Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore wrp1-หนังสือวาทแห่งวาสน์

wrp1-หนังสือวาทแห่งวาสน์

Description: wrp1-หนังสือวาทแห่งวาสน์

Search

Read the Text Version

เสียดายอาลัยเหตุการณ์ที่ผ่านพ้นไปแล้ว จะให้ย้อนกลับ มาใหม่อีกย่อมเป็นไปไม่ได้สมเจตนา ต้องคอยตรวจดูชีวิตที่ ก�ำลังด�ำเนินอยู่เป็นปัจจุบันน้ี ให้คงอยู่ในท�ำนองคลองธรรม แม้จะเป็นชีวิตท่ีไม่รุ่งโรจน์ แต่ไม่สกปรกมัวมอม ซึ่งยังต้อง ระวังตัว เป็นลักษณะกินปูนร้อนท้อง ก็นับว่าเป็นชีวิตสบาย จะมั่งมีดีจนอย่างไรก็ตาม ถ้ามีความสุขกายสบายใจเพราะ ระวังตนอยู่ในท�ำนองคลองธรรมสมฐานะแล้ว ก็นับว่าเป็น โชคลาภของชีวิตอย่างแท้จริง เป็นมรดกอันล้นค่า ควรท่ี ลูกหลานจะเทิดทูน เคารพบูชาดว้ ยความสนิทใจ มรดกของชีวิตขอแยกออกเป็น ๒ ประเภท คือ ทรัพย์สินเงินทองท�ำอะไร เรือกสวนไร่นา ซึ่งรวมเรียกว่า สวิญญาณทรัพย์ อวิญญาณทรัพย์ ประเภท ๑ คุณงาม ความดี ท่ีประพฤติบ�ำเพ็ญตนผ่านพ้นอบายมุขต่าง ๆ มาได้ ประเภท ๑ ในประเภทต้นทรัพย์สมบัตินั้น สามารถลงทุน หรือรวมแรงร่วมก�ำลังกับผู้อื่นให้ช่วยเหลือด�ำเนินงาน แปลว่าอาศัยก�ำลังคนอื่นช่วยแสวงหา ก่อสร้างให้เกิดมีขึ้นได้ ในส่วนประเภทหลังคุณงามความดีนั้น ต้องตัวใครตัวมัน อาศัยวาสนาบารมีของใครมาช่วย ท่ีสุดพ่อแม่ก็ช่วยลูกไม่ได้ มรดกส่วนน้ีนับว่าส�ำคัญยิ่ง จะมีสง่าราศีมีเกียรติยศชื่อเสียง มีคนเคารพบูชา ก็เพราะมรดกคือคุณงามความดีน้ีเท่านั้น ท้ังจะเป็นผู้ปกครองทรัพย์สมบัติท้ังหลายน้ัน ให้ถาวรมั่นคง สืบต่อไปได้อีกด้วย หากขาดหรือบกพร่องมรดกส่วนน้ีแล้ว 50

51 สมบัติประการอ่ืนท้ังหลายจะเจริญมั่นคงอยู่มิได้เลย มีแต่ อันตรธานสูญหายย่อยยับอัปภาคย์ลงไปทุกขณะ ตัวอย่าง ย่อมปรากฏให้เห็นมาแล้วตลอดปัจจุบันนี้ ส�ำนวนปากตลาด จงึ พูดว่า ”บุญไมถ่ ึง„ จึงครองมรดกนน้ั ไวไ้ มไ่ ด้ มรดกประเภททรัพย์สินสมบัติ ไม่สูญหายไปไหน เป็นแต่เปลี่ยนมือ เปลี่ยนกรรมสิทธ์ิผู้ปกครอง กระจาย จากกลุ่มน้ี ก็กลับไปรวมกลุ่มใหม่ได้ เจ้าของครองอยู่ไม่ได้ ผู้อื่นก็ครองแทน กลายเป็นสมบัติของผู้อ่ืนต่อ ๆ กันไป ใครฉลาดสามารถก็อาจรวบรวมได้มาก ใครโง่เกียจคร้าน ก็รวบรวมได้ยากและได้น้อย ทรัพย์สินเงินทองจึงเหมือน เป็นของกลาง ใครมีบุญวาสนามาก ทรัพย์สินก็มักชอบไป พึ่งบารมีอยู่ด้วยมาก ใครมีวาสนาน้อย ทรัพย์สินก็ร่อยหรอ น้อยลงตาม ทรัพย์สมบัติเป็นเพียงอุปกรณ์เคร่ืองให้ความสุข กายสบายใจ ยังมิใช่ตัวความสุขอย่างแท้จริง แต่คนเรา มักทึกทักว่า เขามีทรัพย์สินเงินทองมาก เขาก็มีความสุข สบาย น่ัง ๆ นอน ๆ ก็มีกินไม่ต้องล�ำบากเดือดร้อน น้ีเรา ดูกันเพียงเคร่ืองประกอบภายนอกอย่างเดียว ดังเห็นใคร แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าอย่างดีเรียบร้อย ก็ลงความเห็นว่าเป็น สุภาพชนไว้ก่อนฉะนั้น แต่พึ่งทราบว่า การได้มาซึ่งทรัพย์สิน ด้วยทุจริตคิดมิชอบประการใดประการหน่ึงแล้ว ท่านว่าเป็น ทรัพย์ร้อน ร้อนมาจากจิตใจของเจ้าของที่ต้องยอมจ�ำใจ

ยกให้ก็ชั้นหน่ึง ใจของผู้รับเองยังจะร้อนด้วยการปิดบัง ซ่อนเร้นความทุจริตของตนมิให้เปิดเผย และระวังตัวกลัว เจ้าของเดิมจะแก้แค้น ทรัพย์สมบัติจึงยังไม่เป็นเครื่องแสดง ความสุขกายสบายใจอย่างแท้จริง ย่ิงผู้ที่ตกเป็นทาสของ ทรัพย์สมบัติ ยอมให้สมบัติเป็นนาย จะย่ิงกระวนกระวาย เดือดร้อนเป็นทวีคูณ ท้ังยามหลับยามต่ืน พระพุทธเจ้าทรง สรรเสริญความสุขใจมากกว่าสุขกาย จึงทรงสอนให้รู้จัก สันโดษ รู้จักพอ รู้จักเป็นนายทรัพย์สมบัติ ใช้จ่ายทรัพย์ ให้เป็นคุณประโยชน์แก่ตนและผู้อ่ืน จะได้เป็นอุปกรณ์ เคร่ืองบ�ำเรอความสุขกาย สุขใจ ได้ตามควร เป็นมรดกที่ เยน็ ตลอดถงึ ลูกหลาน ส่วนมรดกคือคุณงามความดี นับเป็นหลักส�ำคัญยิ่ง ใครมีมรดกส่วนนี้ ย่อมสนองผลให้มีมรดกเป็นทรัพย์สมบัติ อีกด้วย เป็นมรดกท่ีเยือกเย็นสุขุม ชุ่มช่ืนใจของเจ้าของ เป็นท่ีเคารพนับถือของผู้อื่น เป็นมรดกท่ีม่ันคงถาวร ทุก กาลสมัย บ้านเมืองที่เจริญรุ่งเรืองด้วยถาวรวัตถุ สวยงาม เป็นระเบียบเรียบร้อย สืบต่อกันมาได้ด้วยดี ก็เพราะมรดก คือคุณงามความดีของบุรพชนที่ได้ก่อสร้าง วางแบบแผน ให้เป็นมรดกตกทอดกันมาเป็นหลักใหญ่ จึงวิวัฒนาการ มาตามล�ำดับ เพราะเป็นมรดกส่วนเพิ่มพูนส่งเสริม ไม่เหมือนมรดกส่วนชั่วช้าเลวทราม ส่วนนี้เป็นมรดก ท�ำลายล้างผลาญ ย่อยยับ ถ่วงความเจริญ ไม่เป็นคุณ ทกุ กาลเทศะ 52

53 ตามท่ีบรรยายมานี้ ก็เพื่อชักชวนชาวเราให้สะสม ก่อสร้างส่วนคุณงามความดีตามแนวพระศาสนา อย่างน้อย ก็จงมีเมตตากรุณาต่อกัน ถือคติประจ�ำใจว่าหน้าที่โดยตรง ของเรา คือการคอยมุ่งท�ำประโยชน์ให้แก่ผู้อ่ืนเสมอ เม่ือตน ยังด�ำรงชีวิตอยู่ก็เสวยความสุขกายสบายใจให้ตนเองด้วย ซ�้ำยังเป็นมรดกตกทอดถึงลูกหลานผู้สืบสกุลได้เห็นตัวอย่าง ท่ีดีงาม อบรมอัธยาศัยลูกหลานได้ดีงามสืบต่อไปอีกด้วย จะเชื่อว่าท�ำมรดกอันล้นค่าถาวรไว้แก่ลูกหลาน แก่ประเทศ ชาติบ้านเมือง ถึงยามตายวายชีพสลายร่าง ชื่อก็ยังหอมหวน ชวนสรรเสริญ ทั้งยังส่งเสริมให้สามารถรักษาทรัพย์สมบัติ อันเป็นมรดกภายนอกให้มั่งคั่งสืบไปด้วย จงอย่าทะนงตน หลงสร้างมรดกชั่วช้าเลวทราม เพราะตกเป็นทาสของทรัพย์ สมบัติ ให้ทรมานจิตใจตนเองตราบเท่าอายุขัย ซ้�ำยังเป็น ภัยอันช่ัวร้ายแก่ลูกหลานด้วย จะถือเป็นตัวอย่างไปจน ตลอดอายุอีกเลย รักตน รักลูกหลาน จงสงสารตน สงสาร ลูกหลาน ด้วยการสร้างมรดกคือคุณงามความดีทั่วกัน เทอญ.



ห ลั ก พระพุทธศาสนา บรรดาพระพุทธโอวาทท้ังหลายน้ัน แม้จะมากมาย เพยี งไรกร็ วมอยใู่ นขอ้ ท่ี เปน็ หลกั เปน็ ประธานว่า การไม่ทา� บาปท้ังหลาย ประการหน่ึง การท�ากศุ ลให้สมบรู ณ์ ประการหน่ึง และท�าจิตใหผ้ ่องใส ประการหนึ่ง ค�าสอนน้ี ย่อมรวมอยู่ท่ีการกระท�าอย่างเดียว เป็นแต่ มุ่งผลต่างกัน คือ ท�าเพ่ือละบาป กับท�าเพ่ือเจริญกุศล ฉะนั้นผู้ประกาศตนว่า เป็นพุทธศาสนิกชนทั่วไป ท้ังเด็ก ผู้ใหญ่ ท้ังชายหญิง ทั้งคฤหัสถ์ บรรพชิต ต้องต้ังตนตาม หลักค�าสอนน้ีให้มั่นคง อย่านิยมเพียงพิธีการ เช่น ฤดู เข้าพรรษา ก็เข้าวัดรักษาศีลฟังเทศน์ตลอดพรรษาบ้าง ไม่ตลอดบ้าง ออกพรรษาแล้วก็พลอยออกตามไปด้วย หรือปฏิบัติบ�าเพ็ญ ด้วยความถือเพียงให้เป็นนิสสัยปัจจัย ตามธรรมเนียมประเพณี, จะไม่ซาบซึ้งถึงรสพระธรรมแต่

ถึงเช่นน้ีก็นับว่ายังดีกว่าผู้ไม่สนใจเสียเลย พอจะมีโอกาส ได้รับรัศมีว่ีแววของค�ำสอนผ่านหูผ่านตาอยู่บ้าง ส่วนผู้ ไม่สนใจ นับว่าเหมือนอยู่ในท่ีมืดมิด ชวนให้หวาดหว่ัน กลับจะนับถือพระรัตนตรัย เหมือนไว้ส�ำหรับป้องกัน อันตราย ให้แก่ตนเองบ้างส�ำหรับให้ตนม่ังมีศรีสุขบ้าง ไม่มี หลักธรรมประจำ� ใจ จงึ ท�ำใหว้ า้ เหวเ่ ปลา่ เปลีย่ วใจ การปฏิบัติตนตามแนวธรรมะ มิใช่ว่าเป็นความ ประพฤติท่ีเลว จะได้อับอายเกรงกลัวผู้อื่น อันท่ีจริงเป็น ความประพฤติท่ีถูกท่ีชอบ ท้ังในด้านศาสนาและความ ปรารถนาของตน ความสุขความเจริญทั้งหลายที่ยังได้รับ กันอยู่ตามอัตตภาพในบัดน้ีพึงทราบว่า เกิดมาจากการ ปฏิบัติตนตามแนวธรรมะ หาได้เกิดจากผู้ปราศจากธรรมะ เลย แต่เพราะธรรมะเป็นจริยาของจิตใจละเอียดอ่อน แทรกสิงอยู่ในน�้ำใจของบุคคล หมู่ใด คณะใด มีน�้ำใจ กอบด้วย เมตตา กรุณา สามัคคี วิริยะ อุตสาหะเป็นต้น หมู่น้ัน คณะนั้น ย่อมมากด้วยความสุขความเจริญ พูดกันเข้าใจง่าย จะแนะน�ำสั่งสอนหรือห้ามปรามอย่างไร ย่อมเช่ือถือกระท�ำตาม เพราะมีหลักของใจอยู่เป็นแนว ธรรมะอย่างเดียวกัน ส่วนท่ีตรงกันข้ามก็เพราะขาดหลัก ของธรรมะเป็นตน้ เคา้ อย่างสำ� คัญ 56

57 ฉะน้ัน จึงควรที่พุทธศาสนิกชนทั่วไป จะสนใจศึกษา หลักธรรมะไว้ประจ�ำใจของตน ด้วยความยินดีหมั่น สดับตรับฟัง หมั่นสมาคมกับท่านผู้รู้ จะได้น�ำมาเป็นแนว ปฏิบัติตนของตน จะรอให้ใครช่วยเหลืออุดหนุนในเร่ือง หลักใจนั้น ไม่เป็นผลส�ำเร็จ เพราะเป็นเหตุผลเฉพาะบุคคล เป็นเร่ืองเฉพาะตัวจะพึงท�ำเอง เหตุนี้ ผู้รักจะประพฤติ ธรรมะ จึงควรปฏิบัติกาย วาจา ใจ ของตนตามแนวทางของ ธรรมะ ให้สมกับท่ีท่านแสดงลักษณะของธรรมะนั้นไว้ เมื่อ ยังปฏิบัติให้บริสุทธ์ิบริบูรณ์ยังไม่ได้ก็อย่าพึงท้อถอยคลาย ความอุตสาหะพยายาม เพราะมิใช่เป็นคุณเกินวิสัย ควร ปลุกปลอบใจให้เกิดความเข้มแข็ง บากบ่ัน ในอันท่ีจะ บรรลุผลตามลักษณะของข้อธรรมน้ัน ๆ อย่าฉุดข้อธรรมะ เข้ามาเทียบกับอัธยาศัยของตน สมเด็จพระบรมศาสดา มีพระพุทธประสงค์ให้สาวกถึงความเป็นผู้สถิตอยู่เบื้องสูง ด้วยคุณธรรมความดีทุกระยะเวลา จึงตรัสเตือนให้พุทธ สาวกพยายามละความมวั หมองของใจให้หมดไป ครัง้ ละเลก็ คราวละน้อยทุกขณะไม่ท้อถอยทอดท้ิงดังความว่า ผู้มีปัญญา ควรขจดั มลทินของตนเสียในขณะ ๆ ทลี ะน้อย ๆ โดยล�ำดบั เหมือนช่างทองชำ� ระสนมิ เงนิ ฉะนน้ั มลทิน ได้แก่บรรดาความชั่ว บาป อกุศล ทั้งหลาย ทั่วไป ซึ่งคอยท�ำใจให้เศร้าหมอง ขุ่นมัว มีโลภะ โมหะ เป็น ต้นเค้า ส่งผลให้เป็นความเลวทรามแก่ตนเองและหมู่คณะ

มีประเภทและจ�ำนวนมากมาย คือ ความโกรธ, ลบหลู่ คุณท่าน, ริษยา, ตระหน่ี, มายา, มักอวด, พูดปด, มีความ ปรารถนาลามก, และเหน็ ผดิ ความโกรธ ท่ีจัดว่าเป็นมลทิน ก็เพราะเผารนใจให้ พลุ่งพล่านขาดสติยับย้ังช่ังใจ ท�ำใจให้โหดเห้ียมดุร้าย รุ่มร้อนแก่ตนเองแล้วมิหน�ำซ�้ำลุมลามเผาลนผู้อื่นตลอด ส่ิงของ ให้พลอยเดือดร้อนและแตกดับเสียหาย อย่างแรง ถึงให้คิดจองล้างจองผลาญ ไม่มีความดีอย่างไรในความ โกรธเลย แต่ท่ีมักเทียบความโกรธว่าเป็นฝ่ายพระเดชของ ผู้ใหญ่บางท่านเท่านั้น ย่อมไม่ชอบเพราะเกิดแต่โทสะมุ่ง ล้างผลาญท�ำลายให้ย่อยยับโดยส่วนเดียว ส่วนความโกรธ อันจะเป็นฝ่ายพระเดชน้ัน เกิดจากความคาดค้ันรุกล้นของ เมตตากรุณา เช่น ความโกรธของบิดามารดา ของครูอาจารย์ เป็นต้น ถึงอย่างน้ีก็ยังนับว่าเป็นมลทิน เพราะไม่มีใครชอบ พระเดช คอื ความโกรธเลย ลบหลู่คุณท่าน เป็นเหตุให้ถือตัว เย่อหย่ิง ยกตัว เชิดตัวว่าดีเลิศกว่าผู้อื่นไม่ต้องพ่ึงอาศัยใคร ท�ำให้เห็นผู้อ่ืน เลวทรามต�่ำช้ากว่าตน ท่านจึงจัดเป็นมลทินเพราะเม่ือเกิดมี ในนิสัยสันดาน ย่อมท�ำให้เป็นผู้ทนง ขาดความรู้สึกใน อุปการคุณของผู้อื่น ไม่มีใครกล้าคบหาสมาคมและตักเตือน ช่วยเหลอื 58

59 ริษยา เป็นมลทินท่ีรบเร้าใจให้กระวนกระวาย หว่ันใจ เกรงคนอื่นจะดีเลิศกว่าตน ขาดมุทิตาจิตที่พลอยนิยมยินดี ต่อคุณความดีของผู้อ่ืน คอยแต่จะหาทางตัดรอนความดี ของเขา มีน้�ำใจด้ินรนกระสับกระส่ายเหมือนระแวงภัย อยู่เสมอ คิดท�ำดีแก่ใครไม่เป็น เท่ากับเป็นผู้ถ่วงความสุข ความเจรญิ และกอ่ เหตุแห่งการแตกสามัคคขี องหมคู่ ณะ ตระหนี่ เป็นลักษณะที่มีน�้ำใจคับแคบ ไม่ปรารถนา เฉล่ียแบ่งปันวัตถุสิ่งของและก�ำลังออกช่วยเหลือแก่ผู้อื่น เพราะเสียดายเกรงความส้ินเปลือง คอยเอาเปรียบบุคคล และหมู่คณะ เป็นผู้ทอนก�ำลังของหมู่คณะ เพราะมุ่งแต่จะ ได้ส่วนเดยี วถึงคราวเสยี ไม่ยอมเสยี มายา คือ เจ้าเล่ห์ตลบแตลง ท่ีท่านจัดเป็นมลทิน ก็เพราะเป็นนิสัยที่ขาดความซ่ือตรงเต็มไปด้วยอคติ ไม่เป็น ที่ไว้วางใจของใคร น�ำให้นิยมความทุจริตอยู่ร่�ำไป เพราะจะ เห็นคนอ่ืนมีมายาแก่ตนอยู่เสมอ เป็นท่ีรังเกียจหวาดเกรง ของผอู้ ื่น มักอวด ได้แก่การประกาศยกตนเองเพื่อให้ผู้อ่ืน รู้เห็นว่า ตนมีคุณงามความดีอย่างนั้นอย่างน้ี ท่ีจัดเป็น มลทิน ก็เพราะขาดการรู้ประมาณตน มัวเมาอยู่แต่การ ยกตนข่มท่าน ทนงตนว่าดีกว่าเขา ย่อมเป็นเหตุให้ตกต�่ำ ไม่เจริญกา้ วหน้า

พูดปด จัดเป็นมลทินก็เพราะมีวาจาไม่เป็นที่เชื่อถือ ได้ ไม่มีวจีสัตย์ ท�ำตนให้หมดความเคารพย�ำเกรงไว้เนื้อ เช่ือใจของผู้อื่น และยังเป็นท่ีคาดคะเนว่า อาจประพฤติ ความช่ัวร้ายอย่างอื่นอีกมากมาย เพราะท่านกล่าวว่า คนพูดปดได้แล้ว จะไมท่ ำ� ช่วั อย่างอ่ืนอกี นนั้ ไม่มเี ลย มีความปรารถนาลามก ท่ีจัดเป็นมลทินก็เพราะเค้า ของใจหมกมั่นอยู่ในความชั่วร้าย เท่ากับคอยก่อความชั่ว ที่ยังไม่มีให้มีขึ้น ความช่ัวร้ายที่มีอยู่แล้วก็กลับแก่กล้า ทวีย่ิงขึ้น ย่อมชวนให้อยากได้ไม่รู้จบ ไม่เลือกว่าควรหรือ ไม่ควร เห็นผิด หมายถึง เห็นผิดจากท�ำนองคลองธรรม เช่นเห็นว่า การรักษาศีลฟังเทศน์ไม่มีประโยชน์เป็นต้น เห็นผิดจากขนบธรรมเนียมประเพณี ตลอดจนกฎหมาย บ้านเมือง นับเป็นมลทินอย่างหนัก เพราะยากที่จะร้ือฟื้น ความเห็นน้ัน ให้กลับเข้าลู่ทางท่ีถูกได้ มีแต่จะเพาะพืช แห่งความผิดใหแ้ พรห่ ลายยงิ่ ขน้ึ บันดามลทินทั้ง ๙ ประการน้ี ย่อมสามารถแทรกสิง อยู่กับอัธยาศัยของบุคคลทุกฐานะ แต่ละประการเป็นส่วน ควรละเลิกเพิกถอนจากนิสัยสันดาน เพราะเป็นวิสัยที่จะ ท�ำให้เบาบางหรือให้ห่างหายได้ มิใช่ของจ�ำเป็นของชีวิต เม่ือเพิกถอนหมดไปเพียงไร ก็ต้องอบรมส่วนควรเจริญ 60

61 อันเป็นคุณงามความดีเข้าแทน คือฝึกฝนอบรมเมตตา กรุณาแทนความโกรธ, กตัญญูกตเวทีแทนลบหลู่คุณท่าน, มุทิตาแทนริษยา, การบริจาคแทนตระหนี่, ยุติธรรมแทน มายา, ความรู้ประมาณตนแทนมักอวด, สัมมาวาจาแทน พูดปด, สันโดษแทนปรารถนาลามก และสัมมาทิฏฐิแทน เห็นผิด จึงจะได้ช่ือว่าผู้ตั้งอยู่ในความดี เป็นผู้ดีท่ีใคร ๆ ย่อมปรารถนายกย่องสรรเสริญ นับว่าเป็นผู้สูงขึ้นด้วย คุณธรรม และเมื่ออบรมได้เป็นหลักฐานแนบแน่นอยู่กับ นิสัยแล้ว จะเป็นเหตุให้บรรลุถึงคุณธรรมความดีท่ียิ่ง ๆ ข้ึนไปอีก อย่าเห็นว่าเป็นคุณธรรมขั้นต�่ำ แล้วไม่น�ำพา หาก คุณธรรมข้ันต่�ำอันเป็นรากฐานเช่นนี้ ยังไม่ม่ันคงบริบูรณ์ แล้ว อยา่ หวังคุณธรรมข้นั สูงเลย เปน็ มไี มไ่ ดโ้ ดยแท้



ควำม เ ชื� อ ”ผู้มักเช่ือตามเสียงของคนอื่น ไม่ทันรู้ถึงความส�าคัญ ว่าจริงเพยี งใด จัดเป็นพวกโง่เขลา มีแตเ่ ชอ่ื ผูอ้ ื่นรา�่ ไป„ ใจความนี้กล่าวต�าหนิบุคคลที่เรียกว่าหูเบา ด่วนเช่ือถือ ตามผู้อื่นง่าย ๆ โดยไม่ทันได้ใคร่ครวญหาหลักฐานให้ทราบ แน่นอนเสียก่อนว่า จริงหรือเท็จเพียงไร พอได้สดับข่าว เล่าลือก็เร่ิมระทมตรมตรอมใจเชื่อถือเป็นจริงจัง ไม่รู้จัก ใช้สติปัญญาความคิดเห็นของตน ตริตรองหาเหตุและ ผลที่ควรและไม่ควรอย่างไรก่อน ผู้เช่นน้ีกว่าจะรู้ส�านึกตน กลับยั้งคิดได้ ก็มักถึงทุกขภัยเดือดร้อนนานาประการ เสียแล้ว ความเชื่อถือของบุคคลเช่นนี้ แม้มีอาการคล้าย สัทธาความเชื่อใจก็จริง แต่ท่านไม่นับว่าเป็นลักษณะของ สัทธา เพราะหลงเชื่อหรือน้อมใจเช่ือ ด้วยขาดสติปัญญา ใคร่ครวญเหตุผลต้นปลายผิดถูกควรหรือไม่ควรก่อน เป็น ทางน�าไปสู่ความเดือดร้อนหรือทุกขภัยพิบัติ เช่นนี้ ท่าน

แยกเป็นลักษณะอีกประเภทหน่ึงว่า อธิโมก น้อมใจเชื่อ ส่วนความเชื่อในลักษณะของสัทธา ต้องประกอบด้วย สติปัญญาตริตรองตาม เหตุและผลเหมาะสมกับกาลสมัย ทุกประการ เป็นทางน�ำไปสู่ความวัฒนาถาวร จึงปลงใจเชื่อ อย่างน้ี นับเป็นสัทธาแท้ ท่านสรรเสริญในท่ีทุกสถาน ตลอดกาลทกุ เมือ่ อันที่จริง ความเช่ือ นับเป็นอาการธรรมดาของบุคคล ทั่วไป เกิดมาแล้วก็ต้องมีความเชื่อ เว้นแต่ว่าใครจะวาง ความเช่ือของตนในลักษณะชนิดไหน ดีหรือเลว ควรหรือ ไม่ควรเท่าน้ัน เบื้องต้นบุคคลก็ต้องอาศัยน้อมใจ เช่ือตาม ผู้อื่นมาก่อน เช่น เชื่อตามบิดามารดา ครู อาจารย์ เป็นต้น ซึ่งเป็นผู้ฝึกฝนอบรมกิริยาวาจาศิลปวิทยา แม้จะมีลักษณะ เป็นอธิโมกข์ น้อมใจเชื่อ ก็ยังนับว่าเป็นความเช่ือที่มีหลักฐาน เพราะบิดามารดาย่อมมุ่งความสุขความเจริญแก่บุตรธิดา ของตนเป็นท่ีต้ังน้อมใจเช่ือตามผู้ปรารถนาดีเช่นน้ี ถึงจะ ยงั ไมไ่ ดร้ ับยกย่อง เพราะเชอ่ื ตามไป ก็เปน็ อันหวังความดีได้ เมือ่ ต้ังตนตามอนุสาสนีโดยแท้ ส่วนบุคคลผู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดสามารถด้วย ประการต่าง ๆ สมควรท่ีจะใช้สติปัญญาความรู้ของตนน้ัน ให้ด�ำเนินไปตามหลักเหตุและผล อันเหมาะสมกับกาลสมัย เป็นผู้น�ำแก่ตนเอง แต่กลับเป็นผู้อ่อนแอเหมือนผู้อ่อน สติปัญญาไร้วิชาสามารถ ใช้วิชาความรู้ไม่เหมาะสม คอย 64

65 หลงนิยมยินดีลัทธิประเพณีหรือข่าวคราวที่ไม่เป็นสาระ ยึดม่ันถือรั้นอย่างไม่ลืมหูลืมตา หนักแน่นเสียจนเกินพอดี หรือถึงคราวจะเปลี่ยนแปรก็หุนหันพลันแล่น ยอมด�ำเนิน ไปตามค�ำชักจูงได้ง่าย ๆ ตกอยู่ในเกณฑ์เบาจนเกินงามใคร จะแนะน�ำชักจูงอย่างไหน ก็เลื่อนลอยสัดส่ายไปตาม หาเป็น อิสระแก่ตนไม่อย่างน้ีจัดเป็นอธิโมกข์ การน้อมใจเช่ืออย่าง ถูกต�ำหนวิ ่า เปน็ พวกโงเ่ ขลา มีแตเ่ ชื่อผู้อื่นรำ่� ไป โดยแท้ ความเช่ือเป็นอาการเฉพาะตน ซ่ึงมีสิทธิจะน้อม ความเชื่อไปทางไหนก็ได้ตามประสงค์ ส่วนผู้อ่ืนเป็นเพียง แนะน�ำแนวทางให้ แม้ตนเองจะมีเหตุผลดี หรือเหตุผลของ ผู้แนะน�ำนั้นจะดีเพียงไรถ้าชัดกาลสมัย ก็ยังนับว่าดีตลอด มิได้ เช่นเหตุผลของแต่ละบุคคล เม่ือน�ำมาใช้กับเหตุผล ส�ำหรับครอบครัวบางอย่างก็เหมาะสม บางอย่างก็ขัดกัน หรือเหตุผลของครอบครัว บางอย่างก็เหมาะเฉพาะครอบครัว บางอย่างก็ขัดกับเหตุผลของตระกูลโดยนัยน้ี ตลอดต�ำบล อ�ำเภอ จังหวัด ประเทศชาติ เมื่อเช่นนี้ก็ต้องอาศัยความรู้ ความฉลาดปรับปรุงแนวความเช่ือของตนเข้าหาความ พอเหมาะพอควรของยุคสมัยจะยืนกรานด้ือดึงตามเหตุผล ของตนอยู่เสมอไป แม้สะดวกแก่ภาวะของตน หรือถือตนว่า มีอิสระเพียงไร แต่ถ้าขัดกับหมู่คณะ ตลอดถึงประเทศชาติ คนฉลาดก็ต้องยอมสละเหตุผลส่วนน้อยเสีย รักษาเหตุผล ส่วนใหญ่ไว้ก่อนหรือยอมเสียสละสิ่งไม่ส�ำคัญเพื่อรักษา

สิ่งส�ำคัญไว้ ดังภาษิตว่านรชนพึงสละทรัพย์ เพ่ือรักษา อวัยวะอันประเสริฐ เม่ือรักษาชีวิตพึงสละอวัยวะ เมื่อนึกถึง ธรรมะพงึ สละอวัยวะ ทรัพย์ แมช้ วี ิตทง้ั หมด ฉะน้ี อีกประการหน่ึง เหตุผลที่เป็นเครื่องวินิจฉัยว่า เหมาะสมในสมัยหนึ่ง ถ่ินประเทศหนึ่ง ย่อมขัดกับอีก สมัยหนึ่ง ถิ่นประเทศหนึ่งก็มี หรือในถิ่นประเทศเดิมนั่นเอง แต่กาลเวลาเปลี่ยนแปลงมาถึงอีกสมัยหน่ึง เหตุผลท่ีวินิจฉัย ว่า เป็นความเหมาะสมเดิม ย่อมขัดกับเหตุและผลใหม่ก็มี เช่นนี้ จะคงถือเหตุผลของลัทธิประเพณีเดิมอยู่ ไม่เปล่ียน หันเข้าหาเหตุผลใหม่ น�ำมาปรับปรุงให้เหมาะสม ย่อมถึง ความเดือดร้อน เพราะใจยังคงถือสมัยเก่าส่วนกายก�ำลัง ผ่านอยู่ในสมัยใหม่ เกิดความขัดแย้งแก่ตนเอง ในฐานะ เชน่ นี้ จะต้องใช้สตปิ ญั ญาใครค่ รวญใหร้ อบคอบถ่ถี ว้ นจนเห็น ไม่มีทางอื่นจะดียิ่งกว่า หรือมีความเสียหายน้อยกว่าแล้ว ก็ควรปรับปรุงเหตุการณ์ที่ขัดแย้งอันเป็นลัทธิประเพณีเดิม นั้น ๆ หันมายึดหลักการใหม่ เพื่อความสวัสดีแก่ตน ตลอด ประเทศชาติศาสนาต่อไปเป็นการเปล่ียนแปลงพื้นความเช่ือ ของเก่ามาใช้แนวความเชื่ออย่างใหม่ หรือเปลี่ยนแปลงของ ไม่ดีเพราะพ้นสมัย มาใช้ของดีสมสมัยแทน ดังน้ี ไม่ชื่อว่า ใจง่ายคลอนแคลนเสียหลักของสัทธา พระอริยสาวก ทั้งหลายมีพระสารีบุตรเถระพระโมคคัลลานะเถระเป็นต้น ชั้นเดิมท่านทั้งสองยังนิยมลัทธิปริพาชก มีหลักฐานผิดจาก 66

67 พุทธศาสนามาก่อนแล้ว แต่เม่ือได้มาทราบชัดถึงเหตุผล อันละเอียดลึกซึ้งของพระพุทธศาสนา พิจารณาใคร่ครวญ เห็นความม่ันคงว่าเป็นศาสนาน�ำผู้ประพฤติปฏิบัติตามให้ พ้นจากทุกข์ภัยได้จริง ดีกว่าลัทธิเดิม ต่างองค์ก็ละลัทธิเดิม หันมายอมตนเป็นพุทธสาวก จนได้เป็นก�ำลังในการเผยแพร่ พระพุทธศาสนาให้กว้างขวาง นี้เป็นตัวอย่างส่วนน้อยแห่ง บคุ คลด�ำเนนิ ความเช่ือใจเป็นไปถกู ทาง ก็ความเชื่อท่ีประกอบด้วยสติปัญญา สมเหตุสมผล ตามกาลสมัย เป็นไปถูกทางเมื่อเกิดมีประจ�ำใจบุคคลแน่ชัด แลว้ ย่อมช่ือวา่ ผู้มหี ลกั ของใจ ไมส่ น่ั คลอนไปตามผู้อื่นน�ำให้ มีใจหนักแน่นไม่ตื่นเต้นง่ายเป็นอิสระแก่ตน แม้ประสพ อันตรายก็ไม่เสียขวัญ ย่อมกล้าหาญที่จะเผชิญกับภัยอันตราย ทุกชนิด เพราะมายึดหลักว่า มีอันตรายเกิดขึ้นเม่ือไร ต้อง ผจญต่อสู้จนกว่าจะปลอดภัยก่อน ไม่ยอมหลบหลีกหรือ ยอมแพ้ง่าย ๆ แต่วิสัยของบุคคลผู้ไม่มีหลักประจ�ำใจ ย่อม อ่อนแอไม่หนักแน่น ต่ืนเต้น มักเห็นอันตรายมีอยู่รอบตน เพราะนั่งคิดนอนตรองปรุงอันตรายขึ้นเองตามอารมณ์ ขลาด เป็นการขาดทุนหลายซ้�ำ คือยอมเริ่มต้นหวาดหวั่น พร่ันพรึงระทมใจเสียก่อนที่อันตรายจะมีมา และถ้าอันตราย บังเกิดข้ึนจริง ก็หมดก�ำลังต่อสู้ต้านทาน ถูกอันตรายได้ง่าย จัดว่าเป็นผู้แพ้อยู่ตลอดกาล ย่อมหาความสุขใจได้ยาก เคหะสถานบ้านเรือน ทรัพย์สินเงินทองท่ีอุตสาหะก่อสร้างข้ึน

เป็นหลักแหล่งตามควรแก่อัตตภาพแล้ว หมายว่าจะได้รับ ความสุขสะดวกสบายเพราะทรัพย์สมบัตินั้น ๆ แต่พอได้ สดับลมปากเป่าข่าวลือขาดความไตร่ตรองให้รอบคอบก็ พลอยอพยพเตลิดไป ด้วยความหวาดกลัวต่อมรณะภัย เป็นเบื้องหน้าคล้ายกับว่าความตายนั้นมีอยู่เฉพาะที่บ้านเรือน ของตน เมื่อปลีกตัวหลบพ้นไปห่างแล้ว จะไม่มีความตาย ติดตามตนอีกเลย อันที่จริง ความเสียวสดุ้งกลัวก็ตาม ความตายก็ตาม มีอยู่ประจ�ำอยู่กับตนของตนแล้วนั้น จะหนีไปไหนพ้น ขึ้นเขาลงห้วย มุดน้�ำด�ำดิน เหาะเหิน เดินอากาศ หลบซ่อนความตายอย่างไร เป็นอันไม่พ้นเลย ตนอยู่ไหนก็มีความตายท่ีนั่น ความตายไม่เว้นว่างท่ีแห่งใด แห่งหนึ่งไว้อยู่กับบ้านหรือจะอพยพโยกย้ายไปที่ไหน ความตายก็คงมีอยู่ประจ�ำตนเท่ากัน ไม่มากขึ้นหรือน้อยลง หากจะตายอยู่กับบ้านเรือนตน ยังจะสะดวกสบายดีกว่า กระเสือกกระสนไปตายอดตายอยากนอกถ่นิ บา้ นเรือนตน อนึ่ง เม่ือถึงวาระล้มตาย อยู่ที่ไหนก็ตายทั้งนั้น เพราะ ความตายเป็นของแน่นอน ส่วนอารมณ์ของบุคคลไม่แน่นอน หากถึงวาระแล้วก็เป็นอันหมดภาวะส�ำหรับผู้ตาย แต่ความ ทุกข์ล�ำบากเดือดร้อนก่อนตายที่เฝ้าคอยสดับตรับฟังข่าว ที่ก่อให้เกิดข้ึนย่อมบีบคั้นใจตนให้ทุรนทุรายนั่งนอนยืน เดินไม่เป็นสุข น่ีเป็นประการส�ำคัญเพราะตนก่อให้เกิดแก่ ตนเองโดยแท้ ที่อพยพจากที่เดิมเพราะเห็นว่าท่ีเดิมไม่ 68

69 ปลอดภยั เมอื่ ยา้ ยไป กว็ ติ กเดือดร้อนเพราะภัยคือโจรผรู้ ้าย บ้าง อาหารการบริโภคอัตคัดบ้างซ้�ำห่วงหน้าพะวงหลังถึง บ้านเดิมเพิ่มขึ้นอีก กลายเป็นเพาะพันธุ์ความเดือดร้อน ให้แก่ตนโดยไม่จ�ำเป็น บางคร้ังความคิดท่ีนี่ไม่ปลอดภัย ย้ายไปก็กลับถูกอันตรายพอดีก็มี และอาจมีบางพวกที่คอย ตาม ๆ เขาไป เห็นเขาอพยพก็พลอยไปกับเขาบ้าง เห็นเขา หวาดกลัวก็พลอยหวาดกลัวตามเขาบ้าง ท้ัง ๆ ที่ไม่มีเหตุผล น่าหวาดกลัวอย่างไร ก็สู้แส่หาเหตุให้เกิดความหวาดกลัว จนได้ คล้ายกับจะเห็นว่าถ้าไม่แสดงการหวาดกลัวเหมือน กับเขาแล้ว ก็จะเป็นผู้โง่งมงายสิ้นคิด ฉะน้ัน เหล่านี้ ล้วน อยู่ในเกณฑ์ไม่มีหลักของใจวิสัยของบุคคลที่มีหลักใจมั่นคง แล้ว ย่อมไม่ประมาท ย่อมใคร่ครวญ เหตุการณ์โดยถี่ถ้วน จนตระหนักประจักษ์ใจแน่นอนก่อน จงลงมือด�ำเนินการ ไม่ถือเพียงข่าวโคมลอย โจทย์กันไปโจทย์กันมาให้เสียขวัญ โดยมายึดหลักว่า ตนได้แสดงความเคารพนับถือพระรัตนตรัย จนสามารถเปล่งวาจาประกาศตนวา่ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้าเป็น ทพ่ี ึ่งที่ระลึก ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ ข้าพเจ้าถึงพระธรรมเจ้าเป็น ท่ีพง่ึ ที่ระลกึ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ข้าพเจ้าถึงพระสงฆ์เจ้าเป็น ท่ีพึ่งท่ีระลกึ

ดังน้ี ท�ำไมจึงไม่เชื่อฟังตามค�ำส่ังสอนของพระองค์ ยึดถือพระรัตนตรัยให้จริงจังกลับไปเชื่อฟังข่าวเล่าลือเป็น อกุศลเปล่า ๆ อย่างนี้ สรณคมน์จะไม่เส่ือมบ้างหรือทั้ง พระพุทธองค์ก็ตรัสรับรองว่า ถ้ามีความหวาดเสียวสะดุ้ง ตกใจกลัวบังเกิดข้ึน จงระลึกถึงพระคุณของพระองค์ด้วย บทวา่ อิติปิ โส ภควา อรหํ สมมฺ าสมพฺ ุทโฺ ธ เป็นต้น หรอื ระลกึ ถงึ คณุ ของพระธรรมวา่ สวากขฺ าโต ภควตา ธมฺโม เป็นตน้ หรือระลึกถึงคณุ ของพระสงฆว์ า่ สปุ ฏิปนโฺ น ภควโต สาวกสงโฺ ฆ เปน็ ตน้ ให้แน่วแน่มั่นคงกับใจแล้ว ความหวาดเสียวสะดุ้ง ตกใจกลัว จะเหือดหายไปส้ินทันทีและค�ำส่ังสอนของสมเด็จ พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็มีเป็นเอนกในเร่ืองน้ี โดยเฉพาะตรัส ใหส้ ตรี บรุ ษุ คฤหัสถ์ บรรชติ พจิ ารณาเสมอทกุ วันคนื วา่ มรณธมโฺ มมหฺ ิ มรณํ อนตีโต เรามีความตายเป็นธรรมดา ไมล่ ว่ งพน้ ความตายไปได้ ดงั น้ี เม่ือมีน้�ำใจแน่วแน่แนบแน่นอยู่กับคุณพระรัตนตรัย เช่นนี้แล้ว ย่อมเป็นผู้องอาจกล้าหาญ จะปฏิบัติบ�ำเพ็ญ อย่างไรย่อมเป็นผู้มีเหตุมีผล มิใช่ความหวาดเสียวสะดุ้ง 70



กลัวหรือความตายเพิ่งจะมีข้ึนเป็นขึ้นในยุคน้ีเท่านั้น ตาม ปกติก็มีอยู่เป็นอยู่เสมอทุกกาลสมัยแล้ว วิสัยคนจะถึง ความตาย แม้ไม่มีอันตรายภายนอกใด ๆ มาเบียดเบียนก็ ตายเองจนได้ สงบใจแนบแน่นอยู่ในคุณพระรัตนตรัย เห็นว่าภยันตรายจริง ๆ ยังไม่มีมา จะด่วนตีตนไปก่อนไข้ ท�ำไม ย่อมสงบเป็นปกติไว้ด้วยความไม่ประมาท เม่ือ ประสพภยันตรายโดยเฉพาะหน้า ก็มีสติใคร่ครวญว่าควรสู้ หรือหลีกเลี่ยง ย่อมหาทางปลอดภัยให้ได้มากที่สุด แม้ จ�ำเป็นจริงก็ให้รับอันตรายแต่น้อย อันที่จริงภยันตราย ท้ังหลายที่เกิดขึ้น ก็เป็นเหตุเร่งเร้าให้บุคคลรู้จักป้องกัน หลบเล่ียง เกิดบ่อยคร้ังก็เท่ากับฝึกหัดบ่อยครั้ง ย่อมได้ ความช�ำนิช�ำนาญในการป้องกันต่อสู้ ต่อไปถ้าประสพ ภยันตรายเพียงเล็กน้อย ย่อมไม่ใคร่รู้สึก หากภยันตราย รุนแรงมากมายก็คงพยายามป้องกันปลีกตัวให้รอดพ้น เพราะเคยแกไ้ ขภยนั ตรายเลก็ ๆ น้อย ๆ มาแล้ว เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นประจัน อยู่เฉพาะหน้าควรถือเป็นกิจจ�ำเป็นต้องจัด ต้องท�ำให้ลุล่วงไป ไม่ควรเร่ิมเดือดเนื้อร้อนใจตื่นเต้นเป็น ทุกข์เป็นร้อนเสียก่อนเหตุการณ์มาถึง หรือยังไม่รู้จักลืม เหตุการณ์ท่ีผ่านล่วงเลยไปแล้ว ก็ชอบเก็บมาเฝ้าใฝ่ฝันถึง อยู่เสมอไปเช่นนี้ จะหาความสงบสุขแก่ใจอย่างไรได้ อยู่ ที่ไหนก็ไม่มีสุข ควรเห็นว่าตนของตนน่ีแลเป็นบ่อเกิดแห่ง อารมณ์ท่ีชวนให้เห็นเป็นสุขบ้างทุกข์บ้าง ถ้าวางเค้าของใจ ถูกต้องดีแล้ว อยู่ที่ไหนก็เป็นสุข หลับหรือตื่นก็เป็นสุข 72

73 ยังพลอยให้ผู้อ่ืน สัตว์อ่ืนมีสุขตามอีกด้วย ถ้าวางเค้าของใจ ไม่ถูก ก็มีผลตรงกันข้ามพลอยวุ่นวายตลอดประเทศชาติ บ้านเมือง ที่สุดเหตุการณ์อันไม่น่าจะถือเป็นอันตรายแต่ ด้วยความหวาดเสียว ไม่ทันสอบสวนให้ถ่ีถ้วน ก็ด่วน ตกลงใจว่าอันตราย ดังใจความแหง่ ชาดกว่า มีกระต่ายตัวหนึ่ง อาศัยภายใต้กอตาล ซึ่งข้ึนอยู่ ใต้ต้นมะตูม วันหน่ึงเม่ือเที่ยวหาอาหารแล้วกลับมานอน ใต้ใบตาลพลางร�ำพึงว่า ถ้าแผ่นดินนี้ทรุด เราจะหนีไปไหน ทันใดเผอิญมะตมสุกผลหน่ึงหล่นลงมาบนใบตาลมีเสียงดัง กระต่ายสะดุ้งตกใจ คิดว่าแผ่นดินทรุดแน่แล้ว ก็กระโจน หนไี ปโดยไม่เหลยี วหลังพวกกระตา่ ยอืน่ ๆ เหน็ ท่วงทีกระตา่ ย ตัวน้ันวิ่งหนีเตลิดไปอย่างไม่คิดชีวิต จึงไต่ถามเรื่องราว ว่ิงหนีอะไรมา กระต่ายตัวน้ันก็รีบตอบโดยไม่ยอมหยุดว่า ที่โน่นแผ่นดินทรุด เมื่อได้ทราบเหตุผลเพียงเท่านี้ กระต่าย อืน่ ๆ ที่รขู้ ่าว ไม่ทันสืบสวนใหร้ ูเ้ ทจ็ และจริงเพยี งไร กพ็ ลอย วิ่งหนีตามกันมาอย่างชุลมุนด้วยความกลัว และมิใช่แต่ พวกกระต่ายเท่าน้ัน ถึงพวกกวาง หมู ควาย แรดเป็นต้น เม่ือได้เห็นกระต่ายว่ิงเตลิดมาถามได้ความแล้ว ก็พลอย มีความกลัวเข้าส่วนร่วมว่ิงหนีตามไปด้วยอีก ฝ่ายราชสีห์ ได้เห็นพวกสัตว์ต่างพากันว่ิงหนีเตลิดมาเช่นนั้น แปลกใจ ไต่ถาม ได้ความว่า วิ่งหนีแผ่นดินทรุดรู้สึกสงสัยจึงรีบไป สกัดหน้าหมู่สัตว์เหล่าน้ันให้หยุดให้แล้วสอบถามถึงสถานท่ี แผ่นดินทรุด สัตว์เหล่าน้ันต่างซัดทอดกัน เพราะตนเอง

ก็ไม่ได้เห็นแผ่นดินทรุดที่ไหน เพียงแต่ได้ฟังข่าวบอกเล่า ต่อกันมาเท่าน้ัน ที่สุดการชัดทอดก็มาถึงกระต่ายตัวการ ราชสีห์จึงให้พาไปช้ีสถานท่ีแผ่นดินทรุด กระต่ายก็ต้องจ�ำใจ น�ำราชสีห์ไปชี้สถานท่ีไต้ต้นมะตูมแต่เพียงห่าง ๆ เม่ือราชสีห์ เข้าไปดูถึงท่ีที่กระต่ายนอนใต้ใบตาลโคนต้นมะตูม ได้เห็น มะตูมค้างอยู่บนใบตาล ก็ลงสันนิษฐานว่า น่ีเองเป็นต้นเหตุ ให้กระต่ายเข้าใจว่าแผ่นดินทรุด จึงกลับมาแจ้งเหตุเหลวไหล แก่หมู่สัตว์ท้ังหลายให้หายความหวาดกลัวต่อไป นี้เป็น ตัวอย่างแสดงลักษณะของผู้ขาดการพิจารณาปัญญาเข้า ลักษณะอธิโมกข์ เช่ือตามเสียงบอกเล่าของผู้อื่นไม่ทัน สอบสวนเหตกุ ารณใ์ หร้ ถู้ งึ ความเจรญิ แทแ้ นน่ อนเพยี งไรกอ่ น จงึ พากนั เดอื ดรอ้ นอยา่ งมบิ งั ควรเปน็ สว่ นทบี่ ณั ฑติ พงึ ตเิ ตยี น อันความเช่ือใจท่ีเข้าในลักษณะของสัทธานั้น ท่าน ยกย่องสรรเสริญโดยส่วนเดียวเพราะเป็นแนวทางเบ้ืองต้น อย่างส�ำคัญ สมควรอบรมให้เจริญอย่างมั่นคงด้วยอุบายวิธี หมั่นหาโอกาสเข้าใกล้ติดต่อกับบุรุษสตรีมีศีลธรรม หม่ัน ศึกษาปฏิบัติตนตามโอวาทท้ังฝ่ายพุทธจักรและอาณาจักร ดว้ ยโยนโิ สมนัสสกิ าร สมกับพุทธบรรหารว่า ผู้ใดใคร่เห็นผู้มีศีล ปรารถนาฟังพระสัทธรรม บรรเทา มลทินคือความตระหน่ีได้ ผู้นั้นแล ท่านเรียกว่า ผู้มีสัทธา ดังนี้ เมื่ออบรมอัธยาศัยตรงตามแนวทางทางดีแล้ว ย่อมเป็นเหตุช่วยผดุงส่งเสริมให้ถึงความเจริญในคุณธรรม 74

75 ความดีย่ิงขึ้น ท่านเปรียบสัทธาว่า เหมือนกับสะเบียงเดินทาง ก็มี เหมือนทรัพย์สินอันวิเศษในโลกก็มี เป็นเพื่อนสองของ บุคคลก็มี และยกย่องว่า บุคคลจะผ่านพ้นความทุกข์ยาก ล�ำบาก ซึ่งเป็นดุจห้วงน�้ำขวางหน้าอยู่ให้ตลอดรอดฝั่งไปได้ ก็ต้องอาศัยสัทธา ความเชื่อใจนี้เป็นคุณธรรมท่ีส่งเสริมอย่าง ส�ำคัญ เมื่อเป็นผู้เจริญด้วยสัทธา ความเชื่อประกอบในเหตุ และผล ตลอดจนเชื่อมั่นว่า บุคคลต้องได้รับผลของกรรม ที่ตนกระท�ำเอง ไม่ใช่เพราะฤกษ์ยาม ผีสางเทวดาช่ัวบันดาล ย่อมมีน้�ำใจเด็ดเดี่ยว มีธรรมเป็นใหญ่ เป็นผู้น�ำของตนเอง เป็นเคร่ืองอุดหนุนให้กล้าในสิ่งท่ีควรกล้า ในสมัยที่ควรกล้า ในเหตุท่ีควรกล้าและย่อมขลาดในสิ่งที่ควรขลาด ในสมัยท่ี ควรขลาด ในเหตุผลที่ควรขลาด ไม่ไขวเ้ ขวกลบั กลอกเหมือน มีทรัพย์ติดตัวไม่ต้องกลัวยากจน สามารถหวังอุดมผลใน ปัจจุบันชาติน้ีและสัมปรายภพชาติหน้าได้โดยไม่สงสัย แต่ เม่ืออบรมตนได้เพียงอธิโมกข์ การน้อมใจเชื่อ ก็นับว่ายัง มีอัธยาศัยง่อนแง่นคลอนแคลน ได้สดับตรับฟังเหตุการณ์ อย่างไร จึงมักต่ืนเต้น ขาดการใคร่ครวญ ย่อมชวนให้ด�ำรง ตนอย่างถือตามอ�ำเภอใจตนเองเป็นใหญ่บ้าง ถือตามบุคคล หมู่มากสุดแล้วจะเป็นไปทางไหนบ้าง ยากท่ีจะต้ังตนมีผาสุข ในโลกน้ีตลอดโลกหน้า เมื่อได้รับความทุกข์เดือดร้อนจะ โทษใครได้ท่านจึงอนุสาสนีเป็นการต�ำหนิเพ่ือให้พยายาม บำ� เพญ็ ตนตามลักษณะของสัทธาอย่างแท้จรงิ ไว้



วำจำ ไม่พึงใส่ใจถึงถ้อยค�าสามหาวของผู้อ่ืน ไม่พึงคอยดู การท่ีท�าและยังไม่ได้ท�าของผู้อ่ืน ควรพิจารณาดูการที่ท�า และยังไมไ่ ดท้ �าของตนเทา่ น้นั ธรรมดาผู้อ่อนการอบรมความประพฤติ ย่อมเห็น ความช่วยเสียหายของผู้อื่นง่ายกว่าจะเห็นส่วนของตน ดังพระพุทธพจน์ว่า โทษผู้อื่นเห็นง่าย โทษของตนเห็นยาก ท่วงทีวาจาของผู้อ่ืนเป็นธรรมดาท่ีเราจะได้เห็น และได้ฟัง สะดวกง่ายดายกว่าของตนเอง เพราะเป็นรูปภายนอก ประกอบท้ังนิสัยของคนเราก็มักชอบเก็บเรื่องของผู้อ่ืน มาวิจารณ์ติชม มากกว่าวิจารณ์ติชมตนเองหรือพรรคพวก ของตน ถึงจะวิจารณ์ตนเองเล่า ก็มักเห็นว่ามีส่วนดีมากกว่า ส่วนชั่ว เข้ากับตัวว่าคงดีกว่าผู้อ่ืนเสมอไปเช่นเดียวกับมีตา อยู่ทั้งคู แต่ดูดวงหน้าของตนเองไม่เห็น ต้องอาศัยกระจกเงา และเงาท่ีปรากฏในกระจกนั้นก็มักเห็นว่าดีเด่นกว่าผู้อื่น

ด้วยประการอะไรบ้าง ท่ีเป็นเจ้ากี้เจ้าการในเร่ืองของผู้อื่น เช่นน้ัน ล้วนแต่เสียผลขาดประโยชน์ตนเองทั้งส้ินเพราะ ท่วงทีวาจาของผู้อื่นจะดีหรือชั่วก็เป็นเรื่องเฉพาะตัวของเขา ไม่ได้ดีหรือชั่วเพราะการเอาใจใส่วิจารณ์ติชมของเรา หน้าที่ กิจการของเขาเขาจะกระท�ำหรืองดเว้นไม่กระท�ำ เป็นสิทธิ เฉพาะของเขาเท่านั้น ผู้อื่นจะสอดเข้าไปเก่ียวข้องย่อม ผิดหน้าท่ี แม้สมเด็จพระบรมศาสดาก็ยังตรัสว่าพระองค์ เป็นเพียงผู้บอกเท่าน้ัน ทั้งท่วงทีวาจาของตนเองนั้น ก็จะ เป็นเครื่องแสดงให้เขาอ่ืนอ่านออกง่ายยิ่งขึ้น ไม่เป็นช่องทาง ที่จะอบรมบ่มนิสัยตนเอง ให้ประณีตหนักอยู่ในคุณธรรมได้ อย่างไร กลับจะเป็นเหตุชวนวิวาทบาดหมางกัน ริษยาอาฆาต แข่งดีกัน ปลูกความเจ็บช�้ำใจเพราะค�ำเสียดสีของผู้อ่ืน จะ ก่อความร้อนรนกระวนกระวายใจให้แก่ตนเอง แทบไม่เป็น อันกินอันนอนก็มี เพราะเก็บความเดือดร้อนนั้น ๆ เข้ามา เป็นทุกข์ใจ ท�ำให้ขาดยับยั้งร้ังสติ ไม่มีเวลาทบทวนตรึกตรอง ถึงความกระท�ำส่วนของตนว่าจะถูกผิดช่ัวดีอย่างไร หรือหาก พอมีเวลาตรึกตรองดูตนเองได้บ้าง แต่นิสัยที่เพียบพร้อม ด้วยริษยาอาฆาต พยาบาทจองเวร กลุ้มรุมเช่นน้ีแล้ว ก็เป็น เหตุให้เอนเอียงเข้ากับตนหรือพวกพ้องของตนตลอดไป ไม่น�ำพาต่อความผิดความถูก เป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรม อย่างไรก็ชา่ ง ขอใหส้ มเจตนาหวงั ของตนเป็นแล้วกัน ชวนให้ 78

79 ถือตามอ�ำนาจวาสนาของตนเป็นประมาณ ซ่ึงศิลปศาสตร์ วิทยาการ ที่ศึกษาเล่าเรียนมาหาเป็นอ�ำนาจฟอกอัธยาศัย ให้กลับถือธรรมเป็นอ�ำนาจได้ง่ายไม่ มีแต่จะซ�้ำร้ายส่งเสริม ให้ผยองถืออ�ำนาจตนเป็นใหญ่แต่ฝ่ายเดียวยิ่งขึ้น และหาก มีผู้ห้ามปรามตักเตือนด้วยเจตนาดี สมท�ำนองคลองธรรม เพียงไร ค�ำตักเตือนน้ันกลับจะกลายเป็นหาโทษริษยาอาฆาต ทับถมเขาเสียอีก เพราะเหตุอบรมบ่มนิสัยช่ัวที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้นที่เกิดอยู่แล้วให้ทวีมากย่ิงข้ึน โดยไม่รู้ส�ำนึกตน เป็นมลทินเข้าจับใจก่ออกุศลทุจริตต่าง ๆ เห็นปานดังน้ี สมเด็จพระชินสีห์จึงตรัสห้ามว่า ไม่พึงใส่ใจถึงถ้อยค�ำ สามหาวของผู้อื่น ไม่พึงคอยดูการท่ีท�ำ และยังไม่ได้ท�ำของ ผู้อ่ืน เป็นการตัดทางมิให้ถล�ำนิยมในแนวแห่งความชั่ว เสียหาย เหมือนทรงชี้บอกทางอันตราย ไม่ควรแผ้วพาน เข้าไปใกล้ อันที่จริง กิริยาวาจาและกิจการของผู้อื่น นับเป็น องค์การส่วนหน่ึงของวิทยาการ และจ�ำเป็นท่ีจะต้องเกี่ยวข้อง ติดต่อซึ่งกันและกันอยู่ตลอดไป เช่น กิริยายืน เดิน น่ัง นอน ของลุกย่อมได้รับการฝึกฝนมาจากพ่อแม่เป็นส่วนมาก หรือศิลปวิทยาท้ังหลายก็ได้อาศัยการศึกษาถ่ายเทสืบ ตามลำ� ดบั มาท้งั น้นั

สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสห้ามการ เพ่งเล็งในท่วงทีวาจาของผู้อ่ืนนั้น เพราะเพ่งเล็งด้วยอ�ำนาจ อิจฉาริษยาจะยกโทษเขา เป็นการอบรมนิสัยชั่วบาปกรรมแก่ ตนเอง เป็นการลงโทษตนเองให้เศร้าหมองส่วนเดียวเท่านั้น หาได้ทรงมุ่งถึงการติดต่อกับผู้อ่ืนด้วยเพ่งการศึกษา การ ฝกึ ปรอื ตนใหม้ คี วามสขุ ความเจรญิ ตามทำ� นองคลองธรรมไม่ เพราะวิธีการเช่นนี้เป็นทางก่อให้เกิดคุณประโยชน์แก่ตนเอง ถูกท�ำนองดีแล้ว จะเป็นเหตุอบรมคุณธรรมความดีท่ียัง ไม่มีให้มีข้ึน ที่มีอยู่แล้วให้เจริญทวีสุขุมย่ิงข้ึนจนสุดวาสนา หรือแม้ท่วงทีวาจาของผู้อ่ืนเล่า ถ้าคอยพิจารณาจดจ�ำส่วนดี ไว้เป็นตัวอย่างประพฤติตาม ถือส่วนช่ัวเป็นเหตุหลีกเล่ียง ไม่ประพฤติตาม ดังนี้หาผิดพระพุทธประสงค์ไม่ เพราะ เป็นไปเพ่ืออบรมตนเองให้เจริญม่ันคงในคุณธรรมยิ่งขึ้น เหตุน้ี จึงทรงแนะให้สาธุชนต่างมุ่งแสวงหาประโยชน์เฉพาะ แก่ตนเองเป็นประการส�ำคัญ ดังความว่า ”ควรพิจารณาดู การทที่ ำ� และยงั ไม่ใหท้ �ำของตนเองเทา่ นน้ั „ พระพุทธภาษิตบทหน่ึงว่า ความรักเสมอด้วยตนไม่มี คือบรรดาของรักท้ังหมดไม่มีอะไรจะรักมากเท่ากับรัก ตนเอง ถึงจะประกอบภารธุระปรารภเพ่ือใครอ่ืนเพียงไร ก็ตาม ท่ีสุดย่อมหวังให้เป็นผลส�ำเร็จแก่ตนเองเสมอ เช่น พ่อแม่ทะนุบ�ำรุงลูกจนไม่นึกถึงความเหนื่อยยากล�ำบาก ขอแต่ให้ลูกเป็นสุขส�ำราญก็แล้วกัน เป็นต้น นี้ก็เพื่อปฏิบัติ 80

81 หน้าท่ีของตนในฐานะเป็นพ่อแม่ให้ดีท่ีสุดตามสามารถจะ ท�ำได้ให้สมกับความรักความเอ็นดูของตน ไม่ยอมให้ บกพร่องน้ันเอง จึงต่างประพฤติปฏิบัติกิจการเพื่อประโยชน์ ตนจนเต็มสามารถท่ัวไป เป็นเหตุขัดขวางตัดรอนประโยชน์ ของผู้อื่นก็มีท�ำลายประโยชน์ตนเองเพราะหลงเข้าใจผิดก็มี ฉะนั้น เพ่ือให้ปฏิบัติตรงจุดปรารถนา คือ ความรักตนเอง ท้ังจะอ�ำนวยประโยชน์แก่ตนและผู้อื่นอีกต่อไป สมเด็จ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเตือนให้พิจารณาดูเฉพาะกิจการ ของตนท้ังที่ท�ำแล้วและยังไม่ได้ท�ำ เม่ือได้ใช้สติปัญญาท่ีได้ อบรมศึกษาเล่าเรียนศิลปวิทยามา เป็นเครื่องช่วยพิจารณา แสวงหาคุณประโยชน์ให้แก่ตนตามท�ำนองคลองธรรม ไม่ ถือทิฐิมานะตามอ�ำเภอใจตน ถือความสุจริตและศีลธรรม ตามหลักของพระพุทธศาสนาเป็นบันทัดฐาน ด�ำรงตนม่ันตาม ธรรมเนียมประเพณีและกฎหมายของบ้านเมือง ตรวจตรา พิจารณาความกระท�ำทั้งส่วนกาย วาจา และใจ ของตน ตลอดทุกกิจการ ท้ังกิจเฉพาะตน ทั้งกิจท่ีเกี่ยวเน่ืองกับผู้อ่ืน อย่าให้ได้แต่ประโยชน์ส่วนตน แต่บีบคั้นตัดรอนประโยชน์ ของผู้อื่น หรือเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นแต่เบียดเบียนประโยชน์ ตนประคับประคองกิจการทุกอย่างให้สมบูรณ์ ทั้งประโยชน์ ตนประโยชน์ท่านเช่นน้ี จึงจะเป็นชีวิตประดับโลกให้งดงาม ไม่เป็นชีวิตขวากหนามกีดขวางโลกแม้ชีวิตจะไม่ถึงขีด เลื่องชื่อลือนามเพียงไร ก็ยังน่าภูมิใจกว่าชีวิตท่ีเย่ียมเด่น ดว้ ยทจุ รติ ผิดศลี ธรรม

การท่ีทรงสอนให้พิจารณาตน ตลอดถึงกิจธุระของ ตนท่ีท�ำแล้วและยังไม่ได้ท�ำน้ัน ทรงมุ่งหมายเพื่อให้เตือน ตนด้วยตน พิจารณาตนด้วยตน จะได้ประกอบกิจการ เฉพาะตนหรือเกี่ยวกับผู้อื่นให้ถึงความสวัสดี ให้หลีก จากกรรมอันเป็นบาปอกุศลประกอบตนอยู่ในบุญกุศล สัมมาปฏิบัติ อย่างไรควรช่วยเหลืออุดหนุนอย่างไรควร ช้ีแจงแนะน�ำ อย่างไรควรยอมเสียสละ เม่ือไม่ผิดศีลธรรม แล้ว ก็ล้วนเป็นประโยชน์ตนสมควรปฏิบัติตามท้ังส้ิน มิได้ทรงมุ่งให้เป็นคนเห็นแก่ตน ท�ำใจแคบ ไม่เหลียวแล ช่วยเหลือเกื้อกูลใคร ใครจะทุกข์ยากล�ำบากเดือดร้อน อย่างไรก็ช่าง ตนได้รับ สุขสบายเป็นแล้วกัน การกระท�ำจะ ถูกผิดชั่วดีอย่างไรไม่ค�ำนึงถึง ขอให้สมประสงค์ของตน เป็นประมาณเท่าน้ัน เพราะยังมีการเห็นแก่ตัวท่ีผิดท�ำนอง คลองธรรม หลงถือตนในทางมิชอบ เช่นน้ี ฝ่ายบ้านเมือง จึงบัญญัติกฎหมายบังคับเป็นบันทัดฐานตามสมควรแก่ ภูมิประเทศ กาลสมัย เพ่ือพลเมืองจะได้ถือเป็นหลักใช้สิทธิ อ�ำนาจแห่งการปฏิบัติตนให้เป็นไปพอเหมาะพอดี และอาศัย ศาสนาเป็นแนวน�ำอันละเอียดลึกซ้ึงถึงน�้ำใจ ฝึกปรือ อัธยาศัยให้ประณีตยิ่งขึ้นอีกด้วย จึงยังคงเก่ียวข้องควบคุม กันเป็นครอบครัว หมู่คณะ ตลอดประเทศชาติ พอเป็น สขุ สบายตามอตั ตภาพอย่บู ัดนไ้ี ด้ 82

83 ท่ีจริงวงการพิจารณาที่ท่านแนะไว้ดูไม่ใช่เป็นงานยาก ตนเองท�ำให้แก่ตนเองแท้ ๆ มิใช่ว่าตนท�ำ แต่ผลไปได้แก่ ผู้อ่ืน เช่น ตนรับประทานอาหาร แต่ผู้อื่นเป็นคนอ่ิมฉะน้ี ก็หาไม่ ใครท�ำใครได้ และงานท่ีต้องพิจารณาก็เน่ืองอยู่กับ ตนคือ การท�ำ การพูด การคิดของตนน่ันเอง เพียงแต่คอย มีสติก�ำกับอยู่ว่าเริ่มจะท�ำ จะพูด จะคิด ก�ำลังท�ำ ก�ำลังพูด ก�ำลังคิด หรือท�ำพูดคิดอะไรลงไปแล้ว ผิดถูกชั่วดีอย่างไร ก็รับรู้ไว้ไม่ต้องตระเตรียมลงทุนลงแรงอะไรใหญ่โต น่าจะ ปฏิบัติกันได้ทั่วไปโดยแท้ และในขณะใช้สติ ก�ำหนด พิจารณาทบทวนสอบสวนนั้นเอง ความถูกความผิด สมควร ไม่สมควร จะคอยปรากฏเป็นผู้ส่องให้เห็นแน่ชัดว่านั่น ไม่ถูก ผิดพลาดไปแล้ว นี่ถูก สมท�ำนองคลองธรรม ต่อไป จะท�ำ จะพูด หรือจะคิดอะไรจะคอยหลีกทางผิด ยึดทางถูก ไว้ทุกประการ จะเป็นผู้มีนิสัยถ่ีถ้วนรอบคอบโดยส่วนเดียว ช่ือว่าได้รับอานิสงส์จากการพิจารณากิจการของตนตาม พุทธภาษติ โดยแท้ การพิจารณาน้ันคือ ตรวจตราดูท่วงทีวาจาของตนตาม หลักศีลธรรมที่ประพฤติผ่านพ้นไปแล้ว ท่ีก�ำลังประพฤติอยู่ หรือท่ีเตรียมจะประพฤติ ว่าโน้มน้อมไปในส่วนไหน ส่วนช่ัว หรือดี ถ้าด�ำเนินอยู่ในส่วนดี ก็ให้ถือเป็นแบบอย่างประพฤติ ตาม ถ้าด�ำเนินอยู่ในส่วนชั่ว จะได้งดเว้นไม่ประพฤติอีก เม่ือพิจารณาเห็นส่วนดีส่วนช่ัวฉะนี้แล้ว พยายามตั้งตนอยู่

ในส่วนที่ดี ระวังไม่ให้ผิดพลาดหลงประพฤติส่วนที่ชั่วทุก กิจการ จะเป็นการศกึ ษาเลา่ เรยี นก็ตาม การทำ� มาหาเล้ียงชพี ก็ตาม การคบค้าสมาคมก็ตาม การประกอบตามหน้าที่ พลเมืองก็ตาม เป็นต้น ไม่หลงนิยมในทางผิดศีลธรรม แม้เล็กน้อยเพียงไร ก็ช่ือว่าผู้พิจารณาตนได้ ตั้งตนเป็นสุข สถาพร ไม่เดือดร้อนกายใจ ถึงจะยึดถือขยายตนออกไป อย่างไร ก็จะไม่เดือดร้อนกายใจเพราะตนที่ขยายนั้นด้วย ขาดพจิ ารณา การพิจารณาตรวจตราความเป็นมาของตนว่า ใน ระยะเป็นเด็กกับผู้ใหญ่เป็นอย่างไรท่วงทีวาจาเม่ือแรกกับ เดี๋ยวน้ีเป็นอย่างไร อาชีพตอนต้นกับปัจจุบันเป็นอย่างไร เรียบร้อยดีตลอดมาหรือต้นร้ายปลายดีอย่างไร เม่ือหมั่น ตรวจตราพิจารณาตนอยู่เช่นนี้ จะเป็นเหตุหน่ึงที่ช่วยเตือน ไม่ให้ประมาทหลงใหลไปในทางชั่วมีอบายมุขเป็นต้น ให้ ตั้งอยู่ในคุณธรรมความดี สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัส ลักษณะของคนไว้ ๔ จ�ำพวก ส�ำหรับเทียบเคียงว่า คน บางพวกในโลกนี้ มดื มาแลว้ สวา่ งไป ๑ มดื มาแล้วมืดกลบั ไป ๑ สว่างมาแล้วมดื กลบั ไป ๑ สว่างมาแล้วสวา่ งกลบั ไป ๑ 84

85 เม่ือส�ำนึกตนว่าอยู่ในลักษณะสว่างมาหรือมืดมา แต่ก�ำลังมีท่าจะมืดกลับไปจะได้รีบแก้ไขกลับตัวเสียใหม่ ให้อยู่ในลักษณะสว่างกลับไปจนได้ ดังนี้ ก็ช่ือว่าพิจารณาตน มีสขุ สวสั ดเี ป็นอานสิ งส์ผลโดยแท้ อีกประการหน่ึง การพิจารณาตน เตือนตน เพ่ือถึง ความสวัสดีอ�ำนวยประโยชน์เต็มท่ีในปัจจุบัน เม่ือมุ่ง ประโยชน์ที่สุขุมย่ิงกว่านี้อีก พึงพิจารณาตรวจตราตน ภายใน คือ หู ตา จมูก ล้ิน กาย และมนะ ระวังอย่าให้ ด้ินรนกระวนกระวายเพราะแสวงหารูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และอารมณ์ จนขาดสติสัมปชัญญะ ถ้ามักขาด ใคร่ควรพิจารณา ก็เหมือนยอมตนอยู่ใต้อ�ำนาจของตา หู จมูก ลิ้น กายและมนะ จะหาความสงบพักผ่อนหรือสุขใจ ได้ยาก ต้องคอยแสวงหารูปต่างชนิดมาบ�ำเรอตาแสวงหา เสียงมาบ�ำเรอหู แสวงหากลิ่นมาบ�ำเรอจมูก แสวงหารสมา บ�ำเรอล้ิน แสวงหาเครื่องสัมผัสมาบ�ำเรอกาย แสวงหาอารมณ์ มาบ�ำเรอมนะผลัดเปลี่ยนเวียนบ�ำเรออยู่ตลอดเวลาสุด แต่ส่วนไหนจะประสงค์ประการไร ก็บังคับให้แส่หาไปจนกว่า จะสมประสงค์ ดังตาปรารถนารูปจะเป็นรูปสัตว์ บุคคล หรือพัสดุภูมิประเทศอย่างไรก็ตาม เมื่อทนฝืนอ�ำนาจความ ปรารถนาหลงรักใคร่ยึดถือไม่ไหวก็จ�ำต้องกระเสือกกระสน ดิ้นรนแสวงหามาบ�ำรุงบ�ำเรอจนได้ ฝนตกฟ้าร้อง ค�่ำมืด ดึกดื่นผิดพระราชก�ำหนดกฎหมาย หรือผิดศีลธรรมเพียงไร

มักไม่ย่อท้อค�ำนึงถึงขอแต่ให้สมประสงค์เป็นแล้วกัน เช่นนี้ ตนก็เหมือนเป็นพาหนะของ ตา หู จมูก ล้ิน กาย และมนะ น่ันเอง ตาหู เป็นต้น ผู้เป็นเจ้าของนี้ จะขับขี่ใช้งานอย่าง สัมบุกสัมบันไม่มีเวลาพักผ่อน ต้ังแต่ต่ืนจนถึงหลับ ตั้งแต่ เกิดจนถึงตาย ยิ่งผ่อนตามใจ ย่ิงใช้ขับข่ีทวียิ่งขึ้นทุกขณะ และยังจะตามใช้ในชาติเป็นล�ำดับต่อไปน้ีอีก เมื่อใช้สติ ปัญญาคอยส�ำรวจระวัง ด้วยพิจารณาสภาพตามเป็นจริง ของสิ่งน้ัน ๆ ให้เห็นประจักษ์ใจเพียงสักว่า เป็นการดู การฟัง อย่ายึดถือเป็นจริงจัง จนหลงถือมั่นติดอยู่ในรูป เสียง เป็นต้น เหล่านั้น ให้ทราบชัดดังนัยอาทิตตปริยายสูตรว่า ตากระทบรูป เป็นต้น จะเกิดความรู้สึกแน่ชัดว่า เป็นรูป อะไรแล้ว ย่อมเกิดการเสวยอารมณ์ เหล่านี้เป็นของร้อน เพราะเพลิงคือ ราคะ โทสะ โมหะ เป็นต้นเผารน รู้ก็จะ เป็นเหตุรู้เท่าทันตามเป็นจริง เห็นเป็นเหมือนของยืม คลาย ความยึดม่ันถือร้ันเสียได้ คล้ายปลดตนให้เป็นไทยพ้นจาก ความเป็นพาหนะได้ทีละน้อยตามสามารถของตน ก็อาจ ถึงความเป็นไทยโดยสมบูรณ์ในกาลต่อไป นี้เป็นอานิสงส์ ผลแห่งการพิจารณาดูการท่ีทำ� และไมท่ ำ� ของตน พระพุทธศาสนาจ�ำอ�ำนวยประโยชน์แก่ผู้นับถือ ก็เม่ือ สาธุชนพุทธบริษัทปฏิบัติตนตามลักษณะแห่งข้อธรรมะ ยังไม่ชื่อว่าได้รับผลของพระพุทธศาสนาโดยแท้จริงเหมือน ช้อนตักอาหารแต่ไม่รู้รสของอาหารฉันนั้น เหตุน้ี เมื่อสาธุชน ทุกท่านได้สดับขอ้ ธรรมะวา่ 86

87 ไมพ่ ึงใส่ใจถึงถ้อยค�ำสามหาวของผูอ้ นื่ ไม่พึงคอยดูการทท่ี ำ� และยงั ไมไ่ ด้ท�ำของผูอ้ ื่น ซึ่งเป็นข้อควรงดเว้น ก็ควรพิจารณาตรองตามไป จนปรากฏเหตุผลจริงแน่ชัดแก่ใจแล้ว จงเริ่มปฏิบัติตน ตามโดยเครง่ ครดั ตามด�ำรสั เตือนวา่ ควรพิจารณาดูการที่ท�ำ และยังไม่ได้ท�ำของตนเท่านั้น ก็จะสามารถเป็นอานุภาพสนานใจของตน ๆ ให้ เยือกเย็นผ่องใสโปร่งใจหายขุ่นข้องระทม เหมือนอาบน้�ำ ช�ำระโสมมกายเพียงวันละครั้ง ยังรู้สึกสละสลวยตัว ยิ่ง อาบได้วนั ละมากคร้ังความสดช่นื กายกย็ ิ่งทวีขนึ้ ฉะน้ัน

88

89 ประวัติ วดั แสงธรรมสุทธาราม



วัดแสงธรรมสุทธาราม สังกัดคณะธรรมยุต ตั้งอยู่ เลขที่ ๒๓๙ ถนนแสงราษฎรใต้ หมู่ท่ี ๑๕ ต�าบลเกยไชย อ�าเภอชุมแสง จงั หวัดนครสวรรค์ มเี นื้อทที่ ั้งสนิ้ ๒๓ ไร่ ๑ งาน ๗๓ ตารางวา นามวัดแสงธรรมสุทธาราม มีที่มาอันสื่อถึงที่ตั้งและ องคอ์ ปุ ถัมภ์วัด ดังนี้ ”แสง„ มาจากอา� เภอชมุ แสง ซึง่ เป็นท่ตี ั้งของวัด ”ธรรม„ มาจากสมณศักดิ์ของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ (วาสน์ วาสโน) ขณะก่อตั้งวัด ทรงด�ารงสมณศักด์ิพระราชาคณะชั้นธรรม ในราชทินนาม พระธรรมปาโมกข์

ความเป็นมา ราว พ.ศ. ๒๔๙๗ คณะบุคคลซึ่งเป็นทายกทายิกาของ วัดแสงสวรรค์ เช่น นายแพ กกกลิ่น นายเม้ียน กลิ่นเจริญ นายสังวาลย์ เสมือนโพธ์ิ เป็นต้น ได้มาร่วมงานบ�ำเพ็ญกุศล ศพนายอุดม กล่ินเจริญ ณ วัดแสงสวรรค์ อ�ำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ ได้ปรารภกันว่า ยังไม่มีวัดธรรมยุต ในอ�ำเภอชุมแสง สมควรจะสร้างวัดธรรมยุตข้ึนบ้าง หลังงานฌาปนกิจศพเสร็จส้ิน คณะบุคคลดังกล่าวจึงได้ ส�ำรวจพ้ืนที่ทางทิศใต้ของตลาดชุมแสง ซึ่งขณะนั้นยังเป็น ทุ่งนาห่างไกลจากตลาด ได้พบนายสุข วงศ์กรด ผู้มี จิตศรัทธา ได้ขายท่ีดิน ๗ ไร่เศษ ให้ในราคา ๑๐,๐๐๐ บาท โดยคิดราคาถูกเป็นพิเศษ คณะกรรมการสร้างวัดน�ำโดย นายสังวาลย์ เสมือนโพธิ์ จึงได้ร่วมกันบริจาคเงินเพื่อซื้อ ที่ดนิ ผืนดงั กล่าว นบั วา่ เป็นทด่ี ินผืนแรกของวัด สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ขณะทรงด�ำรงสมณศักด์ิท่ี พระธรรมปาโมกข์ และทรงด�ำรงต�ำแหน่งเจ้าคณะธรรมยุต ผ้ชู ่วยภาค ๑-๒-๖ รปู ท่ี ๑ มีพระด�ำริวา่ ”การสร้างวัด เป็น นโยบายอันหน่ึงที่รัฐบาลน้ีให้ความสนับสนุน เพราะวัดเป็น ท้ังบ่อเกิดและศูนย์กลางในการเผยแผ่ศีลธรรมแก่ประชาชน ให้เป็นพลเมืองดี และให้รู้จักใช้สิทธิในหน้าที่ให้บังเกิด ประโยชน์แก่ตน แก่หมู่คณะ และประเทศชาติ ศีลธรรม 92

สมเด็จพระสงั ฆราชเจา้ กรมหลวงชินวราลงกรณ วัดราชบพิธสถติ มหาสมี าราม

อย่างเดียวท่ีจะเป็นเคร่ืองประกันสันติสุขของสังคมมนุษย์ ให้คงอยู่ได้ ที่ใดมีพุทธศาสนิกชนมาก ที่น้ันย่อมมีพาลน้อย หรอื เกอื บไม่มีเลย ทใ่ี ดมวี ดั มาก ทน่ี ้นั ก็มีแหลง่ เป็นท่ีเผยแผ่ ศีลธรรมให้แทรกซึมในจิตใจของสังคมมนุษย์ได้อย่าง กว้างขวางและท่ัวถึงกันและยังแสดงว่าประชาชนในที่น้ัน เป็นผู้เจริญทางจิตใจเข้าถึงพระศาสนา อันเป็นหลักการ แห่งสันติภาพอย่างแท้จริง ในการขอสร้างวัดธรรมยุตรายนี้ เม่อื พิจารณาเรอื่ งราวและภาวะตามความเปน็ จริงตา่ ง ๆ แลว้ เห็นว่าประชาชนผู้ร่วมสร้างมุ่งท่ีจะทะนุบ�ำรุงพระพุทธศาสนา ให้เจริญถาวรเปน็ ประโยชน์แก่ทอ้ งถิน่ เปน็ สำ� คัญ„ ทง้ั ยงั มพี ระประสงคจ์ ะเผยแผพ่ ระศาสนาในพนื้ ทอ่ี ำ� เภอ ชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์เช่นกัน จึงโปรดให้ด�ำเนินการ สร้างวัดแสงธรรมสุทธารามขึ้น และโปรดให้พระราชโสภณ (ละออ นิรโช) ขณะด�ำรงสมณศักด์ิพระมหาละออ นิรโช ป.ธ.๗ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เป็นผู้ด�ำเนินการ กอ่ สรา้ ง ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๖ พระมหาละออ นริ โช ผู้นี้ เป็น บุตรของนายเม้ียน กลิ่นเจริญ และได้เจริญวัย ณ อ�ำเภอ ชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ กล่าวได้ว่า ท่านเป็นคนพ้ืนที่ท่ี สละความสุขส่วนตนในมหานคร กลับมาประดิษฐานการ พระศาสนาใหม้ นั่ คงมากขน้ึ ณ ภมู ลิ ำ� เนาของตน 94

พระราชโสภณ (ละออ นิรโช) เจา้ อาวาสวดั แสงธรรมสทุ ธาราม ยคุ ท่ี ๑

ต่อมา คณะกรรมการสร้างวัดเห็นว่า พื้นที่วัดยังน้อย เกินไป ควรหาทางขยายเพ่ือเพ่ิมพื้นที่ใช้สอย จึงซ้ือท่ีดินจาก นายทอง และนางสายัณห์ ซึ่งอยู่ทางด้านใต้ของวัด จ�ำนวน ๗ ไร่เศษ เปน็ เงนิ ๒๘,๐๐๐ บาท เมื่อมีเสนาสนะเพียงพอต่อการพักอาศัยของพระสงฆ์ แล้ว จึงนิมนต์พระสงฆ์จากวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม และวัดเทพศิรินทราวาสมาจ�ำพรรษาฉลองศรัทธา เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๗ มีภิกษุ ๕ รูป สามเณร ๔ รูป วัดได้เปิดการเรียนการสอนนักธรรมชั้นตรี มีพระมหาปรุง สุปญฺโ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เป็นอาจารย์สอน นับว่าเป็นการเร่ิมต้นการศึกษาพระปริยัติธรรมด้วยดี แต่ เม่ือออกพรรษาและรับกฐินแล้ว ภิกษุสามเณรก็แยกย้าย กลบั ไปปฏบิ ัติศาสนกจิ ในส�ำนักของตน ต่อมา สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ มีพระบัญชาให้พระสงฆ์วัดราชบพิธไปรักษาศาสนสมบัติ และปฏบิ ตั ิศาสนกจิ ณ วดั แสงธรรมสทุ ธาราม เม่ือวนั ที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๗ เพื่อให้การด�ำเนินงานของวัดมีความ ต่อเน่ือง เมื่อกระทรวงศึกษาธิการประกาศยกฐานะจาก ส�ำนักสงฆ์ขึ้นเป็นวัด จึงมีพระบัญชาแต่งต้ัง พระราชโสภณ (ละออ นิรโช) ขณะด�ำรงสมณศักด์ิท่ีพระชินวงศเวที ผู้ช่วย เจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ให้ด�ำรงต�ำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดแสงธรรมสุทธาราม เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๘ 96

สมเด็จพระอรยิ วงศาคตญาณ (จวน อฏุ ฺ ายี) สมเด็จพระสงั ฆราช สกลมหาสังฆปรณิ ายก วดั มกฏุ กษตั ริยาราม

พระสาสนโสภณ (เอื้อน ชนิ ทตฺโต) วดั เทพศิรินทราวาส


wrp1-หนังสือวาทแห่งวาสน์

The book owner has disabled this books.

Explore Others

Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook