Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore LK-007หนังสือพระอรหันต์ ๘ ทิศ

LK-007หนังสือพระอรหันต์ ๘ ทิศ

Description: LK-007หนังสือพระอรหันต์ ๘ ทิศ

Search

Read the Text Version

พระอรหันµ์ ø ทÈิ พายพั อุดร อีสาน ปัจฉิม บูรพา หรดี ทกั ษณิ อาคเนย์

ตา� น า น ค า ถ า พ ร ะ อ ร หั น ต์ ๘ ทิ ศ ISBN 978-616-7821-46-7 รวบรวม : พระมหาพจน์ สวุ โจ, ดร. เรียบเรยี ง : พระมหาถนอม อานนฺโท พิมพค์ รงั้ ท่ี ๑ : พฤศจิกายน ๒๕๕๘ จ�านวนพิมพ์ : ๒,๐๐๐ เล่ม ดา� เ นิ น ก า ร จั ด พิ ม พ์ โ ด ย สาละพมิ พการ ๙/๖๐๙ ซอยกระท่มุ ล้ม ๖ ถนนพุทธมณฑลสาย ๔ ตา� บลกระทมุ่ ลม้ อา� เภอสามพราน จงั หวดั นครปฐม ๗๓๒๒๐ โทร. ๐-๒๔๒๙-๒๔๕๒, ๐๘-๕๔๒๙-๔๘๗๑ email:[email protected]

คาí นíา วดั ปราสาทสูง ต.หว้ ยราชา อ.หว้ ยราช จ.บุรรี ัมย์ ได้จัดให้ มีกิจกรรมการสวดมนต์ท�าวัตรเย็นและเจริญจิตตภาวนาเป็น ประจ�าทุกวัน แต่ละวันจะมีญาติโยมทุกเพศทุกวัยให้ความสนใจ เข้าร่วมกิจกรรมเป็นจ�านวนมาก การสวดมนต์ท�าวัตรน้ันจะเน้น การสวดมนตแ์ ปล เพราะง่ายต่อทุกเพศทกุ วยั และสามารถเข้าใจ ค�าแปลของแต่ละบทหรือแต่ละสูตรได้ หลังจากท�าวัตรเสร็จจะมี การเจริญจิตตภาวนาพร้อมฟังบรรยายธรรมะ ตลอดจนอธิบาย ประวัติความเป็นมาของบทสวดแต่ละบท เพื่อให้ญาติโยมได้ เข้าใจหลักธรรมพื้นฐานส�าหรับน�าไปปฏิบัติ และรู้ความเป็นมา ของบทสวดแต่ละบท เป็นการสรา้ งศรทั ธาเสรมิ ดว้ ยปญั ญา บทสวดบางบทน�ามาจากพระไตรปิฎกโดยตรง ย่อมเป็น เร่ืองง่ายต่อการอธิบาย แต่บางบทเกิดข้ึนทีหลังเพราะผสมแทรก ด้วยเหตุปัจจัยหลายอย่าง พูดแบบนักวิชาการก็คือมีพัฒนาการ มานาน จึงจ�าเป็นต้องสืบค้นหาที่มาที่ไปให้ชัดเจน แล้วน�ามา วเิ คราะหเ์ ปรยี บเทยี บ เพอ่ื ใหท้ ราบตามความเปน็ จรงิ ตวั อยา่ งเชน่ คาถาพระอรหนั ต์ ๘ ทศิ และคาถาบชู ารอยพระพทุ ธบาท เปน็ ตน้

หนังสือเล่มน้ีมีจุดประสงค์ เพื่อค้นหาท่ีมาท่ีไปของคาถา พระอรหันต์ ๘ ทิศ เพื่อตอบข้อสงสัยของญาติโยมผู้ประสงค์ อยากรู้ ข้อมูลท่ีเรียบเรียงมาอาจยังไม่สมบูรณ์ เพราะจ�ำกัดด้วย เรื่องของเวลา แต่ก็พอมั่นใจได้ว่าสามารถตอบข้อสงสัยได้ระดับ หนงึ่ ตอ่ เมอ่ื ไดพ้ บหลกั ฐานเพม่ิ เตมิ มากขน้ึ จงึ จะปรบั ปรงุ แกไ้ ขให้ สมบรู ณย์ ง่ิ ขึน้ ตอ่ ไป ขออนุโมทนาญาติโยมทุกท่านท่ีช่วยกันบริจาคปัจจัยพิมพ์ หนังสือเล่มนี้ เพื่อหวังให้เป็นประโยชน์แก่พุทธศาสนิกชนทั่วไป ซ่ึงสอดคล้องกับพุทธพจน์ว่า ทานใดไม่ส�ำคัญเท่าการให้ปัญญา ขอใหญ้ าตโิ ยมทุกท่านจงสุขสวสั ดีตลอดทกุ ทิพาราตรี พระมหาถนอม อานนโฺ ท พระมหาพจน์ สวุ โจ, ดร.

สารบัญ ๗ ๙ ค�ำนำ� ๑๑ ความเชื่อเรือ่ งจกั รวาลของคนอนิ เดียโบราณ ๑๓ ต�ำนานเทพนพเคราะห์ ๑๕ ❖ พระอาทติ ย์ ๑๗ ❖ พระจันทร์ ๑๙ ❖ พระองั คาร ๒๑ ❖ พระพธุ ๒๓ ❖ พระเสาร์ ๒๕ ❖ พระพฤหสั บดี ๒๗ ❖ พระราหู ๒๙ ❖ พระศกุ ร์ ๓๑ พมา่ รับความเชอ่ื จากอนิ เดยี ๓๓ พธิ ีกรรมสง่ ดาวนพเคราะหข์ องพมา่ ๔๘ ลา้ นนารับความเชอ่ื ต่อจากพมา่ ๕๐ คัมภีรท์ ักษาของชาวเชยี งใหม่ ๕๒ คัมภรี ์ทักษาตามแบบพทุ ธ ๕๖ คาถาพระอรหันต์ ๘ ทิศ ๕๘ ❖ พระพุทธเจ้า ❖ พระอญั ญาโกณฑัญญะ ❖ พระมหากสั สปเถระ

❖ พระสารีบตุ ร ๖๐ ❖ พระอุบาลี ๖๒ ❖ พระอานนท์ ๖๔ ❖ พระควัมปติ ๖๖ ❖ พระมหาโมคคัลลานะ ๖๘ ❖ พระราหลุ ๗๐ ใครแตง่ คาถาพระอรหันต์ ๘ ทศิ ? ๗๒ บทสง่ ท้าย ๗๔ หนงั สอื อ่านประกอบ ๗๖

ความàªืèอàรèอื งจกั รวาÅ ¢องคนอนิ à´ยÕ âบรา³ ชาวอินเดียโบราณเชื่อว่า พระอิศวรเป็นผู้สร้างจักรวาล สร้างโลกและสรรพส่ิงในสากลโลกนี้ โดยให้โลกท่ีมนุษย์อาศัยอยู่ เป็นศูนย์กลางของจักรวาล ซึ่งมีลักษณะลอยตัวอยู่เหนือน้�ามี ปลาอานนท์คอยหนุน ตรงก่ึงกลางของโลกให้เป็นท่ีตั้งของเขา พระสุเมรุ มีภูเขาขนาดใหญ่ล้อมเขาพระสุเมรุอีกที เรียกว่า สัตบรภิ ัณฑค์ รี ี รอบนอกมีทวปี ใหญต่ งั้ อยู่ ๔ ทศิ ได้แก่ ๑) ชมพู ทวีป ตั้งอยู่ทางทิศใต้ มีรูปร่างสัณฐานเหมือนเกวียน มีต้นหว้า เปน็ ไมป้ ระจา� ทวปี ชาวชมพทู วปี มอี ายมุ ากหรอื นอ้ ยขนึ้ อยกู่ บั การ รักษาศีลและประพฤติธรรม ๒) อปรโคยานทวีป ตั้งอยู่ทางทิศ ตะวันตก มีรูปร่างสัณฐานเหมือนคันฉ่อง มีต้นกระทุ่มเป็นไม้ ประจา� ทวีป ชาวอปรโคยานทวีปมอี ายุ ๕๐๐ ปี ๓) อตุ ตรกุรทุ วีป ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ มีรูปร่างสัณฐานเหมือนต่ัง มีต้นกัลปพฤกษ์ เป็นไม้ประจ�าทวีป ชาวอุตตรกุรุทวีปมีอายุ ๑,๐๐๐ ปี และ ๔) ปุพพวิเทหทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก มีรูปร่างสัณฐานเหมือน อัฒจันทร์ มีต้นซึกเป็นไม้ประจ�าทวีป ชาวปุพพวิเทหทวีปมีอายุ ๗๐๐ ปี 7

อุตตรกุรทุ วีป ปพุ พวเิ ทหทวีป เขาพระสุเมรุ อปรโคยานทวปี ชมพทู วีป 8

µíานาน àทพนพàคราะห์ ต�านานนพเคราะห์โหราศาสตร์กล่าวว่า คร้ันพระอิศวร สรา้ งจกั รวาลและสรรพสงิ่ เรยี บรอ้ ยแลว้ ไดส้ รา้ งเทวดาขน้ึ ๙ องค์ เรียกว่าเทพนพเคราะห์ เพ่ือท�าหน้าท่ีปกป้องรักษาเขาพระสุเมรุ ทงั้ ๘ ทศิ ไดแ้ ก่ ๑) พระอาทติ ย์ ใหป้ ระจา� ทศิ ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ๒) พระจนั ทร์ ให้ประจา� ทศิ ตะวนั ออก ๓) พระอังคาร ใหป้ ระจา� ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ๔) พระพุธ ให้ประจ�าทิศใต้ ๕) พระเสาร์ ให้ประจ�าทิศตะวันตกเฉียงใต้ ๖) พระพฤหัสบดี ให้ประจ�าทิศ ตะวันตก ๗) พระราหู ให้ประจ�าทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ๘) พระศุกร์ ให้ประจา� ทิศเหนอื และ ๙) พระเกตุ ให้ประจ�ากงึ่ กลาง การสร้างเทพนพเคราะห์นั้น พระอิศวรผู้เป็นเจ้าได้ประทาน ฤทธานุภาพให้แต่ละองค์แตกต่างกันออกไป นอกจากดูแลเขา พระสุเมรุแล้ว เทพนพเคราะห์เหล่าน้ียังท�าหน้าที่เวียนรอบจักร ราศี หรือ ๑๒ นกั ษตั ร เพื่อเป็นเคร่อื งบอกเหตุดีและร้ายของมวล มนุษยแ์ ละสรรพสิ่งในโลก 9

พระราหู พระศุกร์ พระอาทติ ย์ พระพฤหสั บดี พระเกตุ พระจนั ทร์ พระเสาร์ พระพธุ พระอังคาร 10

พระอาทµิ ย์ ประจíาทิÈอสÕ าน (µะวันออกà©Õยงàหนอื ) ต�านานนพเคราะห์โหราศาสตร์กล่าวไว้ว่า พระอาทิตย์ถือ ก�าเนิดเกิดข้ึนโดยพระอิศวรเป็นเจ้า ได้สร้างข้ึนจากราชสีห์หกตัว โดยร่ายพระเวทให้ราชสีห์หกตัวเหล่านั้นละเอียดเป็นผงเถ้าธุลี แลว้ หอ่ ดว้ ยผา้ สแี ดง ประพรมดว้ ยนา้� อมฤต จนกลายเปน็ เทพบตุ ร รูปงามนามว่าพระอาทิตย์ มีผิวกายเป็นสีแดง วิมานที่อยู่เป็น สีแดง และทรงราชสีหเ์ ปน็ พาหนะ ส่วนคัมภีร์ปุราณะกล่าวว่า พระอาทิตย์หรืออีกช่ือหนึ่งว่า สูรยาทิตย์ เป็นบุตรของกัสยปเทพบิดรกับนางอทิติ มีพี่น้อง ร่วมอุทรอีก ๗ องค์ คือ ๑) วรุณาทิตย์ ๒) มิตราทิตย์ ๓) อริย มนาทิตย์ ๔) ภคาทิตย์ ๕) องศาทิตย์ ๖) อินทราทิตย์ และ ๗) ธาตราทิตย์ พระสูรยาทิตยน์ น้ั เกดิ มาพิการ พระชนนจี งึ ไม่รับ และไม่พาไปเฝ้าพระเป็นเจ้า พระสูรยาทิตย์จึงมิได้ไปอยู่เทวโลก ตอ้ งเทยี่ วขับรถอยู่ในระหว่างเทวโลกกบั มนษุ ยโลกจนบดั นี้ 11

พระอาทิตย์มีนามเรียกหลายช่ือ เช่น รวิ (ร้อน) ทินกร (ผทู้ า� การกลางวนั ) ทวิ ากร (ผูท้ �ากลางวนั ) ภาสกร (ผู้ทา� แสงสว่าง) อาภากร (ผู้ท�าแสงสว่าง) ประภากร (ผู้ท�าแสงสว่าง) วิสวัต (ผ้สู วา่ ง) โลกจักษุ (ตาแห่งโลก) ฯลฯ พระอาทิตย์มีมเหสีช่ือนางสัญญา และมีชายาอีกสี่องค์ คือ นางฉายา นางสุวรรณา นางสวาดี และนางมหาวีรยา พระ อาทิตย์มีโอรสกับนางสัญญาชื่อว่ามนูไววัสวัต พระยมเทพและ นางยมนา มีเร่ืองเล่ากันว่าพระอาทิตย์มีรัศมีกายเปล่งประกาย ร้อนแรง จึงท�าให้นางสัญญามเหสีทนไม่ได้ ได้ออกอุบายให้ นางฉายาท�าหน้าท่ีแทนตวั แล้วหนีออกไปบวชเป็นโยคนิ อี ยู่ในป่า และเพ่ือมิให้สามีจ�าได้จึงแปลงตัวเป็นม้าช่ืออัศวินี พระอาทิตย์ ทราบความกแ็ ปลงเปน็ มา้ ไปสมสอู่ ยดู่ ว้ ยกนั จนเกดิ ลกู เปน็ ฝาแฝด คือพระอัศวินแฝดคู่และพระเรวันต์ ต่อมาพระอาทิตย์ได้พานาง สัญญากลับวิมาน พระวิศวกรรมซึ่งเป็นพ่อตา จึงจับพระอาทิตย์ ขูดผิวท่ีสว่างออกเสียหน่ึงในแปด รัศมีค่อยเบาลงพออยู่กับนาง สญั ญาได้ มหากาพย์รามเกียรติ์กล่าวว่า พระอาทิตย์เป็นคนเจ้าชู้ไม่ เลือกว่าลูกเมียใคร ครั้งหนึ่งแอบไปสมสู่กับนางกาลอัจนาภรรยา ของฤษีโคดม จนมีลูกคนหน่ึงมีผิวกายสีแดงเหมือนพ่อ นามว่า สุครีพ ต่อมาได้เป็นอุปราชแห่งเมืองขีดขินและทหารเอกของ พระราม เช่ือว่าพระอาทิตย์เป็นเทพห้ามอุปัทวันตรายและประทาน พรแก่ปวงสัตวท์ ัว่ หล้า 12

พระจันทร์ ประจíาทิÈบูรพา (µะวนั ออก) ต�านานนพเคราะห์โหราศาสตร์กล่าวไว้ว่า พระจันทร์ถือ ก�าเนิดเกิดขึ้นโดยพระอิศวรเป็นเจ้า ได้สร้างขึ้นจากนางฟ้าสิบห้า นาง โดยร่ายพระเวทให้นางฟ้าทั้งสิบห้านางเหล่าน้ันละเอียด เปน็ ผง แล้วห่อด้วยผ้าสนี วล ประพรมดว้ ยนา�้ อมฤต จนกลายเป็น เทพบุตรรูปงามนามว่าพระจันทร์ มีผิวกายเป็นสีนวล มีวิมานสี แกว้ มุกดา และทรงม้าเปน็ พาหนะ พระจันทร์มีนามเรียกกันอีกหลายช่ือ เช่น ศศิธร (ทรงไว้ ซึ่งกระต่าย) นิศากร (เปล่งแสงนวล) รัชนีกร (สร้างกลางคืน) มฤคางกะ (ลายเหมือนกวาง) ศิวเศขร (ปิ่นพระศิวะ) โสมอินทุ (หยาดน้�า) ศุจิบาท (แสงสุกใส) ดารานาถ (เป็นที่พง่ึ ของดวงดาว) ดาราบดี (เป็นใหญ่แห่งดวงดาว) ปูรณิมา (มีใบหน้าเต็มดวง) หมิ างคุ (หยาดน�า้ คา้ ง) ฯลฯ คัมภีร์ปุราณะกล่าวว่า พระจันทร์มีชายามากถึง ๒๗ องค์ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นบุตรีของพระทักษะ คราวหน่ึงพระจันทร์ 13

ล�าเอียงรักนางโรหิณีมากกว่าคนอ่ืน ชายาทั้งหมดจึงไปฟ้อง พระทักษะผู้บิดา พระทักษะโกรธมาก จึงแช่งให้พระจันทร์ เป็นหมันและให้เป็นฝีในท้อง แต่คร้ันได้รับความวิงวอนร้องขอ จากบุตรี จึงผ่อนให้โรคน้ันเป็นพักๆ ด้วยเหตุน้ัน พระจันทร์จึง มวี ันข้างข้ึนวันข้างแรมตามลักษณะของจันทรคติ พระจนั ทรน์ นั้ เปน็ ศตั รกู บั พระพฤหสั บดี มเี รอื่ งเลา่ วา่ คราว หนง่ึ พระจนั ทรก์ ระทา� พธิ รี าชสยู ะแลว้ มฤี ทธานภุ าพมากจงึ ไมเ่ กรง กลัวใคร ได้ไปลักลอบพานางดาราผู้เป็นชายาของพระพฤหัสบดี มาเป็นภรรยาตน พระพฤหัสบดีทราบความไปขอคืนไม่ยอมให้ จึงเกิดเทวาสุรสงครามเป็นการใหญ่ สุดท้ายพระพรหมต้องมา ห้ามสงคราม ด้วยการบังคับให้พระจันทร์ส่งนางดาราคืนพระ พฤหัสบดี และห้ามไม่ให้เข้าไปในเทวสภา ภายหลังพระจันทร์ไป วิงวอนให้พระอิศวรช่วย พระอิศวรได้เอาพระจันทร์เป็นปิ่นปัก เข้าไปในเทวสภา พระจันทร์จึงมนี ามวา่ ศิวเศขร และตัง้ แต่นั้นมา พระจนั ทรก์ ส็ ามารถเขา้ เทพชมุ นมุ ไดด้ ังเดิม ตอนพระจันทร์รับนางดารามานั้น นางดาราได้ต้ังครรภ์ กับพระจันทร์ และต่อมามีโอรสองค์หนึ่งช่ือว่าพระพุธ ซ่ึงเป็น ปฐมชนกแห่งจันทรวงศ์ เพราะไปแต่งงานกับนางอิลาธิดาของ พระมนูไววัสวัต ผู้เป็นโอรสของสูรยาทิตย์ มีบุตรชื่อว่าปุรูรพ ครองนครประดษิ ฐาน มโี อรสธดิ าสืบต่อมาหลายช่วั อายุคน เชือ่ วา่ พระจันทร์เป็นเทพเจา้ แห่งความมั่งคง่ั ร่�ารวย 14

พระอังคาร ประจíาทิÈอาคàนย์ (µะวนั ออกà©ยÕ งãµ)้ ต�านานนพเคราะห์โหราศาสตร์กล่าวไว้ว่า พระอังคารถือ ก�าเนิดเกิดขึ้นโดยพระอิศวรเป็นเจ้า ได้สร้างขึ้นจากกระบือแปด ตัว โดยร่ายพระเวทให้กระบือแปดตัวเหล่านั้นละเอียดเป็นผง เถ้าธุลี แล้วห่อด้วยผ้าสีแดงหลัวคือสีของแก้วเพทาย จากน้ัน ประพรมด้วยน�้าอมฤต จนกลายเป็นเทพบุตรรูปงามนามว่า พระอังคาร มีลักษณะอย่างมหาบุรุษที่เข้มแข็ง ผิวกายเป็นสีแก้ว เพทาย อาภรณ์คือแก้วโกเมน มีวิมานสีทับทิม และทรงมหิงสา เป็นพาหนะ พระองั คารเป็นศตั รกู ับพระอาทติ ย์ มีเรอื่ งเลา่ ว่า สมยั หนงึ่ พระอังคารเกิดเป็นพญาราชสีห์ พระอาทิตย์เกิดเป็นนกกระไน ธรรมดาของราชสีห์นั้นกินเน้ือสัตว์ทั้งหลายเป็นประจ�า วันหนึ่ง กระดูกสัตว์ท่ีกินน้ันต�าคอราชสีห์ไม่มีวิธีส�ารอกออกได้ ราชสีห์จึง อ้อนวอนให้นกกระไนช่วยเอากระดูกท่ีติดคอออกให้ นกกระไน 15

ไดเ้ จาะคอราชสหี เ์ อากระดกู ออกให้ ทา� ใหร้ าชสหี บ์ าดเจบ็ จงึ โกรธ เคืองจองเวรนกกระไนตงั้ แต่นน้ั มา อีกเรื่องหนึ่งเล่าว่า คร้ังหนึ่งพระอาทิตย์เกิดเป็นมาณพ พระพฤหัสบดีเกิดเป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ พระจันทร์เกิดเป็น บุตรีของอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ส่วนพระอังคารเกิดเป็นวิทยาธร มาณพได้บุตรีของอาจารย์ทิศาปาโมกข์เป็นภรรยา วิทยาธร หลงใหลในความงามของบุตรีอาจารย์ทิศาปาโมกข์ จึงได้ลอบ เข้ามาท�าชู้ด้วย ทิศาปาโมกข์ผู้เป็นบิดารู้ว่าบุตรีตนประพฤติชั่ว จึงออกอุบายให้มาณพผู้เป็นศิษย์จับวิทยาธร เกิดการต่อสู้กัน วิทยาธรได้จังหวะเอาพระขรรค์ฟันมาณพศีรษะแตก ส่วนมาณพ ขว้างด้วยจักรเพชรถูกวิทยาธรขาขาด แลว้ เหาะหนไี ปได้ พระอังคารเป็นมิตรกับพระศุกร์ มีเรื่องเล่าว่า สมัยหน่ึง พระอังคารเกิดเป็นกบ พระเสาร์เกิดเป็นงู พระศุกร์เกิดเป็น รกุ ขเทวดา งเู หน็ กบกไ็ ลจ่ บั จะกนิ เปน็ อาหาร กบกระโดดหนเี ขา้ ไป ในโพรงไม้ท่ีรุกขเทวดาอาศัยอยู่ รุกขเทวดาเห็นงูไล่กบมาก็นึก เวทนากบว่าจะถึงแก่ความตาย จึงตวาดงูด้วยเสียงอันดัง งูตกใจ กลัวอ�านาจรุกขเทวดา ก็ไม่กล้าไล่กบ กบรอดตายก็สรรเสริญ บุญคุณรุกขเทวดา ด้วยเหตุนั้น พระศุกร์กับพระเสาร์จึงเป็น ศัตรูกัน แต่พระศุกร์กับพระอังคารเป็นมิตรกัน จึงมีค�าสุภาษิต กล่าวว่า ศกุ ร์ปากหวานองั คารรบั เอา เชือ่ ว่าพระองั คารเป็นเทพเจา้ แหง่ เลือดและการสงคราม 16

¾Ãо¸Ø ประจาí ทÈิ ทกั ɳิ (ãµ้) ตา� นานนพเคราะหโ์ หราศาสตรก์ ลา่ วไวว้ า่ พระพธุ ถอื กา� เนดิ เกิดข้ึนโดยพระอิศวรเป็นเจ้า ได้สร้างข้ึนจากช้างสิบเจ็ดตัว โดย ร่ายพระเวทให้ช้างสิบเจ็ดตัวเหล่านั้นละเอียดเป็นผงเถ้าธุลี แล้ว ห่อด้วยผ้าสีเขียวใบไม้ จากนั้นประพรมด้วยน�้าอมฤต จนกลาย เป็นเทพบุตรรูปงามนามว่าพระพุธ มีผิวกายเป็นสีแก้วมรกต มี วิมานสีแกว้ มณี และทรงชา้ งเป็นพาหนะ บางแหง่ เลา่ วา่ พระพธุ เปน็ โอรสของพระจนั ทรก์ บั นางดารา คัมภีร์ปุราณะกล่าวว่า สมัยหนึ่งพระจันทร์มีความก�าเริบ เพราะเหตุที่ได้กระท�าพิธีราชสูยะส�าเร็จ จึงได้ลักพานางดารา มาเป็นภรรยา พระพฤหัสบดีผู้สามีไปขอคืนก็ไม่ยอมคืนจึงเกิด สงครามคร้ังใหญ่ เรียกว่าตารกามยะ สงครามคร้ังนี้ได้ชักน�าให้ เทวดา ซึ่งเป็นครูอาจารย์และมิตรสหายของแต่และฝ่ายเข้าร่วม ด้วย คือพระศุกร์ซึ่งเป็นอริกับพระพฤหัสบดีก็เข้าข้างพระจันทร์ 17

พวกแทตย์และอสูรซ่ึงเป็นศิษย์ของพระศุกร์ก็พลอยเข้าช่วย พระจันทร์ตามอย่างอาจารย์แห่งตน ส่วนพวกพระอินทร์และ ทวยเทพท้ังหลาย ซึ่งนับถือพระพฤหัสบดีว่าเป็นอาจารย์ของ พวกตนกเ็ ขา้ ขา้ งพระพฤหสั บดี ขณะทง้ั สองฝา่ ยกา� ลงั เตรยี มสรรพ ก�าลังเข้าห่�าหั่นท�าสงครามแตกหักกัน พระพรหมทราบความ จึงเข้ามาห้ามสงคราม และบังคับให้พระจันทร์คืนนางดาราแก่ พระพฤหสั บดี ระหว่างนางดาราอยู่กับพระจันทร์นั้นได้มีพระครรภ์แล้ว และตอ่ มาไดป้ ระสตู พิ ระโอรสนามวา่ พระพธุ เมอื่ พระจนั ทรท์ ราบ ว่าบุตรของตนประสูติแล้ว ก็ดีใจย่ิงนักกล่าวให้พรว่า จริงแล้ว ลูกเอย เจ้าจงเป็นคนฉลาด ด้วยเหตุนั้นบุตรของนางดาราจึงได้ นามว่า พุธ แปลว่า ฉลาด พระพุธกับพระราหูเป็นศัตรูกัน มีเร่ืองเล่าว่า สมัยหน่ึง พระจนั ทรเ์ กดิ เปน็ คนเขญ็ ใจ พระราหเู กดิ เปน็ คหบดี พระเสารเ์ กดิ เป็นพ่อค้าเพ่ือนของคหบดี พระพุธเกิดเป็นสุนัข คนเข็ญใจ กู้เงินของคหบดีไปแล้วไม่มีจะใช้ จึงหนีไปซ่อนตัวอยู่ที่แห่งหนึ่ง พ่อค้าเพ่ือนคหบดีไปพบเข้าจึงน�าความมาบอกคหบดี คหบดีได้ ตามไปจับมา แต่สุนัขได้เข้าช่วยคนเข็ญใจ ด้วยการไล่กัดคหบดี จนต้องปล่อยคนเข็ญใจหนีไป ด้วยเหตุนี้พระพุธกับพระราหูจึง เปน็ ศตั รกู นั แตพ่ ระพธุ กบั พระจนั ทรเ์ ปน็ มติ รกนั (เปน็ บดิ ากบั บตุ ร กเ็ รียก) เช่อื วา่ พระพุธเป็นเทพเจ้าแหง่ วาจาและการพาณิชย์ 18

พระàสาร์ ประจíาทÈิ หร´Õ (µะวนั µกà©Õยงãµ)้ ต�านานนพเคราะห์โหราศาสตร์กล่าวไว้ว่า พระเสาร์ถือ ก�าเนิดเกิดขึ้นโดยพระอิศวรเป็นเจ้า ได้สร้างขึ้นจากเสือสิบตัว โดยร่ายพระเวทให้เสือสิบตัวเหล่านั้นละเอียดเป็นผงเถ้าธุลี แล้ว ห่อด้วยผ้าสีด�า จากน้ันประพรมด้วยน�้าอมฤต จนกลายเป็น เทพบตุ รรปู งามนามว่าพระเสาร์ มีผวิ กายเปน็ สดี า� อสติ มอี าภรณ์ สดี า� วมิ านเปน็ สีมรกต และทรงเสือเป็นพาหนะ พระเสาร์มนี ามเรยี กกนั หลายชือ่ เชน่ อาระ (อวสาน) โกณะ (นัยน์ตาร้าย) ปังคุ (มีขาพิการ) มันทะ (ช้า) ศนิ (มีปรกติช้า) สไนศจร (ไปไหนช้า) นิลวาส (อาภรณ์สีด�า) สัปตารุจิ (มีเปลว เป็นรัศมี ๗ แฉก) อสติ (ด�าหรือมดื ) ฯลฯ พระเสาร์กับพระราหูเป็นมิตรกัน แต่เป็นศัตรูกับพระศุกร์ มีเรื่องเล่าว่า สมัยหน่ึงพระเสาร์เกิดเป็นคนเข็ญใจ พระราหูเกิด เป็นคหบดี พระศุกร์เกิดเป็นพ่อค้าเพื่อนของคหบดี ส่วนพระพุธ 19

เกิดเป็นสุนัข คนเข็ญใจได้ไปกู้เงินของคหบดี แต่ไม่มีปัญญาจะ หามาใช้ เมื่อคหบดีทวงถามบ่อยคร้ัง จึงหลบหนีไปอยู่เสียท่ีอ่ืน ไม่ยอมให้เจ้าหนี้พบหน้า ต่อมาพ่อค้าเพ่ือนของคหบดีได้เที่ยว ค้าขายไปยงั เมืองนอ้ ยใหญ่ ได้พบลูกหนี้คนเข็ญใจกม็ าบอกคหบดี ผู้เป็นเพ่ือน คหบดีจึงตามไปจับตัวคนเข็ญใจลูกหนี้มาได้ ฝ่าย สุนัขที่อยู่ในบ้านน้ันเกิดเห็นใจลูกหนี้จึงเข้าขบกัดคหบดี จนต้อง ปล่อยลกู หนห้ี นีไป คัมภรี ์ปุราณะกลา่ ววา่ พระเสาร์มภี รรยาทขี่ ีห้ งึ มากได้สาป สามีไว้ว่า หากมองหน้าคนใดนอกจากตัวเอง ขอให้ศีรษะผู้นั้นจง หลุดหายไป คราวหน่งึ พระอิศวรและนางอุมาเทวไี ด้จัดพธิ ีโสกันต์ ให้แก่พระพิฆเนศผู้เป็นบุตร เทพยดาทั้งหลายบนสรวงสวรรค์ ต่างอวยพรพระพิฆเนศกันหมด เหลือแต่พระเสาร์ท่ีนั่งก้มหน้าไม่ ยอมมองหน้าผู้ใด คร้ันเห็นพระเสาร์นั่งน่ิงเช่นน้ัน พระอุมาเทวี เคืองพระทัยจึงบังคับให้พระเสาร์มองพระพักตร์บุตรตน แล้ว อวยพรให้พระพิฆเนศผู้เป็นบุตรเหมือนเทพยดาท้ังปวง คร้ัน พระเสาร์มองหน้าพระพิฆเนศ ปรากฏว่าศีรษะของพระพิฆเนศ ได้มลายหายไปทันที พระอุมาเทวีกริ้วพระเสาร์มาก จึงสาปให้ พระเสาร์ขาพิการข้างหนึ่ง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เหล่าเทพยดา ทั้งส้ินทั้งปวงต่างหวาดกลัวฤทธานุภาพของพระเสาร์มาก จึงไม่มี ใครคบหากับพระเสาร์ เพียงเอ่ยนามต่างพากันหลบหนีไม่กล้า อยสู่ ูห้ น้า นอกจากพระราหูเท่าน้ัน เช่ีอวา่ พระเสารเ์ ปน็ เทพเจา้ แห่งกสกิ รรม 20

พระพÄหสั บ´Õ ประจíาทิÈปจ˜ ©ิม (µะวันµก) ต�านานนพเคราะห์โหราศาสตร์กล่าวไว้ว่า พระพฤหัสบดี ถือก�าเนิดเกิดขึ้นโดยพระอิศวรเป็นเจ้า ได้สร้างข้ึนจากฤษีสิบเก้า ตน โดยร่ายพระเวทให้ฤษีสิบเก้าตนเหล่าน้ันละเอียดเป็นผงเถ้า ธลุ ี แลว้ ประพรมดว้ ยนา้� อมฤต จนกลายเปน็ เทพบตุ รรปู งามนามวา่ พระพฤหสั บดี มีผวิ กายเปน็ สีบษุ ราคมั และทรงกวางเป็นพาหนะ คัมภีร์ปุราณะกล่าวว่า พระพฤหัสบดีเป็นอาจารย์ของ พระอินทร์และเทวดา ขณะท่ีพระศุกร์เป็นอาจารย์ของพวกอสูร และแทตย์ คราวหน่ึงพระจันทร์บ�าเพ็ญพิธีราชสูยะ มีฤทธา นุภาพมากไม่เกรงกลัวใคร ได้ลักนางดาราผู้เป็นภริยาของพระ พฤหัสบดี สามีมาขอคืนพระจันทร์ไม่ยอมคืนให้ จึงเกิดศึกชิง นางดาราขนึ้ ครนั้ พระอนิ ทรก์ บั เทวดาทราบเรอื่ งจงึ ยกทพั เขา้ ชว่ ย พระพฤหัสบดี ส่วนพระศุกร์ซึ่งเป็นเทพฤษีเหมือนกัน ไม่ชอบ พระพฤหสั บดมี ากอ่ นจงึ ชว่ ยพระจนั ทร์ พวกทานพ แทตยแ์ ละอสรู ซ่ึงเป็นศิษย์ของพระศุกร์ก็พลอยเข้าข้างอาจารย์ช่วยพระจันทร์ 21

สงครามคร้ังนั้นเรียกว่าเทวาเทวสงคราม เพราะเป็นสงคราม ระหว่างเทวดากับเทวดาที่ยิ่งใหญ่ เพราะแต่ละฝ่ายต่างมีกองทัพ ขนาดใหญ่เป็นกองหนุน ร้อนถึงพระพรหมต้องเข้ามาระงับศึก บังคบั ใหพ้ ระจันทร์คืนนางดาราแก่พระพฤหัสบดีตามเดิม พระพฤหัสบดีกับพระจันทร์นั้นเป็นศัตรูกันมาตั้งแต่อดีต ชาติ มีเรื่องเล่าว่า สมัยหนึ่งพระพฤหัสบดีเกิดเป็นนกอีลุ้ม พระ จันทร์เกิดเป็นนกเหย่ียว เหย่ียวเห็นนกอีลุ้มจึงไล่จิกตีหวังจะเอา เป็นอาหาร นกอีลุ้มบินหนีไปซ่อนตัวอยู่ในรอยเท้าโค เหยี่ยวก็ โผลงไปท่รี อยเท้าโคนั้นเต็มกา� ลัง อกเลยกระแทกกบั ดินอยา่ งแรง แตกตายอยู่ ณ ทีน่ น้ั พระพฤหสั บดเี ปน็ มติ รกบั พระอาทติ ย์ มเี รอ่ื งเลา่ วา่ ครง้ั หนง่ึ พระอาทิตย์เกิดเป็นมาณพ พระพฤหัสบดีเกิดเป็นอาจารย์ ทศิ าปาโมกข์ พระจนั ทรเ์ กดิ เปน็ บตุ รขี องอาจารยท์ ศิ าปาโมกข์ สว่ น พระองั คารเกดิ เปน็ วทิ ยาธร มาณพไดบ้ ตุ รขี องอาจารยท์ ศิ าปาโมกข์ เปน็ ภรรยา วทิ ยาธรหลงใหลในรปู ของบตุ รที ศิ าปาโมกขจ์ งึ ไดล้ อบ เข้ามาท�าชู้ด้วย ทิศาปาโมกข์ผู้เป็นบิดารู้ว่าบุตรีตนประพฤติช่ัว จึงออกอุบายให้มาณพผู้เป็นศิษย์จับวิทยาธร เกิดการต่อสู้กัน พัลวัน วิทยาธรได้โอกาสเอาพระขรรค์ฟันมาณพศีรษะแตก ส่วน มาณพขวา้ งดว้ ยจกั รเพชรถกู วิทยาธรขาขาด แล้วเหาะหนีไปได้ เชื่อว่าพระพฤหัสบดีเป็นครูของเทวดา มีช่ือเสียงด้านการ เจรจา 22

พระราหู ประจíาทิÈพายัพ (µะวันµกà©ยÕ งàหนอื ) ต�านานนพเคราะห์โหราศาสตร์กล่าวไว้ว่า พระราหูถือ ก�าเนิดเกิดข้ึนโดยพระอิศวรเป็นเจ้า ได้สร้างขึ้นจากหัวผีโขมด สิบสองหัว โดยร่ายพระเวทให้หัวผีโขมดสิบสองหัวเหล่านั้น ละเอียดเป็นผงเถ้าธุลี แล้วประพรมด้วยน�้าอมฤต จนกลายเป็น พระราหู สีกายเป็นสีทองสัมฤทธ์ิ วิมานท่ีอยู่เป็นสีนิล และทรง ครุฑเปน็ พาหนะ คัมภีร์ปุราณะกล่าวว่า สมัยหนึ่ง พระนารายณ์ได้อวตาร เป็นเต่าใช้กระดองหนุนขุนเขาพระสุเมรุ เพ่ือให้เทวดาและอสูร ท�าพิธีกวนเกษียรสมุทร จนสามารถท�าน�้าอมฤตได้สมปรารถนา คราวนั้นพระราหูได้แปลงตัวเป็นเทวดาเข้าไปในเทพชุมนุมแล้ว กินน�้าอมฤต พระอาทิตย์และพระจันทร์เห็นเข้าจึงได้ฟ้องต่อ พระนารายณ์ พระนารายณ์กร้ิวจึงขว้างด้วยจักรถูกกายพระราหู ขาดไปครึ่งตัว อาศัยเหตุท่ีได้ดื่มน้�าอมฤต พระราหูจึงไม่ตาย 23

ท่อนหนึ่งไปอยู่ในอากาศเป็นพระราหู คอยจับกินพระอาทิตย์ และพระจันทร์เพื่อเป็นการแก้แค้น จึงเกิดเป็นปรากฏการณ์ จนั ทรุปราคาและสุริยปุ ราคา อีกแห่งหน่ึงเล่าว่า พระเสาร์ถือก�าเนิดเป็นพญานาครักษา มหาสมุทร พระอาทิตย์เกิดเป็นพญาครุฑรักษาเขาสัตบริภัณฑ์ พระพฤหสั บดเี กดิ เปน็ พระอนิ ทรร์ กั ษาเขาพระสเุ มรุ อยมู่ าวนั หนง่ึ พญาครุฑปรารถนาจะใคร่กินพญานาค จึงตรงเข้าจับพญานาค เพ่ือจะกินเป็นอาหาร พญานาคสู้ไม่ได้ก็หนีไปยังส�านักพระราหู พระราหกู ช็ ว่ ยไลพ่ ฆิ าตพญาครฑุ พญาครฑุ บนิ หนไี ปยงั สา� นกั ของ พระอินทร์ พระราหูรุกไล่ไปไม่ทัน ระหว่างทางเกิดกระหายน�้า จึงตรงไปดมื่ นา�้ อมฤตในสระ พระอนิ ทรซ์ ง่ึ เฝา้ น้า� อมฤตอยูแ่ ลเห็น เชน่ นัน้ กท็ รงพิโรธ จงึ ขวา้ งด้วยจกั รเพชรถูกพระราหขู าดเปน็ สอง ท่อนแตไ่ ม่ตาย เพราะได้ด่ืมนา้� อมฤต อีกแห่งหน่ึงเล่าว่า สมัยหนึ่งพระอาทิตย์ พระจันทร์ และ พระราหูเกิดเป็นบุตรเศรษฐี คร้ันบิดาเสียชีวิตได้นิมนต์พระสงฆ์ มาทา� บญุ พระอาทติ ยบ์ ตุ รคนโตไดข้ นั ทองใสบ่ าตร พระจนั ทรบ์ ตุ ร คนกลางได้ขันเงนิ สว่ นพระราหบู ตุ รคนเลก็ ขดั ใจคว้าเอากระทาย ตกั บาตร ครนั้ เวลาอธษิ ฐานพชี่ ายคนโตกต็ งั้ ความปรารถนาใหเ้ กดิ เปน็ พระอาทติ ย์ พชี่ ายคนกลางกอ็ ธษิ ฐานขอใหเ้ กดิ เปน็ พระจนั ทร์ น้องคนเล็กขัดเคืองพ่ีทั้งสองเพราะเลือกอธิษฐานแต่เรื่องท่ีดี จงึ อธษิ ฐานใหม้ ฤี ทธานภุ าพเทย่ี วไลจ่ บั พระอาทติ ยแ์ ละพระจนั ทร์ 24

พระÈØกร์ ประจาí ทÈิ อ´Ø ร (àหนือ) ต�านานนพเคราะห์โหราศาสตร์กล่าวไว้ว่า พระศุกร์ถือ ก�าเนดิ เกดิ ข้นึ โดยพระอิศวรเป็นเจ้า ได้สรา้ งขน้ึ จากโคยส่ี ิบเอด็ ตัว โดยร่ายพระเวทให้โคย่ีสิบเอ็ดตัวเหล่านั้นละเอียดเป็นผงเถ้าธุลี แล้วประพรมด้วยน�้าอมฤต จนกลายเป็นเทพบุตรรูปงามนามว่า พระศุกร์ สีกายเป็นประภัสสร วิมานท่ีอยู่เป็นทอง และทรงโค อสุภราชเป็นพาหนะ คัมภีร์ปุราณะกล่าวว่า คราวหน่ึง ท้าวพลีผู้เป็นแทตย์ ก�าเริบฤทธิ์ ยกทัพข้ึนไปรุกรานพระอินทร์และเทวดา พระอินทร์ ไปถามพระพฤหัสบดีผู้เป็นอาจารย์เพื่อหาอุบายแก้ไข คร้ัน พระพฤหสั บดบี อกใหแ้ ลว้ พระอนิ ทรจ์ งึ ไปเฝา้ พระกสั ยปเทพบดิ ร ตกลงกันเชิญพระนารายณ์ให้อวตารเป็นพราหมณ์หนุ่มนามว่า วามนะ แล้วไปขอดินแดนช่ัวสามย่างเท้าต่อท้าวพลี พระศุกร์ ผู้เป็นอาจารย์ห้ามท้าวพลีมิให้ตามที่พราหมณ์หนุ่มขอ แต่ก็ไม่ 25

เชื่อฟัง จึงหายตัวเข้าไปอยู่ในเต้าน�้า ท้าวพลีจะรินน�้าเพื่ออุทิศให้ คร้ังแล้วคร้ังเล่า อุทกในเต้าก็หาไหลออกไปไม่ พราหมณ์วามนะ ทราบวา่ พระศกุ รเ์ ขา้ ไปคอยปดิ ทางนา้� จงึ เดด็ ยอดหญา้ คาตา� เขา้ ไป ในปากเต้าน�้า ถูกพระศุกร์เจ็บปวดเป็นก�าลัง ไม่สามารถที่จะปิด ทางน้�าไว้ได้ ท้าวพลีจึงรินน�้าออกอุทิศเป็นทักษิณาแก่พราหมณ์ ตามธรรมเนียมประเพณี ครงั้ หนงึ่ เกดิ สงครามแยง่ ชงิ นางดาราระหวา่ งพระจนั ทรก์ บั พระพฤหสั บดี พระศุกรใ์ นฐานะครขู องพระจนั ทร์ ไดช้ ักชวนพวก อสูรพวกแทตย์และพวกทานพยกก�าลังเข้าช่วยเหลือพระจันทร์ สว่ นพระพฤหสั บดไี ดก้ า� ลงั ของฝา่ ยพระอนิ ทรแ์ ละเทวดาชว่ ยเหลอื ต่างฝ่ายต่างเตรียมตัวท�าสงคราม ร้อนถึงพระพรหมต้องเข้ามา ระงบั เหตุ ดว้ ยการสงั่ ใหพ้ ระจนั ทรค์ นื นางดาราใหแ้ กพ่ ระพฤหสั บดี ผเู้ ป็นสามี มหากาพย์รามเกียรต์ิกล่าวว่า พระศุกร์เป็นอาจารย์ของ ทศกัณฐ์แห่งเมืองลงกา สมัยเกิดสงครามแย่งชิงนางสีดาระหว่าง พระรามกับทศกัณฐ์นั้น ทศกัณฐ์ได้อ้อนวอนให้พระศุกร์ช่วยคิด กลศึกให้ตนเอาชนะพระราม พระศุกร์จึงสอนมนต์คาถาและวิธี บูชายัญให้แก่ทศกัณฐ์ โดยแนะน�าให้ท�าพิธีชุบอาวุธให้เป็นเพลิง ครน้ั พระรามทราบเรอ่ื ง เกรงวา่ ไพรพ่ ลของพระองคจ์ ะเปน็ อนั ตราย จงึ ใชใ้ หอ้ งคตและหนมุ านไปขดั ขวางพธิ ชี บุ อาวธุ เพลงิ ของทศกณั ฐ์ เช่อื ว่าพระศุกรเ์ ป็นเทพเจ้าแหง่ ความรักและความสวยงาม 26

พมา่ รบั ความàªืèอ จากอินà´Õย บรรดาดินแดนสุวรรณภูมินั้น มีเพียงพม่าเท่าน้ันท่ีมีอาณา เขตติดกับอินเดีย จึงง่ายต่อการเดินทางติดต่อค้าขายกันและกัน และเป็นการง่ายท่ีจะรับความเช่ือมาจากอินเดีย แม้พม่าจะรับ ความเชื่อมาก็จริง แต่ก็ปรับเปล่ียนให้สอดคล้องกับความเชื่อเดิม ของตน ซง่ึ เดมิ ชาวพมา่ เชอ่ื เรอ่ื งผี เรยี กวา่ นตั ถอื วา่ เปน็ เทพารกั ษ์ ผู้ใหญ่คอยปกป้องคุ้มครองบ้านเมืองและผู้คน ครั้นความเชื่อ แบบพราหมณ์เขา้ มาพมา่ ก็เกิดการกลมกลนื กับความเช่ือของตน กลายเป็นวฒั นธรรมประเพณีสืบต่อมาถึงปจั จบุ นั ความเช่ือตามแบบพราหมณ์ในพม่าที่เด่นชัดคือเร่ือง โหราศาสตร์ ชาวพม่าเชื่อว่าเทพนพเคราะห์ของพราหมณ์นั้นมี ผลต่อการเปลย่ี นแปลงชะตาชวี ิตของมนุษย์ เพราะมีฤทธานภุ าพ ดว้ ยศักดาของเทพ เพราะทุกองคไ์ ดร้ บั ประทานพรจากพระอิศวร ประกอบกับมีการน�าเอาเรื่องราวของเทพนพเคราะห์ไปผสมกับ 27

ต�าราโหราศาสตร์ จึงท�าให้เทพนพเคราะห์ของพราหมณ์เป็นท่ี ร้จู ักแพร่หลาย ของคนทุกชนชัน้ เมื่อชาวพม่าเชื่อเร่ืองโหราศาสตร์ผสมกับเทพนพเคราะห์ อย่างเหนียวแน่นแล้ว จึงมีการแต่งเน้ือหาขึ้นมาอีกหลายอย่าง เสมือนเป็นพลงั สรา้ งความขลงั สมเหตสุ มผลมากขนึ้ ดว้ ยการเพ่มิ ก�าลังวันให้เทพนพเคราะห์แต่ละองค์อย่างชัดเจน และมีวิธีการ นับกา� ลงั วนั โยกย้ายไปตามจักรราศอี ย่างถกู ต้องแม่นย�า นอกจาก นั้น ยังมีพิธีส่งเทพนพเคราะห์ด้วย นัยว่าเป็นการสรรเสริญเพ่ือ แกเ้ คลด็ กรณเี จบ็ ไขไ้ ดป้ ว่ ยลม้ หมอนนอนเสอ่ื หรอื โชคชะตาตกอบั ผทู้ า� พธิ สี ง่ เทพนพเคราะห์ (พธิ สี ะเดาะเคราะหต์ อ่ ชะตา) คอื พระสงฆ์ พอนานวันท่านคงเห็นว่าสรรเสริญเทพนพเคราะห์ของ พราหมณม์ ากไป โดยทงิ้ ของดคี ือพระพทุ ธพจน์ จึงแตง่ พระคาถา ของพระพุทธศาสนาสอดแทรกเข้าไป ให้ตรงกับก�าลังวันตาม ความเชื่อของเทพนพเคราะหข์ องพราหมณ์ จงึ กลายเป็นพิธีกรรม สะเดาะเคราะหต์ ามแบบพม่า พิธีกรรมส่งเทพนพเคราะห์หรือการสะเดาะเคราะห์ของ พม่า โด่งดังเป็นท่ีรู้จักแพร่หลายหลายร้อยหลายพันปี ต่อมามี ผู้ฉลาดได้รวบรวมพิธีกรรมและพระคาถาเหล่านี้แต่งเป็นหนังสือ ชอื่ วา่ คมั ภรี ม์ หาทกั ษา หรอื เรยี กวา่ คมั ภรี โ์ หราศาสตรท์ กั ษา และ มีการศึกษาสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยเหตุน้ัน เทพนพเคราะห์ เดิมซ่ึงเป็นของพวกพราหมณ์อินเดีย ก็กลายรูปเปลี่ยนร่างเป็น ของพม่า ด้วยประการฉะน้ี 28

พิ¸Õกรรมสง่ ´าวนพàคราะห์áบบพมา่ คมั ภรี ม์ หาทกั ษาระบวุ า่ พธิ สี ง่ ดาวนพเคราะห์ ประกอบดว้ ย เครื่องบูชาและการสวดพระคาถา เครื่องบูชาคือ อาหารหวาน คาว ผลไม้และหมากพลูบุหรี่ จากนั้นนิมนต์พระเก้ารูปให้สวด พระคาถาตามก�าลังวัน ดังน้ี ๑) พระอาทิตย์ (อุเทตยัญ) ๖ จบ ๒) พระจันทร์ (ยันทุนนิมิตตัง) ๑๕ จบ ๓) พระอังคาร (ยัสสา นุภาวโต) ๘ จบ ๔) พระศุกร์ (ยัสสานุสสรเนนาปิ) ๒๑ จบ ๕) พระเกตุ (ชยันโต) ๕ จบ ๖) พระพุธ (สัพพาสีวิส) ๑๗ จบ ๗) พระราหู (กนิ นสุ นั ตร) ๑๒ จบ ๘) พระพฤหสั บดี (ปเู รนตมั โพธ)ิ ๑๔ จบ และ ๙) พระเสาร์ (ยโตหงั ภคนิ )ิ ๑๐ จบ นอกจากนัน้ ต้องปักธงพระอรหันต์ ๘ ทิศ ประกอบด้วย ๑) พระพุทธเจ้า ประจ�ากึ่งกลาง ๒) พระโมคคัลลานะอยู่ทิศเหนือ ๓) พระราหุล อยู่ทศิ ตะวนั ออกเฉียงเหนือ ๔) พระโกณฑัญญะอย่ทู ศิ ตะวันออก ๕) พระเรวตะอยู่ทศิ ตะวนั ออกเฉียงใต้ ๖) พระสารบี ตุ รอยูท่ ศิ ใต้ ๗) พระอบุ าลีอยูท่ ศิ ตะวนั ตกเฉียงใต้ ๘) พระอานนทอ์ ยทู่ ิศตะวนั ตก และ ๙) พระควมั ปตอิ ยูท่ ศิ ตะวนั ตกเฉยี งเหนือ 29

พระควัมปติ พระโมคคัลลานะ พระราหุล พระอานนท์ พระพุทธเจา้ พระโกณฑญั ญะ พระอุบาลี พระสารบี ุตร พระเรวตะ 30

Åา้ นนารบั ความàªือè µอ่ จากพม่า ก่อนท่ีอาณาจักรล้านนาจะถือก�าเนิดเกิดขึ้นนั้น บริเวณ ภาคเหนือท้ังหมดของประเทศไทยตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของพม่า โดยเฉพาะด้านคติความเชื่อ กษัตริย์พม่าผู้สร้างวัฒนธรรมอัน ย่ิงใหญ่พระนามว่าพระเจ้าอโนรธามังช่อ (อนุรุทธะก็เรียก) โดย เป็นการผสมผสานความเช่ือด้ังเดิมของชาวพม่า คติความเชื่อ แบบพราหมณ์ และพระพทุ ธศาสนาเถรวาทแบบมอญ หลอมรวม เป็นหนึ่งเดียว เรยี กกนั วา่ พระพทุ ธศาสนาแบบพุกาม พระสงฆ์พม่าท่ีเดินทางมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาบริเวณ ภาคเหนือของประเทศไทย ไม่ได้น�ามาเฉพาะหลักค�าสอนพระ พทุ ธศาสนาเทา่ นนั้ แตไ่ ดน้ า� เอาพธิ กี รรมและคตคิ วามเชอื่ แบบพมา่ ผสมพราหมณ์มาด้วย โดยเฉพาะความเชื่อเรื่องเทพนพเคราะห์ เปน็ เหตใุ หก้ ษตั รยิ แ์ หง่ อาณาจกั รลา้ นนา นา� คตคิ วามเชอื่ เหลา่ นไ้ี ป สร้างเมืองหลายต่อหลายเมือง ดังเช่น เมืองเชียงใหม่ ซ่ึงเป็น ศูนย์กลางของอาณาจักรลา้ นนา 31

เลา่ กนั วา่ การสรา้ งเมอื งเชยี งใหมม่ คี วามหมายเชงิ สญั ลกั ษณ์ กล่าวคือพื้นท่ีเมืองเป็นรูปจัตุรัสล้อมด้วยคูน้�า ส่ือถึงภาพจ�าลอง อาณาเขตจักรวาลอันศักด์ิสิทธ์ิ ส่วนพื้นที่เมืองเป็นรูปวงโค้งเป็น ส่วนหนึ่งของรูปหอยสังข์ เป็นสัญลักษณ์ความเป็นสิริมงคลและ ความอุดมสมบูรณ์ สอดคล้องกับลักษณะทักษิณาวรรตของดาว นพเคราะห์ตามระบบโหราศาสตร์ทักษา ส่วนเขตการใช้สอยภาย ในตวั เมอื ง กา� หนดใหป้ ระกอบดว้ ย ๓ เขต สอดคลอ้ งตามแผนภาพ วสั ดปุ รุ ษุ มณฑล อนั มพี นื้ ทวี่ า่ งศนู ยก์ ลางเมอื งเปน็ ทส่ี ถติ ของพรหม ปริมณฑลถดั มาเปน็ เขตของเทวดาและเขตของมนุษย์ตามล�าดบั ตอ่ มาพระพทุ ธศาสนาลัทธิลงั กาวงศเ์ ขา้ มาเผยแผย่ ังอาณา จักรล้านนา พระเถราจารย์คงพิจารณาเห็นว่าคติความเชื่อตาม ระบบโหราศาสตร์ทักษามอี ทิ ธพิ ลต่อสงั คมชาวล้านนา จึงปรับวธิ ี การให้สอดคล้องกับพระพุทธศาสนามากขึ้น ด้วยการแต่งคาถา พระอรหันต์ ๘ ทิศ ประจวบเหมาะกับสมัยนั้น พระสงฆ์ชาว ล้านนาแตกฉานในภาษาบาลียิ่งนัก มีพระสงฆ์แต่งคัมภีร์เป็น จา� นวนมาก จนมีการสังคายนาครัง้ แรกบนแผ่นดินไทย นอกจากนนั้ พระสงฆย์ งั สรา้ งคตกิ ารบชู าพระธาตุ เปน็ เหตุ ให้มีการสร้างพุทธเจดีย์เป็นจ�านวนมาก พร้อมสร้างสัญลักษณ์ให้ พระพุทธเจดีย์แต่ละแห่งประจ�าปีเกิด จนความเชื่อเหล่านี้แพร่ กระจายเป็นทรี่ ู้จกั แพรห่ ลายถึงสมยั ปัจจุบัน 32

คมั ÀรÕ ์ทกั Éา ¢องªาวàªÕยงãหม่ พญามังรายได้อพยพเคลื่อนย้ายผู้คนมาจากเมืองเชียงราย คร้ันเห็นบริเวณเมืองเชียงใหม่เป็นชัยภูมิเหมาะสมดี จึงสถาปนา ขึ้นเป็นเมืองหลวง เมื่อ พ.ศ.๑๘๓๙ การสร้างเมืองเชียงใหม่นั้น ไดผ้ สมผสานความเชอ่ื ดง้ั เดมิ กบั คมั ภรี ท์ กั ษาของพมา่ โดยตวั เมอื ง ออกแบบเป็นรปู สเี่ หลยี่ มจัตรุ ัสล้อมดว้ ยคนู �้า ส่วนพ้นื ท่ภี ายในท�า เป็นรูปหอยสังข์ตามลักษณะทักขิณาวัตรของดาวนพเคราะห์ ดงั ตอ่ ไปนี้ ๑) ทศิ ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื คอื พระอาทติ ยเ์ ปน็ ศรเี มอื ง ๒) ทศิ ตะวนั ออกคอื พระจนั ทรเ์ ปน็ มลู เมอื ง ๓) ทศิ ตะวนั ออกเฉยี ง ใต้คือพระอังคารเป็นอุตสาหเมือง ๔) ทิศใต้คือพระพุธเป็นมนตรี เมือง ๕) ทิศตะวันตกเฉียงใต้คือพระเสาร์เป็นกาลกิณีเมือง ๖) ทิศตะวันตกคือพระพฤหัสบดีเป็นบริวารเมือง ๗) ทิศตะวันตก เฉียงเหนือคือราหูเป็นอายุเมือง ๘) ทิศเหนือคือพระศุกร์เป็นเดช เมือง และ ๙) ทิศก่งึ กลางคอื พระเกตเุ ปน็ เกตุเมอื ง การต้งั ทิศตาม ดาวนพเคราะห์เชน่ นี้ถือวา่ ถกู ต้องตามคมั ภรี ์ทักษา 33

อายเุ มือง เดชเมอื ง ศรีเมอื ง บริวารเมอื ง เกตเุ มือง มูลเมอื ง กาลกิณเี มือง มนตรเี มอื ง อตุ สาหเมือง 34

35

36

พระอาทµิ ย์ 37

พระจนั ทร์ 38

พระองั คาร 39

พระราหู 40

พระàกµØ 41

¾Ãо¸Ø 42

พระàสาร์ 43

พระÈกØ ร์ 44

¾ÃоÄËÊÑ 45

46

47

คัมÀÕร์ทักÉา µามáบบพØท¸ คร้ันพญามังรายสวรรคตสิ้นแล้วหนึ่งศตวรรษคร่ึง พระ พุทธศาสนาลัทธิลงั กาวงศ์ได้เขา้ มาเผยแผใ่ นอาณาจักรล้านนาจน เจรญิ รงุ่ เรอื งมน่ั คงเปน็ ทร่ี จู้ กั แพรห่ ลาย พระเจา้ ตโิ ลกราชผศู้ รทั ธา เช่ือมั่นในพระบวรพุทธศาสนา จึงได้เปล่ียนผังเมืองเชียงใหม่ให้ สอดคล้องกับพระพุทธศาสนา โดยให้สร้างวดั สา� คัญในทศิ ทั้งแปด ของเมืองเชียงใหม่ตามหลักโหราศาสตร์แบบทักษา ได้แก่ ๑) วัดสวนดอกตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก ๒) วัดเจ็ดยอดต้ังอยู่ทางทิศ ตะวนั ตกเฉยี งเหนอื ๓) วดั เชยี งยนื ตง้ั อยทู่ างทศิ เหนอื ๔) วดั ชยั ศรภี มู ิ ต้ังอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ๕) วัดบุพพารามต้ังอยู่ทาง ทิศตะวันออก ๖) วัดชัยมงคลตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ๗) วัดนันทารามต้ังอยูท่ างทิศใต้ และ ๘) วดั ตโปทารามตั้งอยู่ทาง ทศิ ตะวนั ตกเฉยี งใต้ โดยมวี ดั เจดยี ห์ ลวงตงั้ อยกู่ งึ่ กลาง ซงึ่ แตล่ ะวดั ลว้ นมพี ระพทุ ธรปู คบู่ า้ นประดษิ ฐานอยปู่ ระจา� วดั ทกุ วดั โดยเฉพาะ วดั เจดยี ห์ ลวงมพี ระแก้วมรกตเป็นศนู ย์รวมใจของชาวเชยี งใหม่ 48


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook