Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore v1.หนังสือพระนาคเสนเถระ (1)

v1.หนังสือพระนาคเสนเถระ (1)

Description: หนังสือพระนาคเสนเถระ ยกต้น p.01-06 (1)

Search

Read the Text Version

รวบรวม : ชิตานนั ท ์ เรียบเรยี ง : วิเทศทัยย์ พมิ พค์ ร้งั ท่ี ๑ : สิงหาคม ๒๕๖๒ จำ� นวนพมิ พ ์ : ๒,๐๐๐ เล่ม ด�ำเนนิ การจัดพิมพ์ สาละพิมพการ ๙/๖๐๙ ซอยกระทมุ่ ลม้ ๖ ถนนพทุ ธมณฑลสาย ๔ ต.กระทุ่มล้ม อ.สามพราน จ.นครปฐม ๗๓๒๒๐ โทร. ๐-๒๔๒๙๒๔๕๒, ๐๖๑-๒๓๒-๕๙๒๘ Email : [email protected]

คำ� นำ� คัมภีร์มิลินทปัญหาเป็นวรรณกรรมส�ำคัญอีกเล่มหนึ่ง ของพระพทุ ธศาสนา เนอื้ หาอดุ มดว้ ยหลกั ธรรมอนั ลมุ่ ลกึ เสมอ พระไตรปิฎก อีกท้ังดาษด่ืนด้วยคติความเช่ือและเหตุการณ์ บา้ นเมอื งสมยั ผแู้ ตง่ ซง่ึ ชาวพทุ ธไทยตา่ งรกู้ นั วา่ เปน็ การรวบรวม บทสนทนาหลักธรรมระหว่างพระนาคเสนเถระและพระเจ้า มิลินท์ แต่น่าเสียดายคัมภีร์เล่มน้ีกลับกล่าวถึงเรื่องราวของ พระนาคเสนเถระน้อยนัก แม้พระราชประวัติของพระเจ้า มิลินท์เองกน็ อ้ ยนดิ เช่นกัน เนื่องจากจุดเริ่มต้นคัมภีร์มิลินทปัญหามาจากพระนาค เสนเถระ ผู้เขียนจึงเห็นว่าหากสืบค้นประวัติของพระเถระ อย่างละเอียด ย่อมสามารถเข้าใจตัวตนจนน�ำไปสู่การโต้วาที กับพระเจ้ามิลินท์ดังปรากฏเห็นในคัมภีร์ ประเด็นคือประวัติ ของพระเถระกระจัดกระจายท่ัวไป อีกทั้งเรื่องราวส่วนใหญ่ ไม่ลงรอยเป็นเนื้อเดียวกัน ผู้เขียนจึงต้องใช้การวิเคราะห์โดย อาศัยพน้ื ฐานประวตั ศิ าสตร์ของสมยั น้ันเปน็ ตัวต้งั ผดิ ถกู ย่อม มเี ป็นเร่ืองธรรมดาจงึ ขออภยั ไว้แต่เบอื้ งตน้

ขออนโุ มทนาพระนสิ ติ สาขาวชิ าพระพทุ ธศาสนา วทิ ยาลยั สงฆ์บุรีรัมย์ และญาติธรรมทุกท่านท่ีช่วยกันบริจาคปัจจัย เพื่อสนับสนุนพิมพ์หนังสือเล่มนี้ เพราะเห็นว่าวิทยาทานมี ประโยชน์มหาศาลมากกว่าทานอย่างอื่น ขออาราธนาคุณ พระศรีรัตนตรัย จงดลบันดาลประทานพรให้ทุกรูปทุกคน ประสบกบั สงิ่ อนั พงึ ปรารถนาดงั ใจหวงั ทกุ ทา่ นทุกคน เทอญฯ ชติ านนั ท์ รวบรวม วิเทศทัยย์ เรยี บเรียง





1 ๑ วเิ คราะหค์ มั ภรี ์ เคยตั้งค�ำถามกับคนหลายฝ่ายทั้งพระและฆราวาสว่า “พระนาคเสนเถระเปน็ ใคร?” ผอู้ ยภู่ ายในกำ� แพงวดั สว่ นใหญ่ ตอบว่าเป็นพระรูปหน่ึงแต่ไม่รู้ว่าเกิดสมัยไหน ส่วนผู้อยู่นอก กำ� แพงวดั ตอบวา่ นา่ จะเปน็ พระบวชใหม่ ถา้ บวชนานมชี อื่ เสยี ง น่าจะพอได้ยินช่ือบ้าง หากถามถึงรายละเอียดลึกเข้าไปมาก กวา่ น้ี แตล่ ะคนลว้ นแสดงหนา้ ตางนุ งงสงสยั ประมาณวา่ ตง้ั ใจ เดินทางไปขอนแก่นแตร่ ถมาโผล่ท่ีพระธาตุแชแ่ หง้ เมืองน่าน พอเฉลยว่าเรื่องราวของพระนาคเสนเถระมีรายละเอียด ในคมั ภีรม์ ลิ นิ ทปัญหา เท่าน้ันเองเหมือนงานว่ิงมาราธอน ต่างคนต่างแย่งกัน อธิบายไปคนละทิศละทาง ตามความเข้าใจของตนเอง บาง รายตอบว่ามาจากอินเดียก็พอท�ำเนา แต่บางรายข้ามทะเล

2 ไปถึงจีนเป็นหนังไซอ๋ิวพาพระถังซัมจ้ังข้ามทะเลทรายก็มี บางรายตอบแบบไม่ต้องคิดว่าแต่งในเมืองไทยนี้แหละท่ีไหน สกั แห่งระหวา่ งเมืองเหนือกับปักษ์ใต้ พวกหลงั น้เี หน็ จะไม่พ้น ท่าหิรัญม้วนแผ่นดนิ จนตอ้ งม้วนเสื่อกลับบา้ น เพ่ือท�ำความรู้จักกับพระนาคเสนเถระอย่างละเอียด ผู้ เขยี นเหน็ วา่ เรามาวเิ คราะหค์ มั ภรี ม์ ลิ นิ ทปญั หากนั กอ่ น เพราะ ประวัติของพระนาคเสนเถระรูปนี้ปรากฏมีเฉพาะในคัมภีร์ มลิ นิ ทปญั หาเลม่ นเ้ี ทา่ นนั้ หลกั ฐานอน่ื แมอ้ า้ งถงึ กล็ ว้ นคดั ลอก มาจากคมั ภรี ์เล่มน้ี หากอา่ นคัมภีร์เลม่ น้ีอยา่ งละเอียดก็จะได้ ค�ำตอบแจม่ แจง้ ชดั เจน

3 แต่ธรรมดาของคัมภีร์ชาวพุทธน้ันเน้ือเร่ืองส่วนใหญ่ ไม่เน้นกล่าวถึงประวัติพระสาวกหรือผู้แต่งมากนัก โดยยึด ความส�ำคัญของพระธรรมค�ำสอนเป็นท่ีต้ัง ด้วยเหตุดังกล่าว ประวัติของพระนาคเสนเถระจึงมีตรงน้ันบ้างตรงนี้หน่อย ไมป่ ะตดิ ปะต่อเป็นเนอ้ื เดียว บางครั้งขาดความชดั เจนตอ้ งมา น่ังตีความหรือวิเคราะห์โดยอาศัยข้อมูลอืน่ มาประกอบ บอกได้อยา่ งเดยี ววา่ คมั ภรี ์เล่มนี้มใิ ชพ่ ระไตรปฎิ ก ชอื่ วา่ มลิ นิ ทปญั หานนั้ เปน็ ทร่ี จู้ กั ของพระสงฆส์ ายเถรวาท แต่สายมหายานเรียกช่ือว่านาคเสนภิกษุสูตร เนื้อหาของ คัมภีร์ว่าด้วยการโต้เถียงกันด้วยธรรมหลักค�ำสอนระหว่าง พระนาคเสนเถระกบั พระเจา้ มลิ นิ ทผ์ เู้ ปน็ กษตั ริยแ์ หง่ อาณาจกั ร บากเตรีย (บริเวณตอนเหนือของอินเดียจนถึงอัฟกานิสถาน) หลักธรรมที่น�ำมาสนทนากันนั้นลุ่มลึกด้วยอรรถด้วยธรรม แมจ้ ะเนน้ หลกั ธรรมคำ� สอนชน้ั ปรมตั ถ์ แตก่ ย็ งั แทรกเสรมิ ดว้ ย ประวตั ิศาสตร์ จรยิ ศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ฯลฯ เหตทุ สี่ ายเถรวาทเรยี กคมั ภรี ว์ า่ มลิ นิ ทปญั หา สนั นษิ ฐาน ว่าน่าจะเป็นการยกย่องกษัตริย์เป็นหลัก เพราะตามลักษณะ ของเถรวาทน้ันสถาบันกษัตริย์ท�ำหน้าท่ีเป็นราชูปถัมภ์ จึงได้

4 รบั การยกยอ่ งจากพระสงฆเ์ ปน็ ธรรมดาวสิ ยั สว่ นสายมหายาน ท่ีต้ังช่ือว่านาคเสนภิกษุสูตรนั้น น่าจะเป็นการยกความเป็น ปราชญข์ องพระนาคเสนเถระเปน็ ตวั ตง้ั ซงึ่ เปน็ ธรรมเนยี มของ มหายานผ้นู ิยมยกอาจารย์แหง่ ตนเป็นบูรพาจารย์ เนอื่ งจากการสนทนาระหวา่ งพระนาคเสนเถระกบั พระเจา้ มลิ นิ ทเ์ กดิ ขนึ้ ทางอนิ เดยี ตอนเหนอื หรอื เมอื งปญั จาบในปจั จบุ นั นักวิชาการส่วนใหญ่จึงสันนิษฐานว่าคัมภีร์ฉบับด้ังเดิมน่าจะ แตง่ ท่ีนั้น และน่าจะเขยี นขึ้นภายหลงั เหตกุ ารณ์สนทนากนั ไม่ นาน อาจจะแต่งเปน็ ภาษาสนั สกฤตหรอื ภาษาปรากฤต ตาม ความนิยมของผคู้ นทางเมืองเหนือ ผเู้ ขยี นเหน็ ดว้ ยกับความคิดเชน่ น้ี เพราะ ๑) เนอ้ื หาส่วน ใหญเ่ นน้ กลา่ วถงึ หลกั ธรรมคำ� สอนสำ� คญั เหมอื นในพระไตรปฎิ ก โดยไม่มีแนวคดิ หรืออคติอนื่ ใดแทรกเข้าไป และ ๒) สว่ นใหญ่ อ้างถึงหัวเมืองหรือสถานที่ส�ำคัญบริเวณหัวเมืองเหนือของ อินเดีย แม้จะอ้างถึงสถานที่ทางภาคใต้บ้างแต่ก็น้อยนัก แสดงวา่ ผแู้ ตง่ คัมภรี เ์ ลม่ นช้ี ำ� นาญเฉพาะถน่ิ ทางเมืองเหนือ ถามวา่ คัมภีร์มลิ นิ ทปัญหาแตง่ ทศ่ี รีลงั กา? เปน็ ทน่ี า่ เสยี ดายวา่ ตน้ ฉบบั คมั ภรี ม์ ลิ นิ ทปญั หาสญู หายไป มาปรากฏเหน็ อกี ทใี นประเทศศรลี งั กา โดยระบวุ า่ พระตรปิ ฎิ ก จูฬาภยั เถระแตง่ ใหมเ่ ปน็ ภาษาบาลี

5 ตรงน้ีมีเครื่องหมาย question mark เกิดขึ้นว่า พระตรปิ ฎิ กจฬู าภยั เถระเปน็ ใคร? สงั กดั สำ� นกั ไหน? เกยี่ วขอ้ ง กบั คมั ภีร์มิลนิ ทปัญหาไดอ้ ย่างไร? หลกั ฐานฝา่ ยศรลี งั การะบวุ า่ พระเถระรปู นเ้ี ปน็ ผแู้ ตกฉาน พระไตรปฎิ กและคมั ภรี อ์ รรถกถา ปัญญาของท่านไมเ่ ปน็ สอง รองใคร ว่ากันว่าท่านให้ปิดประตูเมืองทั้งหมดแล้วให้ผู้คน เขา้ ออกประตเู ดยี ว พระเถระจะถามชอื่ เสยี งเรยี งนามของผเู้ ขา้ ออกนับแต่เชา้ จรดเยน็ และสามารถจดจ�ำช่อื ท้ังหมดได้อยา่ ง ไมผ่ ดิ เพยี้ น ผเู้ ขยี นเชอ่ื วา่ เหน็ จะเปน็ พระเถระรปู นแี้ หละทแี่ ตง่

6 คัมภีร์มิลินทปัญหา เพราะนอกนั้นยังไม่สามารถหาหลักฐาน มายนื ยันได้ หรือใครพบข้อมูลใหม่ช่วยบอกทีจะแถมซองผ้าป่าเป็น รางวัลตอบแทน!!! สว่ นสำ� นกั ของทา่ นนนั้ ยากทจ่ี ะวนิ จิ ฉยั ความจรงิ สมยั นนั้ สำ� นกั ของพระสงฆศ์ รลี งั กามี ๒ กลมุ่ ใหญ่ กลา่ วคอื สำ� นกั มหา วิหารผู้เคร่งครัดในค�ำสอนเถรวาท และส�ำนักอภัยคิรีวิหารผู้ ฝกั ใฝค่ ำ� สอนมหายาน แมท้ งั้ สองสำ� นกั นจ้ี ะมเี อกลกั ษณท์ แี่ ตก ต่างกัน แตก่ ย็ ึดมัน่ ในค�ำสอนของพระพทุ ธเจ้าเชน่ เดยี วกนั ผู้เขียนเช่ือว่าพระตริปิฎกจูฬาภัยเถระรูปน้ีน่าจะสังกัด ส�ำนักอภัยคิรีวิหาร เพราะหลักฐานระบุว่าพระเถระชาว ตา่ งประเทศผชู้ นื่ ชอบมหายาน เวลาเดินทางมาเกาะลงั กามกั แวะพักส�ำนักอภัยคิรีวิหาร อาจเป็นไปได้ว่าพระสงฆ์เมือง ปญั จาบมกี ารตดิ ตอ่ สัมพนั ธ์กบั ศรลี งั กานบั แต่เร่มิ ต้น การเดิน ทางไปมาหาสกู่ นั ยอ่ มเปน็ ธรรมดาทจี่ ะมกี ารแลกเปลย่ี นความ รกู้ นั และกนั คมั ภรี ม์ ลิ นิ ทปญั หานนั้ เดมิ แตง่ เปน็ ภาษาสนั สกฤต พอมาถงึ เกาะลงั กาพระตรปิ ฎิ กจฬู าภยั เถระคงเหน็ วา่ ไมเ่ ปน็ ที่ รู้จักของชาวสิงหลจึงปรวิ รรตใหมเ่ ป็นภาษาบาลีเสยี

7 ใครเห็นนอกจากน้ขี อให้ตงั้ ธรรมาสน์ดว่ น!!! อกี ประการหนงึ่ คอื เนอื้ หาตน้ ฉบบั ของเมอื งปญั จาบนนั้ มี เพียง ๓ ปริจเฉท/กัณฑ์ ขณะที่เน้ือหาคัมภีร์มีท้ังหมด ๖ ปริจเฉท/กัณฑ์ ตรงน้ีได้มาจากการแสดงความเห็นของ นกั วชิ าการ กลา่ วคอื ธรรมดาของผแู้ ตง่ หนงั สอื ครน้ั จบเลม่ แลว้ มกั ไมม่ กี ารยกคำ� พดู เดมิ ขน้ึ มากลา่ วซำ้� แตค่ มั ภรี ม์ ลิ นิ ทปญั หา ฉบับปัจจุบันมีค�ำพูดเสริมข้ึนมาอีกรอบ ถือว่าผิดวิสัยของ การแต่งหนังสือ หลักฐานอีกส่วนหนึ่งคือ คัมภีร์มิลินทปัญหาฉบับภาษา จนี กม็ ีเพยี ง ๓ ปรจิ เฉทเชน่ กนั กล่าวกนั ว่าพระภัทรคณุ เถระ เปน็ ผนู้ ำ� คมั ภรี ม์ ลิ นิ ทปญั หาไปเมอื งจนี และถอดแปลออกเปน็ ภาษาจีน ประมาณพทุ ธศกั ราช ๘๖๐ หลกั ฐานตรงนสี้ อดรบั กนั อยา่ งลงตัว และหลักฐานสุดท้ายคือ พระพุทธโฆษาจารย์พระ อรรถกถาจารยช์ าวอนิ เดยี ผเู้ ดนิ ทางมาเกาะลงั กา เพอื่ ปรวิ รรต คมั ภรี อ์ รรถกถาภาษาสงิ หลเปน็ ภาษาบาลี กอ็ า้ งเนอื้ หาคมั ภรี ์ มลิ นิ ทปญั หาเพียง ๓ ปริจเฉทเช่นกัน หากเปน็ ดงั นกี้ พ็ อสรปุ ไดว้ า่ คมั ภรี ม์ ลิ นิ ทปญั หาทป่ี รวิ รรต เป็นภาษาบาลี โดยพระตริปิฎกจูฬาภัยเถระน้ัน มีเนื้อหา

8 เฉพาะ ๓ ปรจิ เฉทเทา่ นนั้ อกี ๓ ปรจิ เฉทนา่ จะมกี ารแตง่ เสรมิ ภายหลัง ประมาณว่าหลงั จากพทุ ธศักราช ๑๐๐๐ แลว้ แต่ จะเปน็ ใครแต่งน้นั ก็จนด้วยปญั ญา เอาเปน็ วา่ ค้างไว้เพียงเท่า นีก้ ่อน ไดค้ วามอย่างไรคราวหนา้ คอ่ ยมาว่ากันอกี ที มาถงึ ตรงนีเ้ ดาเอาวา่ ผอู้ ่านคงเมาวชิ าการกันแลว้ เอาละสรปุ แบบยอ่ วา่ คมั ภรี เ์ ลม่ นแี้ ตง่ ขนึ้ ทเี่ มอื งปญั จาบ ประเทศอนิ เดยี แลว้ มคี นนำ� มาเกาะลงั กา จากนนั้ พระศรลี งั กา แตง่ ใหมเ่ ปน็ ภาษาบาลตี ามตน้ ฉบบั เดมิ สดุ ทา้ ยคงเหน็ วา่ เนอื้ หา ตามฉบับเดิมน้อยไป จึงแต่งเสริมขึ้นอีกกลายเป็นคัมภีร์ เลม่ ใหญ่เหมอื นเราเหน็ ในปัจจุบัน

9 สิ่งที่เราควรสนใจเป็นกรณีพิเศษคือหลักธรรมค�ำสอนที่ นักปราชญ์ Grade A ท้ังสองท่านนำ� มาโต้เถยี งกนั นอกจาก จะลมุ่ ลกึ ดว้ ยอรรถรสแลว้ ยงั งดงามดว้ ยภาษา และโดดเดน่ ดว้ ย ค�ำอุปมาอุปไมย จนนักปราชญ์ต่างยกย่องว่านี้คือผลงาน masterpiece ของวงการวรรณกรรมพระพุทธศาสนายุค หลังสงั คายนา แต่แปลกใจไม่นอ้ ยคอื แม้นักวชิ าการทวั่ โลกจะ ยกย่องคัมภีร์เล่มน้ีอย่างสูงส่ง แต่นักปราชญ์ไทยกลับให้ ความสนใจนอ้ ยมาก น่าอศั จรรยย์ ิง่ นกั !!! คัมภีร์มิลินทปัญหาฉบับภาษาไทยมีการคัดลอกและ ตีพิมพ์หลายคร้ัง ปัจจุบันมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัยได้ตีพิมพเ์ ป็นเลม่ เรยี บร้อย ชอื่ วา่ คมั ภรี ์มิลินทปัญหา ภาษาไทย พุทธศักราช ๒๕๕๙ แบ่งเนอื้ หาออกเป็น ๖ กัณฑ์ กล่าวคอื ๑) ปพุ พโยคกัณฑ์ ๒) มิลนิ ทปัญหากัณฑ์ ๓) ลักขณ ปญั หากณั ฑ์ ๔) เมณฑกปัญหากณั ฑ์ ๕) อนุมานปัญหากณั ฑ์ และ ๖) โอปัมมปัญหากัณฑ์ แต่ละกณั ฑ์มีรายละเอยี ดเยอะมาก ผูเ้ ขยี นยกกัณฑแ์ รกมาวิเคราะห์พอเปน็ น้ำ� ย่อย ส่วนใคร สนใจตามไปซือ้ หาหนังสอื อ่านเอาเอง

10 กณั ฑแ์ รกชือ่ ว่าปุพพโยคกณั ฑ์ หมายถงึ เร่อื งราวท่เี กิด ข้ึนในอดีตกาล กล่าวถึงเหตุการณ์สมัยพระพุทธเจ้าพระนาม ว่ากสั สปะ ตัวละครมีพระเถระและสามเณร ไมบ่ อกวา่ อยวู่ ัด ไหนระบุเพียงว่าอยู่ใกล้แม่น้�ำคงคา วันหน่ึงสามเณรไม่ยอม กวาดวหิ ารลานเจดยี ์ พระเถระจงึ ตดี ว้ ยดา้ มไมก้ วาด ดว้ ยความ เจบ็ ปวดสามเณรจงึ รอ้ งไหไ้ ปดว้ ยกวาดลานวดั ไปดว้ ย และดว้ ย ความโกรธจงึ ตง้ั จติ ปรารถนาวา่ “ตราบใดถา้ ยงั ไมบ่ รรลนุ พิ พาน ก็ขอให้มีเดชเหมือนพระอาทิตย์ยามทิวากร” คร้ันพอไปถึง ทา่ นำ�้ เหน็ ระลอกคลน่ื นำ้� กอ็ ธษิ ฐานอกี วา่ “ขอใหม้ ปี ฏภิ าณไหว พรบิ ไมจ่ บสน้ิ เหมือนคลืน่ น้ำ� น้แี ล” เห็นแบบนีผ้ ู้เขียนคงตอ้ งรบี อธษิ ฐานบ้างแล้ว ส่วนพระเถระก็เดินตามสามเณรไปยังท่าน�้ำ พอได้ยิน ค�ำปรารถนาของสามเณรเช่นน้ันก็ต้ังความปรารถนาบ้างว่า “ตราบใดถ้ายังไม่บรรลุนิพพานขอให้ข้าพเจ้ามีปฏิภาณไหว พรบิ เหมอื นระลอกคลนื่ นำ้� และสามารถแกป้ ญั หาของสามเณร รปู นไ้ี ด้ทุกขอ้ เทอญ” เน้อื หาของคัมภีรพ์ รรณนาตอ่ ไปว่า “พระพุทธเจ้าโคดม ของชาวเราทงั้ หลายกท็ รงพยากรณว์ า่ ทง้ั พระเถระและสามเณร

11 จักบังเกิดในกาลอันเหมาะสม เหมือนพระโมคคัลลีบุตร ตสิ สเถระ หลงั พทุ ธกาลลว่ งแลว้ ๕๐๐ ปี สามเณรจะมาบงั เกดิ เป็นพระเจ้ามิลินท์แห่งเมืองสาคละ ส่วนพระเถระจะมาเกิด เปน็ พระนาคเสนเถระ” มาถงึ ตรงนผ้ี อู้ า่ นเห็นอะไรนา่ สนใจบา้ ง? เรื่องอดีตชาติของพระนาคเสนเถระและพระเจ้ามิลินท์ ไมน่ า่ จะเปน็ การผดิ ปกติ เพราะธรรมดาของการแตง่ คมั ภรี ส์ มยั นนั้ มกั อา้ งองิ ยอ้ นถอยหลงั ไปไกลถงึ บรุ พชาติ ไมต่ า่ งจากชาดก กถาของพระพุทธเจ้า เร่อื งราวนั้นยากที่จะพสิ จู นไ์ ด้ หากจะ

12 ตีความสมัยใหม่น่าจะหมายถึงเป็นวิธีการแต่งเพื่อให้เรื่องราว น่าเช่ือถือ ประเทศไทยเราเองก็มีหลายคัมภีร์ท่ีแต่งอ้างอดีต ชาตขิ องกษัตริย์ไทยว่าเคยเกดิ ร่วมสมยั กับพระพุทธเจา้ พระสงฆ์เราเองหลายรูปก็อ้างว่าเคยเกิดร่วมสมัยพระ พุทธเจ้าโคดมเช่นกนั ประเดน็ นา่ สงสัยคือการพยากรณข์ องพระพทุ ธเจา้ โคดม เกยี่ วกบั พระนาคเสนเถระและพระเจา้ มลิ นิ ท์ ดว้ ยพระพทุ ธเจา้ ทรงตรสั พระธรรมคำ� สอนทงั้ หมดในพระไตรปฎิ ก คำ� พยากรณ์ เช่นน้ีไม่พบเห็นในพระไตรปิฎกเลย อย่างน้ีนักแต่งต�ำราเขา เรียกวา่ ยดั ค�ำพูดใส่พระพุทธโอษฐ์ (put own words into the Buddha’s mouth) การแต่งเชิงพยากรณ์เช่นน้ีปรากฏพบเห็นในยุคหลัง พทุ ธกาล เชอ่ื ว่าเกิดจากธรรมเนียมของพระสงฆ์สายมหายาน ก่อนแล้วจึงแพร่หลายมาถึงพระสงฆ์สายเถรวาทอีกทอดหนึ่ง หากตรวจสอบเนอื้ หาทั้งหมดของคัมภรี ์มิลินทปญั หา ผ้เู ขยี น เชอื่ วา่ ขอ้ ความตรงนนี้ า่ จะแตง่ เสรมิ ทหี ลงั โดยพระสงฆศ์ รลี งั กา หลักฐานคือการอา้ งชือ่ พระโมคคลั ลีบุตรตสิ สเถระ อยา่ ลมื วา่ พระตสิ สเถระรปู นเี้ ปน็ บรู พาจารยข์ องพระสงฆ์ ชาวศรีลังกา ในฐานะเป็นต้นก�ำเนิดพระพุทธศาสนาเถรวาท

13 การยกอาจารยแ์ หง่ ตนขนึ้ เชน่ นแี้ สดงวา่ ใหค้ วามเคารพมากกวา่ พระนาคเสนเถระ และคนท่แี ตง่ น่าจะเป็นพระสงฆร์ ปู อนื่ มใิ ช่ พระตริปิฎกจฬู าภยั เถระ เพราะพระเถระรปู นสี้ งั กดั คณะสงฆ์ ส�ำนักอภัยคิรีวิหารผู้ฝักใฝ่ค�ำสอนมหายาน แต่น่าจะเป็น พระเถระรูปหน่ึงผู้สังกัดสำ� นกั มหาวิหาร และน่าจะเป็นผแู้ ตง่ เสริมเนอ้ื หาให้ครบ ๖ กณั ฑน์ ้ันเองฯ

14

15 ๒ ยอ้ นอดตี คนั ธาระ ตอนทีแ่ ลว้ รบั ปากผู้อ่านวา่ จะพามาท�ำความรจู้ ักกับพระ นาคเสนเถระอย่างละเอียด แต่คิดไปคิดมาก็เกิดอาการ เปลยี่ นใจ ไม่ใช่เพราะทานยาผิดซอง แตน่ ึกขึ้นไดว้ ่าพระเถระ นั้นเป็นผู้มีปัญญาลึกซ้ึงในพระธรรมค�ำสอนของพระพุทธเจ้า จงึ คดิ วา่ นา่ จะลองสบื คน้ ประวตั คิ วามเปน็ มาของบา้ นเกดิ เมอื ง นอนพระเถระ เพราะคนจะเกิดมาเก่งเหมือนพระเถระต้องมี บรรพบุรษุ ที่มีฐานทางธรรมเปน็ แน่ และหากพูดถงึ บา้ นเมือง พระนาคเสนเถระแต่ต้นมือ ย่อมเป็นเร่ืองง่ายต่อการอธิบาย เรอ่ื งราวของพระเถระ แมผ้ อู้ า่ นเองกจ็ ะเหน็ ภาพอยา่ งละเอยี ด อนั นต้ี รงกบั สภุ าษติ ไทยวา่ เดนิ ตามผใู้ หญห่ มาไมก่ ดั (ผใู้ หญ)่ เบ้ืองต้นท�ำความเข้าใจก่อนว่า บ้านเกิดเมืองนอนของ พระนาคเสนเถระนั้นเรียกว่าแคว้นคันธาระ มีเมืองหลวงชื่อ

16 วา่ ตกั กสลิ า ปจั จบุ นั อยใู่ นรฐั ปญั จาบประเทศปากสี ถาน อนั วา่ เมืองนี้เป็นศูนย์กลางการศึกษาของชาวอินเดียสมัยโบราณ ใครอยากจะได้ความรู้ต้องเดินทางไปศึกษาที่เมืองตักกสิลา แหง่ น้ี เรยี กวา่ เปน็ เมอื งมหาวทิ ยาลยั เปดิ (open university) จอมโจรองคุลิมาลหรือหมอชีวกโกมารภัจจ์ก็จบไปจากเมือง แห่งน้ี ส�ำหรับผู้ท�ำหน้าท่ีสงั่ สอนเรยี กว่าอาจารย์ทิศาปาโมกข์ หมายถึงผู้ประจ�ำอยู่ตามทิศ นักเรียนประสงค์จะเรียนสาขา วชิ าใดกส็ มคั รเรยี นกบั อาจารยท์ า่ นนน้ั ถอื ไดว้ า่ เปน็ ตลาดวชิ า อย่างแทจ้ ริง คัมภีร์พระไตรปิฎกบันทึกว่าสมัยพุทธกาลมีพระสาวิกา บางรูปเป็นชาวแว่นแคว้นคันธาระ เช่น พระเขมาเถรีผู้เป็น มเหสพี ระเจา้ พมิ พสิ ารเปน็ ชาวเมอื งสาคละแหง่ แควน้ คนั ธาระ พระภทั ทาปวิ าณเี ถรกี เ็ ปน็ ชาวเมอื งสาคละเชน่ กนั อกี พระองค์ หน่ึงคือพระนางอโนชาผู้เป็นมเหสีของพระเจ้ามหากัปปินะก็ เป็นชาวแว่นแคว้นคันธาระเช่นกัน หลักฐานตรงน้ีชวนให้คิด วา่ แควน้ คนั ธาระนา่ จะรจู้ กั พระพทุ ธศาสนาตงั้ แตส่ มยั พทุ ธกาล แล้ว แตก่ ารรับรู้คงจะอยูใ่ นวงแคบเฉพาะคนชนั้ สงู และขาด การสนับสนุนจากสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงไม่เป็นท่ีรู้จัก แพรห่ ลาย

17 หรือบางทีอิทธิพลของคติความเชื่อดั้งเดิมโดยเฉพาะ ศาสนาพราหมณ์ยังคงเป็นท่ีนิยมแพร่หลาย โอกาสที่พระ พุทธศาสนาจะแทรกตัวเข้าไปแข่งขันย่อมเป็นเร่ืองยาก เพราะการประกาศศาสนาสมัยนั้นหากขาดการสนับสนุนจาก สถาบันกษัตริย์แล้ว ย่อมเป็นเร่ืองยากเย็นแสนเข็ญยิ่งนัก เนอ่ื งจากตอ้ งปะทะกบั ความเชื่อดง้ั เดมิ แต่ธรรมดาของเมืองนักปราชญ์ น่าจะมีอาจารย์ทิศา ปาโมกขบ์ างคนนำ� วธิ กี ารและคำ� สอนของพระพทุ ธเจา้ ไปประยกุ ต์ ใช้บ้างแล้ว โดยเฉพาะวิธีการสนทนาแบบตรรกะหรือการใช้ เหตุผลสนับสนุนค�ำพูด ซ่ึงว่ากันว่าเป็นที่รู้จักแพร่หลายก่อน

18 อารยธรรมคนั ธาระแบบพทุ ธศาสนาจะเกดิ มขี นึ้ หลายศตวรรษ ใครไม่เชื่อก็ตามไปอ่านจารึกโบราณของเมืองตักกสิลาดูที จะเห็นว่ามคี วามหมายแบบตรรกะซ่อนเรน้ อยู่ แควน้ คนั ธาระรจู้ กั พระพทุ ธศาสนาเปน็ อยา่ งดสี มยั พระเจา้ อโศกมหาราช กล่าวกันว่าสมัยเป็นยุวกษัตริย์พระเจ้าอโศก ถูกส่งไปเมืองตักกสิลาเพ่ือปราบจลาจล สมัยน้ันพระองค์น่า จะรู้จักเมืองตักกสิลาเป็นอย่างดีโดยเฉพาะคติความเชื่อของ ชาวเมอื ง แตต่ อนนนั้ พระองคย์ งั ไมห่ นั มานบั ถอื พระพทุ ธศาสนา เรอื่ งราวเกยี่ วขอ้ งกบั แควน้ คนั ธาระกบั พระพทุ ธศาสนาจงึ ไมม่ ี การกล่าวถึง คร้ันพระองค์ข้ึนเสวยราชย์และสนับสนุนคณะสงฆ์ด้วย การสังคายนาครั้งท่ี ๓ คราวนน้ั พระองค์ได้รับคำ� แนะน�ำจาก พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ให้จัดส่งพระสมณทูตไปเผยแผ่ พระธรรมคำ� สอนของพระพทุ ธเจา้ ถงึ ๙ สาย สายเมอื งแคชเมยี ร์ และตกั กสลิ านน้ั ไดม้ อบภาระใหแ้ กพ่ ระมชั ฌนั ตกิ เถระ ผเู้ ขยี น เชอ่ื วา่ พระเถระรปู นคี้ งเปน็ ลกู หลานของแควน้ คนั ธาระเปน็ แน่ สงั เกตไดจ้ ากครน้ั เผยแผพ่ ทุ ธศาสนาบนมาตภุ มู ไิ มน่ าน ปรากฏ

19 ว่ามีกุลบุตรออกบวชเป็นจ�ำนวนมาก และเป็นผลให้พระ พุทธศาสนารงุ่ เรอื งมั่นคงในเร็ววัน และพระมัชฌันติกเถระน่าจะแตกฉานภาษาสันสกฤต เปน็ อยา่ งดี เพราะมหี ลกั ฐานระบวุ า่ ชาวแควน้ คนั ธาระนยิ มใช้ ภาษาสนั สกฤตเปน็ หลกั ในการสนทนาแลกเปลยี่ นความคดิ เหน็ กนั แมส้ มยั ชาวกรกี เขา้ มาครอบครองจะเปลย่ี นเปน็ ภาษากรกี ก็ตาม แต่ค�ำส่วนใหญ่ก็ล้วนผสมผสานกับภาษาสันสกฤต อยา่ งแยกกนั ไม่ออก อกี ประการหนง่ึ การเดินทางไปของพระมชั ฌนั ติกเถระ คร้ังน้ีถือว่าเป็นตัวแทนของกษัตริย์ จึงได้รับการต้อนรับเป็น

20 อยา่ งดจี ากเจา้ เมอื งและอาณาประชาราษฎร์ ไมน่ านพระพทุ ธ ศาสนากห็ ยง่ั รากฝงั ลกึ ลงในแควน้ คนั ธาระ โดยมศี นู ยก์ ลางอยู่ ท่เี มืองหลวงตักกสลิ า พระเจ้าอโศกมหาราชนัน้ โปรดใหส้ รา้ ง ปชู นยี สถานสำ� คญั เรยี กวา่ ธรรมราชกิ สถปู ซงึ่ ภายในประดษิ ฐาน พระบรมสารรี กิ ธาตุ หลกั ฐานยนื ยนั พระราชภารธรุ ะดา้ นศาสนา ของพระเจ้าอโศกในแว่นแคว้นคันธาระคือศิลาจารึกแผ่นหิน ท่ีเมืองซาห์บัซ ครหิ (Shahbz Garhi) และท่ีมันเซฮ์รา (Mansehra) เนอ้ื หามคี วามคลา้ ยคลงึ กนั กบั เสาอโศกอกี หลาย แห่งทว่ั อนุทวปี อินเดีย ดา้ นหลกั ฐานฝา่ ยพทุ ธศาสนามหายานอา้ งวา่ สมยั สงั คายนา ครง้ั ท่ี ๓ นน้ั พระเจา้ อโศกมหาราชโปรดใหอ้ าราธนาพระสงฆ์ จากแคว้นคันธาระเข้าร่วมการสังคายนาด้วย หากหลักฐาน ดังกล่าวเป็นจริงก็แสดงให้เห็นว่า แว่นแคว้นคันธาระนับถือ พระพุทธศาสนามาแต่เดิมแลว้ ยง่ิ มพี ระสงฆ์ระดับนกั ปราชญ์ แตกฉานในพระไตรปิฎก และได้รับการนิมนต์จากพระเจ้า อโศกมหาราช ยง่ิ แสดงใหเ้ หน็ วา่ พระพทุ ธศาสนาในแวน่ แควน้ นรี้ ่งุ เรอื งมัน่ คงเพียงไร ตรงน้ีผิดถูกอย่างไรเป็นเร่ืองของคัมภีร์ทิพยาวทาน ผู้เขยี นนำ� มาเลา่ ต่อเท่าน้ัน

21 ตลอดระยะเวลาแห่งการครองราชย์ พระพุทธศาสนา ตลอดอาณาจกั รโมรยิ ะของพระเจา้ อโศกมหาราชรงุ่ เรอื งมน่ั คง ยง่ิ นกั แมแ้ ควน้ คนั ธาระกม็ ไิ ดแ้ ตกตา่ งกนั วา่ กนั วา่ มผี า้ กาสาว พัตร์และพระธรรมค�ำสอนของพระพุทธเจ้าดาษดื่นเต็มแคว้น คนั ธาระ ผเู้ ขยี นเหน็ วา่ เนอ่ื งจากเมอื งตกั กสลิ าเปน็ มหาวทิ ยาลยั มนี กั ปราชญร์ าชบณั ฑติ เตม็ บา้ นเตม็ เมอื ง ครนั้ พระพทุ ธศาสนา เขา้ ไปเผยแผม่ น่ั คงแล้ว คำ� สอนของพระพุทธเจ้าน่าจะร่งุ เรือง มากกว่าเมืองอื่น เพราะค�ำสอนของพระพุทธเจ้าเข้าไปช่วย เสรมิ ความรเู้ ดมิ ของอาจารยท์ ศิ าปาโมกขใ์ หเ้ ดน่ ชดั ลมุ่ ลกึ ยงิ่ ขนึ้ ว่ากันว่าสมัยนั้นเมืองตักกสิลาเป็นศูนย์กลางการศึกษา พระพุทธศาสนา มีอารามวิหารเกิดข้ึนมากมาย มีพระสงฆ์ นักปราชญ์เป็นจ�ำนวนมาก ชื่อเสียงเป็นที่รู้จักแพร่หลายของ ชาววิเทศ และเนื่องจากเมืองตักกสิลาเป็นทางเชื่อมต่อกับ เอเชียกลาง จึงเป็นเหตุให้มีการปะทะกันระหว่างอารยธรรม อนิ เดียกับอารยธรรมกรีก ซงึ่ สมัยนน้ั อาณาจกั รบากเตรียของ ชาวกรีกก�ำลังแผ่แสนยานุภาพเข้ามาสู่บริเวณภาคเหนือของ อนทุ วปี อนิ เดีย คร้ันพระเจ้าอโศกมหาราชสวรรคตสิ้นแล้ว บ้านเมืองก็ แตกแยกแบง่ ฝา่ ย เฉพาะแควน้ คนั ธาระนนั้ ปกครองโดยพระเจา้

22 กนุ าละ (Kunala) วา่ กันว่าพระองคน์ ับถือลัทธิฮินดูไศวนิกาย มีอาจารย์ช่ือว่าอวธุตะ สมัยพระราชบิดายังมีพระชนม์อยู่ยัง ไม่แสดงอาการให้ปรากฏ ครั้นพระราชบิดาสวรรคตล่วงแล้ว พระองคจ์ งึ สนบั สนนุ ลทั ธฮิ นิ ดไู ศวนกิ ายอยา่ งเตม็ ที่ แตค่ รน้ั จะ ใชว้ ธิ รี นุ แรงกก็ ลวั วา่ จะเกดิ ผลเสยี หาย จงึ รบั สงั่ ใหม้ กี ารโตว้ าที แข่งกันระหว่างอาจารย์ของพระองค์กับพระสงฆ์นักปราชญ์ การโต้วาทคี ราวนน้ั จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของชาวพทุ ธ เหตุการณ์ครั้งนี้กลายเป็นจุดเร่ิมต้นแห่งการล่มสลาย สมัยต่อมา

23 ตอนปลายราชวงศโ์ มรยิ ะพราหมณค์ นหนง่ึ ชอื่ วา่ ปษุ ยมติ ร (Pushyamitra) ไดป้ ระหารกษตั รยิ แ์ หง่ ราชวงศโ์ มรยิ ะเสยี แลว้ สถาปนาราชวงศส์ งุ คะข้นึ ด้วยเหตทุ พี่ ระองคน์ ับถอื ลัทธิฮินดู จึงมองเห็นว่าพระพุทธศาสนาได้รับอภิสิทธ์ิเหนือศาสนาแห่ง ตนมาแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช จึงรับส่ังให้ท�ำลายพระ พุทธศาสนาอย่างถงึ รากถงึ โคน โดยมีคำ� กล่าวกนั ว่า “ศรี ษะ พระสงฆ์มีค่าเท่ากับทอง” มิใช่เฉพาะพระสงฆ์เท่าน้ันท่ีต้อง เผชญิ กบั ราชภยั แมอ้ ารามวหิ ารกถ็ กู เผาทำ� ลายเสยี หายยอ่ ยยบั ภายหลังพระองค์เห็นว่าเมืองปาฏลีบุตรชัยภูมิไม่เหมาะสม จงึ ใหย้ า้ ยเมอื งหลวงไปอยเู่ มอื งสาคละ (ปจั จบุ นั เรยี กวา่ Sialkot) บรเิ วณแควน้ ปญั จาบประเทศปากสี ถาน ความเกรย้ี วกราดตอ่ พระพุทธศาสนาของพระองค์ยงั ลามไปถงึ เมืองตักกสิลาดว้ ย ผเู้ ขยี นเหน็ วา่ การยา้ ยเมอื งหลวงไปอยทู่ เี่ มอื งสาคละทาง ตอนเหนือนั้น น่าจะเป็นเพราะกระแสการท�ำลายพระ พทุ ธศาสนาในเมอื งปาฏลบี ตุ รมากกวา่ อาจถกู ชาวพทุ ธตอ่ ตา้ น ไมย่ อมเชอื่ ฟงั พระองคค์ งเหน็ วา่ หากอยนู่ านจะกลายเปน็ ปญั หา ลกุ ลามใหญโ่ ต จงึ ตดั ปญั หาดว้ ยการยา้ ยไปอยเู่ มอื งสาคละเสยี หรอื อาจเปน็ ไปไดว้ า่ ขณะนน้ั กษตั รยิ ก์ รกี แหง่ อาณาจกั รบากเตรยี

24 ก�ำลังขยายดินแดนลงมาทางตอนเหนือของอินเดีย พระองค์ เกรงว่าจะเสียดินแดนจึงย้ายเมืองหลวงไปที่เมืองสาคละ ซึ่ง เป็นเมืองหนา้ ด่านคอยบัญชาการต่อสูก้ บั กษตั รยิ ์กรกี แต่ราชวงศ์สุงคะของพระองค์ก็ไม่แข็งแกร่งเหมือนสมัย พระเจ้าอโศกมหาราช เน่ืองจากภายหลังการสวรรคตของ พระองค์ กษตั รยิ ก์ รกี แหง่ อาณาจกั รบากเตรยี ไดบ้ กุ รกุ ยดึ ครอง บริเวณภาคเหนือของอินเดียท้ังหมด แล้วเริ่มรุกคืบลงทางใต้ ทลี ะเลก็ ละนอ้ ย เหตเุ ปน็ เชน่ นนั้ เพราะอาณาจกั รของชาวอนิ เดยี ไดแ้ ตกแยกเปน็ อาณาจกั รเลก็ อาณาจกั รนอ้ ย แตล่ ะอาณาจกั ร ตา่ งท�ำสงครามแย่งชิงดนิ แดนกนั เอง จึงเปิดชอ่ งใหอ้ าณาจกั ร ของชาวกรีกสามารถตงั้ มัน่ อารยธรรมกรกี ไดอ้ ย่างม่นั คง ผเู้ ขยี นเหน็ วา่ การแตกแยกเปน็ อาณาจกั รเลก็ นอ้ ย นา่ จะ เกิดจากขาดความประนีประนอมทางศาสนา จะเห็นได้ว่า อาณาจักรโมริยะของพระเจ้าอโศกมหาราช มีดินแดนกว้าง ใหญไ่ พศาลเพราะทรงเนน้ ความประนปี ระนอมทางศาสนา แม้ พระองค์จะยกพุทธศาสนาเป็นค�ำสอนหลักในการขับเคลื่อน บา้ นเมอื งกจ็ รงิ แตค่ ำ� สอนของศาสนาอน่ื กท็ รงใหก้ ารสนบั สนนุ เชน่ เดยี วกนั แตก่ ษตั รยิ อ์ นิ เดยี ภายหลงั พระองคท์ รงใชศ้ าสนา นำ� หนา้ การเมอื ง เมอื่ นยิ มศาสนาใดกม็ กั ยกศาสนาแหง่ ตนแลว้

25 เที่ยวเขน่ ฆ่าทำ� ลายศาสนาอนื่ เปน็ เหตใุ หศ้ าสนกิ แตล่ ะศาสนา พากนั เอาใจออกหา่ ง บางแห่งกอ่ การจลาจลกม็ ใี หเ้ หน็ บอ่ ย ปจั จบุ นั วนั นลี้ กั ษณะเชน่ นก้ี เ็ รมิ่ มองเหน็ ชดั ในประเทศไทย สมัยอาณาจักรบากเตรียของกรีกเข้าปกครองแคว้นคัน ธาระนน้ั ปรากฏวา่ พระพทุ ธศาสนาไดร้ บั การอปุ ถมั ภเ์ ปน็ อยา่ งดี เหตุเพราะชาวกรีกน้ันนิยมศิลปะวิทยาการ จึงเกิดการผสม ผสานกันระหว่างอารยธรรมกรีกกับอารยธรรมพุทธศาสนา เมอื งตกั กสลิ าทเี่ คยโรยราสมยั พระเจา้ ปษุ มติ รแหง่ ราชวงศส์ งุ คะ

26 ก็ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ข้ึนมาใหม่ กลายเป็นดินแดนท่ี นกั ปราชญร์ าชบณั ฑติ ตอ้ งการเดนิ ทางมาศกึ ษาเรยี นรขู้ มุ ปญั ญา การผสมผสานกนั ระหวา่ งอารยธรรมกรกี และอารยธรรม พทุ ธศาสนา เปน็ ผลใหเ้ กดิ การสรา้ งพระพทุ ธรปู ครง้ั แรกในโลก กลายเปน็ พระพุทธศาสนาแบบคนั ธาระ และสมยั พระพทุ ธศาสนาเจรญิ รงุ่ เรอื งในแควน้ คนั ธาระนน้ั นกิ ายเปน็ ทน่ี ยิ มแพรห่ ลายชอื่ วา่ สรวาสตวิ าท (Sarvastivada School) ความโด่งดังของนิกายนี้เท่าท่ีสืบค้นได้คือใช้คัมภีร์ อภธิ รรมปฎิ กเปน็ หลกั ขณะทภ่ี าษากใ็ ชภ้ าษาสนั สกฤตเผยแผ่ และบันทึกค�ำสอนของพระพุทธเจ้า ค�ำสอนของนิกายน้ีจึง ลุม่ ลึกดว้ ยอรรถดว้ ยธรรมอยา่ งลกึ ซงึ้ หลักฐานบางแห่งอ้างว่านิกายสรวาสติวาทเดิมอยู่ที่ แควน้ มคธ ภายหลงั ตอ่ มาไดอ้ พยพโยกยา้ ยไปอยแู่ ควน้ คนั ธาระ สันนิษฐานว่าการโยกย้ายดังกล่าวน่าจะเกิดขึ้นสมัยพระเจ้า ปษุ ยมติ รแหง่ ราชวงศส์ งุ คะทเ่ี บยี ดเบยี นบฑี าพระสงฆอ์ งคเ์ ณร พระสงฆ์ที่ไม่เห็นด้วยกับความโหดร้ายของกษัตริย์พระองค์นี้ ได้พากนั หลบหนไี ปอยูแ่ ควน้ ธาระดงั กลา่ ว ส่ิงหนึ่งซึ่งสมควรกล่าวถึงคือประเพณีการโต้วาทีแบบ นกั ปราชญเ์ กดิ มขี นึ้ บนแผน่ ดนิ แควน้ คนั ธาระมานาน สนั นษิ ฐาน

27 ว่าน่ามีต้ังแต่สมัยเป็นเมืองแห่งการศึกษา และคร้ันพวก ชาวกรีกได้เคลื่อนย้ายเข้ามาครอบครองบริเวณแถบนี้ น่าจะ เห็นวา่ สามารถเข้ากบั ลกั ษณะนสิ ัยแหง่ ตนได้เป็นอย่างดี จึงมี การรกั ษาประเพณีสบื ตอ่ เร่ือยมา ลักษณะการโต้วาทีแบบนักปราชญ์คือ แต่ละฝ่ายต่างมี สิทธนิ �ำเสนอหลกั คำ� สอนแหง่ ลัทธิตน ขณะเดียวกนั กส็ ามารถ หักล้างกรณีคู่ปรปักษ์กล่าวร้ายต่อค�ำสอนแห่งตน การวัดผล แพ้ชนะข้ึนอยู่กับเหตุและผล ฝ่ายไหนแพ้ต้องยอมเป็นศิษย์ ของผู้ชนะโดยไม่คัดค้านแต่ประการใด บางคร้ังการโต้วาทีก็

28 สามารถส�ำเร็จเสร็จส้ินภายในเวลาอันสั้น แต่บางครั้งต้องใช้ เวลานานหลายเพลา หากผู้อ่านมองภาพไม่ออกก็ขอแนะน�ำให้ฟังพระเทศน์ สองธรรมาสน์ หรอื เรยี กวา่ เทศนโ์ จทก์ จะเหน็ วา่ ฝา่ ยหนง่ึ เปน็ ฝ่ายถามอีกฝ่ายหน่ึงเป็นฝ่ายตอบ การถามตอบเป็นลักษณะ เอ้อื อาทรกันไม่หกั ลา้ งให้แพ้จนเสยี หน้า และเรือ่ งท่ีถามตอบ มกั อยใู่ นหลกั ธรรมเปน็ พนื้ สว่ นเรอ่ื งราวในชวี ติ ประจำ� วนั เปน็ เรอื่ งผสมแทรกเขา้ มาเพอื่ ใหก้ ารถามตอบมบี รรยากาศนา่ สนใจ มากขึ้น

29 จะเห็นได้ว่าก่อนพระนาคเสนเถระจะอุบัติขึ้นในโลกนั้น พระพทุ ธศาสนาในบา้ นเกดิ เมอื งนอนของทา่ นไดห้ ยงั่ รากฝง่ั ลกึ เป็นท่ีเรียบร้อยแล้ว และตลอดดินแดนแคว้นคันธาระมี พระสงฆ์นักปราชญ์ผู้แตกฉานในพระไตรปิฎกและลุ่มลึกด้วย การปฏบิ ตั มิ เี ปน็ จำ� นวนมาก การจะแสวงหาอาจารยเ์ พอ่ื ศกึ ษา เรียนรู้พระพุทธศาสนาอย่างแตกฉานก็เป็นเรื่องง่ายส�ำหรับ สมัยน้ัน ด้วยเหตุดังกล่าว ความลุ่มลึกด้านสติปัญญาของ พระนาคเสนเถระจึงมาจากปจั จยั เหล่าน้ีฯ

30

31 ๓ พระนาคเสนเถระ สองตอนผา่ นมาผอู้ า่ นคงทราบ Background ความเป็น มาและคติความเช่ือของบ้านเกิดเมืองนอนพระนาคเสนเถระ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว นับแต่น้ีไปจะได้กล่าวถึงประวัติพระ นาคเสนเถระ บอกกอ่ นวา่ พระนาคเสนนน้ั มไิ ดเ้ กดิ ในดินแดน บา้ นปา่ เมอื งเถอ่ื น แตต่ รงกนั ขา้ มสมยั ทา่ นถอื กำ� เนดิ เกดิ มานน้ั บรรยากาศเตม็ ไปดว้ ยผา้ กาสาวพสั ตรแ์ ละการแลกเปลย่ี นความ คดิ เหน็ เชงิ ปญั ญา โดยเฉพาะศลิ ปะวทิ ยาการแบบชนชาตกิ รกี ถา้ ผอู้ า่ นนกึ ภาพไมอ่ อกวา่ ศลิ ปะเปน็ เชน่ ไร แนะนำ� ใหไ้ ปสนทนา กบั อาจารยเ์ ฉลมิ ชยั โฆษติ พพิ ฒั น์ รบั รองวา่ รแู้ ทถ้ งึ แกน่ แนน่ อน ต�ำรากล่าวว่าพระนาคเสนเถระนั้นเกิดมาเพราะพุทธ พยากรณ์ พทุ ธพยากรณ์ หมายความวา่ พระพทุ ธเจา้ ทรงพยากรณ์ ดว้ ยพระองคเ์ องวา่ อนาคตกาลภายหนา้ “ยงั มภี กิ ษอุ งคห์ นงึ่ มี

32 นามชอื่ วา่ นาคเสน แสนฉลาดอาจสามารถทจ่ี ะแกอ้ รรถปญั หา ของพระเจ้ามิลินท์ให้ทรงโสมนัสยินดีได้ด้วยวิจิตรอุปมา และพระนาคเสนนั้นจะกระท�ำศาสนาของตถาคตให้ปรากฏ ถาวรตงั้ มั่นไปถ้วน ๕,๐๐๐ พระวัสสา” ตรงนผี้ เู้ ขยี น decide for sure ว่าพระพทุ ธเจ้าคงมไิ ด้ พยากรณเ์ ปน็ แน่ เหน็ จะเปน็ การแตง่ ขนึ้ ทหี ลงั เพอ่ื ใหเ้ รอื่ งราว มีน�้ำหนักเท่าน้ันเอง เหตุผลสนับสนุนคือการพูดถึงอายุ พระศาสนา ๕,๐๐๐ ปี ความจริงคติความเชื่อเช่นน้ีปรากฏ เห็นในคัมภีร์ช้ันอรรถกถาของศรีลังกา ประมาณอายุได้หลัง

33 พุทธปรินิพพาน ๑,๐๐๐ ปี ฟันธงตรงน้ีว่าเน้ือความเช่นน้ี น่าจะแตง่ เสริมที่ประเทศศรีลงั กาน้ันเอง ใครแตง่ นัน้ ยากที่จะ เดาคงตอ้ งหาโหรมาจับยามสี่ตากนั อกี ที ว่ากันว่าเดิมน้ันพระนาคเสนเป็นเทวบุตรสถิตอยู่ใน เกตุมวดีวิมานแห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระอรหันต์หลายล้าน รูปมีพระอัสสคุตเถระเป็นต้นเป็นประธาน เห็นว่ามีปัญญาธิ การอันสูงส่งสามารถปราบพระเจ้ามิลินท์ได้ จึงพากันไปเชิญ ใหม้ าเกดิ ยังมนษุ ยโลก โดยร้องขอว่า “ดูกรมหาเสนเทวบุตร เอ๋ย อาตมานเ้ี หน็ อย่กู ็แตท่ ่านผเู้ ดียวจะเชิดชพู ระศาสนาของ พระชนิ สหี ์ ทา่ นจงรบั คำ� รบั วาจาใหป้ ฏญิ าณทจี่ ะจตุ จิ ากวมิ าน ลงไปเกดิ ในมนษุ ยโลกเถดิ ” ตรงน้ผี ู้อ่านเหน็ เหมือนผู้เขยี นหรอื ไม่? เนอ้ื เรื่องตอนนเี้ หมือนจะ focus ไปท่ีพระนาคเสนเถระ แมจ้ ะปรากฏมพี ระอรหนั ตห์ ลายลา้ นรปู แตห่ ามรี ปู ใดมปี ญั ญา ธิการเสมอพระนาคเสนไม่ เร่ืองนี้เป็นจริงอย่างนั้นหรือไม่? ผเู้ ขยี นอยากจะบอกวา่ plot ตอนนเ้ี หมอื นเทวดาผใู้ หญพ่ ากนั ไปอญั เชญิ สนั ดสุ ติ เทวบตุ รใหม้ าประสตู เิ พอื่ ตรสั รเู้ ปน็ พระสมั มา สมั พทุ ธเจา้ อยากจะเดาเอาวา่ สมยั นน้ั วรรณะชนั้ สงู นา่ จะทรง

34 อิทธิพลสูงต่อสังคม ผู้แต่งจึงยกย่องพระนาคเสนไว้สูงเสมอ พระโพธสิ ัตว์เจา้ มหาเสนเทวบุตรครั้นรับค�ำเชิญแล้วก็จุติจากเทวโลกมา บงั เกดิ ในครรภภ์ รรยาของโสณตุ รพราหมณ์ ผเู้ ปน็ นายบา้ นแหง่ ชังคลคาม ซึ่งอยู่ใกล้เขาหิมพานต์ ไม่มีหลักฐานระบุว่าบิดา ของนาคเสนกมุ ารทำ� อาชพี อะไร สนั นษิ ฐานวา่ หากไมเ่ ปน็ พอ่ คา้ กน็ า่ จะเปน็ ปโุ รหติ าจารย์ เพราะอาชพี หลกั ของพราหมณส์ มยั นนั้ จะวนเวยี นอยกู่ บั สองอยา่ งนี้ บดิ าของนาคเสนกมุ ารเหน็ จะ รวยโขอยู่เพราะสามารถจ้างครูมาสอนบุตรถึงท่ีบ้าน ย่ิงเป็น ความรู้ชั้นสูงระดับไตรเพทยิ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง เทียบค่า สอนกบั สมยั ปจั จุบนั น่าจะซอ้ื บา้ นแถวสาทรได้หลายหลงั นาคเสนกุมารนั้นโตมากับบรรยากาศแบบพราหมณ์ เพราะเรียนเจนจบไตรเพทและศลิ ปะศาสตร์เหล่าอน่ื ว่าตาม ประวัตินาคเสนกุมารนั้นเป็นคนอยากรู้อยากเห็นช่างสงสัย เอาการอยู่ ภาษานักเขียนเรียกว่า insatiable curieux บางคำ� ถามก็เล่นเอาครูสอนถอดใจ เพราะส่ิงทตี่ นอยากรเู้ กิน ความสามารถของครูสอน พอหาค�ำตอบจากครูไม่ได้ก็ร�ำพึง ในใจว่า “ศิลปะศาสตร์ไตรเพทที่เราร�่ำเรียนมา เหมือน ลอมฟางว่างเปลา่ ไม่มีแกน่ สาร”

35 พออ่านประโยคน้ีตรงนผ้ี เู้ ขียนอดแปลกใจไม่ได้ ธรรมดาของผู้เกิดในสกุลพราหมณ์มักถูกหล่อหลอมให้ ศรัทธาม่ันคงในค�ำสอนลัทธิพราหมณ์ ซึ่งสอดแทรกอยู่ใน พิธีกรรมและวิถีชีวิต การท่ีเด็กคนหน่ึงผู้เกิดในบรรยากาศ พราหมณจ์ ะมคี วามคดิ เหน็ แบบนน้ี อ้ ยนกั คำ� สอนของพราหมณ์ เองไม่มีช่องว่างให้คิดนอกกรอบเลย มีแต่ปลูกฝังให้ศรัทธา มนั่ คงในพระเจา้ อยา่ งเหนยี วแนน่ ผเู้ ขยี นเชอ่ื วา่ บรรดาครสู อน ของนาคเสนกุมารน้นั อาจจะมีบางคนแทรกคำ� สอนของพระ พทุ ธศาสนาในบทเรยี นกเ็ ปน็ ได้ อาศยั วา่ นาคเสนกมุ ารมปี ญั ญา เปน็ เลิศ จงึ เปน็ เร่อื งไมย่ ากที่จะจบั ประเดน็ ความคดิ เหล่านี้ได้

36 เหตุผลส�ำคัญคือสมัยนาคเสนกุมารน้ัน แคว้นตักกสิลา รงุ่ เรอื งแพรห่ ลายดว้ ยคำ� สอนของพระพทุ ธเจา้ โดยการสง่ เสรมิ สนับสนุนของพระเจ้าอโศกมหาราชเป็นปฐม และสืบเนื่อง เรื่อยมาโดยกษัตริย์กรีกท่ีเข้ามาปกครองอาณาบริเวณเหล่านี้ อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนานา่ จะสง่ ผลตอ่ นกั คดิ นกั เขยี นสมยั นนั้ ไมม่ ากกน็ อ้ ย ตอนนม้ี าพดู ถงึ นาคเสนกมุ ารเกย่ี วพนั กบั พระพทุ ธศาสนา คัมภีร์บรรยายไว้ว่าพระโรหณเถระแห่งวัตตนิยเสนาสนะ ได้ทราบด้วยจิตว่าถึงเวลาจะชักชวนนาคเสนกุมารออกบวช แลว้ จงึ เดินทางไปสนทนากบั นาคเสนกมุ ารถึงบ้าน ความจริง คอื พระเถระรปู นไ้ี ดร้ บั มอบหมายจากคณะสงฆใ์ หเ้ ปน็ ผชู้ กั ชวน นาคเสนกมุ ารออกบวช พร้อมสอนส่ังความรู้เบอื้ งตน้ เกย่ี วกบั สมณวิสยั นาคเสนกมุ ารไมร่ จู้ กั พระสงฆม์ ากอ่ นจงึ สงสยั การแตง่ ตวั และจดุ ประสงคก์ ารบวช ครนั้ พระโรหณะตอบวา่ พระสงฆเ์ ปน็ เครือ่ งหมายของการหาทางพน้ ทกุ ข์ เทา่ น้นั เองนาคเสนกมุ าร ก็ตัดสินใจอ�ำลาบิดามารดาเพื่อค้นหาทางหลุดออกจากทุกข์

37 ทันที ดูตามเนื้อหาดูเหมือนว่านาคเสนกุมารไม่เคยเห็นพระ สงฆม์ ากอ่ น แตเ่ ปน็ ไปไดย้ ากนกั เพราะสมยั นน้ั เมอื งตกั กสลิ า เตม็ ไปดว้ ยพระสงฆเ์ ดนิ บณิ ฑบาตและสง่ั สอนธรรม คำ� ถามวา่ นี้เป็นครั้งแรกที่นาคเสนกุมารได้มีโอกาสสนทนากับพระสงฆ์ จรงิ หรอื ? ตรองดูหลายรอบแลว้ เหตผุ ลไมน่ า่ จะเพยี งพอ ตรงนที้ ำ� ใหผ้ เู้ ขยี นนกึ ถงึ พระลกู ศษิ ยห์ ลวงพอ่ ชา สภุ ทั โท หลายรูปมีประวัติชี้ว่าศรัทธาเคร่งครัดในคริสต์ศาสนามาก เพราะศาสนาตกี รอบใหเ้ ชอื่ พระเจา้ องคเ์ ดยี ว หากเปลย่ี นศาสนา จะถกู สาปตกนรกไมม่ วี นั ผดุ วนั เกดิ no way in, no way out

38 แต่ครัน้ ได้สนทนากับหลวงพ่อชา สุภทั โท เหมือนกับเปิดของ ทีป่ ิดและหงายของท่ีควำ�่ พากนั ตดั สนิ ใจออกบวชทันที นาคเสนกุมารกน็ ่าจะมีลกั ษณะเชน่ น้ี พระโรหณเถระน้ันคร้ันบรรพชาให้นาคเสนกุมารผู้มี อายเุ จ็ดพรรษาแลว้ กพ็ าสามเณรน้อยเดนิ ทางไปปฏบิ ัตธิ รรม หลายแหง่ ตอ่ มาครนั้ เหน็ วา่ ถงึ เวลาแลว้ จงึ สอนพระอภธิ รรมปฎิ ก คำ� ถามคือเหตใุ ดจึงเลอื กสอนพระอภิธรรมปฎิ ก? คัมภีร์บอกว่าสามเณรนาคเสนมีปัญญาเลิศล�้ำเหมาะ ส�ำหรับศึกษาพระอภิธรรม “เพราะพระวินัย พระสูตรต้ืน ไม่ลึกล้�ำเหมือนพระปรมัตถธรรม” นาคเสนสามเณรใช้เวลา ทบทวนไตรต่ รองพระอภิธรรมอยู่ ๗ เดอื น จงึ แตกฉานเปน็ ท่ี ยอมรับของพระเถราจารย์น้อยใหญ่ คัมภีร์สรรเสริญว่า “พระอรหันต์ร้อยโกฏิท่านซ่องสาธุการช่ืนบานหรรษาโสมนัส ยนิ ดวี า่ แตน่ ไ้ี ปศาสนาของสมเดจ็ พระโลกนายกเจา้ จะรงุ่ โรจน์ โชตนาการไปในกาลน้ี” ผู้เขียนเคยพูดถึงตอนท่ีแล้วว่าก่อนพระนาคเสนเถระจะ บังเกิดน้ัน เมืองตักกสิลารุ่งเรืองด้วยพระพุทธศาสนานิกาย สรวาสติวาท (Sarvastivada School) คัมภีร์ที่นิกายน้ีให้

39 ความสำ� คญั คอื พระอภธิ รรมปฎิ ก ถา้ จะบอกวา่ พระโรหณเถระ อาจารย์ของสามเณรนาคเสนสังกัดนิกายน้ีก็คงไม่เกินความ จรงิ นกั ใครเหน็ ต่างจากนี้ก็หาหลกั ฐานมายัน!!! นบั แตบ่ รรพชาจนอายยุ า่ งเขา้ สอู่ ปุ สมบทวธิ ี พระนาคเสน ทำ� หนา้ ทปี่ รนนบิ ตั อิ ปุ ชั ฌายเ์ ปน็ อยา่ งดี วนั หนงึ่ พระอปุ ชั ฌาย์ เห็นว่าสมควรแก่เวลาเพื่อศึกษาเพิ่มเติมแล้ว จึงแจ้งสามเณร ว่า “พระเจ้ามิลินท์นั้นมีปัญญาเที่ยวโต้วาทีสมณชีพราหมณ์ จนไม่มีใครกล้าต่อกร มีแต่สามเณรเท่าน้ันพอท่ีจะปราบได้

40 แตเ่ หน็ ควรศกึ ษาเพม่ิ เตมิ ใหแ้ ตกฉานในคำ� สอนของพระพทุ ธเจา้ เสยี กอ่ น” นเี้ ปน็ เหตผุ ลทพี่ ระอปุ ชั ฌายส์ ง่ สามเณรไปศกึ ษากบั พระอัสสคุตเถระ พระนาคเสนเถระพำ� นกั อยกู่ บั พระอสั สคตุ เถระหนง่ึ พรรษา ไมไ่ ดศ้ กึ ษาเลา่ เรยี นอนั ใด นยั วา่ พระอสั สคตุ เถระไมไ่ ดแ้ ตกฉาน ในพระไตรปฎิ ก เปน็ แตพ่ ระอรหนั ตบ์ รรลมุ รรคผลเทา่ นนั้ ตลอด พรรษานั้นพระนาคเสนเถระจึงมิได้เกิดมรรคผลอันใด ตรงนี้ ตีความได้ว่าพระนาคเสนเถระเรียนจบพระอภิธรรมปิฎกจาก ส�ำนักอาจารย์แห่งตนคงจะมีทิฐิไม่น้อย การพ�ำนักอยู่กับ พระอสั สคตุ เถระนา่ จะเปน็ การทรมานเพอื่ ลดทฐิ ิ แลว้ สง่ ตอ่ ให้ พระเถระอีกรปู หนึ่งทำ� หนา้ ทีต่ อ่ ไป คร้ันปวารณาออกพรรษาแล้ว พระอัสสคุตเถระได้ส่ง พระนาคเสนเถระไปยงั สำ� นกั พระธรรมรกั ขติ เถระแหง่ อโศการาม เมอื งปาตลบี ตุ ร ซง่ึ เปน็ เมอื งหลวงเกา่ สมยั พระเจา้ อโศกมหาราช ระหว่างเดินทางได้อาศัยพ่อค้าเกวียนถวายการอุปัฏฐากด้วย ภัตตาหาร ว่ากันว่าตลอดเดินทางพ่อค้าสนทนากับพระนาค เสนเถระดว้ ยอภธิ รรมกถา จนพากนั บรรลุโสดาบัน ตรงนช้ี ใ้ี หเ้ หน็ วา่ สมยั นน้ั พระอภธิ รรมปฎิ กเปน็ ทร่ี จู้ กั แพร่ หลายจรงิ

41 พระนาคเสนเถระเรียนพระไตรปิฎกในส�ำนักของพระ ธรรมรกั ขิตเถระเปน็ เวลา ๖ เดือน แตกฉานในพระไตรปิฎก เป็นอย่างดี จากนั้นได้เรียนวิธีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ไม่นานพระนาคเสนเถระก็บรรลุพระอรหันต์พร้อมด้วยปฏิ- สมั ภิทา คมั ภรี บ์ อกวา่ คราวเมอ่ื พระนาคเสนเถระบรรลอุ รหนั ตน์ น้ั พระอรหนั ตห์ ลายลา้ นรปู เหลา่ เทวดานอ้ ยใหญ่ และชาวบา้ น ต่างแซ่ซ้องสาธุการ อยากจะตีความตรงน้ีว่าการบรรลุพระ อรหนั ตข์ องพระนาคเสนเถระนา่ จะเปน็ ทร่ี จู้ กั แพรห่ ลาย คนท่ี

42 แจง้ ขา่ วคงไมใ่ ชใ่ ครอน่ื นอกจากชาวพทุ ธนน่ั เอง ลำ� พงั พระทา่ น คงไม่กล้าเอ่ยปากบอกกันหรอกเพราะมีวินัยห้ามไว้ ยกเว้น บางรูป!!! ครั้นบรรลุอรหันต์ได้ไม่นานงานก็เข้าพระนาคเสนเถระ กล่าวคือพระอรหันต์น้อยใหญ่พากันไปรายงานพระเถระว่า “ดูกรอาวุโส บัดนี้สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ปิ่นสาคลนครนั้น เบียดเบียนพระอรหันต์และพระภิกษุทั้งหลายนัก ตั้งแต่จะ เท่ียวซักถามปริศนาและหาบุคคลผู้ใดจะพยากรณ์กล่าวแก้ ไมไ่ ด้ กอ็ าวโุ สจงไปแกไ้ ขปรศิ นา ทรมานพระเจ้ามิลินทใ์ หเ้ สีย พยศอน้ รา้ ยเสียเถิด”


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook