1 บทที 2 การสร้ างนํานมและการรีดนมโค การสร้ างนํานมโคเกียวข้องโดยตรงกับโครงสร้างเต้านม สรีรวิทยาของการกลันสร้ าง นํานม กลไกการปลดปล่อยนํานมและปัจจัยทีมีผลตอ่ การกลนั สร้างนํานม การผลิตนํานมโคทีมี คณุ ภาพทางจลุ ินทรีย์หรือสขุ ลกั ษณะทีดีย่อมเกียวข้องกบั การเตรียมสถานทีและแม่โคก่อนการรีด นม กระบวนการรีดนมและสถานทีสําหรับการรีดนมโค โครงสร้ างเต้ านม โคนมมีเต้านม 4 เต้า แบง่ เป็นเต้านมคหู่ น้า 2 เต้า และเต้าหลงั 2 เต้า แยกกนั ผลิตนํานม แต่ละเต้าจะถูกแบ่งโดยเอ็นทีเรียกว่า มีเดียล ซัสเพนโซรี ลิกาเมนท์ (median suspensory ligament) ซึงถือเป็ นเอ็นรังทีสําคญั มีผลตอ่ การพยงุ เต้านมให้อยู่ทีศนู ย์กลางของตวั โคเนืองจาก เป็นเอน็ ทียดึ เต้านมตามแนวกลางและเอ็นทียึดเต้านมด้านข้างคือ ลาเทอรัล ซสั เพนโซรี ลิกาเมนท์ (lateral suspensory ligament) ลกั ษณะของเต้านมเป็ นตอ่ มใต้ผิวหนงั เกาะติดอย่ทู ีส่วนท้องของ โคตงั แตบ่ ริเวณขาคหู่ ลงั เกือบถึงกึงกลางลําตวั โค โดยมีผิวหนงั ห่อเต้านม มีเส้นเอ็นมีเดียล ซสั เพ นโซรี ลิกาเมนท์ชว่ ยยึดโยงเต้านมให้ติดกบั ลําตวั (ภาพที 2.1) รูปทรงเต้านมของโคแตล่ ะพนั ธ์ุมี ลกั ษณะแตกตา่ งกนั ไป เนืองจากลกั ษณะของพนั ธุกรรมและการปรับปรุงพนั ธ์ุเพือให้แม่โคมีเต้านม ทีมีลกั ษณะเหมาะสมในการให้ผลผลิตนํานมสงู ขนาดเต้านมโคแตล่ ะตวั สามารถเปรียบเทียบได้ โดยการวัดความลึกของเต้านมจากจุดทีเต้านมเกาะยึดติดลําตัวด้านท้ายเป็ นแนวดิงถึงพืน ด้านหลงั ของเต้านม (ธนั วา ไวบท, 2552, หน้า 265; Wattiaux, 2011d) ภาพที 2.1 โครงสร้างและระบบการพยงุ เต้านมโค ทีมา: (Wattiaux, 2011d)
2 ระบบท่อนม ระบบทอ่ นม (duct system) ของเต้านมทําหน้าทีสร้างนํานมและเก็บกักนํานมทีสร้าง แล้ว ระบบทอ่ นํานมสามารถแยกได้เป็น 4 สว่ น ดงั นี 1. กระเปาะสร้างนํานม (aliveoli) ในเต้านมมีกระเปาะสร้ างนํานมจํานวนมาก ลักษณะเป็ นพวงคล้ายองุ่นเป็ น เนือเยือเซลล์ชันเดียวทีนําสารอาหารออกจากกระแสโลหิตมาผลิตนํานม เรียกกระบวนการนีว่า กาแลคโทโพลิซิส คือ การเปลียนสารอาหารไปเป็ นนมโดยพลังงานทีใช้ส่วนใหญ่มาจากนําตาล กลโู คสทีสร้างจากกรดโพรพิโอนิค ในโพรงเก็บนํานมหรือแอง่ รวมนม (gland cistern หรือ udder cistern) จะมีกระเปาะสร้างนํานมจํานวน 5x1012 เซลล์ (ภาพที 2.2) เซลล์เหล่านีมีทงั เจริญและ หลดุ ออกมาจากนํานม โดยช่วงแรกของการรีดนมอตั ราการเจริญเติบโตของเซลล์ใหม่มีมากกว่า เซลล์เก่าจนถึงช่วงทีโคให้นมสงู สดุ อตั ราการสร้างเซลล์ใหม่กับเซลล์ใหม่กบั เซลล์เสือมจะอยู่ใน อตั ราเดียวกนั เมือเลยช่วงแมโ่ คให้นมสงู สดุ ไปแล้ว (ธันวา ไวบท, 2552, หน้า 265; ศนู ย์วิจยั การ ผสมเทียมและเทคโนโลยีชีวภาพนครราชสีมา, 2547ข; Wattiaux, 2011d) 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. ภาพที 2.2 ลกั ษณะของกระเปาะสร้างนํานมในโพรงเก็บนํานม ทีมา: (ธนั วา ไวบท, 2552, หน้า 266) 2. ท่อนม (mammary duct) ท่อนมเป็ นส่วนทีต่อมาจากกระเปาะสร้ างนํานม ส่วนเริมต้นทีต่อจากกระเปาะ สร้างนํานมจะมีขนาดเล็ก จึงเรียกวา่ ท่อนมเล็กหรือท่อนมฝอยซึงมีเป็ นจํานวนมาก จากนนั ท่อนม
3 ฝอยจะมารวมกนั เป็นทอ่ นมทีใหญ่ขนึ ซงึ มีประมาณ 12-20 ทอ่ เรียกว่าทอ่ นมใหญ่ เมือผ่านจากทอ่ นมใหญ่นํานมจะไปรวมกนั ทีโพรงเก็บนํานมหรือแอ่งรวมนํานม ทอ่ นนมถกู ล้อมรอบด้วยกล้ามเนือ พิเศษทีชือ ไมโออีพิทีเลียล (myoepithelial) (ภาพที 2.3) โดยกล้ามเนือพิเศษจะทําการบีบรัดตวั เพือให้นํานมไหลออกจากท่อนมเช่นเดียวกบั กระเปาะสร้างนํานม (ศนู ย์วิจยั การผสมเทียมและ เทคโนโลยีชีวภาพนครราชสีมา, 2547ข) ภาพที 2.3 ลกั ษณะของทอ่ นม ทีมา: (Wattiaux, 2011d) 3. โพรงเกบ็ นํานมหรือแอ่งรวมนม (gland cistern, udder cistern) โพรงเก็บนํานมหรือแอ่งรวมนํานมเป็ นช่องต่อจากท่อนมใหญ่ (ภาพที 2.2) ทําหน้าทีในการเก็บรวมนํานม (ศูนย์วิจัยการผสมเทียมและเทคโนโลยีชีวภาพนครราชสีมา, 2547ข) 4. โพรงหวั นม (teat cistern) และรูหวั นม (steak canal) หวั นม เป็นสว่ นทียืนและยาวออกจากเต้านม มีความยาวประมาณ 6.6 เซนติเมตร เส้นผา่ นศนู ย์กลางประมาณ 2.9 เซนตเิ มตร หวั นมถกู ห่อห้มุ ด้วยผิวหนงั ซึงไมม่ ีขน ไมม่ ีตอ่ มไขมนั หวั นมเป็ นทางออกของนํานม เต้านมแตล่ ะเต้ามีหวั นม 1 หวั ภายในหวั นมมีลกั ษณะเป็ นโพรง เรียกว่า โพรงหัวนม โพรงนีจะเป็ นทีพกั นํานมเป็ นส่วนทีต่อมาจากโพรงเก็บนํานมหรือแอ่งรวม
4 นํานม ส่วนปลายของหัวนมจะเป็ นรูเปิ ด-ปิ ดให้นํานมไหลหรือไม่ให้ไหลออกมา เรียกว่า รูหัวนม รูหวั นมมีความยาวประมาณ 8-12 มิลลิเมตร รอบรูหวั นมจะมีกล้ามเนือหรู ูด (sphincter muscle) บีบรัดอยู่โดยรอบ เพือป้ องกันไม่ให้เชือโรคผ่านเข้าไปในรูหวั นม (ภาพที 2.4) (ศนู ย์วิจัยการผสม เทียมและเทคโนโลยีชีวภาพนครราชสีมา, 2547ข) ภาพที 2.4 ลกั ษณะโพรงหวั นมและรูหวั นม ทีมา: (Wattiaux, 2011d)) การไหลเวียนของเลือดเลียงเต้านม ศนู ย์วิจัยการผสมเทียมและเทคโนโลยีชีวภาพนครราชสีมา (2547ข) กล่าวถึงการ ไหลเวียนของเลือดเลียงเต้านมไว้ดงั นี การสร้างนํานมจะมีเลือดจํานวนมากไหลผา่ นกระเปาะสร้างนํานม เพือนําอาหารมาใช้ เป็ นวตั ถดุ ิบสําหรับการสร้างนํานม โดยปกติเลือดจะไหลผ่านเต้านมวนั ละหลายร้อยลิตร เริมจาก หัวใจทําการสูบฉีดเลือดแดงผ่านเส้นเลือดแดงใหญ่ (aorta) ซึงเส้นเลือดนีจะวิงขนานไปตาม
5 ด้านล่างของกระดกู สนั หลัง ผ่านช่องอก ผ่านช่องท้อง ทางผ่านของเส้นเลือดนีจะมีแขนงแยกไป เลียงสว่ นตา่ ง ๆ ของร่างกาย เส้นเลือดนีจะวิงไปจนถึงกระดกู เอว (lumbar) แล้วจงึ วกลงข้างลา่ ง เพือไปเลียงเต้านม เส้นเลือดเส้นใหญ่ทีมาเลียงเต้านมคือ เอ็กเทอนอล พูเดนดอล อาร์เทอร์รี(external pudendal artery) แต่เนืองจากเป็ นเส้นทีมาเลียงเต้านม จึงมกั ถูกเรียกว่าแมมมารี อาร์เทอร์รี (mammary artery) เส้นเลือดนีแบ่งเป็ นส่วนหน้าและหลงั ซึงจะไปเลียงเต้านมค่หู น้าและหลัง ตามลําดับ นอกจากนียังมีเส้นเลือดขนาดเล็กทีมาเลียงเต้านมด้วยคือเพอรีเนียล อาร์เทอร์รี (perineal artery) อาจเป็ นเส้นเดียวหรือเส้นคกู่ ็ได้มาเลียงส่วนท้ายของเต้านม เส้นเลือดทีเข้ามา เลียงเต้านม จะแตกสาขาออกจนในทีสดุ เป็ นเส้นเลือดฝอย กระจายไปเลียงรอบ ๆ กระเปาะสร้าง นํานม (ภาพที 2.5) ภาพที 2.5 เส้นเลือดแดงทีมาเลียงเต้านม ทีมา: (ศนู ย์วิจยั การผสมเทียมและเทคโนโลยีชีวภาพนครราชสีมา, 2547ข) เมือกระเปาะสร้ างนํานมนําอากาศและอาหารจากเลือดไปใช้เพือสร้ างนํานมแล้ว เลือดจะกลายเป็นเลือดดาํ ไหลกลบั สเู่ ส้นเลือดฝอยของเส้นเลือดดํา เส้นเลือดฝอยนีจะรวมเป็ นเส้น เลือดดําใหญ่ ซงึ จะไหลกลบั สหู่ วั ใจได้ 2 ทาง แสดงดงั ภาพที 2.6 คือ 1. วิงขนานกบั เส้นเลือดแดงเป็ นเอ็กเทอนอล พดู คิ เวน (external pudic vein) และไป รวมกบั เพอรีเนียล เวน (perineal Vein) ทีออกจากสว่ นท้ายของเต้านม จากนนั วิงไปตามกระดกู สนั หลงั กลบั เข้าสหู่ วั ใจ
6 2. วิงแยกจากเอ็กเทอนอล พดู ิค เวน (external pudic vein) ไปตามด้านล่างของผนงั ท้อง เรียกวา่ ซบั คิวเตเนียส แอบโดมินอล เวน (subcutaneous abdominal vein) เส้นเลือดเส้นนี เป็ นเส้นทีมีขนาดใหญ่เห็นได้ชดั เจนทีผนงั ท้อง บางครังเรียกว่า มิลค์เวน (milk vein) กลบั ไปเข้า หวั ใจทางชอ่ งอก ภาพที 2.6 เส้นเลือดดําออกจากเต้านม ทีมา: (ศนู ย์วจิ ยั การผสมเทียมและเทคโนโลยีชีวภาพนครราชสีมา, 2547ข) สรีรวทิ ยาของการกลันสร้างนํานม สรีรวิทยาของการกลันสร้ างนํานมประกอบด้วยการเจริญและการพัฒนาของเต้านม วฏั จกั รการให้นํานม หลกั การสร้างนํานมและการสร้างองค์ประกอบของนํานม การเจริญและพัฒนาของเต้านม ศนู ย์วิจยั การผสมเทียมและเทคโนโลยีชีวภาพนครราชสีมา (2547ข) กล่าวว่าการเจริญ และการพฒั นาของเต้านม เรียกวา่ แมมโมเจนนีซิส (mammogenesis) สามารถแบง่ ออกได้เป็ น 5 ระยะ คือ ระยะเป็ นลกู ออ่ น ระยะแรกเกิดถึงเป็ นสาวตงั ท้อง ระยะตงั ท้อง ระยะให้นมและระยะพกั การให้นม
7 1. ระยะเป็ นลูกอ่อน เมือลูกอ่อนอยู่ในท้องแม่ อายไุ ด้ประมาณ 4-6 สัปดาห์ เนือเยือชันเอ็กโตเดิม (ectoderm) ของลกู บางสว่ นจะมีการเจริญเป็ นแถบเต้านม (mammary band) 2 แถบ แถบเต้านม ทงั 2 แถบนีจะมีการพฒั นาเรือย ๆ จนเป็ นตมุ่ นม (mammary bud) แถบละ 2 ตมุ่ ตมุ่ นมจะเจริญ ต่อไปเป็ นส่วนของเต้านม ขณะเดียวกนั เนือเยือจากชนั มีโซเดิม (mesoderm) จะเจริญเป็ นเส้น เลือด เส้นประสาทและเนือเยือต่าง ๆ เพือมาเลียงและพยงุ เต้านมตอ่ ไป การเจริญเชน่ นีเกิดทงั ลูก โคเพศผ้แู ละเพศเมีย 2. ระยะแรกเกดิ ถงึ เป็ นสาวตังท้อง เมือลกู โคคลอดออกมาจากท้องแม่ สว่ นของหวั นม โพรงหวั นมของลกู โคได้เกิดขึน อย่างสมบูรณ์แล้ว การเจริญของเต้านมในระยะนีช่วงเริมต้นจะมีการสะสมไขมนั ในต่อมนํานม ต่อมาจะเปลียนจากไขมันให้เป็ นระบบท่อนม สําหรับลูกโคเพศผู้ระบบท่อนํานมจะหยุดเจริญ ภายหลงั คลอด แตล่ กู โคเพศเมียระบบทอ่ นํานมจะคอ่ ย ๆ พฒั นาและเมือถึงวยั สาวการพฒั นาของ ต่อมนํานมจะเกิดขึนอย่างเร็ว เนืองจากอิทธิพลของฮอร์โมนเอสโตรเจน (estrogen) และ โปรเจสเตอร์โรน (progesterone) ทีเกิดขึนในวงรอบการเป็ นสดั ช่วยกระต้นุ ให้มีการพฒั นาของ ระบบทอ่ ของเต้านม 3. ระยะตังท้อง เต้านมมีการเปลียนแปลงอย่างมากเมือโคอ้มุ ท้อง เนืองจากอิทธิพลของฮอร์โมน โปรเจสเตอร์โรน โดยระบบทอ่ นํานมจะมีการขยายตวั แตกกิงก้านสาขากระจายไปอย่างกว้างขวาง ปลายท่อฝอยจะเกิดเป็ นกระเปาะสร้างนม นอกจากนีฮอร์โมนอืน ๆ เช่น โปรแลคติน (prolactin) เอซีทีเอช (ACTH) กลูโคคอตคิ อยด์ (glucocorticoid) เอสโตรเจนอินซุลิน (insulin) โกรทฮอร์โมน (growth hormone) ทีเอสเอช (TSH) พาราโทรโมน(parathomone) อ๊อกซีโตซิน (oxytocin) จะช่วย กระต้นุ ให้เนือเยือเต้านมมีการเจริญพร้อมทีจะมีการสร้างนํานม การสร้างนํานมทีแท้จริงจะยงั ไม่ เกิดขนึ เนืองจากฮอร์โมนโปรเจสเตอร์โรนจะคอยยบั ยงั การสร้างนํานมไว้ แตเ่ มือถึงระยะ 48 ชวั โมง ก่อนการคลอด ระดบั ของฮอร์โมนโปรเจสเตอร์โรนจะลดลง เนืองจากก้อนเนือเหลือง (corpus luteum) บนรังไข่ทีควบคุมการตงั ท้องสลายไปและรกทีเคยสร้างโปรเจสเตอร์โรนกลับมาสร้ าง เอสโตรเจน ดงั นนั จึงไม่มีฮอร์โมนโปรเจสเตอร์โรนทีจะมาคอยยบั ยงั การสร้างนํานม จึงเริมมีการ สร้างนํานมขนึ ฮอร์โมนทีเกียวข้องในการเจริญของเต้านมและการสร้างนํานมแสดงดงั ภาพที 2.7
8 ภาพที 2.7 ฮอร์โมนทีเกียวข้องในการเจริญของเต้านมและการสร้างนํานม ทีมา: (ศนู ย์วิจยั การผสมเทียมและเทคโนโลยีชีวภาพนครราชสีมา, 2547ข) 4. ระยะให้นม หลงั จากโคมีการคลอด เต้านมจะสร้ างส่วนทีใช้ในการกลนั สร้ างนํานมมากขึน เรือย ๆ จนถึงระยะทีโคให้นมสงู สดุ (peak of lactation) ซงึ จะประมาณวนั ที 70 หลงั คลอด ทําให้ ปริมาณนํานมหลงั คลอดจะคอ่ ย ๆ เพิมสงู ขึน จนถึงประมาณวนั ที 70 หลงั คลอด จากนนั เซลล์ทีใช้ ในการกลนั สร้างนํานมจะคอ่ ย ๆ เสือมลงอย่างช้า ๆ ปริมาณนํานมจึงลดลงอย่างช้า ๆ จนถึงวนั ที 150 หลงั คลอด หลงั จากนนั เซลล์กลนั สร้างนํานมจะเสือมลงอยา่ งรวดเร็ว ปริมาณนํานมจึงลดลง เร็วขนึ จนถึงระยะ 2 เดือนก่อนคลอด นํานมจะลดลงมากซงึ จะเข้าระยะแห้งนมหรือดรายพอดี 5. ระยะพักการให้นมหรือดราย ในโคนมจะมีการหยุดรีดนมก่อนทีโคจะคลอดลกู ตวั ใหม่ เพือให้เต้านมได้มีการ ซอ่ มแซมสว่ นทีสกึ หรอ คอื ประมาณ 2 เดอื น กอ่ นจะมีการคลอดลกู ตวั ใหม่ ทีเรียกวา่ ระยะแห้งนม (dry period) ในระยะนีเซลล์กลนั สร้างนํานมจะสลายตวั ไปอย่างรวดเร็วคงเหลือแตร่ ะบบท่อและ เนือเยือพยงุ เต้านมซงึ จะยงั คงอยเู่ หมือนเดิม หลงั จากนนั ก่อนการคลอดลกู ตวั ใหม่เซลล์กลนั สร้าง นํานมจะมีการเจริญอยา่ งรวดเร็ว เพือสร้างนํานมในระยะการให้นมตอ่ ไป
9 วัฏจักรการให้นํานม การหลงั นํานมจากเต้านมโคจะเริมขึนก่อนการคลอดลูกเล็กน้อย เพือให้ลกู โคมีนมดืม เมือคลอดออกมาทนั ที จากนนั แมโ่ คจะให้นมลกู อย่ปู ระมาณ 300 วนั ระยะนีเรียกว่าระยะการให้ นม (lactation) หลงั จากนนั นํานมจะลดลงเหลือร้อยละ 15 ถึง 25 ของปริมาณสูงสุดทีผลิตได้ ในช่วงนีแมโ่ คจะไมม่ ีการให้นมจนกวา่ จะถึง 60 วนั ก่อนการคลอดลกู ตวั ตอ่ ไป เมือมีการคลอดลกู อีกครังวฏั จกั รของการให้นํานมก็จะเริมขึนอีกครัง นมทีสร้ างขึนในช่วงแรกหลังคลอดลูกใหม่ ๆ เรียกวา่ นมนําเหลือง (colostrum) ซึงมีความแตกตา่ งในองค์ประกอบและสมบตั ิอย่างมากจากนม ปกติ โคสามารถผลิตนํานมได้ดีในช่วง 5 ปี แต่ในข่วงแรกของการให้นมจะมีการสร้ างนํานม คอ่ นข้างน้อย (บญุ ศรี จงเสรีจติ ต์, 2553, หน้า20) หลักการสร้ างนํานม หลกั การสร้างนํานม คือ กระเปาะสร้างนํานมจะรับอาหารจากกระแสเลือดทีมากบั เส้น เลือดฝอยรอบ ๆ กระเปาะสร้ างนํานม หลงั จากนันกระเปาะสร้างนํานมจะเปลียนอาหารไปเป็ น นํานมและเก็บไว้ในช่องวา่ งของกระเปาะ เมือนํานมเตม็ ช่องวา่ งของกระเปาะจะเออ่ ล้นไปทีท่อนม ฝอย ท่อนมใหญ่ แอ่งรวมนมและโพรงของหวั นม (ศนู ย์วิจยั การผสมเทียมและเทคโนโลยีชีวภาพ นครราชสีมา, 2547ข) การสร้ างองค์ ประกอบของนํานม อ ง ค์ ป ร ะ ก อ บ ข อ ง นํ า น ม ที มี ผ ล ต่ อ คุ ณ ค่ า ท า ง โ ภ ช น า ก า ร ใ น นํ า น ม ที สํ า คัญ คื อ คาร์โบไฮเดรต ไขมันและโปรตีน ดังนันในทีนีจะกล่าวถึงการสร้ างคาร์โบไฮเดรต (Wattiaux, 2011a) ไขมนั (Wattiaux, 2011b) และโปรตีน (Wattiaux, 2011c) ในนํานมซึงมีรายละเอียด ดงั ตอ่ ไปนี 1. การสร้างคาร์โบไฮเดรตในนํานม คาร์โบไฮเดรตเป็นแหลง่ พลงั งานทีสําคญั ในนํานมและเป็นสารตงั ต้นของการสร้าง ไขมนั และนําตาลนม (แล็กโทส) จุลินทรีย์ทีอาศยั อยู่ในกระเพาะโคจะหมักคาร์โบไฮเดรตทีมี ลกั ษณะเป็นเส้นใย ได้แก่ เซลลโู ลสและเฮมิเซลลโู ลสซงึ เกาะอยกู่ บั ลกิ นินในผนงั เซลล์พืชอยา่ งช้า ๆ เซลล์พืชทีมีอายมุ ากขนึ จะมีลกิ นนิ ในปริมาณมากขึนทําให้การหมกั ของเซลลโู ลสและเฮมิเซลลโู ลส ลดลง เส้นใยทีมีลกั ษณะยาวจะช่วยกระต้นุ การหดรัดตวั ของกระเพาะโคและชว่ ยกระต้นุ ให้นําลาย ไหลลงสกู่ ระเพาะเพมิ ขนึ ในนําลายโคประกอบด้วยโซเดยี มไบคาร์บอเนตและเกลือฟอสเฟตซงึ ช่วย
10 รักษาคา่ ความเป็นกรดดา่ งในกระเพาะให้มีสภาพเป็นกลาง ดงั นนั หากโคได้รับเส้นใยไม่เพียงพอจะ มีผลให้นํานมมีปริมาณไขมนั ตําและทําให้ระบบการยอ่ ยไมด่ ี คาร์โบไฮเดรตทีไม่ใช่เส้นใย ได้แก่ สตาร์ชและนําตาลอยา่ งง่าย (simple sugar) เกิดการย่อยอยา่ งรวดเร็วและสมบรู ณ์ในกระเพาะโค คาร์โบไฮเดรตกล่มุ นีช่วยเพิมพลงั งานให้กบั นํานมโดยการเพิมปริมาณโปรตีนจากเซลล์จลุ ินทรีย์ในกระเพาะโค อยา่ งไรก็ตามคาร์โบไฮเดรตที ไมใ่ ช่เส้นใยนีไมส่ ามารถชว่ ยกระต้นุ การทํางานของกระเพาะและการผลิตนําลาย นอกจากนีหาก ในกระเพาะมีคาร์โบไฮเดรตกลมุ่ นีมากเกินไปจะขดั ขวางการหมกั เส้นใยในกระเพาะโค ดงั นนั ความสมดลุ ระหว่างคาร์โบไฮเดรตกลุ่มทีเป็ นเส้นใยและทีไมใ่ ช่เส้นใยจึงมี ความสําคญั สําหรับการให้อาหารโคนมเพือเพิมประสิทธิภาพการผลิตนํานม ภาพที 2.8 สรุปกลไก การเมตาบอลซิ มึ คาร์โบไฮเดรตในกระเพาะ ตบั และตอ่ มนํานมของโคขณะให้นม การผลิตกรดไขมนั ระเหย (volatile fatty acid) ในกระเพาะ จุลินทรี ย์ ใน กระเพาะโ คเกิ ดการห มักคาร์ โบไ ฮเดรตชนิดเส้ นใยโด ย แบคทีเรียให้ได้พลงั งาน แก๊ส (มีเทนและคาร์บอนไดออกไซด์) และกรด โดยกรดไขมนั ระเหยซงึ ผลิต ในปริมาณมากกวา่ ร้อยละ 95 ของกรดทงั หมดในกระเพาะ คือ กรดอะซิตกิ (กรดนําส้ม) กรดโพรพิ โอนคิ และกรดบวิ ทีริค นอกจากนียงั เกิดการหมกั กรดอะมโิ นได้เป็นกรดบางชนิดซงึ เรียกวา่ ไอโซ-แอ ซิด (iso-acids) กรดไขมันระเหยทีผลิตจากจุลินทรีย์จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดทางผนัง กระเพาะ อะซิเตตและโพรพิโอเนตจะถกู สง่ ไปยงั ตบั แตบ่ ิวทิเรตส่วนใหญ่จะถกู ดดู กลบั ไปทีผนงั กระเพาะเพือสร้างคีโตนบอดี (ketone body) ซึงเรียกวา่ บีต้า-ไฮดรอกซีบวิ ทีเรต (β- hydroxybutyrate) คโี ทนหลกั ได้จากการผลติ โดยบวิ ทเิ รตในกระเพาะแตใ่ นระหว่างการให้นมคีโทน จะได้จากการเปลียนแปลงของเนือเยืออะดโิ พส (adipose tissue) การผลิตกลูโคสในตบั โพรพโิ อเนตสว่ นใหญ่จะเปลียนเป็นกลโู คสทีตบั นอกจากนีตบั ยงั สามารถ ใช้กรดอะมิโนสําหรับสงั เคราะห์กลโู คส กระบวนการนีสําคญั มากเนืองจากกลโู คสสว่ นใหญ่ผลิตที และไมด่ ดู ซึมในระบบการย่อยอาหาร ดงั นนั นําตาลทงั หมดจึงพบในนํานม (ประมาณ 900 กรัม/ นํานมโคทีผลิตได้ 20 กิโลกรัม) ยกเว้นในกรณีทีแม่โคกินสตาร์ชหรือนําตาลในปริมาณมากจะเกิด การขดั ขวางกระบวนการหมกั ของจลุ ินทรีย์ในกระเพาะทําให้สตาร์ชหลดุ รอดจากกระบวนการหมกั ในกระเพาะไปจนถึงลําไส้เล็ก จึงเกิดการย่อยและดูดซึมทีลําไส้จากนันถูกส่งไปยงั ตบั เพือสร้ าง กลโู คสให้กบั โคตอ่ ไป
11 แล็กเตตเป็นสารอาหารอีกประเภทหนงึ ทีใช้ในการสงั เคราะห์กลโู คสทีตบั โดยพบแล็กเตตในอาหารสตั ว์ แต่การผลิตแล็กเตตสามารถเกิดขึนได้ในกระเพาะเมืออาหารโคมี ปริมาณสตาร์ชมากเกินจําเป็ น ซึงเป็ นสิงทีไมต่ ้องการให้เกิดขึนเนืองจากทําให้สภาพของกระเพาะ เป็นกรด การหมกั เส้นใยจะหยดุ ลงและโคจะหยดุ กินอาหาร การสร้างแล็กโทสและไขมนั ในเตา้ นม ในระหว่างการให้ นมต่อมนํานมมีความต้ องการกลูโคสเพือนําไป สงั เคราะห์แล็กโทส (นําตาลนม) โดยปริมาณการสงั เคราะห์แล็กโทสมีความสัมพนั ธ์โดยตรงกับ ปริมาณการผลิตนํานมต่อวนั เนืองจากเซลล์กลนั สร้ างนํานมจะผลิตนําออกมาเพือทําให้ความ เข้มข้นของแล็กโทสในนํานมมีค่าคงทีประมาณร้ อยละ 4.5 ดงั นันการผลิตนํานมในโคนมจึงมี อทิ ธิพลมาจากปริมาณการผลติ กลโู คสจากโพรพิโอเนตในกระเพาะ กลูโคสเปลียนกลับเป็ นกลีเซอรอลซึงใช้ในการสังเคราะห์ไขมันนม อะซิเตตและบีต้า-ไฮดรอกซีบิวทีเรตใช้สําหรับการสร้ างกรดไขมันโดยการจับกับกลีเซอรอล ต่อมนํานมสังเคราะห์กรดไขมันอิมตวั ทีมีจํานวนคาร์บอน 4-16 อะตอม (กรดไขมันสายสัน) ประมาณครึงหนงึ ของไขมนั นมสร้างในตอ่ มนํานม สว่ นอีกครึงหนงึ ได้จากลปิ ิดทีมีอย่ใู นอาหาร ซึงมี กรดไขมนั ไมอ่ ิมตวั ทีมีจํานวนคาร์บอนมากกวา่ 18 อะตอม (กรดไขมนั สายยาว) เป็ นองค์ประกอบ ในปริมาณเล็กน้อย พลงั งานทีใช้ในการสงั เคราะห์ไขมนั และแล็กโทสในเต้านมมากจากการ เผาไหม้คโี ตนแตก่ ารสงั เคราะห์อะซเิ ตตและกลโู คสอาจใช้พลงั งานจากเซลล์ของเนือเยืออืน
12 . ภาพที 2.8 กลไกการเมตาบอลิซึมคาร์โบไฮเดรตในกระเพาะ ตับและต่อมนํานมของโค ขณะให้นม ทีมา: (Wattiaux, 2011a)
13 2. การสร้างไขมันในนํานม โดยทัวไปอาหารทีแม่โคกินจะมีลิปิ ดประมาณร้ อยละ 2-4 ซึงแม่โคนําไปสร้ าง ไขมนั ในนํานมได้ถึงร้อยละ 50 ของปริมาณไขมนั ทงั หมดในนํานม ลิปิ ดเป็ นสารประกอบทีไม่ละลายนําแต่ละลายได้ในสารละลายอินทรีย์ ได้แก่ อีเทอร์ คลอโรฟอร์มและเฮกเซน เป็นต้น ไตรกลีเซอไรดพ์ บในเมล็ดธญั พืช เมลด็ พืชนํามนั และไขมนั สตั ว์ โครงสร้างพืนฐาน ของไตรกลีเซอไรด์ประกอบด้วยกลีเซอรอลและกรดไขมนั 3 โมเลกลุ (ภาพที 2.9) ภาพที 2.9 โครงสร้างพืนฐานของไตรกลีเซอไรด์ ทีมา: (Wattiaux, 2011b) ไกลโคลิปิดเป็นกลมุ่ ของลปิ ิดกลมุ่ ทีสองซงึ พบในอาหารสตั ว์ (หญ้าและถวั ) ไกลโค ลิปิ ดมีโครงสร้างคล้ายไตรกลีเซอไรด์เพียงแตม่ ีนําตาลซงึ โดยทวั ไปคือกาแลคโทสแทนทีกรดไขมนั 1 โมเลกลุ ฟอสโฟลิปิด คือสารประกอบทีมีฟอสเฟตแทนทีกรดไขมนั มนั 1 โมเลกลุ ฟอสโฟลิ ปิดเป็นองค์ประกอบทีมีอยนู่ ้อยในอาหารโคแตพ่ บมากในจลุ ินทรีย์ทีอาศยั อยใู่ นกระเพาะ กรดไขมนั โดยทวั ไปทีพบในลิปิ ดจากพืชเป็ นกรดไขมนั ทีมีจํานวนคาร์บอน 14-18 อะตอม (ตารางที 2.1) จุดหลอมเหลวของกรดไขมนั มีผลต่อสถานะของกรดไขมนั ทีอณุ หภูมิห้อง นอกจากนียงั พบว่าประมาณร้อยละ 70-80 ของลิปิ ดจากพืชเป็ นกรดไขมนั ไม่อิมตวั และมีสถานะ เป็ นของเหลวหรือนํามนั ในขณะทีลิปิ ดจากสตั ว์ร้อยละ 40-50 เป็ นกรดไขมนั อิมตวั และมีสถานะ เป็นของแข็งหรือไขมนั สําหรับกลไกการเมตาบอลซิ มึ ของลิปิดในโคนมแสดงดงั ภาพที 2.10
14 ตารางที 2.1 กรดไขมนั ทีพบในอาหารโคนม กรดไขมนั โครงสร้ าง ชือยอ่ จดุ หลอมเหลว กรดไขมนั อิมตวั (องศาเซลเซียส) ไมริสติค CH3-(CH2)12-COOH (C14:0) 54 (C16:0) 63 ปาลมติ คิ CH3-(CH2)14-COOH (C18:0) 70 สเตียริค CH3-(CH2)16-COOH 61 13 กรดไขมนั ไมอ่ ิมตวั -5 -11 ปาลมโิ ตลอิ ิค CH3-(CH2)5-CH=CH-(CH2)7-COOH (C16:1) โอลอิ คิ CH3-(CH2)7-CH=CH-(CH2)7-COOH (C18:1) ลโิ นลอิ คิ CH3-(CH2)4-CH=CH-CH2-CH=CH-(CH2)7-COOH (C18:2) ลโิ นลนิ คิ CH3-CH2-CH=CH-CH2-CH=CH-CH2-CH=CH-(CH2)7-COOH (C18:3) ทีมา: (Wattiaux, 2011b) การย่อยสลายของลิปิ ดและการเกิดกรดไขมนั อิ/มตวั ในกระเพาะ ลิปิดเกิดการยอ่ ยสลายในกระเพาะโดยพนั ธะระหว่างกลีเซอรอลและกรด ไขมนั แตกออกได้เป็ นกลีเซอรอล 1 โมเลกลุ และกรดไขมนั 3 โมเลกลุ ตอ่ จากนนั กลีเซอรอลจะเกิด การหมกั อย่างรวดเร็วได้เป็ นกรดไขมนั ระเหย สว่ นกรดไขมนั จะถกู เปลียนให้เป็ นฟอสโฟลิปิ ดโดย แบคทีเรียเพือสร้างเยือห้มุ เซลล์ ค ว า ม สํ า คัญ อี ก ป ร ะ ก า ร ห นึ ง ข อ ง จุลิ น ท รี ย์ ใ น ก ร ะ เ พ า ะ คื อ ก า ร เ ติ ม ไฮโดรเจน (hydrogenate) ให้กบั กรดไขมนั ไม่อิมตวั ระหว่างการเกิดปฏิกิริยาการเติมไฮโดรเจน กรดไขมนั จะมีความอิมตวั เพมิ ขนึ เนืองจากพนั ธะคเู่ กิดการแทนทีด้วยไฮโดรเจน 2 อะตอม กรดไขมนั ในกระเพาะขดั ขวางการหมกั ของเส้นใย ดงั นนั ลิปิ ดในอาหารโค นมทีมากเกินจําเป็ น (มากกว่าร้อยละ 8) อาจเป็ นผลเสียตอ่ การผลิตนํานมและปริมาณไขมนั ใน นํานมโดยกรดไขมนั ไม่อิมตวั เกิดผลเสียมากกว่ากรดไขมนั อิมตวั อย่างไรก็ตามอาจลดอตั ราการ ยอ่ ยสลายลปิ ิดในกระเพาะแมโ่ คได้โดยการให้ลปิ ิดในรูปของเมล็ดพืชนํามนั ทียงั คงมีเปลือกห้มุ หรือ การเลียงโคนมในระดบั อตุ สาหกรรมอาจให้อาหารประเภทลิปิ ดแก่โคนมในลกั ษณะสบหู่ รือเกลือ เกลือแคลเซียมของกรดไขมนั เพือให้กรดไขมนั ไมล่ ะลายในกระเพาะหรือละลายได้ช้าลง
15 จลุ ินทรีย์ในกระเพาะผลิตฟอสโฟลิปิ ดประมาณร้อยละ 10-15 และยงั คง มีกรดไขมนั อิมตวั เหลืออยู่ประมาณร้อยละ 85-90 ซึงโดยส่วนใหญ่เป็ นกรดปาลมิติคและสเตียริค เกาะอยกู่ บั อนภุ าคจลุ นิ ทรีย์ การดูดซึมลิปิ ดในลําไส้ ฟอสโฟลิปิ ดซึงผลิตจากจลุ ินทรีย์จะเกิดการย่อยในลําไส้เล็กได้เป็ นกรด ไขมันและเกิดการดูดซึมทีผนังลําไส้ นําดีจากตับและนําย่อยจากตบั อ่อน (มีเอนไซม์และไบ คาร์บอเนตสงู ) จะรวมกนั ในลําไส้เล็กซงึ ชว่ ยในการดดู ซมึ ลปิ ิดโดยในลําไส้เล็กกรดไขมนั จะเกาะอยู่ กบั กลีเซอรอลได้เป็ นไตรกลีเซอไรด์ จากนนั ไตรกลีเซอไรด์ กรดไขมนั บางส่วน คอเลสเตอรอลและ สารประกอบอืนทีมีสมบตั คิ ล้ายลิปิ ด (lipid-like substances) จะเคลือบอย่บู นโปรตีนเกิดเป็ นไตร กลีเซอไรด์-ริช ไลโพโปรตีน (triglyceride-rich lipoprotein, TG-rich LP) หรือไคโลไมครอน (chylomicron) หรือไลโพโปรตีนทีมีความหนาแน่นตํามาก TG-rich LP เข้าส่รู ะบบนําเหลืองในท่อ ทรวงอก (ข้อต่อระหว่างระบบนําเหลืองกับระบบเลือด) และเข้าสู่ระบบเลือดซึงแตกต่างจาก สารอาหารอืนซึงดดู ซึมทีลําไส้ ไขมนั ถูกดดู ซึมเข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิตโดยตรงและนําไปใช้ทวั ร่างกายโดยไมต่ ้องผา่ นกระบวนการเบืองต้นทีตบั การใช้ลิปิ ดจากอาหารในเตา้ นม ครึงหนงึ ของไขมนั นมมาจากการเปลียนแปลงกรดไขมนั จาก TG-rich LP โดยต่อมนํานม เกิดเป็ นกรดไขมันสายยาวขึน เช่น กรดไขมันทีมีจํานวนคาร์บอนมากกว่า 16 อะตอมแตจ่ ะยบั ยงั การสร้างกรดไขมนั สายสนั และสายยาวปานกลาง ดงั นนั ปริมาณไขมนั นมจะ ลดลงเมือโคกินอาหารทีมีเส้นใยตําแต่สามารถชดเชยไขมันนมบางส่วนได้โดยการเพิมไขมันใน อาหารโคนม การเคลือ/ นยา้ ยไขมนั ชว่ งต้นของระยะการให้นมแมโ่ คต้องการพลงั งานสําหรับการเคลือนย้าย ไขมนั จากเนือเยือไขมนั (adipose tissue) และอาหาร กรดไขมนั มาจากไตรกลีเซอไรด์ซึงเก็บอยใู่ น เนือเยือไขมนั และปลอ่ ยเข้าสกู่ ระแสเลือด การเคลือนย้ายไขมนั เกิดขึนโดยตบั ซึงเป็ นแหลง่ พลงั งาน หรือเปลียนไขมนั เป็ นคีโตนซึงอาจปล่อยเข้ากระแสเลือดโดยใช้พลงั งานจากเนือเยืออืน ตบั ไม่มี ประสทิ ธิภาพสงู ในการสร้างและสง่ TG-rich LP กรดไขมนั สว่ นเกินจงึ ถกู เก็บไว้ในรูปไตรกลีเซอไรด์ ภายในเซลล์ตบั ในชว่ งต้นของการให้นม
