1. การประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศในงานสานกั งาน ไดใ้ นหลายลกั ษณะ เชน่ 1.1 การจดั เตรยี มเอกสาร เป็นการใชเ้ ครอ่ื งประมวลผลคาหรอื เครอ่ื งประมวลผลเนือ้ หา เครอ่ื งมือในการจดั เตรยี มอปุ กรณเ์ หลา่ นี้ ไดแ้ ก่ เครอ่ื งคอมพิวเตอร์ โมเดม็ และช่องทางการ ระบบประมวลผลคา แบง่ ออกได้ 2 ระบบ คือระบบเด่ยี ว และระบบเช่ือมโยงกบั เครอื ขา่ ยการตอ่ ชอ่ งทางการส่ือสาร 1.2 งานกระจายเอกสาร เป็นการกระจายขอ้ มลู สารสนเทศไปยงั ผใู้ ช้ ณ จดุ ตา่ ง ๆ 1.3 งานจดั เก็บและคน้ คืนเอกสาร สามารถทาไดท้ งั้ ระบบออฟไลนแ์ ละระบบออนไลน์ โดยผ่าน เครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์ หรอื ผ่านเครอื ขา่ ยโทรคมนาคมรูปแบบอื่น ๆ 1.4 งานจดั เตรยี มสารสนเทศในลกั ษณะภาพ ไดแ้ ก่ เครอ่ื งคอมพิวเตอรส์ รา้ งภาพ เครอ่ื ง สแกนเนอร์ โทรทศั น์ และวดี ทิ ศั น์ เป็นตน้ 1.5 งานสือ่ สารสารสนเทศดว้ ยเสียง เชน่ การใชโ้ ทรศพั ท์ เป็นตน้ 1.6 งานสือ่ สารสารสนเทศดว้ ยภาพและเสยี ง เชน่ ระบบมลั ติมีเดยี ระบบการประชมุ ทางไกล ดว้ ยภาพและเสยี ง เป็นตน้ 2. การประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศในงานอตุ สาหกรรม โรงงานอตุ สาหกรรมหลายแหง่ นาระบบ สารสนเทศเพ่ือการจดั การเขา้ มาช่วยในการจดั การระบบการผลติ การส่งั ซือ้ การพสั ดุ การเงิน บคุ ลากร และงาน ดา้ นอ่นื ๆ 3. การประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศในงานการเงนิ และการพาณิชย์ สถาบนั การเงินตา่ งๆ ใช้ เทคโนโลยสี ารสนเทศในรูปแบบของเครอ่ื งถอนเงนิ โดยอตั โนมตั ิ หรอื ATM เพ่ืออานวยความสะดวก ในการฝาก ถอน โอนเงิน และไดน้ าคอมพิวเตอรร์ ะบบออนไลนแ์ ละออฟไลนเ์ ขา้ มาช่วยในการทางาน ประจาวนั ของธนาคาร 4. การประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศในงานดา้ นการบรกิ ารส่อื สาร ไดแ้ ก่ การบรกิ าร โทรศพั ท์ โทรศพั ทเ์ คลอื่ นท่ี วิทยุ โทรทศั น์ การคน้ คืนสารสนเทศระบบออนไลน์ และดาวเทยี ม เป็นตน้ 5. การประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศในงานดา้ นสาธารณสขุ สามารถประยกุ ตใ์ ชไ้ ด้ หลายดา้ น ดงั นี้ 5.1 ระบบสารสนเทศโรงพยาบาล (Hospital Information System : HIS) นามาใชใ้ น งานเวชระเบียน ระบบขอ้ มลู ยา การรกั ษาพยาบาล การคดิ เงิน เป็นตน้ 5.2 ระบบสาธารณสขุ นามาใชใ้ นดา้ นการดแู ลรกั ษาโรคระบาดในทอ้ งถ่ิน 5.3 ระบบผเู้ ช่ียวชาญ (Expert System) เป็นระบบท่ีใชค้ อมพิวเตอรใ์ นการวนิ ิจฉยั โรค ระบบสารสนเทศท่ีใชก้ บั งานดงั กลา่ วซง่ึ มีช่ือเสียงและมีการนามาใชใ้ นราวสิบกวา่ ปีท่ผี ่านมา 6. การประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศในงานดา้ นการฝึกอบรมและการศกึ ษา 6.1 การใชค้ อมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน (Computer Assisted Instruction)
6.2 การศึกษาทางไกลมีหลายแบบ เช่น การเรียนการสอนผา่ นวทิ ยุ โทรทศั น์ ไปจนถึง ระบบแพร่ภาพ การสอนผา่ นดาวเทียม (Direct To Home : HTM) หรือการประชุมทางไกล (Video Teleconference) 6.3 เครือข่ายการศึกษา เป็นการจดั ทาเพื่อใหค้ รู อาจารย์ และนกั เรียน นกั ศึกษา มี โอกาส เครือขา่ ยแสวงหาความรู้ที่มีอยมู่ ากมายในโลก และการใชบ้ ริการต่าง ๆ ท่ีเป็นประโยชน์ทาง การศึกษา 6.4 การใชง้ านหอ้ งสมุด เป็นการอานวยความสะดวกแก่ผใู้ ชใ้ นการยมื คืน ก หนงั สือ วารสาร สิ่งพมิ พห์ รือการคน้ หาขอ้ มูลท่ีตอ้ งการไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว 6.5 การใชง้ านในหอ้ งปฏิบตั ิการ การใชง้ านร่วมกบั อุปกรณ์เคร่ืองมือต่าง ๆ เช่น จาลองแบบ การออกแบบวงจรไฟฟ้า การควบคุม การทดลอง เป็นตน้ 6.6 การใชใ้ นงานประจาและบริหาร เช่น การจดั ทาทะเบียนประวตั ินกั เรียน นกั ศ การเลือกวิชา เรียน การลงทะเบียน การแสดงผลการเรียน การแนะแนวอาชีพ การแนะแนวการศึกษา การเกบ็ ขอ้ มูล ผปู้ กครองหรือขอ้ มูลครู ซ่ึงทาใหอ้ าจารยส์ ามารถติดตามและดูแลนกั เรียนไดอ้ ยา่ งใกล้ ชิดมากข้ึน รวมท้งั ครูอาจารยส์ ามารถพฒั นาตนเองได้
สรุป เทคโนโลยใี นปัจจบุ นั มีการพฒั นาขนึ้ เป็นอยา่ งมาก โดยเทคโนโลยีทางดา้ นคอมพิวเตอรท์ ่ีสามารถเขา้ ไป ประยกุ ตใ์ ชก้ บั ทกุ สว่ นของงานท่ีปฏิบตั ิ ฉะนนั้ การเลือกใช้ หรอื การประยกุ ตใ์ ชจ้ งึ เป็นสิ่งสาคญั เพ่ือใหเ้ กิดความ เหมาะสมกบั งานแตล่ ะดา้ น ไม่ วา่ จะเป็นดา้ นการศกึ ษา การแพทย์ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี การส่ือสาร การทหาร ฯลฯ กจิ กรรมเสนอแนะ 1. ใหผ้ เู้ รยี นแตล่ ะคนอธิบายเทคโนโลยีท่ีนาไปใชใ้ นสาขาตา่ ง ๆ คนละ 1 สาขา พรอ้ ม ทงั้ ยกตวั อย่าง 2. ใหผ้ เู้ รยี นแบง่ ออกเป็น 3 กลมุ่ ๆ ละ 2-3 คน อธิบายระดบั ของเทคโนโลยี กลมุ่ ละ 1 ระดบั 3. ใหผ้ เู้ รยี นแบง่ ออกเป็นกลมุ่ ๆ ละ 2-3 คน อธิบายการประยกุ ตเ์ ทคโนโลยี ในการออกแบบในงาน ดา้ นตา่ ง ๆ กลมุ่ ละ 1 ดา้ น
ชือ่ เร่ือง การประยุกตเ์ ทคโนโลยีในการออกแบบ ใบงานที่ 3 (Job Sheet) จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. ใหน้ กั ศกึ ษาแบง่ กลมุ่ ออกเป็น 6 กลมุ่ กลมุ่ ละ 2-3 คน ยกตวั อยา่ งเทคโนโลยีแตล่ ะสาขา กลมุ่ ละ 1 สาขา วา่ มีอะไรบา้ ง 2. ใหน้ กั ศกึ ษาอธิบายประโยชนข์ องเทคโนโลยีคนละ 1 ขอ้ 3. ใหน้ กั ศกึ ษาแบง่ กลมุ่ ออกเป็น 3 กลมุ่ กลมุ่ ละ 3-5 คน ยกตวั อยา่ งเทคโนโลยีแตล่ ะระดบั วา่ มีอะไรบา้ ง 4. ใหน้ กั ศกึ ษาบอกช่ือดา้ นท่ีใชเ้ ทคโนโลยีประยกุ ตใ์ นการออกแบบดา้ นตา่ ง ๆ คนละ 1 ดา้ น 5. ใหน้ กั ศกึ ษาแบง่ กลมุ่ ออกเป็น 10 กลมุ่ กลมุ่ ละ 2-3 คน อธิบายและยกตวั อยา่ งการประยกุ ตเ์ ทคโนโลยี ในการออกแบบแตล่ ะดา้ น แนวทางปฏบิ ตั ิ 1. ใหน้ กั ศกึ ษาแบง่ กลมุ่ ออกเป็น 6 กลมุ่ กลมุ่ ละ 2-3 คน ยกตวั อยา่ งเทคโนโลยีแตล่ ะสาขา กลมุ่ ละ1 สาขาวา่ มีอะไรบา้ ง 2. ใหน้ กั ศกึ ษาอธิบายประโยชนข์ องเทคโนโลยคี นละ 1 ขอ้ 3. ใหน้ กั ศกึ ษาแบง่ กลมุ่ ออกเป็น 3 กลมุ่ กลมุ่ ละ 3-5 คน ยกตวั อย่างเทคโนโลยีแตล่ ะระดบั วา่ มีอะไรบา้ ง 4. ใหน้ กั ศกึ ษาบอกช่ือดา้ นท่ีใชเ้ ทคโนโลยีประยกุ ตใ์ นการออกแบบดา้ นตา่ ง ๆ คนละ 1 ดา้ น 5. ใหน้ กั ศกึ ษาแบง่ กลมุ่ ออกเป็น 10 กลมุ่ กลมุ่ ละ 2-3 คน อธิบายและยกตวั อย่างการประยกุ ตเ์ ทคโนโลยี ในการออกแบบแตล่ ะดา้ น ระยะเวลาส่งงาน ภายหลงั นาเสนองานและตอบขอ้ ซกั ถามเรยี บรอ้ ยแลว้ การประเมนิ ผล 2. ชิน้ งาน 3. การนาเสนอและการตอบขอ้ ซกั ถาม 1. พฤติกรรมการทางานกลมุ่ 5. การตรงตอ่ เวลา 4. การตอบขอ้ ซกั ถาม
แหล่งค้นควา้ เพม่ิ เตมิ นิภาภรณ์ คาเจรญิ , เรยี นรูก้ ารใชง้ านระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การ. กรุงเทพฯ : สานกั พิมพ์ SPC Books, 2548. ไพบลู ย์ เกียรติโกมล, รศ.ดร. ระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การ. กรุงเทพฯ : สานกั พิมพช์ ี เอด็ ยเคช่นั จากดั (มหาชน), 2551 วิเชียร เปรมชยั สวสั ดิ,์ ดร. ระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การ, กรุงเทพฯ : สานกั พิมพ์ ส.ส.ท., 2551. ศรไี พร ศกั ดริ์ ุง่ พงศาสกลุ , ผศ.ดร. ระบบสารสนเทศและเทคโนโลยีการจดั การความรู,้ กรุงเทพฯ : สานกั พิมพ์ ชีเอด็ ยเู คช่นั จากดั (มหาชน), 2549. โอภาส เอี่ยมสริ วิ งศ,์ ระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การ. กรุงเทพฯ : สานกั พิมพซ์ ีเอด็ ยเู คช่นั จากดั (มหาชน), 2554
หน่ายท4่ี ระบบสนับสนุนการตดั สนิ ใจ สาระสาคัญ ระบบสนบั สนนุ การตดั สินใจ (Decision Support System) เป็นระบบ ยอ่ ยหน่งึ ใน ระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การ โดยท่รี ะบบสนบั สนนุ การตดั สนิ ใจ โดยท่ีระบบสนบั สนนุ การ ตดั สนิ ใจจะชว่ ยผบู้ รหิ ารในเรอ่ื งการตดั สนิ ใจในเหตกุ ารณห์ รอื กิจกรรรมทางธุรกิจท่ีไมม่ ี โครงสรา้ งแน่นอน หรอื กง่ึ โครงสรา้ ง ระบบสนบั สนนุ การตดั สินใจอาจจะใชก้ นั บคุ คลเดยี ว หรอื ช่วยสนบั สนนุ การตดั สนิ ใจเป็นกลมุ่ นอกจากนนั้ ยงั มีระบบ สนบั สนนุ ผูบ้ รหิ ารเพ่ือชว่ ย ผบู้ รหิ ารในการตดั สนิ ใจเชิงกลยทุ ธ์ ความหมายของระบบสนับสนุนการตดั สนิ ใจ ระบบสนบั สนนุ การตดั สนิ ใจ (Decision Support System) เป็นโปรแกรมท่ชี ว่ ยใน การตดั สนิ ใจ เก่ียวกบั การจดั การ การรวบรวมขอ้ มลู การวเิ คราะหข์ อ้ มลู และการสรา้ งตวั แบบท่ีซบั ซอ้ น ภายใต้ ซอฟตแ์ วรเ์ ดียวกนั นอกจากนนั้ ระบบสนบั สนนุ การตดั สินใจ ยงั เป็น การประสานการทางานระหวา่ ง บคุ ลากรกบั เทคโนโลยที างดา้ นซอฟตแ์ วร์ โดยเป็นการ กระทาโตต้ อบกนั เพ่ือแกป้ ัญหาแบบไมม่ ี โครงสรา้ ง และอยภู่ ายใตก้ ารควบคมุ ของผใู้ ชต้ งั้ แต่ เรม่ิ ตน้ ถงึ สิน้ สดุ ขนั้ ตอน หรอื อาจกลา่ วไดว้ า่ ระบบ สนบั สนนุ การตดั สินใจ เป็นระบบท่ีโตต้ อบ กนั โดยใชค้ อมพิวเตอร์ เพ่ือหาคาตอบท่ีงา่ ย สะดวก รวดเรว็ จากปัญหาท่ีไมม่ ีโครงสรา้ งท่ี แน่นอน ดงั นนั้ ระบบการสนบั สนนุ การตดั สินใจ จงึ ประกอบดว้ ยชดุ เครอ่ื งมือ ขอ้ มลู ตวั แบบ (Mode) และทรพั ยากรอ่นื ๆ ท่ีผใู้ ชห้ รอื นกั วิเคราะหน์ ามาใชใ้ นการประเมินผลและแกไ้ ข ปัญหา ดงั นนั้ หลกั การของระบบสนบั สนนุ การตดั สนิ ใจ จงึ เป็นการใหเ้ ครอ่ื งมือท่ีจาเป็นแก่ ผบู้ รหิ ารในการวิเคราะห์ ขอ้ มลู ท่ีมีรูปแบบท่ีซบั ซอ้ น แตม่ ีวธิ ีการปฏิบตั ิท่ยี ืดหยนุ่ ระบบการ สนบั สนนุ การตดั สินใจจงึ ออกแบบ เพ่ือเพ่ิมประสิทธิภาพในการทางาน ไมเ่ พียงแตก่ าร ตอบสนองในเรอ่ื งความตอ้ งการของขอ้ มลู เทา่ นนั้
ระบบ DSS ประกอบดว้ ยสว่ นประกอบหลกั 3 สว่ น 1. สว่ นจดั การขอ้ มลู (Data Management Subsystem) ประกอบดว้ ยฐานขอ้ มลู ระบบจดั การฐานขอ้ มลู สว่ นสอบถามขอ้ มลู สารบญั ขอ้ มลู สว่ นการ ซง่ึ ขอ้ มลู และ ขอ้ มลู ท่ีไดร้ บั จากแหลง่ ตา่ ง ๆ ทงั้ จากภายในและภายนอกองคก์ าร ระบบ DSS อาจ เช่ือมตอ่ กบั ฐานขอ้ มลู ของ องคก์ ารหรอื คลงั ขอ้ มลู (Data Warehouse) เพ่อื ดงึ หรอื กรองขอ้ มลู ท่ี เก่ียวขอ้ งกบั สถานการณใ์ นการ ตดั สนิ ใจมาใช้ 2. สว่ นจดั การโมเดลหรอื สว่ นจดั การแบบ (Model Management Subsystem) ประกอบดว้ ยแบบจาลอง (Model Base) ระบบจดั การฐานแบบจาลอง (Model Base Management System : MBMS) ภาษาแบบจาลอง (Model Language) สารบญั แบบจาลอง (Model Directory) สว่ นดาเนินการแบบจาลอง (Model Execution) ฐาน แบบจาลอง (Model Base) จดั เก็บแบบจาลองตา่ ง ๆ ท่ีมีความสามารถในการวเิ คราะห์ เชน่ แบบจาลอง ทางการเงนิ ทางคณิตศาสตร์ ทางสถิติ หรอื แบบจาลองเชิงปรมิ าณ เป็นตน้ และมีระบบจดั การฐานแบบจาลอง ซง่ึ เป็นซอฟตแ์ วรใ์ นการสรา้ งและจดั การแบบจาลองรวมถึงอานวยความสะดวกใหผ้ ใู้ ชส้ ามารถ เรยี กใช้ แบบจาลองท่ีเหมาะสม โดยระบบจดั การฐานแบบจาลองมีหนา้ ท่ีหลกั ดงั นี้ - สรา้ งแบบจาลองของระบบสนบั สนนุ การตดั สนิ ใจไดอ้ ย่างงา่ ยและรวดเรว็ - ใหผ้ ตู้ ดั สนิ ใจสามารถจดั การหรอื ใชแ้ บบจาลองสาหรบั การทดลองหรอื วิเคราะหถ์ งึ การ เปล่ยี นแปลงตวั แปร ดา้ นปัจจยั นาเขา้ วา่ จะสง่ ผลตอ่ ตวั แปรดา้ นผลผลิตอย่างไร (Sensitivity Analysis) - สามารถจดั เกบ็ และจดั การแบบจาลองตา่ งชนิดกนั - สามารถเขา้ ถงึ และทางานรว่ มกบั แบบจาลองสาเรจ็ รูปอ่นื ได้ - สามารถจดั กลมุ่ และแสดงสารบญั ของแบบจาลอง - สามารถติดตามการใชแ้ บบจาลองและขอ้ มลู - สามารถเช่ือมโยงแบบจาลองตา่ ง ๆ เขา้ ดว้ ยกนั อยา่ งเหมาะสม โดยผ่านทางฐานขอ้ มลู จดั การและ บารุงรกั ษาฐานแบบจาลอง แบบจาลองเพ่ือการตดั สินใจมหี ลายประเภท ระบบ DSS อาจถกู สรา้ งขนึ้ มา โดยมีวตั ถปุ ระสงค์ เฉพาะ อยา่ ง ดงั นนั้ DSS ตา่ งระบบกนั อาจประกอบดว้ ยแบบจาลองท่ีแตกตา่ งกนั ตามวตั ถปุ ระสงค์ ของการนาไปใช้ ตวั อย่างของแบบจาลอง มีดงั นี้ - แบบจาลองทางสถิติ (Statistic Model) ใชใ้ นการวเิ คราะหข์ อ้ มลู รูปแบบตา่ ง ๆ เช่น การวเิ คราะหค์ วาม ถดถอย หรอื การหาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งตวั แปรตา่ งๆ - แบบจาลองทางการเงนิ (Financial Model) ใชแ้ สดงรายได้ รายจา่ ย และกระแสการไหลของเงินสด ฯลฯ เพ่ือนามาใชเ้ ป็นขอ้ มลู ในการวางแผนทางการเงิน
- แบบจาลองเพ่ือหาจดุ เหมาะสมท่ีสดุ (Optimization Model) เป็นการหาคา่ เหงา ท่สี ดุ ของตวั แปร ตามเง่ือนไขท่ีกาหนด เชน่ การหาผลตอบแทนท่ีสงู ท่ีสดุ โดยคานงึ ถงึ คา่ ใชจ้ ่าย - แบบจาลองสถานการณ์ (Simulation Model) เป็นตวั แบบคณิตศาสตรท์ ่ีใชก้ าร ชดุ ของสมการเพ่ือ แทนสภาพของระบบท่ีจะทาการศกึ ษาแลว้ ทาการทดลองจากตวั แบบเพ่ือ สง่ิ ท่ีจะเกิดขนึ้ กบั ระบบ 3) สว่ นการจดั การโตต้ อบ (Dialogue Management Subsystem) สว่ นจดั การโตต้ อบหรอื อาจ เรยี กวา่ สว่ นจดั การประสานผใู้ ช้ (User Interface Management) ทาหนา้ ท่เี ป็นตวั กลางระหว่ ผใู้ ชก้ บั ระบบ เพ่ือใหก้ ารตดิ ตอ่ สื่อสารระหวา่ งผใู้ ชก้ บั ระบบเป็นไปดว้ ยความสะดวกและง่ายตอ่ การ ใชง้ าน ผใู้ ช้ สามารถควบคมุ ขอ้ มลู นาเขา้ และรูปแบบจาลองรวมอยใู่ นการวิเคราะหไ์ ด้ เชน่ การใชเ้ มา้ ส์ การใชร้ ะบบสมั ผสั ในการติดตอ่ กบั ระบบ การแสดงขอ้ มลู ในลกั ษณะหนา้ ตา่ ง (Window) การ นาเสนอขอ้ มลู ในรายละเอยี ดเจาะลกึ (Dril-down) และการนาเสนอขอ้ มลู ดว้ ย ส่อื ประสมหรอื มลั ติมเี ดีย เช่น กราฟิก หรอื รูปภาพ ชนิดหลกั ของสว่ นตอ่ ประสานผใู้ ช้ ไดแ้ ก่ สว่ นตอ่ ประสานแบบแสดงรายการเลอื ก (Menu driven Interface) สว่ นตอ่ ประสานโดยใชค้ าส่งั (Command-driven Interface) และสว่ นตอ่ ประสาน กราฟิกกบั ผใู้ ช้ (Graphical-user Interface) สาหรบั DSS ขนั้ สงู จะมีสว่ นจดั การความรู้ (Knowledge-based Management Subsystem) เป็นอีกสว่ นประกอบหนง่ึ ประเภทของระบบสนับสนุนการตัดสินใจ ระบบสนบั สนนุ การตดั สินใจสามารถจาแนกออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. ระบบสนบั สนนุ การตดั สินใจ แบบใหค้ วามสาคญั กบั ขอ้ มลู (Data-Oriented DSS) เป็น DSS ท่ใี หค้ วามสาคญั กบั เครอ่ื งมือในการจดั การและการวเิ คราะหข์ อ้ มลู การทดสอบ ทางสถิติ ตลอดจน การจดั ขอ้ มลู ในลกั ษณะตา่ ง ๆ เพ่ือใหผ้ ใู้ ชท้ าความเขา้ ใจสารสนเทศ และสามารถ ตดั สนิ ใจอยา่ งมี ประสิทธิภาพ 2. ระบบสนบั สนนุ การตดั สินใจ แบบใหค้ วามสาคญั กบั แบบจาลอง (Model-Based DSS) เป็น DSS ท่ีใหค้ วามสาคญั กบั แบบจาลองการประมวลปัญหา โดยเฉพาะแบบจาลอง พืน้ ฐานทาง คณิตศาสตร์ (Mathematical Model) และแบบจาลองการวจิ ยั ขนั้ ดาเนินงาน (Operation Research Model) ซง่ึ ช่วยใหผ้ ใู้ ชส้ ามารถวเิ คราะหป์ ัญหา และปรบั ตวั แปรท่ีเก่ียวขอ้ ง เพ่ือพิจารณา ทางเลือกท่ีเหมาะสมท่สี ดุ
การจดั การภายในองคก์ รท่ีมีสว่ นในการตดั สนิ ใจในแตล่ ะเรอ่ื งนนั้ โดยท่วั ไปแบง่ ออกเป็น 3 ระดบั คอื การจดั การระดบั สงู (Upper-level Management) การจดั การระดบั กลาง (Middle Level Management) การจดั การระดบั ตน้ Lower-level Management) ซง่ึ ผบู้ รหิ ารแตล่ ะ ระดบั มีหนา้ ท่ีและความรบั ผิดชอบท่ีตา่ งกนั 1. การจดั การระดบั สงู (Upper-level Management) ผบู้ รหิ ารระดบั สงู เป็นผกู้ าหนดวิสยั ทศั น์ นโยบาย เปา้ หมาย วตั ถปุ ระสงค์ รวมถึงวางแผน กลยทุ ธ์ และแผนระยะยาวขององคก์ าร จงึ มีความตอ้ งการสารสนเทศท่ีมีขอบเขตกวา้ งและสารสนเทศ เก่ียวกบั แนวโนม้ ตา่ ง ๆ จากทงั้ ภายในองคก์ ารและส่งิ แวดลอ้ มภายนอก 2. การจดั การระดบั กลาง (Middle-level Management) ผบู้ รหิ ารระดบั กลางมีหนา้ ท่ีวางแผนยทุ ธวธิ ี (Tactical Planning) และประสานงานระหวา่ ง ผบู้ รหิ ารระดบั สงู และผบู้ รหิ ารงานระดบั ตน้ หรอื หวั หนา้ งานเพ่ือใหก้ ารดาเนินงานเป็นไปอยา่ งราบรน่ื และสามารถปฏิบตั ิงานตามนโยบายหรอื แผนงานท่ีกาหนดโดยผบู้ รหิ ารระดบั สงู 3. การจดั การระดบั ตน้ (Lower-level Management) ผบู้ รหิ ารงานระดบั ตน้ หรอื หวั หนา้ งานมีหนา้ ท่คี วบคมุ ดแู ลการปฏบิ ตั ิงานประจาวนั (Operational Control) ซง่ึ ขนั้ ตอนการทางานมีรูปแบบท่ีแนน่ อนและทางานใกลช้ ิดกบั ผปู้ ฏบิ ตั ิงาน เพ่ือใหก้ ารทางานเป็นไปตามแผนท่กี าหนดโดยผบู้ รหิ ารระดบั กลาง การจดั การในระดบั นีต้ อ้ งอาศยั ขอ้ มลู จากการดาเนินงานท่ีเก่ียวขอ้ งอย่างละเอียดนามาวเิ คราะหเ์ พ่ือสามารถแกไ้ ข ปัญหาท่ีเกิดขนึ้ ใน การปฏิบตั ิงานและควบคมุ ใหส้ ามารถดาเนินงานตามแผนระยะสนั้ ท่วี างไว้ กระบวนการในการตดั สนิ ใจ ปัจจบุ นั ความกา้ วหนา้ ของเทคโนโลยสี ่อื สารและโทรคมนาคมทาใหข้ อ้ มลู ขา่ วสารสามารถ ทางได้ อย่างคลอ่ งตวั และเป็นอิสระมากขนึ้ สง่ ผลใหอ้ งคก์ ารตา่ ง ๆ สามารถรบั สง่ ขอ้ มลู ขา่ วสารและ ขอ้ สนเทศไดใ้ นระยะเวลาท่สี นั้ ลงโดยขอ้ มลู มีความชดั เจน ถกู ตอ้ ง และสะดวกขนึ้ ดว้ ยเหตนุ ีท้ าให้ ปัจจบุ นั มีความคลอ่ งตวั ในการดาเนินงานสงู ขนึ้ ทาใหก้ ารตดั สนิ ใจในโอกาสหรอื ปัญหาทางธุรกิจ ตอ้ งทาภายใตข้ อ้ จากดั ทางสารสนเทศภายในระยะเวลาท่ีเหมาะสม มีหลายครงั้ ท่ีผบู้ ริหาร
จะตอ้ งตดั สินใจอยา่ งรวดเรว็ ภายใตค้ วามกดดนั ของสถานการณ์ เชน่ การเปลีย่ นแปลงของอตั รา แลกเปลี่ยน การนดั หยดุ งาน หรอื การตอ่ ตา้ นจากสงั คม เป็นตน้ จงึ นบั วา่ มีความจาเป็นอย่างย่ิงสาหรบั ผบู้ รหิ ารท่จี ะประสบความสาเรจ็ ในอนาคตท่ีจะตอ้ งปรบั ตวั ใหท้ นั ตอ่ การเปลีย่ นแปลงของสิ่งแวดลอ้ ม ตลอดจนตอ้ งพยายามฝึกฝนตนเอง โดยพฒั นาทกั ษะและส่งั สมประสบการณใ์ นการตดั สินใจ เพ่ือท่ีจะ สามารถวเิ คราะห์ และตดั สนิ ใจเลือกทางเลอื กตา่ งๆ ไดอ้ ย่างแม่นยา มีประสทิ ธิภาพ และสอดคลอ้ งกบั สถานการณท์ ่เี กิดขนึ้ มีนกั วชิ าการหลายทา่ นไดอ้ ธิบายขนั้ ตอนในการตดั สนิ ใจท่ีมีผกู้ ลา่ วถึงอยา่ งแพรห่ ลาย เพ่ือเป็นแนวทาง ใหผ้ ศู้ กึ ษาไดท้ าความเขา้ ใจและสามารถนาไปประยกุ ตใ์ ชเ้ ป็นแนวทางในการปฏิบตั ไิ ด้ โดยเรม่ิ ตน้ จาก แนวความคดิ ของ Simon (1960) ท่ีอธิบายขนั้ ตอนการตดั สนิ ใจโดยใชแ้ บบจาลอง (Model) ท่ี ประกอบดว้ ยขนั้ ตอนหลกั 3 ประการ ดงั ตอ่ ไปนี้ 1. การใชค้ วามคดิ ประกอบเหตพุ ล (Intelligence) ผตู้ ดั สินใจจะรบั รูถ้ งึ โอกาสหรอื ปัญหาท่ี เกิดขนึ้ จากนนั้ ผทู้ าการตดั สนิ ใจเรม่ิ เก็บรวบรวมขอ้ มลู ท่ีเก่ียวขอ้ งจากทงั้ ตวั ปัญหา และส่งิ แวดลอ้ ม หรอื โอกาสนนั้ 2. การออกแบบ (Design) ผตู้ ดั สินใจจะวเิ คราะหแ์ ละพฒั นาแนวทางตา่ ง ๆ ท่ีเป็นไปไดใ้ น การ แกป้ ัญหา เพ่ือนาไปใชป้ ระกอบตดั สินใจเลือกทางเลือกในการปฏิบตั ทิ ่ีเหมาะสม การท่ีจะประสบ ความสาเรจ็ ไดใ้ นขนั้ ตอนนี้ ผทู้ าการตดั สินใจจะตอ้ งมีความเขา้ ใจในปัญหา มีความคิดสรา้ งสรรค์ พยายามท่ีจะหาทางออกของปัญหา และตรวจสอบความเป็นไปไดใ้ นปัญหานนั้ 3. การคดั เลอื ก (Choice) ผทู้ าการตดั สนิ ใจจะทาการคดั เลือกแนวทางปฏิบตั ิท่ีเหมาะสมกบั สถานการณท์ ่สี ดุ เพ่ือท่ีจะนาไปประยกุ ตใ์ ชต้ อ่ ไป ปกติขนั้ ตอนการตดั สนิ ใจจะมีการเคลื่อนตวั อย่างตอ่ เน่ือง จากขนั้ ตอนแรกจนถงึ ขนั้ ตอน ตดั สินใจเลือก ทางเลือกเพ่ือนาไปปฏิบตั ิ อยา่ งไรก็ตาม อาจจะมกี ารดาเนินการยอ้ นกลบั ไปยงั ขนั้ ตอน ท่ีผา่ นมาแลว้ ในระหวา่ งท่ีขนั้ ตอนกาลงั ดาเนินอยู่ เพ่ือปรบั ปรุงใหก้ ารตดั สนิ ใจมผี ลสมบรู ณข์ นึ้ นอกจากนีย้ งั มีผู้ วิจารณว์ า่ แบบจาลองกระบวนการตดั สินใจของ Simon ในช่วงเรม่ิ ตน้ ไมไ่ ดก้ ลา่ ว เจาะจงถึง กระบวนการตา่ ง ๆ หลกั การคดั เลอื กแนวทางปฏบิ ตั ิ เช่น การตดิ ตามผลการวเิ คราะห์ ผลลพั ธท์ ่เี กิด ซง่ึ ตอ่ มา Rubenstien และ Haberstroh (1965) ไดเ้ สนอแนวความคดิ เก่ียวกบั ขนั้ ตอน การ ตดั สนิ ใจวา่ มี 5 ขนั้ ตอน แนวคิดของ Rubenstien และ Haberstroh (1965) มีแนวคิดเก่ียวกบั ขนั้ ตอนการตดั สินใจ มี 5 ขนั้ ตอน ดงั นี้ 1. ผตู้ ดั สินใจรบั รูถ้ ึงโอกาส หรอื ปัญหาท่ีเกิดขนึ้ 2. ผตู้ ดั สนิ ใจรวบรวมขอ้ มลู เก่ียวกบั ปัญหา ศกึ ษาและวเิ คราะหป์ ัญหา และกาหนดทางเลย ท่เี ป็นไป ได้ เพ่ือการวิเคราะหท์ างเลือกในการตดั สินใจ
3. ตดั สินใจจะทาการตดั สินใจเลอื กทางเลอื กท่ีคดิ วา่ เหมาะสมกบั ลกั ษณะของปัญหาและสถานการณ์ เพ่ือนาไปปฏิบตั ิตอ่ ไป 4. ผตู้ ดั สินใจจะดาเนินการ เพ่ือนาผลการตดั สินใจไปปฏิบตั ิ 5. ภายหลงั การนาผลการตดั สินใจไปดาเนินงาน ตอ้ งทาการติดตามผลของการปฏิบตั ิ เพ่ือ ว่าการ ดาเนินงานมีประสิทธิภาพเพียงใด และตอ้ งปรบั ปรุงใหส้ อดคลอ้ งกบั สถานการณอ์ ยา่ งไร แนวคิดของ Long (1989) ซง่ึ ไดก้ ลา่ วไวใ้ นหนงั สอื ระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การวา่ การ ตดั สนิ ใจ แบง่ ออกเป็น 6 ขนั้ ตอน ดงั นี้ 1. การรบั รูถ้ งึ โอกาสหรอื ปัญหาท่ีเกิดขนึ้ 2. การสารวจขอบเขตและขอ้ จากดั ของการตดั สนิ ใจ เช่น ขอ้ จากดั ทางกฎหมาย เศรษฐกิจ และการเมือง 3. การกาหนดทางเลือกในการตดั สินใจ 4. การรวบรวมสารสนเทศท่ีเหมาะสม เพ่ือนามาใชป้ ระกอบการตดั สินใจ 5. การวเิ คราะหท์ างเลอื กท่ีเป็นไปได้ 6. การเลือกทางเลือกท่ีเหมาะสมและนาไปปฏิบตั ิ เราจะเหน็ ไดว้ า่ มีการสรุปเก่ียวกบั ขนั้ ตอนการตดั สินใจแตกตา่ งไปตามความเขา้ ใจ แนวทางและ เปา้ หมายในการอธิบายของผรู้ ูแ้ ตล่ ะทา่ น ซง่ึ กม็ ีสว่ นท่ีคลา้ ยคลงึ กนั และสว่ นท่ีแตกตา่ งกนั ซง่ึ สามารถใช้ แบบจาลอง ขั้นตอนของกระบวนการตดั สินใจ (Decision Making) ขนั้ ตอนของกระบวนการตดั สนิ ใจประกอบดว้ ย 4 ขนั้ ตอน คือ 1. การใชค้ วามคิดประกอบเMqwล (Intelligence) เป็นขนั้ ตอนท่ีรบั รูแ้ ละตระหนกั ถงึ ปัญหา \"อเอกาสท่ีเกิดขนึ้ ทาการรวบรวมขอ้ มลู ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั ปัญหา นาขอ้ มลู มาวเิ คราะหแ์ ละตรวจสอบ เพ่ือ แยกแยะและกาหนดรายละเอียดของปัญหาหรอื โอกาส 2. การออกแบบ (Design) เป็นขนั้ ตอนของการพฒั นาและวเิ คราะหท์ างเลือกในการปฏิบตั ิท่ีเป็นไปได้ รวมถงึ การตรวจสอบและประเมินทางเลอื กในการแกป้ ัญหา ซง่ึ อาจใชต้ วั แบบเพ่ือสรา้ ง ทางเลอื กตา่ ง ๆ ในการแกป้ ัญหา หรอื ออกแบบหนทางแกป้ ัญหาท่ีดที ่ีสดุ 3. การคดั เลือก (Choice) ผตู้ ดั สินใจจะเลอื กแนวทางเลือกท่ีเหมาะสมกบั ปัญหาและ การณม์ ากท่ีสดุ โดยอาจใชเ้ ครอ่ื งมือมาชว่ ยวิเคราะห์ คานวณคา่ ใชจ้ ่ายและผลตอบแทนของ คละแนวทางเพ่ือใหเ้ กิด ความม่นั ใจวา่ ไดเ้ ลือกแนวทางท่ดี ีท่ีสดุ
4. การนาไปใช้ (Implementation) เป็นข้นั ตอนที่นาผลการตดั สินใจไปปฏิบตั ิและติดตามผลของการปฏิบตั ิ เพื่อตรวจสอบวา่ การดาเนินงานมีประสิทธิภาพหรือมีขอ้ ขดั ขอ้ งประการใด จะตอ้ งแกไ้ ข หรือปรับปรุงใหส้ อดคลอ้ ง และเหมาะสมกบั สถานการณ์อยา่ งไร ประเภทของการตดั สินใจ ประเภทของการตดั สินใจมี 3 ประเภท ไดแ้ ก่ 1. การตดั สินใจแบบโครงสร้าง (Structure Decision) บางคร้ังเรียกวา่ แบบกาหนดไวล้ ่วงหนา้ แลว้ (Programmed) เป็นการตดั สินใจเก่ียวกบั ปัญหาที่ เกิดข้ึนเป็นประจา จึงมีมาตรฐานในการตดั สินใจเพ่อื แกป้ ัญหาอยู่ แลว้ โดยวิธีการในการแกป้ ัญหาที่ดีที่สุดจะ ถูกกาหนดไวอ้ ยา่ งชดั เจนตามวตั ถุประสงคท์ ี่วางไว้ เช่น การหาระดบั สินคา้ คงคลงั ท่ีเหมาะสม หรือ การเลือกกลยทุ ธใ์ นการลงทุนที่เหมาะสมที่สุดเมื่อมีวตั ถุประสงคเ์ พ่อื ใหเ้ กิดคา่ ใชจ้ ่าย ต่าํ ที่สุด หรือเพ่ือ ใหเ้ กิดกาไรสูงสุด การตดั สินใจแบบน้ีจึงมกั ใชแ้ บบจาลองทางคณิตศาสตร์ (Mathematical Model) หรือศาสตร์ทางดา้ นวิทยาการการจดั การ (Management Science) หรือการวจิ ยั ดาเนินงาน (Operation Research) เขา้ มา ใช้ โดยในบางคร้ังอาจนาระบบสนบั สนุนการตดั สินใจและระบบผเู้ ช่ียวชาญ เขา้ มาใชร้ ่วมดว้ ย ตวั อยา่ งของการ ตดั สินใจแบบโครงสร้าง ไดแ้ ก่ การตดั สินใจเก่ียวกบั ระดบั สินคา้ คงคลงั จะตอ้ งสง่ั ของเขา้ (Order Entry) คร้ังละ เท่าไร เมื่อใด การวิเคราะห์งบประมาณ (Budget Analysis) ที่ตอ้ งใชใ้ นการจดั การต่าง ๆ การตดั สินใจเรื่องการลงทุน จะลงทุนอะไร ที่ต้งั โกดงั เกบ็ สินคา้ (Warehouse Location) ควรต้งั ท่ีไหน ระบบการจดั ส่ง/การจาหน่าย (Distribution System) ควร เป็นอยา่ งไร เป็นตน้ 2. การตดั สินใจแบบไม่เป็นโครงสร้าง (Unstructured Decision) บางคร้ังเรียกวา่ แบบไม่เคย กาหนดล่วงหนา้ มาก่อน (Nonprogrammer) เป็นการตดั สินใจเกี่ยวกบั ปัญหาซ่ึงมีรูปแบบไม่ชดั เจน หรือมีความซบั ซอ้ น จึงไม่มี แนวทางในการแกป้ ัญหาแน่นอน เป็นปัญหาท่ีไม่มีการระบุวธิ ีแกไ้ วอ้ ยา่ ง ชดั เจนวา่ ตอ้ งทาอะไรบา้ ง การตดั สินใจกบั ปัญหาลกั ษณะน้ีจะไม่มีเครื่องมืออะไรมาช่วย มกั เป็นปัญหา ของผบู้ ริหารระดบั สูง ตอ้ งใชส้ ญั ชาตญาณ ประสบการณ์ และความรู้ของผบู้ ริหารในการตดั สินใจ ตวั อยา่ งของการตดั สินใจแบบไม่เป็นโครงสร้าง เช่น การ วางแผนการบริการใหม่ การวา่ จา้ งผบู้ ริหาร ใหม่เพมิ่ หรือการเลือกกลุ่มของโครงงานวจิ ยั และพฒั นาเพือ่ นาไปใชใ้ นปี หนา้
3. การตดั สินใจแบบก่ึงโครงสร้าง (Semi-Structure Decision) เป็นการตดั สินใจแบบผสมแบบ โครงสร้างและแบบไม่เป็นโครงสร้าง คือบางส่วนสามารถตดั สินใจแบบโครงสร้างได้ นางส่วนไม่สามารถทา ได้ โดยปัญหาแบบก่ึงโครงสร้างน้ีจะใชว้ ธิ ีแกป้ ัญหาแบบมาตรฐาน และการพจิ ารณาโดยมนุษยร์ วมเขา้ ไว้ ดว้ ยกนั คือ มีลกั ษณะเป็นก่ึงโครงสร้างแต่มีความซบั ซอ้ นมากข้ึน การจดั การกบั การตดั สินใจ การจดั การ (Management) หมายถึง การ เบริหารอยา่ งเป็นระบบ ประกอบดว้ ยกิจกรรมของ กลุ่ม บุคคลท่ีร่วมมือกนั ดาเนินงานเพือ่ ใหบ้ รรลุ วตั ถุประสงคท์ ่ีกาหนดไวโ้ ดยใชก้ ระบวนการและ ทรัพยากรอยา่ ง เหมาะสมและเกิดประโยชนสูงสุด การจดั การเป็นศาสตร์และศิลปะซ่ึงกระบวนการจดั การประกอบดว้ ย การวางแผน (Planning) การจดั องคก์ าร (Organizing) การสง่ั การหรืออานวยการ (Leading/Directing) และการควบคุม (Controlling) โดยการ จดั การที่มีประสิทธิภาพน้นั ผบู้ ริหารจะตอ้ งสามารถนาความรู้ ความเขา้ ใจใน ศาสตร์ดา้ นการบริหารมา ประยกุ ตใ์ ชใ้ หเ้ หมาะสมกบั การทางาน สถานการณ์ และส่ิงแวดลอ้ ม โดยเฉพาะในสภาพแวดลอ้ มทางธุรกิจที่มี การแขง่ ขนั สูง ผบู้ ริหารจะตอ้ งรู้จกั เลือกและวเิ คราะห์ขอ้ มูล เพอื่ ใหไ้ ดส้ ารสนเทศในรูปแบบที่ง่ายต่อความ เขา้ ใจและเป็นประโยชน์ต่อการบริหารและการตดั สินใจ ความแตกต่างระหว่างระบบสนับสนุนการตดั สินใจ (DSS) และระบบสารสนเทศอื่น ระบบ DSS เป็นระบบสารสนเทศท่ีจดั ทาใหฝ้ ่ายบริหาร ผเู้ ช่ียวชาญ และนกั วเิ คราะห์ของ องคก์ าร เพ่อื สนบั สนุนและอานวยความสะดวกในการคน้ หาขอ้ มูลและสารสนเทศสาหรับการงานแผน และตดั สินใจที่ เกี่ยวขอ้ งกบั ปัญหาแบบก่ึงโครงสร้างและไม่มีโครงสร้าง แต่ระบบ TPS มีการจดั การ ขอ้ มูลสาหรับงาน ประจาวนั มีกระบวนการใชร้ ะบบที่สอดคลอ้ งกบั ข้นั ตอนการปฏิบตั ิงานและกฎเกณฑ์ การทางานที่ชดั เจน และ ระบบ DSS จะใหส้ ารสนเทศเพ่ือควบคุม ตรวจสอบการปฏิบตั ิงานและสรุป ผลการดาเนินงานและช่วย สนบั สนุนการตดั สินใจในปัญญาแบบโครงสร้างได้ ระบบสนับสนุนการตดั สินใจส่วนบุคคล เป็นระบบที่ไดร้ ับการออกแบบมาเพ่ือสนบั สนุนการตดั สินใจของแต่ละบุคคล และกรองขอ้ มูลที่ เกี่ยวขอ้ ง ซ่ึงผใู้ ชส้ ามารถปรับเปลี่ยนเง่ือนไขต่าง ๆ ไดด้ ว้ ยตวั เองเพอ่ื ใหร้ ะบบคานวณช่วยในการตดั สินใจ
ระบบสนับสนุนการตัดสนิ ใจกลุ่ม (Group Decision Support System : GDSS) เป็นระบบท่ีสนบั สนนุ การตดั สนิ ใจประเภทหน่งึ โดย GDSS เป็นระบบแบบโตต้ อบท่ีใช้ คอมพวิ เตอร์ เพ่ือสนบั สนนุ การตดั สนิ ใจรว่ มกนั ของกลมุ่ บคุ คล สมาชิกในกลมุ่ ไมจ่ าเป็นตอ้ งอยู่ท่ี เดียวกนั อาจอยู่ บรเิ วณใกลเ้ คียงกนั หรอื อยหู่ า่ งกนั ออกไป การส่อื สารระหวา่ ง กลมุ่ จงึ เป็นเรอ่ื งท่ีสาคญั ระบบ GDSS ตอ้ งอาศยั เทคโนโลยีดา้ นการส่ือสารเพ่ือ เช่ือมโยงคอมพิวเตอรข์ องสมาชิก ระบบสนบั สนนุ การตดั สนิ ใจสามารถจาแนกประเภทตามจานวนของผใู้ ช้ ออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. ระบบสนบั สนนุ การตดั สินใจสว่ นบคุ คล 2. ระบบสนบั สนนุ การตดั สินใจกลมุ่ (Group Decision Support System : GDSS) เป็นระบบแบบโตต้ อบท่ใี ชค้ อมพิวเตอรเ์ พ่ือสนบั สนนุ การ ตดั สินใจรว่ มกนั ของกลมุ่ บุคคล ส่วนประกอบของระบบสนับสนุนการตัดสนิ ใจกลุ่ม 1. อปุ กรณ์ (Hardware) ประกอบดว้ ยสิง่ อานวยความสะดวกในการ ประชมุ ท่ไี ดร้ บั การจดั ใหอ้ ยู่ ในลกั ษณะท่ีมีความสอดคลอ้ งระหวา่ งอปุ กรณต์ า่ งๆ และผใู้ ช้ 2. ชดุ คาส่งั (Software) เป็นชดุ คาส่งั สาหรบั กลมุ่ (Groupware) ท่ชี ว่ ย ในการวิเคราะหข์ อ้ มลู และสรา้ งทางเลอื ก ประเมนิ ทางเลอื ก ซง่ึ อาจประกอบดว้ ย แบบสอบถามอิเลก็ ทรอนิกส์ (Electronic Questionnaire) รวมไปถงึ ซอฟตแ์ วร์ เครอื ขา่ ยดว้ ย 3. ฐานแบบจาลองของระบบ GDSS (Model Base) ประกอบดว้ ยแบบจาลองเช่นเดยี วกบั ระบบ DSS สว่ นบคุ คล เชน่ แบบจาลองทางการเงิน เป็นตน้ 4. บคุ ลากร (People) ประกอบดว้ ยสมาชิกในกลมุ่ และผสู้ นบั สนนุ ดา้ นตา่ งๆ ประโยชนข์ อง GDSS ประโยชนข์ องระบบสนบั สนนุ การตดั สินใจกลมุ่ หรอื GDSS มีดงั นี้ 1. ช่วยเตรยี มความพรอ้ มในการประชมุ 2. อานวยความสะดวกดา้ นการส่ือสารระหวา่ งสมาชิกในกลมุ่ - 3. สง่ เสรมิ และสรา้ งบรรยากาศในการรว่ มมือกนั ระหวา่ งสมาชิก 4. จดั เตรยี มขอ้ มลู และสารสนเทศท่เี หมาะสมในการประชมุ 5. ชว่ ยจดั ลาดบั ความสาคญั ของปัญหา 6. อานวยความสะดวกในการจดั ทาเอกสารประกอบการประชมุ 7. ช่วยประหยดั เวลาในการประชมุ และสามารถลดจานวนครงั้ ของการประชมุ ได้
การตดั สินใจของผบู้ รหิ ารมีผลตอ่ ประสิทธิภาพในการดาเนินงาน ความม่นั คง และพฒั นาการ ขององคก์ าร เน่ืองจากผบู้ รหิ ารจะตอ้ งตดั สนิ ใจจดั สรรทรพั ยากรขององคก์ ารท่ีมีอยอู่ ย่างจากดั เพ่ือให้ เกิดประโยชนส์ งู สดุ ในการใชง้ าน ตลอดจนตอ้ งตดั สินใจแกป้ ัญหาความขดั แยง้ ทงั้ ภายในและภายนอก องคก์ าร ท่ีเราจะเหน็ ความสาคญั ไดจ้ ากงานวิจยั ดา้ นการจดั การท่ีให้ ความสนใจศกึ ษาเก่ียวกบั การ ตดั สินใจของผบู้ รหิ ารตงั้ แตป่ ี 1950 เป็นตน้ มา ซง่ึ เราสามารถ แบง่ การตดั สินใจของผบู้ รหิ ารภายใน องคก์ ารไดเ้ ป็น 3 ระดบั คือ 1. การตดั สินใจระดบั กลยทุ ธ์ 2. การตดิ สินใจระดบั ยทุ ธวธิ ี 3. การตดั สนิ ใจระดบั ปฏิบตั ิการ ระบบสนบั สนนุ การตดั สินใจ หรอื ท่เี รยี กวา่ DSS เป็นระบบสารสนเทศท่ีสามารถ โตต้ อบกบั ผใู้ ช้ โดยท่ีระบบนีจ้ ะรวบรวมขอ้ มลู และแบบจาลองในการตดั สนิ ใจท่ีสาคญั เพ่ือชว่ ย ผบู้ รหิ ารในการตดั สิน ใจในปัญหาแบบกง่ึ โครงสรา้ งและไมม่ ีโครงสรา้ ง อย่างไรก็ดี ปกติ DSS จะไมท่ าการตดั สนิ ใจแทน ผบู้ รหิ ารท่ใี ชส้ ติปัญญา เหตผุ ล ประสบการณ์ และความคิด สรา้ งสรรคข์ องตน เราสามารถจาแนก สว่ นประกอบของ DSS ออกเป็น 4 สว่ นดงั ตอ่ ไปนี้ 1. อปุ กรณท์ ่ีเก่ียวขอ้ งการ DSS แบง่ ออกเป็น 3 กลมุ่ คอื อปุ กรณป์ ระมวลผล อปุ กรณ์ สือ่ สาร และอปุ กรณแ์ สดงผล 2. ระบบการทางานเป็นสว่ นประกอบท่ีสาคญั ในการท่จี ะทาให้ Dss ทางานไดต้ าม วตั ถปุ ระสงคแ์ ละความตอ้ งการของผใู้ ช้ ซง่ึ ประกอบดว้ ย 3 สว่ น คอื ฐานขอ้ มลู ฐาน แบบจาลองและ ชดุ คาส่งั ของระบบสนบั สนนุ การตดั สินใจ 3. ขอ้ มลู เป็นองคป์ ระกอบท่ีสาคญั อกี สว่ นของ DSs ไมว่ า่ DSS จะประกอบดว้ ย อปุ กรณท์ ่ี ทนั สมยั และไดร้ บั การออกแบบระบบการทางานไดส้ อดคลอ้ งกนั มากเพยี งใด แตถ่ า้ ขอ้ มลู ท่ีนามาใชใ้ น การประมวลผลไม่มีคณุ ภาพเพียงพอแลว้ DSS ก็จะไมส่ ามารถชว่ ย สนบั สนนุ การตดั สินใจของผใู้ ชไ้ ด้ อย่างเหมาะสม หรอื อาจจะสรา้ งปัญหาในการตดั สนิ ใจได้ 4. บคุ ลากรจะเก่ียวขอ้ งกบั DSS ตงั้ แตก่ ารพฒั นา การออกแบบ และการใชร้ ะบบ สนบั สนนุ การตดั สนิ ใจ โดยท่ีเราสามารถแบง่ บคุ ลากรท่เี ก่ียวขอ้ งกบั DSS ออกเป็น 2 กลมุ่ คอื ผใู้ ชแ้ ละ ผสู้ นบั สนนุ ระบบ DSS ระบบสนบั สนนุ การตดั สินใจสาหรบั กลมุ่ หรอื ท่เี รยี กวา่ GDSS เป็นระบบสนบั สนนุ การ ตดั สินใจ ท่ถี กู พฒั นาขนึ้ เพ่ือเพ่มิ ประสทิ ธิภาพและประสิทธิผลในการตดั สินใจของกลมุ่ GDSS สาหรบั กลมุ่ ประกอบดว้ ย อปุ กรณต์ งั้ แตค่ อมพิวเตอร์ หอ้ งประชมุ ตลอดจนเครอ่ื ง อานวยความสะดวก
ในการส่ือสาร เพอ่ื ใหก้ ารประสานงานภายในกลุ่มมีประสิทธิภาพ โดยท่ีอุปกรณ์แต่ละประเภทจะ ออกแบบและดดั แปลงใหเ้ หมาะสมกบั การใชง้ าน นอกจากน้ี GDSS ตอ้ งมีส่วนประกอบสาคญั คือ ชุดคาสงั่ พิเศษท่ีช่วยกาหนดขอบเขต ประเมินทางเลือกของปัญหา และประสานงานใหส้ มาชิก สามารถ ตดั สินใจในการหารือร่วมกนั หรือเรียกวา่ ชุดคาสงั่ สาหรับกลุ่ม จะเห็นวา่ DSS, GDSS และระบบสารสนเทศสาหรับผบู้ ริหารหรือ EIS ต่างเป็นระบบ สารสนเทศท่ีมิใช่เพียงมีความสามารถในการจดั การขอ้ มูล เช่น ระบบสารสนเทศสาหรับการปฏิบตั ิ งานประจาวนั แต่จะมีส่วนช่วยสนบั สนุนการตดั สินใจของผบู้ ริหาร การประสานงานของระบบงาน ภายใน องคก์ าร ซ่ึงถือวา่ เป็นกา้ วใหม่ของการดาเนินงานของธุรกิจในยคุ สารสนเทศ
สรุป การนาระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การมาใชใ้ นองคก์ ร เพราะเป็นระบบท่ีจะสามารถ ชว่ ยใหก้ าร บรหิ ารจดั การเป็นไปอยา่ งมีประสิทธิภาพ แตท่ งั้ นี้ จะตอ้ งมีการนาระบบสนบั สนุนการตดั สนิ ใจ (DSS) มาช่วย เพราะระบบสนบั สนนุ การตดั สนิ ใจจะชว่ ย ใหผ้ บู้ รหิ ารและผทู้ ่ีรบั ผิดชอบโครงการ ตา่ ง ๆ สามารถท่จี ะนามาวิเคราะหไ์ ดว้ า่ แตล่ ะโครงการหรอื ละงานนนั้ เม่ือดาเนินการไปแลว้ จะ สามารถทาใหอ้ งคก์ รเจรญิ กา้ วหนา้ หรอื ทางานใหม้ ี สิทธิภาพมากนอ้ ยเพียงใด และแตล่ ะระดบั จะมีลกั ษณะของการตดั สินใจท่ีแตกตา่ งกนั ไม่วา่ ละ เป็นระดบั สงู ระดบั กลาง และระดบั ปฏบิ ตั ิงาน จงึ ตอ้ งนาระบบสนบั สนนุ การตดั สินใจมาใชใ้ ห้ เหมาะสม กิจกรรมเสนอแนะ 1. ใหผ้ เู้ รยี นแบง่ ออกเป็น 3 กลมุ่ ๆ ละ 2-3 คน อธิบายพรอ้ มทงั้ ยกตวั อยา่ ง สว่ นประกอบของ ระบบการตดั สินใจ (DSS) กลมุ่ ละ 1 สว่ น 2. ใหผ้ เู้ รยี นแบง่ ออกเป็น 3 กลมุ่ ๆ ละ 2-3 คน อธิบายระดบั การจดั การภายใน องคก์ ารกลมุ่ ละ 1 ระดบั 3. ใหผ้ เู้ รยี นแบง่ ออกเป็น 4 กลมุ่ ๆ ละ 2-3 คน อธิบายขนั้ ตอนของกระบวนการ ตดั สินใจ กลมุ่ ละ 1 ขนั้ ตอน
ชอ่ื เรื่อง ระบบสนับสนุนการตดั สินใจ ใบงานที่ 4 (Job Sheet) จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. เพ่ือใหท้ ราบสว่ นประกอบของระบบการตดั สนิ ใจ . เพ่ือใหท้ ราบประเภทของระบบสนบั สนนุ การตดั สนิ ใจ 3. เพ่ือใหท้ ราบระดบั การจดั การภายในองคก์ ร 4. เพ่ือใหท้ ราบแนวคิดของ Rubenstien และ Haberstroh เก่ียวกบั ขนั้ ตอนการตดั สินใจ 5. เพ่ือใหท้ ราบแนวคดิ ของ Long เก่ียวกบั ขนั้ ตอนการตดั สินใจ 6. เพ่ือใหท้ ราบคณุ ธรรม จรยิ ธรรม คา่ นิยมท่ีดีในการใชค้ อมพวิ เตอร์ และรูจ้ กั การทางานเป็นทมี แนวทางปฏบิ ตั ิ 1. ใหน้ กั ศกึ ษาแบง่ ออกเป็น 3 กลมุ่ กลมุ่ ละ 3-5 คน อธิบายสว่ นประกอบของระบบการตดั สินใจกลมุ่ ละ 1 สว่ น 2. ใหน้ กั ศกึ ษาแบง่ ออกเป็น 2 กลมุ่ กลมุ่ ละ 2-3 คน อธิบายประเภทของระบบสนบั สนนุ การตดั สินใจ กลมุ่ ละ 1 ประเภท 3. ใหน้ กั ศกึ ษาแบง่ ออกเป็น 3 กลมุ่ กลมุ่ ละ 2-3 คน อธิบายระดบั การจดั การภายในองคก์ ร - กลมุ่ ละ 1 ระดบั 4. ใหน้ กั ศกึ ษาตอบแนวคดิ ของ Rubenstien และ Haberstroh เก่ียวกบั ขนั้ ตอนการตดั สินใจ คนละ 1 ขนั้ ตอน 5. ใหน้ กั ศกึ ษาตอบแนวคดิ ของ Long เก่ียวกบั ขนั้ ตอนการตดั สินใจคนละ 1 ขนั้ ตอน ระยะเวลาส่งงาน ภายหลงั นาเสนองานและตอบขอ้ ซกั ถามเรยี บรอ้ ยแลว้ การประเมนิ ผล 1. พฤตกิ รรมการทางานกลมุ่ 2. ชิน้ งาน 3. การนาเสนอและการตอบขอ้ ซกั ถาม 4. การตอบขอ้ ซกั ถาม 5. การตรงตอ่ เวลา
แหล่งค้นควา้ เพมิ่ เตมิ นิภาภรณ์ คาเจรญิ , เรยี นรูก้ ารใชง้ านระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การ. กรุงเทพฯ : สานกั พิมพ์ SPC D 2548. ไพบลู ย์ เกียรติโกมล, รศ.ดร. ระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การ, กรุงเทพฯ : สานกั พิมพช์ ีเอด็ ยเู คช่นั จ (มหาชน), 2551. วเิ ชียร เปรมชยั สวสั ดิ,์ ดร. ระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การ. กรุงเทพฯ : สานกั พิมพ์ ส.ส.ท., 2551 ศรไี พร ศกั ดิร์ ง่ พงศาสกลุ , ผศ.ดร. ระบบสารสนเทศและเทคโนโลยีการจดั การความรู,้ กรุงเทพฯ : สานกั งาน พิมพ์ ซีเอด็ ยเู คช่นั จากดั (มหาชน), 2549. โอภาส เอ่ยี มสิรวิ งศ,์ ระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การ. กรุงเทพฯ : สานกั พิมพซ์ เี อด็ ยเคช่นั จากดั (มหาชน) 2554.
หน่วยท่ี 5 ระบบผู้เช่ียวชาญ และระบบปัญญาประดษิ ฐเ์ บอื้ งตน้ สาระสาคัญ ในปัจจบุ นั มีผกู้ ลา่ วขานถงึ ระบบผเู้ ช่ียวชาญ (EXPERT SYSTEM : E5) และ ปัญญาประดิษฐ์ (ARTIFICIAL INTELIGENCE : AI) กนั มากขนึ้ ทกุ ขณะ จนบางครงั้ ยากท่ีหาความแตกต่าง เน่ืองจากระบบคอมพิวเตอรซ์ ง่ึ ในท่นี ีไ้ ดห้ มายถงึ ฮารด์ แวร์ และซอฟตแ์ วท่ีไดพ้ ฒั นาใหม้ ีประสทิ ธิภาพ ขนึ้ อยา่ งมาก และความสามารถท่ีไม่ให้ หยดุ น่ิง ทาใหม้ นษุ ยเ์ กิดความคิดท่ีจะทาใหม้ นษุ ยเ์ ป็นผเู้ ขียน โปรแกรมคาส่งั ให้ โดยตรง ดงั นนั้ คาวา่ ระบบผเู้ ช่ียวชาญและระบบปัญญาประดษิ ฐ์จงึ ไดก้ าเนิดขนึ้ และระบบปัญญาประดิษฐ์ ไดแ้ ยกออกเป็น 2 แนวทางดว้ ยกนั โดยแนวทางแรก เป็นแนวทางท่จี ะให้ คอมพิวเตอรร์ บั รูถ้ งึ ภาษามนษุ ย์ เช่น ผใู้ ชจ้ ะพดู ผ่านไมโครโฟน ท่ีตดิ ตอ่ กบั คอมพิวเตอรว์ า่ “ใหแ้ สดง ยอดรายงานการขายวนั นี”้ คอมพิวเตอรก์ ็จะ ทาการดงึ ขอ้ มลู การขายมาประมวลผล การวิจยั ทางดา้ นนีไ้ ดพ้ ฒั นาไปมาก และมี แนวโนม้ ท่จี ะเป็นจรงิ ไดใ้ นอนาคต ระบบผเู้ ช่ียวชาญเป็นระบบท่ีได้ นาความรูค้ วาม เช่ียวชาญและประสบการณจ์ ากผเู้ ช่ียวชาญในเรอ่ื งใดเรอ่ื งหน่งึ มาเก็บไว้ กลา่ วคอื ระบบจะเกบ็ ปัจจยั ทกุ ประการท่ผี เู้ ช่ียวชาญตอ้ งคานงึ ถงึ ตามปัจจยั ตา่ ง ๆ และหาคาตอบใหก้ บั ผใู้ ช้ ระบบชว่ ยการตดั สนิ ใจหรอื DSS ตา่ งกบั ระบบผเู้ ช่ียวชาญ คือ ระบบ ช่วยการตดั สินใจเพียงแตเ่ สนอ ทางเลือกท่ีดีท่ีสดุ ใหก้ บั ผใู้ ชห้ รอื นกั บรหิ ารเทา่ นนั้ ดงั นนั้ ผตู้ ดั สนิ ใจสุดทา้ ย คือ ผใู้ ช้ (User) อีก ตวั อย่างหนง่ึ ของระบบผเู้ ช่ียวชาญจะให้ คาตอบซง่ึ เป็นการตดั สินใจของระบบเองไดเ้ ลย โดยไมต่ อ้ ง ผ่านผใู้ ชซ้ ง่ึ เป็นคนตดั สินใจ อกี ตวั อย่างของระบบผเู้ ช่ียวชาญท่ีมีใหป้ ัจจบุ นั และประสบความสาเรจ็ เพ่ือเป็นอยา่ งดี คือ ระบบผเู้ ช่ียวญของ AMEX ท่ีใชส้ าหรบั ตรวจสอบเครดิตของผใู้ หบ้ ตั ร เป็นตน้ ระบบผู้เชย่ี วชาญ (Expert System : ES) ระบบผเู้ ช่ียวชาญ คือ ระบบคอมพิวเตอรท์ ่ีจาลองการตดั สินใจของมนษุ ย์ ผเู้ ป็นผูเ้ ช่ียวชาญในดา้ นใด ดา้ นหนง่ึ โดยใชค้ วามรูแ้ ละการสรุปเหตผุ ลเชิงอนมุ าน (Inference) ในการแกป้ ัญหายาก ๆ ท่ีตอ้ ง อาศยั ผเู้ ช่ียวชาญ ระบบผเู้ ช่ียวชาญไดพ้ ฒั นาขนึ้ มาเพ่ือใชง้ านในระบบตา่ ง ๆอย่างแพรห่ ลายมากวา่ 30 ปี ไม่วา่ จะเป็นในแวดวงธุรกิจ การแพทย์ วิทยาศาสตร์ วิศวกรรม อตุ สาหกรรม เป็นตน้ \"
ส่วนประกอบท่ีจาเป็นของฐานความรู้คือ ฮิวริสติก (Heuristic) ซ่ึงหมายถึง ส่วน ของความรู้ ภายในขอบเขตของระบบผเู้ ช่ียวชาญในดา้ นการตดั สินใจ ซ่ึงไม่มีรูปแบบ ตายตวั เช่น การสารวจนา้ํ มนั หรือการประเมินราคาหุน้ โดยฐานความรู้จะถูกพฒั นาข้ึน โดยการนาความรู้และความเชี่ยวชาญมาจาก กลุ่มผเู้ ช่ียวชาญเฉพาะดา้ นที่ตอ้ งการ ระบบ ผเู้ ชี่ยวชาญสามารถนาไปใชร้ ่วมกบั ระบบสารสนเทศใน องคก์ รทุกประเภท ไม่วา่ จะเป็น ระบบการประมวลผลรายการ ระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การหรือใน ระบบสนบั สนุน การตดั สินใจหรือจะใชเ้ ป็นเครื่องมือในการใหค้ าแนะนาเดี่ยว ๆ เลยกไ็ ด้ ตวั อยา่ งเช่น การ นาระบบผเู้ ช่ียวชาญมาใชร้ ่วมกบั ระบบประมวลผลรายการสาหรับการสง่ั ซ้ือสินคา้ ระบบ ผเู้ ช่ียวชาญ อาจกาหนดราคาสงั่ ซ้ือโดยการพิจารณาจากกลุ่มลูกคา้ ปริมาณ ตวั อยา่ งของ Expert System Applications ไดแ้ ก่ Diagnosis of Faults and Aiseases, Automobile Diagnosis, Interpretation of Data (เช่น Sonar Signals), Mineral Exploration, Personnel Scheduling, Computer Network Management, Weather Forecasting, Stock Market Prediction, Consumer Buying Advice, Diet Advice เป็นตน้ จะเห็นไดว้ า่ วตั ถุประสงคห์ ลกั ของระบบผเู้ ช่ียวชาญกค็ ือ การช่วยในการตดั สินใจ การให้ ความรู้ คาแนะนา หรือคาปรึกษา อยา่ งที่ ตอ้ งการจากผเู้ ช่ียวชาญเฉพาะดา้ น ระบบผเู้ ชียวชาญไดร้ ับความสาเร็จไดด้ ว้ ยการนาคุณสมบตั ิทางดา้ น ปัญญาประดิษฐ์ (Articial Intelligence : AI) ซ่ึงเป็นระบบคอมพวิ เตอร์ที่มีคุณลกั ษณะ ความฉลาดเหมือนกบั มนุษย์ เขา้ มาใชร้ ่วม ดว้ ย ระบบผเู้ ช่ียวชาญช่วยในการตดั สินใจได้ โดยกระบวนการทางคอมพวิ เตอร์ท่ีทาการรวบรวมเหตุผล ทางตรรกะเขา้ ดว้ ยกนั ซ่ึง ระบบผเู้ ช่ียวชาญเรียกใชค้ วามรู้เฉพาะดา้ นหน่ึง ๆ ไดจ้ ากฐานความรู้ (Knowledge Base) ข้ึนอยกู่ บั คา่ ความจริงของเหตุการณ์ใด ๆ ท่ีตอ้ งการตดั สินใจ ผา่ นกลไกในการ สรุปขอ้ มูล และใหเ้ หตุผล เพือ่ ใหค้ าแนะนาพร้อมท้งั มีคาอธิบายของคาแนะนาแก่ผใู้ ชด้ ว้ ย โครงสร้าง ของระบบผเู้ ช่ียวชาญแสดงดงั รูป
การส่งั ซือ้ และรายการสง่ เสรมิ การขาย ท่ีมีอยทู่ งั้ หมดของสนิ คา้ ท่ีถกู ส่งั ซือ้ นัน้ เน่ืองจากบรษิ ัทตา่ ง ๆ มี รายการสง่ เสรมิ การขายท่ีแตกตา่ งกนั มีทงั้ แบบในระยะเวลาสนั้ ๆ แบบท่ีใหเ้ ฉพาะบางพืน้ ท่ี ฯลฯ ซง่ึ เป็นปัญหาท่ีไม่งา่ ยนกั สาหรบั พนกั งาน รบั ส่งั สนิ คา้ ท่จี ะสามารถจดั การแจง้ ใหล้ กู คา้ ทราบไดท้ นั ทที างโทรศพั ท์ ความยงุ่ ยากของงานเหลา่ นีม้ ี มากมาย จงึ มีการนาระบบผเู้ ช่ียวชาญเขา้ มาช่วยจดั การ แตใ่ นความเป็นจรงิ แลว้ ระบบผเู้ ช่ียวชาญ มิได้ เขา้ มาแทนท่ีผเู้ ช่ียวชาญระบบตวั จรงิ เพียงแตช่ ่วยใหผ้ ตู้ ดั สินใจทาการตดั สนิ ใจไดง้ า่ ยขนึ้ เทา่ นนั้ การทางานของระบบผู้เชี่ยวชาญ การทางานของระบบผเู้ ช่ียวชาญ Knowledge Representation Methods-IF-Then Rules (กฎ) คาส่งั แสดงเง่ือนไขจานวนมากสามารถนามาใชเ้ ป็นกฎ (Rule) (มีจานวน 200 ถงึ 10,000 เง่ือนไข) กฎท่ีนามาใชใ้ นโปรแกรมปัญญาประดษิ ฐ์ยงั มีการเช่ือมโยงระหวา่ งกนั อย่างมาก เกบ็ ความ สมั พนั ธไ์ ว้ (Semiotic) Frames ตารางความรูท้ ่ีเกบ็ แตล่ ะตาราง - Knowledge Engineering วิศวกรความรู้ จดั เก็บความรูอ้ ยา่ งเป็นหมวดหมู่ รูข้ อ้ มลู ตา่ งๆ ใน แตล่ ะดา้ น - Expert System Shels เป็นการเติมใสค่ วามรูท้ ่ีเก่ียวขอ้ งเขา้ ไปหรอื ความรูจ้ ากการเขยี น โปรแกรม - Forward Chaining คน้ หาคาตอบได้ 2 วิธี เช่ือมตอ่ ไปเรอ่ื ย ๆ เพ่ือใหไ้ ดค้ าตอบ Result- Driven Process - Backward Chaining กลไกอา้ งอิงยอ้ นกลบั โดยตงั้ สมมตฐิ านและถามผใู้ ชเ้ ก่ียวกบั ขอ้ เทจ็ จรงิ Goal-driven Process ตงั้ คาถามนาเพ่ือใหไ้ ดค้ าตอบ จนไดก้ ารยืนยนั วา่ จะทา ES หรอื ไม่ ถา้ มี ปัญหาเลก็ นอ้ ยก็ไมค่ วรจะทา - Factors Justifying the Acquisition of Expert Systems ปัญหาเลก็ นอ้ ย ไมม่ ี โครงสรา้ ง เกิดบอ่ ยหรอื ไม่ ตอ้ งมีผเู้ ช่ียวชาญท่ีจะใหป้ ระสบการณ์ ข้อจากัดของระบบผู้เชย่ี วชาญ (Limitation of Expert Systems) ระบบผเู้ ชียวชาญมีขอ้ จากดั อยู่ 3 ขอ้ คอื 1. Can handle only narrow domains ทาได้ Domain แคบๆ 2. Do not possess common sense ไม่มีสามญั สานกึ 3. Have a limited ability to learn เรยี นรูไ้ ดด้ ว้ ยตวั เอง Ethical and Societal Issues too Sophisticated Technology ใชท้ างดา้ นการ รกั ษา ใช้ แทนคนไดห้ รอื ไมถ่ า้ เกิดเป็นปัญหาขนึ้ มา การสรา้ งระบบผเู้ ช่ียวชาญก็คลา้ ยกบั การสรา้ งระบบ สารสนเทศอ่นื ๆ แตก่ ารสรา้ งระบบผเู้ ช่ียวชาญมกั จะใชว้ ิธีการสรา้ งแบบวนซํา้ (Interactive Process) โดยการเรม่ิ สรา้ งจากระบบเลก็ มากแลว้ จงึ คอ่ ยขยายขนาดของระบบ (คอื เพ่ิมจานวนกฎ) ขนึ้ มา ทีละนอ้ ยแลว้ ทาการทดสอบระบบและวนซํา้ ไปอกี หลายรอบกวา่ ท่จี ะไดร้ ะบบท่ีสมบูรณ์ โดยปกติ แลว้
สิ่งแวดลอ้ มที่ระบบผเู้ ช่ียวชาญพฒั นาข้ึนมาใชง้ านน้นั จะมีการเปล่ียนแปลงอยเู่ สมอ ทา ใหต้ อ้ งมีการ ปรับระบบผเู้ ช่ียวชาญใหเ้ หมาะสมกบั ความเปล่ียนแปลงท่ีเกิดข้ึนดว้ ย ระบบ ผเู้ ช่ียวชาญบางระบบมี ความซบั ซอ้ นมากจนทาใหค้ ่าใชจ้ ่ายในการบารุงรักษาเพียงไม่กี่ปี รวมกนั แลว้ มีค่ามากกวา่ มูลค่าในการ พฒั นาระบบน้นั เสียอีก ทีมผพู้ ฒั นาระบบงานปัญญาประดิษฐป์ ระกอบดว้ ยผเู้ ช่ียวชาญ (Expert) อยา่ งนอ้ ยหน่ึงคน ซ่ึงมีความรู้ทะลุปรุโปร่งเก่ียวกบั เน้ือหาเร่ืองใดเรื่องหน่ึงท่ีกาลงั ศึกษา มีวศิ วกรภูมิปัญญา (Knowledge Engineer) จานวนหน่ึง เป็นผมู้ ีความสามารถในการแปลงความรู้จากผเู้ ชี่ยวชาญใหอ้ ยู่ ในรูปแบบของ กฎ หรือกรอบโครงสร้างความรู้ วิศวกรภูมิปัญญา มีหนา้ ที่คลา้ ยคลึงกบั ผวู้ เิ คราะห์ ระบบในการพฒั นา ระบบงานสารสนเทศทวั่ ไป เพียงแต่มีความเชี่ยวชาญพเิ ศษ ในการเฟ้นหา ข่าวสารจากผเู้ ชี่ยวชาญ และมีสมาชิกในทีมพฒั นาซ่ึงจะทาการสร้างระบบตน้ แบบข้ึนมาทดสอบ และพฒั นาต่อไปจนกระทงั่ ได้ ระบบท่ีสมบูรณ์ ส่ วนประกอบของระบบผู้เช่ียวชาญ ระบบปัญญาประดิษฐ์ (ES) ไดพ้ ฒั นาข้ึนสาหรับการแกป้ ัญหาท่ีมีความซบั ซอ้ นและ ไม่มีโครงสร้าง เนื่องจากปัญหาในลกั ษณะน้ี จะไม่สามารถตดั สินใจดว้ ยหลกั การทาง คณิตศาสตร์เพยี ง อยา่ งเดียว การแกป้ ัญหาจะตอ้ งอาศยั การผสมผสานระหวา่ งความรู้ท้งั ที่ถูก จดั เรียงอยา่ งเป็นระบบและ ความรู้ท่ีไดจ้ ากประสบการณ์ ซ่ึงทาใหร้ ะบบปัญญาประดิษฐม์ ี ส่วนประกอบที่แตกต่างจากระบบสารสนเทศ ปกติ โดยระบบปัญญาประดิษฐป์ ระกอบดว้ ย ส่วนประกอบพ้ืนฐานสาคญั 5 ประการ ดงั ต่อไปน้ี
1) ฐานความรู้ (Knowledge Base) เป็นสว่ นท่ีเกบ็ ความรูท้ งั้ หมดของผเู้ ช่ียวชาญท่ีรวบรวม จาก การศกึ ษาและจากประสบการณ์ โดยมีการกาหนดโครงสรา้ งของขอ้ มลู (Data Structure) ให้ เหมาะสม กบั การนาไปใชง้ าน ฐานความรูม้ ีลกั ษณะบางประการคลา้ ยฐานขอ้ มลู แตฐ่ านสารสนเท (Information Base) ทงั้ สองจะมีความแตกตา่ งกนั คอื ฐานขอ้ มลู จะเก็บรวบรวมตวั เลข (Numbers) สญั ลกั ษณ์ (Symbols) และอาจมีสว่ นแสดงความสมั พนั ธพ์ ืน้ ฐานระหวา่ งขอ้ มลู ท่ี เก่ียวขอ้ งกนั ระหวา่ ง แตล่ ะฐานขอ้ มลู แตฐ่ านความรูจ้ ะรวบรวมตรรกะ (Logic) ในการปฏิบตั งิ าน เน่ืองจาก ES จะตอ้ ง ทาการประมวลความรูใ้ นหลายรูปแบบ ซง่ึ เป็นไปไดย้ ากในฐานขอ้ มลู การนาเสนอ ความรู้ (Knowledge Representation) ปัจจบุ นั ES ทางธรุ กิจท่ีถกู พฒั นาขนึ้ สว่ นใหญ่จะมีการ นาเสนอความรูใ้ นลกั ษณะ ถา้ ....และ...ดงั นนั้ ... (If..and. then...) หรอื การกาหนดกรอบอา้ งอิงของ การดาเนินงาน (Frame) โดย กรอบการดาเนินงานจะทาหนา้ ท่รี วบรวมสารสนเทศเก่ียวกบั งานท่ีตอ้ งการ เขา้ มาอยรู่ ว่ มกนั ภายใต้ ขอบเขตท่ีกาหนดเพ่ือใหส้ ะดวกตอ่ การใชง้ าน นอกจากนี้ ES ยงั สามารถประยกุ ต์ เขา้ กบั ระบบเครอื ขา่ ย (Network) ท่ตี อ่ เช่ือมกบั แหลง่ ขอ้ มลู หลายจดุ ทาใหส้ ามารถดงึ ขอ้ มลู มาใช้ ประกอบการประเมนิ ผลอ ยา่ งมีประสิทธิภาพ ซง่ึ เราเรยี กระบบเครอื ขา่ ยลกั ษณะนีว้ า่ “เครอื ข่าย Semantic (Semantic Network) 2) เครอ่ื งอนมุ าน (inference Engine) เป็นสว่ นควบคมุ การใชค้ วามรูใ้ นฐานความรู้ เพ่ือ วิเคราะห์ และแกป้ ัญหาท่ีเกิดขนึ้ สามารถกลา่ วไดว้ า่ เครอ่ื งอนมุ านเป็นสว่ นการใชเ้ หตแุ ละผลเป็น สว่ นประกอบท่ี สาคญั ของ ES โดยท่ีเครอ่ื งอนมุ านจะทาหนา้ ท่ีตรวจสอบกฎเกณฑท์ ่อี ยใู่ นฐานความรู้ โดยการใชเ้ หตผุ ล ทางตรรกะสาหรบั แตล่ ะเหตกุ ารณ์ ซง่ึ มกั จะอยใู่ นลกั ษณะ ถา้ ...แลว้ ... 2.1 การอนมุ านแบบไปขา้ งหนา้ (Forward Chaining Inference) การอนมุ านโดยเรม่ิ การ ตรวจสอบขอ้ มลู กบั กฎเกณฑท์ ่มี ีอยใู่ นระบบจนกวา่ จะสามารถหากฎเกณฑท์ ่สี อดคลอ้ งกบั สถานการณแ์ ลว้ จงึ ดาเนินงานตามเหมาะสม 2.2 การอนมุ านแบบยอ้ นหลงั (Backward Chaining Inference) การอนมุ านโดยเรม่ิ ตน้ จาก เปา้ หมาย (Goals) ท่ีตอ้ งการแลว้ ดาเนินการยอ้ นกลบั เพ่ือหาสาเหตุ การอนมุ านในลกั ษณะนี้ มกั นามาใช้ ในการพฒั นาระบบความฉลาดใหม้ ีความเขา้ ใจ และมีประสบการณใ์ นการแกป้ ัญหา เพ่ือ ใหร้ ะบบสามารถ ทาการอนมุ านหาขอ้ สรุปของปัญหาท่ีเกิดขนึ้ ในอนาคต 3) สว่ นดงึ ความรู้ (Knowledge Acquisition Subsystem) เป็นสว่ นท่ีดงึ ความรูจ้ ากเอกสาร ตารา ฐานขอ้ มลู และเช่ียวชาญ ทมี พฒั นาจะทาการจดั ความรูท้ ่ไี ดม้ าใหอ้ ย่ใู นรูปท่ีเขา้ กนั ไดก้ บั โครงสรา้ ง ของฐานความรู้ เพ่ือท่ีจะไดส้ ามารถบรรจคุ วามรูท้ ่ีไดม้ าลงในฐานความรูไ้ ด้ 4) สว่ นอธิบาย (Explanation Subsystem) เป็นสว่ นท่ีอธิบายถงึ รายละเอียดของขอ้ สรุปหรอื คาตอบท่ีไดม้ านนั้ มาไดอ้ ย่างไร และทาไมถึงมีคาตอบเช่นนนั้
5) การติดตอ่ กบั ผใู้ ช้ (User Interface) เป็นสว่ นประกอบท่ีสาคญั ของ ES เน่ืองจาก ผใู้ ชจ้ ะมี ความรูใ้ นงานสารสนเทศท่ีแตกตา่ งกนั หรอื ผใู้ ชบ้ างคนไมเ่ คยชินกบั การรบั คาแนะนาจากระบบ สารสนเทศ ตลอดจนผใู้ ชม้ ีความตอ้ งการท่ีหลากหลาย ดงั นนั้ ผพู้ ฒั นา ระบบจงึ ตอ้ งคานงึ ถึงความสะดวก ในการติดตอ่ ระหวา่ ง ES กบั ผใู้ ช้ ทาใหก้ ารตดิ ตอ่ ส่อื สาร ระหวา่ ง ES กบั ผใู้ ชท้ ่ีมีความสะดวก ทาให้ ผใู้ ชเ้ กิดความพอใจและสามารถใชร้ ะบบจนเกิด ความชานาญ ซง่ึ จะทาใหก้ ารปฏิบตั ิงานมีประสิทธิภาพ ความรู้ ความรู้ หมายถงึ ระดบั ของภมู ิปัญญาในการรบั รูแ้ ละการทาความเขา้ ใจในเรอ่ื งใดเรอ่ื งหนง่ึ โดยท่ี ความรูก้ บั ขอ้ มลู จะมีความใกลเ้ คยี งกนั ในหลายลกั ษณะ แตท่ งั้ สองจะมีความแตกตา่ ง กนั ตามหลกั การ ดา้ นวศิ วกรรมระบบ (System Engineering) อยู่ 2 ประการ คอื ความชดั เจน และความเป็นสากล ปกติผทู้ ่ีสนใจศกึ ษาเก่ียวกบั ระบบความฉลาด สามารถ จาแนกความรูอ้ อกเป็น 4 ประเภท ไดแ้ ก่ ความ จรงิ ความสมั พนั ธ์ ขนั้ ตอน และองคค์ วามรู้ ความซบั ซอ้ นของ AI และ ES ทาใหผ้ พู้ ฒั นาระบบความ ฉลาดตอ้ งจดั ประเภทของความรู้ และความสมั พนั ธใ์ นฐานความรูอ้ ย่างเหมาะสม เพ่ือใหร้ ะบบความ ฉลาดสามารถปฏิบตั งิ าน ไดต้ ามวตั ถปุ ระสงคข์ องผจู้ ดั การและความตอ้ งการของผใู้ ช้ ประโยชนข์ องระบบผู้เชยี่ วชาญ ระบบผเู้ ช่ียวชาญมีประโยชนต์ า่ ง ๆ ดงั นี้ 1. ชว่ ยในการเกบ็ ความรูข้ องผเู้ ช่ียวชาญในดา้ นหนง่ึ ดา้ นใดโดยเฉพาะไว้ ทาใหไ้ ม่สญู เสยี ความรู้ และสามารถนาความรูม้ าใชง้ านไดต้ ลอดเวลา 2. ช่วยขยายขีดความสามารถในการตดั สินใจ 3. สามารถเพ่ิมทงั้ ประสทิ ธิภาพและประสิทธิผลใหก้ บั ผใู้ ชร้ ะบบในการตดั สินใจ 4. ชว่ ยใหก้ ารตดั สนิ ใจในแตล่ ะครงั้ มีความใกลเ้ คยี งและไมข่ ดั แยง้ กนั 5. ชว่ ยลดการพง่ึ พาบคุ คลใดบคุ คลหน่งึ ความหมายของระบบผู้เชี่ยวชาญทม่ี ตี อ่ องคก์ ร ระบบผเู้ ช่ียวชาญมีความสาคญั ตอ่ องคก์ ร เพราะระบบผเู้ ช่ียวชาญมีความสามารถท่ี หลากหลายดงั นี้ 1.Planning การวางแผน 2.Decision Making การตดั สนิ ใจ 3.Monitoring การควบคมุ 4. Diagnosis การวนิ ิจฉยั อาการ 5. Training การจดั การฝึกอบรม 6. Indental learning การเรยี นรู้
7. Replication of Expertis การเรยี นรูจ้ ากเหตกุ ารณ์ 8. Consistent Solutions การท่ีคิดอกี ทีก็ใหค้ าตอบเหมอื นเดิม 9. Development of Expert Systems การพฒั นาระบบผเู้ ช่ียวชาญ 10. What is Expertis? ทกั ษะความรูท้ ่ีเหนือกวา่ คา่ ปกติ 11. Components of Expert Systems สว่ นประกอบของระบบ 12. The Interface or Dialog ระบบโตต้ อบกบั คน 13. The Knowledge Base ฐานความรู้ เสนอวิธีแกป้ ัญหาสาหรบั งานเฉพาะหนา้ ซง่ึ มีปรมิ าย มากหรอื ซบั ซอ้ นมากเกินไปสาหรบั มนษุ ย์ โดยเฉพาะเม่ือตอ้ งทางานใหเ้ สรจ็ ในเวลาสนั้ การนาระบบผู้เชีย่ วชาญไปใช้งาน (Puting Expert Systems to Work) ระบบผเู้ ช่ียวชาญสามารถท่ีจะนาไปใชใ้ นลกั ษณะงานตา่ ง ๆ ดงั นี้ 1. ดา้ นการผลติ (Production) 2. การตรวจสอบ (Inspection) 3. การประกอบชิน้ สว่ น (Assembly) 4. ดา้ นบรกิ าร (Field Service) 5. ดา้ นการซอ่ มแซมโทรศพั ท์ (Telephone Repair) 6. การตรวจสอบบญั ชี (Auditing) 7. การคดิ ภาษี (Tax Accounting) 8. การวางแผนดา้ นการเงนิ (Financial Planning) 9. ดา้ นการลงทนุ (Investments) 10. ดา้ นบคุ คล (Personnel) 11. ดา้ นการตลาดและการขาย (Marketing and Sales) 12. การอนมุ ตั ิสินเช่ือ (Credit Authorization) 13. หน่วยงานดา้ นบรกิ ารของรฐั (Human Services Agency) 14. การทานายทางการแพทย์ (Medical Prognosis)
การพฒั นาระบบผู้เชี่ยวชาญ การพฒั นา ES เป็นกระบวนการต่อเน่ืองที่มีความละเอียดอ่อนและซบั ซอ้ น ซ่ึงผพู้ ฒั นาระบบ ตอ้ งใชค้ วามรู้ ทกั ษะ ความสามารถ ความเขา้ ใจ และประสบการณ์อยา่ งสูง ตลอดจนตอ้ งใชเ้ วลาและ คา่ ใชจ้ ่ายสูงในการดาเนินงาน เราสามารถแบ่งกระบวนการพฒั นา ES ออกเป็น 5 ข้นั ตอน ดงั ต่อไปน้ี 1) การวิเคราะห์ปัญหา ผพู้ ฒั นาระบบความฉลาดจะดาเนินการพจิ ารณาถึงความตอ้ งการ ความเหมาะสม และความเป็นไปไดข้ องการนาระบบไปใชง้ านในสถานการณ์จริง โดยทาความเขา้ ใจ กบั ปัญหา จดั ข้นั ตอนในการแกป้ ัญหา การกาหนดรูปแบบของการใหค้ าปรึกษา ตลอดจนรวบรวม ความรู้ และความเขา้ ใจในสาระสาคญั ท่ีจะนามาประกอบการพฒั นาระบบ บทบาทสาคญั ของผใู้ ช้ ระบบท่ีมีต่อ นกั วิเคราะห์ระบบ นกั วิเคราะห์ระบบจะตอ้ งคานึงถึงความตอ้ งการ (NEEDS) ของผใู้ ช้ ระบบเป็นสาคญั โดยตอ้ งยดึ หลกั เกณฑข์ องการวเิ คราะห์และพฒั นาระบบงาน มีนกั วิเคราะห์ระบบ มากมายท่ีไดด้ ีไซน์ ระบบมา โดยลืมจุดสาคญั ของผใู้ ชร้ ะบบ ทาใหร้ ะบบท่ีไดอ้ อกแบบไวไ้ ม่ได้ ตอบสนองกบั ความตอ้ งการ ของผใู้ ชร้ ะบบ และในที่สุดกย็ งั ผลใหร้ ะบบท่ีไดว้ างไวน้ ้นั ไม่สามารถ นามาใชไ้ ดจ้ ริง ซ่ึงทาใหต้ อ้ งเสียท้งั เวลาและคา่ ใชจ้ ่ายในการพฒั นาระบบอยา่ งมาก การท่ีระบบงานน้นั ไม่ไดต้ อบสนองกบั ความตอ้ งการผใู้ ชร้ ะบบ สาเหตุหน่ึงอาจจะมาจาก นกั วเิ คราะห์ระบบ แมว้ า่ จะไม่ลืมความสาคญั ของผใู้ ชร้ ะบบ แต่ลืมท่ีจะครอบคลุมถึงความเห็นของ ผใู้ ชร้ ะบบ ทุกคนท่ีเกี่ยวขอ้ งกจ็ ะทาใหร้ ะบบงานท่ีตนไดด้ ีไซน์ไวไ้ ม่สามารถตอบสนองต่ ท้งั หมด เช่น ระบบงานขอ้ มูลทางการตลาด อาจมีผใู้ ชร้ ะบบต้งั แต่พนกั งานรับใบสง่ั ซ้ือ ไปจนถึงระดบั ผบู้ ริหารตอ้ งการของทุกคนที่เก่ียวขอ้ งกบั ระบบ มิใช่จะเอาใจเฉพาะผบู้ ริหาร
ระบบงานขอ้ มลู ท่ีนกั วิเคราะหร์ ะบบวางดีไซนข์ นึ้ จะมีคณุ คา่ เทา่ ใดนนั้ มิใชน่ กั วเิ คราะหร์ ะบบเอง จะเป็นคน ตดั สิน เพราะนกั วิเคราะหร์ ะบบเป็นเพยี งผสู้ รา้ งมนั แตผ่ ใู้ ชร้ ะบบตา่ งหากเป็นผทู้ ่รี ูถ้ งึ หลกั การท่ีวา่ ระบบงาน นนั้ ไดต้ อบสนองความตอ้ งการของพวกเขาไดม้ ากนอ้ ยเพียงใด 2) การเลอื กอปุ กรณ์ ผพู้ ฒั นาระบบตอ้ งพิจารณาเลอื กอปุ กรณท์ ่ใี ชเ้ ป็นสว่ นประกอบของ ES ซง่ึ แตล่ ะสว่ น จะมีความตอ้ งการอปุ กรณท์ ่ีมีความเหมาะสมแตกตา่ งกนั โดยจารณาความเหมาะสม ของสว่ นประกอบท่ี สาคญั ดงั ตอ่ ไปนี้ 2.1 การแสดงความรู้ นอกจากความเขา้ ใจในความหมายและประเภทละประเภทของความรูแ้ ลว้ การแสดง ความรูเ้ ป็นเรอ่ื งสาคญั ในการพฒั นาระบบความฉลาด เครอ่ื งแสดงความรูจ้ ะถกู ออกแบบ ใหก้ ารแสดงความรู้ นนั้ งา่ ยและครบถว้ นตามลกั ษณะของงาน โดยท่ีการแสดงความรูท้ ่ีมีประสิทธิภาพ ควรตอ้ งมีลกั ษณะ ดงั ตอ่ ไปนี้ 1) โครงสรา้ ง (Structure) 2) เป็นสดั สว่ น (Modularity) 3) สะดวก (Convenience) 4) เขา้ ใจงา่ ย (Easy to understand) 5) เหมาะสม (Appropriate) 2.2 เครอ่ื งอนมุ าน ผพู้ ฒั นาระบบความฉลาดตอ้ งคานงึ ถงึ วธิ ีการอนมุ าน การคน้ หาและ ตรวจสอบกฎขอ้ ท่ี เหมาะสม การคานวณทางคณิตศาสตร์ การประมวลผลทางตรรกะ และการเช่ือมโยง กบั ชดุ คาส่งั อ่นื อย่าง สะดวกและเหมาะสม เพ่ือท่ีจะนามาใชใ้ นการแกป้ ัญหาตา่ ง ๆ ท่ีเขา้ มาในระบบ 2.3 การตดิ ตอ่ กบั ผใู้ ช้ ES ท่ีพฒั นาอยา่ งรอบคอบจะมีสว่ นท่ีผใู้ ชส้ ามารถติดตอ่ สื่อสาร กบั ระบบไดง้ า่ ย ระบบมีการโตต้ อบและแสดงผลท่ีชดั เจนและงา่ ยตอ่ การเขา้ ใจและการใชง้ าน ดงั นนั้ ผพู้ ฒั นาระบบตอ้ ง พิจารณาในเรอ่ื งของวธิ ีการโตต้ อบระหวา่ งระบบกบั ผใู้ ช้ การเก็บรวบรวมความรู้ และการแสดงผลโดยรูปภาพ (Graphic) 2.4 ชดุ คาส่งั ลกั ษณะของชดุ คาส่งั จะบง่ ชีธ้ รรมชาตแิ ละคณุ สมบตั ขิ อง ES วา่ มีขอ้ ดีหรอื ขอ้ จากดั อยา่ งไร สิง่ สาคญั ท่ีผพู้ ฒั นาระบบจะตอ้ งพิจารณาสาหรบั การสรา้ งชดุ คาส่งั คอื ภาษา คอมพิวเตอร์ (Computer Language) ซง่ึ สรา้ งขนึ้ ใหม้ ีความเหมาะสมกบั งานตา่ งกนั โดยภาษาท่ีคอมพิวเตอรท์ ่ีนิยมนามาใชใ้ นการ พฒั นาระบบความฉลาด ไดแ้ ก่ โปรลอ็ ก (PROLOG) และลิปส์ (PROLOG) เป็นตน้ นอกจากนี้ ผพู้ ฒั นา ระบบยงั ตอ้ งคานงึ ถงึ ความสามารถในการแปลขอ้ มลู ความสามารถในการ ขยายระบบ และการใชง้ าน รว่ มกบั ภาษาอืน่ เพ่ือใหก้ ารพฒั นาระบบและการตอ่ เช่ือมเกิดประโยชนส์ งู สดุ ในปัจจบุ นั ไดม้ ีการพฒั นาระบบกง่ึ สาเรจ็ รูปสาหรบั สรา้ งระบบผเู้ ช่ียวชาญท่ีเรยี กวา่ Expert System Shell ซง่ึ เป็นระบบท่ีพฒั นาขนึ้ เพ่ือไวส้ าหรบั สรา้ งระบบผเู้ ช่ียวชาญในดา้ นตา่ ง ๆ ไดง้ า่ ยขนึ้ เชน่
มีเครื่องมือช่วยในการสร้างฐานความรู้ส่วนติดตอ่ กบั ผใู้ ช้ เป็นตน้ หรือส่วนอนุมาน เป็นตน้ ทาใหส้ ร้างระบบผเู้ ชี่ยวชาญสาเร็จไดง้ ่ายข้ึน เร็วข้ึนและเป็นระบบท่ีมีประสิทธิภาพ 2.5 การธารงรักษาและการพฒั นาระบบ ผพู้ ฒั นาระบบตอ้ งคานึงถึงการ การปรับปรุงใหร้ ะบบมี ประสิทธิภาพสูงข้ึนในอนาคต โดยคานึงปัจจยั ต่อไปน้ี ความสามารถในการติดต่อกบั ผพู้ ฒั นาระบบ วธิ ีการ สร้างและพฒั นาฐานความรู้ เครื่องมือที่ใชใ้ นการแกไ้ ขฐานความรู้ ความสามารถในการสร้างส่วนควบคุมการ อนุมาน และสร้างส่วนท่ีติดต่อกบั ผใู้ ช้ 3) การถอดความรู้ ผพู้ ฒั นาระบบตอ้ งทาการสังเกต ศึกษา และทาความเขา้ ใจกบั ความรู้ท่ี พฒั นาเป็น ES จากแหล่งอา้ งอิง หรือผเู้ ชี่ยวชาญในสาขาน้นั เพอื่ การกาหนดขอบเขตท่ีเหมาะสมของระบบ โดยท่ีเราเรียก กระบวนการน้ีวา่ “วิศวกรรมความรู้ (Knowledge Engineering) องอาศยั “วิศวกรความรู้ (Knowledge Engineer)” ซ่ึงมีความแตกต่างจาก “นกั วิเคราะห์และ ออกแบบระบบ (System Analyst and Designer)\" อยู่ พอสมควร เนื่องจากวิศวกรความรู้จะใชเ้ วลาในการรวบรวมขอ้ มูลของการวเิ คราะห์และตดั สินใจในปัญหาท้งั จากเอกสารและจากผเู้ ชี่ยวชาญ โดยขอ้ มูลท่ีไดจ้ ะยากต่อการอธิบายเหตุผลในการตดั สินใจของบุคคลในแต่ละ คร้ังขณะท่ีนกั วเิ คราะห์ระบบ ละพฒั นาระบบสารสนเทศจากขอ้ มูลทางตรรกะและคณิตศาสตร์ 4) การสร้างตน้ แบบ ผพู้ ฒั นา ES จะนาเอาส่วนประกอบต่าง ๆ ท่ีกล่าวมามาประกอบการ สร้าง ตน้ แบบ (Prototype) ของ Es โดยผพู้ ฒั นาระบบจะเร่ิมตน้ จากการนาแนวความคิดท้งั หมดท่ี เก่ียวขอ้ งกบั ระบบ ที่ตอ้ งการพฒั นามาจดั เรียงลาดบั โดยเริ่มจากเป้าหมาย หรือคาตอบของการ ประมวลผล การไหลเวียนทาง ตรรกะของปัญหา ข้นั ตอนแสดงความรู้ การจดั ลาดบั ของข้นั ตอนท่ีจาเป็น พร้อมท้งั ทดสอบการทางานของ ตน้ แบบท่ีสร้างข้ึนวา่ สามารถทางานไดต้ ามที่วางแผนไวห้ รือไม่ 5) การขยาย การทดสอบและบารุงรักษา หลงั จากท่ีตน้ แบบไดถ้ ูกสร้างข้ึนและสามารถผา่ น การ ทดสอบการทางานแลว้ เพื่อที่จะไดร้ ะบบสามารถนาไปใชส้ ภาวการณ์จริงได้ กจ็ ะตอ้ งทาการขยาย ระบบให้ ใหญ่ข้ึนจากตน้ ระบบ โดยเฉพาะส่วนที่เป็นฐานความรู้ เป็นส่วนที่ใชอ้ ธิบายส่วนที่ติดต่อกบั ผใู้ ช้ และตกแต่ง เพ่ิม ระบบปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : Al) ระบบปัญญาประดิษฐ์ คือ ศาสตร์แขนงหน่ึงทางดา้ นวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยที ี่มีพ้ืนฐาน มาจาก วชิ าวทิ ยาการคอมพวิ เตอร์ ชีววทิ ยา จิตวทิ ยา ภาษาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และวศิ วกรรมศาสตร์ เป้าหมาย คือ การพฒั นาระบบคอมพิวเตอร์ (ท้งั ฮาร์ดแวร์และซอฟตแ์ วร์) โดยใหม้ ีพฤติกรรม เลียนแบบมนุษย์ รวมท้งั เลียนแบบความเป็นอจั ฉริยะของมนุษยด์ งั ต่อไปน้ี ระบบต่าง ๆ จะตอ้ งมีความ สามารถเขา้ ใจภาษามนุษย์ ซ่ึง การทางานที่ตอ้ งใชก้ ารประสานงาน ระหวา่ งส่วนต่างๆ (โรโบติก-Robotics) ใชอ้ ุปกรณ์ท่ีสามารถ รับทราบ และ ตอบสนองดว้ ยพฤติกรรมและภาษา (ระบบการ มองและการออกเสียง) การเลียนแบบความเช่ียวชาญและการในใจ ของมนุษย์ (ระบบ
ผเู้ ช่ียวชาญ) ระบบดงั กลา่ วยงั ตอ้ ง แสดงความสามารถทางตรรกะ การใชเ้ หตผุ ล สญั ชาตญาณ และใชห้ ลกั การ สมเหตสุ มผล (Common Sense) ท่มี ีคณุ ภาพในระดบั เดียวกบั มนษุ ย์ ความเป็ นมาของปัญญาประดษิ ฐ์ ปัญญาประดษิ ฐ์ไดเ้ รม่ิ การศกึ ษาในปี ค.ศ. 1950 โดยอาจารยจ์ ากประเทศอเมรกิ าและองั กฤษ นิยามของ ปัญญาประดษิ ฐ์ไดก้ าหนดขนึ้ ในปี ค.ศ. 1956 โดย John McCarthy ไดม้ ีการศกึ ษาและ พฒั นางานดา้ น ปัญญาประดษิ ฐ์และไดม้ ีการตงั้ เกณฑท์ ดสอบเพ่ือท่ีจะระบวุ า่ เครอ่ื งจกั รกลหรอื ระบบ คอมพิวเตอรส์ ามารถคดิ ได้ เหมือนมนษุ ยอ์ อกมาโดย Alan Turing นกั คณิตศาสตรช์ าวองั กฤษ แตจ่ น บดั นีเ้ ครอ่ื งจกั รกลหรอื ระบบ คอมพิวเตอรก์ ็ยงั ไมส่ ามารถผ่านเกณฑข์ อง Alan Turing ไดเ้ ลย ณ ปัจจบุ นั ระบบปัญญาประดษิ ฐ์ยงั ไม่ สามารถสรา้ งคาตอบท่ีแปลกใหม่หรอื คาตอบท่ีมาจากการคิดคน้ ขนึ้ มาใหมข่ องระบบเองได้ เพียงแต่เป็นการลอก เลยี นความสามารถของมนษุ ยไ์ ดเ้ ทา่ นนั้ ลักษณะงานของปัญญาประดษิ ฐ์ แบง่ ได้ 3 ประเภท คอื 1. Cognitive Science งานดา้ นนีเ้ นน้ งานวจิ ยั เพ่ือศกึ ษาวา่ สมองของมนษุ ยท์ างานอยา่ งไร และมนษุ ยค์ ดิ และเรยี นรู้ อย่างไร จงึ มีพืน้ ฐานที่ การประมวลผลสารสนเทศในรูปแบบของมนษุ ยป์ ระกอบดว้ ยระบบตา่ ง ๆ • ระบบผเู้ ช่ียวชาญ (Expert Systems) ระบบนีจ้ ะพยายามลอกเลียนแบบความสามารถ ของผเู้ ช่ียวชาญท่ี เป็นมนษุ ยใ์ นการแกป้ ัญหาตา่ ง ๆ • ระบบเครอื ขา่ ยนิวรอน (Neural Network) เป็นระบบปัญญาประดษิ ฐ์ประเภทหนง่ึ ซง่ึ มีความสามารถใน การเรยี นรู้ เพราะวา่ ไดอ้ อกแบบมาเหมอื นสมองมนษุ ย์ Neural Networks จะเรยี นรูแ้ บบแพทเทริ น์ (Pattern) และความสมั พนั ธข์ องขอ้ มลู ตา่ ง ๆ ความสามารถของ Neural Networks 1) ความสามารถในการดงึ สารสนเทศ แมว้ า่ Neural Nodes มีปัญหาขดั ขอ้ ง 2) ปรบั ปรุงขอ้ มลู ท่ีมีอยู่ เพ่ือใหไ้ ดส้ ารสนเทศใหมอ่ ยา่ งรวดเรว็ 3) ความสามารถในการคน้ หาความสมั พนั ธ์ และแนวโนม้ ตา่ ง ๆ จากฐานขอ้ มลู ขนาดใหญ่ได้ 4) ความสามารถในการแกป้ ัญหาท่ีมีความสลบั ซบั ซอ้ นมาก แมว้ า่ จะไมม่ ีสารสนเทศท่ี ช่วยในการแกป้ ัญหาอยา่ ง ครบถว้ น ตวั อย่างการใช้งาน ปัจจบุ นั การนา Neural Networks มาใชใ้ นหลายสาขา เช่น - การแพทยว์ ทิ ยาศาสตรธ์ รุ กิจ เพ่ือชว่ ยในการจาแนกรูปแบบตา่ ง ๆ การวเิ คราะห์ และพยากรณก์ ารควบคมุ และ การเสนอผลท่ีดีท่ีสดุ - การนา Neural Networks มาใชใ้ นการตรวจหาวตั ถรุ ะเบิดในกระเป๋ าผโู้ ดยสารท่ีขนึ้ เครอ่ื งบิน
- บรษิ ัทธุรกิจหลายแหง่ เช่น General Motors, Blockbuster และ Kraft ไดใ้ ชซ้ อฟตแ์ วร์ Neural Networks เพ่ือช่วยในการหารูปแบบท่ีช่วยในการวเิ คราะหแ์ นวโนม้ การขายใหด้ ีขนึ้ โดย ใชพ้ ฤตกิ รรม ในอดีตของลกู คา้ และการซือ้ ขายจรงิ ในปัจจบุ นั ประกอบกนั เพ่ือทานายถึงรูปแบบการซือ้ ในอนาคต •ระบบแบบ็ แนต็ (Papnet) เป็นระบบท่ีใชใ้ นการแยกความแตกตา่ ง เช่น แยกความแตกตา่ งของ เซลลม์ นษุ ย์ • ฟัสซีลอจิก (Fuzzy Logic) เป็นระบบท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การใชก้ ฎพืน้ ฐาน และสามารถ งางานกบั ขอ้ มลู ท่ีไม่สมบรู ณ์ หรอื กากวม หรอื คา่ ไมเ่ ท่ียงตรง หรอื ไมแ่ น่นอนได้ ซง่ึ ระบบจะพยายามตอบใหก้ บั ปัญหาท่ีไมม่ ีโครงสรา้ งดว้ ยการพิจารณาหาขอ้ มลู เทา่ ท่ีมีเทา่ นนั้ ระบบนีใ้ ชว้ ธิ ีการหา มาตอบไดแ้ บบ มนษุ ยม์ ากกวา่ ระบบงานท่วั ไปซง่ึ ใชเ้ พียงประโยคเง่ือนไขธรรมดา • เจเนตกิ อลั กอรทิ มึ (Genetic Algorithm) หรอื อลั กอรทิ มึ พนั ธุกรรม ใชห้ ลกั การดา้ น พนั ธกุ รรมของชารล์ ดารว์ นิ การชมุ่ และฟังกช์ นั ทางคณิตศาสตรใ์ นการสรา้ งกระบวนการวิวฒั นาการ ดว้ ยตนเองของระบบในการหาคาตอบท่ีดยี ่ิงขนึ้ โดยใชแ้ นวทางการแกป้ ัญหาแนวเดยี วกบั ท่ีสงิ่ มีชีวิต ปรบั ตนเองใหเ้ ขา้ กบั สภาพแวดลอ้ ม เป็นซอฟตแ์ วรข์ องระบบปัญญาประดษิ ฐ์ท่เี ลยี นแบบกระบวนการ วิวฒั นาการของส่งิ มีชีวติ ท่ปี รบั ตวั ใหเ้ ขา้ กบั ส่งิ แวดลอ้ ม เพ่ือชว่ ยในการใหค้ าแนะนาท่ดี กี วา่ Genetic Algorithm จะเหมาะสมในการใชก้ บั การตดั สินใจซง่ึ มีคาตอบไดห้ ลายพนั ลา้ นคาตอบ และแตล่ ะคาตอบ จาเป็นจะตอ้ งมีการพิจารณาอยา่ งรอบคอบ 2. Robotics เป็นงานซง่ึ พฒั นาบนพืน้ ฐานของวศิ วกรรมและสรรี ศาสตร์ และเป็นการพยายามสรา้ ง หนุ่ ยนตใ์ หม้ ี ความฉลาดและถกู ควบคมุ ดว้ ยคอมพิวเตอรแ์ ตส่ ามารถเคลอ่ื นไหวไดเ้ หมือนกบั มนษุ ย์ โดยพยายามทา ใหห้ นุ่ ยนตม์ ีทกั ษะในดา้ นตา่ ง ๆ ดงั ตอ่ ไปนี้ คือ ทกั ษะในการมองเหน็ ทกั ษะในการ สมั ผสั ทกั ษะในการ หยบิ จบั ส่ิงของ ทกั ษะในการเคล่อื นไหว และทกั ษะในการนาทางเพ่ือไปยงั ท่ีหมาย 3. Natural Interface เป็นงานซง่ึ เนน้ การพฒั นาเพ่ือใหค้ อมพิวเตอรส์ ามารถเขา้ ใจในสิง่ ท่ีเป็นธรรมชาติของ มนษุ ย์ เพ่ือให้ มนษุ ยส์ ามารถสื่อสารกบั คอมพิวเตอรห์ รอื เครอ่ื งจกั รกลไดอ้ ย่างสะดวก ประกอบดว้ ย งานดา้ นตา่ งๆ ดงั นี้ • ระบบท่ีมีความสามารถในการเขา้ ใจภาษามนษุ ย์ (Natural Language) รวมเทคนิค ของการ จดจาคาพดู และเสียงของผใู้ ชง้ าน ทาใหม้ นษุ ยส์ ามารถพดู หรอื ส่งั งานกบั คอมพิวเตอรห์ รอื หนุ่ ยนตไ์ ด้ ดว้ ยภาษามนษุ ย์ • ระบบภาพเสมือนจรงิ (Virtual Reality) เป็นการสรา้ งภาพเสมือนจรงิ หรอื ภาพจาลอง ของ เหตกุ ารณโ์ ดยระบบคอมพิวเตอร์ มีการติดตงั้ ตวั เซน็ เซอรต์ า่ ง ๆ ไวก้ บั อปุ กรณท์ ่ีใชเ้ ป็นอนิ พตุ /เอาตพ์ ตุ เพ่ือใชต้ รวจจบั ความเคลอื่ นไหวของผใู้ ชง้ าน ซง่ึ จะทาใหผ้ ใู้ ชง้ านไดเ้ ขา้ ถงึ โลกของภาพเสมือนจรงิ แบบ 3 มิติ เชน่ หฟู ังกบั เครอ่ื งเลน่ วดี ิทศั น์ ถงุ มือสง่ ขอ้ มลู และชดุ เสือ้ กางเกงกบั ตวั ตรวจจบั ไฟเบอรอ์ อฟตกิ
ดูไวต้ ามร่างกายของคุณเวลาที่คุณเคล่ือนไหว และอุปกรณ์ช่วยเดินท่ีเป็นตวั ตรวจดูการ เคล่ือนไหวเทา้ ดงั น้นั จะสามารถไดร้ ับประสบการณ์ในเหตุการณ์ของคอมพวิ เตอร์ใน “โลก เสมือน” (Virtual World) ดงั น้นั ภาพจริงเสมือนยงั เรียกอีกอยา่ งหน่ึงไดว้ า่ การปรากฏทางไกล (Telepresence) เช่น สามารถ เขา้ สู่โลกแห่งความเป็นจริงที่สร้างจากคอมพิวเตอร์ มองไปรอบ ๆ ที่มี ความชดั เจนในรายละเอียด เลือกและเคล่ือนยา้ ยวตั ถุ ระบบปัญญาประดิษฐ์แบบพสมwสาน (Hybrid Al Systems) ระบบปัญญาประดิษฐแ์ บบผสมผสาน เป็นการนาระบบต่าง ๆ หรือเทคนิคต่าง ๆ ของปัญญา ประดิษฐท์ ่ีกล่าวขา้ งตน้ มาบูรณาการเขา้ ดว้ ยกนั เป็นระบบเดียว ส่วนใหญ่จะเป็นการบูรณาการ ระหวา่ ง ระบบผเู้ ช่ียวชาญกบั ระบบเครือข่ายนิวรอนเขา้ ดว้ ยกนั เช่น โปรแกรมประยกุ ตด์ าตา้ ไมน่ิง ดา้ นการ ตลาดและการขายของบริษทั จากการขยายข้ึนอยา่ งรวดเร็ว ผพู้ ฒั นาปัญญาประดิษฐไ์ ดส้ ร้างผลิตภณั ฑท์ ี่รวบรวม เทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐม์ าเป็นระบบปัญญาประดิษฐผ์ สมผสานเพยี งหน่ึงเดียว โดยประกอบดว้ ย เทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐท์ ี่ไดร้ ับความนิยม 2 ตวั คือ ระบบผเู้ ชี่ยวชาญและเครือขา่ ยเสน้ ประสาท เช่น การ รวมเอาระบบ ES/NN ท่ีอาจจะพบกบั แนวโนม้ หรือการคน้ หาความสมั พนั ธ์ที่ซ่อนอยู่ (ตามท่ีตาขา่ ย เสน้ ประสาททาอย)ู่ และหลงั จากน้นั จะมีการวนิ ิจฉยั และตดั สินใจเกี่ยวกบั สิ่งเหล่าน้ีใน ส่วนของปัญหา เฉพาะ (ตามที่ระบบผเู้ ช่ียวชาญทาอย)ู่ การรวมกนั ของระบบปัญญาประดิษฐท์ ้งั หมดน้ีเป็นการออกแบบท่ีมีการเตรียมการทางาน ท่ี ดีที่สุดของระบบผเู้ ช่ียวชาญ ตาขา่ ยเสน้ ประสาท (Neural Nets) หรือเทคโนโลยขี องฟัสซีลอจิก
1. ขอ้ มูลจะถูกเกบ็ ในลกั ษณะที่เป็นฐานความรู้ขององคก์ าร พนกั งานสามารถเขา้ ไปสืบคน้ และหาคาตอบหรือหาคาปรึกษาได้ ทุกเวลา 2. เพิ่มความสามารถใหก้ บั ฐานความรู้ขององคก์ ารดว้ ยการเสนอวธิ ีการแกป้ ัญหาสาหรับงาน เฉพาะดา้ นซ่ึงมีปริมาณมากและ มีความซบั ซอ้ นมากเกินไปสาหรับมนุษย์ 3. ระบบจะนามาช่วยทางานในส่วนท่ีเป็นงานประจาหรืองานที่น่าเบื่อหน่ายสาหรับมนุษย์ 4. ระบบจะช่วยสร้างกลไกที่ไม่นาความรู้สึกส่วนตวั ของมนุษย์ เช่น ความลาเอียง ความ เม่ือยลา้ ความเบ่ือหน่าย ความกงั วล เขา้ มาเป็นองคป์ ระกอบในการตดั สินใจ ความแตกต่างระหว่างปัญญาประดษิ ฐ์และระบบผู้เช่ียวชาญ ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) เป็นการทาใหค้ อมพวิ เตอร์สามารถหาเหตุผลได้ เรียนรู้และทางานไดเ้ สมือน สมองมนุษย์ สติปัญญาการแกป้ ัญหาและมีพฤติกรรมคลา้ ยมนุษย์ ซ่ึงระบบ ปัญญาประดิษฐจ์ ะมีกระบวนการทางานเช่นเดียวกนั กบั การประมวลผลของสมองมนุษย์ ปัญญาประดิษฐไ์ ดพ้ ฒั นาข้ึนเพื่อใหค้ อมพวิ เตอร์สามารถสร้างหุ่นยนตใ์ หท้ างานกบั เคร่ืองจกั ร หรืองานที่เส่ียงอนั ตรายแทน มนุษยไ์ ด้ จาลองลกั ษณะการเคล่ือนไหว เช่น การหยบิ ของการเคลื่อนท่ี และจดั ระบบของสมองในการจาลองกระบวนการความคิด ของมนุษยใ์ นขอบเขตเฉพาะอยา่ ง เช่น การ วนิ ิจฉยั โรค ขอ้ จากดั ของระบบปัญญาประดิษฐ์ คือ ไม่สามารถจาลองลกั ษณะพเิ ศษของมนุษยไ์ ด้ เช่น อารมณ์ ความรู้สึก วิจารณญาณ ความคิดสร้างสรรคต์ ่าง ๆ ได้ ปัญญาประดิษฐป์ ระกอบดว้ ย 2 สาขาวชิ า คือ 1. สาขาวิชาทางดา้ นการคานวณและคณิตศาสตร์ เรื่องการพสิ ูจน์ทฤษฎีบทต่าง ๆ การ แกป้ ัญหาท่ีซบั ซอ้ น เช่น เกมหมากรุก 2. สาขาจิตวทิ ยาและการวเิ คราะห์ ระบบผเู้ ชี่ยวชาญ (Expert Systems : ES) มีส่วนท่ีคลา้ ยคลึงกบั ระบบอ่ืน ๆ คือเป็นระบบ คอมพิวเตอร์ที่ช่วย ผบู้ ริหารแกไ้ ขปัญหาหรือทาการตดั สินใจไดด้ ีข้ึน อยา่ งไรกต็ าม ระบบผเู้ ช่ียวชาญยงั มีความแตกต่างจากระบบอื่นอยู่ มาก เนื่องจาก ระบบผเู้ ช่ียวชาญจะเก่ียวขอ้ งกบั การจดั การความรู้มากกวา่ สารสนเทศและออกแบบมาใชช้ ่วย ในการ ตดั สินใจ ระบบผเู้ ชี่ยวชาญจะทาการโตต้ อบกบั มนุษยโ์ ดยมีการถามขอ้ มูลเพมิ่ เติมเพื่อความกระจ่าง ให้ ขอ้ แนะนาและ ช่วยเหลือในกระบวนการตดั สินใจนนั่ คือ การทางานคลา้ ยกบั เป็นมนุษยผ์ เู้ ช่ียวชาญ ในการแกไ้ ขปัญหาน้นั ๆ เนื่องจากระบบน้ีกค็ ือ การจาลองความรู้ของผเู้ ชี่ยวชาญจริง ๆ มานน่ั เอง โดยผเู้ ช่ียวชาญในท่ีน้ีอาจเป็นผเู้ ชี่ยวชาญใน ดา้ น ต่าง ๆ อาทิ ดา้ นการบริหาร เศรษฐกิจ สุขภาพ และดา้ นโภชนาการ เป็นตน้
สรุป ระบบผเู้ ช่ียวชาญเป็นการนาผเู้ ช่ียวชาญแตล่ ะดา้ นมาใชใ้ นการพฒั นาระบบ สารสนเทศ เพ่ือการจดั การใหเ้ หมาะสม เพราะผบู้ รหิ ารหรอื ผปู้ ฏิบตั งิ านคนใดคนหนง่ึ ไมส่ ามารถท่ีจะ ทราบงานหรอื รูล้ กึ ในงานแตล่ ะดา้ นไดเ้ ป็นอยา่ งดเี ทา่ กบั ผเู้ ช่ียวชาญ แต่ละสาขา สว่ นระดบั ปัญญาประดษิ ฐ์ คือการนาคอมพิวเตอรห์ รอื เทคโนโลยีมาใชแ้ ทนมนษุ ย์ ไมว่ ่าจะเป็น หนุ่ ยนต์ เครอ่ื งจกั รตา่ ง ๆ เพ่ือท่จี ะใหก้ ารบรหิ ารจดั การเป็นไปอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ มาก ย่ิงขนึ้ กจิ กรรมเสนอแนะ 1. ใหผ้ เู้ รยี นแตล่ ะคน อธิบายการทางานของระบบผเู้ ช่ียวชาญคนละ 1 ขอ้ 2. ใหผ้ เู้ รยี นแบง่ ออกเป็น 5 กลมุ่ ๆ ละ 2-3 คน อธิบายสว่ นประกอบของระบบ ผเู้ ช่ียวชาญกลมุ่ ละ 1 สว่ น 3. ใหผ้ เู้ รยี นแบง่ กลมุ่ ๆ ละ 2-3 คน อธิบายพรอ้ มทงั้ ยกตวั อยา่ งสิ่งประดิษฐ์หรอื นวตั กรรมท่ีใชร้ ะบบปัญญาประดิษฐ์กลมุ่ ละ 1 ชิน้
ช่ือเรื่อง ระบบผู้เช่ียวชาญและระบบปัญญาประดษิ ฐเ์ บอื้ งตน้ ใบงานที่ 5 (Job Sheet) จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. เพ่ือใหท้ ราบสว่ นประกอบของระบบผเู้ ช่ียวชาญ 2. เพ่ือใหท้ ราบประโยชนข์ องระบบผเู้ ช่ียวชาญ 3. เพ่ือใหท้ ราบความสามารถของระบบผเู้ ช่ียวชาญ 4.เพ่ือใหท้ ราบลกั ษณะตา่ ง ๆ ท่มี ีการนาระบบผเู้ ช่ียวชาญไปใชใ้ นงาน 5. เพ่ือใหท้ ราบลกั ษณะงานของระบบปัญญาประดิษฐ์ 6. เพ่ือใหท้ ราบคณุ ธรรม จรยิ ธรรม คา่ นิยมท่ีดีในการใชค้ อมพวิ เตอร์ และรูจ้ กั การทางานเป็นทมี แนวทางปฏบิ ัติ 1. ใหน้ กั ศกึ ษาแบง่ ออกเป็น 5 กลมุ่ กลมุ่ ละ 2-3 คน อธิบายสว่ นประกอบของระบบผเู้ ช่ียวชาญทงั้ 5 สว่ น โดยใหอ้ ธิบายกลมุ่ ละ 1 สว่ น 2. ใหน้ กั ศกึ ษาบอกประโยชนข์ องระบบผเู้ ช่ียวชาญคนละ 1 ขอ้ 3. ใหน้ กั ศกึ ษาบอกความสามารถของระบบผเู้ ช่ียวชาญคนละ 1 ขอ้ 4. ใหน้ กั ศกึ ษาบอกถงึ การนาระบบผเู้ ช่ียวชาญไปใชง้ านในลกั ษณะตา่ ง ๆ คนละ 1 ขอ้ 5. ใหน้ กั ศกึ ษาแบง่ ออกเป็น 3 กลมุ่ กลมุ่ ละ 3-5 คน อธิบายลกั ษณะงานของระบบปัญญาประดิษฐ์กลมุ่ ละ 1 ประเภท พรอ้ มทงั้ ยกตวั อยา่ ง ระยะเวลาส่งงาน ภายหลงั นาเสนองานและตอบขอ้ ซกั ถามเรยี บรอ้ ยแลว้ การประเมนิ ผล 2. ชิน้ งาน 3. การนาเสนอและการตอบขอ้ ซกั ถาม 1. พฤตกิ รรมการทางานกลมุ่ 5. การตรงตอ่ เวลา 4. การตอบขอ้ ซกั ถาม
แหล่งค้นคว้าเพมิ่ เตมิ อาภรณ์ คาเจรญิ . เรยี นรูก้ ารใชง้ านระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การ. กรุงเทพฯ : สานกั พิมพ์ SPC Books 2548. ไพมลู ย์ เกียรติโกมล, รศ.ดร. ระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การ. กรุงเทพฯ : สานกั พิมพซ์ เี อด็ ยเู คช่นั จากดั (มหาชน), 2551. วเิ ชียร เปรมชยั สวสั ดิ,์ ดร. ระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การ. กรุงเทพฯ : สานกั พิมพ์ ส.ส.ท., 2551 ศรไี พร ศกั ดิร์ ุง่ พงศาสกลุ , ผศ.ดร. ระบบสารสนเทศและเทคโนโลยีการจดั การความรู้ กรุงเทพฯ : สานกั พิมพ์ ซเี อ็ดยเู คช่นั จากดั (มหาชน), 2549. โอภาส เอ่ียมสริ วิ งศ,์ ระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การ. กรุงเทพฯ : สานกั พิมพช์ ีเอด็ ยเู คช่นั จากดั (มหาชน), 2554.
หน่วยท่ี 6 กระบวนการพฒั นาระบบสารสนเทศ สาระสาคญั การพฒั นาระบบสารสนเทศเป็นการสรา้ งระบบงานใหม่หรอื ปรบั เปล่ียน ระบบงานเดิมท่มี ี อยแู่ ลว้ ใหส้ ามารถทางานเพ่ือแกป้ ัญหาการดาเนินงานทางธรุ กิจ ไดต้ ามความตอ้ งการของ ผใู้ ชง้ านโดยอาจนาคอมพิวเตอรเ์ ขา้ มาชว่ ยในการนา ขอ้ มลู เขา้ สรู่ ะบบเพ่ือประมวลผล เรยี บเรยี ง เปล่ยี นแปลงและจดั ทาใหไ้ ดผ้ ลลพั ธ์ ตามตอ้ งการ และเพ่ือใหไ้ ดส้ ารสนเทศท่ี ถกู ตอ้ ง และเป็นการเพ่ิมประสทิ ธิภาพ ในการทางานขององคก์ รอีกดว้ ย ความหมายของการพัฒนาระบบสารสนเทศ การพฒั นาระบบสารสนเทศเป็นกระบวนการท่ีใชเ้ ทคนิคการศกึ ษา การวิเคราะห์ และการ ออกแบบระบบสารสนเทศขององคก์ รใหส้ ามารถดาเนินงานอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ โดย บางครงั้ จะเรยี ก วธิ ีการดาเนินงานในลกั ษณะนีว้ า่ “การวิเคราะหแ์ ละออกแบบระบบ (System Analysis and Design)” เน่ืองจากผพู้ ฒั นาระบบตอ้ งศกึ ษาและ วิเคราะหก์ ระบวนการการไหลเวียนของขอ้ มลู ตลอดจนความ สมั พนั ธร์ ะหวา่ งปัจจยั นาเขา้ ทรพั ยากรดาเนินงานและผลลพั ธ์ เพ่ือทาการออกแบบระบบสารสนเทศใหมแ่ ตใ่ นความ เป็นจรงิ การพฒั นาระบบมิไดส้ นิ้ สดุ ท่ีการออกแบบ ผพู้ ฒั นาระบบจะตอ้ งดแู ลการจดั หา การติดตงั้ การดาเนินงาน และการประเมินระบบวา่ สามารถดาเนินงานไดต้ ามตอ้ งการ หรอื ไม่ ตลอดจน กาหนดแนวทางในการพฒั นาระบบในอนาคต อยา่ งไรก็ดี จะใชท้ งั้ “การ พฒั นาระบบ” และ “การ วเิ คราะหแ์ ละออกแบบระบบ” ในความหมายท่ีทดแทนกนั การพฒั นาระบบสารสนเทศ เป็นงานท่ี ตะเอยี ดออ่ น เก่ียวขอ้ งกบั บคุ ลากรและสว่ นประกอบขององคก์ รในหลายดา้ น จงึ ตอ้ งมีแนวทางและ ผนดาเนินงานท่ีเป็นระบบ เพ่ือท่จี ะใหร้ ะบบท่ีถกู พฒั นาขนึ้ มคี วาม สมบรู ณต์ รงตามความตอ้ งการและ ครางความพอใจแกผ่ ใู้ ช้ แตถ่ า้ ระบบท่ีพฒั นาขนึ้ มี ปัญหาหรอื ขาดความเหมาะสมก็อาจก่อใหเ้ กิด ผลเสยี ทงั้ โดยตรงและทางออ้ มแกธ่ ุรกิจ โดยเฉพาะในดา้ นคา่ ใชจ้ ่ายท่ีสงู และความเช่ือม่นั ท่ีสญู เสยี ไป
ความจาเป็ นในการพฒั นาระบบสารสนเทศ การพฒั นาระบบสารสนเทศมีความจาเป็นอยา่ งย่ิง เพราะจะไดแ้ กป้ ัญหาตา่ ง ๆ ให้ ดาเนินการ ตอ่ ไปไดอ้ ย่างมีประสทิ ธิภาพ ทงั้ นี้ การพฒั นาระบบสารสนเทศจึงมีความ จาเป็น ดงั นี้ 1. การเปล่ยี นแปลงกระบวนการบรหิ ารและการปฏิบตั งิ าน ระบบเดิมไมส่ ามารถให้ ขอ้ มลู หรอื ทางานไดต้ ามตอ้ งการ มีการดาเนินงานหลายขนั้ ตอน ยงุ่ ยากในการรวบรวม ขอ้ มลู เพ่ือนามาจดั ทา ขอ้ มลู สรุปสาหรบั การตดิ ตามการปฏิบตั ิงานโดยรวมขององคก์ าร จงึ จาเป็นตอ้ งพฒั นาหรอื ปรบั ปรุง ระบบสารสนเทศท่ีสามารถช่วยใหข้ นั้ ตอนการ ปฏบิ ตั ิงานภายในและกระบวนการบรหิ ารมีประสทิ ธิภาพ มากขนึ้ 2. การเปลีย่ นแปลงดา้ นเทคโนโลยี เทคโนโลยีท่ีใชอ้ ยใู่ นระบบสารสนเทศปัจจุบนั ลา้ สมยั คา่ ใชจ้ ่ายในการบารุงรกั ษาระบบมรี าคาสงู จงึ ตอ้ งรบั เทคโนโลยีใหม่ ๆ มา ประยกุ ตใ์ ชซ้ ง่ึ ทาใหม้ ีการ เปล่ยี นแปลงระบบการทางานท่ีมีอยเู่ ดิม 3. การปรบั องคก์ รและสรา้ งความไดเ้ ปรยี บในการแขง่ ขนั องคก์ รท่ีจะทาการพฒั นาระบบสารสนเทศ มกั จะประสบปัญหาดา้ นตา่ ง ๆ ทาใหอ้ งคก์ ร ไมส่ ามารถท่ีจะพฒั นาไดเ้ ทา่ ท่ีควร จงึ ตอ้ งมีการปรบั องคก์ รและสรา้ งความเขา้ ใจ เพ่ือท่ีจะไดม้ ีการ พฒั นาองคก์ รอยา่ งย่งั ยืน ดงั นี้ - ระบบท่ีใชง้ านอยปู่ ัจจบุ นั มขี นั้ ตอนการทางานท่ียงุ่ ยากซบั ซอ้ น ขนาดเอกสารอา้ งองิ หรอื เอกสารท่ีมีอยไู่ มไ่ ดม้ าตรฐาน ทาใหก้ ารปรบั ปรุงหรอื แกไ้ ขทาไดย้ าก - ความตอ้ งการปรบั องคก์ รใหเ้ หมาะสมเพ่อื สามารถตอบสนองตอ่ การเปล่ยี นแปลง สภาพแวดลอ้ มทางธรุ กิจ - ระบบปัจจบุ นั ไมส่ ามารถรองรบั การเปลย่ี นแปลงในอนาคตได้ ปัจจยั ทส่ี ่งพลตอ่ โครงการพฒั นาระบบสารสนเทศ โอภาส เอ่ียมสริ วิ งศ์ (2555 : 107-110) กลา่ ววา่ ปัจจยั ท่ีสง่ ผลตอ่ โครงการพฒั นา ระบบ สารสนเทศประกอบดว้ ย ปัจจยั ภายในและปัจจยั ภายนอก ปัจจยั ภายใน (Internal Factors) ประกอบดว้ ย 1) แผนกลยทุ ธ์ (Strategic Plan) แผนกลยทุ ธข์ องบรษิ ัทจะนามาใชเ้ พ่ือกาหนด ทิศทางใน ภาพรวมของบรษิ ัท และแผนดงั กลา่ วก็มีความสาคญั เพียงพอท่ีจะส่งผล กระทบตอ่ โครงการระบบไอที เช่นกนั เน่ืองจาก
อทิ ธิพลดา้ นเทคโนโลยีหรอื ระบบไอท่จี ะช่วยสนบั สนนุ การขบั เคลอ่ื นการดาเนินงาน ทางธรุ กิจตา่ ง ๆ ขององคก์ รให้ บรรลตุ รงตามวตั ถปุ ระสงคแ์ ละเปา้ หมายได้ ประกอบกบั แผนกลยทุ ธ์ ท่ีนาเทคโนโลยมี าปรบั ใช้ ลว้ นมีแนวโนม้ ในการ พฒั นาโครงการไอทีท่ขี ยายครอบคลมุ ท่วั ทงั้ องคก์ ร 2) ผบู้ รหิ ารระดบั สงู (Top Managers) ทศิ ทางหรอื คาส่งั ท่ีมาจากผบู้ รหิ ารระดบั สงู ถือเป็น รกั ท่ีมีผลตอ่ โครงการ พฒั นาระบบ เพราะคาส่งั เหลา่ นีส้ ว่ นใหญ่เป็นผลมาจากการตดั สินใจ เชิงกลยทุ ธข์ องผบู้ รหิ ารท่ีมีความจาเป็นตอ้ งใชร้ ะบบไอทีใหม่ ๆ เพ่ือใหไ้ ดม้ าซง่ึ สารสนเทศเพ่ิมเตมิ ท่ี โชนต์ อ่ การ ตดั สินใจ รวมถงึ การนาระบบสารสนเทศมาใชเ้ พ่ือสนบั สนนุ ภารกิจสาคญั ใหด้ ีย่ิงขนึ้ และเพ่ือบรรลตุ ามพนั ธกิจ 3) คารอ้ งขอจากผใู้ ช้ (User Requests) เน่ืองจากผใู้ ชร้ ะบบเป็นผปู้ ฏิบตั งิ านกบั ระบบเป็น ประจาทกุ วนั จงึ รบั รู้ ถงึ ปัญหาตา่ งๆ ท่ีเกิดขนึ้ จากการปฏบิ ตั ิงานจรงิ สง่ ผลตอ่ ความตอ้ งการงานบรกิ าร ระบบไอทเี พ่ิมขึน้ เพ่ือสนบั สนนุ งาน ท่ีปฏิบตั อิ ยู่ ตวั อย่างเชน่ ฝ่ายขายไดจ้ ดั ทาใบคารอ้ งขอระบบ (System Request) เพ่ือใหม้ ีการปรบั ปรุง เวบ็ ไซตข์ องบรษิ ัทให้ มีความสามารถในการแสดงรายงานวิเคราะหก์ ารขายท่ีมีประสทิ ธิภาพย่ิงขนึ้ การเช่ือมโยงเครอื ขา่ ยไปยงั หนว่ ยขาย ตามแหลง่ ท่ีตงั้ ตา่ ง ๆ ใหเ้ ขา้ ถงึ กนั ไดท้ งั้ หมด หรอื เตรยี มระบบ ออนไลนท์ ่ีอนญุ าตใหล้ กู คา้ เขา้ ถงึ เพ่ือตรวจสอบสถานะ การส่งั ซือ้ และการจดั สง่ สนิ คา้ ซง่ึ โดยปกติ คารอ้ งท่เี กิดขนึ้ มกั มาจากความไม่พงึ พอใจในระบบปัจจบุ นั ไม่วา่ จะเป็น ระบบใชง้ านยาก ไมย่ ืดหยนุ่ รวมถึงความตอ้ งการใหม่ ๆ ทางธุรกิจ ซง่ึ หาไมไ่ ดจ้ ากระบบปัจจบุ นั ท่ีดาเนินอยู่ จงึ ตอ้ งมี การรอ้ งขอ เพ่ือพฒั นาระบบใหม่ 4) แผนกไอที (IT Department) บอ่ ยครงั้ ท่ีโครงการตา่ ง ๆ ไดร้ บั การพฒั นาขนึ้ มาจากแผนก ไอที โดยทีมงาน แผนกไอทอี าจมีขอ้ แนะนาเก่ียวกบั ความรูด้ า้ นการปฏิบตั ิงานทางธรุ กิจสมยั ใหม่ และ แนวโนม้ ดา้ นเทคโนโลยี ซง่ึ เอกสารท่ีจดั ทาขนึ้ โดยแผนกไอท่ีมกั เป็นขอ้ มลู ทางเทคนิคสว่ นใหญ่ เช่น การใชอ้ ปุ กรณเ์ ครอื ขา่ ยใหม่ ๆ การแนะนา อปุ กรณท์ ่ีทนั สมยั กวา่ มีคณุ สมบตั ทิ ่ดี กี วา่ เพ่ือนามาใชก้ บั การปฏิบตั งิ านทางธุรกิจ รวมถงึ การเสนอรายงานใหม่ ๆ และแนะนาระบบการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ท่ี ใชเ้ ทคโนโลยแี บบใหมซ่ ง่ึ มีประสทิ ธิภาพสงู กวา่ เป็นตน้ 5) ระบบและขอ้ มลู ท่ีมีอยเู่ ดิม (Existing Systems and Data) เป็นไปไดว้ า่ ขอ้ ผิดพลาดหรอื ปัญหาท่ี เกิดขนึ้ จากระบบเดิม ไดจ้ ดุ ชนวนใหเ้ กิดคารอ้ งขอระบบใหมข่ นึ้ มา โดยเฉพาะระบบเดมิ ซง่ึ เป็นระบบเก่าลา้ สมยั ท่ีไม่สามารถตอบสนองความตอ้ งการใหม่ ๆ ใหก้ บั ผใู้ ชไ้ ด้ จนกลายเป็นแรงกดดนั ใหเ้ กิดการพฒั นาระบบใหม่ขนึ้
ปัจจยั ภายนอก (External Factors) ประกอบดว้ ย 1) เทคโนโลยี (Technology) การเปล่ยี นแปลงทางเทคโนโลยี ถือเป็นแรงกดดนั หลกั ท่สี ง่ ผล ตอ่ ธุรกิจและสงั คมโดยท่วั ไป ตวั อยา่ งเชน่ การเติบโตอย่างรวดเรว็ ของระบบการ สอื่ สารโทรคมนาคม สรา้ งอตุ สาหกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เกิดขนึ้ อยา่ งมากมาย เทคโนโลยเี หลา่ นีช้ ่วยอานวยความสะดวก และสง่ ผลตอ่ ความสาเรจ็ ของธุรกิจทงั้ ทางตรง และทางออ้ ม ดงั นนั้ ธุรกิจจงึ ตอ้ งปรบั ตวั ดว้ ยการนานวตั กรรมทางเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ เพ่อื ใหก้ ารดาเนินงานทางธรุ กิจเป็นไปอยา่ งมีประสิทธิภาพ และไดเ้ ปรยี บคแู่ ขง่ ขนั เชน่ การใชร้ ะบบบารโ์ คด้ ในการจดั การกบั สนิ คา้ หรอื ผลิตภณั ฑ์ แต่ ในปัจจบุ นั เทคโลยีระบบ RFID (Radio Frequency Identication) มี ประสทิ ธิภาพในการจดั การสินคา้ ท่ีดกี วา่ ระบบบารโ์ คด้ มาใช้ โดยสามารถอา่ นและบนั ทกึ ขอ้ มลู ลงบนแผ่นปา้ ยอิเลก็ ทรอนิกสด์ ว้ ยการสง่ คล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ท่ีครอบคลมุ บรเิ วณ กวา้ ง โดยไมต่ อ้ งสมั ผสั กบั ปา้ ยสินคา้ เหลา่ นนั้ โดยตรง สามารถ นา RFID มาใชเ้ พ่ือ ตดิ ตามสินคา้ หรอื พสั ดภุ ณั ฑ์ งานควบคมุ คงคลงั งานขนสง่ โลจสิ ตกิ ส์ และงานท่ี เก่ียวขอ้ ง กบั ระบบโซอ่ ปุ ทาน (Supply Chain) ขององคก์ รไดเ้ ป็นอยา่ งดี 2) ผขู้ ายปัจจยั การผลิต (Suppliers) จากการเติบโตของเครอื ขา่ ยอนิ เทอรเ์ นต็ ทาให้ เกิดระบบ การแลกเปลย่ี นขอ้ มลู อิเลก็ ทรอนิกส์ (Electronic Data Interchange) หรอื ระบบ EDI โดยเฉพาะกลมุ่ ผขู้ าย ปัจจยั การผลิตหรอื ซพั พลาย เออรท์ ่เี ป็นคคู่ า้ ทางธรุ กิจรว่ มกนั (ทงั้ ในประเทศและตา่ งประเทศ) ได้ หนั มาใชร้ ะบบ EDI เพ่ือสง่ ขอ้ มลู ผ่านเครอื ขา่ ยเอก็ ซท์ ราเนต็ ท่ีเช่ือมโยงเขา้ กบั ระบบของบริษัทคคู่ า้ รายตา่ ง ๆ เขา้ ดว้ ยกนั บนพืน้ ฐานโครงข่ายอินเทอรเ์ น็ต สง่ ผลใหบ้ รษิ ัทคคู่ า้ สามารถดาเนินธุรกรรมเพ่ือ สื่อสาร แลกเปล่ียนขอ้ มลู ไดแ้ บบอตั โนมตั ิ รวดเรว็ มีความปลอดภยั และน่าเช่ือถือ ตวั อยา่ งเช่น โรงงานประกอบ รถยนต์ ซง่ึ เป็นธรุ กิจขนาดใหญ่และปกตธิ ุรกิจดงั กลา่ วมกั จะ มีการส่งั วตั ถดุ ิบจากผขู้ ายรายตา่ ง ๆ เป็น จานวนมาก อีกทงั้ ยงั มีการเตรียมระบบ สารสนเทศใหส้ ามารถเช่ือมโยงเขา้ กบั คคู่ า้ หรอื ผขู้ ายรายตา่ ง ๆ เป็นจานวนมาก เพ่ือ แลกเปล่ยี นขอ้ มลู และดาเนินธุรกรรมผ่านระบบ EDI ดงั นนั้ ผขู้ ายรายใดท่ีตอ้ งการ เขา้ รว่ มเป็นคคู่ า้ ก็ตอ้ งปรบั ตวั และพฒั นาระบบของตนใหส้ ามารถเช่ือมโยงเขา้ กบั ระบบ ดงั กลา่ วได้ 3) ลกู คา้ (Customers) สาหรบั ธรุ กิจแลว้ ลกู คา้ ถือเป็นสิง่ สาคญั มากท่สี ดุ ดงั นนั้ องคก์ รตา่ ง ๆ จงึ พยายามนาเทคโนโลยมี าประยกุ ตใ์ ชเ้ พ่อื ตอบสนองความตอ้ งการของ ลกู คา้ เพ่ือใหล้ กู คา้ มีความ จงรกั ภกั ดี ไมเ่ ปล่ยี นใจไปใชส้ ินคา้ หรอื บริการจากคแู่ ขง่ ซง่ึ จะ พบวา่ ภาคธรุ กิจตา่ งพยายามพฒั นาระบบ จดั การลกู คา้ สมั พนั ธ์ (Customer Relationship Management) หรอื ระบบ CRM ขนึ้ มาเพ่ือบรกิ ารแก่ ลกู คา้ ใน ดา้ นตา่ ง ๆ เพ่ือใหล้ กู คา้ เกิดความพงึ พอใจ เช่น การบรกิ ารหลงั การขาย การแกไ้ ขปัญหา จาก การใชส้ ินคา้ และบรกิ าร การอานวยความสะดวกดว้ ยการบรกิ ารชาระเงนิ ผ่านเว็บ และการตดิ ตามสนิ คา้ ท่ีลกู คา้ สามารถตรวจสถานะของการขนสง่ สินคา้ แบบออนไลนไ์ ด้ ทนั ที เป็นตน้ ซง่ึ ระบบจดั การสว่ นใหญ่ ลว้ นอยบู่ นพืน้ ฐานของเทคโนโลยีเว็บทงั้ สิน้
4) คแู่ ขง่ ขนั (Competitors) การแขง่ ขนั ทางธุรกิจเป็นตวั ขบั เคลอ่ื นใหเ้ กิดการ ตดั สินใจดา้ น ระบบสารสนเทศมากย่ิงขนึ้ โดยเฉพาะหากคแู่ ขง่ ขนั ไดค้ ิดคน้ หรอื นา เทคโนโลยใี หม่ ๆ มาใช้ องคก์ ร ตา่ ง ๆ ก็คงอยนู่ ่ิงเฉยไม่ได้ และถือเป็นแรงกดดนั ท่ีองคก์ ร ตา่ ง ๆ ตอ้ งรบี นามาพิจารณาดว้ ยการ ปรบั ปรุงผลติ ภณั ฑห์ รอื งานบรกิ ารเพ่ือพรอ้ มท่ีจะ แขง่ ขนั และรกั ษาสว่ นแบง่ ทางการตลาด 5) เศรษฐกิจ (Economy) การเคลอ่ื นไหวและการเปลย่ี นแปลงของเศรษฐกิจโลก ยอ่ ม มี อิทธิพลตอ่ การจดั การสารสนเทศในองคก์ ร โดยองคก์ รจะตอ้ งปรบั ตวั เพ่ือเพ่ิมขีด ความสามารถของ ระบบในการรองรบั การขยายตวั ของเศรษฐกิจโลก 6) รฐั บาล (Government) ระเบียบขอ้ บงั คบั จากภาครฐั ยอ่ มสง่ ผลกระทบตอ่ การ ออกแบบ บปรุงระบบสารสนเทศในองคก์ ร ตวั อย่างเชน่ โปรแกรมระบบบญั ชีท่ใี ชง้ านตาม ภาคธุรกิจ ลงออกแบบกระบวนการภายในใหเ้ ป็นไปตามกฎระเบียบของกรมสรรพากรท่ี บญั ญตั ิไว้ หรอื การ กินธรกิจซือ้ ขายผ่านอนิ เทอรเ์ น็ต ท่ีภาครฐั ออกกฏใหม้ ีการบนั ทกึ ประวตั ิการซอื้ ขาย เพ่ือนาไปใช้ กอบการชาระภาษีตามกฎหมายการคา้ อเิ ลก็ ทรอนิกส์ ส่งิ เหลา่ นีล้ ว้ นทาใหอ้ งคก์ รตอ้ งนาระบบ แทศมาใชเ้ พ่ือรองรบั กบั มาตรการดงั กลา่ ว ส่วนประกอบของการพัฒนาระบบสารสนเทศ การพฒั นาระบบสารสนเทศ ประกอบดว้ ย 1) กระบวนการทางธุรกิจ (Business Process) เก่ียวขอ้ งกบั วตั ถปุ ระสงค์ เปา้ หมาย และ ขนั้ ตอนการดาเนินธรุ กิจขององคก์ าร - การปรบั ปรุงคณุ ภาพ - การตดิ ตามความลม้ เหลวจากการดาเนินงาน - การปรบั คา่ ตอบแทนของพนกั งานโดยใชก้ ารปรบั ปรุงคณุ ภาพเป็นดชั นี - การคน้ หาและแกไ้ ขสาเหตทุ ่ีแทจ้ รงิ ของความลม้ เหลว 2) บคุ ลากร (People) 3) วธิ ีการและเทคนิค (Methodology and Technique) การเลอื กใชว้ ิธีการ และเทคนิคท่ี เหมาะสมกบั ลกั ษณะของระบบเป็นสิ่งสาคญั 4) เทคโนโลยี (Technology) เทคโนโลยีมกี ารเปล่ยี นแปลงอยา่ งรวดเรว็ จงึ ตอ้ งมีการ พิจารณา อย่างรอบคอบในการเลือกใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศใหม้ ีความเหมาะสมกบั ลกั ษณะขอบเขตของระบบ สารสนเทศและงบประมาณท่ีกาหนด 5) งบประมาณ (Budget) 6) ขอ้ มลู และโครงสรา้ งพืน้ ฐานภายในองคก์ าร (Infrastructure) 7) การบรหิ ารโครงการ (Project Management)
ทมี งานพฒั นาระบบ การพฒั นาระบบสารสนเทศเก่ียวขอ้ งกบั บคคลท่ีมีหนา้ ท่รี บั ผิดชอบกระบวนการพฒั นาระบะ หลายกลมุ่ โดยท่วั ไปจะมกี ารทางานเป็นทมี ท่ีตอ้ งอาศยั ความรู้ ประสบการณ์ และทกั ษะจาก กลมุ่ บคุ คล คณะกรรมการ (Steering Committee) ผบู้ รหิ ารโครงการ (Project Manager) ผบู้ รหิ ารหน่วยงานดา้ นสารสนเทศ (MIS Manager) นกั วิเคราะหร์ ะบบ (System Analyst) ควรมีทกั ษะในดา้ นตา่ งๆ คอื - ทกั ษะดา้ นเทคนิค - ทกั ษะดา้ นการวเิ คราะห์ - ทกั ษะดา้ นการบรหิ ารจดั การ - ทกั ษะดา้ นการตดิ ตอ่ ส่ือสาร 5. ผชู้ านาญการทางดา้ นเทคนิค - ผบู้ รหิ ารฐานขอ้ มลู (Database Administrator : DBA) - โปรแกรมเมอร์ (Programmer) 6 ผใู้ ชแ้ ละผจู้ ดั การท่วั ไป (User and Manager) กระบวนการพฒั นาระบบสารสนเทศ กระบวนการพฒั นาระบบสารสนเทศ มีขนั้ ตอนตา่ ง ๆ ทงั้ หมด 5 ขนั้ ตอน คอื 1) การศกึ ษาความตอ้ งการดา้ นขอ้ มลู และสารสนเทศจากผบู้ รหิ าร การพฒั นาระบบใด ๆ ก็ เหมอื นกบั การท่ีเราไปตดั เสือ้ เราจาเป็นตอ้ งระบคุ วามตอ้ งการของเราใหช้ า่ งตดั เสอื้ ทราบวา่ เรา ตอ้ งการเสอื้ แขนสนั้ หรอื แขนยาว จะมปี กใหญ่หรอื เลก็ อยา่ งไร มีกระเป๋ าหรอื ไม่ ฯลฯ หากชา่ ง ตดั เสอื้ ไม่ทราบความตอ้ งการท่ชี ดั เจนก็ไมส่ ามารถจะตดั เสือ้ ใหไ้ ดต้ ามท่ีเราตอ้ งการ ดว้ ยเหตนุ ี้ ผบู้ รหิ ารท่ี ตอ้ งการมีระบบ MIS หรอื EIS ใช้ ก็จะตอ้ งทราบก่อนวา่ ตอ้ งการไดร้ บั รายงาน สารสนเทศอะไรบาง ตอ้ งการแบบไหน ตอ้ งการรวดเรว็ ทนั ใจอยา่ งไร จากนนั้ ผพู้ ฒั นาระบบกจ็ ะ นาความตอ้ งการนนั้ ไป วิเคราะหแ์ ละวางแผนเพ่ือจดั ทาระบบให้
2) การออกแบบระบบสารสนเทศ เม่อื ทราบความตอ้ งการชดั เจนแลว้ ผพู้ ฒั นาระบบก็จะ ศกึ ษาวา่ จะสนองตอบความตอ้ งการนนั้ ไดอ้ ย่างไร การทางานควรมีลกั ษณะอยา่ งไร ควรจะ จดั เกษ ขอ้ มลู ตรงเขา้ ไปไวใ้ นคอมพิวเตอรอ์ ย่างไร ควรกาหนดกระแสงานของขอ้ มลู และ เอกสารท่ีเก่ียวขอ้ ง อยา่ งไรบา้ ง การศกึ ษานีน้ าไปสกู่ ารออกแบบภาพรวมของระบบ สารสนเทศ และรายละเอียดของระ ท่จี ะนาไปใชเ้ ขียนโปรแกรมได้ 3) การเขียนโปรแกรม เป็นงานท่ีเก่ียวกบั การนารายละเอยี ดท่ีไดอ้ อกแบบไวม้ าจดั ทาเป็น โปรแกรมจรงิ สรา้ งแฟ้มขอ้ มลู ขนึ้ จรงิ ๆ เขียนโปรแกรมใหท้ ารายงานไดจ้ รงิ จากนนั้ ก็ ทดสอบโปรแกรมตา่ ง ๆ เหลา่ นีว้ า่ สามารถทางานไดถ้ กู ตอ้ งตรงกบั ความตอ้ งการจรงิ 4) การทดสอบระบบ เป็นงานท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การนาโปรแกรมท่ีจดั ทาขนึ้ แฟ้มขอ้ มลู แล และแนวทางการปฏิบตั ิงานซง่ึ ยงั ตอ้ งใชค้ นทางานบางสว่ นอยู่ มาทดสอบรว่ มกนั วา่ จะ สามารถ ทางานทกุ อย่างตามท่ีตอ้ งการไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง ความแตกตา่ งระหวา่ งการทดสอบระบบกบั การทดสอบโปรแกรมท่ีกลา่ วถึงในขอ้ ท่ีแลว้ ก็คือ การทดสอบโปรแกรมเปรยี บเสมือนกบั การ ทดสอบฝีเทา้ . นกั ฟตุ บอลเป็นรายคน แตก่ ารทดสอบระบบเป็นการทดสอบการเลน่ ฟตุ บอลของทงั้ ทมี 5) การเตรยี มการใช้ เป็นงานท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การนาขอ้ มลู ตา่ ง ๆ ท่ีมีอยู่เดิมมาจดั เก็บไวใ้ น ระบใหม่ เพราะตงั้ แตน่ ีไ้ ปจะเป็นการใชค้ อมพิวเตอรท์ างานแทนมือแบบเดิม แต่ก่อนท่ีจะ ใชไ้ ดก้ ็จะ ตอ้ งฝึกอบรมผเู้ ก่ียวขอ้ งรวมทงั้ ผบู้ รหิ ารใหใ้ ชร้ ะบบใหม่เป็น หากมีความ จาเป็นตอ้ งจดั หาอปุ กรณ์ ไอซีทีเพ่ิมเตมิ ก็ตอ้ งจดั หามากอ่ นแลว้ จดั การติดตงั้ ใหเ้ รยี บรอ้ ย แบบฟอรม์ ท่ีอาจจะตอ้ งเปล่ยี นเป็น แบบใหม่ ก็ดแู ลจดั พิมพม์ าใหพ้ อแก่การใชง้ าน จากนนั้ เม่อื การทดสอบครงั้ สดุ ทา้ ยผ่านดีแลว้ ก็จะนา ระบบใหมม่ าใชไ้ ด้ การพฒั นาระบบสารสนเทศ หรอื ระบบ MIS ตามขนั้ ตอนท่ีกลา่ วมานีเ้ ป็นวธิ ีท่ีเราจะ เลอื กใช้ เม่ือเรามีเจา้ หนา้ ท่ีหรอื พนกั งานสาหรบั พฒั นาระบบให้ โดยเฉพาะหนว่ ยงานขนาด เลก็ ยอ่ มจะไมม่ ีผรู้ ู้ หรอื พนกั งานท่ีจะพฒั นาระบบใหไ้ ด้ ดงั นนั้ จงึ อาจจะตอ้ งซือ้ หาระบบ MIS มาใชแ้ ทนการพฒั นา ทกุ อย่างเอง หลักในการพฒั นาระบบสารสนเทศใหม้ ปี ระสิทธิภาพ การท่ีจะทาใหร้ ะบบสารสนเทศมีการพฒั นาใหม้ ีประสทิ ธิภาพนนั้ จะตอ้ งมีหลกั ในการ พฒั นา ระบบดงั นี้ 1) คานงึ ถึงเจา้ ของและผใู้ ชร้ ะบบ 2) เขา้ ถงึ ปัญหาใหต้ รงจดุ ซง่ึ มีแนวทางการแกป้ ัญหาท่ีเป็นระบบมีขนั้ ตอนดงั นี้ - ศกึ ษาทาความเขา้ ใจในปัญหาท่ีเกิดขนึ้ - รวบรวมและกาหนดความตอ้ งการ
- หาวธิ ีการแกป้ ัญหาหลาย ๆ วิธีและเลือกวิธีที่ดีที่สุด - ออกแบบและทาการแกป้ ัญหาตามวธิ ีท่ีเลือก - สงั เกตและประเมินผลกระทบจากวธิ ีแกป้ ัญหาท่ีนามาใช้ และปรับปรุงวิธีการใหม้ ีประสิทธิภาพมากท่ีสุด 3) กาหนดข้นั ตอนหรือกิจกรรมในการพฒั นาระบบ 4) กาหนดมาตรฐานในการพฒั นาระบบ 5) ตระหนกั วา่ การพฒั นาระบบเป็นการลงทุนประเภทหน่ึง 6) เตรียมความพร้อมหากจะตอ้ งยกเลิกหรือทบทวนระบบสารสนเทศที่กาลงั พฒั นา 7) แตกระบบสารสนเทศที่จะพฒั นาออกเป็นระบบยอ่ ย 8) ออกแบบระบบใหส้ ามารถรองรับต่อการขยายหรือการปรับเปล่ียนในอนาคต วงจรการพฒั นาระบบ (System Development Life Cycle) วงจรในการพฒั นาระบบสารสนเทศ หรือ SDLC เป็นวงจรท่ีแสดงถึงกิจกรรมต่าง ๆ ที่เป็น ลาดบั ข้นั ในการพฒั นา ระบบสารสนเทศ ประกอบดว้ ยกิจกรรม 6 ข้นั ตอน ดงั น้ี
1. การกาหนดและเลือกสรรโครงการ (System Identification and Selection) ผลของการพิจารณาของ คณะกรรมการอาจเป็นไปไดด้ งั น้ี - อนุมตั ิโครงการ - ชะลอโครงการ - ทบทวนโครงการ - ไม่อนุมตั ิโครงการ 2. การเริ่มตน้ และวางแผนโครงการ (System Initiation and Planning) จะเร่ิมจดั ทาโครงการ ยงั ทีมงานพร้อมท้งั กาหนดหนา้ ที่และความรับผดิ ชอบ - การศึกษาความเป็นไปได้ - การพจิ ารณาผลประโยชนห์ รือผลตอบแทนที่จะไดร้ ับจากโครงการ - การพิจารณาคา่ ใชจ้ ่ายหรือตน้ ทุนของโครงการ - การวเิ คราะห์ความคุม้ คา่ ของการพฒั นาระบบสารสนเทศ 3. การวิเคราะห์ระบบ (System Analysis) ในข้นั ตอนน้ีจะเก่ียวกบั การเกบ็ ขอ้ มูล - Fact-Finding Technique - Joint Application Design (JAD) - การสร้างตน้ แบบ 4. การออกแบบระบบ (System Design) การออกแบบแบ่งเป็น 2 ส่วน - การออกแบบเชิงตรรกะ (Logical Design) - การออกแบบเชิงกายภาพ (Physical Design) 5. การดาเนินการระบบ (System Implementation) ซ่ึงจะครอบคลุมกิจกรรม ดงั ต่อไปน้ี - จดั ซ้ือหรือจดั หาฮาร์ดแวร์ (Hardware) และซอฟตแ์ วร์ (Software) - เขียนโปรแกรมโดยโปรแกรมเมอร์ (Coding) - ทาการทดสอบ (Testing) - การจดั ทาเอกสารระบบ (Documentation)
- การถ่ายโอนระบบงาน (System Conversion) - ฝึกอบรมผใู้ ชร้ ะบบ (Training) 6. การบารุงรกั ษาระบบ (System Maintenance) เป็นขนั้ ตอนการดแู ลระบบ เพ่ือใหร้ ะบบมปี ระสิทธิภาพในการทางานโดยบคุ ลากร ทางดา้ นเทคโนโลยีสารสนเทศมี หนา้ ท่ีในสว่ นนี้ การบารุงรกั ษาระบบแบง่ ได้ 4 ประเภท - Corrective Maintenance เพ่ือแกไ้ ขขอ้ ผิดพลาดของระบบ -Adaptive Maintenance เพ่ือใหร้ ะบบสามารถรองรบั ความตอ้ งการท่ีเพ่ิมขนึ้ - Perfective Maintenance เพ่ือบารุงรกั ษาระบบใหท้ างานไดอ้ ยา่ งมี ประสทิ ธิภาพ - Preventive Maintenance เพ่ือบารุงรกั ษาระบบปอ้ งกนั ขอ้ ผิดพลาดท่ีจะเกิด วธิ ีการพฒั นาระบบสารสนเทศ การพฒั นาระบบสารสนเทศท่ดี ี จะตอ้ งประกอบดว้ ย 1) การพฒั นาระบบงานแบบดงั้ เดิม (Traditional SDLC Methodology) เป็น การพฒั นาระบบ สารสนเทศตามวงจรการพฒั นาระบบท่ีมีขนั้ ตอนท่ีแน่นอน วธิ ีนีเ้ ป็นวิธี เก่าแก่ท่ีสดุ และนิยมเรยี กยอ่ ๆ วา่ SDLC 2) การสรา้ งตน้ แบบ (Prototyping) เป็นการสรา้ งระบบตน้ แบบขนึ้ มาเพ่ือใหผ้ ใู้ ช้ ทดลอง ใชง้ านซง่ึ นอกจากผใู้ ชจ้ ะไดแ้ นวคดิ เก่ียวกบั สารสนเทศท่ีตอ้ งการแลว้ ยงั ชว่ ยให้ มองเหน็ ภาพของระบบ ท่ีจะพฒั นาไดช้ ดั เจนขนึ้ การพฒั นาระบบโดยใชต้ น้ แบบแบง่ ออกเป็น 4 ขนั้ ตอน ขนั้ ท่ี 1 : ระบคุ วามตอ้ งการเบอื้ งตน้ ของผใู้ ช้ ขนั้ ท่ี 2 : พฒั นาตน้ แบบเรม่ิ แรก ขนั้ ท่ี 3 : นาตน้ แบบมาใช้ ขนั้ ท่ี 4 : ปรบั ปรุงแกไ้ ขตน้ แบบ 3) การพฒั นาระบบโดยผใู้ ช้ (End-user Development) 4) การใชบ้ รกิ ารจากแหลง่ ภายนอก (Outsourcing) เน่ืองจากองคก์ ารไมม่ ีบคุ ลากร ท่ีมีทกั ษะ ความชานาญ การจา้ งหน่วยงานหรอื บรษิ ัทภายนอกท่ีมีความชานาญดา้ นนีม้ า ทาการพฒั นาระบบให้ ซง่ึ การทาสญั ญาจา้ งใหห้ นว่ ยงานภายนอกมาทางานเก่ียวกบั การ ดาเนินงานของฝ่ายคอมพิวเตอรน์ เรยี กวา่ IT Outsourcing ในท่ีนีจ้ ะเรยี กสนั้ ๆ วา่ Outsourcing
5) การใชซ้ อฟแวรส์ าเรจ็ รูปประยกุ ต์ (Application Software Package) เป็นทางเลอื กหนา ในการพฒั นา เช่น ระบบงานเงินเดือน ระบบบญั ชีลกู หนี้ หรือระบบ ควบคมุ สินคา้ คงคลงั หาก ซอฟตแ์ วรส์ าเรจ็ รูปสามารถสนองตอ่ ความตอ้ งการระบบงาน ขององคก์ ารได้ องคก์ ารก็ไมจ่ าเป็นตอ้ งพฒั นาขนึ้ เอง เน่ืองจากโปรแกรมสาเรจ็ รูปไดร้ บั การออกแบบและผา่ นการทดสอบแลว้ จงึ ช่วยลด ใชง่ า่ ยและเวลาในการพฒั นาระบบใหมแ่ ละยงั ช่วยใหก้ ารทดสอบ การติดตงั้ และการ บารุงรกั ษา ระบบเป็นไปไดง้ า่ ยขนึ้ 1.ในการพฒั นาระบบสารสนเทศใหเ้ กิดขนึ้ ภายในองคก์ ร จดั ทาได้ 4 วิธีดว้ ยกนั จดั ทาขนึ้ เองโดยอาศยั เจา้ หนา้ ท่รี ะบบงานคอมพวิ เตอร์ – หากบคุ ลากรขาดความรู้ ความสามารถอยา่ งแทจ้ รงิ ก็เกิดการเปลืองเวลาและทรพั ยากรมาก มีความเส่ยี งสงู 2. วา่ จา้ งบรษิ ัทท่ีปรกึ ษาจดั ทาระบบให้ หนา้ ท่ีคอื - ใหค้ าปรกึ ษาในการเขียนรายละเอยี ดสาหรบั ประมลู งานคอมพิวเตอร์ - ใหค้ าปรกึ ษาในการวเิ คราะหแ์ ละออกแบบระบบคอมพิวเตอร์ - ใหบ้ รกิ ารในการเขยี นโปรแกรมท่ีผใู้ ชต้ อ้ งการ - ใหบ้ รกิ ารตดิ ตงั้ ดแู ล ควบคมุ ระบบงาน - ใหบ้ รกิ ารอ่นื ๆ เชน่ การจดั ซอื้ จดั หาระบบคอมพิวเตอร์ การเตรยี มการเพ่ือวา่ จา้ งบรษิ ัทท่ีปรกึ ษาระบบงานคอมพิวเตอร์ ตอ้ งดาเนินการ ดงั นี้ - ผวู้ า่ จา้ งตอ้ งศกึ ษาความตอ้ งการใหช้ ดั เจน - จดั ทาใบแจง้ ใหบ้ รษิ ัทเสนอราคามาให้ - จดั สง่ ประกาศเชิญ - ประเมินขอ้ เสนอของบรษิ ัท - เลือกบรษิ ัทท่ีปรกึ ษา - เจรจาตอ่ รองเง่ือนไขและราคา - จดั ทาสญั ญาวา่ จา้ ง - ควบคมุ ตดิ ตามและประเมินผลงานของบรษิ ัท แนวทางในการคดั เลอื กบรษิ ัทท่ีปรกึ ษามาพฒั นาระบบหรอื ซอฟตแ์ วร์ - ม่นั คง มีประสบการณ์ มีบคุ ลากรท่ีมีความสามารถตรงสาขา มีเหตแุ ละผลทาง กฎเกณฑ์ 3. การซอื้ ซอฟตแ์ วรส์ าเรจ็ มาใช้ ทาใหส้ ะดวก รวดเรว็ นา่ เช่ือถือ มีเอกสารประกอบ ใช้ งา่ ย ปรบั ปรุงงา่ ย
ขอ้ เสยี บางประเภทมีราคาแพง ไม่ตรงกบั ความตอ้ งการของผใู้ ช้ เปลย่ี นแปลงไม่ไดใ้ ช้ งานยาก สรุปประเด็นในการพิจารณาเลือกซอฟตแ์ วร์ ดงั นี้ - ความสามารถพืน้ ฐานของซอฟตแ์ วรท์ ่ีควรพิจารณา - ประเดน็ เก่ียวกบั ราคาและคา่ ใชจ้ า่ ย - ประเดน็ เก่ียวกบั บรษิ ัทผขู้ าย 4. ผใู้ ชท้ าขนึ้ เอง พฒั นาโปรแกรมขนึ้ มาใชง้ านเอง ซง่ึ ไมซ่ บั ซอ้ นนกั ใชเ้ ครอ่ื งมือ โปรแกรมประยกุ ตช์ ่วย การพฒั นาระบบแบบออบเจ็กต์ (Object-Oriented Methodology) ประกอบดว้ ยกลมุ่ ของวตั ถุ (Class of Objects) ซง่ึ ทางานรว่ มกนั มีการจดั กลมุ่ ของขอ้ มลู และ พฤติกรรมหรอื ฟังกช์ นั ท่ีกระทากบั ขอ้ มลู นนั้ เป็นกลุ่ม ๆ ในรูปของ ออบเจก็ ต์ เน่ืองจากออบเจก็ ตม์ ี คณุ สมบตั ิในการนากลบั มาใชใ้ หม่ได้ (Reusability) การพฒั นาโปรแกรมแบบออบเจ็กตจ์ งึ ใชเ้ วลาใน การพฒั นานอ้ ย กวา่ วิธีอ่นื การพฒั นาระบบงานประยุกตแ์ บบรวดเร็ว (Rapid Application Development) เป็นขนั้ ตอนในการพฒั นาระบบท่ีใชร้ ะยะเวลาในการพฒั นารวดเรว็ กวา่ และคณุ ภาพ ดีกวา่ วธิ ี พฒั นาระบบงานแบบดงั้ เดิม โดยมีการนาเครอ่ื งมือซอฟตแ์ วรม์ าช่วยในการ พฒั นาระบบซง่ึ มีขนั้ ตอน ในการพฒั นาระบบอยู่ 4 ขนั้ ตอน คือ 1) การกาหนดความตอ้ งการ 2) การออกแบบโดยผใู้ ช้ 3) การสรา้ งระบบ 4) การเปลี่ยนระบบหรอื ใชร้ ะบบ ปัจจัยทมี่ พี ลตอ่ การพฒั นาระบบสารสนเทศใหป้ ระสบความสาเร็จ ปัจจยั ท่มี ีผลตอ่ การพฒั นาระบบสารสนเทศใหป้ ระสบความสาเรจ็ มีดงั นี้ 1) การสนบั สนนุ จากฝ่ายบรหิ าร ในการดาเนินการถา้ ฝ่ายบรหิ ารออกเป็นนโยบายให้ ปฏบิ ตั ิ มกั จะสาเรจ็ เป็นสว่ นใหญ่ เพราะฉะนนั้ ถา้ จะมกี ารพฒั นาระบบสารสนเทศโดย กาหนดเป็นนโยบาย ของฝ่ายบรหิ าร ทกุ ฝ่ายก็จะตอ้ งปฏิบตั ิตาม 2) การกาหนดขอบเขตและวตั ถปุ ระสงคท์ ่ีชดั เจน ในการพฒั นาระบบสารสนเทศ จะตอ้ งมีการ กาหนดขอบเขตและวตั ถปุ ระสงคท์ ่ีชดั เจน เพราะถา้ ไม่มีการกาหนด ขอบขา่ ยของการทางานจะ กวา้ งขวางมาก จงึ ควรท่ีจะกาหนดขอบเขตและวตั ถปุ ระสงค์ วา่ จะดาเนินงานท่ีสว่ น ฝ่ายใดบา้ ง หรอื จะดาเนินการทงั้ ระบบ
3) ความรู้ ความสามารถและประสบการณข์ องทมี พฒั นาระบบ ในการนาระบบ สารสนเทศ มาใช้ บคุ ลากรทงั้ หมดควรท่ีจะมีความรูค้ วามสามารถในการใชร้ ะบบ สารสนเทศดว้ ย สว่ นทีมพฒั นา ระบบมคี วามจาเป็นอยา่ งมากท่ีจะตอ้ งมีความรู้ เพราะถา้ ระบบมปี ัญหา ไมส่ ามารถแกไ้ ขได้ อาจจะ ทาใหก้ ารดาเนินการตา่ ง ๆ หยดุ ชะงกั ไปดว้ ย หรอื ไม่ก็ตอ้ งเสยี เวลาในการตามหาผเู้ ช่ียวชาญมาแกไ้ ข 4) เลอื กใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศท่ีเหมาะสม ก่อนท่ีจะนาระบบสารสนเทศมาใช้ ควรท่ีจะ คานงึ ถงึ ความจาเป็นและความเป็นไปได้ รวมถงึ ความเหมาะสมของระบบท่ีจะนามาใชว้ า่ มีความหมาะสมกบั ลกั ษณะของการประกอบการมากนอ้ ยเพียงใด และท่ีสาคญั มีความ คมุ้ คา่ หรอื ไม่ 5) การบรหิ ารโครงการพฒั นาระบบสารสนเทศอยา่ งมีประสิทธิภาพ การนาระบบ สารสนเทศ มาใชย้ อ่ มมขี อ้ ดมี ากกวา่ ขอ้ เสีย เพราะอยา่ งนอ้ ยจะทาใหก้ ารดาเนินการใน สว่ นของการบรหิ ารและการจดั การ เป็นไปอยา่ งมีประสิทธิภาพ แตจ่ ะตอ้ งทาความเขา้ ใจ และศกึ ษาระบบใหช้ ดั เจน รวมทงั้ บคุ ลากรทกุ สว่ นจะตอ้ งรบั รูแ้ ละเขา้ ใจในการท่ีจะตอ้ งนา ระบบสารสนเทศมาใช้ ถา้ ทกุ สว่ นมีความเขา้ ใจ และพรอ้ มใจในการปฏบิ ตั ิ ก็จะทาใหก้ าร พฒั นาระบบสารสนเทศมีประสทิ ธิภาพมากย่ิงขนึ้ สรุป การพฒั นาระบบสารสนเทศจะประกอบดว้ ยปัจจยั ภายในและปัจจยั ภายนอก ท่ีจะ ช่วยให้ การพฒั นาเป็นไปอยา่ งสมบรู ณ์ ซง่ึ จะตอ้ งนาปัจจยั ตา่ ง ๆ เหลา่ นีม้ าวิเคราะหแ์ ละออกแบบ รูปแบบในการพฒั นาระบบ ทงั้ นีจ้ ะตอ้ งมีทีมงานในการพฒั นาระบบ สารสนเทศโดยเฉพาะ เพ่ือท่ีจะกาหนดขอบเขตและวตั ถปุ ระสงคใ์ หช้ ดั เจน และเลอื กใชเ้ ทคโนโลยี สารสนเทศให้ เหมาะสม ถา้ องคก์ รใดไมม่ ีการพฒั นาระบบสารสนเทศก็จะกลายเป็นองคก์ รท่ี ลา้ หลงั ซง่ึ จะทาใหก้ ารบรหิ ารจดั การลม้ เหลว ทกุ องคก์ รจงึ ตอ้ งมีการเรง่ รบี ในการนาระบบ สารสนทศ มาใช้ แตท่ ่สี าคญั ท่ีสดุ คอื บคุ ลากรในองคก์ รจะตอ้ งมีการเรยี นรูแ้ ละเขา้ ใจถงึ ประโยชน์ ของ การพฒั นาระบบสารสนเทศ กิจกรรมเสนอแนะ 1. ใหผ้ เู้ รยี นแตล่ ะคน อธิบายถงึ ความจาเป็นในการพฒั นาระบบสารสนเทศคนละ 1 ขอ้ 2. ใหผ้ เู้ รยี นแตล่ ะคน อธิบายปัจจยั ท่ีสง่ ผลตอ่ โครงการพฒั นาระบบสารสนเทศคนละ 1 ขอ้ 3. ใหผ้ เู้ รยี นแบง่ ออกเป็น 6 กลมุ่ ๆ ละ 2-3 คน อธิบายวงจรพฒั นาระบบ (Sys- Development Life Cycle) กลมุ่ ละ 1 ชนั้ ตอน
ชือ่ เร่ือง กระบวนการพฒั นาระบบสารสนเทศ ใบงานท่ี 6 (Job Sheet) จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. เพ่ือใหท้ ราบความจาเป็นในการพฒั นาระบบสารสนเทศ 2. เพ่ือใหท้ ราบปัจจยั ท่ีสง่ ผลตอ่ โครงการพฒั นาระบบสารสนเทศ 3. เพ่ือใหท้ ราบสว่ นประกอบของการพฒั นาระบบสารสนเทศ 4. เพ่ือใหท้ ราบลกั ษณะของทีมงานพฒั นาระบบสารสนเทศ 5. เพ่ือใหท้ ราบวงจรการพฒั นาระบบสารสนเทศ 6. เพ่ือใหท้ ราบคณุ ธรรม จรยิ ธรรม คา่ นิยมท่ีดใี นการใชค้ อมพวิ เตอร์ และรูจ้ กั การ ทางานเป็นทมี แนวทางปฏบิ ัติ 1. ใหน้ กั ศกึ ษาแบง่ ออกเป็น 3 กลมุ่ กลมุ่ ละ 2-3 คน อธิบายถงึ ความจาเป็นในการ พฒั นาระบบสารสนเทศกลมุ่ ละ 1 ขอ้ 2. ใหน้ กั ศกึ ษาแบง่ ออกเป็น 2 กลมุ่ กลมุ่ ละ 3-5 คน อธิบายปัจจยั ท่ีสง่ ผลตอ่ โครงการพฒั นาระบบสารสนเทศ โดยกลมุ่ แรก อธิบายปัจจยั ภายใน และกลมุ่ ท่ี 2 อธิบายปัจจยั ภายนอก 3. ใหน้ กั ศกึ ษาบอกสว่ นประกอบของการพฒั นาระบบสารสนเทศคนละ 1 ขอ้ 4. ใหน้ กั ศกึ ษาบอกถงึ ลกั ษณะของทีมงานพฒั นาระบบวา่ ประกอบดว้ ยอะไรบา้ ง คน ละ 1 ขอ้ 5. ใหน้ กั ศกึ ษาแบง่ ออกเป็น 6 กลมุ่ กลมุ่ ละ 2-3 คน อธิบายวงจรการพฒั นาระบบ กลมุ่ ละ1 ขนั้ ตอน ระยะเวลาส่งงาน ภายหลงั นาเสนองานและตอบขอ้ ซกั ถามเรยี บรอ้ ยแลว้ การประเมนิ ผล 1. พฤตกิ รรมการทางานกลมุ่ 2. ชิน้ งาน 3. การนาเสนอและการ ตอบขอ้ ซกั ถาม 4. การตอบขอ้ ซกั ถาม 5. การตรงตอ่ เวลา
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115