Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสืองานถวายผ้ากฐินพระราชทาน ณ วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร

หนังสืองานถวายผ้ากฐินพระราชทาน ณ วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร

Description: หนังสืองานถวายผ้ากฐินพระราชทาน ณ วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร

Search

Read the Text Version

พระบรมรปู พระเจา้ ตากสนิ ตา� หนกั แดง มหาราชประดิษฐานใน พระตา� หนักแดง หอพระไตรปฎกหลังเลก็

พระวิหาร ๓ สมเดจ็ บรเิ วณดา้ นหนา้ พระอุโบสถ พระวิหารปฐมสมเด็จพระสงั ฆราช (ศรี) บรเิ วณดา้ นหนา้ พระอโุ บสถ

สภาพฐานะและทต่ี ัง้ ของวดั วัดระฆังโฆสิตาราม เปน็ พระอารามหลวงช้ันโท ชนดิ วรมหาวหิ าร ตั้งอยเู่ ลขที่ ๒๕๐ ถนน อรณุ อมรินทร์ แขวงศริ ิราช เขตบางกอกน้อย จงั หวัดกรุงเทพมหานคร สงั กดั คณะสงฆ์ มหานิกาย ที่ดินท่ีตั้งวัดมีเนื้อท่ี ๓๑ ไร่ ๑ งาน ๑๓ ตารางวา ประวัตคิ วามเปน็ มา วดั ระฆังโฆสติ าราม เดมิ เรยี กวา่ วัดบางหว้าใหญ่ เปน็ วัดโบราณครง้ั กรุงศรอี ยธุ ยา เป็นราชธานี คู่กับวัดบางหว้าน้อย คือ วัดอมรินทราราม ปีพุทธศักราช ๒๓๑๐ กรุงศรีอยุธยาเสียกรุงแก่พม่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้ทรงกู้อิสรภาพ ของไทยกลับคืนมาได้ และเสด็จข้ึนครองราชสมบัติ พร้อมกับตั้งพระนครหลวง ขน้ึ ใหม่เรยี กวา่ กรงุ ธนบรุ ี เม่อื วนั ท่ี ๒๘ ธันวาคม พุทธศกั ราช ๒๓๑๐ พทุ ธศักราช ๒๓๑๒ หลังจากทท่ี รงข้ึนครองราชยแ์ ลว้ ก็ทรงใฝพ่ ระทัยเป็นธรุ ะ ในพระพุทธศาสนา พระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์ยกวัดบางหว้าใหญ่ซ่ึงเดิม เป็นวัดราษฎร์ข้ึนเป็นพระอารามหลวง และทรงมีพระราชปรารภว่า พระไตรปิฎก คงกระจัดกระจายเสียหายเมื่อคร้ังเสียกรุงศรีอยุธยาให้แก่พม่า เพราะพม่าได้เผา บ้านเมืองและวัดวาอารามพินาศลง จึงมีพระราชประสงค์จะรวบรวมช�ำระสอบทาน พระไตรปิฎกนั้นให้ถูกต้องครบถ้วนตามเดิม และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ ไปอัญเชิญพระไตรปิฎกจากเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งยังมีบริบูรณ์อยู่เพราะพม่า ยังไปท�ำลายไม่ถึง ประจวบกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีต้องเสด็จพระราชด�ำเนินไป ท�ำสงครามท่ีเมืองนครศรีธรรมราช เม่ือเสร็จราชการสงครามแล้วได้ทรงพบ พระอาจารย์รูปหนึ่งมีช่ือว่า พระอาจารย์สี แต่เดิมพระอาจารย์สีรูปน้ีอยู่ประจ�ำที่ วัดพนัญเชิง แขวงเมืองกรุงเก่า เป็นผู้มีความสามารถแตกฉานในพระไตรปิฎก ท้ัง เป็นผู้ทรงคุณทางวิปัสสนาธุระ ซ่ึงพระองค์ทรงรู้จักดี เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า แล้ว ทา่ นได้หลีกไปอยูท่ ี่เมอื งนครศรธี รรมราช 51

มูลนธิ เิ ฉลิมพระเกยี รติพระบาทสมเดจ็ พระนั่งเกลา้ เจา้ อยู่หัวฯ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงให้รวบรวมพระไตรปิฎกจากนครศรีธรรมราช ได้แล้ว เสด็จกลับกรุงธนบุรีพร้อมกันนั้นก็ได้อาราธนาพระอาจารย์สีร่วมมาใน ขบวนน้ันด้วยและโปรดเกล้าฯ ให้ครองวัดบางหว้าใหญ่ พร้อมท้ังทรงต้ังให้เป็น สมเด็จพระสังฆราชด้วย กาลตอ่ มาไดม้ พี ระราชดา� รสั สงั่ ใหพ้ ระเถรานเุ ถระมาประชมุ กนั ทวี่ ดั บางหวา้ ใหญ่ อีก แล้วทรงอาราธนาให้พระเถรานุเถระทั้งหลาย มีสมเด็จพระสังฆราช (สี) เป็น ประธาน ทรงขอให้รับธุระสอบทานพระไตรปิฎกจึงได้มีการสังคายนาพระไตรปิฎก จนส�าเร็จเรียบร้อยบริบูรณ์ เป็นต้นฉบับที่ถูกต้องตามพระราชประสงค์ ณ วัด บางหวา้ ใหญ่ สมัยกรงุ ธนบุรเี ปน็ ราชธานี ขณะนัน้ พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟา้ จุฬาโลก มีพระชนม์ได้ ๓๓ พรรษา รับราชการอยู่ในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี มีบรรดาศักด์ิ เปน็ พระราชวรนิ ทร์ ต�าแหน่งเจ้ากรมพระต�ารวจนอกขวา ทรงย้ายจากบ้านอมั พวา จังหวัดสมทุ รสงคราม มาต้งั นวิ าสสถานอยูใ่ กล้ ๆ กับพระราชวังของสมเดจ็ พระเจา้ กรุงธนบรุ ี (ปัจจบุ ันคอื กรมอทู่ หารเรอื ) ต่อมาได้รับพระกระแสรับสั่งของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีให้เป็นแม่ทัพ ไปตีเมืองโคราช ท่านจึงส่ังให้ร้ือหอพระต�าหนักกับหอประทับน่ังมาปลูกถวายไว้ที่ วัดบางหว้าใหญ่ ทางด้านทิศตะวันตกของพระอุโบสถ หลังคามุงจาก ฝาส�าหรวด กั้นห้องด้วยกระแชง ท้ังนี้ตามความตั้งพระทัยไว้แต่เดิมว่าจะยกถวายวัด (ปัจจุบัน พระอุโบสถหลงั เกา่ ยกข้ึนเป็นพระวหิ าร) เม่ือล่วงรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีแล้ว พระบาทสมเด็จพระ พุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ แล้วได้ ทรงย้ายเมืองหลวงจากกรุงธนบุรีมาต้ังใหม่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น�้าเจ้าพระยา เรยี กช่ือวา่ กรงุ เทพมหานคร อมรรตั นโกสินทร์ฯ และทรงโปรดเกลา้ ฯ ให้อาราธนา สมเด็จพระสังฆราช (สี) ที่ถูกถอดยศในสมัยของพระเจ้ากรุงธนบุรี มาครองวัด บางหว้าใหญ่ตามเดิม และรับสั่งให้พระสงฆ์วัดบางหว้าใหญ่และวัดโพธาราม 52

ประวัตวิ ดั ระฆงั โฆสติ าราม (ปจั จบุ นั คอื วัดพระเชตพุ นวมิ ลมงั คลาราม) เขา้ รับบณิ ฑบาตในพระบรมมหาราชวัง ผลัดเวรกันวัดละ ๗ วัน สมเด็จพระสังฆราช (สี) นี้ จึงนับว่าเป็นปฐมสังฆราชแห่ง กรุงรัตนโกสินทร์ ต่อมาพระบาทสสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงเจริญด้วยพระราชศรัทธา ทรงบริจาคพระราชทรัพย์เป็นค่าจ้างจารจารึกพระไตรปิฎกลงในใบลานเป็นอักษร ขอม เสร็จแล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้น�ำไปถวายไว้ตามพระอารามหลวง ทุกพระอาราม ยิ่งกว่าน้ันทรงมีพระราชด�ำริว่า “มูลฐานแห่งพระพุทธศาสนาคือ พระไตรปิฎก ควรจะได้ช�ำระสอบทานเสียใหม่ อย่าให้อักขระพยัญชนะวิปลาส คลาดเคลื่อน ถ้าท้ิงไว้นานไปเบื้องหน้า สิ้นพระเถรานุเถระเหล่าน้ีแล้วพระไตรปิฎก จะวิปลาส การพระศาสนาจะเสื่อมโทรม” ฉะน้ัน จึงได้เลือกพระภิกษุผู้แตกฉานใน พระไตรปิฎกได้ ๒๑๘ รูป ราชบัณฑิตอีก ๓๒ ท่าน เป็นคณะท่ีจะท�ำสังคายนา พระไตรปิฎก และได้มีพระราชด�ำรัสสั่งให้จัดวัดนิพพานาราม ซึ่งเปล่ียนช่ือเป็น วัดพระศรีสรรเพชญดาราม (ปัจจุบัน คือ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษด์ิ) เป็นสถานที่ ท�ำสงั คายนา ครัน้ ถึงวันเพญ็ เดอื น ๑๒ ปวี อก สัมฤทธิศก พทุ ธศักราช ๒๓๓๑ เวลาบา่ ย ๓ นาฬิกา มีพระราชด�ำรัสสั่งให้อาราธนาพระสงฆ์การกะ มีสมเด็จพระสังฆราช (สี) เป็นประธาน ประชุมพร้อมกันในพระอุโบสถวัดพระศรีสรรเพชญดาราม พระสงฆ์ เถรานุเถระท้ังปวงพร้อมด้วยราชบัณฑิตประชุมกันช�ำระสอบทานพระไตรปิฎก ส้ินเวลาถึง ๕ เดือน จึงเสร็จการสังคายนาสมพระราชประสงค์ นับเป็นครั้งท่ี ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชแห่งวัดบางหว้าใหญ่ได้เป็นประธาน ร่วมกจิ พระศาสนาในครงั้ นน้ั อนึ่ง พระบาทสสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เมื่อได้ทรงเป็นองค์ศาสนูป ถัมภกในการสังคายนาแล้ว ได้มีพระราชปรารภถึงพระต�ำหนักและหอประทับนั่งที่ ได้ร้ือไปปลูกไว้ที่วัดบางหว้าใหญ่ สมัยที่พระองค์ทรงพระยศเป็นพระราชวรินทร์ รับราชการในสมเดจ็ พระเจ้ากรุงธนบรุ ี ทรงมพี ระราชประสงคจ์ ะปฏสิ ังขรณป์ รบั ปรงุ ให้มั่นคงสวยงามยิ่งขึ้น พร้อมท้ังมีพระราชประสงค์จะยกข้ึนเป็นหอพระไตรปิฎก 53

มูลนธิ ิเฉลมิ พระเกียรติพระบาทสมเดจ็ พระน่งั เกล้าเจ้าอยหู่ ัวฯ จึงทรงมีพระราชกระแสรับส่ังให้สืบถามเร่ืองระฆังของวัดบางหว้าใหญ่ซ่ึงเป็น ระฆังท่ีมีเสียงไพเราะยิ่งนัก ท่ีขุดได้ในวัดนั้นว่าขุดได้ ณ ท่ีใด และได้ทรงทราบจาก พระเถระผู้เฒ่าว่า ขุดได้ทางทิศพายัพของพระอุโปสถ (ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของ พระอุโบสถหลังเก่า) จึงมีพระราชด�ารัสส่ังให้ขุดสระข้ึนในท่ีขุดพบระฆังนั้น โดย รับสั่งให้สร้างเขื่อนรอบสระ เรียงอิฐก่อด้วยดินเหนียว (ปัจจุบันน้ีทางวัดได้เอาปูน โบกกั้นกันดินทลายลง) เม่ือปรับปรุงสถานท่ีเสร็จแล้ว จึงรับส่ังให้ร้ือพระต�าหนัก และหอประทับนั่งจากที่เดิมมาปลูกลงในสระ เป็นรูปเรือน ๓ หลังแฝด หอด้านใต้ ลักษณะเป็นหอนอน หอกลางเป็นห้องโถง หอด้านเหนือเข้าใจว่าเป็นห้องรับแขก ของเดมิ เป็นหลังคามงุ จาก ได้เปลย่ี นเป็นมงุ กระเบื้อง ชายคาเปน็ รูปเทพพนมเรียงราย เปน็ ระยะ ๆ เปล่ยี นฝาสา� หรวดไม้ขัดแตะเสยี บกระแชงเป็นขัดด้วยหนา้ กระดานไมส้ ัก ระหว่างลูกสกล ใช้แผ่นกระดานไม้สักเลียบฝาภายในแล้วเขียนรูปภาพต่าง ๆ บานประตูด้านใต้เขียนลายรดน�้า บานประตูหอกลางด้านตะวันออกแกะเป็นลาย กนกวายุภักษ์ ประกอบด้วยกนกเครือเถา บานซุ้มประตูนอกชานแกะเป็นมังกร ลายกนกดอกไม้ ภายนอกติดคันทวยสวยงาม เสร็จแล้วทรงสร้างตู้พระไตรปิฎก ขนาดใหญ่เขียนลายรดน้�า ๒ ตู้ เพ่ือให้สมกับท่ีได้ตั้งพระไตรปิฎก และประดิษฐาน ไว้ในหอดา้ นเหนอื ๑ ตู้ หอดา้ นใต้ ๑ ตู้ กิจกรรมเนอ่ื งด้วยหอพระไตรปิฎกน้ที รงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อยู่ในความ ควบคุมของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เม่ือคร้ังยังด�ารงพระอิสริยยศ เป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร เป็นผู้อ�านวยการสร้าง โดยเฉพาะลายรดน้�าและลายแกะสลัก นัยว่าเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ กับครูช่าง ท่มี าจากกรงุ ศรอี ยธุ ยา เม่ือการปฏิสังขรณ์ซ่อมสร้างเสร็จแล้ว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ จัดพระราชพิธีฉลองหอพระไตรปิฎก และเสด็จพระราชด�าเนินมาทรงบ�าเพ็ญ พระราชกุศลด้วยพระองค์เองเม่ือทรงบ�าเพ็ญพระราชกุศลแล้วได้ทรงปลูกต้นจันทน์ ไว้รอบสระ ๘ ตน้ (ปัจจบุ ันเหลือเพียงตน้ เดยี ว) เสรจ็ แลว้ ทรงประกาศพระราชอุทศิ ให้เป็นหอพระไตรปิฎก แต่มีผู้เรียกกันว่า ต�าหนักจันทน์ และทรงขอระฆังเสียงดี 54

ประวัติวัดระฆังโฆสติ าราม ลูกน้ันไปไว้ท่ีวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทรง สร้างหอระฆังจตุรมุขพร้อมทั้งระฆังอีก ๕ ลูก พระราชทานไว้แทน เพราะเหตุแห่งการขุด ระฆังได้ จึงได้ชื่อตามท่ีประชาชนเรียกว่า วัด ระฆัง ต้ังแตน่ น้ั มา มีเร่ืองเล่ากันว่า พระบาทสมเด็จพระ จอมเกล้าเจา้ อยหู่ วั รชั กาลท่ี ๔ จะทรงเปล่ียน ชื่อเป็น วัดคัณฑิการาม แต่ช่ือน้ีไม่มีใครเรียก จึงเปน็ ชอ่ื วดั ระฆงั ตามเดมิ ในยุคต้นแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ วัด บางหว้าใหญ่นี้เป็นวัดในความอุปถัมภ์ของ เจ้านายในวังหลัง สมเด็จเจ้าฟ้าหญิง กรม พระยาเทพสุดาวดี พระนามเดิม สา เป็น สมเด็จพระพี่นางพระองค์ใหญ่ของพระบาท สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และเป็น พระชนนีของกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข (วังหลัง) ทรงมีต�ำหนักท่ีประทับอยู่ใกล้กับ วัดบางหว้าใหญ่ จึงได้ทรงปฏิสังขรณ์ทั่ว พระอาราม ส่วนพระบาทสมเด็จพระพุทธ ยอดฟ้าจุฬาโลกเจริญด้วยพระราชศรัทธาได้ ทรงสร้างพระปรางค์ใหญ่ข้ึน ๑ องค์ ที่หน้า พระอุโบสถ (หลงั เกา่ ) พระราชทานช่วยสมเด็จ พระพ่ีนางพระองค์น้ันและได้มีพระราชดำ� รัสสั่ง ให้รื้อต�ำหนักปิดทองท่ีเรียกกันว่า ต�ำหนักทอง อันเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ซึ่งต้ังอยู่ในพระราชวังเดิมมาปลูกไว้ท่ีวัดระฆัง 55

มลู นธิ ิเฉลมิ พระเกยี รตพิ ระบาทสมเดจ็ พระนั่งเกล้าเจา้ อยู่หัวฯ โฆสติ าราม ทางดา้ นทิศใตข้ องพระอุโบสถ ทรงอุทศิ เปน็ สงั ฆบูชาถวายใหเ้ ปน็ ที่ประทับ ของสมเด็จพระสังฆราช (สี) กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข เจ้าฟ้ากรมหลวง อนุรักษ์เทเวศร์ พระนามเดิมว่า ทองอิน ซ่ึงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จเจ้าฟ้าหญิง กรมพระยาเทพสุดาวดี ทรงถวายต�าหนักแดงหน่ึงหลัง ฝารูปปะกน กว้างประมาณ ๔ วาเศษ ระเบียงกว้างประมาณ ๑ วา ๒ ศอก ยาวประมาณ ๘ วาเศษ ฝา ประจัน ห้องเขียนรูปภาพอสุภต่าง ๆ ชนิด มีภาพพระภิกษุเจริญอสุภกรรมฐาน เด๋ยี วน้ภี าพเหลา่ นน้ั สญู หายหมดแล้ว คงอยู่แตต่ �าหนกั สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดา� รงราชานุภาพ กบั สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เคยเสด็จทอดพระเนตร และทรงมีพระด�ารัสว่า กุฏิ หลังนี้ แต่เดิมเปน็ ทปี่ ระทับทรงกรรมฐานของพระเจา้ กรงุ ธนบรุ ี เรียกกันว่า ต�าหนัก แดง ต้งั อยู่ทางดา้ นทิศตะวันออกเฉียงเหนอื ของพระอโุ บสถหลงั ใหม่ พระพุทธรปู ภายใน พระวิหาร พุทธศักราช ๒๓๓๗ สมเด็จ สมเด็จพระสงั ฆราช (สี) พระสังฆราช (สี) ส้ินพระชนม์ เมื่อทรง พระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ พระราชทานเพลิง แลว้ โปรดให้อญั เชญิ พระอฐั มิ าบรรจไุ วใ้ น รปู พระศรอี ารยิ แ์ ลว้ ยกขน้ึ ประดษิ ฐานไวบ้ น มุขของพระปรางคท์ ิศตะวันออก (ปัจจุบนั รูปพระศรีอาริย์ ประดิษฐานอยู่ท่ีวิหาร สมเดจ็ พระสังฆราช (ส)ี ปันรูปพัดยศติดที่ ซุ้มมุขเป็นเครื่องหมายพระยศ พระแท่น บุษบกมาลาลายรดน�้า กระจังลายแกะ ปิดทอง เป็นพระแท่นท่ีประทับตาม พระเกียรติยศของสมเด็จพระสังฆราช และเสล่ียงร้วั งา ของทง้ั สองอย่างนีย้ งั รกั ษา ไว้ในวัดระฆังโฆสิตาราม (ห้องพิพิธภัณฑ์) เพราะทางราชการในอดีตไมไ่ ดเ้ รียกคืน 56

ประวตั วิ ัดระฆังโฆสิตาราม ต ่ อ ม า พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ พุ ท ธ ย อ ด ฟ ้ า จุ ฬ า โ ล ก ท ร ง พระประชวร ใกล้จะสวรรคต จึงมี พระราชดำ� รสั สงั่ วา่ ฉตั รกนั้ พระเมรุ เมื่อเสร็จการพระเมรุแล้ว ขอให้ น�ำไปถวายพระประธานวัดระฆัง คร้ันถึงวันพฤหัสบดี แรม ๓ ค�่ำ เดอื น ๙ พุทธศกั ราช ๒๓๕๒ ก็เสดจ็ สวรรคต เหตุน้ีฉตั รกน้ั พระประธาน ในพระอุโบสถวัดระฆังโฆสิตาราม จึงเป็นเศวตฉตั ร ๙ ช้ัน 57

มูลนิธเิ ฉลิมพระเกยี รตพิ ระบาทสมเดจ็ พระนั่งเกล้าเจา้ อยู่หัวฯ แต่เดิมเศวตฉัตรองค์น้ีกั้นถวายพระประธานในพระอุโบสถหลังเก่า (ปัจจุบัน เป็นพระวิหาร) ต่อมาในรัชกาลที่ ๓ เกิดไฟไหม้เสนาสนะสงฆ์ ลุกลามต้ังแต่ทิศใต้ อ้อมไปจนถึงทิศตะวันตก ใกล้จะถึงต�าหนักจันทน์ (หอพระไตรปิฎก) ไฟจึงดับลง ต�าหนักทองซง่ึ เคยเปน็ ท่ปี ระทับของสมเดจ็ พระเจ้าตากสนิ มหาราชในพระราชวงั เดิม ท่ีพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดให้ร้ือมาปลูกไว้ท่ีวัดระฆังโฆสิตาราม ก็ถูกไฟไหม้ด้วย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระอุโบสถขึ้นใหม่ และขยายเขตวัดทางด้านทิศเหนือให้กว้างออกไป พร้อมกันนั้น กรมหมื่นนราเทเวศร์ (ได้ทรงกรมหลวงในรัชกาลท่ี ๓) พระโอรสใน กรมพระราชวงั หลงั เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ ได้ทรงสร้างพระเจดีย์โดยเสด็จ พระราชกุศลกรมละหนึ่งองค์ภายในก�าแพงพระอุโบสถด้านทิศเหนือ และได้ทรง สร้างเสนาสนะสงฆ์เพ่ิมขึ้นอีกในเนื้อที่ท่ีได้ขยายออกไป ได้อัญเชิญพระประธานหล่อ มาประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถที่ทรงสร้างขึ้นใหม่จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ใหน้ า� เศวตฉัตรในพระอุโบสถหลงั เกา่ มากน้ั พระประธานองค์ใหม่ พระประธานองคเ์ ก่าน้ัน ของเดมิ องค์เลก็ ปันดว้ ยปูน มีเสาหนิ ขนาดยอ่ มเปน็ แกน ไม่ใหญ่โตอย่างเด๋ียวน้ี และผุพังทรุดโทรมมาก สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ม.ร.ว.เจริญ อศิ รางกรู ) ครง้ั ยังดา� รงสมณศักดิเ์ ปน็ พระธรรมไตรโลกาจารย์ เจา้ อาวาส วัดระฆังโฆสิตาราม ได้ให้ช่างปันชาวบ้านช่างหล่อหลายคนด้วยกันท่ีสืบได้ ๑ คน คือนายจ�าเริญ พัฒนางกูร ร่วมกันปันรูปพระประธานทับพระประธานองค์เก่าจึงดู ใหญโ่ ตข้นึ จนไมน่ ่าเชอื่ วา่ จะใช้เศวตฉตั รองค์น้กี นั้ ถวายได้ สว่ นพระประธานองคป์ จั จบุ ันนี้ สืบไมไ่ ด้ความวา่ น�ามาจากไหน เปน็ แต่ไดร้ บั คา� บอกเลา่ จากพระครเู มธังกร (ทอง) วา่ สมเด็จพระพทุ ธโฆษาจารย์ (ม.ร.ว.จ�าเรญิ อิศรางกูร) ได้เล่าให้ฟังว่า สมเด็จฯ เมื่อยังด�ารงต�าแหน่งพระราชาคณะช้ันเทพ ได้ ถามพระผู้เฒ่ารูปหนึ่งถึงเร่ืองพระประธาน พระผู้เฒ่ารูปนั้นทั้งชาววัดและชาวบ้าน เรียกท่านว่า เสด็จสระ เพราะท่านอยู่บนหอไตรที่ต้ังอยู่ในสระ ความจริงท่านไม่ได้ เปน็ เจ้าเปน็ นายอะไร เปน็ เพราะหม่อมเจ้าพระพทุ ธบาทปิลันธน์ (ม.จ.ทัด เสนีวงศ์) อดีตเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม เรียกท่านว่าหลวงพี่ ท่านก็เลยต้ังความนับถือ 5๘

ประวัติวดั ระฆังโฆสิตาราม ตัวเองเป็นเจ้า ประกอบกับท่านมีสติคุ้มดีคุ้มร้ายอยู่ด้วย เมื่อใครจะพูดจะถามกับ ท่านต้องเรียกว่า เสด็จ ถ้าไม่เรียกอย่างน้ันจะไม่ยอมพูดด้วย พระผู้เฒ่ารูปน้ีแหละ ได้เรียนให้สมเด็จฯ ทราบว่า เม่ือท่านยังเป็นเด็กรู้ความแล้ว เห็นเขาขนพระเป็น ทอ่ น ๆ ใสเ่ รือมาขนึ้ ท่ที า่ ต้นโศก (ท่รี มิ เข่ือนหนา้ วัดระฆงั โฆสิตาราม ใกล้ศาลาท่าน้�ำ วัดมีต้นโศกต้นใหญ่ประมาณ ๒ อ้อมเศษ ปัจจุบันไม่มีแล้ว) แล้วขนเอาไปใน พระอุโบสถ ทราบเพียงเท่านี้ สมเด็จฯ จึงทราบว่าพระประธานในพระอุโบสถ วัดระฆังโฆสติ ารามเปน็ พระหล่อไม่ใช่พระปูนน้ัน พระประธานองค์น้ี เป็นพระพุทธรูปเนื้อทองส�ำริด ปางสมาธิ หน้าตักกว้าง ประมาณ ๔ ศอกเศษ เบื้องพระหัตถ์มีรูปพระสาวก ๓ องค์ นั่งประนมมือดุจรับ พระพุทธโอวาท พระประธานองค์นี้ได้รับการยกย่องว่างามมาก จนเป็นที่ปรากฏ ในกระแสพระราชด�ำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช ในคราวเสด็จพระราชด�ำเนินมาถวาย ผ้าพระกฐิน ณ วัดระฆังโฆสิตาราม ได้มีพระราชด�ำรัสแก่ผู้เข้าเฝ้าฯ ใกล้ชิดว่า ไปวัดไหนไม่เหมือนมาวัดระฆัง พอเข้าประตูโบสถ์ พระประธานย้ิมรับฟ้าทุกที ด้วยเหตุนี้จึงทรงถวายเคร่ืองราชอิสริยาภรณ์นพรัตนราชวราภรณ์ และมหาปรมาภรณ์ ช้างเผือกแด่พระประธานองค์นี้เป็นพิเศษและพระราชด�ำรัสนี้เป็นท่ีซาบซ้ึง ได้เล่า สืบกันมาจนทุกวันนี้ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณท่ีทางวัดระฆังโฆสิตารามได้รับ พระราชทานมา เศวตฉตั รองค์นี้ ของเดมิ เปน็ ผา้ ตาดขาวเก่ามาก พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกล้า เจ้าอยู่หัว พระมหาธีรราชเจ้า ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปล่ียนเป็นผ้าขาว ลายฉลุปิดทองใช้โครงของเก่า และในปีพุทธศักราช ๒๕๐๔ ได้มีการเปลี่ยนผ้าให้ เป็นตามแบบเดิมอีกครั้งหน่ึงโดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลท่ี ๙ ได้ ทรงพระกรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้เปล่ียนใหม่ เพราะเก่ามาก ซึ่งนับว่าเป็น พระมหากรุณาธิคุณ เนื่องด้วยมหากุศลล่าสุดเปลี่ยนอีกคร้ังเมื่อวันท่ี ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ 59

มลู นธิ ิเฉลมิ พระเกียรตพิ ระบาทสมเด็จพระน่งั เกล้าเจา้ อยหู่ ัวฯ อนึ่ง เศวตฉตั รนีเ้ ป็นฉตั ร ๙ ชั้น มีผู้คนพูดกันต่อ ๆ มาว่า มีพระอัฐิ หรือพระอังคาร ของเจ้านายผู้สูงศักดิ์ บรรจุอยู่ใต้ฐานพระประธาน แต่ก็ได้ ความไมแ่ นน่ อนนกั วา่ เปน็ ของเจา้ นาย พระองค์ใด ถ้าพิจารณาตามพระราช พิธีทักษิณานุประทานงานสงกรานต์ สดับปกรณ์ผ้าคู่ท่ีพระที่น่ังอมรินทร วินิจฉัยแล้ว เจ้าอาวาส หรือผู้ช่วย เจา้ อาวาสมกั สดบั ปกรณป์ ระจา� พระอฐั ิ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิง กรมพระยาเทพ สุดาวดี สมเด็จพระพี่นางพระองค์ใหญ่ ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลก บางปีก็เปล่ียนเป็นประจ�า พระอัฐิสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก ผูท้ รงเปน็ พระบรมราชจักรีวงศ์ ตัง้ แต่ พุทธศักราช ๒๕๐๑ เจ้าอาวาสวัด ระฆังโฆสิตารามได้ประจ�าพระอัฐิ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิง กรมพระยาเทพ สดุ าวดีตลอดมา ในรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระป่นิ เกล้าเจา้ อยหู่ วั ได้ทรงสรา้ งต�าหนกั เก๋ง หน่ึงหลังอยู่ทางทิศใต้ของวัด เหตุที่ทรงสร้างต�าหนักเก๋ง มีเร่ืองเล่าว่า วันหนึ่ง ควาญช้างน�าช้างพระที่น่ังของพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว ออกอาบน�้า ในเวลาเช้าท่ีท่าช้างวังหลวง เม่ือควาญช้างได้อาบน�้าให้แล้วข้ึนจากท่า ช้างกลับ ไม่ยอมเข้าโรง ว่ิงอาละวาดไล่คนที่เดินผ่านไปมาต้ังแต่ท่าช้างถึงหลักเมือง และ วนเวียนอยู่แถวน้ันต้ังแต่เช้าจนถึงเท่ียงเศษก็ยังไม่ยอมกลับเข้าโรง พระบาทสมเด็จ 6๐

ประวตั ิวัดระฆงั โฆสิตาราม พระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงทราบ จึงทรงมีพระราชด�ำรัสสั่งให้อาราธนาสมเด็จ พระพนรัต (ทองดี) วัดระฆังโฆสติ าราม ให้ไปชว่ ยนำ� ช้างเขา้ โรง เพราะทรงทราบว่า สมเด็จพระพนรัตนี้มีความรู้ทางคชศาสตร์ และท่านก็ได้ช่วยจัดการน�ำช้างเข้าโรง ได้อย่างง่ายดายสมพระราชประสงค์ และในการปราบช้างของสมเด็จพระพนรัต ในครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว (เรียกตามการทรงสถาปนาของ รัชกาลท่ี ๔) ได้ประทับทอดพระเนตรอยู่กับพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่ีหน้าโรงทานข้างประตูวิเศษไชยศรี ได้ทรงเห็นความสามารถของสมเด็จพระพนรัต จึงเป็นเหตุให้พระองค์ท่านเกิดความเลื่อมใสในวิชาคชศาสตร์ ต่อมาจึงได้ทรงให้ สร้างต�ำหนักเก๋งไว้ที่วัดระฆังโฆสิตาราม และเมื่อทรงผนวชแล้วได้เสด็จไปประทับ จ�ำพรรษาอยู่ที่ต�ำหนักท่ีทรงสร้างไว้ สมเด็จพระสมมติอมรพันธ์ และสมเด็จฯ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ ได้ประทานข้อสังเกตในหนังสือต้ังพระราชาคณะ กรุงรัตนโกสินทร์ไว้ว่า พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงผนวชท่ีวัดระฆัง โฆสิตารามนี้ เพราะเหตวุ ่าได้ทรงนบั ถอื ในสมเด็จองค์น้ีมาก ที่วัดระฆังโฆสิตารามนี้ ยังมีพิธีสวดพระกฐินแปลกจากวัดอ่ืน ๆ ทั่วพระ ราชอาณาจักร คือพระคู่สวดเมื่อจะสวดญัตติทุติยกรรมจะยืนขึ้นสวดตั้งแต่ต้นไป จนจบ ทำ� นองสวดแบบสวดภาณยกั ษ์ เล่าสืบกนั มาว่า สมยั สมเด็จพระสังฆราช (ส)ี เป็นอธิบดีสงฆ์ การสวดกฐินน่ังสวดก่อน พอสวดถึง ยสฺส น ขมติ โส ภาเสยฺย พระคู่สวดน้ันต้องลุกขึ้นยืนสวดต้ังแต่ ทินฺนํ......ไปจนจบ มาถึงสมัยสมเด็จพระ พฒุ าจารย์ (โต พรหมรงั สี) เป็นอธบิ ดีสงฆ์ ท่านขอใหย้ นื สวดต้ังแตต่ ้นไปจนจบทเี ดียว โดยทา่ นอา้ งวา่ เมอ่ื ยืนสวดแล้วก็ยืนเสียใหต้ ลอดไป จงึ เปน็ ประเพณมี าจนถงึ ทกุ วันน้ี ต่อมาสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ม.ร.ว.เจริญ อิศรางกูร) จะให้นั่งสวด เหมือนกับวัดอ่ืน ๆ แต่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ มี พระกระแสพระราชด�ำรวิ า่ “อย่าเลกิ ยืนสวด รกั ษาไว้ดูสกั วดั หนง่ึ ” 61

มูลนธิ เิ ฉลมิ พระเกียรตพิ ระบาทสมเด็จพระนง่ั เกลา้ เจ้าอยู่หัวฯ ปชู นียวตั ถุ ๑. พระประธาน เป็นพระพุทธรูปเนื้อทองส�าริด ปางสมาธิ หน้าตักกว้าง ประมาณ ๔ ศอกเศษ เบ้ืองพระพักตร์มีรูปพระสาวก ๓ องค์ นั่งประนมมือดุจ รับพระพุทธโอวาท พระประธานองค์น้ีได้รับการยกย่องว่างดงามมาก จนปรากฏว่า คร้ังหน่ึงเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จมาถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดระฆังโฆสิตาราม ได้ทรงมีพระราชด�ารัสแก่ผู้เข้าเฝ้าฯ ใกล้ชิดว่า “ไปวัดไหนไม่ เหมือนมาวัดระฆังพอเข้าประตูโบสถ์พระประธานยิ้มรับฟ้าทุกท”ี ด้วยเหตุนี้จึงทรง ถวายเคร่ืองราชอิสริยาภรณ์นพรัตนราชวราภรณ์ และมหาปรมาภรณ์ช้างเผือกแด่ พระประธานองค์น้ีเป็นพิเศษ และพระประธานองค์นี้ก็ได้นามว่า พระประธานยิ้ม รับฟา้ ต้งั แตน่ ัน้ มา ๒. พระปรางค์องค์ใหญ่ รัชกาลท่ี ๑ ทรงมีพระราชศรัทธาสร้างพระปรางค์ พระราชทานร่วมกุศลกับสมเด็จพระพ่ีนางพระองค์ใหญ่ (สมเด็จเจ้าฟ้าหญิง กรม พระยาเทพสุดาวดี พระนามเดิม สา) ต้ังอยู่หน้าพระวิหาร ได้รับการยกย่องจาก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ว่า เป็นพระปรางค์ 62

ประวัติวดั ระฆงั โฆสติ าราม ท่ีท�ำถูกแบบอยุธยาองค์เดียวในกรุงรัตนโกสินทร์ พระปรางคอ์ งคน์ จ้ี ดั เปน็ พระปรางคแ์ บบสถาปตั ยกรรม รัตนโกสินทร์ยุคต้น ท่ีมีทรวดทรงงดงามมาก จน ยึดถือเป็นแบบฉบับของพระปรางค์ที่สร้างในยุค ต่อมา ๓. พระเจดีย์ ๓ องค์ สร้างโดยเจา้ นายวังหลัง ๓ องค์ คือ กรมหม่นื นราเทเวศร์ (พระองค์เจา้ ชายปาล ตน้ สกุล ปาลกะวงศ)์ กรมหม่นื นเรศรโ์ ยธี (พระองค์เจ้าชายบวั ) และกรมหม่ืนเสนีย์บริราช (พระองค์เจ้าชายแดง ต้นราชสกุล เสนีวงศ์) สร้างโดย เสด็จพระราชกุศลในรัชกาลท่ี ๓ เม่ือคราวสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ เป็นเจดีย์ ย่อเหล่ียมไม้ย่ีสิบ ทรงจอมแห ทรวดทรงงดงามมาก แต่เป็นเจดีย์ขนาดย่อม ตั้งอยู่ ดา้ นทศิ เหนือของพระอุโบสถหลงั ปัจจุบัน ๔. สมเด็จพระสังฆราช (สี) ประดิษฐานอยู่ภายในพระวิหารสมเด็จพระ สังฆราช (ส)ี ๕. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรฺ หฺมรสํ ี) ๖. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (ม.จ.ทดั เสนวี งศ)์ ๗. สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ม.ร.ว.เจรญิ อิศรางกูร) รูปหล่อของสมเดจ็ ทัง้ ๓ องคน์ ้ี ประดิษฐานอยภู่ ายในพระวิหารสมเดจ็ 63

มูลนธิ ิเฉลมิ พระเกยี รตพิ ระบาทสมเดจ็ พระนัง่ เกล้าเจ้าอยหู่ ัวฯ ปชู นียสถาน ๑. พระอโุ บสถ เป็นทรงแบบรชั กาลท่ี ๑ หลงั คาลด ๓ ชนั้ มชี อ่ ฟ้า ใบระกา หางหงส์ และคันทวยสลักเสลาอย่างสวยงาม บริเวณมุขด้านหน้าและหลังท�าปีกนก คลุมมุขอยู่ในระยะไขราหน้าจ่ัว ตอนใต้จ่ัวหรือหน้าบัน ที่จ�าหลักลายพระนารายณ์ ทรงครุฑ ประดบั ลายกนกปิดทองอย่างประณีต เจาะเป็นชอ่ งหน้าตา่ ง ๒ ชอ่ ง แทน แผงแรคอสองเหนือประตหู น้าตา่ งรอบพระอุโบสถตดิ กระจงั ปูนปันปิดทองทา� เปน็ รปู ซุ้มบนบานประตูหน้าต่างด้านนอกเขียนลายรดน้�าปิดทองมีรูประฆังเป็นเคร่ืองหมาย ดา้ นในเขียนภาพทวารบาลยนื แทน่ ระบายสงี ดงาม บริเวณฝาผนงั ภายในพระอโุ บสถ โดยรอบเขียนภาพจิตรกรรมท่ีได้รับการยกย่องว่าฝีมืองดงามมาก โดยผนังด้านหน้า พระประธานเขยี นเปน็ ภาพพระพทุ ธเจา้ แสดงยมกปาฏหิ ารยิ ก์ อ่ นเสดจ็ ขน้ึ ไปจา� พรรษา บนสวรรคช์ นั้ ดาวดงึ ส์ และตอนเสดจ็ ลงจากสวรรคช์ นั้ ดาวดงึ ส์ ดา้ นหลงั พระประธาน เขียนภาพพระมาลัยขณะขึ้นไปนมัสการพระมหาจุฬามณีบนสวรรค์ช้ันดาวดึงส์ เบ้ืองล่างเขียนภาพสัตว์นรกในอาการต่าง ๆ ภาพฝาผนังส่วนท่ีเหลือ เบ้ืองบนเขียน เป็นเทพชุมนุม ตอนล่างเขียนภาพทศชาติ ซึ่งเขียนได้อย่างมีชีวิตชีวาอ่อนช้อยและ แสงสเี หมาะสมกบั เรอ่ื งราว ภาพเหลา่ นเ้ี ขยี นโดย พระวรรณวาดวจิ ติ ร (ทอง จารวุ จิ ติ ร) จิตรกรเอกในสมัยรัชกาลที่ ๖ เม่ือราว พ.ศ. ๒๔๖๕ ครั้งมีการบูรณะซ่อมแซม พระอโุ บสถในรัชกาลนัน้ ๒. ต้นโพธิ์ลังกา เป็นต้นโพธิ์พันธุ์ลังกา ซ่ึงพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวทรงได้รับมาในรัชสมัยของพระองค์ และโปรดเกล้าฯ ให้น�าไปปลูกตาม พระอารามหลวงต่าง ๆ ตามประวตั ิกล่าววา่ ได้เสดจ็ พระราชด�าเนนิ มาทรงปลูกต้น โพธท์ิ ่วี ดั ระฆังโฆสิตารามน้ีดว้ ยพระองคเ์ อง 64

ประวัตวิ ัดระฆังโฆสติ าราม ๓. ต�าหนักแดง เป็นเรือนไม้สักฝาปะกน กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ทรงยกถวายวัดระฆังโฆสิตารามเพื่อปลูกเป็นกุฏิสงฆ์ ปัจจุบันอยู่ภายในบริเวณคณะ ๒ เชอ่ื กนั วา่ เปน็ ตา� หนกั สา� หรบั ทรงกรรมฐานของสมเดจ็ พระเจา้ กรงุ ธนบรุ ี (พระเจา้ ตากสนิ ) สนั นษิ ฐานจากพระดา� รสั ของสมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดา� รงราชานภุ าพ ซึ่งได้ตรัสกับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เม่ือ เสด็จมาทอดพระเนตรกุฏินี้ว่า น้ีเป็นต�าหนักปรกของพระเจ้ากรุงธนบุรี หลักฐานท่ี น�ามาอ้างอิงคือฝาประจันที่ใช้ก้ันห้องภายในต�าหนักเดิม เขียนรูปอสุภต่าง ๆ ชนิด และมีภาพพระภิกษุเจริญกรรมฐาน ซ่ึงสอดคล้องกับพระอุปนิสัยของสมเด็จ พระเจา้ ตากสินมหาราช แตป่ จั จบุ นั ภาพเหล่านีล้ บเลือนหายไปหมดสนิ้ แลว้ ๔. หอพระไตรปฎก หรือเรียกว่า “ต�าหนักจันทน์” เป็นปูชนียสถานช้ินเอก ของวัด ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และสถาปัตยกรรมไทยอย่างย่ิง ตามประวัติ กล่าววา่ เดิมเป็นพระตา� หนกั และหอประทับนั่งของพระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราช เม่ือคร้ังยังทรงรับราชการเป็นที่พระราชวรินทร์เจ้ากรมพระต�ารวจ นอกฝ่ายขวา ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ทรงร้ือไปถวายวัดบางหว้า ใหญ่ในคราวเสด็จเป็นแม่ทัพไปตีเมืองโคราช ต่อมาเม่ือข้ึนเสวยราชย์ ทรงมีพระราช ประสงคจ์ ะปฏิสังขรณใ์ หม้ ัน่ คงสวยงามยง่ิ ข้นึ เพือ่ ใช้เป็นหอพระไตรปิฎก จงึ โปรดให้ ขุดพ้ืนท่ีบริเวณที่พบระฆังรูปสี่เหล่ียม ก่ออิฐก้ันเป็นสระ แล้วร้ือพระต�าหนักจาก ท่ีเดิม มาปลูกลงในสระ โดยมีพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อคร้ัง ยังเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร เป็นผู้อ�านวยการ โปรด ให้มีการสมโภชและปลูกต้นจันทน์ไว้ ๘ ต้น (ปัจจุบันเหลือต้นปลูกทดแทนเพียง ต้นเดียว) จงึ เป็นเหตใุ ห้เรยี กว่า “ตา� หนักจนั ทน์” ลกั ษณะของหอไตรหลงั นเ้ี ปน็ ตา� หนกั ๓ หลงั แฝด มรี ะเบยี งดา้ นหนา้ ฝากระดาน หลังคามุงกระเบ้ือง ชายคามีกระจังรูปเทพนมเรียงรายเป็นระยะ บานประตูนอกชาน และซุ้มเบื้องบนแกะสลักลายดอกไม้ บานประตูหอกลางแกะลายนกวายุภักษ์ ประกอบด้วยลายกนกเครือเถา บานประตูขวาเขียนลายรดน้�าปิดทอง ฝาปะกน 65

มูลนิธิเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเดจ็ พระนัง่ เกล้าเจ้าอยูห่ ัวฯ ภายในเขียนภาพรามเกียรติ์ฝีมือพระอาจารย์นาค จิตรกรเอกในรัชกาลที่ ๑ บาน ซุ้มประตูนอกชานแกะเป็นมังกรลายกนกดอกไม้ภายนอกติดคันทวยสวยงาม ภายในมตี พู้ ระไตรปฎิ กขนาดใหญเ่ ขยี นลายรดนา้� ๒ ตู้ ประดษิ ฐานไวใ้ นหอดา้ นเหนอื ๑ ตู้ หอด้านใต้ ๑ ตู้ หอพระไตรปิฎกน้ีตั้งอยู่ภายในเขตพุทธาวาส ทิศใต้ของ พระอุโบสถ ๕. หอพระไตรปฎกหลังเล็ก อยู่หน้าต�าหนักแดง ในคณะ ๒ เป็นเรือนไม้ ฝาปะกน ปิดทอง ทาสีเขยี วสด ประตหู น้าต่างเขยี นลายรดน�้าสวยงามมาก ๖. พระวิหาร คือ พระอุโบสถหลังเก่า ก่ออิฐถือปูน หลังคาลดเป็นมุข ด้านหน้า ขนาดไม่ใหญ่นักภายในเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหลายองค์รวมท้ัง พระประธานองค์เดิมของวัด ซ่ึงแต่เดิมเป็นพระพุทธรูปปันองค์เล็ก ต่อมาสมเด็จ พระพทุ ธโฆษาจารย์ (ม.ร.ว.เจรญิ อศิ รางกรู ) ไดป้ นั ปูนห้มุ พระพุทธรปู ใหม่ให้ใหญก่ วา่ องคเ์ ดมิ ๗. พระวิหารสมเด็จพระสังฆราช (สี) ต้ังอยู่ด้านหน้าพระอุโบสถ หลังคา มุงกระเบ้ืองเคลือบติดคันทวยตามเสาอย่างสวยงาม หน้าบันท้ังสองด้านจ�าหลัก รูปฉัตร ๓ ช้ัน อันเป็นเครื่องหมายพระยศสมเด็จพระสังฆราช วิหารหลังนี้เดิม หลังคาเป็นทรงปันหยา เรียกว่า ศาลาเปล้ืองเคร่ือง ต่อมา พระราชธรรมภาณี (ละมูล) อดีตเจ้าอาวาสรูปท่ี ๑๐ ได้เปล่ียนเป็นหลังคาทรงไทย มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ เม่ือ พ.ศ. ๒๕๐๔ เพ่ือประดิษฐานพระอัฐิสมเด็จพระสังฆราช (สี) ซ่ึง เดิมบรรจุอยู่ในรูปพระศรีอาริยเมตไตรย ประดิษฐานในซุ้มพระปรางค์ของวัดระฆัง โฆสิตาราม ต่อมาได้ย้ายมาไว้ท่ีพระวิหารท่ีปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่เพ่ือยกย่องพระเกียรติ ของพระองค์ 66

ล�าดบั เจ้าอาวาสจากอดีต-ปัจจุบนั วดั ระฆงั โฆสิตาราม ตง้ั แตอ่ ดีตมาจนถงึ ปจั จุบนั น ี้ มีเจ้าอาวาสปกครองวดั มาแลว้ ๑๒ รปู ดังนี้ รูปที่ ๑ สมเดจ็ พระสังฆราช (สี) พ.ศ. ๒๓๑๒ - ๒๓๓๗ รปู ที่ ๒ พระพนรัต (นาค) พ.ศ. ๒๓๓๗ - ……… รปู ท ่ี ๓ พระพฒุ าจารย ์ (อยู)่ พ.ศ. ………. - ……… รูปท ่ี ๔ สมเดจ็ พระพนรัต (ทองด)ี พ.ศ. ………. - ……… รูปที่ ๕ สมเด็จพระพนรตั (ฤกษ์) พ.ศ. ………. - ……… รปู ท ่ี ๖ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรฺ หมฺ รส� ี) พ.ศ. ๒๓๙๕ - ๒๔๑๕ รปู ท ่ี ๗ สมเด็จพระพฒุ าจารย์ (ม.จ.ทัด เสนวี งศ)์ พ.ศ. ๒๔๑๕ - ๒๔๓๗ รปู ที่ ๘ สมเดจ็ พระพุทธโฆษาจารย์ (ม.ร.ว.เจรญิ อศิ รางกูร) พ.ศ. ๒๔๓๗ - ๒๔๗๐ รปู ท ่ี ๙ พระเทพสิทธนิ ายก (นาค โสภโณ) พ.ศ. ๒๔๗๐ - ๒๕๑๔ รปู ที่ ๑๐ พระเทพญาณเวที (ละมลู สุตาคโม) พ.ศ. ๒๕๑๕ - ๒๕๓๐ รปู ที่ ๑๑ พระเทพประสทิ ธิคณุ (ผนั ตสิ ฺสโร) พ.ศ. ๒๕๓๒ - ๒๕๕๐ รปู ที่ ๑๒ พระธรรมธรี ราชมหามุนี (เทยี่ ง อคคฺ ธมโฺ ม) พ.ศ. ๒๕๕๐ - ๒๕๖๔

รูปที่ ๑ สมเด็จพระสังฆรำช (สี) รปู ที่ ๒ พระพนรตั (นำค) รูปท่ี ๓ พระพฒุ ำจำรย (อยู‹) รปู ที่ ๔ สมเดจ็ พระพนรตั (ทองด)ี รปู ท่ี ๕ สมเดจ็ พระพนรัต (ฤกษ) รูปที่ ๖ สมเดจ็ พระพฒุ ำจำรย (โต พฺรหฺมร�สี) รูปที่ ๗ สมเดจ็ พระพุฒำจำรย รูปท่ี ๘ สมเด็จพระพทุ ธโฆษำจำรย รปู ที่ ๙ พระเทพสทิ ธินำยก (ม.จ.ทดั เสนวี งศ) (ม.ร.ว.เจริญ อศิ รำงกรู ) (นำค โสภโณ) รปู ท่ี ๑๐ พระเทพญำณเวที รปู ท่ี ๑๑ พระเทพประสทิ ธคิ ุณ รปู ที่ ๑๒ พระธรรมธรี รำชมหำมุนี (ละมูล สตุ ำคโม) (ผนั ติสสฺ โร) (เท่ยี ง อคฺคธมฺโม ป.ธ. ๙)

คา� ไว้อาลยั พระธรรมธรี ราชมหามุนี (เทย่ี ง อคคฺ ธมฺโม ป.ธ. ๙) อดีตเจ้ำอำวำสวัดระฆงั โฆสิตำรำมวรมหำวิหำร เมื่อวันท่ี ๘ มีนาคม ๒๕๖๔ ที่ผ่านมาคณะสงฆ์วัดระฆัง โฆสิตาราม ศิษยานุศิษย์ได้สูญเสียพระมหาเถระผู้ใหญ่ คือพระเดช พระคณุ พระธรรมธรี ราชมหามนุ ี (เทยี่ ง อคคฺ ธมโฺ ม ป.ธ.๙) เจา้ อาวาส วัดระฆังโฆสิตาราม ท่ีปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๑ ได้มรณภาพลง อย่างสงบ เม่ือเวลา ๑๙.๔๐ น. สิริอายุ ๘๕ ปี พรรษา ๖๓ ยังความโทมนัส เสียใจ อาลัยอาวรณ์ให้เกิดแก่คณะศิษยานุศิษย์ ท้ังในประเทศและต่างประเทศ ผู้ท่ีมีความเคารพนับถือและศรัทธา ญาตโิ ยมพุทธศาสนกิ ชนท้งั หลาย พระเดชพระคุณ พระธรรมธีรราชมหามุนี (เท่ียง อคฺคธมฺโม ป.ธ.๙) นบั เปน็ ครฏุ ฐานยี บคุ คล และปชู นยี บคุ คล เปน็ พระมหาเถระ ผู้ใหญ่ ท่ีเคารพนับถือกราบไหวบ้ ชู า เปน็ ท่ีพงึ่ ของพระภกิ ษุสามเณร ในวัดระฆังโฆสิตาราม ที่จะด�ารงรักษาพระพุทธศาสนา ให้มั่นคง ถาวรมีอายุยืนยาวต่อไปในกาลภายหน้า ส่วนในด้านของการ ปกครองน้ัน ท่านได้รับต�าแหน่งเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตารามและ เจ้าคณะผู้ปกครองในต�าแหน่งต่าง ๆ มาโดยล�าดับจนถึงต�าแหน่ง สูงสุด คือ การได้รับแต่งตั้งให้ด�ารงต�าแหน่งเจ้าคณะภาค ๑๑ พระเดชพระคุณ เปน็ ผูม้ จี ติ ใจเสียสละ มุ่งมน่ั ในการท�างานสนองงาน คณะสงฆ์ นบั เป็นคณุ ธรรมท่ีนา่ ยกยอ่ งสรรเสรญิ เป็นอย่างยง่ิ ส่วนในด้านวัตรปฏิบัติและการเผยแผ่น้ัน พระเดชพระคุณ หลวงพ่อท่านเป็นพระสงฆ์สุปฏิปันโน ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เจริญ

สมณวัตรด้วยการสวดมนต์ สมถะ สันโดษ เรียบง่าย อธิษฐาน ฉันมังสวิรัติ ตลอดอายุสังขารของท่าน นานกว่า ๖๐ ปี หลวงพ่อ ท่านเป็นพระนักปฏิบัติเทศนาอบรมส่ังสอน เป็นพระนักคิด นกั เขียน มผี ลงานงานเขยี นมากมาย อาทิเชน่ ๑. บทกลอนธรรมสาธก เล่ม ๑-๒ ๒. บทธรรมนา� ชวี ิต ๓. สาระธรรมนานานสุ รณ์ ๔. ปฐมอคั รกรรม ต�านานพระเครือ่ ง ๕. หนงั สือสวดมนต ์ ๑๙ มนต ์ พุทธานภุ าพ เปน็ ต้น ซึ่งเปน็ หนังสือท่ีได้มอบแก่คณะศรัทธาญาติโยมศิษยานุศิษย์ให้ด�าเนินชีวิต ด้วยการประพฤติดี ปฏิบัติชอบตามหลักธรรมค�าสอนท่ีองค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ตลอดชีวิตของการด�ารงเพศ บรรพชิต พระเดชพระคุณ ได้บ�าเพ็ญสิ่งท่ีเป็นสาธารณประโยชน์ ต่อประเทศชาติ พระศาสนาไว้มากมาย ดังน ้ี ๑. สร้างอุโบสถ สร้างพระมหาเจดีย์ระฆังพรหมรังสี มูลนิธิ พระธรรมธีรราชมหามุนี วัดดอนชมพู ต�าบลดอนชมพู อ�าเภอ โนนสูง จงั หวัดนครราชสีมา ๒. ซ้ือท่ีดินสร้างวัดระฆังพรหมรังสี แขวงหนองข้างพล ู เขตหนองแขม กรงุ เทพมหานคร และมลู นธิ ิพระธรรมธีรราชมหามนุ ี (วัดระฆังพรหมรังสี)

๓. ซื้อท่ีดินสร้างวัดบุรีราชวนาราม สร้างอุโบสถ สร้าง พระประธานปางโปรดอาฬวกยกั ษ ์ สงู ๒๑ เมตร ต�าบลดอนทราย อ�าเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี และมูลนิธิพระธรรมธีรราชมหามุนี (วดั บรุ รี าชวนาราม) ๔. สร้างวดั ระฆงั ญปี่ นุ เมอื งไอกาวา ประเทศญ่ีปุน่ ๕. สร้างภูมิทัศน์ อนุสรณ์สถานรูปเหมือนสมเด็จพระ พุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมร�สี) ขนาดสูง ๖ เมตร ประดิษฐานหน้า วัดระฆังโฆสิตาราม และอีกมายมากที่พระเดชพระคุณ ได้สร้างฝากไว้ใน ประเทศชาติ พระพุทธศาสนา สุดที่จะพรรณาให้หมดสิ้นในที่น้ีได้ พระเดชพระคุณท่านจากโลกน้ีไปก็เพียงร่างกาย ส่วนชื่อเสียง เกยี รติยศ คณุ ธรรม คณุ งามความดที ้ังหลายของทา่ นก็จะสถิตยอ์ ยู่ ในจติ ใจของพุทธศาสนิกชน ท้ังบรรพชิตและคฤหัสถ์ตลอดไป ดว้ ย บุญจริยาสัมมาปฏิบัติท่ีพระเดชพระคุณ พระธรรมธีรราชมหามุนี (เทีย่ ง อคคฺ ธมฺโม ป.ธ.๙) สงั่ สมไว ้ คณะสงฆแ์ ละบรรดาศษิ ยานุศษิ ย์ ขอบ�าเพญ็ อทุ ศิ ถวาย จงสา� เรจ็ เปน็ วิบากสมบัต ิ เปน็ ไปเพ่อื ประโยชน์ สุขในสมั ปรายภพ สมดังเจตนาปรารภจงทกุ ประการ เทอญ. น้อมถวายอาลัยด้วยความอาลยั อย่างยิ่ง พระภิกษุสงฆ์วัดระฆงั โฆสิตาราม และคณะศิษยานุศษิ ย์



ประวัติ พระธรรมธรี ราชมหามุนี (เท่ยี ง อคคฺ ธมฺโม ป.ธ. ๙) อดีตเจำ้ อำวำสวัดระฆงั โฆสติ ำรำมวรมหำวหิ ำร แขวงศิริรำช เขตบำงกอกน้อย กรุงเทพมหำนคร สถานะเดมิ นามสกุล ชูกระโทก เกิดวันท่ี ๕ ๑ฯ๔ ๕ ปีกุน ตรงกับวันท่ี ๑๖ ช่ือ เที่ยง เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๘ บิดาชื่อ นายโปย นามสกุล ชูกระโทก มารดาช่ือ นางส ี นามสกุล ชูกระโทก เลขที่ ๑๔๐ บ้านดอนชมพู หมู่ท่ี ๕ ต�าบลบิง อ�าเภอโนนสูง จงั หวัดนครราชสมี า บรรพชา วัน ๔ ฯ ๖ ปีเถาะ ตรงกบั วันที ่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๔ ณ วดั สมอราย ตา� บลหนองจะบก อา� เภอเมอื ง จังหวดั นครราชสีมา โดยมี พระครพู รหมวิหาร ี (รอด) เป็นพระอปุ ัชฌาย์ อุปสมบท วันท่ี ๕ ฯ ๖ ปีมะเมีย ตรงกับวันท่ี ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๑ ณ วัด บ้านดอนชมพู ต�าบลบิง อ�าเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา โดยมี พระครู พินิจยติกรรม (แจ้ง) วัดใหม่สุนทร อ�าเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา เป็น พระอปุ ัชฌาย์ 73

มลู นธิ เิ ฉลมิ พระเกยี รติพระบาทสมเด็จพระนง่ั เกลา้ เจ้าอยหู่ ัวฯ วิทยฐานะ สอบได้นักธรรมชั้นเอก ณ ส�านักเรียนวัดระฆัง โฆสิตาราม แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย พ.ศ. ๒๔๙๙ กรุงเทพมหานคร สอบได้เปรียญธรรม ๙ ประโยค ณ ส�านักเรียน วัดระฆังโฆสิตาราม แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๑๔ เป็นเปรียญธรรม ๙ ประโยครูปแรกของวัดระฆัง โฆสิตาราม งานปกครอง พ.ศ. ๒๕๐๕ เป็นครูสอนพระปริยัติธรรม ส�านักเรียนวัดระฆัง โฆสิตาราม พ.ศ. ๒๕๐๖ เป็นกรรมการตรวจข้อสอบบาลีสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๐๗–๒๕๑๖ เป็นเลขานุการเจา้ ส�านักเรยี นวัดระฆงั โฆสติ าราม พ.ศ. ๒๕๑๔ เป็นผชู้ ่วยเจ้าอาวาสวดั ระฆังโฆสติ าราม พ.ศ. ๒๕๑๗ เป็นรองจา้ คณะภาค ๑๑ พ.ศ. ๒๕๓๐–๒๕๓๒ เป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม พ.ศ. ๒๕๑๙ เปน็ พระอปุ ัชฌาย์ พ.ศ. ๒๕๓๖ เปน็ เจ้าคณะภาค ๑๑ พ.ศ. ๒๕๓๙–ปจั จุบัน เป็นประธานกรรมการ มูลนิธิอภิธรรมมหาวิทยาลัย แหง่ ประเทศไทย วดั ระฆังโฆสิตาราม พ.ศ. ๒๕๔๖–ปัจจบุ ัน เป็นผู้อ�านวยการอภิธรรมมหาวิทยาลัยแห่งประเทศ ไทย วัดระฆังโฆสติ าราม พ.ศ. ๒๕๕๐ เปน็ เจ้าอาวาสวดั ระฆังโฆสติ าราม 74

ประวตั อิ ดตี เจ้าอาวาส วดั ระฆงั โฆสติ าราม ความสามารถพเิ ศษ - เขยี นกวีธรรมสาธกหรือกลอนธรรมะ ประมาณ ๒๐๐ เรอ่ื ง - เปน็ พระธรรมกถึก - เปน็ พระวปิ ัสสนาจารย์ - เป็นพระวทิ ยากรนกั เผยแผอ่ บรม สมณศกั ด์ิ พ.ศ. ๒๕๑๖ เปน็ พระราชาคณะชั้นสามญั ที่ “พระศรีวิสุทธโิ สภณ” พ.ศ. ๒๕๒๖ เปน็ พระราชาคณะช้นั ราช ท่ี “พระราชวสิ ุทธเิ วท”ี พ.ศ. ๒๕๓๘ เปน็ พระราชาคณะชั้นเทพ ที่ “พระเทพวิสทุ ธเิ มธ”ี พ.ศ. ๒๕๕๑ เปน็ พระราชาคณะชั้นธรรม ที่ “พระธรรมธรี ราชมหามนุ ”ี เกยี รติคณุ พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้รับปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักด์ิ สาขา วิชาพระพุทธศาสนา จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลยั 75

พระพทุ ธชินสหี  เป็นพระพทุ ธรูปศักดิ์สิทธ์คิ ูบ่ ้านคูเ่ มืองของไทย ปจั จุบันประดิษฐานยงั มุขหนา้ เบ้ืองหนา้ พระสวุ รรณเขตร ประธานในพระอุโบสถ วดั บวรนิเวศวิหาร

พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกล้าเจา้ อยู่หัว ผู้พระราชทานนาม “วัดบวรนิเวศวหิ าร” พระเทพศากยวงศบ์ ัณฑิต (อนลิ มาน ธมมฺ สากิโย) ผ้ชู ว่ ยเจา้ อาวาสวดั บวรนเิ วศวิหาร ตงั้ แตโ่ บราณกาล สยามประเทศประกอบดว้ ยสถาบนั หลกั ๓ สถาบนั คอื ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ การยอมรับนับถือพระพุทธศาสนาของชนชาติไทย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุขนั้น มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ปรากฏมา ต้ังแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ทรงเผยแผ่พระพุทธศาสนาเข้ามายังดินแดน สุวรรณภูมิ และสืบสานต่อเน่ืองมาอย่างม่ันคง พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ทุก ยุคสมัย ล้วนทรงเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภก ทรงท�านุบ�ารุงพระบวรพุทธศาสนา และทกุ ๆ ศาสนาในพระราชอาณาจกั ร ล่วงมาถงึ สมยั พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจา้ อยหู่ ัว รัชกาลท่ ี ๓ ทรงเป็นผู้ ปรารถนาพระโพธิญาณ ได้ทรงบ�าเพ็ญบารมีเย่ียงอย่างพระโพธิสัตว์ ทรงเคารพ พระภิกษุสามเณร และทรงมีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นพิเศษ การซ่อม การสรา้ งวดั ไดเ้ กดิ ขนึ้ เป็นอันมาก ในรัชสมยั ของพระองคไ์ ด้มีการขอยมื พระไตรปฎิ ก จากลังกาถึง ๔๐ คัมภีร์ เพ่ือคัดลอกเข้าสู่ภาษาไทย ท�าให้การติดต่อเร่ืองพระ พุทธศาสนากับประเทศลังกา มีความใกล้ชิดมากข้ึน พร้อมทั้งท�าให้มีการศึกษา พระไตรปฎิ กถงึ กับทรงโปรดใหม้ ีการช�าระพระไตรปฎิ กข้ึนใหม่ใหถ้ กู ตอ้ งครบถว้ น ตลอดระยะเวลาเกือบ ๒๗ ปี แห่งการครองสิริราชสมบัติ พระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ เพ่ือประโยชน์สุข และความเป็นอยู่ท่ีดีของปวงประชาราษฎร์ พระราชกรณียกิจส�าคัญประการหน่ึง ที่ทรงด�าเนินรอยตามสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าได้อย่างสมบูรณ์ ครบถว้ น พระองคน์ อกจากทรงปราดเปรอื่ งในทางกฎหมาย การคา้ การปกครองแลว้ 77

มลู นธิ ิเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยูห่ ัวฯ ยงั ทรงเสรมิ สรา้ งกา� ลงั ปอ้ งกนั ราชอาณาจกั ร โปรดใหส้ รา้ งปอ้ มปราการตามปากแมน่ า�้ ส�าคัญหัวเมืองชายทะเล และในเวลาเดียวกัน พระองค์ทรงเลื่อมใสในพระ พุทธศาสนามาก ได้ทรงสร้างพระพุทธรูปมากมาย สร้างวัดใหม่ ๆ ขึ้นหลายวัด ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดเก่าอีก ๓๕ วัด ท้ังน้ีก็เพื่อให้ท�านุบ�ารุงและสืบสานพระบวร พุทธศาสนาให้ยั่งยืนสบื ไป หนงึ่ วัดส�าคัญของประเทศไทย ทส่ี ร้างขึน้ ในรัชสมัยของพระองค์ก็คอื วัดบวร นิเวศวิหาร ที่ส�าคัญยิ่งวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นตัวอย่างหนึ่งที่พระองค์ได้สืบสาน รักษา และต่อยอด ภูมิปัญญาโบราณของแผ่นดินสยามจนเป็นท่ีกล่าวขานกันว่า พระองคท์ รงเปน็ “ผ้สู รา้ งมรดกความทรงจําแห่งโลก” ศิลปกรรมภายในวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นหนึ่งในศิลปกรรมที่เรียกว่าสมัย พระราชนิยม อันมีลักษณะผสมผสานไทย–จีน จนเป็นธรรมเนียมนิยมในรัชสมัยท่ี วดั วาอารามทสี่ รา้ งขน้ึ และบรู ณะตา่ งมศี ลิ ปกรรมแบบคลา้ ย ๆ กนั สงิ่ สา� คญั อยา่ งหนง่ึ ในการบูรณปฏิสังขรณ์และการสร้างวัดในรัชสมัยของพระองค์น้ัน ก็คือ พระองค์มี พระราชประสงคใ์ หพ้ ระอารามตา่ ง ๆ เปน็ “ศนู ยก์ ารเรยี นร”ู้ สา� หรบั พระภกิ ษสุ ามเณร และประชาชนท่ัวไป ในขณะที่ประเทศสยามยังไม่ได้มีการพัฒนาระบบการศึกษาที่ ทนั สมัย พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ใหน้ �าองคค์ วามรู้จากปราชญข์ องไทย และสรรพศิลปะวิทยาการตา่ ง ๆ เช่น ตา� ราการแพทย์ โบราณคดี และวรรณกรรม โคลง ฉนั ท ์ กาพย ์ กลอนท้ังหลายฯลฯ มาจารึกลงบนศลิ า (แผ่นหินออ่ น) ประดบั ไว้ ตามบริเวณผนังต่าง ๆ ตามเสาพระระเบียงรอบพระอุโบสถบ้าง พระวิหารบ้าง วิหารคดบา้ ง และศาลารายรอบพระมณฑปบา้ ง ตามพระอารามตา่ ง ๆ เชน่ ภายใน วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม พระอารามที่ทรงท�าการบูรณปฏิสังขรณ์ วัดบวร นิเวศวิหาร วัดราชโอรสาราม ทส่ี ร้างในรัชสมยั ของพระองค์ ต่อมาในยุคหลังคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยแผนงานความทรงจ�าแห่งโลก ได้เสนอชอื่ จารึกวดั พระเชตพุ น ต่อองคก์ ารยเู นสโก (UNESCO) ข้ึนทะเบียนมรดก ความทรงจา� แหง่ โลกแหง่ ภมู ภิ าคเอเชยี แปซฟิ กิ ซงึ่ มมี ตริ บั รองเมอื่ วนั ท ี่ ๒๑ กมุ ภาพนั ธ ์ 78

พระบาทสมเดจ็ พระนัง่ เกล้าเจ้าอยู่หวั ผพู้ ระราชทานนาม “วัดบวรนเิ วศวหิ าร” ๒๕๕๑ และต่อมาเมื่อวันที่ ๑๖ มถิ นุ ายน ๒๕๕๔ ยูเนสโกยังไดร้ บั รองสิ่งดังกล่าวน้ี จำ� นวน ๑,๔๔๐ ชิ้น เปน็ มรดกความทรงจำ� แหง่ โลกในทะเบียนนานาชาติ (Memory of the World) อีกดว้ ย แต่ความจริงส่ิงท่ีองค์การยูเนสโกข้ึนทะเบียนมรดกความทรงจ�ำแห่งโลกนั้น ไม่ใช่มีอยู่เฉพาะท่ีวัดพระเชตุพน พระองค์ยังได้แพร่กระจายสรรพวิชาเหล่านี้ใน พระอารามอ่ืน ๆ ด้วย ซ่ึงแม้ว่าไม่ได้อยู่ในบัญชีของยูเนสโกก็ตาม แต่ถือได้ว่า เป็นมรดกโลกท่ีพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานไว้ให้แก ่ อาณาประชาราษฎร์อย่างแท้จริง อีกวัดหน่ึงที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์สถาปนาวัดเป็น “ศูนย์การเรียนรู้” ก็คือวัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่ง ต่อมาได้เปน็ ศนู ยก์ ลางของการศึกษาการปกครองของคณะสงฆ์ไทยสืบตลอดมา วดั บวรนิเวศวหิ าร ชอื่ วดั ที่พระราชทานโดยรัชกาลที่ ๓ วัดบวรนิเวศวิหาร ต้ังอยู่ท่ีถนนพระสุเมรุ แขวงบวรนิเวศน์ เขตพระนคร กรงุ เทพมหานคร สมเดจ็ พระบวรราชเจ้ามหาศักดพิ ลเสพ กรมพระราชวังบวรสถาน มงคลในรัชกาลที่ ๓ ทรงสถาปนาข้ึน ณ บริเวณอันเป็นที่พระราชทานเพลิงศพ เจ้าจอมมารดาของพระองค์เจ้าดาราวดี พระราชชายา สันนิษฐานว่าคงสถาปนา ขนึ้ ในปี พ.ศ. ๒๓๗๑ เดิมเรียกว่าวัดใหม่ คงเน่ืองมาจากสร้างขึ้นใหม่ติดกับวัดรังษีสุทธาวาส ซ่ึงมีมาแต่รัชกาลที่ ๒ คร้ัน พ.ศ. ๒๓๗๙ วัดน้ีว่างเจ้าอาวาส พระบาทสมเด็จ พระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงอาราธนาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะยังทรงผนวชอย่แู ละประทบั จำ� พรรษา ณ วดั สมอราย (วัดราชาธิวาสในปจั จุบนั ) ให้เสด็จมาอยู่ครองวัดนี้ อันเป็นเหตุให้ได้พระราชทานนามว่า วัดบวรนิเวศวิหาร หรือเรียกกันสั้น ๆ ในคร้ังกระนั้นว่าวัดบน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงเป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารเป็นพระองค์แรก และวัดบวรนิเวศวิหาร ไดช้ อ่ื วา่ เป็นวัดธรรมยตุ วดั แรก 79

มูลนิธเิ ฉลิมพระเกยี รตพิ ระบาทสมเดจ็ พระน่ังเกลา้ เจ้าอย่หู วั ฯ ค�าว่า ธรรมยุต ในยุคของพระองค์นั้น หาได้เป็นนิกายของคณะสงฆ์อย่าง ปัจจุบันไม่ แต่มีความหมายถึง กลุ่มพระภิกษุคิดก้าวหน้า กลุ่มพระภิกษุท่ีกล้า ปฏิเสธความเชื่อท่ีแย้งกับแก่นของพระบวรพุทธศาสนา ถึงแม้ว่าเป็นความเช่ือและ ข้อปฏิบัติท่ีปฏิบัติมาโดยรุ่นบุรพาจารย์ก็ตาม กลุ่มพระภิกษุที่พยายามท�าความเข้าใจ พระบาลีและปฏิบัติตามพระบาลีโดยเคร่งครัด ไม่ใช่เป็นการปกครองแยกกันเป็น นกิ าย ทพ่ี ฒั นาในภายหลัง ทั้งนค้ี วามนม้ี แี สดงไวช้ ัด ในพระสมณศาสนในพระภกิ ษุ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า คณะสงฆ์สยาม มี ๒ นิกาย คือ ธรรมยุตกิ นิกาย และอาจิณณกัปปกิ นกิ าย โดยมคี วามตา่ งอยทู่ ี่ พวกแรกปฏบิ ตั ติ าม พระบาลีเป็นหลัก ส่วนพวกหลังปฏิบัติตามบุรพาจารย์เป็นหลัก ส่วนการปกครอง พระสงฆน์ ั้น ปกครองในพระราชบารมีของพระมหากษัตรยิ ์ ครั้นเชิญพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฏฯ ไปทรงครองวัดบวรนิเวศวิหาร พระบาท สมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนสมณศักดิ์ของพระภิกษุเจ้าฟ้า มงกฏุ ฯ ขึ้นเสมอสมณศักดิ์เจา้ คณะรอง แลว้ เชญิ เสดจ็ ไปทรงครองวดั บวรนเิ วศวหิ าร เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๗๙ เวลานั้น พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฏฯ พระชนมายุได้ ๓๒ พรรษา ทรงผนวชได ้ ๑๒ ปี ๖ เดือน พระบาทสมเดจ็ พระน่งั เกล้าเจ้าอย่หู ัวโปรดเกล้าฯ ให้แห่เสดจ็ พระภิกษุเจา้ ฟา้ มงกุฎฯ เสด็จมาประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ตามประเพณีพระราชาคณะไป ครองวัดน้ัน โปรดเกล้าฯ ให้จัดกระบวนเหมือนอย่างแห่เสด็จพระมหาอุปราช เม่ือ วันที ่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๓๗๙ ในการน้ีพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสร้างพระต�าหนัก พระราชทาน ปรากฏในหมายรับสงั่ เรยี กว่า “พระต�าหนกั ใหม่” แต่ภายหลกั เรียกกัน ว่า “พระปั้นหย่า” แต่ก่อนท่ีพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎฯ จะเสด็จมาครองวัดบวรนิเวศ วิหารนั้น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้พระภิกษุเจ้าฟ้า มงกุฎฯ เสด็จเข้าไปทรงเลือกของในพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) ถ้ามี พระราชประสงค์สิง่ ใด พระราชทานใหน้ �ามาได้ 80

พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจ้าอยูห่ วั ผพู้ ระราชทานนาม “วัดบวรนิเวศวิหาร” การที่พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอาราธนาพระภิกษุเจ้าฟ้า มงกุฎฯ ให้เสด็จไปทรงครองวัดบวรนิเวศวิหารและโปรดเกล้าฯ ให้เสด็จเข้าไป ทรงเลือกของในพระราชวังบวรสถานมงคลก่อนนั้น เข้าใจว่าเป็นวิธีทรงด�ำเนิน พระราโชบายดังจะประกาศให้รู้ว่า ทรงเทียบพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎฯ ไว้ในฐานะ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล เพ่ือป้องกันความส�ำคัญผิดในการสืบราชสมบัติ ช่ือวัดบวรนิเวศวิหารเทียบกันได้กับบวรสถาน น่าจะได้พระราชทานชื่อวัดใน คร้ังน้ี ทั้งนี้ ในหนังสืออักขราภิธานศรับท์ (Dictionary of the Siamese Language) ของหมอ บรดั เล (Dr. Bradley) ทพี่ ิมพ์ใน ปี พ.ศ. ๒๔๑๖ ไดอ้ ธบิ าย ไว้ชัดเจนว่า “บวร เปนสับท์แปลว่า ประเสริฐ, ค�ำนี้ส�ำหรับเรียกส่ิงของในวังหน้า, มีพระที่นั่งน้ัน ละ บวระนิเวษ เปนสับท์แปลว่าที่ เปนท่ีอยู่อันประเสริฐ, คือท่ี สำ� หรับอปุ ราชอยนู่ ้นั ” เม่ือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงครองวัดบวรนิเวศวิหาร เป็น ปฐมเจ้าอาวาส ในพระบรมราชปู ถัมภ์ของพระบาทสมเด็จพระน่งั เกล้าเจา้ อยหู่ ัวแลว้ ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงคร้ังส�ำคัญในพระพุทธศาสนาหลายประการ มีการฟื้นฟ ู พระศาสนา การเผยแผ่ธรรมยุติกนิกาย รวมทั้งมีการก่อสร้างบูรณปฏิสังขรณ์ พระอารามท่ีสืบต่อจากท่ีสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพได้ทรงสร้างไว้ โดยเฉพาะในเขตพุทธาวาสของวัดบวรนิเวศวิหาร พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ได้ทูลขอพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเชิญพระพุทธชินสีห์ ขนึ้ สถติ ที่มขุ หนา้ พระอโุ บสถ หน้าพระสุวรรณเขต หรือ พระโต ในปี พ.ศ. ๒๓๘๐ พร้อมทง้ั โปรดเกล้าฯ ให้ร้ือมขุ หลงั ออก จากเดิมที่ประดษิ ฐานอยทู่ มี่ ุขหลัง ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระปรารภว่า พระอุโบสถ วัดบวรนิเวศวิหารเป็น ๓ มุข แต่ท�ำพิธีผูกพัทธสีมาเพียงมุขหน้ามุขเดียว พระองค ์ จึงถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว ขอผูกพัทธสีมาท้ัง ๓ มุข พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจ้าอยหู่ ัวทรงไมข่ ัดข้อง 81

มูลนิธิเฉลมิ พระเกยี รติพระบาทสมเดจ็ พระน่งั เกล้าเจ้าอยูห่ ัวฯ ศาลาฤๅษี วดั บวรนิเวศวิหาร ท่ตี ง้ั มรดกความทรงจ�าแหง่ โลก นอกจากสิ่งก่อสร้างส�าคัญใน เขตพุทธาวาส วัดบวรนิเวศวิหาร ใน รชั สมยั ของพระบาทสมเด็จพระน่งั เกล้า เจ้าอยู่หัว ยังมีส่ิงก่อสร้างอื่น ๆ หลาย หลังเกิดข้ึนภายในวัดบวรนิเวศวิหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพ่ือสืบสานพระ ราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระ นั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้สร้าง ศาลาฤๅษ ี ๔ ห้อง ๔ หลัง โดยพระสงฆ์ วัดบวรนิเวศวิหารร่วมกันสร้างขึ้น ด้วยปัจจัยท่ีได้รับพระราชทานรูปละ ๒๐ บาท เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวประชวรคราวสวรรคต ศาลาฤๅษีอยู่ ด้านหน้าและด้านหลังหอพระไตรปิฎก และศาลาการเปรียญ หลังละคู่ ท่ีฝาผนัง ท�าเป็นช่องไว้รูปฤๅษีดัดตน และประดับศิลาจารึกต�ารายา ทั้งนี้ก็คือ การพัฒนาวัด ใหเ้ ปน็ “ศนู ยก์ ารเรียนรู้” ของประชาชน ไมใ่ ช่เฉพาะท่ีศึกษาพระไตรปฎิ กอย่างเดยี ว ภาพที่ ๑ ช่องคหู าตามผนงั ของศาลาฤๅษี วดั บวรนเิ วศวหิ าร 82

พระบาทสมเด็จพระน่งั เกล้าเจ้าอยหู่ ัว ผ้พู ระราชทานนาม “วัดบวรนเิ วศวหิ าร” ภาพ ๒ แผน่ จารึกต�ำรายา ในศาลาฤๅษี วัดบวรนิเวศวหิ าร กรอบหน้าบันศาลาฤๅษีเหมือนกับหอพระไตรปิฎกและศาลาการเปรียญท ี่ มีอยู่แล้ว ส่วนลวดลายมีความแตกต่างเล็กน้อย คือท�ำเป็นลายดอกไม้และใบไม้ มีดอกประธานและดอกประกอบ มีก้านและใบในลกั ษณะกา้ นแย่ง แตเ่ ปน็ ลายอยา่ ง เทศ ส่วนท่ีเป็นดอกไม้เว้นพ้ืนตรงกลางไว้ในลักษณะของการประดับเคร่ืองกระเบ้ือง พวก จาน ชาม สว่ นบานประตูหนา้ ตา่ งไมม่ ีงานประดับตกแต่ง ไมม่ ีซ้มุ และลวดลาย ประดบั กรอบซ้มุ และภายในศาลาฤๅษีไมไ่ ดป้ ระดิษฐานพระพทุ ธรปู ใด ๆ ทงั้ สน้ิ การสร้างศาลาฤๅษีน่าจะสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของผู้สร้างคือ พระสงฆ ์ วัดบวรนเิ วศวิหารที่สรา้ งเพ่ืออทุ ิศเป็นพระราชกุศลถวายแด่รัชกาลที่ ๓ โดยน่าจะได้ แบบอย่างมาจากศาลาฤๅษีท่ีวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ทั้งรูปแบบศาลา ที่สร้าง ข้ึนเพ่ือรวมรวมต�ำรายา และภาพฤๅษีดัดตน อันเป็นแบบฉบับท่ีรัชกาลท่ี ๓ โปรด ให้สร้างขึ้นในหลายวัด เช่น วัดราชโอรสาราม และวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เปน็ ต้น 83

มูลนิธิเฉลิมพระเกยี รติพระบาทสมเดจ็ พระน่งั เกลา้ เจา้ อยู่หัวฯ ศาลาฤๅษี ในวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นอาคารช้ันเดียวเหมือนกันท้ัง ๔ หลัง ตั้งอยู่บริเวณมุมของพระเจดีย์ ทั้ง ๔ ทิศ ลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นรูปสี่เหลี่ยม ผนื ผา้ หลังคาทรงโรง มุงดว้ ยกระเบือ้ ง กาบกลว้ ย ยาว ๓ ช่วงเสา กอ่ ผนงั ทบึ ทงั้ หมด โดยเหตทุ ่ีมีฝาทา� ชอ่ งไว้รปู ฤๅษีดดั ตนจึงชื่อ ว่า ศาลาฤษ ี หรือ ศาลาฤๅษี นอกจากน้ี ยงั ไดป้ ระดบั แผ่นศิลาจารึกตา� รายาไวด้ ้วย ต�านานวัดบวรนเิ วศวหิ าร กลา่ วไวว้ า่ สร้างข้ึนด้วยปัจจัยมูลอันพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบริจาคแก่ พระสงฆเ์ ม่อื ครั้งทรงพระประชวรคราวจะสวรรคต รปู ละ ๒๐ บาท สว่ นที่พระสงฆ์ วดั นไ้ี ด้รับพระราชทาน พระสงฆ์ร่วมใจกนั นอ้ มเข้าในการก่อสรา้ ง ดงั น้นั ศาลาแห่งนน้ี า่ จะเร่ิมสรา้ งราว ๆ พุทธศักราช ๒๓๙๔ อันเปน็ ปสี ดุ ทา้ ย ของแผ่นดินพระบาท สมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นปีแรกของรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จากปัจจัย กัปปิยภัณฑ์ที่พระราชทาน มูลค่ารูปละ ๒๐ บาท แลว้ ได้รวมกนั สร้างขึ้นเพอ่ื ถวายเป็นพระราชกศุ ล ภายในศาลาฤๅษี ตามผนังศาลาได้ท�าเป็นช่องคูหาเล็ก ๆ เป็นแนว ซ่ึงแต่ โบราณในแต่ละช่องก็มีประติมากรรมปูนปั้นของฤๅษีดัดตนในท่าต่าง ๆ มีค�าอธิบาย ชอ่ื ฤๅษแี ละท่าดัดตนแกโ้ รคต่าง ๆ ทป่ี ระพนั ธ์ด้วยโคลงสส่ี ุภาพ จารกึ ดว้ ยอักษรไทย ส่วนบางช่องคูหาก็มีแผ่นหินท่ีจารึกต�ารายา ทั้งฤๅษีดัดตนและแผ่นจารึกต�ารายา แมม้ ีจ�านวนไม่มาก และแผ่นไม่ใหญโ่ ตเหมือนในวัดพระเชตพุ นวมิ ลมังคลารามก็ตาม แต่พระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่พัฒนาพระอาราม ใหเ้ ป็นศนู ยก์ ารเรยี นรู้ของประชาชนก็มคี วามชัดเจน จารึกโคลงฤๅษีดัดตน วัดบวรนิเวศวิหารนั้น สันนิษฐานว่ามีครบถ้วนตาม ต�ารานิยมในรัชสมัยน้ัน แต่น่าเสียดายที่รูปปฏิมากรรม ฤๅษีดัดตนส่วนใหญ่และแม้ แผ่นศิลาจารึกต�ารายา ได้เสียหายไปมากแล้ว ปัจจุบันคงมีเหลือแต่ช่องคูหาเปล่า เป็นส่วนใหญ่ และแผ่นจารึกต�ารายาก็มีเหลือส่วนน้อย ท่ีส�าคัญก็คือว่า องค์ความรู้ ทางต�ารายา และการแก้โรคต่าง ๆ ด้วยท่าฤๅษีดัดตน ในรัชสมัยของพระบาท สมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ได้ข้ึนทะเบียนเป็นมรดกความทรงจ�าแห่งโลกนั้น 84

พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจ้าอยู่หวั ผู้พระราชทานนาม “วดั บวรนเิ วศวหิ าร” ทรงทำ� ใหแ้ พรห่ ลายในพระอารามตา่ ง ๆ หลายพระอาราม วัดบวรนเิ วศวิหาร ก็เปน็ ศูนย์การเรียนรู้ท่ีเกิดข้ึนตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้า เจ้าอยู่หัว จากพื้นฐานของการพัฒนาพระอารามเป็นศูนย์การเรียนรู้เวชศาสตร์และ ภาษาของรัชกาลที่ ๓ ท�ำให้วัดในประเทศไทย ได้พัฒนาพื้นฐานของการศึกษา ทง้ั ทางคดีโลกและคดธี รรมมาโดยตลอด นอกจากที่ได้ให้พระอารามเป็นศูนย์การเรียนรู้ของประชาชน พระบาท สมเด็จพระน่งั เกลา้ เจา้ อยู่หวั ยังได้ใช้พ้ืนท่วี ดั เปน็ ทต่ี ้งั ของอบั เฉา หรือ เครื่องอับเฉา ท่มี ีตน้ กำ� เนดิ จากการคา้ ขายสินค้าด้วยเรือส�ำเภาเดนิ ทะเล ในสมัยรัชกาลท่ี ๓ ในยุคแรก ๆ ตัวอับเฉา จะมีลักษณะเป็นแท่งหินธรรมดา ๆ ยังไม่มีการท�ำ เป็นตุ๊กตาหินอย่างในปัจจุบัน โดยน�ำไปใช้เป็นแท่งหินปูพื้นท�ำถนนทางเดิน ณ พระบรมมหาราชวังในปัจจุบัน ต่อมามีการน�ำตุ๊กตาหินมาใส่เป็นตัวอับเฉา ซ่ึงทาง จนี ท�ำมาอยา่ งไรไทยก็ซอื้ มาตามนั้น แต่ภายหลงั มีการออกแบบจากไทยไปให้ช่างจีน ท�ำตุ๊กตาหินตามสั่ง ซ่ึงตุ๊กตาหินเหล่านั้นได้น�ำมาต้ังตกแต่งพระอาราม พระราชวัง วงั หรือบา้ นผู้มยี ศศักด์ิ โดยสลักเปน็ รปู ตา่ ง ๆ ท้งั รูปคน ฝรงั่ จีน เทพเทวดา และ รปู สตั ว์ ในแง่ของความเป็นศูนย์การเรียนรู้ เคร่ืองอับเฉาที่มีการน�ำเข้ามาจากประเทศ จีนในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว ท�ำให้คนไทยมีความรู้ความ เข้าใจในวัฒนธรรมและวรรณกรรมจีนมากข้ึน เพิ่มเติมจากความรู้ความเข้าใจเฉพาะ ในความรูท้ างวฒั นธรรมและวรรณกรรมตา่ ง ๆ จากภารตประเทศ การทพี่ ระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยู่หวั ทรงใชพ้ ื้นทว่ี ดั วัง เปน็ ศนู ย์การ เรียนรู้การศาสนา เวชศาสตร์ วรรณกรรม ภาษา และแม้วัฒนธรรมคนโพ้นทะเล ชาวจีน นับว่าเป็นพระคุณูปการและหน้าใหม่ของการพัฒนาสยามประเทศของ พระบาทสมเดจ็ พระน่ังเกลา้ เจ้าอยหู่ ัว รัชกาลท่ี ๓ อย่างแท้จรงิ 85



พระบาทสมเดจ็ พระนั่งเกล้าเจ้าอย่หู วั พระมหาเจษฎาราชเจา้ ทรงม่นุ มน่ั สพู่ ระโพธิญาณ ศาสตราจารยพ์ ิเศษธงทอง จนั ทรางศุ ๏ เจษฎามหาราชเจา้ เจดิ กาํ จาย บุญบ่มบารมศิ หลาย หลากเรื้อง เพ็ญเพยี บตรสั รู้ภาย หนา้ แน่ แนว่ นง่ิ พระหฤทัยกระเต้อื ง กระเถบิ เขา้ ขา่ ยโพธิ ปลายพุทธศก ๒๓๙๓ พ้นเทศกาลถวายผ้าพระกฐินมาได้ไม่นาน พระบาท สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระอาการประชวรหนักข้ึนโดยล�าดับ ต้องประทับ อยู่แต่ในหมู่พระมหามณเฑียร ในวาระใกล้ถึงท่ีสุดแห่งพระชนมชีพ ได้มีพระบรม ราชโองการมานพระบัณฑูรสุรสีหนาท ด้วยมีความร�าจวนพระราชหฤทัยถึง พระราชกิริยาท่ีได้ทรงประพฤติมา เกลือกจะมีความพลั้งพลาดเป็นอคารวะแก่ สมณบรรพษัทในพระศาสนา จึงโปรดให้เชิญพระราชนิพนธ์ทรงขอขมาพระสงฆ์ ไปปิดประกาศไว้ท่ีศาลายามค�่า ในพระบรมมหาราชวัง เพื่อให้พระราชาคณะ ถานานุกรมและบาเรียนได้ทราบตลอดไปในทุกรูปบรรดาที่ได้เคยเข้ามารับ ราชนิมนตนกิจทงั้ ปวงว่า “…ขอให้พระเป็นเจ้าทุกองค์จงปลงอัธยาศัย ออมอดโทษถวายอภัยด้วย น้�าใจอันเต็มไปด้วยเมตตากรุณาเป็นบุเรจาริก อย่าให้เป็นเวรกรรมต่อไป ให้สิ้น พระราชวิปฏิสารร�าคาญทงั้ ปวง…” วาระเดยี วกนั นนั้ ทรงขอว่า “อนึ่ง ขอใหพ้ ระผเู้ ปน็ เจ้าทง้ั ปวงจงกระทา� สตั ยาธิษฐานดว้ ยคณุ พระศรีรตั นตรัย และจตุปาริสุทธศีลและสาสนานุสิกขากิจ ถวายพระราชกุสโลทิศแด่สมเด็จพระ 87

มลู นธิ เิ ฉลมิ พระเกยี รติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ พุทธเจ้าอยู่หัว ให้มีประชวรคลายหายพระโรค เป็นเกษมสุขสวัสดิ์ ให้ได้ทรง พระปฏิบัติบ�าเพ็ญพระกุศล เป็นพุทธการบารมี เพ่ือพระโพธิญาณ สมควรแก่การ ทีไ่ ดท้ รงประสบพบพระพุทธศาสนาอนั เปน็ อดุลาดศิ ยั บญุ เขตต์ นี้เทอญ” น้ีคือน้�าพระราชหฤทัยของสมเด็จพระมหากษัตริย์เจ้าที่ทรงครองแผ่นดิน เป็นล�าดับที่สามแห่งพระมหาจักรีบรมราชวงศ์ นอกจากพระราชกรณียกิจท้ังปวง ที่เป็นหิตานุหิตประโยชน์เก้ือกูลแก่ฝ่ายพุทธจักรและอาณาจักรแล้ว กระแส พระราชปรารภตอนท้ายแห่งพระราชนิพนธ์ดังกล่าว ท่ีทรงปรารถนา “เพื่อ พระโพธิญาณ” กเ็ ปน็ เรื่องท่ีควรรู้และควรศกึ ษาเป็นพเิ ศษอย่างย่งิ เพื่อท่ีเราชาวไทย ในช้ันหลัง จะได้รู้จักพระมหาเจษฎาราชเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐพระองค์น้ัน ได้อย่างถ่องแท้ย่ิงข้ึนและเชื่อได้ว่าเป็นพระราชปรารภท่ีอยู่ในพระราชหฤทัยมั่นคง แม้จนวันสุดท้ายแหง่ พระชนม์ชีพ คติเก่ียวกบั สถาบนั พระมหากษัตรยิ ์ สยามประเทศอันหมายถึงดินแดนที่ส่วนใหญ่เรียกว่าประเทศไทยอยู่ในเวลานี้ มีรูปแบบประมุขของประเทศท่ีสืบเนื่องยาวนานมาหลายร้อยปี ได้แก่สถาบัน พระมหากษัตริย์ ท่ีแม้จะเปลี่ยนค�าเรียกขานหรือมีรายละเอียดเก่ียวกับ พระราชอ�านาจ ของพระมหากษัตริย์แต่ละยุคสมัยหรือแต่ละพระองค์แตกต่าง กันไป แต่ต้องถือว่าสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันทางการเมืองที่มีความมั่นคง และมปี ระวัติศาสตร์ความเป็นมาเคยี งคกู่ ับความเป็นบ้านเมืองของเรามาโดยตลอด แต่ด้ังเดิมมา มีค�าอธิบายเรื่องฐานะของพระมหากษัตริย์ ว่าทรงอยู่ในฐานะ เป็นจอมคนทั้งหลายได้ด้วยเหตุผลใด จากความเช่ือในสองศาสนาส�าคัญท่ีมีบทบาท อิทธิพลต่อประชาชนในภูมิภาคนี้ นั่นคือศาสนาพราหมณ์ฮินดูศาสนาหนึ่ง และ พระพุทธศาสนาอีกศาสนาหน่ึง ความคิดความเช่ือเก่ียวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามแนวทางทั้งสองศาสนานี้เป็นท่ีมาของวัฒนธรรมประเพณี ขนบธรรมเนียม ตลอดไปจนถงึ รูปแบบการปกครองของไทยอย่างเหน็ ไดช้ ัด 88

พระบาทสมเด็จพระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ ัว พระมหาเจษฎาราชเจา้ ทรงมงุ่ มั่นสู่พระโพธิญาณ ตามคติความเช่ือฝ่ายศาสนาพราหมณ์ฮินดู มีพระผู้เป็นเจ้าเป็นใหญ่สามองค์ ที่ทรงอานุภาพย่ิง ได้แก่ พระพรหม พระนารายณ์ และพระอิศวร เชื่อกันว่า พระพรหมเป็นผู้สร้างโลก พระนารายณ์เป็นผู้คุ้มครองรักษาโลก และพระอิศวรเป็น ผู้ท�ำลายลา้ งโลกเพือ่ ขน้ึ กัปใหม่ ผู้ท่เี ป็นพระมหากษัตริยม์ ิได้มฐี านะเป็นสามญั มนุษย์ หากแต่เป็นอวตารของพระผู้เป็นเจ้ามาบ�ำรุงเลี้ยงประชากรและปราบยุคเข็ญ คือ บ�ำบัดทุกข์บ�ำรุงสุขให้แก่ประชาชน ตามความเช่ือฝ่ายนี้ เร่ืองราวของพระนารายณ์ ดูจะเป็นท่ีคุ้นเคยของคนจ�ำนวนมากยิ่งกว่าพระผู้เป็นเจ้าองค์อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ส�ำหรับเมืองไทยแล้ว รามาวตาร ซ่ึงเป็นอวตารปางหน่ึงของพระนารายณ์ และเป็น เรือ่ งราวของฝ่ายธรรมะ คือพระรามทป่ี ราบฝา่ ยอธรรม คือทศกัณฐ์จนพ่ายแพ้ เป็น เรื่องท่ีจบั ใจและรจู้ กั กันแพรห่ ลาย ถึงขนาดที่ค�ำวา่ “ราม” ได้ปรากฏในพระปรมาภไิ ธย ของพระมหากษัตริย์ต้ังแต่สมัยอยุธยามาจนปัจจุบัน และนับถือกันทั่วไปว่า พระมหากษัตริย์ของประเทศไทย เป็นอวตารของพระผู้เป็นเจ้าตามคติความเชื่อ ในศาสนาพราหมณฮ์ ินดู เรยี กความคดิ ตามแนวทางนี้โดยย่อว่า คติเทวราช สว่ นความคดิ ความเชอ่ื ในพระพุทธศาสนา ซง่ึ เป็นศาสนาทอี่ าจกล่าวไดว้ า่ เป็น ศาสนาประจ�ำชาติและมีผู้นับถือเล่ือมใสเป็นจ�ำนวนมากยิ่งกว่าศาสนาอ่ืนในเมืองไทย สั่งสอนผู้เป็นศาสนิกให้รู้ว่าการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏเป็นความทุกข์ ทาง ดบั ทกุ ขท์ ถี่ าวรยง่ั ยนื คอื การไดด้ วงตาเหน็ ธรรมจนเขา้ สภู่ าวะทไี่ มต่ อ้ งเวยี นวา่ ยตายเกดิ อกี ตอ่ ไป แม้สมเด็จพระบรมศาสดาสมั มาสมั พุทธเจ้าของเรา กวา่ จะได้เสวยพระชาติ สุดท้ายเป็นเจ้าชายสิทธัตถะและบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ ก็ต้องทรงเวียนว่ายมาแล้ว หลายภพชาติ ปรากฏเรอ่ื งราวเป็นชาดกพระชาตติ า่ ง ๆ และเราเรยี กฐานะในพระชาติ นั้น ๆ ว่าทรงเป็น “พระโพธิสัตว์” อันมีความหมายว่า ท่านผู้ท่ีจะได้ตรัสรู้เป็น พระพทุ ธเจ้าในอนาคต ย่ิงไปกว่านั้นยังมีความเช่ือในพระพุทธศาสนาด้วยว่า สมเด็จพระบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้าท่ีเราได้เคารพกราบไหว้อยู่ทุกวันน้ีน้ัน มิได้ทรงเป็นพระพุทธเจ้า พระองค์แรกและมิใช่พระองค์สุดท้ายของโลก ในอนาคตกาลข้างหน้ายังจะมี พระพุทธเจ้าเสด็จมาสู่โลกนี้อีก ดังจะเห็นได้จากคติความเช่ือในเรื่องพระศรีอาริย 89

มลู นธิ เิ ฉลิมพระเกยี รติพระบาทสมเดจ็ พระนั่งเกล้าเจ้าอย่หู วั ฯ เมตไตร ท่เี รยี กกันโดยย่อว่า “ยุคพระศรีอาริย”์ ก่อนถงึ ยคุ พระศรอี ารยิ ์ พระพุทธเจ้า ในอนาคตกาลพระองค์นั้นคงเสวยพระชาติอยู่ ณ ท่ีใดที่หน่ึงเพื่อทรงบ�าเพ็ญบารมี ในฐานะพระโพธิสัตว์ เตรยี มพระองค์ทจ่ี ะไดต้ รสั ร้ธู รรมในวันขา้ งหนา้ ฐานความคิดเช่นนี้น�ามาสู่ความเช่ือหรือค�าอธิบายว่า พระมหากษัตริย์ของ ไทยมฐี านะเปน็ พระโพธสิ ัตว์ เสดจ็ อบุ ตั ิมาเพ่ือบา� เพญ็ บารมีโดยประการตา่ ง ๆ เปน็ เสบียงส�าหรับที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าต่อไป ร่องรอยของความเช่ือเช่นน้ี ปรากฏอยู่ในประเพณีหลายอย่างท่ีเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ยกตัวอย่างเช่น ค�าราชาศัพท ์ ท่ผี ู้กราบบงั คมทูลพระกรณุ าเรยี กตวั เองวา่ ขา้ พระพทุ ธเจา้ ในขณะท่ี พระปรมาภไิ ธยอยา่ งยอ่ ทเ่ี รยี กขานกนั ทวั่ ไปในราชสา� นกั เมอ่ื กลา่ วถงึ พระมหากษตั รยิ ์ ก็เรียกวา่ พระบาทสมเด็จพระพทุ ธเจา้ อยู่หวั หรือแม้แตบ่ ุญบารมีของพระมหากษตั ริย์ ที่จะน�าไปสู่ความเป็นพระพุทธเจ้าในวันข้างหน้าก็เรียกว่า โพธิสมภาร อันเช่ือม ความคิดไปสู่ประเด็นเดียวกัน เพราะ โพธิ หมายถึงความตรัสรู้ ส่วน สมภาร หมายถึงการส่ังสมเสบียงสัมภาระ หรืออาจแปลว่า สิ่งท่ีช่วยให้ขับเคล่ือนไปได้ รวมความหมายของค�าว่า โพธสิ มภาร หมายถึงเสบยี งหรือส่ิงท่ชี ว่ ยให้ขับเคล่อื นไปสู่ ความตรสั รู้ไดใ้ นวันข้างหน้า เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระโพธิสัตว์ การปฏิบัติหน้าที่พระมหากษัตริย์ จึงต้องอยู่ในท�านองคลองธรรมของพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นต้นทางของความคิดท่ีว่าน้ัน เป็นต้นว่า ทศพิธราชธรรม จักรวรรดิวัตร และราชสังคหวัตถุ การปฏิบัติราชธรรม เหล่าน้ีเป็นเสมือนหลักประกันว่า พระมหากษัตริย์จะได้บรรลุพระโพธิญาณใน วนั ขา้ งหน้า สมควรกล่าวไว้ในที่น้ีด้วยว่า ส�าหรับประชาชนท่ัวไป เม่ือมีความเข้าใจและ มีความคิดความเชื่อเช่นน้ันแล้ว ในฐานะที่ตนเป็นสามัญชน ย่อมไม่อาจเอื้อมท่ีจะมี ความหวังว่าจะได้ตรัสรู้ด้วยตนเองในอนาคต ในเวลาเมื่อบ�าเพ็ญกุศลจึงนิยมต้ังจิต อธิษฐาน ขอให้ได้เกิดมาอีกครั้งหน่ึงเป็นมนุษย์และได้พบกับพระศรีอาริย์ เพ่ือจะได้ สดบั รับฟังค�าสอนของพระพทุ ธเจา้ ในอนาคตพระองค์นั้นดว้ ยตวั เอง เพยี งนีก้ ถ็ ือเปน็ 90

พระบาทสมเดจ็ พระนัง่ เกลา้ เจา้ อยู่หวั พระมหาเจษฎาราชเจา้ ทรงมงุ่ ม่นั สู่พระโพธญิ าณ โอกาสวาสนามหาศาลของปุถุชนแล้ว หลักฐานน้ีปรากฏอยู่ในค�ำจารึกตามตู ้ พระไตรปิฎกหรือบรรดาส่ิงของอุทิศในพระพุทธศาสนาท่ีสร้างขึ้นในยุคสมัยต่าง ๆ ท่ีพบเห็นไดแ้ มจ้ นทุกวันน้ี กล่าวย�้ำอีกครั้งหน่ึงว่า ส�ำหรับประชาชนคนสามัญท้ังหลาย ไม่มีผู้ใดตั้ง ความปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต เพราะต่างเข้าใจซึมทราบดีว่าฐานะ และความคิดเช่นนั้นเป็นเร่ืองพ้นวิสัย ผู้ท่ีจะคิดเช่นนั้นได้ย่อมมีแต่เพียงพระโพธิสัตว์ คือพระมหากษัตรยิ ผ์ ้เู ปยี่ มดว้ ยพระบรมโพธิสมภารเท่านั้น พระราชปณิธานปรารถนาพระโพธิญาณ ของพระบาทสมเด็จพระนง่ั เกลา้ เจ้าอย่หู วั ดังท่ีกล่าวมาแล้วว่า สถานะของพระมหากษัตริย์ไทยตามค�ำอธิบายทางฝ่าย พระพุทธศาสนาเชื่อว่าทรงเป็นพระโพธิสัตว์ เสด็จเมื่ออุบัติเพ่ือบ�ำเพ็ญบารมีส�ำหรับ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในวันข้างหน้า แต่ความเช่ือเช่นว่าน้ีก็ต้องประกอบเข้ากัน กบั พระราชอธั ยาศยั และพระราชปณิธานของพระมหากษตั ริยแ์ ตล่ ะพระองค์ รวมถงึ ความเป็นไปของบ้านเมืองในแต่ละยุคสมัยด้วยว่า สามารถเก้ือกูลพระราชกรณียกิจ และพระราชจรยิ วตั รใหเ้ ปน็ ไปเพอื่ การสงั่ สมบารมสี ำ� หรบั ดำ� เนนิ ไปสพู่ ระโพธญิ าณได้ โดยปราศจากเคร่อื งกดี ขวางหรอื ไม่ เพ่ือความเข้าใจง่าย ลองนึกถึงข้อเท็จจริงว่า ในแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวร มหาราชเม่ือครั้งกรุงศรีอยุธยา เป็นเวลาที่บ้านเมืองอยู่ในภาวะศึกสงคราม พระ ราชกรณียกิจในเร่ืองการบุญการกุศลจะมีได้มากน้อยเพียงใดไม่มีใครในวันนี้รู้ได้ แต่ น่าจะพออนุมานได้ว่าวันเวลาส่วนมากของพระมหากษัตริย์พระองค์น้ันต้องเป็นไป เพื่อภารกิจการศึกการสงครามและการท�ำนุบ�ำรุงราชอาณาจักรให้เข้มแข็ง ถึงแม้จะ ทรงปรารถนาพระโพธิญาณเพียงใดหรือไม่อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงที่รบเร้าอยู่ ทุกวันก็เป็นส่ิงท่ีไม่อาจปฏิเสธได้ และอาจเป็นเคร่ืองตัดรอนการสั่งสมพระบรมโพธิ สมภารได้พอสมควรเลยทีเดยี ว 91

มลู นธิ เิ ฉลมิ พระเกยี รติพระบาทสมเด็จพระนง่ั เกล้าเจ้าอยู่หัวฯ คร้ันมาพินิจดูวันเวลาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวดูบ้าง จะพบว่าช่วงเวลาท่ีทรงด�ารงอยู่ในสิริราชสมบัติน้ันยาวนานถึงเกือบ ๒๗ ปี ถึงแม้จะ มีการศึกสงครามบ้างแต่ก็ไม่ใช่สงครามประชิดติดพระนคร หากแต่เป็นศึกเวียงจันทน์ บ้าง การรบพุ่งกับญวนในแผ่นดินกัมพูชาซ่ึงเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรในครั้งนั้น บ้าง กรุงรัตนโกสินทร์ท่ีได้ตั้งเป็นราชธานีมาได้ส่ีสิบปีเศษ ถึงแม้จะยังอยู่ในฐานะที่ ประมาทไม่ได้แต่บ้านเมืองก็มีความสงบร่มเย็นเป็นปึกแผ่นพอสมควร ฐานะทาง เศรษฐกิจก็มีความม่ังค่ังมั่นคงจนพอวางใจได้ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เองทรงพระปรีชาชาญฉลาดในสารพัดด้าน การที่จะทรงใฝ่พระราชหฤทัยในการบุญ การกุศลไม่มอี ุปสรรคใดมากดี ขวาง และใชจ่ ะทรงมีพระราชศรทั ธาในพระศาสนาแต่ เฉพาะพระองค์เสยี เม่อื ไหร ่ หากไดท้ รงชักจงู แนะน�าใหพ้ ระญาติพระวงศ ์ ขา้ ราชการ ตลอดจนประชาชนทั่วไปให้โดยเสด็จในการพระราชกุศลด้วย จนมีค�ากล่าวที่พูดกัน มาแต่คร้ังนั้นว่า แผ่นดินรัชกาลที่หน่ึงน้ันใครเป็นนักรบก็โปรด ในรัชกาลท่ีสองใคร เปน็ กวีก็เปน็ คนโปรด และในรชั กาลท่สี ามนี้ใครสร้างวดั กโ็ ปรด เฉพาะส่วนพระองค์พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระมนัส ศรัทธาเล่ือมใสในพระพุทธศาสนาเป็นที่ยิ่ง และจากหลักฐานที่ปรากฏในหลายแห่ง สอดคล้องกัน ท�าให้กล่าวได้ด้วยความเชื่อแน่ว่า ทรงมีพระราชหฤทัยปรารถนา พระโพธิญาณอย่างย่ิงยวด นอกจากหลักฐานท่ีปรากฏอยู่ในพระราชหัตถเลขาทรง ขมาพระสงฆท์ ไี่ ดก้ ล่าวถึงมาแลว้ ครง้ั หนง่ึ ในตอนต้น อันไดท้ รงปรารภถงึ … “พระปฏิบตั ิ บ�าเพ็ญพระกศุ ล เปน็ พุทธการบารมี เพอ่ื พระโพธิญาณ…” แลว้ ยงั มีหลักฐานที่เป็น พยานในเรอ่ื งนี้อีกหลายท่ ี ลว้ นมขี ้อความยืนยนั ขอ้ เท็จจริงไปในทางเดยี วกันทงั้ สิน้ ตัวอย่างเช่นจารึกเรื่องการสร้างพระสมุทรเจดีย์ ท่ีจังหวัดสมุทรปราการ เมื่อ พุทธศักราช ๒๓๗๐ มีความสองตอนเกี่ยวพันกับประเด็นในเร่ืองที่ก�าลังพูดถึงในท่ีน ้ี กล่าวคอื ความตอนแรกทแี่ สดงพระราชปรารภเบ้ืองต้น ทรงแถลงวา่ “…ทรงปรารถนาพระโพธิญาณสัทธาธิกบารมี พระหฤทัยหมายมุ่งบ�ารุง พระไตรรัตนท้ังสามเป็นอาจิณ พระราชกุศลสืบสร้างพระสมดึงษบารมี ทรง พระพิริยภาพเพียรพยายามตามประเพณีพระมหาโพธิสัตว์เจ้าแต่ปางก่อนสืบมา…” 92

พระบาทสมเด็จพระน่ังเกลา้ เจ้าอยู่หวั พระมหาเจษฎาราชเจา้ ทรงมุ่งม่นั สพู่ ระโพธิญาณ และเม่ือกล่าวถึงการสร้างพระสมุทรเจดีย์โดยเฉพาะ มีความในจารึกอีก ตอนหนึ่งว่า “…ซึ่งทรงพระราชสัทธาสถาปนาพระสมุทรเจดีย์ฐานการพระราชกุศลทั้งนี้ ใช่จะมีพระราชประสงค์สมบัติจักรพรรดิแลสมบัติเทพยุดาอินทร์พรหมหามิได้ ปลงพระทัยแต่จะให้ส�ำเร็จแก่พระสรรเพชญโพธิญาณ จะร้ือขนสัตว์ให้พ้นจาก สงสารทกุ ข์…” ความในพระราชหฤทัยที่ทรงมุ่งม่ันในพระโพธิญาณน้ี น่าจะเป็นท่ีรับรู้กัน ทั่วไป ดังเห็นร่องรอยได้จากส�ำนวนการจดเหตุการณ์ส�ำคัญท่ีเกิดข้ึนในแผ่นดิน พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นเอกสารท่ีอาลักษณ์จดไว้ เก่ียวกบั เหตุการณท์ เ่ี กดิ แผ่นดนิ ไหวเม่อื พุทธศกั ราช ๒๓๗๖ วา่ ในวันเกดิ เหตุ “เพลา ๓ โมง ๕ บาท ทรงประเคนแล้วเสด็จขึ้น ระย้าแก้วแกว่งไกว พระโองการ…ให้ดูที่ปราสาท วัดพระแก้วเปนเหมือนกัน นางพระธรณีพระคงคา ทั้งท้าวจตุโลกบาลท้ังส่ี สุชาบดีเทวอมรโษมษรนุโมทนาทาร…ทรงสร้างพระไตรปิฎก… เปนนจิ บญุ ฤทธส์ิ ะทา้ นสธุ าไหว จะพลันไดพ้ ระโพธญิ าณ…” อีกตัวอย่างหน่ึงที่สามารถเป็นหลักฐานยืนยันพระราชปณิธานปรารถนาใน เรอ่ื งน้ี เหน็ ได้จากประกาศในพระราชพิธสี ะเดาะพระเคราะห์ เมอื่ เสรจ็ ศกึ เวียงจนั ทน์ ในพทุ ธศักราช ๒๓๗๑ มีข้อความอยใู่ นประกาศเทวดาในพระราชพธิ ีคร้งั นนั้ ว่า “ด้วยสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวผู้ทรงปรารถนาพระบรมาภิเศก สมโพธิญาณ มีพระบรมราชสันดานมากไปด้วยพระมหากรุณา ทรงประฏิบัติใน ทศกุศลกรรมบถ ทศมิตรราชธรรมวดั ตานุวัฏ จตุรงคพ์ ธิ สังคหวัตถทุ ง้ั ๔ ตั้งพระทยั ท่ีจะบำ� รุงพระพทุ ธศาสนาให้ถาวรวัฒนา…” หลักฐานเพียงน้ีเห็นจะเพียงพอแล้วท่ีจะแสดงให้เราเห็นว่า พระราชปณิธาน ในเร่ืองน้ีของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มีความชัดเจนและเป็นที่ทราบ กันอยูท่ ั่วไปในเมอื งไทย ครั้งนน้ั 93

มูลนธิ ิเฉลมิ พระเกยี รติพระบาทสมเด็จพระนงั่ เกลา้ เจ้าอยู่หวั ฯ พระราชปฏปิ ทาส่วนพระองค์ เม่ือทรงตั้งพระราชหฤทัยม่ันเช่นนั้นแล้ว พระโพธิญาณมิใช่สิ่งที่จะได้มา โดยง่าย พระราชจรรยานุวัตรทั้งปวงทุกคืนวันจึงเป็นไปเพื่อเป้าหมายน้ันเป็นส�าคัญ ดังจะเห็นว่ารายละเอียดได้จากพระราชานุกิจคือกิจใหญน่ อ้ ยทที่ รงปฏบิ ัตเิ ป็นประจา� ในแต่ละวัน ล้วนเป็นไปตามครรลองแห่งพระราชปณิธานท้ังสิ้น ปรากฏหลักฐาน ตามพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า พระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชอัธยาศัยไม่โปรดการเล่นหัว จึงทรงแก้ไขเวลา พระราชานุกิจให้เป็นไปในการพระราชกุศลและราชการแผ่นดินเป็นหลัก ท่าน ผู้หลักผู้ใหญ่ท่ีเคยรับราชการในแผ่นดินน้ันกล่าวเป็นยุติต้องกันว่าทรงประพฤติ พระราชานกุ จิ โดยเวลาแน่นอนยิ่งนกั กล่าวคอื “เช้า ๙ นาฬิกา เสด็จลงทรงบาตร ทรงบาตรเสร็จ เสด็จขึ้นบูชาพระในหอ พระสุราลัยพิมาน แล้วเสด็จลงพระที่นั่งไพศาลทักษิณ เจ้านายพระองค์หญิงคอย เฝ้าอยู่ท่ีนั้น เสด็จผ่านไปยังหอพระธาตุมณเฑียรท่ีไว้พระบรมอัฐิ อยู่ด้านตะวันออก พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ทรงบูชาพระบรมอัฐิ ๑๐ นาฬิกา เสด็จออกท้องพระโรง พระท่ีนั่งอมรินทรวินิจฉัย เล้ียงพระสงฆ์ฉันเวร ลักษณะเลี้ยงพระสงฆ์ฉันเวรตั้งแต่ ในรัชกาลที่ ๑ มาจนรัชกาลท่ี ๓ เสด็จออกทรงจุดเทียนเคร่ืองนมัสการ ทรงศีล แล้วด�ารัสถวายข้าวสงฆ์เป็นค�าภาษามคธ พระสงฆ์รับสาธุ แล้วอปโลกน์ และถวาย อนุโมทนาแล้วจึงฉัน ฉันแล้วถวายอดิเรก ถวายพระพรลา และในเวลาเลี้ยงพระนั้น เจ้านายฝ่ายหน้าเข้าช่วยปฏิบัติพระ ส่วนสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงปิดทองปฏิสังขรณ์ พระพทุ ธรูป บางทีกท็ รงปดิ ทอง หรือรอ้ ยหคู ัมภีร์พระไตรปิฎกซ่งึ ทรงสร้าง พระกลบั แล้ว ชาวพระคลังมหาสมบตั ิกราบทูลรายงานจ่ายเงนิ พระคลัง เสด็จขึ้นพระแท่นออกขุนนาง เบิกต�ารวจเข้าเฝ้ากราบทูลรายงาน ความฎีกา ก่อนแล้วเบิกขุนนางเข้าเฝ้า เสด็จออกเวลาเช้านี้ประภาษเรื่องคดีความเป็นพ้ืน ถ้า มีราชการจรท่ีสลักส�าคัญก็ประภาษด้วย ดังปรากฏอยู่ในจดหมายหลวงอุดมสมบัติ 94

พระบาทสมเดจ็ พระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หวั พระมหาเจษฎาราชเจ้า ทรงมงุ่ มัน่ สพู่ ระโพธญิ าณ เทย่ี ง เสดจ็ ข้นึ ประทบั ทพี่ ระทีน่ ่งั ไพศาลทกั ษิณ เสวยพระกระยาหาร บ่าย ๑ นาฬิกา เสด็จออกพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ประทับพระเฉลียงข้าง ด้านตะวันตก พวกนายช่าง มีสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ แต่ยังเป็น พระยาศรพี ิพัฒน์เปน็ ตน้ เขา้ เฝา้ ถวายแบบพระอารามตา่ ง ๆ ๒ นาฬกิ า เสดจ็ ขึ้น เข้าในที่พระบรรทม ๔ นาฬิกา เสด็จออกที่พระเฉลียงพระมหามนเทียร ด้านตะวันออก ทรง สําราญพระราชอริ ยิ าบถ ค�่ำ ๖ นาฬิกา เสวยแล้ว เสด็จลงท้องพระโรงใน ประทับท่ีพระที่นั่งไพศาล ทักษณิ ตรงชอ่ งบนั ไดกลาง ผู้เป็นใหญ่ในราชการฝ่ายในขนึ้ เฝา้ ดํารัสราชกิจฝ่ายใน ๗ นาฬกิ า เสดจ็ ออกพระทน่ี งั่ อมรนิ ทรวนิ จิ ฉยั ทรงสดบั พระธรรมเทศนากณั ฑ์ หน่งึ เวลาพระเทศน์นน้ั ข้างในออกฟงั ขา้ งในพระสูตร เทศนจ์ บข้างในกลับ เมื่อทรงธรรมจบแล้ว ชาวคลังในขวา ในซ้าย และคลังวิเศษ กราบถวาย รายงานต่าง ๆ คือ พระอาการประชวรของเจา้ นาย และอาการป่วยของขา้ ราชการ ผู้ใหญ่หรือพระราชาคณะ บรรดาซ่ึงได้ดาํ รัสส่ังให้เอาอาการกราบทลู กับทง้ั รายงาน ตรวจการกอ่ สรา้ งด้วย ๘ นาฬกิ า เสดจ็ ข้ึนพระแท่นออกขนุ นาง เบิกข้าราชการท้ังฝ่าย ทหารพลเรอื น เข้าเฝ้าพร้อมกัน กราบบังคมทูลใบบอกหัวเมือง และ ทรงประภาษราชการแผ่นดิน จนเวลา ๑๐ นาฬิกา เสด็จขึ้นพระราชมนเทียร ถ้าหากเป็นเวลามีการสําคัญ เช่น มศี ึกสงครามกเ็ สด็จขึ้นถึง เวลา ๑ นาฬิกา ๒ นาฬกิ า” โปรดพนิ จิ ดูพระราชานกุ ิจในแตล่ ะวันดเู ถดิ ว่า โน้มหนกั ไปในทางพระราชกศุ ล สักปานใด เร่ิมต้ังแต่เวลาเช้าทุกวันทรงบาตรแล้วเสด็จข้ึนทรงนมัสการพระพุทธรูป ส�ำคัญในหอพระสุราลัยพิมาน สายหน่อยใกล้เพลแล้ว เสด็จออกท้องพระโรง พระท่ีน่ังอมรินทร์ทรงเลี้ยงพระฉันเวร โอกาสน้ีทรงศีล และมีพระราชด�ำรัสถวาย 95

มลู นิธเิ ฉลมิ พระเกียรตพิ ระบาทสมเดจ็ พระนั่งเกลา้ เจา้ อยหู่ ัวฯ ข้าวพระสงฆ์เป็นภาษามคธด้วยพระองค์เอง ระหว่างเวลาท่ีเลี้ยงพระน้ัน มิได้ทรง ปล่อยให้เวลาว่างเปล่าไปผ่านโดยไร้ประโยชน์ หากแต่ได้ทรงปิดทองบูรณะปฏิสังขรณ์ พระพทุ ธรูปเกา่ ทชี่ า� รดุ บ้าง ทรงปิดทองพระพุทธรปู ที่สร้างใหม่บ้าง ทรงรอ้ ยหูคัมภีร์ พระไตรปิฎกทีท่ รงสรา้ งบ้าง สลับผลดั เปลยี่ นกันไปทกุ วัน เวลาบ่ายโมงหลังเสวยพระกระยาหารกลางวันแล้ว เสด็จออกให้ช่างต่าง ๆ เข้าเฝ้าฯ ถวายแบบพระอารามและกราบบังคมทูลพระกรุณารายงานความก้าวหน้า ของการสรา้ งวดั วาอารามตา่ ง ๆ ตามพระราชด�าริ เวลาค�่าทุม่ หนึง่ เสดจ็ ออกพระทน่ี ง่ั อมรนิ ทรวินิจฉัย ทรงสดับพระธรรมเทศนา กัณฑ์หน่ึง ทรงธรรมจบแล้วจึงทรงว่าราชการอย่างอ่ืนต่อไป มีผู้ที่เล่าสืบกันมาด้วย ว่าท่ีพระแท่นออกขุนนางในพระที่น่ังอมรินทรวินิจฉัยนั้น ทอดพระพุทธรูปหรือ พระไตรปิฎกท่ีทรงสร้างใหม่ส�าหรับทรงปิดทองเฉลิมพระราชศรัทธาอยู่เป็นประจ�า เม่ือเสด็จลงจากพระมหามณเฑียรเข้าสู่ท้องพระโรงแล้ว ทรงปิดทองดังท่ีว่าเสียก่อน แล้วจึงทรงว่าราชการตามประเพณี กว่าจะเสด็จเข้าพระท่ีก็เป็นเวลาดึกดื่นค่อนคืน แล้ว รุ่งเช้าตื่นพระบรรทมแล้ว พระราชานุกิจแรกคือทรงบาตร หมุนเวียนกันไป อย่างน้ตี ลอดทกุ ปที กุ เดอื นทกุ วนั มเี กรด็ เรอื่ งหนึง่ ท่ีจะเลา่ เพิ่มเตมิ วา่ พระบาทสมเด็จพระนง่ั เกลา้ เจ้าอย่หู ัวทรง สนับสนุนให้พระภิกษุสามเณรได้ศึกษาเล่าเรียนพระบาลีและพระสูตรต่าง ๆ โดย เต็มพระก�าลัง ในพุทธศักราช ๒๓๗๐ แรกเสวยราชสมบัติได้เพียงสามปี ทรง พระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้เจ้าพนักงานจัดท�าบัญชีจ�านวนพระภิกษุ สามเณรที่มีศรัทธาเล่าเรียนและสามารถสวดสาธยายมูลกัจจายนะสูตรจนขึ้นปาก เจนใจได้ช�านิช�านาญ แบ่งเป็นผู้มีความเพียรอย่างเอกโทตรี แล้วน�าขึ้นกราบบังคมทูล พระกรุณาเพื่อทรงพระราชศรัทธาถวายไตรจีวรบริขาร ย่ิงไปกว่านั้น โปรดให้ อาลักษณ์จดหมายรายงานจ�านวนพระภิกษุสามเณรซ่ึงได้ทรงถวายไทยทานเป็น รายเดือนรายปี ทูลเกล้าทูลกระหม่อม “ถวายเป็นพระสมุดข้างพระท่ี จะได้เป็น จารตี ราชกุศลราศสี ืบราชประเพณพี ระมหากระษตั รอนั ถวลั ราชสมบดั ์ติ อ่ ไป” 9๖

พระบาทสมเดจ็ พระน่งั เกล้าเจา้ อยหู่ ัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า ทรงมุ่งมัน่ สู่พระโพธิญาณ เห็นหรือไม่วา่ ขา้ งพระองคม์ ี “พระสมุดขา้ งพระท”ี่ จดรายการพระราชกุศล ไว้เพ่อื เฉลมิ พระราชศรทั ธาทกุ เวลานาที ถ้าเป็นสามัญชนก็อาจกล่าวว่า เป็นผู้นึกถึงแต่เร่ืองการบุญการกุศลทุก ลมหายใจเข้าออกนั้นเทียว อนง่ึ นอกจากพระราชานกุ จิ รายวนั ทท่ี รงสดบั พระธรรมเทศนาวนั ละหนงึ่ กณั ฑ์ เป็นประจ�ำแล้ว บางสมัยยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดการ พระราชกุศลจร อาราธนาพระเถระผู้ทรงคุณวิเศษมาถวายพระธรรมเทศนาใน กัณฑ์พิเศษ เพื่อจะได้เป็นปัจจัยเกื้อกูลแก่พระโพธิญาณในวันข้างหน้า ตัวอย่างเช่น คราวหนึ่งในพุทธศักราช ๒๓๗๗ มีหมายรับสั่งโปรดให้มีพระธรรมเทศนาโพธิ ปักขิยธรรมบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท อันพระธรรมดังกล่าวเป็นฝ่ายแห่งความ ตรสั รู้ มี ๓๗ ประการ คอื สติปฏั ฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อทิ ธบิ าท ๔ อนิ ทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ และมรรคมีองค์ ๘ พระธรรมเทศนาคราวนั้นแบ่งเป็นเก้าวัน รวม ๓๗ กัณฑ์ พระเถระท่ีถวายพระธรรมเทศนามีตั้งแต่สมเด็จพระสังฆราช และ สมเด็จพระวันรัต เป็นตน้ พระบาทสมเด็จพระนง่ั เกลา้ เจ้าอยู่หวั เองทรงพระราชศรัทธา เสด็จออกสดับพระธรรมเทศนาตลอดท้งั เก้าวัน อาจสันนิษฐานได้ว่าโพธิปักขิยธรรมน้ีเป็นหัวข้อธรรมะที่อยู่ในพระราชหฤทัย พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นพิเศษ ดังท่ีพอจะเห็นพยานวัตถุสถานได ้ ที่หนึ่ง คือโลหะปราสาทวัดราชนัดดาราม ซึ่งเป็นเจดียสถานส�ำคัญท่ีเร่ิมสร้างข้ึนใน รัชกาลที่สาม พุทธศักราช ๒๓๙๓ ลักษณะเป็นสถาปัตยกรรมท่ีมียอดใหญ่น้อยถึง ๓๗ ยอด อันหมายถึงโพธิปักขิยธรรมนี่เอง ย่ิงเม่ือร�ำลึกว่าวัดราชนัดดานี้ โปรดให้ สร้างขึ้นพระราชทานพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าโสมนัสวัฒนาวดี (ต่อมาคือ สมเด็จพระนางโสมนัสวัฒนาวดีในรัชกาลที่สี่) ซึ่งเป็นพระเจ้าหลานเธอท่ีทรง พระเมตตาย่ิง กน็ า่ เชอ่ื วา่ รายละเอยี ดของการกอ่ สร้างทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ งในพระอารามน้ี จะได้ทรงเลือกเฟ้นแต่ของดีของวิเศษ และเป็นท่ีชอบพอพระราชหฤทัยเป็นส�ำคัญ มาตง้ั แต่งไว้ โดยเฉพาะอยา่ งย่ิง “โพธปิ กั ขิยธรรม” อนั เป็นตน้ ทางทจี่ ะทรงพระดำ� เนนิ 97

มลู นิธิเฉลิมพระเกยี รติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยหู่ วั ฯ ไปสู่พระโพธิญาณก็ได้ปรากฏเป็นธรรมเจดีย์อยู่ในงานสถาปัตยกรรมช้ินส�าคัญของ พระอารามแหง่ นี้ด้วย พระราชปุจฉาเรื่องอากรค่านา้� ในฐานะท่ีทรงเป็นพระมหากษัตริย์ทรงรับพระราชภาระในการปกครองท�านุ บ�ารุงแผ่นดิน รายได้ของแผ่นดินซ่ึงจ�าเป็นต้องเก็บหอมรอมริบเพ่ือใช้ในราชการมี ท่ีมาจากหลายแหล่ง หน่ึงในจ�านวนนั้นคือภาษีอากรต่าง ๆ แต่ไหนแต่ไรมามีอากร อย่างหน่ึงเรียกช่ือว่า “อากรค่าน้�า” เป็นเงินส่วนท่ีราชการเรียกเก็บจากผู้ประกอบ อาชีพจับสัตว์น�้าหรือท�าการประมงต่าง ๆ และอากรอีกอย่างหน่ึงเรียกชื่อว่าอากร สุรา เป็นเงินส่วนที่ราชการเรียกเก็บจากผู้ประกอบการค้าสุรายาเมาท้ังหลาย ทรง พระราชวิตกว่าเรื่องเหล่าน้ีจะเหมาะควรอย่างไร และเห็นจะทรงนึกถึงเร่ืองพระ โพธิญาณทที่ รงปรารถนาในพระราชหฤทยั อยู่ประกอบกนั ดว้ ย ในพุทธศักราช ๒๓๖๙ หลังจากทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินมาได้ราวสามปี พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ ัวทรงพระราชร�าพึงว่า “...ทรงบ�าเพ็ญซึ่งศีลบารมีแลทานบารมีท้ังปวงน้ัน ก็นับเน่ืองเข้าในพระสม ดึงษบารมีล้วนเปนปัจจัยแก่พระโพธิญาณบารมีท้ังสิ้น พระกระมลหฤทัยจะยังพระ สมดึงษบารมีให้บริสุทธิ์ จึงทรงพระวิมุติสงไสยในอากรค่าน้�าและอากรสุรา เกรงจะ เปนที่เศร้าหมองแห่งสัมมาอาชีวะ.. จึงมีพระราชโองการมานพระบัณฑูรสุรสิงหนาท ด�ารัสเหนือเกล้าฯ ให้...เชิญพระราชบริหารเป็นพระราชปุจฉา ออกไปเผดียงถาม สมเด็จพระสังฆราชและพระราชาคณะผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงว่า...อากรค่าน�้าอากรสุรา จะมีโทษหาโทษมิไดป้ ระการใด…” สมเด็จพระสังฆราชพร้อมด้วยพระเถระทั้งปวง ถวายพระพรสนองพระ ราชปุจฉา ส่วนแรกว่าด้วยอากรค่าน�้าอากรสุรามีความโดยย่อว่า การที่ทรงเรียก เก็บอากรค่าน้�าค่าสุรา มิได้หมายความว่าทรงเห็นชอบด้วยกับการประกอบอาชีพ เช่นน้ันและจะนับเนื่องเข้าถึงพระบวรราชสันดานหามิได้ บาปบุญคุณโทษเป็นเรื่อง 98


หนังสืองานถวายผ้ากฐินพระราชทาน ณ วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร

The book owner has disabled this books.

Explore Others