16 ภาพที 2.10 กลไกการเมตาบอลซิ มึ ลิปิดในโคนม ทีมา: (Wattiaux, 2011b)
17 3. การสร้างโปรตีนในนํานม โปรตีนเป็ นแหล่งกรดอะมิโนซึงมีความจําเป็ นสําหรับการซอ่ มแซมเซลล์ทีสึกหรอ การเจริญเติบโตและการให้นม จลุ ินทรีย์ในกระเพาะของโคนมสามารถสงั เคราะห์ไนโตรเจนจาก อาหารทีโคกินให้เป็นกรดอะมิโนและโปรตีนได้ นอกจากนีโคนมยงั มีกลไกการสํารองไนโตรเจนเมือ กินอาหารทีมีโปรตีนน้อยโดยจุลินทรีย์ในกระเพาะโคจะนํายูเรียในปัสสาวะกลบั มาทีตบั เพือให้ จุลินทรีย์เปลียนยูเรียเป็ นโปรตีน นอกจากนียังพบว่ากลไกในร่างกายของโคนมสามารถนํา ไนโตรเจนทีไมใ่ ช่โปรตีน (non-protein nitrogen) มาใช้เป็ นแหลง่ ไนโตรเจนสําหรับผลิตโปรตีนนม ได้ถึง 580 กรัมของปริมาณโปรตีนนมในแต่ละวนั และใช้สําหรับการผลิตนํานมประมาณ 4,000 กิโลกรัม/ระยะการให้นม โดยกลไกการเมตาบอลิซมึ ของโปรตนี ในโคนมแสดงดงั ภาพที 2.11 การเปลีย/ นแปลงของโปรตีนในกระเพาะ จลุ ินทรีย์ในกระเพาะย่อยโปรตีนให้เป็ นกรดอะมิโน แอมโมเนียและกรด ไขมันทีมีลักษณะโมเลกุลเป็ นกิงแขนง ไนโตรเจนทีไม่ใช่โปรตีนจากอาหารและยูเรียจะถูกนํา กลับไปทีกระเพาะโดยนําลายหรือผนงั กระเพาะจะสร้ างแอ่งสําหรับเก็บแอมโมเนีย ถ้าปริมาณ แอมโมเนียในกระเพาะตํามากจะทําให้ไนโตรเจนไม่เพียงพอสําหรับแบคทีเรียและการย่อยอาหาร จะลดลงแตถ่ ้าแอมโมเนียในกระเพาะมากเกินไปจะทําให้เกิดสภาวะแอมโมเนียเป็ นพิษและสดุ ท้าย โคนมอาจตายได้ จุลินทรี ย์ในกระเพาะโคนมใช้ แอมโมเนียสําหรับการเจริ ญเติบโตและ นําไปสู่การใช้แอมโมเนียสําหรับการสงั เคราะห์โปรตีนโดยจุลินทรีย์แตท่ งั นีขึนกับลงั งานทีได้จาก การหมกั คาร์โบไฮเดรต โดยเฉลียโปรตีนจากจลุ ินทรีย์ 20 กรัม สร้างได้จากการหมกั สารประกอบ อินทรีย์ 100 กรัมในกระเพาะ การสงั เคราะห์โปรตีนจากแบคทีเรียอย่ใู นช่วง 400-1,500 กรัม/วนั ขนึ อยกู่ บั การยอ่ ยอาหารเบืองต้นของโคนม โดยทวั ไปโปรตีนจากอาหารทีโคนมกินจะทนตอ่ การย่อยในกระเพาะและ ผา่ นเข้าสู่ลําไส้เล็กได้ ความสามารถในการทนต่อการย่อยของโปรตีนในกระเพาะขึนอยู่กับแหล่ง ของโปรตีนและปัจจยั ร่วมอืน ๆ เช่น โปรตีนจากพืชอาหารสตั ว์จะถูกย่อยได้ง่าย (ร้อยละ 60-80) กว่าโปรตีนในอาหารข้นและอาหารสตั ว์ทีผลิตจากผลพลอยได้ของโรงงานอุตสาหกรรม (ร้อยละ 20-60) โปรตีนจากแบคทีเรียเกิดการสลายตวั ภายในกระเพาะ นอกจากนีกรด เข้มข้นทีหลงั ออกมาจากกระเพาะจะหยดุ กิจกรรมของจลุ ินทรีย์ส่วนเอนไซม์ทีทําหน้าทียอ่ ยโปรตีน จะเริมทําการยอ่ ยโปรตนี ให้เป็นกรดอะมิโน
18 กรดอะมิโนประมาณร้อยละ 60 ซึงได้จากการย่อยโปรตีนซึงสร้างโดย แบคทิรียจะถกู ดดู ซมึ ทีลําไส้เลก็ สว่ นทีเหลืออีกร้อยละ 40 เป็นโปรตนี จากอาหาร โปรตีนในอจุ จาระ โปรตีนประมาณร้อยละ 80 เมือมาถึงลําไส้เล็กจะเกิดการย่อยแตย่ งั คงมี โปรตีนบางสว่ นผา่ นไปอยใู่ นอจุ จาระ ดงั นนั แหลง่ ไนโตรเจนทีสําคญั ในอจุ จาระมาจากการย่อยโดย เอนไซม์ทีหลงั มาจากลําไส้ โดยทวั ไปอาหารแห้งทีโคนมกินทุก 1 กิโลกรัมและเกิดการสญู เสีย โปรตีนประมาณ 33 กรัมในลําไส้และหลงั ออกมาในอจุ จาระ อจุ จาระของโคนมเป็ นป๋ ยุ ทีดีเพราะ เป็ นแหล่งของสารอินทรีย์และไนโตรเจน (ไนโตรเจนร้อยละ 2.2-2.6 หรือ โปรตีนหยาบประมาณ ร้อยละ 14-16) การเมตาบอลิซึมและการดูดกลบั ยูเรียทีต/ บั ถ้ าพลังงานทีใช้ ในการหมักไม่เพียงพอเมือโคนมได้ รับอาหารประเภท โปรตีนมากเกินไปหรือเกิดการยอ่ ยสลายโปรตีนสงู มากทําให้กระเพาะไม่สามารถผลิตแอมโมเนีย ได้ทังหมดจึงอาจเปลียนกลับไปเป็ นโปรตีนโดยจุลินทรีย์ และแอมโมเนียทีมากเกินจําเป็ นจะ เคลือนทีผ่านผนงั กระเพาะไปทีตบั จากนนั ตบั จะเปลียนแอมโมเนียกลบั ไปเป็ นยูเรียแล้วปล่อยสู่ กระแสเลือด ยเู รียในเลือดมีการขนสง่ ได้ 2 ช่องทาง คือถูกส่งกลบั ไปทีกระเพาะทางนําลายหรือ ผนงั กระเพาะ สว่ นอีกหนงึ ชอ่ งทางคือ การหลงั รวมกบั ปัสสาวะโดยไต เมือยเู รียถกู สง่ ไปทีกระเพาะ จะถกู เปลียนเป็นแอมโมเนียและใช้เป็ นแหล่งไนโตรเจนสําหรับการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ส่วน ยเู รียทีอยใู่ นปัสสาวะจะถกู ขบั ออกจากร่างกาย อย่างไรก็ตามยเู รียทีมีการนํากลบั ไปใช้มีเพียงส่วน น้อยแตย่ เู รียสว่ นใหญ่ถกู ขบั ออกทางปัสสาวะ การสร้างโปรตีนนม ระหวา่ งการให้นมตอ่ มนํานมต้องการกรดอะมิโนในปริมาณมากเพือใช้ใน การสร้ างโปรตีนนม กลไกการเปลียนแปลงกรดอะมิโนในต่อมนํานมมีความซับซ้อนมาก โดย กรดอะมโิ นชนิดหนงึ อาจเปลียนรูปเป็นกรดอะมโิ นอีกชนดิ หนงึ หรือเกิดการออกซิไดซ์ให้พลงั งานแต่ กรดอะมิโนส่วนใหญ่ถกู ดดู ซึมโดยต่อมนํานมและใช้ในการสงั เคราะห์โปรตีนนม นํานมมีโปรตีน ประมาณ 30 กรัม/กิโลกรัม แตอ่ าจมีความแปรผนั ได้จากสายพนั ธ์ุโคนม โปรตีนนมประกอบด้วย เคซีน (ร้อยละ 80) สว่ นทีเหลือคอื เวย์
19 ภาพที 2.11 กลไกการเมตาบอลซิ มึ โปรตนี ในโคนม ทีมา: (Wattiaux, 2011c)
20 กลไกการปลดปล่อยนํานม ศนู ย์วิจยั การผสมเทียมและเทคโนโลยีชีวภาพนครราชสีมา (2547ข) กล่าวถึงกลไกการ ปลดปลอ่ ยนํานมจากเต้าโคนมไว้ดงั นี กระเปาะสร้างนํานมจะรับอาหารจากกระแสเลือดทีมากบั เส้นเลือดฝอยรอบ ๆ กระเปาะ สร้างนํานม หลงั จากนนั กระเปาะสร้างนํานมจะเปลียนอาหารไปเป็ นนํานมและเก็บไว้ในช่องว่าง ของกระเปาะ การไหลของนํานมออกจากกระเปาะสร้างนํานมลงสทู่ ่อนมไปทีแอ่งรวมนม ตอ่ ไปที โพรงหวั นม ออกนอกร่างกายทางรูเปิ ดของหวั นม เป็ นผลจากการทํางานของฮอร์โมนและระบบ ประสาท โดยมีกลไกคือ เกิดการกระต้นุ จากการสมั ผสั หวั นม เชน่ การดดู ของลูก สิงอืนทีเกียวกับ การรีดนม เช่น การเช็ดเต้านมก่อนรีดนม ความค้นุ เคยทีจะต้องปล่อยนํานม เช่น เสียงกระทบกนั ของถังรีดนม การเห็นลูกของแม่โค การเข้าใกล้ของคนรีดนม การให้อาหาร การกระตุ้นเหล่านี ก่อให้เกิดสิงกระต้นุ ทางประสาท สง่ ไปยงั ระบบประสาทสว่ นกลางเป็นเหตใุ ห้ตอ่ มใต้สมองสว่ นหลงั (posterior pituitary gland) ปล่อยฮอร์โมนออกซีโตซิน (oxytocin) เข้าสกู่ ระแสเลือด โดยการ กระต้นุ ให้เกิดการหลงั นํานมแสดงดงั ภาพที 2.12 ภาพที 2.12 การกระต้นุ ให้เกิดการหลงั นํานม ทีมา: (ศนู ย์วิจยั การผสมเทียมและเทคโนโลยีชีวภาพนครราชสีมา, 2547ข)
21 ฮอร์ โมนออกซีโตซินจะไหลไปตามกระแสเลือดไปทีเต้ านมและกระต้ ุนให้ กล้ ามเนือ พิเศษทีชือ ไมโออีพิทีเลียล (myoepithelial) ทีห้มุ รอบกระเปาะสร้างนํานมและส่วนของท่อนมให้ เกิดการบีบรัดตวั ส่งผลให้นํานมทีอยู่ในกระเปาะสร้างนํานมไหลลงสู่ท่อนํานมและไปทีแอ่งรวม นํานม ไปทีโพรงหวั นมและออกนอกร่างกายแมโ่ คทางรูหวั นม เรียกวา่ มีการหลงั นํานม หากทําให้แมโ่ คเกิดการตกใจหรือเกิดความเครียด ร่างกายโคจะหลงั ฮอร์โมนอะดรีนาลีน (adrenalin) ออกมายบั ยงั ฮอร์โมนออกซีโตซินทําให้การหลงั นํานมถกู ระงบั ซึงทําให้แม่โคไมป่ ล่อย นํานม ทังนีหากมีการกระตุ้นให้มีการหลังฮอร์โมนออกซีโตซินแล้ว แต่มีเหตุให้ถูกระงับจะไม่ สามารถกระต้นุ ให้มีการหลงั ฮอร์โมนออกซีโตซินติดตอ่ กันจะต้องรอเวลาอีกนานกว่าจะสามารถ กระต้นุ ให้มีการหลงั ฮอร์โมนออกซีโตซนิ ได้อีก ดงั นนั ก่อนการรีดนม ไม่ควรทําให้โคเครียดหรือตกใจ เพราะปริมาณนํานมทีได้จะลดลง การทีฮอร์โมนออกซีโตซินถูกปล่อยเข้าสู่กระแสเลือดนนั ฮอร์โมนออกซีโตซินจะอยู่ใน กระแสเลือดได้ไม่นาน โดยฮอร์โมนออกซีโตซินจะสูงสุดในกระแสเลือดภายในเวลา 1 นาที หลงั จากถกู กระต้นุ และจะลดลงอย่างรวดเร็วจนไมพ่ บในกระแสเลือดภายในเวลา 9 นาที ดงั นนั ใน การรีดนมแมโ่ คควรทําด้วยความรวดเร็ว ปัจจัยทมี ีผลต่อปริมาณและคุณภาพของนํานม กลุ่มวิจยั และพัฒนาโคนม (2553); ศนู ย์วิจัยการผสมเทียมและเทคโนโลยีชีวภาพ นครราชสีมา (2547ข); เสาร์ ศิวิชยั (2547, หน้า 89-90) กล่าวถึงปัจจยั ทีมีผลตอ่ ปริมาณและ คณุ ภาพของนํานมไว้ดงั นี 1. พันธ์ุ โคนมแต่ละพันธ์ุมีความสามารถในการให้ นมได้ ต่างกันแล้ วแต่จุดประสงค์ของการ ปรับปรุงพนั ธ์ุ เช่น พนั ธ์ุโฮลสไตน์ฟรีเชียนมีความสามารถในการให้นมได้สงู เมือเปรียบเทียบกับ พนั ธ์ุเจอร์ซีซึงปริมาณการให้นํานมมีช่วงคอ่ นข้างกว้างมาก สําหรับโคนมลกู ผสมในประเทศไทย โดยเฉลียแล้วจะมีความสามารถในการให้นมได้ต่างกัน ปริมาณการผลิตนํานมจากโคนมแต่ละ พนั ธ์ุแสดงดงั ตารางที 2.2
22 ตารางที 2.2 ปริมาณการผลิตนํานมของโคนมแตล่ ะพนั ธ์ุ พนั ธ์ุโคนม ปริมาณการผลิตนํานม (กิโลกรัม/ระยะการให้นม) โฮลส์ไตน์ฟรีเชียน 6,000-7,000 เรดเดน 4,500 บราวน์สวิส 4,500 เจอร์ซี 3,000-10,000 เรดซนิ ดี 1,500-2,000 ซาฮิวาล 2,500-3,000 ไทยฟรีเชียน 4,000-5,000 ที เอม็ แซด 3,000-4,000 ทีมา: (กลมุ่ วิจยั และพฒั นาโคนม, 2553) 2. กรรมพันธ์ุ ความสามารถในการให้ นมมี ความสัมพันธ์ โดยตรงกับการถ่ายทอดทางกรรมพันธ์ุ กลา่ วคือลกู โคทีเกิดจากแมโ่ คทีให้นํานมมากและพอ่ พนั ธ์ทุ ีดมี กั จะให้นํานมได้ดีกว่าลกู โคทีเกิดจาก แมโ่ คทีให้นํานมมากแตพ่ ่อพนั ธ์ุไมด่ ี ดงั นนั ในการผสมพนั ธ์ุจงึ จําเป็ นต้องคดั เลือกพนั ธ์ุทีจะใช้ผสม เพือให้ลกู ได้รับกรรมพนั ธ์ุทีดีขนึ 3. การทาํ งานของหวั ใจและระบบเลือด ร่างกายของโคมีเลือดอยปู่ ระมาณร้อยละ 5.8-8.5 ของนําหนกั ร่างกาย ไหลวน 1 รอบ จากหวั ใจสเู่ ต้านมและกลบั สหู่ วั ใจใช้เวลาประมาณ 52 วนิ าที การสร้างนํานม 1 กิโลกรัม จะต้องใช้ เลือดทีส่งผา่ นเข้าเต้านมถึง 150-500 กิโลกรัม โดยเซลล์กลนั สร้างนํานมจะดดู ซมึ เก็บเอาอาหารที เลือดนํามาเพือเปลียนเป็ นนํานม หากหัวใจและการทํางานของระบบเลือดผิดปกติ โคจะสร้ าง นํานมได้น้อยลง นอกจากนีองคป์ ระกอบของนํานมจะผดิ ปกตดิ ้วย 4. อายุของโค แมโ่ คท้องแรกซงึ จะมีอายปุ ระมาณ 2-3 ปี นนั ร่างกายยงั ไมเ่ จริญเติบโตเต็มทีขนาดของ เต้านมและความจุของช่องท้องยังไม่มากนัก ทําให้ปริมาณนํานมทีได้น้อยกว่าโคทีโตมากกว่า ดงั นนั การให้นมจงึ ยงั ให้ได้ไมเ่ ตม็ ทีในท้องถดั ๆ ไปแมโ่ คจะสามารถให้นมได้เพิมมากขึนตามความ เจริญเติบโตของร่างกายและจะให้นมได้สงู ทีสดุ ในท้องที 4-5 หรืออายปุ ระมาณ 6 ปี ซงึ เป็ นชว่ งที
23 แม่โคเจริญเติบโตและสมบูรณ์เต็มที หลงั จากนนั การให้นมก็จะค่อย ๆ ลดลงไปตามความเสือม โทรมของร่างกาย ซงึ สามารถสรุปได้ดงั นี โคอายปุ ระมาณ 2 ปี ให้นมประมาณร้อยละ 70 ของแมโ่ คทีโตเตม็ ที โคอายปุ ระมาณ 3 ปี ให้นมประมาณร้อยละ 80 ของแมโ่ คทีโตเตม็ ที โคอายปุ ระมาณ 4 ปี ให้นมประมาณร้อยละ 90 ของแมโ่ คทีโตเตม็ ที โคอายปุ ระมาณ 5 ปี ให้นมประมาณร้อยละ 95 ของแมโ่ คทีโตเตม็ ที โคอายปุ ระมาณ 6 ปี ให้นมเตม็ ที 5. ขนาดของโคนม โคทีมีขนาดใหญ่จะผลิตนํานมได้ปริมาณมากกวา่ โคทีมีขนาดเล็ก เนืองจากโคทีมีขนาด ใหญ่มีความจุช่องท้องมากกว่าโคขนาดเล็ก ทําให้สามารถกินอาหารเพือเปลียนเป็ นนํานมได้ มากกวา่ นอกจากนีโคขนาดใหญ่มีความจชุ อ่ งอกมากกวา่ โคขนาดเล็ก ทําให้ระบบการทํางานของ หวั ใจและปอดในการฟอกและสบู ฉีดโลหิตดีกวา่ สง่ ผลให้สร้างนํานมได้ปริมาณมากกวา่ 6. โคเป็ นสัด ในช่วงระยะเวลาทีแม่โคเป็ นสัดจะมีความกระวนกระวายไม่คอ่ ยกินอาหารและมีการ เปลียนแปลงของระดบั ฮอร์โมนในร่างกาย ซงึ จะสง่ ผลให้แม่โคให้นมลดลงในวนั นนั ทนั ที แตเ่ มือแม่ โคหมดการเป็นสดั แล้วการให้นมจะกลบั คืนสรู่ ะดบั ปกติ 7. โคตังท้อง ในช่วงระยะแรกของการตังท้องจะไม่มีผลต่อการให้นมมากนัก เพราะตัวอ่อนยังไม่ ต้องการใช้อาหารมากนัก แต่ในช่วงปลายของการตงั ท้องการเจริญเติบโตของตวั อ่อนจะเพิมขึน อย่างรวดเร็ว ความต้องการอาหารก็เพิมมากขึนซึงจะมีผลกระทบต่อการให้นมและเห็นได้ชดั เมือ แมโ่ คตงั ท้องประมาณ 5-6 เดือน การให้นมจะเริมลดลงอย่างเห็นได้ชดั ส่วนองค์ประกอบในนํานม ไมเ่ ปลียนแปลงมากนกั 8. ระยะของการให้นม ในมือแรกทีทําการรีดนํานมจากแม่โคภายหลงั การคลอด ซึงเป็ นนมนําเหลืองสําหรับใช้ เลียงลูกโคแรกเกิดนันจะได้ปริมาณนํานมในระดบั หนึง ในวนั ถัด ๆ ไปปริมาณนํานมจะเพิมขึน เรือย ๆ ทีละน้อยโดยปกตปิ ระมาณ 30 วนั จะถึงช่วงการให้นมสงู ทีสดุ แตถ่ ้าแม่โคให้นํานมมากจะ ใช้เวลานานกวา่ นีจึงจะถึงชว่ งการให้นํานมสงู สดุ จากนนั การให้นํานมจะคงทีหรือลดลงอย่างช้า ๆ อตั ราการลดลงของนํานมจะเร็วหรือช้าขึนอยกู่ บั แม่โคแตล่ ะตวั จะมีความสามารถในการให้นมได้ นานมากน้อยเพียงใด
24 9. การให้นมแต่ละมือ ปกติการรีดนมจะทํากนั วนั ละ 2 ครัง คือ เช้าและเย็น ดงั นนั ช่วงระยะเวลาทีพกั การรีด นมในแต่ละมือจึงไม่เท่ากัน คือ ช่วงพักก่อนการรีดนมในมือเช้าจะนานกว่าในมือเย็นจึงทําให้ ปริมาณนํานมทีรีดในมือเช้ามากกวา่ ในมือเย็น แตป่ ริมาณไขมนั ในนํานมของมือเข้าจะตํากวา่ ใน มือเย็น ถ้าต้องการให้ได้นํานมใน 2 มือเทา่ กนั ก็จะต้องจดั เวลาการพกั ให้หา่ งกนั 12 ชวั โมงพอดี จํานวนครังทีรีดต่อวนั ก็มีผลต่อการให้นมเช่นกนั เช่น การรีดนมวนั ละ 3 มือ จะรีดนมได้เพิมขึน เล็กน้อย เพราะเป็ นการช่วยลดแรงกดดันภายในเต้านมลงทําให้มีการผลิตสร้ างนํานมอยู่ ตลอดเวลา แตป่ ัจจบุ นั ไมน่ ิยมเพราะมีปัญหายงุ่ ยากหลายประการ 10. การหยุดรีดนมหรือการดราย เมือแมโ่ คท้องได้ประมาณ 7 เดือนกว่า จะต้องหยดุ รีดนม โดยกะระยะให้แมโ่ คได้มีเวลา พกั ฟื นและเตรียมตวั ก่อนทีจะคลอดและให้นมในครังตอ่ ไป ประมาณ 60 วนั ในช่วงดงั กล่าวจะมี การเปลียนแปลงภายในร่างกายเกิดขนึ คอื 10.1 หยดุ การสร้างนํานมและการยบุ ตวั ของระบบการผลติ สร้างนํานม 10.2 สร้างระบบการผลติ สร้างนํานมชดุ ใหม่ 10.3 ปรับปรุงซ่อมแซมร่างกายและเก็บสะสมอาหารไว้ใช้ในการสร้ างนํานม ครังตอ่ ไป 10.4 ในกรณีทีเป็นโคท้องที 1-3 ยงั มีการเจริญเตบิ โตเพมิ ขนึ อีก ดงั นนั เวลาทีแม่โคได้หยุดพกั ควรให้แม่โคพกั อย่างเต็มทีไม่ตํากว่า 60 วนั และในช่วง เวลาดงั กล่าว แม่โคจะต้องได้รับอาหารอย่างเพียงพอเต็มที ภายหลงั จากทีระบบการผลิตสร้ าง นํานมได้ยบุ ตวั ไปแล้วซงึ ใช้เวลาประมาณ 4 สปั ดาห์ภายหลงั จากการเริมหยดุ การรีดนม นอกจากนี แมโ่ คยงั ต้องเลียงดตู วั ออ่ นทีอยใู่ นท้องอีกด้วย 11. ความกดดนั ในเซลล์กลันสร้างนํานม ถ้ามีนํานมสะสมอยู่ในเซลล์กลันสร้ างนํานมมากจะก่อให้เกิดความกดดนั ขึนภายใน เซลล์กลนั สร้างนํานมเป็นผลให้อตั ราการผลิตนํานมลดลงและการสร้างนํานมจะหยดุ เมือความดนั สงู ประมาณ 25-40 มลิ ลิเมตรปรอท สาเหตทุ ีการผลิตนํานมหยดุ ลงเนืองจากความดนั ภายในเซลล์ กลนั สร้างนํานมสงู กวา่ ความดนั ปกตขิ องเส้นเลือดฝอย ทําให้ห้ามการไหลของเลือดเข้าสเู่ ซลล์กลนั สร้างนํานม ดงั นนั การปล่อยให้มีนํานมค้างเต้า ซึงเท่ากับเป็ นการเพิมความดนั ในเต้านมจะทําให้ ปริมาณนํานมลดลง
25 12. สุขภาพของโค แม่โคทีได้รับการเลียงดสู มบรู ณ์ดีเมือคลอดลกู แล้วจะสามารถให้นํานมได้อย่างเต็มที เพราะมีอาหารสํารองแตกตา่ งจากแมโ่ คทีซบู ผอมจะให้นํานมน้อย นอกจากนีแม่โคทีไม่สมบรู ณ์ก็มี โอกาสทีจะเจ็บป่ วยง่ายกว่า ซึงหากแม่โคเกิดเจ็บป่ วยในช่วงของการให้นมแล้วการให้นมจะลดลง อยา่ งรวดเร็วและใช้เวลานานกวา่ ทีจะให้นมได้ตามปกติ 13. การดูแลโค แม่โคทีได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดีตังแต่เริมต้น คือ เมือยังอยู่ในท้องแม่เรือยมา จนกระทงั คลอดลกู และเริมให้นมจะแสดงความสามารถในการให้นมได้อย่างเตม็ ที แตถ่ ้าหากได้รับ การเลียงดไู มด่ ี มีการปลอ่ ยปละละเลยในบางช่วง การเจริญเติบโตมีการหยดุ ชะงกั หรือแคระแกรน จะให้นมไมเ่ ต็มที เพราะร่างกายไมเ่ จริญเติบโต ระบบการผลิตสร้างนํานมจะเจริญไม่เต็มทีเชน่ กนั ดงั นนั ต้องเลียงดเู อาใจใสใ่ ห้ดตี ลอดเวลาจงึ จะได้แมโ่ คทีมีความสามารถในการให้นมได้มาก 14. อาหาร แม่โคทีได้รับอาหารเพียงพอทังปริมาณและคุณภาพ ปริมาณนํานมจะเพิมขึนตงั แต่ คลอดและสงู สดุ ประมาณ 1-2 เดือนภายหลงั คลอด จากนนั ปริมาณนํานมจะคอ่ ย ๆ ลดลงเดือนละ ประมาณร้อยละ 10 หากโคขาดอาหารในระยะแรกของการให้นมอาจยงั ไม่มีผลกระทบถึงปริมาณ นํานม เนืองจากโคดึงเอาสารอาหารทีมีอย่ใู นร่างกายมาสร้างเป็ นนํานม แตห่ ลงั จากเมือโคดงึ เอา สารอาหารจากร่างกายจนไม่สามารถดึงออกมาได้แล้ว ปริมาณนํานมจะลดลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนีหากโคขาดอาหารตงั แตก่ อ่ นคลอดปริมาณนํานมจะตําตงั แตค่ ลอด 15. สภาพแวดล้อมและภูมอิ ากาศ ในสภาพอากาศเย็นโคกินอาหารได้มากทําให้สร้างนํานมได้มาก แต่หากสภาพอากาศ ร้อนจดั จะทําให้โคกินอาหารน้อยลงทําให้ปริมาณนํานมทีได้ลดลง หรือสภาพโรงเรือนทีแออดั ขาด การระบายอากาศทีดี มีกลินเหม็นจะสร้างความอดึ อดั ให้กบั โคหรือสภาพคอกพกั หรือแปลงหญ้าที ไมม่ ีร่มเงาหรือขาดการระบายทีดปี ลอ่ ยให้เฉอะแฉะสิงเหลา่ นีล้วนก่อให้เกิดความอึดอดั รําคาญตอ่ ตวั โค สง่ ผลถึงสขุ ภาพของโคและทําให้ปริมาณนํานมลดลงเชน่ กนั 16. การรีดนม เมือเริมรีดนม นํานมทีออกมาในตอนแรกมกั ใส เรียกว่านมต้น (fore milk) มีไขมนั ตํา เพียงร้อยละ 1-2 ถ้ารีดต่อไปเรือย ๆ นํานมจะยิงข้นขนึ เรือย ๆ และปริมาณไขมนั จะสงู ขึนเรือย ๆ จนเมือใกล้หมดเต้าปริมาณไขมนั อาจสงู ถึงร้อยละ 6-7
26 17. คนรีดนม แม่โคส่วนใหญ่จะจําหน้าคนรีดนม ดังนันหากเปลียนคนรีดนมจะทําให้แม่โคเกิด ความเครียดสง่ ผลให้ปริมาณนํานมโคลดลง การรีดนมโค ธันวา ไวบท (2552, หน้า 270-274); ศนู ย์วิจยั การผสมเทียมและเทคโนโลยีชีวภาพ นครราชสีมา (2547ก); เสาร์ ศวิ ิชยั (2547, หน้า 91-96) กล่าวถึงหลกั การรีดนม การเตรียมการ ขนั ต้นกอ่ นรีดนม วิธีการรีดนมด้วยมือและการรีดนมด้วยเครืองรีดนม ไว้ดงั นี หลักการรีดนม การรีดนมทกุ ครังผ้รู ีดนมจะต้องยดึ หลกั ในการรีดนม 3 ประการ คือ ต้องรีดนมให้สะอาด รีดนมให้เร็วและรีดนมให้หมดเต้า 1. การรีดนมให้สะอาด การรีดนมให้สะอาดทําได้โยผู้รีดนมต้องไม่เป็ นโรคติดต่อ ต้องสวมเสือและมี เครืองมือพร้ อมปฏิบตั ิหน้าทีรวมถึงการทําความสะอาดตวั โคเช่น การเช็ดล้างเต้านม ทําความ สะอาดด้ วยนํ ายาคลอรี นสามารถควบคุมเชื อที ก่อให้ เกิ ดเต้ านมอักเสบแบบไม่แสดงอาการได้ นอกจากการเช็ดเต้านมแล้วภาชนะทีใช้รองรับนํานมต้องสะอาดเช่นเดียวกัน ควรระมดั ระวงั การ ปนเปื อนของมลู ปัสสาวะและอาหารขณะรีดนม 2. การีดนมให้เร็ว การหลงั นํานมของโคนมโดยหลกั เกิดจากอิทธิพลฮอร์โมนออกซีโตซินทีมีผลต่อ การหลงั นํานมประมาณ 8 นาที ดงั นนั จึงต้องพยายามรีดนํานมให้หมดภายใน 8 นาที หากไม่หมด นํานมจะตกค้างในเต้านม แม่โคจะผลิตนํานมได้น้อยลงกว่าทีควรจะเป็ น เนืองจากเมือแมโ่ คผลิต สร้างนํานมไว้จํานวนหนึงแล้วแตถ่ ูกรีดออกไม่หมด ในครังตอ่ ไปแม่โคจะสร้างนํานมลดลงเรือย ๆ จนในทีสดุ กลายเป็นวา่ แมโ่ คตวั นีให้นํานมน้อยทงั ๆ ทีแมโ่ คสามารถให้นมได้มากกวา่ นี 3. การรีดนํานมให้หมดเต้า การรีดนํานมให้หมดเต้า คือการรีดไล่นํานมส่วนสุดท้ายทีค้างอยู่ในโพรงเก็บ นํานมทีเต้านม การรีดนํานมให้หมดเต้านอกจากจะทําให้ปริมาณนํานมทีรีดได้เพิมมากขึนแล้ว นํานมสว่ นสดุ ท้ายนีมีปริมาณไขมนั สงู มากขนึ ทําให้ราคาของนํานมสงู ขนึ และทีสําคญั ทีสดุ คือเป็ น การลดความเสียงตอ่ การเป็ นโรคเต้านมอกั เสบ เพราะนํานมทีเหลือเป็ นอาหารทีดีสําหรับจลุ ินทรีย์
27 ทําให้จุลินทรีย์เจริญเติบโตได้ดีและจุลินทรีย์ทีเป็ นโทษจะทําลายกระเปาะสร้างนํานมให้เสียหาย ทําให้เกิดเต้านมอกั เสบได้ทงั แบบแสดงอาการและไมแ่ สดงอาการ สง่ ผลตอ่ ปริมาณการผลิตนํานม โดยตรง การเตรียมการขันต้นก่อนการรีดนมโค การเตรียมการขันต้นก่อนการรีดนมโคประกอบด้วย การเตรียมอุปกรณ์ การเตรียมโค และการตรวจสอบนํานม ซงึ มีรายละเอียดดงั นี การเตรียมอุปกรณ์ อปุ กรณ์ทีจําเป็ นต้องใช้ในการรีดนมจะต้องเตรียมไว้ให้พร้อมทีจะใช้งานได้ทนั ที และต้องมีไว้ใช้ทกุ ครังทีรีดนม ได้แก่ 1. ถงั รีดนม เป็นถงั อลมู เิ นียมหรือสเตนเลสทีไมม่ ีรอยตอ่ รอยปะหรือมีเหลียมมมุ เป็ นถงั สําหรับใช้ในการรีดนมโดยเฉพาะ ถังรีดนมจะต้องล้างให้สะอาดอย่เู สมอและห้ามนําถังรีด นมไปใช้งานอย่างอืน ให้ใช้เฉพาะการรีดนมเพียงอยา่ งเดียวและก่อนใช้รีดนมทกุ ครังต้องล้างด้วย นําคลอรีนทีเตรียมไว้แล้ว จากนนั ควําให้แห้งในทีสะอาดกอ่ นจะนําไปใช้รีดนม 2. ถงั ใสน่ ม โดยทวั ไปนิยมใช้ถังอลูมิเนียมหลอ่ ซงึ จะไม่มีรอยตอ่ ตะเข็บ ปากถงั กว้างอสมควร เพือความสะดวกในการทําความสะอาด ถงั เก่าทีมีเนือโลหะมีรูพรุนมากแล้วควรเลิก ใช้ เนืองจากทําความสะอาดยาก ถงั ใสน่ มจะต้องล้างให้สะอาดอยเู่ สมอและก่อนใช้ทกุ ครังต้องล้าง ด้วยนําคลอรีนหรือนํายาฆ่าเชือโรค จากนันควําให้แห้งก่อนนําไปใช้ใส่นํานมถ้าหากถังสกปรก นํานมทีบรรจไุ ว้จะสกปรกตามไปด้วย เพราะนํานมจะถกู บรรจใุ นถังเป็ นเวลานานกว่าจะถกู นําไป ส่งยงั แหล่งรับซือนม ความสกปรกนีไม่ได้หมายถึงความสกปรกทีมองเห็นด้วยตาเปล่าเทา่ นนั แต่ รวมไปถงึ ความสกปรกจากเชือจลุ ินทรีย์ทีมองไมเ่ ห็นด้วย 3. นําคลอรีนหรือนํายาฆา่ เชือโรคสําหรับเชด็ เต้านม ก่อนและหลงั การรีดนมต้อง ใช้นํายาฆา่ เชือโรคสําหรับเช็ดเต้านมทกุ ครัง เพือใช้ฆา่ เชือจลุ ินทรีย์ทีอาศยั อย่ตู ามเต้านม ป้ องกัน ไมใ่ ห้ปะปนกบั นํานมในขณะรีดนมและป้ องกนั การเกิดโรคเต้านมอกั เสบได้เชน่ กนั 4. เก้าอีนงั รีดนม ควรมีความสงู ประมาณ 30 เซนติเมตร อาจสงู หรือตํากวา่ นีก็ ได้ขนึ อยกู่ บั ตวั ผ้รู ีดแตล่ ะคน ถ้าเก้าอีสงู หรือตํามากเกินไปจะทําให้เวลานงั รีดนมไม่สะดวกหรือเมือ รีดไปนาน ๆ จะเมือยมาก ควรปรับเปลียนใหมใ่ ห้นงั รีดได้สบาย
28 5. ผ้าเช็ดเต้านม ใช้สําหรับเช็ดทําความสะอาดเต้านมด้วยนําคลอรีนและเช็ด กระต้นุ ให้แมโ่ คปลอ่ ยนํานมควรมี 2 ผืน ผืนหนงึ ใช้สําหรับจมุ่ นําคลอรีน เช็ดทําความสะอาดเต้านม แล้วแช่ทิงไว้ในนํายาตลอดเวลา อีกผืนหนึงใช้สําหรับเช็ดทําความสะอาดให้แห้งอยู่เสมอหรือใช้ เช็ดเมือมือเปื อนนํานมหรือจบั สว่ นอืน ๆ มา 6. ถ้วยตรวจนํานม ใช้สําหรับตรวจเช็คนํานมก่อนลงมือรีดและเก็บนํานมไว้เพือ ตรวจสอบวา่ นํานมมีความผิดปกติหรือเป็ นโรคเต้านมอกั เสบหรือไม่ ไม่ควรรีดทดสอบด้วยการรีด ลงพืน เพราะจะตรวจสอบได้ยามและเป็ นการช่วยแพร่กระจายเชือโรคไปสู่ตวั อืน ๆ ถ้วยตรวจนํา นมอาจดดั แปลงทําจากวสั ดภุ ายในฟาร์มได้ โดยการใช้ถ้วยพลาสติกแบบมีหเู ป็ นถ้วยสําหรับเก็บ นํานมและตดั พลาสตกิ สีดําเป็นแผน่ รองไว้ทีปากถ้วย เพือรองรับดลู กั ษณะของนํานมทีรีดออกมา 7. เชือก ในกรณีทีแม่โคเตะหรือดินเวลารีดนม จําเป็ นต้องใช้เชือกช่วยในการ บงั คบั แมโ่ คให้ยืนนิง ๆ เพือความสะอาดและป้ องกันอนั ตรายทีจะเกิดขึนในขณะรีดนม การบงั คบั แมโ่ คอาจจะใช้เชือกมดั ขาไว้กบั ราวเหล็กกนั ข้างหรือมดั ขาควบทงั 2 ข้างหรือมดั ท้องหรือมดั ปาก อยา่ งใดอยา่ งหนงึ ทงั นีแล้วแตล่ กั ษณะนิสยั ของแม่โค แตถ่ ้าหากไมจ่ ําเป็ นก็ไมต่ ้องมดั เพราะจะทํา ให้เสียเวลาในการรีดนมมากขนึ การเตรียมโค แม่โคทีรีดนมจะต้องปราศจากโรคตามพระราชบญั ญัติคือ โรคแท้งติดตอ่ และโรค วณั โรค ก่อนการรีดนมทกุ ครังจะต้องทําความสะอาดตวั โคและการเชด็ เต้านมด้วยนําคลอรีน 1. การทําความสะอาดตวั โค เริมจากการล้างด้วยนําและใช้แปรงช่วยแปรงเศษ สกปรกและขนทีร่วงออกให้หมด ถ้าหากไม่มีนําให้ใช้แปรงแปรงขนให้สะอาด โดยเฉพาะทีบริเวณ หลงั พืนท้อง สะโพกและหาง ซึงเป็ นบริเวณทีสิงสกปรกทีเกาะอยู่จะร่วงลงสู่ถังรีดนมได้ การทํา ความสะอาดแมโ่ คนี นอกจากจะทําให้ตวั โคสะอาดแล้ว การทําความสะอาดแมโ่ คนีนอกจากจะทํา ให้ตวั โคสะอาดแล้วยงั ชว่ ยให้แม่โคมีความรู้สึกสบายไมอ่ ดึ อดั พร้อมทีจะให้รีดนมและช่วยให้แมโ่ ค เชืองขนึ อีกด้วย การรีดนมและการจดั การอืน ๆ ก็จะสะดวกขนึ 2. การเช็ดเต้านมด้วยนําคลอรีน ด้วยการใช้ผ้าเช็ดเต้านมจมุ่ นําคลอรีนให้เปี ยก โชก วางแผบ่ นฝ่ ามือแล้วนําไปเชด็ บริเวณเต้านมให้ทวั ทกุ ซอกทกุ มมุ พร้อมกบั นวดกระต้นุ ไปพร้อม ๆ กันแล้วกลบั มาซกั ผ้าเช็ดเต้านมด้วยนําคลอรีนอีกครังหนึง บิดให้แห้ง คลีผ้าออกวางบนฝ่ ามือ แล้วกลบั ไปเช็ดเต้านมซําอีกครังหนึงให้ทวั เพือเป็ นการฆ่าเชือโรคบริเวณเต้านมและกระต้นุ การ ปลอ่ ยนม
29 การตรวจสอบนํานม การตรวจสอบนํานมด้วยถ้วยกรวดนํานม โดยการรีดนํานมจากแต่ละเต้าลงบน ถ้วยตรวจนํานม เต้าละ 2-3 ครัง เพือตรวจความผิดปกติของนํานมและตรวจดวู ่าเกิดเป็ นโรคเต้า นมอกั เสบหรือไม่ ถ้าเป็ นจะเกิดเป็ นก้อนนมปะปนออกมา นอกจากนียงั เป็ นการรีดนํานมต้นทิง กอ่ น วธิ ีการรีดนม การรีดนมโค แบง่ เป็น 2 แบบใหญ่ ๆ ได้แก่ การรีดนมด้วยมือ (ภาพที 12.13) และการรีด นมด้วยเครืองรีดนม (ภาพที 12.14) ซงึ มีหลกั การคล้ายกนั คือพยายามเลียนแบบการดดู นมของลกู โคให้มากทีสดุ การรีดนมด้วยมือ 1. นงั รีดนมในทา่ ทีถกู ต้อง นงั โดยการวางฝ่ าเท้าทงั 2 ข้างเต็มฝ่ าเท้าและปลอ่ ย เท้าตามสบายพบั ขาด้านซ้ายขนึ มาเล็กน้อยเพือให้หวั เขา่ กนั ขาแมโ่ คและไมใ่ ห้ถงั รีดนมขยบั ไปขยบั มา ปากถังรีดนมเอียงประมาณ 45 องศา เพือรองรับนํานมทีรีดออกมาและช่วยป้ องกนั ไม่ให้ฝ่ ุน ละอองตกลงไปในถงั รีดนม การนงั ในทา่ ทีไม่ถกู ต้องจะทําให้เกิดความเมือยล้าเมือรีดนมไปนาน ๆ นอกจากนีแล้วถงั นมอาจจะหกได้เมือมีนํานมมากขนึ หรือเมือเราขยบั ตวั หลบในขณะทีแมโ่ คเตะ 2. รีดนมให้ถกู วิธี โดยยดึ หลกั รีดนมให้สะอาดเร็วและหมดเต้า การรีดจะต้องบีบ รัดนิวให้ถกู ต้อง รีดเป็นจงั หวะสมําเสมอ ห้ามใช้เล็บมือหรืองอนิวหวั แมม่ ือจกิ หวั นมจะทําให้ภายใน หวั นมซําเกิดการอกั เสบได้ง่าย ถ้าหากหวั นมสนั กว่าปกติให้ใช้ปลายนิวมือ 2 หรือ 3 นิว รีดโดยการ ขยบั นิวบบี ไลน่ ํานมออกมา ห้ามใช้วธิ ีการรูดหวั นม เพราะจะทําให้เกิดการชําได้เชน่ กนั การรีดนมที ถูกวิธีนีจะทําให้นํานมทีรีดออกมาสะอาด มีคุณภาพดีและทําให้รีดนํานมได้มากเต็มทีตาม ความสามารถของแมโ่ คทีจะให้นํานมได้จริง ๆ 3. รีดตามนํานม เมือรีดนํานมจนกระทงั นํานมไหลลงมาทีหวั นมน้อยลงมากแล้ว จะยงั คงมีนํานมบางสว่ นค้างอยใู่ นโพรงเก็บนํานมอีก จงึ ต้องรีดตามนํานมสว่ นสดุ ท้ายนีด้วยการใช้ มือข้างหนงึ บบี ไลน่ ํานมทีอยใู่ นโพรงนีให้ไหลลงมาทีหวั นมแล้วใช้มืออีกข้างหนึงรีดออกมา ทําสลบั เช่นนีไปจนกว่าจะไม่มีนํานมไหลออกมาจนครบทุกเต้าแล้วจึงถือว่ารีดตามนํานมออกมาได้หมด ประโยชน์ของการรีดตามนํานมนอกจากจะทําให้ได้นํานมมากขึนและระยะเวลาการให้นมนานขึน เนืองจากแมโ่ คต้องสร้างนํานมออกมาเตม็ ประสิทธิภาพตลอดเวลา นอกจากนียงั ได้นํานมปลายซงึ
30 เป็นนํานมช่วงสดุ ท้ายทีมีปริมาณไขมนั สงู และไม่มีนํานมค้างเต้าซงึ เป็ นสาเหตสุ ําคญั ทีทําให้แมโ่ ค เป็นโรคเต้านมอกั เสบ 4. การฆ่าเชือหลังจากรีดนมเสร็จ ด้วยการจุ่มหวั นมแม่โคในนํายาสําหรับจุ่ม หวั นมหรือเชด็ เต้านมด้วยนําคลอรีนซําอีกครัง เพือเป็นการฆา่ เชือโรคทีตดิ อย่บู ริเวณหวั นมและเป็ น การกระต้นุ เซลล์ทีรูหวั นมให้สร้ างสารชนิดหนึงลกั ษณะคล้ายไขออกมาปิ ดกันทีรูหวั นมไม่ให้เชือ โรคแพร่กระจายเข้าไปภายในเต้านม ป้ องกนั การเกิดโรคเต้านมอกั เสบ 5. ก่อนปล่อยแม่โคลงแปลง เมือรีดนํานมและจดบนั ทึกปริมาณนํานมทีรีดได้ จากแมโ่ คเรียบร้อยแล้วจะปลอ่ ยโคลงแปลงหญ้าหรือเข้าคอกพกั ตอ่ ไป จะต้องสงั เกตวา่ มีแมโ่ คตวั ใดป่ วยหรือเป็นสดั หรือมีอาการผดิ ปกตหิ รือไม่ ภาพที 2.13 การรีดนมด้วยเครืองรีดนม ทีมา: (ศนู ย์วจิ ยั การผสมเทียมและเทคโนโลยีชีวภาพนครราชสีมา, 2547ก) การรีดนมด้วยเครืองรีดนม 1. วางถงั รีดนมไว้ทีหลงั ขาหน้าของแมโ่ ค 2. ถือกระปุกรวมนม แล้วหงายกระปกุ ขึน หัวรีดแต่ละหวั จะห้อยลงด้านล่าง จากนันหมุนหรือขยับพวงรีดนมทังพวงให้ท่อนมทีกระปุกรวมนม ซึงเป็ นท่อใสขนาดใหญ่ชีไป ด้านหน้าของแม่โค เมือจัดแล้วจะส่งผลให้หวั รีดแต่ละหัว ห้อยลงในตําแหน่งทีถูกต้อง ซึงเป็ น ตาํ แหนง่ ทีพร้อมทีจะสวมกบั หวั นมแมโ่ คแตล่ ะหวั 3. ยกกระปกุ รวมนมให้สงู ขึน แล้วใช้มืออีกข้างหนึง จบั ทีปลายหวั รีด บริเวณที เป็นยางไลเนอร์ สวมเข้ากบั หวั นมแมโ่ ค โดยเริมจากสวมจากหวั นมทีไกลตวั ผ้รู ีดทีสดุ ก่อน การสวม
31 ต้องทําอยา่ งนมุ่ นวล ระวงั อยา่ ให้หวั นมแมโ่ คพบั นอกจากนี ขณะสวมควรหกั สายไลเนอร์เพือไม่ให้ มีเสียงดดู ลมป้ องกนั แมโ่ คตกใจ 4. หากสวมหัวรีดนมเข้ากับหัวนมแล้ว มีเสียงลมรัวออก หรือหัวรีดไม่เกาะที หวั นมให้ขยบั ทีวาล์วตรงกระปกุ รวมนม จนไมไ่ ด้ยนิ เสียงลมรัวออก 5. ระยะเวลาตงั แต่เริมเช็ดหวั นม จนสวมหัวรีดนมเรียบร้ อย ไม่ควรเกินกว่า 1 นาที จะสงั เกตเห็นนํานมไหลจากกระปกุ รวมนม ผา่ นสายนมซงึ เป็นสายใสลงสถู่ งั นม แรก ๆ นํานม จะเต็มสาย พอระยะหนึงนํานมจะเหลือน้อยและหวั รีดจะขยบั ขึนไปทีฐานเต้านม ให้ใช้มือถ่วงที กระปกุ รวมนม ไมใ่ ห้หวั รีดขยบั ขนึ ไปทีเต้านม เพราะอาจทําให้หวั นมชํา 6. เมือนํานมหมดสาย ให้ปิ ดวาล์วทีท่อลมสญุ ญากาศ และขยบั วาล์วทีกระปกุ รวมนม จนได้ยินเสียงลมเข้าไปในกระปกุ หวั รีดจะหลดุ ออกจากหวั นมแม่โคเอง หากหวั รีดยงั ไม่ หลดุ ใช้แรงดงึ เลก็ น้อย หวั รีดก็จะหลดุ ออกจากหวั นม 7. ใช้แขนอีกข้างหนึงช้อนรวบหวั รีด อย่าให้ตกลงพืน และแขวนพวงรีดนมไว้ที ฝาถงั นม 8. การรีดนมด้วยเครืองรีดจนนมหมดเต้าแล้ว ไมจ่ ําเป็นต้องรีดซําด้วยมืออีก 9. หลังจากถอดหัวรีดนม ให้จุ่มหัวนมแม่โคทัง 4 หัว ด้วยยาฆ่าเชือจําพวก ไอโอดนี ทนั ที ภาพที 2.14 การรีดนมด้วยเครืองรีดนม ทีมา: (ศนู ย์วิจยั การผสมเทียมและเทคโนโลยีชีวภาพนครราชสีมา, 2547ก)
32 สถานทสี าํ หรับรีดนมโค สถานทีสําหรับรีดนมโคแบง่ ได้เป็น 2 ประเภท คอื การรีดนมในโรงเลียงและรีดนมในโรง รีดนม การรีดนมในโรงเลียง การรีดนมในโรงเลียง มกั เป็ นแบบผกู ยืนโรง เกษตรกรกรเริมต้นจากการรีดนมด้วยมือใน โรงเลียงแบบผกู ยืนโรง พอสะสมเงินทองได้ระยะหนงึ มีกําไรมากพอทีจะซือเครืองรีดนม ก็สามารถ ตดิ ตงั อปุ กรณ์การรีดนมในโรงเลียงเลย การรีดนมในโรงเลียงโดยใช้เครืองรีดนม หากแยกตามการ จดั การระบบนํานม ทํากนั อยู่ 2 ระบบ คือ ระบบรีดนมลงในถงั รับนมเฉพาะตวั โค หรือระบบถงั (bucket system) และระบบปล่อยให้นมไหลผ่านท่อส่ถู งั เก็บนมรวม หรือระบบท่อ (pipeline system) การรีดนมในโรงรีดนม โรงรีดนมถกู ปรับปรุงจนมีหลายแบบ เพือความสะดวกในการรีดนม ได้แก่ โรงรีดนมแบบ ผกู ยืนโรง แบบก้างปลาและแบบหมนุ โรงรีดนมแบบผูกยืนโรง โรงรีดแบบนี ลักษณะเหมือนกับคอกเลียงแบบผูกยืนโรง มีการเดินท่อลม สญุ ญากาศเหนือหวั โค เพือสําหรับตอ่ เครืองรีดแบบรีดลงถงั หรือมีการเดนิ ทอ่ นม สําหรับรีดนมเข้า ทอ่ และไหลรวมกนั ในถงั นมรวม โรงรีดนมแบบนีนยิ มในหมผู่ ้เู ลียงโคนมรายย่อย เนืองจากประหยดั ต้นทนุ มากทีสดุ ในโรงรีดจะแบ่งเป็ นช่อง (stall) สําหรับแม่โคแต่ละตวั เรียกว่าซอง ซองจะเรียง ยาวเป็ นตับ ซองแต่ละซองจะกว้าง 110-120 เซนติเมตร ยาวประมาณ 155-170 เซนติเมตร พืนซองเป็นเป็นคอนกรีต ทีมีความลาดเอียงไปทางด้านท้าย บางฟาร์มอาจมีแผน่ ยางปรู องพืน เพือ กนั แม่โคลืน ส่วนทีกันด้านหน้า เพือยึดให้แม่โคอยู่ประจําซอง อาจใช้เชือกคล้องคอแม่โคและยึด กบั พืนซองหรือใช้โซ่คล้องคอแม่โคและยึดกับพืนและคานของตวั ซองหรือใช้เหล็กประกบคอก็ได้ แต่แบบทีนิยม ได้แก่ ใช้โซ่คล้องคอแมโ่ คไว้ อีกเส้นหนึงยึดติดกบั พืนและร้อยผ่านโซ่ทีคล้องคอโค นําไปยึดกบั คานของตวั ซอง คานของตวั ซองจะทําด้วยเหล็กแป๊ บขนาดเส้นผา่ ศนู ย์กลาง 1-1.5 นิว หรือทําด้วยไม้ก็ได้ คานจะอยู่สูงจากพืน 190 เซนติเมตร ด้านหน้าของแต่ละซอง มีรางอาหาร
33 สําหรับให้อาหารข้น รางอาหารจะกว้างประมาณ 60-70 เซนติเมตร ความยาวของรางอาหารจะ ยาวตลอดจํานวนซอง รางอาหารมีขอบ(Brisket) ยกสงู ขึน ประมาณ 20 เซนตเิ มตร เพือกนั อาหาร หกเรียราด และขอบทียกสงู ขนึ นี จะหนาประมาณ 10 เซนตเิ มตร (ภาพที 2.15) ภาพที 2.15 โรงรีดนมแบบผกู ยืนโรง ทีมา: (ศนู ย์วจิ ยั การผสมเทียมและเทคโนโลยีชีวภาพนครราชสีมา, 2547ก) โรงรีดนมแบบก้างปลา โรงรีดแบบนีได้รับความนยิ มมากในหมผู่ ้เู ลียงโคนมระดบั กลางถงึ ใหญ่ โรงรีดแบบ นีตรงกลางจะขุดเป็ นหลุม สําหรับผู้รีดลงไปยืนรีดในหลุม โดยหลุมจะลึกประมาณ 75-85 เซนตเิ มตร ความกว้างประมาณให้พอทีผ้รู ีดนมจะทํางานได้สะดวก ด้านข้างหลมุ ทงั 2 ด้าน ซึงเป็ น พืนระดบั ปกติ จะเป็ นชอ่ งหรือซองสําหรับโคยืนรีด โดยซองรีดจดั ให้โคยืนทํามมุ 35 องศากบั หลมุ โดยแบบซองจะบงั คบั ให้โคแตล่ ะตวั หนั เต้านมเฉียงเข้าหาหลมุ และผู้รีดยืนรีดนมในหลมุ ทําให้ไม่ ต้องนงั รีดเหมือนแบบผกู ยืนโรง (ภาพที 2.16)
34 ภาพที 2.16 โรงรีดนมแบบก้างปลา ทีมา: (ศนู ย์วิจยั การผสมเทียมและเทคโนโลยีชีวภาพนครราชสีมา, 2547ก) โรงรีดนมแบบหมุน โรงรีดนมแบบนีซองรีดจะเคลือนทีช้า ๆ ไปเรือย ๆ เป็ นวงกลม โคจะเข้าซองทีละ ตัวและได้รับการทําความสะอาด ให้อาหาร ใส่เครืองรีดนมในขณะทีซองจะหมุนอย่างช้า ๆ จนกระทงั ก่อนถึงทางออก ถ้าโคถกู รีดนมหมดจะถอดเครืองรีดแล้วปล่อยโคออกมา โคตวั ใหม่จะ เข้าไปแทนที แตถ่ ้ายงั รีดนมไมห่ มดจะถกู หมนุ อีก 1 รอบ (ภาพที 2.17) ภาพที 2.17 โรงรีดนมแบบหมนุ ทีมา: (ศนู ย์วจิ ยั การผสมเทียมและเทคโนโลยีชีวภาพนครราชสีมา, 2547ก)
35 บทสรุป เต้านมโคมีนมทงั หมด 4 เต้า ภายในเต้านมประกอบด้วยระบบท่อนม ได้แก่ กระเปาะ สร้างนํานม ทอ่ นม โพรงเก็บนํานมหรือแอง่ รวมนม โพรงหวั นมและรูหวั นม การ ไ ห ลเวี ยน ขอ ง เลือดเลียงเต้านม เริมต้นจากหวั ใจทําการสบู ฉีดเลือดแดงเพือเลียงเต้านม เมือกระเปาะสร้างนํานม นําอากาศและอาหารจากเลือดไปใช้เพือสร้างนํานมแล้วเลือดแดงจะกลายเป็ นเลือดดําไหลกลบั สู่ เส้นเลือดดาํ ใหญ่ไหลกลบั สหู่ วั ใจ การหลงั นํานมจากเต้านมโคจะเริมขึนก่อนการคลอดลกู เล็กน้อย จากนนั แมโ่ คจะให้นม ลกู ประมาณ 300 วนั เรียกว่า ระยะการให้นมหลงั จากนนั นํานมจะลดลงเหลือร้อยละ 15-25 ของ ปริมาณสงู สดุ ทีแมโ่ คผลติ ได้ตอ่ มาแมโ่ คจะหยดุ การให้นมจนกว่าจะถึง 60 วนั ก่อนการคลอดลกู ตวั ตอ่ ไป เมือมีการคลอดลกู อีกครังวฎั จกั รของการให้นมจะเริมขนึ อีกครัง นมทีสร้างขึนในชว่ งแรกหลงั คลอดลกู ใหม่ เรียกว่า นมนําเหลืองซงึ มีองค์ประกอบและสมบตั ิแตกตา่ งจากนมโคปกตอิ ย่างมาก โคสามารถผลิตนํานมได้ดีในชว่ ง 5 ปี แตใ่ นชว่ งแรกของการให้นมจะมีการสร้างนํานมคอ่ นข้างน้อย คาร์โบไฮเดรตในนํานมโคสร้ างจากจุลินทรีย์ในกระเพาะโคหมักคาร์โบไฮเดรตชนิด เส้นใยได้กรดไขมนั ระเหยได้แก่ กรดอะซิติก กรดโพรพิโอนิคและกรดบิวทีริค จากนันตบั เปลียน โพรพิโอเนตและกรดอะมิโนเป็ นกลูโคสแล้วลําเลียงไปยงั เต้านมทางกระแสเลือดเพือสังเคราะห์ แลก็ โทสและไขมนั นมในเต้านม การสร้างไขมนั ในนํานมร้อยละ 50 มาจากอาหารทีแม่โคกิน โดยเริมจากเกิดการย่อย สลายลปิ ิดและเกิดกรดไขมนั อมิ ตวั ในกระเพาะ เกิดการดดู ซึมลิปิ ดทีลําไส้ นอกจากนีตอ่ มนํานมใน เต้านมยงั เปลียน TG-rich LP เป็นกรดไขมนั สายสนั และสายยาวปานกลาง การสร้างโปรตีนในนํานมเริมต้นจากจลุ ินทรีย์ในกระเพาะย่อยโปรตีนให้เป็ นกรดอะมิโน แอมโมเนียและกรดไขมนั ทีมีลกั ษณะโมเลกลุ เป็ นกิงแขนง จากนนั กรดอะมิโนชนิดหนึงอาจเปลียน รูปเป็ นกรดอะมิโนอีกชนิดหนึงหรือเกิดการออกซิไดซ์ให้ลงั งาน แต่กรดอะมิโนส่วนใหญ่ถูกดดู ซึม โดยตอ่ มนํานมและใช้ในการสงั เคราะห์โปรตีน กลไกการปลดปลอ่ ยนํานมเริมจากเกิดการกระต้นุ จากการสมั ผสั หวั นมหรือความค้นุ เคย ทีจะต้องปลอ่ ยนํานม การกระต้นุ เหลา่ นีเป็นเหตใุ ห้ตอ่ มใต้สมองสว่ นหลงั ปลอ่ ยฮอร์โมนออกซีโตซิน เข้าสู่กระแสเลือดและกระต้นุ ให้กล้ามเนือไมโออีพิทีเลียลทีหุ้มรอบกระเปาะสร้างนํานมและส่วน ของทอ่ นมให้เกิดการบบี รัดตวั สง่ ผลให้นํานมทีอยใู่ นกระเปาะสร้างนํานมไหลลงส่ทู อ่ นํานมและไป ทีแอง่ รวมนํานม ไปทีโพรงหวั นมและออกนอกร่างกายแมโ่ คทางรูหวั นม เรียกวา่ การหลงั นํานม
36 ปัจจัยทีมีผลต่อปริมาณและคณุ ภาพของนํานม คือ พันธ์ุ กรรมพนั ธ์ุ การทํางานของ หวั ใจและระบบเลือด อายขุ องโค ขนาดของโคนม โคเป็ นสดั โคตงั ท้องระยะของการให้นม การให้ นมแตล่ ะมือ การหยดุ รีดนมหรือการดราย ความกดดนั ในเซลล์กลนั สร้างนํานม สขุ ภาพโค การดแู ล โค อาหาร สภาพแวดล้อมและภมู ิอากาศ การรีดนมและคนรีดนม การรีดนมมีหลกั การคือ รีดนมให้สะอาด เร็วและรีดให้หมดเต้า การเตรียมการขันต้น ก่อนการรีดนมประกอบด้วย การเตรียมอุปกรณ์ ได้แก่ ถังรีดนม ถังใส่นม นําคลอรีนหรือนํายา ฆ่าเชือโรคสําหรับเช็ดเต้านม เก้าอีนงั รีดนม ผ้าเช็ดตวั นม ถ้วยตรวจนํานม เชือก การเตรียมโค ได้แก่ การทําความสะอาดตวั โค การเช็ดเต้านมด้วยนําคลอรีนและตามด้วยการตรวจสอบเต้านม วิธีการรีดนมแบ่งเป็ น 2 ประเภทคือ การรีดนมด้วยมือและการรีดนมด้วยเครืองรีดนม โดยมีหลกั การคล้ายกนั คือ พยายามเลียนแบบการดดู นมของลกู โคให้มากทีสดุ สําหรับสถานทีใน การรีดนมโคมี 2 ประเภท คอื การรีดนมในโรงเลียงและการรีดนมในโรงรีดนมซึงมีหลายแบบ ได้แก่ โรงรีดนมแบบผกู ยืนโรง โรงรีดนมแบบก้างปลาและโรงรีดนมแบบหมนุ คาํ ถามท้ายบท 1. จงอธิบายองคป์ ระกอบและหน้าทีของระบบทอ่ นมในเต้านมโค 2. จงอธิบายกลไกการหลงั นํานมจากเต้านมโค 3. จงอธิบายกลไกการสร้างแล็กโทส ไขมนั และโปรตนี ในนํานม 4. จงอธิบายกลไกการปลดปลอ่ ยนํานม 5. จงอธิบายปัจจยั ทีมีผลตอ่ ปริมาณและคณุ ภาพของนํานมโค 6. จงอธิบายขนั ตอนและวิธีการรีดนมอยา่ งมีสขุ ลกั ษณะการรีดนํานมโคทีดี เอกสารอ้างองิ การผสมเทียม, ศูนย์วิจัย. (2547). เต้านมการสร้ างนํานมและองค์ประกอบของนํานม. [Online]. Available: http://www.dld.go.th/airc_nak/knowledge/files/H-1.doc [2555, 11 มีนาคม]: ผ้แู ตง่ . ธนั วา ไวบท. (2552). เทคโนโลยกี ารผลติ โคนม. นครสวรรค์: คณะเทคโนโลยีการเกษตรและ เทคโนโลยีอตุ สาหกรรม มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์.
37 เสาร์ ศวิ ชิ ยั . (2547). การผลติ นํานมสะอาด. ใน สถาบนั วิจยั และพฒั นา โคนม (บก.), คู่มือการ เลียงโคนม (หน้า 87-107). สระบรุ ี: องคก์ ารสง่ เสริมกิจการโคนมแหง่ ประเทศไทย: ผู้ แตง่ . วิจยั การผสมเทียมและเทคโนโลยีชีวภาพนครราชสีมา, ศนู ย์. (2547ก). การรีดนม. [Online]. Available: www.dld.go.th/airc_nak/knowledge/files/H-2.doc [2555, 11มีนาคม]: ผ้แู ตง่ . (2547ข). เต้านมการสร้ างนํานองค์ ประกอบของนํานม. [Online]. Available: www.dld.go.th/airc_nak/ knowledge/files /H-1.doc [2555, 11มีนาคม]: ผ้แู ตง่ วิจยั และพฒั นาโคนม, กล่มุ (2553). พันธ์ุโคนม. [Online]. Available: http://www.dld.go.th/km/ th/index.php?option=com_content&view=article&id=2 7 3 : 2 0 1 0 -0 1 -0 1 -1 1 -4 8 - 23&catid=41:present-general&Itemid=59 [2555, 11 มีนาคม]: ผ้แู ตง่ . Wattiaux, M. A. (2011a). 3) Carbohydrate metabolism in dairy cows. [Online]. Available: www.babcock.wisc.edu/sites/default/files/de/en/de_03.en.pdf [2012, 11 March]. . (2011b). 4) Lipid metabolism in dairy cows. [Online]. Available: www.babcock.wisc.edu/sites/default/files/de/en/de_04.en.pdf [2012, 11 March]. . (2011c). 5) Protein metabolism in dairy cows. [Online]. Available: www.babcock.wisc.edu/sites/default/files/de/en/de_05.en.pdf [2012, 11 March]. . (2011d). 20) Milk secretion in the udder of a dairy cow. [Online]. Available: www.babcock.wisc.edu/sites/default/files/de/en/de_20.en.pdf [2012, 11 March].
Search
Read the Text Version
- 1 - 37
Pages: