Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Lk-004หนังสือนิกายสังครหยะ

Lk-004หนังสือนิกายสังครหยะ

Description: Lk-004หนังสือนิกายสังครหยะ

Search

Read the Text Version

โปโฬนนารวุ ะและดมั พเดณิยะ 73 จงึ รบั สง่ั ใหพ้ ระสงฆเ์ หลา่ นนั้ รวมตวั กนั ในอาคารขนาดใหญ่ แลว้ มอบใหค้ ณะ สงฆส์ อบสวนตลอดคนื แลว้ ขบั ออกจากพระศาสนา ใหท้ �ำ การช�ำ ระพระศาสนา และให้ประสานสามนิกายเป็นหน่ึงเดียว ด้วยพระราชกุศลครั้งย่ิงใหญ่น้ี ครนั้ สวรรคตสิ้นแล้ว พระองค์ทรงบังเกิดเป็นราชาชาวสวรรคน์ ามวา่ นรเทพ พรอ้ มด�ำ รงชวี ติ หนง่ึ กลั ป์ เสวยสขุ ในปราสาทยอดทองบรเิ วณขนุ เขาหมิ พานต์ ซ่งึ สว่างไสวเหนอื ยอดขนุ เขาสวุ รรณบรรต ๘๔,๐๐๐ ลกู การช�ำ ระพระศาสนาสมัยพระองค์นน้ั ไดม้ ัน่ คงยนื ยงตอ่ เน่อื ง ๓๖ ปี ภายหลังการสวรรคตของพระเจ้าปรากรมพาหุมหาราช การแห่ง พระศาสนาได้เริ่มเข้าสู่ความเสื่อมโทรมอีกคร้ัง ต่อมามีกษัตริย์ครองราชย์ สืบต่ออีก ๑๕ พระองค์ ได้แก่ พระเจ้าบัณฑิตวิชัยบาหุ พระเจ้ากิลิงเกส ทามิหินฑุ พระเจา้ กีรตนิ ศิ ศงั กะ พระเจา้ วรี บาหุ พระเจา้ วิกรมบาหุ พระเจ้า โจฑคงั คะ พระนางลลี าวตี พระเจา้ สาหสมลั ละ พระนางกลั ยาณวตี พระนาง ลลี าวตี พระเจา้ ธรรมโศกะ พระเจา้ แอณยิ งั กะ พระนางลลี าวตี พระเจา้ โลเกศ วร พระนางลีลาวตี และพระเจา้ ปรากรมบณั ฑิต๕ ถัดมากษัตริย์พระนามว่ากาลิงกวิชัยบาหุหรือนามเดิมว่ามาฆะ ได้ ครอบครองเกาะลังกา เมื่อเกิดความสับสนวุ่นวายในช่วงแรกแห่งการ ครองราชย์ของพระองค์ พระสงฆ์จำ�นวนมากได้อพยพออกจากเมืองโปโฬน นารวุ ะ ไดส้ ละทิ้งต�ำ รานอ้ ยใหญแ่ ละปจั จยั จ�ำ เปน็ ส�ำ หรบั สมณะ พากันหนไี ป อยู่เขตมายาระฏะหมดสน้ิ การพระศาสนายุคดัมพเดณิยะ กษัตริย์สิงหลผู้ปกครองแคว้นมายาระฏะคือพระเจ้าวิชัยบาหุวัตหิมิ๖ พระองค์ได้อุปถัมภ์พระสงฆ์เหล่านั้นด้วยการถวายปัจจัยสี่มีจีวรเป็นต้น

74 นิกายสงั ครหยะ โปรดให้สร้างมหาวิหารนามว่าวิชัยสุนทรารามตามนามแห่งพระองค์ โปรด ให้ประชุมสงฆ์โดยมีพระสังฆรักขิตะสังฆราชเป็นประธาน๗ ซ่ึงท่านเป็นศิษย์ ของพระสารบี ตุ รสงั ฆราชสมยั โปโฬนนารวุ ะ พรอ้ มทง้ั พระเมธงั กรมหาเถระผู้ สงั กดั ส�ำ นกั อทุ มุ พรคริ วี นวาส๘ี พระองคท์ รงเพยี รพยายามอยา่ งหนกั เพอ่ื ยตุ ิ ความขดั แยง้ ภายในคณะสงฆ์ พรอ้ มตรากฎกตกิ าวตั ร ดว้ ยพระราชกรณยี กจิ เช่นนี้ช่อื วา่ พระองคท์ รงพระราชศรทั ธาตอ่ พระศาสนายงิ่ นัก ต่อมาพระราชโอรสของพระองค์พระนามว่าพระเจ้ากลิกาลสาหิต ยสรวัญญาบัณฑิตปรากรมบาหุ๙ ได้ข้ึนครองราชย์สืบต่อ กษัตริย์พระองค์ นี้ทรงแตกฉานในสรรพความรู้ เปรียบเสมือนการผึ่งโคลนของศัตรูให้ แหง้ ผาก ทรงประทับอย่ทู เี่ มืองชมั พุโทณปิ รุ ะ๑๐ เปน็ มหาราชแหง่ เกาะลังกา ทรงอุทิศพระองค์เพ่ือความรุ่งเรืองแห่งราชวงศ์ ทรงชำ�นะอริราชศัตรูด้วย การขับไล่ออกจากเกาะลังกา ดังเช่น พวกทมิฬหินชาติ พวกมาลละ และ พวกชวา เปน็ ต้น ทรงโปรดให้สร้างป้อมปราการตามสถานท่ีน้อยใหญ่รอบเกาะลังกา ดังเช่น เมืองโปโฬนนารุวะ เมืองปุลัจเจริ เมืองโกฏสาระ เมืองคังตฬา เมอื งกวุฑาปลุ ุ เมอื งกุรณุ ฑุ เมืองปทมี านา เมอื งมตโุ คณะ เมอื งเทบรปฏนุ ะ เมอื งอรู าโตฏะ เมอื งโคมณุ ฑุ เมอื งมปี าโตฏะ เมอื งมณั ฑลี และเมอื งมนั นารมั ทรงปกครองหัวเมืองทั้งหลายภายใต้เอกฉัตรอันเดียว และเสพเสวย ราชสมบัติด้วยความรุ่งเรืองสุขสำ�ราญ โปรดให้สร้างอารามวิหารมากมาย หลายแห่ง ดงั เชน่ เมอื งศรีวรรธนปรุ ะ เปน็ ต้น แล้วมอบถวายแกพ่ ระสงฆ์ ทรงอุปถมั ภ์พระสงฆด์ ว้ ยปจั จยั ส่ี มีจีวร อาหารบิณฑบาต เตียงนอน และ น้ำ�ปานะ เปน็ ต้น

โปโฬนนารวุ ะและดมั พเดณิยะ 75 ครน้ั ทราบวา่ มพี ระสงฆป์ ระพฤตผิ ดิ พระธรรมวนิ ยั จ�ำ นวนมาก พระองค์ ให้สอบสวนความเสียหายแห่งพระศาสนา บรรดาบุรุษแต่ละครัวเรือนผู้เข้า สู่ร่มผ้ากาสาวพัสตร์ ล้วนประพฤติด้วยความประมาท ครั้นทรงทราบถึง ความไม่เหมาะสมแห่งการอนุญาตคนเข้าสู่ร่มเงาแห่งผ้ากาสาวพัสตร์ ซึ่ง บรู พกษตั รยิ ไ์ ดป้ กปกั รกั ษาพระศาสนาใหบ้ รสิ ทุ ธิ์ แตส่ �ำ แดงอาการเสอื่ มโทรม สมัยพระองค์ จึงโปรดให้รวบรวมพระสงฆ์สองคณะ ภายใต้การนำ�ของ พระอรัญกเมธังกรสังฆราช ซึ่งเป็นศิษย์ผู้ใหญ่ของพระพุทธวังสวนรัตนะ แห่งสำ�นักอุทุมพรคิรี ทรงอธิบายพระราชภารธุระต่อหน้าคณะสงฆ์ ด้วย ปรารถนาอย่างสดุ ซึ้ง แล้วมอบหมายภาระใหเ้ ป็นหน้าท่ขี องคณะสงฆ์ พระองคช์ �ำ ระพระศาสนาดว้ ยการขบั ไลพ่ ระภกิ ษผุ ปู้ ระพฤตผิ ดิ ผดู้ �ำ เนนิ ชีวิตไมเ่ หมาะสมตอ่ สมณภาวะให้ออกจากคณะสงฆ์ ทรงเสนอแนะวา่ ไม่ควร ปล่อยปละละเลย ให้ภิกษุผู้ประพฤติเสียหายเข้ามาภายในพระศาสนา จึง โปรดใหต้ รากฎระเบยี บเพอ่ื คมุ้ ครองพระสงฆผ์ อู้ ทุ ศิ ชวี ติ เพอื่ ศกึ ษาและปฏบิ ตั ิ วิปัสสนากรรมฐาน ด้วยเหตุนั้น การรักษาพระศาสนาจึงดำ�รงคงมั่นด้วย พระธรรมวนิ ยั ครบถว้ น ๕๐๐๐ ปี เพอื่ ถวายรางวลั ตอบแทนพระสงฆท์ งั้ สองคณะ พระองคโ์ ปรดใหส้ รา้ ง อาคารขนาดใหญ่ เหมอื นวมิ านแหง่ พรหมภายในบรเิ วณเรยี กวา่ ปลาพตั คะละ และแต่งต้ังพระสงฆ์ผู้งดงามด้วยวัตรปฏิบัติ ปรารถนาน้อย และสามารถ ประพฤติวตั รรกั ษาพระธรรมวนิ ยั อยา่ งถูกต้องเหมาะสมตามฐานานุฐานะ พระองค์โปรดให้จัดพิธีอุปสมบทแก่กุลบุตรเป็นจำ�นวนพัน แม้พระ อนชุ ายพุ ราชพระนามวา่ ภวู เนกบาหุ กใ็ หค้ �ำ แนะน�ำ แกพ่ ระสงฆห์ มใู่ หญ่ ท�ำ ให้ พระศาสนาร่งุ เรืองแพรห่ ลายโด่งดังแพร่ขจายไปไกล สมยั น้ี ๑๘๐๙ ปีล่วงแล้วภายหลงั พทุ ธปรินิพพาน

76 นิกายสงั ครหยะ นับตั้งแต่สมัยพระพุทธโฆษาจารย์ พระอรรถกถาจารย์ผู้มีชีวิตสมัย พระเจ้ามหานามะจนถึงสมัยนี้ มีพระสงฆ์นักปราชญ์จำ�นวนมาก ดังเช่น พระพุทธทัตตเถระ พระธรรมปาลเถระ พระโชติปาลเถระ พระเกษมเถระ พระธรรมศรีเถระ พระนันทเถระ พระอานันทเถระ พระอนุรุทธเถระ พระ อุปติษยเถระ พระพุทธรักษิตเถระ พระโมทคลายนเถระ และพระสงฆ์นัก ปราชญอ์ กี หลายรปู กลา่ วคอื พระสงั ฆรกั ษติ เถระ พระสมุ งั คลเถระ พระวาค ี ศวรเถระ พระธรรมกรี ตเิ ถระ พระนาคเสนเถระ พระอานนั ทเถระ พระเวเทห เถระ พระพุทธปริยเถระ พระอนวมทัศรีเถระ ซึง่ ล้วนแลว้ แต่มชี ีวิตรว่ มสมยั กบั พระสังฆราชสารบี ุตรเถระ ผู้เป็นจอมปราชญ์ กลา่ วกนั วา่ พระเถระได้ยนิ ความแมค้ รง้ั เดยี ว ย่อมสามารถจดจ�ำ พระคาถาไดถ้ งึ พัน๑๑ พระสงฆ์นักปราชญ์เหล่าน้ีพากันผลิตวรรณกรรมมากมาย กอปร ด้วยคัมภีร์อธิบาย คัมภีร์แนะนำ� งานแปล อภิธานศัพท์ งานเรียบเรียง เปน็ ต้น สร้างชอื่ เสียงระบือไกลใหแ้ ก่พระศาสนาของพระศาสดาเจ้า เชน่ เดยี วกบั พระสงฆ์นกั ปราชญเ์ หลา่ น้ี กลา่ วคอื พระศโลกสทิ ธารถ เถระ พระสาหิตยวิลกัมมูลเถระ พระอนุรุทธเถระ พระทีปังกรเถระ พระ มยูรปาทเถระ พระธรรมเสนเถระ พระศรู ปาทเถระ พระธรรมกรี ติปาทเถระ พระธีรนาคปาลเถระ พระราชมูรารเิ ถระ พระกวริ าชเศขรเถระ นอกจากนั้น ยงั มฆี ราวาสนกั ปราชญอ์ กี หลายทา่ น ไดแ้ ก่ อคั รปณั ฑติ ปรากรมบณั ฑติ ๑๒ และอคั รบณั ฑติ ไดแ้ ตง่ กวนี พิ นธ์ งานแปลเชงิ อธบิ าย คมั ภรี อ์ ภธิ านศพั ทแ์ ละ วรรณกรรมคำ�สอนอีกเป็นจ�ำ นวนมาก เพราะอาศัยคัมภีร์เหล่านี้เป็นฐาน จึงมีนักเขียนสืบต่อผลิตงาน วรรณกรรมทางศาสนา ตามความต้องการของผู้คนแต่ละยุค ทำ�ให้คัมภีร์ ทางศาสนาของพระศาสดาเจ้ารุ่งเรืองแผ่ไพศาล เป็นท่ีรู้จักของนานาอารย วิเทศจรดขอบเขตดนิ แดนอุษาคเนย์

โปโฬนนารุวะและดมั พเดณิยะ 77 เชงิ อรรถ ๑ กอ่ นพระองคเ์ สดจ็ ขนึ้ ครองราชยน์ น้ั เกาะลงั กาตกอยภู่ ายใตก้ ารปกครองของ กษตั รยิ ท์ มฬิ โจฬะถงึ ๗๐ ปี พระองคต์ อ้ งรวบรวมผกู้ ลา้ ชาวสงิ หลออกตอ่ ส ู้ กอบกบู้ า้ นเมอื งหลายตอ่ หลายครงั้ สดุ ทา้ ยไดร้ บั ความชว่ ยเหลอื จากพระเจา้ อนรุ ทุ ธแ์ หง่ อาณาจกั รพกุ าม จงึ สามารถขบั ไลท่ มฬิ โจฬะออกจากเกาะลงั กา และสถาปนาตนขนึ้ เป็นกษัตริย์ได้ส�ำ เร็จ ๒ หมายถึงอาณาจักรพุกาม ๓ ตำ�แหน่งเหล่านี้สันนิษฐานว่าน่าจะเกิดมีก่อนต้ังแต่สมัยอดีตกาลเป็นแน่ ครน้ั ยา่ งเขา้ สสู่ มยั อาณาจกั รโปโฬนนารวุ ะอาจมกี ารเปลยี่ นแปลงบางต�ำ แหนง่ ให้เหมาะสมกับยุคสมยั แหง่ ตนก็เปน็ ได้ ๔ พระเถระเป็นพระสงฆ์ผู้ทรงปราชญ์เหนือกว่ารูปอื่นใดสมัยพระเจ้าปรากรม พาหุมหาราช มีหลักฐานระบุว่าท่านรจนาคัมภีร์หลายเล่ม เช่น คัมภีร์ อภิธัมมัตถสังคหฎีกา หรือเรียกว่าโปราณฎีกา คัมภีร์ไวยากรณ์ภาษา สันสกฤตช่ือพาลาวโพธนะ คัมภีร์แต่งแก้คัมภีร์สมันตปาสาทิกา และโปโฬ นนารุกติกาวัตร ท่านมีลูกศิษย์รูปหน่ึงนามว่าพระสารีบุตรเถระ ซึ่งมี ความโดดเด่นย่งิ กว่าอาจารยแ์ ห่งตน ๕ พระนามตามภาษาบาลีดังนี้ พระเจ้าวิชัยพาหุท่ี ๒ พระเจ้านิสสังกมัลละ พระเจ้าวิกรมพาหุท่ี ๒ พระเจ้าโจฑคังคะ พระนางลีลาวดี พระเจ้าสาหัส สมลั ละ พระนางกลั ยาณวดี พระเจ้าธรรมาโศกะ พระเจา้ อนิกังคะ พระเจา้ โลเกศวร และพระเจา้ ปรากรมปณั ฑุ ๖ พระเจา้ วิชัยพาหทุ ่ี ๓ (พ.ศ.๑๗๗๕-๑๗๘๓) ๗ พระสังฆรักขิตเถระเป็นศิษย์ของพระสารีบุตรเถระและพระโมคคัลลานเถระ แหง่ ยคุ โปโฬนนารุวะ ทา่ นรจนาคมั ภรี ์ภาษาบาลีหลายเล่ม ไดแ้ ก่ วตุ โตทยั

78 นิกายสังครหยะ สุโพธาลังการะ สมั พันธจนิ ตา สุสัททสทิ ธิ สารัตถวิลาสนิ ี และโปราณฎกี า ซ่ึงแตง่ แก้คมั ภีร์ขุททกสิกขา ๘ พระเมธังกรเถระ เป็นศิษย์ของพระสารีบุตรเถระและพระพุทธวังสวนรัตน เถระ ส่วนพระอุปัชฌาย์คือพระโมคคัลลานเถระ ด้วยเหตุเป็นสมาชิกแห่ง วนวาสจี งึ มนี ามน�ำ หนา้ วา่ อรญั ญกเมธงั กรเถระ ทา่ นแตง่ หนงั สอื ภาษาสงิ หล ชอ่ื วินยารถสมจุ จยะ ซึง่ เป็นคมู่ ือศึกษาพระวินัยส�ำ หรบั ผ้บู วชใหม่ ๙ พระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๒ (พ.ศ.๑๗๘๓-๑๘๑๓) ๑๐ เมอื งดัมพเดณิยะ ๑๑ รายนามพระสงฆ์นักปราชญ์เหล่านี้ แม้ไม่ระบุถึงผลงานของแต่ละรูป แต่ ถือว่าเป็นประโยชน์มากมายมหาศาล เพราะสามารถเชื่อมต่อกับหลักฐาน เหลา่ อนื่ ท�ำ ให้เรือ่ งราวชัดเจนมากข้ึน ๑๒ เปน็ ทนี่ า่ สงั เกตวา่ นอกจากจะปรากฏชอ่ื พระสงฆน์ กั ปราชญแ์ ลว้ ผนู้ พิ นธย์ งั ระบนุ ามฆราวาสนกั ปราชญด์ ว้ ย ชใ้ี หเ้ หน็ ถงึ ผลส�ำ เรจ็ แหง่ การเรยี นการสอน สมยั น้นั

โปโฬนนารุวะและดัมพเดณิยะ 79 รปู สลักพระเจ้าปรากรมพาหุมหาราช เมอื งเกา่ โปโฬนนารุวะ รฏิ ิคะละ วดั อรัญวาสี นอกเมอื งเก่าโปโฬนนารุวะ

80 นิกายสังครหยะ วฏทาเค สถานที่ประดษิ ฐานพระเขีย้ วแก้ว เมอื งเกา่ โปโฬนนารวุ ะ

โปโฬนนารุวะและดัมพเดณิยะ 81 พระพทุ ธรปู ศลิ า วัดกลั วหิ าร เมอื งเกา่ โปโฬนนารุวะ

82 นิกายสังครหยะ

เสนาบดีอุปถมั ภพระศาสนา 83 º··èÕ ÷ เสนาบดอี ุปถัมÀ์พระศาสนา อลคักโกนาระเสนาบดี ครน้ั พระเจ�้ บณั ฑติ ปร�กรมพ�หสุ วรรคตสนิ้ แลว้ มกี ษตั รยิ ค์ รองร�ชย์ สบื ตอ่ อกี ๗ พระองค์ ได้แก่ พระเจ�้ โบสตั วิชยบ�ห ุ พระมห�ภวู ไนกบ�ห ุ ผคู้ รองร�ชยอ์ ยทู่ เี่ มอื งย�ปจั ปวุ ะ๑ พระเจ�้ ปร�กรมบ�ห ุ พระเจ�้ วตั หมิ ภิ วู ไน กบ�ห ุ พระเจ�้ บณั ฑติ ปร�กรมบ�ห ุ ผคู้ รองร�ชยอ์ ยทู่ หี่ สั ตไิ ศลปรุ ะ๒ พระเจ�้ วันนิภูวไนกบ�หุ และพระเจ้�วิชยบ�หุ ภ�ยหลังต่อม�พระเจ้�ภูวไนกบ�หุ ทรงครองร�ชย์ที่เมืองคังค�ศรีปุระใกล้ฝ่ังแม่น้ำ�มห�เวฬิคังค� ส่ีปีหลัง ร�ช�ภเิ ษก นับเปน็ ปที ี่ ๑๘๙๔ แหง่ พทุ ธปรนิ พิ พ�น๓ สมัยน้เี สน�บดผี ใู้ หญ่น�มว�่ เสน�ธิลงั ก�ระ๔ แห่งตระกูลเมณวรวังสะ ได้จัดส่งทรัพย์สมบัติอันมีค่�ดังเช่นไข่มุกและอัญมณีเป็นต้น เพ่ือเป็นค่� ใช้จ่�ยในก�รสร้�งวิห�รหินที่เมืองกัญจิปุระแห่งอินเดียตอนใต้ จ�กนั้นให้ สร้�งวิห�รประดิษฐ�นพระพุทธรูปป�งประทับยืนที่เมืองเดวินูวะระ และให้ สร้�งวิห�รขน�ดใหญ่ที่อัครโพธ์ิวิห�ร นอกจ�กนั้นยังให้สร้�งวิห�รขน�ด ใหญอ่ ีกแหง่ หนึ่งน�มว�่ อภนิ วลังก�ตลิ กะ บนเนินเข�ปรณไสละในมห�นคร สิณฑุรว�น อันเป็นถ่ินฐ�นแห่งบรรพบุรุษของตน เล่�ลือกันว่�งดง�มดั่ง เข�ไกรล�ศ อกี ทงั้ ไดบ้ �ำ เพญ็ กศุ ลหล�ยตอ่ หล�ยอย�่ ง เพร�ะศรทั ธ�เลอ่ื มใส ในพระศ�สน�ของพระชินเจ้�

84 นิกายสงั ครหยะ ต่อมาได้ทราบถึงความมากมีของพระสงฆ์ ผู้ประพฤตินอกธรรมนอก วินัย ทำ�อันตรายแก่พระศาสนา เสนาบดีจึงเข้าไปปรึกษาคณะสงฆ์ทั้งสอง คณะ อันมีพระสังฆราชวนรัตนะแห่งสำ�นักอมรคิรีวาสะเป็นประธาน๕ ครั้น แล้วได้สั่งทหารให้แวดล้อมคุ้มครองพระสงฆ์ แล้วมอบหมายให้คณะสงฆ์ ไตส่ วนอธิกรณจ์ นชำ�ระพระศาสนาให้บรสิ ุทธิ์ คร้ันพระเจ้าภูวไนกพาหุสวรรคตแล้ว ผู้ครองราชย์สืบต่อพระนาม ว่าปรากรม และพระเจ้าวิกรมพาหุ ซึ่งทั้งสองพระองค์ล้วนครองราชย์ใน มหานครแห่งน้นั แล สมัยน้ีเองเสนาบดีผู้ใหญ่นามว่าอลคักโกนาระ ผู้สืบเช้ือสายมาจาก ตระกูลคิริวังสะ เป็นผู้โด่งดังเหนือโลก เพราะมากด้วยบารมีและบุญญาธิ การ ดงั บรรยายไวว้ ่า ปาสาทะโพธิวะระวงั กะมะมัณฑะเปหิ ปาการะสาละปะฏิมาละยะเจติเยหิ กลั ยาณะนามะนะคะรี รุจิราปะเณหิ ราเชติ จารุตะระโคปุระโตระเณหิ อรรถาธิบายตามนัยแห่งพระคาถาว่า บนเกาะลังกาอันงดงามแห่ง น้ี มากมีด้วยบุณยสถาน ดังเช่น มหานครกัลยาณี พร่ังพร้อมด้วยวิหาร ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทางเดินขนาดใหญ่ ศาลา กำ�แพงเมือง หอประชุม วิหาร หอพระธาตุ และตลาดอันขวักไขว่ด้วยผู้คน พร้อมท้ังค่ายคูประตูรบ อันสวยงาม เป็นเหตุให้มหานครกลั ยาณีรุง่ เรอื งแผ่ไพศาลไปไกล อันว่าบริเวณภายในมหานครกัลยาณีนั้น แวดล้อมด้วยป้อมปราการ ดังหน่ึงภูเขาจักรวาล เรียงรายเป็นถ่องแถวตามอาคารบ้านเรือนสวยงาม

เสนาบดีอปุ ถมั ภ์พระศาสนา 85 อลงั การ สขี าวแหง่ ปนู แวววบั ดงั ขนุ เขาไกรลาศ มเี รอื่ งเลา่ เกย่ี วกบั มหานคร กัลยาณีนับคำ�นวณไม่มีท่ีสิ้นสุด อารามวิหารล้วนงดงามตามด้วยกำ�แพง เสา และขัน้ บันไดวิจติ รตระการตาดั่งสวรรค์บนพน้ื พิภพ นอกจากนั้น มหานครแห่งน้ียังรุ่งเรืองด้วยอารามวิหารมากมาย สวยงามด้วยสนามหญ้าหน้าหอพระธาตุ ต้นพระศรีมหาโพธ์ิและวิหาร ทางเดิน อาคารอนั ใหญโ่ ต และประตูน้อยใหญ่ เชื่อมโยงถงึ กนั ดว้ ยถนนอนั กว้างใหญ่ มเี สน้ ทางหลกั สองสาย พรงั่ พรอ้ มด้วยผูค้ นหลายเช้อื ชาติ เป็น มหานครเต็มไปด้วยทรัพย์สินมากมายหลายชนิด บนเกาะอันงดงามนามว่า ลงั กา อกี ท้งั มากมดี ว้ ยบณุ ยสถานหลายแห่งดังกัลยาณวี หิ ารเป็นต้น เพราะเกาะลังกาพร่ังพร้อมด้วยสถานท่ีมีค่าดังมหานครกัลยาณีเช่น น้ี อลคักโกนาระเสนาบดีน้ันจึงพิจารณาเห็นภยันตรายแห่งอาณาจักรและ ศาสนจักร ปรารถนาหาทางป้องกัน จึงเลือกชัยภูมิแห่งหน่ึงกลางสระนำ้� ไมไ่ กลจากหมูบ่ ้านทารคุ าม และไม่ไกลจากทา่ เรอื โคลมั โบ ชอ่ื ว่าเปน็ สถานที่ ปอ้ งกนั เปน็ อยา่ งดี เพราะแวดลอ้ มดว้ ยชลธี จงึ ไดแ้ ตง่ ตง้ั เจา้ หนา้ ทผี่ บู้ �ำ เพญ็ ประโยชน์สุข เพ่ือประชาชนเสมือนประโยชน์แห่งตน ผู้จงรักภักดีและมุ่งม่ัน ตง้ั ใจ ผ้ฉู ลาดสามารถตามต�ำ แหนง่ หน้าทจี่ นเป็นท่เี ช่ือถือของผ้คู น ผรู้ ู้สง่ิ ใด สมควรสงิ่ ใดไมส่ มควร ผมู้ ไี หวพรบิ ปฏภิ าณ และซื่อสตั ยต์ ่อหน้าทีแ่ ห่งตน คร้ันปรึกษาหารือกับเหล่าขุนนางแล้ว ได้สร้างคูนำ้�ขนาดใหญ่มี ความกวา้ งและลกึ เสมือนหนา้ ผาสูงชัน ให้ขดุ ลอกดนิ รอบทารุคามเพอ่ื สร้าง ก�ำ แพงอนั แขง็ แกรง่ จากนนั้ ใหส้ รา้ งก�ำ แพงศลิ าตดิ กบั คนู �ำ้ ชอ่ งวา่ งระหวา่ ง กำ�แพงตกแต่งอย่างสวยงาม เสมือนการสร้างของวิษณุกรรมเทพบุตร และให้ทำ�การป้องกันในสถานท่ีอันเหมาะสม ดังเช่น อิดังคิณิ ปุลิมุคัม ภูมยิ งั ตฏั ฏุ อัฏฏาละ และวัฏฏเวฎฎงั

86 นิกายสงั ครหยะ ถัดจากนั้นให้สร้างป้อมปราการนามว่าวิชัยวรรธนปุระ บนยอดเชิง เทินขนาดใหญ่ภายในนครน้ันแล อีกท้ังให้สร้างเทวาลัยทั้งสี่ทิศเป็นเอกเทศ แยกจากกัน เพ่ือนอ้ มถวายแกจ่ ตเุ ทพเจ้านามวา่ กิรแิ รลิอบุ ลุ วัน สมันโบก แสล วิภีษะณะ และสกันดะกุมาร๖ เพ่ือเป็นที่สักการบูชาของชาวลังกาผู้ ศรัทธาเลื่อมใส แล้วมีคำ�ส่ังว่าควรแสดงความเคารพสักการะต่อเทพเจ้า เหลา่ นนั้ ดว้ ยความออ่ นนอ้ ม อกี ทงั้ ใหม้ กี ารเตน้ ร�ำ และขบั รอ้ งพรอ้ มโหมกลอง และประโคมคตี ามากมายหลายชนิด ด้วยเหตุนั้นแล มหานครจึงเจริญรุ่งเรืองแผ่ไพศาล มากมีด้วยนัก ปราชญร์ าชบณั ฑติ เสนาบดอี ลคกั โกนาระใหส้ รา้ งทอ่ี ยแู่ หง่ ตนภายในพระนคร เมืองหลวง แวดล้อมด้วยทหารหาญชาวสิงหลและทหารกล้าชาวทมิฬ จำ�นวนมาก อันว่าเสนาบดีนั้นเป็นผู้กล้าหาญดังพญาราชสีห์ เสมือนตัวแทนซึ่ง พรรณนาไว้ในอุมันทาวะว่า เมื่อกษัตริย์จุลนีพรหมทัตต์พร้อมด้วยกษัตริย์ สามันตประเทศหน่ึงร้อย และกองทัพอันยิ่งใหญ่เกรียงไกรถึงสิบแปดอัก เสาหินิ แวดล้อมด้วยนครแห่งมิยลุนคร และศรีมหาโบธิสัตวะนามว่ามเหา หธาภิธาน ประสงค์ประโยชน์สุขเพ่ือมวลชน ไร้ความเกรงกลัวต่ออริราช ศตั รู ยอ่ มเขา้ สสู่ งครามอนั ดเุ ดอื ดและไดร้ บั ชยั ช�ำ นะในทสี่ ดุ และเปรยี บเหมอื น พระยามารพร้อมเสนา ผู้มีลักษณะอันบิดเบี้ยวผิดแผกแปลกมนุษย์ เข้ามา ใกล้อาสนะภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธ์ิ แต่งตัวด้วยลักษณะพิสดารเกินมนุษย์ พากันพุ่งศาสตราวุธน้อยใหญ่เข้าใส่พระพุทธเจ้า ดังเช่น จันทระ จักระ เป็นต้น สิงหลปะทะทมฬิ ต่อมาพระเจ้าอารยจักรวรัติแห่งอาณาจักรทางตอนเหนือ ได้ยก กองทพั อนั ยง่ิ ใหญม่ ากมายมหาศาลพรอ้ มเพรยี งดว้ ยทหารชาวทมฬิ กองทพั

เสนาบดีอุปถมั ภ์พระศาสนา 87 หนง่ึ นนั้ เดนิ เทา้ อกี กองหนงึ่ เดนิ ทางดว้ ยเรอื มจี ดุ ประสงคค์ อื ท�ำ สงครามยดึ ครองนครชยั วรรธนะ ชดุ เกราะของทหารหาญมีลวดลายหลายสสี นั ต่างถอื อาวุธพรอ้ มวิสเปลลิ มฑสาละ และมาราสิ เสนบดีอลคกั โกนาระน้ันไดน้ �ำ ทหารออกตอ่ ส้กู ับศัตรู เฉกเชน่ พระเจา้ ทฏุ แุ คมณุ ุ และบรู พกษตั รยิ ผ์ ยู้ งิ่ ใหญ่ ดว้ ยการเขา้ ท�ำ ลายกองทพั ชาวทมฬิ หนิ ชาตหิ ลายครงั้ หลายครา ณ สมรภมู ทิ อี่ มั บโตฏะ มยิ ุคุณะ เทณคมุ อตุรบะ โปลวัตตะ ขาณุ นมั บนุ นะ กสาโตฏะ สัตแบโกฏฏะ คามณิคมะ วสิฏฐคมะ หาลโกฬปุระ ทีฆภยะ มาคัลละ กุมภบาณะ กันทมุนนะ วิชิตปุระ คิรนิล นุวะระ มเหละ และอนุราธปุระ สามารถยึดค่ายของอรริ าชศัตรูที่โคลัมเบอะ วตั ตละ มคี มุ และสลาวตะ ได้ทำ�ลายความยง่ิ ใหญโ่ หดรา้ ยของกษตั รยิ ท์ มฬิ สามารถสร้างชื่อเสยี งใหเ้ ปน็ ท่รี ู้จักแพร่หลายไปท่วั ทศิ านุทิศ นกั กวหี ลายทา่ นจึงกล่าวสรรเสริญเสนาบดีไวว้ า่ ตาตะนนั ตะกนั ตัพพะสุธาระภโู ต รลู งั การะลังกาสวุ ัณณทั ทิวาโส สะปัตเตภะกมุ ภพั เภเท ปะวโี ณ วิราเชติ วีราละกาธสิ ะสีโส ฯ อรรถาธิบายตามนัยแห่งพระคาถาว่า เพราะแบกรับภาระอันหนัก เชน่ นี้ พญาราชสหี ผ์ กู้ ลา้ หาญนามวา่ อลเกศวร ไดแ้ สดงความกลา้ แกรง่ ดว้ ย การถือศาสตราวุธเข้าทิ่มแทงหน้าผากแห่งพญาคชสารกล่าวคือศัตรู ท่าน ดำ�รงสถานภาพเหมือนขุนเขาอันใหญ่โตแห่งเกาะลังกา เป็นท่ีพักพิงของ ชาวลังกา และเป็นนาถะอันเย็นใจของเหล่าประชาราษฎร์

88 นิกายสงั ครหยะ เสนาบดอี ลคักโกนาระชอื่ ว่าผดู้ ำ�รงต�ำ แหน่งเจา้ ชายทง้ั ห้า เพราะเปน็ ผู้ปกครองเกาะลงั กาหน่ึง เปน็ ผูป้ กครองมหี ลักการหน่ึง เป็นผ้ปู กครองตาม หัวเมืองหน่ึง เป็นผู้ปกครองทนต่อความลำ�บากหนึ่ง และเป็นเจ้าชายคอย ใหค้ ำ�ปรกึ ษาหนึ่ง ทา่ นได้สร้างความยินดีปรดี าใหเ้ กิดมภี ายในหัวใจของผ้คู น เพราะกอปรด้วยคุณธรรม ๔ ประการ คือ การให้ ความอ่อนโยน การ สง่ เสรมิ ความเจริญแกผ่ อู้ ่ืน และรักผูอ้ ่นื เสมอตน เสนาบดีไดจ้ ดั พธิ ีอุปสมบทแกพ่ ระสงฆ์ เพราะเห็นประโยชน์ในอนาคต ได้สละเงินทองมากมายเพ่ือก่อสร้างมหาวิหาร อันเป็นสัญลักษณ์แห่ง ความย่ิงใหญ่ของกษัตริย์ ดังเช่น สิทุรุคิริวิหาร และก่อสร้างศาสนสถาน ขนานนามตามช่ือแห่งชัยชนะ เช่น กัญจิปุระ ปุรันทระ คิริวังสะ เศขระ นศิ ศังกะ อลเกศวร เป็นตน้ นอกจากน้ัน ท่านได้สร้างอารามเพ่ือพระสงฆ์หมู่ใหญ่เป็นเอกเทศ สำ�หรับภิกษุผู้อาศัยตามหมู่บ้านและป่าเขา พร้อมท้ังสถานที่กำ�เนิดแห่งตน นามว่านครราชคาม ให้เจ้าหน้าที่จัดเตรียมปัจจัยเครื่องจำ�เป็นจำ�นวนมาก นอ้ มถวายแกพ่ ระสงฆใ์ นมหานครเมอื งหลวงทงั้ สนิ้ ใหค้ วามเทา่ เทยี มกนั กบั ผคู้ นทกุ ชนชนั้ ทุกศาสนา และได้บ�ำ เพ็ญบารมขี นาดใหญ่ด้วยการนอ้ มถวาย ปัจจัยส่สี ำ�หรับพระสงฆ์เป็นนิตย์ อนั วา่ นศิ ศงั กอลคกั โกนาระแหง่ อมรคริ นิ นั้ ๗ ชอ่ื วา่ ด�ำ รงอยดู่ ว้ ยศรทั ธา ครนั้ ทราบความไรร้ ะเบยี บของพระภกิ ษผุ ดู้ �ำ รงเพศประพฤตนิ อกรตี ปรารถนา หาวิธีเยียวยาแก้ไข ดังหนึ่งกสิกรผู้ปลูกธัญหารปรารถนาป้องกันข้าวโพด ได้ถอนรากถั่วและวัชพืชออกจากแปลงข้าวโพด จึงศึกษาวิธีการตามแบบ อย่างแห่งบูรพกษตั ริย์ ครน้ั แล้วไดพ้ ร้อมใจกนั กบั เสนาอ�ำ มาตย์ ด้วยการใช้ วธิ ีบังคับ ดว้ ยความเพียรใหญร่ กั ษาพระศาสนา ดว้ ยกายกรรมและวจีกรรม หลายครั้งจากเร่ิมตน้ จนถงึ สดุ ทา้ ย

เสนาบดีอุปถัมภ์พระศาสนา 89 ท่านได้เข้าไปปรึกษาหารือกับพระสังฆราชศรีธรรมกีรติ๘ ผู้มีช่ือเสียง โดง่ ดงั ทว่ั สบิ ทศิ ผงู้ ามพรอ้ มดว้ ยศลี าจารวตั รและเปน็ ทย่ี อมรบั ทง้ั อาณาจกั ร และศาสนจกั ร ผูพ้ ำ�นกั พกั อาศัยอย่บู นขนุ เขาแหง่ ศลี ธรรม ผ้สู ืบเชือ้ สายมา จากคณะสงฆว์ นวาสแี หง่ ส�ำ นกั ปลาพตั คะละ ไดป้ ระชมุ พระสงฆท์ ง้ั สองคณะ เพอื่ ท�ำ การสงั คายนาช�ำ ระพระศาสนา เฉกเชน่ บรุ พกษตั รยิ ์ ดว้ ยการมอบสทิ ธ์ิ ขาดให้พระสงฆ์สามารถไต่สวนอธิกรณ์ และจับสกึ พระภกิ ษุผู้ประพฤติทุจริต จงึ เปน็ หว้ งเวลาแหง่ การสรา้ งความสงบสขุ เพอื่ ความตง้ั มนั่ แหง่ พระศาสนา เหตุการณน์ ้นั ตรงกบั ปีท่ี ๑๙๑๒ ภายหลังพทุ ธปรนิ พิ พาน ความสามัคคีปรองดองของคณะสงฆ์ได้เร่ิมต้นขึ้นอีกคร้ังหนึ่ง และ ยั่งยืนมั่นคงจนถึงปีที่สิบห้าแห่งการครองราชย์ของพระเจ้าภูวไนกพาหุ ซงึ่ ตรงกับปที ่ี ๑๙๒๙ แห่งการปรนิ พิ พานของพระพุทธเจา้ พระเจา้ วีรพาหุ คร้ันล่วงเข้าปีท่ี ๒๐ แห่งสมัยราชาภิเษกของพระเจ้าภูวไนกพาหุ ผู้เป็นเช้ือพระวงศ์แห่งสิงหลพระนามว่าวีรพาหุ ผู้มีกำ�เนิดจากตระกูล เมเหณวระ ซ่ึงดำ�รงตำ�แหน่งอุปราชได้ปราบดาภิเษกข้ึนเป็นกษัตริย์ครอง บลั ลงั กเ์ หนือเกาะลงั กาท้ังมวล๙ พระองค์ข้ึนชื่อลือชาว่ามีคุณธรรม ทรงความรู้ มีชื่อเสียงแพร่หลาย สง่างาม รุ่งโรจน์ และมีคุณสมบัติอันชาญฉลาด เป็นผู้มีอำ�นาจ เป็นผู้ เชี่ยวชาญด้านยุทธศาสตร์ ได้ทำ�ลายทมิฬหินชาติผู้ช่ัวร้ายสามานย์ทั้งสิ้น ท้ังปวง อีกทั้งพวกมลละและพวกมัวร์เป็นต้น สามารถทำ�ให้ลังการวมกัน เป็นหนงึ่ เดียวภายใตเ้ ศวตฉตั ร และเสพเสวยความรุ่งเรืองม่นั คง

90 นิกายสงั ครหยะ พระองค์ทรงดำ�ริว่าตัวเราไม่ควรพอใจทรัพย์สมบัติอันมั่งค่ังสมบูรณ์ ซึ่งบังเกิดจากบุญบารมีเก่าแต่หนหลัง จึงได้ถวายข้าว ดอกไม้ และ ตะเกยี งน�ำ้ มัน เพอ่ื เปน็ พุทธบชู า นอกจากนั้น ใหค้ วามเคารพผู้แตกฉานใน พระศาสนา ดว้ ยการยนิ ดรี บั ฟงั พระธรรมเทศนา โปรดใหม้ อบถวายรายไดแ้ หง่ หมบู่ ้านน้อยใหญแ่ ก่คณะสงฆ์ พร้อมนอ้ มถวายปจั จัยสี่แดพ่ ระสงฆ์เป็นนิตย์ ส่วนพวกพราหมณ์นั้นโปรดให้มอบสินรางวัล ด้วยการมอบหมู่บ้าน ที่ดิน ไร่นา และทรพั ยส์ ิน เส้อื ผา้ เครอื่ งประดับ และพนั ธุ์พืช และโปรดให้ มอบทาส โคผู้ ควาย มา้ ชา้ ง วัว อญั มณี สาวใช้แกน่ กั กวี สว่ นนกั บวช ก็โปรดประทานอาหาร เคร่อื งดื่มและเส้อื ผา้ เพราะความยงิ่ ใหญ่เกรยี งไกรแห่งกองทัพ พระองคจ์ ึงสามารถรกั ษา การบริจาคและอุปถัมภ์แก่ศาสนา ช่ือว่าเป็นความสุขที่มั่นคงในโลกท้ังสอง ด้วยเหตนุ น้ั ชอ่ื เสยี งของพระองค์จึงแพรห่ ลายไปไกลถงึ ชาววิเทศ รจุ ิระคุณะมะณนี ัง อากะโร เมรุสาโร วชิ ะนะมะทะคะชานัง อปั ปโิ ต เกสะรนิ โท กะวชิ ะนะกะมะลานงั ภานุภโู ตรุเตโช ชะยะติ สะกะละ ลงั กงั วีระพาหาทิปาโท ฯ พระเจ้าวีรพาหุพระองค์น้ันเสมือนขุมทรัพย์แห่งอัญมณีกล่าวคือ คณุ ธรรม ทรงแข็งแกร่งดงั ขุนเขาสเุ มรุ สามารถปราบปรามศัตรจู นศิโรราบ ดังพญาราชสีห์ผู้กล้าข่มคชสารทรงพลังฉะนั้น เหล่ากวีล้วนแต่งแต้ม สรรเสริญพระองค์ดุจพระอาทิตย์เปล่งแสงแรงกล้าจนถึงดอกปทุมเย็นชื่นใจ พระเจ้าวีรพาหุผู้ดำ�รงตำ�แหน่งอาทิปาทะ โชติช่วงชัชวาลย์ตลอดเกาะลังกา ทง้ั สิน้ ทงั้ ปวง

เสนาบดีอปุ ถัมภ์พระศาสนา 91 วมิ ะละวิปุละสทั โธ สาระทานาภิรตั โต วทิ ิตะสะมะยะตัตโต โส ทะโยทาระจติ โต ชินะตะนุชะทชิ านงั วันทนิ ัง เสสะกานงั อะทะทิ ปะวะระคาเม โคคะชสั ตตั ถิทาเย ฯ พระเจ้าวีรพาหุพระองค์นั้น ทรงมั่นคงด้วยความเลื่อมใสศรัทธาอัน บริสุทธิ์ ช่ืนชอบถวายอาหารบิณฑบาตเป็นนิตย์ โปรดให้มอบถวายนิคม น้อยใหญ่ โคผู้ ช้าง ม้า ทรัพย์สิน และข้าทาสแด่พระสงฆ์ นอกจากนั้น ยงั โปรดใหม้ อบแกพ่ ราหมณ์ นักกวี และผูค้ นเหลา่ อ่นื ซง่ึ แตกฉานช�ำ นาญ ด้วยความรู้ พระองค์มีจิตใจอนั เต็มเปีย่ มด้วยความเกือ้ กูลและการุณย์ แม้จะมีการพรรณนาคุณธรรมอันพิเศษของพระองค์อย่างสูงส่ง แต่ คร้ันทรงไดย้ ินกิตตศิ ัพท์ของบรู พกษัตริย์ ดังมีเนอื้ รอ้ งวา่ อะนะนัญญะราชญั ญะสะมานะ มาโน มะหัตถะทาเน ธะนะโทปะมาเน ราชา ปะชา รัญชะนะลัทธะวัณโณ ติสีหะฬงั สาสะติ ธตู ะเวริ ฯ ครั้นทรงทราบถึงความย่ิงใหญ่มิใช่มีเหมือนกษัตริย์พระองค์อ่ืน และ แขง่ ขันกบั เทพแหง่ ความมงั่ คั่งด้วยความยง่ิ ใหญด่ า้ นใจบุญสนุ ทาน กษัตริย์ ผู้เป็นท่ีรักแห่งพสกนิกรต่างพากันสรรเสริญเยินยอ เพราะทรงปกครอง ดนิ แดนทงั้ สามแหง่ เกาะลงั กา ดว้ ยการขบั ไลอ่ รริ าชศตั รใู หพ้ น้ จากเกาะลงั กา ติรันตะรงั มตั ตะมะตงั คะเชวะ สะมาคะตา ยาจะกะภงิ คะมาลา

92 นิกายสงั ครหยะ ปเี นติ โส ทานะระเสนะ สัมมา สะยัง จะ เตสัง ถตู ิคีติกาหิ ฯ พระองค์ทรงยินดีปรีดาท่ามกลางหัวใจของพสกนิกร ผู้ได้รับรู้รส แหง่ ความการณุ ย์ เหมอื นฝงู ผงึ้ ยนิ ดนี �้ำ มนั แหง่ คชสาร และทรงยนิ ดดี ว้ ยการ ขับเพลงว่าดว้ ยการสรรเสริญกตญั ญูกตเวทิตานัน้ ครั้นได้ยินการสรรเสริญมากมายเช่นนี้ และปรารถนาเอาอย่างของ ผู้ขับเพลงนั้น ทรงมีพระทัยเต็มเปี่ยมปรารถนาดำ�เนินราชประเพณีแห่ง บูรพกษัตริย์ด้านศาสนา เสมือนผู้ทรงธรรมมีพลานุภาพเหนือเกาะลังกา และพร้อมที่จะช่วยเหลือพระศาสนาและชาวโลก เหตุเพราะมีพระหทัยท่ี ยดึ มัน่ ในพระรตั นตรัย และชื่นชมยนิ ดพี ระรัตนตรัยอันประเสริฐนัน้ ด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้าท่ีจะปกป้องชื่อเสียงแห่งเกาะลังกา อีกทั้งความยิ่งใหญ่แห่งอัญมณีเก้าประการและพระรัตนตรัยของพระชินเจ้า พระเจ้าวีรพาหุได้มอบเงินอุดหนุนตามสมควรแก่ทหารกล้า แล้วฝึกฝนจน เชี่ยวชาญชำ�่ ชองด้วยศาสตราวธุ ได้แก่ ดาบ หอก ธนู เปน็ ตน้ อีกท้งั ให้ จัดเตรียมเคร่ืองมือป้องกันมากมาย พร้อมการเคลื่อนย้ายกำ�ลังทุกเวลา พระองค์ได้เข้าทำ�ลายท่ามกลางหัวใจของอริราชศัตรูผู้เหี้ยมโหด ทำ�ให้ศัตรู ต่างแดนอกสั่นขวัญแขวน และสถาปนาอาณาจักรแห่งตนให้ดำ�รงคงอยู่ อย่างสงบสุข วันแล้ววันเล่าท่ีพระองค์สร้างความสุขและเพ่ิมเติมคุณธรรม ดงั ปรารถนา พระองค์โปรดให้สร้างหอฉันและแจกจ่ายอาหารแก่พสกนิกรหลาย ศาสนา ดังเช่น ปณั ฑรังคะและนักบวชนกิ ายปาสานฑะ โปรดพระราชทาน ปจั จยั หลายอยา่ งเพม่ิ ขน้ึ เชน่ เงนิ ขา้ วโพด เสอ้ื ผา้ เครอ่ื งประดบั เตยี งนอน และพาหนะแก่พราหมณ์และนักกวี จนบังเกิดมีความปีติในหัวใจของพสก

เสนาบดีอุปถัมภ์พระศาสนา 93 นกิ รทกุ หมเู่ หลา่ และทรงปลม้ื ปตี ยิ นิ ดดี ว้ ยเสยี งโหร่ อ้ งของพสกนกิ รเหลา่ นนั้ ผแู้ สดงออกซงึ่ กตญั ญกู ตเวทิตาคณุ ยิ่งกว่าน้ันโดยพระอุปนิสัยทรงฝักใฝ่พระศาสนา พระองค์ได้ถวาย มหาทานแด่พระสงฆ์ทั้งสองคณะ ได้มอบถวายผ้าจีวรจากกองคลังหลวง จัดพิธีอุปสมบทแก่กุลบุตรจากตระกูลสูง สืบค้นหาผู้เหมาะสมที่จะปกป้อง พระศาสนาในอนาคต แล้วโปรดแต่งต้ังให้ดำ�รงตำ�แหน่งอคเตน มหาปทวิ เป็นต้น พระองค์เสวยความสุขและปีติด้วยการทอดพระเนตรเห็นพระสงฆ์ ตามโอกาสอันสมควร และเจตนาอุปถัมภ์พระศาสนาด้วยการอนุญาตให้ พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ผนวชในท่ามกลางหม่สู งฆ์ ขณะท่ีดำ�รงพระชนม์ชพี ดว้ ยความศรัทธาในพระศาสนา พระองคท์ รง ทราบความดาษด่ืนของพระสงฆ์ผู้ประพฤติผิด แต่ดื้อดึงดำ�รงสมณเพศใน พระศาสนา จงึ โปรดใหเ้ รยี กประชมุ คณะสงฆท์ งั้ สองคณะ ภายใตก้ ารน�ำ ของ พระธรรมกีรติมหาสวามที ่ี ๒ ซ่งึ เปน็ พระสงั ฆปรินายกสมัยนั้น ผ้เู ป็นศษิ ย์ สืบสายมาจากพระศรีธรรมกีรติมหาสวามี ซ่ึงเป็นท่ีรู้จักแพร่หลายตลอดสิบ ทิศ พรอ้ มดว้ ยคณุ ธรรมมากมายของชาวโลก ดงั เชน่ การปกปักรกั ษาและ การบรหิ ารดแู ล และการประพฤตวิ ตั รรกั ษาศลี พรอ้ มกบั พระมหาเถระไมตรยี แหง่ ส�ำ นักคลตุรมุ ลู ะ ผู้เปน็ เสาหลกั แหง่ พระศาสนา๑๐ พระองคท์ รงประพฤติตามพระราชประเพณี ด้วยการมอบอำ�นาจสิทธิ ขาดใหค้ ณะสงฆไ์ ตส่ วนอธกิ รณ์ เพอื่ ความบรสิ ทุ ธด์ิ งี ามแหง่ พระศาสนา แลว้ ขับไล่มลทินแห่งความเส่ือมศรัทธาออกจากพระศาสนาเสีย ถือว่าพระองค์ สรา้ งความม่ันคงรงุ่ เรอื งแกพ่ ระศาสนา สมัยนนั้ ตรงกับปีที่ ๑๙๓๙ หลังพทุ ธปรนิ ิพพานลว่ งแลว้

94 นิกายสังครหยะ การชำ�ระพระศาสนาเป็นการเลียนแบบบูรพกษัตริย์ผู้ศรัทธาเล่ือมใส ต่อพระศาสนา มีความเที่ยงธรรมและศรัทธาอุทิศดังเช่นพระเจ้าธรรมาโศก ดังพระคาถาบรรยายไวว้ า่ โยธาระจารุมิตะมา ชินะยะ สะนมั หิ สัญชาตะสาสะนะมะลงั ยะทิ โสเธยยะ ปญุ เญนะ เตนะ ติทิเวสุ จริ ัง จะรติ วา เตเนวะ ยาติ วะระสันติปรุ งั สรุ มั มงั ฯ อรรถาธิบายตามนัยแห่งพระคาถาว่า หากใครบางคนขจัดมลทินท่ี เกาะกินพระศาสนาแห่งพระศาสดาเจ้าได้แล้วไซร้ ย่อมได้กุศลมหาศาลเป็น เจตนาทานมโหฬาร ด้วยผลบุญครั้งนี้แล คร้ันเสวยสุขบนสรวงสวรรค์ แล้ว จะบรรลุผลานิสงสส์ งู สุดกล่าวคอื พระนิพพาน

เสนาบดีอุปถมั ภ์พระศาสนา 95 เชิงอรรถ ๑ ปัจจุบันคือเมอื งยาปหวุ ะ ๒ ปจั จบุ ันคอื เมืองกุรแุ ณคะละ ๓ ปจั จุบันคอื เมืองคมั โปละ ๔ ช่ือเตม็ คือเสนาลงั กาธิการะ ๕ พระเถระสบื เช้อื สายมาจากคณะสงฆก์ ล่มุ วนรัตนะ ๖ หมายถึงจตุเทพผู้คุ้มครองรักษาเกาะลังกา ได้แก่ เทพอุบลวันแห่งเมือง เดวินูวะระ เทพสามันแห่งเมืองรัตนปุระ เทพวิภีศะณะแห่งเมืองกัลยาณี และเทพกตรคามะแห่งเมอื งกตรคามะ ๗ สันนิษฐานว่านิศศังกะน่าจะเป็นตำ�แหน่งพิเศษ เกิดข้ึนภายหลังจากท่าน เสนาบดสี ามารถปราบปรามกษตั รยิ อ์ ารยจกั รวรตั แิ หง่ อาณาจกั รจฟั ฟน์ าทาง ตอนเหนือได้แลว้ ๘ พระสีลวังสธรรมกีรติเถระหรือพระธรรมกีรติที่ ๑ สืบสายมาจากตระกูล คณแวสิ เป็นศิษย์เอกแห่งสำ�นักปลาพัตคะละ โดดเด่นด้านการก่อสร้าง อารามวิหารหลายแห่งทั้งในอินเดียและศรีลังกา และเป็นผู้แตกฉาน ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา ได้แต่งตำ�ราไว้หลายเล่ม กล่าวคือ คัมภีร์ ปารมีสาตกะ คัมภีรช์ นานุราคะ และคัมภีร์สวุ ลิ วิ วิ รณยะ ๙ เหตทุ ผี่ นู้ พิ นธอ์ า้ งวา่ วรี พาหแุ อปะขน้ึ ครองราชยน์ น้ั เหน็ จะเปน็ เพราะสบื ทอด ตำ�แหน่งจากนิศศังกอลคักโกนาระ อีกท้ังมากอิทธิพลเหนือกษัตริย์ลังกา เปน็ แน่ เพราะวา่ ตามหลกั ฐานเชงิ ประวตั ศิ าสตรแ์ ลว้ นกั วชิ าการลว้ นยอมรบั วา่ ท่านเป็นเพยี งอัครเสนาบดีเทา่ นนั้ ๑๐ หมายถงึ พระเทวรักษิตะชยั พาหเุ ถระผูน้ พิ นธค์ ัมภีร์เล่มน้ี

96 นิกายสงั ครหยะ ประติมากรรมปูนปัน้ เทพวิภีศะณะ ประติมากรรมปนู ปั้นเทพสามนั ประติมากรรมปนู ปนั้ เทพกตรคามะ ประตมิ ากรรมปูนป้ันเทพวิษณุ (เดมิ เรยี กวา่ เทพอบุ ลวนั )

เสนาบดีอปุ ถัมภ์พระศาสนา 97 ภาพจิตรกรรมฝาผนัง ว่าด้วยพุทธประวัติและคติความเชื่อรอยพุทธบาท วัดลังกา ตลิ กะ เขตเมืองแคนดี

98 นิกายสังครหยะ เทพวษิ ณุ วดั รทิ ิวหิ าร เมอื งกุรุแณคะละ มณฑลตอนกลาง

เสนาบดีอปุ ถัมภ์พระศาสนา 99 เทวาลยั เทพวิษณุ เมืองเดวนิ ูวะระ เขตกอลล์ มณฑลใต้ วดั ลงั กาตลิ กะ นอกเมอื งแคนดี

100 นิกายสงั ครหยะ

ปจ ฉิมบท 101 º··Õè ø »¨˜ ©ÁÔ º· พรรณน�อรรถ�ธิบ�ยม�แต่เบือ้ งตน้ สรุปได้ว่� ห�กผู้เต็มเปี่ยมด้วยศรัทธ�และมีปัญญ�ฉล�ดหลักแหลม คร้ันได้ยิน และรับรู้มลทินซ่ึงกัดกินพระศ�สน�ของพระศ�สด�เจ้� ได้เห็นพระสงฆ์ทุศีล พ�กนั สร�้ งคว�มเสยี ห�ยทง้ั เปน็ ประโยชนต์ นและผอู้ น่ื แทนทจ่ี ะหลน่ ลงสนู่ รก กลบั ดอื้ ดงึ ท�ำ ผดิ จงึ ตอ้ งสอบถ�มไตส่ วนอธกิ รณใ์ หญน่ อ้ ย เพอ่ื ใหส้ อดคลอ้ ง กบั หลกั ค�ำ สอนและวตั รปฏบิ ตั ติ �มพทุ ธประเพณ ี จงึ ช�ำ ระพระศ�สน�ดว้ ยก�ร มอบอำ�น�จสิทธิข�ดให้พระสงฆ์ ผู้เคร่งครัดและง�มพร้อมด้วยศีล�จ�รวัตร ผู้มีจิตมุ่งประโยชน์ตนและผู้อื่น ผู้คำ้�ชูพระศ�สน�ของพระศ�สด�เจ้� เป็นท่ี ยอมรบั นบั หน�้ ถอื ต�ว�่ เหม�ะสมดงี �ม ครน้ั เวยี นต�ยเวยี นเกดิ ในสงั ส�รวฏั อนั ย�วน�นและเสพเสวยในสวรรคโ์ ลกแลว้ เมอื่ ก�้ วเข�้ สภู่ พสดุ ท�้ ยกจ็ ะเข�้ ถงึ พระนิพพ�นอนั เปน็ บรมสขุ ขอให้เร�ทั้งหล�ยโปรดจดจำ�ไว้ในใจเสมอว่� พระพุทธพจน์เหล่�นี้ ต�มคัมภีร์น้อยใหญ่ ล้วนเป็นส่ิงจำ�เป็นต่อมวลมนุษย์ท้ังผู้นำ�และผู้ต�ม จำ� ต้องอ�ศัยคว�มพย�ย�มอย่�งย่ิงยวด เพื่อให้เกิดประโยชน์ต�มก�ล�นุก�ล ส�ม�รถขจดั มลทนิ และคร�บไคลของผไู้ รย้ �งอ�ย ซงึ่ เก�ะกนิ พระศ�สน�ของ พระศ�สด�เจ�้ เพอ่ื ใหพ้ ระศ�สน�ด�ำ รงคงมน่ั ถว้ น ๕๐๐๐ ป ี ดว้ ยอ�นสิ งส์ แห่งคว�มต้ังใจมุ่งมั่นเช่นน้ี ย่อมหนุนส่งให้เกิดในภพภูมิท่ีดี และส�ม�รถ บรรลคุ ว�มสำ�เรจ็ ดังจิตปร�รถน� เสพเสวยคว�มเปน็ ช�วสวรรคแ์ ละเข�้ ถึง พระนพิ พ�นในอน�คตเบ้อื งหน�้ ดังค�ถ�พรรณน�ไว้ว่�

102 นิกายสังครหยะ อังเคหิ กิง อะสุตะมัตถี อโิ ต อัญญาตัง ชานามะ สพั พะมติ ิ เจตถะ นะ จินตะนยี งั ทีปงั หิ โชตยิ ะหิเต ปุนะ เตละเสกะ สาทสิ สะกัง มะมะ อิทงั วะจะนงั หิ ตสั มา ฯ ความอันใดในคัมภีร์เล่มน้ี ซ่ึงท่านท้ังหลายไม่เคยได้ยินหรือรับรู้ มาก่อน ตัวท่านย่อมรับรู้เข้าใจแล้วในบัดน้ี เป็นความฉลาดที่ไม่เคยรับรู้มา ก่อน จะเติมนำ้�มันไปไยในเมื่อตะเกียงลุกโพลงแล้ว เนื้อความตามบรรยาย มาก็เป็นเชน่ น้นั แล นิจจา เนกะทคิ นั ตะปัตถะฎะมะหาเนโชสะหสั สงั สุนา เหตวา ทชุ ชะนะ สัพพะโฆระตมิ ิรา นสิ เสสะโต สนั สะตงั โตเสตวา สะชะนาลิหังสะสะหิตงั สังสาระวินทาตะรงั ลังกาเฆ สจุ ิรงั ระมันตุ ปะวะรา ราชาทริ ังสสิ สัสวา ฯ การทำ�ลายกำ�แพงแห่งความมืดมิดของภิกษุผู้ทุศีล ด้วยรัศมีหนึ่งพัน อนั เปล่งประกายไปทุกทิศทาง ทำ�ใหค้ วามปีตยิ ินดบี ังเกดิ มีแกพ่ ระสงฆผ์ ทู้ รง คณุ ธรรม เสมอื นแมลงผงึ้ และหงสร์ า่ เรงิ กลางสระปทมุ ฉะนนั้ ขอใหพ้ ระมหา กษตั รยิ จ์ งสวา่ งไสวโชตชิ ว่ งเหนอื ลงั กาเปน็ เวลายาวนาน เหมอื นพระอาทติ ย์ เปลง่ แสงเหนือสรวงสวรรค์ตลอดกาลนาน ธัมโม ปะวตั ตัต จิรายะ มนุ สิ สะรสั สะ ธัมเมธติ า วะสุมะตีปะตะโย ภะวันตุ กาเล ปะวัสสะตุ ฆะโน นขิ ิลา ปะชาปิ อญั ญญั ญะเมตตปิ ะฏิลาภะสขุ งั ละภนั ตุ ฯ

ปจั ฉิมบท 103 ขอให้พระธรรมคำ�สอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจงมั่นคงยาวนาน ขอพระเจ้าแผ่นดินจงศรัทธามั่นคงแน่วแน่ในพระศาสนา ขอให้ฝนจงตก ต้องตามฤดูกาล ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุขเกิดความรักเกื้อกูลกันและ กนั เถิด อันว่าหนังสือว่าด้วยประวัติศาสตร์ศาสนาเล่มนี้ มีช่ือว่านิกาย สังครหยะ นิพนธ์โดยพระมหาเถระชัยพาหุ ผู้นามปรากฏวา่ เทวรักษิตะ ได้ รจนาขึ้นเพื่อพรรณนาความรุ่งเรืองแห่งพระศาสนา เพราะความอุปถัมภ์ บำ�รุงของบรรดาพระมหากษัตริย์ และเสนาบดีน้อยใหญ่ผู้ซ่ือสัตย์ ผู้ศรัทธา ผู้ฉลาด ผู้คน้ หาความจริง และผปู้ รารถนาใหพ้ ระศาสนาย่ังยืนยาวนาน คงั คาสิริปุเร รัมเม ภูวะเนกะภเู ช ปเู ร รชั ชัง การะยะมาเน โย ธัมมะกติ ติยะตสิ สะโร คะฑะลาโทณคิ ามงั หิ สทั ธะมะตลิ ะกะจะหะยงั วิหารัง การะยติ วานะ วะสะยิง สุจริ ัง ตะหิง ฯ กอ่ นการครองราชยข์ องพระเจา้ ภวู ไนกพาหุ เหนอื มหานครอนั สวยงาม นามวา่ คังคสิรปิ ุระนนั้ พระธรรมกีรติเถระผู้มีนามอุโฆษไดส้ รา้ งวหิ ารนามวา่ สัทธรรมติลกะบริเวณหมู่บ้านคฑลาเดณิยะ และพำ�นักพักอาศัยในอาราม แห่งนัน้ เปน็ เวลานาน ตัสยะ สิสสะสโุ ต ธโี ร เทวะรกั ขิตะนามะโก ชะยะพาหตุ ิ นาเมนะ วิสสุโต โลกะปชู โิ ต ธมั มะกติ ตมิ ะหาเถโร อิติ ตนั นามะภสู โิ ต ปตั วา โย สังฆะราชตั ตงั โสเภสิ ชนิ ะสาสะนัง นิกายะสงั คะหงั เอตัง สะภาสายะ สะมาสะโต อะกาสิ โส สะทา สตั ถุ สาสะนัสสาภิวุทธิยา ฯ

104 นิกายสังครหยะ ศิษย์ของพระมหาเถระนามน้ัน ผู้คงแก่เรียนนามว่าเทวรักษิตะ หรือ เป็นที่รู้จักของชาวโลกในนามว่าชัยพาหุ เป็นผู้มีช่ือเสียงระบือไกลเสมอพระ มหาเถระธรรมกีรติผู้เป็นอาจารย์แห่งตน ได้รับแต่งตั้งให้ดำ�รงตำ�แหน่งพระ สังฆราช ได้สร้างช่ือเสียงให้แก่พระศาสนา พระเถระรูปน้ีแลได้แต่งหนังสือ วา่ ดว้ ยประวตั ศิ าสตรพ์ ระศาสนาเปน็ ภาษาแหง่ ตนพอสงั เขป พรอ้ มดว้ ยความ เหน็ อันจริงแท้แหง่ พระศาสนาของบรมครูศาสดาเจ้า อิทัง จักขภุ ตู งั หิตงั คันธะชาตงั กะโรนเตนะ ปตั ตัง มะยา ยันตุ ปญุ ญงั อเิ ม เตนะ สตั ตา มนุ นิ เทนะ ยาตงั สวิ งั วตี ะโสกา ปะทัง ปาปณุ นั ตุ ฯ หากการแต่งคัมภีร์เล่มนี้สามารถบังเกิดสุขและเป็นประโยชน์จริง ดัง คันธชาติอันหอมย่ัวยวนใจ ขอตัวข้าพเจ้าจงได้รับส่วนบุญแห่งกุศลเจตนา ในคราวครงั้ น้ี ตลอดท้งั สรรพสตั ว์เปน็ ผเู้ ข้าถึงนพิ พานอันไร้โศกด้วยเถดิ สรุ า อจั ฉะรานงั คะณาทีหิ สทั ธงิ จริ ัง เทวะโลเก สขุ งั จานุโหนตุ จริ ัง ธาตุ ธมั โม ชินันทสั สะ โลเก สุขัง โฬกะปาลัง มะหงิ ปาละยันตุ ฯ ขอเหล่าเทวดาและนางฟ้าชาวสวรรค์ทั้งปวง จงประสบแต่ความ สนกุ สนานในเทวโลกตราบเทา่ นาน ขอใหพ้ ระศาสนาของพระชนิ เจา้ จงยงั่ ยนื ยาวนานคู่โลกสันนิวาส ขอให้กษัตริย์แห่งโลกีย์ชน จงมีความสุขปกครอง พสกนิกรดว้ ยธรรมเถดิ นกิ ายสังครหยะจบแล้ว

ปัจฉิมบท 105 พระพทุ ธปฏมิ าศลิ ปะแคนดี ภายในวชิ โยตปฏเจดยี ์ วดั คฑลาเดณยิ ะ นอกเมอื งแคนดี

106 นิกายสังครหยะ คฑลาเดณยิ วหิ าร วัดคฑลาเดณิยะ นอกเมืองแคนดี วชิ โยตปฏเจดีย์ วดั คฑลาเดณิยะ นอกเมอื งแคนดี

ปจั ฉิมบท 107 พระพทุ ธปฏิมาประธานภายในคฑลาเดณยิ วิหาร วัดคฑลาเดณิยะ นอกเมืองแคนดี ลานโพธ์ิ วดั คฑลาเดณยิ ะ นอกเมืองแคนดี

108 นิกายสังครหยะ ช้างค้ำ�วิชโยตปฏวิหาร วดั คฑลาเดณยิ ะ นอกเมืองแคนดี

บรรณานกุ รม kls dh ix.y% h fyj;a Ydikdj;drh' t,a .Kq r;ka . fld<U# r;ka fmd;a m%ldYlfhda\" 2005' kls dh ix.y% h fyj;a Ydikdj;drh' .Kq jrOa k kdkdhlla dr' fld<U# wei'a f.dvf.a iy ifydaorfhda\" 1999' mq[aÑnKavdr ikakia.,' isxy, idys;H jxYh' fld<U# weia' f.dvf.a iy ifydaorfhda\" 2009' ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ: ว่าด้วยอาณาจักร ศาสนจักร คติ ความเชือ่ และความสมั พนั ธ์กบั ดนิ แดนอษุ าคเนย์. แปลโดย พระมหาพจน ์ สุวโจ, ดร. นครปฐม: สาละพมิ พการ, ๒๕๕๙. ประวตั ศิ าสตรค์ ณะสงฆศ์ รลี งั กายคุ กลาง: วา่ ดว้ ยนกิ ายสงฆ์ การบรหิ ารทรพั ยส์ นิ การศึกษาสงฆ์ คติความเช่ือ และการฟ้ืนฟูพระศาสนา. แปลโดย พระมหาพจน์ สวุ โจ, ดร. นครปฐม: สาละพิมพการ, ๒๕๕๙. Chandra Richard de Silva. Sri Lanka. A History. New Delhi: Vikas Publishing House PVT LTD, 2001. Gunaratne Panabokke. History of the Buddhist Sangha in India and Sri Lanka. Colombo: Karunaratne and Sons Ltd., 1993. History of Ceylon. University of Ceylon. Colombo: Ceylon University Press, 1960. P.A.J. Gunasinghe. The Political History of Yapahuva-Kurunagala and Gampala. Colombo: Lake House Printers and Publisher LTD., 1987. Somapala Jayawardhana. Handbook of Pali Literature. Colombo: Karunaratne and Sons Ltd., 1994. The Nikaya Sangrahawa. Translated into English by C.M. Fernando. Colombo: H.C. Cottle, Government Printer, Ceylon, 1908.

ตามรอยพระอุบาลไี ปฟนื้ ฟู พระพทุ ธศาสนาทศ่ี รลี งั กา พมิ พ์ครงั้ ที่ ๒ ธันว�คม ๒๕๕๕ ๑๘๖ หน�้ หนังสือเล่มน้ีรวบรวมข้อมูลจ�กก�รค้นคว้�และอ้�งอิง หลักฐ�นทั้งของไทยและศรีลังก� เพื่อให้ผู้อ่�นส�ม�รถเข้�ใจ สถ�นก�รณ์พระพุทธศ�สน�ในศรีลังก�สมัยนั้นได้อย่�งชัดเจน เป็นก�รตอบโจทย์ว่�เหตุใดคณะสมณทูตไทย โดยก�รนำ�ของ พระอุบ�ลีเถระและพระอริยมุนีเถระ จึงเดินท�งไปฟื้นฟูพระศ�สน� ที่ประเทศศรีลังก� นอกจ�กน้ัน ทำ�ให้ทร�บว่�ก�รฟื้นฟูก�ร พระศ�สน�คร�นั้น ประเทศไทยได้ใช้หน้ีตอบแทนศรีลังก�อีกดว้ ย เน้ือห�ของหนังสือเริ่มต้นสมัยบ้�นเมืองม่ันคง พระพุทธ ศ�สน�รุ่งเรืองแพร่หล�ย กล�ยเป็นท่ีรู้จักตลอดดินแดนอุษ�ค เนย์ แต่ไม่น�นโปรตุเกสคนเถื่อนเข้�ม�แทรกแซงยึดครองหัว เมืองรอบเก�ะลังก� แล้วประก�ศคริสต์ศ�สน�ด้วยวิธีก�รอัน รนุ แรง พระพทุ ธศ�สน�จงึ เส่ือมโทรมสูญห�ย เหลือเพยี งส�มเณร คณะศีลวัตรสม�คมที่ช่วยกันฟื้นฟูพระศ�สน�ข้ึนม�ใหม่ ต่อม� กษัตริย์ลังก�ให้คว�มอุปถัมภ์ช่วยเหลือ ด้วยก�รติดต่อขอพระ สมณทตู จ�กสย�มประเทศ จงึ เกดิ มสี ย�มวงศส์ ืบม�ถึงปัจจุบัน

กรณีพระสงฆศ์ รลี ังกาเลน่ การเมือง พมิ พ์ครัง้ ท่ี ๒ เมษ�ยน ๒๕๕๓ ๒๐๕ หน�้ หนงั สอื เลม่ นเี้ ปน็ ผลง�นของพระวลั โปละ ร�หลุ เถระ (Walpola Rahula) หนง่ึ ในพระสงฆน์ กั ปร�ชญช์ �วลงั ก� ซงึ่ เปน็ พระหวั ก�้ วหน�้ รนุ่ แรกทร่ี ณรงคใ์ หพ้ ระสงฆร์ นุ่ ใหม ่ ตน่ื ตวั สนใจเข�้ รว่ มกจิ กรรมท�ง ก�รเมือง หนังสือเล่มน้ีนั้นแม้จะมีก�รตีพิมพ์ผ่�นม�แล้วเกือบส�ม ทศวรรษ แตก่ ส็ �ม�รถตอบค�ำ ถ�มไดต้ รงประเดน็ ว�่ เหตใุ ดพระสงฆ์ ศรีลังก�จึงต้องเข้�ไปยุ่งเกี่ยวกับก�รเมือง ซึ่งเป็นเวทีสำ�หรับผู้ หมกมนุ่ ต�มวิสยั ของฆร�ว�ส เน้อื ห�ของหนงั สอื เริม่ ตน้ ตั้งแตย่ คุ พทุ ธก�ล ด้วยก�รอธบิ �ย เชิงเหตุผลว่�พุทธบัญญัติใหญ่น้อยส�ม�รถปรับปรุงให้สมสมัยได้ แล้วอ้�งหลักฐ�นท�งประวัติศ�สตร์ของลังก�ต้ังแต่อดีตจนถึง ปัจจุบัน โดยเน้นกล่�วถึงบทบ�ทของพระสงฆ์ผู้มีส่วนสำ�คัญใน ก�รต่อสู้เคียงบ่�เคียงไหล่กับช�วบ้�น เพ่ือปลดแอกประเทศช�ติ บ้�นเมืองจ�กผู้บุกรุกครอบครอง ผู้เขียนพย�ย�มอ้�งเหตุผลเพื่อ สนับสนุนให้พระสงฆ์มีส่วนร่วมท�งก�รเมือง โดยเน้นว่�พระสงฆ์ มิใช่ชนกลมุ่ หนึง่ ทแ่ี ยกตนเปน็ เอกเทศจ�กรัฐ

ศรีลังกา: ว่าด้วยประวตั ิศาสตร์ การณ์พระศาสนา และวรรณคดี พมิ พค์ รง้ั แรก พฤษภ�คม ๒๕๕๔ ๔๓๔ หน�้ หนังสือเล่มนี้ปรับปรุงม�จ�กดุษฎีนิพนธ์ของนักปร�ชญ์น�ม อโุ ฆษช�วศรีลงั ก� ช่อื ว่�ศ�สตร�จ�รยค์ ณุ ะป�ละ ปยิ ะเสนะ ม�ล� ล�เสเกร� (G.P. Malalasekera) ซึ่งได้รับก�รยกย่องจ�กนัก ปร�ชญ์ท้ังลังก�และวิเทศว่� หนังสือว่�ด้วยประวัติศ�สตร์ศรีลังก� เล่มน้ีมีเนื้อห�ครอบคลุมทุกด้�น ทุกบริบทของพระพุทธศ�สน�ใน ศรีลังก� อีกท้ังภ�ษ�ก็ง�มพร้อมด้วยสำ�นวนลีล�เชิงวรรณคดี มี คว�มอลังก�รไพเร�ะด้วยรสคว�มและรสคำ�เชิงวรรณศิลป์ เป็น วรรณกรรมชิ้นเอกด�้ นพทุ ธศ�สน�ศรีลงั ก� เนื้อห�ของหนังสือว่�ด้วยก�รสถ�ปน�ร�ชวงศ์สิงหล ก�ร ประดิษฐ�นพระพุทธศ�สน� คว�มเกี่ยวข้องผูกพันระหว่�ง ศ�สนจักรและอ�ณ�จักร คว�มบ�ดหม�งเกลียดชังระหว่�งช�ว สิงหลกับช�วทมิฬ คว�มรุ่งเรืองและคว�มเสื่อมโทรมของวรรณคดี ลังก� และก�รเข้�ครอบครองของช�ติยุโรปตะวันตก จุดเด่นของ หนังสือเล่มน้ีคือก�รอ้�งอิงหลักฐ�นปฐมภูมิเป็นหลัก ส�ม�รถ วิเคร�ะห์เจ�ะประเด็นได้อย่�งแยบค�ยพร้อมด้วยเหตุและผล ทำ� ให้ผู้อ�่ นเกดิ คว�มคดิ แตกประเดน็ ได้หล�กหล�ยมมุ มอง

ของดีศรลี ังกา: คูม่ อื นาำ เที่ยวเชงิ ประวัติศาสตร์ พิมพ์คร้ังแรก กุมภ�พันธ์ ๒๕๕๕ ๔๘๐ หน้� หนังสือเล่มน้ีเชิญชวนท่�นท้ังหล�ยเท่ียวชมสถ�นท่ีสำ�คัญ ของประเทศศรีลังก� เร่ิมต้นเน้ือห�ด้วยก�รกล่�วถึงประวัติศ�สตร์ คว�มเป็นม�โดยสังเขป เพ่ือให้ผู้อ่�นเห็นคว�มเป็นม�ของศรีลังก� ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน จ�กน้ันแนะนำ�ผู้อ่�นให้รู้จักสถ�นที่ท่องเที่ยว สำ�คัญแต่ละมณฑล ด้วยก�รนำ�เสนอข้อมูลอย่�งละเอียดรอบด้�น นอกจ�กศ�สนสถ�นของช�วพทุ ธแลว้ ยงั กล�่ วถงึ สถ�นทศี่ กั ดสิ์ ทิ ธ์ิ ของศ�สน�อ่ืนด้วย ดังเช่น เทว�ลัยของช�วฮินดู โบสถ์ของช�ว ครสิ ต์ และมสั ยดิ ของช�วมสุ ลิม จดุ เดน่ ของหนงั สอื เลม่ นอ้ี ยทู่ กี่ �รอธบิ �ยลงลกึ ถงึ ร�ยละเอยี ด ประเด็นสำ�คัญเกี่ยวกับพัฒน�ก�รท�งศิลปวัตถุของช�วพุทธลังก� และพย�ย�มสอดแทรกเนื้อห�ว่�ด้วยวัฒนธรรมประเพณีอันดีง�ม ของลังก� ส่วนบทสุดท้�ยแนะนำ�ผู้อ่�นให้รู้จักกับบทสนทน�ภ�ษ� สิงหลพอเป็นเบื้องต้น เหตุเพร�ะช�วสิงหลค่อนข้�งภ�คภูมิใจใน ภ�ษ�แห่งตน ห�กสนทน�ภ�ษ�สิงหลพอได้บ้�ง ย่อมเป็นก�รง่�ย ต่อก�รสร้�งคว�มเป็นมิตร เป็นผลให้ก�รเดินท�งท่องเที่ยวสะดวก สบ�ยร�บรน่ื

พระอรหนั ต:์ วิธีตรวจสอบคุณลกั ษณะ ตามนัยพระไตรป®ก พิมพค์ ร้ังที่ ๒ ธันว�คม ๒๕๕๖ ๑๖๐ หน้� หนงั สอื เลม่ นเ้ี กดิ ขนึ้ จ�กกระแสคว�มเชอ่ื เรอ่ื งพระอรหนั ต ์ ซง่ึ ปร�กฏพบเห็นด�ษด่ืนทั่วไปในสังคมไทย ส่วนใหญ่เน้นอภินิห�ร ของอ�จ�รยแ์ หง่ ตนจนบ�งครง้ั ยงิ่ ใหญเ่ กนิ พระพทุ ธเจ�้ ผเู้ ปน็ ตน้ เค�้ ถือว่�เป็นก�รละทิ้งส�รัตถะอันเป็นแก่นแท้ต�มนัยคำ�สอนของ พระพุทธองค์ ก�รตีคว�มต�มคว�มเห็นแห่งตนเช่นน้ี ย่อมทำ�ให้ผู้ เขล�แตม่ �กด้วยศรัทธ�คล�ดเคลอ่ื นจ�กคว�มเป็นจริง ก�รกระต้นุ เตอื นใหช้ �วพทุ ธไทยหนั ม�สนใจคว�มหม�ยทแ่ี ทจ้ รงิ ของพระอรหนั ต์ จึงเปน็ เรือ่ งจ�ำ เป็นเรง่ ดว่ น เนอื้ ห�ของหนงั สอื เลม่ น ี้ เรมิ่ ตน้ กล�่ วถงึ บรบิ ทคว�มเชอื่ เรอื่ ง พระอรหันต์ชองช�วชมพูทวีปตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้�หล�ยศตวรรษ ซงึ่ คว�มเชอ่ื เชน่ นห้ี ยง่ั ร�กฝงั ลกึ จนเปน็ เรอื่ งย�กตอ่ ก�รเปลย่ี นแปลง จดุ เดน่ ของหนงั สอื เลม่ นค้ี อื ก�รวเิ คร�ะหห์ ลกั ฐ�นพรอ้ มเหตผุ ล โดย เฉพ�ะก�รตีคว�มหม�ยของพระอรหันต์ต�มนัยพุทธพจน์ ตลอด ทงั้ อธบิ �ยเสรมิ บทบ�ทและหน�้ ทขี่ องพระอรหนั ตต์ �มนยั พทุ ธศ�สน� เน้ือห�โดยรวมส�ม�รถตอบคำ�ถ�มของผู้สงสัยเกี่ยวกับพระอรหันต์ ไดอ้ ย�่ งชดั เจน

ประวัติศาสตรศ์ รีลงั กาสมัยอาณาจกั ร โกฏเฏ: วา่ ดว้ ยอาณาจกั ร ศาสนจกั ร คติความเชอ่ื และความสมั พันธก์ ับ ดนิ แดนอษุ าคเนย์ พมิ พค์ รั้งแรก พฤษภ�คม ๒๕๕๙ ๒๑๒ หน�้ หนังสือเล่มนี้เป็นดุษฎีนิพนธ์ของนักวิช�ก�รแนวหน้�ของ ศรลี งั ก�น�มว�่ เหมตลิ กะ บณั ฑ�ระ มงั คละ อลิ งั คสงิ หะ (H. B. M. IIangasinha) เหตุเพร�ะผู้เขียนมีคว�มสนใจเร่ืองร�วสมัยอ�ณ� จักรโกฏเฏเป็นพิเศษ ก�รค้นคว้� ก�รอ้�งอิง และก�รวิเคร�ะห์ จงึ มคี ว�มถกู ตอ้ งแมน่ ย�ำ อกี ทง้ั มกี �รอ�้ งถงึ แหลง่ ขอ้ มลู ชน้ั ปฐมภมู ิ ทง้ั วรรณกรรมภ�ษ�บ�ล ี ภ�ษ�สิงหล และภ�ษ�สนั สกฤต หนังสอื เล่มนี้ได้รับก�รยกย่องว่� วิเคร�ะห์เน้ือห�อย่�งตรงไปตรงม�ไม่ เอนเอยี งด้วยอคติ เน้ือห�ของหนังสือเน้นเหตุก�รณ์บ้�นเมืองสมัยอ�ณ�จักร โกฏเฏเป็นหลัก ซึ่งถือว่�เป็นยุครุ่งเรืองคร้ังสุดท้�ยก่อนกล�ยเป็น อ�ณ�นิคมของช�ติตะวันตก สมัยนี้ช�วทมิฬเข้�ม�มีบทบ�ทต่อ ร�ชสำ�นักอย่�งสูง เป็นเหตุให้คว�มเชื่อฮินดูเป็นท่ีรู้จักแพร่หล�ย พระสงฆ์พ�กันหันม�สนใจพิธีกรรมของฮินดูอย่�งเปิดเผย จนเกิด ก�รประนีประนอมคว�มเช่ือระหว่�งพุทธศ�สน�กับฮินดูอย่�งลงตัว สังเกตได้จ�กเทพเจ้�ช�วฮินดูส�ม�รถประดิษฐ�นภ�ยในวิห�รของ ช�วพทุ ธอย�่ งไม่เคยมีม�กอ่ น

ประวัตคิ ณะสงฆ์ศรลี ังกายคุ กลาง: วา่ ดว้ ยนกิ ายสงฆ์ การบรหิ ารทรพั ยส์ นิ การศกึ ษาสงฆ์ คตคิ วามเชอื่ และการ ฟ้นื ฟพู ระศาสนา ลังกากุมาร พมิ พค์ ร้ังแรก สิงห�คม ๒๕๕๙ ๒๓๘ หน้� หนังสือเล่มนี้เป็นดุษฎีนิพนธ์ของนักวิช�ก�รด้�นประวัติ ศ�สตรศ์ รีลงั ก�น�มว่� ยฏโฑลวตั เต ธรรมวิสทุ ธ ิ (Yatadolawatte Dhammavisuddhi) คว�มโดดเด่นของง�นวิจัยเล่มนคี้ อื เนน้ กล่�ว ถึงเฉพ�ะคว�มเป็นไปภ�ยในคณะสงฆ์ ซึ่งไม่เคยมีง�นวิจัยเล่มใด กล่�วถึงม�ก่อน โดยเน้ือห�ทอดย�วเป็นระยะเวล�สองศตวรรษ โดยผู้เขียนพย�ย�มเน้นให้เห็นคว�มเชื่อมโยงเร่ืองพัฒน�ก�รของ คณะสงฆ์สมัยดั้งเดิมและสมัยกล�ง ถือได้ว่�เป็นหนังสือสำ�คัญอีก เลม่ หนง่ึ ด�้ นประวตั ศิ �สตรศ์ รลี ังก� เนอื้ ห�ของหนงั สอื อธบิ �ยร�ยละเอยี ดของคณะสงฆเ์ ปน็ หลกั โดยยกประเด็นสำ�คัญข้ึนม�วิเคร�ะห์เชิงพรรณน� ได้แก่ ก�รแยก เป็นสองนกิ �ย ก�ำ เนดิ และพัฒน�ก�รของอ�ตนะหรือศนู ยก์ ล�งก�ร ศกึ ษ�ของคณะสงฆ์ ก�รครอบครองทรพั ย์สนิ ก�รบริห�รทรพั ย์สิน และก�รถ�่ ยโอนทรพั ยส์ นิ แกศ่ ษิ ยแ์ ละญ�ตแิ หง่ ตน นอกจ�กนัน้ ยัง อธบิ �ยถึงคติคว�มเชื่อของคณะสงฆส์ มัยกล�งด้วย บทสดุ ท้�ยชใี้ ห้ เห็นถึงคว�มเส่ือมโทรมของพระพุทธศ�สน�จนต้องก�รมีก�รฟ้ืนฟู หล�ยครัง้ หล�ยหน

ประวัตผิ ู้แปล พระมหาพจน์ สวุ โจ (น.ธ.เอก, ป.ธ.๖, พธ.บ., พธ.ม., Ph.D.) เป็นช�วจงั หวดั สรุ นิ ทรโ์ ดยกำ�เนดิ เกิดใกล้ถน่ิ ทงุ่ กุล�รอ้ งไห ้ ช่ืนชมหลงใหลประวตั ิศ�สตรม์ �ตง้ั แต่ยงั เย�ว์วยั เพร�ะได้แรงบนั ด�ลใจจ�กพช่ี �ย ซงึ่ ศกึ ษ�อยู่ที่วิทย�ลยั ครบู รุ รี ัมย ์ (ปัจจุบนั เปลี่ยนสถ�นภ�พเป็นมห�วิทย�ลัยร�ชภฏั บุรีรมั ย)์ บรรพช�ท่ีวัดสุจติ ตธ์ รรม�ร�ม ต�ำ บลนิคม อำ�เภอสตกึ จังหวัดบรุ ีรัมย์ จ�กนัน้ เดนิ ท�งไปศกึ ษ�ภ�ษ�บ�ลีและอปุ สมบท ที่วัดตกึ คชหริ ญั ต�ำ บลอมฤต อำ�เภอผกั ไห ่ จงั หวัดพระนครศรีอยธุ ย� กอ่ นทจ่ี ะย�้ ยเข�้ ม�อ�ศยั วัดธรรม�ภิรต�ร�ม เขตดสุ ิต กรุงเทพมห�นคร เพือ่ ศึกษ�ต่อทม่ี ห�วทิ ย�ลัยมห�จุฬ�ลงกรณร�ชวิทย�ลยั หลังจ�กจบก�รศึกษ�ระดับปริญญ�ตรีและปริญญ�โทด้�นพุทธศ�สน� แลว้ ได้เดินท�งไปศึกษ�ระดบั ปรญิ ญ�เอกส�ข�พทุ ธศ�สตรศกึ ษ� ณ สถ�บันบ�ลแี ละพุทธศ�สตรศึกษ� บณั ฑติ วทิ ย�ลยั มห�วทิ ย�ลยั แกล�ณยี ะ ประเทศศรีลงั ก� ปจั จบุ ันเปน็ อ�จ�รย์ประจ�ำ วทิ ย�ลัยสงฆบ์ ุรีรมั ย์ มห�วทิ ย�ลยั มห�จฬุ �ลงกรณร�ชวิทย�ลัย






Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook