๘๙ สว่ นของเชงิ กลอนช้ันท่ี ๕ บริเวณพน้ื กระดานล่างจะเซาะรอ่ งกลาง สาหรับสวมบงั คับเสา ตอ่ จากปลายยอดเพ่ือเสรมิ ความแนน่ และความแขง็ แรงให้แกป่ ลายยอด โดยเสาทส่ี วมจะลงมาจากเหม นอกจากเซาะร่องเพื่อรองรับเสาจากเหมแลว้ ยงั ต้องเซาะร่องเพื่อรองรับเดอื ยขององค์ระฆงั อกี ด้วย ดังนน้ั จะต้องเซาะร่องจานวน ๕ รอ่ งเพื่อรองรบั เดอื ยท้งั ๕ เดอื ยจากองคร์ ะฆังและเหม ภาพท่ี ๔.๑๑๗ ภาพที่ ๔.๑๑๘ ภาพท่ี ๔.๑๑๙ ภาพท่ี ๔.๑๒๐ ตัวองค์ระฆงั ภายในจะกลวงไมม่ ีเนอ้ื ไม้ เน่ืองจากเปน็ ส่วนยอดในชัน้ หลงั คา ถา้ จะใช้ไม้ท้ัง ทอ่ นทาองค์ระฆงั คงจะมีนา้ หนกั ทม่ี ากเกนิ พอดี และช้นั หลงั คาอาจจะรับน้าหนักจากไม้ในส่วนน้ันไม่ไหว จึง จาเปน็ ทีจ่ ะต้องผา่ องค์ระฆงั ออกเป็น ๒ ชน้ิ โดยที่ยังมเี ดอื ยสาหรับยดึ ตดิ อยู่ในส่วนบริเวณขอบองคร์ ะฆัง และกว้านเนือ้ ไมภ้ ายในออกดว้ ยสวิ่ จากนน้ั จงึ นามาประกบติดกนั และประกอบลงบนเชิงกลอนชนั้ ท่ี ๕
๙๐ ภาพท่ี ๔.๑๒๑ ภาพที่ ๔.๑๒๒ นอกจากจะกว้านภายในองคร์ ะฆังแลว้ ส่วนของเหมนั้นกย็ ังใช้กระบวนการเดียวกันกับองค์ ระฆงั เหมจะถูกแบ่งออกเปน็ ๒ ชนิ้ ภายในของเหมจะถูกกว้านเนื้อไมอ้ อกไป (ภาพที่ ) และมเี ดอื ยสาหรับยดึ ติดท้งั ๓ สว่ นเขา้ ไว้ด้วยกัน ในสว่ นรายละเอยี ดของชนั้ เหมจะใชส้ ว่ิ ขนาดเล็กในการแกะลวดลายแต่ละช้ัน ภาพท่ี ๔.๑๒๓ ภาพที่ ๔.๑๒๔ ภาพท่ี ๔.๑๒๕
๙๑ ตอ่ จากช้นั เหมจะเปน็ สว่ นปลยี อด เม่อื ประกอบโครงสร้างทกุ ส่วนเขา้ ดว้ ยกนั แล้วจึงครบ ข้ันตอนกระบวนการประกอบไมโ้ ครงสรา้ งพระทีน่ ั่งบษุ บกเกรนิ (จาลอง) หลงั จากนจ้ี ะกล่าวถึงรายละเอยี ด ขั้นตอนกระบวนการในส่วนงานแกะและงานกลึงไมต้ อ่ ไป ภาพท่ี ๔.๑๒๖
๑๐๔ ข้นั ตอนกระบวนการกลึงไม้ (องคป์ ระกอบพระทีน่ งั่ บุษบกเกรนิ จาลอง) เกริน) งานกลงึ เปน็ ขน้ั ตอนการผลติ ชิ้นงานทแ่ี ตกต่างออกไปจากกระบวนการผลติ ชิ้นงานทกี่ ลา่ วถึง มาทงั้ ๒ วธิ ีอย่างส้ินเชงิ เน่อื งจาก การผลติ งานกลงึ ต้องใชเ้ คร่ืองกลึง ซึ่งเป็นเคร่ืองจักรเข้ามาเก่ยี วขอ้ ง เคร่อื งกลงึ จะทาหนา้ ทจี่ ับไมใ้ หห้ มุนตดิ อยกู่ บั เครอื่ งโดยมีอุปกรณ์สาหรบั จับไม้ ช่างจะใช้เคร่อื งมอื สาหรบั กลงึ ไม้กลึงให้กลมและไดร้ ูปทรงลกั ษณะตามแบบท่ีกาหนดไว้ ขนั้ ตอนกระบวนการงานกลงึ มดี ังตอ่ ไปน้ี ๑. ไสไมท้ ่ตี ้องการกลึงใหเ้ ปน็ ทรงสี่เหล่ียมมมุ ฉากหรอื ทรงกระบอกขนาดใหญ่กว่าชน้ิ งานท่ี ต้องการ แล้วทาการถากกลบเหล่ียมไมพ้ อกลมมน เพ่อื วา่ เวลาเครอ่ื งหมนุ ช้นิ งานขณะวางสง่ิ โกลนล้างผิว ชนิ้ งานกับเครอ่ื งกลงึ จะไม่สะบัดให้เกดิ อันตรายได้ จากนนั้ ตดิ ตัง้ ไม้กบั เคร่ืองจับช้นิ งานและ ต้ังระยะแท่นจบั ให้ ได้ศนู ยก์ บั ไม้ เลือ่ นแทน่ รองเครอ่ื งมือกลงึ มาอยูใ่ นตาแหนง่ ก่ึงกลางความยาวของช้นิ ไม้ ปรับแทน่ รอง เครอื่ งมือกลึงให้อยสู่ งู กว่าระดับเสน้ ผา่ ศนู ย์กลางของไม้ท่จี ะกลึง กอ่ นการเริม่ กลึงไมค้ วรตรวจ สอบดวู ่าแทน่ รองเครอื่ งมือเบียดหรือกระทบกับไม้หรือไม่ โดยใช้มือจับไม้ในเครอื่ งทดลองหมุนดูสัก ๒ – ๓ รอบ ๒. เลอื กใช้เครอ่ื งมอื กลึงสาหรบั ปรับไมใ้ หก้ ลม โดยเครื่องมือนั้นต้องมีหนา้ คมท่ีกว้างทสี่ ดุ เพือ่ กลึงลา้ งผวิ ไม้ให้กลม ลักษณะการจับเครือ่ งมอื กลงึ จะ ใชม้ ือข้างซา้ ยจับเครื่องมือกลงึ และวางมอื น้นั แนบ กบั แท่นรองเครื่องมือ ใชม้ อื อีกข้างจบั ประคองชน้ิ งาน และใชน้ ว้ิ หัวแม่มอื ของมือขา้ งขวา (ข้างทปี่ ระคอง ชิน้ งาน) ชว่ ยบงั คบั ปลายส่ิวกับนว้ิ ชี้ของมอื ข้างซา้ ย
๑๐๕ การจับเครือ่ งมอื กลงึ ต้องจบั ด้ามเคร่ืองมอื ใหด้ า้ มอยู่ในระดับตา่ กว่าแทน่ รองเครื่องมอื หรอื ระดับคมของเคร่อื งมือกลงึ เอียงเคร่ืองมอื กลึงใหเ้ ปน็ มมุ ในลักษณะเฉือนเน้อื ไม้ โดยการกลงึ แต่งผวิ ไม้ใหม้ ี ลักษณะแบนเรียบ มวี ธิ กี ลงึ ๒ วิธี คือ -กลึงแบบเฉอื นเนื้อไม้ ลดมอื ขวาท่จี บั ดา้ มเคร่ืองมือกลึงลงตา่ กวา่ ระดบั เสน้ ผา่ ศนู ย์กลางของ ชนิ้ งานประมาณ ๑๐ องศา ในลกั ษณะที่เอียงคมเคร่อื งมอื กลงึ และใหส้ ว่ นที่เปน็ ความกวา้ งกลางคมมดี เท่านั้นเปน็ สว่ นที่กนิ เนือ้ และเฉอื นเน้ือไม้ พลกิ ใบมดี กลับไปกลบั มาขณะกลงึ จนชิน้ งานเรียบและไดข้ นา ด ตามท่ีตอ้ งการ
๑๐๖ -กลงึ แบบขูดเนอื้ ไม้ ใบมดี หรือคมเคร่อื งมือกลงึ อยใู่ นระดบั เดียวกนั กับเส้นผ่าศนู ย์กลางของ ชนิ้ งาน และต้องจบั เคร่อื งมือกลงึ ให้คมอย่ใู นลกั ษณะทส่ี ัมผัสกบั ไมช้ นิ้ งานเตม็ ความกว้างของคม คม เครอ่ื งมือกลงึ อยตู่ ่า จงึ ตอ้ งลดแทน่ รองเครอ่ื งมอื ตา่ ลงกวา่ ระดบั เส้นผา่ ศูนย์กลางของชน้ิ งาน ๓. เม่ือกลงึ ปรบั ผวิ ไมใ้ หไ้ ด้ขนาดเส้นผา่ ศนู ย์กลางตามแบบทีต่ อ้ งการแลว้ ขน้ั ต่อไปคือการ . ต่ กลึงเพือ่ ใหไ้ ด้รูปแบบตามตอ้ งการ โดยต้องใชเ้ ครอื่ งมอื วดั ขนาดชนดิ วัดภายนอกวดั ความยาวของชว่ งงานแ ละส่วนจากแบบลายเส้นทกี่ าหนดไว้ในกระดาษ เมื่อไดข้ นาดตามต้องการตอ้ งกาหนดขนาดดงั กล่าวลงบนชิ้น ไม้ทตี่ ดิ อยูก่ บั เครอื่ งมอื กลงึ ชา่ งสามารถใช้ปลายเครอื่ งมือวดั ขนาดชนิดวัดภายนอกกดลงบนชิน้ ไมน้ ้ันได้ ใน เบ้อื งต้น และจะใชส้ ว่ิ ปลายหอกหรอื ส่ิวรปู ตัววีเปน็ เครอ่ื งมอื กาหนดแบง่ ชว่ งในแต่ละช่วงใหช้ ดั เจนข้ึน โดยสว่ิ ปลายหอกจะทาให้เกิดความลึกของเส้นท่ตี อ้ งการแบง่ สว่ นต่างๆออกจากกนั
๑๐๗ ๔. เมอื่ แบง่ ความยาวของงานแต่ละส่วนได้แล้วนั้น ข้ันตอนต่อไปตอ้ งวัดขนาดความกวา้ ง . ของชิน้ งานในสว่ นนัน้ ๆ ด้วยเครื่องมือวัดขนาดชนดิ วดั ภายนอกโดยวดั ขนาดความกว้างจากแบบลายเสน้ ที่ กาหนดไว้ แล้วใช้เครอ่ื งมอื วดั ขนาดเทียบลงบนชน้ิ งานทีต่ ิดอยใู่ นเครอื่ งกลงึ ไม้ จากนั้นใช้สว่ิ ปลายหอกหรือสวิ่ รูปตวั วีกลึงเนื้อไมส้ ว่ นเกินออก ในลกั ษณะท่ีตอ้ งใช้ปลายส่วิ จี้ลงไปบนเนอื้ ไม้ ด้วยปลายที่แหลมของส่ิวจะกิน เนือ้ ไมล้ งไปเป็นเส้น ทาให้ไมล้ ดขนาดลงจากเดิมไดป้ รมิ าณมาก ต่อมาใชส้ ่ิวหนา้ ตรง มมุ ฉาก ไล่กลึงขูดเน้ือไม้ ท่ีไม่เรียบ ให้เรยี บเนียน ไดร้ ปู ทรงตามช้นิ งานท่ี กาหนด เมอื่ เสร็จข้นั ตอนดงั นจี้ ะตอ้ งทาการวัดเปรียบเทียบขนาดกับแบบอยู่เสมอ สว่ นที่ตอ้ งการความโคง้ ของชิ้นงาน จะใชส้ ิว่ หนา้ มนกลึงขูด ไล่ไปทีละนอ้ ย จนกวา่ จะได้โค้งมนตามที่ต้องการ และในส่วนทตี่ อ้ งการ ความลกึ ของงานจะใช้สวิ่ หน้าตัดกลงึ กดลงไปในสว่ นนน้ั ๆ
๑๐๘ ในกรณที ่ีงานกลึงมีขนาดสดั สว่ นทไี่ มเ่ ท่ากันตลอดช้ินงาน เช่น ส่วนปลยี อดพระทน่ี ง่ั บุษบก เกริน ชา่ งจะดาเนินวิธีการดังกล่าวต่อไปจนครบทุกสัดส่วนบนปลยี อด ซง่ึ ข้ันตอนนีถ้ ือเปน็ ข้ันตอนสาคญั ใน งานกลงึ งานกลึงจะออกมาสวยงามตามแบบไดน้ ้ันก็ดว้ ยการวัดขนาดของงานต้องออกมาตรงตามทก่ี าหนดไว้ ในแบบ แต่ในกรณที ่ชี ้นิ งานมีสดั ส่วนเท่ากนั ในรปู แบบเดมิ ตลอดชน้ิ งาน เชน่ ลาตะพอง ชา่ งจะดาเนิน ข้ันตอนการขัดดว้ ยกระดาษทราย จงึ เป็นอันเสรจ็ งานกลึงในส่วนนนั้ ๕. เมือ่ ไดง้ านตามข นาดทต่ี ้องการ แลว้ ขนั้ ตอนตอ่ ไปจะต้องเกบ็ ผิวไม้ใหเ้ รียบดว้ ย กระดาษทราย กระดาษทรายจะกัดตัดเสี้ยนไมแ้ ละ ทาให้ผิวไมเ้ ปน็ เสน้ ได้ ฉะนนั้ การขดั กระดาษทราย ตอ้ งขัดซ้ายขวาสลบั กนั อย่าขัดกระดาษทรายอย่จู ุด เดียว
๑๐๙ ๖. เทคนคิ การขัดมนั บนเน้ือไมข้ องงานกลึง ช่างจะใช้เนื้อไม้ สกั เหลาใหไ้ ดร้ ปู ทรงคลา้ ยสว่ิ ปลายหอก จากนน้ั ใชไ้ ม้ปลายหอกน้ีกลงึ ไลไ่ ปตามส่วนต่างๆ บนชิน้ งานจนครบทุกสว่ น เม่อื ส่วนปลายของไม้ ปลายหอกแตกออกเป็นเสน้ จะตอ้ งเหลาออกให้มคี วามคมของไม้ เพราะถา้ ไม่มีความคมแล้วไม้ปลายหอกจะ ขัดไมก้ ลงึ ไมข่ ึ้นมัน ขน้ั ตอนนถ้ี อื เปน็ การเก็บเนื้อไมใ้ นข้ันตอนสุดทา้ ยของงานกลงึ ๗. เมื่อเก็บเนือ้ ไม้เสร็จเรียบร้อยแลว้ นั้น จะตอ้ งตดั ส่วนยอดสดุ ของชนิ้ งานที่ยดึ ติดอย่กู บั ศูนย์ ตายออก โดยใช้สว่ นปลายของสว่ิ หนา้ ตรงขนาดเล็กกดลงตรงส่วนทีต่ ้องการตัด ไม้ในส่วนนัน้ จะถกู กลึงออก มากทส่ี ุดแตย่ งั ไม่ขาด โดยที่ชน้ิ งาน ส่วนยอดสุดยังถกู ยึดตดิ กบั เครอ่ื งมือกลึง จากนน้ั จึงปดิ เคร่อื งกลึงและนา ช้ินงานออกจากก้านจบั ชิ้นงานได้ หกั สว่ นทไ่ี ม่ตอ้ งการออกจากยอด และใชก้ ระดาษทรายขัดตกแตง่ ใหเ้ รียบ ในการกลงึ งานไม้ไมค่ วรจะนาช้ินงานออกจากกา้ นจับกอ่ นที่จะกลงึ งานเสร็จ เพราะการต้งั ศนู ย์ของงานจะ ไม่ได้ตามเดมิ และจะทาใหง้ านกลงึ นั้นออกมาไม่สมบรู ณ์ตามแบบ
๙๒ ขน้ั ตอนกระบวนการงานแกะสลักไม้ (องคป์ ระกอบพระทน่ี ่งั บุษบกเกรนิ จาลอง) ๑. การกาหนดรูปแบบและลวดลาย ถอื ได้วา่ เปน็ ขัน้ ตอนท่ีมคี วามสาคัญท่ีสดุ ของงานแกะสลกั ไม้ การเขยี นรปู แบบตอ้ งมีความ ชดั เจน การตัดเสน้ ตอ้ งคมชัด และไดก้ าหนดรปู แบบลวดลายให้ออกมาคลา้ ยกบั ลวดลายของพระทนี่ ่ังบุษบก เกรินองคจ์ รงิ ซ่งึ เขยี นแบบย่อขนาดลงมาจากเดิม ๑ ต่อ ๕ ส่วน เพียงแค่การแกะสลกั ไมจ้ ะแกะสลักเ ปน็ บาง ชิ้นเท่าน้นั มไิ ด้แกะสลักไมล้ วดลายประกอบทุกชน้ิ งาน เนอื่ งจากเปน็ งานทเ่ี น้นความสาคญั ของตวั โครงสร้าง การเข้าเดือยไม้แบบโบราณ ในพระทน่ี งั่ บุษบกเกริน (จาลอง ) องค์น้ีจงึ มเี พยี งงานแกะสลกั ไม้ช้ินตัวอย่าง ส่วนประกอบจากโครงสร้างและชิน้ งานซงึ่ แสดงกระบวนการขั้นตอนในงานแกะสลักไม้เทา่ นัน้
๙๓ โดยงานแกะสลกั ไมพ้ ระที่นง่ั บุษบกเกรนิ (จาลอง) แบ่งออกเปน็ ๓ ประเภท ๑ คอื ๑. ประเภทลอยตัว เป็นช้ินงานทีส่ ามารถมองเหน็ ไดท้ กุ ดา้ น ๒. ประเภทนูนสงู หรือภาพครง่ึ ซีก เป็นภาพทม่ี องเห็นเพยี งครึง่ เดยี วจากภาพเตม็ ตวั ไดแ้ ก่ ยกั ษ์ ครุฑ เทพ กระจงั ปฏญิ าณ เปน็ ต้น ๓. ประเภท นนู ต่า หรือทีเ่ รียกกนั ในหมู่ชา่ งว่า ภาพหน้าจันทร์ คอื ภาพท่มี องเหน็ เฉพาะ หนา้ ตรงเทา่ น้นั เพราะภาพจะมีส่วนนูนข้นึ มาเลก็ นอ้ ย ได้แก่ ลวดลายประกอบโครงสรา้ ง บนหนา้ กระดานลกู ฟกั ก้ามปู ลายแข้งสงิ ห์ กระจังรวน กระจังแถว เป็นตน้ ๒. การถา่ ยแบบลวดลาย กรรมวิธใี นการถา่ ยแบบนน้ั มีหลากหลายรูปแบบ โดยการถ่ายแบบในสมยั กอ่ นจะเปน็ การ ถา่ ยแบบโดยถ่ายลงบนเนอ้ื ไมโ้ ดยตรง คอื นาแบบทีอ่ อกแบบไว้มาตอกสลักลงบนกระดาษแขง็ ต้นแบบให้ โปร่ง นามาวางทาบบนเน้อื ไม้ท่ีเตรยี มไวซ้ ึง่ ทาด้วยนา้ กาวหรอื แปง้ เปยี ก จากน้นั ทาการตบดว้ ยลกู ประ คบ ดินสอพองหรอื ฝนุ่ ขาวให้ท่วั นากระดาษตน้ แบบออก จะปรากฏลวดลายในลกั ษณะเป็นลายเสน้ แบบจดุ ไข ปลาบนพื้นผวิ หนา้ ไม้ ซึง่ กรรมวธิ นี ีจ้ ะเป็นกรรมวธิ ีทช่ี ่างในสมยั โบราณจะนยิ มใช้ในงานไม้ทุกประเภท ในปจั จบุ นั การถ่ายแบบของงาน แกะสลัก ไม้จะมกี รรมวิธที ีส่ ะดวกข้นึ คอื นา ลวดลาย ท่ี ออกแบบทาสาเนาขนาดเทา่ ลวดลายจริงทีต่ อ้ งการแกะสลกั จากนนั้ นาลวดลายทีท่ า สาเนาข้นึ ติดลงบนเน้ือไม้ โดยตรงด้วยกาวนา้ หรอื สเปรก์ าวในบริเวณท่ีต้องการแกะสลกั ๑ วจิ ิตร์ ไชยวิชติ . “ชา่ งแกะสลัก”, ช่างศิลป์ไทย.
๙๔ แต่ในบางครัง้ รูปทรงของเน้อื ไม้ท่ีตอ้ งการแกะสลักไม่ได้มีรูปทรงทจี่ ะสามารถแปะลวดลาย ท่ีทาสาเนาเอาไว้ลงไปได้ เนอื่ งจาก ชิน้ งานมีรปู ทรงลักษณะ เป็นทรงโคง้ ไดแ้ ก่ บวั กลุม่ บนปลียอด ดังนัน้ จงึ จาเป็นต้องรา่ งแบบลงบนเนื้อไมท้ ตี่ ้องการแกะสลกั เอาไวเ้ ลย เริ่มตน้ ดว้ ยการขีดเส้นแบง่ ลายออกเปน็ ส่วน ต่างๆ ด้วยดินสอ และลงรายละเอยี ดลวกลายด้วยปากกาก่อนจะเริม่ กระบวนการแกะเปน็ ข้ันตอนตอ่ ไป
๙๕ ๓. การโกลนหุน่ การโกลนหุน่ คอื การตัดทอนเนอื้ ไม้ดว้ ยเคร่อื งมือชา่ งไมบ้ า้ ง เครือ่ งมอื ชา่ งแกะสลกั บ้าง แกะ เนอื้ ไม้เอาสว่ นทไี่ มต่ อ้ งการออก ให้ไม้มรี ปู รา่ งลกั ษณะใกล้เคียงกบั ต้นแบบ ในกระบวนการนีเ้ นอ่ื งจากชน้ิ งาน ท่ีจะแกะสลักมขี นาดเล็กจึงใช้เลอ่ื ยฉลุในการโกลนห่นุ ฉลุตามลวดลายรอบนอกของหนุ่ ฉลุเอาเนอ้ื ไมใ้ นสว่ น ทีไ่ ม่ตอ้ งการออกจากชิ้นงาน
๙๖ ๔. แกะสลกั ลวดลาย วธิ ีการแกะสลักไม้นนั้ ต้องใช้สวิ่ ทมี่ คี วามคมและมหี น้าของสิ่วแบบตา่ งๆ เป็นเครื่องมือในการ แกะสลัก เพือ่ ใหเ้ กดิ รูปแบบลวดลายตามทตี่ ้องการ โดยกระบวนการวธิ ีในการแกะสลักน้ัน ไม่ว่าจะเปน็ งาน แกะสลกั ลวดลายประกอบโครงสร้างแบบนูนตา่ แกะสลกั ลวดลายแบบลอยตวั หรอื แกะสลั กลวดลายแบบนูน สูง มกี ระบวนการหลากหลายข้ันตอน ดงั ตอ่ ไปน้ี การขดุ พืน้ คือ การตอกสิ่วเดินเส้น โดยใชส้ ิว่ ท่พี อดีกบั เสน้ รอบนอกของตัวลาย เพื่อเปน็ การคดั โคมของลวดลายส่วนใหญท่ ้ังหมดกอ่ นโดยใช้ค้อนไม้ตอก ซ่งึ เวลาตอกน้นั ตอ้ งควบคุมนา้ หนักไมใ่ หม้ าก เกินไป เพ่อื คมสิ่วจะได้จมลกึ ลงเนื้อไมใ้ นระยะท่ีเท่ากัน ซึ่งถา้ ตอกใหม้ นี า้ หนกั มากเกินไปหรอื ไม่สมา่ เสมอ อาจจะทาใหช้ ิ้นงานเกดิ ความเสยี หายได้ จากนนั้ จึงใชส้ ว่ิ หน้าตรงขุดพน้ื ที่ไมใ่ ชล่ วดลายออกให้หมด ในช้นั แรกของการขดุ พ้ืนต้องขุดต้ืนๆ กอ่ น ถ้าพน้ื ทีต่ อ้ งการยงั ไม่ ลกึ พอจงึ จะตอกซา้ และขุดต่อไปเพอ่ื ให้เกิดชอ่ งไฟท่ี โปรง่
๙๗ การแกะยกช้ัน เม่ือขน้ั ตอนขดุ พนื้ เสรจ็ แล้วจึงแกะเพื่อยกช้นั ลวดลายออกจากกัน เปน็ การ จัดตัวลายทซี่ ้อนช้นั กนั เพ่ือให้เหน็ โคมลายทช่ี ดั เจน ซึ่งกระบวนการข้ันตอนนเี้ ก่ียวเน่ืองกันในเชิงของการผกู ลาย เพ่อื จัดลาดบั ความสงู ตา่ ของแต่ละชน้ั ให้มรี ะยะ ๑ – ๒ – ๓ เน่ืองจากลวดลายสว่ นมากถูกแกะ เลอื น หายไปกบั ขน้ั ตอนการขุดพืน้ จึงต้องขดี เสน้ กาหนดแบ่งลวดลายอกี คร้งั ดว้ ยดนิ สอ กอ่ นแกะยกช้ัน
๙๘ การปาดหรือแกะแรลาย คอื การตงั้ ส่ิวให้เอียงไปขา้ งหนึง่ ฉากข้างหนึ่ง และปาดเน้อื ไม้ ออกจะเกิดความสูงตา่ ไมเ่ สมอกั นหรือมติ ขิ องตัวลาย เพ่อื ให้เกิดแสงเงาในตัวลายและมองเหน็ ไดช้ ัดเจนตาม รปู แบบทีต่ ้องการ ในขน้ั ตอนนีช้ ่างจาเปน็ ตอ้ งเขยี นรายละเอียดของลวดลายลงบนเนือ้ ไม้อีกเชน่ กันก่อนที่จะ ทาการปาดหรอื แกะแรลาย การปาดหรือแกะแรลาย เรมิ่ จากการตอกส่ิวเดนิ เส้นภายในสว่ นรายละเอยี ดของลวดลายแลว้ จงึ ใชส้ ิ่วเล็บมือในการปาดแกะแรลวดลายเก็บแต่งรายละเอียด ซงึ่ เวลาปาดหรือแกะแรตวั ลาย จาเปน็ ต้อง สงั เกตทางเนือ้ ไมห้ รือเสี้ยน เม่ือต้องใช้สิ่วในการปาดแกะแรตวั ลายตอ้ งปาดไปตามทางของเนือ้ ไม้ คือไมย่ อ้ น เสี้ยนไมห้ รือสวนทางเดนิ ของเนอ้ื ไม้ เพราะจะทาใหไ้ มน้ นั้ ฉกี หลดุ และบนิ่ ได้ง่าย
๙๙ การปาดลายสามารถทาได้ ๓ วิธี คอื ๑. ปาดแบบซอ้ นลาย ๒. ปาดแบบพนมสัน คือ พนมสนั ตรงกลาง ๓. ปาดแบบลบหลังลาย (ลบเมด็ แตง) เมอ่ื เสรจ็ สิ้นกระบวนการปาดหรือแกะแรลาย ก็เท่ากับว่าเสรจ็ สิ้นงานแกะสลักไม้ และใน ขนั้ ตอนสุดทา้ ยน้ีกเ็ หลือเพียงเกบ็ รายละเอยี ดของไม้ให้เรยี บร้อยพร้อมใช้งาน โดยตัดชน้ิ งานออกจากทอ่ นไม้ หรอื ตัดส่วนเกินของไมอ้ อก ขัดแต่งดว้ ยกระดาษทรายในส่วนท่ีสามารถขดั ได้
๑๐๐ การบารงุ รกั ษาเครื่องมอื ของช่างแกะสลกั สิ่ว นับวา่ เปน็ เคร่อื งมอื ที่สาคญั สาหรบั ชา่ งแกะสลักเปน็ อยา่ งยง่ิ ถ้าสิ่วทน่ี ามาใช้ในการ
๑๐๑ แกะสลกั นน้ั ไม่มคี วามคม ผลงานท่แี กะออกมานนั้ ความงามกจ็ ะด้อยลง เพราะความคมของส่ิวท่นี ามาแกะ และปาดลงบนเน้ือไม้จะทาให้ลวดลายสวยงามคมชดั และมีความเดด็ ขาดอยู่ในตวั ท้งั นก้ี ็เพ ราะฝีมือชา่ ง ประกอบกับการมีเครื่องมอื ที่ดี และร้จู กั ใชใ้ หเ้ ปน็ จงึ จะเป็นส่ิงที่ช่วยใหผ้ ลงานออกมาดยี งิ่ ข้ึน ฉะน้นั ชา่ งจึง จาเปน็ ที่จะตอ้ งรู้จักวธิ กี ารลบั ส่ิวที่จะนามาใชเ้ ปน็ เครอื่ งมือในการแกะสลกั ไม้นน้ั ใหม้ คี วามคมอยเู่ สมอ การลบั สว่ิ เครือ่ งมือของช่างแกะสลัก ๑. เริม่ ข้ันตอนการลบั ส่วิ ดว้ ยหินหยาบ คือ หนิ ทมี่ ีความละเอียดของเนือ้ หินทค่ี อ่ นข้างหยาบ เบอร์ของเนื้อหนิ ๑๐๐ – ๒๐๐ กรทิ หนิ หยาบท่ีใชล้ ับสิว่ ในขนั้ ตอนนี้ ได้แก่ หินวิทยาศาสตร์ หรือ หนิ สังเคราะห์ หรือภาษาชา่ งเรยี กวา่ หนิ กากเพชร ๒. จากนนั้ ข้นั ตอนตอ่ ไปนามาลบั กบั หินธรรมชาติ คือ หินภเู ขาจะมีสขี าวอมเหลือง เนื้อหินชนดิ นี้ ละเอยี ดปานกลาง ๓๕๐ กริท การลบั กบั หนิ ธรรมชาติน้ีจะมขี นั้ ตอนการลับของสวิ่ หน้าต่างๆ แตกต่างกัน - สวิ่ เลบ็ มือ : เปน็ สิว่ ทีม่ ีหนา้ สวิ่ ลกั ษณะโค้งคลา้ ยเลบ็ มือ การลบั สว่ิ ชนดิ นกี้ บั หินธรรมชาติ จะตอ้ งลบั ใหเ้ ข้าคมของสว่ิ คอื จะตอ้ งทาร่องใหม้ ีความโคง้ พอดกี ับคมนอกของสิ่ว และสว่ นคมในสว่ิ จะตอ้ งถู กบั สันหินซึ่งจะตอ้ งมีขอบโค้งมนอยแู่ ลว้ การลับต้องลับจนกวา่ แนวของคมเรยี บเสมอกนั และตง้ั ฉากกับใบสิ่ว แนวเฉยี งของคมจะพอดีตามลกั ษณะ มุมของคมได้ฉากไมม่ ีรอยมน (ภาพที่ )
๑๐๒ - ส่วิ หนา้ ตรง : ลักษณะของคมส่วิ จะตรงการลับจะต้องจบั สวิ่ แนบลงกบั หนิ ลับให้ตรงตามคม ของสว่ิ และตอ้ งหาพืน้ ท่ีของหนิ ท่ีมีระนาบตรงไม่โค้งหรือเป็นรอ่ งในการลบั สว่ิ หน้าตรง ลบั สลบั ไปมาระหวา่ ง ด้านหน้าและดา้ นหลงั ของส่วิ - สิว่ ปากเสย้ี ว : ลักษณะของคมส่วิ จะเป็นหน้าตรงแตป่ ลายด้านหนึง่ เฉียงลง ลกั ษณะเป็นรูป ชายธง การลบั สิ่วประเภทนจ้ี ะเหมอื นกับการลบั ส่ิวหนา้ ตรงแตแ่ ตกตา่ งกนั ตรงการจบั สิว่ เวลาลับ ตอ้ งจับสว่ิ ให้มีลกั ษณะเฉยี งตามคมของสิว่ ลับสลบั ไปมาดา้ นหน้าและด้านหลงั ส่ิว
๑๐๓ - สิ่วตวั วี : ลกั ษณะคมส่วิ จะเป็นรปู ตัววี ( V ) การลบั สิ่วรปู ตัววีจะคลา้ ยกบั การลบั สว่ิ หน้า ตรง เนอ่ื งจากคมตัววกี ็คือการเอาหนา้ ตรง ๒ ชน้ิ มาทามุมใหเ้ ป็นตวั วี ฉะน้นั ในการลับสิว่ ตัววีนี้จะตอ้ งลับทลี ะ ฝงั่ ของส่ิวลับสลับไปสลับมาทงั้ สองดา้ น ๓. ขนั้ ตอนสดุ ท้ายคอื การลบั กับหินชนดิ ละเอียด สเี ขียวอมเทา หรือ หนิ มดี โกน เปน็ การลับ เพอื่ เก็บความคมของส่วิ ให้เรยี บกวา่ เดมิ จากนนั้ ต้องเช็ดส่วิ ด้วยผ้าจนแหง้ สนิท ไม่ควรปล่อยให้ส่วิ มีความชื้น กอ่ นจะเกบ็ เพราะจะทาใหส้ ว่ิ ขึ้นสนิทได้งา่ ย
๑๑๐ บทท่ี ๔ การเพลาะและเขา้ ปากไม้ ๑. การเพลาะไม้ การนาไมม้ าไสแต่งดา้ นขา้ งหรือด้านความหนาของไม้ให้เปน็ เส้นตรง โดยใชไ้ มต้ ้งั แต่ ๒ แผน่ ขึ้นไป มาวางชดิ อัดใหแ้ นวตอ่ สนทิ กนั เพ่อื ใหเ้ กดิ ความกวา้ วข้นึ กว่าเดิม จะใช้ในกรณีทีไ่ มต่ ้องการใชไ้ มห้ น้า กว้าง หรือไมม่ ไี ม้ท่ีมคี วามกว้างตามทตี่ อ้ งการใช้ จงึ จาเปน็ ต้องนาแผ่นไมม้ าเพลาะตอ่ เสรมิ ให้ได้ความกวา้ ง ตามทต่ี อ้ งการ ซง่ึ มีวธิ ีเพลาะในลกั ษณะตา่ งๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี ๑.๑ การเพลาะโดยใชต้ ะปธู รรมดาเปน็ เขี้ยวหรอื เดอื ย : นาไมอ้ ย่างน้อย ๒ แผ่นมาไส แตง่ แนวให้ตรงได้ระดบั แล้ วนามาวางเรียงตอ่ ใหแ้ นวไมช้ ิดกนั โดยมตี ะปทู ี่ใช้สาหรับตอกไม้เป็นเขย้ี วหรอื เดือย ใชก้ าวทาระหวา่ งแนวไมแ้ ล้วอดั ชดิ กนั โดยใช้แมแ่ รงอัดไม้เป็นเครือ่ งมือ ๑.๒ การเพลาะโดยใช้ตะปเู กลียวเป็นตัวยึด : เป็นการเพลาะไมท้ นี่ ยิ มกนั มากเพราะจะทา ใหไ้ มท้ ีจ่ ะเพลาะเขา้ ด้วยกนั มีความมั่นคง โดยเฉพาะโอกาสท่ีแนวไมจ้ ะแตกร้าวจากกันมนี ้อย เป็นวิธีการท่ี แตกต่างจากการเพลาะไมโ้ ดยวธิ ใี ชต้ ะปธู รรมดาเปน็ เขยี้ วหรอื เดือย
๑๑๑ ๑.๓ การเพลาะโดยวิธีบังใบ : การเพลาะโดยเซาะริมเอาความหนาของไมท้ ้ัง ๒ แผน่ ออก สว่ นหนึ่ง แล้วนาส่วนที่เหลอื มาวางซ้อนทบั กัน การเพลาะไม้โดยวธิ บี งั ใบนี้ จะเร่ิมด้วยการนาไม้ ๒ แผ่นมา เพลาะกนั ให้สนทิ เชน่ เดยี วกับการเพลาะโดยใชต้ ะปูธรรมดาเป็นเดือย หรอื การใช้ตะปเู กลียว แล้วจงึ นาไม้ที่ เพลาะสนทิ กันแล้วนั้น มาเซาะความหนาของไม้ทงั้ ๒ แผน่ ออก ถา้ ต้องการให้แผน่ ไมเ้ รยี บหรอื เสมอกันท้ัง ๒ แผ่น กจ็ ะตอ้ งเซาะออกแผน่ ละครึง่ หนึ่งของความหนา แล้วนาส่วนที่เหลอื มาวางซ้อนทับกนั ไม้สว่ นทีเ่ หลือ จากการเซาะออกไปนน้ั จะยน่ื จากริมไมบ้ งั ใบเทา่ กบั คร่งึ หน่ึงของความหนาของแผ่นไม้ ทง้ั น้ี ถ้าลกั ษณะของ ชน้ิ งานบังคับหรือมีความจาเปน็ สว่ นทย่ี ่ืนดังกลา่ วนีอ้ าจเปลยี่ นแปลงไดต้ ามความเหมาะสม แตต่ ้องไม่ขาด ความแข็งแรง
๑๑๒ ๑.๔ การเพลาะโดยวธิ เี ขา้ ลิ้น : การไสเซาะให้รมิ เปน็ แผน่ หนึ่งมลี กั ษณะเป็นเดือยหรอื ลิ้น และอกี แผ่นหน่งึ เป็นรอ่ งราง สาหรบั สอดส่วนทเี่ ปน็ เดือยเข้าไปยึดเหนยี่ วต่อกัน ๑.๕ การเพลาะโดยวธิ ีสอดล้ิน : นาไมท้ ไ่ี สเพลาะแตง่ แนวสนิทกนั ดีแลว้ มารางรอ่ งกง่ึ กลาง ความหนาของแนวไม้ท้งั ๒ แผน่ ออก แล้วใช้ไมอ้ ีกชน้ิ หน่งึ ทม่ี ีความหนาเทา่ กับความกว้าง และความลึกของ ร่องไมท้ ั้ง ๒ แผ่นรวมกัน มาสอดแทรกในรอ่ งไมท้ ั้ง ๒ แผน่ ไม้ทส่ี รา้ งขนึ้ ใหมน่ ้ีได้แก่ ไม้ลน้ิ สาหรับทาหน้าท่ี เปน็ แกนหรือลิน้ ยึดในรอ่ งรางตลอดความยาวของแนวไมท้ ่ีจะเพลาะติดกัน โดยมกี าวเป็นตวั ประสานและไมท้ ้งั ๒ แผน่ จะยึดกนั อยไู่ ด้ต้องมีคร่าวหรอื ไมว้ างขวางแผ่นไม้ แล้วใช้ ตะปูธรรมดาหรือตะปูเกลยี วเปน็ ตัวยึด เช่นเดียวกบั การเพลาะไม้โดยวิธบี ังใบหรอื การเพลาะไม้โดยวธิ ีเขา้ ล้ิน
๑๑๓ ๑.๖ การต่อไมแ้ บบปากกบสลับขา้ ง หรอื กลีบมะเฟอื ง : การต่อไมใ้ นลกั ษณะน้จี ะชว่ ย เรือ่ งการรับนา้ หนักจากแรงกดทับไดแ้ ข็งแรงตามแนวดง่ิ มแี รงต้านในการบดิ ตัว
๑๑๔ การเพลาะไมท้ ุกวิธที ีก่ ล่าวมาทั้งหมดน้นั ยังสามารถแยกการเพลาะไมอ้ อกไปตามลกั ษณะ ของช้นิ งานได้อีก ดงั น้ี ๑.๗ การเพลาะเปดิ หัวไม้ ๑.๘ การเพลาะไม้ โดยมีไมส้ กัดหวั ๑.๙ การเพลาะไมเ้ ข้ากรอบ
๑๑๕ ๒. การเข้าปากไม้ เป็นการเขา้ ไมอ้ กี ลกั ษณะหนง่ึ ท่มี ลี กั ษณะและวธิ ีการตา่ งจากการเพลาะไม้ การเพลาะไมเ้ ป็น การเข้าไม้ซงึ่ มจี ุดประสงคเ์ พอื่ เพิม่ ความกวา้ งของเนื้อไม้ในการใช้งาน โดยการนาแผน่ ไมม้ าเสริมและวางเรยี ง กนั ใหเ้ กดิ ความกวา้ ง มวี สั ดุ - อปุ กรณ์สาหรับยดึ ไมท้ นี่ ามาเพลาะกนั น้ันให้ยึดเหนี่ยวเป็นชน้ิ เดยี วกัน ๒.๑ การเข้าปากชน การแตง่ ปลายไมช้ ิ้นหนง่ึ ซง่ึ เรียกว่า “ ปากไม้ ” เขา้ ชนชิดกบั ริมหรือขา้ งไมอ้ กี ช้ิน หนึง่ และใหไ้ ด้ลักษณะตามทต่ี อ้ งการหรอื ตามท่ีกาหนดไว้ในแบบ แล้วยึดเหนย่ี วดว้ ยตะปหู รือ วสั ดุอ่นื ท่ี เหมาะสม การเขา้ ปากชนน้ีจะทาใหเ้ กดิ มมุ ต่อกนั ๒.๑.๑ การเขา้ ปากชนมุม ๙๐ องศา : การนาไม้ ๒ ชิ้นมาชนชิดตดิ กัน โดยใช้ด้านปลาย ไม้ชิ้นหน่ึงเขา้ ชนกบั ดา้ นขา้ งดา้ นใดด้านหนง่ึ ของไม้อีกช้นิ หนง่ึ ทาให้เกดิ มุม ๙๐ องศา หรือมมุ ฉาก มุม ดังกล่าวนจ้ี ะเกดิ ได้กับการตัดปากไม้ ๒.๑.๒ การเข้าปากชนมุม ๙๐ องศา โดยตัดปาก ๔๕ องศา : การเขา้ ปากไม้มุมฉาก นอกจากจะตดั ไมเ้ ป็นเสน้ ตรง (มมุ ฉากแลว้ ) ยังใชว้ ธิ ีตัดปากไม้ให้เปน็ มุม ๔๕ องศาแลว้ นามาชนชิดตดิ กัน โดยตัดปลายไมท้ ง้ั ๒ ช้นิ ทาใหแ้ นวปากไม้เปลี่ยน ตาแหนง่ เป็นเสน้ ทแยงหรอื มมุ เฉียงแทนการเขา้ ชนกัน
๑๑๖ โดยการนาไมต้ ัวขวางเข้าชนกบั ขา้ งไมต้ วั ต้ังหรอื ตวั ยืนเปน็ ลักษณะของการเข้าปากไมท้ ม่ี ีความประณตี เพ่ิมขนึ้ คุณภาพของชิน้ งานเพ่ิมความเรียบร้อย คอื จะไม่เหน็ หน้าตัดของปลายไม้ทั้ง ๒ ชิน้ ทีม่ มุ ประกอบชน้ิ งาน ๒.๑.๓ การเขา้ ปากชนท่ตี า่ งจากมมุ ๙๐ องศา หรือมมุ เฉ : การนาไม้ ๒ ชน้ิ มา ประกอบกนั ให้เกิดมุมข้นึ จะเปน็ มุมกี่องศาก็ได้ นอกจากการเขา้ แลว้ เกิดเปน็ มมุ ฉากดังกลา่ วมาแลว้ การยึด เหนยี่ วหรอื ทรงตัวอยไู่ ด้ตอ้ งอาศยั ตะปู หรอื วตั ถุยดึ เหนย่ี วชนิดอน่ื เช่น เกลียวหรอื สลกั การเข้าปากชนมุมเฉ เปน็ การเข้าปากไมท้ ่ีสรา้ งรปู แบบของงานในลกั ษณะหนง่ึ ซ่งึ เป็นวธิ กี าร ผลิตช้นิ งานโดยเฉพาะในงานประเภทงานเคร่อื งไม้ ข้ันตอนในการผลติ ชน้ิ งานการเข้าปากชนมมุ เฉนี้ ปฏิบัติ เชน่ เดียวกบั การเข้าปากชนมุม ๙๐ องศา หรอื มุมฉาก สว่ นทตี่ า่ งกันคอื ปากไมน้ จี้ ะเขา้ ชนกบั ไมอ้ กี ชน้ิ หนึ่ง แทนทจี่ ะเป็นมมุ ฉากจะเปน็ มมุ ทอี่ งศาตา่ งไป การยึดตรึงไมท้ ี่ ประกอบกันให้แนน่ ม่ันคง นอกจากต้องอาศัย วัตถยุ ดึ ตรึงที่ใชก้ นั โดยทว่ั ไปตามความเหมาะสม เชน่ ตะปธู รรมดา ตะปูเกลยี ว หรอื สลกั ไมแ้ ลว้ การ ปรบั ปรงุ ปากไม้สว่ นทชี่ นตดิ กนั ใหเ้ หมาะสมกับลักษณะของงาน ก็จะเปน็ สว่ นเสรมิ สรา้ งใหเ้ กิดความแข็งแรง มนั่ คงข้นึ ได้
๑๑๗ ๒.๒ การเขา้ บาก เปน็ วธิ กี ารเขา้ ปากไม้มีอกี ลักษณะหน่งึ ท่ใี ชใ้ นงานเคร่ืองไม้ ไดแ้ ก่ การนาไมอ้ ยา่ ง น้อย ๒ ช้นิ เขา้ เชือ่ มตดิ กัน โดยบากไมช้ ้นิ ใดช้ินหน่งึ หรือทงั้ ๒ ช้นิ ออกบางสว่ นนาส่วนท่เี หลอื เข้าชนหรือ ซอ้ นทับกันแล้วยดึ ตรึงดว้ ยตะปูหรอื สลักอย่างใดอยา่ งหนึ่ง โดยใช้กาวเปน็ ตัวเช่ือม เพื่อให้ปากไม้ท่ีประกอบ เข้าดว้ ยกันนนั้ มีความแข็งแรงในการใช้งาน ๒.๒.๑ การเขา้ บากปากไมซ้ ้อนทับกัน (มุมเดียว) : เป็นการเขา้ บากโดยวิธีบากส่วนที่ ซ้อนทบั กันออกชิน้ ละครงึ่ ของความหนา แล้วนาสว่ นทเี่ หลอื เท่ากนั น้นั มาวางซอ้ นแล้วยึดเหน่ยี วดว้ ยตะปู เกลียว หรอื สลกั การบากไม้ส่วนหน่ึงคือครึ่งของความหนาท้ิง เพ่อื ต้องการใหไ้ มส้ ่วนท่ีซ้อนทับกนั นั้นเรยี บ ระดบั ผิวไม้เสมอหรือเทา่ กันทาใหเ้ กิดความประณตี และปากไม้ ของแตล่ ะชน้ิ จะเป็นสว่ นบงั คบั ให้ไมท้ ้ัง ๒ ชิ้น ไมใ่ หโ้ ยกคลอนได้สว่ นหนึ่งดว้ ย ๒.๒.๒ การเข้าบากปากชนบงั ใบหรอื เข้าบ่า : การเข้าปากไม้ชนิดเข้าชนและมีบ่ารับ เปน็ การเขา้ ปากไม้โดยไมช้ ิน้ หนง่ึ ที่จะถกู บากสว่ นหน่งึ ทปี่ ลายไม้ ส่วนท่ีจะประกอบกันออกเสียสว่ นหนง่ึ แล้วนา ปลายของไมอ้ กี ช้ินหนึ่งเข้าชนกบั ขา้ งไมส้ ่วนท่ีเหลือจากการบากท้งิ ด้านในหรือดา้ นล่างของไมท้ เ่ี ขา้ ชนจะวาง แนบอยู่บนปากไม้ของไมช้ ิ้นทถ่ี กู เล่อื ยหรอื บากออกไป การเข้าไม้วธิ ีน้ี ทาให้มคี วามมั่นคงแข็งแรงกวา่ การนา ไม้เขา้ ชนโดยไม่ไดบ้ าก เพราะทาใหย้ ึดเหนีย่ วสะดวกข้ึน
๑๑๘ ๒.๒.๓ การเขา้ บากปากกากบาท : เป็นการเข้าปากไมท้ ม่ี ไี ม้ ๒ ช้นิ วางพาดผา่ นกัน โดย สว่ นทีพ่ าดผา่ นกันนน้ั ไมใ่ ช่ปลายสุดของไม้ ซง่ึ ส่วนทพี่ าดผา่ นกันน้นั จะต้องบากออกชิน้ ละครึง่ ของความหนา หรือความกวา้ งของไม้ท้งั ๒ ชิน้ ซ่งึ มลี ักษณะตามทีแ่ สดงไว้ในภาพ
๑๑๙ ๒.๒.๔ การเข้าบากปากชนปาก ๔๕ องศา หรอื ปากกบ : การนาไม้ ๒ ชน้ิ มาประกอบ กันทาใหเ้ กดิ มมุ ฉาก การยึดเหน่ยี วระหวา่ งไม้ทัง้ ๒ ชิ้นนี้ ใช้วธิ ีบากไม้บางส่วนของความหนา และตดั ปากไม้ ทง้ั ๒ ช้นิ เปน็ มมุ ๔๕ องศา แล้วนามาประกบกันแทนการตดั ปากไม้เปน็ มุมฉากหรือมมุ ๔๕ องศาแล้ว นามาชนตามวธิ กี ารเข้าปากชนดังกลา่ วขา้ งต้น
๑๒๐ ๒.๒.๕ การเข้าบากปากบงั ใบและเขา้ ปากกบ (มมุ เดยี ว) : เปน็ การนาเอาวธิ บี ากปากชน มารวมกับการเข้าปากกบหรอื ปาก ๔๕ องศา มาใช้ในจุดเดียวกัน มคี วามประสงค์เพอ่ื ต้องการใหเ้ กดิ ความ แขง็ แรงและมคี วามประณตี เพม่ิ ข้นึ การบาก ผ่า หรอื ตดั ปากไมท้ งั้ ๒ ชิ้น หนา้ ไมจ้ ะตอ้ งไดร้ ะดบั และประกบ กนั สนิท มฉิ ะน้ันจะทาให้การยดึ เหน่ยี วกนั ไม่แขง็ แรงและทาให้รอยตอ่ ไม่เรียบร้อยอีกดว้ ย ๒.๒.๖ การเข้าบากปากชนมุมเฉ ๔๕ องศา (มุมเดียว) : เป็นวิธกี ารเข้าปากไม้โดยไมช้ ้ิน ทว่ี างเฉรับน้าหนกั กด ซงึ่ ปากไม้มีบา่ รบั จะทาหนา้ ท่ียนั ไมใ่ หไ้ มช้ นิ้ ท่ีเข้าชนลืน่ ไถลหรอื เคล่อื นตัวไปจาก ตาแหน่งทก่ี าหนดไว้ สาหรบั วิธกี ารและข้นั ตอนในการปฏิบตั ิเชน่ เดยี วกบั การเขา้ ปากไม้วิธีต่างๆ ดังกลา่ วแล้ว ข้างต้น
๑๒๑ ๒.๒.๗ การเขา้ บากปากทาบ (หรือซ้อนทับกัน) มุมเฉ ๔๕ องศา : การเข้าปากไมโ้ ดยไม้ ๒ ช้นิ ประกอบกันแลว้ มมุ ของไมต้ า่ งไปจากมมุ ๙๐ องศาหรือมมุ ฉาก วธิ กี ารประกอบปฏิบัติเช่นเดยี วกบั การเขา้ บากปาก ๙๐ องศา หรือปากมมุ ฉากจะตา่ งกนั เฉพาะลกั ษณะของไมท้ ่ีทามุมเฉยี งหรือมมุ เฉไปจาก มุมฉากเท่านัน้ การเข้าบากปากทาบ (ซ้อนทบั กนั ) มมุ เฉ ๔๕ องศา หมายถงึ ไม้ชิ้นท่ปี ลายไม้เข้าประกอบ กับข้างไม้อกี ช้นิ หนงึ่ มมุ ๔๕ องศา ซ่ึงความจรงิ แล้วจะเข้ามมุ ก่ีองศากไ็ ด้ การกาหนดเอามุม ๔๕ องศามา เปน็ ตัวอย่าง เพอ่ื สะดวกตอ่ การปฏิบตั แิ ละเพ่อื ความเขา้ ใจง่ายขึ้นเทา่ น้นั ๒.๒.๘ การเขา้ บากรปู หางเหยี่ยว : การเข้าปากไม้ ๒ ชน้ิ ประกอบกัน มุมทเ่ี ก่ียวกบั ของ บากไม่เหมอื นบากไม้ทีก่ ลา่ วถึงมาข้างตน้ จะลักษณะจะลาดเอยี งของปากบากไม้แต่ละชน้ิ มมุ ท่ลี าดเอยี งนี้ เองจะชว่ ยยดึ เหน่ยี วแรงดึงของช้ินงาน ในลักษณะรปู แบบซ่งึ ดคู ล้ายหางเหยย่ี วเก่ียวกันของไม้ ๒ ช้ิน
๑๒๒ ๒.๒.๙ การเข้าบากมขี อเก่ยี ว : เป็นการเขา้ ปากไม้ ๒ ชิ้นที่คล้ายกบั การบากปากชน แตม่ ี ขอ้ แตกต่างตรงปลายของช้นิ ไม้มสี ว่ นย่นื ลงมาเกย่ี วปลายไม้อกี ชน้ิ ทีเ่ ซาะเป็นร่องรับไว้ ๒.๒.๑๐ การเข้าบากปากฉลามมขี อเกี่ยว : เปน็ การเข้าไม้อกี ลกั ษณะหนงึ่ ซึ่งรวมเอาบาก ขอเก่ียวกบั บากปากฉลามไว้ในอนั เดยี ว
๑๒๓ ๒.๓ การเขา้ เดือย เปน็ วธิ กี ารเขา้ บากไมใ้ นอกี ลกั ษณะหนง่ึ ซงึ่ เป็นการนาไม้ ๒ ช้ินเขา้ ประกอบกันโดยใหไ้ ม้ช้ิน หนงึ่ ถกู เจาะเป็นรูด้วยส่วิ หรอื ดอกสวา่ น และที่ปลายไม้อีกชน้ิ หน่ึงถูกผา่ และบากไม้ส่วนหนึ่งออกใหเ้ หลอื เปน็ เดอื ย ใชส้ ่วนที่เป็นเดอื ยสอดเขา้ ในรู โดยใหเ้ ดอื ยมขี นาดเดียวกบั รูทีเ่ จาะไว้ และที่สาคญั คือ ทงั้ เดอื ยและรู ตอ้ งไมห่ ลวม ต้องคบั ยึดกนั แนน่ เม่อื อัดเดือยเขา้ ในรแู ล้วใชต้ ะปูหรือสลกั ยดึ เดือยใหไ้ ม้ทงั้ ๒ ชิน้ ประกอบเขา้ ด้วยกนั ๒.๓.๑ การเข้าเดือยปากชน : การเขา้ ไมโ้ ดยเจาะรไู มช้ นิ้ หนง่ึ และผ่าบากปลายไมอ้ กี ชิ้นหน่ึง เว้นสว่ นหนงึ่ ย่ืนเลยสว่ นท่บี ากไดแ้ ก่ บา่ หรือปากไม้ ใชส้ ว่ นที่ย่นื หรือเดือยสอดเข้าไปในร่องหรือรูท่เี จาะไว้ โดยท่ที ัง้ รอ่ งและเดอื ยจะต้องอดั แนน่ ตอ่ กัน
๑๒๔ ๒.๓.๒ การเข้าเดือยปาก ๔๕ องศา (หรอื เข้าเดือยปากกบ) : เป็นการเข้าปากไมโ้ ดยท่ี ต้องการใหป้ ลายไมช้ นชดิ กัน ไม่ตอ้ งการใหเ้ ห็นแนวต่อ หรอื แนวปากไม้ปรากฏอยู่ท่ีข้างหรอื แนวไม้อีกชน้ิ หน่งึ การเข้าปากไมโ้ ดยตดั ปากไม้เป็นมมุ ๔๕ องศา ทาใหร้ อยต่อของปากไม้ทงั้ ๒ ชิ้น เปน็ มุมเฉียง ๔๕ องศา อยู่ที่ปลายไม้ทั้ง ๒ ด้าน การเข้าปากไม้โดยมีเดื อยยดึ อยภู่ ายใน จะทาใหก้ ารยึดเหนีย่ วตอ่ กันของไมท้ ัง้ ๒ ช้ินมคี วามแข็งแรงมั่นคงกวา่ การเข้าบากปาก ๔๕ องศา ซึ่งเปน็ การเข้าชนไมม่ ีเดอื ย ๒.๓.๓ การเขา้ เดอื ยหางเหยยี่ วเดือยเด่ยี ว : เปน็ การเข้าปากไมโ้ ดยกาหนดใหไ้ มช้ ิ้นหน่ึงทา หน้าทเี่ ป็นพนังเพ่อื ยึดเหนีย่ วชิ้นงาน ๒ ชิน้ เขา้ ดว้ ยกัน โดยปลายของไม้พนงั ท้งั ๒ ข้างจะบาก ผา่ เดอื ยเป็น รูปหางเหย่ยี ว เกาะยดึ กบั ร่อง ซ่งึ มีลกั ษณะเดยี วกบั ทผี่ ่าบากไวท้ ่ไี ม้ชน้ิ งานทั้ง ๒ ช้นิ เช่น การยดึ ขาตู้ หรือ
๑๒๕ ขาโต๊ะ ของพนงั ตวั บนและตัวลา่ ง ลักษณะของเดอื ยหางเหยย่ี วจะเป็นเดือยเดีย่ ว ผ่า บาก และฝงั ยึดอยกู่ ับ ไมส้ ว่ นบนและล่างสดุ ของชิน้ งาน จุดประสงคข์ องการเข้าเดอื ยหางเหยย่ี ว เพอื่ ตอ้ งการให้ไม้พนังทาหนา้ ทร่ี บั กาลงั หรือแรงดงึ ซงึ่ เป็นลกั ษณะของการเขา้ ปากไม้ ที่จะทาให้การยึดเหนี่ยวของชนิ้ งาน ม่ันคงกวา่ การเขา้ ปากไมโ้ ดยวธิ ีอื่น และการเข้าเดือยหางเหย่ียวต่างจากการเขา้ เดือยโดยทวั่ ไป เน่ืองจากการเข้าเดอื ยหางเหย่ยี วต้องใชว้ ิธีวาง สวมหรอื ทาบจากดา้ นบนหรือด้านลา่ งของร่องท่ีผา่ บากไว้ ไมส่ ามารถใชว้ ธิ สี อดเข้าทางข้างของปากร่องหรอื รู ที่สร้างไวไ้ ด้ เน่ืองจากปลายเดือยแผ่กวา้ งกว่าบริเวณส่วนในหรือโคนเดอื ย
๑๒๖ ๒.๓.๔ การเขา้ เดอื ยหางเหยยี่ วเดอื ยแถว หรอื เดอื ยหางเหย่ยี วประสาน : นอกจากจะ ใชส้ าหรับการเข้าปากไม้เพ่อื ยดึ เหนย่ี วโครงสรา้ งของช้นิ งานให้ประกอบเป็นช้ินเดียวกนั แลว้ ในการประกอบ มุมของชน้ิ งานประเภทกลอ่ ง หีบซ่ึงเปน็ ชนิ้ งานทใ่ี ช้ไม้แผ่น การใชเ้ ดือยหางเหยี่ยวเปน็ วธิ ีการผลิตชนิ้ งานท่ี นิยมใช้กนั และเปน็ การเพม่ิ คณุ ค่าของชิ้นงานให้มคี ่าสูงขึ้น ทัง้ น้ี เพราะการเข้าเดือยหางเหยี่ยวเป็นวิธที ท่ี าได้ ยาก ผูผ้ ลติ ตอ้ งมีความชานาญและมคี วามประณตี จงึ จะทาใหก้ ารบากไม้สนทิ เรียบรอ้ ย
๑๒๗ ๒.๓.๕ การเข้าเดอื ยปากกรวิ : เปน็ การเขา้ ปากไม้สาหรับใชใ้ นงานทีม่ ีลกั ษณะเป็นกรอบ บานภายในบรรจุแผ่นไม้หรือกระจก เชน่ บานตู้ หรือขา้ งตทู้ ีม่ ีลูกฟัก(แผ่นไมห้ รอื แผ่นวตั ถอุ ่ืนท่ีบรรจุไวภ้ ายใน กรอบ) การเขา้ เดอื ยปากกรวิ เปน็ การตดั ปากไม้ส่วนหนึ่ง เป็นมมุ ๔๕ องศา ปากไมจ้ ะประกอบกนั ระหวา่ ง ไม้ ๒ ช้ิน คือ ช้นิ ตัง้ และช้นิ นอน หรือไมต้ วั ขวางอีก ๑ ชิน้ สว่ นที่เปน็ มมุ ๔๕ องศา หรือมุมปากกรวิ นีจ้ ะ ถูกเซาะรอ่ งเป็นรางเพ่อื ใช้สาหรบั สอดริมแผ่นไม้ “ ลูกฟัก ” หรือแผน่ กระจก และทแ่ี นวไม้ปากกรวิ จะใชก้ บบวั ลอกบวั หรอื ทาเปน็ ค้ิวในตวั ไม้กรอบ
บรรณานุกรม กรมศลิ ปากร. ทวารบาล ผรู้ กั ษาศาสนสถาน. กรมศิลปากรจัดพมิ พ์เน่ืองในวโรกาสสมเดจ็ พระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี เสด็จพระราชดาเนนิ ทรงเปดิ นทิ รรศการพิเศษเนือ่ งในวนั อนุรักษ์ มรดกไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๖ ณ พิพิธภณั ฑสถานแห่งชาติ พระนคร. ๒๕๔๖. กรมศลิ ปากร. “ไมแ้ กะสลักในศิลปะไทย,” ประณีตศิลป์ไทย. จดั พิมพเ์ นื่องในมหามงคลเฉลมิ พระเกยี รติ ๑๐๐ ปี วนั พระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจ้าอยหู่ วั ๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๖. เฉลยี ว ปยิ ะชน. เรอื นกาแล. (ไม่ระบแุ หล่งที่พิมพ์). ๒๕๓๒. เดน่ ดาว ศิลปานนท์. “ประวตั ิพระทนี่ ัง่ บุษบกเกริน พระราชวังบวรสถานมงคล”, พระที่นงั่ บุษบกเกริน พระราชวังบวรสถานมงคล. กรมศลิ ปากรจัดพมิ พ์ เน่ืองในโครงการบรู ณปฏิสงั ขรณพ์ ระทีน่ งั่ บษุ บก เกรนิ ภายในพระที่นงั่ อิศราวนิ ิจฉยั พิพธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๔๔ – ๒๕๔๕. น. ณ ปากน้า. งานจาหลกั ไม้ ศิลปะและสถาปตั ยกรรมไทย. กรุงเทพฯ : เมอื งโบราณ, ๒๕๓๗. พระยาประชากจิ กรจักร (แชม่ บุนนาค), ผเู้ รยี บเรียง. พงศาวดารโยนก, พมิ พ์ครั้งท่ี ๖. กรุงเทพฯ : สานกั พมิ พ์ แพรพ่ ิทยา, ๒๕๑๕. เลิศพงศ์ ชีวพัฒนพันธ์ุ. เครอ่ื งไมท้ วั่ ไป. กรงุ เทพฯ : สานักพมิ พ์โอเดยี นสโตร์, ๒๕๔๐. วลั ลภ ไชยพรหม. เทคนิคในการแกะสลกั ไม้. พมิ พค์ รั้งท่ี ๒, กรงุ เทพฯ : สานกั พิมพ์ยูไนเตด็ ทบ์ ุ๊คส์, ๒๕๓๓. วจิ ิตร์ ไชยวชิ ิต. “ชา่ งแกะสลัก”, ชา่ งศลิ ป์ไทย. ๑๗๑. และ มรดกช่างศิลป์ไทย. โครงการสืบสานมรดก วฒั นธรรมไทย, องค์การคา้ ครุ ุสภา, ๒๕๔๒.
สนั ติ เล็กสุขุม. งานช่างหลวงแหง่ แผ่นดนิ ศลิ ปะอยธุ ยา. พิมพ์ครั้งท่ี ๓, กรุงเพฯ : เมืองโบราณ, ๒๕๕๐. สนั ติ เล็กสุขมุ . “ลายกรอบสามเหลย่ี มประกอบจากวงโค้ง : อทิ ธิพลศิลปะจีนในรัชกาลสมเด็จพระบรมไตร โลกนาถ,” ใน รวมบทความทางวิชาการ 72 พรรษาท่านอาจารย์ศาสตราจารย์ หมอ่ มเจ้าสุภัทรดิศ ดศิ กุล. กรงุ เทพฯ: พฆิ เณศ พรนิ้ ตง้ิ ค์ เซ็นเตอร์ จากัด, ๒๕๓๘. สนั ติ เล็กสขุ มุ . ศลิ ปะภาคเหนือ : หรภิ ญุ ชยั – ลา้ นนา. พมิ พค์ รัง้ ท่ี ๒. กรงุ เทพฯ : เมอื งโบราณ, ๒๕๔๙. สันติ เลก็ สุขุม. ศิลปะสโุ ขทัย. พมิ พ์ครัง้ ท่ี ๒. กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, ๒๕๔๙. สาคร คนั ธโชติ. การออกแบบผลติ ัณฑ์งานไม้. กรุงเทพฯ : สานกั พิมพโ์ อเดียนสโตร์, ๒๕๔๗. เสนอ นลิ เดช. “เรอื นไทยโบราณทางภาคเหนอื ,” ใน ศิลปะล้านนาไทย. (ท่ีระลกึ งานฌาปนกิจศพนายจารกึ พงศ์พพิ ัฒน์ นางทพิ ย์ พงศพ์ ิพัฒน์ วนั ที่ ๒๖ มนี าคม ๒๕๒๑). แสง มนวทิ รู , ผแู้ ปล. ชินกาลมาลปี กรณ์. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๐๑. สมชาย ณ นครพนม. “ไม้แกะสลักในศิลปะไทย”, ประณีตศลิ ป์ไทย. กรมศิลปากรจดั พิมพเ์ นอื่ งในมหามงคล เฉลมิ พระเกียรติ ๑๐๐ ปี วนั พระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยู่หัว ๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๖. สมเด็จพระเจา้ บรมวงศ์เธอ เจ้าฟา้ กรมพระยานรศิ รานวุ ัตวิ งศ์, และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา ดารงราชานภุ าพ. สาส์นสมเด็จ เล่ม ๖. โรงพมิ พค์ ุรสุ ภา, ๒๕๐๔.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141