Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore โครงการสร้างต้นแบบเพื่อจัดทำองค์ความรู้ ด้านงานช่างประดับมุก ผู้แต่ง : กรมศิลปากร จัดทำ E-BOOK : ห้องสมุดประชาชนจังหวัดชลบุรี

โครงการสร้างต้นแบบเพื่อจัดทำองค์ความรู้ ด้านงานช่างประดับมุก ผู้แต่ง : กรมศิลปากร จัดทำ E-BOOK : ห้องสมุดประชาชนจังหวัดชลบุรี

Published by 100bookchonlibrary, 2021-01-26 03:07:08

Description: 9dDQApTj0tAxaSSb1LTe63CfNjrteDuGE7sJOReD

Search

Read the Text Version

คานา งานช่างประดับมกุ เป็นงานศลิ ปกรรมท่มี ีคุณคา่ แสดงให้เหน็ เอกลักษณข์ องงานช่างประดับมุก ของไทย ซงึ่ บ่งบอกถงึ ภมู ปิ ญั ญาของครูชา่ งไทยโบราณที่คดิ ประดิษฐ์ สร้างสรรคผ์ ลงานชา่ งประดบั มุก และสืบทอดต่อเน่ืองมาจนถึงปจั จุบัน ซ่ึงแสดงให้เห็นถงึ กระบวนการสรา้ งงานประดบั มกุ เปน็ งานช่างที่ บง่ บอกถงึ เอกลกั ษณ์ และเป็นศลิ ปวัฒนธรรมอนั ทรงคณุ คา่ ควรธารงรกั ษาไวส้ ืบไป สานักชา่ งสิบหมูเ่ ปน็ หน่วยงานที่ มหี นา้ ท่ใี นการธารง รกั ษา และ สืบทอดงานศิลปกรรมไทยท่เี ปน็ เอกลกั ษณข์ องชาติ ทง้ั แบบประเพณี ร่วมสมยั และศลิ ปประยกุ ต์ ปฏิบตั งิ านด้านการออกแบบสร้างสรรค์ งานศิลปกรรมไทยทางคณะผูจ้ ัดทาเอกสารองค์ความรู้จงึ ได้รวบรวมข้อมลู ความรู้ในงานช่างประดบั มุกจาก ชา่ งผูป้ ฏบิ ัติงาน และช่างผ้มู ีประสบการณ์ และจัดทาเป็นเอกสารองค์ความรู้เร่อื งงานประดบั มุก ท้ังน้ีการ ไดม้ าซ่ึงเอกสารจากการรวบรวบเอกสาร การสัมภาษณ์ การศึกษาดูงาน และกิจกรรมการเสวนา รวมทง้ั ไดน้ าความรู้จากผู้มปี ระสบการณ์มาถา่ ยทอดความรู้ในด้านกระบวนการ เทคนิควิธีการ แก่บคุ ลากรใน สายวิชาชพี และบุคลากรภายในสานกั ชา่ งสบิ หมู่ เพอื่ เปน็ การ สานกั ชา่ งสิบหมู่ มแี ผนในการจดั ทาโครงการสร้างตน้ แบบเพอ่ื จดั ทาองคค์ วามรูด้ า้ นศลิ ปกรรม ในกระบวนงานศิลปกรรมหลายแขนง เน่ืองจากกระบวนการงานช่างบางประเภทมีบุคลากรในการ ปฏิบตั งิ าน ท่ีมคี วามเชย่ี วชาญงานในดา้ นศลิ ปกรรมในด้านนนั้ ๆ จานวนน้อย มีอายุมาก และไม่มี ประสบการณใ์ นการถา่ ยทอดเชงิ วิชาการ การถา่ ยทอดความรูด้ ้วยการลงมือปฏบิ ัติ ถ่ายทอดเทคนคิ แก่ บุคลากรในสายวชิ าชพี การสรา้ งต้นแบบเพอื่ จดั ทาองคค์ วามรดู้ ้านงานศลิ ปกรรมทาใหเ้ กดิ การแลกเปลี่ยน เรยี นรู้ วชิ าการ เทคนคิ วิธกี ารเชิงช่าง นาไปส่กู ารพัฒนา ต่อยอด สืบทอดงานชา่ งประดบั มกุ อย่าง ยงั่ ยนื ตอ่ ไปอยา่ งไรก็ตามการเอกสารจัดทาองค์ความรดู้ า้ นศิลปกรรม ฉบบั นี้ หากมขี อ้ บกพรอ่ งท่ีควร แกไ้ ข ขอให้ท่านผรู้ ู้ชว่ ยชแี้ จง เพ่ือจะไดน้ ามาปรับปรุง แกไ้ ขให้ดตี อ่ ไป ผูจ้ ัดทา หวงั เปน็ อยา่ งยิ่งวา่ เอกสารฉบบั นีจ้ ะไดร้ ับการเผยแพร่ และอานวยประโยชนแ์ กผ่ ้อู า่ นให้ ได้รบั ความรคู้ วามเขา้ ใจในเรอื่ งงานประดบั มุก และตระหนักถึงคณุ ค่าของงานช่างศิลปไ์ ทย ซง่ึ เป็นมรดก ทางศิลปวัฒนธรรมทีส่ าคญั ของชาติ ใหด้ ารงคงอยใู่ นสังคมไทยต่อไปอีกนานเทา่ นาน นางประภาพร ตราชชู าติ นกั วิชาการช่างศิลป์ ชานาญการ

บทนา ในการจัดทาเอกสารองค์ความรู้ ฉบบั น้เี ป็นผลสืบเนอ่ื งจากการจดั ทา เอกสารมาตรฐานงานดา้ น งานชา่ งประดบั มุก ในโครงการจัดทาคมู่ อื มาตรฐานงานศิลปกรรม ของสานกั ช่างสบิ หมู่ ประจาปี งบประมาณ ๒๕๕๓ โดยผู้จัดทาได้รวบรวมข้อมลู ความรู้ดา้ นงานช่างประดับมุก ซ่ึงเปน็ กระบวนการ ข้นั ตอนทม่ี คี วามยุ่งยาก ซับซ้อน ท้งั เป็นงานชา่ งทต่ี อ้ งใชค้ วามอดทนเปน็ อยา่ งสงู เพอ่ื ทจี่ ะไดม้ าซง่ึ งาน งานประดบั มกุ ท่สี วยงามสักชิ้นหนึ่ง จากการรวบรวมข้อมูลตา่ งๆเปน็ ข้อมูลที่มีคณุ คา่ จึงไดป้ ระมวลและ จดั ทาเปน็ เอกสารองค์ความรู้ โดยในเอกสารฉบับนจี้ ะนาเสนอ บทท่ี ๑ เรอื่ งประวัตคิ วามเปน็ มางาน ประดบั มกุ ในประเทศไทย บทท่ี ๒ เรือ่ ง วสั ดุ อปุ กรณ์ ที่ใช้ในงานประดับมกุ บทท่ี ๓ การจัดเตรยี ม วสั ดุ อปุ กรณ์ เทคนคิ วธิ กี าร บทท่ี ๔ ขนั้ ตอนกระบวนการสรา้ งงานประดบั มุก และบทที่ ๕ นาเสนอ ขอ้ เสนอแนะในงานประดับมุก โดยได้ประมวลความรจู้ ากชา่ งผ้มู คี วามรู้ ประสบการณ์ ในการจดั ทางาน ประดับมกุ ที่ผา่ นมา นามารวบรวบ เรยี บเรียงให้เปน็ ข้อมลู เอกสารทางวิชาการองคค์ วามรู้ด้านงานชา่ ง ประดบั มกุ สดุ ท้ายนค้ี ณะผู้จดั ทาเอกสารองคค์ วามรู้ ด้านงานช่างประดับมุก หวงั เป็นอยา่ งย่งิ ว่าผ้อู ่านจะ ไดร้ บั ประโยชน์ และเป็นคุณค่าจากขอ้ มลู ความรู้ นาไปประยุกต์ ปรับใชใ้ ห้เกดิ ประโยชน์ นาไปสเู่ ป็นการ สืบทอด ธารงรักษาศลิ ปวฒั นธรรมงานช่างประดับมุกใหย้ งั คงอย่ใู นสังคมตอ่ ไป นางประภาพร ตราชูชาติ นักวชิ าการช่างศลิ ป์ ชานาญการ

สารบัญ หนา้ เรื่อง ๑ บทนา ๒ ๓ คานา ๔ ๖ บทที่ ๑ งานชา่ งประดับมกุ ๘ - ประวัตคิ วามเปน็ มาของงานประดบั มุกในไทย o สมัยอยุธยา ๘ o สมัยรัตนโกสนิ ทร์ ๘ ๑๔ - ภาชนะเครื่องใชท้ ่ีนยิ มนามาประดบั ตกแตง่ ดว้ ยลายประดบั มุก ๑๗ ๑๗ บทท่ี ๒ วัสดุอุปกรณท์ ่ีใช้ในงานประดับมุก ๑๘ ๑๘ - วสั ดทุ ่ีใชใ้ นงานประดับมกุ ๑๘ o หุ่น ๑๘ o เปลือกหอย ๑๙ o ยางรัก ๑๙ o วสั ดุทดแทนยางรัก ๒๒ ๒๓ - อปุ กรณท์ ่ใี ชใ้ นงานประดับมกุ o เคร่อื งมือออกแบบเขยี นแบบ o หินเจียรหรอื หินขดั o หินลกู จนั ทน์ o หนิ ลา้ ง o ใบตดั o มอเตอร์ o โตป๊ ฏบิ ตั ิงานช่างมุก

เร่อื ง หนา้ o โคมไฟ ๒๓ o ไม้หางปลา หรือไมห้ างเหย่ียว ๒๓ o ผ้าสดี า หรสื ีเขม้ ๒๔ o โครงเล่อื ยฉลุ ๒๔ o ใบเลือ่ ยฉลลุ าย ๒๕ o ตะไบ แบบ และขนาดตา่ งๆ ๒๖ o แท่นเหล็ก ๒๗ o คมี แบบ และขนาดต่างๆ ๒๗ o กรรไกร คัตเตอร์ ๒๘ o กระดาษสา ๒๘ o กาว ๒๘ o ตะแกรง มงุ้ ลวด ผ้าขาวบาง ผ้าซิลสกรีน ๒๘ o แปรงจีน ๒๙ o เกรียงโป๊ว ๒๙ o ตู้บม่ รัก ๒๙ o กระดาษทรายเบอร์ต่างๆ ๓๐ o สวา่ น แบบ และขนาดต่างๆ ๓๐ o เครอื่ งดดู ฝนุ่ พัดลมดดู อากาศ ๓๑ o หนิ กากเพชร หินลับมดี ๓๑ o ลูกหมู ๓๒ o เหลก็ อกไก่ หินน้ามนั ๓๒ o แปรงลวดเหลก็ ๓๓ o น้ายาเช็ดลา้ งทาความสะอาดต่างๆ ๓๓

เร่ือง หนา้ บทท่ี ๓ การเตรียมวัสดุ อปุ กรณ์ในการปฏิบตั ิงานประดับมกุ ๓๔ - การเตรียมมอเตอร์ ๓๔ - การเตรยี มเปลอื กหอย ๓๗ - การเตรียมใบเลื่อย ๔๖ - โครงเลือ่ ย และวธิ กี ารจับโครงเล่ือย ๔๘ - การเตรยี มสมุกกะลา ๔๙ - การเตรียมยางรกั ๕๐ - วสั ดุทดแทน ๕๒ บทที่ ๔ ขนั้ ตอนการปฏิบตั ิงานประดบั มกุ ๕๔ - ข้นั ตอนการปรับแต่งห่นุ เพอื่ ใชใ้ นงานประดบั มุก ๕๔ - ขน้ั ตอนการออกแบบลวดลายในงายประดบั มกุ ๕๕ - ขนั้ ตอนการฉลุลวดลาย ๖๒ - ข้นั ตอนการขดั แตง่ ลวดลาย ๖๘ - การสร้างลวดลายดว้ ยมอเตอร์ติดใบตดั และมอเตอรห์ ินเจยี ร ๖๙ - ขั้นตอนการเก็บลวดลายท่ที าการฉลุขดั แต่งเรียบรอ้ ยแล้ว ๗๓ - ขั้นตอนการถอดลายจากกาวเปน็ ประดับดว้ ยยางรัก ๗๔ - ขั้นตอนการประดบั ลายบนห่นุ ชน้ิ งาน ๗๕ - ขั้นตอนการทารกั ๘๐ - ขั้นตอนการบม่ รัก ๘๑ - ขน้ั ตอนการถมลายด้วยรกั สมกุ ๘๑ - ขน้ั ตอนการขัดช้นิ งาน ๘๓ - ขน้ั ตอนการแรลาย ๘๖ - ขัดตอนการเชด็ รกั ชกั เงา ๘๖ - ชน้ิ งานสาเรจ็ ๘๗

เร่อื ง หนา้ - การดูแลรักษาชนิ้ งาน ๘๙ บทท่ี ๕ ข้อเสนอแนะ ในงานประดบั มกุ ๙๐ - ปัญหาอุปสรรค์ ข้อควรระวงั แนวทางแก้ไข ในการปฏิบตั งิ านประดับมุก ๙๐ - ขั้นตอนการขัดปอกเปลอื กหอย ๙๐ - ขนั้ ตอนการตัดแบ่งช้ินหอย ๙๒ - ขน้ั ตอนการปฏิบตั งิ านที่เกี่ยวขอ้ งกบั ยางรัก ๙๔ บรรณานุกรม ๙๖ ภาคผนวก ๙๘

เอกสาร โครงการสร้างต้นแบบเพื่อจดั ทาองค์ความร้ดู ้านงานช่างประดับมกุ ท่ีปรกึ ษา นางสาวนริ มล เรอื งสม ผูอ้ านวยการสานักช่างสบิ หมู่ นายนยิ ม กล่ินบบุ ผา ผเู้ ช่ียวชาญเฉพาะดา้ นช่างศิลปกรรม (ชา่ งสบิ หมู่) นายธวชั ชยั ปณุ ณลิมปกุล ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านช่างศิลปกรรม (วิจัยและพัฒนาศลิ ปกรรม) นายสมควร อมุ่ ตระกูล หัวหนา้ กลุม่ ประติมากรรม นายศกั ย ขนุ พลพทิ กั ษ์ หัวหนา้ กลุ่มจิตรกรรม นายวันชัย หวลนวิ ัตวิ งษ์ หวั หน้ากลมุ่ ประณตี ศลิ ปแ์ ละการชา่ งไทย นางสาวอรพนิ พฤกษส์ นุ ธร หัวหนา้ ฝา่ ยบริหารงานทวั่ ไป นายอาพล สมั มาวุฒธิ หวั หนา้ กลุม่ งานชา่ งหนุ่ และปั้นลาย คณะผูจ้ ัดทาตน้ แบบชิน้ งานศลิ ปกรรม นายอาพล สัมมาวฒุ ธิ นายธนาวัฒน์ ตราชชู าติ นางสมคดิ สมั มาวฒุ ธิ นายสุพนั ธ์ วชิ าเดช นายประวิช มีโชคชัย นายกอบชัย ตนั ตวิ ฒุ ิปรณ์ ผเู้ รียบเรยี ง นางประภาพร ตราชูชาติ นายอาพล สมั มาวฒุ ธิ ผบู้ ันทกึ ภาพ นางประภาพร ตราชูชาติ นางสาวชุตนิ ันท์ แสนประเสรฐิ

โครงการสรา้ งต้นแบบเพ่อื จัดทาองค์ความรู้ ด้านงานชา่ งประดบั มกุ การจดั สรา้ งหมอ้ นามนตป์ ระดับมุก กลุ่มวิชาการดา้ นชา่ งศลิ ปะไทย สานักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร กระทรวงวฒั นธรรม ๒๕๕๓

๑ บทที่ ๑ งานช่างประดบั มกุ งานช่างประดับมุก เปน็ การปฏิบตั ิงานช่างประณตี ศลิ ป์แขนงหน่ึงท่นี ําเปลอื กหอยทม่ี แี สงสีแวววาว บางชนดิ มาใช้ประดบั เคร่ืองใช้ และทอี่ ยอู่ าศยั ของมนุษย์ เปน็ งานช่างท่ีตอ้ งใชฝ้ ีมือและความละเอียดออ่ นใน การปฏบิ ตั งิ านอย่างมากเพื่อประดบั ตกแต่งพน้ื ผวิ ของช้ินงานในลักษณะตา่ งๆเช่น ภาชนะใช้สอยบางอยา่ ง ของมนุษย์ อาทิ พาน ,ตะล่มุ ,โตะ๊ , ตู้ ,เตยี บ ,เตียง ฯลฯ อีกทง้ั สามารถประดบั ตกแตง่ ส่วนประกอบของอาคาร ท่ีอยู่อาศยั ไดด้ ้วย เช่น ประตแู ละหนา้ ต่าง เปน็ ต้น ประเทศสยามในอดีตนยิ มใชง้ านประดบั มุกเพ่อื ตอบสนอง ตอ่ สถาบันพระมหากษตั รยิ แ์ ละพระพทุ ธศาสนาเปน็ ส่วนใหญ่ สามญั ชนจะไมน่ ยิ มใช้ เนอ่ื งด้วยถือวา่ เปน็ ของสงู มีคา่ และทาํ ไดย้ าก ควรคแู่ ตส่ ถาบันอนั สงู สง่ เท่าน้นั ตัวอย่างเช่น ประตูหน้าตา่ งของพระอุโบสถ , วิหาร และพระท่นี ั่งในพระบรมมหาราชวังบางองค์ เปน็ ต้น งานชา่ งมุกเปน็ งานที่ตอ้ งอาศยั ความประณีตความละเอยี ดออ่ น และความใจเย็นในการปฏบิ ตั งิ าน โดยประดบั ตกแต่งส่งิ ของเหล่าน้ันดว้ ย เปลือกหอยบางชนิดทีม่ คี ุณลักษณะพเิ ศษ คอื มีความแวววาว สามารถสะทอ้ นแสงแล้วเกิดเปน็ สเี หลืองตา่ ง ๆ คลา้ ยสรี งุ้ ได้แก่ แดง สม้ เหลือง เขียวและคราม เป็นตน้ ถา้ ได้ คณุ ลกั ษณะเชน่ น้ภี าษาชา่ ง เรยี กว่า “มไี ฟด”ี ประกอบกบั ความงดงามของลวดลายที่ใชป้ ระดบั ด้วย ลาย ประดบั มกุ จะตอ้ งมีความสมั พนั ธก์ ันระหวา่ งตวั ลายกับพื้นลาย (ช่องไฟ) ซ่งึ มักเปน็ สดี าํ เช่น พน้ื ไม้สีดํา อาทไิ ม้ มะเกลือหรือทาํ การย้อมสี และทําพน้ื รักสมกุ ซ่ึงเปน็ สดี ําเปน็ ตน้ ที่ต้องเป็นสีดาํ เพ่ือสามารถคัดตวั ลายทีม่ ี ความแวววาวออกจากพน้ื ได้อย่างเด่นชัดตามจงั หวะของช่องไฟ ถา้ ขาดความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งลายกบั ช่องไฟ แลว้ กจ็ ะทําให้ขาดความสวยงามในผลงานได้ เชน่ จงั หวะชอ่ งไฟของตวั ลายมนี ้อยมากตวั ลายแทบจะเรยี งชดิ ตดิ กัน ตัวลายท่มี คี วามแวววาวก็จะแข่งกนั ไมส่ ามารถเห็นจงั หวะของลวดลายไดช้ ัดเจน หรอื วา่ ในทางกลับกัน มปี รมิ าณช่องไฟมากเกินความจําเป็น ลายทีป่ รากฏกจ็ ะดูเบาไม่มีนาํ้ หนกั มองทางลายยากและขาดความ สมดุล ดว้ ยความละเอยี ดออ่ นท้งั ลวดลายและการปฏบิ ัตงิ านชา่ งจงึ ทาํ ให้ผลงานทปี่ ระดับตกแตง่ ด้วยมุกมี คณุ คา่ สงู ยิ่งทางความงดงาม มคี วามวจิ ติ รละเอียดอ่อนและโดดเด่นน่าประทบั ใจ .ในเอกสารองคค์ วามรู้ บทน้ีจะกลา่ วถงึ ประวตั ิความเปน็ มาของงานประดับมุกในประเทศไทย และ รูปแบบงานประดับมกุ แบบต่างๆ

๒ ๑. ประวัตคิ วามเป็นมาของงานประดบั มกุ ในไทย การศกึ ษาถึงท่มี าของการประดบั มกุ แตโ่ บราณน้ัน เราไมส่ ามารถทราบถงึ แรกเร่ิมและที่มาอย่างแนช่ ดั ได้ เพราะไมเ่ คยมปี ระวตั ิหรอื คาํ จารึกใดๆไวเ้ ลยวา่ ชาตไิ ทยเริ่มคดิ คน้ และประดษิ ฐ์งานมกุ ไดเ้ มือ่ ใด หรอื ได้รบั อิทธิพลจากชาติใด อยา่ ง เช่น จนี เวียดนาม หรอื ญป่ี ุ่น ซง่ึ กม็ ีการนําเปลือกหอยมกุ มาใช้ประโยชน์ในงาน ศิลปกรรมเหมอื น ๆ กับไทย แตว่ ธิ กี ารประดบั และลวดลายนน้ั แตกตา่ งจากไทยโดยสิ้นเชงิ แตจ่ ากหลักฐาน การขดุ คน้ ทางโบราณคดีที่ตําบลคบู ัว จังหวัดราชบรุ ี ได้พบชิ้นส่วนการประดบั มุกประดบั องคเ์ จดยี ์ ซึง่ นัก โบราณคดีของกรมศลิ ปากร กําหนดอายุต้งั แตพ่ ุทธศตวรรษที่ ๑๑ – ๑๖ เป็นศิลปะทวารวดี นอกจากนีย้ ังมี การประดบั มุกทพี่ ระเนตรของพระพุทธรปู ศิลปะลา้ นนา สโุ ขทัย อยธุ ยา สว่ นการนําเปลอื กหอยมาประดบั ตกแตง่ เปน็ ลวดลายประกอบที่เก่าแกท่ สี่ ดุ ตามหลักฐานท่ียงั คงประจักและหลงเหลืออยู่เปน็ หลักฐานต้งั แต่สมัย กรุงศรีอยุธยา พอจะลาํ ดบั ความเป็นมาของงานประดบั มุกได้ ดงั นี้ ๑ ๑.๑ สมัยอยุธยา มีหลกั ฐานเกา่ แก่ทีส่ ุดคอื ตพู้ ระไตรปิฏกประดบั มกุ ซึง่ สมเด็จเจา้ ฟ้ากรมพระ นครสวรรคพ์ นิ ิจประทานแก่พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาตพิ ระนคร มีลวดลายกระหนกหางนาค บานตดู้ ้านซา้ ย ประดบั เป็นภาพพระนารายณท์ รงครุฑ บานดา้ นขวาประดับเป็นภาพพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณต้ใู บน้ี สมเด็จ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานวุ ตั ิวงศ์ ทรงสนั นิษฐานว่า ตปู้ ระดับมุกใบนต้ี ามลักษณะและ ลวดลายเป็นสมัยแผ่นดินสมเดจ็ พระเจา้ เสอื ประมาณ พ.ศ. ๒๒๔๖ - ๒๒๕๑ รองลงมาคงเปน็ บานประตมู ุกท่ี สร้างขน้ึ ในสมัยแผน่ ดินสมเด็จพระเจา้ บรมโกศ (สมเดจ็ พระบรมราชาธริ าชที่ ๓) ได้แก่ บานประตพู ระวหิ ารวดั พระศรมี หาธาตุ ท่ีประดษิ ฐานพระพทุ ธชนิ ราช จงั หวัดพิษณุโลก บานประตพู ระวหิ ารวัดบรมพทุ ธาราม จังหวัด พระนครศรีอยุธยา ซ่ึงคู่หนง่ึ ถูกดัดแปลงเปน็ ต้พู ระไตรปิฏก เก็บรกั ษาไวใ้ นพพิ ิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร (ภาพท่ี ๑) และอกี คหู่ นง่ึ ถกู นาํ มาเปน็ บานประตขู องหอมณเฑียรธรรมในวัดพระศรรี ตั นศาสดาราม นอกจากนี้ยงั มีอกี หลายบานทีส่ รา้ งในสมยั อยุธยาตอนปลายนี้ ๒ ๑ หลวงวศิ าลศลิ ปกรรม ศาสตราจารย์,”ตาํ ราวชิ าชา่ งประดับมกุ ”อุตสาหกรรมสาร,ปที ๒่ี ๓ ฉบบั ที่ ๖ เดอื น มิถนุ ายน ๒๕๒๓ ,กรมส่งเสรมิ อุตสาหกรรม กระทรวงอสุ าหกรรม ๒ สมภพ ภริ มย์ ศาสตราจารย์ นาวาเอก , ปกณิ กะคดี หมายเลข๑๓ “ว่าดว้ ยประตหู น้าต่างประดับมกุ ไทย-ของโลก”,คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร

๓ (ภาพที่ ๑) จากหนงั สือประณตี ศลิ ปไ์ ทยได้กล่าวถึงลายประดบั มุกของวดั บรมพธุ ารามไวว้ ่า “ คร้งั ถงึ พ.ศ. ๒๒๙๕ ในแผน่ ดินสมเด็จพระเจา้ บรมโกษฐ์ ได้โปรด ฯ ให้ซอ่ มวดั น้ีอีกคร้ังหนึ่ง และโปรดใหส้ ร้างบานประตูมกุ สาํ หรบั พระอุโบสถวดั บรมพุทธารามขน้ึ “ แต่ปัจจบุ นั บานประตมู กุ วดั บรมพทุ ธารามดังกล่าวไดก้ ระจัดกระจาย ไปอยทู่ ต่ี ่าง ๆ หลายแหง่ บานหน่งึ อยูท่ ่วี ัดเบญจมบพติ รดุสติ วนาราม และอกี บานอยู่ท่หี อพระมณเฑยี รธรรม วัดพระศรรี ัตน ศาสดาราม ( บานประตกู ลางด้านทิศตะวนั ตก ) ประตูมกุ บานนมี้ จี ารกึ ว่า “ ศภุ มศั ดุ พระพทุ ธศักราช ๒๒๙๕ พระวษา ณ วันเสาร์ ขึ้น ๔ ค่ํา เดอื น ๑๒ ปีมะแมตรีณิศกพระบาทสมเดจ็ บรมนาถบพิตรพระพุทธเจ้า อยหู่ วั ทรงพระกรณุ าดาํ รสั เหนอื เกล้าเหนอื กระหมอ่ มส่งั ใหเ้ ขียนลายมกุ บานประตูพระอุโบสถวดั บรมพทุ ธาราม ช่าง ๒๐๐ คน เรมิ่ ณ วนั พุธ ขน้ึ ๙ คํา่ เดอื น ๑๒ ปีมะแมตรีณิศก ลงมอื ทํามกุ ๖ เดือน ๒๔ วันเสร็จ พระราชทานช่างผู้ทาํ มุกทั้งปวง เสือ้ ผา้ รูปพรรณ ทอง เงิน แลเงินตราเป็นอนั มาก เลี้ยงวนั แล ๒ เพลา คา่ เลี้ยง มไิ ดค้ ดิ เขา้ พระราชทานด้วย คิดแตบ่ ําเหนจ็ ประตหู นึง่ เป็นเงินตรา ๓๐ “

๔ นอกจากบานประตูมกุ วัดบรมพทุ รามแลว้ ยงั มบี านประตูประดบั มุกฝมี อื ช่างสมยั แผน่ ดินสมเด็จพระ เจา้ บรมโกษฐอ์ ีก อยู่ทว่ี หิ ารยอด วดั พระศรรี ัตนศาสดาราม ซึ่งเปน็ บานประตูจากศาลาการเปรียญวดั ปา่ โมก จังหวดั อา่ งทอง และมีขอ้ ความจารึกเปน็ ทํานองเดียวกันกับบานประตูมุกจากพระอุโบสถวดั บรมพทุ ธาราม ต่างกนั ทจี่ ํานวนช่างและเงินตราทีพ่ ระราชทานเทา่ นน้ั ๑.๒ สมยั รัตนโกสนิ ทร์ ในสมยั พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช (รัชกาลท่ี ๑) คร้ันเมื่อสร้างวดั พระศรี รตั นศาสดาราม ทรงโปรดใหส้ ร้างบานประตู บานหนา้ ตา่ งประดับมกุ ของพระอโุ บสถทป่ี ระดิษฐานพระแกว้ มรกต บานประตูพระมณฑป และเมื่อทรงบรู ณะพระพทุ ธบาท จังหวดั สระบรุ ี ทรงโปรดใหส้ รา้ งบานประตู ประดบั มุกประกอบพระมณฑปพระพทุ ธบาทเพื่อทดแทนของเดมิ ทีถ่ กู เพลิงไหม้ข้ึนดว้ ย ๑.๒.๑ สมัยรัชกาลท่ี ๓ พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกล้าเจ้าอย่หู วั ทรงปฏิสงั ขรณ์ วัดพระเชตพุ นวมิ ลมงั คลาราม จึงทรงโปรดให้สรา้ งบานประตูประดบั มกุ เปน็ เร่ืองรามเกียรตขิ์ ึน้ ๔ ช่อง จัดวา่ มคี วามงดงามมาก และแตกต่างไปจากลายมกุ รนุ่ เก่า ๑.๒.๒ สมัยรชั กาลท่ี ๔ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยูห่ วั ทรงโปรดสร้างพุทธ รัตนสถานภายในพระบรมมหาราชวัง โดยมีบานประตูและบานหนา้ ตา่ งประดับมุกทงั้ หลัง เมื่อ เกดิ สงครามโลกคร้ังทส่ี องเกดิ ความชาํ รุดเสียหายอย่างหนกั จากภัยสงครามจําเป็นต้องถอดเกบ็ ไวใ้ นคลังดา้ นหลงั วัง ตอ่ มาในรชั กาลปัจจุบนั ไดโ้ ปรดใหม้ ีการเขียนภาพในอาคารขน้ึ ใหม่พร้อม นําบานประตหู น้าต่างประดบั มุกชุดเดิมมาซ่อมและประกอบเข้ากับอาคารดงั เดมิ (ภาพท่ี ๒.๑.๒ก)(ภาพท่ี ๒.๑.๒ข) (ภาพท่ี ๒.๑.๒ก) (ภาพที่ ๒.๑.๒ข)

๕ ๑.๒.๓ สมัยรชั กาลที่ ๕ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจ้าอย่หู วั เม่ือคร้ังสรา้ ง วดั ราชบพิธฯ. ทรงโปรดให้นาํ บานประตแู ละหนา้ ตา่ งประดบั มุกเปน็ ลายเครื่องราชอสิ ริยาภรณม์ า จากปราสาทพระเทพบิดร ซงึ่ ถูกไฟไหม้ แตบ่ านประตู – หนา้ ตา่ ง สว่ นใหญ่อย่ใู นสภาพดี (ภายหลงั ทาํ การซอ่ มแซมองคป์ ราสาทใหม่และสรา้ งบานประตู-หนา้ ตา่ งขึน้ ใหม่ทดแทนโดย ประดับตกแต่งหนา้ บานด้วยลายรดนํ้าท้งั หมด) มาประกอบเป็นบานประตูและหนา้ ตา่ งของพระ อโุ บสถวัดราชบพธิ ฯ. ซ่ึงบานประตูและหนา้ ต่างประดบั มุกชดุ นีม้ ีลักษณะเป็นเอกลักษณแ์ ตกตา่ ง ไปจากทกุ สมยั มา ลายบานประตพู ระวิหารวดั พระ ตพู้ ระไตรปิฏกประดบั มุกอยู่ใน บานประตูของหอมณเฑยี รธรรม ศรมี หาธาตทุ ี่ประดษิ ฐานพระ พพิ ิธภณั ฑสถานแห่งชาตพิ ระ เดิมเปน็ บานประตพู ระวหิ ารวดั พุทธชนิ ราช จังหวัดพิษณุโลก นครดดั แปลงจากบานประตวู ัด บรมพุทธาราม ในสมัยอยุธยา บรมพุทธาราม ลายบานประตูพระอโุ บสถวดั พระ ลายบานประตพู ระอโุ บสถวดั ลายบานประตูพระอุโบสถวดั ราช บพิธสถิตมหาศรมี าราม ศรีรตั นศาสดาราม พระเชตุพนวมิ ลมงั คลาราม

๖ ตพู้ ระธรรม ตพู้ ระธรรม นอกจากลายประดับมกุ บานประตหู น้าต่าง ของพระอุโบสถหรือพระวหิ ารแล้ว ช่างไทยยงั นยิ มการประดบั มกุ ตามภาชนะเครื่องไมใ้ ชส้ อยตา่ ง ๆ อีก โดยเฉพาะเครอื่ งใช้ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั ประโยชน์การใชส้ อยของพระภกิ ษุ สงฆ์ หรือภาชนะเครื่องใช้สอยของชนชั้นสงู หรือขุนนางในสงั คมไทยกน็ ิยมการประดบั มุกเชน่ กัน ๒. ภาชนะเคร่อื งใชท้ ี่นิยมนามาประดับตกแต่งด้วยลายประดบั มกุ มีกลายประเภทโดยสามารถ แบง่ ออกเปน็ หมวดหมู่ได้ ๔ กล่มุ ใหญ่ ๆ ดังนี้ ๒.๑ กลุม่ จาพวกลักษณะแบบพาน ใช้สําหรบั ใส่ของถวายพระ หรอื อ่นื ๆ เช่น พานแปด เหล่ยี ม พานกลม พานกลีบบัว ฯลฯ พานตา่ ง ๆ เหล่านอ้ี าจแยกประเภทยอ่ ยออกไปอีกตาม รปู ทรง และประโยชนก์ ารใชส้ อย เชน่ ตะลมุ่ พานแวน่ ฟ้า(ภาพท่ี ๒.๑ก) เตยี บ (ภาพท่ี ๒.๑ข) (ภาพที่ ๒.๑ก) (ภาพท่ี ๒.๑ข)

๗ ๒.๒ กลุ่มจาพวกลกั ษณะแบบกล่อง มีหลายแบบและชอื่ ท่ใี ช้เรยี กกันก็แตกต่างกนั ออกไป ตามวัตถปุ ระสงค์การใช้ เชน่ ลงุ้ เจยี ด หีบยา หบี บุหร่ี หีบหมาก(ภาพที่ ๒.๒) ๒.๓. กลุ่มจาพวกลกั ษณะแบบถาด สําหรบั ใส่ของจะมีประเภทและรูปรา่ งตา่ ง ๆ ตาม ประโยชน์ใช้สอย เนื่องจากถาดของไทยมกั จะทําขอบสูง จึงมักเรยี กกนั วา่ กระบะ ซ่ึงมที ง้ั แบบกลม เปน็ เหล่ยี มส่ีเหลีย่ ม กระบะส่เี หลยี่ มลบมุม กระบะแปดเหลีย่ ม กระบะต่าง ๆ เหลา่ นี้ถา้ ใชใ้ ส่ เครือ่ งบูชา จะเรียกว่า เครอื่ งกระบะบูชา ถ้าใสเ่ คร่ืองกินหมากกเ็ รียกวา่ กระบะหมาก แต่ถ้า กระบะเหลา่ นม้ี ีขาจะเรียกวา่ กระบะกใ๋ี ชเ้ ปน็ กีร๋ องชดุ นา้ํ ชา ๒.๔ กลุ่มเครื่องใชส้ าหรับพระสงฆ์ ส่วนใหญ่จะตกแต่งดว้ ยลายประดบั มกุ เชน่ ฝาบาตร (ภาพท่ี ๒.๔) เชงิ บาตร พัดยศ และพัดรองที่ทําด้ามประดบั มกุ (ภาพท่ี ๒.๒) (ภาพท่ี ๒.๔) ทก่ี ลา่ วในขา้ งตน้ นี้ เป็นภาชนะเครอื่ งใช้ประดับมกุ ประเภทต่าง ๆ ที่จดั ทําขึ้น โดยฝีมอื ชา่ งสมยั กรุง รตั นโกสนิ ทรต์ งั้ แตส่ มัยรชั กาลท่ี ๑ เป็นตน้ มา ส่งิ ของเคร่ืองใชป้ ระดบั มกุ เหลา่ น้ี จัดแสดงให้ประชาชนไดช้ ม ณ พิพิธภณั ฑสถานแหง่ ชาติ พระนคร เป็นผลงานประดบั มกุ ของครชู ่างโบราณช้นิ สําคญั ที่ทรงคุณค่ายิง่ ควร แกก่ ารอนุรักษไ์ ว้ใหแ้ ก่ชนรุ่นหลงั ได้ศกึ ษา และเพื่อความภูมิใจในศลิ ปกรรมของชาตแิ ขนงน้ีตอ่ ไป

๘ บทที่ ๒ วสั ดอุ ุปกรณ์ทใ่ี ชใ้ นงานประดับมุก ในการสร้างงานประดับมกุ มวี ัสดุ อปุ กรณ์หลายอย่างทม่ี คี ุณสมบัติ วธิ ีการใชง้ านท่มี ีความ แตกต่างในการนามาใชส้ ร้างงาน วสั ดุประเภทเดียวกนั อาจจะมคี ณุ สมบตั ิแตกต่างกันตัวอยา่ งเชน่ เปลอื ก หอยประเภทตา่ งๆ อปุ กรณ์ชนิดเดยี วกนั แต่ใช้งานต่างกนั และการใชง้ านหลายประเภทสามารถเลอื กใช้ งานตามความเหมาะสมของงานแต่ละประเภท ในบทนจ้ี ะนาเสนอวสั ดุ อุปกรณ์ท่มี หี ลายประเภทเลอื ก ตามความเหมาะสมท่ใี ช้ในงานแต่ละขน้ั ตอนโดยรวบรวมข้อมูลจากช่างผปู้ ฏบิ ัตงิ าน และผูม้ ปี ระสบการณ์ ดา้ นงานประดับมกุ หลายคนเพื่อรวบรวมจัดทาเป็นองค์ความรูใ้ นเรอ่ื งวัสดุ อุปกรณใ์ นการสร้างงาน ประดบั มกุ วัสดทุ ่ีใชใ้ นงานประดับมกุ ๑. หนุ่ ทใี่ ชใ้ นงานประดับมุกมีหลายชนดิ โดยมากมักทาด้วย หวาย , ไม้ , ไมไ้ ผ่และอาจใช้โลหะ หรือวัสดอุ น่ื ดังตัวอย่างห่นุ ที่ใชใ้ นงานประดับมกุ ได้แก่ บานประตู, พานแว่นฟา้ ,หบี ,กลอ่ ง เป็นต้น ๑.๑ หวาย นิยมนามาขดข้ึนหนุ่ เปน็ ทรงต่างๆ เปน็ วัสดุท่ีนยิ มนาใช้ในงานประดบั มุกมาก เน่ืองเป็นหวายมนี า้ หนักเบา เนือ้ วัสดุมคี วามพรุนท่สี ามารถให้ยางรักยดึ เกาะกบั พนื้ ผิวชน้ิ งาน ไดด้ ี โดยนิยมทาเป็นหุ่นชิ้นงานประเภท ตะลมุ่ เตียบ พานแวน่ ฟ้า ฯลฯ (ภาพท่ี ๑.๑ก ) (ภาพท่ี ๑.๑ข) ชิ้นงานเหล่านี้มกั มีลักษณะเป็นเหล่ียมเป็นส่วนใหญ่ แต่หวายเองก็สามารถ สรา้ งหนุ่ ลกั ษระกลมไดโ้ ดยไมย่ ากนัก (ภาพท่ี ๑.๑ก) (ภาพที่ ๑.๑ข)

๙ ๑.๒ ไม้ นยิ มนามาใช้เปน็ หุน่ ในการประดับมกุ ไมว่ ่าจะเป็นการขึน้ หุ่นเป็นแบบแผน่ เรยี บ เช่นบานประตู หนา้ ต่าง กลอ่ ง หรือการกลึงเพ่อื ใหไ้ ด้หุ่นตามแบบทต่ี อ้ งการ เช่น แจกัน หมอ้ นา้ มนต์ ฯลฯ. (ภาพท่ี ๑.๒ก ) หนุ่ บานประตหู อมณเทียรธรรม(ภาพที่ ๑.๒ข ) (ภาพที่ ๑.๒ก) (ภาพที่ ๑.๒ข) ๑.๓ ไม้ไผ่ มีการนาลาไมไ้ ผ่มาผ่าแล้วทาเปน็ ลักษณะแผน่ ยาวๆ ทเ่ี รียกว่าตอกหรือเสน้ กลมกม็ แี ล้วนามาขดหรอื สาน เพอื่ ขึน้ ห่นุ ชนิ้ งานเชน่ เดยี วกบั การขึน้ หนุ่ ท่ที าด้วยหวายแล้วนา หนุ่ มาใชใ้ นงานประดบั มกุ ได้เชน่ กนั (ภาพท่ี ๑.๓ ) ๑.๔ โลหะ มีการนามาใชใ้ นงานประดบั มุกได้แก่ ฝาบาตร ตลบั ฯ เน่อื งจากโลหะจะมี ความหนาแน่นมาก ผิวเรียบเปน็ มนั เมอื่ นามาใช้ในงานประดบั มกุ เนอื้ ยางรกั ไม่สามารถยึด เกาะไดง้ ายจาเป็นตอ้ งทาพืน้ ผวิ มขี รุขระ โดยการใชเ้ ครื่องมอื ขดี ทารอย เพื่อให้เกดิ พื้นสาหรบั ยึดเกาะของเนอื้ รัก หรอื วสั ดุสาหรบั ถมพ้นื ประเภทอน่ื (ภาพที่ ๑.๔ ) (ภาพที่ ๑.๓) (ภาพที่ ๑.๔)

๑๐ ๑.๕ ภาชนะเคร่ืองใชท้ ่ีนามาประดับตกแต่งดว้ ยลายประดบั มกุ มีหลายประเภทโดย สามารถแบง่ ออกเป็นหมวดหมู่ได้ ๔ กลมุ่ ใหญ่ ๆ ดงั นี้  กลมุ่ จาพวกลกั ษณะแบบพาน  กลุ่มจาพวกลกั ษณะแบบกล่อง  กลุม่ จาพวกลกั ษณะแบบถาด  กลุ่มเครือ่ งใช้สาหรับพระสงฆ์ ๑.๕.๑ กลมุ่ จาพวกลกั ษณะแบบพาน ใช้สาหรับใส่ของถวายพระ หรืออืน่ ๆ เชน่ พาน แปดเหล่ียม พานกลม พานกลีบบวั ฯลฯ พานตา่ ง ๆ เหล่านอ้ี าจแยกประเภทยอ่ ยออกไป อกี ตามรูปทรง และประโยชนก์ ารใช้สอย เชน่ ตะลมุ่ พานแวน่ ฟ้า เตยี บ ๑.๕.๑.๑ ตะลุม่ มลี กั ษณะคลา้ ยพานเชงิ นิยมทาเปน็ เถาซ้อนกันตัง้ แตใ่ บใหญส่ ุดถงึ เล็กสดุ ไม่จากดั จานวนวา่ จะซอ้ นกันกีใ่ บ ขอบปากค่มุ เขา้ ซงึ่ ขอบปากมที ง้ั กลมและ เหลยี่ มสบิ เหลี่ยม หรือสบิ สองเหลีย่ ม ตะลมุ่ เปน็ ทน่ี ินมนามาใส่ของถวายพระ เชน่ สารบั อาหารคาวหวาน ผา้ ไตร ธปู เทยี น ดอกไม้ ฯลฯ ถา้ เปน็ ตะลุ่มใบเล็กกใ็ ชใ้ ส่หมากพลูเป็น ตน้ (ภาพที่ ๑.๕.๑.๑ก) (ภาพท่ี ๑.๕.๑.๑ข) (ภาพที่ ๑.๕.๑.๑ก) (ภาพท่ี ๑.๕.๑.๑ข)

๑๑ ๑.๕.๑.๒ พานแว่นฟ้า ลกั ษณะเปน็ พานซ้อนกนั สองชั้น ประกอบดว้ ยพานรอง เปน็ พานสเ่ี หลย่ี มย่อมุมขนาดใหญ่ ใชร้ องรบั พานทรงสูงสเี่ หลยี่ มย่อมมุ เช่นกนั นยิ มใช้สาหรับ ใส่ผ้าไตรถวายพระในงานพิธีตา่ ง ๆ (ภาพท่ี ๑.๕.๑.๑ก) (ภาพท่ี ๑.๕.๑.๑ข) (ภาพที่ ๑.๕.๑.๒ก) (ภาพท่ี ๑.๕.๑.๒ข) ๑.๕.๑.๓ เตียบ มลี ักษณะคล้ายพานเชิง มฝี าเป็นกรวยแหลมครอบใชบ้ รรจสุ ารับ อาหาร (ภาพท่ี ๑.๕.๑.๓ก) (ภาพท่ี ๑.๕.๑.๓ข) (ภาพท่ี ๑.๕.๑.๓ก) (ภาพท่ี ๑.๕.๑.๓ข)

๑๒ ๑.๕.๒ กลมุ่ จาพวกลกั ษณะแบบกลอ่ ง มีหลายแบบและชือ่ ที่ใชเ้ รียกกันกแ็ ตกต่างกัน ออกไปตามวตั ถุประสงค์การใช้ เชน่ ลุง้ เจยี ด หบี ยา หบี บุหรี่ หบี หมาก ๑.๕.๒.๑ ลุง้ มลี ักษณะเปน็ กลอ่ งกลมมฝี าปดิ มที ัง้ ทรงสงู และทรงเตย้ี ใชเ้ ปน็ ภาชนะบรรจุอาหารแหง้ หรือบางทีใชเ้ ปน็ กล่องเก็บผา้ ที่อบร่าแลว้ เป็นต้น และยงั มีลงุ้ อีก ประเภทหน่ึงมีลักษณะคลา้ ยพานเชงิ มฝี าเปน็ กรวยแหลมครอบ ใชเ้ ป็นกลอ่ งใส่หมาก (ภาพที่ ๑.๕.๒.๑) ๑.๕.๒.๒ เจยี ด มีลักษณะเป็นกลอ่ งส่เี หลี่ยมผืนผ้า มฝี าปดิ มีฐานสงู แตเ่ ดมิ เจียดนี้ พระมหากษตั ริย์จะพระราชทานแกข่ นุ นางหรอื พระราชาคณะ ตอ่ มาจงึ ใชเ้ ปน็ กลอ่ งบรรจุ ผ้าทผี่ า่ นการอบร่าแล้วและเสื้อผา้ เครอื่ งแบบของขนุ นางสาหรับเปลยี่ นในวงั กอ่ นท่จี ะเขา้ เฝ้าพระมหากษตั รยิ ์(ภาพท่ี ๑.๕.๒.๒) (ภาพท่ี ๑.๕.๒.๑) (ภาพที่ ๑.๕.๒.๒) ๑.๕.๒.๓ หีบยา เป็นกล่องสเี่ หลีน่ มผนื ผา้ มีฝาปิด ภายในยังมกี ล่องใบเลก็ ๆ ใชเ้ กบ็ ของ หรือยาท่ีต่างชนดิ กัน ๑.๕.๒.๔ หีบบุหรี่ เป็นกลอ่ งรูปสเ่ี หล่ยี มผนื ผ้าขนาดเลก็ ใชใ้ สบ่ ุหร่ี ยาเส้น (ภาพท่ี ๑.๕.๒.๔) ๑.๕.๒.๕ หีบ เปน็ กล่องขนาดใหญ่สาหรับใสข่ อง (ภาพท่ี ๑.๕.๒.๕)

๑๓ (ภาพที่ ๑.๕.๒.๔) (ภาพท่ี ๑.๕.๒.๕) ๑.๕.๓. กลุ่มจาพวกลกั ษณะแบบถาด สาหรบั ใส่ของจะมีประเภทและรูปร่างต่าง ๆ ตาม ประโยชน์ใช้สอย เน่อื งจากถาดของไทยมักจะทาขอบสงู จงึ มกั เรียกกนั วา่ กระบะ ซงึ่ มที ง้ั แบบ กลม เปน็ เหลีย่ มสเ่ี หล่ียม กระบะสเ่ี หลีย่ มลบมุม กระบะแปดเหลี่ยม กระบะตา่ ง ๆ เหลา่ น้ี ถา้ ใช้ใสเ่ คร่ืองบชู า จะเรียกว่า เครอ่ื งกระบะบชู า ถา้ ใสเ่ คร่ืองกินหมากก็เรยี กว่า กระบะ หมาก แต่ถ้ากระบะเหล่าน้ีมขี าจะเรียกวา่ กระบะกใ๋ี ชเ้ ปน็ กร๋ี องชุดน้าชา ๑.๕.๔ กลุ่มเครอื่ งใช้สาหรับพระสงฆ์ สว่ นใหญ่จะตกแตง่ ดว้ ยลายประดบั มุก เชน่ ฝาบาต เชงิ บาตร และพัดรองทท่ี าดา้ มประดับมกุ (ภาพที่ ๑.๕.๔ก) (ภาพท่ี ๑.๕.๔ข) (ภาพท่ี ๑.๕.๔ก) (ภาพท่ี ๑.๕.๔ข)

๑๔ ๒. เปลือกหอย เปลอื กหอยทีใ่ ชใ้ นการประดบั มกุ จะใช้ เฉพาะเปลือกหอยที่เม่ือขัดเอาหนิ ปูนผวิ นอกออกแล้วจะพบว่าผวิ ภายในมคี วามแวววาว (มไี ฟ) หอยแต่ละชนดิ มคี ณุ สมบตั ิ และลักษณะที่ แตกต่างกันออกไป หอยท่นี ิยมนามาใช้ในงานประดบั มุกได้แก่ หอยอดู หรอื หอยโขง่ , หอยเปา๋ ฮือ้ หรือหอยรอ้ ยรู, หอยจาน , หอยกาบนา้ จืด, หอยนมสาว, หอยแมงพู่ฯลฯ (ภาพท่ี ๒) (ภาพที่ ๒) ๒.๑ หอยอดู หอยโข่ง หอยมุกไฟ เปน็ หอยทะเลชนดิ หน่งึ ชาวบา้ นเรียกหอยอูด หรอื โข่งมุกแตช่ า่ งมุกมักเรยี กวา่ หอยมกุ ไฟเน่ืองจากให้สีแสงสะท้อนเปน็ สีเหลือบรงุ้ มากกวา่ หอย ชนิดอ่นื หอยชนดิ น้ีมีลักษณะคลา้ ยหอยโข่งหรอื หอยเชอรี่น้าจืดแตม่ ีขนาดใหญก่ ว่ามาก และมเี ปลอื กหนาซึ่งมกั มหี ินปนู เกาะผวิ นอกอยทู่ ่วั ไป ดังภาพ(ภาพท่ี ๓.๑ ก),(ภาพท่ี ๓.๑ ข) มรี าคาสงู กว่าหอยชนิดอื่น เปน็ เปลือกหอยท่นี ิยมนามาใช้ประดบั ลายมกุ ปรมิ าณหอย ๑ ตวั ขนาด ๘ ขีด เมอ่ื ทาการขัดและตัดจนกระท่งั สามารถนามาติดลวดลายฉลไุ ด้ ประมาณ ๒ ขดี (ภาพท่ี ๒.๑ ก) (ภาพที่ ๒.๑ ข)

๑๕ ๒.๒ หอยเป๋าฮอ้ื หรือหอยรอ้ ยรู เป็นหอยทะเล ประเภทหอยฝาเดยี วลกั ษณะเปลอื ก หอยจะมรี ูเรยี งจากฝาหอยยาวเรื่อย ไปจนถงึ ด้านท้ายของฝาหอย(ภาพท่ี ๓.๒ก) (ภาพที่ ๓.๒ข) เป็นหอยท่นี ามาปรงุ อาหารได้ เปลือกของหอยชนดิ นี้มคี วามแวววาว (ไฟ) เช่นกัน หอยเปา๋ ฮอื้ มีโทนสีเขียว และโทนสชี มพู นิยมนามาใชใ้ นงานประดบั มุกมาก โดยเฉพาะโทนสชี มพู เพราะจะมีความแวววาวใกลเ้ คียงกับหอยโข่ง ปรมิ าณ ๑ ตวั ๑๕๐ กรัมเม่ือนามาขดั เจียรแลว้ เหลือใช้งานประมาณ ๔๐ กรมั (ภาพท่ี ๒.๒ก) แนวรทู ่เี ปลอื กหอยเปา๋ ฮ้ือ (ภาพท่ี ๒.๒ข) ๒.๓ หอยจาน เปน็ หอยทะเล ชนิดสองฝาทีเ่ ล้ยี งไว้สาหรับผลิตไข่มุกทาเครือ่ งประดับต่างๆ และเปลอื กหอยสามารถนามาใชป้ ระดับงานมกุ ได้ แตค่ วามแวววาวนอ้ ยกว่าหอยอูด (มีไฟ นอ้ ย)โทนสีของเปลือกเป็นสขี าวขุ่น และสีน้าตาล (ภาพที่ ๓.๓ก),(ภาพท่ี ๓.๓ข) นิยม สาหรับการประดับมกุ แบบฝงั ลาย หรอื นามาตัดทาเส้นตรงในงานประดบั ลาย หรอื ใชร้ ว่ มกบั หอยประเภทอ่ืนเพื่อให้เห็นความแตกตา่ งของสเี ปลอื กหอยงานก็ได้เชน่ กัน หอยชนิดนี้มีราคา ถูก ปริมาณหอย ๑ ตัว หนัก ๕ ขดี เม่ือขัดเจยี รแล้ว เหลือใช้งาน ๒ ขดี (ภาพที่ ๒.๓ก) ( ภาพท่ี ๒.๓ข)

๑๖ ๒.๔ หอยกาบน้าจดื เปน็ หอยน้าจดื ขนาดใหญ่ประเภทหอย สองฝา แต่ไมค่ ่อยมคี วามแวว วาว(ไฟไม่คอ่ ยดีนัก) ลกั ษณะของสีจะออกไปเชิงสีขาวอมน้าตาล (ภาพที่ ๓.๔)หอยน้าหนกั ประมาณ ๑.๒ กก. เม่ือขัดหินปูนออกเหลอื ใชง้ านประมาณ ๘๕๐ กรัม ๒.๕ หอยนมสาว ลกั ษณะคลา้ ยหอยจุ๊บหรอื หอยขม แตห่ อยนมสาวเปน็ หอยทะเลทม่ี ขี นาด ใหญ่กว่ามาก มีเปลือกหนาและมีหนิ ปนู เกาะผิวนอก เปลือกที่อยู่ภายในมีความแวววาว(ให้ ไฟดพี อควร) (ภาพท่ี ๓.๕) สามารถใช้ทางานประดับมุกได้ดี แต่เนือ้ ท่ีสาหรบั ใชง้ านมนี ้อย (ภาพท่ี ๒.๔) (ภาพที่ ๒.๕) ๓.๖ หอยแมลงภ่ขู นาดใหญ่ ลกั ษณะเนือ้ บางทางานยาก ฉลุไม่ได้เหมาะจะทาการทบุ เพือ่ นามาทามุกโรยลายแต่ไฟไม่คอ่ ยดีนัก ๓. สมุกที่ใช้ในงานประดับมุก จะใชส้ มกุ กะลาเป็นสว่ นใหญ่ เนอื่ งจากสมุกกะละจะมคี วามแข็ง แตใ่ นชา่ งบางท่านในกระบวนการสุดท้ายในการเกบ็ รายละเอียดของงานประดับมุกจะใช้สมกุ ใบตองเป็นลาดับสุดท้ายเพ่อื เกบ็ รายละเอียดไม่วา่ จะเป็นร้อยตามดหรือรอยจากการแรลายเป็นต้น ๓.๑ สมุกกะลา ใช้ในการถมงานประดับมกุ เพราะสมุกกะลาจะมีความแขง็ แกรง่ ทนกว่า สมกุ ประเภทอน่ื และมสี ดี า ๓.๒ สมุกใบตอง ใช้ในการถมรกั สมุกในคร้งั สุดท้ายสุดเพ่ืออุดรอยตามด เพราะเปน็ สมกุ ที่ มคี วามละเอียดมากกว่าสมุกประเภทอน่ื ๆ

๑๗ ๔. ยางรัก เป็นน้ายางท่ไี ด้จากต้นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ข้ึนอย่เู ป็นหมู่ ๆ ประปรายทัว่ ไปตามป่า เบญจพรรณ ทค่ี ่อนข้างแห้งแลง้ ทางภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใตต้ อนบนยางรกั เปน็ วัสดุ ธรรมชาติ มีลกั ษณะเปน็ ยางเหนียว ใชท้ า หรอื เคลอื บผิวสิง่ ต่าง ๆ และประสานวัสดุอน่ื ดังสมกุ สาหรบั เสริมสรา้ งความม่ันคง ทนทานแก่ พ้ืน โครงสรา้ งผิว ของงานศลิ ปะได้เป็นอย่างดีเมอ่ื ยางรัก แหง้ สนิทแล้ว ผวิ จะเปน็ มนั ๕. วัสดุใช้แทนยางรัก เนื่องจากปัจจุบันยางรกั หาได้ยาก มรี าคาสงู กระบวนการทางานย่งุ ยาก ใชเ้ วลาในการปฏบิ ัติงานนาน และยงั มกี ารแพ้รักในผ้ปู ฏิบตั งิ านด้วย จงึ ไดม้ กี ารนาวัสดอุ นื่ มาใช้ ทดแทนยางรกั เพอื่ ให้งานประดบั มุกปกิบัตงานไดร้ วดเร็ว ผลติ ไดจ้ านวนมากทันตอ่ ความต้องการ ของผบู้ ริโภค ดงั น้นั ในเอกสารน้จี งึ ขอยกตวั อย่างวดั ดุทใ่ี ชแ้ ทนอย่างรกั มา ๒ ชนิดดงั ตวั อย่าง ๕.๑ สโี ปว๊ เป็นสโี ปว๊ รถยนต์ย่หี ้อต่างๆตามความสะดวกของช่างนามาผสมสดี าแลผสม ตวั เร่งและทากาโปวล๊ งบนช้ินงานประดับมุกท่ปี ระดบั ลวดลายเสร็จเรียบร้อยแลว้ ทาการโปว๊ ใหเ้ ตม็ ลวดลายท้งิ ให้แหง้ ก็สามารถขดั แตง่ ช้นิ งานได้เลย ชา่ งในงานประดบั มุกเพ่อื การจา หน่วยในปจั จุบนั จงึ นิยมใช้เพราะสามารถได้ชน้ิ งานเร็ว ทาเวลาได้ตามกาหนด ทาให้ต้นทุน ในการผลติ ตา่ ลงได้ ๕.๒ อพี ๊อกซ่ชี นิด A ,B นิยมใชง้ านในการถมลายประดับมกุ เช่นกันโดยนาสว่ นผสมอีพอก ซ่ี เอ ผสมกบั สดี าใหเ้ ขา้ กันดี แลว้ จาอีพอกซีชนดิ บี .ในอัตราสว่ นทเี่ ท่ากนั มาผสมกนั ให้ดี แลว้ จึงทาการโป๊วลงบนชน้ิ งานทที่ าการประดับลวดลายมกุ เรียบร้อยแล้ว โดยถมใหเ้ ต็ม แลว้ ทาการขัดออกหรอื ถา้ หากยังไมเ่ ต็มก็ทาซ้าเชน่ เดยี วกันกบั รอบแรกจนลวดลายเต็ม แต่เมอื ถมอีพอกซเี ต็มแลว้ ตอ้ งคอยเวลาใหอ้ พี อกซเ่ี ซต็ ตัวแข็งตามระยะเวลาหรือจะทิ้งไวป้ ระมาณ ๑ วนั แลว้ จงึ ทาการขดั

๑๘ อปุ กรณ์ที่ใช้ในงานประดบั มกุ ๑. เครอื่ งมือออกแบบเขยี นแบบ ใช้ในการออกแบบเขยี นแบบในการสรา้ งชิ้นงาน และออกแบบ ลวดลายในงานประดบั มุก เชน่ ดินสอ ยางลบ เคร่ืองมือในการวดั ตา่ งๆ (ภาพท่ี ๑) (ภาพที่ ๑) ๒. หนิ เจยี รหรือหินขัด ใช้ในการขัดหนิ ปูนนยิ มใช้หนิ สีเขียว เบอร์ ๘๐ ขนาด เสน้ ผ่าศนู ย์กลาง ๖ น้ิว หรอื ๘ นว้ิ ดงั ภาพ (ภาพท่ี ๒) ๓. หินลูกจนั ทน์ ใชห้ ินสีเขียว เบอร์ ๑๐๐ ขนาด เส้นผา่ ศูนยก์ ลาง ๔ นว้ิ ติดกับมอเตอร์ และใช้ หนิ ล้างขัดลดขนาด และลบเหลีย่ ม ใช้เพอ่ื ขัดหนิ ปนู และน้าลายหอยออกในส่วนโค้งดา้ นในของ หอย ดงั ภาพ (ภาพที่ ๓) (ภาพท่ี ๒) (ภาพท่ี ๓)

๑๙ ๔. หนิ ล้าง เป็นหินทม่ี คี วามแขง็ (ภาพท่ี ๔ก) ใชส้ าหรบั ลา้ งหน้าหินใหเ้ รียบเสมอเพ่อื การใช้งาน ท่ัวไปแตใ่ นงานช่างมกุ ใช้ล้างคมหนิ ทหี่ นา้ ตรงให้เปน็ หน้าโค้ง (ภาพท่ี ๔ข) ตามความโค้งของ เปลอื กหอย เพ่ือทาหินลกู จนั ทน์ สาหรบั ขดั น้าลายหอยในส่วนโค้งด้านใน (ภาพที่ ๔ก) (ภาพท่ี ๔ข) ๕. ใบตัด มีหลายใช้ในการตัดแบ่งชนิ้ หอยหรือใชใ้ นการสร้างลวดลายบางประเภทเพอ่ื ใช้ในงาน ประดบั มุกไดโ้ ดยจะกล่าวถงึ ใบตัดหลายประเภททีช่ ่างเคยได้มกี ารทดลองใช้จากประสบการณ์ ทางานว่างใบตดั ประเภทใดมีคุณสมบัติ และควรใชใ้ นขนั้ ตอนใด และใบตัดทัง้ ๓ ชนดิ แรก ใช้ ตดั แบง่ หอยออกเปน็ ช้ิน ๆ , และสามารถซอยหอยเป็นเส้น และ บากลายได้ (ภาพที่ ๕) (ภาพที่ ๕)

๒๐ ๕.๑ ใบตัดพลอย (สีเทา) ปกตใิ ชใ้ นการตัดเน้ือพลอยในการเจยี รในพลอย สาหรบั งาน ช่างมกุ ใช้ในการตดั แบง่ ช้ินหอย (ภาพที่ ๕.๑ก),(ภาพที่ ๕.๑ข)ใบตดั ชนิดน้ีจะทนทาน และ ปลอดภัยในการปฏบิ ตั งิ านกว่าใบตดั ชนิดอ่ืน ๆ เพราะมีความยึดหยนุ่ ใชไ้ ดน้ านโดยไมบ่ ดิ ฉีกขาดงา่ ย เม่อื ใบตัดหมดความคม ใหใ้ ชส้ งั กะสตี ดั ขนาดกวา้ ง ๑ นวิ้ ยาว ๔ นิ้ว จับ สังกะสีใหแ้ นน่ นาไปจที้ ่ีใบขณะท่มี อเตอร์กาลังทางานอยู่ ใหใ้ บตดั เลือ่ ยเข้าหาเน้ือสังกะสีกิน ลกึ ประมาณ .๕ ซม. ทาอย่างน้ีไปเลอื่ ยจนประมาณ ๑๐ คร้งั ใบจะมคี วามคมใกลเ้ คยี ง ของใหม่ แต่ใบตัดจะบางลง เมอ่ื ใบตดั บางลง สามารถนาไปใชใ้ นการตดั เสน้ บากลายใน การสรา้ งลวดลายด้วยเคร่อื งมือ เสน้ จะเลก็ ช่างจะหวง ไมค่ อ่ ยให้ใครใชเ้ พราะกลวั จะทาใบ ตดั เสยี ๑ (ภาพท่ี ๕.๑ก) (ภาพท่ี ๕.๑ข) ๕.๒ ใบตดั ทองแดง ความหยดึ หย่นุ มีนอ้ ย มกั ขาด และหมดคมง่ายมกั เกดิ ปัญหาในการ บิดและอาจดึงเปลอื กหอย หรอื มอื ของผ้ปู ฏบิ ตั ิงานให้เกดิ การบาดเจ็บจากการปฏิบตั งิ าน หากเกิดกรณีการดึงชิน้ งานเข้าไปก็ใหป้ ลอ่ ยช้ินหอยท้งิ เลยจะได้ไม่เกดิ อบุ ัตเิ หตุ (ภาพที่ ๕.๒ก),(ภาพท่ี ๕.๒ข) (ภาพที่ ๕.๒ก) (ภาพท่ี ๕.๒ข) ๑ บทสมั ภาษณ์ นายแดง แจม่ จนั ทร์ วันท๔ี่ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑ เวลา ๑๐.๓๐ น. – ๑๑.๑๕ น. ณ กลมุ่ งานชา่ งปนั้ หุ่นและชา่ งปนั้ ลาย

๒๑ ๕.๓ ใบตดั สแตนเลส ความหยึดหยุ่นมนี ้อย มกั ขาดและหมดคมงา่ ยมกั เกิดปัญหาใน การบิดและอาจดึงเปลือกหอย หรอื มือของผู้ปฏิบตั ิงานให้เกดิ การบาดเจบ็ จากการปฏิบัตงิ าน หากเกดิ กรณีการดงึ ชิ้นงานเขา้ ไปก็ให้ปล่อยชิน้ หอยท้งิ เลยจะได้ไม่เกิดอบุ ัติเหตุ (ภาพที่ ๕.๓ก),(ภาพที่ ๕.๓ข) (ภาพที่ ๕.๓ก) (ภาพที่ ๕.๓ข) ๕.๔ ใบตัดกระเบ้อื ง ใชป้ ระกอบกับมอเตอร์ใช้ตดั แบง่ หอยโข่งทย่ี งั ไมไ่ ดข้ ดั หินปนู ออก เปน็ หอยใหญ่ ความหนามาก แบง่ หอยโขง่ ออกเปน็ ๓ ชิ้นใหญ่ การใช้ใบตดั ชนิดนีจ้ ะทาให้ เสียพน้ื ท่ขี องช้ินงานเพราะใบตัดหนา และก่อให้เกิดอนั ตรายตอ่ ผปู้ ฏบิ ตั งิ าน จากการ ลองใชแ้ ล้วเหน็ วา่ ไมเ่ หมาะสมที่จะนามาใชใ้ นการปฏบิ ตั ิงาน(ภาพท่ี๕.๔ก)(ภาพท่ี๕.๔ข) (ภาพท่ี ๕.๔ก) (ภาพท่ี ๕.๔ ข)

๒๒ ๖. มอเตอร์ ท่ีใชใ้ นงานประดบั มกุ จะเปน็ มอเตอร์ทีม่ ีขายตามท้องตลาดทั่วไป แต่ตอ้ งมกี ารนามา ปรับเปล่ยี น เพอื่ นามาใชง้ านคือนาใบตัดมาประกอบ ต้องกลึงแกนประกับตัวจับใบใหม่ เพ่อื นามาใช้ในการตดั แบง่ ชนิ้ มกุ ประดบั มุก หรอื เปลยี่ นหนิ เจียร และไม่ควรนาไปใชร้ ว่ มกบั งาน ประเภทอื่น เช่นนาเหลก็ มาเจียรทาให้คมของหนิ เสยี เปน็ รอยได้ ๖.๑ มอเตอร์ตดิ หนิ เจียร ติดหินเจียรขนาด ๘ นิว้ เบอร์ ๘๐ ใช้สาหรับขดั หรอื เจยี ร หินปนู ในการปอกเปลือกหอย ตดิ หนิ ลูกจันทน์ขนาด ๔ นิว้ เบอร์ ๑๐๐ ใช้สาหรับขัด หรอื น้าลายหอย ในสว่ นโค้งดา้ นในเปลือกหอย (ภาพท่ี๖.๑ก)(ภาพที่ ๖.๑ข) (ภาพที่ ๖.๑ก) (ภาพที่ ๖.๑ ข) ๖.๒ มอเตอร์ตดิ ใบตัด ใช้สาหรับตัดแบง่ ชิ้นหอย สามารถใชใ้ นการตัดเสน้ ตรง และตัว ลายบางแบบ ได้ (ภาพท่ี๖.๒ก)(ภาพที่ ๖.๒ข) (ภาพท่ี ๖.๒ก) (ภาพท่ี ๖.๒ ข)

๒๓ ๗. โต๊ะปฏิบตั งิ านช่างมกุ โดยปกติช่างนยิ มนาโต๊ะช่างทาทองมาใช้ เน่ืองจากลกั ษณะงานเป็นการ ฉลุ ลวดลายทม่ี ชี ัน้ ล้นิ ชักสาหรบั เก็บอปุ กรณ์ และต้องมีผา้ สเี ข้มเพอ่ื รองรับลายในการฉลุทอ่ี าจจะ ร่วงหลุดลงพ้ืนเกดิ ปัญหาในการสูญหายของชน้ิ งานทฉี่ ลุเรียบรอ้ ยแลว้ (ภาพที่๗ก)(ภาพที่ ๗ข) (ภาพท่ี ๗ ก) (ภาพท่ี ๗ ข) ๘. โคมไฟ แสงสวา่ งมคี วามจาเปน็ อยา่ งยิง่ ในการปฏิบัตงิ านชา่ งมกุ โดยเฉพาะในการฉลุและขดั แตง่ ลวดลายเนื่องจากลายมกุ จะเปน็ ชิ้นงานท่ีมขี นาดเลก็ ๙. ไมห้ างปลา หรอื ไมห้ างเหยย่ี ว ช่างแต่ละคนเรยี กไมเ่ หมอื นกันเป็นไมไ้ ว้รองเวลาฉลุลวดลาย มีลักษณะ และแบบท่ีแตกตา่ งกนั แล้วแต่ความถนัดของช่างแต่ละคน (ภาพที่ ๙ ก) (ภาพที่ ๙ ข) (ภาพท่ี ๙ ค),(ภาพที่ ๙ ง) ใช้สาหรับรองครมี จับหอยในขั้นตอนการฉลุ และขัดแต่งลวดลาย ขนาดประมาณ กวา้ ง ๒ นว้ิ ยาว ๑๒ นว้ิ นามาเลอื่ ยบากเป็นรูปหางปลา นาไปตอกด้วยตะปู ติดโตะ๊ ทางาน ภาพท่ี ๙ ก ภาพท่ี ๙ข

๒๔ (ภาพที่ ๙ ค) (ภาพท่ี ๙ ง) ๑๐.ผา้ สีดา หรือสีเขม้ ใช้ติดกับโตะ๊ ใตห้ างปลา และอยู่บนตกั ของชา่ งผูป้ ฏิบตั ิงาน สาหรบั รองฝ่นุ และช้ินหอยมกุ จากการเลื่อย ฉลุชนิ้ งานปอ้ งกันการขาดรวงตกหาย เสยี เวลาหาตัวลาย (ภาพที่ ๑๐) (ภาพที่ ๑๐) ๑๑.โครงเล่อื ยฉลุ ใช้งานประดับมุกมหี ลายแบบ โครงท่ีใชใ้ นปัจจบุ ันโครงเลอ่ื ยชา่ งทองสามารถปรบั ความกวา้ ง และแคบของโครงได้ ( ภาพท่ี ๑๑ก) และน๊อตหางปลาตอ้ งมีสารองไว้เพ่อื ใชเ้ ปลย่ี น เม่ือเกลียวของน๊อตกิดสึกหรอ โครงเลอ่ื ยแบบโบราณ ใช้หวายดัดโคง้ ( ภาพที่ ๑๑ข) (ภาพที่ ๑๑ก) ( ภาพท่ี ๑๑ข)

๒๕ ๑๒. ใบเลื่อยฉลลุ าย มี ๒ ชนดิ ไดแ้ ก่ ใบเล่อื ยฉลุไม้ และใบเล่อื ยฉลุโลหะ (ภาพที่ ๑๒) ๑๒.๑ ใบเล่ือยโลหะเปน็ ใบเลอ่ื ยสาหรับเลือ่ ยฉลโุ ลหะ ใชเ้ บอร์ ๐ และ เบอร์ ๑ ลักษณะใบ เลอื่ ยฟนั ของใบเลีอ่ ยจะมีลกั ษณะของฟันทส่ี ม่าเสมอตลอดทง้ั ใบ ใบเลือ่ ยโลหะใชไ้ ด้เลย ๑๒.๒ ใบเลื่อยไม้เป็นใบเลอ่ื ยสาหรบั เล่ือยไม้ ใช้เบอร์ ๐ และ เบอร์ ๑ ลกั ษณะของฝันใบ เลื่อย เป็นคฟู่ นั เว้นวรรคแลว้ มี คฟู่ นั เปน็ เช่นนี้จนตลอดทง้ั ใบ (ภาพท่ี ๑๒) ๑๒.๓ การทาใบเลอ่ื ยแบบโบราณ ใช้เสน้ ลวดเหลก็ เปน็ (เหลก็ ทีม่ ีความแขง็ )นามาติดกบั โครงเลื่อย และยดึ แท่นให้แน่น แล้วใชเ้ หลก็ ท่ีมีความแขง็ กว่ามาสบั ให้เปน็ ลักษณะฟันเลื่อย ตลอดแนวทั้งใบ ๒ ด้าน คอื ฝ่งั ด้านบน และดา้ นขา้ ง (ภาพ๑๒.๓ก), (ภาพ๑๒.๓ข) (ภาพท่ี ๑๒.๓ก) เหล็กสาหรบั สับฟันเล่ือย ดา้ นบน และดา้ นขา้ ง ( ภาพท่ี ๑๒.๓ข)

๒๖ ๑๓. ตะไบ แบบ และขนาดต่างๆ มไี ว้เพือ่ ขัดแต่งขอบลายท่ีทาการฉลุแลว้ เพอ่ื ลบรอยคลองเลอ่ื ย หมดไป และขัดแตง่ ตัวลายให้ไดท้ รงตามทต่ี อ้ งการ ๑๓.๑ ตะไบหางหนู ตะไบเหล็กขนาดเล็กใช้ในการขดั แต่งลบรอยคลองเลอื่ ย(คมเลื่อย) แตง่ ตัวลายให้มีความสวยงาม มหี ลายลักษณะ เลือกใช้ตามลกั ษณะของตัวลาย (ภาพท่ี ๑๓.๑ก),(ภาพที่ ๑๓.๑ข) (ภาพ ๑๓.๑ก) (ภาพ ๑๓.๑ข) ๑๓.๒ ตะไบหางหนู ตะไบเพชร เปน็ ตะไบทโ่ี รยกากเพชร ลกั ษณะคล้ายตะไบแต่งเล็บ ตะไบจะมีความคมและทนกว่าตะไบเหลก็ ทว่ั ไป ไมเ่ ป็นสนิม แตร่ าคาแพงกวา่ ตะไบเหล็ก (ภาพที่ ๑๓.๒ก),(ภาพที่ ๑๓.๒ข) ภาพ๑๓.๒ก ภาพ๑๓.๒ข

๒๗ ๑๓.๓ ตะไบขนาด ๑๔ นวิ้ เป็นตะไบเหลก็ กลา้ ๑๓.๓.๑ ใช้ในการตคี ดั คลองเล่ือยเพ่อื เพ่มิ ความคมของใบเลอ่ื ยไมใ้ ช้ร่วมกับแทน่ เหลก็ ๑๓.๓.๒ ใชใ้ นการแต่งหุน่ ตน้ แบบ ทจ่ี ะใชใ้ นงานประดับมกุ (ภาพที่ ๑๕.๓) ๑๔.แทน่ เหล็ก ใชร้ องในการตเี ปิด หรือคัดคลองเลือ่ ยสาหรับใบเลื่อยฉลุไม้ เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความคม (ภาพท่ี ๑๔) ภาพท๑ี่ ๓.๓ ภาพที่ ๑๔ ๑๕. คมี ขนาด และแบบต่างๆ ใช้จับชนิ้ หอยขณะเลอ่ื ย และขณะขัดแตง่ ลวดลาย เพราะลายมี ขนาดเล็กใช้มือจับไม่ได้ และบิดน๊อตใส่ใบเลอ่ื ยดังภาพ (ภาพที่ ๑๕ก),(ภาพท่ี ๑๕ข) (ภาพท่ี ๑๕ก) (ภาพท่ี ๑๕ข)

๒๘ ๑๖.กรรไกร คตั เตอร์ ใชใ้ นการตดั ลายแบบแม่แบบไปผนกึ ลงบนช้นิ เปลือกหอยเพ่ือทาการฉลุดัง ภาพ (ภาพที่ ๑๖) ๑๗. ปากคบี ใชใ้ นการจัดตวั ลายทมี่ ขี นาดเล็กเพือ่ ประดับและจดั วางใหล้ วดลายดังภาพ (ภาพท่ี ๑๗) ภาพที่ ๑๖ ภาพที่ ๑๗ ๑๘. กระดาษสา ต้องเลอื กใชก้ ระดาษสาชนิดทีบ่ างมาก ๆ เพื่อใหส้ ามารถมองเหน็ ลวดลายทวี าง ดา้ นล่างในเวลาวางลาย นาลวดลายท่ีฉลเุ สร็จแล้วตดิ ตามแบบลายท้งิ แหง้ หรือบม่ นา้ จึงนาไป ประดบั บนชน้ิ งาน ๑๙. กาวลาเทก็ ซ์ กาวนา้ ใชต้ ิดแบบลายบนชิน้ หอยที่จะทาการเลอ่ื ยฉลแุ ละตดิ ลายทฉี่ ลุแล้วลงบน แบบลายกระดาษสา ๒๐. ตะแกรง ม้งุ ลวด ผ้าขาวบาง ผ้าซิลสกรีน ใช้ในการกรองรกั และกรองสมุกเนื่องจากรกั ที่ ไดม้ าจะมกี ากของใบเศษไมป้ ะป่นมาด้วยชา่ งตอ้ งนามากรองให้ไดเ้ น้ือรักนา้ เกล้ยี งด้วยผ้าขาว บางหรอื ใหล้ ะเอียดมากขนึ้ กใ็ ชผ้ ้าไหมซลิ สกรนี เม่อื ไดเ้ นื้อยางรกั แล้ว นาตากแดด และคนทกุ วันไมใ่ หห้ นา้ แหง้ จนน้าระเหยหมดนาเก็บไวใ้ นภาชนะทึบแสงปิดฝาใหแ้ น่นไม่ให้อากาศเขา้ ได้จะ ทาให้รกั แหง้ ขณะทีใ่ ช้งาน ตอ้ งใชเ้ วลานานหลายวันกว่ารกั ท่ที าจะแหง้ รักในกระปอ๋ งกแ็ หง้ ดว้ ย เฉพาะนัน้ รกั ทแ่ี หง้ แลว้ แข็ง จะปะปน่ อยู่กนั เน้ือรักเหลวด้วย จงึ จาเปน็ ทีจ่ ะต้องกรองอกี มิฉะนั้น ใช้ทารักโดยไม่กรองจะมีกากป่นอยู่ดว้ ย ทาใหพ้ ้ืนที่ไดไ้ มเ่ รยี บ ๒๑. พกู่ นั ใชพ้ กู่ นั ที่มลี กั ษณะขนที่คอ่ นข้างแข็งเพ่ือใชใ้ นการทารักใหเ้ ข้าในซอกของตัวลายได้ หรือใช้ ในการยรี กั สมกุ ให้ลงในซอกลายไดอ้ ย่างทว่ั ถงึ (ในบางครง้ั อาจต้องมีการตัดขนพกู่ ันใหส้ ัน้ ลง) เพ่อื ใหข้ นแปรงมคี วามแข็งพอเหมาะต่อการปฏบิ ตั ิงาน

๒๙ ๒๒. แปรงจนี เปน็ แปรงอกี ชนดิ หน่งึ ท่นี ิยมนามาใชใ้ นงานประดบั มุกเพราะลักษณะของขนแปรงส้ัน และมีความแขง็ ของขนแปรงพอประมาณ สามารถใชใ้ นการทารกั ใหเ้ ขา้ ในซอกลายได้ดีใช้ทารัก ลงบนผวิ งานมกุ ทฉี่ ลุเสรจ็ แล้วดงั ภาพ(ภาพท่ี ๒๒) ๒๓. เกรยี งโป๊ว ใชโ้ ปว๊ ใช้ในการผสมยางรกั กบั สมุก หรอื ผสมวัสดุแทนรัก และใช้ในการโป๊ววสั ดุ ต่างๆลงบนช้ินงานประดับมกุ กดอัดให้วัสดุลงในช่องลายใหเ้ ต็ม ดงั ภาพ(ภาพที่ ๒๓) (ภาพท่ี ๒๒) (ภาพที่ ๒๓) ๒๔. ตบู้ ม่ รัก ในการประดบั มกุ หรอื งานอน่ื ทใี่ ชย้ างรักในการปฏิบตั งิ านจาเป็นตอ้ งทาตู้บ่มชิน้ งาน เนือ่ งจากยางรกั จะแหง้ ได้ดีในลษั ณะอากาศทช่ี น้ื จึงจาเปน็ ต้องตเู้ พื่อใช้ในการบม่ ช้นิ งานเพื่อให้ รกั แห้งเรว็ ขึน้ บา้ งทาเป็นตู้แลว้ ใชผ้ ้าหม่ ชบุ น้าคลมุ หรือจะใช้กล่องพลาสติกทาแทน่ ตง้ั ชนิ้ งาน แล้วใชน้ า้ ใส่กาละมงั วางใวใ้ นตูก้ ไ็ ด้(ภาพท่ี ๒๔ก) หากงานมชี ิ้นขนาดใหญไ่ ม่สามารถทาตคู้ รอบ ให้ทาโครงแล้วใชผ้ า้ ห่ม(ผ้าผวย) คอยฉีดนา้ ที่ผา้ หม่ใหช้ ุมน้า และใชพ้ ลาสตกิ คลมุ ก็ได้(ภาพที่ ๒๔ก) (ภาพที่ ๒๔ก) (ภาพท่ี ๒๔ข)

๓๐ ๒๕. กระดาษทราย เบอร์ ตา่ ง ๆ ใช้ขัดลา้ งชน้ิ งานท่ีถมรักสมกุ การใชง้ านสามารถนากระดาษทราย ตดั เปน็ แผน่ ตดิ บนเคร่ืองขัดกระดาษทราย หรือตดั แลว้ นาไปติดบนแผ่นไมห้ รอื แผ่นยางทีม่ ีความ แขง็ รองแล้วใชข้ ดั หนา้ ช้นิ งานใหเ้ ห็นลายมุกท่ีถกู ถมดว้ ยยางรัก จนครบทกุ ตัว แล้วขน้ั สุดท้ายจึง ใช้กระดาษทรายละเอยี ดในการขดั เกบ็ แตง่ รายละเอยี ดของชิ้นงาน(ภาพที่ ๒๕) ๒๖. เครือ่ งขัดกระดาษทราย เปน็ อุปกรณ์ไฟฟ้าชว่ ยในการทุน่ แรงการขัดชิน้ งานในลักษณะทมี่ ีผิว เรียบดงั ภาพ(ภาพที่ ๒๖) (ภาพที่ ๒๕) (ภาพที่ ๒๖) ๒๗. สว่านแบบ และขนาดต่างๆ ใชใ้ นการเจาะในการทาลวดลาย หรือถอดเปล่ียนเป็นหวั เจียร หวั ขัดขนาดเลก็ ปรับเป็นเครอ่ื งเจยี รสายออ่ น เพือ่ ขัดชิ้นงานในสว่ นทเี่ ป็นร่องเลก็ ๆช่วยผ่อนแรง ในการขดั (ภาพท่ี ๒๗ก) (ภาพท่ี ๒๗ข) (ภาพที่ ๒๗ก) (ภาพท่ี ๒๗ข)

๓๑ ๒๘. เคร่ืองดดู ฝนุ่ พดั ลมดูดอากาศ การปฏิบตั งิ านมุกเปน็ งานทม่ี ีฝ่นุ มากในหลายขนั้ ตอน ตง้ั แต่ ขัน้ ตอนแรกการขัดหนิ ปูน เรอ่ื ยไปจนถึงขั้นตอน การขดั พนื้ สมุก เครอ่ื งดดู ฝ่นุ หรอื พัดลมดูด อากาศนามาประยกุ ตใ์ ช้งานได้ เพ่ือช่วยลดกระบวนการทาความสะอาดใหส้ ะดวกขน้ึ (ภาพท่ี ๒๘ก) (ภาพที่ ๒๘ข) (ภาพที่ ๒๘ก) (ภาพที่ ๒๘ข) ๒๙. หินกากเพชร/หนิ ลบั มีด เปน็ หนิ ท่ใี ช้ในการลับคมมดี ท่วั ไป แตส่ ามารถนามาประยกุ ต์ใชใ้ น งานประดับมกุ ไดเ้ ป็นอย่างดดี ังตวั อย่างภาพหนิ ลับมดี และการใช้งาน (ภาพที่๒๙ก), (ภาพท่ี ๒๙ข) (ภาพที่ ๒๙ก) (ภาพที่ ๒๙ข)

๓๒ ๓๐.ลูกหมู เปน็ อุปกรณ์ไฟฟ้าใชใ้ นการทนุ แรงในการขัด ใช้แผน่ กระดาษทรายติด ใชข้ ัดในชว่ งแรก ของการขดั ขนิ้ งานเพ่ือเปดิ ให้เห็นผิวมุกก่อนแล้วจึงใชก้ ระดาษทรายในการขดั ตกแตง่ รายละเอียด อกี ครง้ั ดงั ตวั อยา่ งภาพลูกหมแู ละการใชง้ าน (ภาพที่ ๓๐ก),(ภาพท่ี ๓๐ข) (ภาพท่ี ๓๐ก) (ภาพที่ ๓๐ข) ๓๑. เหลก็ อกไก่ หินนา้ มัน เป็นอปุ กรณท์ ใี ชใ้ นงานประดบั อญั มณีแต่นามาประยกุ ตใ์ ช้ในการ ตกแต่งรายละเอียดชิ้นงาน แรลายเขียนหรอื ขีดเสน้ บนเนอ้ื หอยเพอ่ื ให้เกดิ ลวดลาย เชน่ ในส่วน กลีบดอกไม้ใบไม้ หรอื การเขยี นลดลายเพิ่มเติมเลก็ น้อยบนงานประดบั มกุ ดงั ตวั อยา่ งภาพ (ภาพท่ี ๓๑ก),(ภาพท่ี ๓๑ข) (ภาพท่ี ๓๑ก) (ภาพที่ ๓๑ข)

๓๓ ๓๒. แปรงลวดเหลก็ ใช้ลา้ งฝุ่นของทหี่ ินปูนที่เกาะทีห่ ินเจยี รทาให้หินไมค่ ม เม่อื ใช้แปรงลวดเหล็กจี้ ขณะทีม่ อเตอร์ทางานอยู่ ฝุน่ หอยทีเ่ กาะอยู่ก็หายไปและทาใหห้ ินคม และกินหินปูนง่ายขนึ้ หรอื ใชข้ ัดปัดฝ่นุ ผงท่ีติดตะใบหรอื กระดาษทรายในการขัดรักสมุกหรือผุน่ อนื่ ๆดังภาพ (ภาพที่ ๓๒ก), (ภาพที่ ๓๒ข) (ภาพที่ ๓๒ก) (ภาพท่ี ๓๒ข) ๓๓.นา้ ยาเชด็ ล้างทาความสะอาดต่างๆ ๓๓.๑ น้ามนั สน ใช้ในการเชด้ ลา้ งทาความสะอาดยางรกั ท่ีติดมือหรอื อปุ กรณ์ เช่นผ้าซิ ลสกรนี ทใ่ี ชก้ รองรัก หรือมอื ทีเ่ ปอ้ื นรกั เปน็ ตน้ ๓๓.๒ นา้ มนั พืช ใช้ในการเช็ดทาความสะอาดก่อนลา้ งมอื จากการเดนิ ทางไปศกึ ษาดงู าน เก่ียวกับการทางานรักในภาคเหนอื จงั หวัดเชียงใหม่ชา่ งไดค้ วามรู้ ในการทาความสะอาด เช่นการเช็ด ลา้ งรัก ดว้ ยการใช้น้ามนั พืชเชด็ ก่อนแล้วจึงล้างทาความสะอาดคราบรกั ที่ตดิ มอื จะหลดุ งานและไม่เหมน็ เหมอื นการใชน้ า้ มนั สน ๓๔.ผงซกั ฟอก หรอื น้ายาลา้ งทาความสะอาดตา่ งๆ เมือ่ เช็ดลา้ งดา้ ยนา้ มันต่างๆแลว้ ให้ใช้น้ายา ล้างทาความสะอาดอกี รอบ แลว้ เช็ด หรอื ทิ้งใหแ้ หง้

๓๔ บทที่ ๓ การเตรียมวสั ดุ อปุ กรณ์ในการปฏิบตั งิ านประดับมุก วสั ดุอุปกรณท์ ่ีใช้ในการปฏบิ ัติงานประดับมุก ต้องมีการเตรียมหรอื นาอุปกรณ์ที่ใชก้ ับงานประเภท อืน่ มาปรับเปลย่ี นเพ่ือใช้งาน ให้เหมาะสมกับการทางานให้มากย่ิงขน้ึ เพิ่มเตมิ อุปกรเพื่อนามาประยกุ ตใ์ ช้ กบั งานประดับมุก หรือจัดเตยี มวสั ดุเพ่อื ให้เหมาะสมการการปฏิบตั งิ าน ใบทนี้จะกลา่ งถึงการจัดเตีรยม วสั ดุ อปุ กรณ์ให้เหมาะสมกบั การใชง้ านในกระบวนการสรา้ งงานประดบั มุก ๑. การเตรียมมอเตอร์ มอเตอรท์ มี ขี ายทวั่ ไปตามทอ้ งตลาด โดยมากจะติดหินเจยี รสเี ทา แต่ หินเจยี รทใี่ ช้ในงานประดบั มกุ จะนยิ มใช้หินเจียสีเขยี ว และในสว่ นของการตดิ ใบตัดตอ้ งนามาประ ยกุ ใชแ้ ละสร้างประกบั ใหม่เพ่ือให้เหมาะสมกบั การใช้งาน ๑.๑ มอเตอรต์ ิดหินเจียร นยิ มใชมอเตอร์ขนาด ๑ แรงม้า หรือ ๐.๕ แรงมา้ สาหรับ เจยี รหรือขดั หนิ ปนู และนา้ ลายหอยมอเตอร์หนิ เจยี รมแี กน ๒ ดา้ นและจะเป็นเกลียว กลับกันจะต้องเปลย่ี นจากหนิ สีเทาทตี่ ิดมาจากร้านค้าออก เป็นหินเจยี รสีเขียว เบอร์ ๘๐ เสน้ ผ่าศนู ยก์ ลาง ๖ หรอื ๘ นิว้ เพอื่ ขัดหินปนู อกี ดา้ นหน่งึ ติดหินเจียรสีเขยี ว เบอร์ ๑๐๐ ขนาดเสน้ ผ่าศนู ย์กลาง ๔ น้วิ เพื่อทาเปน็ หนิ ลูกจนั ทร์ (ชา่ งท่ีปฏบิ ตั ิงานเรียกกัน) (หินลกู จนั ทร์ ไม่มขี ายตามทอ้ งตลาด เมื่อซ้อื มาลกั ษณะของหนา้ หนิ ตรง นามาตดิ ต้ังเขา้ มอเตอร์ นา หินลา้ งมาขัดในขณะทม่ี อเตอร์ทางานอย่ใู ห้เหลี่ยมของหินหมดไป และเกิดเป็น หินท่มี ีความโค้ง) (ภาพท่ี ๑.๑ก),(ภาพท่ี ๑.๑ข)ใช้หนิ ลูกจันทน์สาหรบั ขัดเจยี รน้าลายหอย ทีอ่ ยใู่ นส่วนความโค้งดา้ นในของหอยออก ดังตวั อยา่ งมอเตอร์ติดหินเจียร(ภาพท่ี ๑.๑ค), (ภาพท่ี ๑.๑ง) (ภาพท่ี ๑.๑ก) (ภาพที่ ๑.๑ข

๓๕ (ภาพท่ี ๑.๑ค) สว่ นท่ีเปน็ หินลกู จนั ทน์ (ภาพที่ ๑.๑ง) ๑.๒ มอเตอรต์ ิดใบตดั มอเตอร์ตดิ ใบตดั ใช้สาหรบั ตัดแบ่งชนิ้ หอย โดยใชม้ อเตอร์ขนาด เศษหนงึ่ สว่ นสแี่ รงม้า(ภาพที่ ๑.๒ก)(ภาพท่ี ๑.๒ข) เมอื่ ซือ้ มอเตอร์มา แล้วนามาถอดเอา หินขดั ออก นาเคร่อื งมอเตอรไ์ ปร้านกลึง จ้างกลงึ เหล็กประกบ(ภาพท่ี ๑.๒ค) ใหแ้ กนตรง กลางใหญส่ วมแกนมอเตอร์ ขนาด ๓ หนุ ได้พอดี กลงึ ใหม้ ี ขอบลอ็ ก คอื เหล็กประกบสว่ น เดอื ยตัวผู้ (ขอบลอ็ ก)๓ หนุ เท่ากบั ความตา่ งของแกนมอเตอร์ ๓หนุ กับรูใบตดั ขนาด ๖ หนุ จะเหลอื ขอบลอ็ กบนแกนประกบ อยู่ ๓ หุน ทาให้กลงึ ไมย่ าก เหลก็ ประกบดา้ นนอกเปน็ ตัว เมยี ใช้สวมแกนของตัวผ้ทู ใ่ี สใ่ บตดั (ภาพที่ ๑.๒ง) แล้วนาไปกระกอบเข้ากบั มอเตอร์ ติด ใบตดั ช่งึ ต้องทาแท่นสาหรับรองโดยใชเ้ หลก็ ฉาก และแผ่นเหลก็ ยดึ ด้วยน๊อตหางปลา ให้ สามารถปรับเลื่อนขนาดได้ ใช้ในขัน้ ตอนการทาลวดลายโดยใชม้ อเตอร์ใบตัดในการทา เสน้ ตรงขนาดตา่ งๆ (ภาพที่ ๑.๒ค),(ภาพที่ ๑.๒ง) (ภาพที่ ๑.๒ก) (ภาพท่ี ๑.๒ข)

๓๖ (ภาพที่ ๑.๒ค) ขอบล็อก (ภาพท่ี ๑.๒ง) เปรยี บเทยี บแกนประกบ มอเตอรข์ นาด เศษหนง่ึ สว่ นส่แี รง กบั มอเตอรข์ นาด ๐.๕ แรงม้า หรอื ๑ แรงม้า แกนมอเตอร์มีขนาด ๔.๕ หุน ทาใหก้ ลงึ แกนประกบยากเพราะจะเหลอื ขอบลอ็ กบางมาก เมอื่ นาไปใชง้ านตดิ ใบตัด แกนใบตดั หมุนเหว่ยี ง มีโอกาสหลดุ เคลอื่ นได้ ง่าย ทาใหเ้ กิดปัญหาใบตดั บดิ ทาใหใ้ บตดั ฉีกขาดกอ่ ใกเ้ กิดอันตรายได้ ช่างผู้ปฏิบตั ิงาน ทดลองทาแลว้ ใชไ้ ดไ้ มด่ ี (ภาพที่ ๑.๒จ),(ภาพท่ี ๑.๒ฉ) แกนประกบ มอเตอรข์ นาด หน่ึงส่วนสีแ่ รงมา้ แกนประกบ มอเตอร์ขนาด ๐.๕ แรงม้า หรือ ๑ แรงม้า (ภาพท่ี ๑.๒จ) ขอบลอ็ ก (ภาพท่ี ๑.๒ฉ)

๓๗ ๒. การเตรยี มเปลอื กหอย การเตรียมเปลือกหอยเปน็ กระบวนการมีความสาคญั มากทสี่ ุด โดยในงานประดบั มกุ สามารถใช้หอยไดห้ ลายประเภททจี่ ะนามาใชท้ าลวดลาย ดังนัน้ การ จัดเตรยี มวสั ดุ เปลือกหอยแตล่ ะประเภทจึงมีแตกต่างกัน ในสานกั ชา่ งสิบหมทู่ ่ดี าเนนิ การสร้าง งานประดบั มุกจะใชห้ อย อยู่ ๓ ประเภท คือหอยโขง่ หอยเปา๋ ฮ้อื หอยจาน ในส่วนน้ีจะ นาเสนอการเตรยี มเปลือกหอย ๓ ประเภทเทา่ นัน้ ในขั้นตอนนมี้ ีกระบวนการหลายอย่างกว่าจะ ได้เปลือกหอยทสี่ ามารถนามาฉลุลวดลายได้ โดยคร่าวๆมี เลอื กหอย การปอกเปลอื กหอย การ ตดั แบง่ ช้นิ หอย การขัดนา้ ลายในหอยแตล่ ะประเภทจะมีขนั้ ตอนวิธกี ารท่แี ตกต่างกันไปตาม ประเภทหอย ๒.๑ หอยอดู หอยโข่ง หอยมกุ ไฟ เปน็ หอยทช่ี ่างให้การยอมรับวา่ เป็นหอยท่ีใหค้ วาม แวววาว(มไี ฟ)ท่ีสวยงามท่ีสดุ ลักษณะของหอยมคี วามเหนยี วสามารถฉลลุ วดลายทมี่ ีความ พร้ิวไหวอยา่ งลายกนกได้ดี โดยทเี่ นือ้ หอยจะไม่แตกเปราะง่าย หอยชนดิ นจี้ ะมรี าคาสูงมาก เม่อื เทีย่ บกนั ในหอยท้ัง ๓ ประเภทท่นี าเสนอ ๒.๑.๑ วธิ กี ารเลอื กหอย  เลอื กใชห้ อยโขง่ ขนาดเส้นผา่ ศนู ย์กลางของตัวหอยไมต่ ่ากว่า ๘ นว้ิ หรอื นา้ หนกั ตัวประมาณตวั ขนาด ๗ – ๘ ขดี ข้ึนไป  เลอื กหอยทไี่ มม่ เี พยี งเกาะกนิ เปลอื ก หรือถา้ มกี ็ต้องน้อยทสี่ ุด (เจา้ ของ รา้ นคา้ มักไมย่ อมใหเ้ ลอื ก)  แตห่ อยตวั ใหญ่ อายมุ าก วงจะกว้างได้พ้นื ท่ีแนวระนาบมากกวา่ สามารถทาลวดลายตัวใหญไ่ ด้ ๒.๑.๒ การขัดปอกเปลือก นาหอยทไ่ี ด้มาขดั โดยขดั ในสว่ นแรกคอื ส่วนทีเ่ ป็นตะเข็บ หรือโหนกของหอยดงั ภาพ(ภาพที่ ๒.๑.๒ก),(ภาพที่๒.๑.๒ข) ขดั เจยี รให้ได้ในระนาบ เดยี วกนั แลว้ ทาการปอกในส่วนอน่ื ตอ่ ไปโดยใช้มอเตอร์ตดิ หนิ เจีย ฝ่ังหินเจยี รปอกเปลือก แคเ่ ห็นผิวเขยี วๆดงั ภาพ(ภาพท่ี ๒.๑.๒ค),(ภาพท่ี๒.๑.๒ง),(ภาพที่ ๒.๑.๒จ),(ภาพท่ี ๒.๑.๒ฉ)

๓๘ (ภาพที่ ๒.๑.๒ก) (ภาพท๒่ี .๑.๒ข) (ภาพท่ี ๒.๑.๒ค) (ภาพท๒ี่ .๑.๒ง) (ภาพท๒่ี .๑.๒ฉ) (ภาพท่ี ๒.๑.๒จ)

๓๙ ๒.๑.๓ การตดั แบง่ ชนิ้ หอย ใหท้ าการตัดแบ่งในบรเิ วณตะเข็บหรือส่วนโหนกของหอย จากขอบปากหอยไล่ลงไปจนถงี ก้นหอย โดยใช้มอเตอรต์ ิดใบตดั ตัดซอยออกเปน็ ช้นิ แบง่ ออกเป็น ๓ ชน้ิ ดงั ตวั อยา่ งภาพ(ภาพท่ี ๒.๑.๓ก),(ภาพที่๑.๑.๓ข) (ภาพที่ ๒.๑.๓ค), (ภาพที่๒.๑.๓ง),(ภาพท่ี ๒.๑.๓จ),(ภาพที่๒.๑.๓ฉ) (ภาพท่ี ๒.๑.๓ก) (ภาพท๒่ี .๑.๓ข) (ภาพท่ี ๒.๑.๓ค) (ภาพท๒ี่ .๑.๓ง) (ภาพที่ ๒.๑.๓จ) (ภาพท๒ี่ .๑.๓ฉ)

๔๐ ๒.๑.๔ การขัดน้าลายมกุ ลักษณะของเปลือกหอยจะแบ่งออกเป็น ๓ ชัน้ (ภาพที่ ๒.๑.๔ก)นาช้นิ หอยท่ที าการตัดแบ่งแล้วนามาขดั หนิ ปนู ดา้ นใน (นา้ ลายมุก) (ภาพท่ี ๒.๑.๔ข) ขัดออกใหห้ มดเพราะนา้ ลายหอยจะมคี วามแข็งมาก แลว้ จากนนั้ จงึ ทาการขดั ให้ได้ความหนาท่เี หมาะสม กบั การปฏิบัติงาน คือ หนาประมาณ เหรยี ญ ๑ บาท ถึง เหรียญ๒ บาท โดยให้มีความหนาทสี่ มา่ เสมอทง้ั ชนิ้ (ภาพที่ ๒.๑.๔ค) ชา่ งท่มี ีความ ชานาญกส็ ามารถใช้มอื ในการสมั ผสั ตรวจเชค็ ความหนาได้ (ภาพที่ ๒.๑.๔ง) แต่จะใหด้ ี กค็ วรมเี ครื่องมอื ในการตรวจวดั ความหนาท่ชี ดั เจน (ภาพที่ ๒.๑.๔ก) (ภาพท๒่ี .๑.๔ข) (ภาพท่ี ๒.๑.๔ค) (ภาพท๒่ี .๑.๔ง)

๔๑ ๒.๑.๕ การขัดชน้ิ หอยใหเ้ ป็นแผน่ ตรง ในงานประดบั มกุ หากมีการประดับลวดลาย บนชิ้นงานท่เี ปน็ แผ่นเรยี บ มลี ักษณะแนวตรง ยาว ลายใหญ่ ต้องใช้หอยทีม่ ลี กั ษณะ แนวตรงยาว จะเปน็ ต้องใช้การขดั หอยให้ได้ลักษณะแป็นแผน่ ตรงยาว แบนเรยี บ และมี ความกว้าง หรือยาวมากมีวีการคอื คดั เลือกหอยในสว่ นปากบนทมี่ ีลักษณะทค่ี อ่ นขา้ งตรง มาตดั แบ่งซอยให้ไดข้ นาดพอประมาณ (ภาพที่๒.๑.๕ก) แล้วทาการขดั โดยวางแนบลงไป แบนแผน่ หินเจียรทัง้ ดา้ นในและดา้ นนอกจนกระทง้ั ไดเ้ ปลือกหอยท่มี ลี กั ษณะแบนเรยี บ ตามทต่ี ้องการดงั ตัวอยา่ งภาพ(ภาพที่๒.๑.๕ข), (ภาพท่ี๒.๑.๕ค), (ภาพที่๒.๑.๕ง), (ภาพ (ภาพท๒ี่ .๑.๕ก) (ภาพท๒ี่ .๑.๕ข) (ภาพท๒ี่ .๑.๕ค) (ภาพท๒่ี .๑.๕ง) ๒.๒ หอยเป๋าฮ้ือ หรอื หอยร้อยรู เป็นหอยท่ใี หค้ วามแวววาวได้ไกลเ้ คียงกับหอยโขง่ โทนสจี ะมีโทนสเี ขยี ว และโทนสชี มพู เมอื่ ช่างผู้ปฏิบัตงิ าน ลักษณะของเน้อื หอยเวลาฉลุ หรอื เวลาปฏิบตั ิงานจะแตกเปราะงา่ ย หอยชนดิ น้ีจะขัดง่ายใชง้ านสะดวก ราคากไ็ มแ่ พง