Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore LK-003หนังสือตามรอยพระพุทธบาทฯ

LK-003หนังสือตามรอยพระพุทธบาทฯ

Description: LK-003หนังสือตามรอยพระพุทธบาทฯ

Search

Read the Text Version

เห็นจะเป็นพระสงฆ์ไทยกลุ่มแรกที่น�าเอาคติความเชื่อ เรอื่ งรอยพระพทุ ธบาทไปเผยแผย่ งั เมอื งไทย โดยเฉพาะอาณาจกั ร สุโขทัยน้ัน พญาลิไททรงมีพระราชศรัทธายิ่งนัก ถึงกับโปรดให้ ทูตเดินทางมาคัดลอก “รอยตนี *” ของพระพทุ ธเจ้าท่ีศรปี าทะกัน เลยทีเดยี ว * รอยตนี เปน็ คา� ที่ใช้ในจารกึ ของพญาลไิ ท 49



ô ร;รоØท¸บำทãนªÁ¾ทÙ Ç»Õ ยัง นมั มะทายะ นะทิยา ปลุ ิเน จะ ตีเร ยงั สัจจะพนั ธะคริ เิ ก สุมะนา จะลคั เค ยัง ตัตถะ โยนะกะปเุ ร มนุ ิโนจะ ปาทงั ตงั ปาทะลัญชะนะมะหงั สริ ะสา นะมามิ ฯ ž รอยพระบาทใด อนั พระพทุ ธองคไ์ ดท้ รงแสดงไวแ้ ลว้ บน หาดทรายแถบฝง่ั แมน่ า้� นมั มทา เหนอื ภเู ขาสจั จพนั ธ์ เหนอื ยอดเขา สุมนะ และท่ีเมืองโยนก ข้าพเจ้าขอนมัสการรอยพระบาทนั้นๆ ของพระมนุ ีด้วยเศยี รเกลา้ ž บทกอ่ นบอกไวว้ า่ คาถาเบอ้ื งตน้ แตง่ โดยพระเถราจารยช์ าว ศรีลังกา เพื่อสร้างความเช่ือเชื่อมโยงระหว่างดินแดนพุทธภูมิกับ เกาะลังกา ปรารถนาใหเ้ รื่องราวเป็นเนอ้ื เดียวกัน เพ่อื บง่ ชวี้ า่ นอก จากดินแดนพุทธภูมิแล้ว เกาะลังกายังเป็นอีกแห่งหน่ึงซ่ึงพระ-

พทุ ธเจา้ ทรงเลือกเสดจ็ มา ภาษาสมยั ใหมเ่ รยี กวา่ เป็นการ “สร้าง กระแสเชงิ สัญลักษณ”์ มีเสียงบ่นปนหงุดหงิดร�ำคาญใจประมาณว่าปูเร่ืองจั่วหัว แล้วก็น่าจะกล่าวถึงรอยพระพุทธบาทที่เหลือให้กระจ่างชัด ให้รู้ กันเลยว่ารอยพระพุทธบาทบนดินแดนพุทธภูมิดังคาถากล่าวอ้าง อยูต่ รงไหน แลว้ เชอ่ื มโยงกับเกาะลังกาไดอ้ ย่างไร ตอบแบบก�ำปั้นทุบดินคือหากรู้ว่าอยู่ตรงไหนแน่ชัดก็คง ฟันธงลงไปแล้ว แต่นี่ได้ลายแทงตามเนื้อความแห่งพระคาถา จากคัมภีรอ์ รรถกถา ตรงนั้นนิดตรงนห้ี น่อยพอจับความไดเ้ ท่านน้ั ครน้ั จะตคี วามทกึ ทกั เอาเอง ตามลกั ษณะนง่ั เทยี นเขยี นเอา เหมอื น อยู่บนหอคอยงาช้าง ก็เป็นเร่ืองอันตรายยิ่งนัก เกรงจะไม่พ้น นรกขมุ สี่แห่งโรรุวมหานรกเป็นแน่ แต่คร้ันพยายามสืบหาหลักฐานตามลายแทงของคัมภีร์ อรรถกถาหลายแห่ง พร้อมข้อมูลหลักฐานทางภูมิศาสตร์ก็เร่ิม เห็นภาพชัดเจนมากข้ึน พอจะคาดเอาได้ว่าเหตุใดพระเถราจารย์ จงึ ผกู ปมรอยพระพทุ ธบาทของศรลี งั กาเขา้ กบั เรอ่ื งราวบนดนิ แดน พุทธภูมิ จึงเป็นอันตกลงปลงใจว่าควรวิเคราะห์รอยพระพุทธบน แผ่นดินชมพูทวีปให้แน่ชัดลงไป ผิดถูกอย่างไร คนอ่านพิจารณา เอง ถ้าเป็นอย่างน้ีผู้เขียนก็เบาใจว่า นรกคงไม่ใกล้ตัวเท่าไรนัก หรือหากจะไปจริงอย่างน้อยก็มีอีกหลายคนเดินตามเป็นเพ่ือน ไมต่ อ้ งกลัวเหงา 52

รอยพระพุทธบาท ๓ แห่งบนชมพูทวีป ได้แก่ แม่น้�า นมั มทา ภเู ขาสจั จพนั ธ์ และโยนกบุรี เบ้ืองต้นสันนิษฐานว่ารอยพระพุทธบาททั้งสามแห่งน้ ี น่าจะต้ังอยู่ในชุมชนท่ีหนาแน่นด้วยชาวพุทธที่มีศรัทธาม่ันคง พร่ังพร้อมด้วยบริษัท ๔ และได้รับการอุปถัมภ์ดูแลเป็นอย่างดี จากสถาบันพระมหากษัตริย์ นอกจากน้ันคงต้องเป็นเส้นทางการ คา้ ส�าคญั ของอินเดยี สมยั โบราณ ประเด็นท่ีบอกว่าเป็นเส้นทางการค้าเพราะสมัยก่อนผู้ท่ี จะน�าเรื่องราวหรือข่าวสาส์นของโลกอื่นมาบอกกล่าวผู้คนใน อาณาจักรแห่งตนคือพ่อค้า แม้ภายหลังจะมีนักบวชเข้ามาเบียด แย่งบทบาทไปบ้าง แต่พ่อค้าก็ยังรักษาสถานภาพน้ีอยู่อย่าง เหนียวแน่น รอยพระพุทธบาทสามแห่งบนแผ่นดินชมพูทวีป ดังกล่าวมา จึงได้รับถ่ายทอดโดยตรงมาจากปากของพวกพ่อค้า จึงสรุปว่ารอยพระพุทธบาทต้องอยู่บนเส้นทางการค้าส�าคัญ ของอนิ เดยี 53

ประเด็นต่อมาคือ ดินแดนแห่งน้ันต้องได้รับการอุปถัมภ์ ดูแลจากสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยเหตุว่า การที่พระมหา- กษัตริย์ให้ความอุปถัมภ์เป็นอย่างดี ย่อมช่ือว่าเป็นการเปิดทาง ให้ชาวพุทธสามารถปฏิบัติศาสนพิธีหรือศาสนกรรมได้อย่าง เปิดเผย เป็นท่ีรับรู้ของสาธารณชน และได้รับการยอมรับจาก ศาสนิกอ่ืนด้วย ประเด็นสุดท้ายคือ ความรุ่งเรืองของความเช่ือเรื่องรอย พระพุทธบาท เป็นหลกั ฐานชี้ให้เหน็ ถงึ ความมัน่ คงของพระพุทธ- ศาสนาบนดินแดนนั้น ความม่ันคงดังกล่าวหมายรวมถึงสถาบัน สงฆแ์ ละคฤหสั ถ์ และนา่ จะเปน็ ไปไดว้ า่ การบชู ารอยพระพทุ ธบาท บนดินแดนแห่งน้ัน เป็นที่นิยมแพร่หลายหรือเป็นที่รับรู้ของผู้ คนในวงกวา้ ง จนพ่อคา้ ต่างเมืองสามารถรบั รู้ได้อย่างงา่ ยดาย คำ� ถามคอื รอยพระพทุ ธบาททง้ั สามแหง่ นน้ั อยทู่ แ่ี หง่ ใด ? ค�ำตอบคือ อยู่บริเวณรัฐคุชราตของอินเดียในปัจจุบัน (Gujarat State) เบื้องต้นเห็นสมควรท�ำความรู้จักโยนกบุรีหรืออาณาจักร โยนกเสยี กอ่ น เพราะหากมองเหน็ ภาพของแควน้ โยนกอยา่ งชดั เจน แล้ว ย่อมจะสามารถเช่ือมโยงเส้นทางความเชื่อของรอยพระ- พุทธบาทบนแผน่ ดินชมพทู วีปได้ 54

โยนกในที่นี้หมายถึงฝร่ังด้ังขอที่อพยพโยกย้ายมาต้ังหลัก ปักฐานอยู่ท่ีอินเดียต้ังแต่โบราณนานเน กลุ่มแรกเรียกว่ากรีก บากเตรีย (Greco - Bactrian) เป็นพวกท่ีเคล่ือนย้ายมาก่อน พระพุทธเจ้าประสูติหลายพันปี ส่วนใหญ่กระจายกันอยู่บริเวณ ตอนเหนือของอินเดีย ส่วนกลุ่มที่สองเรียกว่าอินโดกรีก (Indo - Greek) หมายถึงฝรั่งชาติกรีกท่ีเดินทางมาพร้อมกับ กองทัพของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช คนไทยรู้จักกลุ่มแรก ในนามอารยนั สว่ นกล่มุ หลงั เรียกว่าโยนก ในอสั สลายนสูตร มัชฌมิ นิกาย มชั ฌมิ ปณั ณาสก์กก็ ลา่ วถึง แคว้นโยนกเช่นเดียวกัน แต่ไม่ขยายความให้เห็นเด่นชัด ระบุแต่ เพียงว่าอยู่บริเวณปัจจันตชนบทรอบนอกเท่านั้น หลักฐานตรงน้ี ชี้บอกว่าอาจมีอารยันกลุ่มหนึ่งต้ังราชวงศ์โยนกข้ึนแล้วปกครอง กนั เอง ตา่ งหากจากอารยนั กเ็ ปน็ ได้ หรอื อาจจะเปน็ พระอรรถกถา จารย์เพิม่ เตมิ มาเนือ้ หาเขา้ มาทหี ลงั ก็เกินจะเดา โยนกมาปรากฏหลกั ฐานชดั เจนสมัยพระเจา้ อโศกมหาราช เมื่อพระองค์โปรดให้จัดส่งพระธรรมทูตนามว่าพระโยนกธรรม รักขิตเถระ ไปเผยแผ่พระศาสนาที่แคว้นอปรันตกะ ซึ่งกษัตริย์ผู้ ปกครองแคว้นมิใชใ่ ครอื่นกค็ อื ชาวโยนกด้วยกนั เอง (โยนกราชา) คำ� วา่ อปรันตกะ แปลว่า สุดเขตด้านทิศปจั ฉมิ สันนษิ ฐาน ว่าน่าจะกร่อนมาจากค�ำว่าสุนาปรันตะ ซ่ึงเป็นแคว้นเก่าแก่ สมัยพุทธกาลเป็นแน่ เพราะมีหลักฐานทางภูมิศาสตร์อ้างอิงถึง ๒ แหง่ กลา่ วคือ ทา่ เรอื สุปารกะและแม่น�ำ้ นมั มทา 55

อันว่าท่าเรือสุปารกะน้ันโด่งดังมีช่ือเสียงในฐานะท่าเรือ ส�าคัญสมัยอดีต มีกล่าวถึงมากมายในคัมภีร์พระพุทธศาสนา และคมั ภรี ข์ องพราหมณ ์ เปน็ ทรี่ กู้ นั ในฐานะทา่ เรอื ถา่ ยสนิ คา้ เชอ่ื ม โยงกบั ดนิ แดนชาววเิ ทศ ปจั จบุ นั กรอ่ นเสยี งเปน็ โสปากะ อยบู่ รเิ วณ ปากนา้� นมั มทา ทางทศิ เหนอื ของเมอื งมมุ ไบ (North of Mumbai) ส่วนแม่น�้านัมมทาน้ันถือว่าเป็นหนึ่งในเจ็ดแม่น้�าศักดิ์สิทธ์ิ ของพราหมณ ์ ไดแ้ ก ่ แมน่ า�้ คงคา แมน่ า�้ ยมนุ า แมน่ า�้ โคธาวาร ี แมน่ า้� สรัสวดี แมน่ า้� สนิ ธ ุ แมน่ ้า� กาเวร ี และแม่น้�านมั มทา ปจั จบุ นั แมน่ า�้ นมั มทาถอื วา่ เป็นสายเลือดแหง่ มัธยมประเทศ มตี ้นกา� เนิดมาจาก เนินเขาอมรกันตักบริเวณต�าบลอนุปปูร์ (Amarkantak Hill of 56

Anuppur District) มีความยาวถึง ๑,๓๑๒ กิโลเมตร ไหล พาดผ่านดินแดนอินเดียเหนือและอินเดียใต้ ไหลลงสู่ทะเลท่ี อ่าวคัมบัต (Gulf of Khambat) มหาสมุทรอารเบีย จึงได้ชื่อว่า เป็นพรมแดนทางวฒั นธรรมระหวา่ งสองฝงั่ แหง่ อินเดีย หากเราวิเคราะห์เนื้อหาในอรรถกถาปุณณสูตรแห่งสังยุต- ตนกิ าย สฬายตนวรรค จะเหน็ ความเชอื่ มโยงของเรอ่ื งราวเกยี่ วกบั คติความเชื่อรอยพระพุทธบาทได้อย่างลงตัว ว่าแท้จริงแล้ว เหตุการณ์เหล่าน้ันเกิดข้ึนบนแผ่นดินแห่งแคว้นอปรันตกะแน่แท้ ส่วนภูเขาสัจจพันธ์ก็คงมิใช่ท่ีใดนอกจากสถานที่ศักด์ิสิทธ์ิสักแห่ง หนง่ึ ภายในอาณาจกั รอปรนั ตกะนน้ั เอง บางทสี จั จพนั ธด์ าบสอาจ เป็นเจ้าลัทธิคนใดคนหน่ึง ซ่ึงเป็นท่ีนับถือยกย่องของชาวเมือง กเ็ ปน็ ได้ ยอ้ นกลบั มาดแู มน่ ำ้� นมั มทาอกี รอบ ชาวฮนิ ดเู ชอื่ วา่ เกย่ี วขอ้ ง พระศิวมหาเทพ เร่อื งราวดังกลา่ วหากพดู ไปก็จะเกนิ ความจรงิ จน ยากจะยอมรับได้ สรุปเพียงแค่ว่าหินทุกก้อนที่จมอยู่ในแม่น�้ำ นัมมทาเป็นเสมือนศิวลึงค์พระศิวมหาเทพ นอกจากน้ัน แม่น�้ำ นัมมทายังเป็นดินแดนศักด์ิสิทธ์ิในฐานะเป็นบุณยสถานลอยบาป เฉกเชน่ แมน่ ำ้� ศกั ดส์ิ ทิ ธเิ์ หลา่ อนื่ สว่ นประเพณที เี่ กยี่ วขอ้ งกบั แมน่ ำ�้ นัมมทาก็จะมีการลอยประทีปบูชาพระศิวเทพเจ้าด้วย (Push- karam) 57

ผู้เขียนเห็นว่าการกล่าวถึงพระพุทธเจ้าทรงประทับรอย พระพุทธบาทบนฝั่งแม่น�้ำนัมมทาก็ดี บนภูเขาสัจจพันธ์ก็ดี ล้วนเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่าพระพุทธศาสนาได้ช�ำนะเหนือฮินดู เรียบร้อยแล้ว และผู้ท่ีบันทึกเรื่องราวคงมิใช่ใครท่ีไหนน่าจะเป็น พระสงฆ์นั่นเอง สว่ นรอยพระพทุ ธบาทอยทู่ โี่ ยนกบรุ ี เหน็ วา่ นา่ จะเปน็ สถาน ท่สี ักการบูชาของพระมหากษตั ริยเ์ ป็นแน่ แตจ่ ะอยู่ตรงไหนต้องมี การสบื คน้ กนั ตอ่ ไป ลา่ สดุ มกี ารพบรอยพระพทุ ธบาททเี่ มอื งเลก็ ๆ นามวา่ วรรธนคาร (Vadnagar) ซง่ึ เปน็ บา้ นเกดิ ของนายกรฐั มนตรี อินเดียคนปัจจุบันคือ นเรนทร โมดี (Narendra Modi) หากถือ เอาตามหลกั ฐานน้ีก็นา่ จะเปน็ ไปไดว้ า่ นา่ จะมกี ารสกั การบชู ารอย พระพทุ ธบาทตลอดแวน่ แคว้นอปรันตกะเปน็ แน่ ปัญหาต่อมาคือ คติความเช่ือเรื่องรอยพระพุทธบาท ข้ามมหาสมุทรมาเกาะลังกาได้อย่างไร ตอบว่า เพราะการติดต่อสัมพันธ์ระหว่างสมณทูตแห่ง แคว้นอปรนั ตกะและเกาะลงั กา คงจ�ำกันได้ว่าพระมหินทเถระผู้เป็นพระธรรมทูตมาเผยแผ่ พระศาสนาบนเกาะลังกาน้ัน เป็นเพ่ือนร่วมส�ำนักกับพระโยนก ธรรมรักขิตเถระ (หรืออาจจะร่วมพระอุปัชฌาย์เดียวกัน) ซึ่งเป็น พระธรรมทูตไปเผยแผ่พระศาสนาที่แคว้นอปรันตกะ และความ เป็นศิษย์ร่วมส�ำนักเดียวกันนี้เองอาจจะมีการส่งลูกศิษย์เดินทาง 58

ไปเยย่ี มเยยี นสอบถามคราวขา่ วกนั และกนั เสมอ สงั เกตไดจ้ ากเรอ่ื ง ราวการเผยแผ่พระศาสนาของพระโยนกธรรมรักขิตเถระน้ัน มี บันทกึ ไวใ้ นคมั ภีร์ส�ำคัญของศรีลงั กานามวา่ ทีปวงศ์และมหาวงศ์ และผู้ท�ำหน้าท่ีน�ำพาพระสมณทูตเหล่านั้นไปมาหาสู่กันก็ คงไม่พ้นพวกพ่อค้า บางทีอาจจะเป็นพระบรมราชโองการของ กษัตริย์ท้ังสองแว่นแคว้นก็เป็นได้ การแลกเปล่ียนเรียนรู้ซึ่งกัน และกันหลายคร้ังหลายหน น่าจะเป็นผลให้พระสงฆ์ศรีลังกาน�ำ คตคิ วามเชอ่ื เรอ่ื งรอยพระพทุ ธบาทมาเผยแผย่ งั บา้ นเกดิ เมอื งนอน แห่งตน จึงมาสรปุ ลงตรงขนุ เขาศรีปาทะพอดี 59

อีกเรื่องหน่ึงซึ่งส�ำคัญไม่น้อยคือแคว้นอปรันตกะเป็นถิ่น ก�ำเนิดของบรรพบุรุษชาวสิงหล เพราะมีเร่ืองราวบันทึกไว้ใน ต�ำนานของชาวสงิ หล แต่ไม่สามารถระบุตำ� แหน่งแหง่ หนไดอ้ ย่าง ชัดเจนว่าอยู่ตรงไหน ทราบแต่เพียงว่าชื่อ สีหปุระ (Sihapura) แต่การเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างพระสงฆ์ลังกากับพระสงฆ์แห่ง แคว้นอปรันตกะ น่าจะเกิดจากความสัมพันธ์ใกล้ชิดเชิงญาติเป็น แน่ และเรอื่ งราวความเชอื่ เกย่ี วกบั รอยพระพทุ ธบาท นา่ จะตดิ ตาม มากบั พระสงฆล์ ังกาเป็นม่ันคง มคี นแยง้ วา่ คตคิ วามเชอ่ื เรอื่ งรอยพระพทุ ธบาทนา่ จะเกดิ ขน้ึ หลังจากมหาวิทยาลัยวลภีเป็นท่ีรู้จักแพร่หลายแล้ว (Valabhi Buddhist University) ซงึ่ มหาวทิ ยาลยั แหง่ นกี้ ต็ ง้ั อยบู่ รเิ วณแควน้ อปรนั ตกะเชน่ กนั และคงจะมพี ระสงฆศ์ รลี งั กาเดนิ ทางมาศกึ ษาท่ี มหาวทิ ยาลัยแห่งนีห้ ลายต่อหลายรุ่น คร้นั พระสงฆล์ งั กาเหล่านั้น ศึกษาเรียนรู้วิชาการตลอดทั้งวัฒนธรรมประเพณีแบบอินเดีย สำ� เรจ็ เสรจ็ สน้ิ แลว้ ตา่ งพากนั เดนิ ทางกลบั ถน่ิ มาตภู มู ิ พรอ้ มนำ� เอา คติความเช่ือแบบอินเดียไปเผยแผ่แก่บ้านเกิดเมืองนอนแห่ง ตนด้วย ความจรงิ คอื มหาวทิ ยาลยั วลภดี งั กลา่ วเปน็ ทร่ี จู้ กั แพรห่ ลาย ประมาณพุทธศักราช ๑๐๐๐ ซึ่งสมยั นนั้ การศกึ ษาของศรีลงั กาก็ โดง่ ดงั แพรห่ ลายไมแ่ พแ้ หง่ ใด สงั เกตไดจ้ ากมพี ระเถระนกั ปราชญ์ 60

เดินทางมาศึกษาพระธรรมวินัยเป็นจ�ำนวนมาก เช่น พระพุทธ- ทัตตเถระ พระพุทธโฆษาจารย์ และพระธรรมปาลเถระ เป็นต้น ซ่ึงทุกท่านล้วนเป็นชาวชมพูทวีป พระเถระนักปราชญ์เหล่านี้ แทนทจ่ี ะเดนิ ทางไปศกึ ษาทมี่ หาวทิ ยาลยั วลภบี นดนิ แดนบา้ นเกดิ แห่งตน แต่เลือกที่จะเส่ียงภัยเดินทางข้ามน้�ำข้ามทะเลมาศึกษา ยังเกาะลังกา ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าการศึกษาศรีลังกาย่อมดีกว่า มหาวิทยาลยั วลภเี ป็นแน่ 61

แตม่ ไิ ด้หมายความว่าพระสงฆ์ศรลี ังกาจะไมร่ ู้จกั มหาวิทยา ลยั วลภเี ลย การรจู้ กั ดงั กลา่ วคงไมส่ ามารถมอี ทิ ธพิ ลเหนอื พระสงฆ์ ศรีลังกา เพราะศรีลังกายุคน้ันสามารถยืนด้วยล�ำแข้งแห่งตน จน ไมต่ อ้ งพง่ึ พาวฒั นธรรมของชาตอิ นื่ ใด หากจะมสี ว่ นเสรมิ พระสงฆ์ ศรีลังกาก็น่าจะเป็นงานวิชาการ เพราะการเรียนการสอนของ มหาวทิ ยาลยั วลภนี นั้ โดดเดน่ ดา้ นศาสตรน์ อ้ ยใหญ่ ดงั เชน่ การเมอื ง ธุรกจิ การเกษตร การบริหาร เทววิทยา นติ ศิ าสตร์ และเศรษฐกิจ ว่ากันว่าผู้ใดจบจากมหาวิทยาลัยแห่งนี้ล้วนได้รับแต่งต้ังจาก กษตั รยิ ใ์ ห้ด�ำรงต�ำแหน่งช้ันสูงดา้ นบรหิ าร กล่าวโดยสรุป จะเห็นได้ว่าคติความเชื่อเร่ืองรอยพระ- พุทธบาทถือก�ำเนิดเกิดข้ึนบนดินแดนแคว้นอปรันตกะน่ันเอง ผู้ 62

ทน่ี า� คตคิ วามเชอ่ื เชน่ นเ้ี ขา้ สเู่ กาะลงั กากค็ อื พระสงฆล์ งั กาทเี่ ดนิ ทาง ไปติดต่อสัมพันธ์กับพระสงฆ์แห่งแคว้นอปรันตกะ พระสงฆ์ ศรลี งั กาอาจเรยี นรวู้ า่ การสรา้ งรอยพระพทุ ธบาท ซงึ่ เปน็ สญั ลกั ษณ์ แห่งชัยช�านะของพระพุทธศาสนาต่อลัทธิด้ังเดิม จึงเลียนแบบน�า มาปรวิ รรตใชก้ บั บา้ นเกดิ เมอื งนอนแหง่ ตน ดว้ ยการปรบั ความเชอื่ เรอ่ื งขุนเขาศรีปาทะใหก้ ลายเปน็ ดนิ แดนแหง่ พทุ ธศาสนาเสีย ส่วนการแต่งคาถาบูชารอยพระพุทธบาทน้ัน เห็นว่าคง ต้องการเช่ือมโยงคติความเชื่อระหว่างสองแผ่นดิน จึงกลายเป็น พระคาถาดังเราท่านทอ่ งสวดกันเป็นประจา� 63



õ ร;รоทØ ¸บำทãน¾Á‹ำรำÁญั เร่ืองราวคติความเชื่อเก่ียวกับรอยพระพุทธบาท ท้ังใน อินเดียแดนพุทธภูมิและลังกาเทสะ ได้วิเคราะห์เจาะลึกจน แจ่มแจ้งแล้ว บัดน้ีเห็นว่าสมควรหันหน้าไปดินแดนอ่ืนบ้าง โดย เฉพาะประเทศท่ีนับถือพระพุทธศาสนาเถรวาท ซึ่งส่วนใหญ่ล้วน อยูบ่ รเิ วณดนิ แดนอษุ าคเนย์ ทีแรกก็จะพูดถึงประเทศไทยของเราเสียเลย แต่พอหยิบ หนังสือต�านานพระเจ้าเลียบโลกขึ้นมาอ่าน ก็ชวนให้เกิดค�าถาม หลากหลายประการ ประมาณว่าแท้จริงแล้ว ความเช่ือเร่ืองรอย พระพทุ ธบาท ไทยเรารับมาจากพมา่ หรอื ไม่ และคิดวิเคราะห์ต่อ ไปอีกว่าการสร้างหรือค้นพบรอยพระพุทธบาทของไทยเป็นการ เมอื งหรอื เรอื่ งศาสนากนั แน ่ ถา้ ยอ้ นไปศกึ ษาประเทศพมา่ นา่ จะได้ ค�าตอบ เกริ่นน�าให้ชวนคิดแค่น้ีก่อน ถูกหรือผิดค่อยมาว่ากันอีกที ตอนสรปุ ท้ายเร่อื ง

อันว่าดินแดนพม่านั้นเป็นที่อยู่ของผู้คนมากมายหลาย เผ่าพันธุ์ กว่าจะเป็นพม่ามาได้ถึงทุกวันน้ีก็ผ่านการท�ำสงคราม แย่งชิงความเป็นใหญ่เป็นพันปี แต่สุดท้ายกลายเป็นว่า ชาวพม่า เก่งกว่า สามารถครอบครองอ�ำนาจได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด สืบมา จนถึงปัจจุบันน้ี ชนชาติแรกที่ย่ิงใหญ่เหนือดินแดนพม่าคือ มอญ มี เมอื งหลวงชือ่ ว่า สะเทมิ บางทีเรยี กวา่ สุธรรมวดี บางแหง่ เรียกว่า สุพินทนคร ความยิ่งใหญ่ของชาติมอญเป็นที่ยอมรับของนัก วิชาการ ท้ังชาวไทยและวิเทศ ดินแดนของมอญขยายแนวจาก ชายฝง่ั เมาะตะมะ ทอดยาวจนถงึ นครปฐมของไทยเลยทเี ดยี ว รจู้ กั กนั ในชอ่ื วา่ อาณาจักรทวารวดี ตำ� นานหลายตอ่ หลายเลม่ อา้ งวา่ พระพทุ ธศาสนาเขา้ สเู่ มอื ง สะเทิม ต้ังแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ดังเช่นต�ำนานพระเจ้า เลียบโลก ต�ำนานเมอื งสะเทิม หรือตำ� นานพระเกศาธาตุ โดยเร่อื ง ราวของต�ำนานเหล่าน้ันสรุปได้ว่า พระพุทธเจ้าของชาวเราทั้ง หลายได้เสด็จมาโปรดชาวเมืองสะเทิม จนผู้คนศรัทธาเลื่อมใสใน พระพทุ ธศาสนาทง้ั สนิ้ กอ่ นพระพทุ ธองคเ์ สดจ็ กลบั ชมพทู วปี ชาว เมืองสะเทิมทูลขอตัวแทนพระพุทธองค์เพื่อสักการบูชา คราวนั้น พระพุทธองค์ได้ประทานพระเกศาธาตุ ๖ เส้น ชาวเมืองจึงสร้าง เจดีย์ แล้วประดิษฐานพระเกศาธาตุไว้ภายใน ปัจจุบันวันน้ีเจดีย์ นนั้ มีนามว่า พระธาตชุ เวซายัน 66

สนั นษิ ฐานวา่ ตำ� นานเหลา่ นนั้ นา่ จะไดอ้ ทิ ธพิ ลมาจากคมั ภรี ์ อรรถกถาพระวินัยปิฎก ตอนพ่อค้าสองพ่นี อ้ งตปุสสะและภลั ลิกะ ทลู ขอพระเกศาธาตขุ องพระพทุ ธเจา้ เกย่ี วกบั ประเดน็ นผ้ี เู้ ขยี นเคย สนทนากับพระพมา่ และพระมอญหลายรูป ทกุ รูปล้วนยืนยนั ตรง กันว่าตปุสสะและภัลลิกะน้ันเป็นพ่อค้ามาจากพม่าจริง พอกลับ บา้ นเกิดเมืองนอนก็อญั เชิญพระเกศาธาตุมาดว้ ย แตต่ อนสถานท่ี ประดิษฐานกลับคา้ นกันเอง พระพม่าบอกว่าเป็นเจดีย์ชเวดากอง ส่วนพระมอญบอกวา่ เปน็ เจดยี ์ชเวซายนั ผู้เขียนเถียงพระพม่าและพระมอญว่าพ่อค้าสองคนนั้น เห็นจะเปน็ คนไทย เพราะถ้าลองอา่ นเปน็ ส�ำเนยี งพูดจะกลายเปน็ ว่า ตาบุดกับตาพัน หากเป็นพม่าคงมคี �ำว่าหมอ่ งนำ� หนา้ เป็นแน่ 67

ประเด็นอยากรู้คือ คติความเชื่อเร่ืองรอยพระพุทธบาท เกดิ มขี นึ้ ต้ังแต่ยุคน้ัน ? ผเู้ ขยี นเหน็ วา่ นา่ จะมบี า้ งแลว้ ตามธรรมดาวสิ ยั ของผนู้ บั ถอื พระพุทธศาสนา แตเ่ หน็ ว่าคงไมเ่ ป็นที่รู้จกั แพรห่ ลายเหมอื นเร่ือง พระเกศาธาตุ เพราะปรากฏว่าท่ีอ�าเภอศรีมโหสถ จังหวัด ปราจีนบุรี มีการค้นพบรอยพระพุทธบาทเช่นกัน แต่นักวิชาการ ตา่ งวเิ คราะหก์ ันไปหลายทาง ยังไม่มขี ้อยตุ ิ ยอ้ นกลบั มาพดู ถงึ เมอื งสะเทมิ ของมอญอกี ครงั้ นกั วชิ าการ เห็นว่า สมัยน้ันโด่งดังด้านวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา มี พระสงฆ์นักปราชญ์แตกฉานในคัมภีร์พระไตรปิฎกและอรรถกถา จ�านวนมาก โดยเฉพาะพระชินอรหันต์นั้นเป็นนักปราชญ์นาม อโุ ฆษจนเปน็ ท่ชี น่ื ชอบของกษตั รยิ ์พมา่ 68

นอกจากอาณาจักรมอญแล้ว ทางด้านเหนือติดชายแดน อนิ เดียกม็ อี าณาจักรแห่งหนง่ึ นามวา่ ธญั ญวดี คนไทยรจู้ ักดนิ แดน แห่งนี้ในนามว่ายะไข่ เน่ืองจากติดอินเดียประการหน่ึง และเป็น ศูนย์กลางการค้าส�ำคัญประการหน่ึง จึงท�ำให้อาณาจักรแห่งน้ี รุ่งเรืองม่ันคงภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว อาณาจักรธัญญวดี สามารถสร้างความรงุ่ เรอื งยิ่งใหญ่เสมออาณาจกั รเหล่าอน่ื ตำ� นานเกยี่ วกบั อาณาจกั รแหง่ นร้ี ะบวุ า่ พระพทุ ธเจา้ ไดเ้ สดจ็ ดินแดนแห่งนี้ เพื่อเทศนาโปรดผู้คนให้นับถือพระพุทธศาสนา คราวนั้นพระเจ้าจันทรสุริยะผู้เป็นกษัตริย์แห่งอาณาจักรธัญญวดี พรอ้ มอาณาประชาราษฎร์ ไดห้ นั มานบั ถอื พระพทุ ธศาสนากนั หมด สน้ิ ครนั้ พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ กลบั ชมพทู วปี แลว้ กษตั รยิ แ์ หง่ ธญั ญวดี ได้สร้างพระพุทธปฏิมานามว่าพระมหามุนีขึ้น เพื่อเป็นอนุสรณ์ ร�ำลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งปัจจุบันพระมหามุนี องคน์ ี้ได้ถกู เคลื่อนยา้ ยไปอยู่ท่เี มอื งมณั ฑะเลย์ทางพมา่ ตอนเหนือ น่าเสียดายคือต�ำนานมิได้กล่าวถึงรอยพระพุทธบาทเลย ผู้เขียนเห็นว่าความเช่ือเช่นนี้น่าจะมาพร้อมกันกับคติความเชื่อ เหล่าอ่ืน แต่ชาวธัญญวดีนิยมชมชอบพระพุทธรูปมากกว่า คติ ความเชื่อเหล่าอ่ืนจึงถดถอยหายไปเป็นธรรมวิสัย แต่มิใช่ว่าไม่มี คนนับถือเลย อาจจะมีบ้างแต่เป็นจ�ำนวนน้อย โดยเฉพาะตาม คามนิคมขนาดเล็กซึง่ อยหู่ ่างไกลจากพระนครเมืองหลวง 69

สรุปภาพรวมจะเห็นว่า อาณาจักรชาวพุทธสองแห่งท่ีเกิด ข้ึนก่อนพม่า กล่าวคืออาณาจักรสะเทิมและอาณาจักรธัญญวด ี หาได้ให้ความส�าคัญเรื่องรอยพระพุทธบาทไม่ ส่วนใหญ่เน้นไปท่ี พระเกศาธาตแุ ละพระพุทธรปู มหามนุ ีเท่าน้นั ค�าถามคือ แล้วคติความเช่ือเรื่องรอยพระพุทธบาท มาจากไหน คา� ตอบคอื มาจากศรีลงั กา หากเราศึกษาประวัติศาสตร์พม่าจะเห็นว่า กษัตริย์ผู้สร้าง อาณาจักรพม่าพระองค์แรกคือ พระเจ้าอโนรธามังช่อ หรือพระ- อนรุ ทุ ธ์ พระองค์ไดย้ กทัพเขา้ ปราบปรามยดึ ครองอาณาจกั รมอญ พร้อมอัญเชิญพระไตรปิฎก รวมทั้งพระสงฆ์นักปราชญ์มาเมือง 70

พุกามหมดส้ิน ส่วนอาณาจักรธัญญวดีแม้ไม่สามารถยึดครองได้ แต่ก็ควบคุมไม่ให้ขยายความรุ่งเรืองเหมือนสมัยก่อน เป็นเหตุให้ อาณาจกั รแห่งนอ้ี ่อนแรงลง จนตกเปน็ เมืองขน้ึ ของพม่าสมัยหลัง สมัยนี้มีพระศรีลังกาเดินทางมาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร กษัตรยิ ์พม่าเป็นจ�ำนวนมาก เพราะยคุ นนั้ เกาะลังกาตกอยภู่ ายใต้ การครอบครองของทมิฬโจฬะ ต่อมาภายหลัง ครั้นพระเจ้าวิชัย- พาหกุ อบกบู้ า้ นเมอื งพรอ้ มสรา้ งเมอื งโปโฬนนารวุ ะเปน็ ทเ่ี รยี บรอ้ ย แล้ว ได้หันมาสร้างสัมพันธไมตรีกับกษัตริย์พม่าพระองค์น้ี ด้วย การใชศ้ าสนาเปน็ สอ่ื กลา่ วคอื ไดน้ มิ นตพ์ ระสงฆแ์ หง่ พกุ ามประเทศ ไปฟื้นฟูการพระศาสนาบนเกาะลังกา ซึ่งทรุดโทรมเสียหายสมัย ตกเปน็ เมืองขน้ึ ของทมิฬโจฬะ สัมพันธไมตรีดังกล่าวชักจูงให้สองอาณาจักรเป็นมิตรกัน ท้งั ทางการเมอื งและทางศาสนา ทางการเมืองน้ัน ทั้งสองอาณาจักรจับมือกันท�ำสงคราม ต่อต้านความยิ่งใหญ่ของทมิฬโจฬะ เพ่ือปลดแอกบ้านเมืองและ ปลดปล่อยท่าเรือส�ำคัญ ซ่ึงเป็นเส้นทางการค้าเชื่อมต่อกับพ่อค้า วาณิชชาววิเทศ ส่วนด้านศาสนาน้ันมีการแลกเปลี่ยนพระสงฆ์ นักปราชญ์ซึ่งกันและกัน จึงท�ำให้สองแผ่นดินเป็นมิตรไมตรี กันอยา่ งแน่นแฟน้ 71

สมัยพระเจ้าวิชัยพาหุน้ัน คติความเชื่อเร่ืองรอยพระ- พทุ ธบาทในเกาะลงั กาไดร้ บั ความนยิ มแพรห่ ลาย กษตั รยิ เ์ องกท็ รง ให้ความส�ำคัญ โดยพระองค์โปรดให้สร้างทางขึ้นไปสักการะ รอยพระพทุ ธบาท พรอ้ มสรา้ งศาลารมิ ทางเพอื่ อำ� นวยความสะดวก แก่ผู้จาริกแสวงบุญ แม้พระองค์เองก็เสด็จไปนมัสการรอย พระพุทธบาททีเ่ ขาศรีปาทะหลายคร้ัง เมอ่ื พระพมา่ เดนิ ทางมาเกาะลงั กาไดร้ บั รรู้ บั ทราบคตคิ วาม เชอ่ื เชน่ นี้ ยอ่ มน�ำไปเพด็ ทลู กษัตรยิ แ์ หง่ ตนเปน็ แนแ่ ท้ และเกิดคติ การนบั ถอื รอยพระพุทธบาทเฉกเชน่ ศรีลงั กา การค้นพบรูปพระพุทธบาทสลักหินท่ีสถูปโลกนันทะ และ เจดีย์ชะเวซิกอนแห่งเมืองพุกาม ล้วนเป็นหลักฐานยืนยันว่าพม่า ไดร้ ับอทิ ธพิ ลมาจากศรลี งั กา ปัญหาคือ การสร้างรอยพระพุทธบาทเป็นการเมืองหรือ เรื่องศาสนา ผเู้ ขยี นเหน็ วา่ นา่ จะเปน็ ราโชบายของพระเจา้ อโนรธามงั ชอ่ โดยใชศ้ าสนานำ� การเมอื ง อยา่ ลมื วา่ ขณะนนั้ อาณาจกั รพกุ ามกำ� ลงั อยใู่ นชว่ งสรา้ งบ้านแปลงเมอื ง การบกุ รกุ ยดึ ครองอาณาจกั รมอญ เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างนโยบายศาสนาน�ำการเมือง แต่ใช่ว่า จะเพียงพอจนสามารถตอบสนองความต้องการของสังคมได้ จำ� เป็นต้องมหี ลากหลายวิธีการเพือ่ จูงใจอาณาประชาราษฎร์ 72

เพราะอาณาจักรพุกามสมัยนั้นมีผู้ทรงอิทธิพลนามว่า อารี พวกนเี้ ปน็ นกั บวช คอยกำ� กบั บงการผคู้ นใหอ้ ยภู่ ายใตพ้ ธิ กี รรม แหง่ ตน เมอื่ กษตั รยิ พ์ มา่ นมิ นตพ์ ระสงฆม์ อญมาเมอื งพกุ าม จงึ เรมิ่ ต้นนับหนึ่งในการพัฒนาประเทศชาติ ด้วยเหตุนั้นพระมอญจึงได้ รับมอบหมายให้เป็นคนออกแบบและก�ำหนดทิศทางของ อาณาจักรพุกาม ซึ่งหลักฐานบอกว่าผู้เป็นหัวเรือใหญ่คือพระ- ชินอรหนั ต์ คตคิ วามเชอื่ เรอ่ื งรอยพระพทุ ธบาทนา่ จะเปน็ หนงึ่ ในนนั้ นอกจากนั้น เพ่ือให้ความเช่ือเรื่องรอยพระพุทธบาทเกิด ความนา่ เชอ่ื ถอื จงึ มกี ารแตง่ ตำ� นานสนบั สนนุ ดว้ ย ตำ� นานทอ้ งถนิ่ ของพม่าอ้างว่ารอยพระพุทธบาทท่ีแม่น�้ำนัมมทาและเขาสัจพันธ์ อย่ทู บี่ ริเวณชะเวเสตตอ เมอื งพุกามน้นั เอง หลักฐานตรงนจ้ี ะเปน็ จริงหรือไม่ ยากท่ีจะพิสูจน์ได้ แต่กลับส�ำเร็จเป็นรูปธรรม เพราะ มีผู้คนนับถือเป็นจ�ำนวนมาก และแพร่หลายไปยังอาณาจักร เหล่าอน่ื ในดนิ แดนอุษาคเนย์ด้วย ผเู้ ขยี นเหน็ วา่ คตกิ ารนบั ถอื รอยพระพทุ ธบาทเชน่ นี้ พระเจา้ อโนรธามังช่อน่าจะศึกษาวิธีการมาจากกษัตริย์แห่งเกาะลังกา เป็นแน่ หากย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ศรีลังกาจะเห็นว่า ก่อน การกอบกู้เอกราชให้แก่บ้านเมืองนั้น เกาะลังกาตกอยู่ภายใต้ การครอบครองของทมฬิ โจฬะถึงเจด็ ทศวรรษ บา้ นเมอื งและผคู้ น 73

ถูกลิดรอนทุกสิ่งอย่าง โดยเฉพาะพิธีกรรมและความเชื่อทาง พระพุทธศาสนา สิ่งท่ีเข้ามาแทรกแซงคือ ลัทธิฮินดู โดยเฉพาะ เทพเจ้าน้อยใหญ่เบ่งบานเปน็ ทีน่ ับถอื แพร่หลายทวั่ เกาะลงั กา ครั้นกอบกู้บ้านเมืองเรียบร้อยแล้ว สิ่งแรกท่ีพระเจ้าวิชัย พาหุต้องเรียกความเช่ือม่ันคืนมาอย่างเร่งด่วนคือ การฟื้นฟู พระศาสนาและประเพณีอันดีงามของบรรพบุรุษ นอกจาก อุปสมบทวิธีแล้ว ประเพณีความเชื่อเรื่องรอยพระพุทธบาทก็ถูก ยกให้เปน็ ราโชบาย การยกเรอื่ งรอยพระพทุ ธบาทใหเ้ ปน็ วาระแหง่ ชาติ เปน็ ผล ให้พระสงฆ์หลายรูปแต่งคัมภีร์ว่าด้วยเร่ืองราวของรอยพระ- พทุ ธบาทเหนอื ยอดเขาศรปี าทะ อธบิ ายถงึ บรรยากาศการเดนิ ทาง ไปนมสั การรอยพระพทุ ธบาททศี่ รปี าทะสมยั นน้ั วา่ มผี คู้ นมากมาย ทวั่ ทกุ สารทศิ ตา่ งเดนิ ทางแสวงบญุ มงุ่ ตรงไปยงั ศรปี าทะ นบั ตงั้ แต่ สถาบันพระมหากษัตริย์จนถงึ สามญั ชนคนรากหญ้า คร้ันพระเจ้าอโนรธามังช่อทราบถึงผลส�ำเร็จของราโชบาย ด้านน้ี ย่อมต้องน�ำไปเลียนแบบเป็นธรรมดาวิสัย ย่ิงได้พระสงฆ์ พมา่ ผเู้ ดนิ ทางเขา้ ออกเกาะลงั กาเปน็ แรงสนบั สนนุ ยงิ่ เปน็ เรอ่ื งงา่ ย ดว้ ยเหตนุ น้ั จงึ ปรากฏมตี ำ� นานและหลกั ฐานมากมายสมยั พระองค์ เหตุท่ีผู้เขียนเน้นว่า การสร้างคติความเชื่อเร่ืองรอยพระ- พุทธบาทเป็นการเมืองน้ัน สังเกตได้คือ คร้ันอาณาจักรพุกาม ล่มสลาย ความเชอื่ ดังกลา่ วกส็ ญู หายไป เพง่ิ มาปรากฏมีการฟื้นฟู 74

ขน้ึ มาใหมส่ มยั พระเจา้ สาลนุ แหง่ เมอื งองั วะ (พ.ศ. ๒๑๗๒ - ๒๑๙๑) และการฟื้นฟูคราวน้ีก็เป็นการแข่งบารมีกับกษัตริย์ไทยเรื่อง ความเปน็ พระเจา้ จกั รพรรดิ ประเดน็ เพม่ิ เตมิ คอื การสรา้ งคตคิ วามเชอ่ื รอยพระพทุ ธบาท ของพระเจ้าอโนรธามังช่อค่อนข้างส�าเร็จเป็นรูปธรรม สังเกตได้ จากพระพุทธศาสนาแบบพุกามที่พระองค์สร้างข้ึน ส่งอิทธิพล ต่ออาณาจักรน้อยใหญ่บนดินแดนอุษาคเนย์ โดยเฉพาะทางตอน เหนือของประเทศไทยได้รับอิทธิพลมากกว่าใครอ่ืน เพราะส่ิงที่ ตามมากบั คตคิ วามเชอ่ื ดงั กลา่ วคอื การแตง่ คมั ภรี ส์ รา้ งความเชอื่ มน่ั ดว้ ยการอา้ งองิ การเสดจ็ มาของพระพทุ ธเจา้ บางแหง่ ขยายไปไกล อ้างถงึ พระสาวกอรหนั ตส์ า� คญั ดว้ ย คมั ภีรเ์ หล่านนั้ มีทงั้ เป็นภาษา บาลหี รอื ภาษาทอ้ งถนิ่ ส่ิงหน่ึงซ่ึงความเชื่อรอยพระพุทธบาทของพม่าพัฒนาไป ไกลกวา่ ศรลี งั กา คอื ลายเสน้ มงคลบนรอยพระพทุ ธบาท ไมท่ ราบ ว่าพม่าได้รับอิทธิพลจากศรีลังกาหรือไม่ แต่ความสมบูรณ์ลงตัว ของรอยพระพทุ ธบาทสอดรบั กบั มหาบรุ ษุ ลกั ษณะ ๑๐๘ ประการ ของพระพุทธเจ้าอย่างลงตัว ซ่ึงสัญลักษณ์เหล่าน้ีเป็นสิ่งมงคล ของอินเดียกับพม่าผสมผสานกัน สามารถแบ่งออกเป็น ๓ กลุ่ม คือ สัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ เครื่องประกอบบารมีของ พระเจ้าจักรพรรดิ และส่วนประกอบทางรูปธรรมและนามธรรม ของสุคตภิ พในจกั รวาล 75

76

ö ร;รоØท¸บำทãนÍำ³ำ¨ักรสâØ ¢ทÂั สุวัณณะมาลเิ ก สวุ ัณณะปพั พะเต สมุ ะนะกเู ฏ โยนะกะปเุ ร นมั มะทายะ นะทิยา ปัญจะปาทะวะรงั ฐานัง อะหงั วันทามิ ทูระโต ฯ ž ข้าพเจ้าขอนมัสการสถานที่มีรอยพระบาท ๕ สถาน คือ สุวรรณมาลิกเจดีย์ สุวรรณบรรพต ภูเขาสุมนกูฎ โยนกบุรี และแมน่ �้านัมมทา ž เคยกลา่ วถงึ ตง้ั แตบ่ ทแรกแลว้ วา่ คาถาบทนแี้ ตง่ ทอ่ี าณาจกั ร สุโขทัยเราน้ีเอง ไม่ได้ข้ามไปไกลถึงเกาะลังกา แต่ที่ได้กลิ่นอาย เครอ่ื งเทศแบบลงั กากเ็ พราะผแู้ ตง่ เปน็ พระสงฆช์ าวศรลี งั กานนั้ เอง ส่วนจะระบุลึกลงไปว่าผู้แต่งมีชื่อเสียงเรียงนามใดน้ันเห็นทีต้อง

พง่ึ คนทรงเขา้ ชว่ ย แลเหตทุ แ่ี ตง่ คาถาบทนน้ี า่ จะเปน็ การยอเกยี รติ กษัตริย์แห่งอาณาจักรสุโขทัย ผู้มีพระนามว่าพระมหาธรรม ราชาลิไทย อนั วา่ พระมหาธรรมราชาลิไทยนั้น หากอ่านประวตั ิศาสตร์ ผ่านตาก็จะเห็นว่าพระองค์เป็นนักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา เหน็ ไดจ้ ากพระองคท์ รงพระราชนพิ นธค์ มั ภรี เ์ ตภมู กิ ถาหรอื ไตรภมู ิ พระร่วง ซึ่งมีเนื้อหาลุ่มลึกอุดมด้วยสาระแห่งหลักธรรมค�ำสอน อุปมาอุปมัยท้ังคดีโลกและคดีธรรม อีกด้านหน่ึง พระองค์ทรงมี พระราชศรัทธาพระพุทธศาสนาย่ิงนัก สังเกตได้จากเสด็จออก ผนวชศึกษาหลักธรรมค�ำสอนถึงสองครั้งสองครา อีกทั้งสร้าง ศาสนสถานและประตมิ ากรรมอันเลิศล้ำ� เป็นจ�ำนวนมาก แมร้ อยพระพุทธบาทก็เกดิ ข้นึ ในสมยั ของพระองค์ แต่ราชูปถัมภ์ด้านพระศาสนากลับมีนัยยะทางการเมืองให้ ตีความหลากหลายมมุ มอง ฉะนน้ั บทน้นี อกจากเราจะศึกษารอย พระพุทธบาทในลักษณะของพระพุทธศาสนาแล้ว เห็นสมควร หันไปวเิ คราะหใ์ นแง่การเมอื งดว้ ย จะไดเ้ ข้าใจเบอื้ งหน้าเบือ้ งหลัง อย่างถ่องแท้ เป็นการเสริมปัญญาช่วยให้คิดวิเคราะห์เข้าใจทุก ถ้อยประเดน็ ความ อันว่าคติความเชื่อเร่ืองรอยพระพุทธบาทในอาณาจักร สโุ ขทยั นน้ั เพงิ่ มาปรากฏเหน็ เปน็ รปู ธรรมสมยั พระมหาธรรมราชา 78

ลไิ ทยนเ้ี อง เหตเุ พราะมจี ารกึ บนั ทกึ ไวเ้ ปน็ หลกั ฐานเปน็ จำ� นวนมาก ช่ือท่ีใช้เรียกรอยพระพุทธบาทนั้น สังเกตว่าแม้จะบันทึกในระยะ เวลาใกลเ้ คยี งกนั แตก่ เ็ รยี กแตกตา่ งกนั ไป ดงั เชน่ พระบาทลกั ษณ์ ฝ่าตีนพระเป็นเจ้า รอยตีนพระพุทธเจ้า และพระศรีบาทลักษณ์ เป็นต้น เชน่ น้ีเหน็ จะเป็นการเรยี กแบบลงั กาและแบบไทย การสร้างรอยพระพุทธบาทปรากฏเห็นในจารึกหลักที่ ๓ (จารกึ นครชมุ พ.ศ. ๑๙๐๐) ความวา่ “... พระบาทลกั ษณะนน้ั ไซร้ พระยาธรรมิกราชให้ไปพิมพเ์ อารอยตีน ... พระเปน็ เจา้ เถิงสงิ หล อันเหยียบเหนือจอมเขาสุมนกูฏบรรพต ประมาณเท่าใดเอามา พิมพ์ไว้ จุ่งคนทั้งหลายแล ... อันหน่ึงประดิษฐานไว้ในเมืองศรี สัชชนาลัยเหนือจอมเขา ... อันหนึ่งประดิษฐานไว้ในเมืองสุโขทัย เหนือจอมเขาสุมนกูฏ อันหน่ึงประดิษฐานไว้ในเมืองบางพาน เหนือจอมเขานางทอง อันหน่ึงประดิษฐานไว้เหนือจอมเขาที่ปาก พระบาง จารกึ ก็ยงั ไวด้ ้วยทกุ แห่ง” หลักฐานตรงน้ีชัดเจนว่าพระมหาธรรมราชาลิไทย โปรด ใหไ้ ปพมิ พร์ อยพระพทุ ธบาททเี่ ขาสมุ นกฏู หรอื ศรปี าทะในประเทศ ศรีลังกา แล้วโปรดให้สร้างขึ้นเม่ือ พ.ศ. ๑๙๐๒ แลเพื่อเป็น การร�ำลึกถึงรอยพระพุทธบาทที่เขาสุมนกูฏประเทศศรีลังกา จึง ให้ต้ังช่ือเขาเมืองสุโขทัยว่าสุมนกูฏเสมอรอยพระพุทธบาทเดิม ท่สี ถิตอยู่ 79

ปัญหาตามมาคือความเช่ือรอยพระพุทธบาทของชาว ศรีลังกาน้ันมีเพียง ๔ รอย กล่าวคือ แม่น้�ำนัมมทา เขาสัจพันธ์ เขาสุมนะ และโยนกบุรี แต่เหตุใดเวอร์ชั่นสุโขทัยจึงปรับแก้เป็น สุวรรณมาลกิ และสวุ รรณบรรพต เฉลยว่า เหตุท่ีเป็นเช่นน้ีเป็นเพราะเจตนาของผู้แต่ง คาถาบทน้ี หากเราศกึ ษาการพระศาสนาสมยั พระมหาธรรมราชาลไิ ทย จะเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงเชิงบริบทค่อนข้างแตกต่างจากสมัย พอ่ ขนุ รามคำ� แหง เพราะพระองคไ์ ดน้ มิ นตพ์ ระสงฆศ์ รลี งั กาเขา้ มา เผยแพร่ลัทธิลังกาวงศ์ในอาณาจักรของพระองค์ คราวนั้นผู้ที่ เดนิ ทางมาคอื พระอทุ มุ พรบบุ ผาสวามแี หง่ เมอื งพนั พระเถระรปู น้ี เป็นพระผใู้ หญส่ ืบสายโดยตรงมาจากศรีลงั กา สงั เกตได้จากคำ� น�ำ หน้าวา่ อุทมุ พร มาจากภาษาสงิ หลว่าทิมบุลาคะละ ซึง่ เป็นส�ำนกั อันโดง่ ดงั ของศรีลังกา การมาของพระอุทุมพรบุบผาสวามีท�ำให้พระมหาธรรม ราชาลิไทยทรงศรัทธามาก โดยเสด็จออกผนวชกับคณะสงฆ์ กลุ่มน้ีถึงสองคร้ัง พร้อมศึกษาพระธรรมวินัยกับพระเถระผู้ ทรงไตรปิฎก จึงเป็นเหตุให้กุลบุตรชาวสุโขทัยออกบวชตาม และ ศึกษาจารีตประเพณีแบบลังกาเป็นจ�ำนวนมาก บรรดาพระเถระ เหล่าน้ัน ผู้ปรากฏขึ้นชื่อมากกว่าใครอ่ืนคือพระบรมครูติลกกับ พระสุมนเถระ 80

ถามว่า เหตุใดจึงอ้างรอยพระพุทธบาทที่สุวรรณมาลิก และสวุ รรณบรรพต ตอบวา่ เพราะไดไ้ อเดยี มาจากลงั กา สุวรรณมาลิกนั้นมิใช่เรื่องยากเกินเดา เพราะสมัยนั้น ศนู ยก์ ลางการศกึ ษาพทุ ธศาสนาของศรลี งั กาไดโ้ ยกยา้ ยกลบั ไปอยู่ อนุราธปุระเมืองหลวงเก่า โดยเฉพาะรุวันแวลิแสยะเจดีย์หรือ สุวรรณมาลิกน้ัน ว่ากันว่ามีพระสงฆ์พ�านักพักอาศัยเป็นจ�านวน มาก เม่ือพระอุทุมพรบุบผาสามีเดินทางมาพ�านักยังเมืองสุโขทัย ย่อมเก่ียวข้องกับมาตุภูมิบ้านเกิดเป็นธรรมดาวิสัย จึงต้องมีการ เดนิ ทางไปมาหาสกู่ นั เมอื่ เปน็ ดงั นกี้ ารจะปลกู ความเชอื่ ใหฝ้ งั แนน่ 81

ลงไป จำ� ตอ้ งอา้ งถงึ สถานทศ่ี กั ดส์ิ ทิ ธบ์ิ นผนื เกาะลงั กา ดว้ ยเหตนุ น้ั รอยพระพุทธบาทท่สี วุ รรณมาลิกจงึ สอดแทรกเข้ามาดงั กล่าว สว่ นสวุ รรณบรรพตหรอื ภเู ขาทองนน้ั เหน็ จะเปน็ การตง้ั ชอ่ื ยอดเขาแห่งใดแห่งหน่ึงในอาณาจักรสุโขทัยเป็นแน่ ท้ังน้ีเพื่อให้ สอดคล้องต้องกันกับเกาะลังกา เพราะหากจะอ้างแต่รอยพระ- พุทธบาทบนชมพูทวีปกับเกาะลังกาเสียทั้งหมด ความส�ำคัญ ของอาณาจักรสุโขทัยก็จะไม่มีคุณค่า จึงตั้งช่ือขุนเขาแห่งหนึ่ง ในอาณาจักรสุโขทัยข้ึน จึงกลายมาเป็นที่มาของสุวรรณบรรพต แตจ่ ะเป็นตรงไหนอยา่ งไรต้องสืบคน้ หาตอ่ ไป นอกจากน้ัน พระมหาธรรมราชาลิไทยยังโปรดให้มีการ จารกิ แสวงบญุ รอยไหวพ้ ระพทุ ธบาทดว้ ย ดงั จารกึ หลกั ท่ี ๘ (จารกึ เขาสุมนกูฏ พ.ศ. ๑๙๑๑) ว่า “... มีทั้งชาวสระหลวงสองแคว ปากยม พระบางซากังราวสุพรรณภาว พระนครชุม เบื้องใน... เมืองบางพาน เมือง ... เมืองราด เมืองสะค้า เมืองลุมบาจาย เป็นบริพาร จึงขึ้นมานบพระบาทลักษณ์ อันตนหากประดิษฐาน แกก่ อ่ นเหนือจอมเขาสุมนกูฏน้ี ....” อกี ทง้ั จารกึ บางแหง่ ยงั พรรณนาถงึ อานสิ งสก์ ารสกั การบชู า รอยพระพุทธบาทด้วย โดยอธิบายว่าผู้กราบไหว้บูชาย่อมได้ อานสิ งสแ์ ตกตา่ งกนั ไป อนั ดบั สงู สดุ จะไดเ้ กดิ เปน็ จกั รพรรดิ ถดั มา เปน็ พราหมณม์ หาศาล และชั้นตำ�่ สุดเป็นเศรษฐีผู้ม่ังคงั่ 82

หากมองเนื้อหาเหล่าน้ีจะเห็นว่า การด�ำริสร้างรอยพระ- พุทธบาทของพระมหาธรรมราชาลิไทยค่อนข้างสมบูรณ์ครบถ้วน ทง้ั ในแงข่ องบคุ ลาธษิ ฐานและธรรมาธษิ ฐาน แตส่ งิ่ หนงึ่ ทข่ี าดหาย ไปคือเหตุใดพระองค์ไม่เช่ือมโยงให้ถึงพระพุทธเจ้า ประเด็นน้ีน่า ศกึ ษาไม่น้อย หันมาวิเคราะห์บริบททางประวัติศาสตร์บ้าง จะเห็นว่า การหันมาอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาของพระธรรมราชาลิไทยน้ัน เป็นนัยยะทางการเมืองมากกว่าเร่ืองอ่ืนใด หากจะเรียกภาษา สมยั ใหมค่ ืออาศัยศาสนาเปน็ ฐานเพอื่ สร้างความชอบธรรม ประเด็นแรกจะเห็นได้จากการขนานพระนาม ดังทราบว่า นามธรรมราชาน้ัน เป็นชื่อเลียนแบบพระเจ้าอโศกมหาราช แห่งชมพูทวีป ซ่ึงถือว่าเป็นต้นแบบของกษัตริย์ชาวพุทธท่ัวโลก ชาวไทยรู้จักพระองค์ในนามว่าพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช หาก กษัตริย์พระองค์ใดประสงค์ด�ำเนินตามแล้วไซร้ ต้องหันมาบ�ำรุง พระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองมั่นคง ด้วยเหตุน้ัน พญาลิไทย จึงขนานพระองค์วา่ พระมหาธรรมราชาลิไทย เหตุท่ีพระองค์หันมาประพฤติวัตรเลียนแบบพระเจ้าอโศก มหาราชน้นั ก็เพราะความย่งุ ยากภายในและภัยรา้ ยแรงภายนอก ภายในหมายถงึ การแกง่ แยง่ ชงิ ดรี ะหวา่ งราชวงศพ์ ระรว่ ง เปน็ เหตุ ให้พระองค์ต้องสถาปนาตนขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งอาณาจักรสุโขทัย แต่ถึงกระนั้นความหวาดระแวงระหว่างเช้ือพระวงศ์ก็ยังมีอยู่ 83

ส่วนภัยร้ายแรงภายนอกคือ อาณาจักรอยุธยาซึ่งอยู่ทางตอนใต้ ได้บุกรกุ ขึน้ เหนอื จนสามารถยึดเมืองพษิ ณโุ ลกได้ สว่ นอาณาจกั ร ล้านนาทางเหนอื ก็เคลือบคลานเข้ายดึ เมืองตากเช่นกัน ภาวะอนั ลอ่ แหลมเชน่ นจี้ ำ� ตอ้ งหาอบุ ายสรา้ งความกลมเกลยี ว ภายในอย่างเร่งด่วน เพื่อผนึกก�ำลังต่อสู้กับศัตรูภายนอก กลไกล ขับเคล่ือนที่พระองค์มองเห็นคือศาสนา จึงเป็นเหตุให้พระองค์ ส่งสมณทูตไปศึกษากับพระอุทุมพรสวามีท่ีเมืองพันหลายรุ่น ครั้นสร้างความคุน้ เคยใกล้ชดิ แล้ว จึงไดอ้ ัญเชญิ พระเถระเดนิ ทาง มาพ�ำนักพักอาศัยยังอาณาจักรสุโขทัย และเพ่ือแสดงถึงการ ยอมรับลัทธลิ งั กาวงศ์ พระองค์ได้ออกผนวชศึกษาจารตี ประเพณี และพระธรรมวนิ ัยกับคณะสงฆก์ ลุม่ นี้ถึงสองครั้งสองครา ส่วนด้านการฟื้นฟูพระศาสนาก็คงด�ำเนินตามค�ำแนะน�ำ ของพระสงฆล์ ทั ธลิ งั กาวงศ์ ดงั เชน่ การอญั เชญิ พระบรมสารรี กิ ธาตุ มาจากศรีลงั กา ดงั ปรากฏในจารึกกรงุ สุโขทัยว่า “ศกั ราช ๑๒๗๙ ... ศรีสุริยพงษ์มหาธรรมราชาธิราช หากเอาพระศรีรัตนมหาธาตุ อันนี้มาสถาปนาในเมืองนครชุมปีน้ัน พระมหาธาตุน้ีใช่ธาตุอัน สามานย์ คือพระธาตแุ ท้จริงแล เอาลกุ แตล่ ังกาทวีปพนู้ มาดาย” ถัดมาเป็นการสร้างพระพุทธรูปและพระพิมพ์ หลักฐานใน ศลิ าจารกึ หลกั ที่ ๑ กลา่ ววา่ “กรงุ สโุ ขทยั ในเวลานนั้ พรง่ั พรอ้ มดว้ ย พระพทุ ธรปู จ�ำนวนมาก กลางเมอื งสโุ ขทัยคอื ในวดั พระมหาธาตุ มพี ระพทุ ธรปู ทอง พระอฏั ฐารส พระพทุ ธรปู พระพทุ ธรปู อนั ใหญ่ 84

พระพุทธรูปอันราม ในอรัญญิกมี พระอัฏฐารสอันหน่ึงลุกยืน และทางทศิ เหนอื มพี ระอจนะ” ความมากหลายของพระพุทธรูปพบเห็นในค�ำบรรยายของ นางนพมาศว่า “หน่ึงโสด ควรจะอัศจรรย์ด้วยพระพุทธปฏิมากร ซ่ึงประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถ และพระวิหารใหญ่น้อยอันเป็นท่ี สักการบูชาท่ัวไปทุกพระอารามย่อมหล่อด้วยตามพระโลหะ พระพทุ ธรปู ประธานนัน้ หน้าสมาธิกว้างยี่สิบศอกกม็ ี สบิ หกศอก 85

กม็ ี สบิ สองศอกกม็ ี ยง่ิ หยอ่ นอยใู่ นระวางนก้ี ม็ ี และพระพทุ ธสถารศ สูงส่ีสิบแปดศอกก็มี หย่อนลงมาในระวางจนสิบสองศอกก็มี อัน พระพุทธปฏิมากรใหญ่ๆ ดังกล่าวนี้มีเป็นหลายพระองค์ และ พระพุทธรูปน้อยๆ กับพระอรหันต์รูปน้ัน ย่อมมีเป็นอันมากกว่า มากเหลือท่ีจะนับจะประมาณ บางพระองค์ก็หล่อด้วยตาม พระโลหะ บางพระองคก์ ็กระท�ำดว้ ยศิลาทัง้ แท่ง ลว้ นแตง่ ามด้วย พระพุทธลักษณะ แล้วก็ย่อมไปด้วยสุวรรณแปดน�้ำ รัศมีรุ่งเรือง สถติ บลั ลงั ก์ทอง ควรจะเปน็ ทเี่ ลอ่ื มใสศรทั ธาแกผ่ ไู้ ด้นมสั การ” พระพทุ ธรปู เหลา่ นร้ี วมถงึ พระพทุ ธชนิ ราช พระพทุ ธชนิ สหี ์ พระศาสดา พระเหลอื และพระพทุ ธสิหิงคด์ ว้ ย ดา้ นการศกึ ษาคณะสงฆน์ นั้ แมไ้ มป่ รากฏหลกั ฐานแนช่ ดั วา่ มรี ะบบการศึกษาอย่างไร แต่การสง่ พระสมณทตู ออกไปประกาศ ศาสนายังอาณาจักรอื่น ก็สามารถช้ีวัดได้ว่าพระพุทธศาสนาใน อาณาจักรสุโขทยั รุง่ เรอื งมากนอ้ ยเพียงไร หลักฐานระบุว่า พระปิยทัสสีได้รับมอบหมายไปเผยแพร่ ศาสนาท่ีเมืองอโยธยา พระสุวรรณคีรีไปเผยแพร่ท่ีเมืองหลวง พระบาง พระเวสสภูไปเผยแพร่ที่เมืองน่าน ส่วนพระพุทธสาคร พระสชุ าติ พระเขมะ พระสทั ธาตสิ สะ ไปเผยแพรย่ งั เมอื งสองแคว พษิ ณุโลก เหตุการณ์ส�ำคัญซึ่งย้�ำให้เห็นถึงต้นแบบพระพุทธศาสนา ของอาณาจักรสุโขทัยคือ พระเจ้ากือนาแห่งอาณาจักรล้านนาได้ 86

ทลู ขอพระสงฆจ์ ากอาณาจกั รสโุ ขทยั ไปเผยแพรพ่ ระศาสนา คราว น้นั พระมหาธรรมราชาลิไทยไดส้ ง่ พระสุมนเถระเปน็ พระสมณทูต ไปเผยแพร ่ เปน็ เหตใุ หส้ องอาณาจกั รผกู พนั กลายเปน็ พนั ธมติ รรว่ ม ตอ่ สกู้ ับอยธุ ยาอาณาจกั รตอนใต้ หันกลบั มาพดู ถึงรอยพระพุทธบาทต่อ เคยบอกแต่ต้นว่า การสร้างรอยพระพุทธบาทมีนัยยะ การเมืองแอบแฝงอยู่ รอยพระพุทธบาทท่ีต้ังอยู่บนยอดเขาท้ัง ๔ นั้น ล้วนมีความหมายทงั้ สนิ้ ได้แก่ 87

๑. รอยพระพุทธบาทเหนือยอดเขาสุมนกูฏหรือเขา พระบาทใหญ่นั้น อยู่ใกล้กรุงสุโขทัย ซึ่งเป็นเมืองราชธานีอันเป็น เสมือนหัวใจของอาณาจักร เนอื่ งจากเปน็ ท่ปี ระทับของกษตั รยิ ์ ๒. รอยพระพุทธบาทเหนือจอมเขาแห่งหนึ่งในเมือง ศรีสัชนาลัย ซ่ึงมีฐานะเป็นเมืองลูกหลวง มีความส�ำคัญในฐานะ เป็นท่ีประทับของพระมหาอุปราช ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของ กรุงสุโขทัย ถือว่าเป็นเมืองหน้าด่าน หากเกิดศึกสงครามย่อม สามารถสมทบกองทัพหลวงทันที ๓. รอยพระพทุ ธบาทเหนอื ยอดเขานางทอง เมอื งบางพาน ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของกรุงสุโขทัย เป็นเมืองระหว่างสุโขทัยกับเมือง หน้าด่าน ซ่ึงสามารถสมทบก�ำลังกับกองทัพได้ทั้งทัพหลวงและ ทพั หนา้ กรณเี กดิ ศกึ สงคราม ๔. รอยพระพุทธบาทเหนือยอดเขาปากพระบาง เมือง พระบาง อยู่ทางใต้ของกรุงสุโขทัย มีฐานะเป็นเมืองพระยา มหานคร เปน็ เมอื งบรวิ ารดา่ นนอกพรอ้ มปะทะกบั ขา้ ศกึ ศตั รู และ บางกรณีสามารถสมทบกบั กองทัพหลวงไดอ้ ย่างทนั ท่วงที หากจะบอกว่าการเลือกประดิษฐานรอยพระพุทธบาท เปน็ ยทุ ธศาสตร์อยา่ งหนง่ึ ก็คงไม่เกินความจรงิ เพราะแตล่ ะแหง่ ลว้ นมคี วามสำ� คญั ดา้ นการเมอื งทงั้ สนิ้ การสรา้ งรอยพระพทุ ธบาท 88

ดังกล่าวเห็นว่าได้ประโยชน์ถึงสองทาง หน่ึงนั้นเป็นดินแดน ศักดิ์สิทธ์ิเพราะเป็นบุณยสถานของผู้จาริกแสวงบุญ อีกหน่ึงน้ัน เป็นการให้ความส�าคัญของแต่ละเมืองเท่าเทียมกัน เพราะหาก สรา้ งทกุ สง่ิ อยา่ งเฉพาะในเมอื งหลวง คนตา่ งถนิ่ นอกพระนครกจ็ ะ ไมใ่ หค้ วามสา� คญั เพราะการเดนิ ทางสมยั โนน้ หาไดส้ ะดวกเหมอื น ปัจจบุ นั ไม่ ภาพการแยกเขาแยกเราก็จะบังเกดิ ขึน้ กล่าวโดยสรุป การสร้างรอยพระพุทธบาทของพระมหา ธรรมราชาลิไทย ประสบความส�าเร็จท้ังทางศาสนจักรและ อาณาจักร ปรากฏในรูปของธรรมาธษิ ฐานและบคุ ลาธิษฐาน ด้าน ธรรมาธิษฐานมีผู้คนหันมาสนใจศึกษาพระธรรมค�าสอนของ พระศาสดาเจ้าเป็นจ�านวนมาก สังเกตได้จากมีกุลบุตรออกบวช เป็นจ�านวนมาก และเกิดมีประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามมากมาย ส่วนบุคลาธิษฐานนั้นคือสามารถส่งผลต่อผู้คนและอาณาจักรใกล้ เคยี ง ดงั ปรากฏมพี ระพทุ ธรปู อนั งามลา้� และศาสนสถานอนั ยง่ิ ใหญ่ เปน็ จา� นวนมาก นอกจากนน้ั ยงั เกอ้ื กลู แกอ่ าณาจกั รใกลเ้ คยี ง กลา่ ว คืออาณาจักรล้านนาและอาณาจักรอยธุ ยาด้วย 89



÷ สัญÅักɳÁ §คÅ ñðø »รÐกำร วิเคราะห์เจาะลึกเร่ืองรอยพระพุทธบาทมาตั้งมากมาย หลายตอน หากไมพ่ ดู ถงึ สญั ลกั ษณม์ งคล ๑๐๘ ประการ ยอ่ มถอื วา่ บกพร่องอย่างไม่น่าให้อภัย หากเป็นละครไทยก็น่าจะจบแบบ พระนางไปคนละทิศละทางไม่ครองคู่กัน เช่นน้ันแล้วผู้เขียนเห็น จะไมพ่ ้นถูกต�าหนเิ ปน็ แน่แท้ ความจริงคือคตคิ วามเชื่อรอยพระพุทธบาทสมัยสโุ ขทัยน้ัน มาพร้อมกับสัญลักษณ์มงคล ๑๐๘ ประการ ดังข้อความปรากฏ ในจารกึ ว่า “เขาอนั น้ชี ่ือเขาสมุ นกูฏบรรพต ... เรียกชอ่ื ดังอันเพอื่ ไปพิมพ์เอารอยตีนพระพุทธเจ้าเรา อันเหยียบเหนือจอมเขา สุมนกูฏบรรพตในลังกาทวีปพู้นมาประดิษฐานไว้เหนือจอมเขา อันน้ี แล้วให้คนท้ังหลายได้เห็นรอยฝ่าตีนพระพุทธเจ้า เราน้ีมี ลายอันได้ร้อยแปดสีส่องให้ฝูงเทพดาและ ... ท้ังหลายได้ไหว้ บนภูเขา”

สัญลักษณ์มงคล ๑๐๘ ประการ มีมากมายหลายแบบแต่ ละแห่งก็แตกต่างกันไป แต่ผู้เขียนเลือกคัดลอกท่ีปรากฏใน ศิลาจารึกหลักที่ ๑๐๒ พ.ศ. ๑๙๒๒ เพราะถือว่าเป็นหลักฐาน ช้นั ต้น ดงั มีรายละเอียดต่อไปน้ี ๑. สริวจฺโฉ นางฟ้า ๒. โสวตถฺ ิ รปู สวัสตกิ ะ ๓. นนทฺ ิยาวฏโฺ ฏ ดอกพุดหรือดอกมะเดือ่ ๔. วฏงฺสกํ ดอกไม้กรองบนศีรษะ ๕. องฺกุโส ขอช้าง ๖. ปาสาโท ปราสาท ๗. ชวี ํ นกพริก ๘. วุทฺธมานก ํ ดอกพดุ ซอ้ น ๙. เสวฉตฺต ํ รม่ ขาว ๑๐. ขคฺโค มดี หรอื พระขรรค์ไชยศรี ๑๑. ตาลวณฏฺ ขั้วลกู ตาล ๑๒. วชิ นี พดั ๑๓. โมรหตฺถก ํ หางนกยูงมดั เปน็ กำ� ๑๔. อุณหิส ผ้าโพกศรี ษะหรือมงกุฎ ๑๕. ปตโฺ ต บาตรหรอื ภาชนะ ๑๖. ทามมณี เชอื กแก้ว ๑๗. อุปล ํ ดอกบวั สาย 92

๑๘. นลี ํ ดอกบวั เขยี ว ๑๙. รตฺตํ ดอกบวั แดง ๒๐. ปทุมํ ดอกบัวหลวง ๒๑. สมทุ โฺ ท ทะเล ๒๒. ปณุ ณปาติ ภาชนะใส่น�้ำเต็ม ๒๓. ปณุ ณฺ ฆโฏ หม้อใส่น�ำ้ เตม็ ๒๔. หมิ วา ปา่ หนิ พานต์ ๒๕. จกฺกวาฬา ลกู โลก ๒๖. นกฺขตฺตา ดาว ๒๗. เมรุ ภเู ขาเมรุ ๒๘. สรุ โิ ย พระอาทติ ย์ ๒๙. จนฺทมิ า พระจนั ทร์ ๓๐-๓๓. จตโุ ร มหาทปี า มหาทวีปท้งั ส่ี ๓๔-๓๕. ทวิสหสฺสปริตตกา ทวปี น้อยสองพนั ๓๖. ทกฺขิณาวฏฏฺ สงโฺ ข สงั ข์ทักษณิ าวรรต ๓๗. สปรโิ ส จกกฺ วตตฺ ิ พระเจ้าจักรพรรดิและบรวิ าร ๓๘. ยมกํ เหมมจฺฉ ปลาทองทง้ั คู่ ๓๙. จกกฺ ํ จักร ๔๐. ธชชฺ ํ ธงชยั ๔๑. กุมภิโล จระเข้ ๔๒-๔๘. สตตฺ คงฺคา แมน่ �้ำ ๗ สาย ๔๙-๕๕. สตฺตมหาสรา สระ ๗ สระ 93

๕๖-๖๒. มหาเสลา ภูเขาใหญ่ ๗ ลูก ๖๓. ปาฏโก ธงประฏาก ๖๔. สุงส ุ ปลาฉลาม ๖๕. ปาฏงคิ เกา้ อื้ ๖๖. สวุ ณฺณวาลพชิ ะนี พดั ทองขนหางสัตว์ ๖๗. สุวณฺณสีโห ราชสีห์ทอง ๖๘. พยคฺโฆ เสอื ๖๙. วลาหโก อสโฺ ส ม้าวลาหก ๗๐. อุโปสโถ วารโณ ช้างตระกูลอุโบสถ ๗๑. เกลาสปพฺพโต ภูเขาไกรลาศ ๗๒. หงโฺ ส หงส์ ๗๓. จากวโก นกจากพราก ๗๔. วาสกุ ี พระยานาค ๗๕. เอราวโณ ชา้ งเอราวณั ๗๖. กรวโิ ก นกการเวก ๗๗. สวุ ณฺณภมโร แมลงภ่ทู อง ๗๘. กกุ กฺ ุสโู ร ไก่เถอื่ น ๗๙. สิข ี นกยงู ๘๐. โกญโฺ จ นกกระเรียน ๘๑. อสุ โภ โคอศุ ภุ ราช ๘๒. หรินาวา เรอื ทอง ๘๓. จตุมมฺ ุขา รูปมหาพรหมสหี่ น้า 94

๘๔. กินฺนโร กนิ นร ๘๕. กินนรีปกขฺ ี นางกินนรี ๘๖. ชีวญชวี กนามกา นกกระทาดง ๘๗.๙๒. ฉกามาวรโลกา โลกสวรรค์ ๖ ชัน้ ๙๓-๑๐๘. โสฬสพรหมฺ โลก พรหมโลก ๑๖ ช้นั หากสรุปลวดลายมงคลดังกล่าวเบ้ืองต้น ก็สามารถจ�ำแนก ออกเป็น ๓ ส่วนคือ ๑) สัญลักษณ์มงคลประเภทเครื่องหมาย แห่งโชคลาภ ความเจริญและความอุดมสมบูรณ์ ๒) สัญลักษณ์ มงคลประเภทเครื่องประกอบบารมีของกษัตริย์และพระเจ้า จักรพรรดิ และ ๓) สัญลักษณ์มงคลประเภทส่วนประกอบทาง รูปธรรมและนามธรรมของสุคติภพในจักรวาล ซึ่งปรากฏในรูป ของคติในไตรภูมิ คตคิ วามเชอ่ื เรอ่ื งมงคล ๑๐๘ ในรอยพระพทุ ธบาท สนั นษิ ฐาน วา่ นา่ จะไดร้ บั อทิ ธพิ ลมาจากคมั ภรี ช์ นิ ลงั การฎกี าของลงั กา เพราะ พระมหาธรรมราชาลไิ ทยไดอ้ า้ งถงึ ในหนงั สอื เตภมู กิ ถาของพระองค์ แต่อาจจะมีการปรับเปล่ียนไปบ้างตามความเหมาะสม เพราะ เบอ้ื งตน้ คัมภรี เ์ ลม่ นผี้ ่านมาทางพมา่ กอ่ น เมอ่ื นำ� มาใชใ้ นเมอื งไทย น่าจะมกี ารปรบั แก้ใหเ้ หมาะสมตามคตินิยมแหง่ ตน อนั ว่าลวดลาย ๑๐๘ บนรอยพระพุทธบาทน้ัน สนั นิษฐานว่า นา่ จะเปน็ สญั ลกั ษณม์ งคลในพธิ กี รรมของพราหมณผ์ ปู้ ระกอบพิธี บูชายัญแต่โบราณนานเน ครั้นพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองแผ่ 95

ไพศาลไปไกล จนเปน็ ทย่ี อมรบั ของพวกพราหมณเ์ จา้ พธิ นี อ้ ยใหญ่ ย่อมเกิดการเลียนแบบหยิบยืมบางสิ่งบางอย่างจากพิธีกรรม พราหมณเ์ ขา้ มาสพู่ ธิ กี รรมของพทุ ธ ดงั ปรากฏเหน็ เรม่ิ แรกในคมั ภรี ์ อรรถกถาสุมังคลวิลาสินี ซ่ึงเป็นคัมภีร์แต่งแก้คัมภีร์ทีฆนิกาย แหง่ สุตตันตปฎิ ก ครั้นพระพุทธศาสนาเข้าสู่เกาะลังกา คติความเช่ือรอยพระ- พุทธบาทย่อมเป็นที่รู้จักเช่นเดียวกับความเชื่อเหล่าอื่น เม่ือระยะ เวลาผ่านไปเป็นพันปี ความเช่ือเรื่องรอยพระพุทธบาทได้รับ ความนยิ มสงู สุด พระเถราจารยจ์ งึ พากนั แตง่ คัมภรี ์พรรณนาเรอ่ื ง ราวประกอบเพอ่ื ปลกู ศรทั ธาของชาวพทุ ธ ดงั เชน่ คมั ภรี ส์ มนั ตกฏู วัณณนาของพระเวเทหเถระ และคัมภีร์ชินาลังการฎีกาของ พระพทุ ธรกั ขิตเถระ เป็นตน้ ครั้นต่อมาพระเถระชาวไทยได้แต่งคัมภีร์อีกหลายเล่มเพ่ือ อธิบายสัญลักษณ์มงคล ๑๐๘ ประการ ตามนัยแห่งคัมภีร์ชินา ลังการฎีกา แต่ได้เสริมเพิ่มบางส่วนเข้าไปตามความเห็นแห่งตน คัมภีร์ฉบับไทยดังกล่าว มีชื่อว่าคัมภีร์พุทธบาทมงคล คัมภีร์ พทุ ธปาทลักขณะ เปน็ ต้น สว่ นนอกนั้นลว้ นหยิบยมื เนื้อหาไปจาก คัมภีรท์ ้งั สองสนิ้ อันว่าลวดลายมงคลซึ่งปรากฏในคัมภีร์ชินาลังการฎีกานั้น ไม่สามารถสืบค้นไปหารากเหง้าสัญลักษณ์แต่ละอย่างได้ พระ- เถราจารย์ผู้เกิดมาภายหลังจึงพยายามตีความหมายสัญลักษณ์ 96

ดังกล่าว เพ่ือให้สอดคล้องต้องกันกับพระพุทธศาสนา จะบอกว่า เปน็ การตีความหมายตามลายแทงก็ไม่ผดิ นัก การตีความสัญลักษณ์ต่อไปนี้ ผู้เขียนหยิบยืมมาจากผู้รู้ เพราะหากตคี วามเอาเองกเ็ กรงวา่ จะไปไกลเกนิ กวา่ ผอู้ า่ นจะรบั ได้ จงึ ไดแ้ ต่พรรณนาตามครูบาอาจารย์รนุ่ เก่ากอ่ น รปู ดวงอาทติ ย:์ เปรยี บเสมอื นพระพทุ ธเจา้ ผสู้ อ่ งสวา่ งปญั ญา ทำ� ลายความมดื มดิ คอื อวชิ ชา ทำ� ใหช้ าวโลกสวา่ งไสวเขา้ ใจอรยิ สจั ความจริง เปรียบเสมือนช้ีทางสว่างแก่ผู้หลงทาง สอดคล้องกับ พทุ ธพจนใ์ นอปาทาน ขทุ ทกนกิ ายแห่งพระสุตตนั ตปฎิ กว่า โลกนี้ พรอ้ มทง้ั เทวโลก แลน่ ไปเขา้ สคู่ วามมดื มนใหญ่ โลกกำ� จดั ความมดื ได้ส่องแสงโชติช่วงอยู่ เพราะพระญาณของพระพุทธองค์ เปรียบ เหมอื นพระอาทติ ย์ก�ำลังอุทยั ฉะน้ัน พญาราชสีห์: เปรียบเสมือนความกล้าหาญองอาจของ พระพทุ ธเจา้ ทไ่ี มท่ รงครน้ั ครา้ มเมอื่ ประทบั อยทู่ า่ มกลางบรษิ ทั ๔ หรือไม่เกิดความกลัวขณะประทับต่อหน้าอัญเดียรถีย์ภายนอก สอดคลอ้ งกบั พทุ ธพจนใ์ นอปาทาน ขทุ ทกนกิ ายแหง่ พระสตุ ตนั ต- ปิฎกว่า พญาราชสีห์ผคู้ �ำรามเนอื้ ทัง้ ปวงย่อมสะดงุ้ แทจ้ ริงราชสหี ์ ผู้มีชาตินี้ย่อมยังสัตว์เลี้ยงให้สะดุ้งทุกเม่ือฉันใด พระพุทธเจ้าเม่ือ ทรงบันลืออยู่ พสุธาน้ีย่อมหว่ันไหว สัตว์ผู้ควรจะตรัสรู้ย่อมต่ืน หมมู่ ารยอ่ มสะดุ้ง ฉันน้ัน 97

แมลงภทู่ องคำ� : เปรยี บเสมอื พระพทุ ธเจา้ ผทู้ รงกำ� จดั ทฐิ มิ านะ ของบริษัท ๔ แต่ไมท่ ำ� ใหบ้ ริษัทเหล่าน้นั เดอื ดรอ้ น เสมอื นแมลงภู่ เมอ่ื ดดู นำ�้ หวานจากเกสรดอกไม้ ยอ่ มนำ� เอาละอองเกสรดอกไมไ้ ป โดยไมท่ ำ� ใหด้ อกไมซ้ อกซำ�้ ฉนั นน้ั สอดคลอ้ งกบั พทุ ธพจนใ์ นคาถา ธรรมบท ขุททกนิกายแห่งพระสุตตันตปิฎกว่า ภมรไม่ยังดอกไม้ อันมีสีให้ซอกซ้�ำ ลิ้มเอาแต่รสแล้วย่อมบินไปแม้ฉันใด มุนีพึง เทยี่ วไปในบ้าน ฉันนน้ั ดอกไม้: เปรียบเสมือนพระธรรมของพระพุทธเจ้า กล่าวคือ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ มีกล่ินหอมยวนใจ ย่อมฟุ้งไปในทิศ น้อยใหญ่ อีกทั้งสามารถหอมทวนลมอีกด้วย สอดคล้องกับ พุทธพจน์ในคาถาธรรมบท ขุททกนิกายแห่งพระสุตตันตปิฎกว่า กล่ินคือศีลเป็นเย่ียมกว่าคันธชาติเหล่าน้ีคือ จันทน์ กฤษณา ดอกบัว และดอกมะลิ กล่ินกฤษณา และจันทน์น้ีเป็นกลิ่นมี ประมาณน้อย ส่วนกลิ่นของพวกมีศีลท้ังหลายเป็นกลิ่นสูงสุด ยอ่ มฟงุ้ ไปในเทวดาและมนุษย์ทง้ั หลาย พญาหงส์: เปรียบเสมือนพระพุทธเจ้าผู้ไม่ทรงยินดีในสมบัติ ทางโลก และในธรรมสมบตั กิ ลา่ วคอื โลกตุ ตรธรรม อกี ทง้ั ไมย่ นิ รา้ ย ในการกล่าวหานินทาของคนนอกพระพุทธศาสนาหรือค�ำยกย่อง สรรเสริญของหมู่บริษัท เปรียบเหมือนพญาหงส์สามารถแยกน้�ำ กบั น้ำ� นมได้ ฉะน้นั สอดคลอ้ งกบั พทุ ธพจนใ์ นสุตตนิบาต ขุททก- นิกายแห่งพระสุตตันตปิฎกว่า นกพึงละป่าเล็กแล้วมาอาศัยอยู่ 98


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook