข้ึน (Development Physical Education) 9. โปรแกรมพลศึกษาท่ีมีจัดเตรียมไว้เพ่ือการบาบัดผู้พิการชั่วคราว (Therapeutic Physical Educa- tion) 10. การจดั โปรแกรมทางพลศกึ ษาสาหรบั เด็กพิการที่ไม่สามารถจะเรียนในชั้นเรียนปกติได้ (Adapted Physical Education) โดยใช้กิจกรรมเป็นส่ือในการพัฒนาทางด้านร่างกาย ด้านอารมณ์ ด้านสังคม และ ด้านจิตใจ กิจกรรมพลศึกษาได้แก่ เกมกีฬา กิจกรรมเข้าจังหวะ ท้ังน้ีเพ่ือให้ตรงกับความสนใจ ความสามารถ และขดี จากัดของความพกิ ารของเด็กพิการ (Dunn 1989 : 4) ความมุ่งหมายของบรรดิการทางพลศึกษา ความมงุ่ หมายของวิชาบรรดกิ ารทางพลศึกษาหรือการจัดโปรแกรมทางพลศึกษาสาหรับคนพิการ เป็น การเปิดโอกาสให้เด็กพิการทุกคนท่ีมีความพิการทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม ท่ีไม่สามารถจะ เรียนในชั้นเรียนปกติ ได้มีโอกาสเรียนพลศึกษาและนาไปพัฒนาความผิดปกติของตัวเองให้ลดน้อยลง และนาไปใช้ให้เป็นประโยชน์กับชีวิตประจาวันตามความมุ่งหมายของบรรดิการทางพลศึกษา ดังต่อไปนี้ (พรรณทิพา : 2543) 1. เพอ่ื ชว่ ยใหเ้ ดก็ พิการคน้ พบความสามารถทซ่ี ่อนเร้น (Potentiality) ในตัวเอง 2. เพือ่ พัฒนาทักษะเก่ยี วกับการเคล่ือนไหวเบอื้ งตน้ 3. เพื่อช่วยฟื้นฟสู มรรถภาพทางดา้ นร่างกายและจติ ใจตลอดจนพัฒนาศกั ยภาพอยา่ งสูงสุด 4. เพอ่ื ชว่ ยป้องกันไม่ให้สว่ นที่พกิ ารนั้นไม่ใหเ้ ลวรา้ ยยิ่งกว่าเดมิ 5. เพ่อื ช่วยกระตุน้ สร้างกาลงั ใจให้มสี ว่ นร่วมในกจิ กรรมสรา้ งสรรค์สังคม 6. เพื่อช่วยให้เดก็ พิการได้เตรยี มตัวใหม้ ีความรพู้ นื้ ฐานเพื่อทจ่ี ะไปเรยี นต่อในข้ันท่ีสูงข้นึ 7. เพอ่ื ใหเ้ ดก็ พกิ ารมีส่วนร่วมในกจิ กรรมพลศกึ ษาทเี่ ลือกสรรแล้ว 8. เพอื่ ใหเ้ ดก็ พกิ ารมีทักษะขน้ั พ้นื ฐานทางดา้ นกีฬาต่าง ๆ 9. เพื่อให้เดก็ พิการเขา้ รว่ มกิจกรรมนนั ทนาการไดย้ ่างมคี วามสุข 10. เพื่อให้เด็กพกิ ารสามารถใช้ชวี ิตอยู่ในสังคมรว่ มกับผอู้ ่ืนได้อย่างมีความสุข เชน่ เดียวกบั คนปกติท่ัวไป 11. เพื่อใหเ้ ด็กพกิ ารมคี วามเจรญิ ทางด้านสังคม โดยการใชก้ ีฬาเปน็ ส่อื เพราะกีฬามีกฎ กตกิ า เชน่ ฟุตบอล วอลเลย์บอล บาสเกตบอล 12. เพ่อื ใหเ้ ดก็ พกิ ารเกิดความมัน่ ใจในตวั เอง 13. เพื่อให้เด็กพิการรจู้ กั คุณค่าของตวั เอง 14. เพ่อื ให้เด็กพิการเกิดความสนุกสนานเพลดิ เพลนิ 15. เพื่อให้เด็กพิการได้มีความรู้ความสามารถในการประกอบอาชีพได้ เพ่ือท่ีจะไม่เป็นภาระของ ครอบครวั และสงั คม
20 16. เพอื่ ชว่ ยใหเ้ ด็กพิการเข้าใจเกิดความซาบซง้ึ กับกีฬาตา่ ง ๆ 17. เพอ่ื ชว่ ยให้เดก็ พิการเป็นพลเมอื งดีของชาติ ประโยชน์ของบรรดิการทางพลศกึ ษา การจัดบรรดิการทางพลศึกษาสาหรับคนพิการ เพื่อต้องการให้เด็กได้มีพัฒนาการทางด้านร่างกาย อารมณ์ สงั คม และจิตใจ ซง่ึ เดก็ พกิ ารจะไดร้ บั ประโยชนจ์ ากโปรแกรมพลศกึ ษา 1. ทาใหเ้ ดก็ พิการมีโอกาสบาบดั แกไ้ ขสว่ นทีบ่ กพร่องเทา่ ท่ีจะทาได้ เชน่ กระดูกสันหลงั 2. ทาใหเ้ ด็กพิการมีสมรรถภาพทางกายดขี ้ึน 3. ทาใหเ้ ดก็ พิการเขา้ ใจในความสามารถทีซ่ ่อนเร้นแอบแฝงภายในตวั เอง 4. ทาใหเ้ ด็กพิการมีทกั ษะพื้นฐานในการเคล่ือนไหวเบือ้ งตน้ ทีถ่ ูกตอ้ ง 5. ทาใหเ้ ด็กพกิ ารสามารถใช้ชวี ิตอย่ใู นสงั คมกับผู้อ่นื อยา่ งมีความสุข 6. ทาให้เดก็ พกิ ารเกดิ ความมัน่ ใจในตวั เอง 7. ทาใหเ้ ด็กพกิ ารรจู้ ักคุณคา่ ของตัวเอง 8. ทาให้เดก็ พิการมีการเตรียมความพร้อมสาหรับการประกอบอาชีพในภายภาคหนา้ ได้ การแกไ้ ขการพูด ความหมาย สถาบันราชานุกูล กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (2552) ได้ให้นิยามของการแก้ไขการพูด (Speech Correction) เป็นการแก้ไขความบกพร่องที่เกิดจากการใช้อวัยวะในการพูดหรือความบกพร่อง ทางสมองในบางด้านท่ีส่งผลกระทบต่อการพูด การได้ยิน และการออกเสียง ที่ทาให้ไม่สามารถพูดได้ ตามพฒั นาการปกตขิ องวยั ความสาคัญ การพูดเป็นส่ิงท่ีมนุษย์ใช้เพ่ือการส่ือสารกับผู้อื่น เป็นการถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ความรู้ และ ประสบการณ์ การฟ้ืนฟูทางด้านภาษาและการพูดในผู้ท่ีมีความบกพร่องในด้านน้ี ควรได้รับการฟื้นฟูทันที เม่ือแพทย์เห็นสมควรได้รับการฟื้นฟูโดยนักแก้ไขการพูด เพ่ือช่วยเหลือให้ผู้ป่วยสามารถติดต่อส่ือความหมาย กับผ้อู ่นื ได้ และมคี วามภาคภมู ใิ นตวั เอง พฒั นาการทางภาษาและการพดู พัฒนาการทางภาษาเป็นการเรียนรู้การเข้าใจคาพูดของผู้อ่ืน โดยเริ่มจากการเข้าใจคาศัพท์ ประเภท ต่าง ๆ เด็กจะสะสมความเข้าใจคาศัพท์อยู่ระยะหน่ึง ก่อนท่ีจะใช้คาศัพท์เหล่าน้ีในการพูดสื่อภาษากับผู้อื่น คาศัพท์ท่ีเด็กเรียนรู้ประกอบด้วย คานาม ท่ีใช้เรียกชื่อคน สัตว์ ส่ิงของ อวัยวะร่างกาย ชื่อพืช ผัก ผลไม้ และ อาหาร ชื่อสี คาบอกความรู้สึก สัมผัส บอกสถานที่ ทิศทาง เวลา ขนาด จานวนระยะทาง กริยาอาการ คาวิเศษณ์ คาบุพบท และคาสันธาน เด็กปกติเรียนรู้คานามได้ก่อนคาประเภทอื่น แต่เมื่ออายุมากขึ้น อัตรา การเรียนรู้คานามลดลง จะเรียนรู้คาประเภทอื่น แทน ได้แก่ คากริยา คาบุพบท คาวิเศษณ์ และคาสันธาน ด้านจานวนคาศัพท์ท่ีเด็กรู้ก็มีจานวนเพ่ิมขึ้นจากจานวนที่รู้จักเพียงแค่สิบคา เมื่ออายุ 1 ปี กลายเป็นเกือบ
21 2,000 คา เม่อื อายุ 4 ปี ในช่วงอายุ 2-4 ปี เด็กจะมพี ฒั นาการดา้ นการเรียนรู้คาศัพท์ท่ีรวดเร็วมาก และมีอัตรา การพัฒนาการสูงกว่าในช่วงอายุอ่ืน ๆ พัฒนาการทางภาษาและการพูด แบ่งออกเป็น 2 ด้าน ได้แก่ ความ เข้าใจภาษา (Receptive language) และการแสดงออกทางภาษา (Expressive Language) พัฒนาการทาง ภาษาและการพูดเปน็ ไปตามลาดับข้นั ดงั นี้ อายุ ความเข้าใจภาษา การแสดงออกทางภาษา 1 เดือน - เมอื่ ไดย้ ินเสยี งดังเด็กจะสะดุ้ง ขยับตัว - เดก็ ร้องไห้เมื่อหิว เปยี ก หรือไมส่ บาย 3 เดอื น ขยบั ตา หรือรอ้ งไห้ 6 เดือน - เมือ่ ได้ยินเสยี งแม่อย่ใู กล้ ๆ เด็กจะย้ิม - ทาเสียงอ้อแอ้เมอ่ื มีความพึงพอใจ 9 เดอื น หรือนง่ิ ฟัง - หันไปมองยงั ท่ีมาของเสียงท่ีไมด่ ังนัก - เล่นเสียงทลี ะพยางค์หรอื สองพยางค์ เชน่ 12 เดือน กา-กา อา-คา เป็นตน้ เริ่มเล่นเสยี งต่าง ๆ - ทาตามคาสัง่ ได้ เช่น บ๊ายบาย - ทาเสียงโต้ตอบไม่เปน็ ภาษาเม่อื มคี นมาพูดด้วย 18 เดือน - หยุดเล่นเมื่อถูกดุ หรอื เมื่อบอกว่า “อยา่ ” - เลียนแบบการเลน่ เสียงของผ้อู ืน่ - ทาเสียงเพอื่ เรยี กรอ้ งความสนใจ 2 ปี - หันไปหาเมือ่ ถกู เรียกช่ือ - เลียนเสยี งแปลก ๆ เชน่ สนุ ขั เหา่ เสียงจ้ิงจก - เข้าใจคาพดู ท่ีได้ยินบอ่ ยๆ เช่น “เอา” - เริม่ พูดคาทีม่ คี วามหมายได้ 2-3 คา เชน่ “ไมเ่ อา” พ่อ แม่ หม่า ไป เปน็ ต้น - เขา้ ใจคาศัพท์ได้ 10 คา - ตอบสนองต่อคาพดู โดยใช้ท่าทางงา่ ย ๆ - เขา้ ใจ และทาตามคาสั่งง่ายๆ ได้ เชน่ เชน่ พยกั หน้า หรอื สน่ั หวั “นง่ั ลง” “ยืนขน้ึ ” เปน็ ต้น - พดู เปน็ คาที่มีความหมายได้ประมาณ - ช้ีสว่ นตา่ ง ๆ ของรา่ งกายได้ 1-3 อยา่ ง 10-50 คา สว่ นใหญ่ 1 พยางค์ - ช้ีส่ิงของหรอื บคุ คลท่คี ุน้ เคยไดเ้ ม่ือบอก ใหช้ ี้ - บอกความต้องการง่ายๆ ได้ เช่น “เอา” “ไป” - เขา้ ใจคาศัพท์ได้ 50-100 คา - พดู โตต้ อบโดยพูดซา้ หรอื พูดเลยี นแบบ - ชีส้ ่วนตา่ ง ๆ ของร่างกายได้ 5 อยา่ ง คาพูดผูอ้ ื่น - เข้าใจคาถามได้มากขึ้น เชน่ “นอ่ี ะไร” - พูดคาที่มีความหมายได้ 50-500 คา “...อยู่ไหน” - พูดเปน็ ประโยคท่ยี าว 2 - 3 คาได้ เชน่ - ช้รี ปู สิ่งของตา่ ง ๆ เมื่อบอกใหช้ ี้ได้ “เอามา” “ไปเท่ยี ว” - เขา้ ใจคาศัพท์ 1,200 คา - พูดเสียงวรรณยุกต์ถูกต้องทุกเสยี ง - สามารถพดู โตต้ อบได้
22 อายุ ความเข้าใจภาษา การแสดงออกทางภาษา 3 ปี - เข้าใจคาศัพท์ 2,400-3,600 คา - บอกชือ่ ตนเองได้ - เข้าใจคากริยางา่ ย ๆ ได้ - ชอบถามคาถามมากข้ึน เช่น “สอี ะไร” - เขา้ ใจคาสั่งท่เี ปน็ ประโยคยาว ๆ ได้ - พดู คาศัพท์ได้ 900-1,200 คา - เข้าใจคาบุพบท เช่น บน ใต้ ข้ึน ลง เปน็ ตน้ - พดู เสียงสระได้ชดั เจนทุกเสียง - เข้าใจคาวเิ ศษณ์ เชน่ เก่ง สวย ใหญ่ เลก็ - พดู เสยี งพยัญชนะ ม น ห อ ย ค ว ป ก บ - ชอบเลา่ เหตกุ ารณท์ ี่กาลังประสบอยู่ 4 ปี - เข้าใจคาศัพท์ 4,200-5,600 คา - พดู ให้คนอื่นเขา้ ใจได้ดีแตพ่ ูดไม่ชัด - มีทกั ษะในการฟังดีขนึ้ และตั้งใจฟัง - พดู เปน็ ประโยคยาว ๆ 4 คา โดยเฉลีย่ ไดน้ านขน้ึ - เลา่ เร่ืองราวได้โดยมีเนื้อหาทต่ี อ่ เนื่องกัน - ถามคาถาม “อะไร”“ทไี่ หน - พดู คาศัพท์ได้ 1,500-1,800 คา - เสียงพยัญชนะท่ีพูดได้เพิ่มขึ้น คือ ท ต ลจพงด 5 ปี - เขา้ ใจคาศัพท์ 6,500 - 9,600 คา - เลา่ เรื่องทคี่ นุ้ เคย พดู คุยแลกเปลี่ยนขอ้ มลู ได้ - เขา้ ใจลาดบั เกย่ี วกบั เวลา ก่อน หลัง - เสยี งพยญั ชนะที่พดู ได้เพิ่มขึ้น คอื ฟ ช 6 ปี - เขา้ ใจคาศัพท์ 13,500 – 15,000 คา - พูดเปน็ ประโยคยาว 6 - 8 คา - เขา้ ใจวา่ สิ่งของมีคุณลักษณะเหมือนกัน - รู้จักใชค้ าเปรยี บเทยี บขนาดรูปรา่ ง ต่างกนั อยา่ งไร - เสียงพยัญชนะที่พดู ได้เพ่ิมข้ึน คอื ส สว่ นเสยี ง ร จะพดู ชัดเมอ่ื อายุ 7 ปีข้ึนไป ปญั หาและสาเหตุของความผดิ ปกติด้านการพดู ปัญหาทเ่ี ก่ยี วกบั การพูด สามารถแบง่ ออก เป็น 2 ดา้ น คอื 1. ปัญหาด้านภาษา เม่ือทาการประเมินพัฒนาการทางด้านภาษาจะสามารถบ่งชี้ได้ว่า เด็กพูดช้ากว่า เด็กปกติหรือไม่ พูดได้สมวัยหรือไม่ ตัวอย่างเช่น เด็กวัย 1 ปี ควรพูดคาที่มีความหมายได้และ ในวัย 3 ปี ควร พูดเปน็ ประโยคได้ 2. ปัญหาด้านการพูด จะทาการประเมินเรื่องความชัดเจนของการพูด ได้แก่ สามารถออกเสียงสระ พยัญชนะ และวรรณยกุ ตไ์ ด้ชัดเจนหรือไม่ จังหวะในการพูดเร็วหรือช้าเกินไปหรือไม่ พูดคล่องหรือไม่ หรือเป็น ปญั หาเรอื่ งของการใช้เสยี งทไ่ี ม่สมวยั เป็นต้น
23 สาเหตุหลกั ที่ทาให้เดก็ มีปัญหาด้านการสือ่ ความหมาย เด็กที่มีความบกพร่องทางสมองหรืออวัยวะท่ีใช้ในการพูด ตัวอย่างเช่น เด็กที่มีภาวะปากแหว่ง เพดานโหว่ เด็กท่ีมีเส้นยึดใต้ลิ้นส้ันกว่าปกติเด็กท่ีมีความบกพร่องด้านการได้ยิน หรือเด็กปัญญาอ่อนภาวะ อาการดงั กล่าวทาให้เด็กมปี ญั หาด้านการพดู ได้ เชน่ พดู ช้า พดู ไม่ชัด เด็ ก ข า ด ก าร ก ร ะ ตุ้ น ท่ีเ ห ม า ะ ส มข า ด โ อ ก าส ใ น ก า ร พู ด ห รื อ อ ยู่ ใน ส่ิ ง แ ว ด ล้ อ ม ท่ี ไ ม่ เ อ้ือ ต่ อ ก า ร พู ด ตัวอย่างเช่น คุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครองหรือพี่เล้ียง ปล่อยให้เด็กดูแต่โทรทัศน์ หรือรู้ใจเด็กไปทุกอย่างจึงทาให้ เด็กไม่มีความจาเป็นที่จะต้องพูด และในที่สุดจะส่งผลให้เด็กไม่พูดหรือพูดช้าได้ ส่วนกรณีท่ีเด็กพูดไม่ชัด อาจเกดิ จากการท่ไี มม่ ีแบบอยา่ งการพดู ที่ถูกตอ้ ง หรอื มพี เี่ ล้ียงพูดไมช่ ัดจึงทาให้เดก็ พูดตามเสียงที่ไดย้ ินมาผิด ๆ เด็กท่ีมีความบกพร่องด้านพัฒนาการทางภาษา และสังคม อันได้แก่ เด็กออทิสติก เด็กแอสเพอร์เกอร์ เด็กสมาธิส้ัน เป็นต้น ซ่ึงโดยส่วนมากเด็กกลุ่มน้ีจะมีปัญหาด้านการพูดและการส่ือสารปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอ่ืน ปัญหาหลักที่พบในเด็กกลุ่มนี้น้ันจะอยู่ที่การมีความล่าช้าของพัฒนาการทางด้านภาษาซึ่งไม่สมวัยร่วมกับ การไมส่ ามารถสร้างปฏสิ ัมพนั ธก์ บั เพอ่ื นในวัยเดยี วกันได้ จดุ ประสงค์ของการแกไ้ ขการพูด เพ่ือให้บริการฝึกภาษาและการพูด พร้อมทั้งให้คาแนะนาแก่ญาติ ผู้ช่วยเหลือผู้ป่วยในการฟ้ืนฟู ด้านภาษาและการพูด ซึง่ มีขอบข่ายการให้บรกิ ารในผ้ทู ี่มปี ัญหาดงั นี้ 1. ผปู้ ่วยอมั พาตจากหลอดเลือดสมองมีปัญหาดา้ นภาษาและการพดู 2. พูดไม่ชัดเจนทั้งเด็กและผูใ้ หญ่ 3. เสยี งแหบ เสียงห้าว เสยี งลมแทรก 4. พูดตดิ อา่ ง พูดเรว็ พูดรัว 5. หตู งึ หหู นวก มีปญั หาด้านการสอ่ื สาร 6. ปากแหวง่ เพดานโหว่ 7. เดก็ ออทิสตกิ 8. เด็กพดู ช้า จากภาวะปัญญาอ่อน สมองพิการ หรอื ผปู้ ่วยเดก็ ท่ขี าดการกระตุ้น แนวทางการแก้ไขการพูดเพ่อื การฟนื้ ฟสู มรรถภาพและพัฒนาศกั ยภาพของผเู้ รียนท่ีมีความ ตอ้ งการจาเปน็ พิเศษ กระบวนการในการแก้ไขการพูดในเบื้องต้นน้ัน นักแก้ไขการพูดจะต้องวิเคราะห์ถึงสาเหตุของปัญหา ด้านภาษาและด้านการพูดของเด็กแต่ละคน ซึ่งการที่เด็กมีปัญหาล่าช้าด้านการพูดอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังน้ันจึงควรเตรยี มข้อมลู เก่ียวกบั พฒั นาการในด้านต่าง ๆ ของเด็กมาด้วย เช่น เด็กพูดได้เมื่ออายุเท่าไหร่ หรือ เคยพูดได้แล้วมาหยุดพูดไปเมื่ออายุเท่าไหร่ แต่ก่อนอ่ืนเด็กควรได้รับการตรวจวัดระดับการได้ยินเพื่อความ แน่ใจว่าปญั หาด้านการพูดของเด็กนนั้ ไมไ่ ด้เกิดจากความบกพร่องดา้ นการได้ยิน นอกจากนี้ การสังเกตพฤติกรรมของเด็กโดยผ่านการเล่นและการทากิจกรรมต่าง ๆ ก็เป็นการช่วย คน้ หาสาเหตขุ องปญั หาดา้ นการพูดไดอ้ กี ทางหนึ่ง ตัวอย่าง เช่นถ้าเด็กยังเล่นของเล่นไม่เป็น หรือขณะเล่น เด็ก มีสมาธิส้ันมาก วอกแวกง่าย เดินมากกว่าน่ังเล่น อาจกล่าวได้ว่าเด็กมีปัญหาด้านการพูดจากผลกระทบ ของ
24 ภาวะอาการสมาธิสั้น ลาดับต่อไปควรทาการประเมินพัฒนาการด้านการรับรู้ภาษาว่าเด็กมีพัฒนาการ อยู่ในระดับใด เหมาะสมกับวัยหรือไม่ อย่างไรก็ตามในการตรวจสอบปัญหาด้านภาษาและการพูดของลูกน้อย ว่าอยูใ่ นระดับใดน้ันตอ้ งใช้ระยะเวลาพอสมควร การปรึกษานักแก้ไขการพูดเพียงครั้งสองครั้งอาจยังไม่สามารถ บอกถึงสาเหตุของปัญหาได้อย่างครบถ้วน เพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่จะต้องใจเย็นและมีความอดทน อีกทั้ง ยังต้องให้ความร่วมมือกับนักแก้ไขการพูดอย่างจริงจังและสม่าเสมอ ส่วนวิธีการแก้ไขการพูดน้ันจะขึ้นอยู่กับ ปัญหาของเด็กแต่ละคน ตัวอย่างเช่น ถ้าเด็กมีความบกพร่องในการใช้อวัยวะในการพูด นักแก้ไขการพูด ก็จะ แก้ไขโดยเนน้ ให้เด็กสามารถใชอ้ วัยวะต่าง ๆ ในการพดู ไดด้ ีขนึ้ เชน่ การดูด การเป่า เลียริมฝปี าก แลบล้ิน เค้ียว อา้ -หุบปาก ฯลฯ จากนั้นจงึ ฝึกวางล้นิ ใหอ้ ยใู่ นตาแหนง่ ที่ถูกต้อง ฝกึ เคล่ือนไหวริมฝีปากร่วมกับการผ่อนลมออก ทางปากให้ถูกตอ้ ง เปน็ ต้น หรือในกรณีเด็กยังพูดไม่ได้อาจจะเริ่มต้นให้เด็กรู้จักเอาลมออกจากปากก่อน โดยใช้ อุปกรณ์ช่วย เช่น กิจกรรมเป่านกหวีด เป่าฟองสบู่ เป่าเทียน เป็นต้น จากนั้นจึงทาการฝึกด้านการรับรู้ภาษา จนถึงการออกเสยี งพดู ตามลาดบั การรักษาและการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการพูดและทางภาษา ควรได้รับการตรวจประเมินทั้งจาก แพทย์และนักแก้ไขการพูด เพ่ือตรวจประเมินและวางแผนการรักษาร่วมกันและการรับโปรแกรมไปฝึกต่อ ซึ่งจะทาให้ผู้ท่ีมีความบกพร่องได้รับประโยชน์สูงสุดการตรวจประเมินและการจัดกิจกรรมเพ่ือแก้ปัญหา การพดู ดงั น้ี 1. การออกกาลังกล้ามเน้ือที่เก่ียวข้องกับการพูด การฝึกกิจกรรมการเคล่ือนไหวอวัยวะที่เก่ียวข้องกับ การพูดซ้า ๆ เร็ว ๆ ชัด ๆ จนเหน่ือย แล้วพัก 2-3 นาที/กิจกรรม และทากิจกรรมใหม่ต่อโดยพิจารณา ความสามารถของผู้ป่วยเปน็ เกณฑ์ กิจกรรมเหล่านี้ ได้แก่ การออกเสียง อา–อู–อี อา–อี ลัน ลัน ลัน ลา เปอะ- เตอะ-เกอะ เพอะ-เทอะ–เคอะ กระดกล้นิ ซ้า ๆ 2. การฝึกพดู ทีเ่ รียงลาดับให้ชัดเจน ความสาคัญ คือ การนบั เลข การท่องชอื่ วันใน 1 สปั ดาห์ การท่องชื่อ 12 เดอื นใน 1 ปี การท่องสตู รคณู การทอ่ งพยญั ชนะ ก–ฮ การอ่านหนังสอื ออกเสยี ง การถามตอบ 1. ในรายท่ีพูดเสียงเบา พูดประโยคส้ัน ๆ แล้วเสียงหายไป ควรฝึกสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ช้า ๆ แล้ว ลากเสยี งสระยาว ๆ อา อู อี โอ เอ แอ ออ เออ ออื สลบั กัน 2. การฝึกพูดกบั บุคคลใกล้ชดิ คนในครอบครัว และคนในสงั คม และควรนาผ้ปู ่วยเขา้ สงั คมตามปกติไป ซือ้ ของเพือ่ ใหม้ กี ารฝกึ พดู และพฒั นาการพูดในบริบทที่เป็นธรรมชาติ 3. การฝึกกจิ กรรมการเคล่ือนไหวอวยั วะทเี่ กีย่ วขอ้ งกับการพดู เชน่ อา้ ปาก ยิงฟัน ทา ปากจู๋ เผยอปาก ฯลฯ 4. การฝกึ กจิ กรรมการออกเสียงสระในพยางค์ง่าย ๆ เช่น อา อู อี โอ เอ แอ ออ เออ
25 5. ฝึกการออกเสียงสระรวมกับพยญั ชนะที่ใช้ริมฝีปาก เชน่ มอ ปอ พอ บอ เม เป เพ เบ 6. ฝกึ การออกเสียงสระรวมกับพยัญชนะตน้ อน่ื ๆ เชน่ ดา ตา ทา ชา จา กา คา งา ฯลฯ 7. ฝึกการออกเสียงสระรวมกับพยัญชนะ 2 พยางค์ท่ีมพี ยัญชนะต้นเหมือนกนั เช่น อาอู อีเอ แอเออ ฯลฯ 8. ฝกึ การออกเสียงสระรวมกับพยญั ชนะ 2 พยางคท์ ม่ี ีพยญั ชนะตน้ ต่างกัน เชน่ มาอู อเี บ แปเพอ ฯลฯ 9. ฝึกการออกเสียงพูดคาที่มีความหมาย 1 2 3 พยางค์ วลี ประโยคตามลาดับ เช่น มอมแมม แม่มา ปาบอล แม่ปาบอล พที่ าปากแดง ฯลฯ การพูดเป็นวิธีการสื่อความหมายที่สาคัญที่สุดแต่ถ้ายังไม่สามารถพูดได้ ก็จาเป็นต้องหาวิธีการอื่น มาทดแทนเพ่ือให้สามารถบอกความต้องการของตนเองได้ ซ่ึงเรียกวิธีการเหล่าน้ีว่าการส่ือความหมายทดแทน (Augmentative and Alternative Communication; AAC) เพ่ือใช้ทดแทนการพูดเป็นการช่ัวคราวหรือโดย ถาวร ในรายที่มีความบกพร่องทางการพูดอย่างรุนแรง ตัวอย่างเช่น กลวิธีการรับรู้ผ่านการมอง (Visual Strategies) โปรแกรมแลกเปล่ียนภาพเพ่ือการส่ือสาร (Picture Exchange Communication System; PECS) เครือ่ งโอภา (Communication Devices) และโปรแกรมปราศรัย เปน็ ตน้ ศลิ ปะบาบัด ความหมาย ศลิ ปะบาบัด (Art therapy) หมายถึง การนากิจกรรมศิลปะหรือผลงานศิลปะเพื่อหาข้อบกพร่อง ของ บุคคลท่มี สี าเหตจุ ากกระบวนการทางจิตใจ และเพอ่ื ใช้กจิ กรรมศลิ ปะทเ่ี หมาะสมมาช่วยการบาบัดรักษาร่วมกับ การทาจิตบาบัด เพ่ือรักษาบุคคลที่มีปัญหาทางอารมณ์ เป็นการใช้กิจกรรมทางศิลปะ เพ่ือวินิจฉัยหา ข้อบกพร่อง ความผิดปกติบางประการ ของกระบวนการทางจิตใจ และเพ่ือใช้กิจกรรมทางศิลปะท่ีเหมาะสม ชว่ ยในการบาบัดรักษาและฟืน้ ฟสู มรรถภาพให้ดขี ึน้ (ชาญณรงค์ : 2542) ความเปน็ มา ศรยี า นิยมธรรม (2556) ได้อธบิ ายถงึ ความเปน็ มาของศลิ ปะบาบัด ดังนี้ ศิลปะบาบัดเริ่มคร้ังแรกในประเทศอังกฤษ ในศตวรรษที่ 19 ประมาณปี ค.ศ. 1940 จากการ ทดลอง นาศิลปะมาใช้ในการบาบัดโรคเป็นคร้ังแรก และเป็นเร่ืองท่ีเกิดข้ึนโดยบังเอิญจากการท่ีศิลปินชื่อดัง เอเดรียน ฮิลล์ (Adrius Hill) ช่ึงป่วยเป็นวัณโรค และขณะที่พักฟื้นอยู่ในสถานพยาบาลซัสเซกซ์ เขาใช้เวลาว่าง สร้างสรรค์งานศิลปะและแนะนาให้ผู้ป่วยคนอ่ืน ๆ หันมาเขียนภาพระบายสี เพื่อหันเหความสนใจจาก ความเศร้าหมองกังวลใจจากโรคภัยท่ีเป็นอยู่ และเพ่ือลืมประสบการณ์ท่ีขมข่ืนจากสภาพสงครามในช่วงเวลา น้ันด้วย ผลปรากฏว่าไม่เพียงแต่คนไข้จะกระตือรือร้นที่จะวาดภาพเท่านั้น หากแต่ภาพวาดเป็นท่ีระบาย ความหวาดกลัว ความวิตกกังวล และความฝังใจในเหตุการณ์ร้าย ๆ ในอดีตท่ีผ่านมาอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ ฮิลล์ จงึ กลายเป็นนกั ศิลปะบาบดั คนแรกของประเทศอังกฤษโดยไมไ่ ดต้ ้ังใจ ไอรีน แชมเพอร์ (Irene shamper) นักจิตวิทยาผู้เป็นศิษย์ของคาร์ล กุสตาฟ จุง เป็นผู้บุกเบิก ศิลปะบาบัดอีกผู้หน่ึง ไอรีนมีความประทับใจท่ีจุงใช้ภาพวาดและรูปป้ันมาช่วยผู้ป่วยให้ระบายความรู้สึก ท่ีซ่อนเร้นอยู่ลึก ๆ ออกมาและตัวเธอเองก็เคยได้รับความช่วยเหลือให้ฟันฝ่าวิกฤติทางอารมณ์ด้วยวิธีนี้มาได้
26 เช่นกัน ในปี ค.ศ. 1942 ไอรีน และกิลเบิร์ต สามีของเธอ ได้ตั้งศูนย์จิตบาบัดด้วยงานศิลปะข้ึนในชนบท ซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองเอกว์เตอร์ นักบาบัดในศูนย์นี้มีท้ังศิลปิน นักดนตรี นักเต้นรา รวมทั้งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ผู้บุกเบิกงานศิลปะบาบัดท้ังสองนี้ มีวิธีทางานที่แตกต่างกัน ฮิลล์เป็นครูสอนศิลปะ ส่วนไอรีนเป็นนักจิตบาบัด แต่ท้ังสองก็ได้วางรากฐานของศิลปะบาบัดในประเทศอังกฤษ ผลงานของท่านท้ังสองและลูกศิษย์ เอดเวิร์ด อดัมสัน ศิลปินคนแรกที่ได้รับการบรรจุเข้าทางานประจาในโรงพยาบาลโรคจิต ทาให้มีการก่อต้ังสมาคม นักศิลปะบาบัดแห่งอังกฤษในปี ค.ศ. 1963 ส่วนในสหรัฐอเมริกาก็มีการก่อต้ังสมาคมศิลปะบาบัดแห่งอเมริกา (America Art Therapy Association) โดยได้เปิดหลักสูตรการสอนศิลปะบาบัดครั้งแรก ในปี ค.ศ.1976 และ พฒั นาเร่อื ยมา ศิลปะบาบัดในยุคปัจจุบัน จึงเป็นกระบวนการหลอมรวมศาสตร์ทางด้านจิตวิทยา สาขาจิตบาบัด (Psychotherapy) ในแขนงศิลปะบาบัด (Theraputic Art) และศาสตรด์ ้านศลิ ปะ โดยต่างเพิ่มคุณค่าให้แก่ กัน และกนั ศลิ ปะเปน็ งานสรา้ งสรรคท์ ถ่ี ่ายทอดความรู้สึก ความคิด ภายในให้ปรากฏส่วนจิตบาบัดเป็นวิธีช่วย ให้ คนพ้นจากความไม่สบายใจ ท้ังสองวิธีต่างมีความเกี่ยวข้องกับอารมณ์และความรู้สึกจะสังเกตได้ว่าทั้งศิลปิน และนกั จิตบาบัด มกั เปน็ คนทมี่ คี วามวอ่ งไวในความรสู้ ึก และมีความสามารถในกรส่อื สารกบั ผู้อนื่ ได้ดี ในประเทศไทยมกี ารนาศลิ ปะบาบัดมาใช้ในโรงพยาบาลจิตเวชและศูนย์สุขภาพจิตอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มาก นัก สว่ นมากจะเป็นการนาศิลปะมาใช้เป็นเครื่องมือทดสอบทางจิตวิทยา เพ่ือประเมินบุคลิกภาพ ระดับเชาวน์ ปัญญา และวิเคราะหป์ ญั หาทางอารมณ์ ส่วนการใช้ศิลปะบาบัดในโรงเรียน มักจะนามาใช้เพื่อพัฒนาความสามารถของเด็กระดับปฐมวัย และเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ เช่น เด็กท่ีมีความบกพร่องทางสติปัญญา ในการพัฒนากล้ามเนื้อเล็ก ด้วยการวาด ป้ัน ระบายสี ฯลฯ แต่ครูท่ีทาหน้าท่ีนี้มักเป็นครูปฐมวัยหรือครูการศึกษาพิเศษ และไม่ได้เรียก กิจกรรมนี้ว่า ศิลปะบาบัด แต่มักเรียกว่า ศิลปะสาหรับเด็กปฐมวัย หรือศิลปะสาหรับเด็กท่ีมีความต้องการ จาเปน็ พเิ ศษ หรือทศั นศิลป์เพอ่ื การศึกษาพเิ ศษ เป็นตน้ ประโยชนข์ องศิลปะบาบดั ทวีศักดิ์ สิริรัตน์เรขา (2556) ได้อธิบายถึงประโยชน์ของศิลปะบาบัดว่า ศิลปะบาบัดมุ่งเน้นให้เกิด ความสมดุลของชีวิต ช่วยบรรเทาปัญหา เยียวยาจิตใจ และเสริมสร้างศักยภาพการดาเนินชีวิตในด้านต่างๆ อย่างรอบด้าน ท้ังทางร่างกาย สติปัญญา จิตใจ สังคม และสุนทรียศาสตร์ ไปพร้อมๆ กัน โดยถ่วงน้าหนัก ให้แตกต่างกันตามสภาพปัญหาของแต่ละคน ศิลปะบาบัดมีประโยชน์หลากหลาย ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ ทต่ี ้องการ และกลุ่มเป้าหมายท่ีนาไปใช้ 1. ศิลปะบาบัดเพ่ือการเยียวยาจิตใจ ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด ขจัดความขัดแย้งภายในส่วนลึก ของจิตใจ ช่วยให้มีระดับอารมณ์คงที่ดีข้ึน ไม่ฉุนเฉียว หรือโศกเศร้ามากนัก สามารถเข้าใจและจัดการ กับอารมณ์ได้ดีข้ึนเม่ือมีสิ่งกระตุ้นต่าง ๆ เข้ามากระทบ นามาใช้ในกลุ่มเด็กที่มีปัญหาด้านการควบคุมอารมณ์ และพฤติกรรม 2. ศลิ ปะบาบดั เสริมสรา้ งทกั ษะการเคลื่อนไหว ช่วยในการตอบสนองต่อความต้องการตามธรรมชาติท่ี
27 จะเคล่ือนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ช่วยพัฒนากล้ามเน้ือมัดเล็กให้สามารถทากิจกรรมท่ีละเอียดมีความ ซับซ้อนมากขึ้น ช่วยให้มีการทางานประสานกันของกล้ามเน้ือมัดต่าง ๆ อย่างคล่องแคล่ว และช่วยควบคุม ทิศทางการเคล่ือนไหวให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นามาใช้ในกลุ่มเด็กสมองพิการ หรือ ซีพี (cerebral palsy) ซ่งึ มปี ญั หาเรอ่ื งการเคลื่อนไหว และกลมุ่ แอสเพอร์เกอร์ (asperger's syndrome) ซง่ึ มีปัญหาเรื่องกล้ามเน้ือมัด เล็กร่วมดว้ ย 3. ศิลปะบาบัดช่วยเสริมสร้างทักษะการส่ือสาร เน่ืองจากศิลปะเป็นภาษาสากลที่สามารถเข้าใจ ตรงกันได้ แม้จะใช้ภาษาพูดแตกต่างกัน เด็กสามารถเรียนรู้ความคิดรวบยอด (concept) ในเร่ืองต่าง ๆ ผ่านทาง ศิลปะได้เร็ว นามาใช้ในกลุ่มเด็กท่ีมีปัญหาด้านการพูดและการส่ือสาร (communication disorder) กลุ่มเด็ก ออทสิ ติก (autistic disorder) และกลุ่มท่ีมีความบกพรอ่ งทางสติปญั ญา (intellectual disabilities) 4. ศิลปะบาบัดช่วยเสริมสร้างทักษะสังคม ช่วยให้เข้าใจอารมณ์ ความคิดของตนเอง และเข้าใจ ความรู้สึกของผู้อื่น มีทักษะการสร้างมนุษยสัมพันธ์ มีทักษะการแก้ปัญหาที่เหมาะสม สามารถปรับตัว ในสังคมได้อย่างเหมาะสม เน้นการใช้รูปแบบศิลปะบาบัดแบบกลุ่ม เป็นการเปิดโอกาสให้มีการทากิจกรรม ร่วมกับผู้อ่ืนเพิ่มข้ึน ช่วยให้สมาชิกในกลุ่มเรียนรู้การทากิจกรรมร่วมกัน รู้จักการรอคอย ผลัดกันทา กิจกรรม เรียนรู้การช่วยเหลือซ่ึงกันและกันภายในกลุ่ม ให้การยอมรับผู้อ่ืน และได้รับการยอมรับจากผู้อ่ืน นามาใช้ ในกลุ่มเด็กท่มี ีความบกพรอ่ งดา้ นทักษะสงั คม (social skill deficit) และการปรบั ตวั อยู่ร่วมกับผอู้ ืน่ แนวทางการนาศิลปะบาบัดมาใช้เพือ่ การฟืน้ ฟูสมรรถภาพและพฒั นาศักยภาพของผเู้ รียนทม่ี ี ความตอ้ งการจาเปน็ พเิ ศษ ศิลปะบาบัด เป็นรูปแบบหน่ึงของทางเลือก ที่เน้นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม นามาเสริมในการ ดูแลรักษาแนวทางหลักให้มีประสิทธิภาพดีย่ิงขึ้น จึงจาเป็นต้องมีการประสานงานกันเป็นทีมระหว่าง นักศิลปะบาบัดกบั แพทยท์ ีด่ ูแลรกั ษาผูป้ ่วย ไม่ใชร่ ปู แบบการบาบัดรักษาที่สามารถแยกเป็นอิสระได้ ต้องทา ไป ควบคู่กัน ศิลปะบาบัดมีประโยชน์ในด้านการพัฒนาอารมณ์ สติปัญญา สมาธิ ความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงการ ช่วยพัฒนากลา้ มเน้ือมัดเล็ก และการประสานงานการเคลือ่ นไหวของร่างกาย นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องมือสาคัญ ท่ีชว่ ยกระตนุ้ การส่อื สาร และเสริมสร้างทักษะสังคมอกี ดว้ ย ศิลปะบาบัด การแสดงออกทางผลงานศิลปะ ไม่ว่า จะเป็นลายเส้น สี รูปทรง สัญลักษณ์ อารมณ์ ความหมาย ท่ีสื่อออกมาทั้งหมด สามารถนามาวิเคราะห์ให้เห็น ถึงความรู้สึกนึกคิดว่าเป็นอย่างไร หรือสภาพจิตมีปัญหาอย่างไร การประเมินผลการดูแลรักษา เน้นท่ี กระบวนการ และกิจกรรมทางศิลปะไม่ได้เน้นท่ีผลงานทางศิลปะ ซึ่งแตกต่างจากการเรียนศิลปะ ที่จะเน้น ผลงานและเพ่ิมความสามารถทางศลิ ปะ แนวทางการใช้ศิลปะบาบัดเพื่อการพัฒนาอารมณ์ สติปัญญาสมาธิ ความคิดสร้างสรรค์ รวมถึง การช่วยพัฒนากล้ามเนอื้ มัดเล็ก และการประสานงานการเคล่ือนไหวของร่างกาย นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องมือท่ี ช่วยกระตุ้นการส่ือสารและเสริมสร้างทักษะสังคมอีกด้วย นับเป็นทางเลือกในการดูแลรักษารูปแบบหนึ่ง ท่ีช่วยเสรมิ การดูรักษาโดยวิธีอื่น ๆ ช่วยลดปัญหาทางอารมณ์และพฤติกรรม เสริมสร้างศักยภาพในด้านต่าง ๆ ในเด็กท่มี ีความต้องการพิเศษ
28 1..ช่วยปลดปลอ่ ยอารมณ์ ความรู้สกึ ความคดิ ตามความต้องการของแต่ละคน การแสดงออกถึงความ ต้องการ ซ่งึ เปน็ โอกาสท่ีจะพัฒนาศกั ยภาพในดา้ นการเรยี น การเลน่ และการแสดงออกตา่ ง ๆ 2..เกิดความคิดสร้างสรรค์ คอื ลกั ษณะของความคิดที่มีหลายมิติ หลายมุมมอง หลายทิศทาง สามารถ คิดได้กว้างไกล ไร้กรอบ ไร้ขอบเขต ประกอบด้วย ความคิดริเร่ิม ความคล่องแคล่ว ความยืดหยุ่นและความ ละเอยี ดลออ นาไปสกู่ ารคดิ ประดิษฐส์ ง่ิ แปลกใหม่และบูรณการองค์ความรู้ต่าง ๆ ที่ได้มาจากประสบการณ์เดิม เช่ือมโยงกบั สถานการณ์ใหม่ สรา้ งเป็นองค์ความรใู้ หมแ่ ละเกดิ นวตั กรรมตามมา ดงั น้ี 2.1 ความคิดริเร่ิม (Originality) ช่วยให้มีความคิดแปลกใหม่เกิดการนาความรู้เดิมมาคิดดัดแปลง และประยุกต์เกิดเปน็ สิ่งใหม่ 2.2 ความคล่องแคล่ว (Fluency) ช่วยให้มคี วามคดิ ที่ไม่ซ้าในเรื่องเดียวกัน ไม่หมกมนุ่ คิดวกวน สามารถคิดได้รวดเร็ว นามาซ่ึงการพดู ท่ีคล่องแคล่วและการกระทาท่รี วดเรว็ 2.3 ความยืดหยุ่น (Flexibility) ช่วยให้คิดได้หลากหลายมุมมองไม่ซ้ารูปแบบหรือกรอบคิด แบบเดิม ไมย่ ดึ ตดิ สามารถเหน็ ประโยชน์ของสิ่งของอยา่ งหน่ึงว่ามีอะไรบ้างไดห้ ลายอยา่ ง 2.4 ความละเอียดลออ (Elaboration) ช่วยใหม้ ีความพิถีพถิ ันในการตกแต่งรายละเอยี ด ชา่ งสังเกต ในสง่ิ ทีค่ นอ่ืนมองไมเ่ หน็ หรอื มองข้าม 3. การนาศิลปะมาใช้พัฒนาอารมณ์ จะช่วยให้ผู้ท่ีมีปัญหาทางด้านอารมณ์และจิตใจได้ระบายปัญหา ความคับข้องใจ ความรู้สึกที่ซ่อนเร้นในใจผ่านออกมาทางงานศิลปะ ระบายอารมณ์ออกมาในหนทางท่ีสร้างสรรค์ ผ่านการวาดรูป ระบายสี การปั้นและกระบวนการอ่ืน ๆ ทางศิลปะ ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ลดความขุ่นมัว ในจิตใจ เข้าใจและรับรู้อารมณ์ต่าง ๆ ของตนเองที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในจิตใจ สามารถยับย้ังและควบคุมได้ดีขึ้น มสี มาธิ ลดความตงึ เครียดและความวติ กกังวลลงไดใ้ นที่สุด 4. ช่วยให้เรียนรู้ทักษะสังคมผ่านการทากิจกรรมศิลปะร่วมกันเป็นกลุ่ม รู้จักการรอคอย ผลัดกันทา ช่วยเหลือซ่ึงกันและกัน นอกจากนี้ ยังเรียนรู้ท่ีจะแสดงออกซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ความคิด ความต้องการของ ตนเอง และการเข้าใจผ้อู ่ืน โดยใชศ้ ลิ ปะเปน็ สือ่ 5. ช่วยให้ตอบสนองการเคลื่อนไหวของร่างกายอย่างอิสระและเป็นธรรมชาติตามระดับพัฒนาการ ของเด็ก ทาให้เกดิ การเรยี นรู้และพัฒนาของกลา้ มเน้อื และการประสานงานการเคลื่อนไหวของร่างกาย สามารถ ควบคมุ การเคล่ือนไหวอย่างเปน็ ขน้ั ตอนและเปน็ ระบบจนบรรลเุ ป้าหมายงานทกี่ าหนดไว้ได้ กระบวนการและรูปแบบของศิลปะบาบัด ในการทาศิลปะบาบัด ไม่มีกระบวนการและรูปแบบที่ตายตัว แต่มีการออกแบบการบาบัดรักษา ให้เหมาะสมกบั แตล่ ะบุคคล โดยมีข้ันตอนหลัก ๆ ดงั นี้ 1. สรา้ งสมั พันธภาพเป็นขั้นแรกของการบาบัดสร้างสัมพันธภาพระหว่างผู้บาบัดกับผู้รับการบาบัด ซึ่ง รวมถงึ การประเมนิ สภาพปญั หา และวางแผนการบาบัดรักษาดว้ ย 2. ค้นหาปัญหาเปน็ ขั้นของการสารวจ ค้นหา วเิ คราะห์ปมปัญหาความขัดแย้งภายในสว่ นลึกของจติ ใจ 3. ทบทวนประสบการณ์ เป็นขั้นการบาบัดโดยดึงประสบการณ์แห่งปัญหาข้ึนมาจัดเรียงปรับเปล่ียน แกไ้ ขใหม่ ในมุมมองและสภาวะใหม่
29 4. เสริมสร้างพลังใจให้แรงเสริม เป็นขั้นสุดท้ายของการบาบัด โดยเสริมสร้างความภาคภูมิใจ ในตนเอง และให้โอกาสแห่งการเปล่ยี นแปลง มีการนาศิลปะบาบัดไปประยุกต์ใช้ในรูปแบบที่หลากหลาย ท้ังในผู้ป่วยจิตเวช ในผู้มีปัญหาด้านอารมณ์ และพฤติกรรม ในผ้บู กพร่องทางพฒั นาการและสติปญั ญา และในผปู้ ระสบภยั พิบตั ติ า่ ง ๆ การนาศิลปะบาบัดมาประยุกต์ใช้ในเด็กพิเศษกลุ่มผู้บกพร่องทางพัฒนาการและสติปัญญา พบว่า ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ สามารถเสริมสร้างพัฒนาการและช่วยบรรเทาปัญหาทางด้านอารมณ์ จิตใจ และ พฤตกิ รรม ดงึ ศกั ยภาพที่มีอยมู่ าใชไ้ ด้เต็มทยี่ ง่ิ ข้นึ Musick พบว่า เดก็ ท่ีบกพรอ่ งทางสติปญั ญาจะมพี ัฒนาการดา้ นความคิดสร้างสรรค์ซ่ึงสามารถพัฒนาได้ และช่วยส่งเสริมให้พัฒนาการด้านอ่ืน ๆ ดีขึ้นด้วย โดยศึกษาการใช้โปรแกรมศิลปะบาบัดแบบเข้มข้นในเด็ก ทีบ่ กพรอ่ งทางสตปิ ญั ญา จานวน 8 คน เปน็ เวลา 2 ภาคเรียน พบว่าระดับพฒั นาการด้านการขีดเขียน (graph- ic developmental level) เพิม่ ขน้ึ จาก 5 เดือน เป็น 33 เดอื น Silver พบว่า ศิลปะเป็นเสมือนภาษาท่ีสองของกลุ่มเด็กที่มีความบกพร่องในการส่ือสาร และการ เรียนรู้ เด็กสามารถเรียนรู้ความคิดรวบยอด (concept) ผ่านทางศิลปะได้เร็วกว่าวิธีการส่ือสารหลัก และ สามารถใช้งานศิลปะสะท้อนให้เหน็ ถึงสิ่งท่ีเขารู้และสิง่ ทีเ่ ขาคดิ ดังนน้ั ศิลปะจึงนาไปสเู่ ปา้ หมายในการ บาบัดไดด้ ี สาหรับการใช้ศิลปะบาบัดในโรงเรียนน้ัน นักบาบัดหรือครูท่ีจะทาหน้าท่ีน้ี จะต้องมีความรู้ ความเข้าใจในศิลปะแขนงต่าง ๆ เพ่ือเลือกกิจกรรมทัศนศิลป์ที่เหมาะสมมาใช้กับเด็ก โดยปกติครูศิลปะธรรมดา ของแขนงวิชาศิลปะดังกล่าวมักไม่สามารถดาเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งอาจก่อผลเสียแทนที่จะเป็น ผลดี นอกเสียจากจะได้ศึกษาเด็กที่มีความตอ้ งการพิเศษ และอาจเน้นความเช่ียวชาญเฉพาะด้านเด็กพิเศษกลุ่ม ใดกลุ่มหน่ึงก็ได้ ผู้ท่ีมีความรู้เฉพาะด้านของเด็กที่มีความต้องการพิเศษก็จะสามารถปรับกิจกรรม ทางศลิ ปะใหเ้ หมาะสมกับการพฒั นาเดก็ ได้ บทบาทของศิลปะบาบัดสาหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษนั้นมุ่งที่การพัฒนาสมรรถภาพและจิตใจ ของเด็ก และแม้เด็กที่มีความต้องการพิเศษประเภทเดียวกันก็ยังแตกต่างตามระดับความพิการหรือข้อจากัด ของสภาพรา่ งกายและอารมณ์ วตั ถปุ ระสงค์ของการนาศิลปะบาบัดมาใช้ในโรงเรียน โดยเฉพาะกับเด็กท่ีมีความ ต้องการจาเป็นพิเศษนั้น มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นและสร้างกาลังใจท้ังฝึกให้รู้จักสังเกต ฝึกความคล่องแคล่วในการ ใช้มือ การเคล่ือนไหวร่างกายให้สัมพันธ์กัน ฝึกทักษะการเข้าสังคม การส่ือความหมาย ท้ังกระตุ้นเร้าความคิด จินตนาการของผู้เรียน สร้างความเช่ือม่ันและกาลังใจในด้านการแสดงความคิดสร้างสรรค์ การตดั สินใจดว้ ยตนเองจากการได้สมั ผัสกบั ประสบการณ์ท่ีมคี วามหมายต่อตนเอง ดนตรบี าบัด ความหมาย ดนตรีบาบัด (Music Therapy) เป็นวิธีการใช้ดนตรีเพ่ือช่วยเหลือผู้มีปัญหาด้านจิตใจ อารมณ์และ การปรับตัวเข้ากับผู้อื่น ตลอดจนผู้มีปัญหาความบกพร่องทางร่างกายเกี่ยวกับระบบประสาทการรับรู้และ การเคลือ่ นไหว โดยมจี ุดมุ่งหมายเพ่อื ผลทางการฟ้นื ฟสู มรรถภาพ นันทนาการ และ/หรือทางการศกึ ษา
30 ความเป็นมา ศรียา นิยมธรรม (2556) ได้อธิบายถึงดนตรีบาบัด ดังน้ี ดนตรีเป็นสิ่งที่มนุษย์ค้นพบมานานแล้วตั้งแต่ สมัยโบราณ ดังจะเห็นได้จากการจัดกิจกรรมหรือพิธีกรรมต่าง ๆ ที่ต้องทาร่วมกันก็มักต้องใช้เสียงดนตรีเป็น สอ่ื กลางในการชว่ ยกระตุน้ ให้เกิดความรบั ผดิ ชอบ ความสนใจ ตั้งใจ และสามัคคี หรือมีบทบาทร่วมกัน ในขณะ ที่ประกอบกิจกรรมน้ันท้ังก่อนจะเร่ิมพิธี ระหว่างพิธี และก่อนเลิกพิธี เสียงดนตรีมักเป็นเพลง ทมี่ ีจังหวะทานองและลีลาต่าง ๆ ซึ่งเกิดจากการเป่า ร้อง โห่ ตะโกน เคาะ ตี เสียงต่าง ๆ ตามแต่ลักษณะของ พธิ ที ี่ต้องการให้อารมณ์ของผู้ร่วมกลุ่มในขณะน้ันคล้อยไปตามบรรยากาศที่ต้องการอย่างไรก็ตาม นอกจากจะใช้ เสียงดนตรีเป็นส่ือกลางสาหรับสร้างความสามัคคีในกลุ่มแล้ว คนสมัยก่อนก็ยังเน้นการเล่นดนตรี เพ่ือช่วยเหลือผู้มีปัญหาความเจ็บป่วยด้วยโรคภัยต่าง ๆ ด้วย โดยเชื่อว่าเสียงดนตรีไม่ว่าจะเป็นเสียงท่ีเกิดจาก การกระแทกระหว่างวัตถุหรือเสียงสวด จะมีอานาจที่สามารถเอาชนะภัยธรรมชาติบางอย่างได้และยังเป็น สื่อกลางที่สามารถติดต่อสื่อสารกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อวิงวอนขอร้องให้มาช่วยเหลือหรือหยุดทาโทษผู้ที่กาลัง ประสบทุกขภ์ ัยอยใู่ นขณะนนั้ ได้ เปน็ ลักษณะการใชด้ นตรเี ป็นส่ือกลางในการบาบดั ผูท้ ่กี าลังมปี ัญหานัน่ เอง คนในสมัยก่อนยังพบว่า เสียงดนตรีเป็นสิ่งหนึ่งท่ีมีอิทธิพลในการทาจิตใจและอารมณ์ของมนุษย์ ใหผ้ อ่ นคลายได้มากกว่าอย่างอ่ืนเพราะไม่เป็นอันตรายหรือมีข้อห้าม ไม่ว่าบุคคลนั้นจะอยู่ในวัยใด เพศใด หรือ ในฐานะภาพทางสังคมวัฒนธรรมประเพณีที่ต่างกันอย่างไร เน่ืองจากมีการตระหนักถึงความสาคัญ ของเสียงดนตรีดังกล่าว จึงทาให้มีผู้ทาการศึกษาอย่างจริงจังถึงปรากฏการณ์และผลของดนตรีจนกลายเป็น ศาสตร์อีกแขนงหนึ่งขึ้นมา ในปัจจุบันดนตรีบาบัดจึงเป็นแขนงหน่ึงที่เน้นการประยุกต์เพื่อช่วยเหลือและ แก้ปัญหาบางอยา่ งของมนษุ ยใ์ ห้มีสมรรถภาพที่ดีข้ึน นอกเหนือจากการได้รับความสุขความพอใจเพียงชั่วคราว ดนตรีบาบัดจึงเปน็ ทัง้ ศลิ ปแ์ ละศาสตร์ซ่งึ เป็นสาขาเฉพาะทางสาขาหนึ่ง ในปัจจุบันมีการนาดนตรีบาบัดมาใช้ใน สถานท่ีต่าง ๆ กัน เช่น ในโรงพยาบาล โรงเรียน สถาบันทั้งของรัฐและเอกชน ในลักษณะของการบาบัดเป็น กลุ่มและเป็นรายบุคคล ดนตรีบาบัดนี้จะรวมเอาการเคล่ือนไหวตามจังหวะดนตรี การเล่นดนตรี การเสนอ เสียงดนตรี การร่วมฟังคอนเสริ ์ต เต้นรา การรอ้ งเพลง ฟังเพลง ฯลฯ สาหรับประเทศไทย ยังขาดนักดนตรีบาบัดที่ได้รับการฝึกอบรมมาโดยเฉพาะซ่ึงต่างไปจากนักดนตรี หรือครูสอนดนตรีท่ัวไป ดนตรีบาบัดท่ีนามาใช้ในการศึกษาพิเศษนั้นมีเป้าหมายเพื่อการซ่อมเสริม ส่วนดนตรี ศึกษานั้นสอนให้คนมีความรู้ มีทักษะ รู้จักสุนทรียภาพทางดนตรีและเป็นการให้ประสบการณ์ที่น่ารื่นรมย์กับ เด็กทุกคน รวมทั้งเด็กพิการดว้ ย (Alley:1979) จุดประสงคข์ องดนตรีบาบัด การใชด้ นตรเี ปน็ สอื่ กลางเพอื่ ชว่ ยเหลือผมู้ ีปญั หานั้น มคี วามม่งุ หมายใหญ่ ๆ ดงั น้ี คอื 1. เพื่อสร้างสัมพนั ธภาพระหว่างผูท้ าการบาบัดกับผู้มปี ญั หาและระหว่างผ้มู ีปัญหาด้วยกันเอง 2..เพ่ือให้ผู้มีปัญหาได้เรียนรู้ความรับผิดชอบ เพราะการท่ีต้องมาประสานกิจกรรมเล่นดนตรีร่วมกัน จะทาให้แต่ละคนเกิดการเรยี นรู้บทบาทและหน้าทีท่ ี่มตี ่อผ้อู ่ืนในกลมุ่ 3..เพ่ือให้เกิดความสนใจต้ังใจและสมาธิที่มีประสิทธิภาพดีข้ึน ซึ่งเป็นผลจากการเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบ ต่อกิจกรรมของกลุ่ม และจากการฝึกฝนอวัยวะการรับรู้กับการใช้กล้ามเน้ือเคล่ือนไหวในขณะเล่นดนตรี
31 ท่มี รี ะบบและกฎเกณฑ์ 4.-เพื่อให้เกิดกระบวนการสื่อสารเข้าใจซ่ึงกันและกันดีขึ้น ความสามารถเข้าใจกันโดยใช้ดนตรี เป็นสอื่ กลางในการร่วมกจิ กรรมกันนน้ั และเป็นพ้ืนฐานสาคัญในการท่จี ะพฒั นาเปน็ ภาษาพูดท่ดี ีไดต้ อ่ ไป 5..เพ่ือให้เกิดความรู้สึกและอารมณ์ผ่อนคลายเป็นวิธีการเปลี่ยนบรรยากาศในสมองไม่หมกมุ่นอยู่กับ เรอ่ื งใดเรื่องหนึ่งมากเกินไปจนเกดิ ประสาทตึงเครยี ดและเกดิ ปัญหาต่าง ๆ ได้งา่ ย การใช้เสียงดนตรีเป็นส่ือกลางในการบาบัดช่วยเหลือผู้มีปัญหาด้านต่าง ๆ จาเป็นต้องมีความรู้พ้ืนฐาน องค์ประกอบและจิตวิทยาของเสียงดนตรีท่ีมีอิทธิพลต่อมนุษย์ทั้งทางกล้ามเนื้อภายนอก ตลอดจน ทางความร้สู ึก อารมณ์ และกระบวนการทางานทางสรีระภายในเปน็ ความรู้พืน้ ฐานกอ่ น ก่อนจะเริ่มการบาบัดด้วยตนตรีน้ัน จะต้องจัดสภาพแวดล้อมให้เป็นที่น่าพอใจแก่คนท่ีมารับการบาบัด เพื่อให้มีความพร้อมท่ีแสดงออกและมีความต้องการที่จะสื่อความหมายหรือตอบสนองต่อกิจกรรมทางดนตรี ท้ังนี้ เพื่อให้การบาบัดไดผ้ ลดที ี่สุด การบาบดั ดว้ ยดนตรจี ะเร่มิ ต้นที่ตวั บุคคลทม่ี ีปัญหา มิใช่เริ่มต้นท่ีดนตรี และจะใช้บุคคลเป็น ศูนย์กลาง ของการบาบดั นักดนตรีบาบัดจะสารวจปัญหาของผู้มารับการบาบัดเมื่อพบปัญหาแล้วก็จะวางแผนจัดกิจกรรม ทางดนตรีให้สอดคล้องกับปัญหาและความต้องการของบุคคลน้ัน จากน้ันจึงให้เข้ารับการบาบัดโดยเข้าร่วม กิจกรรมทางดนตรีและเขา้ รว่ มฟงั ดนตรี การทากจิ กรรมนี้จะทาเดีย่ วหรือเปน็ กลุ่มก็ได้ แนวทางการนาดนตรบี าบัดมาใช้เพอ่ื ฟ้ืนฟูสมรรถภาพและพฒั นาศกั ยภาพของผ้เู รียนที่มคี วาม ต้องการจาเป็นพเิ ศษ ศรยี า นิยมธรรม (2556) ไดอ้ ธบิ ายว่าในวงการการศกึ ษาพเิ ศษ การใช้ดนตรบี าบดั มจี ดุ มุ่งหมาย สาคัญ ในการพัฒนาบุคคล ซ่ึงส่วนมากจะเป็นเรื่องทักษะการเคลื่อนไหว การใช้กล้ามเนื้อใหญ่เล็ก และใช้เป็น เคร่ืองกระตุ้นความร่วมมือระหว่างเด็กพิเศษกับผู้ใหญ่ เด็กพิเศษเหล่านี้อาจมีความพิการต่าง ๆ กัน เช่น ปัญญาอ่อน อารมณ์แปรปรวน บกพร่องทางการเคล่ือนไหว ตาบอด หูหนวก พูดช้า ฯลฯ นอกจากนี้ก็ใช้ดนตรี เป็นเครื่องเสริมแรงพฤติกรรมที่ถูกต้อง ขณะทากิจกรรมกลุ่มนักดนตรีบาบัดมักใช้ดนตรีบาบัดเพ่ือช่วย ความสามารถแก่เด็กพิการในด้านต่าง ๆ เช่น การปฏิบัติตามคาสั่ง การเคล่ือนไหวตามจังหวะ การพัฒนา เสยี งพดู ของเดก็ ท่มี คี วามบกพร่องทางการไดย้ นิ เปน็ ต้น ในการใช้ดนตรบี าบดั นนั้ นกั ดนตรีบาบัดจะเป็นผู้เลือกกิจกรรมให้เหมาะกับเด็กแต่ละคน ความสาคัญ ของดนตรบี าบดั จึงข้นึ อยู่กับการร้จู กั เลอื กเคร่ืองดนตรีและเลือกเพลงท่ีเหมาะสมตรงกับปัญหา ของผู้รับบริการ ในแตล่ ะรายกับการรจู้ กั จัดโปรแกรมที่ช่วยแก้ไขปัญหาน้ัน ๆ นักดนตรีบาบัดจึงต้องมีพ้ืนฐาน ความรู้ทางดนตรี และจติ วทิ ยาท่ีเกยี่ วกับเสียงดนตรี เพ่ือที่จะสามารถนาไปใช้เป็นส่ือกลางในการติดต่อสัมพันธ์กับผู้มีปัญหาและ ร้จู กั วธิ ปี ระยุกตใ์ นการแกไ้ ขความบกพร่องต่าง ๆ ของผทู้ ต่ี ้องการรบั ความช่วยเหลือ ในวงการนักบาบัดต่างทราบกันว่าดนตรีมีความสาคัญย่ิงต่อบุคคลทั้งร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง ต่อบุคลิกภาพของผู้พิการ นักจิตวิทยาพฤติกรรมหลายท่านได้ใช้ดนตรีมาช่วยเปล่ียนพฤติกรรม ท่ีบุคคลแสดงออก (Warren:1984) นักจิตวิเคราะห์กลุ่มฟรอยด์ ก็ได้เสนอแนะให้ใช้ดนตรีในการลดความวิตก กงั วล
32 การบาบัดด้วยดนตรีก็คล้ายกับการบาบัดอ่ืน ๆ ตรงท่ีมุ่งจะกระตุ้นและส่งเสริมให้เด็กประสบ ความสาเรจ็ ในการปรับพฤตกิ รรมตา่ ง ๆ และสง่ เสรมิ พฤตกิ รรมท่ีพึงประสงคใ์ ห้คงอยู่ตลอดไป ชาญณรงค์ พรรุ่งโรจน์ (2546) ได้กล่าวว่า มีการนาดนตรีมาใช้กับกลุ่มเด็กที่มีความต้องการพิเศษเพ่ือ เป็นการปรับพฤติกรรมหรือเสริมการเรียนรู้โดยดนตรีผ่านการเลือกสรรและนามาประยุกต์เข้ากับกิจกรรม สามารถเสริมสร้างพัฒนาการของเด็ก ช่วยแก้ไขความบกพร่องในระหว่างท่ีเด็กมารับการบาบัดฟื้นฟู ซ่ึงเด็ก กลุ่มนี้อาจมีปัญหาด้านการมองเห็น การได้ยิน การพูด การอ่าน หรือในเด็กปัญญาอ่อน เด็กมีปัญหา ทางอารมณ์ หรือมีความบกพรอ่ งดา้ นการเรยี นรู้ รวมทัง้ เดก็ ท่ีพิการทางกาย โดยนักบาบัดจะวินิจฉัยปัญหาของ เด็กแลว้ จึงวางแผนจดั กิจกรรมทางดนตรเี พ่ือใหส้ อดคล้องกบั ความต้องการและปญั หาของเด็กแต่ละคน ซึ่งการ ประกอบกจิ กรรมดนตรแี ละการบาบดั ด้วยดนตรีนี้ อาจทาคนเดียวหรอื ทาเปน็ กลมุ่ ก็ได้ข้นึ กบั ความเหมาะสม ธาราบาบดั ความหมาย ธาราบาบดั คือการออกกาลังกายในนา้ ซ่ึงเปน็ ทางเลอื กหน่ึงของการรักษาทางกายภาพบาบัดโดยใช้น้า เป็นสื่อหรือตัวกลางในการรักษา โดยอาศัยคุณสมบัติของน้าช่วยพยุงรองรับทุกส่วนของร่างกาย ทาให้สามารถ เคลือ่ นไหวได้อิสระและงา่ ยขึน้ ช่วยลดแรงกระแทกและช่วยบรรเทาความเจ็บปวดในขณะฝึกและออกกาลังในน้า ความสาคญั ธาราบาบัด เป็นการออกกาลังในน้าเป็นรูปแบบหนึ่งของวิธีการรักษาทางกายภาพบาบัดโดยอาศัยน้า เป็นสื่อกลางในการรักษา เน่ืองจากน้ามีคุณสมบัติในการช่วยพยุงรองรับทุกส่วนของร่างกาย ทาให้สามารถ เคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ง่ายข้ึน สามารถลดแรงกระแทกและในขณะเดียวกันน้าก็ยังช่วยเป็น แรงต้านในระหว่างการออกกาลังกายได้อีกด้วย เพ่ือเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและยังให้ผลดีต่อระบบ หัวใจและปอดให้มีความแข็งแรงทนทานและมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมไปถึงน้าอุ่นในสระธาราบาบัดยังมีผล ต่อการคลายเกรง็ ตัวของกล้ามเนื้อและเพ่ิมการไหลเวียนของเลอื ดได้เป็นอย่างดี (วรัษฐา : 2554) ธาราบาบัดใช้ได้กับผู้ป่วยหลากหลายกรณี ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ หรือแม้บุคคลทั่วไปเพ่ือให้เกิดการ ผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ แต่สาหรับผู้ป่วยนั้นจะรักษาได้หลายระบบ เช่น ผู้ป่วยโรคข้อ ผู้ป่วยท่ีมีปัญหา เกย่ี วกบั เส้นเลอื ดในสมองตบี ตัน ผู้ป่วยโรคอ้วน ผปู้ ่วยเดก็ ระบบประสาทและสมอง เช่น เด็กพิการสมอง ผู้ป่วย ที่มีปัญหาเร่ืองระบบประสาทไขสันหลังแขนขาอ่อนแรง ผู้ป่วยเด็กระบบกระดูกและกล้ามเน้ือ เช่น เด็กท่ีมี ปัญหาเกี่ยวกับกระดูกเปราะง่าย เปน็ ตน้ ระยะเวลาของการรักษาคร้ังหน่ึง ๆ อาจใช้เวลาประมาณ 5-45 นาที ทั้งน้ีขึ้นกับอายุ สภาพอาการผู้ป่วย และอุณหภูมิของน้า โดยทั่วไปอุณหภูมิของน้าท่ีใช้จะอยู่ในช่วง 33-37.6 องศาเซลเซียส สาหรับข้อห้าม ในการรักษาด้วยวิธีธาราบาบัด ได้แก่ กล้ันปัสสาวะและอุจจาระไม่ได้ มีอาการไข้ตัวร้อนหรือเป็นหวัด มีแผล เปิดท่ีผิวหนัง มีการติดเชื้อท่ีแพร่สู่ผู้อ่ืนได้เมื่ออยู่ในน้า โรคระบบหัวใจและไหลเวียนเลือด โรคระบบ ทางเดินหายใจ โรคที่ยังควบคุมอาการไม่ได้ เช่น ลมชัก ความดันโลหิตสูง การฉายแสงรังสีเอ็กซเรย์ เพ่ือการ รกั ษา เป็นต้น
33 จุดประสงคข์ องธาราบาบดั 1. เพ่ือลดภาวะความเครียดของจิตใจท่ีหดหู่หรืออาการป่วยเร้ือรัง ผ่อนคลายความรู้สึก ปรับการทางาน สู่สมดลุ ของรา่ งกาย 2. เพื่อรักษาอาการเม่ือยกล้ามเน้ือ บรรเทาอาการปวดกล้ามเน้ือและปวดข้อ ข้อแข็ง ข้อยึดติดจาก แผลผา่ ตัด 3. เพอ่ื ฝึกการทางานของกล้ามเนื้อท่ีอ่อนแรง สามารถลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ และช่วยเพ่ิมพิสัย การเคลื่อนไหวของข้อต่อต่าง ๆ ซ่ึงช่วยเพ่ิมความแข็งแรงและความทนทานของกล้ามเนื้อ และเพิ่ม ความสามารถในการทางานของร่างกาย เช่น การเดนิ และการทรงตัว แนวทางการนาธาราบาบดั มาใชเ้ พอื่ การฟื้นฟูสมรรถภาพและพฒั นาศักยภาพของผเู้ รียนที่มี ความต้องการจาเปน็ พิเศษ การบาบัดด้วยการใช้น้า เป็นการใช้น้าเพื่อการบาบัดรักษาโรค บรรเทาอาการปวดและเป็นการผ่อนคลาย ส่งผลดีต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต ผู้มีความต้องการจาเป็นพิเศษที่อยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียน นอกจากจะต้อง เตรียมความพร้อมทางร่างกายในการบาบัดรักษาโรค ข้อจากัดต่าง ๆ แล้ว การสร้างเสริมด้านสุขภาพจิตก็เป็น ส่ิงสาคัญโดยทั่วไป ครอบครัวท่ีมีบุคคลท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษ เช่น เป็นผู้พิการเจ็บป่วยเรื้อรัง มักมี ความวติ กกังวลสูง ความเครียดก็จะเกิดไดท้ ัง้ ตวั ผู้มีปัญหาเองและคนใกล้ชิด โดยเฉพาะผู้ท่ีต้องรับผิดชอบดูแล เช่น พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ญาติพ่ีน้อง ตลอดจนครูพ่ีเล้ียง ผู้ดูแล การได้รับความช่วยเหลือท่ีทาให้ทุกคนผ่อน คลายย่อมทาใหเ้ กดิ ผลดี การบาบัดด้วยการใช้น้าไม่ว่าจะในแง่ของการบาบัดที่ดาเนินการได้เองหรือจากแหล่ง บริการ กท็ าให้ผบู้ าบัดไดร้ ับประโยชน์ หรือหากใช้ควบคกู่ บั การทากายภาพบาบัดเพ่ือฟื้นฟูสมรรถภาพทางกาย ตามคาแนะนาของแพทย์ กเ็ ปน็ เร่อื งทีเ่ หมาะสมจะนามาใชก้ บั บุคคลทมี่ ีความต้องการจาเป็นพเิ ศษทงั้ สน้ิ การบาบดั ดว้ ยการใชน้ ้าจะชว่ ยยกระดบั การไหลเวียนของโลหิตให้มีประสทิ ธภิ าพมากขึ้นจึงมีประโยชน์ ในการบรรเทาอาการอักเสบของกล้ามเน้ือและเน้ือเย่ือต่าง ๆ ทั้งยังเป็นการผ่อนคลายร่างกายและจิตใจได้ อยา่ งดี จะเห็นได้ว่าเดก็ พกิ ารทางสมองกใ็ ช้การบาบัดแบบนีเ้ พอ่ื กระตนุ้ การทางานของร่างกายไดเ้ ช่นกัน
34 ประโยชน์ของธาราบาบัดท่เี ดก็ จะไดร้ ับระหวา่ งเดก็ ทว่ั ไปและเดก็ ทม่ี ีความตอ้ งการจาเป็นพเิ ศษ ประโยชนจ์ าก สง่ิ ที่เดก็ ท้ัง 2 กลมุ่ เด็กทว่ั ไป เดก็ ท่มี คี วามต้องการ ธาราบาบัด จะไดร้ บั จาเปน็ พเิ ศษ การกระตุ้น การสร้างและเชือ่ มโยง พฒั นาการก็ยังคงเปน็ ไป ช่วยฝกึ การทางานของกล้ามเนอื้ พัฒนาการ ความคุ้นเคย และกระตนุ้ ระบบ ตามวยั แตก่ ล้ามเน้ือ ทอ่ี อ่ นแรง สามารถลดอาการ ขั้นพน้ื ฐานของเดก็ การสัมผสั ระหวา่ งเดก็ กับนา้ และกระดกู จะแขง็ แรง เกร็งของกลา้ มเนอ้ื และชว่ ย เด็กได้ออกกาลงั กายดว้ ยการ เรว็ ขึ้น จงึ อาจทาใหเ้ ด็ก เพิม่ พสิ ัยการเคล่อื นไหว ของขอ้ เคลือ่ นไหวกลา้ มเนอื้ สว่ นตา่ ง ๆ คลาน หรอื ยนื ได้เรว็ กว่า ตอ่ ต่าง ๆ ซึ่งชว่ ย เพ่ิมความ ท่วั รา่ งกาย เดก็ วัยเดียวกนั เลก็ นอ้ ย แข็งแรงและความทนทานของ ซ่ึงก็ไมไ่ ด้หมายถงึ วา่ เดก็ กลา้ มเน้อื และเพ่ิมความสามารถ จะ ฉลาดกวา่ เดก็ อื่น ๆ ในการ ทางานของร่างกาย เชน่ แต่อยา่ งไร การเดินและการทรงตวั สรา้ งสายสัมพนั ธ์ 1. ให้คณุ ไดม้ ีเวลาเลน่ กบั ลูก เปน็ การสร้างความรัก เด็กมีความมน่ั ใจในตวั คุณเพราะ ระหวา่ งพ่อแม่กบั ลูก (ซึ่งไมจ่ าเปน็ ต้องเปน็ และความผูกพนั เด็กกลุม่ อาการมกั ขาดความ ในน้า จงึ เลน่ กับลูกได้) ระหว่างกันและกนั เชอ่ื มัน่ ในตนเอง แต่เขากร็ วู้ ่า 2. เม่ือเดก็ ทาไมไ่ ด้ แตเ่ ดก็ จะรู้ คุณจะเป็นผทู้ ีค่ อยใหก้ าลงั ใจเขา ว่าเขามีคณุ ท่ีพร้อมจะอย่เู คียง ทาใหเ้ ด็กกลา้ ทจ่ี ะเคลอ่ื นไหว ข้างเขาเสมอ รา่ งกาย และออกกาลงั มากข้นึ การกระตนุ้ เด็กกลา้ ท่จี ะมปี ฏสิ มั พนั ธก์ บั เข้ากบั ผอู้ ืน่ ในสังคม เด็กกลุ่มอาการมักปิดกนั้ ตนเอง ประสบการณ์ ผอู้ ่ืนทนี่ อกเหนือจากคณุ เช่น ได้งา่ ย จากสงั คม เช่น เด็กกล่มุ อาการ ดา้ นสงั คม ครูฝึก เปน็ ตน้ ทาให้ไม่เปน็ เด็ก ดาวนซ์ นิ โดรมจะเปน็ เดก็ ขี้กลัว (มีมนุษยสัมพนั ธ์ ขี้อายและกลา้ แสดงออก และตกใจง่าย การกระตุ้น กบั คนอน่ื ประสบการณ์นี้ จะทาใหเ้ ด็กปิด นอกเหนอื จาก กน้ั ตนเองนอ้ ยลง เปน็ การสร้าง พ่อแม่) ความมั่นใจในตัวเองใหก้ บั เดก็ ท่ี จะทาให้เด็กกลา้ แสดงออก เหมอื นเดก็ ปกตดิ ว้ ย อนื่ ๆ 1. ทาให้ระบบการไหลเวียนของ เลอื ดสะดวก 2. ขจัดส่ิงสกปรกตามรขู มุ ขน ออกไป 3. ช่วยลดความไวของปลาย ประสาทรบั ความรสู้ ึก ทาให้เกิด ความผอ่ นคลายทง้ั รา่ งกายและ จติ ใจ
35 กิจกรรมนันทนาการ ความหมาย คณิต เขียววิชัย (อ้างอิงใน สานักนันทนาการ กรมพลศึกษา : 2554) ได้ให้ความหมายว่า นันทนาการ หมายถึง กิจกรรมยามว่างท่ีผู้เข้าร่วมมาโดยสมัครใจเพื่อความสุนกสนานร่ืนเริงและก่อให้เกิดความพึงพอใจ ซงึ่ มีลกั ษณะท่สี าคัญ คือ ต้องเปน็ กจิ กรรม (Activity) คอื มกี ารเคล่ือนไหวอวัยวะต่าง ๆ การเข้าร่วมนั้น ต้องมา โดยสมัครใจ (Voluntarily) ต้องเป็นกิจกรรมที่ทาในเวลาว่าง (Free Time) เว้นจากภารกิจส่วนตัว อาชีพ ก่อให้เกิดความพึงพอใจในทันใดและโดยตรง (Immediate and Direct Satisfaction) กิจกรรมนั้นต้อง ก่อให้เกิดประโยชน์ทางการศึกษา (Educational Activity) และกิจกรรมน้ันต้องไม่ใช่อาชีพของผู้กระทา (Pro- fessional) ความสาคญั ในการดารงชีวิตประจาวันของคนเราไม่ว่าในฐานะใดย่อมทาให้เกิดความเหนื่อยเม่ือยล้าท้ังร่างกาย และจิตใจ หากปล่อยให้ความเหนื่อยเม่ือยล้าทับถมทวีข้ึนทุกวัน จะส่งผลให้สุขภาพเส่ือมโทรมท้ังกายและใจ อาจถึงกับทาให้เกิดปัญหาที่เร้ือรัง ไม่สามารถดารงตนอยู่ในสังคมต่อไปได้ จึงมีความจาเป็นจะต้องผ่อนคลาย ความเครียดเสียบ้างแต่เนิ่น ๆ ด้วยการให้ร่างกายหรือจิตใจได้มีโอกาสพักผ่อน การคลายความเครียดดังกล่าว สามารถทาได้หลายวิธีตามเวลาและโอกาสที่เหมาะสม และตามความพึงพอใจของแต่ละคน วิธีหน่ึงท่ีสามารถ คลายความเครยี ดไดด้ ีท่ีสามารถเสริมสรา้ งสขุ ภาพให้ดีได้ด้วย คือ วธิ ีนนั ทนาการ นันทนาการสามารถจัดได้ทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นในครอบครัว ชุมชน โรงเรียน โรงพยาบาล บริษัท โรงงานหรือหน่วยงานต่าง ๆ นนั ทนาการเป็นสิ่งสาคัญและมีส่วนช่วยในการสร้างความสัมพันธ์ ความรัก ความ อบอนุ่ รวมถงึ เป็นส่ือและสง่ เสริมในการพฒั นาทรพั ยากรมนุษยใ์ ห้มคี วามสมบูรณ์ทั้งทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สงั คม สตปิ ญั ญา และมีคณุ ภาพชวี ติ ทีด่ ี ดงั นน้ั สังคมจะเป็นสุขสง่างามและพัฒนาได้อย่างต่อเน่ืองสวยงามก็ด้วย ผลจากการมีกิจกรรมนันทนาการทั้งสิ้น ซึ่งกิจกรรมนันทนาการนั้นมีมากมาย เช่น การออกกาลังกาย การเล่นกีฬา ร้องเพลง ดูภาพยนตร์ เล่นเกม ทางานอดิเรกท่องเทย่ี ว อ่านหนงั สอื เปน็ ตน้ กิจกรรมนันทนาการเป็นกระบวนการที่ก่อให้เกิดความสุข ความสนุกสนานเพลิดเพลินและผ่อนคลาย ความตึงเครียด ผลของการเข้าร่วมนันทนาการจะก่อให้เกิดการพัฒนาอารมณ์สุข สร้างประสบการณ์ใหม่ การมีส่วนร่วมและการแสดงออก อีกทั้งเป็นการส่งเสริมคุณภาพชีวิต เพราะนันทนาการช่วยพัฒนาอารมณ์สุข ในชีวติ และพฒั นาสุขภาพจิต สมรรถภาพทางกาย ชว่ ยป้องกันปญั หาอาชญากรรมและพฤติกรรมเบ่ียงเบนของ เยาวชน ส่งเสริมความเป็นพลเมืองดี รู้จักศิลปวัฒนธรรมและทรัพยากรธรรมชาติ ช่วยในการบาบัดรักษา ความมีมนุษยสัมพันธ์ การทางานเป็นทีมและยังช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตในด้านสุขภาพ การพัฒนาบุคคลและ ความเปน็ พลเมอื งดี (สมบตั ิ :2544) ลักษณะสาคัญของกิจกรรมนันทนาการ 1. มีลักษณะเป็นกิจกรรมคือต้องมีการกระทาท่ีทาให้กล้ามเน้ือหรืออวัยวะส่วนใดส่วนหน่ึง มีการ เคลื่อนท่ีหากอยู่เฉย ๆ เช่น การนอนหลับ หรือพฤติกรรมที่แสดงออกถึงความเกียจคร้านไม่ถือว่าเป็น นันทนาการ
36 2. เปน็ กิจกรรมท่ผี ้กู ระทาเข้าร่วมด้วยความสมัครใจไมม่ ีใครหรือเหตุปัจจัยที่มาบังคับให้ทากิจกรรมนั้น มี ความสุขความพอใจทจ่ี ะทาและไม่เกิดความตงึ เครียดในการทากิจกรรมนั้น 3. เป็นกิจกรรมที่ทาในเวลาว่างจากการทางานภารกิจประจาวัน และไม่นาเวลาท่ีควรจะนอนหลับ พักผ่อนมาทากจิ กรรมนนั้ จนเสยี สุขภาพ 4. กจิ กรรมทท่ี าน้นั ไม่ไดม้ ุ่งเน้นเพ่อื หารายได้หรือเปน็ อาชีพ 5. เป็นกิจกรรมท่ีมีคุณค่าต่อผู้ประกอบกิจกรรมและเป็นกิจกรรมที่พึงประสงค์ของสังคม ไม่เป็น อบายมุข นันทนาการสาหรับบุคคลที่มีความบกพร่อง หมายถึง กิจกรรมนันทนาการหรือการจัดกิจกรรม ในเวลาว่าง เพื่อให้เด็กพิการได้แสดงออกถึงความสามารถในการใช้เวลาว่างของตนเองตามความสนใจ และ ความพงึ พอใจในการใช้เวลาว่างเพื่อสรา้ งความสนุกสนาน เพลดิ เพลิน การนันทนาการน้ัน เป็นกิจกรรมส่งเสริม คุณภาพชวี ิตใหก้ ับบุคคล ช่วยให้ผ่อนคลาย ลดภาวะความตึงเครียดของร่างกายและจิตใจ ทาให้ร่างกายสดช่ืน กระปร้ีกระเปร่า จดุ ประสงค์ของกิจกรรมนันทนาการ 1. เพ่ือพัฒนาอารมณ์กิจกรรมนันทนาการเป็นกระบวนการเสริมสร้าง และพัฒนาอารมณ์ของบุคคล และชุมชน โดยอาศัยกิจกรรมต่าง ๆ เป็นส่ือกลางในช่วงเวลาว่างหรือเวลาอิสระ การเข้าร่วมกิจกรรมต้อง เป็นไปด้วยความสมัครใจ และกิจกรรมน้ันจะต้องเป็นกิจกรรมท่ีสังคมยอมรับ สามารถก่อให้เกิดความสุข สนุกสนานเพลดิ เพลิน 2. เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ใหม่กิจกรรมนันทนาการ ช่วยสร้างประสบการณ์ใหม่ให้แก่ผู้ร่วม กิจกรรม ทงั้ นเ้ี พราะความหลากหลายกิจกรรม 3. เพื่อเพ่ิมพูนประสบการณ์กิจกรรมสร้างเสริมประสบการณ์หรือกิจกรรมบางอย่างท่ีเคยเข้าร่วม มาแล้ว แต่ผเู้ ขา้ รว่ มอยากสร้างความประทบั ใจหรือความทรงจาเดิม ก็จะเป็นการเพิม่ พูนประสบการณ์ทง้ั สิน้ 4. เพ่ือส่งเสริมการมีส่วนร่วมกิจกรรมนันทนาการ จะส่งเสริมการมีส่วนร่วมของบุคคลและชุมชน ฝึกให้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมของชุมชนด้วยความสนใจและสมัครใจ ส่งเสริมการทางานร่วมกันเป็นทีม เป็นส่วนหนงึ่ ของกล่มุ รู้จกั สทิ ธิและหน้าท่ี ตลอดจนความรบั ผิดชอบต่อตนเองและผอู้ ่ืน 5..เพื่อส่งเสริมการแสดงออกกิจกรรมนันทนาการหลายประเภทเป็นการส่งเสริมให้บุคคลได้แสดงออก ทางด้านความรู้สึกนึกคิด สร้างสรรค์ การระบายอารมณ์ การเลียนแบบสถานการณ์ หรือพฤติกรรมต่าง ๆ ทา ใหส้ ามารถเรยี นรูแ้ ละรจู้ กั ตนเองมากข้ึน สร้างความม่ันใจ ความเข้าใจและการควบคมุ ตนเอง 6..เพ่ือส่งเสริมคุณภาพชีวิตกิจกรรมนันทนาการเป็นกิจกรรมท่ีช่วยพัฒนาอารมณ์ ความสุข ความสามารถของบุคคล สขุ ภาพและสมรรถภาพทางกายและจติ ใจ ความสมดุลทางกายและจิตใจ สิ่งเหล่านี้จะ ชว่ ยพัฒนาคณุ ภาพชีวติ ของสังคมทุกเพศและทุกวัย 7..เพ่ือส่งเสริมความเป็นมนุษยชาติกิจกรรมนันทนาการจะช่วยส่งเสริมพฤติกรรม และพัฒนา ความเจริญงอกงามของบุคคลทั้งทางกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญา และจิตใจของคนทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ตามความสนใจและความตอ้ งการของบคุ คล
37 ประเภทของกจิ กรรมนันทนาการ กิจกรรมนนั ทนาการมีหลายประเภทเพื่อใหบ้ ุคคลเขา้ รว่ มทากิจกรรมไดต้ ามความสนใจ ดังนี้ 1. การฝีมือและศิลปหัตถกรรม (Arts and crafts) เป็นงานฝีมือหรือส่ิงประดิษฐ์ต่าง ๆ เช่น การวาดรูป งานปนั้ การประดษิ ฐด์ อกไมป้ ระดษิ ฐ์ ขา้ วของเคร่ืองใช้ และงานศลิ ปะอื่นๆ 2. เกมส์กีฬาและกรีฑา (Games, sport and track and fields) กิจกรรมนันทนาการประเภทน้ี เป็น ท่ีนิยมกันอย่างแพร่หลาย แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ กีฬากลางแจ้ง (Outdoor Games) ได้แก่ กีฬา ทตี่ ้องใช้สนามกลางแจ้ง เช่น ฟุตบอล บาสเก็ตบอล และกิจกรรมกลางแจ้งอื่น ๆ กีฬาในร่ม (Indoor Games) ไดแ้ ก่ กจิ กรรมในโรงยิมเนเซียมหรือในห้องนันทนาการ เช่น แบดมินตัน เทเบิลเทนนิส หมากรกุ ฯลฯ 3. ดนตรีและร้องเพลง (Music) เป็นกิจกรรมนันทนาการท่ีให้ความบันเทิง ดนตรีเป็นภาษาสากล ที่ทุกชาติทุกภาษาสามารถเข้าใจเหมือนกัน แต่ละชาติแต่ละท้องถิ่นจะมีเพลงพื้นบ้านของตนเองและ เคร่ืองดนตรีพ้ืนบ้าน เราสามารถเลอื กได้ตามความสนใจไม่วา่ จะเปน็ สากลหรือพ้ืนบ้าน 4. ละครและภาพยนตร์ (Drama) เป็นนันทนาการประเภทให้ความรู้ความบันเทิงความสนุกสนาน เพลดิ เพลนิ และสะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ สภาพจริงของสงั คมยคุ นนั้ ๆ 5. งานอดิเรก (Hobbies) เป็นกิจกรรมนันทนาการที่ช่วยให้การดาเนินชีวิตประจาวันมีความสุข เพลิดเพลินงานอดิเรกมหี ลายประเภทสามารถเลอื กได้ตามความสนใจ เชน่ 5.1 ประเภทสะสม เป็นการใช้เวลาว่างในการสะสมส่ิงที่ชอบส่ิงท่ีสนใจ ที่นิยมกันมาก ได้แก่ การสะสมแสตมป์เหรียญเงินในสมัยต่าง ๆ อาจเป็นของในประเทศและต่างประเทศ การสะสมบัตรโทรศัพท์ ฯลฯ 5.2 การปลูกต้นไม้ เป็นงานอดิเรกที่ให้ทั้งความเพลิดเพลินและได้ออกกาลังกาย และได้ผักสด ปลอดจากสารพษิ ไว้รบั ประทานหากเป็นการปลกู พืชผกั สวนครวั 5.3 การเล้ียงสัตว์ อาจเป็นการเลี้ยงในลักษณะไว้เป็นอาหาร เช่น เลี้ยงเป็ดเล้ียงไก่ นกกระทาหรือ เลี้ยงไว้ดูเล่น เช่น เลี้ยงสุนัข แมว นก ปลา ฯลฯ การเลี้ยงสัตว์เป็นกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างลักษณะนิสัยของ เดก็ ให้มจี ติ ใจอ่อนโยนและฝกึ ความรับผิดชอบ 5.4 การถ่ายรูป เป็นงานอดิเรกที่น่าสนใจอีกอย่างหน่ึงแต่ค่าใช้จ่ายอาจจะค่อนข้างสูง เน่ืองจาก อุปกรณ์ราคาแพงและมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเดินทางเข้ามาเกี่ยวข้อง หากไม่มีข้อจากัดทางด้านเศรษฐกิจ การถ่ายรูปกเ็ ปน็ กิจกรรมท่ใี ห้ความเพลินเพลดิ และความภาคภมู ิใจต่อผ้ทู ากจิ กรรมมาก 6. กิจกรรมทางสังคม (Social activities) เป็นกิจกรรมที่กลุ่มคนในสังคมร่วมจัดขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมาย เดยี วกนั เช่น การจัดเล้ียงปใี หม่ งานเลย้ี งวันเกดิ การฉลองในโอกาสพิเศษตา่ ง ๆ 7. เต้นราฟ้อนรา (Dance) เป็นกิจกรรมที่ใช้จังหวะต่าง ๆ เป็นกิจกรรมที่ให้ความสนุกสนาน เช่น เตน้ ราพ้ืนเมอื ง การราไทย ราวงนาฏศลิ ป์ ลลี าศ 8. กิจกรรมนอกเมอื ง (Outdoor activities) เปน็ กจิ กรรมนนั ทนาการนอกสถานท่ีท่ีให้โอกาสมนุษย์ได้ เรยี นรธู้ รรมชาติได้พกั ผ่อน เชน่ การอยู่คา่ ยพักแรม ทอ่ งเท่ียวตามแหลง่ ธรรมชาติ
38 9. ทัศนศึกษา (Field trip) เพื่อศึกษาศิลปวัฒนธรรมตามวัดวาอารามหรือศึกษาความก้าวหน้า ในด้านตา่ ง ๆ ในนิทรรศการหรืองานแสดงตา่ ง ๆ 10. กิจกรรมพูดเขียนอ่านฟัง (Speaking Writing and Reading) การพูดเขียนอ่านฟังท่ีนับว่าเป็น กจิ กรรมนนั ทนาการ ได้แก่ 10.1 การพูด ไดแ้ ก่ การคุย การโตว้ าที การปาถกถา ฯลฯ 10.2 การเขียน ไดแ้ ก่ การเขยี นบนั ทึกเร่ืองราวประจาวัน เขียนบทกวี เขยี นเพลง เร่ืองส้ัน บทความ ฯลฯ 10.3 การอ่าน ได้แก่ การอ่านหนังสือพิมพ์ อา่ นหนังสือทั่ว ๆ ไป ที่ให้ทั้งความรู้และความเพลิดเพลิน 10.4 การฟัง ได้แก่ การฟังวทิ ยุ ฟงั อภปิ รายโต้วาที ทอล์กโชว์ ฯลฯ 11. กจิ กรรมอาสาสมัคร (Voluntary Recreation) เป็นกิจกรรมบาเพญ็ ประโยชนท์ ี่บุคคลเขา้ รว่ มด้วย ความสมัครใจ เช่น กิจกรรมอาสาพฒั นา และกิจกรรมอาสาสมคั รต่าง ๆ หลักการเลอื กกจิ กรรมนันทนาการ กิจกรรมนันทนาการมีหลายประเภทบุคคลแต่ละคนย่อมมีความแตกต่างกันในเรื่องความชอบและ ความถนัด นอกจากน้ี การเลือกกิจกรรมนันทนาการยังต้องคานึงลักษณะงานประจาที่ทาอยู่และฐานะ ทางเศรษฐกจิ เพอื่ ใหก้ ารดาเนินชวี ิตเปน็ ไปอย่างมีความสุข หลกั การเลอื กกิจกรรมนนั ทนาการมีดงั นี้ 1. คานึงถึงวัยการเลือกกิจกรรมนันทนาการ ควรเหมาะกับวัยของผู้ทากิจกรรม เช่น เด็กควรให้มี กิจกรรมประเภทที่มีการเคล่ือนไหวร่างกายเพื่อให้พัฒนาการทางร่างกายเป็นไปอย่างเหมาะสม การดูวีดีทัศน์ หรือการเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ติดต่อกันนาน ๆ ทาให้เด็กเกิดความตึงเครียด กิจกรรมประเภทน้ีควรกาหนด ช่วงเวลาไม่เกนิ 1 ชัว่ โมง 2. คานึงถึงสุขภาพ บางคนอาจมีข้อจากัดทางด้านสุขภาพทาให้ไม่เหมาะแก่การเข้าร่วมกิจกรรม บางประเภท เช่น ผูเ้ ป็นโรคหัวใจไมเ่ หมาะกับกีฬาประเภทหักโหม คนสายตาไม่ดีอาจไม่เหมาะกับงานเย็บปักท่ี ต้องใช้สายตามาก เราจึงควรหลีกเล่ียงนันทนาการที่อาจเป็นผลเสียต่อสุขภาพของตนเอง แม้นว่าส่ิงนั้น จะเป็นสิง่ ที่ชอบหรอื ถนัด 3. คานึงถึงความถนัดหรือความชอบของตนเองการเลือกส่ิงที่ตนเองชอบหรือถนัดจะช่วยให้เกิด ความรู้สึกเพลิดเพลินในการทากิจกรรมนั้น ในกลุ่มวัยรุ่นบางคร้ังพบว่าอยู่ในช่วงของการแสวงหายังไม่พบว่า แทจ้ ริงแลว้ ตนเองชอบอะไร จงึ พบว่าทากิจกรรมบางอยา่ งไม่สาเร็จแล้วละทงิ้ 4. คานึงถึงลักษณะงานประจาวันงานแต่ละประเภทจะมีความแตกต่างกัน ด้านการใช้ความคิด และ การเคล่ือนไหวเราควรเลือกนันทนาการที่สอดคล้องกับลักษณะของงานประจา เช่น คนที่ทางาน สานักงาน ท่ีส่วนใหญ่นั่งอยู่กับท่ีควรเลือกกิจกรรมประเภทที่ได้เคล่ือนไหวบ้าง เช่น กีฬา ปลูกต้นไม้ เล้ียงสัตว์ ส่วนคนท่ี ตอ้ งใช้แรงกายมากแล้วน่าจะเลอื กกจิ กรรมท่ีได้พกั กล้ามเนื้อ เชน่ ฟังเพลง ดโู ทรทศั น์ 5. คานึงฐานะทางเศรษฐกิจ ดังท่ีได้กล่าวมาแล้วว่ากิจกรรมบางประเภทมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างมาก การ เลือกกิจกรรมนันทนาการจึงควรหลีกเลี่ยงจากกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจ ของ ตนเองและครอบครัว
39 ประโยชน์ของการนันทนาการ ประโยชน์ของนนั ทนาการ แบ่งออกเปน็ 4 หัวข้อใหญ่ ๆ คอื 1. ประโยชน์ทางดา้ นสุขภาพ 1.1 สุขภาพทางกาย ร่างกายของมนุษย์หากไม่มีการเคล่ือนไหวออกกาลังกายอยู่เสมอก็จะทาให้ ทรุดโทรมเจ็บป่วยได้ง่าย ลักษณะการดาเนินชีวิตในปัจจุบันเอ้ืออานวยให้คนออกกาลังกายน้อยลง เพราะมี เครื่องทนุ่ แรงช่วย เชน่ มีรถยนต์ รถไถนา รถแทรกเตอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ จึงควรหาเวลาว่างหลังจาก เลิกงานหรือวันหยุด เข้าร่วมกิจกรรมนันทนาการประเภทกีฬาต่าง ๆ ที่ใช้กาลัง เพื่อเสริมให้คนเรา มีสุขภาพแข็งแรงข้ึน ซึ่งนอกจากจะป้องกันโรคภัยไข้เจ็บแล้ว ยังทาให้ความสามารถในการดาเนินชีวิตให้สุข สบายได้ด้วย 1.2 สุขภาพจิต การเข้าร่วมกิจกรรมนันทนาการจะช่วยให้คนท่ีทางานหนักได้มีโอกาสผ่อนคลาย ความตึงเครียดทางอารมณ์ เป็นทางระบายออกของอารมณ์ที่ดีอย่างหน่ึง ซึ่งมีผลส่งเสริมสุขภาพจิตได้ เปน็ อยา่ งดี 2. ประโยชน์ทางดา้ นมนษุ ยสัมพนั ธ์ นันทนาการให้ประโยชน์ท้ังทางส่งเสริมความรักใคร่อบอุ่นภายในครอบครัวและมนุษยสัมพันธ์ ในกลุ่มคนที่ร่วมการนันทนาการกันภายในครอบครัว กิจกรรมนันทนาการจะเป็นส่ือกลางให้สมาชิก ในครอบครวั แสดงออกซ่งึ ความร่วมกนั ในยามว่างมากข้นึ ในหมูค่ นทร่ี ว่ มการนันทนาการกัน กิจกรรมต่าง ๆ จะ ทาให้ทัศนคติต่อมนุษยสัมพันธ์พัฒนาไปในทางที่ดี มีการร่วมมือกันดีข้ึน ยอมรับและเข้าใจสิทธิผู้อ่ืน และ ความคดิ ที่คนอน่ื ในกลุม่ ให้ 3. ประโยชนด์ า้ นการพฒั นาพลเมอื งดี นันทนาการมีส่วนเสริมสร้างในการพัฒนาชุมชนคือทาให้ชุมชนเกิดความเป็นปึกแผ่นเป็นการรวม ประชากรโดยปราศจากการแบ่งชนชั้นทั้งทางด้านสิทธิ ศาสนา เศรษฐกิจหรือความคิดต่าง ๆ สามารถสร้างขวัญ ของสมาชิกในชมุ ชนมสี ว่ นป้องกนั ปัญหาอาชญากรรมและความประพฤติพาลเกเรของเดก็ และเยาวชน 4. ประโยชน์ดา้ นการพัฒนาตนเอง กิจกรรมนันทนาการช่วยพัฒนาความสามารถของบุคคล ส่งเสริมให้เกิดความคิดสร้างสรรค์และ สุนทรียภาพ มีส่วนทาให้มนุษย์สร้างสรรค์ส่ิงต่าง ๆ ข้ึนมา เนื่องจากใช้ความสามารถของตนเองทาให้เกิดการ พัฒนาทางทักษะทมี่ ซี ่อนอยู่ในตวั แนวทางการนากิจกรรมนนั ทนาการมาใชเ้ พอื่ การฟน้ื ฟสู มรรถภาพและพฒั นาศกั ยภาพของ ผู้เรยี น ทีม่ คี วามตอ้ งการจาเป็นพิเศษ สมบัติ กาญจนกิจ (2542) ได้กล่าวถึงเป้าหมายของการจัดกิจรรมนันทนาการสาหรับบุคคล กลมุ่ พเิ ศษไว้ ดังนี้ 1. เพอื่ เสรมิ สร้างขวญั กาลังใจและการปรับตัวเข้ากบั สภาพการรักษาในกรณีท่ตี ้องไดร้ บั การรกั ษา 2. เพ่ือเสริมกระบวนการฟื้นฟูสมรรถภาพ โดยจัดให้มีการออกกาลังกายเพ่ือช่วยฟื้นฟูการทางาน ในสว่ นของร่างกายทไ่ี ด้รับผลกระทบ
40 3. เพื่อเปิดโอกาสให้คนพิการท่ีไม่ได้อยู่อาศัยอยู่ในเมืองหรือชุมชน สามารถใช้เวลาว่างอย่างพึงพอใจ และสรา้ งสรรค์ 4. เพื่อเพ่ิมความเป็นตัวของตัวเองในสังคมให้มากขึ้น และให้มีการรวมกลุ่มเพ่ือผลด้านสังคมเม่ือมี โอกาส 5. เพื่อช่วยบรรเทาภาระของครอบครัวทั้งในด้านจิตใจและเวลาท่ีต้องสูญเสียไปกับการดูแลคนพิการ อย่างไมม่ สี นิ้ สุด 6. เพ่ือช่วยให้คนพิการสามารถหาสิ่งทดแทนความไม่สมประกอบของตัวเองโดยทากิจกรรมอื่น ๆ ทไี่ ม่ได้รบั ผลกระทบจากความพิการ 7. เพ่ือยกระดับกิจกรรมด้านพลศึกษา เป็นการสร้างสุขอนามัย และกันมิให้อวัยวะส่วนที่ไม่ได้ใช้งาน นาน ๆ เสอื่ มสภาพลงไปอีก 8. เพอื่ เพิม่ โอกาสใหค้ นพิการมสี ่วนเกีย่ วข้องกบั ชีวติ ในชุมชนมากขึน้ กิจกรรมนนั ทนาการสาหรบั เดก็ พิเศษ การจัดกิจกรรมนันทนาการสาหรับเด็กพิเศษ มีจุดมุ่งหมายเพื่อผ่อนคลาย เป็นกิจกรรมที่สนองตอบ ความต้องการของร่างกายและจิตใจ ผ่อนคลายความเครียดทางอารมณ์ เพ่ือการบาบัดรักษาและการฟ้ืนฟู สมรรถภาพทางร่างกายและจิตใจให้ดีขึ้น สามารถช่วยเหลือตนเองได้ดี เสริมสร้างกาลังใจและทัศนคติที่ดี ตอ่ สังคมไดอ้ ยา่ งเปน็ สุข สมรักษ์ นิธิฤทธิไกร (2554) อธิบายถึงการจัดกิจกรรมนันทนาการสาหรับเด็กพิเศษน้ัน โดยทั่วไป กิจกรรมนันทนาการสาหรับเด็กพิเศษจะไม่แตกต่างกับกิจกรรมสาหรับเด็กปกติ แต่ต้องมีการเลือก ปรับ หรือ ดัดแปลงกิจกรรมให้เหมาะสมกับเด็กพิเศษแต่ละกลุ่ม ควรเลือกกิจกรรมท่ีเหมาะสมกับความผิดปกติท่ีเกิดขึ้น กับเด็ก กิจกรรมทจี่ ดั น้ันจะตอ้ งจดั ใหต้ รงกับความสนใจและความต้องการของเด็กพิเศษ และให้มีข้อจากัดน้อย ท่ีสุดหรือไม่มีเลย ท้ังน้ี เพ่ือช่วยให้การจัดดาเนินงานบรรลุเป้าหมายที่ได้กาหนดไว้เป็นอย่างดี กิจกรรม นนั ทนาการสาหรับเดก็ พเิ ศษ ไดแ้ ก่ 1. กิจกรรมกีฬาสีหรือกิจกรรมที่เลียนแบบกิจกรรมการแข่งขันกีฬาระดับโลก เช่น โอลิมปิกเกมส์ เอเชยี นเกมส์ ซเี กมส์ เป็นตน้ 2. กจิ กรรมกีฬาเพ่ือสง่ เสริมสุขภาพและสมรรถภาพทางกาย 3. กจิ กรรมในโอกาสพเิ ศษ เช่น เทศกาลคริสตม์ าส ปใี หม่ ตรษุ จีน สงกรานต์ เทศกาลวนั แหง่ ความรัก วนั ครู วนั เด็ก วนั แม่ 4. กจิ กรรมอาสาสาพฒั นาชมุ ชน 5. นทิ รรศการ เทศกาลดนตรี ประเภทต่าง ๆ 6. การประกวดงานศลิ ปะ การฝีมอื และงานหตั ถกรรมของนกั เรียนส่งเสริมความคิดสร้างสรรคท์ ดี่ ี 7. นันทนาการทางสังคม เชน่ งานแสดงของโรงเรยี น การแสดงละคร การเตน้ รา 8..กิจกรรมนันทนาการกลางแจ้ง/นอกเมือง เช่น การอยู่ค่ายพักแรม กิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด ซึ่งผสมผสานกิจกรรมอ่นื ๆ เช่น เดินทางไกล การไต่เขา การศึกษาธรรมชาติ การอนุรักษ์ ธรรมชาติ
41 ศิลปหตั ถกรรม ดนตรี ละคร เตน้ รา กิจกรรมทางสังคมในกลุ่มต่าง ๆ 9. กจิ กรรมทัศนศกึ ษาและการท่องเท่ียว การจดั กจิ กรรมนันทนาการเพือ่ พัฒนาผู้เรยี น ควรคานงึ ถงึ องค์ประกอบทสี่ าคัญดงั ต่อไปนี้ 1. กาหนดจุดหมายของกิจกรรมแต่ละประเภทให้สอดคลอ้ งกับองคป์ ระกอบสาคัญของการพัฒนา ด้าน ตา่ ง ๆ 2. กาหนดประเภทและรูปแบบของกิจกรรมนันทนาการให้สอดคล้องกับ เพศ อายุ ระดับการศึกษา ค่านิยม ขนบธรรมเนียมประเพณี โดยการจัดกิจกรรมประเภทนันทนาการต่าง ๆ คือ เกมกีฬา ศิลปหัตถกรรม กิจกรรมเข้าจงั หวะดนตรแี ละเพลง วรรณกรรม และการละคร 3. จัดเตรียมทรัพยากรท่ีจาเป็นในการดาเนินการ ได้แก่ บุคลากร งบประมาณ สถานท่ี และวัสดุ อปุ กรณ์ 4. ดาเนินกิจกรรมตามขั้นตอนที่วางแผนไว้ โดยจัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายเหมาะสมกับ เวลา สถานที่ และทรัพยากรทีม่ ีอยู่ 5. สร้างแรงจูงใจใหแ้ ก่ผู้เข้าร่วม และใหก้ าลงั ใจผู้เข้ารว่ มกิจกรรมเพ่ือสรา้ งทัศนคติ 6. ปลูกฝงั คณุ ธรรมและจรยิ ธรรม การรักษาส่ิงแวดล้อม การอนรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ 7. คานงึ ถึงความปลอดภยั ในการเข้ารว่ มกจิ กรรมนันทนาการ 8. ประเมินผลการจดั กิจกรรมนันทนาการอยา่ งต่อเนือ่ ง ทั้งกอ่ นดาเนนิ การ ขณะดาเนินการ และ หลังดาเนินการ 9. สรุปและรายงานผลการจดั กิจกรรม เพอื่ ใช้เป็นหลกั ฐานสาหรบั อา้ งอิงหรอื แสดงผลดาเนนิ งาน และ รายงานผลใหผ้ ูท้ ่ีเกีย่ วข้องทราบ การบาบดั ทางเลือกอ่นื ๆ การบาบัดด้วยสตั ว์ (Animal Therapy) ทวีศักด์ิ สิริรัตน์เรขา (2556) ได้กล่าวว่า ในปัจจุบันมีการนาสัตว์มาร่วมในโปรแกรมการบาบัดรักษา ผู้ป่วยอยู่หลายแบบ สัตว์ที่นิยมนามาใช้กันมาก ได้แก่ โลมา ม้า สุนัข และแมว เป็นต้น โดยต้องมีการคัดเลือก ฝกึ ฝนสัตวม์ าเป็นอย่างดี พบวา่ ผลท่ีไดเ้ ปน็ ที่น่าพอใจท้งั ในกลมุ่ เด็กและผ้สู งู อายุ การนาสัตวม์ าใช้ร่วมในการบาบัดเด็กพิเศษหรอื เด็กทเี่ จบ็ ปว่ ยเรื้อรัง อย่างน้อยที่สุดก็ช่วยให้ชีวิต ดูง่าย ข้ึน และมีสีสัน ความสนุกสนานมากข้ึน และเพิ่มประสิทธิภาพการบาบัดรักษาในแนวทางหลักได้ดี ย่ิงข้ึน โดย สรุปแล้วการบาบดั ดว้ ยสตั วม์ ปี ระโยชน์มากมาย ถา้ สามารถเลือกนามาใชไ้ ด้เหมาะสมอย่างนอ้ ย 3 ประการ คือ 1. ผลทางด้านจติ วิทยา คือ ช่วยให้เกดิ ความผ่อนคลาย สรา้ งเสริมแรงจงู ใจ 2. ผลทางดา้ นชีววิทยา คือ การเพิม่ สัญญาณชพี 3. ผลทางดา้ นสังคม คือ กระตุ้นให้เกิดการสือ่ สารระหว่างผูป้ ่วยและผ้ดู ูแล
42 กระบวนการและรปู แบบการบาบัดด้วยสตั ว์ ในการบาบัดด้วยสัตว์ ไม่มีกระบวนการและรูปแบบท่ีตายตัวเช่นกัน แต่มีการออกแบบการบาบัด รักษาให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล สตั ว์ทน่ี ยิ มนามาใช้ในการบาบดั ได้แก่ 1. สนุ ัขบาบัด (Dog Therapy) สุนัขบาบัด หรือการนาสุนัขมาช่วยในการบาบัด สามารถช่วยได้ทั้งเร่ืองของร่างกายและจิตใจ การ บาบัดทางร่างกาย สาหรับผู้ป่วยที่มีอาการอัมพฤกษ์ อัมพาต โดยหลักการทั่วไปของกายภาพบาบัด จาเป็นต้องมีการบริหารกล้ามเนื้อ ซ่ึงการมีสุนัขร่วมทากิจกรรมด้วย จะทาให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกเบื่อหน่ายและ สามารถออกกาลังได้นานข้ึน สุนัขสามารถเข้ามาช่วยให้มีการขยับแขนหรือขาเพ่ิมข้ึน โดยการโยนของไป แล้วให้สุนัขวิ่งไปคาบกลับมา การลูบคลา หรือการแปรงขนสุนัขก็เป็นการออกกาลังกายแขนอย่างหนึ่ง การบาบดั ทางจติ ใจ โดยการนาสนุ ัขไปแสดงโชวค์ วามน่ารกั ใหผ้ ู้สงู อายหุ รอื เด็กดู เพื่อช่วยให้คลายความเหงาลง ได้ และการเลี้ยงสนุ ขั ยังชว่ ยลดอาการซึมเศร้าลงได้อกี ด้วย นอกจากน้ียังสามารถจัดเป็นโปรแกรมการบาบัดโดยตรง โดยมีเป้าหมายและระยะเวลาที่ชัดเจน เพื่อปรับเปล่ียนมุมมองความคิดของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่มีต่อตนเองและคนรอบข้างให้เป็นเชิงบวกมากข้ึน สุนัขท่ีนามาบาบัดควรเลือกพันธุ์ที่มีความคล่องตัว มีการตอบสนองต่อคนค่อนข้างดี เช่น สุนัขพันธ์ุ “ลาบราดอร์” หรือ “โกลเด้นท์รีทรีฟเวอร์” ซึ่งจะพบว่าในต่างประเทศนิยมนาสุนัข 2 พันธ์ุน้ีมาช่วยในการ บาบัดผู้ป่วยมากท่ีสุด อย่างไรก็ตาม สุนัขที่จะนามาช่วยในการบาบัดจะต้องผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี เช่อื ฟงั คาส่ัง ไมม่ ีโรค และไมด่ ุร้าย สาหรับในประเทศไทยเอง เร่ิมมีสถานพยาบาลบางแห่งนาเอาสุนัขมาช่วยใน การบาบดั ผูป้ ว่ ย อาทิ การบาบดั ผูป้ ่วยอัมพฤกษ์ อมั พาต และคนชรา 2. อาชาบาบดั (Hippotherapy) อาชาบาบัด หรือการนาม้ามาช่วยในการบาบัด เรียกว่า Hippotherapy ซ่ึงคาว่า Hippo มาจาก ภาษากรีก แปลว่า “ม้า” ส่วนคาว่า therapy แปลว่า “การบาบัด” มีงานวิจัยที่สนับสนุนให้เห็นถึงผลดีของ อาชาบาบัดมากพอสมควร โดยมักได้ผลดีกับเด็กพิเศษกลุ่มท่ีมีความผิดปกติด้านระบบการเคลื่อนไหว ของกลา้ มเนอื้ และข้อต่อ เช่น โรคสมองพกิ ารหรือที่เรยี กกนั ส้นั ๆ ว่า ซีพี (C.P. ยอ่ มาจาก cerebral palsy) นอกจากน้ี ยังมกี ารนามาใช้ในการบาบัดกลุ่มเด็กออทิสติกที่มีปัญหาทางด้านการควบคุมการเคล่ือนไหว ของร่างกาย ซ่ึงได้ผลเป็นท่ีน่าพอใจเช่นกัน การอยู่บนหลังม้าได้ดี จะต้องมีการทรงตัวท่ีดี มีสัมผัสท่ีแนบแน่น กับตัวม้า คือขาต้องหนีบไว้ข้างลาตัวม้าตลอด และมีสมาธิจดจ่ออยู่กับการข่ีม้า ซ่ึงสิ่งเหล่าน้ีจะเป็นทักษะท่ีได้ เพิม่ ขึ้นจากการขม่ี า้ โดยอัตโนมัติ จังหวะการกา้ วย่างของม้าใกล้เคียงกับจังหวะ การก้าวเดินของมนุษย์ เม่ือเด็ก พเิ ศษได้มโี อกาสนั่งบนหลังม้า ก็เปรียบเสมือนกับการได้ฝึกเดินด้วยตัวเอง นอกจากน้ีการนั่งบนหลังม้า ยังเป็น การกระตุ้นกล้ามเน้ือส่วนต่าง ๆ ให้เคลื่อนไหวเป็นจังหวะ เพราะต้องขยับอิริยาบถตลอดเวลา ซึ่งสามารถ ช่วยลดอาการเกร็งต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี เสมือนการทากายภาพบาบัดรูปแบบหนึ่ง นอกจากนี้เด็กยังได้ฝึกฝน การปรับตัวของสภาพร่างกายให้เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อม ซ่ึงเป็นประสบการณ์ที่ได้รับจากการประคองตัวให้ สามารถนัง่ อย่บู นหลงั ม้าไดน้ ั่นเอง โดยรา่ งกายจะมีการปรับตัวเองเปน็ เสมือนกลไกอัตโนมัติ หรืออาจเรียกได้ว่า
43 เป็นสญั ชาตญาณความอยู่รอดของมนุษย์ท่ีพยายามจะรักษาสมดลุ ของร่างกายไม่ให้ตกลงมาจากหลังมา้ นั่นเอง อาชาบาบัด เราจาเป็นต้องพิจารณาความเหมาะสมและปัจจัยแวดล้อมอื่นๆประกอบด้วย ในเด็กบางรายท่ีมีอาการกระตุกมาก ๆ ก็ไม่ควรใช้วิธีการน้ีในการบาบัด เพราะอาจทาให้เกิดอันตรายกับเด็กได้ ขณะทาการขี่มา้ ม้าที่นามาใช้ในการบาบัดมักเป็นม้าลูกผสม (pony) ซึ่งเป็นสายพันธ์ุที่ตัวไม่ใหญ่มากนัก ความ สูงไม่เกิน 14 แฮนด์ (1 แฮนด์ สูงประมาณ 10 เซนติเมตร) เหมาะสาหรับเด็กเป็นอย่างย่ิง และ จาเป็นต้องมี การฝกึ ฝนม้าเป็นอย่างดีจากผู้เช่ยี วชาญด้วย 3. โลมาบาบดั (Dolphin Therapy) โลมาบาบัด หรือการนาโลมามาช่วยในการบาบัด เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการบาบัดด้วยสัตว์ แต่มีความยากลาบากมากข้ึน เนื่องจากไม่สามารถนามาบาบัดที่บ้านเองได้ถ้าเป็นการนาเฉพาะเสียงของโลมา มาช่วยในการบาบดั จะเรียกว่า การบาบดั ดว้ ยคลน่ื เสียงความถ่ีสูง (ultrasonic therapy) โลมาเป็นสัตว์ เล้ียง ลกู ดว้ ยนมท่มี คี วามใกลช้ ิดผูกพนั กับมนุษย์ มีเสน่ห์ เป็นมิตร และมีสติปัญญามาก สามารถแสดง ปฏิกิริยาตอบ โต้อย่างลึกซ้ึง เป็นสัตว์ที่พยายามเข้ามาใกล้ชิดกับมนุษย์ และมนุษย์สามารถสัมผัสความรู้สึก น้ันได้เช่นกัน เวลาท่ีโลมาส่งเสียงออกมาเสมือนมีคล่ืนพิเศษ เรียกว่า คลื่นเสียงความถ่ีสูง (ultrasonic) เข้าไปจูนหรือปรับ สมดุลคลื่นสมองของมนุษย์ เสียงของโลมานั้นมีคุณสมบัติพิเศษอย่างหน่ึงคือ ให้ ความรู้สึกดีและให้ความสุข นับว่าเป็นเสียงบาบดั ใจทม่ี พี ลังในการเยยี วยา (healing power) สูง คณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเลสเทอร์ ประเทศอังกฤษ พบว่า การเล่นกับปลาโลมาอย่างใกล้ชิด สามารถบาบัดรักษาโรคซึมเศร้าได้ดีกว่าการหยุดพักผ่อนหรือผ่อนคลายอย่างเต็มท่ี งานวิจัยน้ีเป็นการศึกษา อาสาสมัครผู้ป่วยโรคซมึ เศรา้ ระดับเลก็ น้อยและปานกลาง 30 คน ในประเทศฮอนดูรัส โดยแบ่งให้คร่ึงหน่ึงว่าย นา้ และเลน่ กับโลมาปากขวดอย่างใกล้ชิดเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ท่ีเหลืออีกครึ่งให้ใช้เวลาพักผ่อนเต็มที่ ท่ามกลาง ท้องทะเลและแสงแดดแต่ไม่มีโลมาเป็นเพ่ือน ผลการศึกษาพบว่าผู้ป่วยทุกรายมีอาการดีขึ้น แต่กลุ่มที่อยู่กับ โลมามีอาการดีขึ้นเป็น 2 เท่า เม่ือเวลาผ่านไป 3 เดือน ผู้ป่วยทุกคนก็ยังคงรู้สึกดี ที่กรุงลิมา ประเทศเปรู มี คอร์ส \"โลมาบาบดั \" จากโลมาท่ผี ่านการฝึกฝนมาเปน็ อย่างดี ใหว้ ่ายเข้าหาหญิงมีครรภ์ สัมผัส หรือดุนท้องโย้ ๆ ของวา่ ทคี่ ณุ แม่ และพูดคุยกับทารกในครรภ์ด้วยเสียงหวีดแหลมของพวกมัน ซ่ึงเอลิซาเบธ ยาลัน คณบดีของอ็ อบสเตทริเซียนคอลเลจ กล่าวว่า เสียงหวีดแหลมความถ่ีสูงของโลมาช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางสมองและระบบ ประสาทของทารกในครรภ์มารดาได้ แตย่ งั ตอ้ งศึกษาวิจยั เพ่ิมเติมอกี เพ่อื พิสจู น์ให้แน่ชัดถึงประสิทธิผลของการ บาบัดด้วยวธิ นี ้ี นอกจากนี้ ยังพบว่าโลมาบาบัดมีประโยชน์ในเด็กสมาธิสั้น ออทิสติก ดาวน์ซินโดรม วัยรุ่นติดยา เสพติด กระทั่งผู้ใหญ่ที่นอนไม่หลับ วิตกกังวล ซึมเศร้า เป็นโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ ฯลฯ โปรแกรมโลมาบาบัด ไม่ใช่แค่ไปว่ายน้าเล่นกับโลมาเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องเรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตโลมาในช้ันเรียนศิลปะ กระตุ้น ความสนใจเกี่ยวกับโลมาก่อนลงสัมผัสจริง เมื่อลงน้าไปเล่นกับโลมา ต้องพยายามประคองตัวรักษาสมดุล ของร่างกายขณะอยู่ในน้าให้ได้ ทาให้ได้ฝึกออกแรงกล้ามเน้ือส่วนต่าง ๆ อย่างเต็มที่ โดยมีโลมาเป็นแรงจูงใจ เพราะถ้าทาไม่ได้ก็จะไม่ได้เล่นกับโลมาน่ารัก ซึ่งโลมาช่วยท้ังในเร่ืองของการเสริมสร้างแรงจูงใจ และเสริมแรง เม่อื มีพฤติกรรมเปา้ หมายท่ตี ้องการเกิดขึ้น
Search