Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore (ST001)หนังสือบุญฤทธิ์เล่มเล็กภาษาไทย

(ST001)หนังสือบุญฤทธิ์เล่มเล็กภาษาไทย

Description: (ST001)หนังสือบุญฤทธิ์เล่มเล็กภาษาไทย

Search

Read the Text Version

129 บริเวณนี้เคยเป็นวัดโบราณ เคย ·‹Ò¹¸ÃÕ ¸ÁÑ âÁ ขดุ ไดซ้ ากวดั เกา่ ดว้ ย มพี วกเศษทองเหลอื ง ต้นไม้ใหญ่บางอย่าง ใหญ่จนตัดไม่ได้ ตอ้ งเอาไฟเผา ภายในวดั มศี าลาเลก็ ๆ ทา� ด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์มาปะกับไม้ไผ่ ขัดแตะ มีครอบครัวโยมอุปัฏฐากอยู่ ๑ ครัวเรอื น ชื่อปู่หมา แกเป็นคนเมือง à Áè× Í Ë Å Ç § »Ù † Á Ò ¾Ñ ¡ ·Õè ÇÑ ´ ¹Õé à » š ¹ ชวั่ คราว แตป่ รากฏวา่ ภาวนาไดด้ ีเปน็ พิเศษทว่ี ัดน้ี ท่ีวัดบ้านยางผาเด่งน่ี กลางคืน ºÒ§·ÕÁÕàÊÕ§á»Å¡æ àÊÕ§¹‹Ò¡ÅÑÇàÂÍÐ µÍ¹¹é¹Ñ ໚¹¾ÃÃÉÒ ô ËÅǧ»Ù†ªÔ¹¡ºÑ ¡Òà อยู่ป่าแล้ว คืนหน่ึง กุฏินี้เขาสร้างให้โต กวา่ โลงสกั ๓ เทา่ คอื หลงั คาสูงพอชแู ขน ครองจีวรได้ หลังคามุงใบตองตึง ประตู กฏุ เิ ปน็ ฝาไหล (เล่ือน) คนื น้ันเดอื นหงาย สว่างดี ก็มีเสียงเหมือนรถจักรไอน�้า (Locomotive) เหมือนหวูดรถไฟ หวีด ´Ñ§Åèѹ àÊÕ§ËÇÕ´ÊÙ§ÁÒ¡ ´Ñ§¢¹Ò´ÍÒ¡ÒÈ สั่นสะเทือน พอตอนลงเสียงดังหว๊กๆ เสยี งต่�าๆ หลวงปูไ่ ม่ออกไปดู ตอนหลงั มี âÍ¡ÒÊàÃÂÕ ¹¶ÒÁËÅǧ»µ†Ù Íé× (·Ò‹ ¹ÍÂá‹Ù ÁË ÁÔ ลงไปทางตีนเขา) ท่านว่าเป็นเสียงของ พญานาค

หลวงปู่สาม อกญิ จโน “เข้าใจว่า เณรหรือพระ ไปท�าไม่ดีก็เลยต้องกลายมาเป็น พญานาคเฝา้ วัด” “หลวงปู่สาม (หลวงปู่สาม อกิญจโน) ก็ไปอยู่ทางนั้น แต่ ท่านอยทู่ างตีนเขา ทา่ นเคร่งครัด ชาวบ้านมันเคยให้คนเอาหินทบุ ท่าน ท่านสลบไปเลย” ตอนหลังท่านไปอีสาน ท่านได้ไปเรียนกับ ·‹Ò¹¾Í‹ ÅÍÕ Â¹Ù‹ Ò¹ ¡ÇÒ‹ ¨ÐÞѵµÔ·ËÕ Å§Ñ “ËÅǧ»ÊÙ† ÒÁ¹éÕ ¾ÃÐà¨ÒŒ ÍÂÙ‹ËÇÑ ทรงเคารพนบั ถอื คอื ทา่ นเปน็ มหานกิ ายมากอ่ น ทา่ นเปน็ คนสรุ นิ ทร์ เชื้อสายเขมร เคยอยวู่ ดั คลองกุ้งตง้ั นาน” 130

131 พระราชมุนี (เจา้ คุณโฮม) พระอาจารย์ทวิ า อาภากโร เรอื่ งของพระอาจารย์ทิวา ท่านพระอาจารย์ทิวา อาตมาไม่เคยพบท่ีจังหวัดเลย แต่ ตอนท่ีหลวงปู่ไปอยู่วัดป่าบ้านยางผาแด่น กับท่านหลวงปู่ชอบ €านสโม ๑ พรรษา พ.ศ. ๒๔๙๓ หลงั จากออกพรรษา ท่านออกไป จากวัดป่าบ้านยางผาแด่น จังหวัดเชียงใหม่ แล้ว อาตมาอยู่องค์ เดียวที่เก่าต่อไปอีก ๔ พรรษา ในตอนต้นระยะเวลานี้ราว พ.ศ. ๒๕๐๖-๒๕๐๗ วันหน่ึงมีพระป่าหนุ่มองค์หนึ่งข้ึนไปอยู่ด้วย จาก ÇÑ´»†ÒˌǹéíÒÃÔ¹ ¨Ñ§ËÇÑ´àªÕ§ãËÁ‹ ÃٻËҧ´Õ ¢ÒÇâ»Ã‹§ àÃÕºÌÍ ไมพ่ ูดมาก อาตมาถามว่า “ทา่ นเรยี นหนงั สอื ถึงไหน” ·‹Ò¹µÍºÇÒ‹ “ผมเป็นนายเรือตรีครับ ได้ทราบว่า ท่านอาจารย์เหลือแต่กระดูก เลยขึ้นมาดู” ท่านทิวา ท่านเป็นศิษย์เจ้าคุณโฮม (พระราชมุนี) วดั สระปทมุ ผเู้ คยอปุ ฏั ฐากทา่ นพระอาจารยม์ น่ั ภรู ทิ ตั โต สมยั ทา่ น อยู่ทน่ี นั่ ตอนน้นั ท่านเจา้ คณุ ยงั เปน็ เณร ทา่ นเจา้ คุณโฮมนี้ อาตมา

·‹Ò¹¾‹ÍÅÕ ¸ÁÚÁ¸âà ก็ได้รู้จักในสมัยอาตมาอยู่วัดป่าตาคลี ในปี พ.ศ. ๒๕๐๑ ต่อมา ท่านกไ็ ดไ้ ปเยี่ยมอาตมา ทวี่ ดั ป่าบา้ นใหม่ จังหวดั แมฮ่ ่องสอน ก่อน อาตมาจะไปอย่อู อสเตรเลยี ในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ (ค.ศ. ๑๙๗๔) ทา่ นพอ่ ลี องค์เช่ยี วชาญอานาปานสติ เมื่อเข้าพรรษาท่ีอธิษฐานอยู่ป่าองค์เดียว ๓ ปี บนบ้าน ยางผาแด่น (ระหว่างนน้ั กไ็ ปทว่ี ดั ผาเดง่ บ้าง แตไ่ มไ่ ดจ้ �าพรรษา ไป อยภู่ าวนาเปน็ บางคราว) พอพรรษาที่ ๒ บนเขาน้ี ทา่ นพระอาจารยล์ ี (·‹Ò¹¾‹ÍÅÕ ¸ÑÁÁ¸âÃ) ·‹Ò¹¢éÖ¹ÁÒÍÂÙ‹´ŒÇ·ÕèÇÑ´ºŒÒ¹ÂÒ§¼Òá´‹¹ ·‹Ò¹ บุญจันทร์และสหายจากวัดผาเด่งก็ตามมา เดินห่างกันมาคร่ึงวัน ทีนี้ตอนกลางคืนท่านพระอาจารย์ลี ท่านเทศน์ให้พระที่มาฟัง หลวงปู่นั่งฟังติดอยู่กับธรรมาสน์ ธรรมาสน์ของกะเหรี่ยงก็ท�าด้วย ไม้ไผ่ นงั่ แลว้ มนั โยกเยกได้ ระหวา่ งน้นั ท่านพระอาจารยล์ ีทา่ นสอน 132

133 ãËŒ´ÙÅÁËÒÂ㨠แต่โดยกะทันหันหลวงปู่รู้สึกว่ามันโล่ง ว่างไปหมด เลย ทา่ นจงึ บอกพระอาจารยล์ วี า่ “ทา่ นอาจารย์ เอ๊ ผมเปน็ อยา่ งไร วา่ งไปหมด” ท่านอาจารย์แนะให้ “ขยบั ไป ขยับไป ถงึ ชายปา่ ” “เออ ขยับเขา้ มา เข้ามาในตัว” “ขยบั ออกไปอกี ไปอีก กไ็ ด้” ปฏภิ าคนิมติ -อานาปานสติ ณ ทนี่ ัง่ อันเดียว... ÍҹһҹʵÔàËÁ×͹Å١⻆§ ÅÁ¡ç©Õ´Í͡ࢌҷÑèÇËҧ¡Ò กว้างขวางทุกทิศทุกทางคล้ายสเปรย์ฉีดน�้าเย็นสะอาด เกิดปีติสุข ก็ดูลมเข้าลมออก ใช้ออกค�าสั่งเท่านั้น นั่งดูเฉยๆ จากจุดกลาง หน้าอก ปล่อยแลน่ ไปสกั พกั ฉดี เขา้ มาทกุ ทศิ ทกุ ทางเหมอื นสเปรย์ (spray) สบาย ส่ัง “ออกไป” กด็ ลู มแล่นออกไปจากกลางอก ไปท่ัว ·¡Ø ·ÔÈ·Ø¡·Ò§¨Ò¡¡Ò ´ÙÊ¡Ñ ¾¡Ñ ÊÑè§ “ࢌÒÁÒ” ÅÁ¨Ò¡·¡Ø ·ÈÔ ·Ø¡·Ò§ กแ็ ลน่ เขา้ มาในกาย ทา่ นแนะใหจ้ นครบวงจร กส็ บายขน้ึ กวา่ เกา่ มาก น่งั ได้นาน ท่านพ่อลี ท่านเปน็ องคเ์ ชย่ี วชาญอานาปานสติ หลวงปเู่ ลา่ ถงึ เหตกุ ารณเ์ มอ่ื อยวู่ ดั ปา่ ผาเดง่ ตอ่ ไปวา่ วนั หนง่ึ ในตอนเย็นขณะเดินจงกรมภาวนาปฏิบัติแบบสติปัฏฐานอยู่บนเขา บ้านยางผาเด่งน้ี หลวงปู่ได้ยินเสียงดังมากดังมาจากท้องฟ้า ก้อง สะท้านไปทั่วท้องฟ้าว่า “ธรรมเป็นธรรม” พอได้ยินเสียงน้ัน หลวงปรู่ ูส้ ึกในขณะน้ันว่า ท้งั กายและใจละลายไปหมด

ท่านเลยรีบกลับเข้าศาลาฝากระดาษหนังสือพิมพ์หลังคา ใบตองตึง น่ังภาวนาให้ระดับจิตแน่นลงไปทุกที จากน้ันก็เกิดมี คาถาบาลีว่า “นะโส เหตวัง วิวาโท” แล้วก็หยุดน่ิงคล้ายเครื่อง คอมพิวเตอร์ หลวงปู่ก็ดูอยู่ ท�าจิตน่ิงก็มีแปล ภาพแปลเป็นไทย จิตก็จมลึกด่ิงลงไปอีก ระดับจิตแน่นลงกว่าเดิมมาก แล้วก็หยุดน่ิง เฉยๆ อกี จากนั้นก็มีคาถาบทที่สองà¡´Ô ¢éÖ¹ÇÒ‹ “โลกุตตะระ สนั ตงั ” ก็มคี วามหมายอยู่ในตวั “พระพทุ ธศาสนาโลกุตตรธรรม ธรรม พ้นโลกมืดหลง เป็นสันติที่สุดแล้ว” จากน้ันหลวงปู่ก็มีความ รสู้ กึ วา่ ตวั เองลงไปนัง่ อยกู่ น้ มหาสมทุ ร มองขนึ้ ไปเหน็ เรอื เดนิ สมทุ ร เหน็ ซากศพลอย มนั ไมม่ อี ะไรเกยี่ วขอ้ งกบั เราสกั อยา่ ง ไมม่ อี นั ตราย ÁÒ¶Ö§àÃÒ´ÇŒ  Á¹Ñ ʺÒµÒÁธรรมชาติ ไมเ่ คยนัง่ สบายเชน่ นี้มากอ่ น ¹Ñ觹ҹ͋ÙÃÒÇ ó-ô ªÑèÇâÁ§ “นะโส เหตวงั วิวาโท นะโส โลกุตตะระ สนั ตัง” เสียงที่ดังบนฟ้าเหนือบนศีรษะนั้น สงสัยจะมีพระอรหันต์ ท่านมาเมตตาเรอ่ื งคา¶Òº·¸ÃÃÁ·àÕè ¡Ô´´§Ñ ¢¹éÖ ¨Ã§Ô æ ¢³Ðµè×¹ÍÂá‹Ù ÅÐ ª¹´Ô ·èÕÍยา่ งครง้ั น้ี ดังก้องมาจากทอ้ งฟา้ เวลาภาวนาเคลมิ้ ๆ อาจจะ เป็นวา่ มพี ระอรหันต์ทา่ นเมตตา พูดเรื่องเสียงท่ีดังในอากาศเหนือศีรษะนั้น พอได้ยินแล้ว ¨Ôµà»š¹ÀÒǹҡçࢌҹèѧ㹡Øฏิ ก็สงบไป สงบไป เมื่อมีคาถาบาลี ดงั ขนึ้ มา การทจี่ ะให้เกดิ ปัญญา อย่าไปคิด อยา่ ไปถาม ดอู ยเู่ ฉยๆ อาศัยสมาธิ เม่ือเป็นอย่างน้ันก็มีคาถาบาลีเกิดข้ึนก็ดูไป ดูอยู่เฉยๆ ไมไ่ ปอยากรู้ อยากถาม คา� แปลกม็ แี ปลออกมาเองตามธรรม ปญั ญา 134

135 พุทธเกิดจากสมาธิไม่เกิดจากคิด ปัญญาธรรมเกิดแสงสว่าง เกิด ปญั ญาธรรมข้ึนมา หลวงปูเ่ องไม่ได้เรยี นภาษาบาลี “นะโส เหตวัง วิวาโท” เหมือนทีวี ดูอยู่เฉยๆ คา� แปลกอ็ อกมาเอง ไมต่ อ้ งมวี าทะพรบ่ึ มาอกี “โลกตุ ตะระ สนั ตงั ” ก็หมดเรอ่ื งกัน คอื ดับหมด พ้นโลก สงบแลว้ ¨Ôµ¡çÂÔè§Ê§ºÅÖ¡ÁÒ¡ ÃÙŒÊÖ¡àËÁ×͹ÀÒ¾¹ÔÁÔµ NjҹÑè§ÍÂÙ‹¡Œ¹ มหาสมุทรที่ลึกมาก มองขึ้นไปกว่าจะถึงผิวน�้าเป็นกิโล มองข้ึนไป เห็นเรือแลน่ เหน็ ซากศพ ไม่กลวั อะไรสกั อยา่ ง น่ังอย่รู าว ๔ ช่ัวโมง สบายมาก นานมาก ไม่เคยนานมากขนาดน้ัน แต่ไม่รู้สึกว่านาน อะไร จิตนิง่ สบาย เมอ่ื ถอนออกมาจงึ รู้ว่านาน เมื่อจิตออกจากภาวนา จึงพูดกับตัวเองว่า ตั้งแต่น้ีต่อไป ถ้าทงั้ หมดโลกนไ้ี มร่ จู้ กั พุทธ หลวงปู่กไ็ ม่วา่ อะไร ถงึ โลกน้ีจะรูจ้ กั พุทธ หลวงป่กู ไ็ ม่วา่ อะไร จะถือหรือไม่ถือหมดก็ไม่ว่าอะไร ก็ไม่มีเร่ืองอะไรอีกแล้ว เหมือนกับว่าทองเด๋ียวนี้นะ ทองเป็นทอง คนจะว่าอะไรก็ไม่ท�าให้ เป็นอะไร จริงกจ็ ริง ไม่จรงิ กไ็ ม่จรงิ กห็ มดเรือ่ งแล้วซ้ี คาถาดบั โลก ¸ÃÃÁ໚¹¸ÃÃÁ นะโส เหตวัง วิวาโท โลกุตตะระ สันตัง สงบ พ้นโลก (หลง) คาถาดับโลก คือ คาถาสติในธรรม ธรรม เปน็ ธรรม มจิ ฉาทิฏฐวิ า่ “เรา” “ตน” ดบั พร้อมทุกข์ดับ นะโส เหตวัง ววิ าโท ไมเ่ ทย่ี วเกยี่ วข้องกงั วลคดิ อะไร ได้ยินสักแต่ได้ยิน เห็นสักแต่เห็น มันเข้ากับอันน้ีแหละ เห็นธรรมเป็นธรรม ท่ีว่าเราไม่ใช่ เราดับ I not I ดับ ภพ

(existence) หลง ดับ ไม่มีความเห็นในๆ นอกๆ inside outside-space-time movement ความเห็นหลงว่า หนึ่ง ๑ ดับ distance (from what?) ทิศทางส่ิงแวดลอ้ ม (อะไร) สมมตุ ิ ดว้ ยอ�านาจกายใจใตจ้ ติ ไมแ่ จ้งธรรมกด็ บั พรอ้ ม วชิ าโลกทงั้ หมดคิด concept หนึ่ง เลข ๑ หลงดับ วิชาค�านวณเลขอาศัย “หน่ึง” วิทยาศาสตร์เกิดจาก หลง “หน่ึง” คือ (สักกายทิฏฐิ) ไม่รู้จัก ขันธ์ ๕ ธรรมดา ธรรม ความนึกว่า เรา หัวอวชิ ชาไมด่ ับ เมื่อสติ (เม่ือเธอเห็นรปู รปู นน้ั สัก แตเ่ หน็ ) เกดิ หลงโลก หลงตน จงึ ดับได้ ¹Õèàͧ ã¹¾ÃÐÍÀÔ¸ÃÃÁ·‹Ò¹Ç‹Ò “ในก็ดี นอกก็ดี กลางๆ ก็ดี เป็นสภาพธรรม ก็เท่าน้ันเองซ”ี้ Space, Time movement ไม่มีแล้ว โลกหลงมันดับ เอาละใช้ได้ตอนนี้ ปัญหาแบบโลกทั่วไปที่ไม่สามารถเป็นตัวจริงในการศึกษา ของโลกอะไร คือ Space, time ทีแ่ ทจ้ รงิ อันนีน้ ะหลวงปวู่ ่าไวใ้ น เทศนก์ ณั ฑท์ ี่ ๑ แลว้ คอื หลงวา่ เราเปน็ นนั่ เปน็ นี่ เราหลง เรอ่ื งเวลา หลงสมมุติ สัญญาหลง ปัจจุบนั อดตี อนาคต ถ้าคาถาธรรมเป็นธรรม มันดับความเหน็ ในตน กายใจเรา à¢ÒÁѹ´Ñº À¾´Ñº âÅ¡À¾´Ñº âÅ¡·éѧËÅÒÂã¹À¾·éѧ ó ´Ñº ความคิดแบบโลกหลง โลกิยะก็ดับ ความคิดท่ีอาศัยความโง่ อวิชชาดบั ก็ดับทัง้ หมด เพราะฉะน้ัน คาถาบทน้ีส�าคัญมาก นะโส เหตวัง วิวาโท โลกุตตะระ สันตัง เอาไปใช้ภาวนา ธรรม เปน็ ธรรม ดบั ปัญหาโลก ดบั ปญั หาชีวติ อนั นลี้ ะเอียดมากนะ รู้สักแต่รู้เป็นอานาปานสติ มันได้ดีเหมือนกันในตอน ¾ÃÃÉÒ µ‹ÍÁÒÀÒÂËÅѧËÅÒ»‚ ·èÕÇÑ´»†ÒºŒÒ¹º§ ¢Ø¹à¢ÒÊÙ§ÁÒ¡ 136

137 ´‹Ò¹«ÒŒ  ¨§Ñ ËÇ´Ñ àÅ ·èÕËÅǧ»Ù†ªÍºµÑé§ÃÒÇ»‚ ¾.È. òõðø ÃÙŒÊÑ¡áµÃ‹ ÙŒ ໚¹ÇÔÞÞÒ³ÊµÔ ÇÔญญาณสติเกิดเรื่อยๆ ก็เป็นจิตสติ จิตสมบูรณ์ ໹š ¨Ôµ¸ÒµØ ໹š วสิ ังขาระคะตัง จติ ตัง เป็นพุทธคาถา ตอ่ มาที่ เม็กซิโก เกิดต่อเป็นจิตวิราคะ ก็เกีย่ วกับ วิราคธรรม กาย วาจา ใจ เปน็ วริ าคะ ตา หู จมกู ลิน้ กาย ใจ เปน็ วิราคะ (หมดใครใ่ น กาม และสง่ิ ตรงขา้ ม คอื ฌานโยคะ ทง้ั ๒ อยา่ ง เปน็ ลกู ตมุ้ นาฬกิ า จิตของสัตวใ์ นวฏั สงสาร จงึ เปน็ ปตี สิ ขุ พร้อมสต)ิ “วสิ งั ขาระคะตงั จติ ตงั ” พระพทุ ธองคท์ รงกลา่ วขนึ้ เฉยๆ จิตตถาคตหยัง่ ลงสู่สจั ธรรม อมตธรรม นพิ พานเสียแลว้ พุทธคาถา น้ีเอาไปภาวนาที่เม็กซิโก (ปี พ.ศ. ๒๕๔๑) ก็เลยปรากฏคาถาว่า จิตสมบรู ณ์แล้วกเ็ ป็นวริ าคะ จติ วริ าคะ = จติ บริสุทธิ์ นี่อาตมาหมายความว่า แปลตาม คาถานะ หมายถึง พระคาถานะความรู้สึกท่ีเกิดมันสบายกว่าเก่า กถ็ ึง วิราคธรรม = วปิ ัสสนาญาณ เกดิ ข้นึ ชอื่ พระนิพพาน = วริ าคธรรม วสิ งั ขารธรรม (คือไม่มกี ามราคะ รปู ราคะ อรปู ราคะ) ไม่มีโลกธรรม ยอดเทวโลก จนถึงสุดก้นนรก วิราคธรรม ไม่มี กามภพ รปู ราคะ อรปู ราคะ = ถ้ายังไปติดอย่ใู นฌาน ความ เห็นกายใจ ขันธ์ ๕ หลงยังไม่ดับ น่ีมันยังเป็นโลก เป็นภพ จิตวิราคะ ก็ถึงวิราคธรรม ตา หู จมกู ลิ้น กาย ใจ ก็เป็นวิราคะ ทง้ั หมด บรสิ ทุ ธ์จิ ากความกา� หนดั ท้งั หมด ถา้ จะพดู ถงึ มหาภูตธาตุ วัตถุ (Matter) ก็เป็นพระธาตุไปหมด ตาเป็นพุทธจักขุ กาย à»¹š ¾·Ø ¸¡Ò ¶ÇÒÂà¾Å§Ô áÅÇŒ ໚¹¾ÃÐ¸ÒµàØ Åç¡ÊǧÒÁ ÁÕÍÀÔ¹ËÔ ÒÃ

ถ้ายังอยู่อาหารทานถวายเป็นทานเลิศ (ยกเว้น สังฆทาน รักษา À¡Ô É»Ø †ÇÂà˹Í× ¡ÇÒ‹ ) เมื่อจิตสว่างก็อายตนะขันธ์สว่างหมด เหมือนตุ๊กตาแก้ว เจียระไน พุทธจิต พุทธกาย เหมอื นจติ สว่าง อนั ¹ÊéÕ Ç‹Ò§Áѹ¡Êç ÇÒ‹ § ไปท่ัว เช่น พระพุทธเจ้าเกิดโพธิญาณข้ึน กายก็เป็นพุทธกาย พทุ ธมโน วญิ ญาณกเ็ ปน็ พทุ ธวญิ ญาณ พทุ ธแปลวา่ ตนื่ ไมห่ ลงอะไร áÅÇŒ èŒÙ ¡Ñ ¡ÃÐáÊá˧‹ ¸ÃÃÁ´Ò ÍÃÂÔ Ê¨Ñ ô ¹¾Ô ¾Ò¹ 欄 ¸ÃÃÁ ¸ÃÃÁ¸ÒµØ ก็เหมือนกระแสไฟฟ้า + - (บวก ลบ) ไฟฟ้ากลางๆ มีอยู่ท่ัว ทกุ จกั รวาล ธรรมทง้ั หมดจกั รวาลนไ้ี ปทว่ั กเ็ ปน็ ธรรมดาทงั้ หมด ไม่ ว่าคน สัตว์ เห็นธรรมเป็นธรรม ก็คือ เห็นธรรมาอนัตตา เป็น ธรรมดา ธรรมชาติ ไมใ่ ชเ่ ปน็ “เรา” ไมใ่ ชเ่ รา คอื เขา โลก ภายนอก อยา่ งนน้ั ถ้าเห็นขณะภาวนาจริงๆ ความเห็นเกา่ ๆ ท้ังหมด พร้อม ความทุกข์ก็ดับไป ดับไปทันที ก็สบาย รู้แจ้งความดับทุกข์ทันที เป็นพุทธปัญญา ไม่ใช่เกิดจากการคิดแบบโลก น่ีเป็นแสงสว่าง สัมมาญาณ ทางบาลีเรียกสัมมาญาณ คือ ขณะจิตสว่างหลังจาก มรรค ๘ เกิดขน้ึ แลว้ เปน็ สมั มาญาณทัสสนะ เป็นธรรมแสงสว่าง กส็ วา่ งพรบึ ไมม่ เี วลาทนั คดิ อะไรหรอก สบายกส็ บายแลว้ มนั จะคดิ อะไร อีกล่ะ ลืมตามันก็เห็นปุ๊บ เห็นหมดจะเอาเวลาท่ีไหนมาคิด มันไม่ถึงวนิ าที เห็นน่ะ สัมมาญาณ กแ็ บบเดียวกนั น่นั แหละ ถา้ เกิดข้ึนจรงิ ๆ แลว้ วิราคธรรม วิราคจติ ตา หู จมูก ล้นิ กาย ใจ ไม่มีกิเลส จิตวิญญาณ กายใจเป็นวิราคะทั้งหมด กาย วาจา ใจ เป็นวริ าคะท้ังหมด ตรงน้ีส�าคัญนะ ถ้าหากว่าพุทธสติเกิดข้ึนจริงๆ ก็เป็น นโิ รธจติ จติ ถงึ ธรรม สงบระงบั สงบการปรงุ แตง่ ดว้ ยอา� นาจความโง่ 138

139 อวิชชาดับสังขาร นิโรธดับเป็นสาย สายอภิธรรม คือชาติหลง µ¹Ëŧ ªÒµÔ ªÃÒ ÁóÐËŧ ¡ç´ºÑ ·Ñ§é ËÁ´ ¾Ãо·Ø ¸à¨ÒŒ µÃÑÊÇ‹Ò “สตหิ ยั่งลงสู่อมตธรรม” คอื สติสว่างไม่มมี ืด สว่างมี แตม่ ืดไม่มี เปดิ ตาเหน็ ปุ๊บ ไมม่ ี ปรงุ อะไร ไม่มีเวลาคดิ มันเหน็ แลว้ ไม่มีสงสัยอะไรอกี จะสงสยั ว่า เหน็ หรอื เปลา่ เปน็ ไปไมไ่ ด้ พทุ ธปญั ญา ไมม่ วี จิ กิ จิ ฉา สงสยั ในธรรม ไมม่ ี พทุ ธสตเิ กดิ ทุกขด์ บั พรอ้ มทนั ที ความสงสัยเป็นไปไม่ได้ตามธรรมดา สงสัยเห็นหรือเปล่า ไม่ไดก้ ม็ ันเหน็ แลว้ นเ่ี ป็นสัจธรรม วิราคธรรม จิตวิโรธ วิสังขารจิต สังขารธรรม = คือชื่อ พระนิพพาน ถ้าเทียบกับความคดิ แบบโลก คอื absolute มนั ไม่ใช่ relativity nature ของ Albert Einstein และนักวิทยาศาสตร์ ทง้ั หลาย Relativity น่เี ปน็ ทฤษฎขี อง Einstein ทเี่ ขามีจิตใจแบบ โลก ตา หู จมูก ลน้ิ กาย ใจ ภายใตอ้ วิชชาสมมตุ เิ ชื่อใน Space, Time, Motion, technical terms physics อาศัยทิฏฐหิ ลงตน พอเทยี บไดใ้ กลๆ้ กับธรรม ธรรมชาตขิ องเลา่ จ้อื ในลทั ธเิ ตา๋ พ้นื ฐานลกึ ซ้ึงสุดของเลา่ จือ้ คือ ทแี รกไมม่ อี ะไร ต่อมาเกิดมเี ลข ๑ จากเลข ๑ ก็มเี ป็นไปทกุ อย่าง ธรรมเป็นธรรมชาตแิ บบ Absolute เปน็ ปรมตั ถส์ จั จะ ปรมัตถ์สัจจะ ไม่ใช่สมมุติสัจจะ สมมุติสัจจะ Relativity áººÊ§Ñ ¢Òà ẺÊÁÁµØ Ô ÍÒÈÑÂµÒ ËÙ ¨ÁÙ¡ Åé¹Ô ¡Ò 㨠ÍÒí ¹Ò¨ อวิชชา สมมุติข้ึนมา จิตวิสังขาร คอื จติ ไม่ไปปรงุ อารมณ์โลก ไมม่ ี

อารมณ์ภพ ไม่ว่ากามภพ รูปภพ อรูปภพ เป็นจิตบริสุทธ์ิ ดังท่ี พระพุทธเจ้าตรัสวันมาฆบูชา “สพฺพปาปสฺส อกรณ� การไม่ ·Òí ºÒ» ¡Ò÷íÒºØÞãËŒ¶§Ö ¾ÃŒÍÁ ¡Ò÷Òí ¨µÔ ã˺Œ ÃÊÔ Ø·¸¨ìÔ Ò¡ÍÇÔªªÒ” หัวของอวิชชา = เป็นของธรรมดา ธรรมชาติ ธรรมธาตุ คือ คิดวา่ ตน เรา (ego, self) ยอดส�าคัญในขันธห์ า้ กายใจน้ี ดนิ น้�า ไฟ ลมน้ี สักกายทิฏฐิ เป็นสังโยชน์เครอ่ื งผกู จติ ปมท่ีหนึ่ง ถ้าเกิดพุทธสติปัญญา ความหลงดับ หลงผิด ดับไป เหมือนห่วงโซ่ ถ้าตดั ปมถกู ท่ีเหลือกห็ ลดุ ไปเองเป็นธรรมดา พระโสดาบัน คอื ผูบ้ รรลอุ รยิ มรรคข้นั แรก พุทธสติข้ันแรก ความ หลงในตน เรา เขา ในกาย ใจ ขันธ์ ๕ สญั ญาทงั้ หมดดับ 140

141 ไม่มีสงสยั ในอรยิ สัจ ๔ จิตวจิ ิกิจฉาไม่มีข้อสงสัย ในพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ ไมม่ ีสงสยั ในพระนิพพาน พระโสดาบัน เกิดอยู่ระหว่างมนุษย์กับสวรรค์ ไม่เกิน ๗ ครง้ั (๗ ชาติ) ไม่ทา� ผดิ ศลี ๕ ไมผ่ ิดได้แม้แตจ่ ติ ไม่มศี ีลจิตปรามาส นค่ี อื ตดั หวั งู ตดั หวั ตวั อวชิ ชาแลว้ งกู ดั ไมไ่ ดแ้ ลว้ เหลอื แตต่ วั มนั กด็ น้ิ ไปดนิ้ มา เดยี๋ วมนั กน็ ง่ิ งไู มม่ หี วั เดย๋ี วตวั มนั กต็ อ้ งนงิ่ ไปเปน็ ธรรมดา Í‹ҧṹ‹ ͹ §Ôè ¶ÒŒ ¢Âѹ¡Ãз׺Á¹Ñ ¡ç¹èÔ§àÃÇç ¢Ö¹é นยิ ตบคุ คล ผเู้ ทยี่ งทจ่ี ะพน้ ทกุ ขแ์ นน่ อน ตงั้ แตพ่ ระโสดาบนั บคุ คลขนึ้ ไป นิยตะ = เท่ยี งแลว้ = เทยี่ งแท้ทีจ่ ะพน้ ทกุ ข์ (นิจจะ = เท่ยี ง) - สงั โยชน์ คือเครอื่ งผกู จติ คอื เวยี นว่าย ตายเกิด คือสงั โยชน์นีร้ วมเรยี กวา่ อวิชชา ¨µÔ ¹¾Ô ¾Ò¹ ¶§Ö ¹¾Ô ¾Ò¹¸ÃÃÁ Í¹Ñ ¹àÕé ÃÂÕ ¡ÇÒ‹ ÀÒǹҷàÕè Á¡ç «âÔ ¡ (MEXICO) จิตวิราคธรรม ถึง วิราคธรรม เรียกวา่ ภาวนาทเี่ มก็ ซโิ ก (MEXICO) ท่ีบา้ นยางผาเด่งนี้ มอี ยคู่ นื หน่ึง พระจันทรส์ ว่างดี หลวงปู่ อยู่คนเดียวกลางแจ้งห้อมล้อมด้วยป่าใหญ่ ผิงไฟอยู่ คืนนั้นอยู่ๆ ก็มีพระธุดงค์ท่านโผล่ข้ึนมาจากไหนไม่รู้กลางป่ากลางเขาดึกๆ áÅÇŒ ¡àç Ëç¹·‹Ò¹ÍÂÙ‹ÃÒÇÇѹÊͧÇѹ

หลงั จากภาวนาทไ่ี ดย้ นิ บท คาถาจากท้องฟ้า “ธรรมเป็น ธรรม” จิตของหลวงปู่เกิดฝัน พิสดาร ฝันว่าเป็นหัวหน้าอสูร เร่ืองนี้ (หัวเราะ) ปกติไม่เล่าให้ ฟังนะ แต่วันนี้จะเล่า (ท่านก็ หัวเราะอีก) คอื ฝันวา่ เปน็ ท้าวอสรู คือพวกอสูรนี้ก็เป็นเทพเช่นกัน มี การยกพวกรบกับพระอินทร์เป็น ËÅǧ»¢†Ù ÒÇ Í¹ÒÅâ ประจ�า คือว่ามเี รอื่ งว่าอสูรเหลา่ ท่ี ÇÑ´¶éÒí ¡Åͧà¾Å เป็นเทพนี้ แต่ก่อนเป็นผู้ครอง สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ไปหลงด่ืมสุราทิพย์ ส่วนอีกด้านหนึ่งก็เกิดมี คณะคนหนมุ่ ๓๐-๓๑ คน เขาทา� ทานรกั ษาศลี ปรารถนาเปน็ เทวดา ในทีส่ ดุ กไ็ ด้เกิดเปน็ เทวดามีพระอนิ ทร์เป็นหวั หน้า เทวดาพวกนี้ยก ไปเอาเทวสถานดาวดงึ สข์ ับไล่พวกอสูรลงไปทางใต้ แตพ่ วกอสรู เอา ตน้ ไมป้ ระจา� ตนไปดว้ ย ก็เอาไปปลูกไว้ ทีนี้พอครบ ๑ ปีของเทวดา ตน้ ไมน้ จ่ี ะออกดอกครงั้ หนง่ึ เมอ่ื เหลา่ เทพอสรู นเี้ หน็ ตน้ ไมน้ อ้ี อกดอก ทไี รกเ็ ตอื นความจา� เกา่ ได้ กเ็ กดิ โมโห ยกทพั อสรู ไปรบกบั พระอนิ ทร์ ท่ดี าวดงึ ส์ สวรรคช์ ั้นดาวดงึ ส์ (ฝร่ัง แปล ๓๐ ว่า The Thirtieth- Thirty) ในฝนั นน้ั หลวงปเู่ ปน็ จอมอสรู (เทพอสรู ) ยกพวกพาบรวิ าร เหาะไป จอมอสูรท่ีน่ังราชรถไป ราชรถไม่มีม้าเทียมเป็นรูปร่าง เหมือนราชรถไทย มีงอนรถหน้าหลังแต่ลอยเล่ือนไปเองอย่างนั้น บริวารก็เหาะตามหลังมา ฝ่ายตรงข้ามคือทัพของเทวดาของ พระอินทร์ก็เช่นกัน ทรงราชรถไมเ่ ทียมมา้ เหาะลอยมา ทัง้ ๒ ฝ่าย 142

143 ¶Òéí ¾ÃÐʺÒ ¨Ñ§ËÇÑ´ÅÒí »Ò§ ¡Ø¯Ô·‹Ò¹¾‹ÍÅÕ ·ÇèÕ ´Ñ ¶íéÒ¾ÃÐʺÒ ¨Ð¼Ô´¡Ñ¹¡ç·èÕ¼ÔÇà·‹Ò¹éѹ ÊÕ¼ÔǼԴ¡Ñ¹ คอื ฝ่ายพระอินทร์มีผวิ ขาว รูปรา่ ง ¡ç໚¹à·Ç´Ò ʋǹ½†ÒÂÍÊÙùÕè¡çÁÕÃÙ» รา่ งเปน็ เทวดา แตว่ า่ ผวิ คลา้� ทง้ั หมด ¾ÍÃҪö·§éÑ ò ½Ò† ÂÅÍÂÁÒ༪ÞÔ Ë¹ÒŒ ¡¹Ñ ËÒ‹ §ÃÒÇÊ¡Ñ ò-ó ÇÒ หยุดกึก ก็มนี างเทพธดิ า ๓-๔ องค์ เกดิ มาเหาะลอยผ่านช่องว่าง ระหว่างสองกองทัพ เหาะลอยผ่านไประหว่างกลางเลย จอมอสูรนี่ Á¢Õ Çҹ໹š อาวธุ นะกช็ ขู วานรอ้ งตวาดไปวา่ “กเู อาคนเดยี วหมดโวย้ ” แล้วก็หายวับไปเลย หายไปท้ังหมด ต้ังแต่ฝันน้ันแล้ว ภาวนาของหลวงปู่ก็เสีย เกิดเป็นโรค หาวนอน ภาวนาไดเ้ พยี งครเู่ ดยี ว ทา่ นกห็ าวนอน เสยี ภาวนาไปนาน ถงึ ปกี ว่าจงึ จะกลบั มาเข้าที่เข้าทางอีกครั้งหนง่ึ ถงึ ปี พ.ศ. ๒๔๙๘ หลังจากอยู่ที่ผาแดน่ ส่ีปี และไดผ้ ลสมกับ อุทิศชีวิตแล้ว เป็นเวลาท่ีพ้นอธิษฐานอยู่ป่าองค์เดียวแล้ว หลวงปู่ เลอื กทจี่ ะไปลา� ปาง ทล่ี า� ปางนม้ี หี วั หนา้ ไรย่ าสบู ผเู้ คยเปน็ ขา้ ราชการ ÍÂÙ‹หนองคายด้วยกันนาน ช่ือคุณตั๋น สุวรรณศร คุณตั๋นนี้เป็นศิษย์

¢Í§ËÅǧ»Ù†¢ÒÇ Í¹ÒÅâ เคยบวชจ�าพรรษากับหลวงปู่ขาว ได้ ๑ ¾ÃÃÉÒ à»š¹¼·ŒÙ èÕàÅ×Íè ÁãÊÈÃ·Ñ ¸Òã¹¾ÃÐÈÒʹÒÁÒ¡ ÀÒǹÒÁÒ¡ คุณต๋ันพาหลวงปู่ไปจ�าพรรษาท่ีถ้�าพระสบาย จังหวัดล�าปาง บังเอิญ (By chance) ตอนน้นั หลวงปู่ชอบ พาพระมา ๓-๔ องค์ ÁÒ¨Ò¡¨Ñ§ËÇ´Ñ àÅ ÁÒ¨íÒ¾ÃÃÉÒͶ‹Ù Òéí ¾ÃÐʺÒ¹մé ÇŒ Âહ‹ ¡¹Ñ พูดถงึ คณุ ตน๋ั สวุ รรณศร คนน้ี ภายหลังเมือ่ หลวงป่เู องไป อยู่ออสเตรเลียแล้ว ได้เขียนจดหมายคุยธรรมะกัน โยมตั๋นตอบว่า “เด๋ียวน้ีผมเห็นอะไรเป็นของเก๊ ของปลอม (faked) เสียแล้ว” กเ็ ลยหยุดติดตอ่ กนั พระพทุ ธองค์ทรงสอนอนปุ สั สนาแบบสน้ั ๆ วา่ อนปุ ัสสนาท่ี ๑ ภิกษุพึงเหน็ พึงพจิ ารณาขนั ธ์ ๕ เปน็ อสจั จะ (เก)๊ ของเท็จ อนุปัสสนาที่ ๒ ¾Ö§¾Ô¨ÒóÒàËç¹¹Ô¾¾Ò¹à·‹Ò¹Ñ鹨ÃÔ§ หลงั จากเหน็ แจง้ เชน่ น้แี ลว้ ไม่ช้าจะแจ่มแจง้ ธรรมสมบรู ณ์ ที่ถ�้าพระสบายน้ี ปกติหลวงปู่ชอบท่านไม่ไปประชุมกับ พระประจ�าวัดเท่าไหร่ ท่านประชุมศิษย์ของท่านที่กุฏิท่ีพักของ ทา่ นเท่านัน้ ท่นี พี้ ระบญุ จนั ทร์ (จันทวโร) บังเอญิ มาอยใู่ กล้ๆ กนั ท่านมีอาจารย์เก่าอยู่ก่อนแล้ว ท่านไม่สนิทกับหลวงปู่ชอบเท่าไร พอตอนเย็นไปประชุมท่ีกุฏิหลวงปู่ชอบ ท่านบุญจันทร์ชอบซักถาม ¾ÃмãÙŒ ËÞà‹ ÃÍè× §ÍÃÔÂÊѨ ô ໹š »ÃШÒí àÂç¹Çѹ¹Ñ¹é ·Õè¡¯Ø ÔËÅǧ»†ÙªÍº ท่านน่ังเป็นประธานพร้อมคณะศิษย์ ๔-๕ องค์ (ท่านบุญจันทร์ ออ่ นกวา่ หลวงปรู่ าว ๑ พรรษา) ทา่ นบญุ จนั ทรถ์ ามหลวงปชู่ อบวา่ “อริยสัจ ๔ เป็นอย่างไร” ËÅǧ»Ù†ªÍº·‹Ò¹ËѹÁÒ·Ò§ËÅǧ»Ù†áÅŒÇ ¡ÅÒ‹ ÇÇÒ‹ “บญุ ฤทธิ์ วา่ ไง” 144

145 หลวงปู่ได้ตอบว่า “ท�าแล้วรู้เอง” ËÅǧ»Ù†ªÍº·‹Ò¹ºÍ¡ “เออใช่แลว้ ” หลวงปู่เลา่ ชีวิตของท่านตอนนน้ั วา่ ตอนนนั้ นะ่ โรคงว่ งก็ยัง ไม่หาย ทนี ้ีท�ายังไง คือที่ถ�า้ พระสบายนน้ั มบี รเิ วณอยบู่ นเขา มที าง เดินเป็นบันไดใกล้ปากถ้�าขึ้นเขาไป ทางเดินนี้มีเลียบไปทางแนว หน้าผาบนเขา บนหน้าผาน้ันมพี ระเจดีย์อิฐเก่าอยู่ ๑ องค์ ที่รอบๆ พระเจดียม์ กี รวดทรายกับหญา้ ข้นึ อยู่รอบๆ เขาสร้างองคเ์ จดียไ์ วบ้ น เขาใกล้หน้าผาเลยทีเดียว คืนวันหนึ่ง เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง สาดแสงสว่างก�าลังดี เพราะจะแก้ง่วงแหละทีน่ีก็ข้ึนไปบนหน้าผา เราเลือกนัง่ หนั หนา้ เขา้ หาพระเจดีย์ และหนั หลังลงหน้าผา ถ้ามัน ขืนงว่ งหลบั ก็ให้มันตกลงหนา้ ผาไปเลย พอน่ังก็ มันแว๊บ ไม่รู้ตัวไปขณะเดียว พอดูนาฬิกามันได้ ต้งั ชัว่ โมงกว่า หมายความว่าภาวนากลับมาแล้ว ต้งั แตน่ ัน้ มาโรค ง่วงหายขาด คอื Subconscious มนั กลวั ตาย มันกลัวตกผาตาย ¡ÅÑÇŧàËÇ áÅÇŒ ÍÕ¡ÍÂÒ‹ §Ê¶Ò¹·èÕ¹é¹Ñ ÈÑ¡´ÔìÊÔ·¸ÁÔì Ò¡ การภาวนาสว่ นมากคิดเอาเองกไ็ ด้ผล เพราะสง่ิ ทคี่ ิดเองท�า เองเปน็ ปฏบิ ตั ิ ลงมอื ทา� ทเี ดยี วไมใ่ ชท่ ฤษฎี กค็ อื สญั ญากบั ตวั เองมนั เด็ดขาดดี ถ้าต้ังกฎเกณฑ์เองตัวมันยอมรับเราต้ังเองเพื่อตัวเราเอง โดยเฉพาะ ถ้าเป็นคนอืน่ ตัง้ มันคอยแต่จะเกดิ Revolution ต่อต้าน มนั จะไมย่ อม ถ้าคดิ เอง มนั ยอม มนั อย่างน้ัน

146

ถํ้านายม 147 ทีน้ีไปถ้�านายม เพชรบูรณ์ เมื่อออกจากโคราชหลวงปู่ชอบ ทา่ นไดน้ มิ ติ กอ่ นแลว้ àÃÍ×è §¶Òíé ¹ÒÂÁ ·Ò‹ ¹Í¡‹Ù ºÑ ª»Õ ТÒÇ ¶íéÒ¹ÊÕé ǧÒÁ มาก อยู่ไกลผ้ไู กลคน ปี ๒๔๙๙ ถ้�าน้สี วยงามเหมือนปราสาท ใตพ้ ื้นถ้า� ลงไปมนี ้า� ลอด มปี ่าไผล่ ้อมครม้ึ ไปบิณฑบาตตอ้ ง เดินไกลราว ๕ กิโล เรื่องหลวงปู่ชอบที่ถ�้านายมน่ีก็มีอยู่ในประวัติ ¢Í§·‹Ò¹·èÕNjҷ‹Ò¹¹Ñè§ÀÒǹÒÍÂÙ‹¡ÑºªÕ»Ð¢ÒǹÑè¹ ¡çÇѹ˹èÖ§àËç¹à·Ç´Ò เหาะผ่านไปกระซิบอะไรที่พ่อขาวนั่นโดยดูไม่สนใจหลวงปู่ชอบเลย àÊèç áÅÇŒ ¾Í‹ ¢ÒÇ¡Áç Ò¶ÒÁËÅǧ»ª†Ù ͺÇÒ‹ “อาจารยผ์ มสา� เรจ็ ขน้ั ไหน” หลวงปชู่ อบทา่ นเลา่ วา่ เราภาวนา ๑๐ ปสี เู้ ขาไมไ่ ด้ พอออก ¾ÃÃÉÒËÅǧ»Ù†ªÍºท่านก็ไป พ่อขาวก็อยู่คนเดียว (ผ้าขาว) แกไม่ ÂÍÁ¡ÅѺºŒÒ¹ ÅÙ¡ËÅÒ¹µŒÍ§ÁÒŋ;Òไปท่ีล�าธารให้แกดูล�าธารแล้ว ¨Ñºá¡ãÊ‹àÃ×Í¡ÅºÑ ºÒŒ ¹ ¶§Ö ºÒŒ ¹á¡àÍÒáµ‹à´¹Ô ¨§¡ÃÁÀÒÇ¹Ò ทีนี้ตามบ้านนอกบ้านแบบอีสาน มีชานบ้าน ไม่มีลูกกรง ¼ÒŒ ¢ÒǹáÕè ¡ÃŌ٠Nj §Ë¹ÒŒ áÅÇŒ á¡¡µç ¡Å§¨Ò¡¹Í¡ªÒ¹¶¡Ù ÅÍŒ à¡ÇÂÕ ¹¡µç Ò แกล่วงรู้เวลาตายล่วงหน้า น่าจะขั้นอนาคาแลว้ เหมอื นลกู ศษิ ย์ภาวนาของอาตมา ดร.กรณุ ารัตน์ ชาวลังกา แกเปน็ ลกู ศษิ ยอ์ าตมาแลว้ ไปสอนพอ่ (หลานศษิ ย์) พอแกภาวนาได้ วนั หนงึ่ ลกู ชายแกอกี คนเปน็ หมออยโู่ รงพยาบาลแคนด้ี แกมาถงึ กข็ น้ึ ¹Í¹º¹àµÕ§¾ÂÒºÒÅ ºÍ¡ “พ่อไปละวันน้ี” แล้วก็ไปเลย น่ีอยา่ งนี้ เบอร์นาด ฌอร์ เขาว่า (Shaw, George Bernard)

พระญาณสทิ ธาจารย์ (หลวงปสู่ มิ พทุ ธาจาโร) หลวงปู่หลวง กตปญุ โญ ÇÑ´¶Òéí ¼Ò»ÅÍ‹ § ¨Ñ§ËÇÑ´àªÂÕ §ãËÁ‹ Ç´Ñ »Ò† ÊíÒÃÒÞ¹ÔÇÒÊ ¨Ñ§ËÇ´Ñ ÅÒí »Ò§ เทวดาบอกว่า กฐินใหญส่ ดุ จะมที ่ีวัดปา่ หลวงปอู่ อกจากถา้� พระสบายแลว้ ไปเยย่ี มบา้ นทอี่ ตุ รดติ ถ์ ไป àÂÕÂè ÁºŒÒ¹¾Ñ¡Ë¹è§Ö µÍ¹¹¹éÑ โยมบดิ า (หลวงพนิ ิจจินเภท) สิ้นไปแลว้ ขอยอ้ นไปถา้� นายมหนอ่ ย คอื มพี ระบวชใหมข่ น้ึ รถบสั (Bus) มาเลย ชวนไป ตอนนัน้ ปี ๒๔๙๙ ในถ้า� ยงั งดงามมีพื้นไม้สกั อย่างดี กลบั มา จากออสเตรเลยี คราวหลงั ๆ นไ้ี ปดถู า้� นา่ เสยี ดาย พน้ื ไมด้ ๆี หายไปหมด ถา�้ กไ็ มส่ วยเหมอื นกอ่ น ปา่ ไผห่ ายไปหมดแลว้ รวมอยปู่ า่ ๑๓ ปี ขอย้อนไปถ�้าพระสบายอีก คือว่าพอออกพรรษาก็ต้องมี การทอดกฐนิ โดยทค่ี ณุ ตน๋ั หวั หนา้ ไรย่ าสบู ลา� ปางเปน็ ผจู้ ดั งานกฐนิ ทถ่ี ้า� ปนี น้ั พ.ศ. ๒๔๙๘ เราก็วา่ ตอ้ งเปน็ กฐนิ ใหญก่ ว่าใครทง้ั หมดใน ÅÒí »Ò§ ᵋËÅǧ»ªÙ† ͺ·‹Ò¹ºÍ¡Ç‹Ò “เทวดาบอกว่า กฐินใหญ่ทสี่ ุด จะมีทีว่ ดั ป่า (วัดปา่ สา� ราญนวิ าส) โรงงานน้า� ตาลลา� ปาง ซ่งึ มที า่ น พระอาจารย์แวน่ (หลวงปแู่ ว่น ธนปาโล) จา� พรรษาอย่”ู 148