Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Lk-004หนังสือนิกายสังครหยะ

Lk-004หนังสือนิกายสังครหยะ

Description: Lk-004หนังสือนิกายสังครหยะ

Search

Read the Text Version

กาลแห่งสงั คายนา 23 อรรถาธิบายตามนัยแห่งพระคาถาว่า มนุษย์คนใดคนหนึ่งในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นภิกษุอุบาสกหรือว่าบุรุษอ่ืนใด หากใครสนับสนุนพระสงฆ์ผู้ ประพฤติผิดมีธรรมอันลามก ย่อมทำ�ให้พุทธบัญญัติสกปรกเสียหายไร้ค่า ทำ�ให้พระธรรมเส่ือมเสียสิ้นราคา จะต้องเวียนเกิดเวียนตายหนึ่งล้านโกฏิปี แล้วจะบังเกิดในนรกถ่ายเดียว หากมาเกิดเป็นมนุษย์ก็เสมือนเปรต อสูรกายในร่างมนุษย์ และคร้ันส้ินกายวายสังขารแล้วจะบังเกิดในนรก โลหกุมภีถ่ายเดียว ซ่ึงลึกสุดเต็มไปด้วยของเหลวอันร้อนและลุกโพลง ดว้ ยทะเลเพลงิ พระกนษิ ฐาภกิ ษณุ ไี ดก้ ราบทลู วา่ “ดกู อ่ นมหาบพติ ร ขอพระองคจ์ งละ ภิกษุชาววัชชีผู้ประพฤติเสียหายเถิด จงหันมาสนับสนุนพระสงฆ์ผู้ประพฤติ ดีงาม จงอุปถัมภ์สงเคราะห์พระศาสนาของพระศาสดาเจ้า เพื่อสามารถให้ ด�ำ รงคงอยู่ถึงหา้ พันปี จงเร่งสะสมกศุ ลผลบุญเสยี เถิด ดว้ ยอานสิ งสน์ ั้นแล พระองคจ์ ะทรงเสวยโลกยี สขุ ทงั้ มนษุ ยส์ มบตั แิ ละสวรรคส์ มบตั ติ ลอดกปั นแี้ ล” ครั้นถวายค�ำ แนะน�ำ ดงั นีแ้ ล้วภิกษุณีอรหันตน์ ้ันไดอ้ �ำ ลาจากไป เพลาวนั น้ันแลพระเจา้ กาฬาโศกไดเ้ สด็จไปยงั มหานครไวศาลี มีรับสัง่ ใหข้ บั ไลพ่ ระภกิ ษผุ ปู้ ระพฤตปิ ฏบิ ตั ผิ ดิ แผกแตกตา่ งจากพระธรรมวนิ ยั จ�ำ นวน หนึ่งแสนรูปให้ออกจากอารามแห่งนั้นเสีย จากน้ันได้นิมนต์พระอรหันต์ เจ็ดร้อยรูป พร้อมท้ังพระสัพพกามีมหาเถระ พระยสมหาเถระ และ พระอรหันต์สิบสองแสน ให้ประชุมทำ�สังคายนาพระธรรมวินัยท่ีวาลุการาม ในมหานครไวศาลี ด้วยการจัดแบ่งพระพุทธพจน์เป็นปิฎกและนิกายเป็นต้น สามารถจัดระเบียบเรียบเรียงพระธรรมคำ�สอนจนสำ�เร็จเสร็จส้ินภายใน แปดเดอื น๘ ดว้ ยประการฉะนี้แล้ว พระองคจ์ ึงชือ่ ว่าเป็นผรู้ กั ษาพระศาสนา ของพระศาสดาเจา้

24 นิกายสงั ครหยะ ดังปรากฏเปน็ พระคาถาว่า เอตตาวะตา ทะสะสะหัสสะปาปะภกิ ขู นิทธยู ะ ธตู ะทะสะวัตถุมะลา อะกงั สุ ยนั เต สนุ มิ มะละยะเสนะ ยะเสนะ สัทธิง สังคีติ มุชฌะลติ ะมะลา อะปิ ทัสสิตา สา ฯ อรรถาธิบายตามนัยแห่งพระคาถาว่า การประชุมของพระเถระเพ่ือ ชำ�ระความเสียหายใหก้ ลายเป็นของบริสุทธิ์ ได้จัดขึ้นตามค�ำ แนะน�ำ ของพระ ยสมหาเถระ ผมู้ ชี ือ่ เสยี งอนั บริสทุ ธแ์ิ พร่หลายไปไกล สามารถขบั ไลพ่ ระภกิ ษุ ผู้ประพฤตินอกธรรมนอกวินัยจำ�นวนหนึ่งแสนรูป และสามารถกำ�จัดวัตถุ ๑๐ ประการ จนสำ�เรจ็ เสร็จส้ินตามมโนรถทกุ ประการ ตตยิ สงั คายนา พระภกิ ษอุ ลชั ชชี าววชั ชหี นงึ่ แสนรปู ผถู้ กู ขบั ออกจากหมคู่ ณะดว้ ยการ ลงโทษของพระเถระคราวสงั คายนาคร้งั ท่ี ๒ ชื่อว่าเปน็ ผู้เสยี ประโยชนจ์ าก พระศาสนา ได้พากันเดินทางไปยังอาณาจักรใกล้เคียงเพ่ือแสวงหาผู้ให้การ สนบั สนุน ตอ่ มาไดอ้ าศยั เจ้าชายพระองคห์ น่งึ ซงึ่ ไม่สามารถแยกแยะความ ผิดถกู แห่งพระธรรมวนิ ยั พระภิกษุชาววัชชีเหล่าน้ีแลประสงค์จะท้าทายพระสงฆ์แห่งสถวีรวา ทะ๙ จึงป่าวประกาศว่า “พวกเราก็สดับพระพุทธพจน์เฉกเช่นเดียวกัน” จึงประชุมกันลงมติตั้งนิกายตามคติแห่งอาจารย์ เรียกว่า มหาสังฆิกะ๑๐ จากน้ันพากันสาธยายพระธรรมวินัยอันแท้จริงตามคำ�อ้างแห่งกลุ่มตน ด้วยการผสมแทรกคำ�สอนแปลกใหม่ให้น่าสนใจ ล้วนเจือปนด้วยคำ�สอน มิจฉาทิฐินอกรีต และแต่งเติมเสริมความด้วยการอธิบายตามความพอใจ แหง่ ตน

กาลแห่งสงั คายนา 25 ระยะเวลาหนงึ่ ศตวรรษนบั จากนนั้ พวกภกิ ษอุ ลชั ชเี หลา่ นท้ี �ำ ตวั เหมอื น แผ่นผ้าติดยางเหนียวที่ซึมออกจากต้นพระศรีมหาโพธ์ิ ได้รุ่งเรืองแพร่หลาย จนแตกหน่อแยกตัวออกเป็น ๑๖ นิกาย ได้แก่ มหาสังฆิกวาที โคกุลิก วาที เอกับโบหาริกะ ปรัญญัปติวาทะ บาหุลิกะ เจติยวาที มหิงสาสกะ วัชชีปุตตกะ ธรรโมตตริกะ ภัทรยานิกยะ ฌันนาคริกะ สัมมิตติกะ สรรวารถวาที ธรรมคปุ ติกะ กาศยปียะ และสตู รวาท๑ี ๑ กล่าวกันว่าพระธรรมวินัยดำ�รงคงอยู่อย่างบริสุทธ์ิจนถึง ๑๑๘ ปี หลงั พุทธกาล คร้ันพระเจ้ากาฬาโศกสวรรคตล่วงแล้ว มีกษัตริย์ครองราชย์สืบต่อ อกี ๒๑ พระองค์ ไดแ้ ก่ พระเจ้าภทั รเสนะพรอ้ มพระอนชุ า ๑๐ พระองค์ พระเจา้ โกรณั ฑะ พระเจา้ มงั กรุ ะ พระเจา้ สรวญั ชหะ พระเจา้ ชาลกิ ะ พระเจา้ อุสภกะ พระเจ้าสัญชยะ พระเจ้าโกรัพยะ พระเจ้านันทิวรรธนะ พระเจ้า ปัญจมกะ เจ้าชายห้าพระองค์แห่งราชวงศ์นันทะ พระเจ้าอุคคเสนนันทะ พระเจ้ารัฏฐปาลนันทะ พระเจ้าโควิสานนันทะ พระเจ้าทสสิทธกนันทะ พระเจา้ เกวัฏฏนนั ทะ พระเจา้ ธนปาลนันทะ และพระเจา้ จันทคตุ ตะ ตอ่ มากษัตรยิ ม์ หาราชพระนามวา่ ธรรมาโศกไดข้ น้ึ เสวยราชย์ พระองค์เป็นผู้กอปรด้วยบุณยานุภาพ และทรงราชานุภาพตลอด ทวั่ จกั รวาล เปรยี บเหมอื นอญั มณสี ติ มุ ณิ ะ๑๒ ทรงปกั เศวตฉตั รเหนอื จกั รวาล แห่งชมพูทวปี ตลอดแสนโยชน์ ทรงเสวยราชยต์ รงกับปที ่ี ๒๑๘ ภายหลัง พุทธปรินิพพาน พระกิตติศัพท์ของพระองค์โด่งดังแพร่หลาย ตลอดโลก สนั นวิ าสจรดขอบเขตแหง่ ทอ้ งมหาสมทุ ร พน้ื ดนิ เบอ้ื งบนหนง่ึ โยชนแ์ ละพนื้ ดนิ เบ้อื งล่างอกี หนึ่งโยชน์ มีเจา้ ชายแวดล้อม ๘๔,๐๐๐ พระองค์ มีกองทัพ อันย่ิงใหญ่เกรียงไกร ทรงมีเดชานุภาพเสมอราชันแห่งเหล่าเทพยดา ทรง เสพเสวยโลกยี สขุ แหง่ ราชาภาวะเปน็ เอกอุดมแตพ่ ระองคเ์ ดียว

26 นิกายสังครหยะ พระองค์โปรดให้สร้างอารามวิหารขนาดใหญ่ ๘๔,๐๐๐ แห่ง ตามหัวเมืองใหญท่ ั่วชมพทู วีป โปรดใหป้ ระดับตกแต่งหอพระธาตุ ลานหญา้ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ วิหาร ธรรมศาลา พระราชวงั ทางเดนิ ประตลู วดลาย สระบัว อทุ ยาน และสวนดอกไม้ เปน็ ตน้ อาณาจกั รของพระองคม์ ากมายพรอ้ มพรงั่ ดว้ ยภกิ ษณุ อี รหนั ตเ์ กา้ ลา้ น รูป และพระสงฆ์แปดสิบโกฏิ พิธีกรรมสำ�คัญเช่นการประดิษฐานพระบรม สารีริกธาตุบนยอดเจดีย์ ภายในบริเวณอโศการาม มีพระอรหันต์มาประชุม พร้อมกันเป็นจำ�นวนมาก ตลอดอาณาบริเวณท่ัวชมพูทวีปซึ่งมีมหาสมุทร เป็นขอบเขต พระอรหันต์เจ้าพากันสำ�แดงปาฏิหาริย์ช่ือว่าโลกวิวรณะ๑๓ นอกจากน้ัน พระองค์ยังโปรดให้จัดเทศกาลอันย่ิงใหญ่อลังการตามอาราม วหิ ารทั่วชมพูทวีป พระองคจ์ งึ ทรงเสวยปตี สิ ุขอยา่ งย่งิ ใหญห่ าผู้ใดเปรียบ สำ�หรับของขวัญอันลำ้�ค่าที่พระองค์มอบถวายแก่ศาสนาคือ ทรงมี พระราชานุญาตให้มหินทกุมารผู้เป็นที่รักดังดวงหทัย ซ่ึงมีพระชนมายุได้ ๒๐ พรรษา และสังฆมิตตากุมารีผู้มีพระชนมายุได้ ๑๘ พรรษา เข้าสู่ ร่มผ้ากาสาวพัสตร์เป็นศาสนทายาท นอกจากนั้น พระองค์ได้พระราชทาน ทรัพย์เป็นจำ�นวน ๕ โกฏิเป็นนิตย์ เพื่อปรารถนาเห็นความรุ่งเรืองแห่ง พระศาสนาใหย้ าวนานเกนิ ห้าพันวัสสา สมัยนี้มีนักบวชนอกรีตกลุ่มหนึ่งนามว่าตีรถกะ๑๔ มีผู้คนถวายเอก ลาภมากมายเปน็ ทรี่ จู้ กั แพรห่ ลาย พากนั หลอกลวงผคู้ นดว้ ยค�ำ สอนมจิ ฉาทฐิ ิ แต่แสร้งบอกว่าเป็นคำ�สอนถูกต้องตามพระธรรมวินัย เที่ยวประกาศคำ� สอนแห่งตนตามคามนิคมน้อยใหญ่ แม้มิใช่พระสงฆ์แต่ปลงเกศาห่มผ้า กาสาวพสั ตร์ เทย่ี วขอพ�ำ นกั พกั อาศยั ตามอารามวหิ ารนอ้ ยใหญ่ แลว้ ประกาศ ตนต่อหน้าคณะสงฆผ์ แู้ สดงเทศนาบัติ เพือ่ ปรารถนาความบริสุทธิแ์ หง่ ตน

กาลแห่งสังคายนา 27 แม้คณะสงฆ์จะปฏิเสธคำ�สอนของนักบวชตีรถกะ เพราะผิดพลาด คลาดเคล่ือนจากพระธรรมวินัย แต่นักบวชเหล่าน้ันหาได้สนใจปฏิบัติตาม ระเบียบวินัยไม่ ต่างพากนั สัง่ สอนสงิ่ เสยี หายมากมายหลายอยา่ ง ด้วยเหตุ น้ี การแสดงเทศนาบตั หิ รอื การสารภาพความผดิ จงึ ถกู ละเลกิ เปน็ ระยะเวลา ถงึ เจ็ดปี เป็นเหตุใหพ้ ระศาสนาเริม่ ต้นส�ำ แดงความเสื่อมโทรม ครั้นพระเจ้าธรรมาโศกทรงสดับเร่ืองราวเช่นน้ัน ได้เสด็จเข้าไปหา พระโมคคลั ลีบตุ รเถระ ผูจ้ ุติมาจากสวรรค์ช้นั พรหม ซ่ึงสมยั นัน้ ไดพ้ �ำ นักพกั อาศยั อยทู่ อ่ี ารามเปน็ เวลาหนงึ่ สปั ดาห์ และพระเถระรปู นแ้ี ลไดศ้ กึ ษาเลา่ เรยี น หลักธรรมคำ�สอนทุกส่ิงอย่างจนแตกฉานลึกซ้ึง จึงโปรดให้ประชุมพระมหา เถระทง้ั หมดในธรรมทวปี โดยความชว่ ยเหลอื ของยกั ษส์ องตน ณ อโศการาม ภายในเมืองหลวงปาตลีบตุ ร อันเปน็ นามของพระองค์เอง เบ้ืองต้นโปรดให้แยกแบ่งกลุ่มพระสงฆ์ที่มีทิฏฐิสามัญญตาเป็นอัน เดียวกันเสียก่อน จากน้ันให้ทำ�การสืบสวนความแตกต่างแห่งความคำ�สอน และคตคิ วามเช่อื จนถกู ตอ้ งชดั เจน แล้วโปรดให้ชำ�ระพระศาสนาดว้ ยการขับ นักบวชนอกรตี ผู้มากดว้ ยเล่ห์เหลี่ยม ไม่ซื่อสัตย์ หลอกลวง ละโลภ และเจา้ มารยาออกจากพระศาสนา ซึ่งมีจำ�นวนถึงหกล้านรูป ผู้อาศัยพระศาสนา ในรา่ งของพระสงฆ์ ลว้ นยนิ ดคี �ำ สอนของสสั สตวาทะ อนั ตานนั ตกิ ะ อมราวกิ เขปิกะ อธิจจสมปุ ปนั นิกะ สัญญวี าทะ อสญั ญีวาทะ เนวาสญั ญนี าสญั ญี วาทะ อุจเฉทวาทะ ทิฏฐธัมมนพิ พานวาทะ เปน็ ตน้ จากน้ันให้ทหารทำ�การอารักขาบริเวณโดยรอบอโศการาม แล้วโปรด ใหพ้ ระสงฆ์ผ้ทู รงศลี ซง่ึ ท�ำ หน้าท่ีรกั ษาพระธรรมคำ�สอนอนั บริสทุ ธ์ิ ไดแ้ สดง เทศนาบตั กิ นั และกนั แลว้ นมิ นตใ์ หพ้ ระอรหนั ตห์ นง่ึ พนั รปู คดั เลอื กพระอรหนั ต์ หกล้านรูป ประชุมพร้อมกันท่ีอโศการามน้ันแล คราวนั้นที่ประชุมได้เลือก

28 นิกายสังครหยะ พระโมคคัลลีบุตรเถระใหท้ ำ�หน้าทเ่ี ป็นประธานการสังคายนาคร้งั ที่ ๓ ซงึ่ ใช้ เวลา ๙ เดือน จึงแลว้ เสรจ็ การสังคายนาครั้งน้ีพระเจา้ ธรรมาโศก โปรดมอบอำ�นาจสิทธิขาดแก่ พระสงฆผ์ ปู้ ระพฤตถิ กู ตอ้ ง ผรู้ กั ษาพระพทุ ธศาสนา ดงั พระคาถากลา่ วไวด้ งั น้ี ยา สัฏฐติ ิตถิยะ สะหัสสะนิสาคะตนั ตัง ทุลลัทธโิ ฆระติมิรงั วนิ หิ ัจจะ สัมมา สา ติสสะเถระระวินา คะมติ า วิกาสัง สังคตี ิจารนุ ะลนิ ี อะปิ ทัสสิตา เม ฯ อรรถาธิบายตามนัยแห่งพระคาถาว่า การสังคายนาภายใต้การนำ� ของพระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ รุ่งเรืองมั่นคงแผ่ไพศาลเสมือนสระบัวย่อม สวยงามยามตอ้ งแสงพระสรุ ยี ์ ยคุ สมยั แหง่ ความวนุ่ วายดว้ ยค�ำ สอนมจิ ฉาทฐิ ิ ซ่ึงนำ�โดยนักบวชนอกรีตนามติรถกะหนึ่งแสนคน ได้ถูกกำ�จัดออกไปจาก พระศาสนาส้นิ แล้ว ดงั เราทงั้ หลายทัศนาแลว้ ตามนัยแห่งพรรณนา

กาลแห่งสงั คายนา 29 เชิงอรรถ ๑ ผู้นพิ นธบ์ อกว่าการสังคายนาครง้ั ท่ี ๑ ใชร้ ะยะเวลาถงึ ๗ เดือน ดเู หมือน วา่ จะคา้ นกบั หลกั ฐานในพระไตรปฎิ ก ความนา่ จะเปน็ คอื ผนู้ พิ นธอ์ าจตอ้ งการ บอกวา่ ระยะเวลาสงั คายนานน้ั ๓ เดอื นจรงิ แตก่ ารเตรยี มตวั เพอ่ื สงั คายนา น่าจะใช้เวลาถงึ ๔ เดือน เพราะตอ้ งเทย่ี วประกาศข่าวแก่พระอรหนั ตเ์ ถระ ผ้เู ป็นอาจารย์ของหมู่คณะตามหัวเมอื งน้อยใหญ่ ๒ ภาษาบาลดี ังน้ี ปาราชิก ปาจิตตยี ์ มหาวรรค จลุ วรรค ปรวิ าร ธรรมสงั คณี วภิ งั ค์ กถาวตั ถุ ปคุ คลปญั ญตั ิ ธาตกุ ถา อนิ ทรยิ ยมก มลู ยมก ทวกิ ปฏั ฐาน ตกิ ปฏั ฐาน ทวกิ ตกิ ปฏั ฐาน ทฆี นกิ าย มชั ฌมิ นกิ าย สงั ยตุ นกิ าย องั คตุ ตร นกิ าย และขทุ ทกนิกาย พร้อมดว้ ยขทุ ทกปาฐะ ธรรมบท อุทาน อิตวิ ตุ ตกะ สุตตนิบาต วิมานวัตถุ เปตวัตถุ เถรคาถา เถรีคาถา ชาดก นิทเทส ปฏสิ มั ภทิ า อปทานะ พทุ ธวังสะ จรยิ ปฎิ ก เปน็ ต้น ๓ พระสารีบตุ รเถระและพระโมคคัลลานเถระ ๔ ความเชื่อเร่ืองอายุพระศาสนา ๕,๐๐๐ ปี หรือปัญจอันตรธานปรากฏ เหน็ ในคมั ภรี ส์ ารตั ถสงั คหะของพระนนั ทาจารย์ โดยอธบิ ายวา่ พระพทุ ธศาสนา จะเสื่อมสูญหายไปด้วยการแสดงเบญจลักษณะตามลำ�ดับคือ ๑) ปริยัติ อนั ตรธาน ๒) ปฏิบตั อิ นั ตราน ๓) ปฏเิ วธอนั ตรธาน ๔) ลงิ คอนั ตรธาน และ ๕) ธาตุอนั ตรธาน สนั นษิ ฐานว่าคติความเช่อื เช่นนน้ี ่าจะมีการหยิบยก ข้ึนมาสั่งสอน เพื่อเป็นการสร้างความเชอื่ มั่นในพระศาสนา ๕ เถรยิ นกิ าย หมายถงึ ผปู้ ระพฤตติ ามพระเถราจารยผ์ สู้ งั คายนาตง้ั แตค่ รงั้ แรก เรอ่ื ยมา ๖ พระนามตามภาษาบาลีดังนี้ พระเจา้ อุทายิภทั ทะ พระเจ้าอนรุ ุทธะ พระเจ้า มณุ ฑะ พระเจา้ นาคทาสกะ และพระเจา้ สุสนุ าคะ

30 นิกายสังครหยะ ๗ เมืองปาตลีบุตร ๘ ตรงนผ้ี นู้ พิ นธร์ ะบรุ ะยะเวลาการสงั คายนาถกู ตอ้ งกบั หลกั ฐานในพระไตรปฎิ ก สนั นษิ ฐานวา่ ผนู้ พิ นธน์ า่ จะดบู รบิ ทแวดลอ้ มแลว้ จงึ ระบใุ หส้ อดคลอ้ งตรงกบั หลักฐานพระไตรปฎิ กดังกลา่ ว ๙ สถวีระ เป็นภาษาสันสกฤต แปลว่า ผู้สูงวัยหรือผู้ใหญ่ ส่วนภาษาบาลีใช้ เถระ ซ่ึงความหมายเช่นเดียวกัน สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นศัพท์เกิดขึ้นภาย หลัง สมัยมหายานเป็นที่รู้จักแพร่หลายแล้ว เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า มหายานน้นั ใชภ้ าษาสนั สกฤตเปน็ ภาษาหลกั ในการเผยแผ่ ๑๐ มหาสังฆิกะ แปลว่า สงฆ์หมู่ใหญ่หรือสงฆ์หมู่มาก อาจเป็นไปได้ว่าพวก ภิกษุวัชชีมีจำ�นวนมากกว่าฝ่ายทำ�สังคายนา หรืออาจเป็นการตั้งช่ือเพ่ือ ขม่ อกี ฝา่ ยหนง่ึ ใหด้ อ้ ย จงึ เปน็ เหตใุ หผ้ นู้ พิ นธค์ มั ภรี เ์ ลม่ นร้ี ะบพุ ระสงฆฝ์ า่ ยท�ำ สงั คายนามีจ�ำ นวนเปน็ แสนเปน็ ล้าน ๑๑ มหาสงั ฆิกวาที โคกุลกิ วาที เอกวยหารกิ วาที ปรัชญาปติวาที พาหศุ รุตยิ ก วาที ไจติยกวาที มหิศาสกวาที วชั ชีบตุ รวาที ธรรมโมตริยวาที ภัทรยานยิ วาที ศนั นาคริกวาที สามมีติยวาที สรวาสตวิ าที ธรรมคุปตวาที กาศยปยิ วาที สงั กัปปิวาที และสูตรวาที ๑๒ อัญมณีสมใจนึก เช่ือว่าหากใครครอบครองประสงค์สิ่งใดมักประสบความ สำ�เร็จ ๑๓ โลกวิวรณะ คือการเปิดเผยความจริงแก่ชาวโลก ในที่นี้ปาฏิหาริย์หมายถึง อาเทศนาปาฏหิ ารยิ ์ ๑๔ ตรี กถะ แปลวา่ ทา่ น�้ำ ในทน่ี ห้ี มายถงึ ศาสนา เพราะคนสมยั นนั้ เชอื่ วา่ ศาสนา เปรียบเหมอื นทา่ น�้ำ เปน็ ทอ่ี าบกนิ ของผทู้ กุ ขท์ างใจ

กาลแห่งสังคายนา 31 ถ�ำ้ สัตตบรรณคหู า สถานที่ปฐมสังคายนา เมืองราชคฤห์ วัดเวฬวุ นั วิหาร ปฐมอารามในพุทธศาสนา เมืองราชคฤห์

32 นิกายสงั ครหยะ ประติมากรรมปนู ปน้ั ว่าด้วยปฐมสังคายนา วัดศรชี ัยวัฒนาราม เขตโคลัมโบ บริเวณวดั วาลุการาม สถานที่ทตุ ยิ สังคายนา เมืองไพศาลี

กาลแห่งสังคายนา 33 เสาอโศกภายในอโศการาม สถานท่ตี ตยิ สงั คายนา เมืองปตั นะ ภาพจิตรกรรมฝาผนงั วา่ ด้วยตตยิ สงั คายนา ภายในวิหารนวเชตวัน เมืองสาวตั ถี

34 นิกายสังครหยะ

พุทธศาสนาเขาสูเกาะลงั กา 35 º··èÕ ô พทุ ธศาสนาเข้าสเู่ กาะลังกา กำาเนดิ มหาวหิ าร อนั ว�่ นกั บวชนอกรตี พวกตรี ถกะซง่ึ ถกู ขบั ออกจ�กพระศ�สน�คร�นน้ั ต่�งไร้ที่พ่ึงจึงไปรวมตัวกันที่น�ลันท�ใกล้เมืองร�ชคฤห์ ปรึกษ�ห�รือกันว่� “เร�ควรแสวงห�ช่องแห่งพระธรรมวินัยของพระสงฆ์ศ�กยบุตร เพ่ือทำ�ให้ เป็นเร่ืองย�กต่อก�รเข้�ใจของผู้คน แต่ห�กปร�ศจ�กคว�มเข้�ใจคำ�สอน อย่�งลึกซ้ึงย่อมเป็นก�รย�ก” จึงตกลงพร้อมใจกันว่� “พวกเร�ต้องดำ�รง เพศเปน็ พระสงฆ์อีกครั้งหน่ึง” จ�กนั้นได้ตัดสินใจพ�กันเดินท�งกลับเมืองป�ตลีบุตร ไม่เข้�ร่วมกับ คณะสงฆ์เถริยนิก�ย ได้พ�กันสมัครเป็นสม�ชิกของพระสงฆ์ ๑๗ นิก�ย แต่ภ�ยหลังถูกปฏิเสธขับออกจ�กหมู่คณะเสีย เพร�ะทร�บว่�พ�กันปลอม เป็นพระสงฆ์ เจตน�ศึกษ�พระไตรปิฎกเพ่ือล้มล้�งคำ�สอนอันจริงแท้ ต่อ ม�พ�กันเดินท�งไปยังเมืองโกสัมพี ได้สำ�แดงตนเองว่�รักษ�พระธรรมวินัย นับได้ ๒๓๕ ปี ภ�ยหลังพุทธปรินิพพ�น และภ�ยหลังได้แตกแยกแบ่ง ออกเปน็ ๙ นิก�ย ไดแ้ ก ่ เหมวตะ ร�ชคริ ี สิทธ�รถะ ปูรวไศล ี อปรไศล ี วชั รปรวตะ ไจตลุ ยะ อันธกะ และอนั ยมห�สงั ฆิกะ๑ บรรด�นิก�ยเหล่�นี้ นิก�ยเหมวตะได้แยกออกม�จ�กนิก�ยวรณ ปิฏกะ โดยอ้�งว่�หลักธรรมคำ�สอนเป็นของแท้จริงโดยก�รอุปโลกน์ นิก�ย ร�ชคิรีได้แต่งคัมภีร์อังคุลิม�ลปิฎกข้ึนม�ใหม่ นิก�ยสิทธ�รถะแต่งคัมภีร์

36 นิกายสังครหยะ คฑู ะเวสสนั ตรยะ นกิ ายปรู วไศลแี ตง่ คมั ภรี ร์ ฏั ฐปาละครชติ ยะ นกิ ายอปรไศลิ แต่งคัมภรี ์อาลวกครชิตยะ และนกิ ายวัชรปรวตะแตง่ คัมภรี ์คฑู ะวนิ ยะ ส่วนนิกายที่เหลือแต่งคัมภีร์ตันตระ คัมภีร์มายาชาลตันตระ คัมภีร์ สมาชตนั ตระ คมั ภรี ม์ หาสมยตนั ตวะ คมั ภรี ต์ ตั ตวสงั ครหะ คมั ภรี ภ์ ตู จามะระ คัมภีร์วัชรมฤตะ คัมภีร์จักรสังวระ คัมภีร์ทวาทศจักระ คัมภีร์เภรุกาทบุดะ คมั ภรี ม์ หามายา คมั ภรี ป์ ทนษิ เสปะ คมั ภรี จ์ ตษุ ปษิ ตะ คมั ภรี ป์ รามรทะ คมั ภรี ์ สรวพุทธะ คมั ภีรค์ ุหยะ และคัมภรี ส์ มจุ จยะ เปน็ ต้น ถัดมาเป็นคัมภีร์มรีจิกัลปะ คัมภีร์เหรัมบกัลปะ คัมภีร์ตริสมยกัลปะ คัมภีร์ราชกัลปะ คัมภีร์วัชรคันธารกัลปะ คัมภีร์มริจิคุยหกัลปะ คัมภีร์สุทธ สมุจจยกัลปะ และคัมภีร์มายามรีจิกัลปะ เป็นต้น ส่วนนิกายไวตุลยะแต่ง คัมภีร์ไวตุลยปิฎก นิกายอันธกะแต่งคัมภีร์รัตนกูฏะและคัมภีร์เชิงเหตุผล สำ�หรับนิกายอนั ยมหาสงั ฆิกะแตง่ คัมภีรอ์ ัษรสาติและสูตรอนื่ อีก๒ วิธีการอันหลากหลายที่ดัดแปลงแต่งเสริมเข้าไปในคัมภีร์เหล่าน้ัน ได้นำ�มาสาธยายด้วยวิธีการสืบทอดจากอาจารย์สู่ศิษย์ ถึงแม้ว่าจะเกิด มีนิกายมากมายและหลายหลากคำ�สอน แต่พระศาสนาของพระสัมมา สมั พุทธเจา้ กส็ ามารถดำ�รงคงอยูอ่ ย่างบรสิ ุทธ์ิ เปน็ เวลา ๒๑๙ ปี นบั แต่ การสงั คายนาคร้ังท่ี ๓ บรรดาคัมภีร์น้อยใหญ่เหล่านั้น อันเป็นผลงานของนักบวชตีรถกะ ผู้ทรงผ้ากาสาวพัสตร์เสมือนพระสงฆ์ ดูเหมือนว่าจะเป็นหลักธรรมอันถูก ตอ้ งเฉพาะนกิ ายวรณปฎิ ก คมั ภรี เ์ หลา่ อน่ื ยงั คงมอี ยใู่ นชมพทู วปี สว่ นคมั ภรี ์ ของนกิ ายไวตลุ ยวาทะ นกิ ายวัชริยวาทะ และคัมภีรท์ างวิทยาศาสตรช์ ื่อวา่ รตั กูฏะ เป็นต้น ไดเ้ คลอ่ื นย้ายเขา้ สเู่ กาะลังกาสมัยตอ่ มา

พทุ ธศาสนาเข้าสู่เกาะลงั กา 37 บรรดากษัตริย์ผู้ปกครองเกาะลังกานั้น พระเจ้าวิชัยถือว่าเป็นปฐม กษัตริย์๓ ถัดมาเป็นอำ�มาตย์อุปติสสะ พระเจ้าปัณฑุวาสะ พระเจ้าอภัย พระเจ้าปณั ฑุกาภยั และพระเจ้ามุฏสวี ะ หลังจากกษตั รยิ เ์ จ็ดพระองคน์ แ้ี ลว้ ผู้ครองราชย์สืบต่อคือพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ๔ พระองค์เสวยราชย์เหนือ เกาะลังกา ตรงกับอัฏฐมพรรษาแห่งราชาภิเษกของพระเจ้าธรรมาโศกแห่ง ชมพทู วีป ตรงกับ ๒๓๖ ปี แห่งการปรนิ ิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจา้ สมัยนี้เองพระมหินทเถระผู้เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าธรรมาโศก ได้เดินทางมาเกาะลังกา ตรงกับฤกษ์มูละ วันเพ็ญเดือนโปสอน ภายหลัง ทา่ นอุปสมบทแล้ว ๑๒ พรรษา นบั เปน็ ปแี รกแหง่ การสถาปนาพระพุทธศาสนาบนเกาะลังกา คร้ันพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะสวรรคตล่วงแล้ว มีกษัตริย์ครองราชย์ สืบต่ออีกหลายพระองค์ ได้แก่ พระเจ้าอุตติยะ พระเจ้ามหาสิวะ พระเจ้า สูรติสสะ พ่อค้าม้าสองพ่ีน้อง (พระเจ้าเสนะและพระเจ้าคุตติกะ) พระเจ้า อเสละ พระเจ้าเอฬาระ พระเจ้ามหานาคะ พระเจ้ายฏาลติสสะ พระเจ้า โคฬุอภัย พระเจ้ากาวัณณติสสะ พระเจ้าทุฏุแคมุณุ พระเจ้าแสแทติสสะ พระเจ้าตลุ ตันนะ พระเจา้ ลแมณติ สิ สะ พระเจา้ กลุนา๕ และทมฬิ หา้ พน่ี อ้ ง ถัดจากกษัตริย์เหล่าน้ีแล้วเป็นพระเจ้าวฬคัมอบา๖ ซ่ึงข้ึนครองราชย์ หลงั พุทธปรินพิ พาน ๔๓๙ ปี ๙ เดอื น และ ๑๐ วัน คร้นั ยา่ งเขา้ เดอื น ทหี่ า้ แหง่ การเสวยรชั สมบตั ิ พระองคไ์ ดท้ �ำ สงครามกบั นกั รบทมฬิ เจด็ คน ทรง ประสบกับความปราชยั จงึ ไดห้ ลบหนีไปซุ่มซ่อนอาศยั อย่ตู ามปา่ เขาไพรลกึ สมัยน้ีเองพระอรหันต์ห้าร้อยรูปได้ประชุมกันท่ีอาลุวิหารใกล้เมือง มาตะเล ผู้ถวายการอุปถัมภ์คือเจ้าเมืองแห่งน้ัน ได้พร้อมกันสวดสาธยาย

38 นิกายสงั ครหยะ และบันทึกพระพุทธพจน์ตามนัยแห่งพระไตรปิฎก เร่ิมต้นจากปฐมพุทธ อุทานความว่า อะเนกะชาติ สังสารัง (หลายภพหลายชาติผ่านมาแล้ว) ดังน้ีเป็นต้น ซ่ึงเป็นพระพุทธดำ�รัสทรงตรัสอุทาน ขณะประทับน่ังเหนือ วัชรอาสน์ภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธ์ิ วันนั้นพระองค์ทรงชำ�นะพญามารและ บรรลอุ นตุ ตรสัมมาสัมโพธิญาณ จึงทรงเปลง่ อุทานว่า วะยะธมั มา ภิกขะเว สังขารา อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ (ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สรรพส่ิงเป็น ของไมเ่ ทีย่ งแทแ้ นน่ อน ทา่ นทง้ั หลายจงเป็นผเู้ ร่งเพยี รพยายามเถิด) ซึง่ ถอื ว่าเป็นพระดำ�รัสตรสั ไว้ในวาระสุดทา้ ย พระด�ำ รสั ทงั้ หมดทงั้ ปวงมาจากการเทยี่ วเทศนาสง่ั สอน ๔๕ พรรษา ทรงตรัสแก่เทวดาบ้าง พราหมณ์บ้าง นาคบ้าง สุบรรณบ้าง มนุษย์บ้าง ยกั ษบ์ า้ ง รากษสบา้ ง สทิ ธาบา้ ง วทิ ยาธรบา้ ง เจตนาเพอื่ อบรมสง่ั สอนเทวดา และมนุษย์ท้ังหลาย พระพุทธดำ�รัสท้ังหลายทั้งปวงที่เป็นอักษรก็ดี คำ�พูด กด็ ี คัมภีร์ก็ดี หรือภาณวารก็ดี กค็ งเนอื้ หาเดิมทุกประการ ไมเ่ สริมเตมิ แตง่ อันใด ไม่ใส่เสริมความเห็นผิด นำ�สืบต่อมาจากพระเถราจารย์ผู้สังคายนา คร้ังท่ี ๓ มีความบริสุทธ์ิด่ังสายนำ้�แห่งสรวงสวรรค์ มีความสะอาดด้วยดี ดง่ั อัญมณชี ้นั ดไี รม้ ลทนิ สามารถท�ำ ใหโ้ ลกสงบเยน็ ดง่ั ฝนทิพยช์ โลมใจ เป็น เอกมรรคมงุ่ ตรงสปู่ ัญญาสาม เปน็ แนวทางบรรลบุ รมสขุ ดงั มนุษย์ทกุ ตวั คน ใฝ่ฝนั หา พุทธพจน์เหล่าน้ีมีการจดจำ�ด้วยมุขปาฐะวิธี นำ�สืบต่อกันมาจากรุ่น สู่รุ่น ได้แก่ พระอุบาลีเถระ พระทาสกเถระ พระโสณกเถระ พระสิคคาว เถระ พระโมคคลั ลบี ตุ รตสิ สเถระ พระมหนิ ทเถระ พระอฏิ ฐยิ เถระ พระอตุ ตยิ เถระ พระสัมภวเถระ พระภทั ทสาลเถระ พระอริฏฐเถระ พระตสิ สทตั ตเถระ พระกาลสุมนเถระ พระทีฆนามเถระ พระทีฆสุมนเถระ พระกาลสุมนเถระ พระมหานาคเถระ พระพุทธรักขิตเถระ พระติสสเถระ พระเทวเถระ พระ

พทุ ธศาสนาเข้าสู่เกาะลงั กา 39 สุมนเถระ พระจูฬนาคเถระ พระธรรมปาลติ เถระ พระเขมเถระ พระอุปติสส เถระ พระผุสสเทวเถระ พระสุมนเถระ พระปุปผนามเถระ พระมหาสีวเถระ พระอบุ าลเี ถระ พระมหานาคเถระ พระอภยั เถระ พระตสิ สเถระ พระผสุ สนาม เถระ พระจฬู าภยั เถระ พระตสิ สเถระ พระจฬู เทวเถระ และพระสวิ สถวรี เถระ เถรยิ นกิ ายเหนือไวตลุ ยะ กล่าวถึงพระเจ้าวฬคัมอบา นับตั้งแต่พ่ายแพ้พวกทมิฬหินชาติและ หลบหนตี ามปา่ เขาและดอยดงเปน็ เวลา ๑๔ ปี ๗ เดอื น พระองคไ์ ดซ้ อ่ งสมุ ผู้คนชาวสิงหลจนสามารถยกทัพเข้าทำ�ลายชาวทมิฬ และกอบกู้บ้านเมือง เป็นผลสำ�เร็จ จากนั้นโปรดให้รื้อทำ�ลายอารามของอัญเดียรถีย์นามว่าคิริ แล้วให้สร้างอารามข้ึนใหม่ขนานนามว่าอภัยคิรี ด้วยการรวมพระนามของ พระองค์กับอัญเดียรถีย์เข้าด้วยกัน จากนั้นโปรดให้มอบถวายแด่พระเถระ นามว่าตสิ สะ ผู้ช่วยเหลอื สงเคราะหพ์ ระองค์ขณะหลบหนีราชภยั นับเป็นเวลา ๒๑๗ ปี ๑๐ เดือน ๑๐ วัน หลังประดิษฐาน พระศาสนาบนเกาะลังกา พระติสสเถระผู้ยินดีรับอภัยคิรีวิหารน้ัน ได้พำ�นักอาศัยอยู่ที่เกมคลุ โดยผ้สู นับสนุนคือเสนาบดผี ้ใู หญท่ ่านหน่งึ ซง่ึ มีหน้าทีด่ แู ลภายในพระราชวงั ครั้นแล้วพระสงฆ์แห่งสำ�นักมหาวิหารได้ประชุมลงสังฆามติ ด้วยการ ปัพพาชนียกรรมแกพ่ ระตสิ สะผ้รู ับอภัยคริ ีวหิ าร พระเถระผู้เป็นศิษย์ผู้ใหญ่รูปหน่ึงของพระติสสะนามว่ามหาแทฬิย ตสิ สะ ซง่ึ ไดเ้ ขา้ รว่ มประชมุ ครง้ั นน้ั ดว้ ย ไดค้ ดั คา้ นสงั ฆามตขิ องพระสงฆส์ �ำ นกั มหาวหิ าร โดยกลา่ ววา่ “ทา่ นทงั้ หลายอยา่ ท�ำ เชน่ นน้ั กบั พระเถระผใู้ หญเ่ ลย” แตพ่ ระสงฆแ์ หง่ ส�ำ นกั มหาวิหารยงั ยนื ยันมตเิ ดิม แล้วลงโทษผปู้ ระพฤตติ าม

40 นิกายสังครหยะ พระติสสะผู้กระทำ�ผิด ด้วยการขับไล่พระมหาแทฬิยติสสะออกจากหมู่คณะ แห่งส�ำ นกั มหาวหิ ารเสีย ด้วยความไม่พอใจคำ�ตัดสิน พระมหาแทฬิยติสสเถระจึงพาพระสงฆ์ ๕๐๐ รปู แยกออกจากเถรยิ นกิ าย ไปอาศยั อยทู่ ส่ี �ำ นกั อภยั คริ วี หิ าร ตอ่ มา พระสงฆผ์ เู้ ปน็ ศษิ ยข์ องพระธรรมรจุ ยิ าจารยแ์ หง่ ไวตลุ ยนกิ าย ไดม้ าอาศยั อยู่ กับพระเถระ ซึง่ พระสงฆ์เหล่านนั้ พากนั เดนิ ทางมาจากปัลลรารามแห่งธรรม ทวปี พระมหาแทฬยิ ติสสเถระยนิ ดยี อมรบั คำ�สอนของไวตุลยวาทะจนกลาย เป็นกล่มุ เดียวกัน ต่อมาเรียกกลุ่มตัวเองว่าธรรมรุจิยาจารย์ นับแต่น้ันมาพระสงฆ์ผู้สังกัดสำ�นักอภัยคิรีวิหารล้วนรู้จักกันใน นามธรรมรุจินิกาย ถือว่าเป็นนิกายหนึ่งแยกออกมาจากเถริยวาท ได้ก่อ รา่ งสรา้ งฐานทีส่ ำ�นกั อภัยคริ วี หิ าร ตรงกับปัณณรสมพรรษาแหง่ ราชาภิเษก ของพระเจ้าวฬคัมอบา ตรงกบั ๔๕๔ ปีภายหลงั พุทธปรนิ พิ พาน คร้ันพระเจ้าวฬคัมอบาสวรรคตล่วงแล้ว มีกษัตริย์ครองราชย์สืบต่อ มาอกี ๒๙ พระองค์ กลา่ วคอื พระเจา้ มหาแทฬยิ าตสิ สะ พระเจา้ โจรนาคะ พระเจ้ากุฑาติสสะ พระเจ้าบลัตสิวะ พระเจ้าวฏุกะ พระเจ้าแบฬติสสะ พระเจ้านิลี พระเจ้าปุโรหิตะ พระเจ้าวาสุกี พระนางอนุลา พระเจ้ามกลัน ตสิ สะ พระเจา้ ภาตยิ ะ พระเจา้ มหาทาแทฬยิ ะ พระเจา้ อามงั คแุ คมณุ ุ พระเจา้ กิณิหิริทฬะ พระเจ้ากุฑาอบา พระเจ้าสีวลี พระเจ้าเอฬุนนา พระเจ้า สันทมุหุณุ พระเจ้ายสสิลุ พระเจ้าสุบลตา พระเจ้าแวแหป พระเจ้าวักแน แหติสสะ พระเจ้าคชพาหุ พระเจ้ามหลุนา พระเจ้าภาติยติสสะ พระเจา้ จูฬ ตสิ สะ พระเจ้ากุหุลนา พระเจ้ากฑุ านา และพระเจา้ กุฑาสิริ๗

พทุ ธศาสนาเข้าสู่เกาะลงั กา 41 กษัตริย์พระองค์ถัดมาพระนามว่าพระเจ้าวยวหารติสสะ๘ พระองค์ เป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งนิติศาสตร์และธรรมศาสตร์ ได้ข้ึนเสวยรัชสมบัติเหนือ เกาะลังกา ภายหลงั พุทธปรินพิ านล่วงแล้ว ๗๕๒ ปี ๔ เดือน ๑๐ วนั สมัยนี้เองพระสงฆ์ธรรมรุจินิกายแห่งสำ�นักอภัยคิรีวิหาร ได้พา กันยอมรับนับถือคัมภีร์พระไตรปิฎกของไวตุลยนิกาย ซ่ึงเดิมผู้ก่อตั้งเป็น พราหมณ์นอกรีตนามว่าไวตุลยะ ได้ปลอมบวชเป็นพระสงฆ์มีจุดประสงค์ ทำ�ลายพระศาสนา โดยแต่งคัมภีร์พระไตรปิฎกข้ึนในสมัยของพระเจ้า ธรรมาโศกแห่งชมพูทวีป แล้วเท่ียวประกาศว่าเป็นคำ�สอนอันแท้จริงของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ครั้นพระสงฆ์แห่งเถริยนิกายชาวสิงหลได้เปรียบ เทียบกบั คัมภรี พ์ ระไตรปิฎกด้ังเดมิ แล้ว ตา่ งพากนั ปฏิเสธเสยี เหตเุ พราะผดิ พลาดคลาดเคลอ่ื นตรงกนั ข้ามกบั ค�ำ สอนอันแทจ้ ริงของพระศาสดาเจ้า ครน้ั ทราบความจรงิ ดงั นน้ั แลว้ พระเจา้ วยวหารตสิ สะรบั สงั่ ใหน้ �ำ คมั ภรี ์ ของพวกไวตลุ ยะทง้ั หมดมามอบใหเ้ สนาบดนี ามวา่ กปลิ ะ ผเู้ ชยี่ วชาญแตกฉาน ในสรรพวิชา เพื่อทำ�หน้าท่ีตรวจสอบความถูกต้อง คร้ันกปิลเสนาบดีเพ็ด ทูลว่าคำ�สอนของพวกไวตุลยะหาใช่พระพุทธพจน์แท้จริงไม่ จึงโปรดให้เผา ทำ�ลายสิ้นแล้วถอดยศของพระสงฆ์ ผู้หลงเช่ือคำ�สอนของไวตุลยวาทะเสีย จากนั้นทรงหันมายกย่องสรรเสริญและอุปถัมภ์พระพุทธพจน์จนรุ่งเรือง แพร่หลาย คัมภีร์มหาวงศ์บรรยายไวว้ า่ เวตลุ ละวาทงั มทั ทติ วา กาเรตวา ปาปะ นิคคะหงั กะปิเลนะ อะมัจเจนะ สาสะนัง โชตะยีธิโส ฯ อรรถาธิบายตามนัยแห่งพระคาถาว่า การไต่สวนของเสนาบดีนาม ว่ากปิละเก่ียวกับความถูกผิดแห่งคำ�สอนของพวกนอกรีต สรุปจบลงด้วย

42 นิกายสังครหยะ การปราบปรามพวกไวตุลวาทะโดยให้ถอดยศเสีย นับแต่กาลนั้นมากษัตริย์ แห่งเกาะลังกาโปรดให้ยกย่องพระศาสนาของพระชินเจ้าจนรุ่งเรืองม่ันคง แพรห่ ลาย พระสังฆมิตรผู้ท�ำ ลาย ครั้นพระเจ้าวยวหารติสสะสวรรคตล่วงแล้ว มีกษัตริย์ครองราชย์สืบ ต่ออีก ๖ พระองค์ ได้แก่ พระเจ้าอบาติสสะ พระเจ้าสิรินาคะ พระเจ้า วิชยินทุ พระเจ้าสังฆติสสะ และพระเจ้าแดแหมิสิริสังคโบ๙ ส่วนกษัตริย์ พระองคท์ เี่ จด็ พระนามวา่ โคฐาภยั จตตุ ถมพรรษาแหง่ ราชาภเิ ษกของกษตั รยิ ์ พระองคน์ แี้ ล พระสงฆธ์ รรมรจุ นิ กิ ายแหง่ ส�ำ นกั อภยั คริ วี หิ าร ไดห้ นั มานบั ถอื ค�ำ สอนของไวตุลยวาทะอีกครัง้ หนึง่ บรรดาพระสงฆ์เหล่านั้น พระมหาเถระรูปหน่ึงนามว่าอุสสิลิยาติสสะ ทราบว่า สมัยพระเจ้าวยหารติสสะนั้น พระสงฆ์ผู้ศรัทธาช่ืนชอบคำ�สอนไว ตุลยวาทะต่างถูกถอดยศหมดส้ิน จึงคิดว่าหากเร่ืองนี้เกิดขึ้นอีกคร้ังหน่ึงหา สมควรไม่ จึงชักชวนเพื่อนสหธรรมิกว่า “พวกเราอย่าได้อยู่ร่วมกับภิกษุ นอกรีตเหล่านี้เลย” จึงพาพระสงฆ์ ๓๐๐ รูป ปลีกตัวออกจากพระสงฆ์ ธรรมรุจินิกาย ได้เดินทางไปพักอาศัยที่ทักษิณาราม ณ อารามแห่งนั้นแล พระมหาเถระผู้เป็นหัวหน้านามว่าสาคละ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการแสดง ธรรม นับตงั้ แต่น้นั พระสงฆผ์ ้พู �ำ นักกบั อารามแหง่ น้ันจงึ ชื่อวา่ สาคลยิ นกิ าย สาคลิยนิกายท่ีแยกตัวออกจากธรรมรุจินิกายได้ตั้งม่ันอยู่ที่ทักษิณา ราม ภายหลังพุทธปรินิพานล่วงแล้ว ๗๙๕ ปี ตรงกับรัชสมัยของพระ เจ้าโคฐาภัย ต่อมาสมยั พระเจา้ มหาเสนผู้เป็นราชโอรส ไดพ้ ากันย้ายไปอยทู่ ี่ ส�ำ นักเชตวนั วิหาร ภายในพระนครอนรุ าธปุระ

พทุ ธศาสนาเข้าสู่เกาะลังกา 43 คร้ันพระเจ้าโคฐาภัยทรงทราบเรื่องราวแล้ว โปรดให้ประชุมสงฆ์ จากอารามห้าแห่ง แล้วมอบหมายให้สอบสวนอธิกรณ์ดังกล่าว คร้ันทราบ ว่าคำ�สอนไวตุลยวาทะมิใช่พุทธพจน์แท้จริง จึงมีพระราชโองการบังคับให้ พระสงฆผ์ ชู้ นื่ ชอบค�ำ สอนไวตุลยวาทะเหล่านน้ั ออกจากหมู่คณะเสีย แล้วให้ ทำ�สัญลักษณ์เคร่ืองหมายตามร่างกาย พร้อมขับไล่ออกจากเกาะลังกาส้ิน จากน้ันรบั สง่ั ใหร้ วบรวมต�ำ ราของพวกไวตุลยวาทะแลว้ เผาเสยี พระองค์ชื่อว่าสร้างความรุ่งเรืองมั่นคงแก่พระศาสนาของพระ ศาสดาเจา้ ส่วนพระสงฆ์ไวตุลยวาทะ ๖๐ รูปเหล่านั้น ครั้นเดินทางออกจาก เกาะลงั กาแลว้ ไดพ้ ากนั ไปพ�ำ นกั พกั อาศยั อยทู่ เ่ี มอื งกาวรี ะ สมยั นน้ั หนมุ่ นอ้ ย คนหนงึ่ เดนิ ทางมาเมอื งกาวรี ะแลว้ อปุ ฏั ฐากดแู ลพระสงฆเ์ หลา่ นนั้ อยา่ งดจี น เป็นที่พอใจ ต่อมาได้รับอนุญาตให้อุปสมบทนัยว่าเพื่อสร้างประโยชน์แก่ ชาวโลก แล้วพ�ำ นกั พกั อาศัยกับพระสงฆไ์ วตุลยวาทะทีน่ น้ั แล พระหนุ่มรูปน้ีมีสมญานามตามพุทธศาสนาว่าสังฆมิตร วันหนึ่งขณะ พระสงฆ์กำ�ลังเปลื้องจีวรเพ่ือสรงน้ำ�ในมหานที พระหนุ่มสังฆมิตรได้สังเกต เห็นรอยสักบนแผ่นหลังของพระสงฆ์เหล่านั้น จึงสอบถามจนทราบความ ตลอดสน้ิ วา่ พระเจา้ โคฐาภยั แหง่ เกาะลงั กาถกู พระสงฆแ์ หง่ ส�ำ นกั มหาวหิ าร ยั่วยุ จึงลงโทษพวกอาจารย์แห่งตน ซึ่งสังกัดสำ�นักอภัยคิรีวิหาร ด้วยเหตุ ว่าพากันยอมรับคำ�สอนไวตุลยวาทะ โดยให้สักตามร่างกายและเนรเทศ ออกจากเกาะลงั กา พระหนุ่มสังฆมิตรจึงถามพระสงฆ์เหล่านั้นว่า “มีการอะไรที่กระผม พอช่วยเหลือได้บ้าง” พระเถระเหล่านั้นพากันกล่าวว่า “หากเธอเป็นผู้ ฉลาดแลว้ ไซร้ ยอ่ มตรองเหน็ หลายคดที สี่ มควรท�ำ แกศ่ ตั รขู องพวกเรา” พระ

44 นิกายสังครหยะ หนุ่มสังฆมิตรจึงตอบว่า “หากเป็นเช่นน้ัน กระผมจะต้องหากโลบายทำ�ให้ พระสงฆ์สำ�นักมหาวิหาร หันมายอมรับคำ�สอนของไวตุยวาทให้จงได้ หาก พระสงฆ์เหล่าน้ันพากันปฏิเสธ จำ�ต้องถอนรากถอนโคนทำ�ลายเสียให้ สน้ิ ซาก” ครั้นแล้วพระสังฆมิตรได้เร่งออกเดินทางไปศรีลังกาโดยด่วน แล้ว แสวงหาช่องทำ�ประโยชน์จนเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าโคฐาภัย ด้วยการ รงั้ ต�ำ แหง่ พระมหาราชครทู �ำ หนา้ ทอี่ บรมสง่ั สอนเจา้ ชายสองพระองค์ พระนาม ว่าเทฏติสกุมารและมหาเสนกุมาร๑๐ สำ�หรับเจ้าชายเทฏติสนั้นทราบว่า สามารถตดั สนิ ใจทกุ สงิ่ อยา่ งดว้ ยพระองคเ์ อง พระสงั ฆมติ รจงึ ท�ำ หนา้ ทถี่ วาย เพียงความรู้เท่าน้ัน แต่หันไปครอบงำ�พระอนุชามหาเสน ด้วยการสั่งสอน ตามแผนการท่ีวางเอาไว้ พระเจา้ โคฐาภัยนัน้ ทรงครองราชย์ ๑๓ ปี พระสังฆมิตรเถระเกรงกลัวเจ้าชายเทฏติส ผู้จะข้ึนเสวยราชย์สืบต่อ พระราชบดิ า จงึ หลบหนีไปอยอู่ าณาจักรโสลี ดว้ ยการพ�ำ นกั อาศยั อยทู่ เ่ี มอื ง กาวีระ พระเจ้าเทฏติสทรงครองราชย์ด้วยความยุติธรรมเป็นเวลา ๑๐ ปี ก็เข้าสู่สวรรคาลัยตามนยั แห่งอายุขัย ครนั้ ทราบขา่ วการสวรรคตของพระองคฺ แ์ ลว้ พระสงั ฆมติ รเถระไดเ้ ดนิ ทางกลบั มาเกาะลงั กา และพำ�นักพักอาศยั อยูท่ ีส่ �ำ นักอภัยคริ ีวิหาร จากนน้ั ไดแ้ นะน�ำ ชกั ชวนพระสงฆท์ ง้ั หา้ อารามใหห้ นั มาศกึ ษาหลกั ค�ำ สอนไวตลุ ยวาทะ แต่ก็ล้มเหลว ครั้นแล้วพระเถระได้เข้าเฝ้าเพ็ดทูลพระเจ้ามหาเสนผู้เป็นศิษย์ ซง่ึ พระองค์ครองราชย์ตรงกบั ๘๑๘ ปภี ายหลังพทุ ธปรินพิ พาน พระเถระ ได้เพยี รพยายามชกั ชวนพระเจ้ามหาเสนหลายตอ่ หลายคร้ัง เพอื่ ใหพ้ ระองค์ คล้อยตามอบุ ายแห่งตนจนสำ�เรจ็

พทุ ธศาสนาเข้าสู่เกาะลงั กา 45 กษัตริย์ลังการับส่ังให้เจ้าพนักงานเท่ียวตีกลองป่าวร้องท่ัวเมืองว่า “ห้ามใครถวายอาหารบิณฑบาตแก่พระสงฆ์สำ�นักมหาวิหาร หากฝ่าฝืน จะถกู ปรับเปน็ เงนิ ๑๐๐ เหรียญ” พระสงฆ์แห่งสำ�นักมหาวิหารนั้นพากันออกรับบิณฑบาตตลอดเมือง หลวง ๓ วนั แตห่ าไดอ้ าหารเพอื่ ท�ำ ภตั กจิ ไม่ จงึ รวมตวั กนั ทโ่ี ลหมหาปราสาท แล้วปรึกษากันว่า “แม้พวกเราจะอดยากก็จะไม่ยอมรับคำ�สอนของพวก นอกรีต แต่หากเราประพฤติเช่นน้ันพระสงฆ์เป็นจำ�นวนมากจะดำ�เนินตาม เราแล้วถงึ แก่มรณภาพ ความผิดกจ็ ะตกแกพ่ วกเรา แม้ชีวติ และวัตรปฏิบตั ิ แห่งเราจะถึงกาลวิบตั ิ กจ็ ะยนื ยันปฏเิ สธค�ำ สอนของไวตุลยวาทะ” คร้ันประกาศเช่นน้ันแล้ว พระสงฆ์ผู้ทรงเถรวาททุกวัดในเขต เมืองหลวง รวมถึงสำ�นักมหาวิหาร สำ�นักมิริสสแวฏิยะวิหาร และสำ�นัก เจติยวิหาร ได้พากันละทิ้งอารามวิหารส้ินแล้วอพยพหลบหนี บางส่วนไป อย่เู ขตโรหณะ บางส่วนไปอยู่เขตมลยะ สหายผชู้ วั่ รา้ ยซง่ึ คอยชว่ ยเหลอื รบั ใชพ้ ระสงั ฆมติ รเถระนน้ั ชอื่ วา่ โสณะ เสนาบดี ได้ขอราชานญุ าตถอนรากถอนโคนสำ�นกั มหาวิหารใหส้ น้ิ ซาก ดว้ ย การรือ้ เผาทำ�ลายปรเิ วณะ ๓๖๔ แหง่ ตลอดทง้ั อารามขนาดใหญร่ วมถึง โลหมหาปราสาทดว้ ย จากนนั้ ใหไ้ ถตลอดบรเิ วณทงั้ หมดแลว้ หวา่ นขา้ วท�ำ นา คมั ภีร์มหาวงศไ์ ด้บรรยายไว้วา่ มะหาวิหาเร ปาเปนะ มะหาเสเนนะ นาสิเต วะสิงสุ ธมั มะรจุ กิ า ภิกขู เจติยะปัพพะเต ฯ อรรถาธบิ ายตามนัยแห่งพระคาถาวา่ พระเจา้ มหาเสนผู้บาป ไดส้ ง่ั ให้ ท�ำ ลายมหาวหิ ารจนสน้ิ ซาก แมเ้ จตยิ คริ วิ หิ ารอนั เปน็ ดนิ แดนแหง่ พระอรหนั ต์

46 นิกายสงั ครหยะ เจา้ ตง้ั แตพ่ ระมหนิ ทเถระผเู้ ปน็ ปฐมบรู พาจารย์ กถ็ กู พวกภกิ ษธุ รรมรจุ นิ กิ าย เขา้ ยึดครองเสียสิ้น ต่อมาเสนาบดีผู้ซ่ือสัตย์นามว่าเมฆวรรณอภัย ได้ทูลขอราชานุญาต สรา้ งส�ำ นกั มหาวหิ ารขนึ้ ใหม่ พระเจา้ มหาเสนโปรดใหน้ มิ นตพ์ ระสงฆผ์ อู้ พยพ ไปอยทู่ ่ีอื่น ใหก้ ลบั มาเมอื งอนรุ าธปุระดังเดิม พร้อมถวายความอปุ ถัมภด์ ว้ ย ปัจจัยสเ่ี ป็นอยา่ งดี ส่วนพระมเหสีของพระเจ้ามหาเสนนั้น เป็นผู้สืบเชื้อสายมาจาก ตระกูลละแมณิ เชื่อว่าเป็นผู้บูรณะถูปารามเจดีย์ ได้จ้างวานช่างไม้ให้ ตัดศีรษะพระสังฆมิตรเถระแล้วเสียบประจาน จากนั้นให้รวบรวมตำ�ราของ พวกไวตุลยวาทะแล้วเผาทำ�ลายจนสิ้นซาก พวกชาวพุทธต่างพากันรื้อ ทำ�ลายบ้านของเสนาบดีโสณะ ผู้สนับสนุนพระสังฆมิตรเถระ คร่าตัวมาฆ่า เสียแล้วโยนศพลงในหลมุ คูถสัตว์

พุทธศาสนาเข้าสู่เกาะลังกา 47 เชิงอรรถ ๑ ช่ือของแต่ละนิกายและคัมภีร์สำ�คัญของแต่ละนิกายดังกล่าว ไม่มีหลักฐาน กล่าวถึงในท่ีอ่ืนใด สันนิษฐานว่าช่ือเหล่าน้ีน่าจะมีการบันทึกไว้ต้ังแต่สมัย พระมหินทเถระเดินทางเข้ามาเผยแผ่พระศาสนาบนเกาะลังกา และมีการ บันทึกรักษาสืบต่อเร่ือยมา ๒ เป็นที่น่าสังเกตว่า รายชื่อคัมภีร์เหล่านี้ล้วนเป็นภาษาสันสกฤตทั้งส้ิน สันนิษฐานว่าพระสงฆ์สมัยหลังพุทธกาลน่าจะบันทึกหลักธรรมคำ�สอนเป็น ภาษาสันสกฤตเป็นหลัก ส่วนภาษาบาลีน่าจะมีการปฏิรูปข้ึนใหม่หลังการ สังคายนาครั้งท่ี ๓ แล้ว เพ่ือสร้างความเข้มแข็งให้แก่เถรวาทนิกาย แต่ กระบวนการคณะสงฆเ์ ถรวาทมาสมบูรณเ์ ต็มท่ีสมัยเขา้ สเู่ กาะลงั กาแล้ว ๓ ตำ�นานกล่าวไว้ว่าพระเจ้าวิชัยเป็นพระราชโอรสของกษัตริย์แห่งแคว้นลาฬะ ถูกพระราชบดิ าเนรเทศออกจากบ้านเมอื ง จงึ พาสหายเจ็ดร้อยคนข้นึ เรือมา เกยฝ่ังบนเกาะลังกา ต่อมาได้เข้ายึดครองเมืองเก่าแก่ของพวกยักษ์ แล้ว สถาปนาราชวงศส์ งิ หลขนึ้ ๔ พระเจา้ เทวานมั ปยิ ตสิ สะนนั้ เปน็ พระราชโอรสของพระเจา้ มฏุ สวิ ะ เหตเุ พราะ เป็นผู้เฉลียวฉลาดกว่าพระราชโอรสพระองค์อ่ืน จึงได้รับคัดเลือกให้ขึ้น ครองราชย์สืบต่อพระบิดา อีกเหตุผลหนึ่งคือ พระองค์เป็นพระสหายของ พระเจ้าอโศกมหาราชตั้งแต่เป็นพระกุมาร ได้แลกเปลี่ยนสิ่งของกันและกัน เนอื งนติ ย์ อาจเปน็ เหตุใหพ้ ระองคไ์ ดร้ ับคัดเลอื กขึ้นครองราชยก์ ็เป็นได้ ๕ พระนามตามภาษาบาลีดังน้ี พระเจ้ากากวัณณติสสะ พระเจ้าทุฏุฐคามณี พระเจ้าสัทธาติสสะ พระเจ้าถูลัตถนะ พระเจ้าลัญชติสสะ และพระเจ้า ขลั ลาฏนาคะ ๖ พระเจา้ วฏั ฏคามณีอภัย (พ.ศ.๔๕๔-๔๖๖)

48 นิกายสังครหยะ ๗ พระนามตามภาษาบาลีดังนี้ พระเจ้ามหาจูฬิมหาติสสะ พระเจ้าโจรนาคะ พระเจ้าติสสะ พระเจ้าสิวะ พระเจา้ วฏุกะ พระเจ้าทารุภาติกติสสะ พระเจ้า นิลิยะ พระเจ้าวาสกุ ะ พระนางอนุลา พระเจ้ากูฏกัณณติสสะ พระเจ้าภาติก อภัย พระเจ้ามหาทาฏิกมหานาคะ พระเจ้าอามัณฑคามณีอภัย พระเจ้า กนิรชานุติสสะ พระเจ้าจูฬาภัย พระเจ้าสีวลี พระเจ้าอิฬนาคะ พระเจ้า จันทมุขสิวะ พระเจ้ายสลากติสสะ พระเจ้าสภะ พระเจ้าวสภะ พระเจ้า วนั กนาสิกตสิ สะ พระเจ้าคชพาหุ พระเจา้ มหลั ลกนาคะ พระเจ้าภาตกิ ตสิ สะ พระเจา้ กนฏิ ฐตสิ สะ พระเจา้ ขุชชนาคะ พระเจา้ กงุ จนาคะ พระเจ้าสิรินาคะ ๘ พระเจา้ โวหารกตสิ สะ (พ.ศ.๗๔๖-๗๗๔) ๙ พระเจ้าอภัยนาคะ พระเจ้าสิรินาคะ พระเจ้าวิชัยกุมาร พระเจ้าสังฆติสสะ และพระเจา้ สริ ิสังฆโพธิ ๑๐ ตอ่ มาเป็นพระเจ้าเชฏฐตสิ สะและพระเจ้ามหาเสนะ

พทุ ธศาสนาเข้าสู่เกาะลังกา 49 มหาแสยะเจดีย์ บริเวณมิหินตะเล สถานท่ีประดิษฐานพระพุทธศาสนาครั้งแรก บนเกาะลังกา

50 นิกายสังครหยะ ถปู ารามเจดยี ์ ปฐมเจดยี บ์ นเกาะลังกา เมอื งเก่าอนุรธปุระ รุวันแวฬแิ สยะเจดีย์ เมอื งเก่าอนรุ าธปรุ ะ

พทุ ธศาสนาเข้าสู่เกาะลงั กา 51 เชตวันเจดีย์ เมอื งเก่าอนรุ าธปุระ อาลวุ ิหาร สถานทีบ่ นั ทกึ พระธรรมวนิ ยั ลงในใบลานเปน็ ครั้งแรก

52 นิกายสังครหยะ

เถรวาทวิวาทมหายาน 53 º··Õè õ เถรวาทวิวาทมหายาน กาำ เนิดเชตวันวหิ าร แม้พระสังฆมิตรเถระผู้เป็นอ�จ�รย์จะมรณภ�พล่วงแล้ว แต่พระเจ้� มห�เสนห�ทร�บว่�อะไรผิดอะไรถูกไม่ ได้หันไปศรัทธ�พระโกโหนติสสเถระ แหง่ ทกั ษณิ �คริ วี หิ �ร ดว้ ยก�รสร�้ งเชตวนั วหิ �รถว�ยภ�ยในบรเิ วณอทุ ย�น โชตยิ ะ ซง่ึ เปน็ อ�ณ�บรเิ วณของส�ำ นกั มห�วหิ �ร พระสงฆแ์ หง่ ส�ำ นกั มห�วหิ �ร นน้ั ต�่ งพ�กนั ประทว้ งคดั ค�้ นก�รกอ่ สร�้ ง แต่กษัตริย์ผู้โง่เขล�เช่ือฟังเฉพ�ะพระสงฆ์แห่งสำ�นักอภัยคิรีวิห�ร เท�่ นนั้ ไดร้ บั สงั่ ว�่ “ถ�้ เชน่ นน้ั ควรท�ำ เครอื่ งหม�ยก�ำ หนดเขตแดนใหช้ ดั เจน” แตพ่ ระสงฆแ์ หง่ ส�ำ นกั มห�วหิ �รไมต่ อ้ งก�รเชน่ นนั้ ต�่ งพ�กนั ยนื ยนั ว�่ อ�ณ� บรเิ วณต้องคงอย่ดู งั เดมิ ตร�บเท่�ก�รด�ำ รงคงอยู่แห่งพระศ�สน� คร�วนัน้ พระเจ้�มห�เสนรับสงั่ ให้จบั พระสงฆ์เจด็ รปู ผูป้ ระทว้ งคดั ค�้ น ดว้ ยก�รกักตัว ไว้ภ�ยในอุโมงค์ ด้�นพระสงฆ์แห่งสำ�นักทักษิณ�คิรีวิห�รก็พ�กันร้ือถอน เครือ่ งหม�ยกำ�หนดเขตแดนเสีย คร�วนั้นส�มเณรผู้ทรงอภิญญ�รูปหนึ่งแห่งสำ�นักสิตุลปวุวิห�ร๑ คร้ันทร�บเร่ืองร�วเหล่�นั้นตลอดสิ้น ได้สำ�แดงตัวต่อหน้�ฝูงชนในร่�งแห่ง ร�กษส พร้อมค้อนเหล็กขน�ดใหญ่ในมือ ได้โยนเข้�ใส่พระสงฆ์แห่งสำ�นัก ทกั ษณิ �คริ วี หิ �รรอบทศิ ท�งตลอดเมอื งหลวงทง้ั สน้ิ ครน้ั ทร�บคว�มโกล�หล นั้นแล้ว พระเจ้�มห�เสนได้เข้�ไปห�ร�กษสแล้วทูลถ�มว่� “ข้�พเจ้�ควร

54 นิกายสังครหยะ ท�ำ อย่างไรท่านจงึ จะพอใจ” รากษสได้กล่าวว่า “ตัวเราจะไม่หยดุ จนกวา่ จะ พบพระสงฆแ์ ห่งสำ�นักมหาวิหารเจ็ดรปู ทหี่ ายไป” พระเจ้าแผ่นดินจึงรับสั่งให้ค้นหาอย่างเร่งด่วน คร้ันเสนาบดีนำ� พระสงฆเ์ หล่านัน้ มาส�ำ แดงตนตอ่ หนา้ รากษสแลว้ สามเณรในร่างรากษสได้ หายตัวแลว้ ไป แล้วปรากฏกายทีส่ �ำ นกั สิตลุ ปวุวิหารนั้นแล แมพ้ ระเจา้ มหาเสนจะไมส่ ามารถก�ำ หนดเขตแดนภายในบรเิ วณส�ำ นกั มหาวิหารได้ดังพระดำ�ริก็จริง แต่ก็โปรดให้สร้างเชตวันวิหารภายในเขต อันจำ�กัด แล้วมอบถวายแก่พระโกโหนติสสเถระเช่นเดิม พระเถระนั้นถูก พระสงฆ์แห่งสำ�นักมหาวิหารลงสังฆามติว่าผิด ผู้ทำ�หน้าที่ไต่สวนอธิกรณ์ ครง้ั นค้ี อื ธรรมกิ เสนาบดี การสอบสวนพบวา่ พระเถระผดิ จรงิ ค�ำ ตดั สนิ ถอื วา่ เปน็ การทำ�ลายความปรารถนาของกษัตรยิ ์ สุดท้ายจบลงดว้ ยการลาสกิ ขาของพระโกโหนติสสเถระ คัมภีร์มหาวงศบ์ รรยายไว้ว่า ตัสสะ วหิ าระคายิสสะ ติสสัตเถรัสสะ โจทะนา อนั ติมะวตั ถนุ า อาสิ ภตู ัตถา สงั ฆะมชั ฌะคา วนิ ิจฉะยะ มะหามัจโจ ตะทา ธัมมิกะสัมมะโต อุปปัพพาเชสิ ธมั เมนะ ตัง อะภิชฌายะ ราชโิ น ฯ อรรถาธิบายตามนัยแห่งพระคาถาว่า คณะสงฆ์แห่งสำ�นักมหาวิหาร ได้ประชมุ กนั ลงสงั ฆามติพระตสิ สเถระผู้รับเชตวันวหิ าร ด้วยวธิ สี มั มขุ าวินัย และเยภุยยสิกา จากน้ันได้ตรวจสอบอธิกรณ์จนพบความจริง ผู้ทำ�หน้าท่ี ไต่สวนคือธรรมิกเสนาบดี ได้ตัดสินให้พระเถระลาสิกขาและขับออกจาก หมคู่ ณะเสีย แม้จะขัดแย้งกบั ความปรารถนาของกษตั รยิ ก์ ต็ าม

เถรวาทวิวาทมหายาน 55 สมัยต่อมาพระสงฆ์สาคลิยนิกายจากทักษิณาราม ได้พากันมาสร้าง หลักปกั ฐานท่ีเชตวนั วิหาร คร้นั ลว่ งเขา้ สมัยพระเจา้ กิตสิรเิ มวัน๒ พระสงฆ์ สาคลิยนิกายพากันยอมรับนับถือคำ�สอนไวตุลยวาทะ การกระทำ�เช่นนี้เป็น เร่อื งชาญฉลาด ครนั้ พระเจา้ มหาเสนสวรรคตสน้ิ แลว้ ผคู้ รองราชยส์ บื ตอ่ มาคอื พระเจา้ สิริเมวัน พระเจ้าเทฏติสสะ พระเจ้าบุชัส พระเจ้าอุปติสสะ และพระเจ้า มหานามะ๓ ซ่ึงทุกพระองค์ล้วนครอบครองเกาะลงั กาทัง้ หมด รัชสมัยของพระเจ้ามหานามะนี้เอง พระอรรถกถาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ นามว่าพุทธโฆษาจารย์ ซึ่งโด่งดังแพร่หลายในด้านจอมปราชญ์ ได้เดินทาง มาจากธรรมทวีป และปริวรรตคัมภีร์อรรถกถาแต่งแก้คัมภีร์พระไตรปิฎก ประกอบดว้ ย ๓๖๑,๗๕๐ เล่ม สามารถทำ�ให้พระธรรมค�ำ สอนเป็นท่ีร้จู กั แพร่หลาย ถดั จากกษตั รยิ พ์ ระองคน์ น้ั แลว้ มผี คู้ รองราชยส์ บื ตอ่ อกี ๑๖ พระองค์ ไดแ้ ก่ พระเจา้ เสนโคต พระเจา้ ลแมณติ สิ สะ พระเจา้ มติ เสนกรนั โสระ พระเจา้ ษัฑทราวิฑยะ (กษัตริย์ทมิฬหกพระองค์) พระเจ้าธาเสน พระเจ้าสีคิริกสุบุ พระเจ้ามุคลัน พระเจ้ากุมารทาส พระเจ้ากีรติเสน พระเจ้าแมดิสิจ และ พระเจา้ ลแมณิอปุ ตสิ สะ๔ บดั นสี้ มัยพทุ ธปรนิ พิ พานล่วงแลว้ หนงึ่ พันปี ย่างเข้าทวาทสมพรรษาแห่งราชาภิเษกของพระเจ้าสลเมวัน๕ พ่อค้า คนหน่ึงนามว่าปุราณะผู้เดินทางไปแคว้นกาสีแห่งชมพูทวีป ได้รับคัมภีร์ บรรจุคำ�สอนของไวตุลยวาทะ เพราะเช่ือว่าเป็นพุทธพจน์แท้จริง จึงนำ�มา เกาะลงั กาแล้วมอบถวายแกพ่ ระเจา้ แผน่ ดินแห่งตน พระเจ้าสลเมวนั หาได้มี

56 นิกายสังครหยะ ความชาญฉลาดเฉกเชน่ บรู พกษตั รยิ ไ์ ม่ เพราะขาดสตปิ ญั ญาในการแยกแยะ ระหว่างจริงหรือเท็จ จึงแสดงความยินดีแล้วมอบถวายแก่พระสงฆ์แห่ง สำ�นักอภัยคิรีวิหารและสำ�นักเชตวันวิหาร แล้วรับส่ังให้ยึดถือเป็นคัมภีร์ ศกึ ษาสง่ั สอนสบื ไป สำ�หรับพระสงฆ์แห่งสาคลิยนิกาย ผ้พู ำ�นักอาศัยภายในสำ�นักเชตวัน วิหารแห่งน้ัน ต่างเรียนรู้เรื่องราวแต่หนหลังว่า บูรพกษัตริย์ได้ถอดยศและ เนรเทศพระสงฆผ์ ู้ชนื่ ชอบค�ำ สอนของไวตลุ ยวาทะ จึงพากันคดั คา้ นพระราช ดำ�รัสเสีย ส่วนพระสงฆ์แห่งสำ�นักอภัยคิรีวิหารพยายามเชิญชวนภิกษุผู้ ขลาดเขลาแห่งสำ�นักเชตวันวิหาร ซ่ึงปรารถนาศึกษาเรียนรู้คำ�สอนของไว ตุลยวาทะ เสมือนบุรุษโฉดเขลาหลอกเด็กกินแมลงปีกแข็งกับลูกมะพลับ เพราะมีสีคล้ายคลึงกัน พระสงฆ์แห่งสำ�นักมหาวิหารและพระเถระผู้ฉลาด เหล่าอ่นื แห่งเมอื งอนุราธปรุ ะ ต่างพากนั ปฏิเสธหาไดค้ บหาและเขา้ ใกล้ไม่ สมัยน้ันพระเถระผู้ใหญ่นามว่าโชติปาละ ผู้เดินทางมาจากธรรมทวีป ได้เปิดเผยการหลอกลวงของคำ�สอนไวตุลยวาทะ ซ่ึงบนผืนดินธรรมทวีปได้ ขาดความน่าเชื่อถอื และสูญหายไปนานแลว้ คมั ภีร์จลุ วงศ์บรรยายไวว้ ่า ตะทา เอโก มะหาเถโร โชตปิ าละกะนามะโก ปะราเชสิ วิวาเทนะ ทเี ป เวตุลละวาทิโน ฯ อรรถาธิบายตามนัยแห่งพระคาถาว่า สมัยน้ันแล พระโชติปาล มหาเถระ ผู้มีปัญญาเป็นหน่ึงไม่เป็นสองรองใคร ได้รวบรวมคณะสงฆ์ ทั้งเกาะลังกา แล้วโต้วาทะแข่งกับพวกนอกรีตไวตุลยวาทะ แล้วสามารถ บดขย้จี นพา่ ยแพพ้ ินาศยบั

เถรวาทวิวาทมหายาน 57 นบั จากนนั้ ไม่มกี ารศึกษาคำ�สอนไวตุลยวาทะอกี เลย พระสงฆแ์ หง่ ส�ำ นกั อภยั คริ วี หิ ารและส�ำ นกั เชตวนั วหิ าร ไดส้ รา้ งความ คุ้นเคยใกล้ชิดกับชาววัง จากนั้นได้แนะนำ�ขุนนางท่านหนึ่งซ่ึงสามารถแต่ง ต้ังหัวหน้าสายลับ ให้รวบรวมตำ�ราของพวกไวตุลยวาทะมามอบถวายหน้า พระพักตร์ แต่คร้ันพระเจ้าสลเมวันสวรรคตล่วงแล้ว ชื่อเสียงแห่งพระสงฆ์ สองสำ�นักน้ันแลกเ็ ส่อื มเสยี ต่างพากันยอมจำ�นนนอบน้อมต่อพระสงฆ์แหง่ ส�ำ นกั มหาวิหารเสียส้นิ หลักฐานแต่เบ้ืองต้นชี้บอกว่า คำ�สอนไวตุลยวาทะเข้าสู่เกาะลังกา สามครั้งสามหน แต่ก็ถูกเผาทำ�ลายโดยกษัตริย์ผู้ศรัทธาม่ันคงต่อพระพุทธ ศาสนา ส่วนคำ�รบส่ีนำ�เข้ามาโดยพ่อค้านามว่าปุราณะ เหตุการณ์น้ีเกิด ข้ึนหลังจากพระพุทธศาสนาประดิษฐานบนเกาะลังกาแล้ว ๘๕๒ ปี และ ภายหลังพุทธปรินิพพานล่วงแล้ว ๑๐๘๘ ปี สมัยพระเจ้าสลเมวันน้ัน คำ�สอนไวตลุ ยวาทะลว้ นเปน็ ท่ียอมรบั ของชาวเกาะผโู้ งเ่ ขลา คร้ันพระเจ้าสลเมวนั สวรรคตล่วงแลว้ มกี ษัตริยค์ รองราชย์สบื ตอ่ อกี ๖ พระองค์ กล่าวคือ พระเจ้าทาปุลุเสน พระเจ้าทฬมุคลัน พระเจ้ากุฑา กิตสิริเมวัน พระเจ้าเสเนวิมหนา พระเจ้าแลแมณิสิญคานา และพระเจ้า อัคคโบธิ สมัยกษัตริย์พระองค์นี้ปรากฏว่าเกิดมีนักปราชญ์นามอุโฆษ ๑๒ คน ได้แก่ สักทามละ อสักทามละ แดมิ แบบิริ ทฬบิโส อนุรุทธ์ กุมาร ทฬโคตรกุมาร ทฬสลกมุ าร กิตสริ ิกุมาร ปรุ วฑกุ มุ าร สูรยิ พาหุ และ กสุปโตฏแอปะ๖ การเขา้ มาของวชั รปรวตะนกิ าย ครนั้ พระเจา้ อกั โบสวรรคตลว่ งแลว้ มกี ษตั รยิ ค์ รองราชยส์ บื ตอ่ อกี ๒๕ พระองค์ ไดแ้ ก่ พระเจา้ กุฑาอกั โบ พระเจา้ สังฆตสิ สะ พระเจ้าลแมณโิ บนา

58 นิกายสงั ครหยะ พระเจ้าอสิคคาหกะ พระเจ้าสิริสังฆโบ พระเจ้าลแมณิกฏสุ ระ พระเจา้ ทฬปุ ตสิ สะ พระเจ้าแปสฬุ กุ สบุ ุ พระเจ้าทาปฬุ ุ พระเจา้ ลแมณิทฬปุ ติสสะ พระเจ้า แปสฬุ ทุ ฬุปตสิ สะ พระเจ้าแปสฬุ สุ ริ ิสงั ฆโบ พระเจ้าวลั ปติ วสทุ ัตตะ พระเจ้า หุนันนรุริยันทฬะ พระเจ้ามหแลเปโณ พระเจ้าอักโบธิ พระเจ้าสุลุกสุบุ พระเจา้ แปสลุ อุ กั โบ พระเจา้ กฑุ าอกั โบ พระเจา้ สลเมวนั มหิ นิ ทุ พระเจา้ อทุ ยะ พระเจ้าโสมิหินทุ พระเจ้าแมดิอักโบ พระเจ้ากุฑาทาปลุ และพระเจ้าแปสุฬุ อกั โบ๗ หลังจากพระพุทธศาสนาประดิษฐานบนเกาะลังกาได้ ๑๑๒๖ ปี และภายหลังพุทธปรินิพพาน ๑๓๖๒ ปี พระเจ้ามัตวฬเสนได้เสด็จขึ้น ครองราชย์เหนือเกาะลังกา๘ แต่พระองค์ไม่ประสงค์คบค้ากับผู้รู้ สมัยนี้ นักบวชนอกรีตวัชรปรวตะนิกาย ผู้ครองผ้ากาสาวพัสตร์แบบพระสงฆ์ ได้เดินทางมาจากธรรมทวีปแล้วพำ�นักพาอาศัยอยู่ที่วีรานกุระ จากน้ันได้ มอบสนิ บนใหแ้ กช่ าววเิ สทภายในพระราชวงั นามวา่ คริ วิ สเสน เปน็ ทองจ�ำ นวน ถึง ๑๕ กหาปณะ เพอ่ื น�ำ เข้าเฝ้าสรรเสรญิ กษัตริย์แห่งเกาะลงั กา ครั้นกษัตริย์สดับว่าพระสงฆ์เหล่านี้เป็นผู้มีคุณธรรมงามพร้อม พระองค์จึงเสมือนต๊ักแตนกระโดดเข้ากองกูณฑ์เพียงเพราะเห็นแก่ทอง ได้ สนทนากับพวกนอกรีตและศรัทธาหลงใหลคำ�สอนอันลึกลับ ซ่ึงพระองค์ ตรัสว่าเป็นคำ�สอนอันถูกต้อง จึงยอมรับคำ�สอนอันผิดของพวกวัชรปรวตะ สละท้ิงหลักคำ�สอนอันแท้จริง ดังเช่นรัตนสูตรที่เปล่งประกายเจิดจ้าตลอด แสนโกฏิแห่งโลก ด้วยเหตุแห่งพระองค์เล่ือมใสคำ�สอนอันผิด จึงเสด็จ ทิ้งเมืองหลวงให้ทมิฬหินชาติ แล้วเสด็จหนีไปประทับเมืองโปโฬนนารุวะ และสวรรคตทีน่ นั้ สมัยนีเ้ องคำ�สอนแหง่ คัมภีรร์ ัตนกูฏะเปน็ ตน้ ไดเ้ ผยแผเ่ ข้าส่เู กาะลังกา

เถรวาทวิวาทมหายาน 59 คร้ันพระเจ้ามัตวฬเสนสวรรคตส้ินแล้ว พระเจ้าแปมิณิมุคสิน๙ ได้ ครองราชย์เหนือเกาะลังกาสืบต่อ พระองค์ได้ยาตราทัพลังกาอันยิ่งใหญ่ เขา้ บกุ รกุ อาณาจกั รปณั ฑยะ ไดส้ งั หารทมฬิ หนิ ชาตเิ ปน็ จ�ำ นวนมาก ตกี ลอง แห่งชัยชนะและยึดครองบาตรของพระพุทธเจ้ากลับคืนมา ซึ่งถูกแย่งชิง สมยั พระเจา้ มตั วฬเสน แลว้ น�ำ ชยั ชนะมาสเู่ กาะลงั กา พระองคโ์ ปรดใหบ้ รู ณะ โลหปราสาท ซึง่ ได้เสียหายสมยั อริราชศตั รเู ข้าท�ำ ลาย และโปรดใหซ้ ่อมแซม รอยร้าวตามก�ำ แพงด้วย จากนั้นโปรดให้พระสงฆ์ทั้งสามนิกายรักษาพระธรรมวินัยอย่าง เคร่งครัด เพื่อความม่ันคงแห่งพระศาสนา และโปรดให้อารักขารอบเกาะ ลังกา เพ่ือป้องกันพระสงฆ์นอกรีตที่จะเข้ามาเกาะลังกา พระองค์ปกครอง ด้วยความยตุ ิธรรม ดว้ ยเหตุนัน้ คัมภรี จ์ ุลวงศ์จึงพรรณนาไวว้ า่ สัทธมั มะ ปะตริ ปู านงั ทิสวา โลเก ปะวตั ตะนัง คัณหาเปสิ ตะถา รกั ขงั สาคะรันเน สะมนั ตะโตติ อรรถาธิบายตามนัยแห่งพระคาถาว่า คร้ันทราบถึงหลักคำ�สอน มิจฉาทิฐิเกลื่อนกลาดดาษด่ืนทั่วโลก พระองค์จึงโปรดให้ทำ�การอารักขา รอบเกาะลังกา เพื่อรักษาคำ�สอนของพระศาสดาเจ้าให้บริสุทธ์ิและรุ่งเรือง มั่นคงตราบช่ัวกาลนาน นักบวชแหง่ สมั มติ ตยิ ะนิกาย ครั้นคำ�สอนของวัชรปรวตนิกายถูกเก็บซ่อนไว้ ด้วยการรักษาใน ลักษณะคติความเช่ือรหัสยลัทธิ นับจากพระเจ้ามัตวฬเสนสืบเน่ืองมา มี การเก็บรักษาโดยคนเขลาและมดื บอด เรอ่ื งราวของลัทธนิ ีป้ รากฏมีในคัมภีร์

60 นิกายสงั ครหยะ นลี ปฏทรรศนยะว่า สมยั แหง่ การครองราชย์ของพระเจ้ากุมารทาสแหง่ เกาะ ลังกานน้ั ยงั มกี ษัตรยิ พ์ ระนามวา่ ศรีหรรษะ ผปู้ กครองอาณาจกั รมธรุ าแหง่ อินเดียใต้ อันเชื่อว่าเป็นดินแดนธรรมทวีป สมัยน้ัน นักบวชผู้ช่ัวร้ายแห่ง สมั มติ ตยิ ะนกิ ายผฉู้ ลาดแตไ่ รค้ ณุ ธรรม ยามราตรเี ขา้ ไปมวั่ สมุ ทหี่ อนางคณกิ า คลุมกายด้วยเคร่อื งนงุ่ ห่มสีฟา้ แลว้ กลับเขา้ วิหารเพลากลางวัน เหล่าศิษย์ เห็นเครื่องแต่งกายของอาจารย์จึงถามว่า “เครื่องแต่งกายสีฟ้าเหมาะสม หรอื ไม”่ ครน้ั ทราบวา่ มผี คู้ นจ�ำ นวนมากเหน็ เครอ่ื งแตง่ กายตนแลว้ จงึ หวั เราะ แล้วอธิบายด้วยเหตุผล ครั้นแล้วผองศิษย์ผู้ศรัทธาอุทิศต่อตนจึงสละท้ิง ผา้ กาสาวพัสตรเ์ สียแล้วพากนั นุ่งห่มผ้าสฟี ้าสนิ้ จากน้ันนักบวชท่านนี้ได้ดำ�รงตนเสมือนเป็นอัญมณีอันเลิศค่าสาม อยา่ งในไตรโลก เสมอื นโสเภณผี รู้ า่ ยร�ำ คลอเคลา้ เสยี งดนตรี เสมอื นน�ำ้ จณั ฑ์ เสพแล้วเกิดความครื้นเครง เสมือนพากันบูชาเทพเจ้าน้อยใหญ่มีกามเทพ เปน็ ตน้ แลว้ พากนั ดหู มนิ่ อญั มณเี หลา่ อนื่ วา่ เปน็ เพยี งศลิ าเปลา่ ไดแ้ ตง่ คมั ภรี ์ นามว่านีลปฏทรรศนยะอธิบายความเห็นแห่งตนว่า “เวศะยา รัตนัง สุรา รตั นัง รตั นงั เทโว มะโนภะวะ เอตะทาตะนะ ตตั รายงั วนั เท หะระยะนา ตญั จะมะณติ าระยัง แปลความวา่ นางเทพธิดาผูง้ ดงามคอื อญั มณี อญั มณี คือสุราอันเริงร่า สุราคือรัก เหล่านี้คืออัญมณีท่ีข้าถวายตัว ไม่มีอัญมณี แกว้ อันใดเป็นของขา้ เลย” ครน้ั คมั ภรี น์ ลี ปฏทรรศนยะเรมิ่ เปน็ ทร่ี จู้ กั แพรห่ ลาย พระเจา้ ศรหี รรษะ ได้ส่งทหารเฝ้าติดตามสืบข่าว พบบทสวดสรรเสริญว่า “นะ กิง ปิละสิ ทรู ะเมธะ นะระกงั คนั ตวุ ะมจิ ชะสิ ละวะโณทะกะสงั ยกุ ตาสสรุ าสะสะวะระเคนิ ทุระละภา แปลความวา่ เจ้าคนโงเ่ หตุใดเจา้ ไมร่ ่�ำ สรุ า? หรอื เจ้าปรารถนาไป นรก วิญญาณทีร่ ะคนด้วยหยบิ แหง่ เกลอื ย่อมขดั สนบนสรวงสวรรค”์

เถรวาทวิวาทมหายาน 61 ครั้นพระเจ้าศรีหรรษะทราบคำ�สอนนิกายน้ีสิ้นแล้ว ทรงรู้แจ้งด้วย พระทัยว่ามิใช่หลักคำ�สอนแท้จริงของพระพุทธเจ้า เป็นแต่นิกายหนึ่งของ ศาสนาเท่านั้น พระองค์น้ันทรงประพฤติแตกต่างจากกษัตริย์พระองค์อื่น เพราะทรงทราบว่าคำ�สอนเช่นนี้จะนำ�ความเส่ือมมาสู่พระศาสนาของพระ ชินสีห์ เพราะเป็นการชักชวนผู้คนให้เดินทางผิด จึงตัดสินพระทัยคุ้มครอง พระศาสนาของพระศาสดาเจ้าเพื่อให้ครบถ้วน ๕๐๐๐ ปี ด้วยการรับส่ัง ให้จับนักบวชผู้ห่มผ้าสีฟ้าและคัมภีร์เป็นจำ�นวนมาก ให้รวมตัวกันภายใน อาคารแล้วจุดไฟเผาท้ังคนและตำ�รา อุปมาดังการกำ�จัดเช้ือโรคให้ส้ินซาก แต่มีนักบวชบางคนสามารถหลบหนไี ปได้ ครั้นพระเจ้ามุคยนั เสนสวรรคตสนิ้ แลว้ ๑๐ มีกษตั ริย์ครองราชย์สืบต่อ มาอีก ๑๙ พระองค์ ไดแ้ ก่ พระเจา้ อุทา พระเจา้ กสปุ พระเจ้าแปสฬุ กุ สุบุ พระเจา้ ทาปุลุ พระเจา้ กฑุ าทาปุลุ พระเจ้าอทุ ยะ พระเจ้าเสน พระเจ้าอทุ าม หาราชา พระเจ้าแปสุฬุเสน พระเจ้าแมดิเสน พระเจ้ากุฑามิเทล พระเจ้า สลเมวัน พระเจ้ามหินทุ พระเจ้าวิกรมพาหุ พระเจ้ามหาเล พระเจ้าวิกรม ปาณฑิ พระเจา้ ชคตั ปาละ พระเจา้ ปรากรมปาณฑิ พระเจา้ โลเกศวรเสเนวิ๑๑

62 นิกายสังครหยะ เชิงอรรถ ๑ สิตุลเพาวะวิหาร อยู่ทางภาคใต้เป็นวัดใหญ่โด่งดังเคียงคู่กับติสสมหาวิหาร ในฐานะวัดปา่ อรญั วาสี ๒ พระเจ้าสิริเมฆวัณณะ (พ.ศ.๘๔๔-๘๗๑) ๓ พระนามตามภาษาบาลีดังน้ี พระเจ้าสิริเมฆวัณณะ พระเจ้าเชฏฐาติสสะ ที่ ๒ พระเจา้ พุทธทาส พระเจา้ อปุ ติสสะท่ี ๑ และพระเจา้ มหานามะ ๔ พระนามตามภาษาบาลีดังนี้ พระเจ้าฉัตตคาหกชันตุ พระเจ้าอุปติสสะ พระเจา้ มติ ตเสนะ กษตั รยิ ท์ มฬิ หกพระองค์ พระเจา้ ธาตเุ สนะ พระเจา้ กสั สปะ ท่ี ๑ พระเจ้าโมคคลั ลานะท่ี ๑ พระเจ้ากุมารธาตุเสนะ พระเจา้ กติ ตเิ สนะ พระเจ้าสิวะ และพระเจา้ อุปตสิ สะที่ ๒ ๕ พระเจา้ สิลากาละ (พ.ศ.๑๐๖๑-๑๐๗๔) ๖ พระนามตามภาษาบาลีดังน้ี พระเจ้าทาฐาปภุติ พระเจ้าโมคคัลลานะท่ี ๒ พระเจ้ากิตติสิริเมฆะ พระเจ้ามหานาคะ พระเจ้าเลเมณิสิญคานา และ พระเจา้ อัคคโพธิที่ ๑ ๗ พระนามตามภาษาบาลีดังนี้ พระเจ้าอัคคโพธิท่ี ๑ พระเจ้าอัคคโพธิที่ ๒ พระเจา้ สังฆติสสะท่ี ๒ พระเจ้าโมคคัลลานะท่ี ๓ พระเจา้ สลิ าเมฆวณั ณะ พระเจ้าอัคคโพธิที่ ๓ พระเจ้าเชฏฐติสสะที่ ๓ พระเจ้าทาโฐปติสสะท่ี ๑ พระเจ้ากัสสปะท่ี ๒ พระเจ้าทัปปุละท่ี ๑ พระเจ้าหัตถทาฐะ พระเจ้า อัคคโพธิที่ ๔ พระเจ้าทัตตะ พระเจ้าหัตถทาฐะที่ ๒ พระเจ้ามานวัมมะ พระเจา้ อคั คโพธิที่ ๕ พระเจา้ กัสสปะที่ ๓ พระเจา้ มหนิ ทะท่ี ๑ พระเจา้ อัคคโพธิท่ี ๖ พระเจ้าอัคคโพธิท่ี ๗ พระเจ้ามหินทะท่ี ๒ พระเจ้าอุทยะ ที่ ๑ พระเจ้ามหินทะท่ี ๓ พระเจ้าอัคคโพธิที่ ๘ พระเจ้าทัปปุละที่ ๒ พระเจา้ อัคคโพธทิ ี่ ๙

เถรวาทวิวาทมหายาน 63 ๘ พระเจ้าเสนะที่ ๑ (พ.ศ.๑๓๗๗-๑๓๙๖) ๙ พระเจ้าเสนะที่ ๒ (พ.ศ.๑๓๙๖-๑๔๓๐) ๑๐ สนั นษิ ฐานว่าผู้นิพนธ์นา่ จะเขา้ ใจผิด ๑๑ พระนามตามภาษาบาลดี งั น้ี พระเจา้ อทุ ยะท่ี ๒ พระเจา้ กสั สปะท่ี ๔ พระเจา้ กัสสปะที่ ๕ พระเจ้าทัปปุละท่ี ๓ พระเจ้าทัปปุละที่ ๔ พระเจ้าอุทยะ ท่ี ๓ พระเจ้าเสนะที่ ๓ พระเจ้าอุทยะที่ ๔ พระเจ้าเสนะที่ ๔ พระเจ้า มหนิ ทะท่ี ๔ พระเจ้าเสนะท่ี ๕ พระเจ้ามหนิ ทะท่ี ๕ พระเจ้ากัสสปะท่ี ๖ พระเจ้ามหาลานกิตตะ พระเจ้าวิกรมปัณฑุ พระเจ้าชคติปาละ พระเจ้า ปรกรมปัณฑุ และพระเจา้ โลกะ

64 นิกายสังครหยะ บรเิ วณสำ�นกั มหาวิหาร เมอื งเก่าอนุราธปรุ ะ (บน) สติ ลุ เพาวะ วัดอรัญวาสแี หง่ เมืองติสสมหารามะ มณฑลใต้ (ลา่ ง)

เถรวาทวิวาทมหายาน 65 พระพุทธปฏมิ าภายในวดั ถ�้ำ ดมั บุลลราชมหาวิหาร เขตแคนดี

66 นิกายสังครหยะ บรเิ วณส�ำ นกั อภัยคิรวี หิ าร เมืองเก่าอนุราธปุระ ตันตริมาเลราชมหาวิหาร นอกเมืองเกา่ อนรุ าธปรุ ะ

เถรวาทวิวาทมหายาน 67 พระพทุ ธรปู ศลิ า บริเวณส�ำ นกั อภัยคิรีวิหาร เมืองเกา่ อนรุ าธปรุ ะ บริเวณเมอื งเกา่ อนรุ าธปุระ (มองจากอา่ งเก็บน้�ำ ตสิ สะหรือติสสะแวเวอะ)

68 นิกายสังครหยะ

โปโฬนนารุวะและดัมพเดณิยะ 69 º··Õè ö โปโฬนนารวุ ะและดัมพเดณยิ ะ พระเจ้าปรากรมพาหุมหาราช ต่อม�พระเจ้�มหลุวิชัยพ�หุได้ข้นึ ครองร�ชย์เหนอื เก�ะลังก� พระองค์ได้ทำ�ล�ยกองทัพอันยิ่งใหญ่ของทมิฬโจฬะ ผู้ยึดครองเก�ะ ลังก�ถึง ๘๖ ปี ด้วยก�รปกครองภ�ยใต้เอกฉัตรอันเดียวกัน๑ พระองค์ ปร�รถน�ประกอบพิธีบรรพช�อุปสมบทเพ่ือเป็นก�รสืบต่อพระศ�สน� แต่ห�ได้พบพระสงฆ์แม้เบญจวรรค ผู้มีศีลสมบูรณ์ส�ม�รถทำ�สังฆกรรม ได ้ จึงโปรดใหจ้ ัดส่งเคร่อื งร�ชบรรณก�ร อันประกอบดว้ ยไขม่ ุกและอญั มณี อันล้ำ�ค่�เป็นจำ�นวนแสนไปยังอ�ณ�จักรอรมณะ๒ พร้อมนิมนต์พระสงฆ์ ผู้สมบูรณ์พร้อมด้วยศีล�จ�รวัตร ๒๐ รูป จ�กอ�ณ�จักรแห่งนั้นกับ ท้ังคัมภีร์สำ�คัญเป็นจำ�นวนม�ก ให้ม�ประกอบพิธีอุปสมบทแก่กุลบุตร ช�วลังก�เปน็ เรอื นพนั จงึ ช่อื ว่�พระองคไ์ ดฟ้ ืน้ ฟกู �รพระศ�สน�ขน้ึ ม�ใหม่ ถัดจ�กพระเจ้�มหลุวิชัยพ�หุมีผู้ครองร�ชย์สืบต่ออีก ๓ พระองค์ ไดแ้ ก ่ พระเจ้�ชยั พ�ห ุ พระเจ้�วกิ รมพ�หุ และพระเจ�้ คชพ�หุ ภ�ยหลงั พทุ ธปรินพิ พ�นล่วงแลว้ ได้ ๑๖๙๖ ปี ได้บงั เกดิ มกี ษัตริย์ มห�ร�ชแหง่ เก�ะลงั ก�พระน�มว�่ ศรสี งั ฆโบธ ิ ศรปี ร�กรมพ�ห ุ แหง่ ร�ชวงศ์ มห�สัมมตะ ผเู้ ปน็ กษตั ริยเ์ หนอื กษตั รยิ ์ กติ ติศพั ท์ของพระองค์ขจรขจ�ยไป ไกลท่ัวโลก เหมอื นหนึ่งรัศมีแห่งพระอ�ทิตย์เปล่งแสงสว่�งไปทวั่ ทุกมุมโลก

70 นิกายสงั ครหยะ พระองคไ์ ดร้ บั การเลย้ี งดดู งั ราชกมุ าร เตม็ เปย่ี มดว้ ยบญุ บารมเี สรมิ สง่ มาแต่อดตี ชาตหิ นหลัง ไดย้ ดึ ครองพวกวนั นิ ๓๖๔ หัวเมอื ง แลว้ สถาปนา เปน็ กษตั รยิ ผ์ ยู้ ง่ิ ใหญเ่ หนอื เกาะลงั กา ครน้ั เกาะลงั กาเกดิ ความขดั แยง้ ภายใน พระองค์โปรดให้เหล่าทหารกล้าชาวสิงหลประชุมพร้อมกัน มีทหารรับจ้าง สองล้านส่ีแสนและสองแสนคน ทหารชาญศึกทางน้ำ�เก้าแสนและเก้าแสน หา้ หมืน่ คน บรรดาทหารสองกลมุ่ นน้ั โปรดใหก้ รฑี าทัพไปต่างแดนสองล้าน หน่ึงแสนและสองหมืน่ ห้าพนั คน ซงึ่ ลว้ นแล้วแต่เปน็ ชาวสิงหล พระองค์ทรง ยดึ ครองอาณาจกั รใหญน่ อ้ ยตงั้ แตโ่ สลแี ละปณั ฑยะจนถงึ รามญั ประเทศ ทรง สถาปนาความเปน็ ใหญด่ ว้ ยการครอบครองทัง้ อาณาจักรลงั กาและต่างแดน พระองค์ทรงทรงตรากฎหมายด้วยความยุติธรรมนำ�สุขแก่ชาวเกาะ ลังกาท้ังมวล โปรดให้แต่งต้ังตำ�แหน่งอำ�มาตย์ผู้ใหญ่ดังต่อไปน้ี อธิการะ เสเนวริ ตั แอปา มาปา มหแลนะ มหรตุ นิ ะ อนนุ า สภาปตนิ า สฏิ นุ า สริ ติ เลนา ทุเลนา วิยัตนา มหาเวทนา มหแนกตินา ทหัมปสักนา๓ และโปรดให้ต้ัง กรมอาลักษณ์ ๘ กรม กรมพาหนะ ๘ กรม กรมพระคลัง ๔ กรม กรมช้างพาณิชย์ ๘ กรม หมู่บ้านหนึ่งแสนแปดหมื่นแห่ง ไม่รวมถึง การทำ�หน้าท่ีของแต่ละกรม ทุกกรมกองต้องทำ�งานอย่างต่อเน่ือง ไม่มี หยดุ พกั ไมป่ ลอ่ ยเวลาแตล่ ะวนั ใหผ้ า่ นไปเปลา่ ดว้ ยเหตนุ น้ั พสกนกิ รตา่ งชน่ื ชม พระเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ พระองคท์ รงตรากฎหมายไว้วา่ โสตถปี ปะสตั ถะชะนะตา ชะนะตานะภตู ะ ภปู า สะลงิ ละระมะณี ระมะณยี ะรปู า อติ า ปลุ ตั ถนิ ะคะรงิ นะคะริงติตงุ คะ เคหา มะหาธปิ ะวะรา ปะวะรา ปรู านงั ฯ

โปโฬนนารุวะและดมั พเดณิยะ 71 อรรถาธิบายตามนัยแห่งพระคาถาว่า บริเวณรอบเมืองหลวงโปโฬน นารวุ ะกกึ กอ้ งครึกโครมดว้ ยเสยี งแหง่ ดรุ ยิ างค์ พรัง่ พรอ้ มดว้ ยผคู้ นมากมาย ผู้กอปรด้วยความผาสุกรำ่�รวย พร้อมเจ้าชายใหญ่น้อย ผู้ยินดีปกป้อง คุ้มครองพสกนิกรทุกหมู่เหล่า พร้อมด้วยความงดงามตามลักษณะ ทุกส่ิง ทัศนาล้วนน่ายินดีเพลินใจ แลบ้านช่องห้องหอก็เล็กใหญ่เรียงรายคล้าย เนินเขา มหานครอันย่ิงใหญ่ เป็นศูนย์กลางการบริหารของกษัตริย์มหาราช ตลอดพระนครเมืองหลวงพระองค์โปรดให้สร้างอารามวิหารขนาดใหญ่ ไดแ้ ก่ ปรู วาราม ทกั ษิณาราม ปจั ฉมิ าราม อุตตราราม กปลิ วสั ตุ อสิ ปิ ตนะ กสุ ินาราราม เวลุวนาราม เชตวนาราม ลังกาตลิ กะ ตรีวงั กะ และแอตุบท เลนะ อารามวหิ ารเหล่านพ้ี ระองคโ์ ปรดใหเ้ ป็นท่ีพำ�นักพักอาศัยของพระสงฆ์ หลายพนั รูป พระองคย์ งั โปรดใหส้ รา้ งศาสนสถานอกี ๓๖๐ แหง่ พรอ้ มขนานนาม ตามพระนามของพระองค์ ดังต่อไปนี้ ศัตรูราชโจฬะกุลันตกะ (ยมทูตผู้คร่า กษัตริย์โจฬะผู้เป็นปรปักษ์) อุทฤตราชนิรมูละ (ผู้กำ�จัดกษัตริย์ผู้บอดเขลา) ทรุ ลทั ธมิ ถานะ (ผปู้ ราบปรามพวกนอกรตี ) ทรุ นตี วิ ารณะ (ผยู้ กเลกิ กฎหมาย อันชั่วร้าย) ประกฤติญา (ผู้ฉลาดสามารถแก้ไขปัญหา) สกลทิควิชยะ (ผู้ ช�ำ นะทศิ านทุ ศิ ) อนั ตศั วรศตั รวุ ชิ ยั (ผทู้ �ำ ลายปอ้ มคา่ ยอรริ าชศตั ร)ู สรณาคต วัชรปัญชร (ผู้แข็งแกร่งสามารถเป็นที่พ่ึงของผองชน) ปรมันตราเภทวิกรม ประตาปะ (ผตู้ รวจสอบคนเหลา่ อน่ื ดว้ ยความกลา้ หาญและทรงพลงั ) อกลงั กะ (ผู้ไรข้ ้อบกพร่อง) สรวศตั ริศิโรมณิ (ผ้สู วมอญั มณีทีศ่ อศัตร)ู กฤตยมกุ ฤตย นิศจัย (ผู้ตัดสินใจเด็ดขาดเพ่ือเคล่ือนย้ายหรือเข้าโจมตี) ปรราชโคธุรชฏี (ศิวะเทพผู้ยิ่งใหญ่เหนือโคอสุภะ) นฤหรไกรวราชหังสะ (ผู้เลิศเหนือมนุษย์ ดงั หนงึ่ พญาหงสท์ า่ มกลางดอกอบุ ลขาว) ประนารหิ สโหทร (ผเู้ ปน็ อนชุ าของ ภรยิ าคนอ่ืน) และอริราชเวศยภูชังคะ (ผเู้ ป็นชรู้ กั ภริยาแห่งกษัตรยิ ์ปรปักษ)์

72 นิกายสงั ครหยะ พระเจา้ ปรากรมพาหุมหาราชนั้น ไดถ้ วายความอปุ ถัมภ์พระสงฆส์ าม พันเจ็ดร้อยรูปตลอดพระชนม์ชีพ ทรงครองราชย์ด้วยความเกษมสำ�ราญ ครั้นพระองค์ทรงทราบถึงความเส่ือมโทรมของพระศาสนา นับได้หนึ่งพัน สองร้อยห้าสิบส่ีปีจากสมัยพระเจ้าวฬคัมอบาดังกล่าวถึงแล้ว และส่ีปีแห่ง การครองราชย์ของพระองค์ สืบเนื่องจากพระสงฆ์จำ�นวนมาก ผู้ยังรักษา สืบต่อหลักคำ�สอนอันจริงแท้ กล่าวคือไวตุลยวาทะและคำ�สอนผิดเหล่าอื่น ซึ่งเริ่มต้นมาจากพวกนอกรีตดังอ้างถึงแล้ว แม้ทราบว่าชื่อเสียงเสียหายแต่ ยงั รกั ษาสบื ต่อกันอยู่ พระองคท์ รงด�ำ รวิ า่ หากกษตั รยิ ผ์ มู้ เี ดชานภุ าพแผไ่ พศาลทกุ ทศิ ดงั หนงึ่ พระองค์ทราบถึงความด่างพร้อยแห่งศาสนาอันบริสุทธิ์ของพระศาสดาเจ้า แลว้ เมนิ เฉยเสยี ศาสนาคงสญู หายไป คณุ ธรรมอนั ดงี ามคงเสอ่ื มเสยี จ�ำ เรา ตอ้ งรบั ใชพ้ ระศาสนาของพระศาสดาเจ้า เพ่ือให้ด�ำ รงคงอย่ถู ว้ น ๕๐๐๐ ปี ดว้ ยพระราชหฤทยั อนั ประกอบดว้ ยพระกรณุ าคณุ และพระปญั ญาคณุ จงึ ด�ำ ริ วา่ ใครกนั หนอจะชว่ ยเหลอื เราช�ำ ระพระศาสนาจากความเสอื่ มโทรม สามารถ ทำ�ใหพ้ ระศาสนารุง่ เรืองแพรห่ ลายปราศจากมลทิน คร้ันแล้วพระองค์ได้เสด็จเข้าไปปรึกษาพระสงฆ์แห่งสำ�นักมหาวิหาร ซง่ึ มพี ระมหากาศยปเถระแหง่ ส�ำ นกั อทุ มุ พรคริ เี ปน็ ตน้ เปน็ ประธาน๔ พระองค์ ผู้ศรัทธาต่อพระรัตนตรัยและกอปรด้วยคุณธรรมอันมาก ดังเช่น ความ มนั่ คง ความซอ่ื สตั ย์ เปน็ ตน้ ไดแ้ จง้ ความปรารถนาแหง่ พระองคแ์ กพ่ ระสงฆ ์ ท้ังปวงทราบ จากน้ันโปรดให้ส่งข่าวแก่พระนอกรีตหลายร้อยรูป ผู้ประพฤติผิดศีล ผิดธรรม หมายถึงพระสงฆส์ ามสำ�นกั ได้แก่ ธรรมรจุ ิ สาคลกิ ะ และไวตลุ ยะ เพราะความประพฤติของพระสงฆ์เหล่านี้สร้างความเสียหายแก่พระศาสนา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook