สมบรู ณด์ ว้ ยศีล 49 เราอุตส่าห์ทำบุญ ก็ให้ได้บุญจริง ๆ ไมใ่ ชไ่ ดเ้ ลน่ ๆ หรอื วา่ ไดห้ ลอก ๆ กนั เมาบญุ เอาบุญมาหลอกกัน อย่าไปทำอย่างน้ัน ต้องได้รู้เองเห็นเอง ขั้นแรกต้องละบาป ซะก่อน อย่าไปทำบาปแล้วจะได้บุญ ละบาป ละการกระทำทไ่ี มด่ ี ละการพดู ทไ่ี มด่ ี ละเจตนา ท่ีไม่ดี การจะละได้ ก็ต้องมีสติ มีความรู้ตัว เตือนตนเองบ่อย ๆ ให้มารู้ทันเจตนาในใจ เมื่อละสิ่งไม่ดี ละการกระทำที่ไม่จำเป็น ออกไป ใจมันก็เบาสบายขึ้น มีความสุขข้ึน นี่แหละเรียกว่าการชำระจิต บุญเป็นชื่อของ การชำระจิต เป็นช่ือของความสุข ความเบา สบาย ความปลอดโปร่งโล่งใจ ส่วน โคจร คือ ที่เท่ียวไป ให้จิตไป รบั รอู้ ารมณต์ า่ ง ๆ ใหม้ นั ถกู ตอ้ งขน้ึ อารมณ์
50 ธรรมะ ๔ ประการทที่ ำใหอ้ ยู่ใกล้พระนพิ พาน ชนดิ ใดทไี่ ปรบั รแู้ ลว้ เปน็ เหตใุ หเ้ กดิ อกศุ ลเยอะ เกิดอกุศลบ่อย ก็ให้งดเว้น ดูหนัง ดูละคร ดูการละเล่นต่าง ๆ ดูข่าว ก็ดูตามสมควร คำว่า ตามสมควร ก็คืออย่าให้มันกลายเป็น อบายมุขไป อย่าให้มันเป็นส่ิงท่ีฉุดลากจิตใจ เราลงฝ่ายต่ำ ทำให้มันติดข้อง มันอดไม่ได้ ตอ้ งไปดู ตอ้ งไปฟงั ตอ้ งไปรว่ มวพิ ากษว์ จิ ารณ์ เหมือนเราอ่านหนังสือพิมพ์ เช้า ๆ มา เขาจะพาดหวั ขา่ ววา่ ยงั ไง มขี า่ วอะไรนา่ สนใจบา้ ง ไปดู ดูเสร็จก็สบายใจ วนเวียนอยู่อย่างน้ี ทุกวัน มันอดไม่ได้ โดนหลอกไปอ่าน อ่านแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรหรอก ไม่ได้อ่านรู้สึก เหมือนจะมีอะไร ก็ไปอ่านอีกแล้ว ก็ไม่เห็นมี อะไร อย่างน้ีเรียกว่าอโคจร โคจรไม่ดี ทำให้จิตหมกมุ่น เป็นอกุศล ฉะน้ัน เราจะ อ่านบ้างก็ได้ แต่อย่าให้มันกลายเป็นอบายมุข
สมบรู ณด์ ้วยศีล 51 จะดูทีวีบ้างก็ได้ แต่อย่าให้มันกลายเป็น อบายมุข จนเราขาดมันไม่ได้ ต้องไปติดตาม ในการฝึกฝน สิ่งไหนที่เราติดข้องอยู่ เราก็คอยดู อย่าไปทำตามมัน จิตมันอยาก มันต้องการ เราก็คอยดูมัน เวลาโดนเจ้านาย ว่ามา ต้องหาคนมาช่วยระบายหน่อย อย่างนี้ อย่าไปทำ เขาด่ามาแล้วก็แล้วไป ให้ดูใจ ตนเอง ไม่ต้องหาพวก เราทั้งหลายส่วนมาก ตัวเองผิดแต่ไม่ยอมรับ ต้องหาพวกท่ีเห็นว่า เราเป็นฝ่ายถูก ไปคุยกับฝ่ายที่เห็นด้วย กับเรา มันเป็นอย่างนี้ แบบน้ีไม่ควรทำ ฉะน้ัน ให้มี อาจารโคจรสัมปันโน เก่ียวกับการพูด การกระทำ และการไปดู ไปฟัง ดมกลิ่น ลิ้มรส สัมผัส ให้ละฝ่าย ที่เป็นเหตุให้เกิดอกุศล ถ้าอารมณ์อันไหน
52 ธรรมะ ๔ ประการที่ทำให้อยู่ใกลพ้ ระนพิ พาน บุคคลไหนท่ีเข้าไปหาแล้ว ละอกุศลได้ ละ ความเห็นผิดได้ เข้าใจความจริงมากขึ้น อย่างน้ีก็ควรเข้าไป บาลีลำดับต่อมา พระผู้มีพระภาคตรัส ว่า อณุมตฺเตสุ วชฺเชสุ ภยทสฺสาวี มีปกติ เห็นภัยในโทษมีประมาณเล็กน้อย ต้องเห็น ความน่ากลัวในความผิด ความไม่ดี แม้มี ประมาณเล็กน้อย โทษ คือ อกุศล กิเลส ต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึน ต้องเห็นมัน รู้มัน ถ้าผิด ไปแล้วก็ต้องเห็นโทษ ถ้าพูดไม่ดีไปแล้ว ก็รู้จักเห็นโทษ กิเลสเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ให้ เหน็ มนั เรายงั ละไมไ่ ดก้ ไ็ มเ่ ปน็ ไร ตอ้ งเหน็ มนั โดนหลอกก็ไม่เป็นไร แต่อย่าโดนหลอกบ่อย อย่าโดนหลอกตลอดกาล
สมบูรณ์ด้วยศลี 53 กิเลสตัวนี้มันหลอกเราได้ เราเห็นมัน แล้วละมันไปได้ อย่าให้มันหลอกตลอด ต้องเห็นมันแล้วก็ละมันไป เดี๋ยวตัวใหม่ก็มา อีกแล้ว เปล่ียนหน้าไปเรื่อย กิเลสมันก็ เปล่ียนไปเร่ือย โดยปกติ เราทั้งหลายจะโดน กิเลสตัวเดิม ๆ หลอกตลอด ลองไปสังเกตดู ถ้าโดนกิเลสตัวเดิม ๆ หลอกตลอด อย่างน้ี เรียกว่าไม่พัฒนา ต้องเป็นว่าตัวเดิมมัน หลอกเรามานานแล้ว เห็นมัน ละมันไป ตัวใหม่มาหลอก ก็เห็นมันอีก ละมันไปอีก พัฒนาไปเรื่อย กิเลสมันไม่หมดง่าย ๆ ไม่ต้องกลัวหมด กิเลสมันเยอะ ในข้ันต้น ท่านก็ให้สมาทานปฏิบัติตาม ขอ้ ฝกึ ฝนทง้ั หลาย สมาทาย สกิ ขฺ ติ สกิ ขฺ าปเทสุ สมาทานปฏิบัติในสิกขาบทท้ังหลาย ให้เป็น
54 ธรรมะ ๔ ประการทีท่ ำให้อย่ใู กล้พระนพิ พาน ผู้ปฏิบัติฝึกฝนอยู่กรอบของสิกขาบทท้ังหลาย อย่างฆราวาสเราข้ันต้นก็ให้มีสิกขาบท ๕ ฝึกฝนท่ีตัวเจตนา ดูให้เห็นเจตนา รู้ให้ทัน เจตนา ละเวน้ ตวั เจตนาทไ่ี มด่ ี อยา่ ใหม้ เี จตนา ทำร้ายเบียดเบียนคนอื่น โกรธเกิดข้ึนบ้าง ก็ได้ แต่อย่าไปมีเจตนาคิดเบียดเบียนใคร อย่าให้มีเจตนาอย่างน้ัน ถ้ามีเจตนาอย่างนั้น เกิดข้ึน อยากจะทำร้ายเขา ต้องเห็นมัน รู้ทันมัน แล้วละไป อย่าไปทำตาม เจตนาที่ จะลักขโมยเอาของคนอ่ืน คดโกง ฉ้อฉล เจตนาที่จะนอกใจสามีตนเอง นอกใจภรรยา ตนเอง จะหลอกลวงกนั เรอื่ งชสู้ าว ตอ้ งเหน็ มนั แล้วละไป จะชอบสาวอื่นบ้างก็ไม่เป็นไร แต่อย่านอกใจคู่ตนเอง เจตนาที่จะพูดโกหก อยากดื่มของมึนเมาส่ิงเสพติด ต้องเห็นมัน แล้วละไป อย่าไปทำตามกิเลส ให้สำรวม
สมบรู ณ์ดว้ ยศีล 55 ระวังเอาไว้ ถ้าไม่เห็น กิเลสเอาไปกินหมด ถ้ารุนแรงก็ล่วงสิกขาบท ก่อให้เกิดส่ิงไม่เป็น ประโยชน์ต่อตนเองและคนอื่นมากมาย น่ีเป็นธรรมะข้อท่ีหน่ึงท่ีจะทำให้เป็นผู้ที่ ไมเ่ สอ่ื ม เปน็ ผอู้ ยใู่ กลพ้ ระนพิ พาน เราทงั้ หลาย ก็ให้ไปฝึก ฝึกให้มีความรู้ตัว ให้รู้ทันจิตใจ ตนเอง เดี๋ยวมันคิด เด๋ียวมันนึก เด๋ียวมัน รู้สึกอย่างน้ันอย่างนี้ พอใจ ไม่พอใจ ให้รู้ทัน จิตใจเอาไว้ จะได้สามารถละเจตนาที่ไม่ดีได้ จะได้มีสังวร ถ้ายังไม่เห็น เราก็ทำกรรมฐาน อย่างใดอย่างหน่ึงที่เราชอบ ดูลมหายใจเข้า หายใจออก เดินไปเดินมา นั่งดูท้องพองยุบ ใช้ส่ิงเหล่านั้นเป็นกรรมฐาน เป็นที่ตั้งของการ ทำงานในด้านจิตใจ ให้ใจมันได้ทำงาน ต่อไป ก็จะได้เห็นจิตใจตนเอง อย่าเอาแต่ไปนอนแช่
56 ธรรมะ ๔ ประการที่ทำใหอ้ ยูใ่ กลพ้ ระนพิ พาน สงบ มีความสุขอยู่ การมีความสุขอยู่แล้ว นอนนิ่งเฉยอยู่ เรียกว่าเป็นคนประมาท เราท้ังหลายชอบเป็นค น ป ร ะ ม า ท ทำกรรมฐานใหม้ ันสงบ มคี วามสขุ ก็สบายใจ ประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว เขาว่าอย่างน้ี ไม่ทำอะไรต่อแล้ว น้ีเรียกว่า ประมาทไป ปรารถนาน้อยเกินเหตุ มีความสุขและสงบก็ ดีแล้ว ต้องฝึกต่อไปอีก ฝึกฝนเพ่ือให้เกิด ศีล เกิดสมาธิ เกิดปัญญา ไม่ใช่เพื่อเอา ความสงบ ถ้าจะเอาเพียงแค่ความสงบ ตอนท่ีไม่มี พระพุทธเจ้า เขาก็สอนกันเยอะอยู่แล้ว เรามาศึกษาพระพุทธศาสนา ศึกษาคำสอน ของพระพุทธเจ้า ก็ยังอยากจะเอาแต่สงบอยู่ อันนี้ก็ปรารถนาน้อยไปหน่อย เราไม่ได้ ต้องการแค่สงบแบบน้ัน ต้องการสงบจาก
สมบูรณด์ ว้ ยศีล 57 กิเลส ไม่ใช่ต้องการแค่ให้ใจสงบ ต้องการให้ กิเลสสงบ ให้มันละกิเลสได้ ให้กิเลสมันไม่ เกิดข้ึนมาอีก กิเลสมันจะสงบได้ด้วยปัญญา ปัญญาจะเกิดได้ด้วยมีสมาธิ สมาธิจะมีได้ เพราะว่าใจมีศีล มันมีตามลำดับอย่างน้ี เราท้ังหลายนั้นมีกิเลสเต็มตัว แต่ชอบ ไปหาวิธีทำให้ใจสงบ สงบแล้วก็สบายใจแล้ว อ ย่ า ง น้ั น ป ร ะ นี ป ร ะ น อ ม กั บ กิ เ ล ส เ กิ น ไ ป สักหน่อยมันจะเอาคืน วันนี้เครียดมากขอ เข้าห้องพระ สงบศึกก่อน อย่าเพ่ิงกระทบ อารมณ์ เดี๋ยวกระทบอารมณ์ค่อยว่ากันใหม่ มันเป็นอย่างนี้ เหมือนสามีภรรยา วันนี้สงบ ศึกกันก่อน วันหลังเอาใหม่ อย่างนี้ไม่ได้ เราต้องฝึกฝนให้กิเลสสงบ สงบจากกิเลส ฝึกฝนให้เกิดปัญญาละกิเลสได้ ถ้าไม่มี ปัญญากิเลสมันไม่สงบ
มี ๒ อินทรยี สงั วร ธรรมะข้อท่ี ๒ การคุ้มครองรักษา อินทรีย์ มีบาลีว่า กถฺจ ภิกฺขเว ภิกฺขุ อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวาโร โหต ิ อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขุ จกฺขุนา รูป ทิสฺวา น นมิ ติ ตฺ คคฺ าหี โหติ นานพุ ยฺ ชฺ นคคฺ าหี ยตฺวาธิกรณเมน จกฺขุนฺทฺริย อสวุต วิหรนฺต
60 ธรรมะ ๔ ประการท่ที ำใหอ้ ยู่ใกลพ้ ระนิพพาน อภิชฺฌาโทมนสฺสา ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อนฺวาสฺสเวยฺยุ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้มีทวาร อนั คมุ้ ครองแลว้ ในอนิ ทรยี ท์ ง้ั หลาย อยา่ งไรเลา่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรม วินัยน้ี เห็นรูปด้วยตาแล้ว เป็นผู้ไม่ยึดถือโดยนิมิต ไม่ยึดถือโดย อนุพยัญชนะ ซง่ึ หากวา่ ภกิ ษไุ มส่ ำรวมระวงั จกั ขนุ ทรยี อ์ ยู่ ก็จะเป็นเหตุให้บาปอกุศลธรรมท้ังหลาย คืออภิชฌาและโทมนัสเกิดขึ้นบ่อย ๆ ขอ้ นก้ี ใ็ ชอ้ นิ ทรยี ต์ ามปกตขิ องเรานนั่ แหละ ตามองเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกล่ิน ลิ้น รู้รส กายถูกต้องสิ่งสัมผัสทางกาย ใจก็ทำ หน้าท่ีคิดนึกรู้สึกไป เด๋ียวก็คิดดี เดี๋ยวก็คิด
มอี ินทรียสังวร 61 ไม่ดี มันเป็นธรรมชาติของใจ เด๋ียวก็หลง เดี๋ยวก็รู้ ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยรู้ ส่วนใหญ่ จะหลง น้ีเป็นธรรมชาติ เป็นปกติ เราก็ต้อง ฝกึ ใหค้ มุ้ ครองทวาร เมอ่ื มกี ารบั รอู้ ารมณต์ า่ ง ๆ การคุ้มครองทวาร คือ คุ้มครองจิต ไม่ให้เกิดบาปอกุศลหรือเกิดกิเลสข้ึน เมื่อมี การรับรู้อารมณ์ทางทวารทั้ง ๖ ถ้าเกิดบาป อกุศลหรือมีกิเลสเกิดข้ึนมาแล้ว ก็อย่าให้มัน ตัวโต ถ้ากิเลสตัวโตแล้วก็อย่าให้มันไปออก มาสู่การกระทำทางกาย ทางวาจา ทางใจ ถ้าออกมาทางกาย ทางวาจา ทางใจแล้ว ก็อย่าให้ล่วงสิกขาบท คุ้มครองระวังกันหลาย ชั้นเหลือเกิน แต่ถ้าล่วงสิกขาบทไปแล้วทำ ยังไงดี มันผิดไปแล้วก็ต้องแล้วกันไป ก็ฝึก เอาใหม่ สำรวมระวงั คราวตอ่ ไปอยา่ ใหเ้ กดิ อกี
62 ธรรมะ ๔ ประการท่ีทำใหอ้ ย่ใู กลพ้ ระนพิ พาน หรือให้ลดความผิดพลาดลง ห่างไกลจาก ความผิดพลาดมากข้ึน เราฝึกกันอย่างนี้ ฝึกเพื่อคุ้มครองทวาร ฝึกคุ้มครองจิตใจ ตนเองไม่ให้เกิดกิเลสครอบงำบ่อย ๆ สิ่งท่ีจะ มาคุ้มครองจิตก็คือสติสัมปชัญญะ ความรู้ตัว ความไม่ประมาท พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อิธ ภิกฺขเว ภกิ ขฺ ุ จกฺขุนา รูป ทิสวฺ า ดกู อ่ นภกิ ษุทง้ั หลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยน้ี เห็นรูปด้วยตาแล้ว ก็ปกติเราน่ีแหละ เห็นรูปทางตา ตาเป็น อนิ ทรยี ์ เปน็ ใหญใ่ นหนา้ ทกี่ ารมองเหน็ เหน็ รปู ไม่ใช่เห็นคน เห็นหญิง เห็นชาย ถ้าเห็น ผู้หญงิ เหน็ ผู้ชาย น่นั มันคิดต่อทางใจไปแล้ว น นมิ ติ ตฺ คคฺ าหี โหติ นานพุ ยฺ ชฺ นคคฺ าหี เป็นผู้ไม่ยึดถือโดยนิมิต ไม่ยึดถือโดย
มีอนิ ทรยี สงั วร 63 อนพุ ยญั ชนะ ไมย่ ดึ ตดิ เปน็ จรงิ เปน็ จงั ในนมิ ติ ไม่ยึดติด เป็นจริงเป็นจังในอนุพยัญชนะ ท่านสอนไม่ให้ยึดถือติดข้องจริงจัง ไม่ใช่ไม่ ให้รู้ ให้รู้เหมือนกันว่าเป็นรูป เป็นหญิง เป็นชาย สวย ไม่สวย เขามาดีมาร้ายก็ให้รู้ แต่ไม่ให้ยึดถือ ติดข้อง จริงจัง ถ้าไปยึด แล้วจะเกิดกิเลสขึ้น กิเลสเกิดขึ้นเพราะไป ยึดถือจริงจังกับส่ิงต่าง ๆ อย่างถ้าเห็น คนสวย พวกหนมุ่ ๆ ยดึ ถอื จรงิ จงั วา่ สาวสวย ตาสวย จมูกสวย อกสวย อย่างนี้กิเลสก็จะ เกดิ ขน้ึ เรยี กวา่ ไมส่ ำรวมจกั ขนุ ทรยี ์ ไมส่ ำรวม ทางตา ไม่ได้ระวังทางตา ราคะก็เกิด การรู้ว่า เป็นผู้หญิง ผู้ชาย สูง ต่ำ ดำ ขาว เป็นเร่ืองปกติธรรมดา ถ้ามีสติรู้ทัน ก็จะไม่ไปยึดในนิมิต แต่ถ้ารู้ไม่ทันก็จะเกิด
64 ธรรมะ ๔ ประการทท่ี ำให้อยู่ใกล้พระนิพพาน การยึดในนิมิตว่า เป็นคนจริง ๆ เป็นหญิง เป็นชายจริง ๆ เป็นหนุ่มหล่อจริง ๆ เป็นสาว สวยจริง ๆ เป็นเส้ือผ้าย่ีห้อนั้นย่ีห้อน้ีจริง ๆ ยี่ห้อน้ีดีจริง ๆ แพงจริง ๆ ทำให้มีหน้ามีตา จริง ๆ ยึดถือจริงจังเข้าไป อันน้ียึดเต็มที่ แล้ว กิเลสเกิดแน่นอนเลย ฉะนั้น การท่ีเรามองเห็น การรู้ว่าอะไร เป็นอะไร เห็นว่าเป็นหญิงเป็นชาย หมาว่ิงจะ มากัดเราแล้ว เราต้องวิ่งหนี อันน้ีเป็นเรื่อง ปกติ แต่ถ้าไปยึดถือจริงจัง กิเลสจะเกิดข้ึน สงิ่ ทส่ี วย นา่ ชอบใจ กเ็ กดิ ความรกั ความพอใจ อยากจะได้มัน ส่ิงท่ีไม่สวย ไม่น่าชอบใจ ก็เกิดโทสะ ไม่พอใจมัน อยากจะผลักท้ิงไป การที่เราไปยึดติดเห็นว่า มันเป็นจริง เป็นจัง คนนี้ดี คนน้ีไม่ดี คนนี้เจ้านาย
มอี ินทรียสังวร 65 คนน้ีลูกน้อง คนน้ีสำคัญ คนน้ีไม่สำคัญ จริง ๆ จัง ๆ นี้เป็นการติดนิมิต เราท้ังหลาย พากันติดในนิมิตอย่างนี้ กิเลสจึงเกิดขึ้นได้ บ่อย ๆ เดินไปซื้อของ เรามีเงินก็ทำตัวเป็น เจ้าคนนายคน พวกผู้ขายต้องเร็ว ๆ ช้าไม่ได้ ต้องตามใจฉัน เพราะฉันเป็นคนมาซื้อ ถ้า เปลี่ยนสถานะกัน ก็เปล่ียนความรู้สึกไปอีก นอกจากตดิ ในนมิ ติ แลว้ กย็ งั ตดิ ในอนพุ ยญั ชนะ ด้วย อนุพยัญชนะคือรายละเอียดปลีกย่อย ของสง่ิ นนั้ แบบนก้ี เิ ลสจะเกดิ ขนึ้ ทนั ที เหน็ เปน็ ผู้หญิง ผู้ชาย สวย ไม่สวย อย่างนี้ติดนิมิต ถ้าเลยไปยึดติดในรายละเอียด เป็นตาสวย ผมสวย ใส่เสื้อย่ีห้อน้ันยี่ห้อนี้ อย่างน้ีติด อนุพยัญชนะ
66 ธรรมะ ๔ ประการทที่ ำให้อยู่ใกลพ้ ระนิพพาน ถ้าคนด่าเรา เราก็รู้ว่าเขาด่า เราไม่ ยึดถือจริงจัง มันก็ไม่เป็นไร ใครจะไม่รู้ว่า คนด่าบ้าง คนด่าเราก็รู้ เขาพูดอย่างน้ีแสดง ว่าเขาด่าเรา เราไม่ยึดติดจริงจังกับคำพูดน้ัน กิเลสก็ไม่เกิด แต่ถ้าเรายึดจริงจังว่า คนนี้มัน ด่าเรา ด่าว่าไม่ได้เร่ืองอย่างน้ันอย่างน้ี กิเลส เริ่มมาแล้ว ถ้าลึกซ้ึงลงไปอีกว่า ด่าเราจนถึง ต้นตระกูลเราเลย อย่างน้ีบาปอกุศลมันเกิด ขึ้นมามาก กิเลสมันโตข้ึนเร่ือย ๆ เพราะเรา หลงยึดติดในนิมิตและอนุพยัญชนะ คำว่า ยึดถือ ยึดติด หมายถึง เห็น มันเป็นของจริงจัง ไม่ปล่อยไป เขาชม เราก็ รู้ว่าเขาชม ชมแล้วก็แล้วไป ไม่เห็นเป็นไร แต่ถ้าไปยึดเป็นจริงเป็นจัง เราก็พอง เกิด ความสำคัญตนหรือหลงชอบคนที่ชมไปอีก
มอี นิ ทรยี สังวร 67 ถ้าลงรายละเอียดของการชมไปว่า เขาชม เรื่องโน้นเร่ืองน้ี เป็นคนดีอย่างนั้นอย่างน้ี กิเลสเอาไปกินหมด หลงไปท่ัว ถูกเสียงที่มา ทางหูหลอกเรียบร้อยแล้ว เราท้ังหลายก็พากันเป็นอย่างนี้กันหมด เพราะเราไม่ได้ฝึกฝน ศีลจริง ๆ ก็ไม่มี การคุ้มครองทวารในอินทรีย์ก็ไม่มี กิเลสก็ เกิดขึ้นอยู่บ่อย ๆ หลงชอบ หลงชัง อยู่เป็น ประจำทีเดียว แต่เวลาพูดถึงการปฏิบัติธรรม เขาอยากจะเจริญวิปัสสนา อยากจะบรรลุ อินทรียสังวรหรือการคุม้ ครองทวารยงั ไมม่ ีเลย แต่อยากจะบรรลุแล้ว มีอะไรวูบ ๆ วาบ ๆ เกิดขึ้น ก็นึกว่าบรรลุธรรม เพราะเขาอยาก จะบรรลุอยู่แล้ว บรรลุอะไรก็ไม่รู้ กิเลสเท่า เดิมเลย ฉะนั้น อย่าเพ่ิงรีบบรรลุก็ได้ ขอให้
68 ธรรมะ ๔ ประการทีท่ ำให้อยใู่ กลพ้ ระนิพพาน กิเลสลดก็ใช้ได้แล้ว กิเลสลด ทุกข์ก็ลด ความเร่าร้อนในใจน้อยลง มีความสุขข้ึน เบาสบายข้ึน อย่างนี้ก็พอใช้ได้ บรรลุธรรม แล้วก็ยังไปว่าคนอ่ืนเขาอยู่ อย่างนั้นอย่าเพิ่ง ไปเอา เรายังไม่ต้องพูดถึงวิปัสสนาข้ันสูง ๆ ได้ญาณโน้นญานน้ี อะไรก็ได้ เอาแค่นี้ก่อน แค่ให้มีศีล มีทวารอันคุ้มครองในตอนท่ีเป็น อินทรีย์ ให้รู้เท่าทัน อย่าให้กิเลสมันโต อย่าไปล่วงละเมดิ สกิ ขาบท กพ็ อใช้ได้ ตาเห็น รปู แลว้ รแู้ ลว้ วา่ เปน็ หญงิ เปน็ ชาย เปน็ คนนน้ั คนนี้ เขาด่า เขาว่ายังไง ก็อย่าไปยึดถือ อย่าไปจริงจัง อย่าไปใส่ใจคนอื่นมาก อย่าไป สนใจรายละเอียดให้มันมาก
มีอนิ ทรยี สงั วร 69 ถ้าตามองเห็นรูป หูได้เสียงแล้ว กิเลส เกิดข้ึน กิเลสก็เป็นอารมณ์ชนิดหนึ่ง เรียกว่า ธัมมารมณ์ อารมณ์ที่รับรู้ได้ทางใจ ก็ให้มี สติรู้ว่า กิเลสเกิดข้ึนแล้ว ถ้ารู้ว่ากิเลสเกิดขึ้น มันก็ไม่ตัวโต ถ้าไม่รู้มันก็โตข้ึน ๆ ตาเห็นรูป แล้ว เราไปยึดในนิมิต อันนี้เร่ิมหลงไปทางใจ แล้วไปยึดในอนุพยัญชนะ ตอนแรกกิเลส ตัวเล็ก ๆ เองนะ เมื่อหลงปรุงแต่งทางใจ นานเข้า กิเลสก็โตข้ึน นี่นานมากเหมือนกัน แต่ทำไมรสู้ ึกว่ามันเร็ว เพราะเรามัวแต่หลงอยู่ มันขาดสติ ฉะนั้น ให้มีสติที่ว่องไวเข้าไว้ ถ้ามีสติอย่างรวดเร็ว ก็จะสามารถรู้ทัน แยกอารมณ์ภายนอกกับจิตใจภายใน ได้เห็น กระบวนการทำงานของมนั ไดเ้ หน็ กระบวนการ รบั รู้ ไดเ้ หน็ กระบวนการตอบสนองตอ่ อารมณ์ ต่าง ๆ แล้วกิเลสเกิดข้ึนมาได้อย่างไร
70 ธรรมะ ๔ ประการทีท่ ำใหอ้ ย่ใู กล้พระนิพพาน คำว่า นิมิต คือ ลักษณะหยาบ ๆ กว้าง ๆ รวบรัด เป็นคน เป็นหญิง เป็นชาย สวย หล่อ สูง ต่ำ ดำ ขาว เป็นหมา เปน็ แมว ถา้ เปน็ เรอื่ งคำพดู กเ็ สยี งดา่ เสยี งชม เสียงเพราะ เสียงไม่เพราะ ทางทวารอ่ืน ๆ ก็ทำนองเดียวกัน เรารับรู้นิมิตได้ตามปกติ แต่อย่าไปยึดในนิมิต ส่วนอนุพยัญชนะ คือ รายละเอยี ดปลกี ยอ่ ยของสงิ่ เหลา่ นน้ั ถา้ คนสวย ก็มีรายละเอียดเป็นคิ้วสวย ตาสวย จมูกโด่ง คำด่าก็มีรายละเอียด ด่าว่าเป็นหมูเป็นหมา เป็นต้น เราทั้งหลายก็พากันยึดติดจริงจังกับ สิ่งเหล่าน้ี เห็นทางตา ได้ยินทางหู ดมกล่ิน ทางจมูก ล้ิมรสทางลิ้น สัมผัสทางผิวกาย คิดนึกรู้สึกทางใจ ก็หลงจริงจังไปหมด ทวาร
มอี นิ ทรียสงั วร 71 ไม่ได้คุ้มครอง เรียกว่า ไม่สำรวมอินทรีย์ เมื่ออินทรีย์ไม่ได้สังวร บาปอกุศลกรรมก็จะ เกดิ ขน้ึ บอ่ ย ๆ เกดิ ตลอด เกดิ แทบทกุ อารมณ์ ท่ีกระทบเข้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า ยตฺวาธิกรณเมน จกฺขุนฺทฺริย อสวุต วิหรนฺต อภิชฺฌาโทมนสฺสา ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อนฺวาสฺสเวยฺยุ ซึ่งหากว่า ภิกษุไม่ สำรวมระวังจักขุนทรีย์อยู่ ก็จะเป็นเหตุให้ บาปอกุศลธรรมทั้งหลายคืออภิชฌาและ โทมนัสเกิดข้ึนบ่อย ๆ บาปอกุศลธรรมท้ังหลาย คือ อภิชฌา และโทมนัส ความยินดีและความยินร้าย ความชอบ ความไม่ชอบ ความต้องการ ความไม่ต้องการ ความอยากได้ ความอยาก จะผลักท้ิง ก็จะเกิดข้ึนบ่อย ๆ วันหนึ่ง ๆ
72 ธรรมะ ๔ ประการท่ีทำให้อยู่ใกลพ้ ระนพิ พาน เราท้ังหลายกิเลสเกิดเยอะไหม ถ้าเห็นกิเลส เยอะก็เปน็ นิมติ หมายทีด่ ี จะสามารถละกเิ ลส ได้ ถา้ ไมเ่ หน็ กเิ ลสเลยกแ็ สดงวา่ กเิ ลสเยอะมาก ไม่ใช่เยอะธรรมดา กิเลสเยอะแถมยังไม่รู้ อีกด้วย ถ้าเห็นกิเลสเยอะก็แสดงว่าใช้ได้อยู่ ได้รู้และจะได้ฝึกฝนเพื่อละต่อไป ให้เห็น กิเลส กิเลสจึงจะน้อยลง กิเลสจึงจะสงบได้ กิเลสท้ังหลายละได้ด้วยปัญญา ปัญญา คือ การเห็น การรู้ ตามที่เป็นจริง ตอนแรกละ ความเหน็ ผดิ กอ่ น ตอ่ มากล็ ะความยดึ มนั่ ถอื มนั่ น้ีเป็นธรรมะข้อที่สอง อินฺทฺริเยสุ คุตฺต ทวฺ าโร โหติ เป็นผู้มีทวารอันคุ้มครองแล้วใน อินทรีย์ท้ังหลาย เวลาตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นรู้รส กายสัมผัสสิ่งถูกต้อง ผิวกาย ใจคิดนึกรู้สึก อย่าไปติดในนิมิต
มีอินทรยี สังวร 73 อย่าไปติดในอนุพยัญชนะ เวลาเราคิดดีบ้าง คิดไม่ดีบ้างก็ไห้รู้ คิดดีเราก็ต้องรู้อยู่แล้ว คิดไม่ดีก็ต้องรู้อยู่แล้ว รู้แล้วอย่าไปยึดถือ จริงจังกับมัน รู้ว่ามันคิดแล้วมันก็ผ่านไป คิดดีก็ผ่านไป คิดไม่ดีก็ผ่านไป อันน้ีเรียกว่า ไม่ติดในนิมิต ถ้าคิดไม่ดี แล้วเกิดความยึดติดจริงจัง ขน้ึ มา เราไมน่ า่ เลย อตุ สา่ หเ์ ปน็ คนดไี ดต้ ง้ั นาน ทำไมเป็นคนเลวอย่างน้ี มารโผล่มาอีกแล้ว เราน่ีไม่ได้เร่ืองเลย อย่างนี้เรียกว่าไปติดใน นมิ ิตแลว้ ติดในความคดิ ว่ามนั เป็นจรงิ เปน็ จัง ความคิดมันไม่ได้เป็นจริงเป็นจังอะไร ไม่ใช่ ตัวตนอะไร ไม่เคยมีตัวตนใด ๆ ในขันธ์ห้า และไมม่ ตี วั ตนนอกขนั ธห์ า้ เลย แตเ่ ราไปจรงิ จงั
74 ธรรมะ ๔ ประการทีท่ ำให้อยู่ใกล้พระนิพพาน การท่ีรู้ว่าเราคิดดีบ้าง คิดไม่ดีบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง สงบบ้าง ฟุ้งซ่านบ้าง มันไม่เป็นไร มันเป็นเร่ืองธรรมดา ใครคิดไม่ ดีแล้วไม่รู้ว่าตัวเองคิดไม่ดี ก็เกินคนไป แต่การไปยึดถือจริงจัง น่ีมันหลงไปแล้ว ขาดสติไปแล้ว ไม่ได้สำรวมทางใจ ฝ่ายดีก็ เหมือนกัน ความคิดดีเกิดขึ้น เราก็ต้องรู้อยู่ แล้วว่าคิดดี ก็ปล่อยมันไป ถ้าไปยึดม่ัน ถือม่ันจริงจังขึ้นมา ก็สำคัญว่าเราเป็นคน ดีแล้ว เราถูกต้องแล้ว อย่างนี้ยึดในนิมิต หลงไปอีกแล้ว ไม่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นให้รู้มัน ให้มีสติ อย่าไปหลงยึดในนิมิต อย่าไปหลงยึดใน อนุพยัญชนะ ถ้าหลงแล้ว บาปอกุศลธรรม ท้ังหลาย คือ อภิชฌาโทมนัส ท้ังฝ่ายยินดี
มอี นิ ทรยี สังวร 75 ฝ่ายยินร้าย อย่างใดอย่างหนึ่งจะเกิดขึ้น ถ้าฝ่ายยินดี ก็จะเกิดความอยากได้ ความ ต้องการ ความติดข้อง ได้มาแล้วก็หวงแหน ฝ่ายไม่ดีก็จะไม่ชอบ เกิดความหงุดหงิด ผลักใสมัน ไม่อยากได้มัน ความรู้สึกชอบ ไม่ชอบอย่างก็จะเกิดขึ้นมาบ่อย ๆ แต่ถ้ากิเลสเกิดข้ึนแล้วทำยังไง ก็ต้อง ดูมัน อย่าให้มันโต ถ้าไม่เห็นมัน มันก็โตข้ึน เร่ือย ๆ ถ้าเราหลงแล้ว ก็อย่าหลงไปทำอะไร ให้มันยุ่งยากซับซ้อนไปกว่าเดิม ให้รู้ว่ามัน หลงไป มันจะได้ไม่โต โดยส่วนใหญ่เราชอบ หลงไปทำน่ันทำน่ีตั้งนาน กลัวกิเลส กลัว โทสะมันจะโต กลัวความโกรธมันจะโต ไปหาวิธีทำอย่างน้ันอย่างนี้ ความโกรธมัน เกิดและดับต้ังนานแล้ว ส่วนที่โตกว่า คือ
76 ธรรมะ ๔ ประการท่ีทำให้อยใู่ กลพ้ ระนพิ พาน ความหลง หลงไปทำตามมัน หลงไปห้าม ความโกรธ หลงไปเกลียดความโกรธ จะฆ่า ความโกรธ ความโกรธเกิดขึ้นแล้วมันก็ดับ ไปแล้ว ไปหาวิธีไม่ให้มันเกิด อันน้ีความหลง ตัวโตแล้ว กิเลสมีหน้าตาหลากหลายเหลือเกิน เราทั้งหลายปฏิบัติธรรมไม่ต้องกลัวหมดกิเลส ให้เห็นมันเยอะ ๆ เข้าไว้ ไม่ต้องไปยุ่งกับ คนอื่น ดูตัวเองเป็นหลัก พวกมีกิเลสครบ เรียกว่าพวกปุถุชน พร้อมท่ีกิเลสจะเกิดขึ้น ได้เสมอ เราจึงต้องหม่ันฝึกฝนให้มีสติเอาไว้ เมื่อกิเลสเกิดข้ึนจะได้รู้ทัน น่ีธรรมะข้อท่ีสอง เป็นผู้คุ้มครองทวาร ในอินทรีย์ มีสติคุ้มครองจิตไม่ให้ถูกบาป อกุศลครอบงำบ่อย ๆ เมื่อรับรู้อารมณ์
มอี ินทรยี สังวร 77 ทำแบบนี้ได้จะเป็นผู้ท่ีไม่เส่ือม และชื่อว่าอยู่ ใกล้พระนิพพานแล้ว ไม่ต้องไปทำอย่างอ่ืน ไมต่ ้องไปหาว่าวิธีนน้ั จะดี วิธีนจ้ี ะเร็ว คนไหน ที่เขามาบอกว่า ทำอย่างน้ีดีจะได้เร็ว ก็อย่า ไปหลงทำตามเขา ถ้าหลงทำตามความอยาก ความหลงมันก็ตัวโตขึ้น รู้ไม่ทันความหลง บาปอกศุ ลมนั กเ็ อาไปกนิ หมด ใหร้ จู้ กั ตวั เองไว้ ถึงครูบาอาจารย์ท่านจะบรรลุไป เราก็ ไม่ได้บรรลุด้วย พระพุทธเจ้าตรัสรู้ไปตั้งนาน แล้ว ทำไมเราจึงมาน่ังอยู่น่ี พระพุทธเจ้าสอน ให้บรรลุทั้งนั้น ทำไมเราไม่ยอมบรรลุ เรา ท้ังหลายชอบหวังผลลม ๆ แล้ง ๆ ใครให้ ความหวังอะไรเราก็เข้าท่าตลอด อะไรท่ีได้มา ง่าย ๆ โดยไม่ต้องลงแรง จะเอาอยู่เรื่อย แต่การปฏิบัติธรรม การฝึกฝนเพ่ือละกิเลส
78 ธรรมะ ๔ ประการทที่ ำให้อยูใ่ กล้พระนพิ พาน มันไม่ใช่อย่างน้ัน ต้องลงทุนลงแรง ฝึกสติ รู้กาย รู้ใจ ให้ฝึกสติ อย่าไปทำอะไรมัน ไม่ใช่ไปฆ่ามัน ไม่ใช่ไปตีมัน การคุ้มครองทางทวารอ่ืน ๆ บาลีก็ เหมือนกัน เปลี่ยนการรับรู้ไปตามสมควรแก่ ทวารน้ัน ๆ คือ โสเตน สทฺท สุตฺวา ... ฟังเสียงด้วยหูแล้ว ... ฆาเนน คนฺธ ฆายิตฺวา ... ดมกล่ินด้วยจมูกแล้ว ... ชิวฺหาย รส สายิตฺวา ... ล้ิมรสด้วยลิ้นแล้ว ... กาเยน โผฏฺพฺพ ผุสิตฺวา ... กระทบสัมผัสด้วยกายแล้ว ... มนสา ธมฺม วิฺาย ... รู้แจ้งธรรมะด้วยใจแล้ว
มีอนิ ทรียสงั วร 79 ให้เป็นผู้ท่ีไม่ติดในนิมิต ไม่ติดยึดใน อนุพยัญชนะ ให้มีสติ รู้เท่าทัน ถ้าไปยึดใน นิมิต ยึดในอนุพยัญชนะ บาปอกุศลธรรม ทง้ั หลาย คอื ความยนิ ดยี นิ รา้ ยและกเิ ลสตา่ ง ๆ ก็จะเกิดข้ึนอยู่เสมอ
๓ ม ี ปญั ญารู้จักประมาณในโภชนะ ตอ่ ไป ธรรมะขอ้ ทสี่ าม โภชเน มตตฺ ฺ ู โหติ เป็นผู้รู้จักประมาณในโภชนะ ประมาณ คือ ความพอดี ความพอเหมาะ พอสมควร แก่เหตุ พอดี หมายความว่า พอที่จะทำให้ ดำรงชีวิตอยู่ได้ พอให้ร่างกายเป็นไปได้ ปฏบิ ัตธิ รรมะได้ ไมร่ งุ รังจนเกนิ ไป ไมว่ ุ่นวาย เกินเหตุ ไม่ก่อให้เกิดความติดข้อง ไม่หว่ งใย กังวล นี้เปน็ ลกั ษณะของปัญญาอย่างหนง่ึ
82 ธรรมะ ๔ ประการทที่ ำให้อยใู่ กล้พระนิพพาน ค น ไ ห น ที่ มี ส่ิ ง ข อ ง รุ ง รั ง เ ย อ ะ แ ล้ ว มีเรื่องให้ห่วงกังวลเยอะ ก็ต้องจัดการตาม สมควร คำว่า จัดการ น้ีก็ไม่ใช่จัดการเอาไป โยนท้ิง จัดการตัวเราเองท่ีไปยึดถือเอามาให้ เป็นเร่ืองยุ่งยาก แต่ถ้าได้มาแล้ว อันน้ีก็ต้อง ดูแลกันไปตามสมควร ให้มันพอเป็นไปได้ ในท่ีน้ีพระพุทธเจ้ายกตัวอย่างเรื่องอาหาร โดยปกติท่านก็จะกล่าวถึงปัจจัยส่ี โดยเฉพาะ ของพระภิกษุ อาหารบิณฑบาต เคร่ืองนุ่งห่ม ทอ่ี ยอู่ าศยั ยารกั ษาโรค และสงิ่ อน่ื ๆ ทจี่ ำเป็น สำหรับการมีชีวิตอยู่ ทุกวันน้ี เราทงั้ หลายมี เยอะมาก ทวี ี วทิ ยุ คอมพวิ เตอร์ อนิ เตอรเ์ นต็ โทรศพั ทม์ อื ถอื รถยนต์ มนั เยอะ พูดไม่ไหว พระพทุ ธเจา้ บอกวา่ ปจั จยั มสี เ่ี ทา่ นนั้ เอง แค่สี่อย่างก็สามารถมีชีวิตรอดได้ ปฏิบัติ ธรรมได้ คำว่า ปัจจัย หมายถึง ส่ิงกันตาย
มีปญั ญารู้จกั ประมาณในโภชนะ 83 ไม่ให้ตาย ให้พอเป็นไปได้ ถ้าขาดแล้วมันจะ ตาย อยู่ไม่ได้ ถ้าเราขาดอาหาร ร่างกายอยู่ ไม่ได้ มันตาย ขาดเคร่ืองนุ่งห่มก็ไม่ได้ เด๋ียวหนาวตาย ขาดที่อยู่อาศัยก็ไม่ได้ เดี๋ยว ยุงกัดตาย งูกัดตาย ตากฝนเด๋ียวเป็นหวัด ขาดยารักษาโรคก็ไม่ได้ เดี๋ยวป่วยตาย เรียกว่าปัจจัย เครื่องกันตาย สิ่งอ่ืนท่ีไม่ใช่ เคร่ืองกันตาย ไม่ได้เรียกว่าปัจจัย ไม่จำเป็น ขนาดนนั้ เรากต็ อ้ งลองมาดู ดวู า่ สามจี ำเปน็ ไหม มีแล้วตายหรือเปล่า ไม่มีแล้วตายหรือเปล่า โทรศัพท์มือถือ มีแล้วตายไหม ไม่มีแล้ว ตายไหม ถ้าไม่มีแล้วไม่ตาย ไม่ได้เป็นปัจจัย มีก็ได้ ไม่มีก็ได้ ทุกวันนี้ เราน้ีมีเยอะไปหมด แถมดูเหมือนว่าจะขาดไม่ได้ซะด้วย แต่ก่อน ไม่มีโทรศัพท์ ก็พออยู่ได้ ไม่ตาย ตอนน้ี ไม่มีแล้วเป็นอย่างไรบ้าง
84 ธรรมะ ๔ ประการท่ีทำใหอ้ ย่ใู กลพ้ ระนพิ พาน พระพุทธเจ้าแสดงปัจจัยไว้แค่สี่อย่าง ความจริงมันเป็นอย่างน้ัน ถ้าเกินกว่าน้ัน ไปแล้ว แสดงว่าให้เห็นว่ากิเลสมันไม่ยอม โดยความจริง เราไม่มีโทรศัพท์มือถือก็ได้ ไม่ตาย แต่ถ้าขาดข้าวคงไม่ได้ แต่ทุกวันนี้ ลองดูก็แล้วกันว่า ขาดอะไรแล้วมันจะตาย บางคนก็เลยเถิดไปมาก ทำแต่งาน ขาดงาน ก็จะเป็นจะตาย จนไม่มเี วลาจะกนิ ข้าวอยู่แลว้ ท้ัง ๆ ท่ีขาดงานมันไม่ตาย ขาดข้าวต่างหาก ถึงตาย บางคนก็อยู่คนเดียว เหงาจะตาย อยู่แล้ว ความจริง ขาดข้าวถึงจะตาย ไม่ใช่ ขาดแฟนแล้วตาย ฉะน้ัน เราก็ดูเอาตาม ความเหมาะสม ให้มีปัญญารู้ประมาณ การจะมีปัญญารู้จักประมาณ รู้จัก ความเหมาะสมพอดี เราต้องรู้เท่าทันจิตใจ ตนเอง ละความยินดียินร้ายในส่ิงต่าง ๆ
มีปัญญารจู้ กั ประมาณในโภชนะ 85 ออกไป จงึ จะเกดิ ปญั ญา มองเหน็ ความจรงิ ได้ ถา้ ไปหลงยนิ ดี หลงยนิ รา้ ย จะไมเ่ กดิ ปญั ญาเลย เพราะใจมีแต่อคติ เต็มไปด้วยอคติ ส่ิงไหน ที่เราชอบ อยากได้ ก็คิดว่ามันจำเป็น เหลือเกิน เหมาะกับเราเหลือเกิน เช่น เราดู รถยนต์ ก็ดูคันที่สวย ๆ คันน้ีเหมาะกับเรา จำเป็นท่ีสุดแล้ว อยากได้เหลือเกิน โดย ความจริง ก็คือ ต้องให้เหมาะกับฐานะของ เรานั่นแหละ ตามความจำเป็น เพราะรถยนต์ เอาไว้ใช้ในการเดินทาง ไม่ใช่เอาไว้อวดโก้ หรือให้รู้สึกภูมิใจไปวัน ๆ เราจึงต้องรู้เท่าทันความยินดีและความ ยินร้ายในใจ ส่ิงนี้มันเอามาสนองอัตตาตัวตน ได้มาแล้วรู้สึกเราสำคัญ รู้สึกเราหน้าใหญ่ รู้สึกเรามีชีวิตชีวา อย่างนี้เรียกว่า เราหลง ยนิ ดแี ลว้ บางครง้ั กห็ ลงยนิ รา้ ย ไมช่ อบแบบนี้
86 ธรรมะ ๔ ประการท่ีทำใหอ้ ยูใ่ กล้พระนพิ พาน ไม่เอาแบบนี้ ต้องแบบอื่น ห้องนอนเรามัน ดูว่างเหลือเกิน สักหน่อยไปเอาซ้ือหมีมา เอามานอนกอด ต่อไปก็เต็มห้อง น่ีไม่มี ปัญญารู้ประมาณ หากไม่มีปัญญา การทานอาหารก็จะ เป็นการทานด้วยอำนาจกิเลส เป็นการทาน เพราะอร่อย ไม่ได้ทานเพราะหิว ไม่ใช่กาย มันหิว กายมันทุกข์ ทานแก้ทุกข์ แต่กิเลส มันหิว ทานไป ไม่ใช่กายอ่ิม แต่กิเลสมัน พอใจแล้ว ส่วนใหญ่เราทั้งหลายทำตามกิเลส จึงวนเวียนไม่ส้ินสุด เวลาทำตามกิเลสดู ง่าย ๆ ก็คือว่า ถ้าได้ทำตามมันแล้วก็ สบายใจไปพักหน่ึง ถ้าไม่ได้ทำตามมันแล้วใจ จะขาด ความอยากเกิดขึ้น มันก็ทำให้เรา กระวนกระวาย ใช้ให้เราไปทำ พอทำตามมัน ก็สบายใจพักหนึ่ง สักหน่อยมันก็เอาเร่ือง
มปี ัญญารจู้ ักประมาณในโภชนะ 87 ใหม่มาอีกแล้ว วนเวียนไปมา การเก่ียวข้อง กับวัตถุส่ิงของต่าง ๆ ก็เช่นเดียวกัน หากทำ ตามกิเลส ก็จะมีสิ่งของท่ีไม่จำเป็นเยอะ ทำให้เหนื่อยในการแสวงหา และยากลำบาก ในการเก็บรักษา กิเลสมันชอบครอบครอง ชอบทำตัวเป็นเจ้าของ ก า ร ที่ จ ะ เ กิ ด ปั ญ ญ า รู้ จั ก ป ร ะ ม า ณ ก็ไม่ใช่จะทำได้ข้ึนมาลอย ๆ ไปอ่านหนังสือ ว่าต้องทำอย่างนี้ ๆ แล้วจะทำได้ ไม่ใช่ อย่างน้ัน ต้องฝึกฝนให้มีสติสัมปชัญญะ มีปัญญารู้ทัน จึงจะละส่ิงที่เกินความจำเป็น ออกไปได้ วิธีการสำหรับตอนเร่ิมต้น คือ เราทำช้า ๆ หน่อย อย่าเพ่ิงรีบทำตามความ ยินดียินร้าย เช่น เส้ือผ้า เราเดินตามห้าง ชอบก็ซื้อมาเลย ต่อไป เราต้องฝึกดูจิตใจ ตัวเอง อย่าเพ่งิ รีบซือ้ อยากไดใ้ ห้รู้วา่ อยากได้
88 ธรรมะ ๔ ประการท่ที ำให้อยู่ใกล้พระนิพพาน เดนิ ไปเดินมาหลาย ๆ รอบ ให้มันเลิกอยาก ใจเป็นกลางก่อนค่อยว่ากัน อย่าไปทำตาม ความอยาก ในท่ีน้ี พระพุทธเจ้าแสดงเรื่อง อาหาร เรื่องอ่ืน ๆ เราไปฝึกกันเอาเอง พระองค์ตรัสว่า กถจฺ ภกิ ขฺ เว ภกิ ขฺ ุ โภชเน มตตฺ ฺ ู โหติ อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขุ ปฏิสงฺขา โยนิโส อาหาร อาหาเรติ เนว ทวาย, น มทาย, น มณฺฑนาย, น วิภูสนาย, ยาวเทว อมิ สฺส กายสฺส ติ ยิ า ยาปนาย, วหิ สึ ุปรตยิ า, พฺรหฺมจริยานุคฺคหาย, อิติ ปุราณฺจ เวทน ปฏิหงฺขามิ, นวฺจ เวทน น อุปฺปาเทสฺสามิ, ยาตฺรา จ เม ภวิสฺสติ อนวชฺชตา จ ผาสุ วิหาโร จาติ
มีปญั ญารจู้ ักประมาณในโภชนะ 89 ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษเุ ปน็ ผรู้ ปู้ ระมาน ในโภชนะ อย่างไรเล่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรม วินัยน้ี พิจารณาโดยแยบคายแล้ว จึงนำ อาหารมาบริโภค ไม่ใช่เพ่ือเล่น ไม่ใช่เพื่อ ความมัวเมา ไม่ใช่เพ่ือประดับให้ร่างกาย อวบอ่ิม ไม่ใช่เพอื่ ตกแต่งให้ผวิ พรรณสวยงาม แต่เพียงเพื่อความดำรงอยู่ได้แห่งกายนี้ เพื่อให้กายน้ีเป็นไปได้ เพื่อบำบัดความหิว เพื่ออนุเคราะห์แก่การประพฤติพรหมจรรย์ ด้วยคิดเห็นว่า “โดยวิธีน้ี เราจักกำจัดเวทนา เก่าเสียได้ และจักไม่ให้เวทนาใหม่เกิดข้ึน ความดำรงอยู่แห่งชีวิต ความไม่มีโทษ และ การอยู่โดยผาสุกจักมีแก่เรา” ในการบริโภคอาหาร พระพุทธเจ้าให้ ภิกษุพิจารณาว่า
90 ธรรมะ ๔ ประการที่ทำใหอ้ ยู่ใกล้พระนพิ พาน เนว ทวาย ไม่ใช่ฉันเพ่ือเล่น มีกำลัง แล้วเล่นสนุกสนาน น มทาย ไม่ใช่เพ่ือความมัวเมา อ่ิม แล้วจะได้นอนสบาย น มณฺฑนาย ไม่ใช่เพ่ือประดับให้ ร่างกายอวบอ่ิม น วภิ สู นาย ไมใ่ ชเ่ พอื่ ตกแตง่ ใหผ้ วิ พรรณ สวยงาม สรุปคือไม่ใช่เพ่ือเสริมกิเลส เพ่ือเสริม อัตตาตัวตน เพื่อให้เรามีความสำคัญ ให้เรา หน้าใหญ่ ทานอาหารด้วยวัตถุประสงค์คือ ยาวเทว อิมสฺส กายสฺส ิติยา ยาปนาย เพียงเพื่อความดำรงอยู่ได้แห่งกายนี้ เพ่ือให้ กายน้ีเป็นไปได้ เพียงแค่น้ีเท่าน้ัน เพียงแค่น้ี มันสำคัญมาก เราท้ังหลายไม่เพียงแค่นี้ ทำ
มปี ัญญารู้จักประมาณในโภชนะ 91 เกินเลยไปเยอะ มันก็เดือดร้อน ลำบาก ต้องหาเงินมากเหลือเกิน ทำงานเหนื่อยมาก แล้วก็เป็นทุกข์มาก ส่ิงที่หามาโดยส่วนใหญ่ มีแต่ของไม่จำเป็นทั้งนั้นเลย ของที่จำเป็นมี นิดเดียวเท่านั้นเอง ถ้าเอาเฉพาะของท่ีจำเป็น ก็ไม่ต้องทำงานมากก็ได้ ไม่ต้องลงทุนลงแรง มากก็ได้ เราทั้งหลายก็ลองไปสังเกตเอาก็ แล้วกัน ทานอาหารเข้าไปก็เพ่ือแก้ทุกข์ ให้ ร่างกายมันพอเป็นไปได้ เพื่อให้มันหายหิว เพื่ออนุเคราะห์แก่การประพฤติพรหมจรรย์ ทำให้เกิดศีล สมาธิ ปัญญา ให้สามารถ ปฏิบัติธรรมได้ ถ้าเราไม่ทานอาหาร ปฏิบัติ ธรรมไม่ได้ เดินจงกรมไม่ไหว ต้องทานให้ มันพอเดินจงกรมได้ ไม่ใช่ทานอิ่มมากจน เดินไม่ได้ นอนบิดไปบิดมาเป็นหมูอยู่ ไม่ใช่
92 ธรรมะ ๔ ประการทท่ี ำให้อย่ใู กล้พระนิพพาน อย่างนั้น ทานพอให้มันนั่งได้ ไม่ใช่ทาน อาหารเยอะแล้วง่วงนอน วัตถุประสงค์ท่ี ถูกต้องของการบริโภคอาหารเป็นอย่างนี้ เส้ือผ้าเคร่ืองนุ่งห่ม ท่ีอยู่อาศัย ยา รักษาโรค และส่ิงต่าง ๆ ก็ทำนองเดียวกัน ให้ลดละการทำตามกิเลส ลดการกระทำท่ี สนองอัตตาตัวตน ให้บริโภคใช้สอยด้วยสติ ปัญญา ให้ร่างกายมันพอเป็นไปได้ ให้มัน หายหิว สวมใส่เส้ือผ้าก็ให้มันหายร้อน หาย หนาว ปกปิดอวัยวะ ไม่อุจาดสายตา ไม่ใช่ แต่งตัวให้มันอุจาดหนักข้ึน ตัวเองไม่ค่อยมี อะไรโชว์ ก็เอาเสื้อผ้าสวมเข้าไปให้มันโชว์ได้ ไม่ใช่อย่างน้ัน ปกปิดร่างกายให้พอไปวัด ไปวา พอประพฤติพรหมจรรย์ได้ ในเรื่องการบริโภคอาหาร มีต่อไปว่า
มปี ัญญารู้จักประมาณในโภชนะ 93 วิหึสุปรติยา เพ่ือบำบัดความหิว แก้หิว แก้ปวดท้อง พฺรหฺมจริยานุคฺคหาย เพ่ืออนุเคราะห์ แก่การประพฤติพรหมจรรย์ คือการดำเนิน ชีวิตท่ีประเสริฐ ทำให้เกิดปัญญา ถึงความ พ้นทุกข์ได้จริง อิติ ปุราณฺจ เวทน ปฏิหงฺขามิ, นวฺจ เวทน น อุปฺปาเทสฺสามิ, ยาตฺรา จ เม ภวิสฺสติ อนวชฺชตา จ ผาสุ วิหาโร จาติ ด้วยคิดเห็นว่า “โดยวิธีน้ี เราจักกำจัด เวทนาเกา่ เสยี ได้ และจกั ไมใ่ หเ้ วทนาใหมเ่ กดิ ขนึ้ ความดำรงอยู่แห่งชีวิต ความไม่มีโทษ และ การอยู่โดยผาสุกจักมีแก่เรา” เพ่ือกำจัดเวทนาเก่า คือความปวดท้อง เก่า ๆ ความหิวเก่า ๆ ให้มันหายไป และไม่ ให้เวทนาใหม่มันเกิดขึ้น ถ้าเราไม่ทานอาหาร
94 ธรรมะ ๔ ประการที่ทำใหอ้ ยใู่ กลพ้ ระนพิ พาน มันก็ปวดท้องหนักขึ้น หิวหนักข้ึน เวทนาเก่า ไม่หาย เวทนาใหม่ก็แรงกว่าเดิม ให้ร่างกาย ดำเนินชีวิตไปอย่างผาสุก ไม่มีโทษ ถ้าทาน น้อยไปก็มีโทษ ไม่เติบโต ขาดสารอาหาร ไม่แข็งแรง ถ้าทานเยอะไปก็อ้วน ทำให้เป็น โรคต่าง ๆ ได้ง่าย อย่างน้ีเรียกว่า บริโภค อาหารด้วยปัญญารู้จักประมาณ เราจึงต้องฝึกฝนให้มีสติสัมปชัญญะ มคี วามรตู้ วั ในการเขา้ ไปเกย่ี วขอ้ งกบั สงิ่ ตา่ ง ๆ ให้รู้เท่าทันความยินดียินร้ายท่ีเกิดข้ึนในใจ เมอื่ ทานอาหาร สวมใสเ่ สอ้ื ผา้ ตกแตง่ บา้ นเรอื น ที่อยู่อาศัย ถ้าเราไม่เห็นมัน รู้ไม่ทัน ก็จะทำ ไปตามความยินดียินร้าย ตามความชอบ ความไม่ชอบ ไม่ได้ทำด้วยปัญญา เราก็จะ เหนอื่ ย เปน็ ทกุ ขม์ าก ทำสง่ิ ทไ่ี มเ่ ปน็ ประโยชน์ สะสมแต่ส่ิงท่ีเอาไปด้วยไม่ได้
มีปญั ญารจู้ ักประมาณในโภชนะ 95 ถ้าทำด้วยปัญญา ทำด้วยความรู้ ก็จะ ส่งเสริมการประพฤติพรหมจรรย์ ทำให้เกิด การศึกษา ด้านศีล ด้านสมาธิ ด้านปัญญา อย่างเรามีโทรศัพท์ ก็ดีซะอีก มีปัญหา ธรรมะหรอื ยงั ไมเ่ ขา้ ใจธรรมะ จะไดโ้ ทรถามกนั ธรรมะข้อนี้เป็นอย่างไร ช่วยบอกหน่อย เข้าถึงธรรมะได้เร็ว มีอินเตอร์เน็ตก็ดี ครูบา อาจารย์แสดงธรรมะ เขาเอาไปโพสไว้ใน อินเตอร์เน็ต เราก็โหลดมาฟังได้ น่ีดี มีเครื่องเสียงก็ดี เอาไว้ฟังธรรมะ ข้างนอก เขาวุ่นวาย เราก็นั่งฟังธรรมะ สบายไป เราทั้งหลายเคยทำแบบน้ีบ้างหรือเปล่า ดูเอา เองก็แล้วกัน ทำส่ิงท่ีเป็นประโยชน์ ทำได้ ไม่นาน มันเครียด ถ้าดูหนังดูละคร หรือไป นั่งพูดคุยกันเล่นเรื่องไร้สาระ ทำได้นาน เป็นวัน ๆ ก็ยังได้ นั่งเหม่อลอยไป อยู่บน
96 ธรรมะ ๔ ประการที่ทำให้อยูใ่ กล้พระนพิ พาน ภูเขา อยู่กลางทะเล ไปนอนอาบแดดอยู่เป็น วัน ๆ ก็ได้ นี่มันเป็นอย่างน้ี แต่ถ้าให้ทำส่ิงท่ี มีสาระ คร่ึงช่ัวโมงก็เครียดแล้ว ให้เดิน จงกรมกลับไปกลับมา ก็เบื่อ ก็เซ็ง อะไรทเี่ ปน็ สาระดเู หมอื นทำยากเหลอื เกนิ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ให้ทำอะไรมาก แค่นั่งสบาย ๆ ดูลมหายใจเข้าหายใจออก แค่เดินสบาย ๆ ดูว่ากายกำลังเดิน ใจกำลังคิด กำลังนึก บางคนก็จะแย่อยู่แล้ว ฉะน้ัน ให้เราท้ังหลาย รู้เท่าทันความยินดีความยินร้าย รู้ทันความ อยากได้ อยากมี อยากเป็น อย่าพยายาม พากันไปแสวงหาเพ่ิมมากนัก ให้ลดละมนั บา้ ง ส่ิงไหนที่เคยติดข้องก็รู้จักอดทนลดละมันลง ไปบ้าง เช่น บางคนติดรสอาหาร ก็หัดลด มันบ้าง บางคนติดแฟน ก็หัดลดลงบ้าง
มปี ัญญารจู้ ักประมาณในโภชนะ 97 ก็จะดี ต้องฝึกฝนตนเองให้สามารถเป็นที่พ่ึง ของตนเองได้ ให้อยู่ได้ด้วยตนเอง อย่าไป หวังพึ่งเขา ทุกคนต้องพึ่งตนเองหมดนั่นแหละ ล้วนเป็นไปตามกรรมของตนเอง เราไม่ได้ เป็นไปตามแฟน ไม่ได้เป็นไปตามสามี เรา เปน็ ไปตามกรรมของตนเอง ตอ้ งฝกึ ฝนตนเอง พ่ึงตนเองให้ได้ อยู่ด้วยตัวเองให้ได้ แต่ไม่ใช่ ให้ทิ้งเขานะ สิ่งของทุกอย่างที่เรามีทั้งหมด อย่าไปใช้มันในทำนองส่งเสริมอัตตาตัวตน ส่งเสริมหน้าตัวเอง ให้ตัวเองมีความสำคัญ แต่ใช้มันเป็นปัจจัย ให้ร่างกายพอเป็นไปได้ ประพฤติพรหมจรรย์ได้ เป็นเครื่องอำนวย ความสะดวกในการปฏบิ ตั เิ พอ่ื ถงึ ความพน้ ทกุ ข ์
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116