พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจ้าอยูห่ วั พระมหาเจษฎาราชเจา้ ทรงมุ่งมัน่ สู่พระโพธญิ าณ ส่วนตัวของผู้กระท�ำ การเก็บส่วยสาอากรต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสัมมาอาชีวะหรือ มิจฉาอาชีวะก็ดี มีมาแต่คร้ังโบราณกาล ประชาชนทั้งปวงย่อมกระท�ำค้าขายเลี้ยง ชีวิตทั้งโดยวิสัยที่เป็นสัปบุรุษและอสัปบุรุษมาแต่เดิม ใช่จะพึ่งบังเกิดข้ึนแต่ครั้งตั้ง พระมหานครมาจนตราบเท่ากาลทุกวันนี้เสียเม่ือไหร่ ในพระบาลีคัมภีร์ใดใดก็มิได้ จ�ำแนกว่าให้เรียกเก็บภาษีแต่เฉพาะจากการเลี้ยงชีพท่ีเป็นสัมมาอาชีวะ ข้างฝ่ายท ี่ เป็นมิจฉาอาชีวะแลว้ ห้ามไม่ให้เรยี กภาษขี ้ึนยังท้องพระคลงั “…อาตมภาพท้งั ปวงจงึ พิจารณาเหน็ วา่ อากรนำ้� แลอากรสุรานี้ จะมิได้เกย่ี วข้อง มัวหมองในพระเจ้าแผน่ ดนิ เหตุหาพระกระมลเจตนาบมไิ ด”้ กล่าวเฉพาะเรื่องอากรค่าน�้ำซ่ึงอาจมีผู้มองเห็นว่าพัวพันอยู่กับเรื่องศีล ปาณาติบาต แม้พระเถระจะได้ถวายพระพรวิสัชนาเช่นว่าน้ันแล้ว แต่พระบาท สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ยังใส่พระราชหฤทัยเรื่องนี้เป็นพิเศษ ในเวลานั้น ทางราชการไดจ้ ำ� นวนเงนิ คา่ นำ้� ทน่ี ายอากรเกบ็ ไดแ้ ละนำ� สง่ เขา้ ทอ้ งพระคลงั ปหี นง่ึ ถงึ ๗๐๐ ช่ังเศษ แต่ก็ไม่ได้ทรงอาลัยในผลประโยชน์จ�ำนวนน้ี โปรดให้ยกเลิกอากร ค่าน�้ำสองคราว คราวแรกห้ามมิให้ใช้วิธีปิดทางเดินของน�้ำเพื่อจับปลา คงให้นายอากร เก็บค่าน้�ำต่อไปแต่เฉพาะพิกัดตามเคร่ืองมือจับปลาอย่างเดียว รายได้ก็ลดลงปีหนึ่ง ถึง ๓๐๐ ชั่ง ต่อมาอีกไม่นานได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ยก อากรค่าน้�ำที่เคยเป็นเงินได้เหลืออยู่เพียงปีละ ๔๐๐ ช่ังน้ันเสียเลยทีเดียว เพราะใน แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นมีการเก็บภาษีอากรรายใหม ่ หลายอย่างเพื่อมาจับจ่ายใช้ในราชการแผ่นดิน ได้เงินภาษีอากรรายใหม่มากกว่า อากรค่าน�้ำท่ีเคยได้มาแต่เดิม ไม่ขาดจ�ำนวนพระราชทรัพย์ในท้องพระคลัง เป็นอันว่า รายได้แผน่ ดินเวลานน้ั ไม่ขอ้ งเกย่ี วกบั การปาณาตบิ าตอีกตอ่ ไป ต�ำนานเร่ืองอากรค่าน้�ำในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น ตัวอย่างอีกเร่ืองหนึ่งท่ีแสดงให้เห็นถึงพระราชปณิธานท่ีทรงมุ่งมั่นในพระโพธิญาณ ขณะเดียวกันก็ไม่ทรงทอดท้ิงพระราชภาระในฐานะพระเจ้าแผ่นดินที่ต้องดูแล ท�ำนุบ�ำรุงประเทศไปพร้อมกันด้วย พระบรมราโชบายเกี่ยวกับเรื่องค่าน�้ำจึงเป็นไป ตามล�ำดับข้ันตอน มิได้หักหาญยกเลิกเสียในคราวเดียว หากแต่ต้องทรงผันผ่อน 99
มลู นิธิเฉลมิ พระเกยี รตพิ ระบาทสมเด็จพระนง่ั เกล้าเจ้าอยู่หัวฯ หาลู่ทางให้ท้องพระคลังมีรายได้จากทางอ่ืนแทนอากรค่าน้�าเสียก่อน แล้วจึงถึงเวลา ที่ทรงตัดสินพระราชหฤทัยตามพระราชปรารภปรารถนาในทางบุญ ที่อาจจะยังทรง เคลือบแคลงอย่ใู นพระราชหฤทยั กเ็ ป็นได้ วันหน่ึงจะเสด็จถึงที่หมายเป็นที่เชื่อได้ว่า ในส่วนพระองค์พระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเองย่อมทรงทราบดีแก่พระราชหฤทัยว่า พระราชปรารถนาท่ี จะไดพ้ ระโพธญิ าณน้ัน ยงั ไม่มีหนทางส�าเรจ็ ไดใ้ นพระชาติปัจจุบนั ทตี่ อ้ งทรงรบั ภาระ ของแผ่นดินอยู่ในเวลาน้ันเป็นแน่ การได้ตรัสรู้พระโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าองค์ ตอ่ ไปในอนาคตเปน็ เรื่องของวันขา้ งหน้าท่จี ะมาถึงเม่อื ใดไม่อาจมีใครบอกได ้ ระหว่างนี้ ไม่มีอะไรดีไปกว่าความมุ่งม่ันท่ีจะบ�าเพ็ญพระราชกุศลนานัปการให้ได้เป็นปัจจัยเก้ือกูล แก่พระโพธิญาณ ดังปรากฏเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจด้านการพระศาสนา มากมายมหาศาล ทั้งที่เปน็ เรอื่ งของศาสนวัตถุ ศาสนสถาน ศาสนศกึ ษา ศาสนปฏบิ ัต ิ และศาสนบคุ คล ซึ่งเป็นท่ีรกู้ นั อยโู่ ดยท่วั ไปและยังสง่ ผลยง่ั ยืนมาจนถึงทกุ วันนี้ ในพุทธศักราช ๒๓๗๗ กรมหลวงนรินทรเทวี พระกนิษฐภคินี ในพระบาท สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ผู้สถิตอยู่ในฐานะพระบรมวงศ์ผู้ใหญ่ใน รัชกาลท่ีสาม ทรงบันทึกไว้ในจดหมายเหตุส่วนพระองค์ซ่ึงมีการจัดพิมพ์แล้วใน เวลาน้ีชื่อ จดหมายเหตุกรมหลวงนรินทรเทวี ทรงเล่าเหตุการณ์ที่ได้ช้างเผือกมาสู่ พระบารมีพระบาทสมเดจ็ พระน่ังเกล้าเจา้ อยหู่ ัวถึงสองช้าง ว่าในระหว่างงานสมโภช ช้างเผอื กคราวนนั้ “… ส�าแดงพระบารมีลงมาให้เห็นประจักษ์ ท่ีแผ่นดินไหวถึง ๒ คร้ังเป็น อัศจรรย์ เทพยุดารักษาพระศาสนา จึงส�าแดงให้ประจักษ์ตาโลกทั้งปวงว่าแต่สร้าง พระบารมีเกือบส�าเร็จพระโพธิญาณ แต่พระเนตรยังไม่ฌานสรรพัญูเป็นพุทธคุณ ชิโนรส ในอนาคตภายภาคหน้า เม่ือพระศาสนาพระเมตไตรย ล�าดับใน ๑๐ พระพุทธชิโนวงศ์บรมโพธิสัตว์ มิได้คลาดบรมบาทบพิตร สมเด็จพระเจ้ารามา ธิบดินทร์จักรพินทรงธรรมเที่ยง ชุบเล้ียงพระญาติวงศานุวงศ์กษัตริย์ดังฉัตรแก้วก้ัน ทวปี บรมโพธเิ ดยี วแท้ประชมุ พ่งึ จนถึงส�าเรจ็ พระโพธญิ าณ…” 100
พระบาทสมเดจ็ พระน่ังเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว พระมหาเจษฎาราชเจา้ ทรงม่งุ มั่นสพู่ ระโพธญิ าณ กล่าวเป็นถ้อยค�ำสามัญปัจจุบันอาจพอสรุปความได้ว่า เหตุที่ทรงได้ช้างเผือก ถึงสองช้างและเกิดแผ่นดินไหวสองครั้ง เพราะเทวดาได้แสดงนิมิตให้เห็นว่าพระบารมี เกือบใกล้จะส�ำเร็จพระโพธิญาณแล้ว แต่พระเนตรยังไม่สอดส่องได้ดวงตาเห็นธรรม ตรัสรู้ในเวลาน้ี ในอนาคตเม่ือถึงยุคพระศรีอาริย์ ซ่ึงเป็นล�ำดับที่ ๑๐ ในพุทธวงศ ์ เวลานน้ั พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ซงึ่ ทรงดำ� รงอยใู่ นธรรมะและทรงชบุ เลย้ี ง พระญาติพระวงศเ์ หมอื นฉัตรแก้วกัน้ ทวีป จะไดท้ รงสำ� เรจ็ พระโพธญิ าณเป็นแนแ่ ท้ ไม่มีใครหย่ังรู้ได้ว่ายุคพระศรีอาริยเมตไตรจะมาถึงเมื่อไหร่ แต่ในระหว่างนี้ เม่ือใดก็ตามท่ีได้ไปกราบถวายราชสักการะพระบรมราชาอนุสาวรีย์พระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า ณ ลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ เมื่อกราบถวายบังคมพระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐแล้ว เหลียวมองไป ทางซ้ายมือ จะแลเห็นโลหะปราสาทมียอดสีทองเปล่งประกายระยิบระยับงดงาม สลบั สลอนขึน้ เสียดฟา้ นับจำ� นวนไดถ้ งึ ๓๗ ยอด เทา่ จำ� นวนโพธิปักขยิ ธรรม อันเป็น หัวข้อธรรมท่ี “สมเด็จพระพุทธเจ้าอยหู่ วั ” แผ่นดินท่สี ามมพี ระกระมลเลอ่ื มใสยดึ มัน่ มาตลอดพระชนม์ชพี ด้วยพระราชกุศลโพธิสมภารบารมีที่ได้ทรงสั่งสมมาแล้วในอดีตและท่ีจะได ้ ทรงสั่งสมเพิ่มพูนข้ึนอีกในอนาคต เช่ือได้แน่ว่าสักวันหน่ึงจะได้เสด็จไปถึงท่ีหมายท่ี ทรงต้ังพระราชหฤทัยปรารถนาอย่างแน่นอน และเป็นท่ีหวังว่าวันนั้น ชาวเราจะมี วาสนาได้พ้องพบพระศรีอาริยเมตไตรพระองค์น้ัน และได้ฟังพระธรรมเทศนาจาก พระโอษฐโ์ ดยพร้อมหน้าดว้ ยกนั เถดิ เจา้ พระคุณ! 101
มรดกท่พี ระบาทสมเดจ็ พระน่ังเกล้าเจา้ อยูห่ ัว พระราชทานใหก้ บั แผน่ ดิน (โดยสงั เขป) ลน้ เกลา้ รชั กาลท่ี ๓ ทรงเลง็ เหน็ อนั ตรายของการรกุ รานของพวกผวิ ขาว นักลา่ อาณานคิ มทีก่ ระท�าต่อประเทศเพื่อนบ้าน (พม่า มลายู ญวน เขมร) โดยใช้ “การทูตแบบเรือปน หรือ Gun Boat Diplomacy คือเจรจา บังคบั ขู่เข็ญยึดครอง” “ต่อไปศึกพม่า ญวน นั้นไม่มีอีกแล้วให้ระวังฝรั่งผิวขาวเถิด อย่าให้ เสยี ทกี บั เขาได้ สงิ่ ใดของเขาดกี ็ใหเ้ อาอยา่ ง แตอ่ ยา่ ไดต้ ามอยา่ งเสยี ทเี ดยี ว” หลังจากพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเสด็จสวรรคต (พ.ศ.๒๓๙๔) ได้ ๔๒ ป ก็เกดิ เหตุการณ์ ร.ศ.๑๑๒ (พ.ศ.๒๔๓๖) รฐั บาลไทยต้องยอมชดใช้ ค่าปฏิกรรมสงครามให้ฝร่ังเศสจ�านวน ๓ ล้านฟรังก์ เพ่ือแลกกับการถูก ยดึ ครอง สูญเสียเอกราชและอธปิ ไตยของชาติ รฐั บาลสยามไดน้ า� เงนิ ถงุ แดงซง่ึ เปน็ พระราชทรพั ยส์ ว่ นพระองคท์ ลี่ น้ เกลา้ รัชกาลท่ี ๓ ได้อดออมเก็บหอมรอมริบและพระราชทานให้กับแผ่นดินไว้ใช้ ในคราวจ�าเป็นจ�านวน ๓ หมื่นชั่ง คิดเป็นมูลค่า ๒.๔ ล้านฟรังก์ หรือ ประมาณ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ของค่าปฏิกรรมสงครามไปจ่ายให้กับฝรั่งเศส (สว่ นท่ียังขาด ล้นเกลา้ รชั กาลท่ี ๕ และพระบรมวงศานวุ งศ์ไดร้ ว่ มกนั สมทบ จนครบตามจ�านวน)
เงินถงุ แดง เงนิ ท่ีใช้ไถเ่ อกราชและอธปิ ไตยของชาติ เรอื รบฝร่ังเศส ๓ ลา� เรอื แองกงสตังค์ (Inconstant) เรอื โกแมต (Comete) และเรือลาแตง (Latin) สามารถ รุกฝ่าแนวปอ งกนั ของไทยและเขา้ มาจอด ทอดสมอทห่ี น้าสถานกงสุลใหญฝ่ ร่งั เศสประจ�ากรงุ เทพ ทหารฝร่งั เศส กอบโกยเงนิ ถงุ แดงค่าไถ่ ใสล่ งั ไม้ แลกกบั อธปิ ไตยของชาตไิ ทย
วัดพระเชตุพนวมิ ลมงั คลาราม บานประตมู กุ พระอโุ บสถ วัดพระเชตพุ นวมิ ลมังคลาราม จารึกต�าราส�าคัญ พระพุทธไสยาสน์ วดั พระเชตพุ นวมิ ลมงั คลาราม ต่าง ๆ ภายในวัด พ ร ะ เ ช ตุ พ น วิ ม ล มงั คลาราม
วัดพระศรีรตั นศาสดาราม ภาพจติ รกรรมฝาผนัง พระทีน่ ง่ั บุษบกมหามาลา ภายในวดั พระศรีรตั นศาสดาราม ในพระที่น่ังอัมรนิ ทรวินจิ ฉยั มไหสูรยพ์ ิมาน เสริมฐานสูงขึ้นในรัชกาลท่ี ๓ (ในภาพดา้ นขวา)
วดั ราชโอรสาราม พระประธาน วัดราชโอรสาราม วัดเทพธิดาราม พระพทุ ธเทววลิ าศ (หลวงพอ่ ขาว) ตกุ ตาศิลาหญงิ ไทย
วดั ราชนัดดาราม พระเสฏฐตมมนุ ี วดั ราชนดั ดาราม โลหะปราสาท วดั ราชนัดดาราม พระบรมสารรี ิกธาตุ ประดิษฐาน ณ พระเจดียบ์ ษุ บก โลหะปราสาท
วัดเฉลมิ พระเกยี รติ พระพุทธมหาโลกาภนิ นั ทปฏมิ า วัดเฉลิมพระเกียรติ พระปรางค์วดั อรณุ ราชวราราม รายละเอียดเทวดาแบก ประดบั กระเบอื้ งโมเสกปรางคว์ ัดอรณุ ฯ
วัดบวรนเิ วศวิหาร พระพทุ ธชนิ สีห์ และพระสุวรรณเขต พระตา� หนกั วดั บวรนิเวศวิหาร ปนั หยา วดั บวรนเิ วศวหิ าร พระเจดีย์รูปเรือส�าเภา วดั ยานนาวา ภาพพระเวสสนั ดรโพธสิ ตั ว์ กบั กณั หาชาลี รชั กาลที่ ๓ โปรดเกลา้ ฯ ให้สร้างข้นึ หล่อในรัชกาลที่ ๓ ส�าหรับต้ังในส�าเภา เปน็ บนั ทกึ ถงึ ยคุ ทองของการคา้ สา� เภา วัดยานนาวา ระหวา่ งไทยกับจนี
พระอโุ บสถ วดั สุทัศนเ์ ทพวราราม พระพุทธตรีโลกเชษฐ์ วดั สุทัศนเ์ ทพวราราม พระวิหาร วดั สุทศั นเ์ ทพวราราม พระพุทธเสฏฐมนุ ี (พระกลกั ฝิ่น) วดั สทุ ัศนเ์ ทพวราราม
วดั ราชบรุ ณะ (วดั เลียบ) พระปรางค์ วัดราชบุรณะ (วดั เลียบ) พระอุโบสถ วดั มหรรณพาราม ซุ้มประตูพระอุโบสถ วัดมหรรณพาราม หน้าบันพระอโุ บสถ วดั มหรรณพาราม
คุณธรรมผูน้ า� พระพรหมกวี (พงศ์สันต์ ธมมฺ เสฏโ ป.ธ.๙) เจ้าอาวาสวดั กลั ยาณมิตร บทน�า มนุษย์ทกุ คนในโลกนว้ี า่ โดยธรรมชาตแิ ล้ว เมอื่ ชวี ติ ย่างเข้าสู่วยั หนุม่ สาว ก็จะ เข้าไปอยู่ในวงสังคมโดยสถานภาพต่าง ๆ กัน เช่นเป็นนักปกครอง นักการเมือง นักธุรกิจ นักวิชาการ ข้าราชการ เป็นต้น ขณะเดียวกันก็มีหลายคนท่ีมีความคิด ความประสงค์ ความต้องการท่ีจะเป็นผนู้ า� หรอื หวั หน้าของสงั คมท่รี วมกลุ่ม รวมพรรค ร่วมขบวนการ ร่วมระบบ ร่วมชาติเดียวกัน แต่ความคิด ความประสงค์ ความ ต้องการดังกล่าวนั้นจะส�าเร็จดังใจนึกไม่ได้ เว้นแต่คนท่ีเคยส่ังสม อบรมกุศลบารมี มามากแต่ชาติปางก่อน หรือเป็นเพราะเขามีวาสนานิสัยที่ติดตัวมาแต่ชาติก่อน เลยท�าให้เขาเป็นเช่นนั้น การทคี่ นจะมโี อกาสเปน็ ผู้น�า และจะเปน็ ผนู้ า� ท่ดี ีได้ จะตอ้ ง เกิดจากการประพฤติปฏิบัติท่ีถูกต้องกับหลักเกณฑ์ จึงจะสามารถเป็นผู้น�าได้ม่ันคง และยาวนาน เหมือนกอบัวต้องอาศัยหลักเกณฑ์คือน�้าและโคลนตมจึงจะสามารถ ขยายล�าต้นใหเ้ จรญิ งอกงามไดฉ้ ะนนั้ ค�าว่า ผู้นํา หมายถึง บุคคลผู้ท�าหน้าท่ีเป็นหัวหน้าหมู่ หัวหน้าคณะ คอย บา� บัดทกุ ข์บา� รุงสุขให้แกผ่ ูอ้ ยูใ่ นความรับผดิ ชอบของตน โดยก�าหนดสงู สดุ หมายถึง พระมหากษัตริย์ ผู้เปน็ ฉตั รชัยของประเทศ หรอื ผู้นา� ประเทศในนามประธานาธิบดี และโดยก�าหนดต่�าลงมา หมายถึง ผนู้ �ากล่มุ ชนระดับต่าง ๆ เช่น ผนู้ �ารัฐบาล ผนู้ �า กระทรวง ทบวง กรม ผ้นู า� จงั หวัด อา� เภอ ตา� บล หมบู่ า้ นจนกระทัง่ ผู้นา� ครอบครัว 113
มูลนธิ ิเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระนง่ั เกล้าเจา้ อยูห่ วั ฯ เบ้ืองต้นจะต้องปลูกความพอใจท่ีจะเป็นผู้น�าไว้ให้แน่วแน่จริงใจและจริงจัง หาก ไม่ถึงเวลาไม่ควรเปิดเผยให้ใครทราบ จากน้ันใช้ความเพียรพยายาม ความฝักใฝ่ ใคร่ครวญทุกวิถีทาง ด้วยความรู้ความฉลาดความสามารถ เพ่ือให้เข้าถึงผู้ตามคือ ประชาชน หรอื เพอ่ื ใหอ้ ยใู่ นความสนใจของพวกเขา อน่ึง จะตอ้ งประพฤติตวั วางตน เปน็ คนเคารพในกฎระเบียบ กฎหมาย ศีลธรรม ซ่งึ สงิ่ เหล่านต้ี ่างเป็นเสมอื นเส้นด้าย ท่ีร้อยหมู่ชนให้อยู่อย่างมีระเบียบ และสันติสุข สร้างความสามัคคีกับคนทุกฐานะ ระดับชั้น เห็นความทุกข์หรือปัญหาข้อขัดข้องของประชาชนเสมอ หรือย่ิงกว่า ความทุกข์หรือปัญหาข้อขัดข้องของตนในการรับปากรับค�าหรือล่ันวาจาไม่ว่า เก่ียวกับเร่ืองใด ๆ ต้องกลั่นกรองด้วยปัญญา การคิดเร็วเป็นเร่ืองดี แต่การพูดเร็ว หรือปากไวไม่ใช่เรื่องดี ท่ีส�าคัญก็ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามที่ตนรับปากหรือลั่นวาจาไว้ ขณะเดียวกันต้องสอบตัวเองตลอดเวลา ว่าจะต้องอดทนอดกลั้นไม่ว่าในเร่ืองอะไร และพึงชนะความตระหนี่ด้วยการให้สิ่งของแก่เขา ชนะคนไม่มีความดีด้วยการ แสวงหาลู่ทางท�าดีแก่เขา ชนะคนที่โกรธเราด้วยการไม่โกรธตอบ ใจเย็นไว้เสมอ ช่วยเหลือได้เป็นช่วยเหลือทุกโอกาส เหล่านี้คือคุณสมบัติทั่วไปของผู้น�าหรือ ผ้บู รหิ ารสงั คม ยังมีคณุ สมบตั ิอกี อยา่ งที่ผูน้ �าตอ้ งพฒั นาใหม้ ขี นึ้ เกดิ ขึน้ ในตน คอื ตอ้ งเป็นคน หูตาดี เพราะถ้าหูไม่ดีก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไร ถ้าตาไม่ดีก็ไม่ได้เห็นส่ิงต่าง ๆ ได้เด่นชัด ดังน้ันหูจึงต้องมีลักษณะฟังไกลและหนักแน่น ตาต้องมีลักษณะเห็นยาวและชัดแจ้ง การมีหูไกลและตายาวนี้ เป็นคุณสมบัติของผู้มีหน้าท่ีปกครองหรือบริหาร ไม่ว่าจะ เป็นหูตาเอง หรือเป็นต่างหูต่างตาก็เหมือนกัน เรียกว่า ทีฆทัสสึ คือ เห็นไกลเห็น ยาวตลอดถึงฟังไกลด้วย เพ่ือให้ได้ข้อเท็จจริงของเรื่องท้ังหลาย บางคร้ังบางสมัย ผู้น�าหรือบริหารประเทศต้องปลอมตัวไม่ให้ใครรู้จัก ไปเที่ยวแอบฟังสารทุกข์สุขดิบ ของประชาชน เพื่อท�าตามหน้าท่ีคือท�าตาให้ยาว ท�าหูให้ไกลน่ันเอง มิฉะน้ันแล้ว ผู้นา� หรือผู้บรหิ าร ตาอาจบอด หูอาจหนวก จงึ ต้องลา้ งหูล้างตาไวเ้ สมอ 114
คณุ ธรรมผ้นู ำ� นโยบายหลกั การบริหาร การปกครองประเทศชาติน้ัน จะมีรูปแบบใดก็ตามที่นานา อารยประเทศนิยมถือปฏิบัติกัน ระบอบประชาธิปไตยท่ีมีพระมหากษัตริย์ หรือ ประธานาธิบดี มีอำ� นาจสงู สดุ ก็ดี ลว้ นแตม่ ีความม่งุ หมายหลักอยู่ ๓ อย่าง คอื ๑. อรรถะ ประโยชน์หรือความตอ้ งการของประชาชน ๒. หิตะ ความเก้ือกูลแกป่ ระชาชน ๓. สขุ ะ ความอยู่ดีกินดีของประชาชน เป็นหลกั ที่มแี ตโ่ บราณกาล สมเด็จพระบรมศาสดาผู้เปน็ เจ้าของพระพทุ ธศาสนา ก็ทรงใชน้ โยบายหลัก ๓ อยา่ งนี้ในการกอ่ ตัง้ และประกาศพระศาสนา หลงั จากที่ทรง ตัดสินพระทยั ทจ่ี ะไม่ทอดทงิ้ ประชาชน และทรงใชม้ าจนตลอดพระชนมช์ พี เป็นเวลา ถึง ๔๕ ปี นับแต่เริ่มวางหลักฐานการประดิษฐานพระศาสนาขึ้นในโลก จนท�ำให ้ พระศาสนาและประเทศชาติน้ัน ๆ สามารถทรงตัวอยู่ได้และวัฒนาสถาพรมา ตราบเท่าทกุ วนั นี้ ค�ำว่า อรรถะ แปลว่าประโยชน์ หรือความต้องการ ท่ีว่าเพ่ือประโยชน์หรือ เพ่ือความต้องการนั้น มีปัญหาว่าประโยชน์ของใคร? ความต้องการของใคร? เพ่ือ ความเข้าใจประเด็นน้ใี ห้ชดั เจน ควรศกึ ษาเร่ืองงานอันอยู่ระหว่างผนู้ �ำ ผปู้ กครองกับ ผอู้ ยใู่ ต้การปกครอง หรอื ระหว่างผูน้ �ำกับผู้ตาม มี ๒ ลักษณะ กลา่ วคอื งานขน้ึ กบั งานลง งานข้ึน คือ งานท่ีข้ึนมาจากประชาชน เช่นว่า ประชาชนมีความต้องการ อย่างน้ี สิ่งน้ีเป็นประโยชน์ ส่ิงนี้เป็นการเก้ือกูล ส่ิงน้ีเป็นความผาสุกของประชาชน ขึ้นมาจากผู้ตามคือประชาชนถึงผู้มีหน้าที่ปกครอง หรือ ผู้น�ำเพ่ือให้ช่วยจัดการให้ ส่วนงานลง ได้แกง่ านที่ลงมาจากเบอื้ งบนคอื ผูน้ ำ� หรอื ผมู้ หี น้าทปี่ กครองดำ� เนนิ การ เพื่อให้เกิด อรรถะ หิตะ และสุขะ แก่ผู้ตามคือประชาชน เน่ืองจากประชาชนม ี สตปิ ญั ญาน้อย มหิ นำ� ซ้ำ� ยังต้องสาละวนคดิ และยุ่งในเร่ืองการทำ� มาหากิน จงึ จ�ำเปน็ ตอ้ งมีคนคอยชว่ ยพวกเขา พรอ้ มท้ังให้ความค้มุ ครอง ป้องกัน แกไ้ ข หรือท�ำนบุ ำ� รุง 115
มลู นิธเิ ฉลมิ พระเกียรตพิ ระบาทสมเดจ็ พระน่ังเกล้าเจา้ อยูห่ วั ฯ ส่งเสริมในทุก ๆ ด้าน พูดให้เข้าใจง่าย ๆ งานขึ้นคือ งานท่ีประชานเป็นผู้เสนอรัฐ หรือผู้น�าปกครองเป็นฝ่ายสนอง ส่วนงานลงคืองานท่ีผู้น�าผู้ปกครองเป็นฝ่ายเสนอ ประชาชนผู้ตามเป็นฝ่ายสนอง จะเป็นงานข้ึนหรืองานลงก็ล้วนแล้วแต่เป็นไปเพ่ือ วัตถุประสงค์หลัก คือ อรรถะ หิตะ สุขะ แก่ประชาชนท้ังสิ้น ดังนั้น ผู้มีหน้าท่ี ปกครองหรือผู้น�าจะต้องส�ารวจตรวจตราตัวเองและหน้าที่การงานอยู่เสมอ เพ่ือ บันดาลวัตถุประสงค์ของการปกครองท้ัง ๓ อย่าง ให้ส�าเร็จด้วยดี คือบันดาลสิ่งที่ เป็นประโยชน์ หรือเป็นความต้องการของประชาชนให้เกิดขึ้นหรือลุล่วงไป บันดาล สิ่งท่ีจะเกื้อกูลอ�านวยความสะดวกแก่ประชาชน บันดาลความร่มเย็นเป็นสุขให้แก่ ประชาชนเต็มก�าลังความสามารถ ความร่มเย็นเป็นสุขหรือความอยู่เย็นเป็นสุขนั้น เป็นหลักสา� คญั ย่ิง ตรงกับคา� วา่ บา� บัดทกุ ขแ์ ละบา� รงุ สุข น่ันเอง รฐั พ่ึงราษฎร์ ราษฎร์พง่ึ รฐั อกี อย่างหน่งึ ผู้น�าคอื กลุม่ ชนชัน้ ปกครอง ได้แก่ รฐั บาลผู้บริหารประเทศ และ ผู้ตามคือกลุ่มชนผู้อยู่ภายใต้การปกครองได้แก่ประชาชนผู้เป็นสมาชิกของประเทศ ต้องมีความเข้าใจซึ่งกันและกัน หรือต่างฝ่ายต่างเข้าใจในหน้าท่ีของตนเป็นอย่างดี เม่ือฝ่ายรัฐเสนอมา ฝ่ายราษฎร์สนองไป หรือเม่ือฝ่ายราษฎร์เสนอไป ฝ่ายรัฐสนอง มาโดยฉับพลันทันด่วน ไม่โยกโย้โอ้เอ้วิหารราย หรือรัฐรักษาประโยชน์ราษฎร์ ราษฎรร์ ักษาประโยชนร์ ัฐ ทใี ครทมี นั ช่วยกนั อมุ้ ช่วยกันหาม ช่วยกันลาก ชว่ ยกัน เข็น เม่ือเป็นเช่นนี้ ความมั่นคงความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติ ย่อมหวังได ้ แต่ถ้าต่างฝ่ายต่างไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิดซ่ึงกันและกัน หรือไม่มีความเข้าใจในหน้าที่ ของตน คอยแต่จะขัดกัน บั่นทอนกัน ท�าลายกัน ความเสื่อม ความล้าหลัง ความ ดอ้ ยพฒั นาของประเทศชาติ กย็ ่อมเกิดขึ้นไดเ้ ชน่ เดยี วกนั เป็นความจรงิ ทว่ี ่า เร่ืองการปกครองนั้น ตอ้ งมเี คร่ืองมือที่เป็นหวั ใจส�าหรับใช้ เป็นหลัก เพ่ือความเรียบร้อยดีงาม หรือเพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขของประชาชน ส่วนรวม แม้ในทางพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงปกครองสังฆมณฑล ก็ต้อง 11๖
คณุ ธรรมผ้นู �ำ มีหัวใจในการปกครอง หาไม่แล้วการปกครองจะขัดข้องถึงกับจะทรงตัวอยู่ไม่ได ้ พระองคท์ รงใชเ้ ครอ่ื งมอื ๒ อยา่ ง คอื ๑. นคิ คหะ การตำ� หนโิ ทษ การปราบปราม หรอื การข่ม ๒. ปคั คะ การยกย่องเชิดชู หรอื การส่งเสริม หลักการทั้งสองนี้ ส�ำคัญยิ่งนัก เพราะท�ำให้สังคมของประเทศชาติน้ัน ๆ มีความสงบเรียบร้อยม่ันคง แต่ถ้าใช้ผิดตัวผิดฝา คือต�ำหนิคนท่ีควรยกย่อง หรือ ส่งเสริมยกย่องคนท่ีควรต�ำหนิติโทษ ความไม่ราบรื่นเรียบร้อย จะเกิดข้ึนทันที จึง ต้องพิจารณาให้ถ่องแท้ คณุ ธรรมผูน้ ำ� ๔ อย่าง แท้จริง ความเจริญหรือความเส่ือมของสังคม ต้ังแต่ระดับล่างจนถึงระดับสูง คอื ประเทศชาติ ข้นึ อยูก่ บั ฝ่ายผ้นู �ำมากกวา่ ผู้ตาม สงั คมใด ประเทศชาตใิ ด ไดผ้ ู้น�ำดี มีคุณภาพและมีคุณธรรม สามารถน�ำพาสังคมประเทศชาตินั้นไปสู่ความม่ันคงและ ปลอดภัย ผู้ตามก็อยู่เย็นเป็นสุข ไม่ต้องอยู่ร้อนนอนทุกข์ ดังนั้นคุณธรรมของผู้น�ำ ตามหลักการทางพระพุทธศาสนา ๔ ประการ ซึ่งจะได้ขยายความต่อไปนี้ จึงเป็น ส่ิงจ�ำเป็น จ�ำปรารถนา กล่าวได้ว่า เป็นแบบฉบับของการบริหาร การปกครอง ทีเดียว คุณธรรม ๔ ประการน้ี ปรากฏในมหานบิ าตชาดก ขทุ ทกนกิ าย พระสตุ ตันต ปิฎก เล่มที่ ๒๘ เป็นภาษาบาลวี า่ อุฏฐฺ าตา กมมฺ เธยฺเยสุ อปฺปมตฺโต วจิ กฺขโณ สุสวํ หิ ิตกิ มมฺ นฺโต ส ราชวสดี วเส แปลเปน็ ภาษาไทยว่า คณุ ธรรมผูน้ �ำ ๔ ประการ คอื ๑. ขยนั หม่นั เพียรในสง่ิ ทีเ่ รียกว่า การงาน ๒. ไมป่ ระมาท 117
มูลนิธิเฉลมิ พระเกียรติพระบาทสมเด็จพระน่งั เกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ๓. มปี ญั ญารูเ้ ทา่ ทนั เหตกุ ารณ์ ๔. จดั การงานดี เป็นคุณธรรมท่ีมมี าแต่โบราณ ทา่ นใชเ้ ปน็ หลักการมาทุกยคุ ทกุ สมัย พูดงา่ ย ๆ ว่า ผู้น�า ผู้บริหารสังคมท้ังระดับสูงและระดับต�่า ต้องมีหลักการอย่างนี้ ความเจริญ ความวัฒนาสถาพรของสังคมประเทศจึงจะมีได้ เรียกว่าได้ผู้น�าผู้บริหารที่มีคุณธรรม และมีคุณภาพทีเดียว การพัฒนาสังคมประเทศชาติที่ต้องล้มลุกคลุกคลาน ไม่ ประสบความสา� เร็จเทา่ ทคี่ วรเป็นเพราะผู้บรหิ ารผู้นา� สังคมไร้คุณธรรมและไร้คุณภาพ นน่ั เอง ลองพจิ ารณาคุณธรรมทัง้ ๔ ประการนใ้ี ห้ถ่ถี ว้ น ความขยนั หมัน่ เพียร ๑. อุฏฐาตา กัมมะเธยเยสุ แปลว่า ขยันหมั่นเพียรในสิ่งท่ีเรียกว่า การงาน หมายถึง ภาวะของน้�าใจท่ีต่ืนตัวอยู่เสมอ พร้อมที่จะลุกขึ้นท�างานทุกขณะ คิดไป ในทางท่กี า้ วหนา้ ตลอดเวลา กลา้ ทจี่ ะเผชญิ กบั ความยากลา� บากในการทา� งาน ไมว่ า่ งานนั้นจะสูงหรือต�่า อันความขยันนี้ เม่ือพิจารณาให้ดีจะเห็นว่าเป็นเรื่องส�าคัญ ชีวิตท่ีเริ่มต้นด้วยความขยัน รับรองว่าเอาดีได้ ตรงกันข้ามถ้าเริ่มต้นด้วยความขี้เกียจ รับรองวา่ เอาดไี ม่ได ้ หรือไดก้ ็ไมด่ ี คนเราไมว่ า่ จะอยูใ่ นเพศภมู อิ ย่างไร จะเปน็ ชาววดั ชาววังหรือชาวบ้าน หากมีความขยันแล้ว เป็นอันว่าขึ้นทางถูก ความส�าเร็จ ความ ม่นั คง ความอดุ มสมบรู ณด์ ้วยทรพั ย ์ ดว้ ยยศและอน่ื ๆ จะเกดิ ข้นึ ตามมาโดยไมย่ าก เพราะเป็นความจริงของโลกว่า คนขยันตกอับไม่มี ส่วนคนข้ีเกียจเอาดีได้ก็ไม่มี เหมือนกัน เพราะฉะนั้น จึงพูดได้เต็มปากว่า ความขยันมีแต่คุณอย่างเดียว ไม่มี โทษ ส่วนความขเี้ กียจมแี ต่โทษอยา่ งเดียวไมม่ ีคุณ ผู้น�าหรือผู้บริหาร ผู้ปกครองทุกสังคมทุกหน่วยงาน จะต้องนึกอยู่เสมอว่า ตนมีหน้าท่ีซ้ือความทุกข์ของผู้อยู่ในสังคมหน่วยงานท่ีตนรับผิดชอบ ถึงจะล�าบาก ยากเข็ญก็ต้องมีน้�าอดน้�าทน ฝ่าความยากล�าบากให้ได้ เพราะก่อนท่ีตนจะเข้ารับ ต�าแหน่งแห่งที่เป็นผู้น�าผู้ปกครอง ผู้บริหารน้ันต้องปลงใจให้ได้ว่า เราจะซื้อความทุกข์ 118
คณุ ธรรมผ้นู �ำ ของราษฎรมาสู่ตน และจะขายความสุขของตนให้แก่ราษฎร ถ้าปลงใจอย่างนี้ไม่ได้ หรือใจไม่ยอมปลง กลับคิดไปว่า เราจะซ้ือความสุขของราษฎรมาสู่ตน และจะ ขายความทุกข์ของตนให้แก่ราษฎร อย่างน้ีแล้ว ความขยันหม่ันเพียรในส่ิงที่เรียกว่า การงาน ย่อมมไี มไ่ ด้ ส่ิงท่ีเรียกว่า การงาน หมายถึงหน้าที่ที่ตนมีตนรับผิดชอบ การท่ีท่านสอนให้ ขยันหม่ันเพียรในส่ิงท่ีเรียกว่า การงาน ก็แปลว่าท่านสอนให้รู้จักหน้าท่ีและท�ำตาม หน้าท่ีนั่นเอง ไม่ใช่ขยันนอกหน้าที่ หรือขยันนอกเร่ืองอยู่มาก หน่วยงานนั้นหรือ สังคมประเทศชาติใดมีคนขยันนอกเร่ืองอยู่มาก หน่วยงานน้ันหรือสังคมประเทศน้ัน เติบโตยาก รุ่งเรอื งยาก การงานมแี ต่คั่งค้างอากลู ไม่ก้าวหนา้ ยกตัวอยา่ งเช่น เสมียน พนักงานคนหนึ่งน�ำหนังสือกฎหมายมาดูมาอ่านในที่ท�ำงานในเวลาราชการ เราต้อง ชมเชยว่า คน ๆ นีม้ คี วามขยันหมัน่ เพียรในการเลา่ เรียนวิชากฎหมายหรือนิตศิ าสตร์ แม้แตใ่ นเวลาทำ� งานราชการ ยงั เอาหนงั สอื มาอ่านดว้ ย แต่ความขยนั ของคนผนู้ ้ี จะ จัดเข้าในหลักท่ีว่า อุฏฐาตา กัมมะเธยเยสุ ขยันหม่ันเพียรในส่ิงที่เรียกว่า การงาน คือการงานในหน้าที่ของตนหรือไม่? เพราะรัฐบาลไม่ได้จ้างเขาให้มาเรียนกฎหมาย แต่จ้างให้มาท�ำราชการตามหน้าท่ีของตนที่จะพึงได้รับมอบหมาย ความขยันใน ลักษณะเช่นนี้ จะเล่ือนขั้นเล่ือนเงินเดือนให้ก็ล�ำบาก จะว่าเป็นคนเกียจคร้านก็ไม่ได้ เพราะเขาเป็นคนขยันแลเห็นกนั อยู่ เมื่อเหน็ เป็นคนขยนั แล้ว เหตุใด? จะต้องลำ� บาก ในการเล่ือนข้ันเลื่อนเงินเดือนเล่า ก็เพราะเขามิได้ขยันถูกเรื่อง ถ้าเขาขยันนอกเวลา ราชการ หรือขยันอ่านขยันท่องวิชาการกฎหมายอยู่ที่บ้านในเวลาอื่น จึงจะช่ือว่า เป็นความขยนั ในเรื่อง อีกตัวอย่างหนึ่ง ข้าราชการคนหน่ึง ในเวลาราชการนั่นเองขยันไปบ้านคนโน้น บ้านคนนี้ หาโอกาสเสนอตัวรับใช้บ้านโน้นบ้าง บ้านนี้บ้าง คนโน้นบ้าง คนนี้บ้าง เป็นการส่วนตัว หาใช่ในข้อราชการงานเมือง หรือเพ่ือประโยชน์แก่ประชาชนไม่ อย่างน้ีจะช่ือว่าขยันในกิจการอันเป็นหน้าท่ีไม่ได้ แต่เป็นข้อน่าประหลาดอย่างหน่ึง ในโลกน้ี กล่าวคือคนขยันนอกเรื่อง มักจะได้ดีกว่าคนขยันในเร่ือง หรือมักจะได ้ 119
มูลนิธเิ ฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระน่ังเกลา้ เจา้ อยหู่ ัวฯ เล่ือนขั้นเลือ่ นต�าแหน่งเลอื่ นเงินเดือนกอ่ น ทงั้ ๆ ทค่ี วามขยันตามแบบฉบับของเขา น้ัน วญิ ชู นต�าหนวิ า่ “ไมไ่ ด้ความ” แต่คนขยันนอกเรื่องมกั “ไดค้ วาม” ทกุ ท ี กรณี อยา่ งนี ้ โลกตอ้ งระมัดระวงั ใหจ้ งหนกั ทเี ดยี วด้วยวิธกี ารอนั บริสุทธ ์ิ ยุตธิ รรม มฉิ ะน้ัน จะกลายเป็นยกย่องคนท่ีควรต�าหนิ หรือต�าหนิคนที่ควรยกย่อง สังคมก็จะขาด ระเบียบ เสยี ระบบ นา� ให้พบความหายนะในท่ีสดุ ความขยันหม่ันเพียรในสิ่งท่ีเรียกว่า การงาน ข้อต้นนี้ มีลักษณะเดินหน้า เร่ือยไป ไม่หยุด เป็นการกระท�าต่อเนื่อง ไม่ใช่ขยันแบบกิ้งก่าว่ิงไปแล้วหยุด ๆ และไม่ใชล่ กั ษณะพลุท่ีสวา่ งแวบเดียวแลว้ ก็หมดกัน ความไมป่ ระมาท ๒. อัปปะมัตโต แปลว่า ไม่ประมาท ซึ่งเป็นค�าแปลเอาใจความที่เข้าใจกัน ท่ัวไป แต่การจะเข้าใจถึงความไม่ประมาทได้ชัดเจน ต้องเข้าใจถึงความประมาท เสียก่อน กล่าวคือ ความประมาทเอาไปจับกับเร่ืองอะไรเข้าเป็นต้องเกิดความ เสียหายทุกที เช่นเอาความประมาทไปจับกับทรัพย์สินเงินทอง เป็นคนสุรุ่ยสุร่าย จบั จ่ายฟ่มุ เฟอื ย ไม่ดแู ลรกั ษาหรอื หาเพิ่มเติมไว ้ ไม่ช้ากพ็ บความยากจน เปน็ เศรษฐี ไม่ตลอด เอาความประมาทไปจับกับร่างกาย ไม่ดูแลเอาใจใส่ไม่ช�าระให้สะอาด ไม่ตกแต่งตามกฎเกณฑ์ก็แก่เร็ว เอาความประมาทไปจับกับชีวิตด�าเนินชีวิตด้วย ความประมาท ไร้สติสัมปชัญญะ ก็ตายเร็ว โดยที่สุดเอาความประมาทไปจับกับ วิชาการ ไม่ทบทวนไม่แสวงหาเพมิ่ เตมิ ไม่นานก็ลืมหมด ของเกา่ ไม่ทบทวนของใหม่ ไม่หา เลยเอาดีไม่ได้ น่ีคือผลของความประมาท ไม่มีดีอะไรเลย ส่วนความไม่ ประมาทมีนัยตรงกันข้าม มีแต่คุณในท่ีทุกสถานและในกาลทุกเมื่อ แต่ค�าว่า อัปปะ มัตโต ในคุณธรรมของผู้น�านี้ มีความหมายว่า ไม่ประมาท ในเร่ืองเล็ก ๆ น้อย ๆ กล่าวคอื อยา่ เห็นวา่ เลก็ วา่ น้อยในเรอื่ งทกุ เรอื่ ง และอีกประเด็นหน่ึง อย่าเห็นแก่เลก็ แก่นอ้ ย 120
คณุ ธรรมผู้น�ำ แทจ้ ริง ในทุกเร่ืองไม่ว่าดีหรือไม่ดี ได้หรือเสียผู้น�ำหรือผู้บริหารอย่ามองว่า เล็กนอ้ ย เพราะความโตใหญ่ มันกอ่ ตวั มาจากเล็กน้อยท้งั น้นั เรอ่ื งนีท้ ่านสอนกันนัก สอนกันหนา แม้สมเด็จพระบรมศาสดา ก็ทรงสอนพุทธบริษัทเกี่ยวกับเร่ืองนี้ทั้งใน พระสูตรและพระวนิ ัย คนด่ืมสรุ าได้วนั ละขวดสองขวด ถา้ ไม่หัดดืม่ ทลี ะน้อยมาก่อน จะด่ืมอย่างไร เพราะทั้งกล่ินทั้งรส ก็ไม่ชวนด่ืมแม้แต่จิบเดียว หรือคนที่สูบบุหร ี่ วันละสองสามซองได้ ก็เพราะลองสูบมาทีละมวนเหมือนกัน ปัญหาหรือความทุกข์ ยากของผู้อยู่ใต้ปกครองหรือประชาชน ระดับผู้น�ำอย่าเห็นว่าเล็กน้อย ต้องเห็นว่า มันย่ิงใหญ่เสมอ หรือมากกว่าปัญหาหรือความทุกข์ของตัวเอง แล้วหาทางขจัด ปัดเป่าแก้ไขในทางท่ีถูกท่ีควรต่อไป แต่ถ้าผู้น�ำเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย นานวันเข้า จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ ซึ่งอาจจะเกินก�ำลังแก้ไขก็ได้ ดังนั้น อัปปะมัตโต ใน ความหมายทีห่ น่ึง คอื อย่าเห็นว่าเลก็ ว่าน้อยในทุกเร่ือง ประเด็นท่ีสอง อย่าเห็นแก่เล็กแก่น้อย นี่ย่ิงส�ำคัญนัก ท่านสอนไว้ละเอียด ทเี ดยี ว ปอ้ งกนั ไวท้ กุ อยา่ ง เพราะในเรอื่ งนถี้ า้ เอาตวั รอดได้ ตอ้ งยอมรบั วา่ ยอดเยย่ี ม มาก เพราะอะไร? เพราะธรรมดาคนท่ีเป็นผู้น�ำหรือผู้ปกครองน้ัน มักจะได้รับการ ยอมรับหรือโอนอ่อนผ่อนตามจากผู้อยู่ใต้ปกครองหรือประชาชนไม่ว่าในเรื่องใด ๆ อีกอย่างหน่ึง ต�ำแหน่งแห่งที่ผู้น�ำผู้บริหารหรือผู้ปกครองน้ัน ย่อมเป็นท่ีไหลมาแห่ง ลาภผลอามิสมากมาย เพียงแต่อยู่เฉย ๆ ทเ่ี รยี กวา่ ตามน้ำ� ดังนั้น หากไมค่ อยระวังใจ เห็นจะเอาตัวไม่รอด ย่ิงหากเป็นคนเห็นแก่เล็กแก่น้อย ย่ิงประสบความวิบัติเร็วข้ึน เพราะความเห็นแก่เล็กแก่น้อยน้ี เป็นมารดาของความทุจริตท้ังหลายทั้งปวง มีการ ฉ้อราษฎรและการบังหลวงเป็นต้น จะเห็นได้ชัดเจนว่า ท่านสอนให้ไม่ประมาท ทัง้ ในระดบั ล่างจนถงึ ระดบั สงู คอื จิตใจทเี ดียว สังคมใด ประเทศใด มีผู้น�ำทไ่ี ม่เห็นวา่ เล็กว่าน้อย และไม่เห็นแก่เล็กแก่น้อยในทุกเรื่อง สังคมนั้น ประเทศนั้น ย่อมหวัง ความเจริญวัฒนาสถาพรได้ ความเส่อื มไม่มี 121
มูลนธิ ิเฉลมิ พระเกยี รตพิ ระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกล้าเจ้าอยู่หวั ฯ ปญั ญารูเ้ ทา่ ทัน ๓. วิจักขะโณ แปลว่า มีปัญญารู้เท่าทันเหตุการณ์ ปัญญาชนิดน้ีมีลักษณะ ๓ อยา่ ง คอื อายโกศล ฉลาดรู้ทางแห่งความเจริญ อปายโกศล ฉลาดรทู้ างแหง่ ความเสอ่ื ม อุปายโกศล ฉลาดรู้วิธีแกไ้ ขเหตกุ ารณ์ ความฉลาดรู้ในทางเจริญนนั้ หมายถงึ ร้กู ้าว รู้เกาะ และร้เู ก็บ เพราะความ ก้าวหน้าเป็นเคร่ืองหมายของความเจริญ การก้าวน้ัน ถ้าจะไม่ให้พลาดต้องมีเครื่อง เกาะ ท้ังเหตุภายนอกและเหตุภายใน ความรู้ ความฉลาด ความสามารถ ความ ปฏิบตั ิชอบ เป็นเคร่อื งเกาะเพอ่ื ปอ้ งกนั ความผิดพลาดหรือลื่นลม้ สว่ นร้เู ก็บตรงข้าม กบั รูท้ ้งิ รูท้ ิ้งใชไ้ มไ่ ด้ สว่ นรเู้ กบ็ เปน็ เรอ่ื งสา� คัญ ความฉลาดรู้ในทางเสื่อมนั้น หมายถึง รู้กัน รู้แก้ เพราะความเสื่อมไม่มีใคร ชอบแม้ตัวเราเอง เมื่อไม่ชอบก็ต้องรู้จักหน้าตาของมันว่าเป็นอย่างไร เม่ือรู้แล้วจะ ได้หาทางป้องกันแก้ไข รู้กัน ต้องสั่งสอนอบรมให้มาก เพราะต้องใช้เป็นประจ�า แต่ บางคร้ังทั้งที่รู้กันนั่นแหละ มันกันไม่ไหวหรือกันไม่ได้ จึงต้องรู้แก้ ท้ังรู้กันรู้แก้ต้อง ไปดว้ ยกันเสมอ ความฉลาดรู้วิธีแก้ไขเหตุการณ์ หมายถึง รู้เท่าทันทั้งทางได้ท้ังทางเสีย อันที่ จริงเร่ืองได้เสียนี้มีประจ�าโลก ได้ไม่มีเสีย หรือเสียไม่มีได้ เห็นจะไม่มีแน่ ส่วนใคร จะได้ใครจะเสีย หรือสิ่งใดได้มา สิ่งใดเสียไปน้ัน เป็นอีกเร่ืองหนึ่ง ท่านสอนว่า ให้ เทียบเคียงดู คือเทียบได้เทียบเสียในการกระท�าอะไรลงไปตามหน้าที่ ถ้าเป็นการ เสยี เพ่อื ได ้ ควรทา� เชน่ ชาวนาลงทุนเอาขา้ วไปหวา่ นในนา แน่นอนตอ้ งเสียพันธ์ุข้าว ในเบื้องต้น แต่เป็นการเสียเพ่ือได้ข้าวในภายหน้า ส่วนได้เพ่ือเสียเป็นเร่ืองที่ต้อง ระมัดระวัง ตัวเราได้ แต่คนอื่นต้องเสียผลประโยชน์มหาศาล ผู้น�าผู้บริหารไม่ควร ทา� เลย 122
คณุ ธรรมผนู้ �ำ ปัญญาวานรกบั จระเข้ อย่างไรก็ตาม ปัญญารู้เท่าทันเหตุการณ์ ที่เรียกว่า วิจักขะโณ ข้อน้ีเป็นคุณ กวา้ งขวาง อนั เหตกุ ารณท์ ้งั หลายในอดตี เคยมมี าแล้วมิใชน่ ้อย ในปัจจบุ ันเล่า กม็ อี ยู่ เป็นไปอยู่ แม้ในอนาคต ก็จักเป็นเช่นเดียวกัน เหตุการณ์ส่วนอดีตแม้ว่าละล่วงเลย ไปแล้ว แตย่ งั ทงิ้ รอ่ งรอยเป็นบทเรียนส�ำคัญทง้ั ในสว่ นทีจ่ ะต้องยบุ ทำ� ลาย ทง้ั ในสว่ น ท่ีจะต้องรักษาไว้ ท้ังในส่วนท่ีจะต้องปรับปรุงแก้ไข เหตุการณ์ปัจจุบันมีส่วนช่วยให้ เห็นอนาคตว่าจะมีแววเป็นอย่างไร ดังน้ันการรู้เท่าทันเหตุการณ์ส่วนอดีต ปัจจุบัน ตลอดถึงอนาคตมีทางได้ก�ำไรอย่างเดียว ไม่มีทางขาดทุนเลย เป็นคุณสมบัติส�ำคัญยิ่ง ส�ำหรับ ผู้น�ำ ผู้บริหาร ผู้ปกครอง ทุกระดับ เพ่ือเพ่ิมพูนความเข้าใจชัดเจนใน เรอื่ งนี้ จะขอยกตวั อยา่ งในวานรนิ ทชาดก นิบาตชาดก ขุททกนกิ ายพระสุตตนั ปฎิ ก ดงั ตอ่ ไปนี้ ปางเม่ือพระเจ้าพรหมทัต ทรงครอบครองราชสมบัติในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์เจ้าได้ถือก�ำเนิดเกิดเป็นวานร คร้ันเจริญวัยมีร่างกายโตใหญ่เท่าลูกม้า อัสดร และมกี �ำลังแข็งแรง เทีย่ วไปท่ฝี ั่งแมน่ ำ�้ แต่ผู้เดยี ว ครงั้ น้ันมเี กาะอยู่กลางแมน่ �ำ้ เกาะหน่ึง ซึ่งสมบูรณ์ด้วยผลไม้ต่าง ๆ มีมะม่วง มะปราง เป็นต้น วานรโพธิสัตว์ ทรงก�ำลังดจุ คชสาร กระโดดจากฝั่งแมน่ ้ำ� ขา้ งนีไ้ ปพักท่กี อ้ นหิน ซ่ึงต้ังอย่กู ลางแมน่ �ำ้ แล้วกระโดดจากกอ้ นหินไปถงึ เกาะเก็บผลไมต้ ่าง ๆ กนิ ตามปรารถนา คร้นั ถึงเวลาเย็น ก็กระโดดกลับมาสู่ที่อยู่ของตน พระโพธิสัตว์ได้กระโดดไปมาอยู่ระหว่างฝั่งแม่น้�ำกับ เกาะโดยนยั นี้ทุกวนั ในกาลนั้น มีจระเข้าสองตัวผัวเมียอาศัยอยู่ในแม่น�้ำนั้น นางจระเข้ผู้ภรรยา เห็นพระโพธิสัตว์กระโดดข้ามไปมาอยู่อย่างนั้น ก�ำลังแพ้ท้องเกิดอยากกินหัวใจของ วานรโพธิสัตว์ จึงบอกจระเข้ผู้ผัว ข้างฝ่ายจระเข้ผู้ผัวก็รับปากจะไปน�ำหัวใจวานรมา ให้ในเย็นวนั น้ี วา่ แลว้ ก็ขึ้นไปนอนเกยอยู่บนกอ้ นหิน วานรโพธิสัตว์กินผลไม้ตลอดวัน แล้ว ถึงเวลาเย็นมายืนที่ริมเกาะแลดูก้อนหินซึ่งเคยกระโดดไปพักกลางน้�ำ เห็น 123
มลู นธิ เิ ฉลมิ พระเกยี รติพระบาทสมเด็จพระนง่ั เกล้าเจ้าอยหู่ วั ฯ ก้อนหนิ สูงพ้นน�้าผิดกวา่ แตก่ อ่ น จงึ รา� พึงวา่ วันนี้นา�้ ในแม่น�้าก็มิได้ลดนอ้ ยลง แลมไิ ด้ มากข้ึนกว่าปกติ เม่ือเป็นเช่นน้ี เหตุไฉนก้อนหินจึงแลดูใหญ่และสูงผิดธรรมดา ชะรอยจระเข้มานอนคอยจับเรากินเป็นแน่ พระโพธิสัตว์ด�าริดังนี้แล้ว คิดจะทดลอง ให้รู้แน่นอนก่อน จึงยืนอยู่ ณ ท่ีน้ัน ท�าทีเป็นเรียกก้อนหินว่า “ก้อนหิน ๆ” เม่ือ เรียกดังน้ถี ึง ๓ คร้งั กไ็ ม่ได้รับคา� ตอบ วานรโพธสิ ตั ว์จึงเดนิ แต้มสงู ขน้ึ ไปอกี รอ้ งตัดพ้อ ขึ้นว่า ก้อนหินเอย วันน้ีเป็นอย่างไร ทุก ๆ วันเคยทักทายกัน ก็พูดกันทุกที วันน้ี มาโกรธเคืองด้วยเร่ืองอะไรเล่า เราอุตส่าห์ร้องเรียกก็นิ่งเฉยเสีย ฝ่ายจระเข้ได้ยิน ดังนั้นส�าคัญว่า แผนเราจะพลาด ถ้านิ่งเสีย เขาคงเคยพูดกันมาแต่ก่อน วันนี้เรามา นอนทับเสีย หินจึงพูดไมไ่ ด้ หากสง่ิ ทเี่ คยเป็นมาแปรผันไปวานรจะสงสยั จึงตดั สนิ ใจ ขานตอบไปวา่ พระยาวานรทา่ นมธี รุ ะอะไรหรอื พอจระเข้ขานรบั เทา่ นนั้ พธิ ีแตกเลย วานรโพธิสตั วร์ ู้ทนั ทีว่า น่นั จระเข้มันคอยดกั จบั เรากิน จึงคดิ ต่อไปว่า ทางอื่นที่จะไป ของเราไมม่ ี จ�าเราจะลวงจระเข้ให้ตายใจ จงึ พดู ว่า นีแ่ นะ่ เจ้าตระเข้เพ่ือนรกั เราจะ บริจาคตนให้เป็นทาน ท่านจงอ้าปากคอยท่าไว้ เราจะกระโดดไปให้ตรงปากท่าน ทีเดยี ว ไมต่ ้องลา� บาก จระเข้ทา� ตาม อ้าปากคอยท่าไว้ ธรรมดาว่าจระเข้เมือ่ อา้ ปาก แล้ว ตามันจะหลับ วานรโพธิสัตว์จึงกระโดดจากเกาะเหยียบศีรษะจระเข้ แล้ว กระโดดจากท่นี ้นั ขึ้นฝง่ั แมน่ ้า� ไปเร็วดุจสายฟา แลบ ฉะน้นั จากวานรินทชาดกนี้ จะเห็นได้ว่าความรู้เท่าและรู้ทันของวานรโพธิสัตว ์ กล่าวคือ ตอนแรกเม่ือเห็นความผิดปกติของก้อนหินก็รู้ได้อย่างถี่ถ้วนว่า ต้องมีอะไร ปรากฏตรงนั้น ความสังเกตรู้อันน้ี ป้องกันมิให้ผลีผลามกระโดดลงไป นี่คือรู้เท่า ป้องกันเอาไว้ คร้ันต่อมารู้ว่าภัยปรากฏเฉพาะหน้า จึงคิดแก้ไขเพ่ือเอาตัวให้รอด ปลอดภัยให้ได้ จึงบอกจระเข้ให้อ้าปากคอยรับ เพราะรู้ทันในก�าพืดของมัน น่ีความ รู้ทนั ช่วยแก้ใหป้ ลอดภยั ไปได้ 124
คุณธรรมผนู้ �ำ จดั แจงการงานดี ๔. สุสังวิหิตะกัมมันโต แปลว่า จัดแจงการงานดี การจัดแจงการงานดีน้ัน คือท�ำงาน รวดเร็ว เรียบร้อย ได้ผลงาน เพราะมีคุณสมบัติ ๒ อย่าง คือ สามารถ ในการท�ำ ๑ สามารถในการจัด ๑ การงานจึงไม่อากูลเสียหาย ไม่เสียเวลาท�ำงาน ทำ� ไดเ้ หมาะสม ไมส่ ักแตว่ า่ ทำ� ไป ๆ ใหพ้ อวนั หน่ึง ๆ เท่าน้ัน ความสามารถในการท�ำ และความสามารถในการจัด เป็นหลักส�ำคัญที่ขาด ไม่ได้ในกิจการท้ังปวง ผู้น�ำหรือผู้ปกครองต้องท�ำได้ด้วย ต้องจัดได้ด้วย ถึงคราวท�ำ ก็ท�ำได้ ถึงคราวจัดก็จัดได้ มีบุคคลจ�ำนวนไม่น้อยท่ีเขาให้ท�ำอะไร ท�ำได้ตามสั่ง จะให้ดีอย่างไรก็ได้ แต่ถึงคราวให้จัด จัดไม่ได้ จัดไม่ถูก ส่วนบุคคลบางจ�ำพวก ไม่น้อย เช่นกัน สามารถจัดได้ แนะน�ำได้ว่าต้องท�ำอย่างนั้น ต้องท�ำอย่างน้ี พอให้ ลองท�ำดูบ้าง กลับท�ำไม่ได้ ท�ำไม่เป็น เข้าหลักที่ว่า ดีแต่พูด ดังนั้น ค�ำว่า จัดแจง การงานดีตามหลักท่ีท่านให้ไว้นี้ จึงหมายรวมถึง สามารถทั้งในการจัด สามารถ ทงั้ ในการท�ำ เรยี กงา่ ย ๆ ว่า มือเกง่ ปากเก่ง มอื ทำ� ได้ ปากสงั่ ได้ ถ้าเป็นทหารต้อง พูดว่าเป็นแม่ทัพ ด�ำเนินการรบตามแผนของเสนาธิการก็ได้ เป็นเสนาธิการวางแผน เพื่อให้ผู้อ่ืนด�ำเนินการรบก็ได้ การจัดการงานดีน้ัน นอกจากจะมีนิสัยเป็นทุนแล้ว จะต้องอาศัยการฝึกฝนขยันท�ำการงานน้ัน เป็นคนสู้งาน ไม่ใช่หนีงาน เพราะคน หนีงานมักเป็นคนโง่ หนีความรู้ความช�ำนาญท่ีตนควรมีควรได้ ส่วนคนท่ีท�ำอะไรได้ มาก ๆ เพราะเขาฝึกฝนอบรมหรือเคยดูเคยเห็น เคยสังเกตแบบอย่างมา มิใช่ว่า เกดิ มาแล้วท�ำไดท้ กุ อย่าง เกง่ ทกุ อยา่ ง จัดไดท้ ุกอยา่ ง หามิได้ ระบบการศึกษา ๔ ระบบ หลักการสังเกตก็เป็นเร่ืองใหญ่ เป็นการศึกษาหาความรู้แขนงหนึ่ง นอกจาก การศกึ ษาแขนงอน่ื กล่าวคือ ระบบการศึกษาในโลกน้ีมีอยู่ ๔ ระบบ คือ ๑. ศกึ ษาเล่าเรยี น ๒. ศึกษาอบรม 125
มลู นิธเิ ฉลมิ พระเกียรติพระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกล้าเจา้ อยู่หัวฯ ๓. ศกึ ษาสดบั ตรับฟัง ๔. ศกึ ษาสงั เกต ศึกษาเล่าเรียน เป็นระบบการศึกษาที่ใช้กันท่ัวไปในสถานศึกษาต่าง ๆ เพื่อ เป็นการสร้างความรู้ในระบบให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ ส่วนการศึกษาอบรมและการ ศึกษาสดับตรับฟัง เป็นกระบวนการเสริมประสบการณ์ให้กว้างไกลออกไป เป็นการ ต่อหตู อ่ ตาใหม้ วี สิ ยั ทศั นก์ ว้างขึน้ น่ันเอง แต่ระบบทง้ั ๓ น้ ี สู้ระบบศึกษาสังเกตไมไ่ ด ้ เพราะปรากฏว่า หลังจากมีการศึกษาเล่าเรียน ศึกษาอบรม และศึกษาสดับตรับฟัง แลว้ ขาดการสงั เกต จงึ ท�าใหเ้ ปน็ คนมคี วามรทู้ ่วมหวั แตเ่ อาตัวไม่รอดถมเถไป ดงั น้ัน การศกึ ษาสังเกต จงึ ถอื ว่าส�าคัญนัก เป็นเหตใุ หส้ ามารถทา� สามารถจดั การงานตา่ ง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความเป็นผู้สามารถท�าได้ด้วยตนเอง เป็นการแสดงถึง ศักยภาพท่ีมีอยู่ในตัว ส่วนความเป็นผู้สามารถจัด เป็นการแสดงศักยภาพนั้นให้ ปรากฏแกผ่ อู้ น่ื ผนู้ �าผู้ปกครองผู้บริหารจงึ ไม่ควรมองขา้ มคุณสมบตั ขิ อ้ นี้ คุณธรรมของผู้น�า ๔ อย่างน้ี มีความลึกซึ้งยิ่งนัก ท่ีโบราณท่านน�ามาอบรม สั่งสอนกัน เพื่อเป็นทุนไว้ในใจของผู้น�าสังคม ต้ังแต่ระดับล่างจนถึงระดับสูง หาก ผู้น�าผปู้ กครองทกุ สังคม สามารถปฏบิ ัติตามหลักทั้ง ๔ น้ไี ด ้ เช่ือได้แนว่ า่ ความเจริญ รุ่งเรือง ความม่ันคง ความม่ังค่ัง ความวัฒนาสถาพรของสังคมนั้น จะเกิดขึ้นมีข้ึน โดยไม่ยาก และความจริงก็เคยเป็นเช่นนั้นมาแล้วต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จริงอยู่ อันกลไกของการบริหาร การปกครองน้ัน มีผู้รู้แสดงทัศนะว่าจะให้ตรงอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้ ตอ้ งคดบา้ ง งอบ้าง ตามวสิ ัยและจงั หวะของมันขอ้ นี้ชอบกลอย ู่ ท่านยงั แสดง ทัศนะต่อไปว่า ตามวิถีทางการบริหารการปกครองน้ัน การคด การงออาจมีได้และ ไม่ควรต�าหนิว่าเป็นเร่ืองไม่เหมาะไม่ควร เพราะในเมื่อการคดการงอนั้น ด�าเนินไป โดยแยบคาย มุ่งประโยชน์ส่วนรวมของประชาชนเป็นใหญ่ หรือมุ่งประโยชน์ของ ประเทศชาติเป็นหลัก มีนักปราชญ์เขียนเป็นสุภาษิตไว้น่าฟังว่า “คดเข้าวง ตรงได้ เส้น งอเป็นฉาก จะเอ่ยปากติกัน ไม้อันไหน” ไม้ ๓ อันนี้เม่ือพิจารณาดูแล้วจะ 12๖
คณุ ธรรมผนู้ �ำ ติไม้อันไหนได้ หาช่องติยาก จะติว่างอ ก็งอได้ฉาก จึงขอฝากไว้ให้ผู้น�ำผู้บริหาร ผปู้ กครอง นำ� ไปคดิ เปน็ การบา้ นดว้ ย บทสรปุ ยังมีความจริงอีกอย่างหนึ่งที่ผู้น�ำผู้ปกครองผู้บริหารจะต้องตระหนักให้มาก คือความจริงที่ว่า การท่ีประชาชนหรือผู้อยู่ภายใต้การปกครองนั้น เขายอมให้ความ เคารพนับถือหรือยกย่องเชิดชูผู้น�ำผู้ปกครองนั้น นับเป็นความชอบเป็นความสมควร เช่นเดียวกับการช่วยกันสละทองเหลือง ทองค�ำ คนละเล็กละน้อย เพื่อรวมกัน หล่อพระพุทธรูปแล้วประดิษฐานไว้เป็นที่เคารพบูชาสักการะ ทุกคร้ังท่ีพวกเขาบูชา กราบไหว้ ย่อมได้รับประโยชน์ในด้านจิตใจเสมอ ถ้าสมมติว่า พระพุทธรูปเกิด อาการวิปริต ให้โทษให้ทุกข์แก่พวกเขา จะเป็นอย่างไรในกรณีเช่นนี้ จะเป็นอะไร อย่างอ่ืนไม่ได้ นอกจากเลิกกราบเลิกไหว้กัน แต่ถ้าหนักข้อข้ึน ก็อาจจะต้องทุบ ท�ำลายเลยเช่นเดียวกัน การท่ีประชาชนเขายอมให้ความเคารพนับถือหรือยกย่อง เชิดชูผู้น�ำผู้ปกครองผู้บริหารก็เพ่ือเป็นก�ำลังใจท่ีจะช่วยกันสร้างประโยชน์ให้แก่เขา และแก่สังคมส่วนรวมอย่างเต็มท่ี ไม่ใช่เพื่อให้ผู้น�ำผู้ปกครองผู้บริหารขึ้นไปยืน เดิน น่งั นอน บนหัวเขา ถา้ ผูน้ �ำผูป้ กครองผู้บริหารคดิ จะยนื เดิน น่งั นอนบนหัวชาวบ้าน ละก็ เห็นจะไม่สบายหรอก เพราะหัวชาวบ้านเล็ก สู้ยืน เดิน นั่ง นอนบนแผ่นดิน ไมไ่ ด้ สบายกวา่ โดยประการทง้ั ปวง การปกครองระบอบประชาธปิ ไตย มปี ระชาชน เป็นใหญ่ ผู้น�ำผู้ปกครองควรจะเป็นประชาชนให้มากท่ีสุด โดยมิให้เสียการงาน เสยี ระเบยี บแบบแผน จงึ จะเข้ารปู เข้ารอย ต่างจะไดช้ ่วยกันพารฐั พาราษฎร์ ก้าวไป สู่ความวัฒนาสภาพร ร่มเย็นเป็นสุข ไม่อยู่ร้อนนอนทุกข์ ประสบความม่ังมีศรีสุข ไม่ยากจนเขญ็ ใจ พ้นจากภัยภิบตั อิ ปุ ทั วนั ตราย ตลอดกาลฯ 127
ธรรมสา� หรับข้าราชการ พระธรรมธรี ราชมหามนุ ี (เท่ยี ง อคคฺ ธมฺโม ป.ธ.๙)๑ อดีตเจ้าอาวาสวดั ระฆงั นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมมฺ าสมพฺ ุทธสฺส นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมมฺ าสมฺพทุ ธสสฺ นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมมฺ าสมฺพุทธสฺส อฏุ ฐาตา กมมฺ จาเรสุ อปปฺ มตโฺ ต วจิ กขฺ โณ สสุ วํ หิ ติ กมมฺ นโฺ ต ส ราชาตี วเสต.ิ ท่านสาธุชนทั้งหลาย บัดนี้เป็นเวลาฟังธรรม จะได้บรรยายเรื่อง “ธรรม สําหรับข้าราชการ” พอเป็นเครื่องประดับสติปัญญา แก่ผู้สนใจใคร่ธรรมสืบไป ค�าว่า “ข้าราชการ” ตามความหมายทางนิติบัญญัติ ได้แก่บุคคลตามนัยระเบียบ ข้าราชการที่รัฐบาลจ้างมาท�างาน โดยกินเงินเดือนจากงบประมาณ อันมาจากภาษี อากรของราษฎร หรืออีกนัยหนึ่ง ราษฎรมอบให้รัฐบาลจ้างคนมาท�าหน้าที่ให้แก่ สว่ นรวม และเปน็ ผู้รับสนองนโยบายจากรฐั บาลมาปฏบิ ตั ิ ถ้าจะอธิบายให้ตรงกับความหมายของศัพท์เห็นจะต้องอธิบายว่า ข้าราชการ ได้แก่บุคคลที่พระราชาทรงไว้วางพระราชหฤทัย แล้วทรงแต่งต้ังให้ปฏิบัติงานแผ่นดิน ต่างพระเนตรพระกรรณ ช่วยบ�าบัดทุกข์บ�ารุงสุขแก่อาณาประชาราษฎร์ นับว่าเป็น ต�าแหน่งที่ทรงเกียรติสูง คอยรับผิดชอบด้านบริการและพิทักษ์ประโยชน์สุขให้แก่ คนท่ัวราชอาณาจักร เป็นเหตุให้ข้าราชการกับราษฎรมีข้อผูกพันต่อกัน จึงต้อง ๑ พระเถระรูปส�าคัญของประเทศ พระเดชพระคุณหลวงพ่อเที่ยง ทรงแตกฉานในพระบาลีและ พระธรรมค�าส่ังสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งนัก ขณะด�ารงธาตุขันธ์แข็งแรง ทรงเทศนา ส่ังสอนธรรมะทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยแทบทุกวัน มีผลงานค�าสอนมากมายทั้ง ร้อยแก้ว และร้อยกรอง ทรงสามารถจดจ�าบทสวดมนต์และพระคาถาต่าง ๆ ได้มากมายชนิดยาก ทจ่ี ะหาผใู้ ดเสมอเหมอื นได ้ ทรงนา� สวดมนตใ์ นพระอโุ บสถวดั ระฆงั ทกุ วนั ตราบจนกระทงั่ วาระสดุ ทา้ ย 129
มูลนิธเิ ฉลมิ พระเกียรติพระบาทสมเดจ็ พระน่งั เกล้าเจ้าอยู่หัวฯ เปน็ อนั หน่งึ อันเดียวกนั มีไมตรีจิตเอือ้ เฟ้อื ช่วยเหลอื กนั ตามค�าโบราณที่ว่า “นํ้าพ่งึ เรือ เสือพึ่งปา” น่ันแหละประเทศชาติจึงจะไปตลอดรอดฝั่ง ถ้าต่างคนต่างถือดี ดอื้ ดึงมมี านะทิฐแิ ล้วบ้านเมอื งจะลม่ จมเร็ว ประเทศไทยของเราเป็นเอกราช มีหลักการปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย เม่ือมีข้าราชการก็ต้องมีราษฎร ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน แยกจากกันไม่ได้ ถ้ามีแต่ ข้าราชการไม่มีราษฎร ประเทศชาติจะไม่มีคนเสียภาษี รัฐบาลจะไม่มีเงินจ้าง ข้าราชการ เม่ือข้าราชการท�างานแบบไม่มีเงินเดือนกิน ผลท่ีสุดก็ทนท�างานราชการ ต่อไปไม่ได้อีกเหมือนกัน เพราะราษฎรต้องท�ามาหากินทั้งวัน ขาดคนคอยพิทักษ์ ผลประโยชน์ให้บ้านเมืองก็จะระส่�าระสาย โจรผู้ร้ายชุกชุม ศัตรูภายนอกภายในจะ ก�าเริบคุกคามเอกราชอธิปไตย ผลท่ีสุดก็ไม่เป็นอันท�ามาหากิน เพราะต้องเสียเวลา มาคอยดแู ลผลประโยชนแ์ ละระวังภัยอันตรายต่าง ๆ ดว้ ยตนเอง ข้าราชการมีภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบต่องานดังกล่าว จึงต้องมีหัวใจของ ความเป็นข้าราชการ ไม่ใช่ท�างานแบบ ๓ ชาม คือ เชา้ ชาม กลางวันชาม และเย็น ชาม ต้องรู้จักฐานะของตนว่า เรากินเงินเดือนจากภาษีอากรของราษฎร คอยพิทักษ์ รักษาผลประโยชน์ให้แก่ราษฎร ไม่ใช่เป็นนายเหนือหัวคอยกดข่ีข่มเหงรังแกราษฎร ต้องรู้จักฐานะของราษฎรว่า ราษฎรเขาให้เกียรติยกย่องนับถือเรา โดยมอบความ ไว้วางใจให้เราท�างานให้เขา เพราะเขาไม่มีเวลาจะมาท�าเองบ้าง หรือเพราะเขา ไม่สามารถท�าโดยประการใด ๆ บ้าง เป็นข้าราชการต้องไม่หวาดกลัวต่ออิทธิพลมืด อิทธิพลเถื่อน อิทธิพลนอกกฎหมายเหนือกฎหมาย หรืออิทธิพลลูกตื้อโดยประการ ใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะสามัญส�านึกว่าเราเป็นคนของแผ่นดินและของราษฎร ไม่ใช่คน ของพ่อค้าหรือคนของพวกอันธพาล ต้องไม่โง่เง่าเมามายป้าเปอเซ่อเซอะ ต้องเป็น คนเขม้ แขง็ จรงิ จังตอ่ หน้าทขี่ องตน อย่าใหเ้ ข้าต�าราที่ว่า “มาแบบไทย ไปแบบฝรั่ง” ต้องรู้จักทางเสื่อมทางเจริญ ต้องรู้จักรับผิดชอบต่อผลของการกระท�าไม่ใช่รู้จักรับ แตช่ อบ สว่ นผดิ เอาไปซดั ยดั เยียดให้คนอื่น ตอ้ งรูจ้ กั เสยี สละโอบอ้อมอารีมีน้�าใจงาม ต่อราษฎรทม่ี าตดิ ตอ่ งาน ซงึ่ มที ้ังคนโง่และคนฉลาด มที ้ังคนดีและคนเลว อย่าคดิ วา่ เขาตอ้ งเหมือนเราหมดทุกคน มนั จะกลายเปน็ วา่ ข้าราชการเห็นแก่ตวั เอาใจตนเปน็ ใหญ่ และข้าราชการต้องมีขันติอดทนต่อการยั่วยุของกิเลส ซ่ึงนับเป็นปราการ ด่านสุดท้ายท่ีส�าคัญยิ่ง เพราะข้าราชการถ้าไม่มีขันติอดทนก็จะเป็นข้าราชการท่ีดี 130
ธรรมส�ำหรับขา้ ราชการ ไม่ได้ แต่จะผันเป็นอย่างอ่ืนไป เช่น ข้าราชโกง ข้าราชกิน ข้าราชกีด ข้าราชกัน และข้าราชโกย เปน็ ต้น ตามนัยสุภาษิตเบ้ืองต้น ท่านแสดงธรรมส�ำหรับข้าราชการเป็นภาษาบาลีไว้ว่า อฏุ ฐาตา กมมฺ จาเรสุ อปปฺ มตโฺ ต วิจกขฺ โณ สุสวํ หิ ิตกมมฺ นโฺ ต ส ราชวสตึ วเส ซ่ึงทางกองอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ แปลเป็นบทร้อยกรอง เพือ่ ให้เกดิ อรรถรสแบบภาษาศิลป์วา่ ขา้ ราชการหมัน่ ดไี ม่ขี้เกียจ ชอบละเอียดงานชาตไิ มข่ าดผล เอาใจใสต่ ่อจรรยารกั ษาตน ไม่เป็นคนลำ� พองใคร่ครองเมอื ง จัดการงานดนี ักรู้จกั กจิ รบั ผิดชอบงานชาติจนปราดเปรอื่ ง จึงควรท�ำราชการงานบ้านเมือง ไม่ขดั เคืองคลายร้อนนอนเตม็ ตา เมื่อถอนความตามนัยสุภาษิตเบ้ืองต้น จะได้ธรรมส�ำหรับราชการเป็น ๕ ประเด็นด้วยกัน คือ ๑. อฏุ ฐาตา กมมฺ จาเรส ุ ข้าราชการต้องขยนั ในทางปฏิบัตงิ านการ ๒. อปปฺ มตโฺ ต กมมฺ จาเรส ุ ข้าราชการต้องไม่ประมาทในทางปฏิบัติงานการ ๓. วิจกฺขโณ กมมฺ จาเรส ุ ข้าราชการต้องใช้ปัญญาสอดส่องในทางปฏิบัติ งานการ ๔. สุสํวิหติ กมมฺ นฺโต ขา้ ราชการตอ้ งเปน็ ผเู้ ตรยี มงานพรอ้ มอยู่เสมอ ๕. ส ราชวตี วเส คนเช่นนีจ้ งึ ควรรบั ราชการ ๑. อุฏฐาตา กมฺมจาเรสุ ข้าราชการต้องขยันในทางปฏิบัติการงาน อธิบาย วา่ ความขยันเป็นสญั ลักษณ์แหง่ ความกา้ วหน้า การทำ� ราชการเหมอื นการก่อตึกหรือ ก�ำแพง ซง่ึ จะต้องสงู ขึน้ ๆ โดยล�ำดบั ไมใ่ ชอ่ ย่อู ยา่ งเดมิ หรอื เตีย้ ลง ๆ คนท�ำราชการ ยศชั้นหรือเงินเดือนจะต้องเล่ือนสูงข้ึนตามอายุราชการ ไม่ใช่ปีนี้ติดยศเป็นจ่าสิบโท อีกสบิ ปหี รอื ย่ีสบิ ปีข้างหน้าก็แค่จา่ สบิ โทเทา่ เดมิ อันเปน็ การท�ำงานไมก่ ้าวหน้า จะต้อง มีข้อบกพร่องแน่นอน ข้าราชการจะเป็นเช่นว่านี้ไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องตลก มากกว่า ควรเข้มแข็งอดทนปฏิบัติงานให้ก้าวหน้า ปรับปรุงแก้ไขตนเองทุกเม่ือ อย่าปล่อยให้ความง่วงเหงาหาวนอน ความเกียจคร้าน ความอืดอาดยืดยาดเฉ่ือยชา ความหงดุ หงิดงนุ่ ง่าน และความซมึ เซาเมาข้าวสกุ มาเป็นลกู ตมุ้ ถว่ งความเจริญ 131
มลู นธิ ิเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระน่งั เกลา้ เจ้าอยู่หัวฯ อีกนัยหนึ่ง ความขยันก็ได้แก่การท�าใจของเราให้สู้งาน นั่นเอง เรียกว่า “หนักเอาเบาสู้” รางวัลของความขยันก็คือความก้าวหน้ามีอยู่มีกิน บันดาลสิ่งที่เรา ต้องการให้ส�าเร็จสมประสงค์ดีกว่าแก้วสารพัดนึกในนวนิยาย ขอขยายคุณค่าของ ความขยนั เปน็ บทร้อยกรอง ฟังอยา่ งเรียบ ๆ ห ู ดงั น้ี การทา� มาหากินไม่สน้ิ สดุ เป็นมนุษยต์ อ้ งสจู้ งึ อยไู่ หว มีอดทนเข้มแขง็ แข่งกนั ไป คนว่องไวควา้ ก่อนไม่ออ่ นเพลีย น้า� ขนึ้ จงรีบตกั อยา่ ชกั ช้า เกบ็ ผกั ปลาขายพลนั ไมท่ นั เสีย หตู าสวา่ งทั่วไม่งัวเงยี อีกลูกเมียแนะนา� เรื่องทา� กนิ มกี ิจอย่าผลดั วนั ประกันพรุง่ มานะมุง่ ตรงเปง เพ่งกสิณ ไม่จบั จดปลอ่ ยตนจนเคยชนิ บย่ ลยินร้อนหนาวคราวทา� งาน เอาตน้ ไม้ใบหญา้ พฤกษาชาติ ข้ึนดาดาษโขดเขนิ เนินละหาน ยืนกร�าแดดลมฝนคงทนทาน เปน็ อาจารย์ตวั อย่างทางฝก ตน ทรพั ยใ์ นดินสินในนา้� ช่างฉ�่าชน่ื ยังดกดน่ื ไม่เวา้ แหวง่ ทุกแหง่ หน เมอื งไทยใช่อดอยากหรอื ยากจน หากทุกคนร้จู ักหาไม่อากลู อย่าอ้างรอ้ นอา้ งหนาวให้ฉาวโฉ่ อดหัวโตชีพเราย่อมเปล่าสูญ เรง่ ศึกษาพาตนพน้ อาดูร จงเพิม่ พนู ความขยันหม่นั อบรบ ท�างานจึงมีเงินเจรญิ ทรพั ย์ อเนกนบั คณุ ค่าพาสุขสม จะไปไหนมาไหนไม่ทุกข์ตรม คนนิยมวา่ เป็นพม่ี ีศักดา รวยทองเขายอมรบั นับว่านอ้ ง ญาติก่ายกองกลา่ วถึงคะนึงหา เฝาพะนอออออื ออกฮืออา ยามพดู จาเสยี งดงั คนฟงั เกรง ทั้งไทยเทศใหเ้ กียรติไม่เดยี ดฉนั ท์ สดุ โลกันตใ์ ครไมก่ ลา้ มาข่มเหง หัวหวั เราะล่นั แบบกนั เอง เหมอื นฟังเพลงฉากสวรรคอ์ ันโอฬาร ธรุ กจิ ทกุ คนมากลน้ หลาม พดู ซักถามเมตตาอยา่ หักหาญ คอยเอือ้ เฟอ ชว่ ยเหลอื คดิ เจือจาน ข้าราชการแจ่มจ้าก้าวหน้าไว อุปสรรคของความขยันท่ีส�าคัญที่สุดก็คือความเกียจคร้าน ความเกียจคร้าน เกิดมีแก่ใครย่อมท�าให้ผู้นั้นมีสภาพคล้ายเป็นอัมพาตท้ังร่าง มืออ่อนเท้าอ่อนหยิบ อะไรไม่ได้ทา� อะไรไม่เป็น หมดกา� ลงั กายหมดก�าลงั ใจ ไมค่ ดิ ท�าอะไรใหเ้ กิดประโยชน์ แก่ตนและผู้อ่ืน มองเห็นงานทุกชนิดเป็นเรื่องใหญ่เร่ืองยากเสียท้ังสิ้น เต็มไปด้วย 132
ธรรมส�ำหรับข้าราชการ ข้ออ้างข้อแก้ตัวสารพัด หาทางหลบหลีกงานการอยู่ตลอดเวลา ถือเอาเรื่องของ ธรรมชาติ เชน่ หนาว ร้อน หิว กระหาย เจบ็ ป่วยเลก็ ๆ น้อย ๆ และวันคืนเดอื นปี เป็นต้น เป็นฉากปิดบังความเกียจคร้านของตน มีงานอะไรใหญ่น้อย คนเกียจคร้าน ขยันน้อยเป็นต้องหาข้ออ้างจนได้ ถ้าจ�ำเป็นต้องท�ำเพราะถูกบังคับหรือเจ้านาย ก�ำหนดให้ท�ำ เขาก็ท�ำอย่างคนข้ีเกียจท้ังหลายท�ำกันนั่นแหละ คือท�ำอย่างเสียไม่ได้ คือท�ำได้แต่ไม่ดี ท�ำแบบขอไปที ท�ำพอพ้นตัว ผลออกมาไม่เป็นช้ินเป็นอัน ไม่อาจ อ�ำนวยประโยชน์ตามต้องการ บางทีถ้าเขาไม่ท�ำยังดีกว่า เพราะถ้าท�ำเข้าแล้วมัน เสียมากกว่าดี งานราชการจัดว่าเป็นงานละเอียด ยากที่คนข้ีเกียจจะท�ำได้อย่าง เตม็ เม็ดเต็มหนว่ ย ฉะน้นั ขา้ ราชการผหู้ วังความกา้ วหน้า จะตอ้ งพยายามก�ำจดั ความ เกียจครา้ นของตนใหห้ มดสิน้ ไป ๒. อปฺปมตฺโต กมฺมจาเรสุ ข้าราชการต้องไม่ประมาทในทางปฏิบัติงานการ อธิบายย่อ ๆ ว่า ความประมาทพลั้งเผลอเปรียบเหมือนเหวลึก ความไม่ประมาท ไม่พลัง้ เผลอเปรียบเหมอื นสะพานข้ามเหวลกึ ขา้ ราชการคือคนที่ต้องเดินบนสะพาน เพ่ือข้ามเหวลึกนั้น ถ้าประมาทหรือเผลอเมื่อไร ก็หล่นจากสะพานตกก้นเหวลึก ตายเม่ือนั้น งานราชการจึงมีทั้งส่วนดีและส่วนเสีย ดีตอนที่เราตั้งใจท�ำงานจริง ๆ มีสติไม่ประมาท เสียตอนที่เราประมาทโดยไม่คิดว่าไม่เป็นไร ฉะนั้นจึงควรรู้ตัวอยู่ เสมอว่า ไมม่ ีใครเขาชว่ ยเราได้ เมอื่ เกิดพลั้งพลาดข้ึนมาไมม่ ใี ครสงสารหรอื เห็นใจเรา ส่วนมากชอบสมน้�ำหน้าเราบางคนก็ท�ำเฉยเสียเพราะถือว่าธุระไม่ใช่ หรือบางคน อยากเตือนเราเหมือนกันแต่ต�ำแหน่งเราสูงกว่า เขาก็ไม่กล้าแตะต้อง เลยปล่อยให ้ เราเดินพลาดตกเหวตาย ข้าราชการนั้นมีทางพลาดทุกลมหายใจ ต�ำแหน่งย่ิงใหญ่ ยิ่งสูงยิ่งพลาดได้ง่าย เผลอเขียนหนังสือหรือตัวเลขไม่ก่ีค�ำ อาจต้องออกจากงาน ติดคุกติดตะรางได้ หรืออาจเป็นการท�ำลายล้างผลาญประเทศชาติของตนเองก็ได้ ฉะน้นั สมเดจ็ พระมหาธีรราชเจา้ ทา่ นจึงประพันธค์ ำ� พูดเตอื นไว้วา่ มวั รอให้พวกพอ้ ง คอยเตือน คงไมร่ จู้ ติ เหมือน จิตได้ ใครจะทราบว่าเพ่ือน นกึ หวั่น ข้ึนนอ ตวั สเิ ตอื นตวั ไว ้ เหมาะแท้ทุกยาม ๓. วิจกฺขโณ กมฺมจาเรสุ ข้าราชการต้องใช้ปัญญาสอดส่องในทางปฏิบัต ิ งานการ อธิบายว่า ข้าราชการทุกกรมกองมีหน้าท่ีต้องเกี่ยวข้องกับคนหมู่มาก 133
มลู นธิ ิเฉลิมพระเกียรตพิ ระบาทสมเด็จพระนงั่ เกล้าเจ้าอย่หู วั ฯ ราชการด้วยกันอย่างชิงดีชิงเด่นอิจฉาริษยากัน เพราะจะพาให้ประเทศชาติพบ ภัยพิบัติ จงปฏิบัตงิ านโดยยดึ ธรรมเปน็ ใหญ่ อยา่ ถือพวกเรา พวกเขาเปน็ ใหญ่ หรอื ยึดถอื อ�านาจเปน็ ใหญ ่ จะท�าให้คนอ่ืนเกลียดชัง การเป็นข้าราชการก็เหมือนกับคนสวมใส่หัวโขน ถอดหัวโขนออกเมื่อไรเรา ก็คือคนธรรมดา หาใช่ใครที่ไหนไม่ อย่าบ้ายศหลงอ�านาจ ควรใช้ปัญญาสอดส่องให้ เห็นความจริงว่า ลาภสักการะช่ือเสียงค�าสรรเสริญเยินยอ เปรียบเหมือนก่ิงไม้หรือ ใบไม้ ไม่นานนักก็แก่เหลืองแห้งเหี่ยวและร่วงหล่น ยศต�าแหน่งเปรียบเหมือน สะเก็ดไม้อาจกะเทาะหลุดร่วงเมื่อไรก็ได้ ทรัพย์สินบริวารและนาย เปรียบเหมือน เปลือกไม้ เพราะถูกถากถูกฟันเป็นแผลอยู่ประจ�า ปัญญาเปรียบเหมือนแก่นไม ้ เพราะปรากฏอยู่ช่ัวฟ้าดิน เม่ือข้าราชการมีปัญญาสอดส่องประพฤติตัวเหมาะสม ราษฎร เพ่อื รว่ มงานและเจ้านาย ยอ่ มนับถือไว้วางใจใหค้ วามร่วมมือในทกุ กรณี ๔. สุสํวิหิตกมฺมนฺโต ข้าราชการต้องจัดการงานให้พร้อมอยู่เสมอ อธิบายว่า งานของข้าราชการเป็นงานบริการสาธารณชน เครื่องมือเครื่องใช้และบุคลากร ต้อง พร้อมเสมอที่จะอ�านวยความสะดวกแก่ราษฎร มีความคล่องตัวและฉับไวจึงจะ ทันการ ก่อนท�าและก่อนเลิกท�าควรตรวจสอบทุกครั้ง เพ่ือจะได้รู้ว่าเคร่ืองมือ เคร่ืองใช้อยู่ในสภาพพร้อมหรือไม่ ไม่ใช่พอจะลงมือท�าแต่ละครั้งต้องเสียเวลาซ่อม ขัดเช็ดถูตั้งช่ัวโมงหรือวันค่อนวัน ข้าราชการบางท่านเวลาราษฎรไปติดต่อเรื่องงาน ต้องเสียเวลารอบางทีหลายช่ัวโมงบางทีหลายวัน บางทีแรมเดือน ข้าราชการ บางท่านเม่ือเกิดปัญหาเฉพาะหน้าเลยพาลหาเร่ืองขู่ตะเพิดราษฎรผู้ไปติดต่อราชการ ก็มี บางท่านไม่เคยตรวจเคร่ืองมือเครื่องใช้ ส่วนมากเอาเวลาราชการมาเป็นเวลา คุยกัน หรือเล่นพักผ่อน น่ัง ๆ นอน ๆ เดิน ๆ เมื่อเจ้านายส่ังให้ท�างาน หรือคน มาติดต่องานต้องวิ่งหาเครื่องมือเครื่องใช้โกลาหลวุ่นวาย ท่ีเป็นเช่นนี้ก็เพราะการ เตรียมงานไม่พร้อม ไม่เคารพต่อหน้าที่ของตน ท�างานไม่ติดต่อ นึกอยากท�าก็ท�า นึกอยากหยุดก็หยุด จิตส�านึกขาดการรับผิดชอบ ไม่มีระเบียบ ท�าอย่างท้อถอย หมดอาลัยใยดี ทอดธุระ ไม่ติดไม่คุ้นในงานท่ีตนท�าอยู่ เบื่องานเพ่ือนร่วมงานและ เจ้านายเหนือชั้น ไม่คิดท�าอย่างจริงจัง แต่ท�าแบบลองของ ถึงเวลาท�าก็ไม่ท�าแบบ ต้ังใจท�า แต่ท�าแบบบังเอิญ มีนิสัยโลเลเหลาะแหละ ไม่คิดปักหลักสู้งานเพ่ือความ 134
ธรรมสำ� หรบั ขา้ ราชการ เจริญก้าวหนา้ แก่ตนเอง และประเทศชาติ ข้าราชการผู้หวงั ความเจรญิ จงึ ควรงดเวน้ โทษดังกล่าวนี้เสีย เพราะเป็นการหลอกตัวเองและราษฎร งานข้าราชการเป็นงาน ทรงเกียรติ จงอย่าท�ำลายเกียรตินั้นเสีย ราษฎรเขาหวังพึ่งเรา ควรท�ำตัวให้เขาพึ่ง เราได้ ดว้ ยการจัดงานทกุ อยา่ งใหพ้ รอ้ มส�ำเรจ็ เรยี บร้อย ๕. ส ราชวตึ วเส คนเช่นน้ีจึงควรรับราชการ ธรรมส�ำหรับข้าราชการ ข้อสุดท้ายนี้ ไม่ใช่หลักปฏิบัติแต่เป็นบทสรุปว่าข้าราชการผู้เพียบพร้อมด้วย คุณธรรม ๔ อย่างข้างต้น คือ ขยัน ไม่ประมาท มีปัญญาใคร่ครวญ และเตรียม งานการดี จึงควรรับราชการ เป็นผู้บ�ำเพ็ญประโยชน์แก่ส่วนรวมตามหน้าที่ มีชีวิต ไมส่ ูญเปล่า เพราะเท่ากับเปน็ การสนองคณุ ตอ่ ประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตรยิ ์ ยดึ คณุ ธรรม ๔ ประการนเี้ ป็นหลักใจ ช่ือว่ามธี รรมเคร่อื งปอ้ งกันภูมแิ ห่งความเสื่อม ต้ังอยู่ในประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน นับเป็นการบูชาพระรัตนตรัยด้วยธรรม ปฏบิ ัตอิ นั ประเสริฐอยา่ งแทจ้ รงิ ข้าราชการ ถือว่าเป็นผู้มีส่วนรับผิดชอบต่อประเทศชาติมากเป็นอันดับหน่ึง เพราะมีอ�ำนาจการปกครองอยู่ในมือ อาจท�ำให้บ้านเมืองเส่ือมหรือเจริญทันตาเห็น พระพุทธเจ้าทรงแสดงความประพฤติไม่เป็นธรรมของข้าราชการว่า เป็นบ่อเกิดแห่ง หายนะมากมาย โดยพระบาลีว่า ยสมฺ ึ ภกิ ขฺ เว ราชาโน อธมฺมกิ า โหนฺติ เป็นอาทิ ความว่า ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย สมัยใดผู้ใหญ่ปกครองประเทศทั้งหลายประพฤติ ไม่เป็นธรรม ข้าราชการประพฤติไม่เป็นธรรม เศรษฐีคหบดีสมณชีพราหมณ์ก็จะ ประพฤติไม่เป็นธรรมตาม ชาวบ้านชาวเมืองก็จะประพฤติไม่เป็นธรรมตาม เมื่อ คนกลุ่มใหญ่ประพฤติไม่เป็นธรรม ธรรมชาติก็จะวิปริตแปรผันไปทุกอย่าง ข้าวกล้า อาหารพืชผลสุกไม่ดีรสโอชาไม่สมบูรณ์ เม่ือมนุษย์บริโภคอาหารที่ไม่ดีเข้าไป ย่อม อายสุ นั้ ผวิ พรรณไมง่ าม ก�ำลังถดถอย มีโรคภัยไขเ้ จบ็ เบยี ดเบียนมาก ความประพฤติ ไม่เป็นธรรม แม้ไม่มีใครลงโทษแต่ธรรมชาติลงโทษเอง ข้าราชการไม่ควรท�ำตัวให้ ธรรมชาติลงโทษ เพราะท่านเป็นบุคคลที่ราษฎรยกย่องนับถืออยู่แล้ว ควรประพฤติ ธรรมอย่างย่ิง ชาวบ้านชาวเมืองจะได้เดินตาม ขอจบการบรรยาย “ธรรมส�ำหรับ ข้าราชการ” ด้วยเวลาเพียงเท่าน.ี้ 135
การเสดจ็ เยือนประเทศไทย ของสมเดจ็ พระสันตะปาปาฟรานซิส (Pope Francis) ระหวำงวันท่ี ๒๐-๒๓ พฤศจกิ ำยน ๒๕๖๒ สมั ภาษณอ์ ดตี ออท. กลุ กมุ ุท สงิ หรา ณ อยธุ ยา
ลงพระนามในสมดุ เย่ียม ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๒
การเสด็จเยอื นประเทศไทย ของสมเดจ็ พระสนั ตะปาปาฟรานซิส (Pope Francis) เมอ่ื วนั ท่ี ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ เวลา ๑๐.๐๐ น. สมเดจ็ พระสันตะปาปา ฟรานซิส แห่งนครรัฐวาติกันได้เข้าเฝ้าและมีพระปฏิสันถารกับสมเด็จพระอริยวงศา คตญาณ (อัมพร อมฺพโร) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จ พระสังฆราชพระองค์ที่ ๒๐ แหง่ กรงุ รัตนโกสินทร์ ณ วัดราชบพธิ สถติ มหาสมี าราม โดยมอี ดตี เอกอคั รราชทตู กลุ กมุ ทุ สิงหรา ณ อยธุ ยา ถวายงานเปน็ ล่ามภาษาไทย – สเปน – ไทย ร่วมกับ Sister Ana Rosa Sivori ผู้เป็น พระญาติของสมเด็จ พระสันตะปาปา ในการนี้ ทางคณะผู้จัดท�ำหนังสือจึงขอสัมภาษณ์ ออท.กุลกุมุทฯ เกี่ยวกับ ความคิดเห็น ประสบการณ์ และความประทับใจในการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว ดังน้ี คณะผูจ้ ัดทำ� หนังสือ : การเสดจ็ เยอื นประเทศไทยของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส มีความส�ำคัญอย่างไร และชว่ ยสง่ เสรมิ ประโยชน์อยา่ งไร การเสด็จเยือนต่างประเทศของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสมีความส�ำคัญ มากเนื่องจากเป็นการเสด็จเยือนในระดับสูงสุด พระองค์ไม่ใช่เป็นเพียงประมุข ของนครรัฐวาตกิ นั เทา่ นั้น แตท่ รงเป็นประมขุ ของคริสตศาสนิกชนทัง้ หมดท่วั โลก ซงึ่ มีผู้นบั ถอื จำ� นวนมากที่สดุ กวา่ ๒.๒ พนั ลา้ นคน หรือคิดเป็นสดั สว่ นเกอื บ ๑ ใน ๓ ของประชากรโลก การเสดจ็ เยอื นประเทศไทยและประเทศญ่ปี ุ่นในครัง้ น้ี จึงเป็น ที่สนใจและติดตามของคนจ�ำนวนมาก และที่ส�ำคัญ คือ ผลของการเสด็จเยือน ครง้ั นีไ้ ด้สรา้ งความสุขและความยนิ ดปี รดี าให้กับประชาชนมากกว่าการเยือนหรือ การเสด็จเยอื นอ่นื ๆ ประการที่สอง เม่ือพิจารณาในรายละเอียดของก�ำหนดการเสด็จเยือนและ พระราชกรณียกิจท่ีสมเด็จพระสันตะปาปาทรงปฏิบัตินั้น มีความส�ำคัญทางด้าน จิตใจอย่างมาก นับต้ังแต่การทาบทามการเสด็จเยือน การเตรียมการเพื่อการเสด็จ 139
มลู นิธิเฉลิมพระเกยี รตพิ ระบาทสมเด็จพระนั่งเกลา้ เจา้ อยู่หัวฯ เยือนอย่างเป็นทางการ การถวายการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติและการอ�านวย ความสะดวกอย่างเต็มท่ีของรัฐบาลไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าเฝ้าและการมี พระราชปฏิสันถารกับพระบาทสมเด็จ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวและกับสมเด็จ พระสังฆราช ตลอดจนการพบและหารือกบั ฯพณฯ นายกรฐั มนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทรโ์ อชา และคณะรฐั มนตรี การแสดงปาฐกถาและการประกอบพธิ กี รรมขอบคณุ พระผู้เป็นเจ้าของศาสนาคริสต์ (พิธีมิสซา/พิธีสหบูชามิสซา) การเสด็จเยี่ยมและ ให้ก�าลังใจแก่ผู้เจ็บป่วยท่ีโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ รวมท้ังชุมชนและเยาวชนท่ีนับถือ ศาสนาครสิ ต์ในพ้นื ทตี่ า่ ง ๆ ทง้ั ในกรงุ เทพมหานครและบรเิ วณใกล้เคียง จงึ เห็นได้ว่า ทุกวินาทีที่สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสประทับอยู่ในราชอาณาจักรไทย พระองค์ ทรงเสียสละโดยบริหารจัดการเวลาอย่างดีที่สุดเพ่ือประโยชน์สุขของคนส่วนใหญ่ อย่างไม่เหน็ดเหน่อื ย ท้งั ๆ ทที่ รงมภี ารกิจมากมายและทรงมพี ระชนมายมุ ากแลว้ ประการที่สาม การเสด็จเยือนประเทศไทยคร้ังนี้ มีความสําคัญทั้งในเชิง ของประวัตศิ าสตรแ์ ละในเชิงของสญั ลกั ษณ ์ ๔ – ๕ ประการ กล่าวคอื • เป็นการเสด็จเยือนในโอกาสที่ตรงกับวาระครบรอบ ๓๕๐ ปี ของการ ก่อตั้งคณะมิสซังสยามขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทยต้ังแต่สมัยอยุธยา ในปี พ.ศ. ๒๒๑๒ ภายใต้การผลกั ดันของบชิ อบฟรงั ซวั ส์ ปลั ลอื (Francois Pallu) และความเหน็ ชอบของฝ่ายไทย • เป็นการเสด็จเยือนท่ีตรงกับวาระครบรอบ ๕๐ ปี ของการสถาปนา ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยและนครรัฐวาติกัน ซง่ึ ได้มกี ารสถาปนาร่วมกนั เมื่อวันท่ ี ๒๖ เมษายน ๒๕๑๒ • การเสด็จเยือนคร้ังนี้ นับเป็นการเสด็จเยือนประเทศไทยเป็นครั้งท่ี ๒ ของสมเด็จพระสันตะปาปาแห่งนครรัฐวาติกัน โดยก่อนหน้านี้ สมเด็จ พระสันตะปาปาจอห์น ปอล ท่ี ๒ (Pope John Paul II) ไดเ้ สดจ็ มาเยือน ประเทศไทยเป็นคร้งั แรกระหวา่ งวันท่ี ๑๐ – ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๒๗ และ 140
การเสด็จเยอื นประเทศไทย ของสมเดจ็ พระสนั ตะปาปาฟรานซสิ (Pope Francis) ในครั้งน้ันได้ทรงมีพระราชปฏิสันถาร กับ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกา ธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และกับสมเด็จ พระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ (วาสน์ วาสโน) สมเด็จพระ สงั ฆราช พระองค์ท่ี ๑๘ แห่งกรงุ รัตนโกสินทร์ • ส่ิงท่ีน่าบันทึกไว้คือ เม่ือ ๓๕ ปีที่แล้ว สถานท่ีท่ีสมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ ๒ เข้าเฝ้าและมีพระปฏิสันถารกับสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ เป็นสถานท่ีเดียวกันกับท่ีสมเด็จพระสันตะปาปา ฟรานซิส เข้าเฝ้าและมีพระปฏิสันถารกับสมเด็จพระอริยวงศาคตญาน (อัมพร อมฺพโร) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก คือท ่ี พระอุโบสถวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร เฉพาะพระพักตร์ พระพทุ ธองั ครี ส ประธานในพระอโุ บสถ • นอกจากนี้ ในวันทส่ี มเด็จพระสนั ตะปาปาจอหน์ ปอล ท่ี ๒ เข้าเฝ้าสมเด็จ พระสังฆราชเจา้ กรมหลวงชนิ วราลงกรณ นน้ั พระราชสารสธุ ี (สมณศกั ด ิ์ ของสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบันในขณะน้ัน) ก็ร่วมอยู่ในพิธีถวายการ ตอ้ นรบั สมเดจ็ พระสนั ตะปาปาจอห์น ปอล ท่ี ๒ ด้วย ประการที่ส่ี การเสด็จเยือนประเทศไทยของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดระหว่างพุทธศาสนากับคริสตศาสนา ระหว่างราชอาณาจักรไทยกับนครรัฐวาติกัน และระหว่างผู้น�ำของประเทศไทย กับนครรัฐวาติกัน ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ทมี่ ีมาอย่างยาวนานและอย่างต่อเนื่อง ในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ต้ัง พระราชหฤทัยมุ่งม่ันและได้เสด็จพระราชด�ำเนินเยือนนครรัฐวาติกัน (แม้ว่าใน ขณะน้ันอิตาลี กับ นครรัฐวาติกัน ก�ำลังมีข้อพิพาทเร่ืองดินแดนระหว่างกันก็ตาม) ล้นเกล้ารัชกาลท่ี ๕ จึงเป็นกษัตริย์แห่งสยามประเทศพระองค์แรกที่เสด็จ พระราชด�ำเนินเยือนนครรัฐวาติกัน และเป็นพระมหากษัตริย์ที่มิได้ทรง เป็น คริสตศาสนิกชนพระองค์แรกท่ีเข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปาแห่งนครรัฐวาติกัน (Pope Leo XIII) จนเปน็ ทีก่ ล่าวขานไปทวั่ ทัง้ ทวีปยุโรป 141
มูลนิธเิ ฉลมิ พระเกยี รตพิ ระบาทสมเดจ็ พระน่ังเกล้าเจา้ อยู่หัวฯ ต่อมาในปีพ.ศ. ๒๔๗๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จ พระนางเจ้ารําไพพรรณี พระบรมราชินี ได้เสด็จพระราชด�าเนินไปเยือนนครรัฐ วาตกิ ัน และเขา้ เฝา้ สมเดจ็ พระสันตะปาปาแหง่ นครรฐั วาตกิ ัน (Pope Pius XI) และในปีพ.ศ. ๒๕๐๓ สมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช มหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้เสด็จไปเยือนนครรัฐวาติกัน และเข้าเฝ้าสมเด็จ พระสันตะปาปาแห่งนครรัฐวาติกัน (Pope John XXIII) เหตุการณใ์ นเวลาตอ่ มา ได้มีการแลกเปลีย่ นการเยือนในระดบั ต่าง ๆ รวมทงั้ พระภิกษุทรงสมณศักดิ์ของไทยหลายท่าน ได้มีโอกาสไปเยือนนครรัฐวาติกันใน โอกาสต่าง ๆ หรือตามค�าทูลเชิญ/เชิญของส�านักวาติกัน ส่ิงต่าง ๆ เหล่านี้ล้วน แสดงให้เห็นถึงสายสัมพันธ์ที่แนบแน่น มั่นคงและความร่วมมือระหว่างกันต่อไปใน อนาคตเพอ่ื ความผาสกุ ของมวลมนุษยชาติ ผมเชื่อว่า ในอนาคตอันไม่ไกลนัก เราอาจได้เห็นสมเด็จพระสังฆราชของไทย เสด็จไปเยือนนครรัฐวาติกัน เพื่อเป็นการตอบแทนการเสด็จเยือนประเทศไทยของ สมเดจ็ พระสนั ตะปาปาและเพอื่ กระชบั ความสมั พนั ธอ์ ยา่ งแนบแนน่ ระหวา่ งพทุ ธจกั ร ไทยและคริสตจักร การตอบแทนการเสด็จเยือนประเทศไทยอาจจะยังท�าได้ไม่ สะดวกนัก เพราะสมเด็จพระสังฆราชของไทย ส่วนใหญ่จะมีพระชนมายุค่อนข้างสูง การเสด็จเยือนตา่ งประเทศจงึ ต้องใชค้ วามระมดั ระวงั อย่างมาก ความสา� คัญอกี ประการทีผ่ มอยากจะขอกล่าวในท่นี ด้ี ว้ ยคอื ตามคตคิ วามเชอ่ื ของคริสตศาสนามีความเชื่อว่า การเสด็จเยือนประเทศไทยและประเทศญ่ีปุ่นของ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสในครั้งน้ีคือการให้พรของพระเป็นเจ้า เป็นการเสด็จ เยือนเพ่ืออภิบาลคุ้มครองประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น ซ่ึงก็ไม่แตกต่างจากคติ ความเชื่อของพุทธศาสนา การเสด็จเยือนของพระอริยเจ้าหรือผู้ทรงคุณอันประเสริฐ จะน�ามาซ่ึงความเป็นศิริมงคลแก่ชาติบ้านเมือง นับเป็นการแสดงความหวังดี และปรารถนาดีต่อกัน อีกท้ังยังเป็นการกระชับความสัมพันธ์ท่ีดีอยู่แล้ว ให้ดีและ แนบแนน่ ยิ่งขนึ้ อกี 142
การเสดจ็ เยือนประเทศไทย ของสมเด็จพระสนั ตะปาปาฟรานซสิ (Pope Francis) 143
ทรงแลกเปล่ยี นของที่ระลกึ
การเสดจ็ เยือนประเทศไทย ของสมเดจ็ พระสันตะปาปาฟรานซสิ (Pope Francis) ส่วนเรื่องการเสด็จเยือนของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสช่วยส่งเสริม ประโยชน์อย่างไรบ้าง ต้องขอเรียนว่าส่งเสริมประโยชน์อย่างอเนกอนันต์ครับ แต่ ผมจะขอกล่าวเพียงสังเขปว่า การเสด็จเยือนดังกล่าวเปี่ยมล้นด้วยคุณค่าทางจิตใจ อย่างหาที่สุดมิได้ นอกเหนือจากการแสดงออกถึงสัมพันธภาพและมิตรไมตรีที่ด ี ตอ่ กนั การมพี ระปฏสิ นั ถารในระดบั ตา่ ง ๆ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ กบั สมเดจ็ พระสงั ฆราช ทว่ี ัดราชบพธิ ฯ และกับผ้นู ำ� ศาสนาย่อยอืน่ ๆ ในประเทศไทยทีห่ อประชุมจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย เป็นการแสดงความใกล้ชิดและความเป็นพ่ีเป็นน้องระหว่างกันอย่างดี ทสี่ ุด เปน็ การให้เกียรติต่อกนั อยา่ งไม่ถอื พระองค์ ไมม่ ียศถาบรรดาศักดิ์ เปน็ การให้ ความเคารพอย่างเท่าเทียมซึ่งกันและกัน อีกท้ังยังเป็นที่ประจักษ์ว่า ประเทศไทย เป็นแผ่นดินแห่งพุทธศาสนาท่ีมิได้ปิดกั้นความเช่ือความศรัทธา (faith) ของ ประชาชน รฐั บาลไทยใหส้ ิทธแิ ละเสรภี าพแกป่ ระชาชนในการเลือกนบั ถือศาสนา อย่างแท้จริง โดยพระองค์ได้รู้จักและเรียนรู้เก่ียวกับประเทศไทยด้วยพระองค์เอง ขณะที่คนไทยที่นับถือศาสนาคริสต์และที่มิได้นับถือศาสนาคริสต์ ล้วนปล้ืมปีติ ร่วม อนุโมทนาสาธุ ร่วมเปล่งวาจาสาธุการ Viva il PaPa (พระสันตะปาปาทรงพระเจริญ) ตอ้ นรบั ท่านดว้ ยความยินดอี ยา่ งยง่ิ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ได้มีโอกาสแลกเปล่ียนข้อคิดเห็น ความรู้ และประสบการณ์กับสมเด็จพระสังฆราช ตลอดจนได้แสดงความคิดเห็นร่วมกัน เก่ียวกับการไม่เบียดเบียน ซึ่งกันและกัน ส่งเสริมและสนับสนุนผู้ด้อยโอกาส การ ไม่ใช้ความรุนแรง การสร้างความผาสุกแก่มวลมนุษยชาติและการอยู่ร่วมกันอย่าง สันติฯลฯ ดุจดังการส่งสัญญาณ เพื่อแสดงความรับผิดชอบชั่วดีต่อสังคมมนุษย์ เป็นการส่งความรัก ส่งความปรารถนาดีและความเอ้ืออาทรไปยังพี่น้องร่วมโลก ทกุ คน การเสด็จเยือนประเทศไทยของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส เป็นประโยชน์ และเป็นโอกาสส�ำคัญท่ีประชาชนคนไทยทั้งประเทศได้มีโอกาสร่วมช่ืนชมพระบารมี ของท่าน ช่วยให้ประชาชนคนไทยรู้จักท่านดีขึ้นและใกล้ชิดท่านมากขึ้น โดยเฉพาะ 145
มูลนิธิเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระนงั่ เกล้าเจ้าอย่หู วั ฯ สมเดจ็ พระสันตะปาปา Francis เปน็ พระสันตะปาปา พระองคท์ ่ี ๒๖๖ มีพระนามเดิมว่า Jorge Mario Bergoglio ประสตู ิ ๑๗ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ความเมตตากรณุ าปรานแี ละความเปน็ ผมู้ จี ติ ใจเออ้ื เฟอ้ื เผอื่ แผ่ ของท่านในแง่มุมหนึ่ง ขณะที่ในอีกแง่มุมหนึ่ง จะสามารถ สังเกตเห็น วัตรปฏิบัติของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ทรงไว้ซ่ึงความสมถะและประหยัดมัธยัสถ์ ดังสังเกตได้จาก รองพระบาทท่ีท่านสวมใส่ แม้จะเก่ามากและสมควรจะ เปล่ียนได้ให้สมกับสถานะของสมเด็จพระสันตะปาปาใน การเสด็จเยือนต่างประเทศ แต่พระองค์ทรงเห็นคุณค่าของ ส่งิ ของและไม่ยึดติดกบั วัตถุ เป็นตัวอยา่ งที่ดีแก่ผทู้ ไ่ี ด้พบเห็น ภาพขณะที่ท่านประทับน่ังเพ่ือถอดและสวมใส่รองพระบาท ก่อนเสดจ็ เขา้ และออกจากพระอุโบสถวัดราชบพิธฯ เหน็ แล้ว น่าประทับใจอย่างย่ิง ผมเชื่อว่าท่านได้มีโอกาสเรียนรู้และ เข้าใจขนบธรรมเนียมประเพณปี ฏบิ ตั ขิ องไทยมาอย่างดี 14๖
การเสด็จเยือนประเทศไทย ของสมเดจ็ พระสันตะปาปาฟรานซสิ (Pope Francis) คณะผ้จู ัดท�ำหนงั สอื : ขอให้ท่านทูตชว่ ยขยายความเรื่อง การแสดงออกของความเปน็ มิตรไมตรรี ะหว่างกนั ครับ ผมคิดว่าการแสดงออกของความเป็นมิตรไมตรีระหว่างกัน เริ่มขึ้นต้ังแต่ วินาทีแรก เมื่อเสียงหวอ (siren) ของรถต�ำรวจน�ำขบวนเสด็จของสมเด็จพระสันตะ ปาปาฟรานซิสเคล่ือนเข้าใกล้วัดราชบพิธฯ สมเด็จพระสังฆราชได้ทรงลุกข้ึนจาก พระเก้าอี้ท่ีประทับและเสด็จมาประทับยืนเพ่ือคอยให้การต้อนรับสมเด็จพระ สันตะปาปาฟรานซิสที่ประตูทางเข้าพระอุโบสถอย่างสมพระเกียรติและอย่างเป็น กันเอง ขณะท่ีสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช พร้อมด้วย ข้าราชการและผู้แทนระดับสูงของรัฐบาลไทย ได้ไปถวายการต้อนรับสมเด็จพระ สันตะปาปา ณ จุดที่พระองค์จะเสด็จลงจากรถพระประเทียบ ใกล้กับประตูเข้าสู่ พระอุโบสถทางด้านหน้า หลังจากน้ันสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ได้ทูลเชิญสมเด็จ พระสันตะปาปาไปยงั พระอโุ บสถ ขณะท่สี มเด็จพระสงั ฆราช ประทบั ยนื คอยใหก้ าร ต้อนรับล่วงหน้าพร้อมกับกล่าวค�ำต้อนรับสมเด็จพระสันตะปาปาด้วย พระสรวล และพระพักตร์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยมิตรไมตรีและความชื่นชมยินดี ผมจ�ำได้ว่า ท้งั สองพระองคม์ ไิ ด้สัมผัสมอื (shake hand) แบบฝรงั่ ทั่วไป แตท่ งั้ สองพระองค์ได้ ยกพระหัตถ์ท้ังสองข้างข้ึนไหว้พร้อมกันเพื่อแสดงความเคารพซ่ึงกันและกันแบบ ประเพณีไทยอย่างสวยงาม หลังจากน้ันทั้งสองพระองค์ได้เสด็จไปยังพระเก้าอ้ี ท่ีประทับซ่ึงจัดเตรียมไว้เป็นสถานที่ส�ำหรับการมีพระปฏิสันถารเบื้องหน้าพระพุทธ อังคีรส ซึ่งดูสง่างามและสมพระเกียรติอย่างย่ิง ขณะท่ีผู้แทนระดับสูงของท้ังสองฝ่าย นัง่ บนเก้าอ้ี ขนานไปกับกำ� แพงพระอุโบสถคนละฝง่ั ก่อนเข้าสู่พิธีการต้อนรับอย่างเป็นทางการ สมเด็จพระสังฆราชทรงแสดง พระราชอัธยาศัยสอบถามและแสดงความห่วงใยสมเด็จพระสันตะปาปาในการ เสด็จเดินทางโดยเคร่ืองบินเป็นเวลานานหลายชั่วโมง... ได้พักผ่อนเพียงพอ หรือไม่......หากมีอะไรขาดเหลือหรือต้องการความสนับสนุนอะไร ขอได้โปรดแจ้ง 147
มูลนธิ เิ ฉลิมพระเกยี รติพระบาทสมเดจ็ พระน่ังเกลา้ เจา้ อยู่หวั ฯ ใหท้ ราบดว้ ย... สมเดจ็ พระสนั ตะปาปาไดก้ ลา่ วตอบและขอบพระทยั สมเดจ็ พระสงั ฆราชอยา่ งยงิ่ อีกตัวอย่างหน่ึงของการแสดงออกของความเป็นมิตรไมตรี ระหว่างกันท่ีส�าคัญคือ ในช่วงท่ีสมเด็จพระสังฆราช เดินประคอง พระหัตถ์ไปส่งสมเด็จพระสันตะปาปา เม่ือถึงประตูพระอุโบสถ สมเด็จพระสังฆราช ได้กล่าวขอบพระทัยสมเด็จพระสันตะปาปา อีกคร้ังหน่ึงท่ีได้เสด็จมาเย่ียมด้วยความตื้นตันพระทัยว่า “รู้สึก ประทับใจและภูมิใจอย่างย่ิง ที่ได้มีโอกาสต้อนรับสมเด็จ พระสันตะปาปา และจะเป็นวันท่ีจารึกอยู่ในความทรงจํา ตลอดไป” ขณะที่สมเด็จพระสันตะปาปาได้ทรงกล่าวตอบว่า “ขอขอบพระทยั สมเดจ็ พระสงั ฆราชทไี่ ดใ้ หก้ ารตอ้ นรบั อยา่ งดยี ง่ิ พระองค์สามารถตระหนักรู้ถึงความยินดีและความจริงใจใน การต้อนรับจากพระสรวลของสมเด็จพระสังฆราช ท่ีเปี่ยมไป ดว้ ยพระเมตตาธรรม” 148
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166